301 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
สำ�ทับเข้าไป อย่าให้มันปรุงมันฟุ้ง ใจของเราก็อย่าให้มันปรุงฟุ้งออกไป กำ หนด กรรมฐานไหนก็สำ ทับเข้าไป อย่าให้มันปรุงฟุ้งออกไป ถ้าจะ ยึดพุทโธ ก็ยึดให้มันแน่น อย่าให้มันเผลอ สติสัมปชัญญะ เป็นสิ่งที่จำ เป็นสำ คัญอย่างยิ่ง ในการภาวนา ไม่ว่าขั้น ต้น ท่ามกลาง หรือขั้นปลาย ยิ่งจิตใจละเอียดเข้าไป แล้ว ระดับมหาสติมหาปัญญาด้วยแล้ว ยิ่งมีความจำ เป็น อย่างมาก จนกว่าจิตใจจะถอดถอนอาสวะกิเลส เมื่อนั้น แหละจึงถอยทัพเครื่องมือของตนเองได้ แต่ขณะที่เราต่อสู้ ตะลุมบอนอยู่นี้ สติปัญญาของเรานี้ให้เผลอไม่ได้ เพราะ ฉะนั้น ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนา 303คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อิทธิบาท ๔ อิทธิบาท คือ เครื่องให้สำ เร็จความประสงค์ ๔ อย่าง ฉันทะ ความพอใจในการที่จะศึกษาเรื่องนั้นๆ ในการ ทำ งานนั้นๆ วิริยะ ให้มีความเพียรประกอบ ความเพียรพยายาม ในการประกอบในกิจการนั้นๆ จิตตะ เอาใจ ฝักใฝ่ เอาใจใส่งานจนสำ เร็จ วิมังสา ไตร่ตรองเหตุและผล ในเรื่องนั้นๆ นี่แหละ ถ้าไม่เหลือวิสัยนี่สำ เร็จทุกอย่าง อิทธบาท ๔ คือ เครื่องให้สำ เร็จความประสงค์ ๔ อย่าง ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ธรรม ๔ ประการนี้อยู่กับผู้ใด ผู้นั้นก็จะสำ เร็จสม ความมุ่งมั่น ปรารถนา ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัยจริงๆ ที่มัน เหลือวิสัยจริงๆก็มีอยู่ แต่ถ้ามันอยู่ในวิสัยที่คนทั้งหลาย ทำ ได้ เราก็ต้องทำ ได้ 304
หลงโลกสมมุติ เมื่อจิตใจรวมสงบนิ่ง เราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า ร่างกายกับใจเป็นคนละส่วนกัน คนละอันกัน คนละอย่าง กัน แต่กายกับใจมันอาศัยกันอยู่ ใจคือตัวผู้รู้ แต่ร่างกาย คือที่เราเห็นกันอยู่ นี่แหละคือร่างกาย ส่วนจิตใจเรามอง ไม่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่มีความรู้สึกนึกคิดว่ามีใจ ทุกวันนี้เขา เรียกว่า สมอง จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าคนที่มาใช้สมอง นี่เป็นใครล่ะ? อันนี้ทางวิทยาศาสตร์เขามองไม่เห็น แต่ทาง พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ท่านว่าใจมาใช้สมอง สมอง เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่คนที่มาใช้สมองคือใจ เมื่อเรา นั่งภาวนาจิตใจสงบดีแล้ว เราจะเห็นคนที่มาใช้คอมพิวเตอร์ อยู่ที่สมองของเรา สั่งการร่างกายของเรา อย่างที่หลวงพ่อ กำลังพูดอยู่ตอนนี้ ก็คือใจที่สั่งให้สมองพูดออกมา นี่แหละ คือหลักของพุทธศาสนา เมื่อภาวนาจิตใจสงบดีแล้ว เราจะรู้ ได้เองว่า ร่างกายเหมือนกับรถ ส่วนจิตใจเหมือนคนขับรถ 305 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
เช่าบ้านเขาอยู่ อย่าโกงสัญญาเช่า ในเมื่อเราเกิดมาแล้ว เราก็ต้องประคับประคอง ร่างกายมันไป ดูแลมันไป เลี้ยงดูมันไป มันก็จะไม่หลง ร่างกายตนเอง เมื่อไม่หลงร่างกายแล้ว ก็จะไม่หลง สิ่งภายนอกที่มันเกี่ยวเนื่องกับร่างกายนี้ไปด้วย อย่างทรัพย์ สมบัติต่างๆ ยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ชื่อเสียงต่างๆ เมื่อเรา เห็นร่างกายเราชัดเจนแล้ว สิ่งภายนอกก็จะชัดเจนไปด้วย ล่ะทีนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราเห็นร่างกายเป็นอสุภะ แล้วเราจะมา นั่งอ้วกทั้งวัน อย่างนั้นก็ไม่ใช่นะ เมื่อเห็นแล้วก็รู้ว่าเราอาศัย มันอยู่เท่านั้น แต่เราไม่ไปยึดมัน หลงมัน เพราะถ้าเมื่อไม่ไปหลงซะก่อน มันก็จะไม่ไปโลภ ไม่ ไปโกรธ ไม่ไปรัก ถ้าไม่หลงราคะมันก็ไม่เกิด ที่มันเกิดราคะ ขึ้นมาเพราะหลงมาก่อนนี่แหละ ตัวหลงเป็นตัวอวิชชา เป็น ปัจจัยให้เกิดกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เพราะฉะนั้นเวลาเรา พิจารณา เมื่อมันไม่หลง มันรู้..พอมันรู้แล้วเนี่ย ความหลง ทั้งหลายทั้งปวงมันก็หมดไป 306
จังซี้มันต้องฝืน การทำความชั่วนี่ เราก็ควรจะเบรก ไม่ควรจะคิด ไม่ ควรจะพูด ไม่ควรจะทำ แต่คุณงามความดีทั้งหลาย ที่เรา ได้ศึกษา ว่านี่คือแนวทาง เป็นนิยาณิกธรรม หรือว่าเป็น หนทางที่จะนำ ไปสู่ความสุข ทั้งทางโลกและทางธรรม ตามแนวแถวที่พระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กำ หนดไว้ ตรัสเอาไว้ ในหลักพระธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า ถึงเราไม่ อยากจะทำ แต่เราก็ต้องฝืนใจตัวเองให้ทำ 307 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ไม่เหยียบหนาม ไม่มีใครที่จะรู้ตัวของเรายิ่งกว่าเราเอง เพราะฉะนั้น ในภาคปฏิบัติอย่าไปดูที่อื่นนะ ให้ดูที่ใจของเราเป็นหลัก จากนั้นก็ดูที่พระพุทธเจ้า ดูที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ว่าท่าน ประพฤติปฏิบัติมาอย่างไร เราก็เดินตามแนวแถวนั้น ไม่ เหยียบหนาม ไม่เหยียบหลัก-เหยียบตอ ไม่ชนโขน-ชนหิน ถึงอย่างไรก็เอาตัวรอดได้ ผลที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง คือ มรรคผลนิพพาน ดวงตาเห็นธรรมในที่สุด 308
สังขารมันเที่ยงที่ตรงไหน สมาธิ คือ ทำจิตให้สงบเป็นหนึ่ง ส่วนวิปัสสนา คือ การแยกแยะ ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ร่างกายของเรามี อะไรบ้าง? เกศา-ผม โลมา-ขน นขา-เล็บ ทันตา-ฟัน ตะโจหนัง ที่หนังหุ้มอยู่นี่ เป็นของสวยงาม ที่มีสาระมีประโยชน์ ที่ไม่ล้มหายตาย ไม่แก่ ไม่เฒ่าใช่หรือไม่? มันคงไม่เป็นอย่าง นั้น มันก็ต้องแก่ไปตามสภาพ 309 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ศีลดึกดำ�บรรพ์ ศีล ๕ ของพระพุทธศาสนาเป็น ศีลมีมาตั้งแต่ ดึกดำ บรรพ์ เป็นศีลที่มีมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรง อุบัติขึ้นมาในโลก ถ้าเราศึกษาในพระไตรปิฏก ในสมัยที่ พระพุทธเจ้าได้เคยเสวยพระชาติเป็นสัตว์ต่างๆ พระพุทธ องค์ทรงตรัสว่าพระองค์ได้รักษาศีล ๕ รักษาศีลอุโบสถ เป็นพื้นฐาน สมัยเป็นพระเวสสันดร พระองค์ก็รักษาศีล อุโบสถอยู่ในป่า ตอนเป็นฤาษีชีไพร รักษาศีล ๕ ก็มี รักษา ศีลอุโบสถก็มี เมื่อสมัยยังทรงเสวยพระชาติเป็นพระเจ้า แผ่นดิน พระองค์ก็ทรงรักษาศีล ๕ เป็นพื้นฐาน สรุปแล้ว ก็คือ ศีล ๕ เป็นศีลคุ้มครองโลกมาอยู่แล้วตั้งแต่ดึกดำ บรรพ์ ไม่ใช่เป็นศีลที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วเลยพึ่งมาบัญญัติ อัน นั้นไม่ใช่ พระพุทธองค์ได้นำศีล ๕ ศีลคุ้มครองโลกที่มีมาแต่ ดึกดำ บรรพ์ มาบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนา 310
