The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by warm.siriteng, 2023-12-12 17:54:23

สันตุสสโกวาท

สันตุสสโกวาท

ไม่ว่าใครก็ทำ�ได้ทั้งนั้น เมื่อจิตใจเป็นสมาธิแล้ว จิตใจจะสงบร่มเย็น เรื่อง ต่างๆ ที่เข้ามาเราก็จะรู้ได้ เราจะทันเหตุการณ์ในเรื่องนั้นๆ เราจะไม่ทุกข์ไม่โศกในเรื่องต่างๆ ที่เข้ามากระทบกระแทก จิตใจของพวกเรา แต่ถ้าหากพวกเราไม่มีเกราะกำ บัง พอมี เรื่องอะไรเกิดขึ้นใจของเราก็ว้าเหว่ อ้างว้าง เงียบเหงา เศร้า ซึม เป็นทุกข์กับเรื่องต่างๆ ในโลกธรรม ๘ นั้น พอมีลาภเข้า มาก็ดีใจ ลาภเสื่อมก็เสียใจ เมื่อได้ยศก็ดีใจ พอเสื่อมยศก็ เสียใจ ใจมันกระเพื่อมขึ้นๆ ลงๆ เรียกว่าใจไม่มีกำลัง แต่ถ้า เมื่อใจของเรามีที่เกาะ มีที่กำ บังแล้วเมื่อมีสมาธิแล้ว ทีนี้ เวลามีอะไรเข้ามากระทบกระแทก เราก็วิ่งเข้ามาหาสมาธิ ทำจิตใจให้สงบเป็นหนึ่ง จากนั้นก็กลั่นกรอง ไตร่ตรอง ด้วยเหตุและผล นี่แหละสมาธิมีคุณค่ามีประโยชน์อย่าง ยิ่งสำ หรับพวกเราท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เรื่องของพระเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้สำ หรับพุทธบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา ทำ ได้ทั้งนั้น 101 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


เป็นพระต้องมีระเบียบ ตากผ้าทิ้งเกลื่อนราว ถ้าองค์ใดก็ตามตากผ้า ทิ้งเกลื่อน ไม่มีระบบระเบียบ ให้ระวังผมจะเอาขว้างทิ้ง เข้าป่าทั้งหมดนะ แล้วจะมาว่าผมไม่บอกไม่ได้นะ เพราะ ฉะนั้นให้พวกท่านทั้งหลายคิดด้วยนะ เพราะวัดวาศาสนา ไม่ใช่ของผู้หนึ่งผู้ใด มันต้องรักษากฎระเบียบ ต้องรักษา ธรรมวินัย ไม่ใช่ว่าเราอยากจะตากผ้าที่ไหนก็ตากเกลื่อน กลาดไปหมด คนทั้งหลายมาเห็น ก็เห็นแต่ผ้าของพระทิ้ง เกลื่อนไปหมด มันไม่น่าดู ตากผ้าหน้าบ้าน มันจะตากได้ อย่างไร มันต้องหาที่หลบในการตากผ้า สิ่งเหล่านี้อยากให้ ท่านทั้งหลายช่วยกันคิด แล้วการดื่มการฉันโกโก้-กาแฟ นี้ ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราอดอาหารแล้วอยากจะมากินเวลา ไหนก็มากิน มานั่งล้อมกันอยู่อย่างนั้นไม่ได้นะ ฉันต้องเป็น เวลา พอฉันเสร็จแล้วก็ต่างคนต่างไปแยกย้ายไป แต่ฉันให้ อิ่ม ผมไม่ได้ว่า แต่ฉันอิ่มแล้วก็หยุดในวันนั้น หรือถ้าพวก เราหิว ศาลาของเราก็ไม่ได้ปิด เรามาฉันสิ ถ้ามันหิวจะไปอด ทำ ไม เราอดก็เพื่อให้มันหิว อดเพื่อจะได้ดูใจของตัวเอง 102


มันคนละส่วนกัน เมื่อจิตสงบลงแล้ว อันนั้นเราก็เห็นได้ชัดๆว่ากายกับ ใจไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกัน กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน มัน คนละอันกัน เหมือนกับผลไม้อยู่ในจานอย่างนั้น จานก็คือ จาน ผลไม้ก็คือผลไม้ เหมือนกับคนกับรถ รถก็คือรถ คน ขับรถก็คือคนขับรถ คนขับรถกับรถไม่ใช่อันเดียวกัน มัน แยกกัน ถ้าเรากายแตกดับแต่จิตใจนั้นไม่แตกดับไปด้วย ยัง มีเชื้ออยู่ เชื้อนั้นคือกิเลสได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ จึงต้อง ไปปฏิสนธิ จึงต้องไปเกิดอีก เป็นเหตุให้ไปก่อภพก่อชาติ อีก พอตายแล้ววิญญาณก็ยังอยู่อีก ใจดวงนั้นก็ยังอยู่อีก ไป ก่อภพก่อชาติอีก ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใจดวงนั้นได้ไปทำกรรม อะไรมาไว้แล้วบ้าง ถ้าหากว่าทำกรรมชั่ว กรรมชั่วก็จะต้อง พาไปสู่ทางตํ่า เพราะจิตใจมุ่งคิดแต่ไปในทางชั่ว เวลาก่อน ตายก็คิดนึกถึงแต่ความชั่วที่ตนเองได้เคยทำ ไว้ ทีนี้เวลาตาย ไปกรรมชั่วก็พาเขาไปใช้กรรม ไปตกนรกหมกไหม้ แต่ถ้า เขาคิดแต่ทางดีคุณงามความดีที่ตนเคยได้ทำ มา บุญกุศลก็ ส่งเสริมเขาไปในทางที่ดี สูงขึ้น มีแต่ความร่มเย็นผาสุกทาง จิตใจ 103 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


บุญกุศลเหมือนเรามีเงิน บาปอกุศลเหมือนเป็นหนี้ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ร่างกายยังแข็งแรงอยู่เราก็ต้องการ ข้าว นํ้า โภชนาอาหาร เพื่อเอามาอยู่มากิน เอามาใช้มาสอย ทีนี้พอถึง คราวจุดจบแล้วก็ตายแล้ว ใครจะไปอยู่ได้ชั่วฟ้าดินสลาย อย่าง เช่นพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายายของเราก็ตายมา นักต่อนักแล้ว แล้วเรายังจะคิดว่าเรานั้นจะอยู่ค้าฟ้าได้อีกหรือ? พอ ํ ถึงคราวเราไป เราก็ไปสิ ตายเหมือนกัน อันนี้เราต้องคิดทำ ใจ แต่ สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือให้สั่งสมบุญกุศลเอาไว้ เพราะตายแล้วดวง วิญญาณนี้ไม่สูญ ตายแล้วเกิดอีก เพราะฉะนั้นเมื่อเราสั่งสมบุญ กุศลเข้าสู่จิตใจดวงวิญญาณดวงนั้นแล้ว เมื่อออกจากชาตินี้ไปแล้ว เราก็เหมือนมีเงินติดกระเป๋า เราจะไป ณ ถิ่นสถานที่ใด เราจะไป เกิดที่ใด บุญกุศลจะเกื้อกูลหนุน พวกเราจะประสบความเย็นใจ ไปเกิดที่ใดมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไปเลือกเกิดได้ว่างั้นเถอะ ไป เลือกเกิดเป็นลูกเศรษฐีที่ใดก็ได้ เพราะเรามีบุญ หากว่าเราไม่ ได้สั่งสมบุญกุศลเอาไว้ เกิดภพหน้าชาติหน้าก็เหมือนกับคนไม่มี เงิน ไปที่ไหนก็ลำ บาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าก่อนที่จะถึงจุดจบ นั้น อย่าตั้งอยู่ในความประมาท ให้สั่งสมบุญกุศลเข้าสู่จิตใจเอา ไว้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านเป็นมหาเศรษฐียิ่งกว่ามหาเศรษฐีเสีย อีก เพราะท่านชำ ระใจของพระองค์ให้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ อยู่ในจิตใจ แม้แต่หน่อยหนึ่งก็ไม่มี เมื่อออกจากภพ นี้ชาตินี้ไปแล้วก็มีแต่บรมสุข นิพพานัง ปรมัง สุขขัง นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง 104


