The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ม.4 - ม.6-ผสาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุนีรัตน์ ชูช่วย, 2021-11-13 05:21:41

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ม.4 - ม.6-ผสาน

แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ม.4 - ม.6-ผสาน

6.11 ครูใช้คาถามเพื่อให้นักเรียนทบทวนสภาวะของร่างกาย จิตใจในขณะเล่นเกม (สภาวะมีสติ) 343
ว่าเป็นอย่างไร และช้ีให้เห็นว่า สภาวะเหล่าน้ัน จะเกิดเป็นอัตโนมัติ ยิ่งหากฝึกฝนมากเท่าไร ก็จะมีสติ
ได้เร็วข้ึน เป็นผลดีต่อตนเองในการตอบสนองส่ิงเร้าต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับรู้ความรู้สึก
และอารมณ์ของตนเอง เพ่ือให้สามารถควบคุมตนเองให้มีการแสดงออกท่ีเหมาะสมต่อไป ท้ังน้ีการมีสติ
เป็นเร่อื งของทกั ษะที่ต้องหม่นั ฝึกฝน

6.12 ใหน้ ักเรยี นฝึกสติ (ดว้ ยวธิ ีตา่ งๆ ตามสื่อครูนาการฝกึ เองตามวิธีการของครู)
6.13 ครูเอื้ออานวยให้ นักเรียนแลกเปล่ียนประสบการณ์ การฝึกสติ ความรู้สึก การเรียนรู้ที่ได้จาก
การฝกึ สรุปวธิ ีการท่ีเหมาะสมสาหรับตนเอง และสรปุ ลงในใบสรุปผลการเรียนรู้ของแต่ละคน
6.14 ครูแสดงความช่นื ชม และ ใหก้ าลังใจ พรอ้ มทงั้ ชักชวนใหน้ ักเรียนนาไปฝกึ ด้วยตนเอง อยา่ งตอ่ เนือ่ ง

7. สอื่ / อปุ กรณ์
7.1 ลกู โปง่ จานวน 3 -6 ชนิ้
7.2 ใบงาน เรอื่ ง ความรูส้ กึ และอารมณข์ องฉนั
7.3 ใบความรู้ เรอื่ ง อารมณ์และการควบคุมอารมณ์
7.4 ใบความรสู้ าหรบั ครู เรอ่ื ง ปลาชอ่ นปลาดกุ
7.5 ใบงาน เรอ่ื ง ส่ิงท่ีฉันเรียนรู้
7.6 ใบความรู้สาหรบั ครู เรอ่ื ง การฝกึ สมาธิ
7.7 ใบงาน เรอ่ื ง แบบวดั ความเครยี ดของกรมสขุ ภาพจิต
7.8 ใบงาน เรื่อง การวิเคราะหผ์ ลจากการสารวจความเครียด
7.9 ภาพยนตร์สน้ั เรือ่ ง ทกั ษะการกาจดั ความเครียด
7.10 วดี ทิ ศั น์
7.10.1 ฉนั มคี วามสขุ เล็ก ๆ ในใจฉนั
https://www.youtube.com/watch?v=SGviROEgTDI
7.10.2 หนงั สน้ั ทกั ษะกาจัดความเครียด
https://www.youtube.com/watch?v=qOBYM1JxsGU
7.10.3 การจดั การความเครยี ดในวยั รนุ่
https://www.youtube.com/watch?v=FbcCvSuAnLw
7.10.4 ความเครียด
https://www.youtube.com/watch?v=Vkt4xdjtdaE&t=19s
7.10.5 ฝึกหายใจคลายเครียด
https://www.youtube.com/watch?v=j2nB3nGfFMk&t=45s
7.10.6 เพลงความสขุ เล็ก ๆ

8. กำรวดั และประเมนิ ผล 344
8.1 วิธกี ำรวัดและประเมนิ ผล

8.1.1 สงั เกตความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม และการรว่ มอภปิ รายแสดงความคิดเหน็
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถว้ น และความเรียบร้อยของใบงาน

8.2 เครอื่ งมอื
-

8.3 เกณฑ์กำรประเมนิ

8.3.1 สังเกตการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม

เกณฑ์ ตวั บง่ ช้ี
ผา่ น มีความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม การรว่ มอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น
ไมผ่ า่ น ขาดส่งิ ใดสง่ิ หนง่ึ

8.3.2 ตรวจใบงาน

เกณฑ์ ตัวบง่ ช้ี
ผ่าน ทาใบงานถูกต้อง ครบถว้ น และส่งงานตามกาหนด
ไมผ่ า่ น ขาดสิง่ ใดส่ิงหนึ่ง

ใบงำน
เรื่อง ควำมรู้สึกและอำรมณ์ของฉนั
รายชื่อสมาชิกกลุ่ม………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คาแนะนา
นักเรียนแต่ละคนล้วน มีประสบการณ์ในการเกิดอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ อยู่เป็นประจา
ซึ่ ง กิ จ ก ร ร ม น้ี เ ป็ น ก า ร แ ล ก เ ป ลี่ ย น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ข อ ง นั ก เ รี ย น ล้ ว น มี ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ เ ป็ น ตั ว อ ย่ า ง
เพ่อื ใหเ้ พอื่ นๆ เรียนรู้

1. ให้สมาชิกร่วมกันแลกเปล่ียนประสบการณ์ด้านความรู้สึกและอารมณ์ท่ีมักจะเกิดขึ้นกับตัว
ของนักเรยี นแต่ละคน และรวบรวมสรุปลงในใบงานพร้อมวเิ คราะห์วา่

-อารมณด์ ้านบวก (เป็นท่ยี อมรบั ในสังคมวา่ เป็นอารมณท์ พ่ี งึ ประสงค์ อยากใหเ้ กดิ )
-อารมณด์ า้ นลบ (เปน็ ที่ยอมรับในสงั คมว่าเปน็ อารมณ์ทไี ม่พงึ ประสงค์ ไม่อยากให้เกิด)

อารมณ์ /ความรสู้ กึ ดา้ นบวก ดา้ นลบ

345

2. ใหส้ มาชิกรว่ มกนั เลือกความร้สู ึก /อารมณ์ ดา้ นบวกและลบ อย่างละ 1 อารมณ์ ที่คดิ วา่ เปน็ เรื่องท่ี

มีความสาคัญ หากมีการแสดงออกท่ีไม่เหมาะสม ก็อาจทาให้เกิดผลเสียต่อตนเองและ/ หรือผู้อ่ืน ควรนามา

ศึ ก ษ า เ พ่ื อ ร่ ว ม กั น ห า วิ ธี แ ก้ ไ ข แ ล ะ พั ฒ น า ต น เ อ ง แ ล ะ ร่ ว ม กั น แ ล ก เ ป ล่ี ย น ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์

ขอ้ มลู เพ่ือใหไ้ ด้คาตอบในตารางทีก่ าหนด

ตวั อยา่ ง ตัวกระตุน้ ความคดิ กำรเปล่ียนแปลง การ การ การ

ความรู้สกึ / (เหตุการณ์ ที่เกดิ จากการ ทำงรำ่ งกำย แสดงออก แสดงออก แสดงออก

อารมณ์ (ท่ี บคุ คล ที่เกิดขึ้น ไดร้ บั การ มีผลต่อ มผี ลตอ่

เลือกมา กับตวั นักเรยี น กระตนุ้ ตนเอง ผู้อื่น

ศกึ ษา) แลว้ เกิดมี (อยา่ งไร (อย่างไร

ความรู้สึก/ บา้ ง) บ้าง)

อารมณ์)

346

แนวทางการแกไ้ ขการแสดงออกทางอารมณ์ให้เหมาะสม
อารมณ…์ …………………………………………………………………………………………………………………….........………..........
แนวทางแก้ไข
.......................................................................................................... ....................................................................
..............................................................................................................................................................................
อารมณ…์ ………………………………………………………………………………………………………………………………..........…….
แนวทางการแกไ้ ข.................................................................................................................................................

ใบความรู้ 347
เรอื่ ง อารมณ์และการควบคุมอารมณ์ (Emotional Control)

อารมณ์ หมายถึง การแสดงออกของภาวะจิตใจท่ีได้รับการกระทบหรือกระตุ้นให้เกิดมีการ
แสดงออกตอ่ สิง่ ที่มากระตนุ้ อารมณส์ ามารถจาแนกออกได้ 2 ประเภทใหญ่ คือ

1. อารมณส์ ุข คือ อารมณ์ที่เกดิ ขน้ึ จากความสบายใจ หรือ ได้รับความสมหวัง

2. อารมณท์ ุกข์ คอื อารมณ์ทเี่ กิดขึน้ จากความไมส่ บายใจ หรือ ไดร้ ับความไมส่ มหวงั

ผลแห่งอารมณ์ ไม่ว่าอารมณ์สุข หรือ อารมณ์ทุกข์ จะทาให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากปกติและจะมีการ
แสดงออกของพฤติกรรมและความร้สู ึกตามอารมณ์ทีเ่ กดิ ขนึ้

1. องคป์ ระกอบของอำรมณ์

อารมณจ์ ะประกอบไปด้วยองคป์ ระกอบ 3 ประการ คอื

1. องค์ประกอบด้านสรีระ ( Physiological dimension) หมายถึง การเปลี่ยนแปลง
ต่าง ๆ ทางร่างกายที่จะต้องเกิดขึ้นควบคู่กับปฏิกิริยาทางอารมณ์ เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก
ตามร่างกาย หรือใบหน้าร้อนผ่าว เป็นต้น อารมณ์ท่ีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระได้มากท่ีสุด
คือ อารมณ์กลัว และอารมณ์โกรธ อารมณ์กลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมน แอดรีนาลีน
จากต่อมแอดรีนัล (Adrenal gland) ส่วนอารมณ์โกรธจะก่อให้เกิดการหล่ังของฮอร์โมนนอร์แอดรีนาลีน
(Noradrenalin)

2.องค์ประกอบทางด้ านการนึ กคิ ด ( Cognitive dimension) หมายถึง การมีปฏิ กิ ริ ยา
ด้านจิตใจที่เกิดขึ้นต่อสถานการณ์ที่กาลังเป็นอยู่และเกิดเป็นอารมณ์ข้ึนมา เช่น ชอบ-ไม่ชอบ หรือ ถูกใจ - ไม่
ถกู ใจ เป็นตน้

3.องค์ประกอบทางด้านการมีประสบการณ์ (Experiential dimension) หมายถึง การเรียนรู้
ทเ่ี กดิ ข้นึ ภายในจิตใจของแตล่ ะบุคคลซึง่ จะมีความแตกต่างกนั ไป

อารมณ์เปน็ สิ่งทเี่ ราไมส่ ามารถสัมผัสและสังเกตเหน็ ไดอ้ ย่างชดั เจน แต่เราสามารถรู้สกึ ถึงสภาวะ
ทางอารมณ์ของบุคคลท่ีแวดล้อมเราอยู่ได้ เช่น อาจสังเกตได้จากพฤติกรรมท่ีมิได้แสดงออก
เป็นภาษาหรอื คาพดู (Nonverbal language) เชน่ การแสดงออกทางสีหนา้ ท่าทาง แต่อาจเกิดความสับสน
ในการตีความหมายได้ เพราะสังคมแต่ละแห่งอาจมีการแสดงออกทางอารมณ์ท่ี ไม่เหมือนกัน อารมณ์ของ
มนุษย์จะเริ่มมีข้ึนนับตั้งแต่เกิด ซ่ึงนักจิตวิทยาพบว่าอารมณ์แรกของมนุษย์น้ันคือ อารมณ์ต่ืนเต้น ทารก
อายุ 3 เดือน จะมีเพียงอารมณ์เศร้า และอารมณ์ดีใจ ส่วนอารมณ์ที่มีความสลับซับซ้อนจะปรากฏมากข้ึน
ตามวุฒิภาวะ อารมณ์ก้าวร้าวและรุนแรงเป็นผลมาจากการที่บุคคลเกิดความคับข้องใจหรือ ดังนั้นมนุษย์
ทุกคนจึงต้องเรียนรู้วิธีการควบคุมอารมณ์ของตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ท่ีสังคม แต่ละแห่งได้กาหนดไว้
กจ็ ะทาให้ดารงชวี ิตอยใู่ นสังคมได้อย่างมีความสุขยงิ่ ข้นึ

2. กำรควบคมุ อำรมณ์และกำรจัดกำรอำรมณ์ 348

GOLEMAN เสนอวธิ พี ัฒนาอารมณไ์ ด้เนอแนะวิธีพฒั นาอารมณ์ไว้ 5 ประการ
1. การรู้จักอารมณ์ของตนเองเป็นองค์ประกอบสาคัญเบ้ืองต้นท่ีจะนาไปสู่การควบคุมอารมณ์
และการแสดงออกที่เหมาะสม การรู้จักอารมณ์ของตนเอง เร่ิมจากการรู้ตัวหรือมีสติ ซึ่งตามปกติเม่ือคน
เกิดอารมณ์ใดๆข้ึนจะตกอยู่ในภาวะใดภาวะหน่ึง ใน 3 ภาวะ ได้แก่ การถูกครอบงาด้วยอารมณ์
ไม่สามารถฝืนอารมณ์ได้และแสดงพฤติกรรมไปตามสภาพอารมณ์ การไม่ยินดียินร้ายกับอารมณ์ที่เกิดข้ึนหรือ
ละเลยไม่สนใจเพื่อบรรเทาการแสดงอารมณ์ และการรู้เท่าทันอารมณ์ ซ่ึงการรู้ตัวนี้จะมีพลังเหนือความรู้สึก
และอารมณ์ท่ีไม่ดีต่าง ๆ รู้ว่าในสภาพน้ี ควรจะทาเช่นไรจึงจะเหมาะสมที่สุด แนวทางพัฒนาการรับรู้อารมณ์
ของตนเอง มดี งั ต่อไปนี้
1.1 ให้เวลาทบทวนอารมณ์ของตนเอง ทบทวนลักษณะการแสดงออกของอารมณ์ และ
ผลย้อนกลบั ของการแสดงออกนนั้ วา่ รสู้ ึกพอใจ/ไมพ่ อใจ คิดวา่ เหมาะสม/ไม่เหมาะสม ถา้ รู้สกึ พอใจ และคดิ ว่า
เหมาะสมแลว้ ตอ้ งแนใ่ จวา่ ไมไ่ ดเ้ ขา้ ขา้ งตวั เอง
1.2 ฝึกการรู้ตัวอยู่เสมอ มีสติอยู่กับตัว โดยรู้ตัวว่ากาลังรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไรกับความรู้สึกนั้น
และความคิด ความร้สู ึกน้นั มผี ลอย่างไรต่อการอสดงออกของตนเอง
2. การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เป็นความสามารถควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางอารมณ์
ทั้งดีและไม่ดีได้อย่างเหมาะสมกับบุคคล สถานท่ี เวลา และสถานการณ์ การจะจัดการกับอารมณ์
ได้อย่างเหมาะสมเพียงใด ข้ีนอยู่กับการสามารถควบคุมอารมณ์ ไม่แสดงออกทันที สามารถอธิบาย
ได้อย่างสมเหตุสมผลอารมณ์ ถึงการเกิดอารมณ์ การแสดงพฤติกรรมทีมีผลย้อนกลับในทางบวก แนวทาง
ในการฝึกการจัดการกบั อารมณ์ของตนเอง ไดแ้ ก่
2.1 ทบทวนส่ิงท่ที าลงไปเพอ่ื ตอบสนองอารมณ์ทเี่ กดิ ข้นึ และพจิ ารณาผลท่ตี ามมา
2.2 เตรียมการในการแสดงอารมณ์ ฝึกสง่ั ตัวเองวา่ จะทาอะไรหรือไม่ทาอะไร
2.3 ฝึกการรบั รู้ส่ิงตา่ งๆ ที่เกดิ ข้ึนทตี่ อ้ งเกีย่ วขอ้ งในด้านดี มอง- ฟงั สงิ่ ดี สรา้ งอารมณใ์ หแ้ จม่ ใส
2.4 ฝกึ การสรา้ งความรู้สกึ ที่ดีต่อตนเอง ผู้อนื่ และสงิ่ อ่นื ทอี่ ย่รู อบ ๆ ตวั
2.5 ฝึกการมองหาประโยชน์หรือโอกาสจากอุปสรรค โดยการเปลี่ยนมุมมองในแง่ดี โดยคิดว่าเปน็
ส่งิ ทา้ ทายและมที างเลอื กมากกว่า 1 เสน้ ทาง
2.6 ฝึกการผ่อนคลายความเครียด โดยเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตนเอง การจัดการอารมณ์ได้อย่าง
เหมาะสม จะทาให้สบายใจ มีผลต่อความสาเร็จ ความสุขในการทากิจกรรมต่างๆ และ การอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน
เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจหรือเครียดควรหาคนปรึกษา การที่คนเรามีความทุกข์หรือความเครียดแล้วเก็บกดไว้
ในใจตนเองอยู่เสมอ เปรียบเสมือนลูกโป่งที่ถูกอัดอากาศเข้าไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการปลดปล่อยลมออกมา
เสียบ้าง ไม่นานลูกโป่งก็จะแตก เช่นเดียวกันหากคนเรามีแต่ความทุกข์เก็บสะสมไว้มากเกินไป สักวันหน่ึง