ดีไม่ได้ก็ไม่ควรอยู่ๆแล้วศาสนาเสียหาย การที่จะจำ พรรษาที่วัดแห่งนี้ ให้พระทุกองค์สำ รวม ระวัง กาย วาจา ใจของเรา ทุกคนให้สำ รวมระวัง อย่าให้ มีเรื่อง อย่าไปพูด อย่าไปคุย อย่าไปมั่วสุมกันเกินไป อย่า เอานํ้าร้อนไปกิน อย่าเอาโกโก้ กาแฟไปมั่วสุมกินกัน ถ้า พระองค์ไหนเห็นพระเก่าเป็นแบบนั้นให้บอกเรานะ เราจะ เน้นหนักพระเก่าเป็นพิเศษ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ถ้าหากว่า พระเก่าไม่ดี แล้วจะสอนพระใหม่ให้ได้ดีอย่างไร? ในเมื่อ มันเละตุ้มเปะไปหมด สอนพระเก่าให้เป็นตัวอย่าง แต่ พระเก่าไม่เป็นตัวอย่าง มีแต่ทำ ให้เสียหาย แล้วเวลาสอน พระใหม่ จะสอนให้ดีได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น ต้องดูพระ เก่าที่เป็นรุ่นพี่ ถ้ารุ่นพี่ทำ เรื่องอย่างนั้น ต้องจัดการรุ่นพี่ให้ ออกไปจากวัดก่อน มันทำ ไม ถ้าสอนให้เป็นพระที่ดี แล้ว มันยังดีไม่ได้ มันไม่ควรจะอยู่ทีนี่ 311 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
สติควบคุมจิต เรื่องสติเป็นเรื่องที่จำ เป็นสำคัญอย่างยิ่งสำ หรับผู้ฝึกหัด สมาธิยิ่งไม่ว่าระดับไหน เบื้องต้นยิ่งจำ เป็นสำคัญอย่างยิ่ง ถ้า ต่อไป ก็ยิ่งเขม็งเกลียวต่อไปเรื่อยๆจนถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา อย่างที่องค์หลวงตามหาบัวได้พูดเอาไว้ว่า แปลว่า สติปัญญา ไม่เผลอ สติปัญญาโดยอัตโนมัติ ถ้าเราฝึกได้แล้ว เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราทุกๆท่าน พยายามให้มีสติ อย่าไปส่งจิต ส่งใจ ออกไปข้างนอก ตั้งแต่เราเกิดมานี่ เรามัวแต่ส่งจิต ส่งใจออก ไปข้างนอกมันได้อะไร? มันมีแต่ทุกข์ สมุทัย-เหตุให้เกิดทุกข์ เข้าทับถมสู่จิตใจเรานั่นแหละ มันไม่เกิดประโยชน์ เรามาฝึก เราควรเอาสติกำ หนดดูใจของเรา ส่วนอื่นทิ้งไว้ก่อน อย่านำ มา คิดในขณะที่เราอยู่ที่นี่ เราจะเอาสติอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด นี่ แหละคือความถูกต้อง 312
ถ้าเราไม่มีเมตตา เขาก็ไม่มีเมตตา ต่างคนต่างใช้ทิฐิมานะ ใช้ความโลภ ความโกรธ ความหลงเข้าหากัน ต่างคนก็ต่างบรรลัย ไปทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีใครแพ้ใครชนะ แต่ถ้าหากมีการให้อภัยกัน คน หนึ่งไม่สู้ซะ อีกคนหนึ่งผูกพยาบาทอาฆาตแต่เพียงฝ่ายเดียว ผล ที่สุดคนที่ผูกพยาบาทอาฆาตมีแต่ตกนรกหมกไหม้ แต่คนที่ไม่ผูก พยาบาทอาฆาต มีแต่หลบหลีก แต่ถ้าหลบหลีกไม่พ้นก็โดดเข้าไป ถึงอย่างไรจะโดดเข้าไปก็ให้อภัย ไม่พยาบาทอาฆาต นี่ล่ะบัณฑิต นักปราชญ์เป็นอย่างนั้น เช่นที่พระพุทธองค์เคยตรัสเล่าว่า สมัยหนึ่งเราขายเครื่อง ประดับ เทวทัตก็ขายเครื่องประดับเหมือนกัน เป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ว่านิสัยเทวทัตขี้โกง ไม่พูดความจริง พอที่จะหักหลัง เอารัดเอา เปรียบกันได้ คดโกงกัน นิสัยของพระพุทธเจ้าซื่อสัตย์สุจริต มีอะไร ก็พูดตามตรง ทำ ไปทำ มาค้าขายแต่ไปด้วยกัน รู้จักนิสัยกัน เป็น พ่อค้าขายเครื่องประดับให้เด็กชาวบ้านราคาถูกๆ แต่นี้ก็เดินไปถึง แม่นํ้า พอไปถึงแล้วพระเทวทัตขึ้นไปทางเหนือนํ้า พระพุทธเจ้าลง ไปใต้นํ้า เป็นหมู่บ้านใหญ่ หมู่บ้านเดียวกัน แต่พระเทวทัตเดินไป เจอบ้านเศรษฐีเก่า แต่ตกทุกข์ได้ยาก มีถาดทองคำ ใบหนึ่งอยู่ใน บ้านเขา แต่มันเข้ายางปลีดำ หมดแล้ว เพราะไม่ได้ขัดมัน ทีนี้เทว ทัตได้เครื่องประดับใส่กระเป๋าไป มียายมาเห็นก็ว่าพ่อค้าที่ไหน เอาเครื่องประดับมาดูสิ พวกหลานๆก็รุมกัน 314
มาถึงก็รุม คนหนึ่งอยากจะได้แหวน อีกคนก็อยากจะได้สร้อย ทาง ยายก็ถามว่า “ฉันมีถาดอยู่อันหนึ่ง ถ้าเอามาเปลี่ยน จะได้กี่อัน?” “เอามาดูสิ” ยายเอาถาดที่เข้ายางปลีดำ ปี๋ มาให้พ่อค้าดู พ่อค้ายกถาดขึ้นมานึกในใจว่าทองคำ ก็เลยบอกกับยายว่า “จะให้ผมเปลี่ยนเท่าไร? ถาดใบนี้มันไม่มีราคาหรอก จะเปลี่ยนได้ ก็เพียง ๒-๓ เส้นเท่านั้นเอง” ความขี้โกงก็เกิดขึ้น ยายก็ว่า “หลานของฉันมีตั้ง ๕ คน จะให้เส้นสองเส้นไม่ ได้หรอก มันไม่ครบกัน เดี๋ยวมันจะต่อยตีกันอีก” พ่อค้าขี้โกงก็ว่า “ไม่ได้หรอก ถาดใบนี้มันไม่กี่เงิน” “ถ้าไม่ได้ ยายก็ไม่เอาหรอก เพราะหลานๆ มันจะทะเลาะ กัน ไม่เปลี่ยนแล้วนะ” พ่อค้าก็เลยเอาของเข้ากระเป๋า แต่นี้พ่อค้าพระพุทธเจ้าไปขายของก็ไม่ได้เดินมาเรื่อยๆ มาเจอบ้านหลังนั้นอีก ยายก็ถามว่า “จะเปลี่ยนของหรือไม่?” ยายก็เอาถาดมาให้อีก “พ่อค้าคนก่อนบอกว่าถาดใบนี้ไม่มีราคา เขาเลยไม่เปลี่ยนให้ ถ้าเปลี่ยนก็ได้เพียง ๑-๒ เส้นเท่านั้นเอง” พ่อค้าพระพุทธเจ้าก็จับมาดูเป็นทองคำ ก็เห็นรอยขีดที่ พระเทวทัตขีดไว้ มันจะโกงเขา พอคิดก็ถามว่า “ยายจะเอาเท่าไร?” “เอาให้ครบหลาน เขาจะได้ไม่ทะเลาะกัน ให้เลือกเอาตาม ต้องการ ได้เท่าไรก็เท่านั้น” 315 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
