The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ม.4 - ม.6-ผสาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุนีรัตน์ ชูช่วย, 2021-11-13 05:21:41

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ม.4 - ม.6-ผสาน

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ม.4 - ม.6-ผสาน

3. กำรประเมินกิจกรรมพฒั นำผู้เรยี น
1. ผ้เู รียนตอ้ งเข้าร่วมกจิ กรรมไม่น้อยกวา่ 80% ของเวลาเรยี นทง้ั หมด
2. ผู้เรยี นต้องปฏบิ ตั ิกิจกรรมต่าง ๆ และผ่านเกณฑ์ขน้ั ตา่ ตามทกี่ าหนด
3. ผู้เรียนจะได้รบั ผลการประเมินกิจรรม “ผ” (ผ่านกจิ กรรม)
4. เมือ่ ไมป่ ฏิบัติตามเกณฑข์ อ้ 1 และ ขอ้ 2 จะไดร้ บั ผลการประเมินกจิ กรรม “มผ” (ไมผ่ า่ นกจิ กรรม)

และไม่สามารถจบหลกั สูตรในแตล่ ะช่วงชนั้ จนกวา่ ผู้เรียนปรับปรุงแก้ไขใหผ้ ่านเกณฑ์

44

แผนกำรจัดกจิ กรรมแนะแนวท่ี 4

หน่วยกำรจดั กจิ กรรม กำรศึกษำ ช้ันมธั ยมศกึ ษำปีที่ 4-6

เร่อื ง กำรสำรวจนสิ ยั ในกำรเรียน จำนวน 2 ช่ัวโมง

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคญั
ผลการเรียนของนักเรียนแต่ละคนน้ันจะมีความแตกต่างกันไป ส่วนหน่ึงข้ึนอยู่กับนิสัยในการเรียน

การสารวจนิสัยในการเรียนช่วยให้นักเรียนได้รู้จักนิสัยการเรียนของตนเอง และ มีแนวทางในการปรับปรุงตนเอง
ซึง่ จะส่งผลตอ่ ความสาเรจ็ ในการเรียน

2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนกำรศึกษำ
ขอ้ 1 รู้ เข้าใจ และมีเจตคตทิ ่ีดีต่อการเรยี นรู้ตามหลกั สูตร

3. จดุ ประสงค์
3.1 วเิ คราะห์นิสัยการเรยี นของตนเองได้
3.2 บอกแนวทางในการพฒั นานิสัยการเรียนของตนได้

4. สำระกำรเรยี นรู้ 45
4.1 การสารวจนสิ ยั การเรียน
4.2 การพฒั นาแนวทางการเรียนของตนเอง

5. ชิน้ งำน / ภำระงำน
5.1 ใบงานเรื่อง แบบสารวจลักษณะนสิ ัยและทัศนคติทางการเรียน”
5.2 ใบงานเร่ือง พัฒนาตนเพ่ือผลการเรยี น
5.3 นักเรียนศึกษาใบความรเู้ ร่ือง สร้างนิสยั การต้ังใจเรียน

6. วิธีกำรจดั กิจกรรม
ช่ัวโมงที่ 1
6.1 ครูถามนักเรียนวา่ การเรยี นที่จะไดผ้ ลดนี ้ันขึน้ อยู่กับอะไรบ้าง
6.2 ครูถามนักเรยี นว่านกั เรียนทราบความหมายของคาวา่ นิสัยการเรียนหรือไม่
6.3 ครสู รปุ ความหมายและความสาคญั ของนิสัยการเรียนให้กับนกั เรยี นฟังจากใบความรู้
6.4 นักเรยี นแลกเปล่ียนเก่ียวกบั นสิ ัยการเรยี นโดยทวั่ ไปของนกั เรยี นวา่ เป็นอยา่ งไร จากนั้นรว่ มกัน

สรปุ สงิ่ ท่ีได้เรียนรู้

ชั่วโมงท่ี 2 46
6.5 ครแู จกใบงานเรื่องแบบสารวจนสิ ัยการเรียน และอธบิ ายวิธกี ารทา
6.6 ครใู ห้เวลานกั เรียนทาใหเ้ สร็จภายในเวลา 30 นาที
6.7 เมือ่ นักเรียนทุกคนทาแบบสารวจนิสัยการเรยี นเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว ครูอธบิ ายวิธกี ารแปลผลใหก้ ับ
นักเรียนทุกคน
6.8 นกั เรียนนาเสนอผลการวิเคราะห์นสิ ยั การเรยี นของตนเอง และนิสยั การเรยี นของนักเรยี นเป็น
เชน่ นน้ั จริงหรอื ไม่ เพราะเหตุใด รวมท้งั แนวทางในการพฒั นานิสัยการเรยี นตนเอง
6.9 ครอู ธิบายการฝึกหัดนิสยั การเรยี นวา่ มีแนวทางอย่างไรจากใบความรู้เรื่อง สร้างนิสยั การตง้ั ใจเรยี น
ในห้องเรยี น
6.10 นกั เรยี นทาใบงานเรอ่ื ง พฒั นาตนเพ่ือผลการเรียน จากนนั้ ร่วมกันสรปุ สิ่งทไ่ี ด้เรียนรู้

7. ส่ือ / อุปกรณ์
7.1 ใบความรู้เรื่อง สร้างนสิ ยั การตัง้ ใจเรยี นในห้องเรยี น
7.2 ใบงานเร่ือง แบบสารวจลกั ษณะนสิ ัยและทัศนคติทางการเรียน
7.4 แบบตรวจใหค้ ะแนนแบบสารวจลักษณะนสิ ยั และทัศนคตทิ างการเรยี น
7.5 ใบงานเร่อื ง พฒั นาตนเพื่อผลการเรียน

8. กำรวัดและประเมนิ ผล

8.1 วธิ กี ำรวดั และประเมินผล

8.1.1 สังเกตความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม และการรว่ มอภิปรายแสดงความคดิ เห็น
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความเรยี บรอ้ ยของใบงาน

8.2 เครอ่ื งมอื
-

8.3 เกณฑ์กำรประเมนิ

8.3.1 สงั เกตการปฏิบตั กิ ิจกรรม

เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี
ผา่ น มีความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม การรว่ มอภปิ รายแสดงความคิดเหน็
ไม่ผ่าน ขาดสง่ิ ใดส่ิงหน่ึง

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตัวบง่ ช้ี
ผ่าน ทาใบงานถูกต้อง ครบถว้ น และส่งงานตามกาหนด
ไมผ่ ่าน ขาดสิง่ ใดสงิ่ หนงึ่

47

ใบควำมรู้
เรอ่ื ง สรำ้ งนิสัยกำรตงั้ ใจเรียนในหอ้ งเรียน

1. แบง่ เวลำเปน็ 48

เคล็ดลับข้อแรก ถึงแม้ว่าเราจะชอบเล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ฯลฯ ขอแค่เรา
แบ่งเวลาให้เป็น เวลาไหนเลน่ กเ็ ล่น เวลาไหนเรียนก็เรียน จะเลน่ วันละก่ีชว่ั โมงก็ได้ แต่ขอบริหารเวลา มาเรียน
นอกเหนอื จากในห้องเรยี นสกั วนั ละ 30 นาที – 1 ชวั่ โมง

2. ทบทวนลว่ งหน้ำ - หลงั เรียน เขำ้ หวั ไม่ตอ้ งจำ

เช่ือว่าข้อน้ีถูกใจคนขี้เกียจจาไม่น้อย เคล็ดลับง่าย ๆ อ่านล่วงหน้าก่อนเข้าห้องเรียนสัก 10 - 15 นาที
อ่านผ่าน ๆ แค่หัวข้อก็พอว่าวันน้ีเราจะเรียนอะไรบ้าง พอตกเย็น ก็อ่านทบทวนผ่าน ๆ อีกรอบว่าวันน้ีเราเรียน
อะไรไป วันต่อวัน มันจะเข้าไปอยู่ในหัวเองไม่ต้องออกแรงจาให้เม่ือย แถมทาบ่อย ๆ มันจะประติดประต่อกันเอง
ทั้งเทอม

3. ไมผ่ ลดั วันประกนั พรุ่ง

เชื่อว่าทุก ๆ คนกเ็ คย หรอื ยังมีดินพอกหางหมูอย่ทู ้ังนั้น มันลาบากมากท่ตี ้องมาตามแกด้ นิ พอกหางหมู
บางครง้ั ใช้เวลามากกวา่ เดิม 3 เท่าบา้ ง 4 เท่าบ้าง

4. ลงมือทำโจทย์ แบบฝึกหัด กำรบำ้ น

บางคนมองข้ามการทาโจทย์ และแบบฝึกหัดตา่ ง ๆ ไปโดยสิ้นเชงิ แล้วกลับไปให้ความสาคัญกับการเรียน
เน้ือหา หรือทฤษฎีต่าง ๆ หลายคนทาแบบฝึกหัดข้อแรกท่ีได้ทาคือในห้องสอบเท่านั้น แล้วมันจะทาได้ยังไง
พอออกมาจากห้องสอบก็น้าตาตกในทาไม่เปน็ นักฟุตบอลเก่ง ๆ อย่างเมสซ่ี เขามีความลับในความเก่งซ่อนอยู่นนั่
คือ เขาใช้เวลาเรียนทฤษฎีนิดเดียว เอาให้ได้ครบสักรอบสองรอบก็พอ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปทุ่มเทให้กับการซ้อม
ในสนาม (ทาแบบฝีกหดั ) อย่างหนกั ทุกวนั ๆ

ใบงำน
เรื่อง แบบสำรวจลกั ษณะนสิ ัยและทัศนคตทิ ำงกำรเรียน
คำแนะนำในกำรทำแบบสำรวจ

แบบสารวจชุดน้ีมีจานวน 100 ข้อ เป็นข้อคาถามเก่ียวกับลักษณะนิสัยท่ีท่านเคยปฏิบัติ และ
ความคิดเห็นในด้านการศึกษาเล่าเรียนของท่าน จึงไม่มีคาตอบใดถูกหรือผิด ส่ิงสาคัญท่ีสุดคือ ขอให้ท่าน
ตอบใหต้ รงกับความเปน็ จรงิ ท่ีท่านประพฤตปิ ฏิบัติหรอื ตามที่ทา่ นรสู้ ึกจริง ๆ

การตอบแบบสารวจน้ี ให้ท่านอา่ นและพจิ ารณาข้อความทีละขอ้ แลว้ พิจารณาวา่ ทา่ นเคยปฏบิ ัติ
หรือมคี วามคดิ เหน็ ความรู้สึกในเรือ่ งนั้นมากน้อยเพยี งใด ใน 5 ลาดบั ตอ่ ไปน้ี

ก หมายถึง ปฏบิ ตั บิ อ่ ยคร้งั ทส่ี ุด หรือเห็นดว้ ยอยา่ งยง่ิ

ข หมายถึง ปฏิบัตบิ ่อยมาก หรอื เห็นดว้ ย

ค หมายถงึ ปฏิบัตปิ านกลาง หรอื รสู้ กึ เฉย ๆ

ง หมายถงึ ปฏิบตั ิบางครง้ั หรือไม่เหน็ ด้วย

จ หมายถึง ไม่เคยปฏบิ ตั เิ ลย หรือไมเ่ ห็นด้วยอย่างยงิ่

โปรดทาลงในกระดาษคาตอบ และไม่ขีดเขียนข้อความใด ๆ ลงในแบบสารวจ

1. ฉนั พยายามที่จะแก้รายงาน ข้อสอบ การบ้านใหถ้ ูกตอ้ งตามท่ีอาจารยต์ รวจให้ 49
2. ในเรื่องการเรยี นฉันพยายามปรับปรุงตนเองให้ดขี ึ้นเร่ือย ๆ
3. ฉันคดิ ว่าอาจารย์ไมย่ อมรับฟังความคดิ เหน็ ของนักเรียน เพราะท่านคิดวา่ ท่านรู้ดีกวา่ นักเรียน
4. ฉันชอบเรยี นวชิ าทไ่ี ม่ต้องมกี ารสอบเลย
5. ฉันมกั จะวางหัวข้อการเขยี นรายงาน การบ้าน ฯลฯ ทิ้งไว้จนใกล้ถงึ เวลาจึงจะทา
6. กอ่ นลงมือเขยี นรายงานฉันต้องแน่ใจว่าเขา้ ใจสิ่งทตี่ อ้ งการจะทานนั้ ๆ อย่างแจม่ แจง้ เสยี ก่อน
7. ฉันรสู้ กึ วา่ ถา้ อาจารย์ผูส้ อนอารมณไ์ ม่ดี ฉันจะเรียนไม่รู้เร่ือง
8. ฉันเรยี นหนงั สอื ด้วยความสนุกสนานมากกว่าทกุ ขใ์ จ
9. ในชั่วโมงเรียน ฉนั ชอบชวนใหอ้ าจารยพ์ ดู นอกเร่ือง
10. ในบทเรยี นที่ยาก ๆ นัน้ ฉันจะอ่านซา้ หลาย ๆ คร้งั จนเขา้ ใจแล้วจึงผ่านไป
11. ฉันคดิ วา่ การท่ีนักเรียนไมก่ ล้าซักถามอาจารย์ เพราะอาจารยถ์ ือตัว ไม่เปน็ กันเอง หรือดุมากเกินไป
12. ฉนั มักขาดเรยี นด้วยเหตุผลที่ไม่จาเปน็ นัก เช่น เมื่อมีงานบางอยา่ งท่ีต้องทา หรือเมอ่ื ต้องดหู นังสอื ใกลส้ อบ

หรือไปธรุ ะกับเพ่ือน ๆ
13. ฉนั ชอบอา่ น ทางาน ทาการบ้านดว้ ยความม่ันใจและรบั ผดิ ชอบตอ่ ตนเองโดยไมต่ ้องมใี ครบอก บน่

หรือบังคบั
14. ฉนั จะจดงานหรือขดี เส้นใต้ข้อความสาคญั ท่ีอาจารย์เน้น
15. ฉันคดิ วา่ อาจารย์ทาการสอนโดยไม่เตรียมตวั ลว่ งหนา้

16. ฉนั รูส้ กึ ยนิ ดเี มื่อทราบวา่ อาจารยไ์ มม่ าสอนหรอื มกี ารงดเรียนในบางช่วั โมง

17. มปี ัญหาบางอย่าง เช่น ปัญหาการเงิน ปัญหาความรัก ความไม่เข้าใจกบั พอ่ แม่ ทาใหฉ้ ันไม่สนใจ

การเรียน

18. ฉนั ชอบตื่นนอนแต่เชา้ และอ่านหนังสือก่อนไปโรงเรยี น

19. ฉนั มน่ั ใจว่า อาจารย์ทม่ี าสอนนัน้ จะตอ้ งมีความรู้ในเรื่องท่ที ่านสอนเปน็ อยา่ งดี

20. ฉันเชื่อว่า การได้สนุกสนาน และการทาให้คนอื่นมสี ่วนรว่ มสนุกดว้ ยนั้น มีความสาคัญมากกว่าการเรียน

21. เมื่อเรมิ่ เรยี น ฉนั รูส้ ึกเหนอื่ ย เบือ่ หนา่ ย และง่วงนอนเกนิ กว่าจะเรยี นใหไ้ ด้ผลดี

22. ในระหวา่ งสอบ ฉนั ลืมสูตร คานยิ าม และรายละเอียดอนื่ ๆ ทฉี่ ันเคยจาได้หรือมคี วามรู้จรงิ ๆ

23. ฉนั คดิ วา่ อาจารยส์ ่วนมากมีความลาเอยี ง ชอบนักเรียนท่ีร้จู ักเอาใจท่าน

24. ฉนั คดิ อยู่เสมอวา่ สง่ิ ที่มีคา่ มากท่สี ุด และอนาคตของฉันข้นึ อยกู่ ับความสาเร็จของการศึกษา

25. ฉนั เสยี เวลาไปกับการพดู คยุ อา่ นหนงั สือท่ไี ม่เกีย่ วกบั การเรียน ฟงั วิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์

มากเกนิ ไป

26. เมื่อทราบกาหนดการสอบ ฉนั จะวางแผนดหู นังสือเพื่อเตรยี มตวั สอบทนั ที

27. อาจารยส์ อนเร็วจนฉันตามไม่ทัน ทาให้เกิดความเบื่อหนา่ ย และทอ้ แท้

28. ฉนั รูส้ กึ วา่ เปน็ การที่ไม่คุ้มค่าที่ตอ้ งเสยี เวลา เสียเงินในการเข้าเรียนในโรงเรยี น

29. ฉันไมส่ ามารถเขยี นไดเ้ หมือนอยา่ งที่คิดไวเ้ ม่ือตอนสอบ ทาการบา้ นหรอื รายงานต่าง ๆ ท่ีอาจารย์สั่งจนทาให้

ตอ้ งสง่ งานล่าช้า หรอื ทาคะแนนได้ไม่ดี 50

30. ในหอ้ งเรียน ฉันพยายามหลบเล่ยี ง หรอื น่ังกม้ หน้าเพ่ืออาจารยจ์ ะได้ไมต่ ้องถามปญั หาฉัน

31. ฉนั รู้สกึ ว่าการโต้แย้งกับอาจารย์ ทาใหก้ ระทบกระเทือนต่อผลการเรยี นของฉันเปน็ อย่างมาก

32. ฉนั คดิ ว่า ได้เรยี นวชิ าท่มี ปี ระโยชนต์ ่อตวั ฉันน้อย

33. ฉนั ไม่ค่อยมีความพยายาม หรือความอดทนทจี่ ะใชค้ วามสามารถให้เต็มทใ่ี นการทาการบ้าน รายงานหรอื

