The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sutthasangarii, 2022-07-10 03:17:36

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

415

10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรื่อง การมองเหน็ และการเกดิ ภาพ

ประเด็นการ คา่ น้ำหนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน

ดา้ นความรู้ 1.5 สรุปองค์ความรไู้ ด้ถูกตอ้ งครบถว้ น

(K) 1 สรุปองค์ความร้คู อ่ นขา้ งถกู ตอ้ งครบถ้วน

0.5 สรปุ องคค์ วามรูไ้ ดค้ อ่ นขา้ งถูกตอ้ ง

1.5 ตอบคำถามได้ถกู ตอ้ งทุกขอ้

1 ตอบคำถามได้ถกู ตอ้ ง 2-3 ข้อ

0.5 ตอบคำถามไดถ้ ูกต้อง 1 ขอ้ หรอื ไม่ถูกต้อง

ดา้ น 3 ทำโจทย์ปญั หาได้ถกู ตอ้ งทกุ ขอ้

กระบวนการ 2 ทำโจทย์ปญั หาไดถ้ ูกตอ้ ง 2 ข้อ

(P) 1 ทำโจทย์ปญั หาไดถ้ ูกต้อง 1 ขอ้ หรือไม่ถกู ต้อง

ดา้ น 3 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บร้อยถกู ต้องครบถ้วน

คณุ ลักษณะ 2 ทำภาระงานทไี่ ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางส่วน

(A) 1 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

416

การประเมนิ การทำกจิ กรรม เร่อื ง การมองเหน็ และการเกดิ ภาพ

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชื่อ - นามสกลุ ด้านความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

417

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

418

บนั ทกึ หลังการสอน

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 เรื่อง แสงเชงิ รังสี อ

แผนการสอนท่ี -32 เรื่อง การมองเห็นและการเกดิ ภาพ .

วนั ท่ี.................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจดั การเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อปุ สรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชอ่ื .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)

ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กลุม่ บรหิ ารวิชาการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)

ลงชือ่ ............................................ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสุรยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

ช่ือ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………………….. เลขท่ี ………………419

ใบงาน เรอื่ ง การมองเหน็ และการเกิดภาพ

ตอนที่ 1 คำชี้แจง จงตอบคำถามให้ถูกต้องครบถว้ น

1) การมองเหน็ วัตถเุ กิดขึน้ เนอื่ งจากอะไร

ตอบ การมองเห็นวตั ถเุ กิดขน้ึ เน่อื งจากมีแสงจากวัตถเุ ข้ตา ท
2) เลนสต์ ามีหนา้ ทอี่ ยา่ งไร

ตอบ ช่วยให้แสงไปรวมกันที่ตำแหน่งต่าง ๆ บนจอตา ทำให้เกิดการรับรู้บนจอตาส่งสัญญาณให้สมองแปล

ความหมายเป็นการมองเห็นวัตถุ m

3) ภาพท่เี ห็นจากกระจกเงาราบอยูด่ า้ นหลังกระจกเงาราบ เนอ่ื งจากอะไร

ตอบ ภาพที่เห็นเกดิ จากแสงสะทอ้ นทผี่ วิ กระจก โดยแสงดังกลา่ วเสมือนออกมาจากตำแหนง่ ภาพทอ่ี ยหู่ ลังกระจกเงา

ราบangle, θc ) ซ่ึงไปตามสมการ sin = 2 อ
1

4) เม่อื อยู่ในอากาศและมองวัตถุที่อยู่ในนำ้ จากดา้ นบน จะเหน็ ภาพของวัตถใุ นนำ้ เป็นอย่างไร

ตอบ อยตู่ ้ืนกวา่ ตำแหน่งของวตั ถจุ ริง v

ตอนท่ี 2 คำช้แี จง จงแสดงวิธกี ารหาคำตอบให้ถกู ตอ้ ง

1. ปลาอยู่ในน้ำทีร่ ะดับความลึกจากผิวน้ำ 0.20 เมตร ความลึกปรากฏของปลาเป็นเทา่ ใด เมื่อผู้สังเกตมองปลาใน
แนวดงิ่ ตรงตัวปลา (กำหนดให้ดรรชนีหักเหของอากาศเท่ากับ 1.00 และดรรชนีหักเหของนำ้ เทา่ กับ 1.33)

วธิ ที ำ หาความลึกปรากฏของปลา จากสมการ น

วธิ ที ำ หา x จากสูตร แทนค่า น

วิธีทำ หา x จากสูตร อ

ตอบ ความลึกปรากฏของปลา เท่ากับ 0.15 เมตร

420

2. ถ้าปลาตวั หน่งึ มองนกอินทรีที่บนิ อยู่ในอากาศสูงจากผิวน้ำ 20.00 เมตร ปลาจะเหน็ นกอนิ ทรีสงู จากผิวน้ำเท่าใด
(กำหนดใหน้ ำ้ มดี รรชนีหักเหเทา่ กบั 1.33 และอากาศมีดรรชนีหกั เหเทา่ กับ 1.00)

วธิ ีทำ หาความลึกปรากฏของนกอินทรี จากสมการ น

วิธที ำ หา x จากสูตร แทนค่า น

วธิ ีทำ หา x จากสูตร

ตอบ ความลึกปรากฏของนกอนิ ทรี เทา่ กับ 26.60 เมตร

3. หญงิ คนหนึง่ สงู h ยนื อย่หู น้ากระจก ดังรปู
จงหาขนาดความสงู ของกระจกทีน่ ้อยทสี่ ุดท่ีทำใหผ้ หู้ ญงิ คนน้ี
สามารถมองตัวเองไดเ้ ตม็ ตัวและต้องติดตง้ั กระจกสูงจากพื้นเท่าไร

วธิ ที ำ หา x จากสูตร น

วธิ ีทำ หา x จากสูตร น

จากรปู เส้นตรง AD เป็นเส้นแนวฉาก ดงั น้ัน∆CADและ∆EAD เปน็ สามเหลยี่ มทีเ่ ท่ ากันทุกประการ

วธิ ีทำ หา x จากสูตร น

วธิ ที ำ หา x จากสูตร น

วิธที ำ หา x จากสูตร น

421

เฉลยใบงาน เรื่อง การมองเห็นและการเกิดภาพ

ตอนที่ 1 คำชีแ้ จง จงตอบคำถามให้ถกู ต้องครบถ้วน

1) การมองเห็นวตั ถเุ กดิ ขึ้นเน่อื งจากอะไร

ตอบ การมองเห็นวตั ถเุ กดิ ขนึ้ เนือ่ งจากมีแสงจากวัตถเุ ข้ตา ท
2) เลนสต์ ามีหนา้ ท่อี ย่างไร

ตอบ ช่วยให้แสงไปรวมกันที่ตำแหน่งต่าง ๆ บนจอตา ทำให้เกิดการรับรู้บนจอตาส่งสัญญาณให้สมองแปล

ความหมายเป็นการมองเห็นวตั ถุ m

3) ภาพท่ีเหน็ จากกระจกเงาราบอยู่ด้านหลังกระจกเงาราบ เนอื่ งจากอะไร

ตอบ ภาพที่เห็นเกดิ จากแสงสะทอ้ นทีผ่ วิ กระจก โดยแสงดังกล่าวเสมือนออกมาจากตำแหนง่ ภาพทอี่ ยหู่ ลังกระจกเงา

ราบ อ

4) เมือ่ อยใู่ นอากาศและมองวตั ถทุ อ่ี ย่ใู นนำ้ จากดา้ นบน จะเหน็ ภาพของวัตถใุ นน้ำเป็นอย่างไร

ตอบ อยตู่ นื้ กว่าตำแหน่งของวตั ถุจรงิ v

ตอนท่ี 2 คำชแ้ี จง จงแสดงวิธีการหาคำตอบให้ถูกตอ้ ง

1. ปลาอยู่ในน้ำทีร่ ะดับความลกึ จากผิวน้ำ 0.20 เมตร ความลึกปรากฏของปลาเป็นเท่าใด เมื่อผู้สังเกตมองปลาใน

แนวด่งิ ตรงตวั ปลา (กำหนดให้ดรรชนหี ักเหของอากาศเทา่ กับ 1.00 และดรรชนหี ักเหของน้ำ เท่ากับ 1.33)

วิธที ำ หาความลึกปรากฏของปลา จากสมการ ′ = น



วธิ ีทำ หา x จากสูตร แทนค่า ′ = . น

. .