มือเกาะปากสวรรค์ เท้าเหยียบปากนรก พระสงฆ์ถ้าคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำ ไม่ดี นี่ตกนรกได้ง่าย มากนะ หลวงพ่อเคยได้ยินคำ พังเพยของพี่น้องชาวเชียงใหม่ ที่ว่า พระสงฆ์ถ้าหากว่าทำดี มือหนึ่งเกาะประตูสวรรค์ แต่ ตีนข้างหนึ่งเหยียบปากนรกอยู่ แต่พอมือหลุดจากประตู สวรรค์หงายท้องตกลงนรกทันทีเลยนะ แต่ถ้าหากว่าทำดี ตีนเหยียบปากนรกยันเข้าประตูสวรรค์ไปเลย ถ้าทำดีก็ขึ้น สวรรค์เร็ว แต่ถ้าทำ ไม่ดี มันก็ลงนรกเร็วเหมือนกันนะ ทั้งนี้ เพราะสงฆ์เป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ ของฆราวาสญาติโยม เขา อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีกก่อนจะใส่บาตร ทั้งครอบครัว ทั้ง ลูก สามี ภรรยา เตรียมทำอาหารเพื่อจะใส่บาตรพระสงฆ์ ใน เมื่อพระสงฆ์บวชเข้ามาแล้ว ทำตัวไม่ดี เกเร คิดแต่จะออก นอกลู่นอกทาง อย่างนี้พาลจะตกนรกเอาได้ง่ายๆ นะ อัน นี้เป็นคำ พังเพยของชาวเชียงใหม่ ซึ่งหลวงพ่อก็เห็นด้วยนะ เพราะว่าเราเลี้ยงชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรจะทำดีอย่าง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ดูกรพระสงฆ์ ถ้าหากว่าพวก ท่านทั้งหลาย ทานอาหารของชาวบ้านแล้ว พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้เห็นความเกิด ความเสื่อม เพียง รัดนิ้วมือเดียว ก็คุ้มค่าอาหารเขาแล้ว” ถ้าไม่พิจารณาก่อน ฉัน ที่เรากินเข้าไปก็เป็นหนี้เป็นสิน เป็นบาป เป็นกรรมนะ พระ เณรลูกหลานเอ้ย สิ่งที่มันไม่ดีอย่าทำ เด้อ หลวงพ่อเองก็เป็นห่วง 105 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ร่างกายเป็นเราใช่หรือไม่ ถ้าเราภาวนาแล้วเราจะจับความรู้สึกได้ จับตัวใจอันนั้นได้ หรือจะว่าใช่ใจก็ใช่ วิญญาณก็ใช่ มโนก็ใช่ สรุปแล้วก็คือใจ ใจอยู่ใน ร่างกาย แต่มันหลงร่างกายว่าเป็นตัวตนของเรา ว่าเป็นของรักใคร่ ชอบใจ ว่าจะไม่แก่ จะไม่เจ็บ จะไม่ตาย อย่าหลงผิดนะใจ ให้รู้เท่า รู้ทันเอาไว้ ถ้าถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็อย่าเสียใจนะ ใจนะ อัน นี้คือให้พยายามสอนใจตัวเอง ทำความเข้าใจกับใจตัวเอง ในเมื่อ เราทำความเข้าใจแล้ว ใจของเรารู้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็น ความเป็นจริง ร่างของตัวเองเราก็ไม่หลง ไม่ไปให้ความสำคัญว่า มันจะยืนยาวเป็นร้อยปี พันปี เหมือนกับคนทั่วไป จากนั้นก็มา พิจารณาถึงร่างกายผู้อื่น มันก็เหมือนกับร่างกายของเรา ในเมื่อ ร่างกายยังไม่ใช่ตัวตนของเรา เรือนที่พักพาอาศัย กุฏิศาลา วัดวา ศาสนา เงินทองทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์เป็นของเรา ใช่หรือไม่?.....ไม่ใช่ ขนาดร่างกายนี้ยังไม่ใช่ของเรา จะไปยึดของ เหล่านั้นมาเป็นของเราได้อย่างไร? แต่ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรา ต้องอาศัยของเหล่านั้น ปัจจัยอาศัยเหล่านั้นใชหรือไม่? เราต้อง อาศัย เพราะเรา ยังมีร่างกายอยู่ แต่เราอย่างไปหลงสิ่งเหล่านั้น นะ อย่าไปถือว่าอันนั้นเป็นของสำคัญ จนหลงลืมตัว จะล้มจะตาย เพราะสิ่งเหล่านั้นนะ ขนาดร่างกายยังไม่ใช่ตัวของเรา แล้วจะไป หลงสิ่งภายนอกว่าเป็นตัวของเรานั้น ถูกต้องแล้วหรือ? 106


อันนี้เมื่อเราพิจารณาตามความเป็นจริง เมื่อเห็นตามปัญญาแล้ว เราจะรู้แจ้งเห็นจริง จากนั้นความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความ หลงก็ดีที่อยู่ในจิตใจของเรา มันก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริง 107 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ฐานของหนทางสู่นิพพาน การสร้างบุญ สร้างกุศล ไม่ใช่มีแต่เรื่องทานอย่าง เดียว เผลอๆ เรื่องทาน บ้างครั้งมันต้องสู้กับกิเลสในจิตใจ ของตัวเองด้วยเหมือนกัน เพราะพอทำ ไปแล้วมานึกเสียอก เสียใจก็มี หรือทำ ให้จิตใจของเราเศร้าหมองก็มีไม่น้อย เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการทำ บุญทำ ทาน ให้เสียสละเท่า ที่เราจะทำ ได้ ให้รู้จักพอประมาณ นอกจากนี้การรักษา ศีล เราก็ควรจะทำ แต่ตามจริงเรื่องทานก็ดี เรื่องศีลก็ดี มันเป็นเครื่องประคับประคองเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เป็น เสบียงในการเดินทาง ทานเป็นค่าเดินทาง อย่างเมื่อเราจะ ไปที่ไหน ถ้าเราขาดปัจจัย ๔ ถึงไม่มีค่ารถ แล้วเราจะเดิน ทางได้อย่างไร นี่แหละเรื่องทานเราต้องทำ เอาไว้ เพราะ เมื่อเราไปเกิดในภพใดชาติใดก็ตาม อานิสงส์ทานเรามี เราก็ ไม่ทุกข์ ไม่ยาก ไม่ลำ บาก เพราะเราได้เตรียมพร้อมแล้ว อานิสงส์ทานไม่ไปไหน พาพวกเราไปสู่ความสุขด้วยปัจจัย ๔ ไปที่ไหนไม่ขาดตกบกพร่อง อาหารการบริโภคไปอยู่ ที่ไหนก็สะดวกสบายในปัจจัย ๔ ส่วนในเรื่องของศีล เราก็ไม่ ให้ละเลย เพราะถ้าหากเราไม่รักษาศีล ศีลก็จะไม่คุ้มครอง เรา เราก็หาความสุขได้ยาก 108


เพราะถ้าเราไม่มีศีล ก็เหมือนไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ คน จะมาเบียดเบียนรังแกเราได้ การที่เรามีศีลนั้นเปรียบเสมือน เรามีอานิสงส์ของศีลคุ้มครอง ถ้าอยู่ที่ใดรํ่ารวยมีความสุข ด้วยปัจจัย ๔ แต่มีคนมาเบียดเบียน มารังแก แล้วเราจะ หาความสุขได้หรือเปล่า? เราก็หาความสุขไม่ได้ เพราะ ฉะนั้นเรื่องทานเป็นเสบียง ศีลคือกฎระเบียบ เรื่องการเป็น อยู่ สิ่งคุ้มครอง ไม่ให้เราไปได้รับความทุกข์ ไม่ให้มีใครมา ฆ่า มาเบียดเบียนเรา ร่างกายของเราก็ไม่มีโรคภัยไข้ เจ็บ เพราะอานิสงส์ศีลคุ้มครอง พอคุ้มครองทั้งสองอย่าง แล้วจะให้หยุดอยู่แค่นั้นก็ไม่น่าจะถูกต้อง มีแต่สะดวกสบาย เท่านั้นเอง เราต้องเสาะแสวงหาธรรม เพราะถึงแม้ว่าจะ สะดวกสบายขนาดไหนก็ตาม ก็ยังไม่พ้นแก่ เจ็บ ตายอีก เรา ไม่พ้นจุดนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่าให้ ทำสมาธิ ให้หนีออกจากวัฏสงสาร หนีจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย 109 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ของที่เข้ากัน เมื่อเราได้แผนที่แล้ว แต่ถ้าเราไม่เดินตามแผนที่ แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไร? พอได้แผนที่แล้วต้อง ลงมือเดินตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตามที่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ได้ให้คำแนะนำสั่งสอนเรา คือให้ทาน รักษา ศีล ภาวนา ให้ทำครบคู่ไปด้วยกันทั้งหมด ถ้าเป็นคนไม่ เสียสละ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนเห็นแก่ตัว แล้ว เวลาภาวนาจิตใจมันจะเข้าสู่ความสงบสุขได้อย่างไร? จิตใจ มันจะเหี่ยวแห้ง ไม่ชุ่มชื่นด้วยคุณธรรม ศีลธรรม เหมือน กับต้นไม้ มันต้องมีเปลือก ต้องมีกระพี้ ต้องมีแก่น แต่ เราชอบคิดที่จะเอาแก่นอย่างเดียวที่มีประโยชน์ แล้วจะ ให้เอาเมล็ดไปปลูกให้เป็นแก่นเลยแล้วมันจะเป็นไปได้ หรือไม่? มันก็ต้องปลูกขึ้นมาให้เป็นต้นเล็กๆซะก่อน ต่อไป ก็เป็นเปลือก ต่อไปก็เป็นกระพี้ซะก่อน ถึงสร้างแก่นขึ้นมา ได้ สำ หรับอุบาสก อุบาสิกา คือทาน ศีล ภาวนา แต่สำ หรับ พระสงฆ์ให้เน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา 110