ก็อาจจะกลายเป็นโรคประสาท หรือโรคจิตต่อไปได้จึงควรปลดปล่อยความทุกข์ที่มีอยู่ออกไปเสียบ้าง 349
ค น ที่ ค ว บ คุ ม อ า ร ม ณ์ ใ ห้ เ ป็ น ป ก ติ ไ ด้ เ ร็ ว จ ะ ช่ ว ย ใ ห้ ส า ม า ร ถ ด า เ นิ น ชี วิ ต ไ ด้ อ ย่ า ง มี ค ว า ม สุ ข ยิ่ ง ขึ้ น
และจะสง่ ผลใหท้ กุ คนท่อี ยู่รอบตวั มคี วามสุขไปดว้ ย

3. กำรสร้ำงแรงจูงใจให้ตนเอง โดยการมองดีของส่ิงต่างๆที่เกิดข้ึน และสร้างความเชื่อมั่นว่า
จะอยู่กับสิ่งนั้นได้ สามารถทาได้ เพ่ือให้เกิดกาลังใจที่จะสร้างสรรค์ในสิ่งที่ดี มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ แนวทาง
สร้างแรงจูงใจใหต้ นเอง ได้แก่

3.1 ทบทวนส่ิงสาคัญในชีวิต ว่ามีอะไรบ้าง ให้จัดลาดับของความต้องการ ความอยากได้
อยากมี ความอยากเป็น แลว้ พิจารณาวา่ การทจ่ี ะบรรลุสง่ิ ที่ตอ้ งการมคี วามเป็นไปไดแ้ ละเปน็ ไปไม่ได้

3.2 นาความต้องการท่ีเป็นไปได้ และเกิดประโยชน์มาต้ังเป้าหมายที่ชดั เจน และวางข้ันตอนท่ีจะมุ่ง
ไปส่เู ป้าหมายน้ัน

3.3 ในการปฏิบัติเพอื่ ใหบ้ รรลุเปา้ หมาย ระวังอย่าใหไ้ ขวเ้ ขวออกนอกเส้นทาง

3.4ต้องความสมบูรณ์แบบในตัวลง ไม่ใช่ทาทุกอย่างดีที่สุด ต้องไม่มีความผิดพลาดเลย
ฝึกความยืดหยนุ่ ในอารมณ์เพ่อื ไม่ให้เครยี ดและผิดหวังเกินไป

3.5 ฝกึ การมองหาประโยชน์จากอุปสรรค เพือ่ สร้างความรูส้ ึกดีๆ ทีจ่ ะเปน็ พลังให้เกิดส่ิงดีอื่น ๆ ต่อไป

3.6 ฝึกสร้างทัศนคติที่ดี หามุมมองที่ดีในเร่ืองท่ีเราไม่พอใจ มองปัญหาเป็นการเรียนรู้ เป็นการ
เพิ่มพลงั และแรงจงู ใจใหต้ นเอง

3.7 หมัน่ สร้างความหมายในชวี ิตให้แก่ตนเอง นกึ ถึงส่งิ ท่ีสร้างความภมู ิใจแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ พยายาม

3.8 ให้กาลงั ใจตนเอง คิดวา่ เราทาได้ เราจะทา และลงมอื ทา

4. กำรหยั่งรู้อำรมณ์ของผู้อื่น เป็นความสามารถในการรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกเข้าใจเห็นใจผู้อ่ืน
ส า ม า ร ถ ป รั บ ค ว า ม ส ม ดุ ล ย ข อ ง อ า ร ม ณ์ ข อ ง ต น เ อ ง แ ล ะ ก า ร ต อ บ ส น อ ง ต่ อ ผู้ อ่ื น ไ ด้ อ ย่ า ง ส อ ด ค ล้ อ ง กั น
รู้และเข้าใจอารมณ์ผู้อ่ืน จะทาให้เรารู้ช่องทางท่ีจะโน้มน้าว จูงใจผู้อื่นให้ทาส่ิงท่ีเราต้องการได้
แนวทางการหยัง่ รู้อารมณผ์ ู้อ่ืน

4.1 สนใจการแสดงออกของผู้อื่น โดยการสังเกต สีหน้า แววตา ท่าทาง การพูด น้าเสียง ตลอดจน
การแสดงออกอย่างอืน่

4.2 อ่านอารมณ์และความรู้สึกจากส่ิงท่ีสังเกตเห็นว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร อาจถาม แต่ต้องทาใน
สภาพทเ่ี หมาะสม มเิ ชน่ นัน้ จะกลายเปน็ การทาร้ายความรสู้ กึ กันได้

4.3 ทาความเขา้ ความรู้สกึ ของบคุ คลตามสภาพทเ่ี ขาเผชญิ อยู่ เรยี กวา่ เอาใจเขามาใสใ่ จเรา
4.4 แสดงการตอบสนองอารมณ์ในท่าท่แี สดงวา่ เขา้ ใจ เห็นใจ ทาให้เกิด ความรู้สกึ ท่ดี ีตอ่ กนั
5. การรักษาสัมพันธภาพที่ดี เป็นความสามารถในการอยู่ร่วมกัน ทางานร่วมกับผู้อ่ืน
โดยมีสัมพนั ธภาพทด่ี ตี อ่ กนั และสร้างสรรค์ส่งิ ที่เปน็ ประโยชน์ แนวทางพัฒนาและรักษาสัมพันธภาพ

5.1 สร้างอารมณ์ที่ดีต่อกัน ฝึกการสร้างความรู้สึกท่ีดีต่อผู้อ่ืน เข้าใจ เห็นใจผู้อื่น ซ่ึงเป็นการเร่ิมต้น
ของการเกิดสมั พนั ธภาพที่ดี

5.2 ฝึกการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ชัดเจน ฝึกการเป็นผู้ฟังและผู้พูด
ท่ดี ี รวมทง้ั คานงึ ถงึ ความรสู้ กึ ของผู้รบั การสอื่ สารดว้ ย

5.3 ฝึกการมีนา้ ใจ เออื้ เฟื้อ ร้จู ักการให้รับการแลกเปลย่ี นใหเ้ กดิ คณุ ค่าและประโยชน์สาหรับผเู้ กยี่ วขอ้ ง
5.4 ฝึกการให้เกยี รติผ้อู ืน่ อยา่ งจรงิ ใจ ใหก้ ารยอมรบั เพราะจะทาใหผ้ ้อู ืน่ ภมู ิใจและมคี วามรสู้ กึ ท่ดี ีตอบแทนมา
5.5 ฝกึ การแสดงความชือ่ ชอบ ชืน่ ชม และให้กาลงั ใจซึ่งกนั และกันตามวาระที่เหมาะสม

7 อปุ นสิ ัยของคนทีเ่ ก่งในกำรจัดกำรอำรมณแ์ ละควำมร้สู กึ 350

นอกเหนือจากเรื่องความรู้ความสามารถแล้ว การจัดการด้านอารมณ์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งท่ีคนเก่งๆ
จะสามารถบริหารมันได้ และเอาเข้าจริงๆ เราก็จะเห็นว่าคนที่มีความสามารถในการจัดการด้านความรู้สึกนั้น
มักจะมคี วามโดดเด่นกวา่ คนทว่ั ไปพอสมควร

เรอ่ื งการสรา้ งความสามารถในการจดั การด้านอารมณ์นั้น Harvey Deutschendorf ได้เขียนบทความ
น่าสนใจใน Business Insider ถึงพฤติกรรมของคนท่ีเก่งในเร่ืองเหล่าน้ี ซ่ึงจะว่าไปแล้ว พฤติกรรมหรือนิสัย
ของเราน่ีแหละ ที่เป็นตัวทาให้เราสามารถจัดการอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ให้ดีข้ึนได้ โดยเขาได้สรุปนิสัย
สาคญั 7 อย่างเอาได้ดว้ ยกันตามน้คี รบั

1. พวกเขาจะให้ความสนใจกบั เรือ่ งในแง่บวก

ใด ๆ ในโลกมักมีสองด้านอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย แต่คาถามคือเราจะเลือกมองมัน
อย่างไร การบอกว่าให้โฟกัสไปในแง่บวกไม่ได้หมายความว่าให้ปฏิเสธหรือทาเป็นไม่เห็นเร่ืองร้ายๆ
แต่มันคือการท่ีเราเลือกได้ว่าจะให้ความรู้สึกของเราไปผูกกับอะไร หากเป็นเรื่องร้าย เราจะมองเห็นด้านดีของ
มันได้ไหม เช่นเดียวกับเราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไรแทนท่ีจะจมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ แน่นอนว่านั่นทาให้เรา
เห็นไดว้ า่ เราสามารถควบคุมและจัดการอะไรไดน้ ั่นเอง

2. พวกเขาจะห้อมลอ้ มไปดว้ ยคนทีค่ ดิ บวกหรือมองโลกแงด่ ี

ไม่ใช่แคต่ ัวเราเองเท่าน้ันท่ีควรจะคิดในแงด่ ี แต่คนรอบๆ ตวั เราเองก็มผี ลกบั เราเช่นกัน หากคนรอบข้างเรา
เป็นคนคิดบวก เราเองก็จะเห็นวิธีการรับมือหรือทัศนคติต่างๆ ของเขาคนเหล่านี้อยู่เสมอๆ และน่ันทาให้เราซึมซับส่ิง

เหล่าน้ันอยู่เร่ือยๆ ส่ิงที่ตามมาคือเราก็จะคิดไปในทางที่คล้ายๆ กัน ลองนึกถึงเวลาที่คุณมีปัญหาแล้วปรึกษากับเพอ่ื น 351
ท่ใี จเย็นบ่อยๆ นานๆ เขา้ เราก็จะมีวธิ คี ิดและปรับความรสู้ กึ ในแบบเดยี วกบั เขานัน่ แหละ

3. พวกเขาก็มโี หมดแข็งกร้าวได้ (ถา้ จาเป็น)

แม้ว่าส่วนใหญ่เราจะมองว่าคนที่อารมณ์ดีหรือแจ่มใสมักจะเป็นคนเปิดกว้าง มนุษยสัมพันธ์ดี
จนกลายเป็นท่ีเข้าหาของหลายๆ คนอยู่บ่อยๆ แต่นั่นก็ใช่ว่าพวกเขาจะโอนอ่อนไปเสียทุกเรื่อง โดยความเป็น
จริงแลว้ เหล่านจ้ี ะมขี อบเขตบางอย่างอยแู่ ละพร้อมจะใช้ในการปฏิเสธเร่ืองบางเร่ืองได้เช่นกัน

4. มองไปข้างหน้าและไม่ยดึ ตดิ กับอดีต

การที่เอาตัวเองคิดไปถึงเร่ืองอนาคตย่อมดีกว่าการผูกตัวเองให้ยึดติดกับเรื่องที่เกิดข้ึนไปแล้ว
การมองไปข้างหน้าจะทาให้รู้สึกถึงโอกาส รู้สึกถึงความหวัง ส่วนเรื่องท่ีเกิดขึ้นไปแล้วก็คือบทเรียนที่ทาให้เรา
เก่งข้นึ แกไ้ ขให้ดขี ึน้ เพ่อื อนาคตทีส่ ดใสน่ันเอง

5. พยายามสร้างให้ชีวิตสนุก ตน่ื เต้น และมีความสขุ

คนเราเลือกจะมีความสุขได้หลายวิธี แน่นอนว่าถ้าเราปรับชีวิตของเราให้สนุกข้ึน มีสีสันมากขึ้น
ก็จะมีส่วนช่วยให้เรามองชีวิตของเราสนุกขึ้นไปด้วย แน่นอนว่าย่อมดีกว่าการใช้ชีวิตท่ีน่าเบ่ือ จาเจ ไม่มีสีสันจนดึง
ใหค้ วามรสู้ กึ ของเราดูหดหู่และจมดง่ิ ไปดว้ ยเปน็ ไหนๆ

6. ใชพ้ ลังชีวิตอย่างฉลาด

แต่ละคนก็ล้วนมีพลังชีวิตท่ีแตกต่างกัน คนที่เก่งเร่ืองการจัดการความรู้สึกและอารมณ์ของตัวเอง
ก็เช่นกันท่ีจะหาวิธีใช้พลังของตัวเองให้คุ้มค่าท่ีสุด ทั้งนี้เพราะพวกเขารู้ดีว่าความรู้สึกกับพลังชีวิตสัมพันธ์กันอย่างไร
หลายๆ ครั้งอาจจะมีความรู้สึกโมโห เครียด แต่นั่นจะมีผลกับพลังชีวิตของพวกเขาเอง ฉะน้ันพวกเขาจะรู้วิธีจัดการ
กับปัญหาหรือความขัดแยง้ ต่าง ๆ ได้ดีกว่าปกติและไมใ่ ห้ความหงุดหงิด ทีเ่ กดิ ขึน้ นั้นมีผลกบั ตัวเองมากนัก

7. เรยี นรแู้ ละพัฒนาอยเู่ สมอ

นิสัยร่วมของคนที่เก่งในการควบคุมอารมณ์อย่างหน่งึ คือการที่พวกเขามักจะขยันเรียนรแู้ ละเปิดกว้างอยู่
เสมอ นั่นทาให้พวกเขามองเห็นอะไรหลายๆ อย่างท่ีทาให้ขอบเขตของมุมมองของเขากว้างขึ้นกว่าเดิม และนั่น
กลายเป็นรากฐานอย่างดีที่ทาให้พวกเขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น และก็ควบคุมสิ่งต่าง ๆ
ไดม้ ากขึ้น

แปลและเรยี บเรยี งจาก 7 HABITS OF HIGHLY EMOTIONALLY INTELLIGENT PEOPLE

https://www.nuttaputch.com/7-habbits-of-highly-iei-people/

ใบควำมรูส้ ำหรบั ครู 352
เรื่อง กำรฝกึ สมำธิ

คาชีแ้ จง การฝกึ สมาธมิ หี ลายวิธี ครอู าจสอนนักเรียนปฏิบัตติ ามที่ครูถนดั สื่อที่จดั มา ได้แกก่ ารนาฝึก
สมาธิแบบอานาปานสติ วิดิทัศน์ โยคะภาวนา และวิดิทัศน์สอนเดินจงกรม เพ่ือให้นักเรียนปฏิบัติตามตัว
อย่างในส่อื แล้วนั่งสมาธิต่อเอง ครูอาจเปดิ เพลงพอื่ สรา้ งบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

1 อำนำปำนสติ
วิธีการ ครูนาช้าๆ ให้นักเรียนหลับตา และฝึกสมาธิ เปิดมีเพลง คลอเบาๆ หลังจากครูนาแล้ว
ให้นกั เรียน ฝกึ ลมหายใจ

เริ่มต้นจากการที่เราวางเท้าราบกับพ้ืน แล้วก็วางมือราบกับหน้าตัก คอตั้ง หลังตรง การรู้สึกถึงหลัง
ตรงน่ีมสี ว่ นสาคัญ ช่วยให้เกดิ ความรสู้ กึ ถึงรา่ งกาย เกิดความร้สู กึ ถงึ ความมีอยู่ของอิรยิ าบถน่ังถ้าหากเราสารวจ
ลงไปที่ฝ่าเท้า รู้สึกว่ายังเกร็งอยู่ ยังงออยู่ ก็แบราบเสีย ทาให้เกิดความรู้สึกอ่อนสลวย หรือเกิดความรู้สึกผ่อน
พักสบายที่ฝ่าเท้า ความรู้สึกผ่อนพักที่ฝ่าเท้านี่ ตรงน้ันจะเร่ิมมีสติเข้ามาที่กายแล้ว แทนท่ีจะต้องเพ่งจุดใด
จุดหน่ึง หรือว่าแทนท่ีจะต้องบริกรรมอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเคร่งเครียด เราแค่สารวจฝ่าเท้าแล้ว
ผอ่ นคลายออกไป นต่ี รงนี้เขา้ มาท่ีกายแล้ว สตมิ นั อย่กู บั เน้อื กับตัวเรียบร้อยแล้ว พอรูส้ ึกถึงความสบายทฝี่ ่าเท้า
ก็มาร้สู ึกถงึ ความสบายท่ีฝ่ามือ ถา้ หากฝ่ามือยงั กายังเกร็ง หรือวา่ มอี าการผดิ ปกติอย่างใดๆนี่ เรากแ็ ค่วางฝ่ามือ
ราบกับหน้าตัก ให้เกิดความรู้สึกว่าน่ีเราวางจริง ๆ วางนี่ อาการวางน่ีนะคนมักจะเปรียบเทียบ เอาฝ่ามือมา
เป็นสัญลักษณ์ของการวาง เพราะว่าเวลา กาน่ีมือนี่แหละ ที่กามากท่ีสุด มีมือน่ีล่ะเป็นสัญลักษณ์ทางใจที่ไม่
ยอมปล่อย ทนี ้ถี า้ หากวา่ เราร้สู กึ ถงึ ฝา่ มือท่ีวางราบสบาย ตรงนม้ี ันเกดิ ความรู้สึกเหมอื นปล่อย เหมือนวางขนึ้ มา
ตรงท่ีฝ่าเท้ากับฝ่ามือมีความผ่อนพักสบาย คุณจะรู้สึกว่างๆ ขึ้นมา ว่างที่ฝ่าเท้า ว่างที่ฝ่ามือ มันเป็นการสั่งสม
ความว่างข้ึนมา ไล่ข้ึนมาถึงใบหน้า ลองสารวจสังเกตดูว่า หัวค้ิวยังขมวดอยู่ไหม หรือว่าขมับยังตึง
อยู่ไหม ต้นคอยังเกร็งอยู่ไหม ถ้าหากว่ารู้สึกถึงอาการเกร็ง อาการตึงหรือว่าการทางานของมัดเนื้อแบบไหน
หรอื วา่ จุดใด เรากแ็ คร่ ู้ไป มันจะคลายออกมาเอง เหมอื นกับท่เี ราสารวจฝ่ามอื ถ้าหากวา่ เหน็ วา่ มนั กาอยู่ เราแค่
แบมันออกไปวางราบมนั ออกไป ในอาการปล่อยวางแบบเดยี วกัน กลา้ มเนือ้ บนใบหนา้ ก็เป็นแบบนั้นฉันใดกฉ็ นั น้ัน