วิธที ำ หา x จากสูตร ′ = . น

ตอบ ความลกึ ปรากฏของปลา เท่ากับ 0.15 เมตร อ

422

2. ถา้ ปลาตวั หน่งึ มองนกอินทรีท่ีบินอยู่ในอากาศสงู จากผวิ น้ำ 20.00 เมตร ปลาจะเหน็ นกอินทรีสงู จากผิวน้ำเท่าใด

(กำหนดใหน้ ำ้ มีดรรชนีหกั เหเท่ากับ 1.33 และอากาศมีดรรชนหี ักเหเท่ากบั 1.00)

วธิ ีทำ หาความลกึ ปรากฏของนกอินทรี จากสมการ ′ = น



วธิ ีทำ หา x จากสูตร แทนค่า ′ = . น

. .

วธิ ีทำ หา x จากสูตร ′ = . น

ตอบ ความลึกปรากฏของนกอินทรี เทา่ กับ 26.60 เมตร อ

3. หญิงคนหนง่ึ สงู h ยนื อยู่หน้ากระจก ดงั รปู
จงหาขนาดความสงู ของกระจกทน่ี อ้ ยท่ีสุดท่ีทำให้ผูห้ ญิงคนนี้
สามารถมองตัวเองไดเ้ ตม็ ตัวและต้องติดต้งั กระจกสงู จากพน้ื เท่าไร

วิธที ำ พิจารณาแผนภาพรังสขี องแสงในการมองภาพตวั เองในกระจก โดยลากทางเดนิ ของแสงจากเทา้

และจากศีรษะไปกระทบกระจกแล้วสะทอ้ นเข้าตา ดังรปู น

วิธที ำ หา x จากสูตร น

วธิ ีทำ หา x จากสูตร น

วธิ ที ำ หา x จากสูตร



จากรปู เสน้ ตรง AD เปน็ เส้นแนวฉาก ดงั นนั้ ∆CADและ∆EAD เป็นสามเหลีย่ มทเ่ี ท่ากนั ทุกประการ

จะได้ CD = DE (1) m

และ เสน้ ตรง BF เปน็ เสน้ แนวฉาก ดงั น้นั ∆EBF และ∆GBF เปน็ สามเหลยี่ มทเ่ี ทา่ กันทุกประการ

จะได้ EF = FG (2) m

แต่ CD+ DE +EF+ FG = h v

แทนค่า (1) ใน (2) จะได้ 2DE + EF = h m

DE + EF = h/2 v

ตอบ ขนาดความสงู ของกระจกทน่ี ้อยที่สุดที่ทำ ใหผ้ ูห้ ญงิ คนนี้สามารถมองตัวเองไดเ้ ต็มตัว เทา่ กับ h/2 และตอ้ ง

ตดิ ตั้งกระจกโดยใหส้ งู จากพน้ื เป็นครึ่งหน่ึงของระยะจากพ้นื ถึงตาของผูห้ ญงิ คนนี้

423

แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 33

เร่อื ง การหักเหของแสงผ่านเลนส์

รายวิชา ฟิสกิ ส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 4 ช่ัวโมง

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 11 ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ แสงเชิงรงั สี รวม 24 ชั่วโมง

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1

บูรณาการ

 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน  มาตรฐานสากล  ข้ามกลุ่มสาระ

1. สาระฟสิ ิกส์
2. เข้าใจการเคล่อื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อย่างงา่ ย ธรรมชาตขิ องคลื่น เสียงและการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่

เกย่ี วข้องกบั เสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเี่ กี่ยวข้องกับแสงรวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
8. ทดลอง และเขียนรังสีของแสงเพื่อแสดงภาพที่เกิดจากเลนส์บาง หาตำแหน่ง ขนาด ชนิดของภาพ และ

ความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมทั้งคำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และอธิบาย
การนำความรู้เรื่องการหักเหของแสงผา่ นเลนสบ์ างไปใช้ประโยชน์ ในชวี ติ ประจำวนั

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธิบายการเกดิ ภาพของเลนส์บาง
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) ทดลอง และเขยี นรงั สขี องแสงที่หักเหผ่านเลนส์บางเพือ่ ระบุตำแหนง่ และชนิดของภาพ
2) คำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกบั การเกิดภาพจากเลนส์บาง
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) มงุ่ ม่นั ในการทำงาน และมคี วามรับผิดชอบ

4. สาระสำคญั

เลนส์บางทำงานโดยใช้หลักการหักเหของแสง ทำจากแก้วหรือพลาสติกที่มีผิวโค้งทรงกลมทั้งสอง ข้างไม่

ขนานกัน เลนส์บางมี 2 ชนิด คือ เลนส์นูน (convex lens) และเลนส์เว้า (concave lens) เมื่อวางวัตถุหน้า

เลนส์บางจะเกิดภาพของวตั ถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพทเ่ี กิดขึ้น หาไดจ้ ากการเขยี น รงั สขี องแสงหรือใช้

ความสมั พันธ์ = + ซ่ึงเรยี กวา่ สมการของเลนส์บาง


กำลังขยาย (magnification, M) เท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพ ′กับความสูงของวัตถุ ดัง

สมการ = ′



424

กระจกเงาทรงกลมทำด้วยวัสดุที่สามารถสะท้อนแสงได้ดีเช่นเดียวกับกระจกเงาราบ กระจกเงาทรงกลม
มี 2 ชนิด คอื กระจกโค้งเวา้ (concave mirror) และกระจกโค้งนนู (convex mirror) เม่ือวางวตั ถุหน้ากระจก
เงาทรงกลมจะเกิดภาพของวัตถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพท่ีเกิดขน้ึ หาได้จาก การเขียนรังสขี องแสงและ
การคำนวณโดยใช้รปู แบบสมการทเี่ หมือนกับสมการของเลนสบ์ าง

5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
เลนส์บาง เป็นอุปกรณ์ทางแสงที่ทำงานโดยใช้หลักการการหักเหของแสง ทำจากแก้วหรือ
พลาสติกโปร่งใส ที่มีผิวโค้งทรงกลมทั้งสองข้างไม่ขนานกัน เลนส์บางมี 2 ชนิด คือ เลนส์นูน (convex
lens) และเลนส์เวา้ (concave lens) ดงั รูป

ก. เลนสน์ นู ข. เลนสเ์ ว้า

ภาพที่เกิดจากเลนส์นูน เลนส์นูนเป็นเลนส์ที่มีลักษณะตรงกลางเลนส์หนากว่าที่ขอบเลนส์
โดยทั่วไปมีผิวนูนทัง้ สองดา้ น ถ้าเราฉายแสงเลเซอร์ผ่านเลนสน์ ูน พบว่า แสงที่ผ่านเลนส์จะเกิดการหักเห
สองครั้ง โดยครั้งแรกเกิดทีผ่ ิวด้านหน้า และครั้งท่ีสองเกิดที่ผิวด้านหลังของเลนส์ ผลจากการหักเหท้งั สอง
ครั้งน้ี ทำให้รังสีของแสงมกี ารเบี่ยงเบนไปจากแนวเดมิ ดังรูป ก. (ด้านล่าง) ซึ่งในระดับนี้ พิจารณาเฉพาะ
เลนส์บางที่ความหนาของเลนส์น้อยๆ และรังสีหักเหผ่านเลนส์เพียงครั้งเดียวที่แกนเลนส์ ดังรูป ข.
(ด้านลา่ ง)

ก. การหกั เหของแสงผา่ นเลนสห์ นา ข. การหักเหของแสงผ่านเลนส์บาง

การหักเหของแสงผ่านเลนสบ์ าง นิยมสร้างเส้นสมมติที่ตั้งฉากกับแกนเลนส์และผ่านจุดกึ่งกลาง
เลนส์ เรียกวา่ เสน้ แกนมขุ สำคัญ (principal axis) ดังรปู ก. (ด้านล่าง) ซ่ึงถ้ามีรังสขี องแสงขนานกับเส้น
แกนมขุ สำคัญมาตกกระทบเลนส์ รงั สีขนานเหล่านี้จะหกั เหผ่านเลนส์แล้วไปตัดกนั ท่ีจุดจุดหนึ่งบนเส้นแกน
มุขสำคัญ คือ โฟกัส (focus) ของเลนส์ เรียกระยะจากโฟกัสไปถึงจุดกึ่งกลางเลนส์ว่า ความยาวโฟกัส