พ่อค้าพระพุทธเจ้าว่า “ถาดใบนี้กับของในกระเป๋าของผม มันเทียบกันไม่ติดเลยนะ ยายจะเอาทั้งกระเป๋าเลยก็ได้” พ่อค้าก็ เทของกระเป๋าให้ทั้งหมด ทีนี้พอได้ถาดทองคำ มาก็รีบเดินทางไป ขึ้นเรือ พอไปถึงฝั่งพ่อค้าเทวทัตก็กลับมาจริงๆ ยายบอกว่า “มี พ่อค้ามาเอาไปเมื่อกี้ เขาไม่ได้ให้ ๒-๓ เส้น แต่ให้ทั้งเป้” พ่อค้าคน นี้ก็โกรธอย่างหนักเลย อันนี้หักหลังกันชัดๆ ก็วิ่งตาม เพื่อนที่เป็น พระพุทธเจ้าก็ข้ามฝั่งแล้ว ก็ตะโกนเรียกหา “เพื่อนทำ ไมหักหลังกันขนาดนี้?” “หักหลังได้อย่างไร? คุณไม่เอา ผมก็เอาล่ะสิ ผมเห็นว่ามัน เป็นถาดทองคำ” “เราตัดญาติขาดมิตร เป็นอริศัตรูกัน ผูกอาฆาตพยาบาท ตั้งแต่บัดนี้ต่อไป” แล้วก็นั่งลงกำ ทรายมา ๒ กำ มือ เกิดมาชาติ ใด ภพใด ให้ผูกอาฆาตพยาบาทจองเวรกันขนาดทราย ๒ กำ มือ นี้ เอาทรายกำ หนึ่งกระแทกเอาหน้าอก อาเจียนเป็นเลือดพุ่งออก จากปาก พ่อค้าก็ตาย เป็นครั้งแรกที่พระเทวทัตกับพระพุทธเจ้า อาฆาตจองล้างจองผลาญกัน ต่อมาเกิดมาชาติไหน พระเทวทัตจองล้างจองผลาญ พระพุทธเจ้าก็หนีลูกเดียว บางที่หลายภพหลายชาติเหมือนกันที่ เทวทัตฆ่าได้ 316
มาในชาตินี้พระพุทธเจ้าก็บวชให้เทวทัต พระเทวทัตก็ไม่ใช่ ธรรมดา กลิ้งหินหมายจะฆ่าพระพุทธเจ้า จ้างนายขมังธนูไปยิง พระพุทธเจ้า ปล่อยช้างนาฬาคิรีไปเหยียบบดขยี้พระพุทธเจ้าอีก มี หลายเรื่องนะ แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้เมตตา อย่างที่ว่าเมตตาธรรมค้าํ จุนโลก ทำ ไม่ถูก ทำ ไม่ถึง เพราะไม่ตบมือสองข้าง มีแต่หลบ ถ้า เราไปตบคืนมันก็ดังเปี๊ยะ ไม่ฝ่ายใดก็ต้องฝ่ายหนึ่งต้องยอมแพ้ ซะ อย่างที่หลวงตาเขียนเป็นกลอนขึ้นบทหนึ่ง การเสียเปรียบคน นั้นแลคือ เมตตา 317 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อริยสัจ ๔ ถ้าให้พิจารณาแบบง่ายๆ หรือมองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมา ทุกข์เป็นเครื่องกำ หนดรู้ สมุทัยเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่จะมาสู่ใจ เหตุ ที่ให้เกิดทุกข์ มันทุกข์เพราะอะไร? ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมุติ ว่าเรามีร่างกาย เราปวดฝ่าเท้า แต่พอเราดูเห็นว่ามันเป็นหนาม ตำ เข้ามาในฝ่าเท้า หนามในฝ่าเท้า เราเปรียบเทียบได้ว่าเป็น กามตัณหา ภาวะตัณหา วิภาวะตัณหา หนาม ๓ เล่มนี้มันตำอยู่ใน ฝ่าเท้าของเรา ทีนี้เราจะทำอย่างไร? เราก็ต้องหาวิธี หาเข็มที่จะบ่ม หนามออก อันนี้คือมรรค หาวิธีที่จะบ่มเอาหนามออกให้ได้ ใน เมื่อเอาหนามมออกได้แล้ว นิโรธ คือความดับทุกข์ กายกับใจของ เราก็สบายเพราะ หนามมันออกจากร่างแล้ว อันนี้คือตัวอย่าง ง่ายๆของอริยสัจ ๔ ที่เป็นธรรมอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา 319 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ซักวันข้าจะต้องทิ้งทั้งหมด ให้พวกเราท่านทั้งหลายคิดอยู่เสมอว่า.....ถึงข้าจะรับผิด ชอบขนาดไหนก็ตาม อีกซักวันหนึ่งข้าจะต้องทิ้งทั้งหมด ต้อง คิดทิ้งทวนอย่างนั้นเอาไว้ ถึงข้าจะเกลียด จะรัก จะพอใจ ไม่ พอใจขนาดไหน อีกซักวันหนึ่งข้าจะต้องตาย จะต้องหนีจาก ของเขา อันนี้จะต้องคิดเอาไว้ในใจ เป็นภาษาใจของตัวเราเอง แต่ภาษาข้างนอกนี่เราต้องรับผิดชอบหน้าที่ การงาน เราอยู่ ในหน้าที่ไหน สถานะไหน ที่เราต้องรับผิดชอบอย่าให้ขาดตก บกพร่อง แต่ว่าในใจส่วนลึกแล้ว ถึงจะรับผิดชอบขนาดไหนก็ เถอะ ทำ หน้าที่ดีขนาดไหนก็เถอะ แต่อีกซักวันเราก็ต้องวางมือ แบมือ เหมือนขนาดนํ้าที่เขาเอามาราดมือ ยังไม่อยู่ในมือซัก หยด มันยังไหลออกหมด เราต้องคิดแบบนั้น 320
อย่าให่้ขันมันแตก ความอดทน มันมี มากหลากหลาย เวลาใคร ก็ตามพูดกระทบกระแทก กระทั่งเรา เราก็ต้องมีขันติ ทนต่อความร้อน ความ หนาว ความหิว ความ กระหาย ต่อหน้าที่การ งาน ทนต่อการเสียดสี ทน ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่มา กระทบจิตใจของเรา เรา ต้องอดทน ต้องมีขันติ ถ้า คนเรามีขันติแล้วจะไม่ออก นอกลู่ นอกทางจนเกินไป ก็ยังมีขันติรั้งเอาไว้อยู่ 321 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ยาแก้โรคว้าเหว่ ซึมเศร้า ถ้าหากว่าเราไม่ได้ภาวนา ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น มัน จะเป็นทุกข์เข้าสู่จิต เข้าสู่ใจของเรา เพราะเรายังไม่รู้จัก ปล่อย ไม่รู้จักวาง แต่ถ้าหากว่าเราได้ภาวนา ได้กำ หนด หรือ ได้พิจารณาอย่างที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ได้บอกไว้แล้ว จิตใจ ของเราจะไม่หว้าเหว่อ้างว้าง เงียบเหงา ซึมเศร้า เพราะเหตุ ใด? เพราะเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ถ้าหากพวกเราไม่ได้ฝึกหัด เรื่องจิตตภาวนา ภายภาคหน้าเมื่อแก่เฒ่าชราแล้ว พวกเราจะ เป็นทุกข์ เพราะว่าเราไม่เคยคิดว่าเราจะมีวันเป็นอย่างนั้น ถ้า เราเปรียบเทียบ ปู่ย่าตายายของพวกเรา ท่านทั้งหลายก็ได้ เห็นอยู่แล้วนี่ว่าร่างกายมันเป็นอย่างไร? 322
ในการภาวนา..ตั้งสติให้เข้มแข็ง เวลานั่งภาวนาก็เหมือนกัน หายใจเข้า-พุท หายใจ ออก-โธ พุทโธๆๆ แต่บางคนที่ฝึกใหม่ หรีอ ฝึกเก่าก็เถอะ บางทีสติของเรายังอ่อน ไม่เข็มแข็ง มันก็เผลอไผลไปทาง อื่น บางทีไม่รู้ตัวว่ามันคิดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนปวดแข็ง ปวดขา จึงมารู้ว่าอีกทีว่าใจของเราออกไปคิดเรื่องอะไรก็ ไม่รู้ อย่างนี้ก็มี เพราะฉะนั้นพวกเราให้ตั้งสติ ให้เข้มแข็ง ใน การนั่ง กำ หนดลมหายใจ ให้เข็มแข็ง ตั้งใจในการภาวนา แต่อย่าไปเกร็ง แต่สติของเราให้เข็มแข็ง กำ หนดลมหายใจ เข้า-ออก ถ้ามันยังหลุดออกไปอีก ให้บริกรรม พุทโธๆๆ ให้ ถี่ สำ ทับอยู่ที่ตัวผู้รู้ ตัวนึกตัวคิดนั่น ให้อยุ่พุทโธกับตรงนั้น อย่าให้ไปอยู่กับตรงอื่น ให้จิตบริกรรมพุทโธๆๆ อยู่ที่ตัวผู้รู้ อยู่อย่างนั้น จนไม่มีช่องว่างเลย จากนั้นจิตใจมันไม่ปรุงไป ในทางอื่น นานๆเข้ามันก็รวมได้ 323 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ความรู้มาจากความไม่รู้ เรื่องทั้งหลายทั้งปวงออกมาจากใจทั้งหมด ใจตัวนั้น ก็คือ ตัวผู้รู้ ตัวนามธรรม ตัวนี้แหละที่เป็นตัวการใหญ่ในหลัก พระพุทธศาสนา พ่อแม่ครูบาอาจารย์ถึงให้มองไปถึงจุดนั้น จุดตัวผู้รู้ ตัวนึกคิด ตัวนามธรรมจุดนั้น เรื่องทั้งหลายทั้งปวง ออกมาจากจุดนั้นทั้งหมด ตัวนั้นเป็นตัวการใหญ่ วิชชาก็อยู่ใน นั้น อวิชชาก็อยู่ในนั้น กิเลสก็อยู่ในนั้น ผู้รู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงก็อยู่ ในนั้น มันเป็น เหตุแห่ง ทุกข์ ส รุ ป แล้วมัน ออกไปจาก ใจเราทั้งหมด อ ย่ า ง ที่ อ ง ค์ หลวงตาม ห า บั ว ท่านได้ กล่าวไว้ว่า มี ต่อมผู้ รู้ อ ยู่ ที่ ใด นั้นแลคือตัว ภพ ตัวชาติ 324
พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านก็เลยให้ย่นเข้ามาหาตัวผู้รู้ คือใจ เหมือนกับเราท่านทั้งหลาย แต่ก่อนเราไม่รู้ ก ไก่..ข ไข่ พอเราเรียนรู้ ก ไก่..ข ไข่ แล้ว บัดนี้ความรู้ขึ้นมาแล้ว ตัว ความไม่รู้มันหายไปไหน มันก็หายไปอยู่ในนั้น สำ หรับฆราวาส ญาติโยม ขณะที่เรายังต้องอยู่กับทางโลกข้างนอก อาหารทาง กายเราให้มี อาหารทางใจเราก็อย่าให้ขาด เราต้องแบ่งแยกให้ ออกว่า การเป็นอยู่ดำ รงชีวิต เราต้องทำอย่างไร และทางด้าน จิตใจนั้น เราต้องคิดอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสรู้แจ้งขึ้นที่ภายในใจของพระองค์เอง ว่าขนาดร่างกายเรา ยังไม่ใช่ของเราเลย แล้วอย่างอื่นจะเป็นของๆเราได้อย่างไร? สามี-ภรรยา ญาติพี่น้อง เงินทอง ทรัพย์สมบัติ อย่างอื่นเป็น แค่ของใช้ชั่วคราวเท่านั้นเอง สักวันพอถึงจุดนั้น เราต้องปล่อย วางทั้งหมด แต่เมื่อขณะเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องดำ เนินไปตาม ธาตุขันธ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เรารู้ในใจว่าเราแค่อาศัยมันอยู่ แต่เราไม่ ยึดถือเป็นเจ้าของมัน ไม่หลงไปกับมัน 325 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
บวชเพื่อปฏิบัติ ไม่ใช่มาหาอยู่หากิน พวกเรามาอยู่ที่นี่ กิจวัตรข้อวัตรเรื่องตักนํ้าขนนํ้าไม่มี มีแต่เรื่องปัดกวาดศาลา ดูแล้วไม่หนักหนา ถ้าหากว่าพวก ท่านยังประพฤติให้ย่อหย่อน ยังทำตนให้ดีไม่ได้ในขณะนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกท่านจะอยู่ในศาสนา เพื่อดำ รง ทรงศาสนาไปด้วยดีได้อย่างไร เพราะกิจวัตรข้อวัตรขนาด นี้ พวกท่านทั้งหลายยังอ่อนแอ ปวกเปียก ลองคิดดูถึงชีวิต ฆราวาส ญาติโยมเขาสิ เขาหาเลี้ยงชีพเขาลำ บากขนาดไหน พวกเราทั้งหลายที่ผ่านชีวิตฆราวาสมาแล้ว คงรู้ว่าการดำ รง ทรงฆราวาสนั้นเป็นอย่างไร? แต่พวกเรามาอยู่ในศาสนา จะมานอนอยู่ นอนกิน นอนจม นอนใจ มาแสวงหาความ สุข เลี้ยงร่างกายตนเอง เพียงแค่นี้หรือ? ถ้าคิดเพียงเลี้ยง ร่างกายเท่านั้น เลี้ยงเท่าไหร่ก็ไม่หนุ่มไปได้หรอก มีแต่จะ แก่ แล้วก็ถึงจุดจบคือความตาย ไม่มีทางที่จะเลี้ยงให้หนุ่ม สวยงามไปข้างหน้าได้ พวกท่านต้องได้คิด หลักของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าอย่างไร? ท่านสอนเรื่องจิตภาวนา เป็นสิ่งที่จำ เป็นสำ คัญในการบวชของเรา เราอยู่ป่า เพื่อ ปฏิบัติ เพื่อบำ เพ็ญสมาธิ ภาวนา ศีล สมาธิ ปัญญา 327 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ลองดูแล้วกัน ที่พระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนว่าให้มีสติ นะ ให้อยู่กับตัวเองนะ ให้ใจอยู่กับตัวเองให้มากนะ เรา พิจารณาดูแล้ว เห็นคุณค่าจริงๆ ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่ง สอน ถึงเรายังทำ ไม่ได้ แต่เราก็ต้องพยายามทำ พยายาม กำ หนดลมหายใจ เข้า-ออก พยายามให้มีสติสัมปชัญญะ ถ้า ทำอย่างนั้นได้แล้ว อันนี้ประเสริฐตามแนวแถวของพุทธะ 328
สติปัฏฐาน อย่างสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม กำ หนด กายอย่างไร ร่างกายนี้มีอะไรบ้าง? พิจารณาแยกแยะ แบบ แยกส่วน แบ่งส่วนดูว่า ร่างกายมีอะไร? ตั้งแต่ศีรษะจนถึง ฝ่าเท้า ล้วนแล้วแต่เป็นของอสุภะ ปฏิกูล มีเนื้อหนัง เอ็น กระดูก ข้างในก็มีแต่ อุจจาระ ปัสสาวะ มีนํ้าเลือด นํ้าหนอง อะไรเต็มไปหมด อันนี้คือร่างกาย กำ หนดลมหายใจ เข้าออก ก็เหมือนพิจารณากายเหมือนกันนะ กำ หนดรู้กาย ว่าลมเป็นอะไร? ก็เป็นกาย กรรมฐานยุบหนอ-พองหนอ นั่นก็คือกาย กำ หนดลมเข้าไปถึงสะดืออะไรอย่างนั้น ก็คือ กาย นักปฏิบัติ นักศึกษาที่ได้ศึกษารอบรู้แล้วนั้น ถึงใคร จะพูดในลักษณะไหนก็ตามก็เข้าข่ายสติปัฏฐาน ๔ ตลอด แต่ถ้าหากผู้ศึกษาน้อยจะมองไปแค่มุมเดียวหรือมองไปใน แง่เดียว แต่ที่แท้ก็อยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม 329 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์จะ ปรินิพานในวันเดือน ๖ เพ็ญนั้น พระองค์ได้สั่งเสียเป็น วาจาสุดท้ายกับพุทธบริษัท ๔ ของพระองค์ว่า “ขะยะ วะยะ ธรรมา สังขารา” สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง หนอ พวกท่านทั้งหลายอย่าตั้งอยู่ในความประมาท จง ยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วย ความไม่ประมาทเถิด จากนั้นพระองค์ก็ปิดพระโอษฐ์ไม่ กล่าววาจาอะไรอีกต่อไป แล้วจึงปรินิพาน นี้จึงถือว่าวาจา ของพระพุทธเจ้าคำ นี้ เป็นวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นวาจาที่ พวกเราจะนำ มาคิด นำ มาพิจารณาไคร่ครวญ ไตร่ตรอง ด้วยเหตุและผล พระพุทธองค์สั่งสอนว่าร่างกายสังขาร ไม่เที่ยง อย่างที่หลวงพ่อได้กล่าวว่า ร่างกายของ เราถึงจะเลี้ยงดีขนาดไหนก็ยังเป็นอื่นอยู่เสมอ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีกับทุกท่าน เพราะฉะนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ จงยัง ประโยชน์ตน อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ทำคุณงามความดี ไหว้ พระสวดมนตร์ รักษาศีล ภาวนา ดูแลครอบครัวอย่าให้ขาด ตกบกพร่อง ส่วนประโยชน์คนอื่น อย่างองค์หลวงตาที่ช่วย เหลือเรา ท่านทั้งหลาย สิ่งไหนที่ท่านมีมา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนแบบเดียวกัน 330