ข้อสอบ

34. เมื่อต้องอ่านตาราที่มเี น้อื หายาวมาก ฉันจะหยุดเป็นช่วง ๆ และทบทวนถึงตอนสาคญั ๆ ที่ได้อ่านแล้ว

35. ฉันคิดวา่ อาจารย์มกั จะหลกี เล่ียงการอภิปรายเร่ืองราว และเหตุการณป์ จั จุบันในชัน้ เรียน

36. ฉนั พยายามปรบั ปรุงตนเองให้สนใจวิชาเรยี นต่าง ๆ อยา่ งจริงจงั

37. ฉนั เป็นคนท่ีขยันทางานอย่างสมา่ เสมอ

38. หลังจากที่ได้อ่านหนังสือไปหลายหนา้ แลว้ ฉันกล็ ืม และไม่สามารถจะระลกึ ถึงสง่ิ ที่อ่านผ่านไปได้

39. ฉนั รู้สึกท้อแท้และเจ็บใจ เมื่ออาจารยต์ าหนวิ า่ ฉันเปน็ คนสะเพร่าทางานไมเ่ รยี บร้อย

40. วชิ าทเ่ี รยี นบางวิชาน่าเบือ่ หน่าย ฉันจงึ ใช้เวลาทเี่ รียนน้นั วาดรปู บา้ ง เขียนจดหมายบ้าง พูดคยุ กับเพื่อนบา้ ง

หรอื คิดถึงเรอื่ งต่าง ๆ แทนการฟงั อาจารยส์ อน

41. ฉันมักใจลอยเวลาเรียนหนงั สอื

42. ฉนั จบั ใจความสาคัญของเรอื่ งท่อี ่านไมค่ ่อยได้ ซึ่งใจความสาคญั นี้มกั จะปรากฏในข้อสอบภายหลัง

43. ฉันรู้สกึ วา่ อาจารย์ให้การบา้ นมากเกนิ ไป จนทาให้นักเรียนท่ีเรียนปานกลางไมส่ ามารถทาให้เสร็จไดท้ ัน

44. ฉนั เชื่อว่า จุดมุง่ หมายของการศกึ ษาจะเป็นเคร่ืองมอื ในการดาเนินชีวิตแกน่ กั เรยี น 51
45. เป็นการยากที่จะคดิ วางแผนการเขยี นตอบให้ได้ดีในเวลาอันสนั้ ฉนั จึงทาคะแนนไมไ่ ดด้ ี
46. ในการทบทวนบทเรยี น ฉันใช้วธิ ีตงั้ คาถามให้กบั ตวั เองมากกวา่ การใช้วธิ ีอา่ นไปเรือ่ ยๆ
47. ฉันรู้สกึ ว่าอาจารยห์ ลายคนไม่มคี วามยืดหยุ่น ใจแคบ เอาแต่ใจตนเอง หรือชอบใช้อานาจมากเกินไป
48. ฉนั เรียนไดด้ เี ฉพาะวิชาทฉ่ี นั ชอบเท่าน้นั
49. ถ้ามกี ารบ้านมากหรอื ยากกวา่ ปกติ ฉันมักจะไม่ทา หรือถา้ ทาฉนั จะทาเฉพาะสว่ นทง่ี ่ายเท่านัน้
50. ฉนั มกั ประมาทเลินเล่อและมีความสะเพรา่ ในการทาการบ้าน เขียนรายงานหรอื ตอบข้อสอบ
51. อาจารย์ของฉันไม่ได้อธบิ ายรายละเอียดใหเ้ พียงพอในเร่ืองที่ทา่ นสอนอยู่
52. ฉนั ขาดความสนใจในการเรียน จึงรสู้ กึ วา่ เป็นการยากที่จะทาความเข้าใจเนื้อหาจากการอ่านหนงั สอื
53. ฉันทารายงาน อา่ นหนงั สอื ท่อี าจารยส์ งั่ และทาการบ้านแต่ละวันเสร็จเสมอ
54. ฉันมักใชเ้ วลากับการศึกษาวิชาหนึง่ วชิ าใดทชี่ อบมากเกินไป จนมเี วลาเหลือนอ้ ยสาหรับวิชาอ่นื ๆ
55. ฉันร้สู กึ ว่าในเวลาทาข้อสอบ ถา้ อาจารย์มายืนดู ฉันจะไมส่ ามารถทาต่อไปได้ คิดไมค่ ่อยออกหรือหยุดทา

ข้อสอบ
56. การไมช่ อบอาจารยบ์ างคน ทาให้ฉันละเลยการเรียน
57. เม่ืออาจารยต์ าหนหิ รอื วจิ ารณ์การบ้านหรอื รายงานของฉนั บ่อย ๆ ฉนั รู้สกึ ไมอ่ ยากทาส่ง หรือไม่ก็อยาก

หลีกเลี่ยงการส่งงาน
58. ฉันชอบรบั ประทานขนมหรือคุยกบั เพ่อื นในชว่ั โมงเรยี น
59. ฉันคดิ วา่ นักเรียนที่ถามคาถามหรือเข้ารว่ มในการอภิปราย เป็นคนทพ่ี ยายามเอาใจอาจารย์
60. ฉนั คดิ วา่ ไม่จาเป็นตอ้ งเรียนมาก คนเรากส็ ามารถดารงชีวติ อยู่ได้อยา่ งมคี วามสขุ
61. ฉนั มาโรงเรียนแต่เชา้ และเขา้ เรียนทันเวลาทกุ ครง้ั
62. ฉนั เตรียมสมดุ แบบเรียน เครอ่ื งเขียนและอุปกรณ์เก่ียวกับการเรยี นมาพรอ้ มทุกคร้ังที่มีการเรยี น
63. ฉันมีความรู้สึกวา่ อาจารยค์ านึงถงึ เรอื่ งเกรดมากเกินไป ทาใหล้ ืมความมงุ่ หมายท่แี ทจ้ รงิ ของการศกึ ษา
64. ฉันคดิ ว่าวชิ าท่เี รยี นทกุ วชิ าสามารถนาไปใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้ท้งั น้ัน
65. ฉนั ใชเ้ วลาในวนั หยุดใหก้ บั การเรยี นมากกวา่ การไปเทย่ี วหรอื สงั สรรค์กบั เพื่อนฝงู
66. อาจารยว์ ิจารณ์รายงานของฉันวา่ วางแผนการเขยี นไม่ดี หรือเขยี นอย่างรบี ร้อน สะเพร่า สกปรก

ทาไมเ่ รียบร้อย
67. การทีอ่ าจารย์ใช้ภาษาถ้อยคาทฉ่ี นั ไม่เขา้ ใจมาอธบิ าย ยกตัวอย่าง และใช้เทคนิคมากเกินไป ทาใหฉ้ ันยงิ่

ไมเ่ ขา้ ใจมากข้ึนไปอีก
68. ฉนั เช่อื วา่ คนทมี่ ีการศึกษาจะสามารถแก้ปญั หาได้ดกี วา่ คนท่ไี ม่มีการศึกษา
69. ฉนั จะเกบ็ รวบรวมรายงานทกุ ช้ินในแตล่ ะวิชาไวด้ ้วยกนั และนามาจัดเปน็ หมวดหมใู่ หเ้ รยี บร้อย
70. ฉันจากฎการสะกดคา คาจากัดความ หลักไวยากรณ์ สูตร ฯลฯ โดยไมท่ าความเข้าใจอย่างแทจ้ ริงเสียก่อน
71. ฉันรู้สึกว่าอาจารย์ไม่ใครจ่ ะเช่ือถือนักเรยี น และมักคดิ ว่านกั เรียนเป็นเดก็ อย่เู สมอ
72. เหตุทฉี่ ันไมอ่ ยากมาเรียน เพราะฉนั เรยี นไม่ทนั เพ่ือน

73. ถ้าฉันทารายงานหรือทาการบ้านไม่เสรจ็ ฉันจะขอลอกจากเพ่อื นเพื่อใหม้ งี านส่งอาจารย์ 52
74. ฉนั มปี ญั หาเกีย่ วกบั การอา่ นบทความตา่ ง ๆ เชน่ เขา้ ใจเรอื่ งทอ่ี า่ นไม่ตรงกับความจรงิ หรือเข้าใจเร่ือง

เพียงบางสว่ น บางสว่ นก็ไม่เข้าใจแจ่มแจง้
75. ฉนั รสู้ กึ ว่าอาจารย์พยายามทาวชิ าทง่ี า่ ยให้กลายเป็นวิชาท่ยี ากสาหรับนักเรียน
76. ฉนั คิดว่าจะเรยี นต่อไปใหส้ งู ท่ีสุดเท่าทโ่ี อกาสอานวย
77. ถงึ แมว้ า่ งานท่ีอาจารย์มอบหมายใหท้ าจะไมน่ ่าสนใจและน่าเบอ่ื หน่าย ฉนั กต็ ั้งใจทาจนสาเร็จเรียบรอ้ ย
78. ฉนั รู้สกึ เครยี ด และสับสนในขณะทาข้อสอบ และไม่สามารถตอบคาถามให้ได้ดตี ามความสามารถของฉนั
79. ฉันรสู้ กึ ว่าการที่อาจารยห์ วั เราะเยาะผลงานของนกั เรยี น เป็นสาเหตุสาคญั ทที่ าให้นกั เรียนโกงหรอื หลกี เลย่ี ง

การทางาน
80. ฉนั คิดว่าความรา่ รวยสามารถซอ้ื ตาแหน่งการงานได้
81. การทฉี่ นั เหน่ือยเกนิ ไป อารมณเ์ สียหรือมีความเศร้าใจ ทาให้ฉันไมม่ สี มาธใิ นการเรยี น
82. ฉนั ต้งั ใจเรยี นอย่างสมา่ เสมอขณะที่อาจารย์สอน
83. ฉนั รู้สึกว่า ความชอบหรอื ความไม่ชอบนักเรยี นของอาจารย์มีอิทธิพลตอ่ การให้เกรด
84. ฉันรูส้ กึ ภูมใิ จท่ีมโี อกาสไดเ้ ขา้ เรยี นในโรงเรียนนี้
85. ถา้ การบ้านหรืองานท่ีอาจารย์มอบหมายใหท้ านน้ั ยาก ฉันจะเพ่ิมความพยายามให้มากขนึ้
86. เมอื่ ฉนั จาเปน็ ต้องขาดเรยี น ฉันจะพยายามเรยี นให้ทันโดยเร็วโดยท่ีอาจารยไ์ ม่ต้องเตือน
87. ฉนั รูส้ ึกว่าในขณะที่สอน อาจารยช์ อบพดู นอกเร่ืองหรือพูดไรส้ าระ
88. แม้วา่ ฉนั ไม่ชอบเรยี นบางวชิ า แตก่ ็พยายามเอาใจใส่เพื่อให้ไดเ้ กรดดี
89. เมอ่ื อาจารย์มอบหมายใหค้ ้นคว้าหรืออ่านหนังสือเพ่มิ เติม ฉนั จะรีบเข้าหอ้ งสมดุ ทนั ทีท่ีมเี วลาวา่ งจากการเรียน
90. ฉนั ชอบคยุ หรอื ถกเถยี งปญั หาตา่ ง ๆ เก่ียวกบั การเรยี นกบั เพอ่ื น ๆ
91. ฉันคดิ วา่ อาจารย์มอบหมายใหน้ ักเรียนไปค้นคว้านอกห้องเรยี นมากเกนิ ไป
92. ฉนั ตดั สนิ ใจไม่ไดว้ า่ จะเลือกเรียนวิชาใดท่ีเหมาะสมเพ่ือไปประกอบอาชีพได้
93. ฉนั พยายามเรียนให้ดีขน้ึ เมื่อสอบได้คะแนนน้อยกว่าเพ่ือนๆ ในวชิ าใดวชิ าหนึง่
94. ฉนั จะทบทวนบทเรียนหรอื อา่ นหนังสือลว่ งหน้าเพ่ือเตรียมตัวทีจ่ ะเรยี นในวนั ถดั ไป
95. ฉันรู้สึกว่าอาจารยบ์ างคนใชอ้ ารมณ์มากเกนิ ไป พดู จาไมส่ ภุ าพ บน่ จจู้ ้ี และดุมากเกินไป

ทาให้นักเรยี นไม่อยากเรยี น
96. แม้วา่ ฉนั จะชอบวิชาหนึง่ วชิ าใดจรงิ ๆ ฉันเช่ือวา่ จะทาคะแนนไดเ้ พียงแค่ผ่านเทา่ น้ัน
97. ฉนั ใชเ้ วลาศกึ ษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ นอกห้องเรียนวนั ละ 1 - 2 ช่วั โมง หรือมากกวา่ นั้น
98. ฉันทาบนั ทึกย่อไวท้ กุ วชิ าเพื่อชว่ ยความจา และสะดวกในการทบทวนบทเรยี น
99. ฉนั พยายามเลือกท่นี ง่ั หลังช้ันเวลาเรยี น เพราะไมช่ อบเผชญิ หน้ากบั อาจารย์
100. หลงั จากเปดิ ภาคเรียนไดเ้ พียง 1 สัปดาห์ ฉนั กห็ มดความสนใจในวิชาทีเ่ รยี น

กระดาษคาตอบแบบสารวจลกั ษณะนสิ ัย และทัศนคติทางการเรียน

ช่ือ – นามสกลุ นักเรียน ..........................................................................ช้นั .......... /........... เลขท่.ี .................

ขอ้ ก ข ค ง จ คะแนน ขอ้ ก ข ค ง จ คะแนน ขอ้ ก ข ค ง จ คะแนน ขอ้ ก ข ค ง จ คะแนน

1 26 51 76

2 27 52 77 53
3 28 53 78
4 29 54 79
5 30 55 80
6 31 56 81
7 32 57 82
8 33 58 83
9 34 59 84
10 35 60 85
11 36 61 86
12 37 62 87
13 38 63 88
14 39 64 89
15 40 65 90
16 41 66 91
17 42 67 92
18 43 68 93
19 44 69 94
20 45 70 95
21 46 71 96
22 47 72 97
23 48 73 98
24 49 74 99
25 50 75 100

แบบตรวจใหค้ ะแนนแบบสารวลกั ษณะนิสัย และทัศนคติทางการ
เรยี น

1. นิสัยทำงกำรเรยี น ประกอบด้วย ต้งั แต่ ข้อ 1,5,9 ...........89,93,97
แรงจงู ใจในการเรียน ไดแ้ ก่ คอลัมน์ท่ี 1

วิธเี รียน ไดแ้ ก่ คอลัมนท์ ี่ 2 ต้งั แต่ ข้อ 2,4,6 ..........94,98

2. ทศั นคติในกำรเรยี น ประกอบด้วย

การยอมรับในตัวครู ไดแ้ ก่คอลมั น์ที่ 3 ต้งั แต่ข้อ 3,7,11 ……...91,95,99
ตง้ั แตข่ ้อ 4,8,12…........92,96,100
การยอมรบั คุณค่าของการศึกษา ได้แก่คอลมั น์ท่ี 4

กำรนบั คะแนน กข คงจ

54 321

คอลัมน์ 1 1 5 21 25 33 41 45 53 69 73 93 54
คอลมั น์ 2 2 6 10 14 18 22 26 34 50 54 58 70 74 82 86 90
คอลัมน์ 3 15 55 59 67 75 95
คอลมั น์ 4 4 20 24 28 32 44 48 52 56 72 96 100

กำรนับคะแนน กข คง จ
12 345

คอลมั น์ 9 13 17 29 37 49 57 61 65 77 81 85 89 97
1
คอลัมน์ 30 38 42 46 62 66 78 94 98
2
คอลมั น์ 3 7 11 19 23 27 31 35 39 43 47 51 63 71 79 83 87 91 99
3
คอลัมน์ 8 12 16 36 40 60 64 68 76 80 88 84 92
4

กำรแปลผล หมายถงึ ตอ้ งปรบั ปรุง 55
1 - 25 หมายถงึ พอใช้
26 - 50 หมายถงึ ปานกลาง
51 - 75 หมายถงึ ดี
76 - 100 หมายถงึ ดมี าก
101 - 125

ใบงาน เรอื่ ง พัฒนาตนเพอื่ ผลการเรียน

คำช้ีแจง ใหน้ ักเรียนบันทึกผลจากแบบสารวจลกั ษณะนิสัยและทัศนคติทางการเรียน และพิจารณาเพื่อการ
รูจ้ ักและพัฒนาตนเองด้านการเรยี นต่อไป

1. ลกั ษณะนิสัยทางการเรยี น มี 2 องคป์ ระกอบได้แก่

1.1 แรงจูงใจในการเรียน คะแนน ................. แปลผล..................................................

1.2 วิธีการเรียน คะแนน ................. แปลผล.................................................

2. ทัศนคตทิ างการเรียน มี 2 องคป์ ระกอบไดแ้ ก่

2.1 ทศั นคตติ ่ออาจารย์ คะแนน ................. แปลผล..................................................
2.2 ทัศนคติต่อการศึกษา คะแนน ................. แปลผล..................................................

การพฒั นาตนเองเพื่อผลการเรียน 56

1. วิธีการพัฒนาลกั ษณะนสิ ัยทางการเรยี น

.......................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................

2. วธิ ีการพฒั นาทัศนคติทางการเรยี น

.................................................แ...ผ..น...ก...ำ..ร..จ...ัด..ก...จิ ..ก...ร..ร..ม...แ...น..ะ...แ..น...ว...ท..่ี..1................................................

........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................

แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวท่ี 5 ชน้ั มัธยมศกึ ษำปีท่ี 4 - 6
หนว่ ยกำรจัดกจิ กรรม กำรศกึ ษำ จำนวน 2 ช่ัวโมง
เรื่อง เทคนคิ กำรเรยี นทม่ี ีประสทิ ธภิ ำพ

1. สำระสำคัญ 57
การร้จู กั การพฒั นาตน เพือ่ เพ่ิมทกั ษะทางการเรยี น แหลง่ เรียนรู้,uสว่ นสาคญั ในการส่งเสรมิ และพฒั นา

ดา้ นการเรยี น แหลง่ เรียนรทู้ ั้งในและนอกโรงเรยี นจะช่วยให้นักเรยี นเรียนรูไ้ ด้อย่างหลากหลายและ มีประสทิ ธิภาพ

2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นกำรศึกษำ
ข้อ 2 มีค่านยิ มในการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต

3. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้
3.1 บอกวธิ ีการปฏบิ ตั ติ นเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพได้
3.2 บอกวิธกี ารแสวงหาข้อมูลจากแหลง่ การเรยี นรทู้ ั้งภายในและภายนอกโรงเรียนได้

4. สำระกำรเรียนรู้
4.1 วิธกี ารปฏิบัติตนเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ
4.2 วิธีการแสวงหาขอ้ มูลจากแหลง่ เรียนรู้ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรยี น

5. ช้ินงำน / ภำระงำน
5.1 ใบงานเร่อื ง วิธีการปฏิบตั ิตนเพอื่ พัฒนาทักษะการเรยี นที่มีประสิทธภิ าพ
5.2 ใบงานเรอ่ื ง การใชแ้ หล่งการเรียนรู้

6. วิธกี ำรจดั กจิ กรรม
ชั่วโมงท่ี 1
6.1 ครนู าสนทนา เรื่องวิธีการเรียนทีน่ กั เรยี นเคยปฏิบตั ิ เช่น การอา่ นหนังสือ การเตรยี มตวั

เรยี น การแบง่ เวลาในละวนั
6.2 แจกใบความรูเ้ รื่อง ทักษะการเรยี นท่ีมปี ระสิทธภิ าพ ใหน้ ักเรียนศกึ ษา ครูอธิบายเพิ่มเติม
6.3 แจกใบงานเรื่อง วิธปี ฏบิ ัติตนเพื่อพฒั นาทักษะการเรยี นทมี่ ีประสิทธิภาพให้นักเรียนทา
6.4 ขอนักเรียนอาสาสมัครอา่ นใบงานของตนใหเ้ พื่อนๆ ฟังและใหน้ ักเรียนร่วมกันอภิปราย
6.5 ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรุปสง่ิ ทไี่ ด้เรยี นรู้
ช่ัวโมงที่ 2
6.6 .ทบทวนกิจกรรมในช่วั โมงท่ีผ่านมา
6.7 ครชู วนสนทนาเก่ียวกับความหมายของ“แหล่งการเรยี นรู้”

6.8 ให้นักเรียนช่วยกันคิดชื่อแหลง่ การเรยี นรทู้ ่ีนักเรยี นร้จู กั แลว้ ออกมาเขียนบนกระดาน 58
โดยแยกเปน็ แหลง่ เรยี นรู้ภายในและภายนอกโรงเรยี น

6.9 แบง่ กล่มุ นักเรียนกลุ่มละ 4 - 5 คน ระดมสมองบอกวิธีการแสวงหาข้อมูล โดยการทาใน
ใบงานเร่ือง การใช้แหลง่ การเรยี นรู้

6.10 ใหน้ กั เรียนออกมานาเสนองานแต่ละกลุ่ม
6.11 ครแู ละนักเรียนร่วมกนั สรุปสงิ่ ท่ไี ดเ้ รียนรู้

7. สือ่ /อุปกรณ์
7.1 ใบความรู้ เรือ่ ง ทักษะการเรยี นท่ีมปี ระสิทธิภาพ
7.2 ใบงานเรอ่ื ง วธิ กี ารปฏิบัตติ นเพ่ือพฒั นาทักษะการเรยี นทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ
7.3 ใบงานเร่อื ง การใชแ้ หล่งการเรยี นรู้

8. กำรประเมินผล
8.1 วิธีกำรประเมิน
8.1.1 สงั เกตการปฏิบตั ิกิจกรรม
8.1.2 ตรวจใบงาน

8.2 เกณฑก์ ำรประเมนิ
8.2.1 สังเกตการปฏิบตั กิ จิ กรรม

เกณฑ์ ตวั บง่ ชี้
ผา่ น มคี วามตง้ั ใจร่วมกจิ กรรม ให้ความร่วมมือกับกลุ่มในการอภิปรายแสดงความ

คิดเห็น และส่งงานตามกาหนด
ไม่ผ่าน ไมใ่ ห้ความร่วมมือกับกล่มุ หรือ ขาดส่ิงใดสงิ่ หน่ึง

8.2.2 ตรวจใบงาน

เกณฑ์ ตัวบ่งชี้
ผ่าน บอกวธิ ีการปฏบิ ัตติ นเพอ่ื พัฒนาทักษะการเรยี นและวธิ ีการแสวงหาขอ้ มลู ได้
ไม่ผ่าน ไมส่ ามารถบอกวธิ กี ารปฏิบัติตนเพ่อื พัฒนาทักษะการเรยี นและวธิ ีการแสวงหา

ขอ้ มูลได้

ใบควำมรู้
เรื่อง ทกั ษะกำรเรียนที่มปี ระสทิ ธภิ ำพ

ทักษะกำรเรียนที่มีประสทิ ธิภำพประกอบด้วย
1. เทคนคิ กำรอ่ำนตำรำทด่ี ีที่สดุ คือ

เทคนคิ SQ3R :ซึง่ มีความหมายดังต่อไปนี้

S = Surveyสารวจ

Q = Question ต้ังคาถาม

R = Read อา่ น

R = Recite ท่อง

R = Review ทบทวน

รำยละเอียดของแตล่ ะขั้นตอน มีดังน้ี 59
1.1 สำรวจ (Survey) เมื่อเริ่มศึกษาวิชาหน่ึงวิชาใดในเบ้ืองต้นควรสารวจตาราเล่มนั้น

เพื่อดูแนวทางกว้างๆของตาราเสียก่อน โดยอ่านคานา สารบัญ จากน้ันควรสารวจบทต่างๆของหนังสือ โดยดู
ยอ่ หน้าแรก หัวข้อใหญ่ หวั ข้อย่อยภายในบทเพือ่ ทีจ่ ะได้รวู้ ่าหนังสอื เล่มนมี้ ีคุณค่าและตรงกบั ความต้องการหรอื ไม่

1.2 ต้ังคำถำม (Question) เมื่อสารวจเบ้ืองตน้ แล้ว ควรต้ังคาถาม ถามตนเองเกี่ยวกับเร่ืองท่ี
ผ่านสายตาวา่ มเี นือ้ หาอะไรบ้าง มีปญั หาและข้อน่าคดิ ประการใด ข้อเสนอแนะในการตง้ั คาถาม ไดแ้ ก่ ใคร ที่ไหน
ทาอะไร เมอ่ื ไหร่ ทาไม ทาอย่างไร เพ่อื บังคับใหร้ ูจ้ ักไตรต่ รองกอ่ นท่ีจะศึกษาในรายละเอยี ดต่อไป

1.3 อ่ำน (Read) เป็นการอ่านอย่างละเอียด เพ่ือหาคาตอบให้กับคาถามท่ีต้ังไว้เพื่อจะเข้าใจ
หวั ใจของเรอื่ ง ประเดน็ หลัก ประเด็นรอง และรายละเอยี ดปลกี ย่อย เพอ่ื จะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจจดจาไดร้ วดเร็วยิ่งข้นึ

1.4 ท่อง (Recite) หลังจากอ่านจบแต่ละบท แต่ละตอน แต่ละหัวข้อ ให้หยุดเป็นระยะเพ่ือ
ทบทวนวา่ อา่ นอะไรไปบ้าง เมอ่ื ทอ่ งทวนความจาน้ีกค็ อื การรวบรวมความรู้เข้าไปเกบ็ ไว้ในสมองอยา่ งถาวร

1.5 ทบทวน (Review) คือ การตรวจสอบความถูกต้องซึ่งเป็นส่ิงสาคัญท่ีควรปฏิบัติ
อยา่ งสม่าเสมอให้เปน็ กจิ นิสยั การทบทวนควรทาภายหลงั อ่านตาราเลม่ นนั้ จบโดยเร็วท่ีสดุ
2. เทคนคิ กำรจำ

2.1 พยายามทาความเข้าใจกับเนอ้ื หานั้นให้ได้ จงอย่าจาในสง่ิ ท่ีเราไมเ่ ขา้ ใจ
2.2 เชือ่ มโยงเนอ้ื หาใหม่ ๆ กับส่งิ ท่ีไปเรยี นไปแลว้
2.3 เลอื กจาเฉพาะเน้ือหาที่สาคญั
2.4 จัดเนอ้ื หาอย่างมีระบบ ใชแ้ ผนภาพ แผนภูมิ และตารางจะช่วยใหจ้ าไดง้ า่ ยข้ึน
2.5 การท่องหรือเขียนหรือทาซ้า ๆ หลายครงั้ จะชว่ ยใหจ้ าได้มากขน้ึ
2.6 บทเรยี นทย่ี าว ควรแบง่ เปน็ สว่ น ๆ

2.7 หลังชัว่ โมงเรียนควรบันทึกใหเ้ รว็ ทีส่ ุด ถา้ ทงิ้ ไว้อาจจะไมเ่ ข้าใจเนอื้ หาน้ันเลย 60

3. เทคนคิ กำรจดคำบรรยำย
3.1 ขณะฟงั คาบรรยาย ควรฟังอยา่ งตงั้ ใจและคิดตามไปดว้ ย
3.2 จับประเด็นสาคัญจากคาบรรยาย
3.3 จดใหไ้ ดเ้ นือ้ ความมากทส่ี ุดแตไ่ ม่ใชท่ ุกคาพูดโดยไม่กลน่ั กรอง
3.4 จดให้เรว็ ทีส่ ดุ โดยใชส้ ญั ลักษณ์หรอื คาย่อเข้าช่วย
3.5 ควรจดใหม้ รี ะเบียบทงั้ หัวขอ้ ใหญ่ และหัวขอ้ รอง โดยใช้ตัวเลขกากบั
3.6 การย่อหน้า เว้นชอ่ งว่าง ขีดเส้นใต้ แบง่ ชอ่ งไฟ จะชว่ ยให้อ่านได้งา่ ยข้ึน
3.7 เม่ือผู้บรรยายพูดเร็วเกินไป ควรเว้นว่างไว้ก่อน การหันไปถามเพ่ือนจะทาให้ท้ังเขา และเรา

เสยี สมาธิ
3.8 ควรบันทกึ คร้งั ท่ี และวนั ทฟี่ ังบรรยายทุกครงั้
3.9 จดบันทึกวิชาเดียวกนั ใช้เล่มเดยี วกนั อย่าจดปนกบั วิชาอ่นื
3.10 ทบทวนดูบันทึก คาบรรยายในวนั เดยี วกันจะช่วยให้จาเร่ืองไดด้ ีข้ึน

4.เทคนคิ กำรทำบนั ทึกยอ่
4.1 อ่านและทาความเข้าใจ เนือ้ หาท่สี าคญั สรปุ สาระสาคัญในแตล่ ะยอ่ หนา้ หรือแตล่ ะหัวขอ้
4.2 จดอยา่ งสั้น และกระชับความ
4.3 จดให้ครอบคลุมเนอ้ื หา
4.4 ใชภ้ าพประกอบง่ายๆ เพ่อื ช่วยให้เข้าใจไดเ้ ร็วขึ้น
4.5 ลอกข้อความท่ีอา่ นลงในบนั ทึกย่อ
4.6 ควรจดช่ือหนังสือ ผู้แต่ง ช่ือบท และระบุหน้าของตารา เพ่ือจะได้ย้อนกลับไปทบทวน

รายละเอียดได้ใหม่
5.กำรขดี เสน้ ใต้และจดในตำรำ

เพ่ือเน้นความสาคัญของเนื้อหาในการขีดควรใช้ปากกาสีต่าง ๆ เน้นเฉพาะข้อความท่ีสาคัญเพื่อย้า
ให้เห็นถึงประเด็นท่ีสาคัญของเร่ือง นอกเหนือจากน้ีอาจเขียนวงกลมล้อมคาท่ีสาคัญ ทาเครื่องหมายต่าง ๆ
เช่น สี่เหล่ียม ดอกจันประกอบ อย่าหวงตาราท่ีเราเป็นเจ้าของ การเก็บรักษาตาราให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอโดย
ไม่ยอมขดี เขยี นนัน้ นบั เปน็ อุปสรรคอยา่ งย่ิงตอ่ การเรยี นรู้

ใบงำน
เรื่อง วิธกี ำรปฏิบตั ิตนเพ่ือพัฒนำทกั ษะกำรเรียนท่ีมีประสทิ ธิภำพ
ช่อื ............................................นามสกลุ ...................................................ชนั้ ม………/..........เลขท.่ี ..........

ใหน้ กั เรียนสรปุ แผนทีค่ วามคิดท่ีจะทาใหก้ ารเรียนของตนเองมีประสทิ ธิภาพ

61

แผนกำรจัดกิจกรรมแนะแนวท่ี 6

หน่วยกำรจดั กจิ กรรม กำรศึกษำ ชัน้ มัธยมศึกษำปที ี่ 4 - 6

เรอ่ื ง กำรพัฒนำตนอยำ่ งมีประสิทธิภำพ จำนวน 3 ช่ัวโมง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคญั
บุคคลต่างมีลักษณะส่วนตนท่ีหลากหลาย การรู้จักและยอมรับคุณลักษณะของตน ท้ังข้อดี

และข้อบกพรอ่ งจะชว่ ยให้นักเรยี นสามารถพฒั นาข้อดีและปรับปรุงข้อบกพรอ่ งของตนเองได้

2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนกำรศกึ ษำ
ข้อ 2 มคี ่านยิ มในการเรยี นรู้ตลอดชีวิต

3. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
3.1 บอกคุณลักษณะข้อดีและข้อบกพร่องของตนเองได้
3.2 บอกวธิ กี ารพฒั นาและปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเองได้

4. สำระกำรเรยี นรู้ 62
4.1 คุณลักษณะขอ้ ดแี ละข้อบกพร่องของตนเอง
4.2 วิธีการพัฒนาและปรบั ปรุงตนเอง

5. ชิน้ งำน / ภำระงำน
5.1 ใบงานเรอื่ ง บันได 5 ขน้ั ของชวี ติ
5.2 ใบงานเร่อื ง นี่แหละตัวฉัน
5.3 ใบงานเรอ่ื ง แม้นความดีเพยี งเลก็ น้อยก็ต้องทา

6.วธิ กี ำรจดั กิจกรรม
ชว่ั โมงท่ี 1
6.1 ให้นักเรยี นแบง่ กลุ่มๆ ละ 7 - 9 คน แต่ละกลุ่มนง่ั เป็นวงกลม ครูแจกกระดาษคนละหนึ่งแผ่นนักเรียน

เขียนช่ือมุมบนขวา และพับกระดาษเป็น 2 ส่วน ด้านซ้ายเขียนข้อดี ด้านขวาเขียนข้อบกพร่อง จากน้ันให้สารวจ
และเขียนข้อดีและข้อบกพร่องของตนเองบนกระดาษ ภายใน 2 นาที แล้วติดกระดาษไว้ด้านหลังของตน จากน้ัน
ให้นักเรียนน่ังหันไปทางซ้ายมือ แล้วเขียนข้อดีและข้อบกพร่องบนกระดาษของเพื่อนท่ีน่ังอยู่ข้างหน้าตนเอง
คนละ 1 ข้อ

6.2 ให้นักเรียนพิจารณาข้อดี ข้อบกพร่อง สุ่มสอบถามความรู้สึกนักเรียนกลุ่มละ 1 คน ถึงข้อดีและ
ขอ้ บกพรอ่ ง

6.3 ดาเนินกิจกรรมเทียนโดยครูจุดเทียนไข ให้นักเรียนดูประมาณ 1 นาที แล้วดับเทียนไขจากน้ันหัก
เทียนไขแล้วจดุ เทียนไขทหี่ กั ข้ึนมาใหม่อีกคร้ังให้นักเรยี นพจิ ารณาประมาณ 1 นาที

6.4 ครูตง้ั คาถามว่า “นกั เรยี นไดข้ อ้ คิดอะไรบ้าง จากกิจกรรมท่ใี หด้ ู“ใหน้ ักเรียนเขียนลงในสมุด ประมาณ
5 บรรทัด จากน้ันให้อ่านให้เพื่อนฟังและครูเลือกตัวอย่างที่สรุปได้ความหมายครบถ้วน อ่านให้นักเรียนท้ังห้องฟัง
แล้วครูสรุปดังนี้ “คุณค่าของเทียนไข คือ การให้แสงสว่าง ไม่ว่าเทียนไขน้ันจะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อย่างไรแต่
เมอื่ ถกู จุดขนึ้ ก็ใหแ้ สงสว่าง ใหค้ ุณคา่ เหมอื นกนั เปรียบเหมอื นคนเรา ไมว่ า่ จะมีรปู รา่ งหนา้ ตา การศึกษา หรือฐานะ
ความเป็นอยู่แตกต่างกันอย่างไร ส่ิงท่ีสาคัญคือการได้ให้ประโยชน์ต่อสังคมคนทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อบกพร่อง
ในตนเองและกส็ ามารถปรับปรงุ ขอ้ ด้อยและพัฒนาขอ้ ดเี หล่าน้ัน เพือ่ การดาเนนิ ชีวติ ทีด่ ีตอ่ ไปในสังคม”