425
(focal length) และใชส้ ญั ลกั ษณ์ f แทนความยาวโฟกสั ดงั รูป ข. (ดา้ นลา่ ง) การทเี่ ลนส์นนู ทำใหร้ ังสีของ
แสงขนานลเู่ ข้าหากัน ทำใหบ้ างครง้ั เรียกเลนส์นนู ว่า เลนส์รวมแสง (converging lens)

แกนเลนส์

เส้นแกนมุขสำคัญ

ก. เส้นแกนมขุ สำคญั ของเลนสน์ นู ข. รังสตี กกระทบขนานเส้นแกนมุขสำคัญไปพบกันท่ีโฟกัส

สำหรับเลนส์นนู บาง จะมีความสมมาตรของเลนส์ คือ ถ้ามีแสงขนานเข้ามาจากทางด้านขวาของ
เลนส์ จะตดั กันทโ่ี ฟกัสทางดา้ นซ้ายของเลนส์ โดยมีระยะโฟกสั เทา่ กันทง้ั สองด้าน ดังรูป (ดา้ นลา่ ง) พบว่า
มีการเขยี นโฟกัสไว้ทงั้ สองด้านของเลนส์

ก. การเกดิ โฟกสั ทางด้านขวาของเลนสน์ ูน ข. การเกดิ โฟกัสทางด้านซ้ายของเลนส์นนู

ลักษณะทีส่ ำคัญในการหกั เหของแสงผา่ นเลนสน์ ูน ดงั รูป (ด้านล่าง) คอื ถา้ รงั สีของแสงท่ผี า่ นเลนส์
มีทิศทางขนานกบั เสน้ แกนมุขสำคัญ รังสีหกั เหจะรวมกันที่โฟกสั ดังรูป ก. (ด้านล่าง) ถ้ารังสีของแสงที่ผ่าน
โฟกัสที่หน้าเลนส์ รังสีหักเหจะมีทิศทางขนานกันเส้นแกนมุขสำคัญ ดังรูป ข. (ด้านล่าง) ถ้ารังสีของแสงท่ี
ผ่านจุดก่งึ กลางเลนส์ รังสหี ักเหจะไมม่ กี ารเปลีย่ นแปลงทิศทางการเคล่อื นท่ี ดังรูป ค. (ด้านลา่ ง)

ก. รงั สขี องแสงทข่ี นานกับแกนมขุ สำคัญจะรวมกันทโ่ี ฟกัสด้านหลงั เลนส์

426

ข. รงั สีของแสงทีผ่ า่ นโฟกสั ด้านหนา้ เลนสจ์ ะหกั เหเปน็ รังสที ่ขี นานเสน้ แกนมุขสำคญั

ค. รังสขี องแสงทผี่ า่ นจุดกงึ่ กลางเลนส์จะไมม่ ีการเปลยี่ นแปลงจากเดมิ
การเกิดภาพจากเลนส์เว้า เลนส์เว้าเป็นเลนส์ที่มีลักษณะตรงกลางเลนส์บางกว่าที่ขอบเลนส์
โดยลักษณะสำคัญในการหกั เหของแสงผ่านเลนส์เว้า คือ ถ้ามแี สงขนานเส้นแกนมุขสำคัญตกกระทบเลนส์
เว้า แสงนน้ั จะหกั เหในลักษณะที่บานออก เสมอื นวา่ ออกมาจากจดุ หน่ึงท่ีอยู่บนเสน้ แกนมขุ สำคัญด้านหน้า
เลนส์ ที่เรียกว่า โฟกัส ดังรูป ก. (ด้านล่าง) แต่ถ้ามีแสงท่ีลู่เข้าไปยังโฟกัสที่อยู่ดา้ นหลงั เลนส์ แสงนี้จะถา่ ง
ออกเปน็ แสงขนาน ดังรูป ข. (ด้านล่าง) นอกจากนี้ ถา้ มีรงั สีใดทผี่ ่านจุดกงึ่ กลางของเลนสเ์ ว้าพอดีจะไม่เกิด
การหักเห ดังรปู ค. (ด้านล่าง)

ส่วนการหาตำแหน่งของภาพที่เกิดจากเลนส์เว้า ทำได้เหมือนกับการเขียนแผนภาพรังสีของแสง
สำหรับเลนสน์ ูน
5.2 กระบวนการ

1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟงั พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลมุ่ สรุป)

427

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (การแกส้ มการ)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ (ทำงานกลมุ่ และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร)์
5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นิยม
1) ม่งุ ม่ันในการทำงาน และมีความรับผิดชอบ

6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรยี นแตล่ ะคนแลกเปลีย่ นเรียนรู้เลา่ สู่กันฟงั ถงึ ความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการศึกษาค้นคว้า
6.2 บรู ณาการกับกลมุ่ สาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ เร่ือง การแกส้ มการ และเสน้ ขนาน

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นตอนการเรียนรู้
ขัน้ ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรู้ เร่อื ง การมองเห็นและการเกดิ ภาพ และการเกิดภาพของกระจกเงาราบ
1.2 ครูต้งั คำถามเพือ่ เขา้ ส่กู จิ กรรม
1) เลนส์มกี ี่แบบ อะไรบา้ ง
2) ภาพทีเ่ กดิ จากเลนส์นนู และเลนส์เว้าจะเหมอื นหรือแตกต่างจากกระจกเงาราบหรือไม่
อยา่ งไร
3) แต่ละแบบจะทำ ใหเ้ กิดภาพเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่
(โดยครูเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอสิ ระและไมค่ าดหวังคำ ตอบท่ีถูกต้อง)

ข้นั ท่ี 2 ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 นกั เรียนแบ่งกลุม่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 11.3 เรอื่ ง การหกั เหของแสงผา่ นเลนสน์ ูน
2.3 ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ อุปกรณ์ และข้ันตอนการทดลองอยา่ งละเอยี ด
2.4 นักเรียนรบั อุปกรณ์การทดลอง พรอ้ มติดตง้ั อปุ กรณ์
2.5 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ทำการทดลอง สงั เกตและบนั ทกึ ผลการทดลอง
2.6 นกั เรยี นทำใบงาน เรอ่ื ง การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์

ข้ันที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ

3.1 ครสู ุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทดลองหนา้ ชั้นเรียน

3.2 ครูนำนกั เรียนอภปิ รายเพอื่ นำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้

1) นกั เรยี นแต่ละกลุม่ ได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมอื นกนั )

2) เมื่อเล่อื นเลนส์นูนหา่ งจากหลอดไฟเป็นระยะตา่ ง ๆ ผลรวมของ 1 กับ 1 มีค่า

เทา่ กนั ทุกกคร้ังหรือไม่ (แนวการตอบ เท่ากันทุกครง้ั ) s

428

3) ผลรวมของ 1 กับ 1 เทา่ กบั 1 หรอื ไม่ (แนวการตอบ เท่ากนั )

s f
3.3 นกั เรียนและครรู ่วมกนั อภปิ รายและสรปุ ผลการทำกจิ กรรม จนสรุปได้ ดงั น้ี

1. เมื่อวัตถุอยู่ไกลจากเลนส์นูนมาก ๆ แสงจากวัตถุส่วนที่มากระทบเลนส์นูนถือว่าเป็น

แสงขนาน และเม่อื แสงขนานผา่ นเลนส์นนู จะไปตดั กันทีโ่ ฟกสั น่ันคอื เกดิ ภาพของวตั ถทุ ีอ่ ยู่ไกลมากท่ีโฟกัส

ของเลนส์ ทำให้สามารถหาความยาวโฟกสั ของเลนสน์ ูน เท่ากบั 14.5 เซนตเิ มตร

2. ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลับของระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส คือ

= +


ข้ันที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายให้ความรู้เพิ่มเตมิ เกี่ยวกับการเกิดภาพของเลนส์บาง
4.2 ครอู ธบิ ายตัวอย่าง 11.5-11.10 ตามหนงั สอื เรียน อย่างละเอยี ด

ขน้ั ท่ี 5 ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นส่งใบกิจกรรม 11.3 เร่ือง การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์นูน
5.2 นักเรียนสง่ ใบงาน เรอื่ ง การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์นนู และเลนสเ์ วา้

8. สอ่ื การเรยี นรู/้ แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 3 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอร์เน็ต
8.3 ใบกจิ กรรม 11.3 เรอ่ื ง การหกั เหของแสงผ่านเลนส์นนู
8.4 ชุดกจิ กรรม เรือ่ ง การหกั เหของแสงผ่านเลนส์นูน
8.5 ใบงาน เรอ่ื ง การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์