เม่อื สารวจสงั เกตท้ังฝ่าเท้าฝ่ามือและทว่ั ทัง้ ใบหน้าแลว้ ว่ามันผ่อนคลายจรงิ คณุ จะเกิดความรู้สึกสบาย
ทั่วท้ังตัวข้นึ มา นั่นเพราะว่า ๓ จุดน้ีเป็น ๓ จุดสาคญั ทส่ี ดุ ท่รี วบรวมเอามดั เน้ืออน่ื ๆ ในรา่ งกายไว้ ถ้าหากว่า ๓
จุดน้ีผ่อนคลาย กล้ามเนื้อมันก็สบายตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของร่างกาย ตรงความรู้สึกว่าร่างกาย
ไม่กาไม่เกร็ง ตรงน้ันแหละที่สภาพของร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนควร ท่ีจะเริ่มฝึกอานาปานสติแล้ว ที่ไล่ตั้งแต่
เท้า มือ มาจนถึงใบหน้ายังไม่ได้เข้าการฝึกอานาปานสตินะ อานาปานสติเริ่มต้นตอนที่ร่างกายมันเหมือนจะ
พรอ้ มแลว้

ถ้าหากว่าใครรู้สึกถึงอาการฟุ้งซ่าน รู้สึกถึงอาการเกร็ง รู้สึกถึงอาการไม่พร้อม ก็กลับไปไล่สารวจใหม่
ไมต่ ้องพยายามบังคับจติ ใจตัวเองให้สงบ ไม่ตอ้ งพยายามส่งั ตวั เองให้มีสติ แคส่ ารวจสังเกตไป ฝา่ เท้ายงั เกร็งอยู่

ไหม ฝ่ามือยังกาอยู่ไหม ใบหน้าส่วนใดส่วนหนึ่งยังมีอาการขมวด ยังมีอาการตึงอยู่ไหม แค่สารวจสังเกต 353
มาเท่าน้ี สติมาอยู่กับเนื้อกับตัวเรียบร้อย เอาล่ะพอมาอยู่กับเนื้อกับตัวเรียบร้อย ร่างกายคอตั้งหลังตรง
มคี วามรู้สึกผ่อนคลายสบาย อยู่ในอาการพักท้งั ตัวแบบนี้ เราแค่สารวจสังเกตต่อไป เหมือนถามตัวเอง จงั หวะน้ี
ร่างกายมีความต้องการลมหายใจเข้าไหม ไม่ใช่ไปรีบร้อน ไม่ใช่ไปพยายามบังคับ ดึงเอาลมหายใจเข้ามาท้ังๆ
ท่ีร่างกายมันยังไม่ได้เรียกร้อง ถ้าหากว่าเราดูลม โดยไม่อาศัย ความอยากเป็นเครื่องดู แต่อาศัยความรู้
รวู้ า่ อะไร รวู้ ่ารา่ งกาย ถึงจงั หวะทจี่ ะตอ้ งดึงลมหายใจเข้ามาแล้วหรือยัง ถ้าหากว่าถึงจังหวะทีร่ า่ งกายควรจะดึง
ลมเข้ามา เราจะรูส้ ึกเหมือนขาด เหมอื นร่างกายมันหิว หิวลมหายใจนะ ตรงน้นั เราค่อยลากเข้ามา ช้าๆ สบายๆ
พอเข้ามาจนสุดเรารู้สึกถึงความอึดอัดทางกายเราก็ปล่อยพ่นลมหายใจ ระบายออกไปสบายๆเช่นกัน เข้ามา
แค่ไหน ออกไปแค่น้ัน เมื่อลมหายใจหยุด สิ้นสุดท่ีตรงไหน อย่าพ่ึงรีบร้อนดึงลมเข้ามาทันที ให้สังเกตดูว่า
รา่ งกายนต่ี ามจริงแล้วอยากจะได้ลมหายใจเข้ามาแล้วหรือยงั ถ้าหากว่ายงั ไม่ได้มคี วามตอ้ งการลมหายใจเข้ามา
เราก็ปลอ่ ยให้มนั น่ังนิ่งๆ สบายๆ นนั่ แหละ เราจะพบวา่ ตอนที่ร่างกายไม่ดงึ ลมเข้า ไมร่ ะบายลมออก มนั กม็ ีสติ
ไปอีกแบบหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนโปร่ง เหมือนเบา เหมือนน่ิง เหมือนสงบ สงบจากอาการเคลื่อนไหวใดๆ จะ
อยู่ในอาการไม่ไหวติงอยู่พักหนึ่ง อาการที่น่ิงไม่ไหวติงอยู่พักหนึ่งน่ี มันทาให้เราสามารถตั้งหลัก รู้ต่อไปได้ว่า
ร่างกาย ถึงเวลาที่จะลากลมหายใจเข้ามาแล้วหรือยัง ถ้าหากว่าถึงเวลาแล้วเราก็ลากเข้ามาตามอาการ
ของร่างกาย ไม่ใช่ตามความอยากของจิตใจ พอเรารู้อยู่อย่างน้ี เห็นว่าลมหายใจเดี๋ยวก็ผ่านเข้าผ่านออก
ผ่านเข้าผ่านออกไป จะเกิดความรู้สึกสงบข้ึนมา สงบอย่างผู้รู้ สงบอย่างผู้ดูว่าลมหายใจมันแสดงความ
ไม่เท่ยี งอยเู่ ดย๋ี วกเ็ ข้า เดย๋ี วกอ็ อก แลว้ บางทีนะเราลากเข้ายาวๆ ๒-๓ ครงั้ มันเกดิ ความร้สู ึกอึดอัด คร้งั ต่อๆ ไป
ระลอกลมหายใจท่ีต้องการมันก็ส้ันลง นี่ตรงนี้มันก็เร่ิมแสดงความไม่เที่ยงของลมหายใจยาวและลมหายใจสั้น
พอส้ันไปหลายๆคร้ังเข้าบางทีมันเกิดความรูส้ ึกหิว หวิ มากขึน้ เราก็ลากลมหายใจยาวขึ้น นอี่ าการ เป็นอยา่ งนี้
เป็นอาการของธรรมชาติ ไม่ใช่อาการตามใจอยาก แต่เป็นความรู้สึกว่านี่ ธรรมชาติเขาบอกอย่างน้ี เขาเป็นไป
อย่างน้ี แล้วเรามีหน้าที่แค่เฝ้าดู เฝ้าสังเกตอยู่เฉยๆ จิตก็เกิดภาวะหนึ่งขึ้นมา “ภาวะรู้อยู่เฉยๆ” ไม่ใช่รู้แบบ
เฉ่ือยชานะ รู้แบบต่ืน รู้แบบมีความสว่าง เห็นความจริงว่าร่างกายน้ียังต้องพึ่งพาลมหายใจอยู่ตลอดเวลา
ถงึ เวลาที่ลมเข้าเราก็เห็นว่าลมเขา้ ถงึ เวลาที่ลมออกเรากเ็ ห็นวา่ ลมออก

ถ้าหากวา่ ใครเกิดความรู้สึกว่าฟ้งุ ซา่ น เกิดความเกรง็ ขึน้ มาใหม่ เรากส็ ารวจ สงั เกตไล่ขึน้ มาจากฝ่าเท้า

ฝ่ามือ แล้วก็ใบหน้านะ ก็จะกลับเข้ามาอยู่กับเน้ือกับตัวเหมือนเดิม เหมือนตอนเริ่ม ทาบ่อยเท่าท่ีมันจาเป็น

ทาบ่อยเท่าท่ีเราจะเห็น ความฟุ้งซ่านหรือว่าความเกร็ง ความกา อาการขมวด อาการตึง เราเห็นอาการอะไร

ก็แล้วแต่ ที่ปรากฏอยู่กับร่างกายที่เป็นอาการผิดปกติ ไปจากภาวะพร้อมจะทาสมาธินี่ เราก็ไล่สารวจ สังเกต

มาเลย ต้ังแต่ฝ่าเท้า ขึ้นมาฝ่ามือ แล้วก็ใบหน้า พอเราเห็นถึงความไม่เท่ียงของลมหายใจ ส่ิงที่จะได้ข้ึนมาเป็น

ตัวต้ัง เป็นหลักต้ังของการเจริญสติ ก็คือจิต จิตที่ว่างจากอุปาทานเป็นแวบๆ ถึงแม้ว่าจะทาเป็นครั้งแรก

แต่หากทาถูกทางทาได้อย่างตรงตามท่ีพระพุทธเจ้าท่านตั้งเข็มทิศไว้ให้นะ เราก็จะรู้สึกขึ้นมาอย่างน้อย

ช่ัวแวบหน่ึง ช่ัวขณะหน่ึงท่จี ิตน่งิ มคี วามสว่าง มคี วามสงบ มคี วามสบาย พรอ้ มรู้ พรอ้ มทจ่ี ะตนื่

2. โยคะภำวนำ
วธิ กี าร ครูเปิด สอื่ โยคะภาวนา ให้นักเรยี นปฏิบัตติ าม

3. เดินจงกรม

วิธกี าร ครูเปดิ วดิ โิ อสอนเดินจงกรม

354

ใบควำมรสู้ ำหรบั ครู 355
เรอื่ ง เกมปลำชอ่ นปลำดกุ

1. ให้นักเรียนจับคู่ หันหน้าเข้าหากัน (หากมีเศษ อาจมอบหมายคนท่ีเหลือเศษ ให้ช่วยเป็นกรรมการ
ดูแลเพ่อื นๆ)

2. ให้นักเรียนแต่ละคนประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าด้วยกัน(เหมือนพนมมือ)หันไปให้ปลายนิ้วชนกับ
คขู่ องตนไว้

3. ให้นกั เรียนแตล่ ะคู่ ตกลงกนั คนท่ี 1 เปน็ “ปลาดุก” คนที่ 2 เป็น “ปลาชอ่ น”
4. แจ้งกติกาว่า เม่ือครูเอ่ยคาว่า “ปลาดุก” คนที่เป็น “ปลาดุก” จะต้องใช้มือของตนเองหนีบมือคู่

ส่วนคนทเ่ี ปน็ “ปลาช่อน” จะตอ้ งดงึ มือของตนหนใี หท้ นั ไม่ให้ถูกงับ
เมื่อครูเอ่ยคาว่า “ปลาช่อน” คนท่ีเป็น “ปลาช่อน” จะต้องใช้มือของตนเองหนีบมือคู่ ส่วนคนที่
เป็น “ปลาดกุ ” จะตอ้ งดงึ มอื ของตนหนีให้ทันไม่ใหถ้ กู งับ
5. ครูเลา่ เรอื่ งชา้ ๆ โดยปลอ่ ยช่วงเวลาใหน้ ักเรยี นแสดงปฏิกริ ยิ า จากการฟงั ตัวอย่างเชน่
“วันนี้เป็นวันเกิดของน้องอ้อย แม่ป๊ิกก็เลยจะจัดปาร์ต้ีให้เชิญเพ่ือนของน้องอ้อยมางานเย็นน้ี
มีน้องไก่ น้องหมู น้องกุ้ง น้องปลา มาร่วมงานแม่ไปตลาดสดเพื่อซ้ือของมาทาอาหารพร้อมคิดเมนูไป
ด้วยแม่ซ้ือไส้กรอก เน้ือหมู เน้ือไก่มาทาบาบีคิวผักต่างๆ เช่น สับปะรด มะเขือเทศ เม่ือของเด็ก ๆ
ครบแล้ว ก็ต้องจัดเมนูให้ญาติๆ มีป้านก น้ากวาง ยายแมว ลุงตู่ เอ ทาอะไรดีน๊า แม่ปิ๊กคิด เอาเมนู
ปลาดีกวา่ ดตี อ่ สขุ ภาพ จงึ ตรงไปท่ีแผงขายปลาแม่ค้า
แม่ปก๊ิ : มีปลาอะไรบา้ ง
แมค่ า้ : ก็มีปลากะพง ปลานลิ ปลาดกุ เอาอะไรดี
แม่ป๊กิ : ไมม่ ี ปลาชอ่ นหรือจะ๊ จะทา แป๊ะซะปลาชอ่ น
แม่คา้ : นี่ไงจะ๊ สดๆ
แมป่ ิ๊ก : ตัวใหญ่โลเท่าไหร่
แม่ค้า : โลละ 100 จ้า
แมป่ กิ๊ : แลว้ ปลาดุก โลเทา่ ไหร่
แมค่ ้า : 120 จ้า
แมป่ ิ๊ก : แหมนา่ กินทั้งนนั้ เลย ปลาดกุ หรือปลาช่อนดี
แม่คา้ : ดที ้งั นั้น สดๆใหม่ๆทาอะไรก็อร่อย
แม่ปกิ๊ : เอาท้งั ปลาชอ่ น และปลาดกุ เลย”

ใบงำน 356
เรอื่ ง สง่ิ ทฉี่ นั เรยี นรู้

ฉันเรียนรู้วำ่
การแสดงออกทางอารมณท์ ฉ่ี ันควรแก้ไข และพฒั นาตนเอง
คอื ………………………………………………………………………………………………………………………………….……….…
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เนอื่ งจาก…………………………………………………………………………………………………………………………..……….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ฉันจะฝกึ ฝนตนเองให้รเู้ ท่าทันอารมณ์และความรสู้ กึ ของตนเอง เพ่ือจะไดค้ วบคุมอารมณ์และการแสดงออกให้
เหมาะสมกว่าเดมิ โดยวธิ ี
………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบงำน
แบบวดั ควำมเครียด กรมสุขภำพจิต (SPST - 20)
ชอื่ -สกลุ นกั เรียน...................................................................................ชน้ั …………………เลขที.่ ....................

ในระยะ 6 เดือนทีผ่ ่ำนมำมีเหตกุ ำรณใ์ นข้อใดที่เกดิ ข้ึนกับตัวคณุ บำ้ ง Stress………
ระดบั ของควำมเครยี ด
คำถำมในระยะ 6 เดือนทผี่ ่ำนมำ ไม่ร้สู ึก เล็กนอ้ ย ปำนกลำง มำก มำกทส่ี ดุ
1 2 3 45
1. กลวั ทางานพลาด
2. ไปไมถ่ งึ เป้าหมายทวี่ างไว้ 357
3. ครอบครวั มีความขดั แยง้ ในเร่อื งเงินทองหรือเร่อื ง

งานในบา้ น
4. เป็นกงั วลเร่อื งสารพิษ หรอื มลภาวะในอากาศ นา้

เสยี ง และดนิ
5. รสู้ กึ วา่ ต้องแขง่ ขนั หรอื เปรยี บเทียบ
6. เงนิ ไมพ่ อใชจ้ ่าย
7. กล้ามเน้ือปวดตึง
8. ปวดหวั จากความตึงเครยี ด
9. ปวดหลงั
10. ความอยากอาหารเปลี่ยนแปลง
11. ปวดหัวขา้ งเดียว
12. รู้สกึ วติ กกังวล
13. รู้สึกคบั ขอ้ งใจ
14. รสู้ กึ โกรธหรือหงดุ หงิด
15. รู้สึกเศร้า
16. ความจาไมด่ ี
17. รสู้ ึกสับสน
18. ต้ังสมาธิลาบาก
19. รู้สกึ เหนอ่ื ยง่าย
20. เป็นหวัดบอ่ ย ๆ

คะแนน 0 – 23 เครียดระดบั น้อย(mild stress) คะแนน 24 – 41 เครียดระดบั ปานกลาง(moderate stress)
คะแนน 42 – 61 เครยี ดระดบั สูง(height stress) คะแนน 62 ขน้ึ ไป เครยี ดระดับรนุ แรง(severe stress)

กำรแปลผล
1. ความเครียดในระดับต่า (Mild Stress) หมายถึงความเครียดขนาดน้อย ๆ และหายไปในระยะ

เวลาอนั สนั้ เป็นความเครยี ดที่เกิดข้นึ ในชีวติ ประจาวนั ความเครียดระดับน้ีไม่คุกคามต่อการดาเนินชวี ิต บคุ คล
มี การปรับตัวอย่างอัตโนมัติ เป็นการปรับตัวด้วยความเคยชินและการปรับตัวต้องการพลังงานเพียงเล็กน้อย
เป็นภาวะทีร่ ่างกายผอ่ นคลาย

2. ความเครียดในระดับปานกลาง (Moderate Stress) หมายถึง ความเครียดท่ีเกิดข้ึนในชีวิตประจาวัน
เน่ืองจากมีสิ่งคุกคาม หรือพบเหตุการณ์สาคัญ ๆ ในสังคม บุคคลจะมีปฏิกิริยาตอบสนองออกมาใน ลักษณะ
ความวิตกกังวล ความกลัว ฯลฯ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติท่ัว ๆ ไปไม่รุนแรง จนก่อให้เกิดอันตรายแก่ ร่างกาย
เปน็ ระดับความเครยี ดทท่ี าให้บคุ คลเกิดความกระตือรือร้น

3. ความเครียดในระดับสูง (Height Stress) เป็นระดับที่บุคคลได้รับเหตุการณ์ท่ีก่อให้เกิดความเครียดสูง
ไม่สามารถปรับตัวให้ลดความเครียดลงได้ในเวลาอันสั้นถือว่าอยู่ในเขตอันตราย หากไม่ได้รับการ บรรเทา
จะนาไปส่คู วามเครียดเร้ือรัง เกดิ โรคต่าง ๆ ในภายหลงั ได้

4. ความเครียดในระดบั รุนแรง (Severe Stress) เป็นความเครยี ดระดบั สูงท่ดี าเนินตดิ ต่อกันมาอย่างตอ่ เนอื่ งจน
ทาให้บุคคลมีความลม้ เหลวในการปรับตวั จนเกิดความเบอ่ื หนา่ ย ท้อแทห้ มดแรง ควบคุมตวั เอง ไมไ่ ด้เกิดอาการทาง
กายหรอื โรคภยั ต่าง ๆ ตามมาไดง้ ่าย

358

ใบงำน 359
เรอ่ื ง กำรวเิ ครำะหผ์ ลจำกกำรสำรวจควำมเครยี ด

1. ผลจากการทาแบบวัดความเครียด
นกั เรียนไดค้ ะแนน ...........คะแนน การแปลผล นกั เรยี นมคี วามเครียดอยใู่ นระดับ......................