ท่านก็ช่วยสงเคราอนุเคราะห์ ช่วยโรงพยาบาล โรงเรียน มูลนิธิสัตว์พิการ โรงพยาบาลหมา ท่านก็ช่วยไปหมด นี่ แหละคือประโยชน์คนอื่น หลวงตาท่านพาดำ เนินมาแล้ว ขอให้พวกเรา คณะศรัทธา ญาติโยมทุกหมู่เหล่า ขอให้ พวกเราปฏิบัติ ตนและดำ เนินตามรอยทางองค์หลวงตาพา ดำ เนินมา พวกเราจะประสพแต่ความสุข ความเย็นใจ พวก เราทุกท่านเมื่อได้ประกอบคุณงามความดีแล้ว ความสุข ความเจริญก็จะเกิดขึ้น 331 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ใจสอนใจ ให้ดูใจของตนเอง อย่าไปหลงร่างกายนะ ขนาดร่างกาย เราก็ยังไม่ใช่ตัวตนของเรา เลี้ยงร่างกายมาตั้งแต่เกิด มันก็ ยังแก่ยังตาย แล้วคนอื่นล่ะ? อย่างลูกหลาน ญาติพี่น้อง สามีภรรยา เรายังจะไปยึดไปถือว่าเป็นของเราอยู่อีกเหรอใจ? จากนั้นเมื่อเราน้อมมาหาใจ ใจของเราก็จะพิจารณา ตอนนี้ ต้องใช้ปัญญาเข้ามาพิจารณาใจ ใจมันไม่ยึดมั่นถือมั่น ใจก็เกิด ความเบื่อหน่ายคลาย เออ ใช่ ขนาดร่างกายของเราแท้ๆ มัน ก็ยังไม่ใช่ตัวตนของเรา ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สมบัติ พี่น้อง พ่อแม่ ทั้งหลายทั้งปวง จะเป็นของเราได้อย่างไร? ใจเอ๋ย พอ เข้ามาถึงจุดนี้ ใจมันรู้เห็นตามความเป็นจริง ใจมันก็ปล่อยวาง กิเลส กิเลสมันอยู่ที่ใจ 332
333
334
ความไม่ประมาทคำ นี้ พระพุทธเจ้า เตือนเป็นวาระ สุดท้ายที่พระพุทธองค์จะปรินิพพาน ท่านยังเป็นห่วงพวก เรา พุทธศาสนิกชน พุทธบริษัทของพระองค์ พระองค์เตือน ว่า ขะยะ วะยะ ธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ คะยะ วะยะ ธัมมา สังขารา สังขารทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็น ของไม่เที่ยง อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ขอให้ท่านทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความ ไม่ประมาท อันนี้ก็คือ เป็นคำ ที่สั่งเสีย เป็นคำ ที่เป็นห่วง ที่ พระพุทธเจ้ามีพระเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั่วโลก เพราะฉะนั้น พวกเราทุกๆท่านที่เป็นศาสนิกชน พุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณร เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ให้โอปะนะยิโก น้อมมาหาตัวของเรา ในแต่ละวันแต่ละเวลาอย่าตั้งอยู่ใน ความประมาท ให้เตรียมพร้อมไว้อยู่เสมอ การเตรียมพร้อม นั้นคืออะไร ก็คือทำ เรื่องจิตภาวนา สั่งสมคุณงามความดี ให้ ทาน รักษาศีล ภาวนา แต่พวกเราท่านทั้งหลายอยากจะให้ เน้นเรื่องจิตภาวนามากกว่า เพราะเรื่องทาน เรื่องศีล พวก เราก็ทำ มาโดยสมํ่าเสมออยู่แล้ว แต่เรื่องจิตภาวนานี่พวก เรายังห่างเหินกันอยู่ ถึงจะเป็นนักพรตนักบวชผู้เสียสละ มาแล้ว บางครั้งก็ยังห่างไกล หรือว่าวันหนึ่งทำยังไม่เต็มที่ สรุปแล้วยังชะล่าใจอยู่ ยังตั้งตนอยู่ในความประมาทอยู่ 335 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
เพราะฉะนั้นอยากจะให้ทำ ให้ขะมักเขม้น หรือว่า ทำ ให้มากกว่านี้ ถ้าเราคิดได้คิดทำ หรือบางวันบางครั้งธุระ การงานอย่างอื่นมี เราก็ห่างเหินไป อันนั้นแปลว่ายังตั้งอยู่ใน ความประมาทอยู่ แต่ถึงอย่างไรถ้าหากว่าเป็นไปได้พวกเรา ทุกๆท่านนะ อยากจะให้พิจารณา หรือว่าทบทวนไตร่ตรอง เรื่องตัวเองไว้อยู่เสมอ ในแต่ละวัน แต่ละเวลาให้คิดอยู่เสมอ ว่า วันนี้เราทำอะไรไปบ้าง? เราห่างจากธรรมะภาคปฏิบัติ ไปบ้างหรือไม่ในวันนี้? คล้ายๆ ว่าให้ย้อนแต่ละวันๆ เหมือน กับเราทำ มาค้าขายอย่างนั้นแหละ คือร้านค้า เขาจะต้องปิด งบบัญชีแต่ละวัน วันนี้ได้ทำ มาค้าขายอะไรไปบ้าง? เขาจะ ได้รู้ว่าขาดทุนกำ ไรอย่างไร? นี้ก็เหมือนกัน การประพฤติ ปฏิบัติของพวกเราก็น่าจะทำอย่างนั้น วันนี้เราได้คิดปล่อย ปละละเลยทางด้านจิตใจไปทางด้านไหนบ้าง? เราปล่อย ปละละเลยเกินไปแล้วใช่หรือไม่? หรืออย่างไร? อันนี้ ถ้าหากว่าพวกเรามีความตั้งใจมีความมุ่งมั่นมีความพยายาม อยู่ นั่นแหละธรรมะอยู่ด้านจิตใจของพวกเราก็จะเจริญ งอกงามขึ้นเรื่อยๆนะ เมื่อวานมีคนถามปัญหา มีคนถามหลวงพ่อ เขามี ความข้องใจ คือเขามาภาวนาอยู่ที่วัดของเราก็มีบางคนก็ บอกว่าให้ภาวนาพุทโธ กำ หนดลมหายใจเข้าหายใจออก 336
เวลาก้าวเดินก็ให้บริกรรม ขาขวา-พุท ขาซ้าย-โธ แต่เขาฝึก มาทางยุบหนอ พองหนอ ทีนี้พอมาทำ ภาวนาพุทโธ เขา เลยสับสนในการปฏิบัติธรรมของเขา อันนี้เขาก็ขึ้นไปถาม หลวงพ่อ ว่าจะให้เขาทำอย่างไร? เพราะว่าเขาฝึกมาทาง ยุบหนอ พองหนอ หลวงพ่อเองก็ตอบว่า ถ้าหากว่าเรารู้ เรื่อง เราศึกษาในหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วไม่น่าจะสับสน เพราะว่าพระธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสท่านบอกท่านแนะนำ พวกเราพุทธ บริษัท พระพุทธองค์ในเรื่องจิตภาวนานี่ ท่านก็ให้เน้นไป ทางสติปัฏฐาน ๔ นี่แหละเป็นเบื้องต้น สติปัฏฐาน ๔ คือ อะไร? กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าหากว่าเราบริกรรม พุทโธ กับกำ หนดลมหายใจเข้าหายใจออก เราใช้ลมหายใจเป็น กายใช่หรือไม่? เราก้าวเดินขาขวาพุท ขาซ้ายโธ เป็นกาย ใช่หรือไม่? ถ้าหากว่าเรากำ หนดลมหายใจเข้า ยุบหนอ หรือหายใจออก พองหนอ ยุบหนอพองหนอ เวลาก้าวขา เดิน ก้าวหนอ ยกหนอ เราเอาอะไรก้าวหนอ ยกหนอ เรา เอาอะไรหายใจเข้า ยุบหนอพองหนอ อันนี้ก็คือกาย ถ้าจะ ว่าไปแล้วก็คือให้มีสติอยู่ในกาย ถ้าเมื่อมีสติอยู่ในกายแล้ว มันก็เหมือนกัน อยู่ในเขตของสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เพราะฉะนั้นให้มีสติอยู่ในกาย 337 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อันนี้็คือเป็นการฝึกเบื้องต้น ทำจิตให้สงบ เข้า ทำ นองที่หลวงพ่อเคยพูดมาหลายครั้งต่อหลายหนที่ว่า แมวจะเป็นสีอะไร จับหนูได้แปลว่าใช้ได้ นี้ก็เหมือนกัน จะ กำ หนดกรรมฐานไหนก็ตาม แต่ว่าจิตเข้าสู่ความสงบ ได้ อันนั้นแปลว่า กรรมฐานนั้นมีสาระมีประโยชน์ มีคุณค่า สำ หรับคนๆนั้น แต่กับบางคนอาจจะไม่มีประโยชน์สำ หรับ เขา เขาต้องเปลี่ยนกรรมฐานอื่นสำ หรับบริกรรม เอามา ปฏิบัติ อันนี้ก็คือสติปัฏฐาน ๔ กาย ส่วนเวทนา เวลา หายใจเข้า ก็รู้ว่าหายใจ อันนั้นคือเวทนาการเคลื่อนไหวของ ร่างกาย เวลาเจ็บแข้งปวดขา หิวกระหายร้อนหนาว อัน นี้ เวทนาทางกายทั้งหมด ส่วนเวทนาทางจิตก็คือสิ่งที่มา กระทบ เป็นทุกข์จิตทุกข์ใจ อันนั้นเวทนาทางใจ อันนี้เรา จะไม่พูดถึงเวทนาทางใจ เราพูดถึง เวทนาทางกายก่อน เวลาเรานั่งนานเราก็ปวดแข้งปวดขา ปวดเอวปวดที่ไหนๆ ในร่างกายของเรา สรุปแล้วก็คือเป็นสิ่งที่ไม่สบาย ถ้าไม่ สบายเรียกว่าทุกขเวทนา ถ้านั่งอุ่นสบายอันนั้นว่าสุขเวทนา สุขเวทนา ทุกขเวทนา มันก็มี ๒ อีกเหมือนกัน อันนี้ก็ว่า เวท นานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็คือจิต ที่ไปรู้ใจที่ไปรู้ รับรู้สิ่งต่างๆ เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้างอยู่นี้ก็ คือจิต 338
