สติมาก่อนสตางค์ เรื่องสมาธิ สติต้องมาก่อน ต้องบังคับ ไม่ใช่ว่ามันจะ เกิดขึ้นมาเองแบบลอยๆนะ ไม่ใช่อย่างนั้น มันจึงต้องบังคับ กำ หนดดู ในวันนี้ เอ้า..วันนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ให้เผลอ จะให้มี สติอยู่กับตัวเองตลอด พุทโธ การก้าว การเดิน การไป การ มา บิณฑบาต การฉัน การพูดคุยให้น้อยที่สุด พยายามให้มี สติอยู่กับตัวเอง คือตั้งจิตเอาไว้โดยความมั่นคงว่า ข้าพเจ้า จะไม่ให้เผลอ วันนี้ข้าพเจ้าจะไม่ส่งจิตออกข้างนอก จะให้ จิตอยู่กับตัวเอง ใจอยู่กับตัวเอง ให้มีสติอยู่กับตัวเองให้มาก ที่สุด ให้พวกเราท่านทั้งหลายเตรียมพร้อมอย่างนี้ จากนั้น เมื่อเราสติดีแล้ว สมาธิก็เกิด เมื่อสมาธิเกิดขึ้นมาแล้ว ทีนี้เรา พิจารณาอะไร? เมื่อจิตสงบแล้วจิตเป็นหนึ่งแล้ว ให้พิจารณา ร่างกาย ก็จะเห็นร่างกายชัดเจน ร่างกายของเรามีอะไรบ้าง? อาการ ๓๒ อยู่ในร่างกายมีอะไรบ้าง? ก็จะเห็นด้วยปัญญา 251
ภาวนอนได้..แต่หลับง่าย แต่ก่อนเมื่อสติของเรามันอ่อน มันจะหลงเผลอไป ได้ง่ายๆ เหมือนกับเราจะนอนหลับ พวกเราทั้งหลายคงจะ คิด เวลาภาวนาพุทโธๆๆ แต่เวลาเราจะนอนเราก็พยายาม ปล่อย ปล่อย ปล่อย คือไม่เข็มแข็ง จากนั้นมันก็หลับได้ แต่ ถ้าเรานอนและตั้งสติให้เข็มแข็งกำ หนดรู้อยู่กับลมหายใจ หายใจเข้า-พุท หายใจออกโธ มันจะไม่หลับ ถ้าสติของเรา เข็มแข็งในขณะที่เรานอน นอนภาวนาแต่สติของเราเข็ม แข็งมันจะไม่หลับ แต่ถ้าเราปล่อยมันจะหลับ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการนั่งภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าเรานั่งทำ ให้จิตใจ ของเราปล่อย ไม่แข็ง ไม่ยึดมั่น มันอาจจะทำ ให้เราหลับได้ ฉะนั้น ในขณะที่นั่ง เราก็ต้องเอาสติจับให้แน่นพอสมควร และก็กำ หนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า-พุท หายใจออกโธ 252
การทำความดีมันดีทั้งนั้น ส่วนการทำความชั่วมันก็ ชั่วทั้งนั้นแหละ เหมือนกับลูกน้องอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็น ชาวบ้านนอกเข้ามาทำ งานในเมืองกับท่านเศรษฐี อนาถ บิณฑิกเศรษฐีเป็นโยมอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าทางฝ่ายชาย ส่วนโยมฝ่ายผู้หญิงก็คือนางวิสาขา ที่เป็นผู้ดูแลพระสงฆ์ที่ อยู่ในพระพุทธศาสนา ดูแลถวายภัตตาหารพระสงฆ์วันละ ๕๐๐ ในบ้านของตนเอง มีชายบ้านนอกคนหนึ่งจะเข้าไปทำ งานในเมือง เดิน โต๋เต๋ เข้าไปในบ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี “ผมขอมา สมัครงาน” ทางนี้กำลังขาดคนเลี้ยงวัว แล้วก็พอดีทางนี้ เห็นชายบ้านนอกเคยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายมาก่อน เลยตกลง รับหนุ่มคนนี้เข้ามาเป็นคนเลี้ยงวัวให้เข้าไปอยู่ในบ้านเศรษฐี ทีนี้ปกติที่บ้านเศรษฐีพอตื่นมาตอนเช้าเขาจะมีการเลี้ยง อาหาร พอเลี้ยงอาหารเสร็จแล้วก็ห่อข้าวให้พนักงานแต่ละ คน บางคนก็ไม่เอา กินเช้าแล้วก็กลับมากินอีกทีตอนเย็น ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้กติกาของบ้าน ว่าทุกวันพระ จะให้คน ทานอาหารแต่ตอนเช้าเท่านั้น พอตกตอนเย็นไม่มีการทาน อาหาร ให้งดเว้นทั้งหมด ให้คนในบ้านรักษาศีลอุโบสถ ให้ คนทั้งหลายได้มีบุญมีกุศล เป็นผู้มีศีล ท่านเศรษฐีถืออย่าง เคร่งครัด เช้าวันต่อมาชายหนุ่มคนนั้นพอมากินข้าวเช้าแล้ว ก็ออกไปเลี้ยงวัวตามปกติ อนาถบิณฑิกเศรษฐีกับลูกน้องลืม บอกว่า เย็นวันนี้ไม่มีอาหารเย็นนะ 254
อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็บอกว่า “พวกท่านได้บอกไอ้ หนุ่มบ้านนอกที่มาเลี้ยงวัวหรือไม่ว่าไม่มีการเลี้ยงอาหาร เย็น” “ถ้าอย่างนั้นก็ไปจัดอาหารให้ชายหนุ่มได้กินซะ เพราะ แกไม่ได้เอาอาหารไปด้วย เพราะแกจะมาคอยกิน อาหาร ตอนเย็น แกไปทั้งวัน ถ้าแกกลับมาแล้วไม่ได้กินอาหารเย็น เข้า ประเดี๋ยวจะเป็นลมเอา” อนาถบิณฑิกเศรษฐีบอกลูก น้องให้เตรียมอาหารไว้สำ หรับคนเดียว ทีนี้พอชายหนุ่มกลับ มาถึงตอนเย็น วันนั้นกลับเงียบ ไม่มีใครเลย เห็นแต่ตัวเอง เดินโตๆ๋เต๋ๆเข้ามา เลยถามเขาว่าทำ ไมไม่มีคนมากินข้าวเลย “วันนี้เป็นวันพระ เขารักษาอุโบสถศีลกัน เพราะฉะนั้นวันนี้ จึงไม่มีใครทานอาหารเย็น ทานมื้อเช้า มื้อเที่ยงก็จบ” “ถ้า หากผมไม่ทาน จะรักษาศีลเลยได้หรือไม่?” “รักษาศีลครึ่ง วัน ผมก็ไม่กล้าตอบ” “ใครจะตอบได้” “อนาถบิณฑิกเศรษฐี เท่านั้น” “พาผมไปพูดกับท่านได้หรือไม่?”“ท่านอนาถบิณฑิ กเศรษฐีครับ ชายหนุ่มที่พึ่งเข้ามาเลี้ยงวัวให้กับเรา เขาจะ รักษาศีลเลย ท่านว่าอย่างไร? จะรักษาได้หรือไม่?” ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นคนมีศีลมีธรรมอยู่ แล้ว ทำความดีถึงจะทำครึ่งวัน ก็คือคุณงามความดี ถึงจะ ทำตลอดวันก็คือคุณงามความดี ตรงกันข้าม ทำความชั่วก็ เหมือนกัน ทำ ประเดี๋ยวประด๋าวก็คือทำความชั่ว ความชั่ว เหมือนเราจับไฟ จับกลางวัน จับตอนเย็น จับกลางคืน มันก็ ร้อนทั้งนั้น เพราะมันเป็นไฟ อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็แนะนำ 255 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ว่าได้ เคี้ยวไม้สีฟันทำความสะอาดปาก แล้วตั้งใจสมาทาน ศีลว่า “ข้าพเจ้าจะรักษาศีล ๘ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าพเจ้า จะไม่ฆ่าสัตว์ จะไม่ลักทรัพทย์ จะอยู่ในพรหมจริยา ไม่กล่าว มุสา ไม่ดื่มสุรา ไม่ทานอาหารในเวลาวิกาล ไม่ฟังเสียงร้องรำ ทำ เพลง ไม่ทัดทรงดอกไม้ของหอม ไม่นั่งในที่นอนอันใหญ่ ที่ยัดนุ่นสำลี” แกก็ตั้งใจสมาทานตามที่เศรษฐีแนะนำ เมื่อ เสร็จแกก็ไปหาที่พักรักษาศีล