การสร้างบุญ สร้างกุศล ให้ตัวเองของเรา พอเราไป เกิดชาติใด ภพใดก็จะไม่อดอยาก ตัวอย่างเช่น พระอนุ รุทธะ สมัยที่ท่านยังสร้างบารมีอยู่ มีอยู่ภพหนึ่งที่ท่านเคย ได้เกิดเป็นทุคตะ คือเป็นผู้ยากจน ไปหาเกี่ยวหญ้าคามา ขายให้แก่ประชาชน พอหาเลี้ยงชีพไปเป็นวันๆ แต่มาวัน หนึ่งไปหาเกี่ยวหญ้าคาแต่เช้า ภรรยาก็อยู่บ้านทำอาหาร เสร็จแล้ว ระหว่างสามีไปเกี่ยวหญ้าคากลับมา พอดีไปเห็น พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้า ซึ่งท่านตั้งใจที่จะมาโปรดชายทุคตะ อยู่แล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านนั่งเข้านิโรธสมาบัติเป็น เวลา ๗ วันโดยไม่ได้ฉันอาหาร ก่อนที่ท่านจะออกจากนิโรธ สมาบัติ ท่านก็มองดูว่าใครสมควรที่จะเป็นผู้ทำ บุญวันนี้ให้ แก่ท่าน ถ้าหากว่าใครทำ บุญให้แก่ท่าน จะปรารถนาเป็น กษัตริย์ อุปราช เสนาบดี ก็เป็นได้ตามที่ปรารถนาด้วยอานิ สงฆ์แห่งบุญนี้ แต่โดยมากจะเป็นเศรษฐีซะมากกว่า ท่านก็ มองเห็นทุคตะคนนี้เป็นผู้เต็มเปี่ยมจะทำ บุญ ทุคตะคนนั้น ขณะเดินทางกลับบ้านไปเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินสวนมา พอดี ก็เลยถามท่านว่าได้อาหารแล้วหรือยัง? พระปัจเจกก็เฉย ไม่พูด “ขอท่าน เปิดบาตรให้กระผมดู” ก็เห็นว่ายังไม่มีอาหาร “ถ้าอย่างนั้น กระผมขอนิมนต์ท่านไปรับประทานที่บ้านของ กระผม” จากนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็เดินตามหลังไปที่บ้าน 112


พอมาถึงทุคตะก็ถามแม่บ้านว่า “มีอาหารอยู่หรือไม่?” “มี อยู่ เป็นสำ หรับของเจ้า” ทุคตะทั้งที่หิวแสนหิว ข้าพเจ้าเกิดมา ชาตินี้ ภพนี้ทุกข์ยากขนาดนี้ เพราะไม่ได้ทำ บุญไว้ในชาติ ก่อน จึงเกิดมาทุกข์ยากแสนลำ บากในชาตินี้ เพราะอย่าง นั้น ข้าพเจ้าขอทำ บุญ จากนั้นพระปัจเจกก็เปิดบาตร พอ ทุคตะเขี่ยอาหารลงไปได้สักครึ่ง พระปัจเจกท่านก็ปิด บาตร “อีกครึ่งหนึ่ง ให้โยมกินซะ” “แต่อันนี้เป็นอาหาร สำ หรับคนๆเดียวครับ พระคุณเจ้า ดังนั้นกระผมจะขอ ถวายท่านทั้งหมด” พอใส่อาหารทั้งหมดบาตรแล้ว ทุคตะ ก็ “สาธุ ขอให้การทำ บุญของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ข้าพเจ้าไป เกิดในภพใดชาติใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าอดอยาก แล้วก็ ขอสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการแล้ว อย่าให้ได้รู้ได้เห็นคำ ว่า ไม่มี” พระปัจเจกได้ยืนดูอานิสงส์ทานด้วยความมุ่งมั่น ท่านก็ตรัสว่า “เอวัง โหตุ เอวัง โหตุ เอวัง โหตุ ขอความ ปรารถนาของท่าน จงสำ เร็จทุกประการ” จากนั้นพระ ปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็เหาะไป พอเกิดมาในชาติภพนี้ พระอนุรุทธเถระก็ได้มาเกิด เป็นญาติผู้น้องของพระพุทธเจ้า ตอนเด็กๆ พอไปเล่นหมาก รุกกัน ใครที่แพ้คนที่ชนะก็กินขนมของคนนั้น ทีนี้เจ้าชายอนุ รุทธะแพ้ก็เลยต้องเสียขนม คนอื่นที่ชนะ เขาก็ได้กินขนม 113 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ของเจ้าชายอนุรุทธะ พอเล่นไปได้ ๒-๓ ครั้ง ทีนี้ขนมที่เจ้า ชายอนุรุทธะเอามาเกิดหมด จึงให้มหาดเล็กวิ่งไปหาพระมา รดาใหไปขอขนมมาเพิ่ม พอดีขนมหมดแล้ว พระมารดาจึง ให้มหาดเล็กกลับไปบอกเจ้าชายอนุรุทธะว่า ขนมไม่มีแล้ว พอมหาดเล็กกลับมาบวกเจ้าชาย ทีนี้เจ้าชายอนุรุทธะพอได้ ยินก็เกิดสงสัย เอ้..ขนมไม่มีหน้าตามันเป็นอย่างไร เพราะ ตั้งแต่เกิดมาคำว่า ไม่มี ไม่เคยได้ยิน จึงสั่งมหาดเล็ก งั้นก็ ให้ไปเอาขนมไม่มีมาแทนก็ได้ มหาดเล็กไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ วิ่งกลับไปบอกพระแม่เจ้าว่า เจ้าชายอนุรุทธะต้องการขนม ไม่มี ทีนี้พระมารดาต้องการจะสอนเจ้าชายให้รู้จักคำว่าไม่มี ดังนั้นท่านจึงก็เอาถาดครอบด้วยถาดอีกใบ นั่นแหละขนม ไม่มี พอยกไปเท่านั้น เทวดาทั้งหลายเห็นว่าความปรารถนาใน อดีตชาติของพระอนุรุทธะ สิ่งไม่มีให้ไม่ได้เห็น ขอไม่ให้ได้พบ ได้เห็นอีกคำว่าไม่มี เทวดาจึงเอาขนมใส่ให้เต็มเลย ทีนี้เจ้าชาย อนุรุทธะเปิดมาหอมตลบไปหมด ทำ ไมคุณแม่ไม่เคยทำขนม อย่างนี้ให้เรากิน มหาดเล็กก็กลับมาเล่าให้พระมารดาฟังว่า พอ เปิดออกมาอาหารเต็มเลยครับ ลูกของเรา คงเป็นผู้มีบุญมาเกิด ตั้งแต่นั้นมา พอลูกชายบอกว่าอยากกินขนมไม่มี พระมารดาก็ เอาถาดเปล่ามาครอบไว้ พอเปิดออกมาก็มีขนมใส่ให้เต็มเลย เพราะเทวดานำ มาถวาย 114


ถ้าพวกเราอยากมีอยู่มีกิน ควรจะสร้างบุญกุศล การ สร้างบุญสร้างกุศลมีหลายวิธี ไม่ใช่ว่าจะทำ ทานอย่างเดียว การรักษาศีลก็ใช่ การปฏิบัติภาวนาก็ใช่ ให้ทาน ๑oo ครั้ง สู้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ๑ ครั้งไม่ได้ รักษาศีลบริสุทธิ์ ๑oo ครั้ง สู้นั่งภาวนา ๑ ครั้งไม่ได้ อย่างพวกเรานี่ก็แปลกเหมือน กันนะ เวลาเสียสละให้ทาน ยังพอทำกันไหว แต่พอเวลาจะ รักษาศีล หรือให้ภาวนา ยิ่งจะไม่เอาเลย ว่าอย่างนั้นเถอะ 115 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


117


118


กว่าจะมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก พวกเราที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นผู้ มีบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าหากว่าพวกเราเกิดมาแล้ว เรา ไม่สมบูรณ์ ทุพพลภาพ เกิดมาหูหนวกตาบอด บ้าใบ้ เสีย สติ แบบนี้ถึงเราจะเกิดมาเป็นคนก็ไม่เกิดประโยชน์สำ หรับ เรา แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พร้อมหมดทุกอย่างทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งสุขภาพร่างกาย สติ ปัญญา เรียกได้ว่าเป็นผู้มีบุญมาเกิด ได้ทำคุณงามความดีไว้ ดีแล้ว จึงได้มาเกิดเป็นคน แล้วยังมาพบพระพุทธศาสนาอีก ถือว่าพวกเราทั้งหลายโชคดีหลายชั้นแล้วนะ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าทำ ให้โอกาสโชคดีนี้ผ่านไป โดยที่ไม่ได้ ประกอบคุณงามความดีอะไรเลย มันจะเปล่าประโยชน์ เพราะอย่างนั้นอย่าให้ได้พลาดโอกาส ให้พากันตั้งอกตั้ง ใจ ควรเหตุและผลที่พวกเราได้ศึกษาจากพระธรรมคำสั่ง สอนจากพระพุทธเจ้า ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์แนะนำสั่ง สอน เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว 119 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