429

9. การวดั และประเมนิ ผล วิธีการวัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจใบงาน เรอ่ื ง การ 1) ใบงาน เรือ่ ง การ 1) นกั เรยี นสามารถ
ดา้ นความรู้ (K) หักเหของแสงผา่ นเลนส์ หักเหของแสงผ่าน ตอบคำถามได้ระดับ
1) อธิบายการเกดิ ภาพของเลนสบ์ าง เลนส์ ดีผา่ นเกณฑ์

ด้านกระบวนการ (P) 1) ใบกิจกรรม 11.3 1) นักเรียนสามารถ
เร่ือง การหกั เหของ บนั ทกึ ผลและสรุปผล
1) ทดลอง และเขยี นรงั สีของแสงท่หี กั เห 1) ตรวจใบกจิ กรรม 11.3 แสงผ่านเลนส์นนู การทดลองได้ระดับดี
2) ใบงาน เร่อื ง การ ผ่านเกณฑ์
ผา่ นเลนสบ์ างเพือ่ ระบตุ ำแหนง่ และชนิด เรื่อง การหกั เหของแสง หักเหของแสงผา่ น 2) นักเรียนสามารถ
เลนส์ เขยี นรังสแี ละคำนวณ
ของภาพ ผา่ นเลนสน์ นู การเกดิ ภาพของ
เลนส์ไดร้ ะดับดี ผ่าน
2) คำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง 2) ตรวจใบงาน เร่อื ง การ เกณฑ์

กบั การเกดิ ภาพจากเลนสบ์ าง หกั เหของแสงผา่ นเลนส์ 1) นักเรียนได้ระดับดี
ผา่ นเกณฑ์
ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ตรวจการส่งใบงาน 1) ใบงาน เรือ่ ง การ
1) ม่งุ ม่นั ในการทำงาน และมคี วาม
รับผิดชอบ เรอ่ื ง การหักเหของแสง หกั เหของแสงผา่ น

ผ่านเลนส์เกิดภาพ เลนส์

2) ตรวจการสง่ ใบกิจกรรม 2) ใบกิจกรรม 11.3

11.3 เร่ือง การหกั เหของ เร่ือง การหกั เหของ

แสงผา่ นเลนสน์ ูน แสงผา่ นเลนส์นูน

430

10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรอ่ื ง การหักเหของแสงผ่านเลนส์

ประเดน็ การ ค่านำ้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน

ด้านความรู้ 3 สามารถตอบคำถามได้ถูกตอ้ งครบถ้วนทุกขอ้
(K) 2 สามารถตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น 5-9 ข้อ
1 สามารถตอบคำถามได้ถูกตอ้ งครบถว้ นน้อยกวา่ 5 ข้อ

1.5 สามารถบันทกึ ผลและสรุปผลการทดลองไดถ้ ูกต้องครบถ้วน

ด้าน 1 สามารถบันทึกผลและสรุปผลการทดลองคอ่ นข้างถกู ต้องครบถว้ น
กระบวนการ 0.5 สามารถบนั ทึกผลและสรุปผลการทดลองไดค้ อ่ นข้างถกู ต้อง แต่ไมค่ รบถ้วน
1.5 สามารถเขียนรังสีและคำนวณการเกิดภาพของเลนส์ได้ถูกตอ้ งครบถว้ น
(P) 1 สามารถเขียนรังสแี ละคำนวณการเกดิ ภาพของเลนส์คอ่ นข้างถูกตอ้ ง แตไ่ มค่ รบถว้ น

0.5 สามารถเขียนรงั สแี ละคำนวณการเกดิ ภาพของเลนส์ไดค้ ่อนขา้ งถกู ต้อง

ดา้ น 3 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด และเรยี บรอ้ ยถูกต้องครบถ้วน

คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางส่วน

(A) 1 ทำภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

431

การประเมินการทำกิจกรรม เรอื่ ง การหักเหของแสงผา่ นเลนส์

จุดประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

432

28

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชื่อ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คุณภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถงึ ระดับปรบั ปรงุ
คะแนน

433

บนั ทึกหลงั การสอน

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 11 เรอ่ื ง แสงเชงิ รงั สี อ

แผนการสอนที่ 33 เรื่อง การหักเหของแสงผ่านเลนส์ .

วันท.่ี ................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจดั การเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปญั หา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงช่อื ............................................ครผู ู้สอน ลงชอ่ื .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงชื่อ............................................. รองฯ กลมุ่ บรหิ ารวิชาการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)

ลงชอื่ ............................................ผู้อำนวยการโรงเรียน
(นายสรุ ิยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..

434

ใบกจิ กรรม 11.3 การหักเหของแสงผ่านเลนส์

1. รายชอื่ สมาชกิ ท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทำกิจกรรม
เพอ่ื ศกึ ษาความสัมพันธร์ ะหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัสของเลนส์นนู

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 อัน
1. เลนสน์ นู 1 อัน
2. ฉากขาว 1 ชดุ
3. ชดุ กลอ่ งแสง 1 อัน
4. ไม้เมตร

4. วิธที ำกจิ กรรม

ตอนท่ี 1 การหาความยาวโฟกสั ของเลนส์นนู

30. จดั เลนส์นูนและฉาก ดงั รปู

31. เลอื่ นเลนสน์ ูนไปท่ตี ำแหน่งปลายสุดของราง

32. จัดเลนส์นูนใหร้ บั แสงจากวตั ถุทอี่ ยู่ไกลจากเลนส์นนู มากๆ เช่น แสงจากดวงอาทติ ย์

33. เลื่อนฉากจนได้ภาพวัตถคุ มชัดทส่ี ดุ บนฉาก เพ่อื วัดความยาวโฟกัสของเลนสน์ ูน

34. บนั ทกึ ความยาวโฟกัส(f) ของเลนส์นนู ท่วี ัดได้

ตอนที่ 2 การหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส

1. วางกลอ่ งแสงไวท้ ี่ปลายข้างหน่ึงของไมเ้ มตร

2. วางเลนส์นนู บนไม้เมตรให้หา่ งจากไส้หลอดไปของกล่องแสงโดยมรี ะยะประมาณ 1.5 เท่าของความยาวโฟกสั

3. เลอ่ื นฉากจนได้ภาพของไส้หลอดไฟของกล่องแสงบนฉากคมชัดที่สดุ

4. วัดระยะวัตถุ และระยะภาพ บนั ทึกคา่ ท่ีได้ในตารางบันทึกผล

5. ทำการทดลองซ้ำ ขอ้ 2-4 โดยเล่ือนเลนสน์ ูนให้ห่างหลอดไฟของกล่องแสงเปน็ ระยะต่างๆ อีก 4 คา่

6. คำนวณผลรวมของ 1 กับ 1 แล้วเปรยี บเทยี บค่าท่ไี ดก้ ับ 1

s f

435

5. ผลการทดลอง
ตอนท่ี 1 การหาความยาวโฟกัสของเลนส์นูน

ความยาวโฟกัสของเลนสน์ ูน เท่ากับ 14.5 เซนตเิ มตร หรอื 0.145 เมตร อ

ตอนที่ 2 การหาความสมั พนั ธ์ระหว่างระยะวตั ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกสั ของเลนสน์ ูน

สว่ นกลบั ความยาวโฟกสั ของเลนสน์ นู (1/f) เท่ากับ (1/ 0.145 = 6.9 เมตร) อ

ตารางบันทกึ ผลการทดลอง

คร้งั ที่ (cm) ′(cm) 1 (m-1) 1 (m-1) 1+ 1 (m-1)
1 s′ ′
s s

2

3

4

5

6. คำถามทา้ ยการทดลอง

1) เมื่อเล่อื นเลนส์นนู ห่างจากหลอดไฟเปน็ ระยะต่าง ๆ ผลรวมของ 1 กับ 1 มีคา่ เท่ากันทกุ กครั้งหรือไม่

ตอบ เท่ากันทกุ ครั้ง s อ

2) ผลรวมของ 1 กับ 1 เทา่ กับ 1 หรอื ไม่

s f อ
ตอบ เท่ากนั ทกุ ครั้ง

7. สรุปผลการทดลอง

1. เมอ่ื วตั ถุอยไู่ กลจากเลนสน์ ูนมาก ๆ แสงจากวตั ถสุ ว่ นทีม่ ากระทบเลนสน์ ูนถอื วา่ เป็นแสงขนาน และเมอื่ แสงขนานผ่าน