พอรักษาศีลได้พักหนึ่ง อาหาร ในท้องมันไม่มี ก็ปวดท้อง ท่านเศรษฐีชายหนุ่มที่มาใหม่เขา ปวดท้องอย่างแรง ท่านเศรษฐีก็เลยบอกให้หานํ้าตาลไปให้ กินก่อน ถ้าไม่นั้นก็ให้กินอาหาร ก็เลยเอานํ้าผสมนํ้าตาลไป ให้กิน ชายหนุ่มจึงตอบไปว่า “ผมไม่กินหรอก ผมรักษาศีล เพียงครึ่งวันเท่านั้นยังจะให้ศีลผมขาดอีก ถ้าไม่หายก็ให้มัน ตายซะ ขอยอมตายด้วยคุณงามความดี เรื่องอาหารอย่าง อื่นไม่ต้องพูดถึง ขนาดนํ้าตาลกับนํ้าเท่านั้นก็ยังไม่ดื่ม ผม ขอรักษาศีล” “ถ้าอย่างนั้นก็สุดแท้แล้วแต่” พอจากนั้นชาย หนุ่มก็ป่วยหนักเข้าไปอีก ผลที่สุดตาแกก็ตาย บุญกุศลใน การรักษาศีลเพียงครึ่งวัน อานิสงส์การรักษาศีลไม่ธรรมดา พระพุทธเจ้าว่า “สีเลนะ สุคะติง ยันติ” ผู้ไปสู่สุคติได้เพราะศีล “สีเลนะ โภคะสัมปะทา” ผู้จะมีโภคสมบัติได้เพราะศีล “สีเลนะ นิพ พุติง ยันติ” ผู้จะไปสู่นิพพานได้ก็เพราะศีล ทีนี้ชายหนุ่มเลย ได้ไปเกิดเป็นรุกขเทวดา อยู่ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ตรงประตู 256
เข้าป่าหิมพานต์ ต่อมาทีนี้พวกฤๅษีได้ยินข่าวว่าพระพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระธรรมคำสั่งสอนได้อุบัติขึ้นแล้ว ในโลกพระอริยสงฆ์อุบัติขึ้นแล้วในโลก เสียงกิตติศัพท์เลื่อง ลือเข้าไปในป่า พวกฤๅษีเหล่านั้นจึงตกลงกันว่า พวกเราควร จะไปกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ได้อุบัติขึ้นแล้ว ในโลก ฤๅษีอยู่ในป่า ๕๐๐ คนก็เลยสะพายของอีรุงตุงนัง เหมือนกับพวกเราเห็นพวกโยมฝรั่งแบกเป้ใส่หลังมาเที่ยว เมืองไทย อันนี้ก็เหมือนกัน พวกฤๅษีออกมาจากป่า พอมา ก็เห็นต้นไทรใหญ่ตรงทางเข้าป่าหิมพานต์ เหนื่อยจริงๆ ขอ นอนที่นี่ก่อนพวกเรา ต้นไทรใหญ่กิ่งก้านสาขาครอบคลุมใน พื้นที่ พอนอนแล้วมันก็หิว ไม่มีน้าดื่ม น ํ ้าใช้ ไม่รู้จะทำ ํ อย่างไร ฤๅษีที่เป็นหัวหน้า ต้นไทรต้นนี้ถ้าเป็นเทวดาผู้รักษา ก็คงเป็นคนที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่ เพราะทอดกิ่งก้านสาขา สวยงามเหลือเกิน “ข้าพเจ้าขอไหว้วอนรุกขเทวดาที่สิงสถิต อยู่ในต้นไทร ขอให้นํ้าแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด พวกข้าหิวนํ้า เหลือเกิน” ไม่นานนํ้าไหลออกมาจากกิ่งไทร ฤๅษีพอทั้งกินทั้งอาบ เสร็จแล้วไม่หยุดอยู่เพียงแค่ นั้น ฤๅษีที่เป็นหัวหน้า “ท่านเทวดาเอ้ย พวกข้าดื่มนํ้า อา บนํ้าเสร็จแล้ว แต่ด้วยบุญบารมี พวกข้าเดินทางมาไกลหิว อาหารเหลือเกิน ถ้าหากว่าท่านปราณีขอให้ท่านเอาอาหาร ให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด”พอว่าเท่านั้นห่อข้าวก็หล่นมาจากกิ่ง ไทร ก็ได้กินข้าวอิ่มหนํ่าสำ ราญทุกคน ทีนี้ 257 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
“เทวดาเจ้าข้าเอ้ย พวกข้าอยากจะเห็นตัวท่านเหลือเกิน เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่ได้ให้นํ้าให้ข้าว ท่านเป็นผู้มี พระคุณต่อพวกข้า ข้าพเจ้าอยากจะเห็น อยากจะชมบุญ บารมีท่านจริงๆ” เทวดาก็ปรากฏตัวออกมาจากต้นไทร ทีนี้พอฤๅษีทั้งหลายเห็นก็ยกมือไหว้พลางถามว่า “ท่านทำ บุญอะไรไว้หนอทำ ไมถึงได้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ขนาด นี้?” ทางรุกขเทวดาไม่อยากจะพูด “ข้าพเจ้าได้ทำ บุญเพียง หน่อยเดียวเท่านั้นเอง ไม่อยากจะพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง” ฤๅษีทั้งหลายก็บอกว่า “อย่าไปอายเถอะ ขนาดนี้ข้าพเจ้าก็ ซึ้งอกซึ้งใจพอแล้ว ที่ท่านได้เมตตาปราณีกับพวกข้าพเจ้า” รุกขเทวดาก็บอกว่า “ได้...ข้าพเจ้าจะเฉลยให้ฟัง ข้าพเจ้าทำ บุญอยู่เพียงหน่อยเดียว ข้าพเจ้าเป็นคนบ้าน นอกแล้วไปทำ งานกับอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้รักษาศีลเพียง ครึ่งวัน” “รักษาศีลเพียงครึ่งวันแบบนี้ก็ยังเป็นกุศลขนาดนี้ เชียว” ฤๅษีทั้งหลายก็กล่าวสาธุพร้อมกัน แล้วก็ขอบคุณ จาก นั้นฤๅษีพวกนั้นก็ได้ออกจากต้นไทรมากราบพระพุทธเจ้า ตอนนี้มาถึงพระพุทธเจ้าก็ว่า “ใช่ คุณงามความ ดีรักษาศีลเพียงครึ่งวัน แต่เขาเอาจริงเอาจัง ขนาดเขาไม่ ยอมให้ศีลขาด แต่ยอมตายเพื่อจะรักษาศีล เขาก็ได้เป็น รุกขเทวดาที่ต้นไทรอย่างที่พวกท่านเห็นจริง” 258
259
ทำ�ดี...ดีกว่าขอพร ในหลักของพระพุทธศาสนาเป็นสวากขาตธรรมที่ พระพุทธองค์ตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องแล้ว ให้พวกเรานำ มาประพฤติปฏิบัติ พวกเราก็จะประสบแต่ความสุข ความ เย็นใจ การทำดีนั้นแลคือการให้พรดีกว่ารับพร การทำดีนั้น แหละคือการให้พรตัวเอง ถ้าหากว่าตัวเองทำกรรมชั่วแล้ว ทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว คิดชั่วแล้ว ทำชั่วแล้ว พูดชั่วแล้ว แปลว่า ตัวเองไม่ให้พรตัวเอง ให้แต่สิ่งที่หายนะเข้าสู่จิตใจ แต่พวก เราคิดดี พูดดี ทำดี ในตัวของเราพวกเรารับพรอยู่ตลอด เวลายืน เดิน นั่ง นอน หลับ ตื่น พรจะเข้าสู่จิตใจของพวก เราตลอดไป ไปอยู่ ณ สถานที่ใดมีแต่ความสงบร่มเย็นผาสุก เพราะพรศีลธรรมเข้าสู่จิตใจของพวกเราโดยตลอด 261 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
๒ ทิฐิ จิตใจเมื่อเป็นสัมมาทิฐิ การแสดงออกทางกาย ทาง วาจาก็พลอยเป็นสัมมาทิฐิไปด้วย แต่ถ้าหากว่าใจของเรา ได้รับการศึกษาไปในทางที่ไม่ถูกต้องกลายเป็นมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิดในใจ เรามีความเห็นผิดในใจเป็นมิจฉาทิฐิ การกระทำ การพูดของเราก็เป็นไปในทางมิจฉาทิฐิไปด้วย เพราะเหตุใด เพราะใจของเราไปในทางที่ไม่ถูกต้อง 262
