The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sutthasangarii, 2022-07-10 03:17:36

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

115

10. เกณฑ์การประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรอ่ื ง คาบและความถขี่ องการส่นั มวลตดิ ปลายสปริง

ประเดน็ การ คา่ นำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน

ด้านความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถกู ต้องครบถว้ นทกุ ขอ้

(K) 2 ตอบคำถามไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น 3 ขอ้ ข้ึนไป

1 ตอบคำถามได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น นอ้ ยกวา่ 3 ขอ้

ดา้ น 3 ทำแบบฝกึ หัดถูกต้องครบถ้วนทุกขอ้

กระบวนการ 2 ทำแบบฝกึ หดั ได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น 2 ขอ้

(P) 1 ทำแบบฝกึ หัดไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน 1 ข้อ

ดา้ น 3 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถว้ น

คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผดิ พลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดขอ้ ผิดพลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

116

การประเมนิ การทำกิจกรรม เร่ือง คาบและความถ่ีของการสนั่ มวลติดปลายสปรงิ

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

117

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

118

บนั ทึกหลังการสอน

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 8 เรื่อง การเคลื่อนท่แี บบฮาร์มอนิกอยา่ งง่าย อ

แผนการสอนที่ 7 เร่อื ง คาบและความถี่ของการสั่นมวลตดิ ปลายสปริง .

วันท.่ี ................................................เดือน.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจัดการเรยี นรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชอื่ ............................................ครผู ู้สอน ลงช่ือ.............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงชือ่ ............................................. รองฯ กล่มุ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)

ลงชือ่ ............................................ผ้อู ำนวยการโรงเรียน
(นายสุริยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..

119

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 8

เรือ่ ง แรงกบั การแกว่งของลกู ตุ้มอยา่ งงา่ ย

รายวชิ า ฟิสกิ ส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 2 ช่ัวโมง

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 8 ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ การเคลื่อนทแ่ี บบฮาร์มอนกิ อย่างงา่ ย รวม 20 ช่ัวโมง

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 1

บูรณาการ

 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  มาตรฐานสากล  ขา้ มกล่มุ สาระ

1. สาระฟิสิกส์
2. เขา้ ใจการเคลอ่ื นที่แบบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลืน่ เสียงและการไดย้ ิน ปรากฏการณ์ที่

เกย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับแสงรวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
1. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงและลูกตุ้มอย่างง่าย

รวมทัง้ คำนวณปริมาณต่างๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างคาบการแกว่งลูกตุ้มอยา่ งงา่ ย กบั รากท่ีสองของความยาวเชือก
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) ทดลองการแกว่งของลกู ต้มุ อย่างง่าย
3.3 ดา้ นเจตคติ (A)
1) เปน็ ผู้มคี วามมุ่งม่ันในการทำงานและมีความรับผิดชอบ

4. สาระสำคญั
การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุจะมีแรงที่ดึงวตั ถุให้กลับมาที่ตำแหน่งสมดุล เรียกแรงนี้วา่

แรงดึงกลับ (restoring force) การสั่นของมวลติดปลายสปริงและการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายเป็นตัวอย่างของ
การเคล่ือนท่ีแบบฮารม์ อนกิ อย่างง่าย

การสั่นของมวลติดปลายสปริง แรงดึงกลับเท่ากับ –kx จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน จะได้

ความสมั พันธ์ระหว่างค่าคงตัวสปรงิ (k) มวลของวัตถุ( m) ก ั บ ค ว า ม ถ ี ่ เ ช ิ ง ม ุ ม ต าม ส ม ก า ร ω = √ แ ละ


จากความสมั พนั ธ์ระหว่างความถี่เชิงมุมกบั คาบและความถี่ จะได้

คาบ T = 2 √
ความถ่ี


f = 1 √

2

120

ในทำนองเดียวกันน้ีของการแกว่งของลูกตมุ้ อย่างงา่ ยแรงดึงกลบั เท่ากับ −mg sin เมอ่ื พจิ ารณากรณี
θ < 10°จะได้

ความถเ่ี ชิงมมุ ω = √
คาบ


T = 2 √

ความถี่ f = 1 √
2

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) การแกวง่ ของลกู ต้มุ อยา่ งงา่ ย (simple pendulum) ซงึ่ ประกอบดว้ ยวัตถมุ วล m แขวนห้อยที่
ปลายเชอื กยาว l โดยธรรมชาติจะแขวนห้อยในแนวดิ่งซง่ึ เป็นตำแหน่งสมดลุ เมือ่ ดงึ วัตถุให้เชือกเอียงไปทำ
มมุ กบั แนวด่งิ เลก็ น้อยแล้วปลอ่ ย วตั ถุจะแกว่งกลบั ไปมาซ้ำทางเดิมผ่านตำแหน่งสมดุล ลูกต้มุ นาฬิกา ชิงชา้
จะเปน็ การแกว่งแบบเดียวกบั ลกู ตมุ้ อยา่ งงา่ ย
2) ความถี่และคาบในการแกว่งของลูกตุ้มจะสัมพันธ์กับความยาว l ที่วัดจากจุดแขวนไปจนถึง
ศนู ย์กลางมวลของวตั ถุ โดยไม่ขึน้ กับมวลที่แขวน

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (-)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ (ทำงานกล่มุ และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร์)

5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม
มีความมุง่ มั่นในการทำงานและมคี วามรับผดิ ชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ

ปญั หาท่ีเกิดข้นึ ระหวา่ งการทำกิจกรรม

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขนั้ ตอนการเรียนรู้
ขนั้ ที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนลกั ษณะการเคลอื่ นท่ีแบบฮาร์มอนิกอยา่ งง่าย ปริมาณท่ีเก่ียวขอ้ ง และการสั่นของ
วัตถตุ ดิ ปลายสปรงิ
1.2 ครตู ้ังคำถามเพอื่ นำเขา้ สกู่ ารทดลอง
1) นักเรยี นจงยกตวั อยา่ งการเคล่อื นที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย

121

2) นักเรยี นคิดวา่ ถา้ เชือกมคี วามยาวเพม่ิ ข้ึน จะทำใหค้ าบเปลยี่ นแปลงหรอื ไม่ อยา่ งไร
3) นักเรียนคดิ ว่าถ้ามวลของวัตถเุ พม่ิ ขน้ึ จะทำใหค้ าบเปล่ียนแปลงหรอื ไม่ อยา่ งไร
1.3 ครูใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มทบทวนประสบการณ์เดมิ หรือคาดคะแนคำตอบในประเด็นสำคัญข้างต้น

ขัน้ ท่ี 2 ขัน้ สำรวจและค้นหา
2.1 นักเรยี นแบง่ กลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 ครใู หน้ ักเรียนแต่ละกลมุ่ ศึกษาการทดลอง เรือ่ ง การแกว่งของลูกตุม้ อย่างงา่ ย
2.3 ครูแจง้ จุดประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทดลองอย่างละเอียด
2.4 นักเรียนแต่ละกลุ่มทำการทดลอง และบนั ทึกผลการทดลองลงตารางบันทึกผลท่กี ำหนดให้

ขน้ั ที่ 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูสมุ่ นกั เรียนตวั แทนกลมุ่ 2 กลมุ่ ออกมานำเสนอผลการทดลองหน้าชัน้ เรียน
3.2 ครนู ำนกั เรียนอภปิ รายโดยใชค้ ำถามตอ่ ไปน้ี
1) นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการทดลองเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ

เหมอื นกนั หรือใกล้เคยี งกนั )
2) เหตุใด การหาคาบการแกวง่ จงึ ต้องจับเวลาในการเคลือ่ นทีห่ ลายๆ รอบ (แนวการตอบ

เพ่อื ให้ผลการทดลองถูกต้องและชดั เจน)
3) เม่ือความยาวเชอื กคงตัว แต่มวลของนอตไม่คงตวั คาบการแกว่งเปลย่ี นแปลงหรือไม่

(แนวการตอบ ไม่เปลี่ยนแปลง)
4) เมอ่ื ความยาวเชอื กไม่คงตวั แต่มวลของนอตคงตัว คาบการแกวง่ เปล่ยี นแปลงหรอื ไม่

(แนวการตอบ เปลีย่ น)
5) การเคล่อื นทข่ี องลูกตุ้มอย่างงา่ ย มีลักษณะการเคลือ่ นที่อย่างไร (แนวการตอบ

การเคลือ่ นทแ่ี บบแกวง่ มีลักษณะเคลื่อนที่กลบั ไปกลบั มา)
3.3 นักเรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและสรปุ ผลการทดลอง
การทดลองควรทำการทดลองหลายๆ คร้งั เพ่ือใหไ้ ดข้ อ้ มูลที่ถูกตอ้ ง ได้ค่าทแี่ น่นอน และ

มีความคลาดเคลื่อนน้อย จากการทดลอง การเคลื่อนที่แบบแกว่ง พบว่า มีลักษณะการเคลื่อนแบบแกวง่
กลับไปกลับมาซ้ำจุดเดิม ผลการทดลอง พบว่า คาบการแกว่งเปลี่ยนแปลงตามความยาวเชือก แต่ไม่
เปลย่ี นแปลงตามมวลของนอต

ข้นั ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครใู หน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ เลา่ ส่กู ันฟงั ถึงความรู้ท่ไี ดจ้ ากการทดลอง และปัญหาที่เกิดขน้ึ ระหว่าง

การทำการทดลอง
4.2 ครูใหค้ วามรเู้ พิ่มเติมเกยี่ วกบั การสน่ั หรอื การแกว่งกวดั เป็นการเคลอ่ื นท่ีกลับไปกลับมาผ่าน

ตำแหน่งสมดุล การเคลื่อนท่แี บบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ไดแ้ ก่ การสน่ั ของวัตถตุ ิดปลายสปรงิ และการแกว่ง
ของลกู ตมุ้ อย่างง่าย เมอื่ วัตถเุ คลอ่ื นทอี่ อกจากตำแหน่งสมดุลจะมีแรงดงึ วตั ถุกลับมายังตำแหน่งสมดุล ซึง่
เปน็ แรงที่ทำใหว้ ัตถุเคลือ่ นที่กลบั ไปมาซำ้ ทางเดิม เรียกแรงน้วี า่ แรงดงึ กลบั (restoring force)

122

ขั้นที่ 5 ข้นั ประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนส่งแบบบันทกึ ผลการทดลอง เรื่อง การแกวง่ ของลกู ตุ้มอยา่ งง่าย

8. สือ่ การเรียนร/ู้ แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรมการทดลอง เรื่อง การแกวง่ ของลูกตมุ้ อยา่ งงา่ ย
8.3 ชดุ อุปกรณก์ ารทดลอง เรื่อง การแกวง่ ของลูกตมุ้ อยา่ งงา่ ย

9. การวัดและประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวดั เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน

ดา้ นความรู้ (K)

1) อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง 1) ตรวจคำถามในใบกจิ กรรม 1) ใบกิจกรรมการ 1) นักเรียนสามารถ

คาบการแกวง่ ลูกต้มุ อยา่ งงา่ ย กบั การทดลอง เร่อื ง การแกวง่ ทดลอง เรื่องการแกว่ง ตอบคำถามไดร้ ะดบั

รากท่สี องของความยาวเชือก ของลกู ตมุ้ อยา่ งง่าย ของลกู ตมุ้ อย่างงา่ ย ดผี า่ นเกณฑ์

ดา้ นกระบวนการ (P)

1) ทดลองการแกวง่ ของลกู ตุ้มอย่าง 1) ตรวจรายงานผลการ 1) ใบกจิ กรรมการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ง่าย ทดลอง ทดลอง เรอ่ื ง การแกวง่ บนั ทึกกจิ กรรมได้

ของลกู ตุม้ อย่างง่าย ระดบั ดผี า่ นเกณฑ์

ด้านคณุ ลกั ษณะ (A)

1) เป็นผู้มคี วามมุ่งม่ันในการทำงาน 1) ตรวจการสง่ ใบกิจกรรม 1) ใบกจิ กรรมการ 1) นกั เรียนได้ระดับดี

และมีความรับผิดชอบ การทดลอง เร่ือง การแกว่ง ทดลอง เรอื่ ง การแกวง่ ผ่านเกณฑ์

ของลกู ตมุ้ อยา่ งง่าย ของลูกตุม้ อยา่ งง่าย

123

10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนักเรียน
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรอ่ื ง แรงกับการสน่ั ของมวลตดิ ปลายสปริง

ประเด็นการ คา่ นำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน

ด้านความรู้ 3 ตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วนทกุ ขอ้

(K) 2 ตอบคำถามคอ่ นข้างถูกตอ้ ง

1 ตอบคำถามได้คอ่ นข้างถกู ตอ้ ง

ดา้ น 3 สรุปผลการทดลองได้ถูกต้องครบถ้วน

กระบวนการ 2 สรุปผลการทดลองค่อนขา้ งถูกต้อง

(P) 1 สรุปผลการทดลองได้คอ่ นข้างถูกตอ้ ง

ด้าน 3 ทำภาระงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถว้ น

คณุ ลกั ษณะ 2 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

124

การประเมินการทำกิจกรรม เร่ือง แรงกบั การสัน่ ของลกู ต้มุ อย่างง่าย

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ช่อื - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

125

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

126

บันทึกหลังการสอน

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 8 เร่ือง การเคลอ่ื นทีแ่ บบฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ย อ

แผนการสอนที่ 8 เรอ่ื ง แรงกบั การสนั่ ของลกู ตมุ้ อยา่ งง่าย .

วันที.่ ................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจัดการเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อปุ สรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงช่อื ............................................ครผู ้สู อน ลงช่ือ.............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงชื่อ............................................. รองฯ กล่มุ บรหิ ารวิชาการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)

ลงชอื่ ............................................ผู้อำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

ใบกิจกรรม 8.2 การทดลองเรื่องลูกตุ้มอยา่ งงา่ ย 127

1. รายชือ่ สมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

2. จดุ ประสงค์การทดลอง
1. หาคาบการแกวง่ ของลูกต้มุ อย่างง่าย
2. หาความสมั พันธร์ ะหว่างคาบการแกวง่ ของลกู ตุม้ อา่ งงา่ ย (T) กบั รากท่ีสองของความยาวเชอื ก

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 อัน
1. ลูกกลมโลหะ 1 เมตร
2. เชือกเบา 1 อัน
3. ไมเ้ มตร 1 เรอื น
4. นาฬิกาจบั เวลา

4. วิธีทำการทดลอง
1. อุปกรณ์ โดยใช้เชือกผกู กับลูกกลมโลหะ และปลายเชือกอีกด้านหนึ่งผูกติดกบั แขนของขาตั้ง ดงั รูป

2. วัดความยาวเชอื ก(l) โดยวดั จากตำแหน่งที่ตรงึ เชือกถึงจุดศนู ยก์ ลางมวลของลูกโลหะ และบนั ทึกผลใน
ตาราง

3. ดงึ ลกู โลหะทำมมุ θ กับแนวดิ่ง โดย θ น้อยกว่า 10 องศา แลว้ ปลอ่ ยให้ลูกโลหะแกวง่ พร้อมจบั เวลา
ทใี่ ช้ในการแกว่ง 30 รอบ บนั ทึกเวลาลงในตารางบันทกึ ผล จากนน้ั ทำการทดลองซ้ำอกี สองคร้ัง

4. คำนวณหาค่าเฉลี่ของเวลาทใ่ี ช้ในการแกวง่ 30 รอบ และหาคา่ คาบ และบนั ทกึ ผลในตารางบนั ทึกผล
5. ทำซำ้ ข้อ 1-4 โดยเปลย่ี นความยาวเชือกอีก 4 ค่า
6. เขยี นกราฟระหวา่ งคาบกับความยาวเชอื ก โดยให้คาบอยู่บนแกนต้ัง ความยาวเชือกอยู่บนแกนนอน

128

7. เขยี นกราฟระหว่างคาบกับรากที่สองของความยาวเชือก โดยให้คาบอย่บู นแกนตั้ง รากที่สองของความยาว
เชือกอย่บู นแกนนอน

5. ตารางบันทกึ ผลการทดลอง

ความยาวเชอื ก เวลาที่ใชใ้ นการแกว่ง คาบ (s) รากทส่ี องของความ
(x 10-2 m) 30 รอบ (s) ยาวเชือก (m1/2)

30
40
50
60
70

6. กราฟระหวา่ งคาบกบั ความยาวเชือก และกราฟระหวา่ งคาบกับรากท่ีสองของความยาวเชือก

129

7. สรปุ ผลการทดลอง

จากการทดลองเร่อื งลกู ตมุ้ อย่างง่าย พบว่า คาบการแกว่งของลกู ต้มุ อย่างง่ายข้ึนกับความยาวเชือก โดย

ลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกมากจะมีคาบการแกว่งมากกว่าลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกน้อย โดยกราฟความสัมพันธ์

ระหว่างคาบกับรากท่ีสองของความยาวเชอื กเปน็ กราฟเส้ ตรงผ่านจดุ กำเนดิ หรือมีความสัมพนั ธเ์ ชิงใ

จากการทดลองเรื่องลกู ตุ้มอย่างงา่ ย พบวา่ คาบการแกวง่ ของลูกต้มุ อย่างง่ายขึ้นกับความยาวเชอื ก โดย

ลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกมากจะมีคาบการแกว่งมากกว่าลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกน้อย โดยกราฟความสัมพันธ์

ระหวา่ งคาบกับรากทสี่ องของความยาวเชือกเป็นกราฟเส้ ตรงผ่านจดุ กำเนิด หรือมคี วามสัมพันธเ์ ชงิ ใ

8. คำถามท้ายการทดลอง
1. จากกราฟระหว่างคาบกับความยาวเชือก มีลกั ษณะอยา่ งไร เขียนความสัมพันธ์ของสองปรมิ าณนไี้ ด้อยา่ งไร

1. จากการทดลองเร่ืองลูกตุ้มอยา่ งง่าย พบวา่ คาบการแกวง่ ของลูกตุ้มอย่างง่ายขึน้ กับความยาวเชือก

โดยลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกมากจะมีคาบการแกว่งมากกว่าลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกน้อย โดยกราฟ

ความสัมพนั ธร์ ะหว่างคาบกบั รากทีส่ องของความยาวเชือกเปน็ กราฟเส้ ตรงผ่านจุด

2. จากกราฟระหวา่ งคาบกบั รากท่ีสองของความยาวเชอื ก มีลักษณะอย่างไร เขียนความสัมพันธ์ของสองปรมิ าณนี้
ได้ อย่างไร

จากการทดลองเรื่องลูกตุ้มอยา่ งง่าย พบว่า คาบการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายขนึ้ กับความยาวเชือก

โดยลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกมากจะมีคาบการแกว่งมากกว่าลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกน้อย โดยกราฟ

ความสัมพันธ์ระหว่างคาบกับรากทีส่ องของความยาวเชือกเปน็ กราฟเส้ ตรงผา่ นจุดกำเนิด หรือมี

.

เฉลยใบกจิ กรรม 8.2 การทดลองเรอ่ื งลูกตมุ้ อย่างงา่ ย 130

1. รายชื่อสมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

2. จดุ ประสงค์การทดลอง
1. หาคาบการแกว่งของลกู ตุม้ อยา่ งงา่ ย
2. หาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคาบการแกว่งของลกู ตุ้มอ่างงา่ ย (T) กับรากท่ีสองของความยาวเชือก

3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 อัน
1. ลกู กลมโลหะ 1 เมตร
2. เชอื กเบา 1 อัน
3. ไม้เมตร 1 เรอื น
4. นาฬกิ าจับเวลา

4. วธิ ีทำการทดลอง
1. อปุ กรณ์ โดยใชเ้ ชือกผกู กับลูกกลมโลหะ และปลายเชอื กอีกด้านหน่งึ ผูกติดกบั แขนของขาตัง้ ดังรปู

2. วดั ความยาวเชือก(l) โดยวัดจากตำแหนง่ ทต่ี รงึ เชอื กถึงจุดศนู ย์กลางมวลของลูกโลหะ และบันทกึ ผลใน
ตาราง

3. ดงึ ลูกโลหะทำมมุ θ กับแนวด่งิ โดย θ น้อยกวา่ 10 องศา แลว้ ปล่อยให้ลูกโลหะแกวง่ พร้อมจบั เวลา
ทใี่ ช้ในการแกว่ง 30 รอบ บันทึกเวลาลงในตารางบันทึกผล จากน้นั ทำการทดลองซ้ำอกี สองครง้ั

4. คำนวณหาค่าเฉล่ีของเวลาทใี่ ช้ในการแกวง่ 30 รอบ และหาค่าคาบ และบนั ทกึ ผลในตารางบนั ทกึ ผล
5. ทำซำ้ ขอ้ 1-4 โดยเปลย่ี นความยาวเชือกอกี 4 ค่า
6. เขยี นกราฟระหว่างคาบกับความยาวเชอื ก โดยให้คาบอยูบ่ นแกนตง้ั ความยาวเชือกอยบู่ นแกนนอน

131

7. เขียนกราฟระหว่างคาบกับรากทสี่ องของความยาวเชอื ก โดยให้คาบอย่บู นแกนตง้ั รากท่ีสองของความยาว
เชอื กอย่บู นแกนนอน

5. ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง

ความยาวเชือก เวลาทใ่ี ช้ในการแกวง่ คาบ (s) รากที่สองของความ
(x 10-2 m) 30 รอบ (s) ยาวเชอื ก (m1/2)
35.0 1.17
30 38.0 1.27 5.47
40 42.0 1.40 6.32
50 47.0 1.57 7.07
60 51.0 1.70 7.75
70 8.37

6. กราฟระหวา่ งคาบกับความยาวเชือก และกราฟระหวา่ งคาบกบั รากทีส่ องของความยาวเชอื ก

132

7. สรุปผลการทดลอง
จากการทดลองเร่ืองลูกตุ้มอยา่ งง่าย พบว่า คาบการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายขน้ึ กับความยาวเชือก

โดยลูกตมุ้ ทมี่ คี วามยาวเชอื กมากจะมคี าบการแกวง่ มากกวา่ ลูกตุ้มที่มีความยาวเชอื กนอ้ ย โดยกราฟความสมั พนั ธ์
ระหว่างคาบกบั รากท่สี องของความยาวเชอื กเป็นกราฟเส้นตรงผา่ นจดุ กำเนิด หรอื มีความสมั พันธเ์ ชิงเส้น

8. คำถามทา้ ยการทดลอง
1. จากกราฟระหวา่ งคาบกบั ความยาวเชือก มลี ักษณะอย่างไร เขยี นความสัมพนั ธ์ของสองปริมาณนไ้ี ดอ้ ยา่ งไร

จากกราฟระหว่างคาบกบั ความยาวเชอื ก มีลักษณะเป็นเส้นโค้ง
2. จากกราฟระหว่างคาบกับรากท่ีสองของความยาวเชอื ก มลี ักษณะอยา่ งไร เขยี นความสมั พนั ธ์ของสอง

ปริมาณน้ไี ด้ อยา่ งไร
จากกราฟระหว่างคาบกบั รากทส่ี องของความยาวเชอื ก มลี กั ษณะเปน็ กราฟเสน้ ตรง และปริมาณทง้ั สองมี
ความสมั พนั ธเ์ ชงิ เส้นฒ
.

133

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9

เร่ือง คาบและความถ่ีการแกว่งของลกู ตุ้มอย่างง่าย

รายวชิ า ฟสิ ิกส์ 3 รหสั วิชา ว30203 เวลา 2 ช่ัวโมง

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 8 ช่อื หน่วยการเรียนรู้ การเคล่ือนท่แี บบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย รวม 20 ชัว่ โมง

กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน  มาตรฐานสากล  ขา้ มกล่มุ สาระ

1. สาระฟสิ กิ ส์
2. เข้าใจการเคล่อื นทีแ่ บบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลนื่ เสยี งและการได้ยิน ปรากฏการณ์ท่ี

เกยี่ วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับแสงรวมท้ังนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
1. ทดลองและอธิบายการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงและลูกตุ้มอย่างง่าย

รวมทั้งคำนวณปริมาณต่างๆ ที่เกีย่ วขอ้ ง

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายความหมายคาบและคามถ่ีการแกวง่ ของลูกตมุ้ อยา่ งงา่ ย
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) คำนวณปรมิ าณท่ีเกี่ยวข้องกบั คาบและความถี่การแกวง่ ของลกู ตุ้มอย่างง่าย
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) มีความรบั ผิดชอบ

4. สาระสำคญั
การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุจะมีแรงที่ดึงวัตถุให้กลับมาที่ตำแหน่งสมดุล เรียกแรงนี้ว่า

แรงดึงกลับ (restoring force) การส่ันของมวลติดปลายสปริงและการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายเป็นตัวอย่างของ
การเคลอ่ื นทแี่ บบฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ย

การสั่นของมวลติดปลายสปริง แรงดึงกลับเท่ากับ –kx จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน จะได้

ความสมั พันธ์ระหว่างคา่ คงตัวสปรงิ (k) มวลของวัตถุ( m) ก ั บ ค ว า ม ถ ี ่ เ ช ิ ง ม ุ ม ต า ม ส ม ก า ร ω = √ แ ล ะ


จากความสัมพันธ์ระหวา่ งความถ่เี ชิงมุมกบั คาบและความถ่ี จะได้

คาบ T = 2 √
ความถี่


f = 1 √

2

134

ในทำนองเดียวกันนี้ของการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายแรงดึงกลับเท่ากบั −mg sin เมอื่ พิจารณากรณี
θ < 10°จะได้

ความถีเ่ ชงิ มมุ ω = √
คาบ


T = 2 √

ความถี่ f = 1 √
2

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) การแกวง่ ของลกู ตมุ้ อย่างง่าย (simple pendulum) ซึง่ ประกอบด้วยวัตถมุ วล m แขวนหอ้ ยท่ี
ปลายเชือกยาว l โดยธรรมชาตจิ ะแขวนห้อยในแนวด่ิงซง่ึ เปน็ ตำแหน่งสมดลุ เม่ือดงึ วตั ถใุ หเ้ ชือกเอียงไปทำ
มมุ กับแนวดิ่งเล็กน้อยแลว้ ปล่อย วตั ถุจะแกวง่ กลบั ไปมาซ้ำทางเดิมผ่านตำแหนง่ สมดุล ลูกต้มุ นาฬิกา ชิงช้า
จะเป็นการแกว่งแบบเดยี วกบั ลูกตุ้มอย่างงา่ ย
2) ความถี่และคาบในการแกว่งของลูกตุ้มจะสัมพันธ์กับความยาว l ที่วัดจากจุดแขวนไปจนถึง
ศนู ย์กลางมวลของวัตถุ โดยไม่ขึ้นกับมวลทีแ่ ขวน

3) จากความสมั พันธร์ ะหวา่ งความถ่เี ชิงมมุ กับคาบและความถี่ จะได้ความถีเ่ ชงิ มุม ω = √


คาบ T = 2 √ และ ความถี่ f = 1 √

2

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟงั พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลุม่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แกส้ มการ)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต (ทำงานกล่มุ และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร)์

5.3 คณุ ลักษณะและคา่ นิยม
มีความรับผิดชอบ

6. บรู ณาการ
6.1 บรู ณาการขา้ มกลุ่มสาระ เรือ่ ง การแกส้ มการทางคณิตศาสตร์

135

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขนั้ ตอนการเรยี นรู้
ขนั้ ท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ
1.1 ครยู กภาพการเคล่อื นท่ขี องนอต

1.2 ครูตั้งคำถามเพ่ือนำเข้าสู่การทำกิจกรรม
1) ตำแหนง่ สมดลุ คอื ตำแหนง่ ใด
2) เมอื่ ดงึ นอตไปตำแหน่ง B แลว้ ปล่อย จงบอกการเคลื่อนท่ขี องนอตครบหน่งึ รอบ
3) จงบอกความหมายของคาบและความถี่

ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา
นกั เรยี นใหน้ ักเรียนศึกษาเนอ้ื หา หน้า 29 - 30 ในหนงั สือเรยี น โดยใหส้ รปุ สมการ ความหมายของ

ตวั แปร และหน่วยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง

ข้นั ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูสมุ่ นกั เรยี น 3 คน ออกมานำเสนอสรปุ ท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาค้นควา้ หนา้ ชนั้ เรียน
3.2 นักเรียนและครรู ว่ มกนั อภปิ ราย จนได้สมการและปริมาณทเ่ี กยี่ วข้องการแกวง่ ของลูกตมุ้ อย่างง่าย

ขน้ั ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายตัวอยา่ งโจทย์ปัญหา 8.12 - 8.13 ในหนงั สือเรยี น

ขนั้ ที่ 5 ขั้นประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนตอบคำถามในช้นั เรียน
5.2 นกั เรียนทำแบบฝกึ หัด 8.3 ข้อ 1, 2 และ 4

ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครใู ห้นกั เรียนนำความรู้ท่เี รียนไปคน้ ควา้ เพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรือเวบ็ ไซต์ เกี่ยวขอ้ สอบ O-net แล้ว

นำเสนอในชั้นเรียน

8. ส่อื การเรียนร้/ู แหล่งเรียนรู้
8.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าเพ่มิ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5 เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 หอ้ งสมดุ
8.3 อนิ เทอรเ์ น็ต

136

9. การวดั และประเมินผล วธิ กี ารวัด เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1) ถามตอบคำถามใน 1) คำถามในชนั้ เรียน 1) นักเรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K)
1) อธิบายความหมายคาบและคามถ่ีการ ชัน้ เรยี น ตอบคำถามไดร้ ะดับ
แกวง่ ของลกู ตุ้มอยา่ งง่าย
ดีผ่านเกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P)
1) คำนวณปรมิ าณที่เก่ยี วขอ้ งกบั คาบและ 1) ตรวจแบบฝกึ หดั 1) แบบฝกึ หดั 8.3 1) นักเรียนสามารถ
ความถกี่ ารแกวง่ ของลูกตมุ้ อยา่ งง่าย 8.3 ขอ้ 1, 2 และ 4 ข้อ 1, 2 และ 4 ทำแบบฝึกหัดได้
ระดบั ดผี ่านเกณฑ์
ดา้ นคณุ ลักษณะ (A)
1) มีความรบั ผิดชอบ 1) ตรวจจากการสง่ 1) แบบฝกึ หดั 8.3 1) นกั เรียนได้ระดับดี
แบบฝกึ หดั 8.3 ขอ้ 1, ขอ้ 1, 2 และ 4 ผา่ นเกณฑ์
2 และ 4

10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง คาบและความถขี่ องการลูกตุ้มอยา่ งงา่ ย

ประเด็นการ ค่านำ้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน

ด้านความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถว้ นทกุ ข้อ

(K) 2 ตอบคำถามได้ถกู ต้องครบถ้วน รอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป

1 ตอบคำถามไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน น้อยกว่า ร้อยละ 60

ด้าน 3 ทำแบบฝึกหัดถูกตอ้ งครบถ้วนทกุ ข้อ

กระบวนการ 2 ทำแบบฝกึ หัดไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน 2 ข้อ

(P) 1 ทำแบบฝึกหัดได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น 1 ขอ้

ดา้ น 3 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น

คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางส่วน

(A) 1 ทำภาระงานทไี่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

137

การประเมินการทำกิจกรรม เรอื่ ง คาบและความถี่ของการแกว่งของลกู ตมุ้ อยา่ งงา่ ย

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ชอื่ - นามสกุล ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

138

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

139

บันทกึ หลังการสอน

หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 8 เรื่อง การเคล่อื นท่แี บบฮาร์มอนกิ อย่างง่าย อ

แผนการสอนท่ี 9 เร่ือง คาบและความถ่ีของการแกวง่ ของลกู ตุ้มอยา่ งงา่ ย .