2. (ถ้าความเครียดของนักเรียนอยูใ่ นระดับปานกลางข้ึนไป)ความเครียดของนักเรยี นเกิดจากสาเหตุใดจง
อธบิ าย
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................... ...................................................................
.......................................................................................................... ...................................................................
.......................................................................................................... ...................................................................

3. (ถ้าความเครยี ดของนักเรียนอยู่ในระดบั ตา่ ) มีปจั จัยอะไรบ้างทีช่ ว่ ยให้นกั เรยี นไม่มีความเครยี ด
.......................................................................................................... ....................................................................
..............................................................................................................................................................................
.......................................................................................................... ....................................................................
.......................................................................................................... ....................................................................

แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวท่ี 9

หนว่ ยกำรจัดกจิ กรรม ส่วนตวั และสังคม ชนั้ มัธยมศึกษำปีท่ี 4 - 6

เรือ่ ง ปญั หำมไี ว้แก้ จำนวน 2 ช่ัวโมง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคญั

การอยู่ร่วมกันในสังคมอาจมีปัญหาเกิดข้ึน ปัญหาเหล่านั้นอาจมีมากมาย หากมีการจัดลาดับ

ความสาคัญของปัญหาจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจัดการกับสถานการณ์ท่ีเป็นปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม

มปี ระสทิ ธิภาพ

2.สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนส่วนตัวและสังคม
ข้อ 4 ปรับตัวและดารงชีวิตอยู่ในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสุข

3. จดุ ประสงค์กำรเรยี นรู้
3.1 บอกปัญหาทีเ่ กิดขน้ึ ในการอยู่รว่ มกันในสังคม
3.2 จัดลาดับความสาคัญของปญั หาได้อยา่ งเหมาะสม
3.3 บอกวิธกี ารแก้ปัญหาได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ

360

4. สำระกำรเรียนรู้
ปญั หา ความสาคญั ของปัญหา และวธิ ีแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธภิ าพ

5. ชน้ิ งำน / ภำระงำน
5.1 ใบงาน เร่ือง การจดั ลาดับความสาคญั ของปัญหา
5.2 ใบงาน เรอื่ ง ปัญหาและวธิ ีการแกป้ ัญหา

6. วิธกี ำรจัดกิจกรรม
ช่วั โมงที่ 1
6.1 ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับภาระงานต่างๆ ที่นักเรียนต้องทาทั้งของครอบครัว

และของตนเอง นักเรียนมีรสู้ กึ อยา่ งไรและจะจดั การอยา่ งไรกับภาระงานเหลา่ นั้น
6.2 แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 4 - 6 คน แจกภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้นักเรียนร่วมกันพิจารณา

และสะทอ้ นความคดิ จากภาพนน้ั ๆ
6.3 ให้นักเรียนออกมานาเสนองานทลี ะกลมุ่ และใหเ้ พ่อื น ๆ รว่ มอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น

6.4 นักเรียนศึกษาใบความรู้ เรื่อง การจัดลาดับความสาคัญของปัญหา ครูอธิบายเพ่ิมเติม 361
และรว่ มกนั สรปุ ประเด็นสาคญั

6.5 นกั เรยี นทาใบงาน เรื่อง การจัดลาดับความสาคัญของปญั หา
6.6 ขออาสาสมคั รอา่ นใบงานใหเ้ พ่ือนฟงั เพื่อนๆ และครูรว่ มกันอภปิ รายแสดงความคิดเห็น
ช่ัวโมงท่ี 2
6.7 นกั เรียนศึกษาใบความรู้ เร่อื ง กระบวนการแก้ปญั หา ครอู ธิบายเพิม่ เตมิ และร่วมกันสรุปประเดน็ สาคญั
6.8 นักเรยี นทาใบงาน เร่ือง ปัญหาและวิธีการแก้ปญั หา
6.9 ให้นกั เรียนออกมานาเสนอทลี ะกลมุ่
6.10 ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรปุ กจิ กรรม
7. ส่ือ/ อุปกรณ์
7.1 ส่อื ภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้นในการอยรู่ ว่ มกบั ผ้อู น่ื
7.2 ใบความรู้ เรือ่ ง การจัดลาดบั ความสาคัญของปัญหา
7.3 ใบความรู้ เร่อื ง กระบวนการแก้ปัญหา
7.4 ใบงาน เรื่อง การจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา
7.5 ใบงาน เรื่อง ปัญหาและวิธีการแกป้ ญั หา
8. กำรวัดและประเมนิ ผล
8.1 วิธีกำรวัดและประเมินผล

8.1.1 สังเกตความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม และการรว่ มอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถว้ น และความเรียบร้อยของใบงาน
8.2 เครือ่ งมอื
-
8.3 เกณฑ์กำรประเมิน
8.3.1 สังเกตการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม

เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี
ผ่าน มีความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม การรว่ มอภิปรายแสดงความคิดเหน็
ไมผ่ า่ น ขาดสิง่ ใดสง่ิ หน่ึง

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตัวบ่งช้ี
ผา่ น ทาใบงานถูกต้อง ครบถ้วน และสง่ งานตามกาหนด
ไมผ่ ่าน ขาดส่ิงใดส่งิ หนึ่ง

สือ่ ภำพปญั หำท่ีเกิดขน้ึ ในกำรอยรู่ ่วมกับผอู้ นื่

362

ใบควำมรู้
เรื่อง กำรจดั ลำดับควำมสำคญั ของปญั หำ

การจัดลาดับความสาคัญของปัญหานับเป็นหัวใจสาคัญของการดารงชีวิตอยู่ในสังคมแต่ก็มีน้อยคน
มากท่ีสามารถจัดการกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผลอาจเน่ืองด้วยปัจจัยต่างๆท่ีทาให้ไม่สามารถจัดการ
ได้ การจัดลาดับความสาคัญชองปัญหาจะมีแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวทางการจัดลาดับความสาคัญของงาน
ที่ทา ทาอย่างไรการทางานของเราจึงจะประสบความสาเร็จ บรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้ แนวคิดในการ
จัดลาดบั ความสาคัญของานอาจดูได้จากตารางข้างล่างน้ี

อธบิ ำยแนวควำมคดิ ดว้ ยภำพ

363

1. งำนสำคัญและเร่งด่วน : งานกลุ่มนี้จะเป็นงานท่ี ถ้าไม่ดาเนินการก็จะมีปัญหาหรือเกิดวิกฤตขึ้น
อาจเกิดผล กร ะท บม า ก มา ย ไม่คุ้ ม ที่จ ะร อไว้ ก่ อน ควร ดา เนิ น กา ร ให้เ ร็ว ท่ีสุ ด ซึ่ ง ค งตั ดสิ นใ จ กัน ไม่ย า ก

2. งำนสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน: งานกลุ่มนี้มักจะถูกละเลยเพราะเป็นงานท่ีไม่เร่งด่วนแต่มีความสาคัญ
เรื่องเปา้ หมายและเป็นงานท่ีอยู่ในแผนงานกลยุทธแ์ ต่เนอ่ื งจากพอมีเวลาจึงไมค่ ่อยมีใครหยิบมาทาเทา่ ไรนักพอ
เวลาผ่านไปจึงกลายเป็น งานสาคัญท่ีเร่งด่วนไปทุกที ดังนั้น งานประเภทน้ีควรได้รับความสนใจอยากต่อเนื่อง
แล้วดาเนินการตามแผนที่กาหนดไว้ให้ได้ เช่น งานท่ีผู้นาดาเนินการไว้ให้ผู้อ่ืน งานที่เป็นแผนระยะกลางและ
ระยะยาวผู้นาท่ีดีมักจะทางานประเภทนี้ไว้และให้ความสาคัญเพราะถ้าปล่อยเวลาผ่านไปอาจลืมแล้วไม่ได้ทา
สุดท้ายจะส่งผลกระทบกับเป้าหมายได้

3. งำนไม่สำคัญแต่เรง่ ด่วน : คนส่วนใหญ่ถูกผลักดันให้ทางานกลุ่มน้ีมากที่สดุ เพราะเป็นงานที่แทรก
กับงานที่ทาตามแผนอยู่ สาเหตุที่เกิดเหตุการณ์นี้เพราะเราไม่ค่อยมีแผนงานหรือไม่ค่อยได้ทาตามแผนทาให้มี
งานด่วนเข้ามาได้ เรื่อยๆ ดังนั้น เราควรปฏิเสธงานด่วนท่ีเข้ามาบ้าง เพื่อให้เราสามารถทางานตามแผน
ท่ีวางไว้ ได้ครบ ตัวอย่าง เช่น งานท่ีคนอื่นขอร้องให้ทา ,งานท่ีล่าช้าจากส่วนอื่นๆแล้วมาเร่งเรา ,
งานที่เราทาได้งานแต่ไม่ได้อยู่ตามแผนควรทางานประเภทน้ีให้น้อยลงจะได้มีเวลาทางานสาคัญมากข้ึน

4. งำนไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน: งานนี้ถ้าไม่จาเป็นก็ควรจัดอยู่ในลาดับหลังๆหรือมีช่วงเวลา ท่ีจะ
ดาเนนิ การใหช้ ดั เจน เชน่ โทรศัพท์ ท่วั ไป , e-mail ,งานสังสรรค์ ,การพดู คุยเรอ่ื งทว่ั ไป เปน็ ต้น เราเสียงเวลากบั งาน
ประเภทนี้ไปค่อนข้างมากจึงมีเวลาเหลือในการทางานสาคัญ น้อยแล้วจะรู้สึกว่างานยุ่งมากแต่ได้ผลผลิตน้อย
เหลือเกินและไมไ่ ด้ตามเปา้ ดว้ ย
จาก https://www.entraining.net/article

364

ใบควำมรู้ 365
เรื่อง กระบวนกำรแก้ปญั หำ

กระบวนการท่ที าให้ประสบผลสาเรจ็ ในการแกป้ ัญหาควรมีขน้ั ตอน ดงั นี้
1) กำรวเิ ครำะหแ์ ละกำหนดรำยละเอยี ดของปัญหำ ในการท่จี ะแกป้ ัญหาใดปญั หาหนึง่ ได้นน้ั
สิ่งแรกท่ีต้องทาคือทาความเข้าใจเกี่ยวกบั ถ้อยคาต่างๆ ในปัญหา แล้วแยกปญั หาให้ออกวา่ อะไรเปน็ สิ่งทต่ี ้องหา
แล้วมีอะไรเปน็ ข้อมลู ที่กาหนด และมีเงื่อนไขใดบ้าง หลงั จากนนั้ จงึ พิจารณาวา่ ข้อมลู และเงื่อนไขทก่ี าหนดให้
นนั้ เพียงพอทจี่ ะหาคาตอบของปญั หาไดห้ รือไม่ ถา้ ไมเ่ พยี งพอ ให้หาข้อมูลเพมิ่ เติมเพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหา
ไดด้ ังนี้
1.1 กำรระบขุ ้อมูลเข้ำ ไดแ้ ก่การพจิ ารณาขอ้ มลู และเง่ือนไขท่ีกาหนดมากับปญั หา
1.2 กำรระบขุ ้อมูลออก ได้แก่การพจิ ารณาเป้าหมายหรือสิง่ ท่ตี ้องหาคาตอบหรือผลลัพธ์
1.3 กำรกำหนดวธิ ีประมวลผล ไดแ้ ก่ การพจิ ารณาวธิ หี าคาตอบ หรือผลลัพธ์
2) กำรวำงแผนในกำรแก้ปัญหำ จากการทาความเข้าใจกับปัญหาจะช่วยให้เกิดการคาดคะเนว่า
จะใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหาเพื่อให้ได้มาซึ่งคาตอบ ประสบการณ์เดิมของผ้แู ก้ปัญหาจะมีส่วนช่วยอย่างมาก
ฉะน้ันในการเร่ิมต้นจึงควรจะเร่ิมด้วยการถามตนเองว่า “เคยแก้ปัญหาในทานองเดียวกันนี้มาก่อนหรือไม่”
ในกรณีที่มีประสบการณ์มาก่อนควรจะใช้ประสบการณเ์ ป็นแนวทางในการแกป้ ัญหา สง่ิ ทจ่ี ะช่วยให้เราเลือกใช้
ประสบการณ์เดิมได้ดีข้ึนคือ การมองดูส่ิงท่ีต้องการหา และพยายามเลือกปัญหาเดิมท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
เมื่อเลือกได้แล้วก็เท่ากับมีแนวทางว่าจะใช้ความรู้ใดในการหาคาตอบหรือแก้ปัญหา โดยพิจารณาว่าวิธีการ
แก้ปัญหาเดิมน้ันมีความเหมาะสมกับปัญหาหรือไม่ หรือต้องมีการปรับปรุงเพ่ือให้ได้วิธีการแก้ปัญหาที่ดีข้ึน
ในกรณีที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาทานองเดียวกันมาก่อน ควรเร่ิมจากการมองดูส่ิงที่ต้องการหา
แล้วพยายามหาวิธีการเพื่อให้ได้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งท่ีต้องการหากับข้อมูลท่ีมีอยู่ เมื่อได้ความสัมพันธ์
แล้วต้องพิจารณาว่าความสัมพันธน์ ้ันสามารถหาคาตอบได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็แสดงว่าต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือ
อาจจะต้องหาความสัมพนั ธใ์ นรปู แบบอ่นื ตอ่ ไป เม่ือไดแ้ นวทางในการแก้ปัญหาแลว้ จึงวางแผนในการแก้ปัญหา
เป็นข้ันตอน
3) กำรดำเนินกำรแก้ปัญหำตำมแนวทำงท่ีวำงไว้ เมื่อได้วางแผนแล้วก็ดาเนินการแก้ปัญหา
ระหว่างการดาเนินการแก้ปญั หาอาจทาใหเ้ ห็นแนวทางทีด่ ีกวา่ วิธีที่คดิ ไว้ ก็สามารถนามาปรบั เปลย่ี นได้
4) กำรตรวจสอบ เมื่อได้วิธีการแก้ปัญหาแล้วจาเป็นต้องตรวจสอบว่า วิธีการแก้ปัญหาได้ผลลัพธ์
ถกู ตอ้ งหรือไม่

ทีม่ า : http://it.benchama.ac.th/ebook3/page/index.htm

ใบงำน
เรื่อง กำรลำดบั ควำมสำคญั ของปัญหำ

จากแนวคิดจากเอกสารประกอบเรื่องการลาดับความสาคัญของปัญหา ให้นักเรียนเติม
ปัญหาต่าง ๆ ที่นักเรียนประสบอยู่ในขณะน้ีลงในตารางให้เหมาะสม และนาผลงานท่ีทาเรียบร้อย
แล้วแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่น่ังข้าง ๆ อีก 2 - 3 คน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้คาแนะนาแก่กันว่า
ส่งิ ที่เติมเหมาะสมหรือไมอ่ ย่างไร

เร่งด่วน ไมเ่ ร่งด่วน

สำคญั

366

ไม่
สำคัญ

ใบงำน
เรือ่ ง ปญั หำและวิธีกำรแก้ปัญหำ

จากแนวคิดจากเอกสารประกอบเร่อื งการแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ใหน้ ักเรยี นนาเอา
ปัญหาท่ีนกั เรียนเรยี งลาดับความสาคัญ (ใบงานที่ 1) มาใส่ไว้ในตาราง พร้อมท้ังระบุวธิ ีการแกไ้ ขปัญหา

ลำดับที่ ปญั หำ วิธกี ำรแกไ้ ขปญั หำ

367

แผนกำรจัดกิจกรรมแนะแนวที่ 10

หน่วยกำรจดั กิจกรรม ส่วนตวั และสงั คม ชน้ั มัธยมศึกษำปที ่ี 4 - 6

เร่อื ง กำรแสดงออกอย่ำงเหมำะสม จำนวน 2 ช่ัวโมง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคญั

พฤตกิ รรมการแสดงออกอยา่ งเหมาะสมเปน็ ทักษะทส่ี าคัญที่จะช่วยให้นักเรยี นสร้างสัมพนั ธภาพกับผูอ้ ืน่

และยังช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลเป็นไปในทางทดี่ ีมากยงิ่ ข้ึน

2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนสว่ นตัวและสงั คม
ข้อ 4 ปรับตัวและดารงชวี ิตอยใู่ นสังคมได้อย่างมีความสุข

3. จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้
3.1 เสนอรปู แบบและตัวอย่างของการแสดงออกอยา่ งเหมาะสม
3.2 ปฏบิ ัติตนต่อผูอ้ ืน่ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3.3 ปฏิบัติตนเป็นผ้นู าและผู้ตามได้