เลนส์นูนจะไปตัดกนั ที่โฟกัส นั่นคือ เกดิ ภาพของวัตถทุ ีอ่ ยไู่ กลมากทีโ่ ฟกัสของเลนส์ ทำให้สามารถหาความยาวโฟกัสของ

เลนสน์ นู เทา่ กับ 14.5 เซนตเิ มตร 2. ความสัมพันธ์ระหวา่ งสว่ นกลบั ของระยะวตั ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกสั คอื

m

m

m

436

เฉลยใบกิจกรรม 11.3 การหกั เหของแสงผ่านเลนส์

1. รายชื่อสมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทำกจิ กรรม
เพอ่ื ศึกษาความสมั พันธ์ระหวา่ งระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัสของเลนส์นูน

3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 อัน
1. เลนสน์ ูน 1 อัน
2. ฉากขาว 1 ชุด
3. ชุดกล่องแสง 1 อัน
4. ไมเ้ มตร

4. วธิ ที ำกจิ กรรม

ตอนท่ี 1 การหาความยาวโฟกสั ของเลนส์นนู

1. จดั เลนสน์ นู และฉาก ดังรปู

2. เลื่อนเลนสน์ นู ไปทตี่ ำแหน่งปลายสุดของราง

3. จัดเลนสน์ ูนใหร้ บั แสงจากวตั ถทุ ่ีอยไู่ กลจากเลนสน์ นู มากๆ เชน่ แสงจากดวงอาทติ ย์

4. เลื่อนฉากจนไดภ้ าพวตั ถคุ มชดั ทีส่ ุดบนฉาก เพื่อวัดความยาวโฟกสั ของเลนส์นนู

5. บันทึกความยาวโฟกัส(f) ของเลนส์นูนท่ีวัดได้

ตอนท่ี 2 การหาความสมั พันธร์ ะหวา่ งระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส

1. วางกล่องแสงไวท้ ่ีปลายข้างหนึ่งของไม้เมตร

2. วางเลนสน์ นู บนไม้เมตรใหห้ า่ งจากไสห้ ลอดไปของกลอ่ งแสงโดยมีระยะประมาณ 1.5 เท่าของความยาวโฟกสั

3. เลือ่ นฉากจนไดภ้ าพของไสห้ ลอดไฟของกลอ่ งแสงบนฉากคมชดั ทส่ี ุด

4. วัดระยะวัตถุ และระยะภาพ บนั ทึกค่าทไ่ี ด้ในตารางบันทกึ ผล

5. ทำการทดลองซ้ำ ข้อ 2-4 โดยเล่ือนเลนส์นูนให้หา่ งหลอดไฟของกล่องแสงเป็นระยะต่างๆ อีก 4 ค่า

6. คำนวณผลรวมของ 1 กับ 1 แลว้ เปรยี บเทยี บค่าที่ได้กบั 1

s f

437

5. ผลการทดลอง
ตอนที่ 1 การหาความยาวโฟกสั ของเลนสน์ นู

ความยาวโฟกัสของเลนสน์ ูน เท่ากบั 14.5 เซนติเมตร หรอื 0.145 เมตร อ

ตอนที่ 2 การหาความสมั พันธร์ ะหวา่ งระยะวตั ถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัสของเลนสน์ นู

สว่ นกลับความยาวโฟกสั ของเลนสน์ นู (1/f) เทา่ กับ (1/ 0.145 = 6.9 เมตร) อ

ตารางบันทึกผลการทดลอง

ครง้ั ท่ี (cm) ′(cm) 1 (m-1) 1 (m-1) 1+ 1 (m-1)
s′ ′
1 25.0 34.5 s s
2 30.0 28.1
3 35.0 24.8 4.0 2.9 6.9
4 40.0 22.7 3.3
5 50.0 20.4 2.9 3.6 6.9
2.5
2.0 4.0 6.9

4.4 6.9

4.9 6.9

6. คำถามทา้ ยการทดลอง

1) เมื่อเล่อื นเลนส์นูนหา่ งจากหลอดไฟเปน็ ระยะตา่ ง ๆ ผลรวมของ 1 กบั 1 มีคา่ เท่ากันทกุ กครั้งหรอื ไม่

ตอบ เท่ากันทุกครั้ง s อ

2) ผลรวมของ 1 กับ 1 เทา่ กบั 1 หรือไม่

s f
ตอบ เท่ากันทุกคร้ัง อ

7. สรุปผลการทดลอง

1. เมอ่ื วัตถุอยไู่ กลจากเลนส์นนู มาก ๆ แสงจากวัตถุส่วนที่มากระทบเลนสน์ ูนถือวา่ เปน็ แสงขนาน และเมื่อแสงขนานผ่าน

เลนสน์ ูนจะไปตัดกันท่ีโฟกัส นั่นคือ เกดิ ภาพของวตั ถุทอ่ี ย่ไู กลมากทโ่ี ฟกัสของเลนส์ ทำให้สามารถหาความยาวโฟกสั ของ

เลนส์นูน เท่ากับ 14.5 เซนตเิ มตร 2. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสว่ นกลบั ของระยะวัตถุ ระยะภาพ และความยาวโฟกัส คือ

= + m
′ m

m

438

439

440

441

442

443

444

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 34

เร่ือง การเกดิ ภาพจากกระจกเงาทรงกลม

รายวิชา ฟสิ ิกส์ 3 รหัสวิชา ว30203 เวลา 4 ชั่วโมง

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 11 ช่อื หน่วยการเรียนรู้ แสงเชงิ รงั สี รวม 24 ชว่ั โมง

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน  มาตรฐานสากล  ขา้ มกลุ่มสาระ

1. สาระฟิสกิ ส์
2. เข้าใจการเคลอื่ นทีแ่ บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่าย ธรรมชาติของคลน่ื เสียงและการได้ยนิ ปรากฏการณ์ที่

เก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั แสงรวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
6. ทดลอง และอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและ คำนวณ

ตำแหน่งและขนาดภาพของวัตถุ เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้งอธิบายการนำ
ความรเู้ รือ่ งการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบ และกระจกเงาทรงกลม ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธิบายการเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) เขียนรังสขี องแสงท่ีสะทอ้ นจากผวิ ของกระจกเงาทรงกลมเพอื่ ระบุตำแหน่งและชนิดของภาพ
2) คำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับการเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) มุ่งมน่ั ในการทำงาน และมีความรบั ผดิ ชอบ

4. สาระสำคญั

เลนส์บางทำงานโดยใช้หลักการหักเหของแสง ทำจากแก้วหรือพลาสติกที่มีผิวโค้งทรงกลมทั้งสอง ข้างไม่

ขนานกัน เลนส์บางมี 2 ชนิด คือ เลนส์นูน (convex lens) และเลนส์เว้า (concave lens) เมื่อวางวัตถุหน้า

เลนสบ์ างจะเกดิ ภาพของวตั ถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนิดของภาพท่ีเกดิ ขนึ้ หาไดจ้ ากการเขยี น รังสขี องแสงหรือใช้

ความสัมพันธ์ = + ซึง่ เรียกว่า สมการของเลนสบ์ าง


กำลังขยาย (magnification, M) เท่ากับอัตราส่วนความสูงของภาพ ′กับความสูงของวัตถุ ดัง

สมการ = ′



กระจกเงาทรงกลมทำด้วยวัสดุที่สามารถสะท้อนแสงได้ดีเช่นเดียวกับกระจกเงาราบ กระจกเงาทรงกลม

มี 2 ชนดิ คอื กระจกโคง้ เวา้ (concave mirror) และกระจกโค้งนูน (convex mirror) เม่อื วางวัตถุหน้ากระจก

445

เงาทรงกลมจะเกดิ ภาพของวตั ถุ โดยตำแหน่ง ขนาดและชนดิ ของภาพที่เกิดขน้ึ หาได้จาก การเขียนรงั สขี องแสงและ
การคำนวณโดยใช้รูปแบบสมการที่เหมอื นกบั สมการของเลนส์บาง
5. สาระการเรยี นรู้

5.1 ความรู้
ในการหาตำแหน่งของภาพที่เกิดจากกระจกโค้งเว้า สามารถใช้การเขยี นแผนภาพรังสี โดยเร่ิมต้น

จากการเขยี นรงั สที ีอ่ อกจากสว่ นหัวของวัตถมุ ายงั กระจกโค้งเว้า
ในการหาตำแหน่งของภาพที่เกิดจากกระจกโค้งนูน สามารถใช้การเขียนแผนภาพรังสีของแสง