วนั ที.่ ................................................เดือน.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจัดการเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปญั หา / อปุ สรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงช่ือ............................................ครผู สู้ อน ลงชอื่ .............................................หวั หนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)

ลงชื่อ............................................. รองฯ กลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)

ลงชื่อ............................................ผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

140

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 10

เรอ่ื ง ความถ่ธี รรมชาตแิ ละการสัน่ พ้องของวตั ถุ

รายวิชา ฟิสกิ ส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 2 ชั่วโมง

หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ การเคล่ือนทีแ่ บบฮาร์มอนกิ อย่างง่าย รวม 20 ชว่ั โมง

กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 1

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง  อาเซียน  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  มาตรฐานสากล  ข้ามกลุม่ สาระ

1. สาระฟสิ กิ ส์
2. เขา้ ใจการเคลื่อนทแี่ บบฮารม์ อนิกอยา่ งง่าย ธรรมชาตขิ องคลืน่ เสยี งและการไดย้ ิน ปรากฏการณ์ที่

เกย่ี วข้องกบั เสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับแสงรวมทงั้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
2. อธิบายความถธ่ี รรมชาติของวตั ถแุ ละการเกิดการส่ันพ้อง

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายความหมายของความถีธ่ รรมชาติของวตั ถุได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) สามารถทำกจิ กรรม เรื่อง ความถี่ธรรมชาติและการสั่นของวัตถุได้
2) คำนวณหาค่าความถธ่ี รรมชาตขิ องวตั ถไุ ด้
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) เปน็ ผู้มคี วามมุ่งม่นั ในการทำงานและมคี วามรับผดิ ชอบ

4. สาระสำคัญ
เมื่อใหว้ ัตถสุ น่ั หรือแกว่งอยา่ งอิสระ เช่น การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายในวัตถุติดสปริงหรือลูกตุ้ม

อยา่ งงา่ ย วัตถจุ ะส่ันหรอื แกว่งดว้ ยความถ่เี ฉพาะตัวค่าหนงึ่ เรียก ความถธ่ี รรมชาติ (natural frequency) เมื่อวัตถุ
ถูกกระตุ้นต่อเนื่องให้สั่นอย่างอสิ ระด้วยแรงหรือพลังงานที่มีความถ่ีเท่ากับหรือใกล้เคียงกับ ความถี่ธรรมชาติของ
วัตถุ วตั ถนุ นั้ จะสนั่ ด้วยความถ่ีธรรมชาติของวตั ถนุ ้ันและสนั่ ด้วยแอมพลิจดู ที่คา่ มาก เรยี กปรากฏการณน์ ีว้ า่ การสั่น
พ้อง (resonance)

141

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) ความถี่ธรรมชาติเป็นความถี่ในการสั่นสะเทือนของวัตถุที่ทำให้วัตถุสั่นหรือแกว่งอย่างอิสระ
การเกิดความถี่ธรรมชาติได้จากสิ่งของต่างๆ ที่อยู่รอบตัวภายในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยประเภทแรกที่
สามารถพบได้บอ่ ยๆ คอื ความถธ่ี รรมชาติในการแกว่งของลกู ตุ้มนาฬิกา โดยเม่อื ให้ลกู ตมุ้ นาฬิกาทถ่ี กู แขวน
ไวด้ ว้ ยเชอื กแกว่งอยา่ งอสิ ระ
2) การสั่นพอ้ ง คอื เป็นปรากฏการณท์ ร่ี ะบบกวัดแกวง่ หนึ่งๆ ถูกกระทำโดยแรงขับเคลอ่ื นภายนอก
ทมี่ คี วามถเ่ี ท่ากบั ความถธี่ รรมชาติของระบบ แลว้ ทำให้แอมพลิจูดในการกวดั แกวง่ ของระบบนัน้ ๆ เพ่ิมมาก
ข้นึ จะเรียกความถ่ขี องแรงขับเคลอ่ื นทใี่ ชก้ ระต้นุ วา่ ความถสี่ ั่นพอ้ ง
2.1) การสั่นพ้องด้วยแรง หมายถึง การสั่นพ้องที่เกิดขึ้นโดยการออกแรงกระทำกับวัตถุ
เปน็ จงั หวะทีม่ คี วามถ่ีเท่ากับความถ่ีธรรมชาตขิ องวตั ถุเปน็ เวลานาน เชน่ เมื่อลมพัดที่ความเร็วคงตัวค่าหน่ึง
เปน็ เวลานาน ซ่ึงแรงลมพอดกี บั ความถ่ีธรรมชาติของสะพาน ทำใหส้ ะพานเกิดการสั่นพอ้ ง แอมพลิจูดของ
การส่นั ทม่ี ากขึ้นทำให้สะพานขาด
2.2) การสั่นพ้องด้วยคลื่น หมายถึง การสั่นพ้องที่เกิดขึ้นโดยการส่งคลื่นที่มีความถี่เท่ากับ
ความถ่ีธรรมชาติของวัตถุกระทบกับวตั ถเุ ป็นเวลานาน
3) การแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงเพียงครัง้ เดียว จะไม่เกิดการสั่นพ้อง ทำให้วัตถุจะหยดุ
แกวง่ ในท่สี ดุ
4) การแกวง่ อยา่ งอสิ ระของลูกตุ้มเม่อื ออกแรงผลักท่ีความถ่ีใดๆ จะไมเ่ กดิ การส่นั พอ้ ง ทำให้วัตถุแกว่ง
ด้วยความถีเ่ ทา่ กบั แรงท่ีผลกั
5) การแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงผลักด้วยความถี่ธรรมชาติของวัตถุ จะเกิดการสั่นพ้อง
ทำให้วตั ถแุ กว่งดว้ ยความถ่ีธรรมชาตแิ ละแอมพลิจดู เพ่ิมมากข้ึนเรื่อยๆ เรียกวา่ ปรากฏการณ์น้ีวา่ การสั่นพอ้ ง

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (แกไ้ ขปญั หาทพี่ บระหว่างทำกจิ กรรม)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ (ทำงานกล่มุ และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร)์

5.3 คุณลกั ษณะและค่านยิ ม
มคี วามมงุ่ มนั่ ในการทำงานและมีความรับผดิ ชอบ

6. บรู ณาการ
6.1 บรู ณาการขา้ มกล่มุ สาระ เร่ือง การแกส้ มการทางคณิตศาสตร์

142

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขน้ั ตอนการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความหมายของความถ่ี และคาบการสั่นของมวลตดิ ปลายสปรงิ และลกู ต้มุ อยา่ งง่าย
1.2 ครูต้งั คำถามเพอื่ นำเขา้ สกู่ ารทำกิจกรรม
1) หากตอ้ งการผลกั ชงิ ช้าใหแ้ กวง่ สงู ข้นึ กวา่ เดมิ จะตอ้ งออกแรงผลักอย่างไร
2) ถ้าการแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงเพียงครั้งเดียว ลูกตุ้มจะเคลื่อนด้วย
ความถี่อย่างไร
3) ถ้าการแกว่งอยา่ งอิสระของลูกตุ้มเม่ือออกแรงผลักทีค่ วามถี่ใดๆ ลูกตุ้มจะเคลื่อนดว้ ย
ความถี่อยา่ งไร
4) ถ้าการแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงผลักด้วยความถี่ธรรมชาติของวัตถุ
ลูกตุ้มจะเคล่ือนด้วยความถี่อย่างไร

ขัน้ ที่ 2 ขนั้ สำรวจและคน้ หา
2.1 นกั เรยี นแบ่งกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนศกึ ษาใบกจิ กรรม เรื่อง ความถีธ่ รรมชาติและการสนั่ พอ้ ง และครูอธบิ ายควบค่กู ับ

เนอื้ หาในหนงั สอื เรียน
2.3 นกั เรยี นทำใบกิจกรรม เรอื่ ง ความถ่ีธรรมชาติและการสน่ั พ้องทกี่ ำหนดให้

ข้นั ท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครสู ุ่มนกั เรียน 1 คน ออกมานำเสนอข้อมูลการทำกจิ กรรมหน้าชนั้ เรียน
3.2 ครนู ำนกั เรยี นอภปิ รายโดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้
1) เมื่อลูกตุ้มใหญ่แกว่ง ลูกตุ้มขนาดเล็กมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนวการตอบ เม่ือ

ลูกตุ้มขนาดใหญ่แกว่ง ลูกตุ้มขนาดเล็กแกว่งและลูกตุม้ ขนาดเล็กทีม่ ีความยาวเชอื กใกล้เคียงกบั ความยาว
เชอื กของลูกตุ้มขนาดใหญ่แกว่งกว้างจากเดมิ มากท่ีสุด)

2) ลูกตุ้มขนาดเล็ก ลูกใดมีการกระจัดมากที่สุด (แนวการตอบ ลูกตุ้มขนาดเล็กทีม่ ีความ
ยาวเชอื กใกลเ้ คียงกบั ลูกตุม้ ขนาดใหญ่มีการกระจัดมากทสี่ ดุ )

3) ในการกระตุ้นให้วัตถุสั่นอย่างอิสระพบว่าทุกครั้ง วัตถุสั่นด้วยความถี่ค่าเดิมเสมอ
ความถ่นี ้ี เรยี กวา่ อะไร (แนวการตอบ ความถ่ีธรรมชาติ)

4) การที่ลูกตุ้มที่มีความยาวเชือกเท่ากับลูกตุ้มลูกใหญ่แกว่งด้วยกระกระจัดมากที่สุด
เพราะเกิดปรากฏการณ์ใด (แนวการตอบ การส่ันพ้อง)

3.3 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปการทำกิจกรรม เรื่อง ความถี่ธรรมชาติและการสั่น
พอ้ งของวตั ถุ จนไดข้ ้อสรุป ดังนี้

ความถี่ธรรมชาติเป็นความถี่ในการสั่นสะเทือนของวัตถุที่ทำให้วัตถุสั่นหรือแกว่งอย่าง
อิสระ การเกิดความถี่ธรรมชาติไดจ้ ากสิ่งของต่างๆ ที่อยู่รอบตัวภายในการใช้ชีวติ ประจำวัน โดยประเภท

143

แรกที่สามารถพบได้บ่อยๆ คือ ความถ่ธี รรมชาติในการแกวง่ ของลกู ตุ้มนาฬกิ า โดยเม่อื ใหล้ ูกต้มุ นาฬกิ าที่ถูก
แขวนไว้ด้วยเชอื กแกวง่ อย่างอสิ ระ

ขั้นท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรเู้ พิ่มเตมิ เรอ่ื งการสน่ั พ้อง ดงั นี้
1) การสน่ั พอ้ ง คือ เปน็ ปรากฏการณท์ ร่ี ะบบกวดั แกว่งหนึง่ ๆ ถูกกระทำโดยแรงขบั เคล่อื น