4. สำระกำรเรียนรู้ 368
รปู แบบและตัวอย่างของการแสดงออกอยา่ งเหมาะสม การปฏบิ ัตติ นต่อผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม

รวมท้ังการปฏบิ ัตติ นเปน็ ผูน้ าและผตู้ าม

5. ช้นิ งำน / ภำระงำน
ใบงาน เรอื่ ง การแสดงออกอย่างเหมาะสม

6. วธิ กี ำรจัดกจิ กรรม
ชว่ั โมงท่ี 1
6.1 ครูสนทนากบั นักเรยี นเก่ยี วกบั ความสาคญั ของการแสดงออกทจ่ี ะนาไปสู่การสร้างความสัมพันธ์

กับผู้อ่ืน
6.2 ใหน้ กั เรียนอภิปรายแต่ละประเด็น โดยครูต้ังคาถาม เช่น
- พบกนั ครั้งแรกอยากทักทายเขา จะพูดอย่างไร
- อยากขอยมื ดูรายงานของเพื่อน จะพดู อย่างไร
- เพอื่ นยืมหนัง (วิดีโอ) ไปดแู ล้วสง่ คนื ช้า เราไม่พอใจ จะพูดอย่างไร

- เพ่ือนชวนไปซื้อของ ทห่ี ้างสรรพสนิ คา้ เราไม่อยากไปเพราะบอกแมว่ ่าจะรีบกลับบา้ น เราจะ 369
บอกเพ่ือนอย่างไร

6.3 ครูและนักเรียนช่วยกันสะท้อนคิดและช่วยกันสรุปถึงการแสดงออกท่ีเหมาะสมในแต่ละ
สถานการณ์ และช้ีใหน้ ักเรียนไดต้ ระหนกั ถงึ ความสาคัญของการสื่อสารและการแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ

ชัว่ โมงที่ 2
6.4 ครูแจกใบความรู้ เรื่อง การแสดงออกอย่างเหมาะสม ให้นักเรียนศกึ ษา ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ
6.5 ให้นักเรียนรวมกลุ่มละ 5 - 7 คน แจกใบงานเรื่อง การแสดงออกอย่างเหมาะสม
มอบหมายใหก้ ลุม่ ช่วยกนั ระดมสมองตามใบงาน และสง่ ตัวแทนนาเสนอหนา้ ชน้ั
6.6 นกั เรียนและครใู ห้ข้อเสนอแนะ อภิปรายเพิ่มเตมิ และช่วยกนั สรุปสง่ิ ท่ไี ด้เรียนรู้
6.7 ให้นักเรียนจับคู่กัน 2 คน ฝึกการแสดงออกอย่างเหมาะสม โดยให้คิดสถานการณ์และผลัดกัน
แสดงบทบาทสมมุติ
6.8 ให้นักเรียนออกไปแสดงบทบาทสมมุติทีละคู่จนครบ โดยเพ่ือน ๆ และครูเสนอแนะและร่วม
อภิปราย
6.9 ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรุปสิง่ ท่ไี ดเ้ รียนรู้ และแนวทางนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวัน
7. ส่ือ/อปุ กรณ์
7.1 ใบความรู้ เรอื่ ง การแสดงออกอยา่ งเหมาะสม
7.2 ใบงาน เรอ่ื ง การแสดงออกอยา่ งเหมาะสม
8. กำรวดั และประเมนิ ผล
8.1 วิธีกำรวัดและประเมนิ ผล

8.1.1 สงั เกตความสนใจในการฟงั การตอบคาถาม และการร่วมอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถว้ น และความเรียบร้อยของใบงาน
8.2 เครอ่ื งมือ
-
8.3 เกณฑก์ ำรประเมนิ
8.3.1 สังเกตการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
เกณฑ์ ตัวบง่ ชี้
ผา่ น มคี วามสนใจในการฟงั การตอบคาถาม การร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น
ไม่ผา่ น ขาดสิง่ ใดส่งิ หนงึ่

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตวั บ่งชี้
ผา่ น ทาใบงานถกู ต้อง ครบถ้วน และส่งงานตามกาหนด
ไม่ผ่าน ขาดสงิ่ ใดสิ่งหนงึ่

ใบควำมรู้ 370
เรือ่ ง ทำอยำ่ งไรใหก้ ล้ำแสดงออกกอยำ่ งเหมำะสม

ทำอยำ่ งไรให้กล้ำแสดงออกกอย่ำงเหมำะสม (Assertiveness in action)
Assertiveness หรือ การแสดงออกอย่างเหมาะสมคือพฤติกรรมหรือการแสดงออกด้วยคาพูด
หรือกิริยาอาการว่าเรามีความคิดเห็นในเร่ืองใดเรื่องหนึ่งโดยไม่ปิดบังหรือ อ้อมค้อม ด้วยความสุภาพ
ตรงไปตรงมาในเวลาที่เหมาะสมโดยไม่ก้าวร้าว การแสดงออกอย่างเหมาะสมเป็นการรักษาสิทธิ์
หรือเป็นการแสดงสิทธิ์ของมืออาชีพ ที่พึงกระทาในโลกของการจัดการสมัยใหม่หากจะพูดถึง
Assertiveness เราต้องเข้าใจถึงระดับการแสดงออกก่อนว่ามันมีอยู่สามระดับ คือ Passive คือ
ไม่กล้าแสดงออก Assertive คือ แสดงออกอย่างเหมาะสม Aggressive คือ การแสดงออกอย่างก้าวร้าว
ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น เย็นวันศุกร์หัวหน้าให้สมศักดิ์มาทางานสาคัญในวันอาทิตย์น้ี
โดยไม่บอกล่วง หน้า ในขณะท่ีสมศักดิ์นัดหมายกับลูกสาวแล้วว่าจะพาไปมอบตัวโรงเรียนใหม่ซ่ึงนัด ล่วงหน้า
มาสองสัปดาห์แล้ว ท้ังๆท่ีไม่เต็มใจหากสมศักด์ิแสดงออกแบบ Passive เขาจะตอบด้วยสีหน้าเฝ่ือน ๆ
ว่า “ตกลงครับ” หากเขาเลือกแสดงออกแบบ Assertive เขาจะบอกว่า “ขอโทษครับผมต้องพาลูกไปมอบตัว
โรงเรียนใหม่ซึ่งนัดกันมาสองอาทิตย์แล้ว อย่างไรก็ตามผมขอเช็คภรรยาก่อนว่าเธอพอจะไปแทน ได้ไหม
หัวหน้าหาคนอ่ืนสารองไว้ด้วยครับหากจาเป็นผมคงต้องไปด้วยตนเอง” สุดท้ายหากเขาเลือกแสดงแบบ
Aggressive เขาจะบอกด้วยกิริยาก้าวร้าวว่า “ไม่ได้ครับวันอาทิตย์เป็น เวลาส่วนตัว หากจะให้มาทางาน
ตอ้ งบอกลว่ งหนา้ เน่นิ กว่านซ้ี คิ รบั ”

เริม่ ตน้ เราตอ้ งตระหนกั ก่อนว่าการแสดงออกอย่างเหมาะสมนั้นเปน็ เร่ืองจาเปน็ ตวั อย่างง่ายๆ เชน่ เวลา
ประชุมเรามีความเห็นที่แตกต่างกับคนอื่นเราก็สามารถพูดออกมาได้ไม่จาเป็นต้องเห็นด้วยไปทุกอย่างที่สาคญั
แม้ว่าเราเห็นด้วยกับคนอื่นเราก็ต้องพูดออกมาเพราะเขาจะได้ทราบว่าเราคิดอะไรในสังคมการทางาน
สมัยใหม่ที่เรามีเพ่ือนร่วมงานจานวนมากท่ีจบการศึกษาจากต่างประเทศหรือระดับปริญญาโทคนเหล่าน้ีเขา
คุ้ น เ ค ย กั บ ก า ร แ ส ด ง อ อ ก อ ย่ า ง เ ห ม า ะ ส ม ม า แ ล้ ว ทั้ ง นั้ น ย่ิ ง ช า ว ต่ า ง ช า ติ ล ะ ก็ อ ย า ก ใ ห้ ค น ไ ท ย ก ล้ า

แนวทางในการพัฒนาทักษะการกล้าแสดงออกก็คือ ฝึกฝน การฝึกฝนหลากหลายรูปแบบ จะทาให้เกิด
ความเช่ือม่ันในตัวเองมากข้ึน หลังจากนั้นเริ่มพูดแสดงความเห็นในที่ประชุมให้มากขึ้น ขอให้เชื่อมั่นในตนเอง
และเช่ือม่ันในเพื่อนร่วมงานและฝ่ายตรงข้ามว่าเขายินดีรับฟังเราและควรเตรียมข้อมูลและเหตุผลพอสมควร
แตไ่ มจ่ าเปน็ ตอ้ งรอจนมีขอ้ มลู มากมายจนสายเกินไประมดั ระวงั ภาษากายและน้าเสียงตรงไปตรงมาอย่างสุภาพ
มีคาพูดสาหรับมือใหม่ท่ีเรียกว่าการออกตัวแบบนอบน้อมเช่น“ผมอาจจะผิดก็ได้ ขอแสดงความเห็นว่า”
“ขอผมช่วยคิดดังๆหน่อยนะครับ ผมคิดว่า” “ขออนุญาตแสดงความเห็นหน่อยครับ ผมคิดว่า” “ขอคิดแบบ
เรว็ ๆครับผมเสนอว่า”“อย่าถือสากันนะครับหากความเหน็ ผมอาจจะไม่ตรงกันผมคิดวา่ ”ท่ีสาคัญก็คือคนท่ีกล้า
แสดงออกอย่างเหมาะสมแลว้ นั้น ควรสนับสนุนและให้กาลังใจกบั เพ่ือนท่ียังไม่กล้าแสดงออก โดยการรอให้คน
อ่ืนแสดงความคิดเหน็ ก่อน ชมเชยความคิดเขาเช่นบอกว่า “น่าสนใจครับ” “ความเห็นนี้ดมี ากเลย” อย่าด่วน

ตัดหน้าแสดงความคิดเห็นอยู่คนเดียว คนที่ Assertive อยู่แล้วนั้น ต้องยกระดับโดยทาหน้าที่เป็น Coach 371
คอยกระตุ้นให้คนอื่นๆกล้าแสดงความคิดเหน็ มากข้ึน เพราะท่านพูดมากอยู่แล้ว และหากยังพูดมากต่อไปก็จะ
เหนื่อยอยู่คนเดียว สู้ฝึกเพื่อนเราให้กล้าแสดงออกมากขึ้น แล้วท่านก็ไปรับภารกิจท่ียากขึ้นไปอีก ซึ่งหมาย
ถึงคณุ ค่าในตัวท่านมากขึ้น และพรอ้ มจะรบั ผลตอบแทนทมี่ ากข้นึ ได้
กำรฝกึ พูดทเ่ี หมำะสม ในการฝกึ พดู ใหเ้ หมาะสมประกอบด้วย 4 ขัน้ ตอนด้วยกนั คอื

1.กำรอธิบำยเหตุกำรณ์ เป็นการยกสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริง เช่นพูดถึงพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของอีก
ฝ่ายหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา และอย่างจริงใจ โดยไม่เอาอารมณ์ของตนเองมาตัดสิน ใช้ภาษาท่ีง่าย ชัดเจน อธิบายถึง
เวลา สถานท่ี และความถข่ี องพฤติกรรมนนั้ อยา่ งเฉพาะเจาะจงไป หลกี เล่ยี งที่จะพดู คลมุ ๆ ไปท้ังหมด

2.แสดงควำมรู้สึก เป็นการบอกความรู้สึกท่ีมีต่อเหตุการณ์น้ัน ให้อีกฝ่ายหน่ึงทราบโดยการใช้คาพูดว่า
“ฉันมีความรู้สึกว่า…” และเมื่อจะพูดแสดงความรู้สึกน้ันให้อยู่ในลักษณะท่ีไม่แสดงอาการ โกรธหรือ
กระแทกกระท้ันให้หลีกเล่ียงที่จะพูดในลักษณะที่ทาให้อีกฝ่ายหน่ึงรู้สึกด้อยลงไปหรือเป็นการพูดโจมตีอีก
ฝา่ ยหนึง่

3.บอกควำมต้องกำรอย่ำงตรงไปตรงมำ เปน็ การพดู ออก มาอย่างชดั เจนถึงพฤติกรรมที่ต้องการใหอ้ ีก
ฝ่ายหน่งึ เปลี่ยนแปลงโดยทีอ่ ีกฝ่ายหนง่ึ สามารถกระทาตามที่ขอได้โดยปราศจากความรู้สึกเจบ็ ใจหรือได้สูญเสีย
อะไรอย่างใหญ่หลวงไปแต่ในการขอรอ้ งใหเ้ ปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมนนั้ จะต้องไม่มากไปและมเี หตุผลเพยี งพอ
เชน่ อาจจะพูดว่า “คณุ จะกรุณาหยดุ เลน่ กตี าร์ในวันน้ีก่อนไดไ้ หมคะ เพราะดิฉนั กาลงั ดูหนังสือสอบพรงุ่ น้คี ่ะ”
แทนทจ่ี ะพูดวา่ “หยดุ เล่นเสียทีร้สู กึ เกรงใจคนอ่ืนบ้างไดไ้ หม”

4.บอกผลท่ีเกดิ ขึน้ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายทราบผลดีหากเขาทาได้ และผลเสยี หากเขาทาไมไ่ ด้ เช่นการ
เปลี่ยนพฤติกรรมของเขาจะมีผลอะไรตามมา หรือเปน็ การใหร้ างวลั อกี ฝ่ายหนงึ่ ซ่ึงรางวลั นไี้ มจ่ าเปน็ จะต้อง
เปน็ วัตถสุ ิ่งของ แต่อาจจะเป็นความรกั คาชมเชย หรือเรยี กวา่ “Social reward” มักจะใช้คาพดู วา่ …”ฉันจะ
รู้สึกสบายใจ ขึ้น….” ดังเช่นบอกวา่ “ฉันจะรสู้ ึกสบายใจข้นึ ถ้าหากวา่ คณุ เลิกทาเสยี งรบกวนฉัน” ตามปกตกิ าร
ใหร้ างวัลนจ้ี ะมลี ักษณะท่เี ปน็ ผลท้ังในทางบวก (Positive sequence) และในทางลบ (Negative sequence)
แตโ่ ดยมากมักจะนิยมใช้การให้รางวัลในทางบวกมากกว่าทางลบ สว่ นทางลบนั้นถ้าไมจ่ าเปน็ จรงิ ๆ แลว้ จะไมใ่ ช้
กนั เพราะจะไมช่ ว่ ยให้อีกฝ่ายหนงึ่ เปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมของเขาเลยสรุปวา่ บคุ คลที่มพี ฤตกิ รรมกล้าแสดงออก
อย่างเหมาะสม จะสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปนี้ได้

การยอมรบั การชมเชย
การแสดงออกทางสหี นา้ ที่เหมาะสม
การแสดงความไมเ่ ห็นดว้ ยอย่างสภุ าพ
การขอรอ้ งผู้อื่นใหแ้ สดงความกระจ่าง หรือใหค้ วามชัดเจนมากขึ้น
การถามถงึ เหตุผล
การแสดงความไม่เห็นด้วย
การแสดงความม่ันคง หลกี เลี่ยงท่จี ะต้องแสดงเหตุผลในทกุ ๆ ความเหน็

ใบงำน 372
เร่ือง กำรแสดงออกทีเ่ หมำะสม

ให้นกั เรียนยกประโยคตวั อย่ำงในแต่ละขัน้ ตอนของกำรแสดงออกที่เหมำะสม
(ขนั้ ตอนละ 3 ตัวอย่ำง)

1. อธบิ ำยเหตุกำรณ์
ประโยคที่ 1 ................................................................................................................ ....
ประโยคท่ี 2 ................................................................................................................ ...
ประโยคที่ 3 ................................................................................................................ ...

2. แสดงควำมร้สู ึก
ประโยคท่ี 1 ....................................................................................................................
ประโยคท่2ี ...................................................................................................................
ประโยคที่ 3 ...................................................................................................................

3. บอกควำมตอ้ งกำรอยำ่ งตรงไปตรงมำ
ประโยคท่ี 1 ................................................................................................................ ....
ประโยคท2่ี ....................................................................................................................
ประโยคที่ 3 ................................................................................................................ ...

4. บอกผลท่ีเกดิ ขน้ึ
ประโยคท่ี 1 ....................................................................................................................
ประโยคที2่ .....................................................................................................................
ประโยคที่ 3 ....................................................................................................................