หรือจิตเฉยๆจิตเป็นกลางๆนี่ก็เป็นจิตเหมือนกัน รับรู้เรื่อง ต่างๆได้ รู้ดีรู้ชั่ว รู้เรื่องนั้นรู้เรื่องนี้ ไปรับรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ แบกเรื่องนั้นเรื่องนี้ รับทราบเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา อันนี้เรียก ว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็ คือสิ่งที่มากระทบใจ บางทีก็คือ พอใจ บางทีไม่พอใจ บางที ก็ทุกข์ใจ บางทีก็สุขใจ เรียกว่าธรรมารมณ์ที่มากระทบจิต อารมณ์ที่มากระทบใจ อันนี้เรียกว่า ธรรมานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน เราจะพิจารณาอะไรทั้งสติปัฏฐาน ๔ นั้น จะเอา ธรรมา ก็ได้ จิตตาก็ได้ เวทนาก็ได้ กายาก็ได้ หรือว่าจะเอากายา ก็ได้ เวทนาก็ได้ จิตตาก็ได้ ธรรมาก็ได้ แต่ว่าเอาอันใดอัน หนึ่ง เหมือนกัน ถ้าจับอันใดอันหนึ่งแล้ว แต่พ่อแม่ครูบา อาจารย์สายหลวงปู่มั่นท่านจะให้พิจารณาถึงกายานุปัสสนา สติปัฎฐานเป็นหลัก เพราะกายเป็นของหยาบ มันมองเห็น ได้ รู้สึกได้ เห็นได้ ในความรู้สึกเรา แต่ถ้าว่าเราเห็นกายแล้ว กำ หนดกายแล้ว รู้กายแล้ว จะพิจารณาเวทนาก็เห็นได้ จะ กำ หนดถึงใจก็เห็นได้ กำ หนดถึงธรรมารมณ์ก็เห็นได้ สิ่ง เหล่านั้นละเอียดกว่ากาย แต่ขนาดกายยังจับไม่ได้ กำ หนด ไม่ได้ กำ หนดลมหายใจก็หลุดๆขาดๆ มันเผลอไปเวลาไหน เราก็ไม่รู้ แล้วเราจะพิจารณาถึง เวทนาก็ยิ่งขาดไปอีก หรือ พิจารณาถึงจิตนึกคิดอะไร ก็ยิ่งห่างไปอีก 339 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ธรรมารมณ์ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเรา พิจารณา กำ หนดถึงกาย สติของเราอยู่ในกายไม่เผลอ อย่างนี้ ธรรมะส่วนอื่นๆ ที่เราได้ที่เราจะพิจารณา เราก็จะ ชัดเจนขึ้นในความรู้สึกของเรา นี่แหละอันนี้ก็คือ พิจารณา หรือกำ หนดในสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่มี คำถามเข้ามาอีกว่า ขณะที่เรานั่งภาวนาอย่างนั้น เราจะรู้ได้ อย่างไร ว่าสติของเราดี สติของเรากำ หนดได้ กำ หนดเห็น หลวงพ่อก็เลยบอกว่า เอาแบบง่ายๆก็แล้วกัน คือเวลาเรา หายใจเข้าให้เรานับ ๑ เวลาเราหายใจออกให้เรานับ ๒ เวลา หายใจเข้าเรานับ ๓ หายใจออกนับ ๔ นับ ๕ นับ ๖ นับ ๗ สรุปแล้วก็คือหายใจเข้าเป็นเลขคี่ หายใจออกเป็นเลขคู่ ให้ นับถึง ๑๐๐ ถ้านับถึง ๑๐๐ แสดงว่าสติของเราดี ประมาณ ๑ นาทีหรือนาทีกว่าๆ แต่ถ้าหากว่าเรา สติของเราขาด หรือ มัน เบลอๆไป ขณะที่เรานับ ๕๐ ๖๐ นี้ หายใจเข้า ๖๒ หายใจออก ๖๓ แสดงว่าเราขาด สติของเราขาดแล้วช่วงนั้น ไม่ต้องถามใคร นี่เรารู้ด้วยตัวเองเลยว่า สติของเราดีหรือไม่ ดีอย่างไรมากน้อยแค่ไหน นี่แหละ อันนี้ก็ขอให้ไม่ต้องถาม ใครอื่นเลย สติของเราสมควรเหมาะสมขนาดไหนอย่างไร เพราะฉะนั้นการปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้ จากนั้นเขาถาม เกี่ยวกับ ทำ ไมจึงให้คนทั้งหลายปฏิบัติ 340
พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่ออย่างเดียว ใช่หรือไม่? พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อ แต่เป็นผู้แนะแนว ทาง ปฏิบัติ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ใช่ก็สุดแท้แต่ เมื่อท่านปฏิบัติ แล้ว ไฟมันร้อนนะ ถ้าไปจับไฟมันร้อนนะ อันนี้คือการ แนะแนวการบอก แต่ถ้าเราไม่เชื่อว่าไฟมันร้อนหรือ ไม่ร้อน ไปจับดูเราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่าอันนี้ไฟมัน ร้อน หรือนํ้าแข้งมันเย็นอย่างนี้ เราจะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้แนะนำ เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าไม่ ได้จับให้ดู ท่านไม่ได้จับนํ้าไม่ได้จับไฟให้ดู เป็นผู้แนะนำ เท่านั้นเอง อันนั้นเป็นโทษนะ อันนี้เป็นคุณนะ สำ หรับ ผู้ปฏิบัตินี้เป็นหน้าที่ของพวกเราท่านทั้งหลาย เมื่อ ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตั้งศรัทธาคือความเชื่อผู้แนะนำ ไว้ก่อน พระพุทธจ้าเป็นผู้หวังดีต่อพวกพุทธบริษัท เพราะพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น คิดในแง่ของทานก็ดี ของ ศีลก็ดี ในแง่การอยู่ร่วมกันหลายๆด้านก็ดี ล้วนแล้วแต่ เป็นธรรม เป็นนิยยานิกกธรรม นำ ผู้ประพฤติปฏิบัติให้ ร่มเย็นเป็นสุข เพราะฉะนั้น พระพุทธองค์ท่านทรงตรัส ว่า คนตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วเกิดอีก อย่างนี้พระพุทธ องค์ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาแสดงฤทธิ์ หรือว่าแสดงเดชให้พวกเรารู้ เห็น เป็นแต่พียงว่าแนะนำ ให้พวกเราปฏิบัติ 341 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ในเมื่อเราลงมือปฏิบัติตามแนวแถวที่พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติ พระพุทธองค์ก็เป็นผู้ปฏิบัติเอง ไม่มีเทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหนปฏิบัติแทนท่าน ท่านเป็นผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้ตรัสรู้ เอง ในเมื่อท่านได้ตรัสรู้แล้ว ท่านก็นำธรรมคำสอน หรือว่า แนวทางปฏิบัติของท่านมาชี้นำ ชี้แนะให้พวกเราอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นพวกเราในฐานะพุทธบริษัท เราก็ปฏิบัติตามที่ พระพุทธเจ้าชี้นำชี้แนะนั้น เราก็ลงมือประพฤติปฏิบัติ นั่ง สมาธิอย่างไร กำ หนดลมหายใจเข้าออกอย่างไร จิตใจ ทำ อย่างไรจึงจะสงบ ในเมื่อเราทำถูกที่ถูกทางแล้ว นั่นแหละ ทีนี้จิตของเราเข้าสู่ความสงบ เราจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เมื่อ ๒,๐๐๐ กว่า ปี เมื่อเราจิตสงบแล้ว โอ้ มีความสุข จริงอย่างที่พระพุทธเจ้า ที่ท่านได้บอกได้กล่าวไว้ ไม่เป็นอย่างอื่นจริงๆ จิตใจสงบ เย็นจริงๆ มีความสุขจริงๆ อันนี้พวกเราจะรู้ได้ ด้วยตนเอง ในเมื่อเรารู้ได้ด้วยตนเองเป็นขั้นแรก คือจิตสงบแล้ว เราก็ ต้องพยายามว่าเชื่อในตัวเองว่า ตายแล้วเกิดหรือตายแล้ว สูญ ตัวไหนสูญตัวไหนเกิด อันไหนเกิด อันไหนสูญ ตาย แล้วสูญคืออะไร อันนี้เราจะรู้ได้ด้วยตนเองอีกเหมือนกันว่า ร่างกายนี่สูญแน่นอนไม่เป็นอย่างอื่น แต่ส่วนจิตใจนั้นจะ ต้องไปปฏิสนธิไปเกิดในภพภูมิต่างๆ 342