สามารถทำได้โดยการเขียนรังสแี สงจำนวน 4 เสน้ ในทำนองเดียวกนั กับกระจกโค้งเว้า ดงั รูป

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กล่มุ สรปุ )
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (การแกส้ มการ)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ทำงานกล่มุ และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร)์

5.3 คุณลกั ษณะและค่านิยม
1) มงุ่ ม่ันในการทำงาน และมคี วามรบั ผิดชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บรู ณาการ PLC นกั เรียนแตล่ ะคนแลกเปลยี่ นเรียนรู้เลา่ สูก่ ันฟังถึงความรูท้ ไ่ี ดจ้ ากการศึกษาค้นควา้
6.2 บรู ณาการกับกลุม่ สาระการเรยี นรูค้ ณิตศาสตร์ เรอ่ื ง การแก้สมการ และเสน้ ขนาน

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้ันตอนการเรียนรู้
ขนั้ ท่ี 1 ข้นั สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้ เรือ่ ง การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์
1.2 ครูต้ังคำถามเพ่ือเขา้ ส่กู จิ กรรม

446

1) ภาพที่เกิดจากกระจกเงาที่มีผิวโค้งจะเหมือนหรือแตกต่างจากกระจกเงาราบหรือไม่
อย่างไร

2) กระจกเงาผิวโค้งมีกีแ่ บบ อะไรบา้ ง
3) แตล่ ะแบบจะทำ ให้เกดิ ภาพเหมือนหรอื แตกตา่ งกันหรือไม่
(โดยครเู ปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็นอยา่ งอิสระและไมค่ าดหวังคำ ตอบทถ่ี กู ตอ้ ง)

ข้ันท่ี 2 ขนั้ สำรวจและค้นหา
2.1 ครูใหน้ ักเรยี นทกุ คนศกึ ษาคน้ คว้าข้อมูลและทำความเข้าใจ เร่อื ง การเกิดภาพจากกระจกเงา

ทรงกลม ในหนงั สือเรียน และอนิ เทอร์เนต็
2.2 นักเรียนทำใบงาน เร่อื ง การเกิดภาพของกระจกนนู
2.3 นกั เรียนทำใบงาน เรื่อง การเกิดภาพของกระจกเว้า
2.4 นกั เรยี นทำโจทย์ปัญหา เร่อื ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม

ขน้ั ที่ 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครสู มุ่ นกั เรียน 5 คน ออกมานำเขียนการเกดิ ภาพจากกระจกเงาทรงกลมหน้าช้นั เรยี น
3.2 ครูสมุ่ นกั เรียน 5 คน ออกมาเฉลยโจทยป์ ัญหาหนา้ ชั้นเรยี น
3.3 ครนู ำนกั เรียนอภิปรายเพอ่ื นำไปส่กู ารสรปุ โดยใชค้ ำถามตอ่ ไปน้ี
1) กระจกนูนเกิดภาพกี่ชนิด อะไรบ้าง ขนาดภาพเป็นอย่างไร และตำแหน่งของภาพ

เกดิ ข้ึนที่ใด (แนวการตอบ 1 ชนดิ คือ ภาพเสมือนหัวตั้ง ขนาดภาพเล็กกวา่ วตั ถุ และตำแหน่งของภาพอยู่
หลังกระจก ระหว่างจุด F กับ จุด P)

2) ถา้ วางวตั ถุไว้หน้ากระจกเวา้ ซ่งึ มีระยะมากกว่า 2F จะเกิดภาพชนดิ ใด ขนาดภาพเปน็
อย่างไร และตำแหนง่ ของภาพเกดิ ข้นึ ทใ่ี ด (แนวการตอบ เกดิ ภาพจรงิ หวั กลบั ขนาดภาพเล็กกว่าวัตถุ
ตำแหนง่ ภาพอยู่หน้ากระจก ระหว่างจุด 2F กับ จุด F)

3) ถา้ วางวัตถุไว้หน้ากระจกเว้า ซง่ึ มีระยะเทา่ กับ 2F จะเกิดภาพชนดิ ใด ขนาดภาพเป็น
อย่างไร และตำแหน่งของภาพเกิดขึ้นทใ่ี ด (แนวการตอบ เกดิ ภาพจรงิ หวั กลบั ขนาดภาพเทา่ กับวัตถุ
ตำแหนง่ ภาพอยู่หนา้ กระจก ทจี่ ดุ 2F)

4) ถา้ วางวตั ถุไว้หน้ากระจกเว้า ซ่ึงมรี ะยะนอ้ ยกวา่ 2F แตม่ ากกว่า F จะเกดิ ภาพชนดิ ใด
ขนาดภาพเปน็ อยา่ งไร และตำแหน่งของภาพเกดิ ขึ้นท่ีใด (แนวการตอบ เกดิ ภาพจรงิ หัวกลบั ขนาดภาพ
ใหญ่กวา่ วตั ถุ ตำแหน่งภาพอยหู่ นา้ กระจก มากกว่าจดุ 2F)

5) ถา้ วางวตั ถไุ ว้หนา้ กระจกเวา้ ซึง่ มรี ะยะเทา่ กบั F จะเกดิ ภาพชนิดใด ขนาดภาพเป็น
อยา่ งไร และตำแหนง่ ของภาพเกิดขนึ้ ทใ่ี ด (แนวการตอบ เกดิ ภาพจรงิ หวั กลบั ขนาดภาพใหญ่กว่าวตั ถุ
ตำแหนง่ ภาพระยะอนนั ต์)

6) ถา้ วางวัตถุไว้หน้ากระจกเวา้ ซึง่ มีระยะนอ้ ยกวา่ F จะเกดิ ภาพชนิดใด ขนาดภาพเป็น
อย่างไร และตำแหน่งของภาพเกดิ ขึ้นที่ใด (แนวการตอบ เกิดภาพเสมือนหวั ต้งั ขนาดภาพใหญ่กวา่ วตั ถุ
ตำแหน่งภาพอยู่หลังกระจก)

447

ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายให้ความรู้เพิม่ เตมิ เก่ียวกับสมการการหาระยะวตั ถุ ระยะภาพ ความยาวโฟกสั และ

กำลงั ขยาย
4.2 ครูอธบิ ายตวั อย่าง 11.12-11.13 ตามหนงั สือเรยี น อย่างละเอียด

ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นส่งใบงาน เร่ือง การเกิดภาพของกระจกนูน
5.2 นกั เรยี นส่งใบงาน เรอื่ ง การเกิดภาพของกระจกเว้า
5.3 นกั เรยี นส่งโจทยป์ ญั หา เรอื่ ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม

8. สอ่ื การเรียนรู/้ แหล่งเรียนรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวิชาเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต
8.3 ใบงาน เรอ่ื ง การเกิดภาพของกระจกนูน
8.4 ใบงาน เรอ่ื ง การเกดิ ภาพของกระจกเว้า
8.5 โจทยป์ ัญหา เร่อื ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม

448

9. การวัดและประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวดั เครือ่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน

ด้านความรู้ (K) 1) นักเรยี นสามารถ
ตอบคำถามไดร้ ะดบั
1) อธบิ ายการเกดิ ภาพของกระจกเงา 1) ตรวจใบงาน เรือ่ ง 1) ใบงาน เรอื่ ง การเกิด ดีผ่านเกณฑ์

ทรงกลม การเกิดภาพของ ภาพของกระจกนนู 1) นกั เรียนสามารถ
เขียนรังสกี ารเกดิ
กระจกนูน 2) ใบงาน เร่อื ง การเกดิ ภาพของกระจกเงา
ทรงกลมได้ระดับดี
2) ตรวจใบงาน เรอื่ ง ภาพของกระจกเวา้ ผ่านเกณฑ์
2) นักเรียนสามารถ
การเกิดภาพของกระจก คำนวณการเกดิ ภาพ
ของกระจกเงาทรง
เวา้ กลมได้ระดบั ดี ผ่าน
เกณฑ์
ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นไดร้ ะดบั ดี
1) เขยี นรงั สขี องแสงทสี่ ะทอ้ นจากผิว 1) ตรวจใบงาน เรือ่ ง 1) ใบงาน เร่อื ง การเกดิ ผ่านเกณฑ์

ของกระจกเงาทรงกลมเพ่อื ระบุ การเกดิ ภาพของ ภาพของกระจกนนู

ตำแหน่งและชนิดของภาพ กระจกนนู 2) ใบงาน เรอ่ื ง การเกดิ

2) คำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ท่ี 2) ตรวจใบงาน เรอ่ื ง ภาพของกระจกเวา้