6.5 ครแู จกใบงานเรือ่ ง น่ีแหล่ะตวั ฉนั ใหน้ ักเรยี นทา และให้ออกมารายงานหนา้ ช้ันเรียน
6.6 ครูสรุปจากสิ่งที่นักเรียนออกมารายงานหน้าช้ันกล่าวได้ว่าทุกคนมีความตั้งใจท่ีดีอยู่ในหัวใจซึ่ง
ส่ิงนี้คือพ้ืนฐานท่ีสาคัญในการใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสุขและประสบความสา เร็จในชีวิตคนเราทุกคน
มีทั้งข้อดีและข้อบกพร่องในตนเองเราต้องเข้าใจในตัวตนท้ัง 2 ด้าน และพัฒนาข้อดีและปรับปรุงข้อบกพร่อง
เพื่อให้มีชีวติ ทีด่ ีบนวิถที างทีถ่ กู ตอ้ ง

ชว่ั โมงที่ 2 63
6.7 ทบทวนกิจกรรมท่ีผ่านมา แม้นักเรียนจะมีความแตกต่างกันอย่างไรแต่คุณค่าส่ิงท่ีสาคัญคือ
การทาตวั ให้มปี ระโยชนเ์ หมือนเทียน แม้จะเปน็ เทยี นท่สี มบรู ณห์ รอื เทยี นทห่ี ักก็ยังให้แสงสวา่ งไดเ้ สมอ
6.8 ครูดาเนินกิจกรรมแม้นความดีเพียงเล็กน้อยก็ต้องทา โดยให้นักเรียนนั่งตัวตรง สงบน่ิง
แล้วหลับตา ครูเปดิ เพลง เดนิ ตามพอ่ ให้นกั เรียนฟังจนจบเนื้อเพลง
6.9 นักเรียนร่วมกันอภิปราย/แสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับเนื้อเพลง ซึ่งเป็นการตั้งปณิธานจะทาความดแี ม้
เพียงเลก็ นอ้ ยหากเทียบกบั พระราชกรณียกิจอนั ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว
6.10 ครูให้นักเรียนทบทวนตนเองว่า ได้ทาความดีอะไรบ้างส่งผลดีต่อตนเอง คนรอบข้างและสังคม
อยา่ งไรบา้ ง แจกใบงานเร่อื ง “แม้ทาความดเี พยี งนอ้ ยนดิ ก็ต้องทา” โดยยกตวั อยา่ งประกอบด้วย
6.11 ครูและนักเรียนอภิปรายสรุปผลของการทาความดีแม้เพียงเล็กน้อย (แนวทางการสรุป คือ
การทาความดีแม้เพียงเล็กน้อยกส็ ่งผลกระทบต่อเน่ืองไปยังสงั คมสว่ นรวม แม้เราเป็นเพียงคนเล็กๆ แต่กส็ ามารถมี
ส่วนร่วมในการทาให้สังคมและประเทศชาติพัฒนาและมีความมั่นคง ประเทศชาติม่ันคง เจริญรุ่งเรืองก็ส่งผล
ย้อนกลับมายังคนในชาติซึ่งก็รวมถึงตัวเราด้วย ดั่งสุภาษิตท่ีกล่าวว่า“อย่าเห็นเป็นความดีเล็กน้อยแล้วไม่ทา
อย่าเหน็ เปน็ ความชวั่ เล็กน้อยแลว้ ทา”)

ชว่ั โมงที่ 3

6. 12 ครูดาเนินกิจกรรมฉันพัฒนาได้ โดยครอู า่ นบทกวี “หิ่งห้อย”

“เป็นดาวนัน้ ก็สวยดอี ยหู่ รอก แตเ่ ป็นหินดินหมอกแต้มสสี รร

หงิ่ หอ้ ยสคิ ือแสงแห่งชวี ัน ท่กี รองกลน่ั สีสรรจากวิญญาณ

หากเธอเลอื กเป็นหิ่งห้อย แทนดาวลอยสูงศักดิ์อรรคฐาน

เธอมีสิทธิมคี วามหวังอหงั การ มสี ทิ ธิผา่ นทม่ี ืดซึง่ ขาดดาว”

6.13 ทบทวนกจิ กรรมในช่ัวโมงท่ีผ่านมา ว่าแมก้ ิจกรรมทเี่ ราคิดว่าเป็นส่ิงเล็ก ๆน้อย ๆ ในชวี ติ ประจาวัน

ก็ล้วนมีคุณค่าและมีความสาคัญ ส่งผลย่ิงใหญ่อย่างท่ีเราคาดไม่ถึง ดังน้ัน ทุกคนควรตั้งใจ ทาหน้าท่ีของตนเอง

ให้ดีทีส่ ดุ อนั จะทาใหส้ งั คมโดยรวมมีความสขุ ต่อเน่อื งกันไป

6.14 ให้นักเรียนทาใบงาน บันได 5 ขั้นของชีวิต ตอนที่ 1 ให้ทบทวนพัฒนาการวิเคราะห์ความสามารถ

ของตนเองในแต่ละช่วงอายุพร้อมทั้งทบทวนความรู้สกึ ท่ีเกิดขึ้นและการเปล่ียนแปลงพัฒนาตนเองในแต่ละช่วงวัย

ของชีวิต

6.15 ใหน้ กั เรยี นวิเคราะห์ความต้องการของตนเองในปัจจบุ ัน วา่ มสี ่งิ ใดทอี่ ยากทามากทส่ี ุด และวางแผน

ปฏิบัติตนเพ่อื พัฒนาความสามารถของตนเองไปสู่เปา้ หมายทตี่ ้องการ

6.16 นกั เรียนชว่ ยกันสรุปสิง่ ทไ่ี ด้เรยี นรจู้ ากการทากิจกรรม/นาเสนอใบความรู้ เร่อื ง การพฒั นาตนเองโดย

ใช้หลกั 4 Self 64

6.17 ครูเพ่ิมเติมขอ้ คดิ ทีน่ กั เรยี นชว่ ยกันสรุปส่ิงทไ่ี ดเ้ รียนรู้ให้สมบรู ณ์มากยิ่งข้ึน

7. สื่อ / อุปกรณ์
7.1 บทกวี/เพลงท่ีแสดงถึงการเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง เชน่ เพลงเดนิ ตามพ่อ
7.2 บทกวีหงิ่ หอ้ ย
7.3 เทยี นไขและไม้ขีดไฟ
7.4 สมุดและปากกา
7.5 ใบงานเรื่อง นแ่ี หละตัวฉัน
7.6 ใบงานเรือ่ ง แม้นความดเี พียงเล็กน้อยก็ต้องทา
7.7 ใบงานเรื่อง บันได 5 ขั้นของชีวิต
7.8 เอกสารเร่ือง เทคนิคการพฒั นาตน (เอกสารอา่ นเพ่ิมเตมิ สาหรบั คร)ู
7.9 ใบความรู้เรอ่ื ง การพฒั นาตนเองโดยใช้หลัก 4Self

8. กำรวัดและประเมินผล
8.1 วิธกี ำรวดั และประเมนิ ผล
8.1.1 สังเกตความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม และการรว่ มอภิปรายแสดงความคดิ เห็น
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถว้ น และความเรียบร้อยของใบงาน

8.2 เครื่องมือ
-

8.3 เกณฑ์กำรประเมนิ

8.3.1 สงั เกตการปฏิบตั กิ ิจกรรม

เกณฑ์ ตัวบง่ ชี้
ผา่ น มคี วามสนใจในการฟัง การตอบคาถาม การร่วมอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็
ไมผ่ า่ น ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

8.3.2 ตรวจใบงาน

เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี
ผ่าน ทาใบงานถูกต้อง ครบถว้ น และสง่ งานตามกาหนด
ไมผ่ า่ น ขาดสงิ่ ใดส่ิงหน่ึง

65

ใบงำน
เร่ือง นแี่ หละตัวฉนั

ช่ือ.............................................นามสกุล...............................................ชัน้ ม……../..........เลขท่ี...........

คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนสารวจตนเองวา่ มีข้อดี และข้อบกพรอ่ งอยา่ งไรบา้ ง พร้อมกบั วิเคราะห์ว่าคณุ สมบตั ิ
เหลา่ นนั้ มสี ว่ นสง่ เสริมหรือสร้างปญั หาแกน่ ักเรียนอย่างไร โดยเขียนลงในตาราง

ข้อดขี องฉัน สง่ เสรมิ ชีวิตฉนั ดังนี้ ข้อบกพร่องของฉัน เป็นอุปสรรคในชีวิตฉันดงั นี้

66

ข้อสรปุ ทีไ่ ด้จำกกจิ กรรม
............................................................................................................................. .......................................
............................................................................................................................. ........................................
.......................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................
........................................................................................................................................... ..........................

ใบงำน
เรือ่ ง แมน้ ควำมดเี พียงเลก็ น้อย ก็ต้องทำ

ชอ่ื ............................................นามสกุล............................................................ชั้น ม………/........เลขที่...........

คำช้ีแจง ให้นักเรียนเขียนการกระทาในชีวิตประจาวนั ของนักเรยี น 10 กจิ กรรม ลงในตาราง จากนัน้ วเิ คราะหถ์ งึ
ประโยชนท์ ีเ่ กิดข้ึนต่อตนเอง และผู้อื่น และสรปุ สิง่ ทไ่ี ดร้ บั จากกิจกรรมน้ี

ควำมดีท่ีฉันทำ ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับ
ตวั เอง พอ่ แม่ ประเทศชำติ/สงั คม

1

2

3

4

5 67

6

7

8

9

10

สรปุ จำกกจิ กรรมข้ำงตน้ นกั เรยี นได้ขอ้ คิดอยำ่ งไรบ้ำง
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................

ใบงำน
เร่ือง บนั ได 5 ขนั้ ของชวี ติ

ช่ือ..............................................นามสกลุ ........................................ช้นั ม......./..........เลขท.่ี ..........

คำช้แี จง ตอนที่ 1 ใหน้ ักเรยี นทบทวนพัฒนาการของตนเองในแต่ละช่วงอายุ ดังตารางและสรปุ สงิ่ ท่ีได้รบั จาก
กิจกรรมนี้

ระดบั มธั ยมตน้ ระดับชัน้ มธั ยมปลาย
ส่ิงทภี่ าคภมู ิใจ สงิ่ ท่ภี าคภูมิใจ............................................
ทาได้อยา่ งไร..............................................
ทาไดแ้ ล้วรสู้ กึ อยา่ งไร..................................

สงิ่ ทภ่ี าคภูมิใจ..................................
ทาได้อยา่ งไร....................................
ทาไดแ้ ล้วรูส้ ึกกบั ตวั เองอย่างไร.....................
....................................................................... 68

ระดับประถม ...................................................................
สงิ่ ทีภ่ าคภูมิใจ ทาได้อย่างไร..............................................
ทาได้แลว้ รสู้ ึกกับตวั เองอยา่ งไร.................

ระดบั อนบุ าล ......................................................................
สิ่งทภี่ าคภมู ิใจ ทาได้อยา่ งไร.................................................
ทาไดแ้ ลว้ รู้สกึ กบั ตวั เองอยา่ งไร....................

ก่อนเข้าอนุบาล .............................................................
สิ่งทภ่ี าคภมู ิใจ ทาได้อย่างไร........................................
ทาไดแ้ ลว้ รสู้ กึ กบั ตวั เองยา่ งไร..............

คำชี้แจง ตอนที่2 ให้นักเรียนวิเคราะห์ความต้องการของตนเองว่า ปัจจุบันนักเรียนอยากทาส่ิงใดมากท่ีสุดและ
วางแผนวา่ ต้องปฏบิ ัติตนอย่างไรบ้างเพ่อื พัฒนาความสามารถของตนเองไปสเู่ ปา้ หมายท่ีต้องการ

ส่งิ ที่ฉนั อยำกทำมำกท่สี ุดในชั้น ม.........................

69

เอกสำรเพม่ิ เติมสำหรบั ครู 70
เรื่อง เทคนคิ กำรพฒั นำตน

ควำมหมำยของกำรพัฒนำตน

การพัฒนาตน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า self-development แต่ยังมีคาท่ีมีความหมายใกล้เคียงกับคาว่า
การพัฒนาตน และมักใช้แทนกันบ่อยๆ ได้แก่การปรับปรุงตน ( self-improvement) การบริหารตน
(self-management) และการปรับตน (self-modification) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมาะสม
เพอื่ สนองความต้องการและเปา้ หมายของตนเองหรือเพ่ือใหส้ อดคล้องกบั ส่งิ ท่ีสงั คมคาดหวงั

ควำมหมำยที่ 1 การพัฒนาตนคือการท่ีบุคคลพยายามท่ีจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนด้วยตนเองให้ดีข้ึนกว่าเดิม
เหมาะสมกวา่ เดิม ทาใหส้ ามารถดาเนินกจิ กรรม แสดงพฤติกรรม เพื่อสนองความตอ้ งการแรงจูงใจ หรอื เป้าหมาย
ที่ตนตั้งไว้

ควำมหมำยที่ 2 การพัฒนาตนคือการพัฒนาศักยภาพของตนด้วยตนเองให้ดีขึ้นทั้งร่างกายจิตใจ อารมณ์ และ
สังคม เพื่อให้ตนเป็นสมาชิกที่มีประสิทธิภาพของสังคมเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่ืน ตลอดจนเพื่อการดารงชีวิตอย่าง
สนั ตสิ ุขของตน

แนวคิดพ้ืนฐำนในกำรพัฒนำตน

บุคคลท่ีจะพัฒนาตนเองได้จะต้องเป็นผู้มุ่งม่ันที่จะเปล่ียนแปลงหรือปรับปรุงตัวเองโดยมีความ
เช่ือหรือแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาตนที่ถูกต้องซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้การพัฒนาตนเองประสบ
ความสาเรจ็ แนวคิดท่ีสาคัญมดี ังนี้

1.มนุษย์ทุกคนมีศกั ยภาพที่มคี ุณคา่ อยใู่ นตวั เองทาให้สามารถฝึกหัดและพัฒนาตนได้ใน
เกอื บทกุ เรื่อง

2.ไม่มบี คุ คลใดท่ีมีความสมบูรณ์พร้อมทุกดา้ นจนไมจ่ าเป็นต้องพัฒนาในเรื่องใดๆอีก
3.แมบ้ คุ คลจะเป็นผ้ทู ่รี จู้ ักตนเองได้ดีท่ีสดุ แต่กไ็ มส่ ามารถปรบั เปลยี่ นตนเองไดใ้ นบางเร่ืองยัง
ต้องอาศัยความชว่ ยเหลือจากผูอ้ น่ื ในการพฒั นาตนการควบคุมความคิดความรสู้ ึกและการกระทาของตนเองมี
ความสาคญั เท่ากบั การควบคุมสิ่งแวดล้อมภายนอก
4.อปุ สรรคสาคัญของการปรับปรงุ และพัฒนาตนเองคือการท่บี คุ คลมีความคิดติดยดึ
ไม่ยอมปรบั เปล่ียนวิธคี ิดและการกระทาจึงไมย่ อมสร้างนสิ ัยใหมห่ รอื ฝกึ ทักษะใหม่ๆท่จี าเปน็ ตอ่ ตนเอง
5.การปรบั ปรุงและพฒั นาตนเองสามารถดาเนินการได้ทุกเวลาและอยา่ งต่อเน่ืองเม่ือพบ
ปัญหาหรือข้อบกพร่องเกย่ี วกับตนเอง

ควำมสำคัญของกำรพัฒนำตน 71

บคุ คลลว้ นต้องการเป็นมนุษย์ท่สี มบูรณห์ รืออย่างน้อยก็ตอ้ งการมชี ีวิตทเี่ ป็นสุขในสงั คมประสบ
ความสาเร็จตามเป้าหมายและความต้องการของตนเองพัฒนาตนเองไดท้ ันต่อการเปลีย่ นแปลงท่ีเกิดขนึ้ ในสงั คม
โลกการพัฒนาตนจึงมคี วามสาคัญดังน้ี

ก. ควำมสำคญั ต่อตนเอง จาแนกได้ดงั นี้

1. เป็นการเตรยี มตนให้พรอ้ มในดา้ นต่างๆเพื่อรบั กับสถานการณท์ ้ังหลายได้ดว้ ยความรสู้ กึ ทด่ี ตี ่อตนเอง
2. เปน็ การปรบั ปรุงสิ่งทีบ่ กพร่อง และพัฒนาพฤติกรรมให้เหมาะสมขจดั คุณลักษณะทไ่ี มต่ ้องการออกจาก
ตวั เองและเสรมิ สร้างคณุ ลักษณะท่ีสังคมต้องการ
3. เปน็ การวางแนวทางให้ตนเองสามารถพฒั นาไปสู่เป้าหมายในชวี ิตได้อยา่ งม่นั ใจ
4. สง่ เสรมิ ความรู้สกึ ในคุณคา่ แห่งตนสงู ใหข้ ้ึน มีความเข้าใจตนเองสามารถทาหนา้ ที่ตามบทบาทของตนได้
เต็มศักยภาพ

ข. ควำมสำคญั ต่อบคุ คลอ่ืน

เนอ่ื งจากบุคคลย่อมต้องเก่ียวข้องสัมพนั ธ์กนั การพัฒนาในบคุ คลหน่ึงย่อมส่งผลต่อบุคคลอื่นด้วย
การปรับปรงุ และพัฒนาตนเองจงึ เป็นการเตรยี มตนให้เป็นสิง่ แวดล้อมทดี่ ีของผู้อื่นทง้ั บุคคลในครอบครวั และเพ่ือน
ในที่ทางานสามารถเป็นตัวอย่างหรือเป็นที่อ้างอิงให้เกิดการพัฒนาในคนอ่ืนๆ ต่อไปเป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งชีวิต
ส่วนตัวและการทางานและการอยู่ร่วมกันอยา่ งเป็นสุขในชุมชนที่จะสง่ ผลให้ชมุ ชนมีความเข้มแขง็ และพฒั นาอย่าง
ต่อเนอ่ื ง