ในขณะที่จิตใจของเรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ยังไม่เป็นอริยะ บุคคล แต่ถ้าท่านผู้ใดภาวนา ทำจิตทำ ใจให้หลุดพ้นตาม ขั้นตอนที่พุทธะแนะนำสั่งสอนแล้ว เป็นอริยะบุคคลตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พวกเราจะรู้ได้ตามลำดับๆ อันนั้นไม่มีปัญหาเพราะท่านรู้ แจ้งเห็นจริงตามลำดับขั้นตอนไปแล้ว แต่นอกเหนือจาก พระโสดาบันบันลงมาที่เป็นคติที่ไม่แน่นอน จุดนี้เป็นจุดที่ พวกเรายังได้ถกเถียงกัน ยังได้มีความสงสัยกันอยู่ นี่แหละ แต่ที่ถาม ที่หลวงพ่ออธิบายเมื่อเช้านี่ก็อีกส่วนหนึ่งเหมือน กัน มีความจำ เป็นหรือไม่ ที่คนจะต้องภาวนา จะต้องมา ปฏิบัติ เพราะตามปกติ เขาก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว เขาก็มี ความสุขของเขา ตามโลกวัฎสงสารของเขา 343 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
แต่สำ หรับฆราวาสผู้ลงมือปฏิบัติ จำ เป็นหรือไม่ที่ จะต้องเข้ามาสู่วัดวาศาสนา เข้ามาสู่วงการของการฝึก ศีล สมาธิ ปัญญา เราอยู่แบบอิสระ เราก็ไม่ได้เบียดเบียน ใคร ไม่ได้ทำ ให้ใครเดือดร้อน เราเสาะแสวงหาทรัพย์ตาม อัตภาพ เงินคำ ทรัพย์สมบัติของเรามี สามีภรรยาของเราอยู่ ด้วยกันด้วยความร่มเย็นผาสุก การเป็นอยู่ของเราไม่มีโรค ภัยไข้เจ็บ มีแต่คนมีอุปสรรค หรือว่าคนมีทุกข์ในใจเท่านั้น ถึงจะวิ่งเข้าหาธรรมะ เพื่อเอาธรรมะมาเป็นเครื่องบังคับ ประดับจิตใจให้ได้รับความสงบ เอาธรรมะเข้ามาระงับจิตใจ ของคนที่มีทุกข์ แต่ว่าคนไม่มีทุกข์อยู่แล้ว เขามีสุขอยู่แล้ว การอยู่การกินเขาอยู่ตามอัตภาพ ไม่เห็นจำ เป็นที่จะต้อง เข้าสู่วัดวาศาสนา ไม่เห็นจำ เป็นจะต้องเข้าไปศึกษาธรรมะ เขาก็มีความสุขอยู่แล้ว อันนี้ก็คือความคิด ความเห็นของ คนส่วนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คนส่วนนี้เขาก็คิด เพราะ ว่าเขามีความสุข คนที่มีความทุกข์เท่านั้นจึงจะเข้าวัด อันนี้ คือเขาเพ่งมองอีกในระดับหนึ่ง แต่ตามที่จริงธรรมคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ถ้าจะเปรียบเทียบพระพุทธ องค์เองว่าเป็นกษัตริย์ สมบูรณ์ทุกอย่างในการเป็นอยู่ แต่ พระพุทธองค์ที่เห็นโทษ เห็นภัย ที่หนีออกไปบวชนั้น ก็คือ เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย 344
นึกย้อนหลังไปในอดีต ปู่ ย่า ตา ยาย ของพระองค์ ไม่รู้ว่า กี่ยุคกี่สมัย ทิ้งทรัพย์สมบัติเอาไว้ ไม่มีใครที่จะนำติดตัวไป ด้วย ตายไปแล้วก็ทิ้งกองกระดูกเอาไว้เท่านั้นเอง ไม่ได้นำสิ่ง ไหนไปด้วย แต่ทีนี้พระองค์ก็นึกย้อนมาถึงตัวพระองค์เอง ถ้าเราอยู่ต่อไปเราก็ต้องทิ้งอย่างปู่ย่าตาทวดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร เราจะเสาะแสวงหาสิ่งที่ไม่ตาย เหมือนกับหาทางวิทยาศาสตร์อย่างนั้นแหละ คนมันคิดต่าง กัน แต่อันนี้เป็นบุญบารมีของพระพุทธองค์ที่ท่านบำ เพ็ญ มา สมบูรณ์แล้ว เต็มเปี่ยมแล้วที่จะได้ตรัสรู้เป็นอนุตตรสัม มาสัมโพธิญาณ เพราะฉะนั้นพระองค์จะต้องคิดแปลกแตก ต่างกว่าคนทั้งหลาย จากนั้นพระองค์ก็ได้หนีออกจากเวียง วัง ที่ว่ามีความสุขที่สุด คือโลกทั้งโลกเขาต้องการปรารถนา เป็นอยู่อย่างสิทธัตถะ แต่นี่พระองค์มองเห็นแล้ว ว่านี่ต่อ ไปภายภาคหน้า ความสุขจุดนี้ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความ สุขจุดนี้ต่อไปภายภาคหน้า ความทุกข์มหันต์จะต้องคร่า ชีวิตของเรา เราจะต้องจากไปแบบไม่มีวันกลับ ตัวอย่างที่ ปู่ ย่า ตา ยายเป็นมาแล้ว คราวนี้พระพุทธองค์ก็ได้หนีออก ไปบวช ไปค้นคว้าอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้ธรรม จากนั้นนำ พระธรรมคำสั่งสอนมาเผยแพร่ขยายผล พระสงฆ์ทั้งหลายผู้ สดับตรับฟังจากพระพุทธเจ้า นำ มาประพฤติปฏิบัตเป็น 345 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ลำดับๆ มาจนถึงยุคปัจจุบัน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของพวก เราที่ท่านได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็อย่างที่เราท่านทั้ง หลายได้เห็น กระดูกอัฐิธาตุของท่านได้กลายเป็นพระ ธาตุ ทีนี้ท่านก็ได้บำ เพ็ญมาในความรู้สึกของท่าน ท่านก็ มองโลก ท่านไม่ได้มองแบบดูถูกเหยียดหยาม แต่ท่านมอง ตามความเป็นจริง ท่านก็บอกว่าโลกนี่ ถ้าจะว่าไปแล้วคนที่ ติดอยู่ในโลก เหมือนกับหมูหรือว่าไก่หรือว่าสัตว์ อยู่ในยุ้ง ในเล้า ในคอก วัวควายอยู่ในคอกอย่างนั้นแหละ อย่างที่ว่า วัวขุนอย่างนั้นแหละ ต้องการอะไรเขาก็ให้กินทั้งหมด เพื่อ จะให้มันอ้วนท้วนสมบูรณ์ นี้ก็เหมือนกัน พญามัจจุราช ถ้าจะว่าเลี้ยงก็ใช่ จ้องอยู่ก็ใช่ ทีนี้เราก็เลี้ยงเราให้สมบูรณ์ ทุกอย่าง การเป็นอยู่ของเราก็ทุกอย่าง เป็นหนุ่ม เป็นสาว การศึกษา ทำ มาหาเลี้ยงชีพ เสาะแสวงหาเงินคำ ทรัพย์ สมบัติ มีครอบมีครัว มีลูกมีเต้า มีพี่น้องเพื่อนฝูงมีความสุข ในอัตภาพของแต่ละครอบครัว แต่ละชาติชั้นวรรณะ ใครอยู่ ที่ไหนเขาก็ว่ามีความสุขในจุดนั้นๆ แต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้พ้นจากวัฏฏสงสาร พ้นจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ แล้ว ท่านมองท่านไม่ได้มองแบบดูถูก แต่ท่านมองตามความ เป็นจริง ท่านว่าความสุขทางโลกเหมือนหมูอยู่ในเล้า อีก ซักวันหนึ่ง 346