อย่าอยู่เป็นทัพพีไม่รู้รสแกง ในเมื่อพวกท่านทั้งหลายออกไปสู่ฆราวาสญาติโยม ก็เอา สิ่งที่ได้เรียนรู้ในขณะเป็นพระนี้ไปใช้ แม้ว่าในระยะแรก เราอาจ จะยังมีธุระการงานอยู่ เราจึงไม่ได้สนใจ แล้วก็อยู่แบบไม่ได้ใส่ใจ เราอาจจะหลงๆ ลืมๆ ไป แต่ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า ผมมั่นใจว่า เมื่อพวกท่านทั้งหลายหมดทางที่จะไปแล้ว เมื่ออายุของพวกท่าน มากแล้ว ก็พร้อมจะหันหน้ามาวัดวาศาสนา หันมาหาที่พึ่งทางใจ ผมมั่นใจเหลือเกินว่า ในช่วงเวลานั้นของชีวิตพวกท่านจะรำลึกถึง คุณงามความดี ในสมัยเมื่อพวกท่านทั้งหลายที่ได้เคยมาประพฤติ ปฏิบัติอยู่ในวัดของผมแห่งนี้ จากนั้นพวกท่านทั้งหลายเมื่อออก ไป ได้ประสบกับความเจ็บป่วยไม่สบาย หรือมีอุปสรรคในการ ดำ รงชีพ ผมก็มั่นใจเหลือเกินว่าในคราวนั้น พวกท่านทั้งหลาย จะรำลึกถึงธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ธรรมคำสอนของ พระพุทธเจ้า ธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่พวกท่านทั้ง หลาย เคยได้ฟัง เคยได้ศึกษา เคยได้เรียนรู้ เคยได้อ่านจากตำ รับ ตำ ราในสมัยเมื่อท่านทั้งหลายได้เคยบวชอยู่ที่นี่ และจะได้นำ ธรรมคำสอนเหล่านั้นไปประพฤติปฏิบัติปรับปรุงกายใจของท่าน นี่แหละการศึกษาหรือการฟัง ผมเองมั่นใจว่าจะเกิดประโยชน์ต่อ พวกเราท่านทั้งหลาย แต่ถ้าหากว่าพวกท่านทั้งหลายมาอยู่แบบ 120


ทัพพีแช่อยู่ในหม้อแกง ถึงจะอยู่ ณ สถานที่ใดก็ตาม ก็ไม่เกิด ประโยชน์ มีแต่ให้เขาตักแกงเท่านั้นเอง แต่ไม่เคยได้รู้รสนํ้าแกง หรือรสของพระธรรม เพราะฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายทุกองค์ ควรจะเป็นผู้สนใจ มุ่งมั่น ประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่พ่อ แม่ครูบาอาจารย์บอกกล่าวเอาไว้ ผมมั่นใจว่าจะเกิดประโยชน์ อย่างมากต่อท่านทั้งหลาย ในอนาคตข้างหน้า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง 121 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ควรรู้จริตตนเอง การประพฤติปฏิบัตินั้นไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าตัวของเรา แต่ละท่านเองว่าเราถูกกับจริตไหน เหมือนกับเวลาที่เรารับ ประทานอาหาร คนหนึ่งชอบเผ็ด คนหนึ่งชอบเค็ม แต่อีกคนหนึ่ง ชอบหวาน แต่ละคนจะว่าไปแล้วทานอาหารเหมือนกันอยู่ แต่ ความชอบอาจจะมีแตกต่างกันไป การประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ ก็เหมือนกัน อาจจะมีบางคนบางท่านถูกจริตกับบางกรรมฐาน เหมือนอย่างครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าที่พวกเราได้ศึกษามา การปฏิบัติ ของพระสาวกก็ใช่ว่าจะเป็นไปตามแนวแถวเดียวกันทั้งหมด บาง องค์ก็ชอบกรรมฐานแบบหนึ่ง เพราะปฏิบัติแล้วได้ผล แต่บาง องค์ลองเอากรรมฐานที่หมู่ครูบาอาจารย์เคยแนะนำ สั่งสอนลูก ศิษย์มาลองปฏิบัติแล้วกลับไม่ได้ผล หรือแม้แต่บางองค์เป็นพุทธ วิสัย ต้องให้พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเองเท่านั้น ให้สาวกอื่นสอนให้ ไม่ได้ เพราะจะต้องอาศัยพุทธะ ต้องใช้อิทธิฤทธิ์เข้าช่วย พระองค์ นั้นจึงจะได้สำ เร็จมรรคผล อันนี้ถ้าหากว่าพวกเราได้ศึกษาในพระ ไตรปิฎกก็มีลักษณะอย่างนี้อยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไร พวกเรามา ถึงยุคสุดท้ายปลายแดน เราก็ต้องพึ่งตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง พึ่งครูบา อาจารย์สั่งสอนด้วยส่วนหนึ่ง ท่านก็ให้หลายเงื่อนหลายแนวทาง มาทดลองดู ทีนี้เราก็มาทดลอง ทดสอบดูซิว่า แบบไหน 122


เหมาะกับจริตของเราที่สุด? พอลองอันแรกไปได้ซักพักแล้วมันยัง ไม่ได้ผล เราก็ค่อยลองเปลี่ยนกรรมฐานเป็นอีกอันหนึ่งแทนดู แต่ จะให้เราเป็นคนจับจด เปลี่ยนกรรมฐานวันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อันนี้ก็ไม่ถูกเหมือนกัน อันนั้นมันเป็นลักษณะจับฉ่ายมากกว่านะ หากฎหาเกณฑ์อะไรไม่ได้ จะยึดกรรมฐานไหนก็ให้ยึดกรรมฐาน นั้นเป็นหลักไปก่อน จากนั้นก็ให้สังเกตไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหากว่า เราเป็นผู้สังเกต หลวงพ่อมั่นใจว่าอีกสักวันหนึ่งใจของเราจะเข้า สู่ความสงบ เมื่อจิตใจสงบเป็นหนึ่งแล้ว จากนั้นก็มาพิจารณาทาง ด้านปัญญา ก็เกิดปัญญาเห็นเรื่องต่างๆ ได้อย่างชัดเจน 123 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


สำ�รวมอินทรีย์ ผู้ใดก็ตามเป็นสมณะ เป็นนักบวชเป็นผู้มาปฏิบัติ ธรรม ถ้าไม่สำ รวมอินทรีย์อันได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของตนเองแล้ว จักเป็นอาหารของรากษส เป็นอาหารของ ยักขินีทั้งหมด การสำ รวมอินทรีย์มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นหนทางที่จะพ้นทุกข์ได้ จะ เป็นผู้พ้นทุกข์ในวัฏสงสาร ถึงแดนพระนิพพานได้ นี่แหละ คือธรรมคำ สั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าพวกเรามาเปรียบ เทียบการประพฤติปฏิบัติของเรา ให้พวกเราท่านทั้งหลาย สำ รวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของตนเอง พวก เราจะถึงจุดหมายปลายทาง แต่ถ้าพวกเราไม่สำ รวจและ สำ รวมอินทรีย์ แต่กลับไปปล่อยจิตปล่อยใจให้เลอะเทอะ ในแต่ละวี่ละวัน ในแต่ละเวลา แล้วพวกเรามีแต่กิเลส ราคะ โมหะ โทสะ โลภ โกรธ หลง เข้ามาเหยียบยํ่าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พวกเราอย่าหวังเลยว่าสมาธิจะเกิดขึ้นกับพวก เราท่านทั้งหลาย 124


เวรระงับไม่ได้ด้วยการจองเวร อย่าไปจองเวรจองกรรมกับใครทั้งนั้น มันไม่เป็นผล ดีต่อใครหรอก มีแต่ให้อภัยดีที่สุด เวรย่อมระงับได้ด้วยการ ไม่จองเวร เวรจะระงับไม่ได้ถ้าหากพวกเรายังจองเวรกัน อยู่ มันไม่มีที่สิ้นสุดนะถ้ายังจองเวรกันอยู่ คราวนี้เขาชนะ เรา คราวหน้าเราชนะเขา มันหมุนเวียนพลิกควํ่าพลิกหงาย อยู่อย่างนั้นในโลก ถ้าหากว่าให้อภัยกันซะ เรามีแต่หนีอย่าง เดียว จะทำอย่างไรให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ ไม่ขอมาเวียนว่าย ตายเกิดในวัฏสงสารอีก ให้หมดกิเลส ราคะ โมหะ โทสะ ตามแนวแถวของพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระ ธรรมคำสั่งสอนของพุทธะที่ท่านได้สอนไว้ตรัสไว้ ขอให้ ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ ไม่มาเวียนว่ายตายเกิด 125