ค. ควำมสำคัญต่อสังคมโดยรวม

ภารกิจที่แต่ละหนว่ ยงานในสังคมต้องรับผิดชอบล้วนต้องอาศัยทรัพยากรบุคคลเป็นผปู้ ฏบิ ัติงาน
การที่ผปู้ ฏบิ ัตงิ านแต่ละคนได้พัฒนาและปรบั ปรุงตนเองให้ทันต่อพัฒนาการของรปู แบบการทางานหรือเทคโนโลยี
การพัฒนาเทคนิควิธี หรือวิธีคิดและทักษะใหม่ๆท่ีจาเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทางานและคุณภาพของ
ผลผลติ ทาใหห้ นว่ ยงานนั้นสามารถแข่งขันในเชิงคุณภาพ และประสิทธภิ าพกับสังคมอน่ื ไดส้ ูงขึน้ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความ
มน่ั คงทางเศรษฐกจิ ของประเทศ

(ที่มา ผศ.วนิ ยั เพชรชว่ ยhttp://www.novabizz.com/NovaAce/Learning/Self_Development.htm)

ใบควำมรู้
เรื่อง เทคนิคกำรพัฒนำตนเองดว้ ยหลกั 4 Self

ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเทคโนโลยี 72
การส่อื สาร สภาพเศรษฐกิจ และขอ้ มลู ขา่ วสารต่าง ๆท่ีมกี ารส่งถ่ายถึงกันและกันเรว็ ขึ้น และจากการเปลี่ยนแปลง
ท่ีเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วน้ีเองจึงเป็นเสมือนพลังผลักดันให้คนแต่ละคนต่างต้องตระหนักถึงความสาคัญของการ
เปล่ียนแปลง อันทาให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอเพ่ือให้ตนมีความพร้อมรับมือกับการ
เปลย่ี นแปลงท่ีเกิดข้นึ อยา่ งไม่หยดุ ยงั้

ผู้ท่ีพัฒนาตนเองย่อมเป็นบุคคลท่ีประสบความสาเร็จในหน้าท่ีการงาน ได้รับความก้าวหน้าใน
สายอาชีพ ได้รับคายกย่อง สรรเสริญมากกว่าผู้ท่ีอยู่ไปวัน ๆ โดยไม่สนใจที่จะพัฒนาความรู้และความสามารถของ
ตนเอง ดังนนั้ หากมีความต้องการท่จี ะประสบผลสาเรจ็ ในชีวติ การเร่ิมตน้ ที่จะพฒั นาตนเองโดยไม่พ่งึ พาผู้อน่ื เป็นสิ่ง
ท่ีควรกระทาเป็นอย่างย่ิงต้องตระหนักอยู่เสมอว่า “ชีวิตเรา เราเป็นผู้เลือกท่ีจะลิขิตหรือเลือกเส้นทางในการ
ดาเนนิ ชีวิตเอง” อยา่ ปลอ่ ยใหผ้ อู้ ืน่ มาเป็นผมู้ อี ิทธพิ ลและชี้นาการดาเนินชวี ติ ของตัวเรา

การพัฒนาตนเองให้พบกับความสาเร็จในชีวิตน้ัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความมุ่งม่ันของตัวเอง
หลกั ปฏิบตั ติ นอยา่ งง่ายๆ ทส่ี ามารถทาได้ดว้ ยแนวคิดของ 4 Self ดงั ต่อไปน้ี

Self Awareness

1. ตระหนักรู้ในควำมต้องกำรของตนเอง (Self Awareness) มขี น้ั ตอนดังนี้

ข้ันตอนที่ 1 ตระหนักในเป้าหมายของชีวิต เริ่มต้นค้นหาว่าส่วนลึก ๆ แล้วต้องการอะไรกันแน่
เปน็ การตระหนกั ในเปา้ หมายท่ีอยากจะมีและอยากจะเป็นในอนาคตข้างหนา้ เช่น บางคนอยากมคี วามสุข บางคน
อยากจะประสบความสาเร็จในการทางาน บางคนอยากมรี ้านเลก็ ๆ เป็นของตนเองเป็นต้น และเม่ือตระหนกั รู้แล้ว
วา่ เป้าหมายหรอื สง่ิ ท่ีต้องการจะไปนนั้ คอื อะไร

ขั้นตอนท่ี 2 ควรสารวจต้นเหตุ คือสารวจตนเองลึกลงไปอีกว่าต้นเหตุท่ีจะทาให้ฝันหรือเป้าหมายเกิด
ขนึ้ มาไดน้ ั้นคอื อะไร เช่น อยากมีความสขุ แลว้ ความสขุ จะเกิดขึน้ จากอะไร เป็นต้น

ขั้นตอนท่ี 3 สารวจหาแนวทางเมื่อตระหนักรู้ว่าอะไรคือเหตุผลลึก ๆ ของเป้าหมายท่ีกาหนดขึ้นแล้ว
ขั้นตอนถัดไปก็คือคุณควรคิดไตร่ตรองดูว่าจะทาอย่างไรให้ฝันนั้นเป็นจริงเช่น หากคุณคิดว่าการเรียนต่อปริญญา
ตรี อันนามาซงึ่ ความภาคภมู ใิ จในส่วนลึก ๆ ของคณุ เองและคนรอบขา้ ง

ข้ันตอนที่ 4 สารวจความพร้อม เพ่ือสารวจว่าตนเองว่าคุณมีความพร้อมในเรื่องเวลา และงบประมาณ
มากน้อยแค่ไหนหากคุณคดิ ว่าคุณพรอ้ มแลว้ คุณก็ควรเริ่มคิดต่อไปว่าจะต้องทาอย่างไรบ้าง ในการศึกษาต่อระดบั
ปริญญาตรีให้ได้ นั่นก็คือการตรวจสอบมหาวิทยาลัยท่ีเหมาะสมและติดต่อมหาวิทยาลัยเพื่อเข้ารับการทดสอบ
ตอ่ ไป

Self Discipline 73

2. ตระหนักรู้หนทำงสู่ควำมสำเร็จ (Self Discipline) หรือ Self แห่งความมีวินัย Self ตัวนี้จะบอก
คุณว่าหนทางของความสาเร็จในเป้าหมายท่ีกาหนดข้ึน ไม่ใช่เป็นหนทางของถนนเรียบแต่เป็นหนทางของถนนท่ี
ขรุขระซึ่งคุณเองจะต้องพบเจอกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ เหมือนกับการข้ึนภูเขาที่คุณจะต้อง
ค่อย ๆ ไต่ข้ึนไปเพ่ือให้ไปถึงยอดเขา และการข้ึนไปสู่ยอดเขาให้ได้น้ัน คุณอาจจะต้องพบเจอกับ หน้าผา
ท่ีสูงชัน ก้อนหินท่ีขวางทางคุณอยู่ และเมื่อคุณมีเป้าหมายท่ีจะขึ้นไปสู่ยอดเขานั้นให้ได้คุณจะต้องมีวินัย
ในตนเองว่าคุณจะต้องทาให้ได้เพื่อไปสู่ชัยชนะท่ีวาดฝันไว้ไม่ว่าจะเจอกับปัญหาและอุปสรรคใด ๆ ก็ตาม
ซง่ึ Self ตัวน้จี ะเป็นพลงั ผลักดนั ใหค้ ณุ สร้างวนิ ัยในการปฏิบัติตนให้ไปสู่ความฝันท่กี าหนดขึน้ ไมย่ ่อท้อหรอื หว่ันไหว
ไปซะก่อนกับปัญหาท่ีเกิดขึ้น ด้วยการเปล่ียนเป้าหมายของตนเอง เช่น หากคุณได้รับการคัดเลือก เข้าศึกษาต่อ
ปริญญาตรีแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคุณจะต้องเจอะเจอกับปัญหาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเวลาท่ีไม่อาจแบ่งสรรให้กับการ
เรียนได้ ปัญหาเร่ืองแฟนหรือคนในครอบครัวไม่ชอบใจท่ีคุณไม่ให้เวลากับพวกเขา ปัญหางบประมาณมีจากัด
ปัญหาเหล่าน้ีจะส่งผลให้คุณคิดไปเองว่าตนเรียนไม่ไหวอย่างแน่นอน นั่นก็คือคุณพยายามหาเหตุผลสนับสนุนว่า
คุณไม่สามารถเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้ เป็นต้น แต่หากคุณมี Self แห่งวินัย ในตนเองแล้วล่ะก็
Self ตัวน้ีจะเป็นพลังผลักดันให้คุณสร้างวินัยในการปฏิบัติตนให้ฟันฝ่าปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการ
จัดสรรเวลาให้เหมาะสม และการบังคับตนเองให้มีวินัยพอที่จะปฏิบัติตนตามเวลาท่ีกาหนดขึ้น

Self Improvement

3. ตระหนักรู้หนทำงแห่งกำรพัฒนำตนเอง(Self Improvement) Self ท่ีสามนี้จะเป็นเสมือนตัว
จุดประกายให้คุณมีความรู้และความสามารถในการสานฝันท่ีกาหนดขึ้นให้เป็นจริงได้ Self ตัวน้ีจะทาให้คุณเร่ิม
ถามตนเองว่าคุณจะต้องพัฒนาตนเองในเรื่องใดบ้าง เพื่อให้คุณมีศักยภาพเพียงพอที่จะทาให้เป้าหมาย
ของตนเองบรรลุผลสาเร็จ หากคุณมีหัวใจพร้อมท่ีจะพัฒนาแล้วน้ัน ย่อมจะทาให้คุณมีแรงอึด มีพลังพอ
ที่จะปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอไม่คิดย่อท้อหรือหมดหวังที่จะเห็นผลสาเร็จของความฝันน้ัน ๆ
ของคุณเอง เช่น หากคุณมีโอกาสเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งคุณพบว่ามีความรู้ในวิชาที่เรียนไม่เท่ากับ
เพอ่ื น ๆ คนอืน่ แล้วล่ะก็ ความรสู้ ึกทจ่ี ะเกดิ ข้ึนกับคุณต่อไปนน้ั มีอย่สู องด้านนั่นก็คือ ด้านหนง่ึ เปน็ ความรู้สกึ ทางลบ
คือ คุณจะเริ่มรู้สึกเบื่อ เซ็งไม่ชอบในส่ิงท่ีคุณเองได้เลือกไปแล้ว และความรู้สึกอีกด้านหนึ่งเป็นความรู้สึกใน
ทางบวก ซ่ึงคุณเองต้องพยายามบอกตนเองเสมอว่าคุณจะต้องพัฒนาคว ามรู้ที่ยังขาดห าย ไป
ให้มีมากขึ้นให้จงได้ ความรู้สึกในทางบวกนี้จะเป็นพลังผลักดันให้คุณหาหนทางและวิธีการต่าง ๆ นานา
ทจ่ี ะปรบั ปรุงตนเองให้มีความรู้ และความสามารถมากยง่ิ ขน้ึ ต่อไป

Self Evaluation

4. ตระหนักรู้ระดับขั้นของกำรไปสู่ควำมควำมสำเร็จ (Self Evaluation) Self ตัวนี้จะทาให้คุณเร่ิม
ประเมินผลการปฏิบัติตนของตัวคุณว่าประสบความสาเร็จไปมากน้อยแค่ไหนบ้าง ซ่ึงคุณเองจะต้องประเมินผล
ตนเองเป็นระยะอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ ทั้งนี้คาถามหลัก ๆ ท่ีคุณจะต้องประเมินตนเอง น่ันก็คือ คุณยังสามารถ
ทาเป้าหมายท่ีกาหนดขึ้นให้เป็นจริงได้นั้นตามเงื่อนไขท่ีถูกกาหนดข้ึนไว้แล้วได้หรือไม่ คุณมีความรู้และ
ความสามารถเพียงพอหรือยัง คุณจะต้องทาอย่างไรบ้างในการทาให้คุณมีความรู้และความสามารถเพิ่มมากข้ึนใน
อันท่ีจะทาให้เป้าหมายของคุณบรรลผุ ลสาเรจ็ ทง้ั น้กี ารประเมินตนเองน้ัน คณุ ควรกาหนดข้ึนเป็นระยะ ๆ เชน่ ทกุ
คร่ึงภาคเรียนทุกภาคเรียนเป็นต้น เช่น คุณสามารถประเมินความรู้ของคุณว่าเม่ือได้ผ่านการสอบวัดผลในแต่ละ
คร้ัง คุณรู้อะไรเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ ความรู้อะไรบ้างที่คุณอยากจะรู้และยังไม่รู้ และคุณจะต้องทาอะไรบ้างเพื่อให้
คุณมีความรเู้ พิ่มขึ้นในสิ่งที่ตนเองยังไมร่ เู้ ป็นต้น

สรุป การพัฒนาตนเองให้ประสบผลสาเรจ็ นั้นไม่ยาก ขอเพียงแต่ว่าคุณจะต้องมีความมุ่งม่ันและตั้งใจจรงิ
ท่ีจะบริหารตนเอง ( Self) ด้วยการตระหนักรู้ในความคาดหวังของตนเอง การสร้างวินัยในการปฏิบัติตนตาม
เงื่อนไขของเวลาท่ีกาหนด การปรับปรุงความรู้ความสามารถของตนเองอยู่เสมอ และสุดท้ายน่ันก็คือการ
ประเมนิ ผลสาเร็จในเปา้ หมายทต่ี วั คุณเป็นผลู้ ิขติ ข้นึ เป็นระยะอยา่ งต่อเนื่อง

ทม่ี า : http://www.hrcenter.co.th

74

แผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นรู้ที่ 7

หน่วยกำรจดั กิจกรรม กำรศกึ ษำ ระดับชนั้ มัธยมศึกษำปที ่ี 4 - 6
เร่ือง Life long Learning จำนวน 4 ชัว่ โมง

1. สำระสำคญั 75
การเรียนรู้คือ การพฒั นาตนเองท่ีสาคัญย่ิงในการดาเนินชีวติ การทางาน และการอยู่รว่ มกับผู้อน่ื ในสังคม

ไดอ้ ย่างมคี วามสุข การเรยี นรู้ คือ กระบวนการภายในตัวบุคคลในการได้มาซึ่งความรู้ ทักษะ และเจตคติ ซ่ึงบุคคล
สามารถเรียนรู้ได้จากการได้ยิน การสัมผัส การอ่าน การถาม ประสบการณ์ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ การใช้
เทคโนโลยี และ/หรือจากการศึกษาค้นคว้า จะเห็นได้ว่า การเรียนรู้คือชีวิต เป็นส่วนหน่ึงในวิถีชีวิตท่ี เกิดข้ึนได้
ตลอดเวลาและตลอดชีวิต ช่วยทาให้บุคคลเปลยี่ นแปลงพฤติกรรม ความคิด ทศั นคติ และการกระทาได้

2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นกำรศกึ ษำ
ขอ้ 2 มีค่านิยมในการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ

3. จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้
3.1 อธิบายความหมายของการเรยี นร้ตู ลอดชวี ิตได้
3.2 ยกตวั อยา่ งบุคคลทป่ี ระสบความสาเร็จจากการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ ได้
3.3 บอกแนวทางและวธิ ีการเรยี นรตู้ ลอดชีวิตได้
3.4 บอกเปา้ หมายในการพัฒนาตนเองดา้ นการเรยี นร้ตู ลอดชีวิตได้

4. สำระกำรเรียนรู้
4.1 ความหมายของการเรยี นรตู้ ลอดชีวติ
4.2 บคุ คลทีป่ ระสบความสาเร็จจากการเรียนรู้ตลอดชีวติ
4.3 แนวทางการเรียนรู้ตลอดชีวิต
4.4 เปา้ หมายในการพฒั นาตนเองด้านการเรยี นรตู้ ลอดชีวิต

5. ชน้ิ งำน / ภำระงำน
5.1 ใบความรูเ้ ร่ือง Lifelong Learning (การเรยี นรตู้ ลอดชวี ิต)
5.2 ใบงานเรอ่ื ง Lifelong Learning (การเรียนรตู้ ลอดชีวติ )
5.3 ใบความรูเ้ รอื่ ง เรียนรู้ตลอดชวี ิต เคลด็ (ไม่)ลบั ของคนดังระดับโลก
5.4 ใบงานเร่ือง เป้าหมายในการพฒั นาตนเองด้านการเรยี นร้ตู ลอดชวี ติ

6. วิธีกำรจดั กจิ กรรม 76
ชัว่ โมงท่ี 1
6.1 ครูต้ังคาถามว่า นักเรียนยกตัวอย่างบุคคลท่ีประสบความสาเร็จจากการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่นักเรียน

ประทบั ใจ 1 คน
6.2 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ศึกษาใบความรู้เรื่อง กรณีตัวอย่างผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตและทากิจกรรมในใบงาน

พร้อมออกนาเสนอหนา้ ช้ันเรยี นและสรุปกจิ กรรมรว่ มกัน
ชัว่ โมงที่ 2
6.3 ทบทวนกิจกรรมท่ีผ่านมาในสปั ดาห์ที่แลว้
6.4 ครูให้ทากิจกรรม คุณลักษณะของผู้ท่ีประสบความสาเร็จจากการเรียนรู้ตลอดชีวิตประกอบไป