เกี่ยวข้องกับการเกิดภาพจากกระจก การเกดิ ภาพของกระจก 3) โจทยป์ ญั หา เรื่อง

เงาทรงกลม เวา้ การเกิดภาพของกระจก

3) ตรวจโจทย์ปญั หา เร่อื ง เงาทรงกลม

การเกดิ ภาพของกระจก

เงาทรงกลม

ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 1) ตรวจการส่งใบงาน 1) ใบงาน เรอื่ ง การหกั
1) มงุ่ มัน่ ในการทำงาน และมีความ
รับผดิ ชอบ เร่อื ง การหักเหของแสง เหของแสงผา่ นเลนส์

ผา่ นเลนส์เกิดภาพ 2) ใบกิจกรรม 11.3

2) ตรวจการส่งใบกิจกรรม เรื่อง การหักเหของแสง

11.3 เรอื่ ง การหกั เหของ ผา่ นเลนสน์ นู

แสงผา่ นเลนส์นูน

449

10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรื่อง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม

ประเด็นการ ค่าน้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน

ดา้ นความรู้ 3 สามารถตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วนทุกขอ้
(K) 2 สามารถตอบคำถามได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน 5-9 ขอ้
1 สามารถตอบคำถามได้ถกู ตอ้ งครบถว้ นนอ้ ยกวา่ 5 ข้อ

1.5 สามารถเขยี นรังสกี ารเกดิ ภาพของกระจกเงาทรงกลมไดถ้ กู ต้องครบถ้วน

ด้าน 1 สามารถเขยี นรังสีการเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลมคอ่ นขา้ งถูกตอ้ ง
กระบวนการ 0.5 สามารถเขียนรังสีการเกดิ ภาพของกระจกเงาทรงกลมไดค้ ่อนข้างถกู ต้อง แตไ่ มค่ รบถว้ น
1.5 สามารถคำนวณการเกดิ ภาพของกระจกเงาทรงกลมได้ถกู ต้องครบถว้ น
(P) 1 สามารถคำนวณการเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลมคอ่ นข้างถูกตอ้ ง

0.5 สามารถคำนวณการเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลมได้ถกู ตอ้ ง แต่ไมค่ รบถว้ น

ด้าน 3 ทำภาระงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถว้ น

คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางส่วน

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

450

การประเมินการทำกิจกรรม เร่อื ง การเกดิ ภาพของกระจกเงาทรงกลม

จุดประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ช่อื - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

451

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

452

บนั ทกึ หลังการสอน

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 เรื่อง แสงเชิงรังสี อ

แผนการสอนที่ 34 เรอ่ื ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม .

วนั ที่.................................................เดือน.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจดั การเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชอ่ื ............................................ครผู ู้สอน ลงชอื่ .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงช่ือ............................................. รองฯ กลุม่ บรหิ ารวิชาการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)

ลงชือ่ ............................................ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสุรยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

453

454

455

456

457

458

459

แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 35

เรอ่ื ง แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี

รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 3 รหสั วชิ า ว30203 เวลา 3 ชั่วโมง

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 11 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ แสงเชิงรงั สี รวม 24 ชว่ั โมง

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1

บูรณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง  อาเซียน  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น  มาตรฐานสากล  ข้ามกลุม่ สาระ

1. สาระฟิสกิ ส์
2. เขา้ ใจการเคลอ่ื นทแี่ บบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลน่ื เสยี งและการได้ยนิ ปรากฏการณ์ท่ี

เกีย่ วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั แสงรวมทง้ั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
10. สงั เกต และอธิบายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทงั้ อธิบายสาเหตุ

ของการบอดสี

3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายการมองเหน็ แสงสี สขี องวตั ถุ และสาเหตขุ องการบอดสี
2) อธิบายการผสมแสงสแี ละการผสมสารสี
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถจัดกระทำและสื่อความหมายของขอ้ มลู ทศี่ กึ ษาคน้ ควา้ ได้
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) มุ่งมัน่ ในการทำงาน และมคี วามรบั ผิดชอบ

4. สาระสำคัญ
การมองเห็นแสงสเี ป็นการรับรู้อยา่ งหนง่ึ ท่เี กดิ ขึ้นในสมองเมอ่ื มแี สงมากระทบบนจอตา (retina) ซึง่ มีเซลล์

รูปกรวย (cone cell) 3 ชนิด คือ ชนิด S ชนิด M และ ชนิด L โดยเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดจะมีการตอบสนอง
ตอ่ แสงที่มคี วามยาวคลื่นตา่ ง ๆ ที่แตกต่างกนั การมองเหน็ สีของวัตถุจะขึน้ กับแสงสีท่ีตก กระทบกับวัตถุและสารสี
บนวัตถุโดยสารสีจะดูดกลืนบางแสงสีและสะท้อนบางแสงสีเมื่อแสงสีสะท้อนจาก วัตถุมาเข้าตาทำให้สามารถ
มองเหน็ วตั ถเุ ปน็ สตี ่าง ๆ ได้ แสงสแี ดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน จดั เป็น แสงสีปฐมภมู ิ(primary colours of
light) เพราะเมื่อแสงสีเหล่านี้มาผสมกันจะได้เป็นแสงสีต่าง ๆ ครบทุกสี ส่วนสารสีน้ำเงินเขียว สารสีเหลือง และ
สารสีแดงม่วง จัดเป็นสารสีปฐมภูมิ (primary colours of pigment) เพราะเมื่อสารสีเหล่านี้มาผสมกันจะได้
สีต่าง ๆ ครบทุกสี ถ้าเซลล์รูปกรวยชนดิ ใดชนิดหน่ึงหรือ มากกว่ามีความบกพรอ่ ง จะมองเห็นสแี ตกต่างไปจากคน
ปกติเรียกความผิดปกตใิ นการมองเหน็ สนี ว้ี ่า การบอดสี (colour blindness)

460

ความรู้เรื่องแสงเชิงรังสีสามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ และ
การเห็นท้องฟ้าเป็นสีต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่างกัน รวมทั้งการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับแสงในชีวิตประจำวัน เช่น
กล้องโทรทรรศนก์ ล้องจลุ ทรรศนแ์ ละกลอ้ งถา่ ยรูป
5. สาระการเรียนรู้

5.1 ความรู้
มนุษยม์ องเห็นสตี า่ งๆ เปน็ เพราะมแี สงสีตกกระทบบนจอตา (retina) ซึง่ มีเซลลร์ ปู กรวย (cone

cell) 3 ชนิด คือ ชนิด S ชนิด M และ ชนิด L เซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดจะมีการตอบสนองต่อแสงที่มี
ความยาวคลื่นต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน โดยตัวย่อ S M L หมายถึง ช่วงความยาวคลื่นที่เซลล์รูปกรวยแต่ละ
ชนิดตอบสนอง คอื ความยาวคลนื่ สนั้ ความยาวคล่นื กลาง และความยาวคลน่ื ยาว ตามลำดบั ดงั รูป

การมองเห็นสีของวัตถุจะขึ้นกับแสงสีที่ตก กระทบกับวัตถุและสารสีบนวตั ถุโดยสารสีจะดูดกลืน
บางแสงสีและสะท้อนบางแสงสีเมื่อแสงสีสะท้อนจาก วัตถมุ าเขา้ ตาทำให้สามารถมองเห็นวัตถุเปน็ สีต่าง ๆ
ได้ แสงทั้ง 3 สี คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน จัดเป็นแสงสีปฐมภูมิ(primary colours of
light) เพราะสามารถทำให้เซลลร์ ูปกรวยตอบสนองในรูปแบบต่างๆ กนั และเม่อื แสงสีเหลา่ นีม้ าผสมกันจะ
ไดเ้ ป็นแสงสีตา่ ง ๆ ครบทุกสี

ส่วนสารสีนำ้ เงินเขียว สารสีเหลือง และสารสีแดงม่วง จัดเป็นสารสีปฐมภูมิ (primary colours
of pigment) เพราะเม่อื สารสีเหล่านมี้ าผสมกันจะได้สีต่าง ๆ ครบทกุ สี ถา้ เซลลร์ ปู กรวยชนิดใดชนิดหน่ึง
หรอื มากกว่ามคี วามบกพร่อง จะมองเหน็ สีแตกตา่ งไปจากคนปกติเรียกความผิดปกติในการมองเห็นสีนี้ว่า
การบอดสี (colour blindness)