แผนกำรจัดกิจกรรมแนะแนวท่ี 11

หนว่ ยกำรจัดกจิ กรรม ส่วนตวั และสังคม ช้นั มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 4 - 6

เร่อื ง ร้เู ทำ่ ทันเทคโนโลยี จำนวน 2 ช่ัวโมง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคัญ
การรู้จักใช้เทคโนโลยีมีท้ังคุณและโทษ เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ

และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การส่ือสาร
การทางาน การแก้ปญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม

2. สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนสว่ นตัวและสงั คม
ขอ้ 4 ปรับตัวและดารงชวี ิตอย่ใู นสังคมได้อย่างมคี วามสขุ

3. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้
3.1 อธิบายข้อดีและข้อจากดั ในการใช้เทคโนโลยีได้
3.2 สามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ร้างสรรค์ช้นิ งานได้

4. สำระกำรเรียนรู้ 373
การรูเ้ ท่าทันการใช้สอื่ เทคโนโลยีและการใช้เทคโนโลยไี ด้อย่างสร้างสรรค์

5. ชิน้ งำน / ภำระงำน
5.1 ใบงาน เรอ่ื ง การรูเ้ ทา่ ทนั เทคโนโลยี
5.2 ใบงาน เรือ่ ง การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์

6. วิธกี ำรจดั กิจกรรม
ชัว่ โมงที่ 1
6.1 ครสู นทนากับนักเรยี นเก่ียวกบั สือ่ เทคโนโลยใี นยคุ ปจั จุบนั วา่ มีก่ปี ระเภทแตล่ ะประเภทคอื

อะไรบา้ ง
6.2 ครสู ุม่ ตวั แทนนักเรียนออกมาเล่าประสบการณ์ในการใช้ส่ือเทคโนโลยี
6.3 นกั เรียนนั่งรวมกลุ่ม กลุ่มละ 5 - 7 คน ครแู จกใบความรู้ การรเู้ ท่าทันเทคโนโลยีให้นักเรยี น

ศึกษาอภปิ รายและแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ นั โดยมคี รูคอยเสริมเพมิ่ เติมในส่ิงทีน่ ักเรียนไม่เขา้ ใจแล้วทาใบงานที่ 1
การรู้เทา่ ทันเทคโนโลยี

6.4 ตวั แทนนักเรยี นนาเสนองานกลุ่ม

6.5 ครมู อบหมายงานให้ทกุ คนตามใบงาน เร่ือง การใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์ โดยมอบหมายให้ 374
แต่ละคนคิดสรา้ งสรรค์ชิน้ งานโดยใชเ้ ทคโนโลยี และเตรยี มพรอ้ มในการนาเสนอในครั้งต่อไป
ช่ัวโมงท่ี 2

6.6 ครทู บทวนสิ่งทไี่ ด้เรียนรู้ในชั่วโมงทีผ่ ่านมา
6.7 นกั เรียนนาเสนอช้นิ งานทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย
6.8 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันสรุป

7. สอ่ื / อุปกรณ์
7.1 ใบความรู้ เร่อื ง การร้เู ท่าทันเทคโนโลยี
7.2 ใบงาน เร่ือง การรู้เทา่ ทันเทคโนโลยี
7.3 .ใบงาน เรือ่ ง การใช้เทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์

8. กำรวดั และประเมินผล
8.1 วิธกี ำรวดั และประเมินผล

8.1.1 สังเกตความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม และการรว่ มอภปิ รายแสดงความคิดเห็น
8.1.2 ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ครบถว้ น และความเรยี บรอ้ ยของใบงาน
8.2 เครื่องมอื
-
8.3 เกณฑก์ ำรประเมนิ
8.3.1 สังเกตการปฏิบตั ิกิจกรรม

เกณฑ์ ตวั บ่งช้ี
ผา่ น มคี วามสนใจในการฟัง การตอบคาถาม การร่วมอภปิ รายแสดงความคิดเหน็
ไมผ่ ่าน ขาดสง่ิ ใดสง่ิ หนงึ่

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตวั บง่ ชี้
ผ่าน ทาใบงานถูกต้อง ครบถว้ น และสง่ งานตามกาหนด
ไมผ่ ่าน ขาดสิง่ ใดสิ่งหนง่ึ

ใบควำมรู้ 375
เรอื่ ง กำรรเู้ ทำ่ ทันเทคโนโลยี

กำรรู้เท่ำทันเทคโนโลยี คือ การรู้จักเทคโนโลยีตามความเป็นจริงทั้งคุณและโทษ
เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการ
พัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง
เหมาะสม และมีคุณธรรม สาระสาคัญของการศึกษาเทคโนโลยี จึงมิใช่แค่การรู้จักทาและรู้จักใช้อุปกรณ์
เทคโนโลยีต่างๆ แต่อยู่ที่การพฒั นาความใฝ่สรา้ งสรรค์ ความคดิ สร้างสรรค์ และฝมี อื สร้างสรรค์ ใฝ่ปรารถนาท่ี
จะแก้ปัญหาและทาให้เกิดประโยชน์สุขแก่ชีวิตและสังคม เพียรพยายามนาเอาความรู้มาจัดสรรประดิษฐ์
นวัตกรรมทีจ่ ะใหป้ ระโยชน์สขุ ท่แี ทจ้ รงิ ทเี่ ก้ือกูลแกช่ ีวติ สงั คม และระบบความสัมพนั ธ์ของธรรมชาตทิ ั้งหมด

ทำ่ ทีและกำรปฏิบัตใิ นเร่อื งเทคโนโลยี เพอื่ ให้เราใชแ้ ละเกี่ยวขอ้ งกบั เทคโนโลยใี นทางท่ีเป็นคณุ มีดังนี้คือ
จะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเก่ียวกับการดารงอยู่ร่วมกันด้วยดี ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และสังคม

สร้างความตื่นตัว ตระหนัก สานึก และความเข้าใจพื้นฐาน ให้เห็นความสาคัญของการพัฒนาเทคโนโลยี
ในทางทช่ี ่วยสง่ เสริม ประสาน เกอ้ื กูล และงอกงามไปดว้ ยกนั

ตง้ั เจตนำตอ่ ธรรมชำตใิ หม่ ปฏบิ ัติถูกต้องในการอยูก่ ับธรรมชาติ รู้จกั จดั ตนเองและธรรมชาติให้ประสาน
กลมกลืนและเก้ือกูลต่อกัน ไม่มุง่ เอาชนะหรือเบียดเบียนธรรมชาติ

สร้ำงสรรค์ พัฒนำ และใช้เทคโนโลยี เพื่อพัฒนำคณุ ภำพชวี ติ หรอื พัฒนำศักยภำพของตนไม่ผลิต
หรือใชเ้ พื่อสนองความเหน็ แก่ตวั เบยี ดเบยี นทาลาย และเป็นทาสของเทคโนโลยี แตใ่ หเ้ ทคโนโลยีเปน็ เครอื่ ง
ส่งเสรมิ เออื้ อานวยในการเข้าถึงสันตสิ ขุ และอิสรภาพ

กำรพัฒนำคน เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นคุณ เพ่ือคุณค่าแท้ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต คือ การผลิต พัฒนา
และใช้เทคโนโลยีที่ประกอบด้วยปัญญา มองเห็นส่ิงทั้งหลายตามความเป็นจริง เข้าใจคุณประโยชน์และโทษ
ของเทคโนโลยี ให้เทคโนโลยีเป็นปัจจัยส่งเสริมความดีงามของมนุษย์ โดยมนุษย์มีการฝึกฝนพัฒนาตน
รู้จักบังคับควบคุมตนเอง เป็นคนเข้มแข็ง มีภูมิต้านทานความทุกข์ พร้อมจะมีความสุขอยู่เสมอ แม้ไม่มี
เทคโนโลยี ก็อยู่ได้ มีความสุขได้ เป็นอิสระจากเทคโนโลยี วางเทคโนโลยีไว้ในฐานะที่ถูกต้อง คือ เทคโนโลยี
เป็นเพียงส่วนเสริมให้มีโอกาสท่ีจะมีความสุขได้มากข้ึน ทางานได้มากขึ้น พัฒนาตนให้มีคุณภาพทันกับ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ มีความรับผิดชอบ ละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาท
พร้อมจะดาเนินการต่างๆ ในทางท่ีเป็นคุณ ทาให้แก้ปัญหาได้ ปลอดพ้นจากปัญหา นาชีวิตให้ดาเนินไป
ในระบบความสัมพันธ์อนั ประสานเกอื้ กลู ที่ตวั มนษุ ยเ์ องจะเข้าถงึ สุขสนั ตแิ ละอสิ รภาพทแ่ี ท้จริง

กำรรเู้ ทำ่ ทนั เทคโนโลยมี ีประโยชนอ์ ยำ่ งไร? 376
คุณค่าของเทคโนโลยีมิใช่อยู่แค่การได้มีส่ิงเสพบริโภคอานวยความสะดวกสบาย แต่เทคโนโลยี

มีคุณค่าอยู่ท่ีการพัฒนาตน ให้เป็นเครื่องเกื้อหนุนอานวยโอกาสให้คนสามารถพัฒนาศักยภาพ
ท่ีจะสร้างสรรค์สิ่งดีงาม นาชีวิตและสังคมเข้าถึงความสุขและอิสรภาพท่ียิ่งขึ้นไป การมีเทคโนโลยีจึงต้อง
หมายถึงการมีเคร่ืองช่วยพัฒนาปัญญา มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความปรารถนาดี ใฝ่สร้างสรรค์ชีวิตของตน
อยา่ งแทจ้ รงิ หากเดก็ รู้เทา่ ทันเทคโนโลยี จะเกิดประโยชนต์ ่อเด็ก ดงั น้ี

สำมำรถพัฒนำตนเองและสังคม เลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการเรียนรู้ เลือกใช้ข้อมูลข่าวสาร
จากอินเทอร์เน็ต สาหรับสืบค้น ค้นคว้า รวบรวม สรุปความรู้ท่ีได้ ด้วยรูปแบบของตนเองอย่างสร้างสรรค์
และมคี ณุ ธรรม

สำมำรถส่ือสำรกับผู้อื่น สามารถรับ-ส่งสารท่ีเป็นประโยชน์ให้ผู้อื่นเข้าใจ อย่างถูกต้อง
อยา่ งสร้างสรรค์ เหมาะสมกบั กาลเทศะ และเกดิ ประโยชน์

สำมำรถลดขั้นตอนและเวลำในกำรทำงำน ใช้เทคโนโลยีในการแลกเปล่ียนเรียนรู้และนาเสนอ
ผลงานที่เป็นประโยชน์ เช่น จัดนิทรรศการ ทาแผ่นพับ เอกสาร วารสาร เผยแพร่ประชาสัมพันธ์งานต่างๆ
อย่างถกู ต้อง อย่างสร้างสรรค์ มีความแปลกใหม่ นา่ สนใจ และมีคุณธรรม ไม่ทาใหผ้ ู้อ่ืนเดือดร้อน

สำมำรถแก้ปัญหำอย่ำงเหมำะสม ท้ังปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อ่ืน หากพบเห็นผู้อ่ืน
ใช้เทคโนโลยีในทางท่ีไม่เหมาะสม เช่น คัดลอกผลงานผู้อ่ืนจากอินเทอร์เน็ตมาเป็นของตนเอง จะตักเตือนและ
แนะนาใหท้ าในสงิ่ ที่ถกู ต้องได้

สำมำรถพัฒนำทักษะกระบวนกำรทำงเทคโนโลยี ให้สามารถสร้างสรรค์ผลงานท่ีมีคุณค่าต่อตนเอง
และผู้อืน่ ใชเ้ ทคโนโลยีรวบรวมขอ้ มูลได้ถูกต้อง น่าเชอ่ื ถอื ใชเ้ ทคโนโลยีออกแบบและปฏบิ ัติตาม ทอ่ี อกแบบไว้
ได้สาเร็จ รวมถึงใช้เทคโนโลยีประมวลผลจนเกิดช้ินงาน/ภาระงานที่สามารถแก้ปัญหาหรือความต้องการได้
อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ

ใบงำนเรอ่ื ง 377
กำรรเู้ ท่ำทันเทคโนโลยี

ให้นักเรียนยกตัวอย่างสถานการณ์ท่แี สดงออกถึงการรเู้ ท่าทนั เทคโนโลยี กลุม่ ละ 1 สถานการณ์

……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ใบงำนเรือ่ ง
กำรใชเ้ ทคโนโลยีอยำ่ งสรำ้ งสรรค์

ใหน้ ักเรยี นใชเ้ ทคโนโลยสี รา้ งสรรคช์ นิ้ งาน คนละ 1 ชิ้นงาน

378

1. ช่ือชนิ้ งาน .........................................................................
2. ผลติ โดยใช้โปรแกรม/แอพพลิเคชน่ั ........................................................................
3. ประโยชนข์ องชิ้นงานตอ่ ตนเอง ...................................................................
4. ประโยชน์ของชน้ิ งานตอ่ ผู้อน่ื ......................................................................

แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวท่ี 12

หน่วยกำรจดั กจิ กรรม ส่วนตัวและสังคม ชัน้ มธั ยมศึกษำปีที่ 4 - 6

เรื่อง กำรบรหิ ำรเวลำ จำนวน 2 ช่ัวโมง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคัญ

ผทู้ ่ีสามารถบรหิ ารเวลาและใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดย่อมได้เปรียบกว่าบุคคลอื่นเพราะใน 1 วัน

มี 24 ชั่วโมง คนท่ีสามารถตักตวงผลประโยชน์จากเวลาท่ีเท่ากันให้เกิดประโยชน์ได้มากกว่า ย่อมจะต้อง

ก้าวหน้าในชีวิตมากกว่าผู้อ่ืน และจะสามารถทากิจการใดๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ได้ ซึ่งจะเป็น

ประโยชนท์ ั้งตอ่ ตนเองและส่วนรวม

2.สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนส่วนตัวและสังคม
ข้อ 4 ปรบั ตัวและดารงชีวิตอยใู่ นสงั คมได้อยา่ งมีความสขุ

3. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 379
3.1 ตระหนกั ในคุณคา่ ของการใช้เวลาและการบรหิ ารเวลาของตนเอง
3.2 ออกแบบกจิ กรรมตารางเวลาของตนเองได้

4. สำระกำรเรยี นรู้
4.1 ความสาคญั ของเวลา หลกั การบริหารเวลา และการบริหารเวลาของตนเอง
4.2 เทคนิควิธบี รหิ ารเวลาและการจดั ตารางเวลา

5. ชิ้นงำน / ภำระงำน
5.1 ใบงาน เรอื่ ง วัน เวลาเรียกคืนไม่ได้
5.2 ใบงาน เรือ่ ง การบรหิ ารเวลาของฉนั

6. วิธีกำรจดั กจิ กรรม
ชวั่ โมงที่ 1
6.1 ครนู าบทความ “ทกุ คนมีฝัน หลายคนไปถงึ หลายคนไปไม่ถึง ” ไปตดิ บนกระดานหนา้ หอ้ งเรียน

และพูดคุยสนทนากับนักเรียนเก่ียวกับบทความ และสนทนาถึงข้อดี ข้อเสียของการตรงต่อเวลา หรือรู้จัก
บริหารเวลา เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นได้ขอ้ คดิ และนาไปปฏบิ ตั ติ ่อไป

6.2 ครพู ดู คุยสนทนากับนกั เรียนวา่ ใครมปี ระสบการณ์ในเร่ืองของการไมต่ รงตอ่ เวลา หรือไม่รู้จกั การ
บริหารเวลาบ้าง โดยให้นักเรียนออกมาเล่าให้เพ่ือนฟังหน้าชั้นเรียน (เพื่อให้คานึงถึงผลเสียต่อตนเอง
ผอู้ ่ืน และส่วนรวม) ใชเ้ วลาประมาณ 10 นาที

6.3 นกั เรียนเข้ากล่มุ ๆ ละ 5 คน และคัดเลอื กประธาน เลขานุการ ผ้นู าเสนอ และท่เี หลอื เป็นสมาชิก

6.4 ตัวแทนกลุ่มแจกใบความรู้ เร่ือง การบริหารเวลา ให้สมาชิกแต่ละคนอ่านเพื่อให้เห็นประโยชน์ 380
ของการบริหารเวลา

6.5 ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายในหว้ ข้อการบริหารเวลาและรว่ มกนั สรุปกจิ กรรม
ช่ัวโมงท่ี 2
6.6 ครูทบทวนสิง่ ท่ีไดเ้ รยี นรู้ในชัว่ โมงทผ่ี า่ นมา
6.7 ตวั แทนแตล่ ะกลุ่ม รับกรณีศกึ ษา เรือ่ ง วัน เวลาเรยี กคนื ไม่ได้ และรบั ใบงาน เรอื่ งวัน เวลาเรยี ก
คืนไม่ได้ เพื่อให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนได้ศึกษา และร่วมอภิปรายในกลุ่มแล้วสรุปผลอภิปรายลงใน
ใบงานของกลุ่ม โดยมีครคู อยสงั เกตการณ์อยา่ งใกลช้ ิด
6.8 ครูให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกมารายงานผลการอภิปรายของกลุ่มจากใบงาน เรื่อง วัน เวลา
เรียกคืนไม่ได้ โดยใช้เวลากลมุ่ ละประมาณ 3 นาที แล้วนาใบงานสง่ ครู
6.9 ตัวแทนแต่ละกลุ่มรับใบงาน เร่ือง การบรหิ ารเวลาของฉัน เพือ่ แจกให้กับทุกคนบันทึกการบริหาร
เวลาของตนเองเพ่อื นาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได้
6.10 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปหลักการบริหารเวลา ประโยชน์ และการบริหารเวลาของตนเอง
โดยครูคอยสรปุ เพมิ่ เติมให้สมบูรณ์ยิง่ ข้ึน

7. สื่อ/อปุ กรณ์
7.1 ปา้ ยข้อความ “ทุกคนมีฝนั หลายคนไปถงึ หลายคนไปไมถ่ งึ ทาไม ” 1 แผ่น
7.2 ใบงาน เร่อื ง วัน เวลาเรยี กคนื ไมไ่ ด้
7.3 ใบงาน เร่ือง การบรหิ ารเวลาของฉัน
7.4 ใบความรู้ เรื่อง การบริหารเวา

8. กำรวัดและประเมนิ ผล
8.1 วธิ ีกำรวดั และประเมนิ ผล
8.1.1 สงั เกตความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม และการรว่ มอภิปรายแสดงความคิดเห็น
8.1.2 ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ครบถ้วน และความเรยี บร้อยของใบงาน
8.2 เครอ่ื งมือ
-
8.3 เกณฑ์กำรประเมิน
8.3.1 สังเกตการปฏบิ ตั ิกิจกรรม
เกณฑ์ ตัวบง่ ช้ี
ผ่าน มคี วามสนใจในการฟัง การตอบคาถาม การร่วมอภิปรายแสดงความคดิ เห็น
ไมผ่ า่ น ขาดสิง่ ใดสิง่ หน่ึง

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตวั บ่งช้ี
ผา่ น ทาใบงานถูกต้อง ครบถ้วน และสง่ งานตามกาหนด
ไม่ผ่าน ขาดสิง่ ใดสิ่งหน่ึง

381

ป้ำยข้อควำม

“ทุกคนมฝี นั หลำยคนไปถงึ
หลำยคนไปไม่ถึง …..ทำไมเป็นเช่นนน้ั ?