ภายนอกทมี่ ีความถ่ีเท่ากับความถ่ีธรรมชาติของระบบ แล้วทำใหแ้ อมพลิจูดในการกวัดแกวง่ ของระบบน้ันๆ
เพ่มิ มากขนึ้ จะเรยี กความถ่ขี องแรงขบั เคลอื่ นท่ใี ช้กระตุ้นว่า ความถส่ี ่ันพอ้ ง

1.1) การสั่นพ้องด้วยแรง หมายถึง การสั่นพ้องที่เกดิ ขึ้นโดยการออกแรงกระทำ
กบั วตั ถุเปน็ จงั หวะทม่ี คี วามถเ่ี ทา่ กบั ความถธ่ี รรมชาตขิ องวัตถุเป็นเวลานาน เชน่ เมื่อลมพดั ท่คี วามเร็วคงตัว
ค่าหน่ึงเปน็ เวลานาน ซึ่งแรงลมพอดีกับความถี่ธรรมชาตขิ องสะพาน ทำใหส้ ะพานเกิดการส่ันพ้อง แอมพลิ
จดู ของการสัน่ ทมี่ ากขึ้นทำให้สะพานขาด

1.2) การสั่นพ้องด้วยคลื่น หมายถึง การสั่นพ้องที่เกิดขึ้นโดยการส่งคลื่นที่มี
ความถ่ีเท่ากบั ความถี่ธรรมชาติของวตั ถกุ ระทบกับวตั ถุเป็นเวลานาน

2) การแกวง่ อยา่ งอิสระของลกู ตุ้มเมอื่ ออกแรงเพียงครง้ั เดียว จะไมเ่ กิดการส่ันพ้อง ทำให้
วตั ถุจะหยดุ แกวง่ ในทส่ี ุด

3) การแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงผลักที่ความถี่ใดๆ จะไม่เกิดการสั่นพ้อง
ทำใหว้ ตั ถแุ กวง่ ด้วยความถีเ่ ท่ากับแรงท่ีผลัก

4) การแกว่งอยา่ งอิสระของลกู ตุ้มเม่ือออกแรงผลักดว้ ยความถีธ่ รรมชาติของวัตถุ จะเกิด
การสนั่ พอ้ ง ทำใหว้ ัตถแุ กว่งดว้ ยความถี่ธรรมชาติและแอมพลิจูดเพ่ิมมากข้ึนเรอื่ ยๆ เรียกว่าปรากฏการณ์น้ี
ว่า การส่ันพอ้ ง

4.2 ครูใหค้ วามร้เู พ่ิมเติมเกยี่ วกบั โจทย์ปัญหาทีเ่ ก่ียวขอ้ งตามหนงั สอื เรียน

ข้ันท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นสง่ ใบกิจกรรม เรอื่ ง เร่อื ง ความถธ่ี รรมชาติและการสน่ั พ้องของวัตถุ
5.2 นักเรียนสง่ แบบฝกึ หัด 8.4 ในหนังสือเรียน

ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสังคม
ครใู หน้ กั เรยี นนำความรู้ทเี่ รยี นไปค้นควา้ เพ่มิ เติมทหี่ ้องสมุด หรือเว็บไซต์ เกี่ยวขอ้ สอบ O-net แลว้

นำเสนอในชัน้ เรยี น

8. สื่อการเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวิชาเพม่ิ เติมวิทยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม เรื่อง เร่ือง ความถธ่ี รรมชาตแิ ละการสนั่ พ้องของวัตถุ
8.3 ชดุ อุปกรณก์ ารทดลอง เรื่อง ความถธ่ี รรมชาติและการส่นั พ้องของวตั ถุ
8.4 ห้องสมดุ
8.5 อินเทอรเ์ น็ต

144

9. การวดั และประเมนิ ผล

จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวดั เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน

ดา้ นความรู้ (K)

1) อธิบายความหมายของความถี่ 1) การตอบคำถามในช้ัน 1) คำถามในชัน้ เรียน 1) นกั เรยี นสามารถ
ธรรมชาตขิ องวัตถุได้ เรียน ตอบคำถามไดร้ ะดับ

ดา้ นกระบวนการ (P) ดผี า่ นเกณฑ์
1) สามารถทำกจิ กรรม เรอื่ ง ความถ่ี
ธรรมชาติและการส่นั ของวตั ถุได้ 1) ตรวจรายงานผลการทำ 1) ใบกิจกรรมการ 1) นกั เรยี นสามารถ
2) คำนวณหาค่าความถ่ีธรรมชาติของ
วตั ถุได้ กจิ กรรม ทดลอง เรือ่ งความถ่ี บนั ทกึ กจิ กรรมได้

2) ตรวจแบบฝึกหดั 8.4 ธรรมชาตแิ ละการส่ัน ระดับดผี า่ นเกณฑ์

พ้องของวตั ถุ 2) นกั เรียนสามารถ

2) แบบฝกึ หดั 8.4 ทำแบบฝกึ หัดได้

ระดับดผี า่ นเกณฑ์

ดา้ นคุณลักษณะ (A) 1) ตรวจการส่ง ใบ 1) ใบกิจกรรมการ 1) นักเรยี นได้ระดบั ดี
1) เปน็ ผมู้ คี วามมุ่งม่ันในการทำงานและ กจิ กรรมการทดลอง เรื่อง ทดลอง เร่ือง ความถ่ี ผา่ นเกณฑ์
มีความรับผิดชอบ ความถ่ธี รรมชาตแิ ละการ ธรรมชาติและการส่นั
ส่ันพ้องของวัตถุ พอ้ งของวัตถุ

10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน

เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เร่อื ง ความถี่ธรรมชาตแิ ละการส่ันพ้องของวัตถุ

ประเด็นการ คา่ นำ้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน

ด้านความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน

(K) 2 ตอบคำถามไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน

1 ตอบคำถามได้ถูกตอ้ งครบถ้วน

ด้าน 3 สรุปผลการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน และทำแบบฝกึ หดั ได้ถูกต้องทุกข้อ

กระบวนการ 2 สรุปผลการทดลองค่อนข้างถูกตอ้ ง และทำแบบฝึกหดั ถกู ต้องเพยี งข้อเดียว

(P) 1 สรปุ ผลการทดลองได้คอ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง และทำแบบฝกึ หัดถูกต้องเพียงขอ้ เดยี ว

ด้าน 3 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางส่วน

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

145

การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ความถี่ธรรมชาตแิ ละการสนั่ พอ้ งของวตั ถุ

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ช่อื - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

146

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

147

บนั ทกึ หลังการสอน

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 8 เรอื่ ง การเคล่อื นทแี่ บบฮารม์ อนกิ อย่างงา่ ย อ

แผนการสอนท่ี 10 เร่อื ง ความถธ่ี รรมชาตแิ ละการส่ันพอ้ งของวตั ถุ .

วันท่.ี ................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจัดการเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปญั หา / อปุ สรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงช่อื .............................................หัวหน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงช่อื ............................................. รองฯ กลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)

ลงชื่อ............................................ผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
(นายสุรยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

ใบกิจกรรม 8.3 การทดลองความถธ่ี รรมชาตแิ ละการสนั่ พ้องของวัตถุ 148

1. จดุ ประสงค์การทดลอง
เพื่อศึกษาการส่ันหรือแกว่งของวัตถทุ ่ถี ูกบงั คับให้ส่ันหรือแกว่งด้วยแรงจากภายนอกทีม่ คี วามถีต่ ่างๆ กนั

2. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ลูก
1. ลกู ตมุ้ ทรงกลมขนาดใหญ่ 4 ลกู
2. ลูกตมุ้ ทรงกลมขนาดเลก็ 5 เสน้
3. เชือกเส้นเลก็ 1 เสน้
4. เชอื กเส้นใหญ่

3. วิธที ำการทดลอง
1. นำลูกตุ้มขนาดเลก็ หลายลกู มาผกู กบั เชือกทม่ี ีความยาวตา่ งกัน
2. นำลูกตุ้มขนาดใหญผ่ ูกดว้ ยเชือกท่มี ีความยาวเท่ากับความยาวเชอื กท่ผี ูกลกู ตุ้มขนาดเล็กลูกใดลกู หน่งึ
3. ขึงเชือกเสน้ ใหญ่เปน็ ราวสำหรบั แขวนลูกตมุ้ แลว้ นำลูกตมุ้ ในขอ้ 1. และขอ้ 2. ไปแขวน ดงั รูป

4. แกวง่ ลกู ตุม้ ขนาดใหญแ่ ละสังเกตการแกวง่ ของลกู ตมุ้ ขนาดเลก็

4. ผลการทดลอง
จากการทดลอง พบวา่ เม่ือลกู ตมุ้ ขนาดใหญ่แกว่ง ลูกตมุ้ ขนาดเล็กทุกลกู จะแกวง่ โดยลูกตุ้มขนาดเล็กที่มีความ

ยาวเชอื กใกล้เคยี งกับความยาวเชอื กของลูกตุม้ ขนาดใหญ่ จะแกว่งโดยมีการกระจดั มากทส่ี ดุ เมื่อเทียบกับลูกตุ้ม

ขนาดเล็กลกู อนื่ m

5. คำถามทา้ ยการทดลอง

1. เมอ่ื ลกู ตุ้มขนาดใหญ่แกวง่ ลูกตมุ้ ขนาดเลก็ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

เมอ่ื ลกู ตุ้มขนาดใหญ่แกวง่ ลกู ตุ้มขนาดเล็กทกุ ลกู จะแกวง่ และลกู ต้มุ ขนาดเล็กท่มี คี วามยาวเชอื กใกลเ้ คียงกับ

ความยาวเชอื กของลูกตุ้มขนาดใหญจ่ ะแกวง่ โดยมกี ารกระจดั มากที่สดุ ท

2. ลูกตมุ้ ขนาดเล็ก ลกู ใดมกี ารกระจัดมากท่ีสดุ ม
ลกู ต้มุ ขนาดเล็กทม่ี คี วามยาวเชอื กใกล้เคียงกบั ลูกตุ้มขนาดใหญ่มีการกระจดั มากท่ีสุด

เฉลยใบกจิ กรรม 8.3 การทดลองความถธ่ี รรมชาตแิ ละการสัน่ พอ้ งของวตั ถุ 149

1. จุดประสงค์การทดลอง
เพอื่ ศกึ ษาการสั่นหรือแกว่งของวัตถทุ ่ถี กู บงั คับให้สัน่ หรอื แกว่งดว้ ยแรงจากภายนอกทม่ี คี วามถีต่ า่ งๆ กัน

2. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ลกู
1. ลกู ต้มุ ทรงกลมขนาดใหญ่ 4 ลกู
2. ลูกตุ้มทรงกลมขนาดเล็ก 5 เส้น
3. เชือกเส้นเลก็ 1 เสน้
4. เชอื กเส้นใหญ่