ทางโลกอย่าให้ขาด ทางธรรมอย่าให้พร่อง พวกเราทุกท่านได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มาปฏิบัติ ธรรม ให้เกาะติดกับธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า การเสาะ แสวงหาทรัพย์ทางโลกก็จำ เป็น แต่อย่าถือว่าอันนั้นคือจำ เป็นสุดๆ แล้วอย่างอื่นไม่จำ เป็นเลย อันนี้ก็ไม่น่าจะถูกต้อง เราควรเสาะ แสวงหาทรัพย์ภายใน คือหาศีลหาธรรม เข้าสู่จิตใจของเราด้วย ถ้าหากว่าพวกเราได้ทั้ง ๒ อย่าง ทั้งศีลธรรมด้วย ทั้งภายนอกด้วย อย่างเรื่องของการครองชีพของเราก็ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทั้งเรา เป็นผู้มีเมตตา ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ทำ มาหาเลี้ยงชีพด้วย ความหมั่นความขยัน อดทน อยากให้พวกเราทุกท่านอย่าตั้งอยู่ใน ความประมาท ทั้งทางโลก ก็อย่าให้ขาดตกบกพร่อง ทั้งทางธรรม อย่างภาคปฏิบัติศีลธรรมก็อย่าให้ขาดตกบกพร่องเช่นเดียวกัน 126


ขาดสัจจะคือขาดความจริงจังและจริงใจ คนเราถ้าขาดสัจจะ คือเป็นคนเหลาะแหละ ก็จะหาพรรค พวกที่จะทำ มาค้าขายด้วยไม่ได้ เพราะคนขาดสัจจะ พอไปพูดกับ เขาคำ หนึ่ง แล้วพอหันหลังก็อีกอย่างหนึ่ง คิดว่ารับปากเขาแล้ว ว่า จะช่วยหรือจะทำ หรือจะใช้หนี้เขาแล้ว พอเสร็จกลับคำ หรือไม่ให้ เขาเลย ต่อไปคนที่ไม่มีสัจจะ จะไม่มีคู่ค้า จะไม่มีใครไว้ใจ เพราะ เป็นคนขาดสัจจะ สัจจะคำ นี้คนโบราณเขาเรียกว่าสัจจะลูกผู้ชาย ลักษณะอย่างนั้น สัจจะคือความจริงจังและจริงใจ พูดคำ ไหนก็ ต้องคำ นั้น ถ้าปฏิเสธก็ต้องต่อหน้าเลยว่าทำ ไม่ได้ ถ้าหากว่าเราไม่ มั่นใจ เราก็พูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่าไม่แน่จุดนี้ ยังรับไม่ได้ ไม่ใช่ว่า เราจะรับทุกอย่าง แล้วทำ ไม่ได้ อันนั้นแปลว่าคนขาดสัจจะ คือ ขาดความจริงจังและจริงใจ อันนี้คือธรรมข้อหนึ่งสำ หรับฆราวาส 127


ให้ดูใจ ถ้าหากว่าหมดความกระตือรือร้นในการประกอบคุณงาม ความดี แต่กลับใฝ่ไปแต่ในทางชั่ว ทางบาป-อกุศลขนเข้ามาสู่ จิตใจ อันไหนที่เป็นความชั่วช้าเสียหาย ผิดต่อหลักพระธรรม วินัย หลบๆ ซ่อนๆ หลีกๆ เลี่ยงๆ ทำอย่างนั้นไม่ถูกนะ พวกท่าน ทั้งหลายไม่มีใครรู้ยิ่งกว่าตัวของท่านเอง สิ่งเหล่านี้ผมในฐานะที่ เป็นหัวหน้าก็ต้องกล่าวยํ้าเตือนว่า ให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ผุดผ่องในหลักพระธรรมวินัย ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่มีหลัก พระธรรมวินัยแล้ว หรือไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่มียางอายต่อพระ ธรรมวินัย แล้วพระกลุ่มไหนล่ะที่จะมีความละอายต่อบาป? เรา เป็นพระกรรมฐานเป็นผู้ฝึกฝนทางจิตใจอยู่แล้ว ชั่วมันจะออก มาจากไหนถ้าไม่ออกมาจากใจ มันก็ต้องออกจากใจเสียก่อน มัน ถึงมาทางกาย ไปทางวาจา เพราะฉะนั้นเราถึงต้องมาฝึก มานั่ง สมาธิ มาดูใจของเราว่าในแต่ละวี่ละวัน เราคิดไปในทางไหน? ถ้า คิดไปในทางชั่วแล้ว การกระทำก็ต้องออกไปในทางชั่วแน่ พูดออก ไปก็ต้องชั่วเหมือนกัน เพราะใจมันชั่ว พระกรรมฐานมาดูต้นตอของ ความดีและความชั่ว ดูว่าเราจะเสริมทางไหน? ถ้าหากว่าเราเห็นต้นตอ แล้วไปเสริมทางชั่ว แสดงว่าเราก็แย่มาก เป็นหมู่ของพระเทวทัต ถ้า เสริมทางดีก็เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เพราะเรารู้ว่าจิตใจคิดไปใน 128


ทางไหน มันไปทางตํ่าหรือทางสูง เพราะมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะ ดูใจของตนเองอยู่ตลอด นี่แหละพระกรรมฐาน แปลว่ามาดูใจ มา หาดูต้นตอของหลักการเป็นอยู่มวลมนุษยชาติ ถ้าพระกรรมฐาน ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักสิ่งควรไม่ควร แล้วใครจะรู้ ถ้าหาก พระกรรมฐานไม่รู้จักดูใจของตัวเอง มีแต่มองไปแต่ข้างนอก อัน นั้นไม่ใช่พระกรรมฐานแล้ว พระกรรมฐานต้องดูฐาน ๑ คือที่มั่น ของตัวเองคือ ให้ดูใจ 129 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


หน้าที่ของครูบาอาจารย์ ถึงข้าพเจ้าจะทำดีขนาดไหนก็เถอะ ข้าพเจ้ายังไงก็จะ ต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตายแน่นอน อันนี้เราก็ต้องได้ คิดไว้อีกเหมือนกัน เมื่อเราได้คิดอย่างนั้นแล้ว เราก็จะไม่ ลืมตัว เราก็จะวางตัวถูก จะทำอะไรลงไปด้วยความสบายใจ คือไม่ทุกข์ใจ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ถ้ามีอะไรผิดหวัง ก็ไม่ทุกข์ ใจมาก ก็ไม่เสียใจมาก เพราะเราได้คิด พิจารณา ไคร่ ครวญ ทบทวนในตัวของเราแล้ว ว่าอีกสักวันข้าจะต้องทิ้ง ทั้งหมดนะ ใจนะ คือว่าเราได้ปล่อยวางไว้ในจิตใจลึกๆไว้อยู่ แล้ว แต่ว่างานภายนอกเราก็ต้องทำ อย่างที่หลวงพ่อกำลัง พูดอยู่ แล้วทำ ไมหลวงพ่อไม่ปล่อยวาง? ทำ ไมหลวงพ่อยัง มีวัด ยังมีพระเณร ทำ ไมยังแนะนำสั่งสอน ทำ ไมจึงยังดุด่า ว่ากล่าวว่าพระองค์ไหนที่ทำตัวไม่ถูก หรือว่าญาติโยมทำ ไม่ ถูก? ทำ ไมหลวงพ่อจะต้องด?ุ ทำ ไมหลวงพ่อไม่ปล่อยวาง? อันนี้เพราะเราอยู่ในโลก เราอยู่ในกฎระเบียบ อยู่ในพระ ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้พระ สงฆ์อย่างหลวงพ่อต้องเป็นผู้ใหญ่ ให้คอยดูแลให้โอวาทพระ อย่างไร เป็นผู้แนะนำสั่งสอนศรัทธาญาติโยมอย่างไร หลวง พ่อก็พยายามทำดีที่สุด ถ้าสิ่งไหนที่มันทำ ไม่ถูก หลวงพ่อก็ดุ 130