เมื่อเขาเลี้ยงได้ขนาด พอได้ขนาดแล้วพญามัจจุราช หรือ เจ้าของหมูเล้านั้น เขาก็ขายหมูออกไป ในเมื่อขายออก ไปเขา ขายไปทำ อะไร? ขายไปทำ อาหาร จากนั้นเขาก็ เอาค้อนทุบหัวหมู แล้วก็เชือดคอหมู หมูตัวนั้นก็ล้มหาย ตายจากไป ถ้าหากว่าหมูตัวนั้นยังฟื้นขึ้นมาได้ หมูตัวนั้นจะ บอกหรือไม่ว่า ขณะที่อยู่ในกรงของเรานี่มีความสุขมาก มี ความสุขเป็นที่พึงปรารถนาอย่างมาก ถ้าไปถึงจุดนั้นแล้ว หมูตัวนี้มันก็คงจะบอกว่า ความสุขอยู่ในกรงนั้น เป็นความ ทุกข์ที่มหันต์ในขณะที่ใจจะขาด ที่เขาทุบหัวของเรา มันหาความสุขไม่ได้เลย พอลอง บวก ลบ คูณ หาร ดูแล้ว ความทุกข์ตัวนี้มากกว่าความสุขที่ผ่านๆมา อย่างเทียบกัน ไม่ติด ความสุขอันนั้นเป็นความสุขเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง แต่ความทุกข์อันนี้เป็นความทุกข์มหันต์ ถ้าหมูตัวนั้นยังไม่ ตายมันก็คงจะออกมาพูดได้ แต่หมูตัวนั้นมันตายไปแล้ว มัน ไม่มีโอกาสกลับมาพูดได้อีก เพราะมันตายแล้ว นี้ก็เหมือน กัน ชีวิตของพวกเราท่านทั้งหลาย ถ้าจะว่าความสุข มันจริง อย่างนั้นหรือ? ให้พวกเราคิดทบทวนดูให้ดี ในเมื่อสมัย น้อยหนุ่มมีความสุข เสาะแสวงหาทรัพย์ได้ เงินคำ ทรัพย์ สมบัติ พี่น้องสามีภรรยาถูกอกถูกใจ สะดวกสบายแต่พออีก ซักวันหนึ่ง พวกเราไปนอนอยู่ในห้อง ICU 347 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
ว้าเหว่อ้างว้าง เงียบเหงาเศร้าซึม ไม่มีใครเข้าไปเยี่ยม นอน ตามลำ พัง จุดนั้นไปถามดูซิว่า เป็นอย่างไร? เขามีความ สุขหรือไม่? อันนี้ก็คงจะไม่มีใครถาม ถ้าถามก็คล้ายๆ ว่าเป็นการเย้ยหยัน ในการเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะมันเป็น ความทุกข์อย่างสุดๆ ตามลำ พังอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็มีสติ บ้าง ไม่มีสติบ้าง เผลอไปบ้าง ลืมหลงไปบ้าง ละเมอไป บ้าง ผลที่สุด เขาก็ใจขาดไป ไม่มีโอกาสกลับมาพูดอีก แต่ ผู้ที่กลับมาพูดอีก ถ้าเข้าห้องผ่านห้อง ICU แล้วกลับมา พูดอีก เขาก็คงจะพูดออกมาได้ไม่เต็มปากเต็มคำ เหมือน กันว่า ชีวิตของข้าพเจ้ามีความสุขจริงๆ ไม่มีความทุกข์เสีย เลย เขาคงจะพูดอย่างนั้นลำ บาก เพราะว่าเขาเหยียบเส้น แดงมาแล้ว ผ่านเส้นแดงมาแล้ว เกือบเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังถอยกลับมาอีก แต่เขาก็ขยาดเหมือนกันอีก ต่อไปภาย ภาคหน้า ข้าจะต้องเจอจุดนั้นอีกแน่นอน ถ้าถามเขาว่าเขา มีความสุขหรือไม่ตอนที่จะล้มหายตายจากไปนั้น ที่จะต้อง พลัดพรากไปนั้น เขาก็คงจะตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่ามีความ สุข แต่ในใจลึกๆแล้วเขาก็หวาดหวั่นเหมือนกัน นี่แหละ ไม่มี ใครที่จะสนุกสนานเพลิดเพลินกับมรณะตัวนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านมองเห็นแล้วว่า โลกใบ นี้ไม่น่าอยู่ จะทำอย่างไรจึงจะไม่มาเวียนว่ายตายเกิด 348
ในวัฎสงสารอีก ท่านจึงค้นคว้า ขุดค้น หาหลักวิชาการ เอามาปรับปรุงแก้ไขกายใจของพระองค์ เอามาปรับปรุง ใจของพระองค์ ให้สลัดกิเลสราคะ โทสะ โมหะออกจาก จิตใจ ให้จิตใจบริสุทธิ์ เป็นอริยะบุคคลขึ้นมา นี่แหละ อัน นี้พระพุทธองค์จึงได้ออกบวชแล้วก็แนะนำ พวกเรา เพราะ ฉะนั้นพวกเราเมื่อได้ยินได้ฟัง ขั้นตอนหรือว่าการเรียง ลำดับที่ หลวงพ่อได้กล่าวให้ฟัง ไม่เป็นอย่างอื่น คิดดูให้ ดี ในสิ่งเหล่านั้น เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าที่ท่านแนะนำสั่ง สอนกับพระสาวกจริงๆ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่ว่าพวกเราจะ หาวิธีการอย่างไร? ที่จะเดินตามแนวแถวพุทธะ ที่ท่านได้ ตรัสรู้ธรรม ที่บรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่มาเวียนว่ายตาย เกิด ที่ว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง นิพพานัง ปะระมัง สุญ ญัง” นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานเป็นธรรมว่างจากความ ทุกข์อย่างยิ่ง จะทำอย่างไร? จะทำ ให้เชื้อในจิตใจของเราสูญ ออกจากจิตใจของเรา? ให้จิตใจของเราบริสุทธิ์ ไม่ให้มีกิเลส ตัวไหนมารบกวนใจของเรา ให้เป็นผู้ชี้นำชี้แนะเข้ามาบัญชา ในใจของเรา กำจัดกิเลสออกหมดออกจากจิตใจ จิตใจ บริสุทธิ์หลุดพ้น รู้แจ้งเห็นจริง เกิดความเบื่อหน่ายคลาย เห็นร่างกายของเราก็อย่างนั้นแหละ หาความสุขได้ที่ไหน? 349 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา
อีกซักวันหนึ่ง อย่างที่หลวงพ่อได้กล่าวมา เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าพวกเราพิจารณาไตร่ตรองด้วย เหตุด้วยผลแล้ว มีเหตุผลสมบูรณ์นะ พร้อมที่จะชำ ระ พร้อม ที่จะทำความเห็นให้เป็นธรรมถูกต้องได้ ก็เหมือนแต่ก่อนเรา โง่ เราไม่รู้หนังสือ แต่พอเราเรียนรู้หนังสือ ความโง่ ความ ไม่รู้นั้นก็ตกหายไป เหมือนกับความมืด อยู่ ณ สถานที่ใด อยู่ในถํ้าลึกขนาดไหน มันมืดอยู่ที่นั่นกี่กัปกี่กัลป์ กี่ร้อยกี่พัน กี่หมื่นกี่แสนปี แต่พอจุดแสงสว่างขึ้นไปเท่านั่นแหละ ความ มืดนั้นก็หายไปหมด นี้ก็เหมือนกัน ตัวอวิชชาในจิตในใจของ เราเราไม่รู้ แต่พอเราพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ปล่อยวางทั้งหมด จิต ของเราเข้าสู่อมตธาตุ อมตธรรม จิตใจที่เป็นจิตใจบริสุทธิ์ นั่นแหละเมื่อจิตใจบริสุทธิ์แล้วก็นั่นแหละ แปลว่าหมดจด ไม่มาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารเป็นอนันตกาล นี่แหละ ธรรมะธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สรุปแล้วคือมีจุดจบ จุดจบคืออะไร? คือไม่มาเวียนว่ายตายเกิด หนีออก จากกงล้อกรรมเกวียน หนีออกจากสิ่งที่มาที่จะพามา หมุนเวียน แต่ถ้าหากว่าพวกเราติดอยู่ในราคะก็ดี โทสะก็ดี 350