เมตตาธรรม โกรธ เกลียด รัก ชอบชังอะไรก็ตาม ลุ่มหลงอะไร ก็ตาม อย่าให้มันเกินไป เพราะว่ามันไม่ใช่ของของเรา หรอก มันมีแต่ผ่านๆไป เพราะทุกสิ่ง ทุกอย่าง ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ผิดใจบ้าง ไม่ผิดใจบ้าง เขาเหยียบยํ่าทำลาย เราบ้าง ถ้าเราพอที่จะปกป้องได้ เราก็ปกป้อง ถ้าปกป้องไม่ ได้ เราก็ เอ้าหยวนๆกันไป เพราะว่าโลกนี้มันเป็นอยู่อย่าง นี้ตั้งแต่เรายังไม่เกิด แล้วถ้าเราเป็นอย่างนี้แล้วเราจะไม่เสีย เปรียบเขาเหรอ? ในหลักของพระพุทธศาสนา ท่านบอกว่า ผู้ที่เสียเปรียบนั้นแหละคือผู้ที่จะไปสู่มรรคสู่ผลได้ ถ้าเรา มัวแต่จะเอาเปรียบเขาอยู่ เราก็ยังไปไม่ได้ ยังติดอยู่ในโลก นี้ อย่างที่หลวงตามหาบัวท่านกล่าวไว้ การยอมเสียเปรียบ คนนั้นคือเมตตา นี้ก็เหมือนกัน คนที่ยอมเสียเปรียบในเรื่อง ต่างๆ นั่นแหละคือผู้ที่จะพ้นทุกข์ในวัฎสงสาร ผู้ที่จะไม่มา เวียนว่ายตายเกิด ถ้ามีแต่สู้มัน เอาชนะมันให้ได้ อันนั้น ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้น ไม่มีที่สิ้นสุด อยู่แต่โลกวัฎสงสาร นี้ หาทางออกไม่ได้ ถ้าพวกเราเป็นผู้ยอมแพ้ เป็นผู้รู้จริง เห็นจริง จากนั้นก็ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นถือมั่น เห็นตาม ความเป็นจริง จิตใจของเราก็จะหลุดพ้น จากกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ไม่มากก็น้อย ผลที่สุดถ้ารู้จริงเห็นจริงถึงจุดจบ ก็จะไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงแล้ว 263 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
เสียสละให้เป็น จาคะคือการเสียสละ คนเรานี่ต้องมีการเสียสละ มี การให้อภัยทาน แล้วก็มีการให้อภัยหรือว่าการเสียสละให้ พ่อให้แม่ เพราะพ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณสำ หรับเรา เราควรจะ ให้อภัยทานคือให้ทานแก่ท่าน สงเคราะห์ท่านยามเมื่อท่าน แก่เฒ่าชรา ดูว่าเราควรที่จะช่วยเหลือสิ่งไหนได้ อันนั้นเป็น หน้าที่ของพวกเราทุกๆคนที่เป็นบุตรธิดา เราจะต้องดูแล พ่อแม่ของตนเอง เพราะท่านได้เลี้ยงดูเรามาแต่อ้อนแต่ออด ยามเมื่อท่านเฒ่าแก่แล้วก็เป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องตอบแทน พระคุณท่าน อันนี้เรียกว่า จาคะ จากนั้นก็ค่อยเสียสละให้ แก่มวลมนุษย์ที่อยู่ด้วยกันโดยที่เราไม่เดือดร้อน อย่างเรา ได้สิ่งของมาจากพี่น้องประชาชนที่มาสนับสนุน จากการ ทำ มาค้าขาย เราเป็นผู้มีสติปัญญามากกว่าเขา หาทรัพย์ได้ มากกว่าเขา เราก็ควรจะช่วยเหลือชุมชนสังคม ตามอัตภาพ เท่าที่เราพอที่จะช่วยได้ อันนี้เรียกว่า จาคะ 264
บ่อเกิดแห่งสมาธิเบื้องต้น ต้องมีสติซะก่อน สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือ ความรู้ตัว นี่แหละบ่อเกิดแห่งสมาธิเบื้องต้น ถ้าหากว่าพวกเรา ไม่มีสติแล้ว สมาธิก็ไม่เกิด เพราะเมื่อคนขาดสติแล้ว สมาธิจะเกิด ขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องสติต้องมาก่อน กำ หนดลมหายใจ เข้า-ออก ก็ต้องมีสติ เวลาก้าวเดินก็ให้มีสติในการก้าวเดิน ขา ขวา-พุท ขาซ้าย-โธ ให้มีสติกำกับดูแลใจของเรา คิดเรื่องอะไร ให้ มีสติในการกำ หนดพิจารณาร่างกายของเราทุกส่วน ตั้งแต่ศีรษะ ถึงฝ่าเท้า ให้มีสติกำ หนดดูว่าร่างกายเรานี่มีธาตุ ๔ ดิน นํ้า ลม ไฟ 265 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ไปให้ความสำ�คัญกับมัน มันก็เลยสำ�คัญ ร่างกายนี้เป็นของเราใช่หรือไม่? ถ้าลองถามดูจริงๆ แล้ว ร่างกายไม่ใช่ตัวตนของเรา ในเมื่อร่างกายยังไม่ใช่ตัวตนของ เราแล้ว ของสิ่งอื่นจะเป็นของเราได้อย่างไร? ใช่หรือไม่? ใจ ทีนี้ใจ มันก็ต้องยอมรับว่า ขนาดร่างกายยังไม่ใช่ของเรา แต่เรากลับไป ยึดสิ่งอื่นเป็นของๆเรา อย่างนี้ก็ไม่น่าจะถูกต้อง สิ่งอย่างอื่นเป็น ธรรมชาติของมัน ร่างกายก็เป็นธรรมชาติของมัน เพียงแต่ว่า จิตใจเราไปหลง ไปให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นเท่านั้นเอง มันจึง สำคัญขึ้นมา ถ้าใจเราไม่ไปให้ความสำคัญ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สำคัญ อันนี้แหละคือธรรม 266
คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก ถึงคนจะยกย่องนินทาสรรเสริญอย่างไร ถ้าเราไม่ ได้ทำ ความชั่วเสียหาย เราก็ไม่ต้องวิตกกังวล คนที่ไม่ถูก นินทา ไม่มีในโลก ต่อให้พูดดีขนาดไหน เขาก็นินทาแบบ หนึ่งหรือต่อให้ไม่พูด เขาก็นินทาไปอีกแบบหนึ่ง สรุปคือ ว่าจะพูดหรือไม่พูดเขาก็นินทาได้ทั้งนั้น สรรเสริญก็เช่น เดียวกัน ถ้าเราไปกระเพื่อมตามปากของคนอื่นเขา เราก็ เป็นทุกข์เปล่าๆ ฉะนั้นเขานินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี เราต้อง มองดูตัวเราเอง มันถูกต้องหรือเปล่าที่เขานินทานั่น? ถ้า มันถูกต้อง เราก็พยายามไม่ทำ อย่างที่เขานินทา หรือที่ เขาสรรเสริญนั่นก็เหมือนกัน มันถูกต้องรึเปล่า? ถ้ามันถูก ต้อง เราก็ยินดีรับสรรเสริญนั้น แต่ถ้ามันไม่ใช่ เราก็ไม่จำ ไป ยินดีกับคำสรรเสริญนั้น ไม่มีใครที่จะรู้ได้ยิ่งไปกว่าตัวของ เราเอง สรุปแล้วว่า........อย่าลืมตัว 267 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือสิ่งที่มากระทบใจ ความ พอใจ ความไม่พอใจ มันเกิดในใจ ถ้ามีสิ่งที่พอใจ มันก็ดีใจ เป็นสุขเวทนา ถ้ามีสิ่งที่ไม่พอใจ มันก็เสียใจ มันขึ้นๆลงๆอยู่ ในจิตใจของเรา มันกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา มันหาความสุข ความสงบในใจของเราไม่ได้ สิ่งไหนเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุก ขัง สิ่งไหนเป็นทุกขัง สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตนของเรา นี่แหละให้เราดู ที่ตัวนี้ ตัวธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สิ่งที่มากระทบใจของเรา 268
สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี มีพระ สงฆ์รูปหนึ่งท่านอาศัยอยู่ในป่า ท่านอาศัยอยู่ป่าตามลำ พัง ท่านก็ ภาวนาของท่านนั่นล่ะ ท่านไม่ได้เบียดเบียนใครผู้ใดผู้หนึ่ง พอตอน เช้ามาท่านก็ออกมาจากป่า จากที่กระต็อบของท่าน จากนั้นท่านก็ เข้ามาบิณฑบาตในหมู่บ้าน พอบิณฑบาตได้อาหารเสร็จเรียบร้อย แล้ว ท่านก็นำอาหารเข้าไปฉันตามลำ พังที่ที่พักของท่าน เสร็จแล้ว ท่านก็ภาวนาบำ เพ็ญของท่านตามลำ พัง อันนี้คือชีวิตพระป่า อยู่ ตามลำ พัง อยู่มาวันหนึ่งท่านออกมาบิณฑบาตแต่เช้าเดินออกมา ปรากฏว่ามีนายพรานในหมู่บ้าน คือสมัยก่อนไม่มีปืน มีแต่ธนู ก็ ต้องอาศัยพวกหมาที่เลี้ยงไว้ คือเขาเลี้ยงหมาไว้สำ หรับล่าเนื้อใน ป่า ถ้าไปเห็นเก้ง กวาง กระรอก กระแต กระต่าย นั้นล่าได้ทั้งหมด ให้หมาเข้าไปล่าแล้วเอาธนูยิงอาบด้วยยาพิษ จากนั้นก็เอามาเป็น อาหาร อันที่จริงแล้วพรานป่าคนนั้นเขาอยู่ในหมู่บ้าน ตอนเช้าพระ ก็เดินออกมาจากป่า เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ส่วนพรานป่า ก็ออกจากหมู่บ้าน เพื่อเข้าในป่าล่าสัตว์กับฝูงหมา พอดีประจวบ เหมาะไปเห็นพระเข้าก็คิดในใจว่า เราคงไม่ได้อะไรแล้ววันนี้ ดัน มาเจอพระ เจอตัวอาเพศ ตัวอาถรรพ์ ตัวเสนียดจัญไร วันนั้นนาย พรานก็ไปล่าอะไรไม่ได้เลยจริงๆ ส่วนพระท่านก็พึ่งเดินกลับมาจาก บิณฑบาตเช่นเดียวกัน พอมาถึงครึ่งทางก็พอดีเจอกับนายพรานอีก ครั้งหนึ่ง นายพรานพอเห็นพระเดินสวนมาพอดี ก็คิดโมโหขึ้นในใจ 270
เป็นเพราะข้าเจอพระองค์นี้แหละ ทำ ให้เราไปล่าสัตว์อะไรไม่ ได้เลยวันนี้ เพราะพระองค์นี้เป็นตัวอาเพศ ตัวอาถรรพ์ ทีนี้ นายพรานก็เลยยุหมาตัวเองให้ไปไล่กัดพระ ฝูงหมาก็เลยเข้าไป รุมพระ พระก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านก็เลยวิ่งหนีขึ้นไปบนต้นไม้ ท่านปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ หมามันก็ตามไปเห่า ทีนี้พระท่าน ยืนอยู่บนกิ่งไม้ นายพรานก็ตามไปแล้วเอาลูกธนูแทงไปที่เท้า ของท่าน พอแทงโดนท่าน ท่านเจ็บ ท่านก็ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น นายพรานก็แทงอีกข้างหนึ่ง ท่านก็ยกเท้าอีกข้างหนึ่ง นาย พรานก็แทงอีกข้างหนึ่ง ผลที่สุดจีวรของท่านก็หลุดลุ่ยหล่นลง มาคลุมหัวนายพรานพอดี หมาก็เข้าใจผิดคิดว่าพระตกลงมา จากต้นไม้แล้ว หมาเหล่านั้นก็รุมกัดเลย พอกินเสร็จแล้วละ ทีนี้ พระที่อยู่ข้างบนก็ตะโกนไล่ลงมา พอหมามองเห็นพระที่ อยู่ข้างบน ก็จ๋อยหงอยเหงาเลยทีนี้เพราะรู้แล้วว่าตัวเองไปกัด เจ้าของตายแล้ว พอกลายเป็นหมาไม่มีเจ้าของ มันเลยกลัว ละทีนี้ หมาเหล่านั้นก็แตกกระจุยเลย พระองค์นั้นก็ไม่มีจีวร เลยเพราะหมากัดผ้าจีวรขาดหมด ส่วนนายพรานก็เหลือแต่ กระดูก ท่านเลยเดินกลับไปที่ที่พัก เอ เรานี่จะเป็นบาปหรือไม่ น้า เราไม่มีเจตนาจะฆ่านายพราน แต่ว่าผ้าจีวรของเราหลุดลุ่ย ลงไปครอบหัวนายพรานพอดี นายพรานนี่ตายเพราะผ้าจีวร ของข้า ข้านี่จะเป็นอาบัติปาราชิกรึเปล่าน้อ 271 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
พอท่านกลับไปถึงวัด ท่านไม่สบายใจ ท่านก็เลยขึ้นกราบทูล พระพุทธเจ้าให้ทรงวินิจฉัย พระองค์นั้นเลยเล่าเรื่องราว ถวายพระพุทธเจ้าแล้วถามพระพุทธองค์ว่า “ศีลของ ข้าพระพุทธเจ้าจะขาดหรือไม่ พระเจ้าข้า? เพราะข้า พระพุทธเจ้าไม่มีเจตนา” พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า เธอไม่มีเจตนา ไม่เป็นอาบัติ “เจตนา หัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ” ถ้ามีเจตนาแล้วที่จะให้นายพรานตายเพราะผ้าจีวรของท่าน อันนั้นอาบัติ แต่ถ้าท่านไม่มีเจตนาแล้วจีวรหล่นไปคลุมหัว นายพรานทำ ให้นายพรานตาย อันนี้ เป็นกรรมของนาย พรานเองที่อยากจะฆ่าท่าน ที่เป็นผู้มีศีล ให้บาปแก่ท่าน บาปอันนั้นเลยถึงตัว ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์อันนั้นเลยถึงตัว เพราะฉะนั้น ท่านไม่เป็นอาบัติ เป็นกรรมของเขาเองที่เขาได้ กระทำ พระองค์นั้นท่านก็สบายใจขึ้นมาเพราะท่านไม่มีเจต นาจริงๆ เพราะฉะนั้นกรรมชั่วอย่าทำซะเลยดีกว่า เพราะ เมื่อกรรมชั่วให้ผล ตนเองนั้นแลจะเดือดร้อนเมื่อภายหลัง 272
273
อย่ามองข้ามสมาธิ สมาธิอบรมปัญญาก็คือ เราพยายามนั่งกำ หนด ลมหายใจเข้า-พุท ลมหายใจออก-โธ หรือ กรรมฐาน ใดกรรมฐานหนึ่งก็ได้ในกรรมฐาน ๔๐ เมื่อใจเรารวมสงบ เป็นหนึ่ง ใจที่เป็นอัปปนาสมาธิ สติกับจิตเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน เมื่อถอนขึ้นมาจากอัปปนาสมาธิ แล้วนำ มา พิจารณาทางด้านปัญญา แบบนี้ถือว่าถูกต้อง ๑๐๐ % แต่ถ้าหากว่าจิตใจเราไม่รวมถึงขนาดนั้น เป็นได้ถึงแค่ขั้น อุปจารสมาธิ มันลงลึกไปถึงขั้นอัปปนาสมาธิไม่ได้ เราจะ พิจารณาไปเลยก็ได้ แต่มันไม่ชัดเจนเท่าพิจารณาจากขั้นอัป ปนาสมาธิ ถ้าใจของเราเป็นหนึ่ง จิตที่เป็นสมาธิดี เรานำ มาพิจารณาด้านปัญญา ก็เป็นปัญญาที่แท้จริงเห็นชัดเจน ในเรื่องนั้นๆ เพราะฉะนั้น เรื่องสมาธิจะมองข้ามไปไม่ได้โดย เด็ดขาด 275 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