ด้วยอะไรบ้ำง และคุณลักษณะท่ีจะขัดขวำงกำรเรียนรู้ตลอดชีวิตมีอะไรบ้ำงและให้นักเรียนออกมำนำเสนอหน้ำ
ชน้ั เรียนและสรุปกิจกรรมรว่ มกนั

ชว่ั โมงที่ 3
6.5 ครูให้นักเรียนเขียนผังมโนทัศน์เร่ือง เป้าหมายในการพัฒนาตนเองด้านการเรียนรู้ตลอดชีวิต
อย่างน้อย 1 ข้อ และแนวทางวธิ ีการเรียนรตู้ ลอดชีวิต
6.6 มอบหมายงานโดยให้นักเรียนศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน ในการพัฒนาตนเองตามเป้าหมาย
ในการพัฒนาตนเองตามที่นกั เรยี นบันทึกไว้ในผังมโนทัศน์ พรอ้ มจดั ทาใบงานเรื่อง เป้าหมายในการพัฒนาตนเอง
ดา้ นการเรยี นร้ตู ลอดชีวิต
ชว่ั โมงที่ 4
6.7 ครทู บทวนกจิ กรรมในสปั ดาหท์ ่แี ล้ว และให้นกั เรยี นนาเสนอผลงานของตนเองหน้าชนั้
6.8 สรุปกิจกรรมรว่ มกนั

7. ส่ือ/อปุ กรณ์

7.1 ใบความร้เู รอ่ื ง Lifelong Learning (การเรียนรูต้ ลอดชีวิต)
7.2 ใบงานเรอื่ ง Lifelong Learning (การเรียนรตู้ ลอดชีวิต)
7.3 ใบความรเู้ ร่ือง เรียนรตู้ ลอดชวี ิต เคล็ด (ไม่) ลบั ของคนดงั ระดบั โลก
7.4 ใบงานเรือ่ ง เป้าหมายในการพฒั นาตนเองดา้ นการเรียนรตู้ ลอดชีวิต
7.5 กระดาษฟลิปชาร์ท และปากกาเคมี

8. กำรวดั และประเมนิ ผล
8.1 วธิ กี ำรวดั และประเมนิ ผล
8.1.1 สงั เกตความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม และการรว่ มอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
8.1.2 ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ครบถ้วน และความเรียบรอ้ ยของใบงาน

8.2 เครือ่ งมือ
-

8.3 เกณฑ์กำรประเมนิ

8.3.1 สังเกตการปฏิบตั กิ ิจกรรม

เกณฑ์ ตัวบง่ ชี้
ผา่ น มคี วามสนใจในการฟัง การตอบคาถาม การร่วมอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็
ไมผ่ ่าน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

8.3.2 ตรวจใบงาน

เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี
ผา่ น ทาใบงานถูกต้อง ครบถว้ น และสง่ งานตามกาหนด
ไม่ผ่าน ขาดสงิ่ ใดส่ิงหน่ึง

77

ใบควำมรู้ 78
เร่อื ง กำรเรยี นรตู้ ลอดชีวติ (Lifelong Learning)

ผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต หมายถึง บุคคลท่ีตระหนักถึงความสาคัญของการศึกษาและเรียนรู้เพื่อการพัฒนา
ตนเอง ครอบครวั องค์กรและชุมชน เหน็ คุณค่าตนเองและผู้อื่น นาตนเองในการเรียนรู้ได้ เปน็ ผูใ้ ฝ่รู้ รกั การเรียนรู้
อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิต มีทัศนคติท่ีดี เปิดกว้าง รับฟัง พร้อมเรียนรู้เรื่องราวท่ีเคยรู้ด้วยมุมมองใหม่ เป็นผู้รอบรู้
และเท่าทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในสังคม สามารถคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง มีอิสระในการคิด รู้วิธีการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ สามารถละทิ้ง
และไมย่ ึดตดิ กบั สิง่ ทเ่ี คยเรียนรมู้ า ใชค้ วามรไู้ ด้ มจี ิตสาธารณะ สนใจเขา้ ร่วมและมสี ว่ นร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี
หลากหลายในสงั คม แลกเปลยี่ นเรียนรูก้ ับผู้อ่ืนอยา่ งสมา่ เสมอ สามารถนาความรู้มาปรบั ใชอ้ ยา่ งสอดคลอ้ ง ถูกตอ้ ง
และเหมาะสมก่อเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และสามารถพ่ึงพาตนเองได้ โดยผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นคุณลักษณะ
ของบุคคลท่ีพึงประสงค์และเป็นองค์ประกอบทส่ี าคัญของสงั คมแห่งการเรียนรตู้ ลอดชีวิตท่ีย่ังยืน

ข้ันตอนกำรพฒั นำไปสกู่ ำรเป็นผู้เรยี นรู้ตลอดชีวิต ประกอบดว้ ย

ข้ันท่ี 1 ตระหนักรู้ในปญั หา ความตอ้ งการ และความสนใจของตนเอง
ข้นั ที่ 2 กาหนดเป้าหมายในการเรียนร้แู ละการพฒั นาตนเอง
ขั้นท่ี 3 ลงมือปฏบิ ัติ โดยนาตนเองในการเรียนรู้ มีปฏิสัมพันธก์ บั สภาพแวดลอ้ ม รู้และแสวงความรูต้ ามเปา้ หมาย
หรอื วัตถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้
ขัน้ ท่ี 4 ทบทวนตนเอง พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองและตลอดชีวติ
ขน้ั ที่ 5 พฒั นาคุณคา่ การเรยี นรู้ ดว้ ยการถา่ ยทอดประสบการณ์และแลกเปลย่ี นเรียนรกู้ ับผู้อื่นผ่านชอ่ งทางท่ี
หลากหลายอย่างสม่าเสมอ

เพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน การขยายผลและต่อยอดการเรียนรู้ท่ีดีงามต่อไป ทั้งน้ี ในการแสวงหาความรู้
หรือการเรียนรู้นั้น บุคคลสามารถกระทาได้หลายวิธี ได้แก่ การเรียนรู้จากประสบการณ์ การเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป็นการเรียนร้ทู ก่ี าหนดขึ้นด้วยตนเอง เปน็ การเรียนรู้ด้วยความตั้งใจ การลงมอื ปฏบิ ตั ิ การเรยี นรู้ในชีวิตประจาวัน
จากประสบการณ์การดาเนินชีวิตประจาวัน การพูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็น การเรียนรู้จากส่ือเทคโนโลยี
หนังสือ โทรทัศน์ วิทยุ ส่ือออนไลน์ และแหล่งเรียนรู้อ่ืน ๆ รวมท้ังการเรียนรู้จากสถาบันการศึกษา องค์กร
หรือหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง และการเรียนรู้จากการตีความ เกิดจากกระบวนการคิดวิเคราะห์จากประสบการณ์เดิม
ของบุคคล เปน็ ต้น

การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตครูผู้สอนอาจถ่ายทอดประเด็นดังกล่าวนี้ โดยเริ่มจากการให้
ผู้เรียนประเมินตนเอง จากน้ันเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้อธิบายวิธีการในการพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นผู้เรียนรูต้ ลอด
ชีวิตผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีหลากหลายในห้องเรียน และนอกห้องเรียน โดยอาจเป็นกิจกรรม การเรียนรู้ทั้งท่ี
เปน็ ทางการในเนื้อหาหลักสตู ร และ/หรือกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ไมเ่ ป็นทางการตามความต้องการปัญหา ความสนใจ
และศักยภาพของผู้เรียน การส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการนาตนเองอย่างต่อเน่ือง โดยให้ผู้เรียนได้เห็น

วถิ ชี วี ติ ตัวอย่างบคุ คลท่ีมชี ื่อเสียงที่เป็นท่ีรูจ้ ัก และการปฏิบัตจิ ริง วิเคราะห์และประเมินปัจจัยสง่ เสริมความสาเร็จ
ของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยการตั้งคาถามชวนคิดให้กับผู้เรียนเพ่ือให้เกิดการทาตาม จนผู้เรียนเกิดการ
ยอมรบั และพัฒนาตนเอง เกดิ เปน็ พฤตกิ รรมและอปุ นิสยั และมที กั ษะการเรยี นรู้ตลอดชีวิต ผู้สอนและผเู้ รยี นมีการ
ส่ือสาร สะท้อนผลการปฏิบัติเป็นระยะๆ มีระบบการกากับ ติดตาม วัดและประเมินผลการเรียนรู้อย่างสม่าเสมอ
และต่อเนื่อง ทั้งนี้ การจะพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตนั่น ครูผู้สอนควรต้องเป็นตัวอย่างท่ีดีด้วย
น่นั คือ มคี วามรู้ ร้จู ักแสวงหาความรู้ และเป็นผู้เรยี นรตู้ ลอดชวี ิต

79

ใบควำมรู้ กรณตี ัวอยำ่ งผู้เรียนรูต้ ลอดชีวติ

กรณีตวั อยำ่ งผู้เรียนรู้ตลอดชวี ติ
พระบำทสมเดจ็ พระปรมินทรมหำภูมิพลอดุยเดช (บรมนำถบพิตร) รชั กำลที่ 9

80

ภำพ : facebook.com/groups/ArtisticalImage
ตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช (บรมนาถบพิตร)
รัชกาลท่ี 9 ทรงปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะ“ครูแห่งแผ่นดิน” "Teacher of the Land"ท่ีถ่ายทอดท้ังความรู้
ในเชิงทฤษฎีและการปฏิบัติ และทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของการเป็นผู้นาตนเองในการเรียนรู้ พระบาทสมเด็จพระ
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช (บรมนาถบพิตร) ทรงเป็นกษัตริย์ผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง พระราชกรณียกิจ
คาสอน และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริล้วนเก่ียวข้องกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และ
การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้เพ่ือเสริมสร้างทักษะการประกอบอาชีพ
เพื่อความอยู่ดีกินดี และยังทรงให้ความสนพระทัยกับเร่ืองครูผู้สอน สาระการเรียนรู้ วิธีการจัดการเรียนการสอน
และศักยภาพของผู้เรียน คุณภาพของการจัดการศึกษาตลอดชีวิตโดยรวม ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอก
ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

ตวั อยำ่ ง โครงกำรอันเนื่องมำจำกพระรำชดำริทส่ี ำคญั ๆ ทสี่ ะท้อนควำมเปน็ ผุ้เรียนรู้ตลอดชีวิต ได้แก่

โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา มีวัตถุประสงค์หลักในการดาเนินงาน เพื่อศึกษา ทดลองและวิจัยหา 81
วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับงานทางด้านการเกษตรต่างๆ ซ่ึงผลการศึกษาสามารถนามาประยุกต์ใช้เป็นแบบอย่างใน
การนาไปปฏิบัติตาม ลักษณะของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) โครงการ
แบบไม่ใช่ธุรกิจ เป็นโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร และ 2) โครงการก่ึงธุรกิจ
เป็นโครงการทดลองแปรรูปผลิตภัณฑ์จากการเกษตร มีการจัดผลิตภัณฑ์ออกจาหน่ายในราคาย่อมเยาในรูปแบบ
ที่ไม่หวังผลกาไร แต่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศไทย โครงการส่วนพระองค์
สวนจติ รลดาเป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดารทิ ี่ควรค่าแก่การศึกษาเรยี นรู้ ทั้งยงั มอบคุณประโยชน์
มากมายใหก้ ับพสกนิกรชาวไทย

- โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดาริ เป็นโครงการตัวอย่างด้านการเกษตรรวบรวมพันธุ์พืชเศรษฐกิจ
ในพื้นท่ี อาเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี จดั เป็นพนื้ ท่เี พาะปลูกพืชผักต่าง ๆ โดยเนน้ ท่ีพืชท้องถิ่น มีแปลงสาธิตปลูก
ข้าวท้ังข้าวเจ้า และข้าวเหนียว ปลูกยางพารา ซ่ึงทั้งหมดนี้จะเน้นไม่ให้มีการใช้สารเคมี หรือหากต้องใช้ก็ต้องมี
ในปริมาณท่ีน้อยท่ีสุด เรื่องของการปศุสัตว์ ก็มีการทดลองทาฟาร์มโคนม ฟาร์มไก่ และมีการใช้พลังงาน
จากทุ่งกังหันลมเพ่ือผลิตไฟฟ้าใช้ภายในโครงการ พร้อมท้ังพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเท่ียว และเป็นศูนย์การเรียน
ด้านการปลูกพชื เกษตรในพื้นทีแ่ ห้งแลง้ อกี ดว้ ย

- ศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมวัดญาณสังวรารามวรวิหาร อันเน่ืองมาจากพระราชดาริ อาเภอ
บางละมุง จังหวัดชลบุรี เน้นเร่ืองการแก้ปัญหาสภาพดินเส่ือมโทรม และให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ดินและน้าแก่
ราษฎรท่ัวไป การทดลองปลูกพืชที่เหมาะสมกับสภาพดินการฝึกอบรม การใช้น้าอย่างประหยัด โดยมีการติดตาม
ผลการนาความรู้ไปใช้ของผู้ผ่านการอบรมอย่างสม่าเสมอ จัดเป็นหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการ และ
สามารถนาความรู้ไปใช้ได้จริง และมีการจัดเป็นสถานศึกษาเปิดเพื่อให้บริการแก่ราษฎรท่ีมีความสนใจเข้าชม
และศกึ ษาด้วยตนเอง

- โครงการพระดาบสเพ่ือสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาท่ีขาดแคลนทุนทรัพย์ยังไม่มีอาชีพ
และความรู้พื้นฐานเพียงพอท่ีจะเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาขั้นสูง เน้นการฝึกวิชาชพี และฝึกอบรมคุณธรรม
ศีลธรรมโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เขาเหล่านั้น ออกไปประกอบสัมมาอาชีวะ สร้างตนเอง ช่วยเหลือครอบครัว
และประเทศชาติ เป็นโครงการท่ีสรา้ งคนสกู่ ารทางานอันเป็นผลมาจากการได้รับความรู้ ทักษะ หรือประสบการณ์
จากการศึกษา หรือจากกิจกรรมในวิถีชีวิตท่ีสามารถเกิดข้ึนได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตและนอกจากนี้
ยังมีโครงการที่เก่ียวข้องกับการส่งเสริมการศึกษาและเรียนรู้ อาทิ โครงการจัดการศึกษาด้วยระบบทางไกลผ่าน
ดาวเทียม โครงการศาลารวมใจ ศูนย์ศึกษาการพัฒนา อันเนื่องมาจากพระราชดาริ โดยให้ทาหน้าท่ีเสมือน
"พพิ ิธภณั ฑธ์ รรมชาติที่มชี วี ิต" เพือ่ เปน็ ศูนย์รวมของการศึกษาค้นคว้า ทดลองวจิ ัยและแสวงหาแนวทางและวิธีการ
พัฒนาด้านต่างๆ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และการประกอบอาชีพของราษฎรท่ีอาศัยอยู่ในภูมิ
ประเทศน้ันๆ จะเห็นได้ว่า พระองค์เข้าใจหลักการศึกษาตลอดชีวิตเป็นอย่างดี การจัดการศึกษาตลอดชีวิตมุ่งให้

ประชาชน มีสิทธิและโอกาสเสมอกัน ในการได้รับการศึกษาอย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตท่ีเหมาะสมกับบุคคล อายุ
พื้นฐานการศึกษา อาชีพ ความสนใจ และสภาพแวดล้อมของผู้เรียนเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้
อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิต ของประชาชนให้ดีย่ิงข้ึน ด้วยการพัฒนาวัฒนธรรมการเรียนรู้
และพฒั นาสังคม ใหเ้ ปน็ สงั คมแหง่ การเรียนรู้ ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ จะนาไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยนื

สรุป การพัฒนาเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นเรื่องจาเป็นและเป็นประโยชน์สาหรับคนทุกวัย เพราะ
นอกจากจะเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ช่วยประเทืองปัญญา ทาให้มองปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างลึกซึ้งและ
ดาเนนิ ชีวิตในสงั คมอย่างเท่าทนั สง่ ผลให้บคุ คลมีคณุ ภาพชวี ติ ที่ดีแลว้ การพฒั นาพลเมอื งให้เป็นผูเ้ รยี นรู้ตลอดชีวิต
ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาสังคมท่ีย่ังยืนในยุคปัจจุบัน สังคมท่ีมีผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตจานวนมากจะเป็น
พลังขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมน้ันๆ ได้อย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด ช่วยให้สังคมมีความมั่นคงและยั่งยืน
อันนามาซงึ่ ความสขุ สงบของผคู้ นและสงั คมโดยรวม

82

ใบควำมรู้ 83
เรือ่ ง เรยี นร้ตู ลอดชีวติ เคลด็ (ไม่) ลบั ของคนดงั ระดับโลก

หากพูดถึงหน่ึงใน Self-Made CEO ของโลก คงไม่มีใครไม่รู้จัก สัตยา นาเดลลา แห่ง ไมโครซอฟต์
หลังจากท่ีข้ึนมาบริหารงานต่อจากซีอีโอ คนก่อนในปี 2014 เขาได้พา ไมโครซอฟต์ กลับมาอยู่ในทิศทาง
ที่ถูกต้องอีกคร้ัง โดยผลงานเด่นๆ ของเขาคือ ยกเคร่ืองระบบปฏิบัติ การ Windows ไปสู่ Windows 10
จับมอื เปน็ พันธมติ รกับแบรนดใ์ นท้องตลาดยักษ์ใหญ่อย่างแอป็ เปิล้ หรือ กเู กล้ิ