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (-)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ (ทำงานกลมุ่ และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์)

461

5.3 คุณลักษณะและค่านยิ ม
1) มุ่งม่นั ในการทำงาน และมีความรบั ผดิ ชอบ

6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรยี นแต่ละคนแลกเปลีย่ นเรียนรู้เล่าสู่กันฟงั ถึงความรทู้ ่ีได้จากการศกึ ษาค้นควา้
6.2 บรู ณาการกบั กลุ่มสาระการเรียนรู้ศลิ ปะ เรื่อง แมส่ ี และการผสมสี

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้นั ตอนการเรยี นรู้
ขนั้ ท่ี 1 ข้นั สร้างความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรู้ เรอื่ ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม
1.2 ครูใหน้ กั เรียนสังเกตวตั ถทุ ม่ี ีสีต่าง ๆ แลว้ ตอบคำถามว่าสว่ นใดของตาของมนษุ ยท์ ำให้มองเห็น
วัตถุเป็นสีต่าง ๆ (โดยครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวังคำตอบท่ี
ถูกตอ้ ง

ขนั้ ที่ 2 ข้ันสำรวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้นักเรียนทุกคนศึกษาค้นคว้าข้อมูลและทำความเข้าใจ เรื่อง แสงสีและการมองเหน็ แสงสี

ในหนังสือเรยี น หนา้ 218 – 227 และอินเทอร์เนต็
2.2 นกั เรยี นทุกคนสรุปองคค์ วามรู้ทไ่ี ด้ศกึ ษาคน้ คว้า เรอ่ื ง แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี ลงใน

กระดาษ A4 ในรปู แบบ Mind mapping
2.3 นกั เรียนทำใบงาน เรอื่ ง แสงสีและการมองเห็นแสงสี

ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูสมุ่ นกั เรยี น 1 คน ออกมานำเสนอ Mind mapping ของตนเองหน้าชั้นเรียน
3.2 ครูนำนกั เรยี นอภิปรายเพ่ือนำไปสู่การสรุปโดยใชค้ ำถามในใบงาน เร่อื ง แสงสแี ละการมองเห็น

แสงสี

ขน้ั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายให้ความรเู้ พ่มิ เตมิ ดังนี้
1) แสงสีที่ไม่สามารถผสมขึ้นใหม่ได้ มี 3 สี คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้ำเงิน

เรียกว่า แสงสีปฐมภูมิ ส่วนแสงสีท่ีเกิดจากการผสมของแสงสีปฐมภมู ิ ทำให้เห็นเป็นแสงสีอื่น เช่น แสงสี
เหลือง แสงสีแดงม่วง และแสงสีนำ้ เงินเขียว เรียกว่า แสงสีทุติยภูมิ เมื่อแสงสีปฐมภูมิทัง้ สามสีผสมกันจะ
เห็นเป็นแสงขาว โดยแสงสีคู่ใดเมื่อผสมกันแล้วเห็นเป็นแสงขาว เรียกแสงสีคู่นั้นว่า แสงสีเติมเต็ม เช่น
แสงสแี ดงกับแสงสีนำ้ เงนิ เขยี ว

2) วัตถสุ ามารถแบ่งตามปริมาณแสงและลักษณะทแี่ สงผา่ นวตั ถุได้ ดงั น้ี
2.1 วัตถุโปร่งใส (transparent material) หมายถึง วัตถุที่แสงผ่านไปได้เกือบ

หมด ทำให้สามารถมองผ่านวัตถุชนดิ นไ้ี ด้อยา่ งชดั เจน เชน่ กระจกใส พลาสติกใส พลาสติกใสสีและแกว้ ใส

462

2.2 วตั ถโุ ปร่งแสง (translucent material) หมายถึง วัตถุทแี่ สงผา่ นไปได้อยา่ งไม่
เป็นระเบียบ ทำให้ไม่สามารถมองผ่านวตั ถนุ ี้ไดช้ ัด เช่น น้ำ ขุ่น กระจกฝา้ และกระดาษชุบไข

2.3 วัตถุทึบแสง (opaque material) หมายถึง วัตถุที่แสงผ่านไปไม่ได้เลย แสง
ทั้งหมดจะถูกดูดกลืนไว้หรือสะท้อนกลับ จึงไม่สามารถมองผ่านวัตถุชนิดนี้ได้ เช่น ไม้ผนังตึก และกระจก
เงา

3) ในวิชาศิลปะแม่สีสำหรับการผสมสีจะมี 3 สี คือ สีเหลือง สีแดง และสีน้ำเงิน เพื่อใช้
ผสมให้เกิดเปน็ สีอ่นื ๆ ไดซ้ ง่ึ อาจจะทำใหน้ ักเรียนสับสน เพราะชือ่ เรียกแมส่ ีในวิชาศิลปะไมต่ รงกับช่ือสารสี
ปฐมภูมิในทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากมีเกณฑใ์ นการจำแนกสที ่ีแตกตา่ งกัน

ข้นั ท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรียนสง่ ใบงาน เรอ่ื ง แสงสีและการมองเหน็ แสงสี
5.2 นกั เรยี นส่ง Mind mapping เร่อื ง แสงสีและการมองเหน็ แสงสี

8. สอ่ื การเรียนร้/ู แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส)์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 เล่ม 3 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต
8.3 ใบงาน เร่อื ง แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี

9. การวดั และประเมินผล วิธกี ารวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจใบงาน เรือ่ ง แสงสีและ 1) ใบงาน เรือ่ ง แสงสี 1) นกั เรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K) ตอบคำถามไดร้ ะดบั
1) อธบิ ายการมองเห็นแสงสี การมองเหน็ แสงสี และการมองเหน็ แสงสี ดผี ่านเกณฑ์
สขี องวตั ถุ และสาเหตุของการ
บอดสี 1) ตรวจ Mind mapping เร่อื ง 1) Mind mapping 1) นักเรยี นสามารถ
2) อธิบายการผสมแสงสีและ แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี เรื่อง แสงสแี ละการ สรุปองคค์ วามรู้
การผสมสารสี ไดร้ ะดับดี ผา่ นเกณฑ์
ดา้ นกระบวนการ (P) มองเหน็ แสงสี
1) นกั เรียนสามารถจัดกระทำ 1) นักเรยี นไดร้ ะดบั ดี
และส่อื ความหมายของขอ้ มลู ที่ 1) ตรวจการสง่ ใบงาน เรอื่ ง 1) ใบงาน เรื่อง แสงสี ผ่านเกณฑ์
ศึกษาค้นคว้าได้ แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี และการมองเหน็ แสงสี
ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 2) ตรวจการสง่ Mind 2) Mind mapping
1) มุ่งมนั่ ในการทำงาน และมี mapping เร่อื ง แสงสีและการ เรื่อง แสงสีและการ
ความรับผิดชอบ มองเห็นแสงสี มองเห็นแสงสี

463

10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เร่อื ง แสงสแี ละการมองเห็นแสงสี

ประเดน็ การ ค่าน้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน

ด้านความรู้ 3 สามารถตอบคำถามได้ถกู ตอ้ งครบถว้ นทุกขอ้
(K) 2 สามารถตอบคำถามคอ่ นข้างถกู ต้อง
1 สามารถตอบคำถามได้คอ่ นขา้ งถูกต้อง

ดา้ น 3 จดั กระทำและสอื่ ความหมายของขอ้ มูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ถกู ตอ้ งครบถ้วนทุกหวั ข้อ
กระบวนการ 2 สะอาดและสวยงาม
1 จัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลทีศ่ กึ ษาค้นคว้าค่อนข้างถูกต้องครบถ้วน
(P) สะอาดและสวยงาม
จดั กระทำและสอ่ื ความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ค่อนขา้ งถูกต้อง แต่ไม่
ครบทกุ หวั ขอ้ สะอาดและสวยงาม

ดา้ น 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบรอ้ ยถูกตอ้ ง
ครบถ้วน

คณุ ลักษณะ 2 ทำภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยงั ผิดพลาด
(A) บางส่วน

1 ทำภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

464

การประเมนิ การทำกจิ กรรม เรอื่ ง แสงสแี ละการมองเห็นแสงสี

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชื่อ - นามสกลุ ด้านความรู้ ด้าน ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28


Click to View FlipBook Version