หมาแทะกระดูก เรื่องกามกิเลสนี่ติดภพติดชาติอย่างเหนียวแน่น ทาง โลกเขาว่ามันมีความสุข แต่ถ้าพิจารณาด้วยธรรม เอาธรรมเข้า คลี่คลายดูแล้ว ความสุขอันนั้นคืออะไร? เป็นความสุขอย่างไร จริงหรือไม่? สิ่งเหล่านี้ เมื่อเราพิจารณาไคร่ครวญ ทบทวนให้ลึก ซึ้งลงไปแล้ว มันเป็นเรื่องของใจที่เราไปให้ความสำคัญ เหมือน เวลาหมาแทะกระดูก มันอร่อยนํ้าลายของมันเท่านั้นเอง เราไป ให้ความสำคัญ มันก็เลยสำคัญ ถ้าเราดูให้ดี พระพุทธเจ้าตรัส ว่า “ดูกร กามเอ๋ย เรารู้ต้นเหง้าของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดมาเพราะ ความดำริ ความคำ นึงถึง แต่บัดนี้รู้ต้นเหง้าของเจ้าแล้ว เราจะ ไม่ดำริ คำ นึงถึงเจ้าอีกแล้ว แล้วเจ้าจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร” นี่ แหละพระพุทธเจ้า ท่านก็ดูรู้จุดนี้อีกเหมือนกัน 276
สังเกตให้ถูกทาง ให้สังเกตดูที่ใจตัวเอง เราปฏิบัติอย่างนี้ใจของเรา เป็นอย่างไร? เราปฏิบัติอย่างนี้จิตใจเราฟุ้งซ่านหรือไม่? เรา ปฏิบัติอย่างนี้จิตใจเราสงบเยือกเย็นหรือไม่อย่างไร? ไม่มี ใครที่จะรู้ยิ่งกว่าตัวของเราเอง มีแต่ตัวเองบ่นว่าจิตใจของ ผมเดือดร้อนวุ่นวาย จิตใจของผมไม่สงบ แล้วตัวเองไปทำ อะไรบ้าง? ตัวเองคิดอะไรบ้าง? ตัวเองไปพูดอะไรบ้าง? ได้ สังเกตตัวเองบ้างหรือไม่? ถ้าสังเกตตัวเองแล้วเราจะรู้ได้ ด้วยตัวเอง ว่าเราปล่อยอารมณ์ไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ปล่อยใจจนเกินไปใช่หรือไม่? ปล่อยไป ทางไหนมันจึงนำผลเข้าหาใจของเรา ใจของเราจึงเดือดร้อน วุ่นวายไปหมด อันนี้ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าตัวของเรา เรารู้ แต่ผลลัพธ์ว่าใจของเราเดือดร้อน ใจของเราวุ่นวาย ใจของ เราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใจของเราคิดปรุงฟุ้งออกไปข้างนอก เพราะเหตุใด? ทำ ไมเราไม่นำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ ตรัสรู้มาแล้ว นำ มาใช้กับตัวเราเองบ้าง? 277 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ปัญญาไม่เหมือนงมงาย ปัญญาในหลักของพุทธศาสนา ปัญญาอันยอดยิ่งนี้คือ ปัญญาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เกิดความเบื่อหน่าย คลาย หลุดพ้น ถอนอัตตานุทิฐิ ไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง หลุดพ้นจากกิเลสไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฎสงสาร อันนี้คือ ปัญญาในหลักของพุทธศาสนา คือปัญญาอันยิ่งยวดหรือว่าปัญญา อันยอดเยี่ยมที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนพวกพุทธบริษัท ๔ อย่างพวกเราท่านทั้งหลาย ปัญญาอื่นๆนั้นก็มี แต่ปัญญานี้เป็น ปัญญาที่ถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจ จนจิตใจหลุดพ้นไม่ยึดมั่น ถือมั่น แต่ก่อนที่จะถึงจุดนั้นได้นะ พวกเราควรจะไตร่ตรองหรือ เดินตามพื้นฐานไปก่อน เหมือนกับเราจะเรียนด็อกเตอร์ 278
เราก็ควรจะต้องเรียน ก ข ไปก่อน ถ้า ก ข ยังไม่จบถึง ฮ แล้ว จะไปเรียนจุดนั้นมันก็คงเป็นไปได้ยาก อย่างพวกเราจะเรียน a b c ยังไม่จบ แล้วจะไปเรียนด็อกเตอร์ ก็คงเป็นไปได้ยากอีกเหมือน กัน เพราะฉะนั้นการที่จะเรียนสิ่งเหล่านั้น เราก็ต้องเรียนอย่างที่ หลวงพ่อพูดเบื้องต้น เรื่องศีลซะก่อนรวมถึงเรื่องการเป็นอยู่ การ อยู่ร่วมกัน การพร้อมเพรียงสามัคคี การไม่เบียดเบียนซึ่งกันและ กัน เห็นอกเห็นใจเขา เห็นอกเห็นใจเรา เขาเป็นอย่างไร เราเป็น อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ร่วมกันอยู่ใกล้ชิดกัน คู่ครอง สามีภรรยา เขาเป็นอย่างไร เราเป็นอย่างไร ลูกศิษย์กับอาจารย์ ลูกศิษย์เป็นอย่างไร อาจารย์เป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้มันก็ต้องได้คิด ทั้งหมด อันนี้คือการอยู่ร่วมกัน จัดว่าเป็นหมวดศีล ศีลคือรักษา กาย วาจาให้เรียบร้อย 279 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
จิตอมตะ หลักของพุทธศาสนา จุดสูงสุดที่พระพุทธเจ้าท่านไป ค้นคว้าศึกษา สูงสุดของพุทธศาสนาคืออะไร? จุดมุ่งหวัง จุด มุ่งมั่นของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนสาวกทั้งหลายคืออะไร? จุดมุ่งมั่น มุ่งหวังของพระพุทธเจ้าก็คือ พระอรหันต์ พูด แบบนั้นได้เลย ถึงจะพูดอย่างไรๆก็เถอะนะ ก็เพื่อเป็นพระ อรหันต์ เพื่อให้พ้นทุกข์ เหมือนกับเราทำ มาค้าขาย ทำ มา ค้าขายมากมายขนาดไหน แต่ก็เพื่อเอาอาหารการบริโภค ให้เป็นโปรตีน วิตามินครบกลุ่ม ๕ เข้ามาในปากของเราเพื่อ ให้บำ รุงร่างกายของเราให้อยู่ได้ ให้มีความสุขด้วยปัจจัย ๔ อันนี้ก็เหมือนกันที่พระพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนพวกเรา ตั้งแต่ทาน ตั้งแต่ศีล ตั้งแต่ภาวนา ตั้งแต่กิริยามารยาท พ่อ แม่พี่น้องอยู่ด้วยกันปฏิบัติอย่างไร มิตรสหายปฏิบัติต่อกัน อย่างไร ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์อย่างไร ที่พระพุทธเจ้า แนะนำธรรมคำสั่งสอน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คือการ แนะนำแต่ละเล่ห์ แต่ละเหลี่ยม แต่ละสัน แต่ละคม แต่ละ มุมมอง สรุปแล้วก็คือให้พวกเราเป็นคนดี ดีขนาดไหน? ดี กระทั่งว่ารู้แจ้งเห็นจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางที่ใจ รู้จริง เห็นจริงที่ใจ ว่าอันนั้นคือกิเลสนะ ราคะนะ อันนั้นโทสะนะ อันนั้นโมหะนะ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ใจก็ปล่อยวาง เมื่อใจ 280