อริญญา เถลงิ ศรี Managing Director บรษิ ัท SEAC ศูนยพ์ ฒั นาภาวะผูน้ าและผู้บรหิ ารระดับสงู กล่าววา่
ไม่ใช่แค่เร่ืองการทางานของเขาที่น่าสนใจ ส่ิงหน่ึงท่ีทาให้ซีอีโอ ผู้น้ีประสบความสาเร็จมาจากวิธีคิดและวิธีการ
ทางานของเขา และเร่ืองหนึง่ ท่ีน่ายกยอ่ งมากคือเรอ่ื งความเชอ่ื ของเขาในการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต

สัตยา นาเดลลา กล่าวว่า “ผมเป็นคนที่เรียนรู้ตลอด ผมจะได้รับพลังงานจากคนท่ีประสบความสาเร็จ
เวลาเห็นคนอื่นพัฒนาอะไรสักอย่าง ไม่ว่ามันจะเล็กขนาดไหน ส่ิงเหล่านั้นมันทาให้ผมหยุดพัฒนาตัวเองไม่ได้
ผมมักจะซ้ือหนังสือมากจนอ่านไม่หมด สมัครเรียนคอร์สออนไลน์มากเกินเวลาที่มี ผมว่าส่ิงเหล่าน้ีแหละเป็นพลัง
ช้นั ดีให้กบั การทางาน ไมใ่ ช่แค่ผม แต่สาหรับทกุ คน เพราะสินค้าและบรกิ ารกม็ าจากความรู้ท่ีคุณมีทงั้ นน้ั ”

ความเช่ือในเร่ืองการเรียนรู้ตลอดชีวิตของเขานี่เอง ที่ทาให้เขากลายเป็น Self-Made CEO
ท่ีน่าชื่นชม ในโลกที่คนย่ิงเก่งเท่าไหร่ ยืนอยู่ในจุดที่สูงข้ึนไปเท่าไหร่ ยิ่งทาให้มีโอกาสท่ีอัตตาของเขาจะเต็มเป่ียม
เม่ือไหร่ท่ีคุณคิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุดแล้ว เม่ือนั้นคุณจะหยุดเรียนรู้ ในอีกมุมหนึ่ง การเรียนรู้แบบไม่ส้ินสุด จะทาให้
คุณพัฒนาตัวเองไปเร่ือยๆ ในขณะท่ีการไม่เรียนรู้อะไรเพ่ิมเติมเลย จะทาให้คุณกลายเป็นคนล้าสมัย และติดกับ
โลกเก่าๆ ของตัวเอง การเรียนรู้จึงเป็นการเปิดโลกกว้างของคุณด้วย โดยในรายละเอียด นี่คือคุณลักษณะ
ท่ีกดี ขวางไมใ่ หค้ นเราเกิดการเรยี นรู้อย่างต่อเนอื่ ง

คุณลกั ษณะทีก่ ีดขวำงไม่ใหค้ นเรำเกิดกำรเรียนรูอ้ ยำ่ งตอ่ เนอ่ื ง
1.น้าเต็มแก้ว คือลักษณะของคนที่ไม่ยอมรับว่าตนเองไม่รู้ เช่ือว่าเคยเจอมาแล้ว รู้แล้วว่าต้องทาอย่างไร
เช่ือว่าวิธีแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ที่เคยทามาน้ันเป็นสูตรสาเร็จท่ีใช้แก้ไขปัญหาได้ครอบจักรวาล ทั้งท่ีความจริงแล้ว
กาลเวลา สิ่งแวดล้อม และบริบทเปลี่ยนไปแล้ว การไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่รู้จึงเปรียบเสมือนน้าเต็มแก้วที่ไม่ว่าจะ
พยายามเติมหรอื นาเสนอความรคู้ วามคดิ ใหม่ๆ อยา่ งไรกไ็ ม่สามารทาได้
2.กลัวเสียหน้า หลายๆ คนไม่สามารถทาใจยอมรับได้ว่าตวั เองไม่รู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีชวั่ โมงบินสูง
ทัง้ ทีค่ วามจรงิ แลว้ การอา้ งวา่ รูม้ ากรดู้ ี แตค่ วามจริงไม่รู้หรือรู้ไมจ่ ริงนน้ั จะสามารถสนั่ คลอนความเช่ือม่ันและความ
นา่ นบั ถอื ลงไปไดห้ ลายแตม้
3.อ่ิมตัว หมดไฟ ชนเพดาน ไม่เห็นความสาคัญของการค้นคว้าหาส่ิงใหม่ๆ มาใช้พัฒนางาน เช่ือว่าเดิน
มาถึงท่ีสุดแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่าน้ีจึงหยุดเรียนรู้ หรือเพราะไอเดียใหม่ๆ ฟังยุ่งยากซับซ้อน จึงเลือกท่ีจะทาตามวิธี
เดมิ ๆ ต่อไป

ด้วยทัศนคติแบบนี้นี่เองท่ีไม่เอื้อต่อการพัฒนาตัวเอง และปิดกั้นความรู้ใหม่ๆ แต่อยากเช้ือเชิญทุกท่าน
อย่าหยุดเรียนรู้เพราะชีวิตไม่เคยหยุดสอนเรา ส่ิงที่คุณต้องทาคืออย่าลืมเปิดตา เปิดใจให้กว้างเพื่อเรียนรู้จากส่ิงท่ี
คุณเจอทุกวัน อย่าปล่อยให้วันเวลาล่วงเลยไปแบบเสียเปล่า ชีวิตสอนเราในทุกขณะ เพื่อให้เราเติบโตและ
แข็งแกร่งขึ้น ดังน้ันเม่ือเจออุปสรรค อย่ามัวแต่ท้อใจ เสียใจ แต่ให้ต้ังคาถามว่าเราได้อะไรจากบทเรียนครั้งนี้
และจงขอบคณุ ชีวติ ท่ไี ดส้ อนบทเรียนเรา หลายคนไม่เคยมีโอกาสได้เรียนรูอ้ ะไรเลย
ท่มี า : https://www.seasiacenter.com/insights

84

ใบงำน
รือ่ ง เป้ำหมำยในกำรพัฒนำตนเองดำ้ นกำรเรยี นรู้ตลอดชวี ิต
ชอ่ื .................................................นามสกลุ ...............................................ชนั้ ม……../..........เลขที่...........

คำชี้แจง ใหน้ ักเรยี นเขียนผังมโนทัศน์เรื่องเปา้ หมายในการพัฒนาตนเองดา้ นการเรียนรู้ตลอดชวี ติ อย่างน้อย
1 ข้อ และแนวทางวธิ ีการเรยี นรูต้ ลอดชีวติ ตามเป้าหมายของนักเรียน

85

เป้าหมายในการพัฒนาตนเอง
ดา้ นการเรยี นร้ตู ลอดชีวติ ของนักเรยี น

ใบควำมรู้ 86
เรื่อง กำรเรยี นรูต้ ลอดชีวิต (Lifelong Learning)

แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์การศึกษา เกิดขึ้นเม่ือประมาณกว่า 30 ปี
มาแล้ว ภายใต้ความพยายามของ OECD UNESCO และสภายุโรป (Council of Europe) เป็นการสนองต่อความ
บกพร่องท่ีเกิดข้ึนในอดีต ในขณะท่ีบุคคลเรียนรู้ตลอดเวลาท่ียังมีชีวิตอยู่ โอกาสทางการศึกษามีขีดจากัดในช่วง
เริ่มแรกของชีวิต ท่ีครอบงาโครงการศึกษาท่ีเป็นทางการ (Formal Education) จึงมีความจาเป็น ที่จะให้
โอกำสท่สี อง แกค่ นท่ไี มไ่ ด้รบั โอกาสทางการศึกษาในช่วงวัยเด็กและวยั รุ่น

การเรียนรู้ตลอดชีวิต ไ ม่เ พียง หม าย ถึง กา รศึ ก ษาผู้ ให ญ่ (Adult Education) เท่าน้ั น
แต่ยังครอบคลุมการเรียนรู้ทุกรูปแบบตลอดช่วงชีวิตอีกด้วย บทความช้ินนี้นาเสนอความหมายเชิงนโยบาย
ท่ีตรงประเด็นของแนวคดิ “กำรเรยี นรูต้ ลอดชีวติ ”

อะไรคือคณุ ลกั ษณะพเิ ศษของแนวคดิ กำรเรยี นรตู้ ลอดชีวติ
การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตต้องมีมุมมองแบบองค์รวม (Comprehensive View) ท่ีครอบคลุม

กิจกรรมการเรียนรู้ทุกด้าน โดยมีเป้าหมายท่ีจะปรับปรุงความรู้และความสามารถในการแข่งขันของบุคคล
ทีป่ รารถนาเขา้ รว่ มในกิจกรรมการเรยี นร้คู ุณลกั ษณะ 4 ประการของแนวคิดการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่

1. มีมุมมองอย่ำงเป็นระบบส่ิงนี้คือคุณลักษณะที่พิเศษท่ีสุดของการเรียนรู้ตลอดชีวิต กรอบ
แนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตของอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของโอกาสการเรียนรู้ที่เป็นส่วนหนึ่ง
ของระบบที่มีความเชื่อมโยงกัน ซ่ึงครอบคลุมวงจรชีวิตทง้ั หมด และประกอบด้วยรูปแบบต่าง ๆ ของการเรียนรู้ท้ัง
ท่ีเป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ

2. มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลำง มีการเปล่ียนจากมุ่งเน้นด้านอุปทาน (Supply) เป็นศูนย์กลาง
ในรูปแบบการจัดการศึกษาเชิงสถาบันท่ีเป็นทางการ ไปสู่ด้านอุปสงค์ (Demand) ท่ีตอบสนองความต้องการ
ของผู้เรียนเป็นหลัก

3. มีแรงจูงใจที่จะเรียน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จาเป็นสาหรับการเรียนรู้ที่มีความต่อเน่ืองตลอดชีวิต
ท้ังน้ีต้องมุ่งเน้นที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ท่ีตนเอง
เปน็ ผชู้ ้นี า

4. มีวัตถุประสงค์ของนโยบำยกำรศึกษำท่ีหลำกหลำย มุมมองวงจรชีวิตที่ให้ความสาคัญกับ
เปา้ หมายการศึกษาทีห่ ลากหลาย อาทิ การพฒั นาบคุ ลิกภาพ การพฒั นาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์ทางเศรษฐกิจ สงั คม
และวัฒนธรรม และการจัดลาดับความสาคัญของวตั ถุประสงค์เหล่าน้ี อาจเปล่ยี นไปใน แต่ละชว่ งชีวติ ของคน ๆ หน่ึง

ทำไมกำรเรียนร้ตู ลอดชวี ิตจงึ มคี วำมสำคญั 87
พลังผลักดันท่ีสาคัญทางสังคม เศรษฐกิจจานวนมากสนับสนุนแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตกระแส

โลกาภิวัตน์และการเปล่ียนแปลงเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของการทางานและตลาดแรงงานและ
โครงสร้างอายุประชากร เป็นแรงผลักดันที่สาคัญต่อความจาเป็นท่ีจะต้องมีการยกระดับทักษะการทางานและ
การใชช้ ีวติ อยา่ งต่อเน่อื ง ความต้องการก็เพ่อื Treshold ทย่ี กระดบั ของทกั ษะเช่นเดียวกบั การเปลี่ยนแปลงมากข้ึน
ในธรรมชาติของทักษะ แรงกระตุ้นของกิจการเพ่ือให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นส่งผลต่อสภาพการทางาน มีแนวโน้ม
ท่ีจะมีการจ้างงานระยะส้ันในตลาดสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของตลาดได้ง่ายและวัฎจักรสินค้า
ท่ีสัน้ ลง งานอาชพี ลดลงและบคุ คลประสบกับความเปลีย่ นแปลงในเร่ืองงานดขี ึน้ ในชว่ งชวี ิตทางาน

การเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งอย่างกว่างขวางกาลังคุกคามขั้วใหม่ระหวา่ งส่ิงท่ีความรมู้ ีและส่ิงที่ความรู้
ไม่มี ในทางกลับกันส่ิงนอ้ี าจคุกคามรากฐานของประชาธิปไตยด้วยโอกาสในการฝกึ อบรมในภายหลงั น้ัน ขึ้นอยู่กับ
คุณสมบัติของแต่ละบุคคลที่ข้ามาสู่การจ้างงาน และโอกาสการเรียนรู้เปิดกว้างแก่ ผู้ว่างงาน ลูกจ้างในสถาน
ประกอบการขนาดเล็ก และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคมกลับย่ิงนอ้ ยกว่าลูกจา้ งในสถานประกอบการขนาดใหญ่มาก
ความไม่เท่าเทียมกันนี้ (Disparities) สะท้อนช่องว่างรายได้ระหว่าง ผู้มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
และผ้ทู ไี่ ม่มวี ุฒดิ ังกล่าว และช่องว่างนัน้ ยง่ิ กว้างข้นึ เรอื่ ย ๆ

การลงทุนในการศึกษาและการฝึกอบรมท่ีจะสนองต่อยุทธศาสตร์การเรียนรู้ตลอดชีวิตก็เพื่อบรรลุ
วัตถุประสงค์ทางสังคมและเศรษฐกิจโดยก่อให้เกิดประโยชน์ส่วนบุคคลผู้ประกอบการ และเศรษฐกิจและสังคมใน
ระยะยาว สาหรับบุคคลแล้วการเรียนรู้ตลอดชีวิตมุ่งเนน้ ที่การสร้างสรรค์ การริเริ่ม และความรับผิดชอบ ซึ่งส่งผล
ให้เกิดการตอบสนองต่อตนเอง งานทีด่ ีขึ้นรายไดท้ ี่เพิ่มข้นึ นวัตกรรมใหม่ ๆ และเพ่ิมความสามารถในการผลิตมาก
ข้ึนด้วย ทักษะและศักยภาพของแรงงานเป็นปจั จยั หลักในผลงาน และความสาเร็จของสถานประกอบการ สาหรบั
เศรษฐกิจ แล้วมีความสัมพันธ์ที่สนับสนุนกันระหว่างการได้รับการศึกษาและการเติบโตทางเศรษฐกิจอะไรคือผล
เชิงนโยบายของแนวคิดน้ีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าสู่และผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากสิ่งท่ีเป็น
ทางการ ดังน้ันกิจกรรมการเรียนรู้ของวัยรุ่นและผู้ใหญ่จึงอยู่นอกเหนือขอบเขตท่ีมีการบันทึกไว้ นอกจากการ
วัดเชิงปริมาณแล้วประเด็นเชิงคุณภาพและความก้าวหน้าของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นว่า
ระบบโครงสร้างเชิงสถาบนั เชิงกฎหมาย และเชงิ นโยบาย เอ้ือตอ่ การสนบั สนนุ การเรียนร้ตู ลอดชวี ติ ได้ดอี ย่างไร

แผนกำรจัดกิจกรรมแนะแนวท่ี 8 ช้นั มัธยมศึกษำปที ี่ 4 – 6
จำนวน 5 ชั่วโมง
หนว่ ยกำรกำรจดั กิจกรรม กำรศึกษำ
เรอ่ื ง สำรสนเทศทำงกำรศกึ ษำ

1. สำระสำคญั 88
ในยุคแห่งเทคโนโลยีและการศึกษาแบบดิจิทัลมีข้อมูลมากมายให้สืบค้น การท่ีจะค้นหาข้อมูลที่มีอยู่เป็น

จานวนมากน้ัน จาเป็นต้องรู้เทคนิคการแสวงหาความรู้ และการเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศให้เกิดประโยชน์กับ
ตนเองมากทีส่ ดุ ความรูใ้ นปัจจบุ ันจงึ ไม่ได้อยู่ทตี่ วั บุคคลเพียงอย่างเดยี ว แต่มสี ่ือเทคโนโลยี และสถานการณ์ ตา่ งๆ
รอบตัวด้วย ดังน้ัน การใช้เครื่องมือค้นหาเข้ามาช่วยในการสืบค้นหรือที่เรียกว่า Search Engine จึงมีความจาเป็น
ทจ่ี ะต้องเรียนรู้ เนื่องจาก มคี วามสะดวก รวดเร็ว และเปน็ ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม การศึกษายุคไทยแลนด์ 4.0 นบั เปน็
การศึกษาที่มุ่งเสริมสร้างความสามารถในการค้นหา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลด้านการศึกษาจากแหล่งต่าง ๆ ด้วย
วธิ กี ารที่หลากหลาย และเป็นระบบ เพื่อให้ได้มาซง่ึ ข้อมูลสารสนเทศท่นี ักเรียนต้องการอย่างมีคุณภาพ
2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ดำ้ นกำรศกึ ษำ

ขอ้ 3 ใชข้ อ้ มลู ในการวางแผนการศกึ ษา

3. จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้
3.1 บอกวธิ ีการสบื ค้นข้อมลู ด้านการศึกษาต่อจากแหล่งเรยี นรู้อย่างหลากหลาย
3.2 อธบิ ายวิธีการแสวงหาความรแู้ ละแหลง่ เรยี นรู้อย่างหลากหลาย
3.3 เลอื กใช้ส่ือเทคโนโลยีและแหลง่ เรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสม

4. สำระกำรเรียนรู้
4.1 การใช้ขอ้ มูลในการวางแผนการศกึ ษาเพื่อเตรียมความพร้อมศึกษาต่อระดับทส่ี งู ขน้ึ
4.2 การรูจ้ ักแสวงหาความรู้และใช้ขอ้ มลู ประกอบการวางแผนการเรยี นหรอื การศึกษาต่อไดอ้ ย่าง