382

ใบควำมรู้
เรือ่ ง วนั เวลำเรียกคนื ไมไ่ ด้

คำชแ้ี จง ให้นักเรียนอา่ นเร่ือง วัน เวลาเรยี กคนื ไมไ่ ด้ แล้วร่วมกนั อภิปรายในกลุ่ม และนาเสนอผล 383
การอภปิ รายกลมุ่ หนา้ ชัน้ เรยี น และตอบคาถามตามหวั ขอ้ ท่ีกาหนดให้

วนั เวลำเรียกคืนไมไ่ ด้
แพรวาเปน็ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 เธอเปน็ คนที่เรยี นหนังสืออยูใ่ นเกณฑ์ดี ดังนั้นผลการ
เรียนของเธอจึงอยู่ในระดับ 4 เกือบทุกวิชา เพราะเธอขยันเรียน แต่เธอมกั จะไปโรงเรยี นสายอยู่เสมอ
ทาให้อาจารย์ที่ปรึกษาต้องคอยเตือนอยู่เป็นประจา เช้าวันแรกของการสอบปลายภาค แพรวา
พยายามรบี เร่งจะไปโรงเรยี น แต่เมือ่ ถึงโรงเรียนก็ปรากฏว่าเกินกาหนดเวลาเขา้ ห้องสอบไปแล้ว
แพรวา : อาจารยค์ ะ หนูขออนญุ าตเขา้ หอ้ งสอบ
อาจารยค์ มุ สอบ : หนจู า๋ ครคู งอนญุ าตใหห้ นเู ข้าสอบไมไ่ ดแ้ ลว้ เพราะเลยเวลาเขา้ สอบไปแลว้

45 นาที
แพรวา : การสอบครงั้ นส้ี าคญั ต่อหนูมาก เพราะเป็นการสอบปลายภาค และสอบวิชา

สาคญั ดว้ ย
อาจารยค์ มุ สอบ : ตามระเบียบการสอบอนญุ าตใหส้ ายได้ไมเ่ กนิ 30 นาที ซงึ่ เวลานก้ี เ็ ลยกาหนด

15 นาที
แพรวา : อาจารยค์ ะ หนูขอรอ้ งใหห้ นูมสี ิทธเิ ขา้ สอบนะคะ เลยเวลามาแค่ 15 นาที

เทา่ นนั้
อาจารย์คมุ สอบ : คงไมไ่ ดห้ รอก ครตู อ้ งปฏบิ ัตติ ามระเบยี บ หนรู อสอบวิชาต่อไปนะคะ

(แพรวาร้องไหอ้ ยู่หนา้ ห้องดว้ ยความเสียใจท่ตี นมาไม่ทนั เวลา ทาให้ไมไ่ ด้เขา้ สอบ)

ใบงำน 384
เรอ่ื ง วนั เวลำเรียกคนื ไมไ่ ด้

คำชีแ้ จง ดาเนินการอภิปรายตามกระบวนการกลุ่มแสดงความคิดเห็นตามหัวข้อต่อไปน้ี

1.หำกนักเรยี นเปน็ แพรวำ นกั เรยี นจะมีวธิ ปี ฏบิ ัติตนอย่ำงไร
……………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………..

2.กำรบริหำรเวลำและปัญหำทีเ่ กิดจำกกำรใชเ้ วลำไมเ่ หมำะสม
เทคนิคกำรบริหำรเวลำ ประกอบดว้ ย
……………………………………………………………………………………………………………………………………
....………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
กำรใช้เวลำไม่เหมำะสม ทำใหเ้ กดิ ปัญหำอยำ่ งไรบำ้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………….……………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ใบควำมรู้ 385
เรอ่ื ง กำรบรหิ ำรเวลำ

"เวลามคี ่าย่ิงกว่าทอง ทองใช่ว่าจะซือ้ เวลาได"้ เวลาเปน็ ทรพั ยากรทม่ี คี า่ ของทุกคน ย่ิงคนทรี่ ู้คุณคา่
ของเวลามากเท่าใดยอ่ มสามารถเก็บเกยี่ วคุณประโยชน์จากการใชเ้ วลาให้มีคุณคา่ ได้มากเพียงนน้ั เทคนิคการ
บรหิ ารเวลาจงึ เปน็ ส่ิงสาคญั และจาเป็นสาหรบั ผู้ต้องการเรียนรกู้ ารใช้เวลาให้เกิดประโยชนอ์ ย่างสงู ทาให้
สามารถดาเนินภารกิจต่างๆไดอ้ ย่างราบรน่ื งา่ ยและมเี วลาเพยี งพอทจ่ี ะบรหิ ารจัดการ สิ่งต่างๆให้สาเร็จลลุ ่วงไป
ไดด้ ้วยดีและยังมเี วลาส่วนตัวเพ่ือพักผ่อนหยอ่ นใจได้ตามอัธยาศัย

ปญั หำท่ีทำใหเ้ กิดกำรสูญเสียเวลำ มีหลายประการ ควรมกี ารประเมินผลตัวทาลายเวลาและจดั ลาดบั
ความสาคัญเพ่ือเปน็ แนวทางในการแกป้ ัญหาซ่งึ ปญั หาทาลายเวลาได้แก่

1.ปัญหาท่เี กดิ จากขาดการวางแผนวา่ จะทาอะไรท่ีไหนเมื่อไหร่อย่างไรใหช้ ดั เจนการใชเ้ วลาอันยาวนาน
ในการทางานหรือ แกป้ ัญหาใดๆ เป็นเหตุใหผ้ ลตอบแทนของความขยนั กลบั ลดนอ้ ยลง แมว้ า่ ขยันแต่งานขาด
ประสทิ ธภิ าพ

2.ปญั หาท่เี กดิ จากจากการผดั วนั ประกันพรงุ่ เชน่ นอนตืน่ สาย ขาดการเตรยี มตารางเรียน วนั รงุ่ ขึน้ อา่ น
หนงั สอื นยิ าย หรอื คยุ กับเพ่ือน

3.ปัญหาทีเ่ กิดจากความวุ่นวาย การเรียนโดยไม่ได้จัดลาดับความสาคัญของปัญหา ทางานหลายอย่าง
ไปพร้อมๆกนั หรอื การส่อื ความหมายที่ไมถ่ ูกต้องชดั เจนความชกั ช้า
ความไม่คงทีย่ ุ่งเหยิงระบบเอกสารท่ไี มด่ ี

4. ปญั หาทีเ่ กดิ จากการเล่นมากเกินไป ได้แก่ การใชเ้ วลามากเกนิ ไปในการอยู่กับเพอื่ น โทรศพั ท์นาน
หรอื บอ่ ยครง้ั เกนิ ไปหรือหลบไปเท่ยี วหรือทาอะไรท่ีไรส้ าระ

5. ปัญหาซง่ึ เกดิ จากการมสี ่วนเขา้ ร่วมในกจิ กรรมโรงเรียนมากเกนิ ไป ไดแ้ ก่การเขา้ ร่วม
ในการกีฬาตดิ ตามข้อปลกี ย่อยมากเกนิ ไปหรือใชเ้ วลายาวนานในการทากจิ กรรมตา่ งๆเกินไป

6.ปัญหาซึ่งเกิดจากการเรียนบนกระดาษเชน่ ใชเ้ วลาในการอา่ นหนังสอื นานแต่จบั ประเด็นไมไ่ ด้ บันทึก
ส่งิ ต่างๆ ทีไ่ ร้ประโยชน์ การบริหารเวลา เปน็ การจดั การสง่ิ ตา่ งๆ ในเวลาทม่ี อี ยู่ ให้สาเรจ็ ลลุ ว่ งไปไดด้ ้วยดี แต่ใช้
เวลานอ้ ยทสี่ ุดและมปี ระสิทธิภาพมากที่สุด
ควำมสำคัญของกำรบริหำรเวลำ

1. มเี วลาเหลือมากขน้ึ สาหรับทากิจกรรมที่นา่ พอใจหรือเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ
2.ทาใหพ้ บความสาเร็จทต่ี ้องการได้มากขึน้ ในทุกๆดา้ น
3.ลดความเครียดและวิตกกังวล
4.รสู้ ึกผดิ ต่อการใช้เวลาสน้ิ เปลืองนอ้ ยลง

หวั ใจสำคญั ของกำรบริหำรเวลำ 386
1. เรยี นรู้ทจี่ ะจัดลาดับความสาคัญ โดยการเอางานท้ังหลาย มาจัดลาดับความสาคัญ

แลว้ ลงมือทางานท่สี าคัญทีส่ ุดกอ่ น
2. เรยี นร้ทู ีจ่ ะมอบหมายงานกลุ่ม โดยพจิ ารณาบคุ คลท่ีเหมาะสมทางานแทนในกิจกรรมตา่ ง ๆ

และให้ความไว้วางใจกับงานท่ีเพื่อนทาได้
หลักกำรเบ้อื งตน้ ในกำรบริหำรเวลำ

การบรหิ ารเวลาทดี่ ี นอกจากสามารถทางานของตนเองใหส้ าเรจ็ ลลุ ่วงไปไดด้ ้วยดีแล้ว
ยงั สามารถทางานเพ่ือผอู้ ืน่ ได้ดว้ ยและยังไดร้ บั ความสขุ จากการมีเวลาวา่ งของตนเอง

1. การเริม่ ต้นทด่ี ีมีความสาเร็จเกินกวา่ ครึง่ ถ้าการเรม่ิ ตน้ ของวนั ใหมม่ ีความสดช่นื แจ่มใสจึงควรค้นหา
สงิ่ ทต่ี นเองชน่ื ชอบสักอยา่ ง

2. พจิ ารณาให้แนน่ อนวา่ อะไรสาคญั ทีส่ ดุ เพื่อป้องกันไม่ให้คนอ่ืนปล้นเวลา หรอื ปลน้
ส่งิ สาคัญๆในชีวติ ไปและจงกล้าทจ่ี ะตอบปฏเิ สธเพยี งกล่าวว่า“ไม่”สน้ั ๆและงา่ ยๆ

3. ต้งั เปา้ หมาย การมีเปา้ หมายอาจมีได้หลายเป้าหมาย ทั้งเร่ืองส่วนตัวและเร่ืองการเรียน
การเขียนเป้าหมายชวี ิตเหลา่ นั้นออกมาจะชว่ ยให้จุดประสงค์ของนกั เรียนชดั เจนขึ้นและช่วยกาหนดทิศทางการ
ใช้เวลาในแตล่ ะสัปดาหเ์ ดือน ปี และช่วั ชีวติ ได้

4. กาหนดเกณฑใ์ นการใชเ้ วลาในการทากิจกรรมแต่ละอยา่ งเช่น การโทรศัพท์ การคุยกับเพื่อน
การรบั ประทานอาหาร ตลอดจนเร่อื งใชจ้ ่ายตา่ งๆ ควรกาหนดไวล้ ว่ งหน้าวา่ จะใชเ้ วลาเท่าไร

5. วางแผนประจาวนั ควรเขยี นกจิ กรรมต่างๆออกมาอย่างชัดเจน แลว้ วางแผนการจัดทาเพ่อื ให้
บรรลผุ ล โดยจดั ลาดับความสาคญั

6. ใช้ชวี ิตอยา่ งสมดลุ ทั้งในการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ มีเวลาพักผ่อนหยอ่ นใจพอควร เวลา
ใหก้ ับตนเอง และ การพัฒนาจติ วญิ ญาณ ตลอดจนเร่ืองทสี่ นใจ

7. จัดลาดบั ความสาคัญของงานให้ชัดเจน โดยพิจารณาวา่ งานใดเรง่ ดว่ น ท่ตี ้องดาเนินการ
โดยด่วน งานใดท่สี ามารถทาภายหลงั ได้ ไมต่ ้องใช้สมองและเวลามากนัก กท็ าภายหลงั ได้

8. ลงมือทางานที่ยากทสี่ ุดก่อน เมื่อทางานท่ียากสาเรจ็ จะช่วยให้เกิดความโลง่ ใจ และชว่ ยให้เกิด
ความสาเร็จในการเรยี น

9. มอบหมายงาน โดยพิจารณาวา่ เพ่ือนคนใดทพ่ี อจะชว่ ยได้ เพื่อช่วยใหม้ ีเวลาเพมิ่ ขน้ึ

10. ทางานใหส้ าเรจ็ เป็นชนิ้ เป็นอนั อยา่ ทางานด้วยความยืดยาด
11. ออกกาลังกาย เพื่อให้ร่างกายกระฉบั กระเฉง กระปรี้กระเปร่า
12. ตรวจสอบสิง่ ทีท่ า วา่ มีความสาคญั หรอื จาเป็นเพยี งใด หรือเปน็ เพยี งความเคยชนิ
สารวจดวู า่ ถา้ ตัดออกจะช่วยใหม้ เี วลามากยง่ิ ขึ้นหรอื ไม่
13. วางแผนฉลองความสาเร็จ เชน่ ถ้างานชน้ิ นีเ้ สร็จแลว้ ควรจะใหอ้ ะไรเป็นรางวัล

สาหรบั ตัวเอง ซงึ่ อาจเปน็ สง่ิ เล็กๆ นอ้ ยๆ ก็ได้เพอื่ ให้เปน็ ขวัญและกาลังใจตวั เอง 387
14. ใช้ความจาช่วยประหยดั เวลาในการทางานสงู จงควรฝกึ การจดจาสิง่ ตา่ งๆ

เทคนิคกำรบรหิ ำรเวลำ
- ไปถงึ โรงเรยี นแต่เชา้ การไปถงึ โรงเรยี นก่อนเวลาเข้าแถวปกติ จะได้เวลาซ่งึ ปราศจากการเตรียมตวั สามารถ
ใชเ้ วลาน้นั เพ่ือใช้เวลาคดิ ในการวางแผน หรอื การเรียนทต่ี ้องใชส้ มาธิได้
- เขียนสงิ่ ทต่ี อ้ งทาในบนั ทึก พรอ้ มจัดสรรเวลาและจัดลาดับความสาคญั ของกจิ กรรมไปไดด้ ว้ ย พรอ้ มกับระบุ
วนั เวลา ลงในบนั ทกึ เพ่อื จัดการงานแตล่ ะชนิ้ ออกไป
- จัดโต๊ะเรยี นใหเ้ ป็นระเบียบ จัดโตะ๊ ใหเ้ ปน็ ระเบียบทุกเยน็ ถ้าโตะ๊ สะอาดจะชว่ ยให้การเรยี นในตอนเช้า
ง่ายข้นึ
- เริ่มลงมือทางานที่คุณครูสั่งทนั ที อย่ามวั รีรอในการทางานต่างๆ ไม่ควรงงว่าจะเริม่ ต้นตรงไหนก่อนการรบี
ตัดสนิ ใจทาทันที แลว้ ค่อยเพ่ิมเติมทีหลงั จะทาใหง้ านเสรจ็ เร็วขึ้น
- เตรยี มอุปกรณ์ จาเป็นใกล้มอื เชน่ หนงั สอื เรียน สมดุ โน้ต ปากกา ดนิ สอ ยางลบ นา้ ยาลบคาผิด
- ใชห้ ูแทนตาเพอื่ ประหยัดเวลา เชน่ ฟังคุณครูพดู แทนดบู นกระดานอยา่ งเดยี ว
- ใชเ้ วลารอคอยให้เกดิ ประโยชน์ ถา้ ต้องรอคอยอะไรสักอย่างหนงึ่ ตอ้ งหากจิ กรรมสารองทง่ี า่ ยๆทาไปดว้ ย
จะได้ไมม่ ีความกระวนกระวายใจ ในการรอคอย และยงั ได้งานเพมิ่ ขนึ้ อีก
- การมีมนษุ ยสัมพนั ธท์ ่ีดี ช่วยให้ประหยัดเวลาได้ ท้ังในด้านการช่วยเหลือเกอื้ กูล และ การส่อื สารอย่าง
ตรงไปตรงมาด้วยมิตรภาพทด่ี ี การสอ่ื สารทชี่ ัดเจน นมุ่ นวล จะชว่ ยให้ไดร้ ับความรว่ มมือชว่ ยเหลอื ด้วยดี และ
ประหยัดเวลาทางาน
- ใช้เวลาปลีกย่อยให้เป็นประโยชน์ ใชเ้ วลา 10 นาที หรอื 15 นาที ให้เกดิ ประโยชน์ โดยเฉพาะเวลาท่ีต้อง
คอยอะไรสักอย่างใช้ให้คุ้มค่า อย่าทง้ิ ไป
- ใชเ้ วลาของแต่ละวนั ใหเ้ ต็มท่ี สมเหตสุ มผล มปี ระโยชน์ เช่น ทาการบ้าน หรือฝึกฟังภาษาอังกฤษจาก
การดูโทรทศั น์ วางแผนการใช้เวลาแตล่ ะช่วงให้เหมาะสม หรือทบทวนบทเรยี นเพ่ิมนอกเหนอื จากท่ีเรยี นในแต่
ละวันแล้วจะได้งานอนื่ ๆเพิม่ อีกดว้ ย
- ทางานด้วยความสบายใจ ความสุขและความสนกุ สนานเป็นการเสรมิ สรา้ งพลงั จติ ใจใหท้ างาน
อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ จติ ใจท่ีสบายเป็นทุนของประสิทธภิ าพการทางาน ควรเพาะเลี้ยงใหม้ ีความสนกุ สนานกบั
การทางานและเอาใจใส่
- ในการเรยี น ควรกาหนดเวลาในการพักผ่อนไปด้วย หรือเปล่ยี นอิรยิ าบถซงึ่ มลี ักษณะไมเ่ หมือนกันจะช่วยให้
เรียนอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพมากข้ึน
- ทางานสองสิง่ ในเวลาเดียวกันถ้าสามารถ ถงึ แม้โบราณจะสอนวา่ ทางานส่งิ ใด ก็ให้ตั้งใจทางาน
ในสง่ิ นั้น มิเช่นน้ันจะทาให้การทางานมีประสทิ ธภิ าพตา่ ลง แต่การต้ังใจทางานนับเปน็ ส่ิงที่ดี
แตเ่ ราสามารถต้ังใจทางานควบคู่กนั ได้ “ทางานใหฉ้ ลาดข้ึน ไม่ใช่ใหห้ นักขนึ้ ”