ด่าว่ากล่าวอันนี้อย่าทำ นะ อันนี้เป็นการทำลายเหยียบยํ่า ทำลายพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเป็น พระ เป็นผู้ปกป้องดูแลรักษาพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายถ้าทำ อะไรไม่ถูกไม่ ควรให้หลวงพ่อได้เห็น หลวงพ่อเองจะต้องได้ดุด่าว่า กล่าว แต่ถึงจะดุด่าว่ากล่าวรักษาขนาดไหน ในจิตใจในใจ ส่วนลึกของหลวงพ่ออันนั้นคือหน้าที่ ที่เราจะต้องทำ ถ้าไม่ ทำแปลว่าเราบกพร่องต่อหน้าที่ของพระ เราได้พึ่งพาอาศัย พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นแนวปฏิบัติ เป็น แนวทาง เป็นสะพาน เป็นถนนไปสู่มรรคผลนิพพาน แต่คน ทั้งหลายไปทำลายซะ ถ้าคนทั้งหลายจะมาทำลายสะพาน มาทำลายถนน คนที่อยู่เบื้องหลังเขาจะทำอย่างไร? เขาจะ ถึงมรรคผลนิพพานหรือไม่? เราจึงต้องบอกกล่าวคนที่จะมา ทำลายถนน ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? อย่าทำ หลวงพ่อเป็น ผู้รักษา ก็ต้องดุด่าว่ากล่าวตามหน้าที่ แต่ถ้าเขาไม่ฟังจริงๆ หลวงพ่อก็ต้องอุเบกขา ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีทั้งเมตตา มุทิตา กรุณา อุเบกขา อุเบกขาก็คือความวางเฉย เพราะ สุดวิสัยแล้ว แต่ถ้ายังไม่สุดวิสัย เราก็ต้องรักษา ต้องปกป้อง ต้องดูแล ตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เท่าที่เราทำ ได้ 131 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวลาเรานั่งภาวนามันหยุดมันนิ่ง อะไรมันยัง เคลื่อนไหวอยู่ ก็คือลมหายใจเข้าออก เราก็เอาสติไปจับอยู่ ตรงนั้น ให้มีสติสัมปชัญญะ ในลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า พุท หายใจออกโธ อันนี้คือการกำ หนดกาย ภาวนาในการ นอนก็ได้ เรียกว่าอริยาบท ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ภาวนา ในสติปัฏฐาน ๔ อันนี้พูดเรื่องของกาย ลมหายใจเข้า-ออกก็ กาย ขาขวา-พุท ขาซ้าย-โธก็กาย ยืนภาวนาก็กาย เวลานอน ก็ให้กำ หนดลมหายใจเข้า-ออก หรือว่าให้กำ หนดดูร่างกาย ของตน ให้มีสติในการนอน กำ หนดดูตั้งแต่เท้าถึงศีรษะ ถ้า คนตายก็เหมือนกับเรานอนนี่แหละ คนตายสติออกจากร่าง ไปแล้ว ถ้าเรายังไม่ตาย ยังมีความรู้สึกอยู่อย่างนี้ อันนี้คือ การภาวนาในสติปัฏฐาน ๔ 132


พระพุทธเจ้าทรงเคยตรัสเล่าเรื่องการเสวยพระชาติในอดีต ชาติของพระองค์ ท่านตรัสว่าสมัยหนึ่งเราเคยเกิดเป็น ทุคตะ เป็น คนยากจน แต่เราก็ขยันในการทำ งานหาเลี้ยงชีพ ในสัมมาชีพ เรา หาฝืนมาขายในตลาดในเมือง ขนาดใส่เกวียนแล้วยังแบกใส่บ่าอีก เพราะมันล้นเกวียน จากนั้นทุคตะคนนั้น แทนที่จะมีความโศก เศร้าทุกข์ใจในการเป็นอยู่ กลับร้องรำ ทำ เพลงในขณะที่ขับเกวียน เอาฝืนเข้ามาขายในเมือง สู้ในชะตาชีวิตของตัวเอง เพราะเราเกิด มาเป็นคนจน เราจะไปทุกข์ยากลำ บากอะไร ชีวิตต้องสู้ ทุคตะ ท่านไม่มีความทุกข์ในใจ ในขณะที่ท่านเป็นคนขับล้อขับเกวียน เอาฝืนมาขายในเมือง ทีนี้พระราชาเสด็จรอบพระนคร เห็นเข้าหลายครั้ง เอ๊ะ ทำ ไมพ่อค้าขายฝืนคนนี้ดูเป็นคนจนนะ เพราะว่าในประเทศนั้น เขาแยกเป็นวรรณะ ๔ พราหมณ์ กษัตริย์ แพทย์ ศูทร พ่อค้าขาย ฝืนดูคล้ายวรรณะศูทร ถึงแม้เป็นวรรณะตํ่า แต่ใจของเขากลับ ร่าเริง ไม่ได้เสียอกเสียใจ ทำ งานทำการสู้หาเงิน พระเจ้าแผ่นดิน เห็นแล้วทรงเกิดสงสัยว่าคนๆนี้ทำ ไมเขาดูมีความสุข ไปเรียกเขา มาถามดูสิ เขาขายฝืนแล้วเขาได้เงินเท่าไร? พระเจ้าแผ่นดินก็ทรง อยากจะรู้อยู่แล้วว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่ดี เศรษฐกิจเป็นอย่างไร? การครองชีพของพี่น้องแต่ละหมู่ แต่ละเหล่าเป็นอย่างไร? พระเจ้า แผ่นดินท่านก็ทรงอยากจะทราบเหมือนกัน เพราะท่านเป็นฝ่าย ปกครอง 134


ท่านก็เรียกทุคตะเข้ามา ถามว่า “ทุคตะเป็นชายขายฝืน เป็นอย่างไร?” ทุคตะก็บอกว่า “ขายได้ดีอยู่ พระเจ้าข้า” “เมื่อตาแก่ได้เงินมาแล้ว ตาแก่ทำอย่างไร?” ด้วยความที่ชายขายฝืนคงจะเป็นนักปฏิภาณพอสมควร ไหวพริบ ดีด้วย ทุคตะก็ชี้แจ้งให้ฟังว่า กระผมแบ่งออกมาเป็นส่วนๆ พระเจ้าข้า “แบ่งอย่างไรเป็นส่วนๆ?” “ส่วนหนึ่งที่ขายฝืนได้มาก็ให้งูเห่างูจงอางกิน อันที่สอง ก็ไปทิ้งลงนํ้ามหาสมุทร อันที่สามก็ไปฝังดินเอาไว้ อันที่สี่ก็บูชา เทวดา” พระเจ้าแผ่นดินก็สงสัย ทำ ไมพูดเป็นปริศนาอย่างนี้? เรา อยากจะถามทุคตะ เธอทำอะไร? ทำ ไมแบ่งให้งูเห่างูจงอางกิน? แล้ว ทำ ไมจึงเอาทิ้งลงน้าทะเล? ทำ ํ ไมจึงเอาไปฝั่งดินเอาไว้? ทำ ไมจึง เอาไปบูชาเทวดา? ทำ ไมได้เงินมาถึงแบ่งเป็นหลายส่วนขนาดนั้น? ชี้แจงให้เราฟังหน่อยสิ ที่บอกว่าเอาให้งูเห่างูจงอาง เปรียบเทียบก็ เหมือนกับลูกเมียของผม ถ้าผมไม่ให้เขามันก็ต้องฉกก็ต้องกัด มัน จะต้องทำ ให้ผมเดือนร้อนวุ่นวายไปหมด ก็ต้องแบ่งให้เขา พอเขา ได้รับเงิน จึงอยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุข ส่วนที่ทิ้งลงมหาสมุทรทะเล คือส่วนที่ผมกินเอง ใช้เอง กินเท่าไรก็ไหลออกไป ไม่มีหมดไม่มีพอ 135 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


การใช้จ่ายทรัพย์สมบัติของผมไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับโยนลงนํ้า มหาสมุทรทะเล ส่วนที่ฝังดินคือส่วนที่ผมเก็บไว้ใช้ส่วนหนึ่งให้เกิด ประโยชน์ เก็บใส่คลังไว้ ฝังดินเอาไว้ก็เพื่อเป็นทุนดำ รงชีพ ส่วน ที่บูชาเทวดาคือส่วนที่ผมเก็บเอาไว้ทำ บุญทำ ทาน สร้างบุญ สร้างกุศลต่อไปในอนาคต เพราะที่ผมเกิดมาภพนี้ชาตินี้มันทุกข์ จน เพราะฉะนั้นผมจะต้องสร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้เผื่อไว้ใน อนาคตจะได้ไว้กิน ไว้ใช้ สรุปแล้วคนโบราณเอาจะพูดเป็นคำ ขึ้นมาเพื่อให้เป็นการ ศึกษา จะได้รู้ว่าการได้ทรัพย์มานั้นควรจะแบ่งอย่างไรจะได้ถูก ต้อง มิใช่ได้มาเท่าไรก็ใช้หมด ไม่ได้มีการดูแลรักษาเสียเลย เก็บไว้ ทั้งหมดมันก็ไม่ถูก ให้รู้จักหา ให้รู้จักเก็บ รู้จักใช้ ในเมื่อเราเป็น ฆราวาส ต่อไปภายภาคหน้าไม่มีใครที่จะรับผิดชอบชีวิตของเราได้ ยิ่งกว่าตัวของเราเอง ถ้าหากว่าเราไม่รับผิดชอบในการเป็นอยู่ของ เราเอง ใครจะรับผิดชอบให้เรา สิ่งเหล่านี้เราก็ควรจะดำ รงชีพด้วย สัมมาชีพ อย่าเป็นมิจฉาชีพ เมื่อเสาะแสวงหาทรัพย์ได้แล้วต้อง แบ่งเป็นส่วนๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีทาน ศีล ภาวนา สำ หรับฆราวาส 136