มปี ระสิทธิภาพ

5. ชิ้นงำน / ภำระงำน
5.1 ใบงานเรื่อง ใช่แล้วคลิก
5.2 ใบงานเรื่อง เสน้ ทางเดนิ
5.3 ใบงานเร่อื ง ภาพแห่งความสาเรจ็
5.4 ใบงานเรือ่ ง Learn By Heart
5.5 ใบงานเรอื่ ง แบบสารวจพฤติกรรมการแสงหาความรู้
5.6 ใบงานเรื่อง ขุมทรัพยท์ างปัญญา

6. วิธีกำรจดั กจิ กรรม 89

กจิ กรรมกำรเรยี นรู้เรอื่ ง I live by design (ช่ัวโมงที่ 1)

6.1 ครูถามนักเรียนว่ามีงานวิชาใดท่ีนักเรียนต้องสืบค้นข้อมูลบ้าง และนักเรียนใช้วิธีใดการสืบค้นข้อมูล
อยา่ งไร จากน้ันครูบันทึกคาตอบบนกระดาน แล้วแลกเปลีย่ นความคิดเหน็ รว่ มกัน

6.2 ครใู ห้ความรนู้ กั เรียนเกีย่ วกบั วธิ กี ารสืบคน้ ขอ้ มลู ดว้ ยการอธิบายหลกั 5W 1H จากนน้ั ร่วมกันอภปิ ราย
แสดงความคดิ เห็นในประเด็นดงั นี้

- Who ใคร คอื ส่งิ ที่เราต้องรวู้ า่ ใครรับผิดชอบ ใครเกยี่ วขอ้ ง ใครได้รับผลกระทบในเร่ืองนน้ั
มใี ครบา้ ง

- What ทาอะไร คอื สง่ิ ทเี่ ราต้องรู้วา่ เราจะทาอะไร แต่ละคนทาอะไรบา้ ง
- Where ท่ีไหน คอื สงิ่ ทเ่ี ราตอ้ งร้วู า่ สถานที่ที่เราจะทาว่าจะทาที่ไหน เหตุการณ์หรือสง่ิ ที่ทานั้น
อยู่ทไี่ หน
- When เมอ่ื ไหร่ คอื สิง่ ทเี่ ราตอ้ งรู้วา่ ระยะเวลาทีจ่ ะทาจนถึงส้นิ สุด เหตกุ ารณห์ รอื ส่ิงที่ทานัน้
ทาเม่ือวนั เดอื น ปี ใด
- Why ทาไม คือ สง่ิ ท่เี ราตอ้ งรวู้ ่า ส่งิ ท่เี ราจะทาน้นั ทาด้วยเหตุผลใด เหตุใดจึงได้ทาส่งิ นั้น
หรือเกิดเหตุการณ์นนั้ ๆ
- How อยา่ งไร คอื สงิ่ ท่เี ราต้องรวู้ ่า เราจะสามารถทาทกุ อยา่ งให้บรรลุผลได้อยา่ งไร
เหตกุ ารณห์ รอื สง่ิ ทที่ านัน้ ทาอยา่ งไรบ้าง

6.3 ครสู ่มุ ถามนักเรียนให้อธบิ ายเชื่อมโยงหวั ขอ้ ท่ตี อ้ งการสืบค้นเขา้ กบั หลัก 5W 1H จานวน 5 คน
(แนวการถาม : คณะรัฐศาสตร์ มีมหาวิทยาลยั ไหนบ้างทเ่ี ปิดสอนในประเทศไทย และสถาบนั ตั้งอยูท่ ่ีไหน)

6.4 นักเรียนศึกษาใบความรู้เร่ือง ใช่แล้วคลิก จากนั้นร่วมกันสรุป และอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
การใช้ส่ือเทคโนโลยใี นการเรียน และการสืบคน้ ขอ้ มลู ดา้ นศกึ ษาตอ่ (TCAS)

กจิ กรรมกำรเรียนรู้เรอื่ ง Design your life (ชั่วโมงที่ 2 - 4)
6.5 ครูนาสนทนาในประเด็น ทุกวันน้ีนักเรียนสามารถแสวงหาความรู้ได้จากแหล่งใดได้บ้าง และสื่อ
เทคโนโลยีใดทน่ี กั เรียนนิยมเลอื กใช้มากท่ีสดุ
6.6 นักเรียนทาใบงานเร่ือง เส้นทางเดิน โดยใช้โทรศัพท์มือถือในการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้
ท่ีเช่ือถือได้ จากนั้นร่วมกันสรุปความสาคัญการเลือกใช้ข้อมูลในการวางแผนการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อม
ศึกษาตอ่ ระดบั ท่ีสงู ขน้ึ และทาใบงานเรื่อง ภาพแหง่ ความสาเร็จ ตามลาดบั
6.7 ครูนาเสนอข้อมูลกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพ่ือแนะแนวโอกาสทางการศึกษาให้กับ
นักเรียนที่มีความต้องการศึกษาต่อ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ด้านเศรษฐกิจ จากนั้นครูยกตัวอย่างเส้นทางการศึกษา

ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และตัวอย่างการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในสถาบันต่าง ๆ 90
เพ่อื ใหน้ ักเรยี นรแู้ นวทาง และมีขอ้ มูลในการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในระดบั ที่สงู ข้ึนต่อไป

กจิ กรรมกำรเรียนรู้เรอ่ื ง Learn By Heart (ชว่ั โมงที่ 5)
6.8 นักเรียนทาใบงานเรื่อง Learn By Heart จากน้ันร่วมกันสรุปความสาคัญของการสืบค้นข้อมูลด้าน
การศกึ ษาตอ่ จากแหลง่ เรยี นรู้ทห่ี ลากหลาย
6.9 นักเรียนทาใบงานเรื่อง แบบสารวจพฤติกรรมการแสวงหาความรู้ และใบงานเรื่อง ขุมทรัพย์
ทางปัญญา จากนนั้ รว่ มกนั สรุปความสาคญั ของการใชข้ อ้ มลู สารสนเทศเพอ่ื พฒั นาตนเอง
6.10 นักเรียนร่วมกันสรุปข้อคิดหรือประสบการณ์ท่ีไดร้ ับจากกิจกรรมนี้
7. สอื่ / อปุ กรณ์
7.1 ใบความรู้เรอ่ื ง ใชแ่ ลว้ คลิก
7.2 ใบงานเร่อื ง เส้นทางเดิน
7.3 ใบงานเรอ่ื ง Learn By Heart
7.4 ใบงานเรอ่ื ง แบบสารวจพฤตกิ รรมการแสวงหาความรู้
7.5 ใบงานเรอื่ ง ขมุ ทรัพย์ทางปัญญา
7.6 ใบงานเร่ือง ภาพแห่งความสาเร็จ
7.7 เอกสาร และขอ้ มูลประกอบงานกองทุนเงนิ ให้กู้ยมื เพอ่ื การศึกษา (กยศ.) สบื ค้นข้อมูลจาก :
https://eservices.studentloan.or.th/SLFSTUDENT/html/index.http
8. กำรวัดและประเมินผล
8.1 วธิ กี ำรวดั และประเมนิ ผล

8.1.1 สงั เกตความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม และการร่วมอภิปรายแสดงความคดิ เห็น
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความเรียบร้อยของใบงาน
8.2 เคร่อื งมือ
-
8.3 เกณฑก์ ำรประเมิน
8.3.1 สังเกตการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
เกณฑ์ ตวั บง่ ชี้
ผ่าน มีความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม การร่วมอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
ไม่ผ่าน ขาดสง่ิ ใดสิ่งหนึ่ง

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตัวบ่งชี้
ผ่าน ทาใบงานถูกต้อง ครบถว้ น และสง่ งานตามกาหนด
ไม่ผา่ น ขาดสิ่งใดสง่ิ หน่ึง

ใบความรู้ 91
เรือ่ ง ใช่แล้วคลกิ
กำรสืบคน้ ข้อมูลสำรสนเทศบนอินเทอร์เนต็ หรือแหล่งเรียนรตู้ ำ่ ง ๆ ควรดำเนนิ กำรดงั นี้

1. กำหนดวตั ถปุ ระสงค์กำรสบื คน้

ผู้สืบค้นหรือผู้วิจัยที่จะนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นที่ชัดเจน ทาให้สามารถ
กาหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่จะสืบค้นให้แคบลง กาหนดประเภทของเครื่องมือหรือโปรแกรม
สาหรบั การสบื คน้ ทางอนิ เทอรเ์ น็ต ท่ีเรียกวา่ search engine ใหเ้ หมาะสม กาหนดชว่ งเวลาที่ข้อมูลสารสนเทศถูก
สร้างขึ้น เช่น ช่วงปีที่ตีพิมพ์ของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ท้ังนี้เพื่อให้ผลการสืบค้นมีปริมาณ ไม่มากเกินไป มีความ
ตรง (validity) ตามวตั ถุประสงค์ และมคี วามนา่ เชอ่ื ถือ (reliability) มากทสี่ ดุ อีกทัง้ ยังสามารถสบื ค้นได้ผลในเวลา
อนั รวดเร็ว

2. ประเภทของขอ้ มลู สำรสนเทศท่สี ำมำรถสืบคน้ ได้

ข้อมูลสารสนเทศท่ีอยู่บนอินเทอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือ มีทั้งท่ีเป็น
ขอ้ ความ(text) ภาพวาด (painting) ภาพเขยี นหรือภาพลายเส้น (drawing) ภาพไดอะแกรม (diagram) ภาพถ่าย
(photograph) เสียง(sound) เสียงสังเคราะห์ เช่น เสียงดนตรี (midi) ภาพยนตร์ (movie) ภาพเคล่ือนไหว
อะนิเมชัน (animation) จากเทคโนโลยีการสืบค้นท่ีมีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นท่ีเร็วที่สุด มีประสิทธิภาพท่ีสุด
และแพร่หลายที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศประเภทข้อความ สาหรับการสืบค้นข้อมูลท่ีเป็นภาพ
(pattern recognition) และเสียง ยงั มขี อ้ จากัดอยู่มาก ใช้เวลานาน และยงั ไมม่ ปี ระสิทธภิ าพ จงึ ยังไม่มีการสืบค้น
ขอ้ มลู ประเภทอื่นๆ นอกจากประเภทขอ้ ความในการใหบ้ ริการการสบื คน้ บนอนิ เทอร์เน็ต

3. กำรสืบคน้ ต้องอำศัยอปุ กรณ์และควำมรู้

ก่อนที่ผู้สืบค้นจะสามารถ สืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ตได้ ต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์
ดังต่อไปน้ี คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเข้าอินเทอร์เน็ตซ่งึ อาจเป็น modem ในกรณีที่ใช้คู่กับสายโทรศพั ท์
หรือแผ่น LAN Card ในกรณีท่ีใช้คู่กับระบบเครือข่ายท่ีได้รับการติดต้ังไว้แล้ว ซอฟต์แวร์การส่ือสาร
(communication software) เช่น dial-up networking ในกรณีใช้ modem หรือมีการติดตั้ง network
protocol ที่เหมาะสมกับระบบเครือข่ายท่ีเคร่ืองคอมพิวเตอร์นั้นติดต้ังอยู่และติดตั้ง network adapter
ท่ีเหมาะสมสาหรับ LAN Card นั้นๆ ต้องสมัครเป็นสมาชิกขององค์การหรือบริษัทผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต
(internet service provider หรือ ISP) เพ่ือเป็นช่องทางออกสู่อินเทอร์เน็ต นอกจากอุปกรณ์ ต่างๆ ดังกล่าว
ข้างต้นแล้ว ยังต้องมีความรู้และทักษะพ้ืนฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์( computer literacy) ความรู้
ภาษาอังกฤษเนื่องจากข้อมูลสารสนเทศส่วนใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเป็นภาษา อังกฤษ และยังต้องมีการจัดสรรเวลา
ให้เหมาะสมอีกด้วย

4. บริกำรบนอนิ เทอร์เน็ต 92

บริการบนอินเทอร์เน็ตที่สามารถใช้ช่วยใน การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศมีมากมายหลายบริการ เช่น
บริการเครือข่ายใยแมงมุมโลก หรือ Word-Wide-Web (WWW) บริการค้นหาข้อมูล Gopher บริการ
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ค้นหาโปรแกรมใช้งาน archie นอกจากนี้ อาจใช้บริการ
สอบถามผ่านทาง e-mail หรือ chat กับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ หรือสอบถามผ่าน news group
หรือ group/thread discussion ก็ได้ เมื่อค้นได้ แหล่งข้อมูลแล้วอาจ download หรือถ่ายโอนข้อมูล
ทส่ี ืบคน้ ได้โดยใช้บริการถา่ ยโอนไฟล์ขอ้ มูลและโปรแกรม (file transfer protocol หรอื FTP) โดยทั่วไปในปัจจบุ นั
การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต นิยมใช้โปรแกรม web browsers เช่น Internet Explorer
หรือ Mozilla Firefox แล้วเรียกใช้บริการ www ประกอบกับการใช้ search engine ซึ่งมีอยู่มากมาย
บนอินเทอร์เน็ตในการสืบค้น เมื่อสืบค้นได้แล้ว โปรแกรม web browsers มักจะมีบริการ download ได้ทันที
โดยไม่ต้องอาศยั โปรแกรมอื่น ๆ เขา้ ช่วย

5. เคร่ืองมือหรือโปรแกรมสำหรับกำรสืบค้น เคร่ืองมือหรือโปรแกรม สาหรับการสืบค้นมีอยู่มากมาย
และมีให้บริการอยู่ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะ การเลือกใช้น้ันข้ึนกับประเภทของ
ข้อมูล สารสนเทศที่ต้องการสืบค้น search engine ต่าง ๆ จะให้ข้อมูลที่มีความลึกในแง่มุมหรือศาสตร์ต่าง ๆ
ไม่เท่ากนั ตัวอย่าง search engine ที่นยิ มใช้มที ้ังเวบ็ ไซตท์ ่เี ปน็ ของต่างประเทศ และของประเทศไทย

เทคนคิ กำรสบื คน้ ข้อมูล โดยทวั่ ไปมีดังน้ี

1. กำรคน้ หำแบบพื้นฐำน (Basic search)
เป็นการค้นหาสารสนเทศอย่างง่าย ไม่ซับซ้อน โดยใช้คาโดด ๆ หรือผสมเพียง 1 คา ในการสืบค้นข้อมูล

โดยส่วนใหญ่การค้นหาแบบง่ายจะมีทางเลือกในการค้นหา เช่น ช่ือผู้แต่ง (Author) ชื่อเรื่อง (Title) หัวเรื่อง
(Subject Heading) หรอื ใช้คาสืบคน้ (Keywords)

2. กำรคน้ หำแบบขน้ั สงู (Advanced Search)
เป็นการค้นหาท่ีซับซ้อนมากกว่าแบบพื้นฐาน ซึ่งมีเทคนิคหรือรูปแบบการค้นท่ีจะช่วยให้ผู้ค้นสามารถ

จากัดขอบเขตการค้นหา หรือค้นแบบเจาะจงได้มากข้ึน เพื่อให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ที่ตรงกับความต้องการมาก
ที่สุด เช่น การใช้ Keyword ในการสืบค้น การใช้เคร่ืองหมาย คาพูด (“ _ ”) การใช้คาเช่ือม AND OR NOT การ
ใชเ้ ครอื่ งหมายคาถาม การใช้เครอ่ื งหมายดอกจัน หรือการระบุเงอื่ นไขประเภทเอกสาร เป็นตน้

กำรประเมนิ ควำมน่ำเชอื่ ถือของแหลง่ ข้อมูล

เพ่ือเป็นการตรวจสอบความน่าเช่ือของแหล่งข้อมูลสารสนเทศท่ีสืบค้นมาได้ ผู้สืบค้นสามารถประเมิน
ความน่าเช่ือถอื ของแหลง่ ข้อมูลได้จาก 9 องคป์ ระกอบดงั น้ี
1. บอกวตั ถุประสงคใ์ นการสร้างหรือเผยแพรข่ ้อมลู ไวใ้ นเวบ็ ไซต์
2. การเสนอเน้อื หาตรงตามวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพรข่ ้อมูลของเว็บไซต์
3. เนื้อหาเว็บไซต์ไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม และจรยิ ธรรม
4. มกี ารระบชุ ื่อผเู้ ขียนบทความหรือผู้ใหข้ ้อมูลบนเวบ็ ไซต์
5. มกี ารให้ที่อยู่ (e-mail address) ที่ผอู้ า่ นสามารถตดิ ต่อผู้ดแู ลเวบ็ ไซต์ได้
6. มีการอ้างองิ หรือระบุแหล่งทมี่ าของข้อมลู ของเนื้อหาท่ีปรากฏบนเว็บไซต์
7. สามารถเชื่อมโยง (link) ไปเว็บไซตอ์ ่ืนทอ่ี ้างถงึ ได้
8. มกี ารระบุวันเวลาในการเผยแพรข่ ้อมลู บนเว็บไซต์ และมีการระบุวนั เวลาในการปรบั ปรุงข้อมลู ครง้ั ล่าสดุ
9. มขี อ้ ความเตือนผู้อา่ นใหใ้ ช้วจิ ารณญาณในการตดั สินใจใช้ขอ้ มูลท่ปี รากฏบนเว็บไซต์

อ้ำงอิงขอ้ มลู จำก : https://sites.google.com/site/jaaopattamawan/bth-reiyn-wicha-rabb-kherux-khay-
khxmphiwtexr-beuxng-tn/bth-thi-6-kar-subkhn-sarsnthes-thang-xinthexrnet

93


Click to View FlipBook Version