แผนกำรจดั กจิ กรรมแนะแนวที่ 13

หน่วยกำรจดั กิจกรรม ส่วนตวั และสงั คม ช้ันมธั ยมศึกษำปที ่ี 4 - 6

เรือ่ ง ภัยคกุ คำมในชีวิต จำนวน 2 ชั่วโมง

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1. สำระสำคัญ

ภัยสังคมมีหลากหลายและปรับเปล่ียนรูปแบบไปตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม ดังน้ัน

การเรียนรู้สถานการณ์ที่เป็นภัยในสังคม เป็นส่ิงสาคัญที่ทาให้นักเรียนรู้เท่าทันและสามารถปฏิบัติตน

ให้ปลอดภยั จากภยั สังคม

2.สมรรถนะกำรแนะแนว : ด้ำนสว่ นตัวและสงั คม
ขอ้ 4 ปรับตวั และดารงชวี ติ อยู่ในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ

3. จุดประสงค์กำรเรยี นรู้
3.1 วเิ คราะห์สถานการณ์ภยั คกุ คามท่ีเกดิ ขนึ้ ในสังคม
3.2 สามารถปฏิบัติตนใหป้ ลอดภยั จากภยั คุกคาม

4. สำระกำรเรียนรู้ 388
4.1 สถานการณ์ในสังคมทีเ่ ปน็ ภัยต่อนักเรียน
4.2 แนวทางการปฏบิ ัตติ นเพอื่ ใหป้ ลอดภัยจากภัยตา่ ง ๆ ในสงั คม

5. ชิ้นงำน / ภำระงำน
5.1 ใบงาน เร่ือง ภยั คุกคาม
5.2 ใบงาน เร่ือง 7 ภัยอนั ตรายใกลต้ วั เยาวชน

6. วธิ กี ำรจัดกิจกรรม
ชวั่ โมงท่ี 1
6.1 ครูชวนนกั เรียนสนทนาเกยี่ วกับเร่ืองสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเร่อื งภัยทเี่ กิดข้ึน

กบั ผู้หญงิ ทถี่ ูกคนท่ีรู้จกั ผา่ นสังคมออนไลนห์ ลอกลวง ตบทรพั ย์ จนถงึ ลวงไปขม่ ขืนและถูกฆา่ ตายในท่ีสุด
6.2 แบง่ นกั เรยี นเปน็ กลมุ่ กลุ่มละ 5-7 คน รว่ มกนั ศึกษาใบความรู้เร่ือง ภัยจากสงั คมออนไลน์

ครอู ธบิ ายเพ่ิมเตมิ แล้วให้นักเรยี นทาใบงาน ภัยจากสังคมออนไลน์ และสง่ ตวั แทนนาเสนอหน้าหอ้ ง

6.4 ครูเช่ือมโยงการนาเสนอของกลุ่มต่างๆ เพื่อให้นักเรียนเห็นว่าภัยสังคมออนไลน์เป็นส่ิ ง 389
ที่เกิดขึ้นได้ง่าย มีหลากหลาย เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าเร็วมาก หากนักเรียนไม่ตระหนักถึงปัจจัยเส่ียง
ตา่ ง ๆ โอกาสท่จี ะได้รบั ภยั ตา่ ง ๆ ก็เป็นไปได้

6.5 ครสู ุม่ ถามความคิดเห็นของนักเรียน เปดิ ประเดน็ อภิปราย และใหน้ กั เรียนร่วมกันสรุปข้อคิดที่ได้
ชัว่ โมงที่ 2
6.6 ครแู ละนกั เรียนชว่ ยกันทบทวนส่งิ ท่ไี ดเ้ รียนรู้ในชัว่ โมงที่ผา่ นมา
6.7 ให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่ม ศึกษาใบความรู้ เรอ่ื ง 7 ภัยอันตรายใกล้ตวั เยาวชน ครูและนกั เรียน
รว่ มกันแลกเปลยี่ นเรยี นรู้
6.8 ให้นักเรียนสืบค้นสถานการณ์ภัยคุกคามที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน ท้ังจากโลกสังคมออนไลน์
และในสังคมรอบตัว พร้อมทั้งวิเคราะห์หาปัจจัยที่เป็นสาเหตุทาให้เกิดปัญหาน้ันๆ ตลอดจนเสนอ
แนะแนวทางปอ้ งกนั และแก้ไข กลมุ่ ละ 1 เรื่อง
6.9 นักเรียนนาเสนองานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย
6.10 ครแู ละนกั เรียนร่วมกันสรุปบทเรียนและการนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั
7. ส่อื /อปุ กรณ์

7.1 ใบความรู้ เรอื่ ง ภยั จากสังคมออนไลน์
7.2 ใบงาน เรือ่ ง ภัยจากสงั คมออนไลน์
7.3 ใบความรู้ เรอ่ื ง 7 ภยั อันตรายใกล้ตวั เยาวชน
8. กำรวดั และประเมนิ ผล
8.1 วธิ ีกำรวัดและประเมนิ ผล
8.1.1 สงั เกตความสนใจในการฟัง การตอบคาถาม และการร่วมอภิปรายแสดงความคิดเหน็
8.1.2 ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และความเรียบรอ้ ยของใบงาน
8.2 เคร่อื งมือ
-
8.3 เกณฑก์ ำรประเมิน
8.3.1 สังเกตการปฏิบตั กิ ิจกรรม
เกณฑ์ ตวั บ่งช้ี
ผา่ น มคี วามสนใจในการฟงั การตอบคาถาม การรว่ มอภปิ รายแสดงความคดิ เห็น
ไม่ผา่ น ขาดส่ิงใดสิ่งหน่งึ

8.3.2 ตรวจใบงาน
เกณฑ์ ตวั บง่ ช้ี
ผ่าน ทาใบงานถูกต้อง ครบถ้วน และสง่ งานตามกาหนด
ไม่ผา่ น ขาดสิ่งใดสิง่ หนึ่ง

ใบควำมรู้ 390
เรอ่ื ง ภัยจำกส่ือออนไลน์

ในส่ือสังคมออนไลน์อย่างเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) จัดเป็นบริการออนไลน์ซึ่งอยู่
บนพ้ืนฐานของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอันสะท้อนถึงความสนใจท่ีคล้ายคลึงกันหรือมีความ
เก่ียวข้องกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็น Facebook My Space Twitter หรือเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์อ่ืนๆ
ต่างก็มีลักษณะเด่นท่ีเหมือนกันในการเปิดให้สมาชิกสร้างแฟ้มประวัติส่วนตัวเป็นเสมือนอีกตัวตนหน่ึงบนโลก
ออนไลนเ์ พื่อใชป้ ฏิสมั พันธ์กับสมาชิกคนอื่นๆผ่านบริการช่องทางการส่ือสารที่หลากหลายบนเว็บไซต์ สอ่ื สังคม
ออนไลน์ส่งอิทธิพลลบต่อชีวิตประจาวันและความสัมพันธ์ของคนในสังคมอย่างชัดเจนมากย่ิงขึ้นจนกลายเป็น
ประเด็นทางสังคม ท่ีท้ังส่ือ บทกฎหมาย และประชาชนเองจะต้องให้ความสาคัญในการป้องกันและแก้ไข
ปัญหาเหลา่ น้ี

1. กำรคุกคำมผ่ำนส่ือออนไลน์ (Cyber Bullying) คือการคุกคามหรือรังแกกันผ่านเทคโนโลยี
สารสนเทศ ท้ังอีเมลขม่ ข่หู รือแบล็คเมล การส่งขอ้ ความทางโทรศัพท์ การขม่ ขู่ทางโทรศัพท์ โปรแกรมออนไลน์
และชัดเจนที่สุดคือการคุกคามผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แม้ว่าการคุกคามกันบนโลกออนไลน์จะไม่ใช่การทาร้าย
ร่างกายหรือมีใครไดร้ ับบาดเจบ็ แตเ่ ป็นการทารา้ ยทางอารมณ์ความรู้สึกซ่ึงสามารถสร้างบาดแผลที่รนุ แรงมาก
ในทางจติ วทิ ยาอนั จะสง่ ผลใหเ้ กดิ อาการหวาดระแวง ซึมเศร้า หดหู่ ไปจนถึงการฆ่าตวั ตายในที่สดุ

2. กำรโจรกรรมเอกลักษณ์บุคคล (Identity Theft) ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ท้ังในสังคมไทยและ
ประเทศอื่นๆทั่วโลก และยังเป็นอีกสาเหตุของการเติบโตอันรวดเร็วของจานวนสมาชิกท่ีเพิ่มข้ึนบนเครือข่าย
สังคมออนไลน์ เฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ก็เป็นเว็บเครือข่ายสังคมออนไลน์ท่ีเอื้ออานวยให้เกิดการโจรกรรม
เอกลักษณ์หรือข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างง่ายดายด้วยเคร่ืองมือ “แก้ไขข้อมูลส่วนตัว” (Edit your profile) ซ่ึงจะ
แสดงท้ังช่ือ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ความสนใจส่วนตัว อีเมล รายช่ือเพื่อนสนิท หรือแม้กระท่ังข้อมูล
ส่วนตัวมากๆอย่างสถานะความสัมพันธ์กับคนรัก ซึ่งย่ิงข้อมูลเหล่านี้ที่แสดงอยู่บนเว็บไซต์เครือข่ายสังคม
ออนไลน์มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งช่วยให้ผู้ร้ายสามารถลอกเลียนเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของเราเพ่ือไปแอบอ้าง
ในการก่ออาชญากรรมไดง้ ่ายขน้ึ

3. เครือข่ำยสังคมออนไลน์สร้ำงปัญหำทำงควำมสัมพันธ์ของคนในสังคม ทาให้คนห่างไกลกันมาก
ขึ้น เพราะวิธีการสื่อสารกับคนรู้จักและคนแปลกหน้าบนอินเทอร์เน็ตทาให้ความรู้สึกของคนเปลี่ยนไป
ผลกระทบทางลบอกี อย่างหนงึ่ ของเครือข่ายสงั คมออนไลน์คือความสัมพันธข์ องคนในสงั คม แม้มนั จะชว่ ยสร้าง
สัมพันธภาพให้เรากับคนที่ไม่สนิทให้รู้จักกันแน่นแฟ้นได้ง่ายขึ้น แต่คนเรามักจะมองไม่เห็นว่าเครือข่ายสังคม
ออนไลน์นั้นก็ทาใหเ้ ราห่างไกลจากคนท่ีเราสนิทด้วยมากข้ึน ด้วยความเป็น “เครือข่ายสังคม” จึงทาให้สมาชิก
ส่วนใหญค่ ดิ วา่ เพยี งแค่เป็นสมาชกิ ในเครอื ข่ายกเ็ ทา่ กับเปน็ การเขา้ สังคมแลว้

4. ส่ือสังคมออนไลน์มีผลกระทบทำงลบต่อกำรทำงำนท้ังของนายจ้าง ลูกจ้าง และแม้กระทั่งว่าท่ี
พนักงานในอนาคต เพราะส่ือที่เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์จะคอยรบกวนการทางาน สมาธิของพนักงาน
ทาให้ประสิทธิภาพในการทางานลดลง เพิ่มมูลค่าต้นทุนของบริษัท และยังเป็นอันตรายตอ่ ช่ือเสยี งอีกท้ังความ
น่าเชื่อถือของบริษัท เพียงแค่พนักงานบางคนลืมตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในทะเบียนเครือข่ายสังคมออนไลน์
ก็อาจต้องลงเอยด้วยการถูกไล่ออกจากบริษัทเพราะไปแสดงข้อความท่ีไม่เหมาะสมไว้ก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่าน้ัน
เครือข่ายสังคมออนไลน์ก็อาจเป็นภัยแก่คนท่ีกาลังหางานทา เพราะทั้งเฟซบุ๊คและมายสเปซต่างก็
เป็นแหล่งข้อมูลช้ันเย่ียมของหลายบริษัทต่างๆในการสอดส่องพฤติกรรมของผู้สมัครงานเพื่อใช้คัดกรอง
พนักงาน

391

ใบควำมรู้
เรื่อง 7 ภัยอนั ตรำย ใกล้ตัวเยำวชน

ทุกวันนี้ ภัยอันตรายต่าง ๆ เริ่มท่ีจะมุ่งเข้าสู่โลกของเยาวชนมากข้ึน เน่ืองจากความ ท่ี 392
เยาวชนยังเป็นผ้าขาวที่ตอ้ งสง่ เสรมิ ใหร้ จู้ ักคิดและมวี ิจารณญาณ จงึ ทาใหบ้ างคร้งั ค่านิยมทางสังคม สภาพของ
ส่ิงแวดล้อม รวมไปถึงการชักจูงจากผู้ไม่หวังดี มีผลทาให้เยาวชนเกิดความหลงเช่ือจนต้อง เข้าไปพัวพัน
หรอื กลายมาเปน็ ผปู้ ระสบปัญหาได้ ภยั อนั ตรายตา่ ง ๆ นั้น มตี ั้งแต่ที่สง่ ผลกระทบน้อยไปจนถึงผลกระทบมาก
ผู้ใหก้ ารปกครองตอ้ งคอยดแู ลอยา่ งใกล้ชิดซึง่ ภยั อนั ตรายสว่ นหน่งึ ทีต่ ้องไดร้ บั การดูแลแก้ไขทสี่ าคัญน้ันได้แก่

1.กำรลักพำตัว

ปัจจุบันเร่ิมมีข่าวเก่ียวกับแก๊งลักเด็กอาละวาดสร้างความหวาดกลัวต่อพ่อแม่ท่ีมีบุตรในวัยเด็กเล็ก
ในสมัยก่อนน้นั การลักพาตัวถ้าไม่พาไปเป็นขอทานก็พาไปใช้แรงงานอะไรสักอย่างหรือซา้ ร้ายถ้าเป็นเด็กผู้หญิงก็
พาไปขายเป็นโสเภณี แต่ในปัจจุบัน ธุรกิจการค้ามนุษย์เริ่มเข้ามามีอิทธิพลครอบคลุมในหลาย ๆ ส่วน ไม่ว่าจะ
เป็นทางด้านแรงงาน ท่ีจะมีการลักพาตัวเด็กไปใช้แรงงาน ทางด้านการบริการทางเพศที่ลักพาตัวไปยังสถาน
บันเทงิ ในตา่ งประเทศหรือแม้กระท่ังทางดา้ นการแพทย์ที่มีการลกั พาเด็กไปขโมยอวยั วะตา่ งๆเป็นต้น

2.กำรอนำจำร/ขม่ ขนื กระทำชำเรำ

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันน้ีแม้ในประเทศไทยเอง ในเร่ืองจริยธรรมและศีลธรรมก็มีแต่จะถดถอย
เสื่อมทรามลงไปมาก การไว้ใจคนแปลกหน้าหรือแม้แต่คนใกล้ตัว ก็อาจจะเป็นส่ิงที่ดูน่าอันตรายสาหรับเด็ก
และโดยเฉพาะเดก็ ผหู้ ญิงข่าวตามหน้าหนงั สือพิมพ์เกี่ยวกบั คนในครอบครัวข่มขนื กระทาชาเราเด็กในปกครอง
กลับกลายเป็นข่าวในชั่วข้ามคืน แต่แล้วก็เงียบลง โดยไม่มีนัยสาคัญอะไรมากนัก ถึงแม้ว่าจะมีกฎหมาย
ที่เขม้ งวดรองรบั แต่ถา้ สงั คมไมใ่ ห้ความสนใจดูแลเอาใจใส่ไม่ชา้ กจ็ ะเกิดเร่ืองคล้ายเดมิ ซ้าอีก

3.ยำเสพตดิ

ทั้งน้ีได้รวมถึงอบายมุขอ่ืน เช่น สุราหรือบุหรี่ด้วย สิ่งเหล่าน้ีกลายเป็นอันตรายที่อยู่ใกล้ตัวเด็กที่
เห็นได้อย่างชัดเจน รูปแบบการฝากยาเสพติดให้เด็กเอาไปส่ง ยังคงมีให้เห็นในแถวชุมชนแออัดต่าง ๆ
ท่ียังต้องการการพัฒนาอย่างแท้จริง ส่วนบุหร่ีและสุรา หลายครอบครัวมีสมาชิกที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา


Click to View FlipBook Version