ปล่อยวาง จิตใจของเราก็หลุดพ้น เหมือนกับเรากลั่นนํ้ามัน ออกจากโรงกลั่น ดูๆนํ้ามันมันมีหลายประเภทนะ บางที ออกมาจากหินเป็นนํ้ามันก็มี พอสกัดทุบก็นหินเข้าไป มากลั่นออกไป หินจึงกลายเป็นนํ้ามัน ออกมาก็เป็นนํ้ามัน มาใช้ แต่เราจะเอานํ้ามันไปขยำ กับหินให้มันเกิดเป็นหิน อีก มันก็เป็นไม่ได้เพราะมันออกมาแล้ว นี้ก็เหมือนกัน ใจที่ บริสุทธิ์ออกมาจากใจที่ไม่บริสุทธิ์ ใจที่ไม่บริสุทธิ์คือใจที่มี โลภ มีโกรธ มีหลง มีราคะ โทสะ โมหะ แต่เมื่อเราพิจารณา ไตร่ตรองด้วยศีล สมาธิ ปัญญาของเราสัมมาทิฐิ พิจารณา ให้ดี กลั่นกรองให้ดีแล้ว กิเลส ราคะ โทสะ โมหะกระเด็น ออกจากจิตใจของเรา ใจของเราก็เป็นอีกมิติหนึ่ง เป็นอีก แนวหนึ่ง เป็นนํ้ามัน ใจของเราออกมา เรียกว่าเป็นจิตที่ เป็นอมตะธาตุ เป็นอมตะ อมตะแปลว่าสิ่งที่ไม่ตาย อมตะ ธาตุเป็นธาตุอันหนึ่ง อมตะธาตุ อมตะธรรม จะว่านิพพาน เที่ยงก็ใช่ จะไม่เปลี่ยนแปลงไปทางไหนอีกเพราะมันเป็น ธาตุอันหนึ่งแล้ว เป็นอมตะธาตุแล้ว จิตใจของเราหลุดพ้น แล้ว จากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ นี่แหละเราจะกลั่นกรอง อย่างไร กลั่นมาตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา ภาวนาเป็นตัวกลั่น ครั้งสุดท้าย ไตร่ตรองด้วยเหตุและผล จากนั้นก็ปล่อยวางที่ จิตที่ใจ 281 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
เสียศูนย์-เสียหลัก สามี-ภรรยา การอยู่ร่วมกัน ครอบครัวเหมือนกับ รถยนต์ที่มี ๒ ล้อหน้า ถ้าหากว่าล้อหน้า ยางข้างหนึ่งมัน อ่อน ยางอีกข้างหนึ่งมันแข็ง โดยมากมันจะเลี้ยวลงถนน ทางด้านยางอ่อนนั่นล่ะ มันจะเดินไม่ตรง ยิ่งยางแตกข้าง หนึ่งด้วยแล้วมันเดินไม่ได้เลย อันนี้ก็เหมือนกัน ครอบครัว นั้น พ่อบ้านแม่บ้านก็เหมือนกับ ๒ ล้อหน้า ถ้าหากว่าล้อ ข้างใด ข้างหนึ่งมันแตก มันชำ รุด มันอ่อนหรือมันไม่เสมอ กัน ก็ทำ ให้รถคันนั้นเสียศูนย์ได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นการอยู่ ร่วมกันของครอบครัว ควรอยู่ด้วยกันด้วยเหตุผล อย่าอยู่ ด้วยอารมณ์โมโหโทโส จับผิดซึ่งกันและกัน มันจะหาความ สุขไม่ได้ ถ้าหากว่าครอบครัวใครก็ดี ถ้าหากแตกแยก สามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ไม่มีอะไรที่จะร้อนยิ่งกว่าการ อยู่ร่วมกันในครอบครัวเพราะมันอยู่ใกล้กัน ในวัดในวา ใน สำ นักงานก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าคนภายในไม่ปรองดองกัน ก็หาความสงบสุขไม่ได้ 282
คุ้มครองทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ถ้าคนไม่อยู่ในกฎหมาย ต่างคนก็ต่างออกนอกลู่นอก ทาง มันจะพัฒนาไปไม่ได้ ต้องบังคับให้อยู่ในกฎหมาย ก่อน แต่แค่บังคับให้อยู่ในกฎหมายก็ยังไม่เพียงพอ เพราะ เหตุใด? เพราะกฎหมายบังคับก็ได้แค่ในที่แจ้ง แต่ในที่มืด มันไปบังคับไม่ได้ คล้ายๆว่าคนทำ ผิดกฎหมาย มักจะ ใช้ช่องว่าง ช่องโหว่ หรือช่องที่ใครไม่เห็นทำผิดกฎหมาย พอทำ ไปแล้วกฎหมายก็ยังไม่ถึง เอาโทษไม่ได้ อันนั้นแปล ว่ากฎหมายคุ้มครอง แต่คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรมของ พระพุทธศาสนา ของพระพุทธเจ้านั้นท่านบอกว่า จะเป็น ใครก็ตามทำความชั่วก็คือความชั่วอยู่วันยังคํ่า เหมือนกับว่า ไปจับไฟในที่แจ้ง จับไฟในที่มืด จับไฟในที่ไหนๆ สาธารณะ หรือที่ไม่มีใครมาเห็นอย่างไรก็คือไฟ อย่างไรก็คือความ ร้อน อย่างไรก็คือความไม่เป็นธรรมอยู่ในจิตใจ เพราะฉะนั้น ศีลธรรมคุ้มครองทั้งในที่ลับและในที่แจ้งในทุกสถานที่ ถ้าผู้ใดมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ในจิตใจแล้ว อยู่ด้วย กันมากน้อยร่มเย็นถ้วนหน้ากัน 283 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
พระลืมตัว เหมือนวัวลืมตีน การหยิบเอาอะไรไปใช้ อย่าไปใช้แบบทิ้งขว้าง ใช้แล้ว ก็ทิ้งเกลื่อนไปเรื่อย คนนี้เอาไปใช้ คนนั้นเอาไปใช้ เห็นแต่ สบู่เต็มไปหมด พอใช้ไปแล้วก็ไม่รู้จักเอาอะไรครอบอีกต่าง หาก ไม่รู้จักรักษาอีกต่างหาก เมื่อเราเป็นฆราวาส เราเคย ทำ บุญทำ ทานหรือไม่ ให้ถามตัวเอง เมื่อเราเป็นฆราวาส เราเคยซื้อของเหล่านี้บริจาคหรือไม่? ถ้าเราซื้อบริจาค เราจะทิ้งอย่างนี้หรือไม่? ถ้าเราซื้อถวายพระ แล้วพระ เอามาทิ้งอย่างนี้ เราจะเกิดศรัทธาหรือไม่? แล้วเราเห็น ด้วยหรือไม่ที่พระใช้ของแบบทิ้งขว้างแบบนี้? สิ่งเหล่านี้ให้ พวกท่านถามพวกท่านเอง อย่าให้ผมได้ถาม ถ้าผมถามผม ก็จะต้องด่าทันทีแหละ เรียกองค์ที่ทำอย่างนี้ขึ้นมา ถ้าพวก ท่านไม่จำ เป็นอย่ามาอาบนํ้าที่ข้างโรงครัว ผมจัดสถานที่ไว้ ให้พวกท่านมากมาย สำ หรับอาบนํ้า สรงนํ้า 284
285
286
เพียงแค่นี้พอ ศีลของพระพุทธเจ้า คือสำ รวมกาย วาจา ให้เรียบร้อย ขึ้นชื่อว่า ศีล กายคือการกระทำ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมยทรัพย์ ไม่ ประพฤติในกาม ไม่ดื่มสุรา อันนี้คือศีลสำ หรับฆราวาส วาจาก็ คือไม่เท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำ หยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ อันนี้ คือศีล ๕ ที่พระพุทธเจ้าวางไว้ สำ หรับฆราวาสผู้มีภาระ กิจธุระ มาก เป็นผู้เสาะแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีพ เอาเพียงแค่นี้พอ ถ้ามี ศีล ๕ บริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้ว ปิดอบายภูมิ ไม่ตกนรก 287
ตามรอยเท้าโค เป็นเรื่องทางด้านจิตใจ เป็นแนวความคิดพระพุทธเจ้า ท่านเน้นหนัก เรื่องความคิดเป็นเรื่องใหญ่มาก ในหลักของ พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนแนวความคิดทางด้านจิตใจ เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากว่าคนคิดผิดเป็นมิจฉาทิฐิ ท่านว่ามีแต่ ไปทางทุคติ ถ้าผู้ใดก็ตามเป็นสัมมาทิฐิ ผู้นั้นย่อมไปสู่สุคติ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเน้นหนักเรื่องความคิดของใจ ท่านจึง เน้นหนักเรื่องใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำ เร็จ แล้วด้วยใจ ถ้าหากว่าใจของเรามีเหตุมีผล ถ้าคิดดี ผลคุณ งามความดีก็ตามไป แต่ถ้าเราคิดชั่ว ผลความชั่วก็จะตามไป เหมือนกับล้อเกวียนที่ต้องเดินตามรอยเท้าโค คือโคเป็นคน ลากเกวียนฉันใด เกวียนจะต้องตามรอยเท้าโคฉันนั้น อันนี้ก็ เหมือนกัน ใจเป็นคนลากกรรม ถ้าเราทำกรรมไม่ดี กรรมไม่ ดีก็จะตามใจเรา แต่ถ้าเราทำกรรมดี กรรมดีก็จะตามใจเรา ดวงนั้น 288