3. วิธที ำการทดลอง
1. นำลูกตมุ้ ขนาดเล็กหลายลกู มาผูกกบั เชือกท่มี ีความยาวต่างกนั
2. นำลูกตุม้ ขนาดใหญผ่ ูกด้วยเชือกท่ีมีความยาวเท่ากบั ความยาวเชอื กที่ผูกลูกตุม้ ขนาดเล็กลกู ใดลกู หน่ึง
3. ขงึ เชอื กเส้นใหญเ่ ป็นราวสำหรับแขวนลูกตมุ้ แล้วนำลกู ตุม้ ในขอ้ 1. และขอ้ 2. ไปแขวน ดังรปู

4. แกวง่ ลูกต้มุ ขนาดใหญแ่ ละสังเกตการแกว่งของลกู ตุ้มขนาดเล็ก

4. ผลการทดลอง
จากการทดลอง พบว่า เมอื่ ลกู ตุ้มขนาดใหญ่แกว่ง ลูกตมุ้ ขนาดเลก็ ทกุ ลูกจะแกว่ง โดยลกู ต้มุ ขนาดเล็กทมี่ ีความ

ยาวเชือกใกล้เคยี งกบั ความยาวเชอื กของลกู ต้มุ ขนาดใหญ่ จะแกวง่ โดยมกี ารกระจัดมากที่สุด เมอ่ื เทียบกับลูกตมุ้

ขนาดเล็กลูกอืน่ m

5. คำถามทา้ ยการทดลอง

1. เมื่อลูกตุ้มขนาดใหญแ่ กว่ง ลกู ตุม้ ขนาดเลก็ มีการเปลย่ี นแปลงอยา่ งไร

เมือ่ ลกู ต้มุ ขนาดใหญแ่ กวง่ ลูกตุ้มขนาดเล็กทกุ ลกู จะแกวง่ และลกู ตมุ้ ขนาดเลก็ ท่มี คี วามยาวเชอื กใกล้เคียงกบั

ความยาวเชอื กของลกู ตุ้มขนาดใหญจ่ ะแกว่งโดยมีการกระจดั มากท่สี ุด ท

2. ลกู ตมุ้ ขนาดเลก็ ลกู ใดมีการกระจดั มากท่ีสุด
ลูกตุ้มขนาดเลก็ ทมี่ คี วามยาวเชือกใกลเ้ คียงกบั ลูกตุ้มขนาดใหญ่มีการกระจัดมากท่ีสดุ

150

แผนการจดั การเรยี นรู้
บทที่ 9
เร่อื ง คล่ืน

151

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 11

เรอ่ื ง การเกิดคลืน่ และชนิดของคลืน่

รายวชิ า ฟิสกิ ส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 2 ช่ัวโมง

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 9 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ คลื่น รวม 24 ชัว่ โมง

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1

บูรณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  มาตรฐานสากล  ขา้ มกลมุ่ สาระ

1. สาระฟิสิกส์
2. เข้าใจการเคลอื่ นท่ีแบบฮารม์ อนิกอยา่ งง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการไดย้ ิน ปรากฏการณ์ท่ี

เก่ียวขอ้ งกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเี่ ก่ียวข้องกับแสงรวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
3. อธบิ ายปรากฏการณ์คลนื่ ชนดิ ของคลื่น สว่ นประกอบของคลน่ื การแผ่ของหนา้ คล่นื ดว้ ยหลักการของ

ฮอยเกนส์ และการรวมกันของคล่ืนตามหลักการซ้อนทบั พรอ้ มท้ังคำนวณอตั ราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายปรากฏการณ์คลืน่ และลกั ษณะของคล่ืนชนิดต่างๆ
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) สามารถทำกิจกรรม เรือ่ ง คล่ืนในสปรงิ
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) เป็นผ้มู คี วามมงุ่ มั่นในการทำงานและมีความรับผิดชอบ

4. สาระสำคญั
คลื่นเป็นปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง คลื่นที่ถ่ายโอนพลังงานโดยต้องอาศัย

ตัวกลาง เรียกว่า คลื่นกล ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถ่ายโอนพลังงานโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง นอกจากนี้ยังจำแนก
ชนิดของคลื่นออกเปน็ สองชนิด ได้แก่ คลื่นตามขวาง และคลื่นตามขวาง คลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดคลื่นท่ีส่งคล่นื
อยา่ งต่อเนือ่ งและมีรปู แบบที่ซ้ำกันบรรยายไดด้ ้วย การกระจดั สนั คลืน่ ทอ้ งคลน่ื เฟส ความยาวคล่นื ความถ่ี คาบ
แอมพลิจูด และอตั ราเรว็ โดยอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลน่ื มคี วามสัมพันธ์ตาม สมการ v = fλ

5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
1) การทำให้เกดิ คลื่นเปน็ การรบกวนตัวกลาง เชน่ การหยดนำ้ จากท่สี ูงลงบนผิวน้ำทีอ่ ยนู่ งิ่ จะเกิด
คลื่นวงกลมแผ่ขยายออกไป การเกดิ คลน่ื ประกอบดว้ ยสิ่งท่รี บกวนตวั กลาง คอื แหลง่ กำเนิดคลื่น ตัวกลางท่ี

152

พลังงานถ่ายโอนผ่าน ทำให้อนุภาคของตัวกลางมีการสั่นแล้วถ่ายโอนพลังงานให้กับอนุภาคข้างเคียง
ตอ่ เนื่องกนั ไป ซง่ึ ต่างจากการถา่ ยโอนพลงั งานของวตั ถุเคลื่อนท่ี

2) คลน่ื จะส่งผา่ นพลงั งานผา่ นเนอ้ื สารหรืออนุภาคของตวั กลางโดยทีอ่ นุภาคไม่ได้เคลอ่ื นท่ีไปพร้อม
ด้วยกับการส่งผ่านของพลงั งานนั้น

3) คลื่นที่พบในธรรมชาติมีหลายลักษณะ ในหลายตัวกลาง สามารถแบ่งแยกชนิดของคลื่นโดยอาศัย
ตวั กลางได้ดงั น้ี

3.1) คลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงานจึงแผ่ไปได้ เรียกคลื่นชนิดน้ีวา่ คลื่นกล
(mechanical waves) ในขณะที่ส่งผ่านพลังงานจะทำให้อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่กลับไปกลับมา ได้แก่
คล่ืนในสปรงิ คลื่นแผน่ ดนิ ไหว คลนื่ เสยี ง เปน็ ต้น

3.2) คลื่นที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการแผ่หรือเป็นคลื่นที่สามารถแผ่ไปในบริเวณที่เป็น
สุญญากาศได้ เรียกคล่ืนชนิดน้ีวา่ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic waves) ซ่ึงเป็นการเปลีย่ นแปลง
กลบั ไปกลับมาของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหลก็ ท่ีแผอ่ อกไปพรอ้ มๆ กนั เชน่ คลน่ื วทิ ยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรด
แสงทต่ี ามองเห็น อลั ตราไวโอเลต รงั สีเอ็กซ์

4) คลื่นที่แบ่งชนิดของคลื่นตามลักษณะการสั่นของอนุภาคเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด ได้แก่
1.คลน่ื ตามยาว ซ่งึ มีลกั ษณะของคลนื่ คอื อนุภาคตัวกลางสั่นไปมาในแนวเดียวกบั ทศิ ทางการเคลื่อนท่ีของคลื่น
เช่น คลื่นเสียง คลื่นอัดของสปริง 2.คลื่นตามขวาง ซึ่งมีลักษณะของคลื่น คือ อนุภาคตัวกลางสั่นขึ้นลงใน
แนวตัง้ ฉากกับทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ขี องคลืน่ เช่น คลนื่ นำ้ คล่ืนในเส้นเชือก คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ คลน่ื ในสปริง

5) คลื่นท่ีแบ่งชนิดของคลื่นตามตามความต่อเนื่องของการให้กำเนิดคลื่นเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งได้ 2
ชนิด ได้แก่ 1.คลื่นดล ซึ่งมีลกั ษณะของคลืน่ คือ เป็นคลื่นทีเ่ กิดจากการรบกวนตวั กลางแบบไม่ต่อเน่ือง ทำให้
เกิดคลื่น 1-2 ลูกคลื่น 2.คลื่นต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะของคลื่น คือ เป็นคลื่นที่เกิดจากการรบกวนตัวกลาง
แบบตอ่ เนอื่ ง ทำใหเ้ กดิ คลื่นหลายลกู คล่นื ต่อเนื่องกนั

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จดั กลุม่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (-)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต (ทำงานกลมุ่ และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร)์

5.3 คณุ ลักษณะและค่านยิ ม
มีความม่งุ มนั่ ในการทำงานและมคี วามรบั ผดิ ชอบ

6. บูรณาการ
-

153

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขัน้ ตอนการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยยกสถานการณ์การโยนกอ้ นหนิ ลงแหล่งน้ำพร้อมมพี ร้อมประกอบ ให้
นักเรียนสงั เกต แลว้ ต้งั คำถามให้นักเรยี นคดิ

ครู : เมอื่ โยนก้อนหนิ ลงแหล่งนำ้ เกดิ อะไรขึ้น
ครู : เม่ือก้อนหนิ สัมผัสผวิ น้ำ จะเห็นว่าผิวนำ้ เกดิ การเคลอื่ นท่ใี นลักษณะเปน็ ใด
(แนวการตอบ ผิวน้ำเกิดการกระจายออกไป )
1.2 ครใู หน้ ักเรยี นดวู ีดีทศั นก์ ารเกดิ คล่นื ในสปริง

อา้ งองิ https://www.youtube.com/watch?v=bLsf8WhRG8M
1.3 ครตู ั้งคำถามเพอ่ื นำเขา้ สกู่ ารทำกจิ กรรม

1) คลืน่ ในสปรงิ คลน่ื แผ่นดนิ ไหว และคลื่นเสียง ส่งิ ใดเปน็ แหลง่ กำเนิดคลื่น และตัวกลาง
ท่ีทำให้เกดิ คลื่นคือสิง่ ใด

2) การถา่ ยโอนพลังงานของวตั ถเุ คล่อื นทแี่ ละคลน่ื มีข้อแตกตา่ งกันอย่างไร
3) จากวีดที ัศน์การเกิดคลนื่ หากไม่มีตัวกลางแลว้ คลืน่ เกิดขน้ึ ได้หรอื ไม่
4) ครูให้ความรวู้ ่าสมมตวิ า่ ก้อนหินเปน็ แหล่งกำเนิดคล่นื แล้วก้อนหนิ ไปกระทบน้ำ ทำให้
ผวิ น้ำเคลื่อนทไี่ ด้

ครู : ผวิ น้ำเคล่อื นทไ่ี ด้อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด
ข้นั ท่ี 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา

2.1 นักเรยี นแบ่งกลุม่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นศกึ ษาใบกิจกรรม เร่อื ง คลืน่ ในสปรงิ
2.3 ครูอธิบายจดุ ประสงค์ อุปกรณ์การทำกิจกรรม และขัน้ ตอนการทำกิจกรรมอย่างละเอยี ด
2.3 นกั เรียนทำใบกิจกรรม เรอ่ื ง คลนื่ ในสปรงิ สงั เกตสิง่ ท่ีเกดิ ข้ึน แล้วตอบคำถามท้ายกจิ กรรม

154

ข้ันที่ 3 ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู ่มุ นักเรยี น 2 คน ออกมานำเสนอสิ่งท่ีสังเกตไดจ้ ากการทำกิจกรรมหน้าชน้ั เรยี น
3.2 ครูนำนักเรยี นอภปิ รายโดยใชค้ ำถามตอ่ ไปน้ี
1) เมอื่ สะบดั ปลายสปรงิ ในแนวต้ังฉากกบั ตวั สปริง เกดิ การเปลี่ยนแปลงอย่างไร เชอื กหรือ

ริบบิ้นเคลื่อนท่ีอย่างไร (แนวการตอบ เมื่อสะบัดปลายสปรงิ ในแนวตั้งฉากกับตัวสปริง จะเกิดคลื่นเคลื่อน
ผา่ นตวั สปรงิ จากด้านท่ีมีการสะบดั มอื ไปยังปลายอกี ดา้ นหนง่ึ เชอื กหรือริบบ้นิ ท่ผี ูกติดกับสปริงจะเคลื่อนที่
กลับไปกลบั มาในแนวตงั้ ฉากกบั ตัวสปรงิ )

2) เมือ่ อดั ปลายสปริงในแนวตามยาวของตวั สปริง เกิดการเปลย่ี นแปลงอย่างไร เชอื กหรือ
ริบบิ้นเคลื่อนที่อย่างไร (แนวการตอบ เมื่ออัดปลายสปริงในแนวตามยาวของตัวสปริง จะเกิดคลื่นเคลื่อน
ผ่านตัวสปริงจากด้านที่มีการอัดปลายสปริงไปยังปลายอีกด้านหนึ่ง เชือกหรือริบบิ้นที่ผูกติดกับสปริง
เคลื่อนทก่ี ลบั ไปกลับมาในแนวตามยาวของตัวสปรงิ )

3) การทำให้เกิดคลื่น ทำได้ได้อย่างไร (แนวการตอบ การทำให้เกิดคลื่น ทำได้ด้วยการ
รบกวนตัวกลาง)

3.3 นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและสรปุ การทำกิจกรรม

ขั้นที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรเู้ พิ่มเตมิ เรือ่ ง ชนิดของคล่นื ดงั น้ี
1) คลื่นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการรบกวนของแหล่งกำเนิด แล้วพลังงานในการ

รบกวนแผ่กระจายออกไป โดยตัวกลางไม่ได้เคลื่อนทีต่ ามไปด้วย
2) คลืน่ ทีพ่ บในธรรมชาตมิ ีหลายลักษณะ ในหลายตวั กลาง สามารถแบง่ แยกชนดิ ของคลื่นโดย

อาศัยตวั กลางไดด้ งั น้ี
2.1) คลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงานจึงแผ่ไปได้ เรียกคลื่นชนิดนี้ว่า

คลืน่ กล (mechanical waves) ในขณะทีส่ ง่ ผา่ นพลังงานจะทำให้อนภุ าคของตัวกลางเคลือ่ นท่ีกลบั ไปกลับมา
ได้แก่ คลื่นในสปริง คลน่ื แผ่นดนิ ไหว คลืน่ เสียง เปน็ ต้น

2.2) คลื่นที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการแผ่หรือเป็นคลื่นที่สามารถแผ่ไปในบริเวณที่
เป็นสุญญากาศได้ เรียกคลื่นชนิดนี้ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic waves) ซึ่งเป็นการ
เปลยี่ นแปลงกลบั ไปกลับมาของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กทแ่ี ผ่ออกไปพร้อมๆ กัน เชน่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ
อินฟราเรด แสงทตี่ ามองเห็น อลั ตราไวโอเลต รังสีเอก็ ซ์

3) คล่ืนท่ีแบง่ ชนิดของคลื่นตามลักษณะการสนั่ ของอนภุ าคเป็นเกณฑ์ สามารถแบง่ ได้ 2 ชนิด
ได้แก่ 1.คลื่นตามยาว ซึ่งมีลักษณะของคลื่น คือ อนุภาคตัวกลางสั่นไปมาในแนวเดียวกับทิศทางการเคลื่อนท่ี
ของคลน่ื เช่น คล่ืนเสียง คลืน่ อัดของสปริง 2.คลน่ื ตามขวาง ซึ่งมลี ักษณะของคลน่ื คือ อนุภาคตวั กลางส่ันข้นึ ลง
ในแนวตง้ั ฉากกบั ทิศทางการเคลอื่ นทข่ี องคลน่ื เชน่ คลน่ื นำ้ คลนื่ ในเส้นเชือก คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า คล่นื ในสปรงิ

4) คลื่นท่ีแบ่งชนิดของคลื่นตามตามความต่อเนื่องของการให้กำเนิดคลื่นเป็นเกณฑ์สามารถ
แบ่งได้ 2 ชนิด ได้แก่ 1.คลื่นดล ซึ่งมีลักษณะของคลื่น คือ เป็นคลื่นที่เกิดจากการรบกวนตัวกลางแบบไม่
ต่อเนื่อง ทำให้เกิดคลืน่ 1-2 ลูกคลื่น 2.คล่ืนตอ่ เน่อื ง ซึ่งมีลักษณะของคล่นื คือ เปน็ คลน่ื ที่เกิดจากการรบกวน
ตวั กลางแบบต่อเนอื่ ง ทำใหเ้ กดิ คลน่ื หลายลูกคล่นื ตอ่ เน่ืองกัน

155

ข้นั ที่ 5 ขั้นประเมนิ ผล
5.1 นกั เรียนตอบคำถามในช้ันเรยี น
5.2 นกั เรยี นส่งใบกจิ กรรม เรือ่ ง คลืน่ ในสปรงิ

ประยุกต์และตอบแทนสงั คม
ครูใหน้ กั เรยี นนำความรทู้ เี่ รยี นไปค้นควา้ เพ่มิ เตมิ ทีห่ ้องสมดุ หรือเว็บไซต์ เกย่ี วขอ้ สอบ O-net แลว้

นำเสนอในชนั้ เรียน

8. สือ่ การเรียนรู/้ แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง คลนื่ ในสปรงิ
8.3 ชุดอุปกรณ์การทำกิจกรรม เรื่อง คล่นื ในสปรงิ
8.4 หอ้ งสมุด
8.5 อินเทอร์เน็ต

9. การวดั และประเมนิ ผล วิธกี ารวดั เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) การตอบคำถามในช้ัน 1) คำถามในชน้ั เรียน 1) นกั เรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K) เรียน ตอบคำถามได้ระดบั
1) อธิบายปรากฏการณ์คลื่น และ ดผี า่ นเกณฑ์
ลักษณะของคลืน่ ชนิดตา่ งๆ 1) ตรวจใบกิจกรรม เรื่อง
คลื่นในสปรงิ 1) ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง 1) นักเรยี นสามารถ
ด้านกระบวนการ (P) คล่นื ในสปริง บันทึกกิจกรรมได้
1) สามารถทำกิจกรรม เร่อื ง คล่ืนใน 1) ตรวจการส่งใบ ระดับดีผา่ นเกณฑ์
สปริง กจิ กรรม เร่ือง คลืน่ ใน
สปรงิ 1) ใบกจิ กรรม เรื่อง 1) นกั เรียนไดร้ ะดบั ดี
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) เปน็ ผู้มีความมงุ่ มั่นในการทำงานและ คล่ืนในสปรงิ ผา่ นเกณฑ์
มีความรับผิดชอบ

156

10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรอ่ื ง การเกิดคล่ืนและชนิดของคลนื่

ประเดน็ การ ค่านำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน

ดา้ นความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถูกตอ้ งครบถว้ นทกุ ข้อ

(K) 2 ตอบคำถามคอ่ นข้างถกู ต้อง

1 ตอบคำถามได้ค่อนขา้ งถกู ตอ้ ง

ดา้ น 3 ทำกจิ กรรมได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น

กระบวนการ 2 ทำกิจกรรมค่อนข้างถูกต้อง

(P) 1 ทำกิจกรรมได้ค่อนข้างถูกตอ้ ง

ด้าน 3 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด และเรยี บร้อยถกู ต้องครบถ้วน

คณุ ลกั ษณะ 2 ทำภาระงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด แตง่ านยังผิดพลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

157

การประเมนิ การทำกจิ กรรม เรื่อง การเกิดคล่ืนและชนดิ ของคล่นื

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชื่อ - นามสกุล ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

158

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

159

บนั ทึกหลงั การสอน

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 9 เรอ่ื ง คลืน่ อ

แผนการสอนที่ 11 เรอ่ื ง การเกดิ คล่ืนและชนดิ ของคล่นื .

วันท่ี.................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจัดการเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อปุ สรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงช่ือ............................................ครผู ู้สอน ลงชือ่ .............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)

ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กลุม่ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)

ลงชือ่ ............................................ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ิยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..