137


เมื่อเราเป็นลูก เมื่อเราเป็นลูกก็ให้รู้จักหน้าที่ พ่อแม่เลี้ยงดูเรามา เรา ควรจะตอบแทนบุญคุณของท่าน พ่อแม่เป็นผู้มีพระคุณ เลี้ยงดูเรามาแล้ว เราสมควรยิ่งจะต้องเลี้ยงท่าน ตอบแทน ทำ�กิจธุระของท่าน ธำ�รงวงศ์สกุล ประพฤติ ตนให้สมควรควรรับทรัพย์มรดก เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน อันนี้เป็นหน้าที่ของลูกทุกคน จะต้องคำ นึงและคิดอยู่เสมอ เมื่อพวกเราทำกับพ่อแม่ดี ลูก ของเราก็ดูว่าเราทำกับพ่อกับแม่อย่างไร ในเมื่อเขาใหญ่ขึ้น มา เขาจะต้องดูแลพ่อแม่เหมือนกับที่เราดูแลพ่อแม่ของเรา แต่ถ้าหากใครก็ตาม ดูถูกพ่อแม่ของตนเอง พ่อเป็นอย่างนั้น แม่เป็นอย่างนี้ ต่อไปภายภาคหน้าลูกของเรา เขาจะ พูดให้ลูกของเขาฟังอีก กรรมล้อกงเกวียนไม่ไปไหน หรอก “กัมมุนา วัตตติ โลโก สรรพสัตว์โลกทั้งหลายย่อม เป็นไปตามกรรมที่ได้ทำ ไว้ ถ้าตัวเองทำกรรมดี ผลตอบแทน ก็ตอบแทนในทางที่ดี แต่ถ้าหากว่าตัวเองทำ ในทางที่ไม่ดี ผลที่ตอบแทนมามันก็ไม่ดี” 139 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


เกิดที่ใจ ดับที่ใจ โลกมีแต่คิดไปข้างหน้า แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าให้คิด ย้อนกลับเข้ามาหาตัวเราเอง เปรียบเสมือนเราฉายไฟฉาย พอเปิด ไฟส่องไปข้างหน้าก็จะเห็นต้นไม้ ภูเขา สิงห์สาราสัตว์ต่างๆ ที่เรา ฉายส่องไป จิตเรานั้นพยายามวิ่งตามไฟที่ไฟฉายนั้นส่องไปข้าง หน้า ทีนี้ยิ่งเดินไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นมากขึ้น ถ้ามีความหลงมากก็ยิ่ง รักมากก็ยิ่งโกรธมาก ถ้ามีสิ่งไม่พอใจมากก็ยิ่งโกรธมาก ถ้ามีสิ่ง ที่จะหลงก็หลงมาก ถ้ามีสิ่งที่จะรักก็รักมาก เพราะไปเห็นตาม กระแสไฟที่ส่องออกไป แต่หลักพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า ให้ย้อนกลับเข้ามาหาหัวใจของตัวเอง เข้ามาหาที่หัวเทียนของ ไฟฉาย ไฟออกมาจากไหน จากนั้นเรื่องทั้งหลายทั้งปวงออกจาก หัวเทียนของไฟฉาย ถ้าอยากจะดับหรือรู้รอบก็ต้องหันเข้ามาดู ข้างใน คือใจ จากนั้นก็ดับที่ใจ ดูที่ใจ แก้ที่ใจ ปล่อยวางที่ใจ หลุด พ้นที่ใจ อันนี้คือหลักของพระพุทธศาสนา 140


ใจเป็นใหญ่ คนผู้ใดก็ตามถึงจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน แต่ถ้าว่าจิตใจไม่มี คุณธรรม ไม่มีศีลธรรมแล้ว ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นโมฆะบุรุษ ถ้าเป็นพระก็เรียกว่าโมฆะภิกษุ โมฆะแปลว่าผู้เปล่าประโยชน์ ไม่ใช่เปล่าในทรัพย์สมบัตินะ แต่ว่าเปล่าทางด้านจิตใจ แปลว่า คนที่ไม่มีคุณธรรมในด้านจิตใจ ไปอยู่ใน ณ สถานที่ใดก็มีแต่ ความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นในหลักของทางพระพุทธศาสนา ท่านว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า “มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโน เสฎฐา มโนมายา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่” เพราะฉะนั้นหลัก ของพระพุทธศาสนา ท่านเน้นเรื่องของใจเป็นสำคัญ ไม่ได้เน้น เรื่องวัตถุ เพราะถึงจะรํ่ารวย เลี้ยงร่างกายดีขนาดไหน ร่างกาย ของเราสักวันก็ต้องถึงจุดจบของมัน เพราะฉะนั้นร่างกายควร เลี้ยงแต่พอประมาณ แต่ควรจะเน้นไปในทางด้านจิตใจด้วย ควร จะนำ บุญกุศลเข้าสู่จิตใจ ในหลักของพระพุทธศาสนา 141 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ฆราวาสธรรม ฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาส ๔ อย่าง ที่หลวงพ่อ ให้เน้นหนักคือ สัจจะ ให้มีความจริงจัง จริงใจ ให้มี สัจจะในตัวเอง อย่าเป็นคนเหลาะแหละ ทมะ ให้รู้จักข่มจิตของตน อย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง เวลาโกรธ โมโหใคร อย่าไปใช้อารมณ์จนเกินงาม มันไม่ดี เผลอๆ แล้วอันตรายกับตนเองอีกต่างหาก ให้รู้จักข่มเอาไว้ ขันติ ให้มีความอดทนต่อหน้าที่การงาน ถึงจะหนัก จะเบาบ้าง ถึงจะร้อนจะหนาวบ้าง ถึงจะพอใจไม่พอใจบ้าง ก็ต้องอดทนต่องานที่จะต้องทำ ต้องใช้ความอดทนเป็นหลัก จาคะ คนที่มีจาคะ อยู่กับชุมชนใดอยู่กับกลุ่มใด ก็อยู่ได้ อยู่กับพ่อแม่ก็เสียสละให้พ่อแม่ สิ่งไหนที่ควรจะ เสียสละให้พวกท่าน อยู่กับลูกน้อง เราก็ควรจะเสียสละ ให้ลูกน้อง อยู่กับครอบครัว เราก็จะเสียสละอย่างไหนให้ ครอบครัว สรุปแล้วให้อยู่ในกรอบ ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม อยู่ ตามครรลองคลองธรรม ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง แล้ว ก็ให้มี จาคะ ให้มีความเสียสละต่อชุมชน ต่อสังคม ต่อ ประเทศชาติอันนี้คือฆราวาสธรรม ธรรมของฆราวาส 142


กาลเทศะ พวกท่านต้องมีธรรมในใจนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลา มาอยู่ใกล้เราต้องยิ่งระมัดระวัง ไม่ใช่จะมากร่างนะ จะมา ถือตัวตนว่าเป็นบุคคลสำคัญไม่ได้นะ ไล่ออกจากวัดนะ แล้ว อย่าหาว่าผมไม่บอกไม่ได้นะ องค์ที่มาอยู่ใกล้เรายิ่งจะต้อง รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักวิธีการพูด วิธีการโน้มน้าว พอมาอยู่ใกล้เราต้องทำตัวให้เป็นบุคคลตัวอย่าง ไม่ใช่ว่ามา อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์แล้วยิ่งเป็นนักเลง มันจะเกิดประโยชน์ อะไร? เข้ามาศึกษาเพื่ออะไร? เพราะฉะนั้นพวกท่านทั้ง หลายอยู่ในวัดของ เราต้องรู้จักกาล สถานที่ บุคคล ให้รู้จัก สูง ให้รู้จักตํ่า ให้รู้จักสิ่งไหนควร ไม่ควร ให้รู้จักกาลเทศะ 143 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ปฏิปทาพาดำ�เนิน เมื่อพวกเราบวชเข้ามาใหม่ เรายังไม่มีหลักยึด พวก เราก็ต้องอดทนศึกษาอยู่กับครูบาอาจารย์ไปก่อน เพื่อจะ ได้เรียนรู้เรื่องพระธรรมวินัยส่วนหนึ่ง เรื่องกฎระเบียบส่วน หนึ่ง เรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะเข้ามาสู่วัดวาศาสนาที่มีหลายคน เข้ามาเกี่ยวข้อง เราจะได้เรียนรู้ชีวิตประจำวัน ว่าในแต่ละ วันพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านพาดำ เนินอย่างไร เราก็ต้อง ศึกษา แปลว่าใหญ่กับพ่อ ก่อกับครู แต่ถ้าหากพวกเราไม่ได้ รับการอบรมศึกษาอย่างถูกต้อง ชัดเจน ทีนี้เราก็จะทำอะไร ตามอำ เภอใจ ซึ่งบางครั้งมันไม่ถูกหลักพระธรรมวินัย แต่ นี่เราเป็นพระสาธารณะ เราต้องมองดูตัวเองว่าการกระทำ อย่างนี้ สาธารณชน หรือว่าหมู่พวกเพื่อน ครูบาอาจารย์ ยอมรับได้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้เราก็ต้องได้คิด เพราะว่าพุทธ ศาสนา ไม่ใช่ศาสนาของเราคนเดียว เป็นศาสนาของทุกคน ที่นับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ใดอยู่ในกลุ่ม พุทธบริษัท ๔ เขาก็ต้องมองดูว่าการกระทำ เหล่านี้ มันถูก หรือไม่ แต่ตัวเองก็ว่าถูก อยากจะพูด อยากจะแสดงนักลง นักเลงอะไรออกไป แต่มันเป็นวงกว้างออกไปแล้ว ผู้ที่เห็นก็ เกิดความประมาทก็มี ไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธาก็มี จะมาบอกว่า 144


ไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธาเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของข้า แบบ นั้นไม่ได้เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน เพราะพุทธศาสนาไม่ใช่ ศาสนาของเราคนเดียว อย่างที่ว่า ถ้าเราอยากจะทำอย่างนั้น ก็ได้ แต่เราก็ต้องหนีออกไปอยู่ตามลำ พังในป่าในเขา ที่นั้น เราจะทำอย่างไรก็ได้ เพราะไม่มีใครมารู้มาเห็น แต่นี่เราอยู่ใน ชุมชน อยู่ในพุทธบริษัท ๔ พระพุทธเจ้าบัญญัติหลักพระธรรม วินัยไว้ ดังนั้นเราควรประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัย หรือตาม ธรรมคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์พาดำ เนิน อยากจะให้ พวกเราท่านทั้งหลายดำ เนินตามหลักธรรมคำสอน เมื่อเรามี หลักมีเกณฑ์แล้ว เราค่อยออกไปอยู่ผู้เดียวตามลำ พังก็ได้ 145 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


โชเฟอร์เตือนโชเฟอร์ ใจของเราคือโชเฟอร์ดูร่างกาย แล้วเตือนมันว่าอย่าไป ลุ่มหลงมัวเมานะว่าร่างกายนี้จะอยู่ไปชั่วฟ้าดินสลาย ไม่ได้ นะ แต่ก่อนที่จะเตือนตัวของโชเฟอร์เองได้ ต้องมีผู้รู้อย่าง พระพุทธเจ้าหรือพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาเตือนพวกเราก่อน ต้องมีโชเฟอร์คนอื่นมาเตือนโชเฟอร์อย่างเราก่อน ถ้าสมมติ ว่าท่านเป็นรถบีเอ็ม รถเบนซ์ รถโรลส์รอยซ์ท่านก็มาเตือน เราว่า โชเฟอร์รถอีซูซุ รถโตโยต้า อย่าไปลุ่มหลงนะ สักวัน รถคันนี้ของเธอก็ต้องบุสลายในที่สุดนะ ถึงจะเป็นรถโรลส์ รอยซ์ รถเบนซ์ก็เถอะ จะเป็นรถราคาแพงขนาดไหนก็เถอะ อีกสักวันหนึ่งตัองบุบสลายแน่นอน เพราะรถเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง สิ่งไหนไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งไหนเป็น ทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเราเด้อ โชเฟอร์ อย่า ไปลุ่มหลง อันนั้นท่านผู้รู้ท่านก็เตือนมา เราก็ฟังแล้วพิจารณา ตามอย่างที่ท่านได้เตือนเอาไว้ มันจริง เพราะเดี๋ยวก็เห็นคนนั้น จากไป เดี๋ยวก็เห็นคนนี้จากไป ไม่ใช่ว่าจะเห็นแต่คนเฒ่าแก่ ชราจากไปอย่างเดียว บางทีเป็นเด็กหนุ่มเด็กน้อยตายไปมี ตั้งเยอะแยะ เพราะฉะนั้นก็อยากให้ท่านทั้งหลาย ตั้งตนอยู่ ในความไม่ประมาท ตายแล้วไม่สูญแล้วในหลักธรรม 146


คำสอนของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ได้อย่างไร? ให้เรานั่งภาวนา เมื่อจิตใจสงบรวมเป็นหนึ่ง เราจะเห็นได้ชัดว่าร่างกาย เหมือนกับรถ จิตใจเหมือนกับคนขับรถ แล้วจะแยกแยะได้ เมื่อแยกแยะ ใจของเราไม่หลงร่างกาย ให้รู้เท่ารู้ทัน สิ่งไหนเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นก็ต้องเป็นทุกขัง สิ่งไหนที่ เป็นทุกขังจะยึดมาเป็นตัวตนได้อย่างไร? จากนั้นก็พิจารณา ถึงตัวใจ ตัวผู้รู้ อย่าไปหลงร่างกายนะ อย่าไปหลงใจนะ หรือแม้กระทั่งความนึกคิดก็อย่าไปหลง มองดูใจของตัวเอง มีสติสัมปชัญญะในความนึกคิดของตัวเอง ปล่อยว่างแม้ กระทั่งใจ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น เพราะใจเป็นอนิจจัง เดี๋ยวก็คิด ชั่ว คิดโกรธ คิดโลภ คิดหลง คิดรัก คิดชัง คิดเกลียด อยู่อย่าง นั้นทั้งวี่ทั้งวัน ใจของเราถ้ามีธรรมะหรือมีสติสัมปชัญญะดูใจ ของตนเอง รู้ได้ ถ้านั้นก็ต้องปล่อยว่างใจ กระทั่งสิ่งในใจของ เรา ปล่อยว่างทั้งหมด ทิ้งทั้งหมด 147 คติธรรมคำ�สอนและพระธรรมเทศนา


ไม่สุคะติง ไม่โภคะสัมปะทา ถ้าคนเราไม่มีศีล ล่วงละเมิดศีล พวกเราเดือด ร้อนวุ่นวายแน่ เพราะอะไร? ไปฆ่าผู้ฆ่าคนเข้า ไปฆ่า สิงสาราสัตว์เข้า ไปขโมยของใครเข้า เดือดร้อนเพราะไม่มีศีล “สีเลนะ สุคะติง ยันติ” ผู้ที่มีความสุขไปสู่สุคติได้เพราะมีศีล “สีเลนะ โภคะสัมปะทา” ผู้ที่จะมีโภคะสมบัติได้สมบูรณ์ บริบูรณ์ ร่มเย็นเป็นสุขได้ก็เพราะศีล คนที่มีศีลไม่คดโกง ไม่ปล้น ไม่เบียดไม่บังของของใครมา เวลาได้มาก็ได้มาโดย สุจริต ได้มาโดยนํ้าพักนํ้าแรงของเราเอง ได้มาด้วยการทำ มา ค้าขายของพวกเรา สมบัติเข้ามาหาเราก็เย็น แต่ถ้าหากพวก เราได้มาด้วยการคดการโกง การเบียดการบัง มันก็เป็น “ทุกขะติง ยันติ” ไม่ “สุคะติง” ไม่ “โภคะสัมปะทา” สมบัติ เข้ามามันก็เดือดร้อน เพราะเราได้มาส่วนนั้นไม่บริสุทธิ์ 148


ทางสายกลาง ตามที่พระพุทธเจ้าดำ เนินมา พระพุทธองค์ทรงตรัส ว่า ทางนั้น....เป็นทาง “อัตตกิลมถานุโยค” คือการประกอบตนเองให้ ลำ บากจนเกินไป ทางนี้....เป็นทาง “กามสุขัลลิกา”คือการหลงไหลเพลิดเพลิน หมกมุ่น ในกามสุข ทางนี้ “มัชฌิมาปฏิปทา” ทางสายกลางคือทาง “มัชฌิมาปฏิปทา” คือ ศีล สมาธิ ปัญญา คือ มรรค ๘ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป ที่เคยพูดให้ฟังโดยลำดับ 149


เจริญให้มาก การภาวนาทำจิตให้สงบ ทำจิตให้เป็นหนึ่ง ไม่ให้ คิดปรุงฟุ้งซ่าน ทำจิตให้สงบ ทำจิตให้คิดเป็นหนึ่ง คนที่จิต เป็นหนึ่งเปรียบเสมือนมีคนเฝ้าอยู่ในบ้านตลอดเวลา มี สติอยู่กับตัวเองตลอดเวลา คนนั้นจะไม่เป็นคนบ้าหรือ โรคประสาท เพราะความคิดปรุงฟุ้งนั้นไม่มี ถ้ามากกว่านั้น ในหลักของทางพระพุทธศาสนา ก็ว่ามหาสติมหาปัญญา สติ ถ้าเจริญมากไม่มีเสีย มีแต่ความถูกต้องดีงาม 150


Click to View FlipBook Version