ทุกข์กับมันทำ�ไม ถ้าผู้ใดได้ปฏิบัติ ได้ศึกษาเรื่องของใจ เราก็จะ ใช้ร่างกายเท่าที่จะใช้ได้ เราจะไม่ทุกข์กับมัน เราใช้ได้ขนาด ไหน เราก็ใช้ขนาดนั้น ในเมื่อมันใช้ไม่ได้ เราก็รู้ว่าร่างกาย มันใช้ไม่ได้ มันทุพพลภาพแล้ว เราบังคับมันไม่ได้ เหมือน กับรถเบรกแตก ยางแตก ยางหลุด ถึงเราจะบังคับให้มัน เดินอย่างไรมันก็เดินไปไม่ได้ เพราะมันทุพพลภาพแล้ว ผู้ ศึกษา ธรรมจะรู้ได้ว่า กายกับใจอาศัยกันอยู่ แต่กายนั้นจะ ไหลไปสู่สภาพ แก่ เจ็บ ตายในที่สุด ใจอย่าไปทุกข์กับมันนะ 289 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
มั่งคั่งนานไม่ได้ ตระกูลอันมั่งคั่งไม่ตั้งอยู่ได้นาน เพราะสถาน ๔ อย่าง ๑. ไม่แสวงหาพัสดุที่หายแล้ว ๒. ไม่บูรณะพัสดุที่ครํ่าคร่า ๓. ไม่รู้จักประมาณในการบริโภคสมบัติ ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษผู้ทุศีลให้เป็นเจ้าของสมบัติ 290
กลิ้งครกขึ้นเขาก็ยอม คนโบราณท่านเปรียบเทียบการทำความชั่วว่าเหมือนกับนํ้า ไหลลงตํ่า แต่การทำ คุณงามความดีนั้นเหมือนกลิ้งครกขึ้น เขา กลิ้งครกขึ้นเขานี่มันมีแต่จะไหลทับตัวเองอยู่อย่างนั้น แต่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเรารู้แล้วว่าการกลิ้งครกขึ้นภูเขา เป็นคุณ งามความดี เป็นนิยาณิกธรรม ทำ ให้ใจของเราให้มีความสุข ร่มเย็น เป็นสุข เราต้องฝืน เราต้องสู้ 291 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
สติเป็นฐาน สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม กายก็คือการ เคลื่อนไหว เวลากำ หนดลมหายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ อันนี้ก็คือกาย เอาร่างกายเป็นผู้กำ หนดคือกรรมฐาน เอาลม หายใจเป็นกาย หลวงปู่มั่นท่านให้กำ หนดกาย คือ ให้กำ หนด ลมหายใจเข้า-พุท หายใจออก-โธ ให้มีสติสัมปชัญญะในลม หายใจเข้า-ออก อย่าไปเกร็ง อย่าไปแต่งลม ให้เป็นธรรมชาติ เวลาเราเดินก็ขาขวา-พุท ขาซ้าย-โท ให้มีสติสัมปชัญญะใน การก้าวเดินของเรา 292
ดูเรือนเขาให้ดูที่ฐาน ดูคนเขาให้ดูที่ศีล การที่จะเป็นคนดีหรือคนเลว ศีลเป็นเครื่องบ่งบอก ถ้าพวกเราอยู่ในศีลธรรมเป็นพื้นฐานของคุณงามความดี ศีลเหมือน กับเป็นพื้นฐาน เป็นรากฐานที่เราจะสร้างบ้าน สร้างเรือนขึ้นมาก็ ต้องมีฐาน ถ้าฐานมั่นคงแข็งแรง เราจะก่ออะไรขึ้นมามันก็แข็ง แรงไปด้วย เพราะฐานของเราแข็งแรงคือศีล อันนี้ก็เหมือนกัน กาย วาจาของเรา อยู่ในกรอบแล้ว อยู่ในศีลธรรมแล้วเป็นพระ ที่ดีแล้วหรือเป็นฆราวาสที่ดีแล้ว ทีนี้อยากจะภาวนาอย่างไร? อยากจะทำจิตให้สงบอย่างไร? เราก็พยายามทำต่อเติมขึ้นไปเรื่อยๆ ได้เพราะฐานของเราดีแล้ว 293 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
โชเฟอร์สอนโชเฟอร์ ใจของเรานี่คือโชเฟอร์ นี่แหละดูร่างกาย อย่าไปลุ่ม หลง มัวเมาว่าร่างกายนี่จะอยู่ชั่วฟ้าดินสลาย ไม่ใช่นะ ใจ นะ โชเฟอร์สอนโชเฟอร์ เตือนโชเฟอร์ แต่ก่อนที่จะเตือน โชเฟอร์อย่างเราได้ ก็ต้องมีผู้รู้อย่างพระพุทธเจ้า หรือพ่อ แม่ครูบาอาจารย์มาเตือนโชเฟอร์อย่างเรา โชเฟอร์คนอื่น มาเตือนโชเฟอร์อย่างเรา สมมุติว่าท่านเป็นรถบีเอ็ม รถ เบ็นซ์ หรือว่า รถโรสรอยส์ ท่านก็เตือน โชเฟอร์รถอีซูซุ รถ โตโยต้าเน้อ อย่าไปลุ่มหลงนะ อีกซักวันนึงนะ รถของเจ้า นะ จะต้องแตกสลาย บุบสลายในที่สุดนะ ไม่ว่ารถของท่าน ของเราก็เหมือนกันนั่นละ จะเป็นรถอะไรก็เถอะ ราคาแพง ขนาดไหนก็เถอะ อีกซักวันนึงต้อง บุบสลายแน่นอน เพราะรถมันเป็น อนิจจัง ของไม่เที่ยง สิ่งไหนไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งไหนเป็นทุกข์ สิ่ง นั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เน้อ โชเฟอร์เน้อ อย่าลุ่มหลงเน้อ อันนี้ท่านผู้รู้ท่านเตือนมา เราก็ฟัง ก็ พิจารณา 294
อย่างที่ท่านได้เตือนเอาไว้ มันก็จริงว่าร่างกาย สังขารมัน เป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายอย่าตั้งอยู่ ในความประมาท ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตาย แล้วไม่สูญ พิสูจน์ได้อย่างไร ให้เรานั่งภาวนา เมื่อภาวนา แล้วจิตใจรวมสงบเป็นหนึ่ง เราจะเห็นได้ชัดว่า ร่างกาย เหมือนขับรถจิตใจเหมือนกับคนขับรถ เมื่อแยกแยะได้ แล้ว ใจของเราไม่ให้หลงร่างกาย ให้รู้เท่ารู้ทัน สิ่งไหนเป็น อนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกขัง สิ่งไหนที่เป็นทุกขัง จะยึดมาเป็น ตัวตนได้อย่างไร จากนั้นก็พิจารณาถึงตัวผู้รู้ ก็คือใจ อย่า ไปหลงร่างกายนะ อย่าไปหลงใจนะ ความนึกคิดก็ไม่ให้ หลง มองดูใจของตนเอง มีสติสัมปชัญญะในความนึกคิด ของตนเองปล่อยวางกระทั่งใจ ไม่ให้ ยึดมั่นถือมั่นแม้กระทั่งใจ เพราะใจก็ เป็นอนิจจัง มันคิดนู่น คิดนี่อยู่ตลอด เวลา เดี่ยวคิดดี คิดชั่ว คิดรัก คิดหลง คิดเกลียด คิดชั่ง อยู่แบบนี้ทั้งวี่ทั้งวัน เพราะฉะนั้นต้องปล่อยวางกระทั่งใจ กระทั่งสิ่งในใจ ปล่อยวางทั้งหมด ทิ้ง ทั้งหมด 295 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อย่าเป็นพระขี้โลภ ให้รกโลก รกศาสนา พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านเน้นหนัก เรื่องอะไร? ท่านสอนเรื่องอะไร? ท่านให้ปล่อยวางเรื่อง อะไร? ท่านให้ภาวนาอย่างไร? ท่านทำ ให้จิตใจเบื่อหน่าย คลาย ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร? ยิ่งเรียนไปเท่าไหร่ก็ยิ่งไป เพิ่มลาภยศสรรเสริญ ยิ่งปิดหูปิดตาไปเรื่อยๆ หรืออย่าง พวกเราท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมะ พอมีญาติโยมเคารพ นับถือเลื่อมใสเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมกมุ่นกับลาภกับยศ มีเท่าไหร่ กอบโกย มีเท่าไหร่สะสมเอาไว้ จากนั้นก็ส่งจิตออกนอกของ ที่จะทำ ให้เสียหาย อย่างที่องค์หลวงตาท่านพูด โทรทัศน์ วีดีโอ โทรศัพท์ ในการใช้ไม่รู้จักประมาณตัว อย่างนี้เป็นต้น ที่ท่านเน้น สิ่งเหล่านี้ทำ ให้ศาสนามัวหมอง เศร้าหมองได้ เหมือนกัน เพราะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาส่งใจออกไป นอกเกินไป ไม่ได้ค้นคว้า ไม่ได้ศึกษาและไม่ได้ปฏิบัติ มีแต่ ศึกษาเฉยๆ มีแต่ดูแผนที่เฉยๆ ไม่ได้เดินตามแผนที่คือไม่ ได้ลงมือปฏิบัติ เผลอๆยังสงสัยในแผนที่นั้นอีก ดูถูกเหยียด หยามแผนที่นั้นอีก มีแต่เรียน มีแต่ศึกษา ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ผม ว่าจะเกิดความสงสัยขึ้นได้ง่ายมาก 296
หลวงพ่อจะเล่านิทานให้ฟัง มีครอบครัวหนึ่งได้ลูกชายอยู่ คนเดียว ต่อมาพ่อก็จากไป ต่อมาลูกชายก็ใหญ่ขึ้นมาทำ งานทั้งใน บ้าน นอกบ้าน กลับมาก็หุงหาอาหารเลี้ยงแม่ ออกไปก็ทำ ไร่ ทำ นา ทำสวน แม่ก็คิดว่าถ้าหากลูกชายมีภรรยาก็คงจะมาดูแลบ้าน ให้ ลูกชายไปทำ งานนอกบ้านก็สะดวกสบายขึ้น ก็ไปหาผู้หญิงมา แต่งงานกับลูกชาย แรกๆลูกสะใภ้นั้นก็ดี พอต่อมาๆ ตัวแม่ผัวกับ ลูกสะใภ้ก็เข้ากันไม่ค่อยได้ จับผิดแม่ผัว หาว่ากินมาก แล้วยังเอา อาหารให้หมูหมากาไก่กิน ธรรมดาที่ผู้เฒ่ามีเมตตา แต่ไม่ถูกใจกับ ลูกสะใภ้ขี้เหนียวไม่อยากจะแบ่ง คนใจกว้างกับขี้เหนียวมันเข้ากัน ไม่ได้ สามีก็เฉย จะทำอย่างไรดีละเนี่ย นี่ก็แม่เรา นั่นก็เมียเรา ผล ที่สุดภรรยาก็บอกว่าคุณจะเอาแม่หรือเอาฉัน ทางสามีก็คิดว่าแม่ ก็แก่แล้ว แฟนจะอยู่ด้วยกันนาน ก็ต้องเอาแฟนไว้ก่อน สามีก็เลยบอกว่า “ที่รัก แล้วจะให้ผมทำอย่างไร?” ทางภรรยาก็เสนอว่าให้เราพาแม่ยายเข้าไปในป่าทำ ทีเข้าไปเก็บผักหักฝืน แล้วก็มัดแม่ยายไว้ในป่า แล้วทิ้งเอาไว้ ให้เสือมากิน ทีนี้ก็ตกลงกันหาโอกาส ต่อมาเมื่อสบโอกาสก็ชวน แม่ไปเก็บผัก พอลูกชายลูกสะใภ้ชวน ผู้เฒ่าก็ยินดี พอเข้าไปป่า ลึกๆ เจตนาไม่ดีของลูกชายกับลูกสะใภ้ก็ปรากฎชัด ทั้งคู่เอาเชือก ที่เตรียมไว้แล้วมัดยายแก่ผูกติดกับต้นไม้ จากนั้นก็เอาผ้ามัดปาก ยายแก่ไว้ไม่ให้ร้อง พอเสร็จแล้วทั้งคู่ก็รีบหนีกลับบ้าน โดยทิ้งยาย แก่เอาไว้ในสภาพนั้นสองคนกลับมาบ้าน พอตกกลางคืน เสือก็ ออกหากิน พอเห็นคนก็กระโจนเข้ามาเพื่อจะจับกิน 298
รุกขเทวดาที่อยู่ต้นไม้แสดงตนให้ปรากฏ “หยุดก่อนเสือ ข้าต้องพิสูจน์ก่อนว่าคนคนนี้เป็นคนดีหรือไม่ ถ้าเป็นคนดีเธอกิน ไม่ได้นะ เพราะถ้าถ้าหากว่าเธอกินคนดี บาปกรรมติดภพติดชาติ ไม่ได้ผุดได้เกิดเชียวนะ เธอต้องหยุดก่อนรอให้ข้าพิสูจน์เสียก่อน ว่าคนๆนี้เป็นคนดีหรือไม่” รุกขเทวดาได้ขนนกมาก็แยงจมูก ทีนี้ ยายแก่ก็จามแล้วอุทาน พุธโธ ธัมโม สังโฆ เป็นคนธรรมะธัมโม นึกถึงแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แยงอีกก็ฮัดเช้ย... พุทโธ ธัมโม สังโฆ ผลที่สุดรุกขเทวดาบอกกับเสือว่า “เธอกินไม่ได้หรอก เห็นหรือไม่เวลาเขาจามแต่ละครั้ง เขายังนึกถึงพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ เขาเป็นคนที่มีคุณธรรม เธอไปกินไม่ได้นะ เพราะ ถ้าเจ้ากินคนอย่างนี้เข้าไป จะต้องเป็นบาปเป็นกรรมอีกนาน หยุด ไม่ต้องกิน” เสือก็เลยถอยหลังไป พอเสือไม่มากิน ทีนี้ยายแก่เห็น ว่ามันเงียบ คงเหนื่อยก็หลับไป พอสว่างตื่นขึ้นมา ก็เห็นแต่ไหใบ หนึ่งอยู่ปลายเท้า รุกขเทวดาสงสารยายแก่เป็นคนมีคุณธรรม ควร จะให้เอาทองคำ ที่อยู่ในไหเป็นรางวัลให้ ยายแก่ก็ยกมือท่วมหัว สาธุ ได้ไหทองคำ เดินออกมา ข้าไม่ไปหาลูกชายลูกสะใภ้หรอก เดี๋ยวมันก็ ฆ่าเราอีก ออกจากดงไปไกลที่สุด เอาทองไปขายเพื่อเอาเงินมาสร้าง บ้าน สะดวกสบายแล้วทีนี้ ทีนี้ลูกสะใภ้ลูกชายก็คอยฟัง ข่าวคิดว่าคง ตายไปแล้ว ผลที่สุดก็ได้ยินว่ายายแก่คนหนึ่งลูกชาย ลูกสะใภ้เอาไป ผูกให้เสือกิน ยายก็ได้ไหทองออกมาจากป่า เอามาขายซื้อบ้าน 299 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ลูกสะใภ้ก็สงสัยว่าไปสืบเสาะว่าเป็นแม่ยายของเราจริง หรือไม่? พอไปเห็นก็เป็นจริง เราเอาไปให้เสือกินแต่กลับมารํ่า รวย ทีนี้พอกลับมาบ้านฝ่ายภรรยาก็บอกสามีว่าต้นไม้นั้นคงจะ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ขนาดเราเอายายแก่ไปมัดยังรํ่ารวย “ให้เอา ฉันไปมัดใส่ต้นไม้บ้าง ฉันอยากรวยเหมือนแม่ผัว” พอมัดเมีย แล้วตกเย็นเสือก็มาอีก รุกขเทวดาก็ห้ามไว้อีก “หยุดเสือ ให้ ข้าทดสอบดูเสียก่อนว่าคนๆนี้มีคุณธรรมหรือไม่?” ก็เลยเอาขน นกแยงจมูก ลูกสะใภ้ก็ฮัดเช้ย... ไหทองอยู่ไหน แยงจมูกอีกทีก็ฮัดเช้ย... ไหทองอยู่ไหน เพราะในใจคิดถึงแต่ไหทอง เพราะแม่ผัวได้ไหทอง รุกขเทวดาเห็นว่า อันนี้คนโลภ คนไม่มีคุณธรรม คิดฆ่าคนอื่น ก็เพราะความโลภ มามัดต้นไม้ขนาดนี้ก็ด้วยความโลภ อยากจะ ได้ไหทอง รุกขเทวดาก็บอกให้เสือกินได้ พอกินเสร็จแล้วสามีอยู่ ในบ้านสงสัยว่า ทำ ไมแฟนของเราไม่แบกไหทองกลับมาบ้านสักที พอไปดูเห็นแต่โครงกระดูก หนุ่มคนนี้ก็เสียทั้งเมียทั้งแม่ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไปโลภ เพราะฉะนั้นพวกเรา ท่านทั้งหลายทำดี แล้วความดีนั้นแลจะคุ้มครอง 300