ใบกิจกรรม คลนื่ ในสปรงิ 160

1. รายชื่อสมาชกิ ท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม ใหน้ ักเรียนศึกษาลักษณะของคล่นื ในสปริง
3. วัสด-ุ อุปกรณ์

1. สปรงิ
2. รบิ บน้ิ ยางประมาณ 5 เซนตเิ มตร
4. วิธที ำกจิ กรรม
1. วางสปรงิ ลงบนพนื้ ดึงปลายสปรงิ ทง้ั สองด้านให้สปรงิ ตึง ผกู เชือกหรือรบิ บ้ินทีต่ ำแหน่งบนสปรงิ เพ่อื ใชเ้ ป็น

จดุ สงั เกต
2. สะบดั ปลายของสปริงด้านหน่งึ ในทศิ ขนานกบั พืน้ และตั้งฉากกับตวั สปริง 1 ครั้ง
3. สงั เกตสง่ิ ทีเ่ กิดขึ้นในสปรงิ และการเคลือ่ นทข่ี องเชือกและขนานกบั พื้น 1 ครั้ง
4. สงั เกตสิ่งท่ีเกดิ ขึ้นในสปริงและการเคลือ่ นทขี่ องรบิ บ้นิ
5. คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. เม่อื สะบัดปลายสปริงในแนวต้งั ฉากกบั ตัวสปรงิ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เชือกหรอื ริบบิ้นเคล่อื นที่

อยา่ งไร
เมอ่ื สะบดั ปลายสปรงิ ในแนวตั้งฉากกบั ตัวสปรงิ จะเกิดคลื่นเคลือ่ นผ่านตัวสปริงจากด้านที่มกี ารสะบัดมือไป
ยังปลายอีกดา้ นหนึง่ เชือกหรือริบบิ้นท่ผี ูกติดกับสปรงิ จะเคลือ่ นทีก่ ลบั ไปกลับมาในแนวตัง้ ฉากกบั ตัวสปริง
2. เมื่ออดั ปลายสปริงในแนวตามยาวของตวั สปริง เกิดการเปล่ยี นแปลงอย่างไร เชือกหรอื รบิ บน้ิ เคลื่อนที่
อย่างไร
เมอ่ื อดั ปลายสปรงิ ในแนวตามยาวของตวั สปริง จะเกิดคล่ืนเคล่อื นผ่านตวั สปรงิ จากดา้ นทม่ี ีการอดั ปลาย
สปรงิ ไปยังปลายอกี ดา้ นหนึ่ง เชอื กหรอื ริบบิ้นทีผ่ ูกติดกบั สปรงิ เคล่อื นทีก่ ลับไปกลับมาในแนวตามยาวของ
ตัวสป รงิ

161

เฉลยใบกิจกรรม คล่ืนในสปริง

1. รายช่อื สมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทำกจิ กรรม ให้นกั เรียนศกึ ษาลักษณะของคล่ืนในสปริง
3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์

3. สปริง
4. รบิ บ้ินยางประมาณ 5 เซนตเิ มตร
4. วิธที ำกจิ กรรม
5. วางสปรงิ ลงบนพน้ื ดงึ ปลายสปริงท้งั สองด้านใหส้ ปริงตงึ ผกู เชือกหรือรบิ บน้ิ ท่ตี ำแหนง่ บนสปริงเพ่ือใชเ้ ป็น

จดุ สงั เกต
6. สะบัดปลายของสปรงิ ด้านหนง่ึ ในทศิ ขนานกบั พื้นและตั้งฉากกับตัวสปริง 1 ครัง้
7. สังเกตส่ิงที่เกิดข้ึนในสปริงและการเคลื่อนทขี่ องเชือกและขนานกับพน้ื 1 คร้ัง
8. สังเกตสิง่ ที่เกิดขนึ้ ในสปริงและการเคลื่อนท่ขี องริบบนิ้
5. คำถามท้ายกจิ กรรม
3. เมื่อสะบัดปลายสปรงิ ในแนวตั้งฉากกับตัวสปริง เกดิ การเปลย่ี นแปลงอย่างไร เชือกหรือริบบ้นิ เคลอ่ื นท่ี

อยา่ งไร
เมอ่ื สะบัดปลายสปริงในแนวตงั้ ฉากกบั ตวั สปริง จะเกดิ คลืน่ เคลื่อนผ่านตัวสปรงิ จากด้านทมี่ ีการสะบดั มือไป
ยงั ปลายอีกดา้ นหนึง่ เชอื กหรอื รบิ บิ้นที่ผูกติดกบั สปริงจะเคล่ือนทก่ี ลบั ไปกลับมาในแนวต้งั ฉากกับตัวสปรงิ
4. เมื่ออัดปลายสปรงิ ในแนวตามยาวของตวั สปริง เกิดการเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร เชอื กหรอื ริบบ้ินเคล่ือนที่
อยา่ งไร
เม่อื อัดปลายสปรงิ ในแนวตามยาวของตวั สปริง จะเกิดคลน่ื เคลื่อนผา่ นตัวสปริงจากดา้ นท่มี ีการอัดปลาย
สปรงิ ไปยังปลายอีกดา้ นหนึ่ง เชือกหรอื ริบบน้ิ ท่ีผูกติดกบั สปริงเคลอื่ นทก่ี ลับไปกลับมาในแนวตามยาวของ
ตัวสปรงิ

162

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 12

เร่อื ง สว่ นประกอบของคลน่ื

รายวิชา ฟสิ ิกส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 2 ช่ัวโมง

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 9 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ คลนื่ รวม 24 ชวั่ โมง

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1

บูรณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง  อาเซียน  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น  มาตรฐานสากล  ข้ามกล่มุ สาระ

1. สาระฟสิ ิกส์
2. เข้าใจการเคล่อื นทแ่ี บบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคล่ืน เสียงและการไดย้ ิน ปรากฏการณ์ที่

เกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั แสงรวมทัง้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
3. อธบิ ายปรากฏการณ์คลื่น ชนดิ ของคลน่ื ส่วนประกอบของคลน่ื การแผ่ของหน้าคล่นื ดว้ ยหลักการของ

ฮอยเกนส์ และการรวมกันของคล่ืนตามหลักการซอ้ นทบั พร้อมทงั้ คำนวณอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายองคป์ ระกอบต่างๆ ของคล่ืน
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) สามารถคำนวณหาคา่ เฟสตา่ งกัน
3.3 ดา้ นเจตคติ (A)
1) มีความรบั ผิดชอบ

4. สาระสำคญั
คลื่นเป็นปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง คลื่นที่ถ่ายโอนพลังงานโดยต้องอาศัย

ตัวกลาง เรียกว่า คลื่นกล ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าถ่ายโอนพลังงานโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง นอกจากนี้ยังจำแนก
ชนิดของคลืน่ ออกเป็นสองชนิด ได้แก่ คลื่นตามขวาง และคลื่นตามขวาง คลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดคลื่นที่ส่งคลนื่
อยา่ งต่อเนอ่ื งและมีรูปแบบที่ซ้ำกนั บรรยายได้ด้วย การกระจดั สนั คลนื่ ทอ้ งคล่ืน เฟส ความยาวคล่ืน ความถ่ี คาบ
แอมพลจิ ดู และอตั ราเร็ว โดยอตั ราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น มคี วามสมั พันธ์ตาม สมการ v = fλ

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) เมอ่ื รบกวนตวั กลางใหเ้ กดิ คล่นื ต่อเน่อื งตามขวางทำให้ตวั กลางเปล่ียนแปลงเกิดลกู คลืน่ เคลอื่ นท่ี
ต่อเนื่องออกไปจากจุดท่รี บกวนตวั กลาง
2) สว่ นประกอบของคล่นื ประกอบ ดงั นี้

163

- สนั คล่ืน (Crest) คอื ตำแหนง่ ท่สี งู สดุ ของคล่นื
- ท้องคล่ืน (Trough) คอื ตำแหน่งทีอ่ ยู่ตำ่ ที่สุด
- การกระจดั คือ ระยะจากแนวสมดุลถึงบนคล่นื คอื ระยะกระจัด y ใด ๆ
- แอมพลจิ ดู (Amplitude , A) คือ การกระจัดท่มี ากทสี่ ดุ (A)
- ความยาวคลื่น (Wavelength , ) คือ ระยะระหว่าง จุดสองจุดที่มีเฟสเดียวกันบนลูก
คลนื่ ที่อย่ถู ัดกัน หรือระยะระหวา่ งสันคล่นื กับสันคลื่นทีอ่ ยูต่ ดิ กัน
- อตั ราเร็วคล่นื (wave speed) คอื ระยะทางท่ีคลน่ื เคลื่อนท่ีได้ในหน่ึงหน่วยเวลา
- คาบ (Period,T) คือ เวลาที่คล่ืนใชในการเคลื่อนท่คี รบ 1 ลกู คล่ืน มีหนวยเปนวนิ าที (s)
- ความถี่ (Frequency , f) คอื จํานวนลกู คลื่นที่เกิดขึ้นในหนง่ึ หนวยเวลา

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จัดกลมุ่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้สมการ)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ (ทำงานกลุม่ และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์)

5.3 คุณลักษณะและคา่ นิยม
มคี วามรบั ผดิ ชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บรู ณาการขา้ มกลุ่มสาระ เรือ่ ง การแกส้ มการทางคณติ ศาสตร์

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขน้ั ตอนการเรียนรู้
ขั้นท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยยกสถานการณ์การการทำให้เกิดคลื่นตามขวางด้วยการสะบัดปลาย
เชอื ก ดงั รปู 9.7 ในหนังสอื เรียน แล้วใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาลักษณะการส่นั และเฟสของอนภุ าคตัวกลางขณะ
เวลาต่างๆ จนครบหน่ึงคาบ
1.2 ครตู ้ังคำถามเพื่อนำเข้าสู่การทำกิจกรรม
1) จำนวนลูกคลื่นที่เกิดขึ้นเท่ากับจำนวนใด (แนวการตอบ เท่ากับจำนวนรอบของการ
สะบดั มือ)

164

2) จำนวนรอบของการสะบัดมือทำให้ความถี่ของคลื่นเท่ากับความถี่ใด (แนวการตอบ
เทา่ กบั ความถ่ขี องแหลง่ กำเนดิ คลื่น)

3) อนภุ าคของเชอื กมีการสน่ั ในแนวใด (แนวการตอบ ในแนวต้ังฉากกบั ทศิ ทางของคลน่ื )

ขนั้ ที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 ใหน้ ักเรยี นศึกษาส่วนประกอบของคล่นื หน้า 58 ในหนงั สอื เรียน โดยให้สรุปสว่ นประกอบ

ต่างๆ ของคล่ืนลงในสมุด
2.2 นกั เรียนให้ศกึ ษาเฟสของอนุภาค หนา้ 59 ในหนังสอื เรยี น โดยใหส้ รปุ เฟสของคล่ืนลงในสมุด

ขั้นที่ 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูสมุ่ นกั เรยี น 2 คน ออกมานำเสนอสรุปที่ได้จากการศึกษาหนา้ ชน้ั เรียน
3.2 ครนู ำนักเรยี นอภิปรายโดยใช้คำถามต่อไปนี้
1) ส่วนประกอบของคลื่น มีอะไรบ้าง (แนวการตอบ สันคลื่น ท้องคลื่น แอมพลิจูด

ความยาวคลน่ื )
2) จงบอกความหมายของสันคล่ืน (แนวการตอบ จุดทอี่ นุภาคของเชอื กเคลื่อนที่ขึ้นไปได้

สูงสดุ )
3) จงบอกความหมายของท้องคล่นื (แนวการตอบ จดุ ท่ีอนุภาคของเชือกเคลื่อนท่ีลงไปได้

ตำ่ สุด)
4) จงบอกความหมายของความยาวคล่ืน (แนวการตอบ ระยะความยาวคลืน่ 1 ลูกเท่ากับ

ระยะระหว่างสันคล่ืนถดั กัน หรอื ระหวา่ งท้องคล่นื ถัดกัน)
5) เม่อื พิจารณาอนภุ าคเชือกในคลื่น พบวา่ (แนวการตอบ อนภุ าคเชือกมกี ารเคลื่อนท่ีขึ้น

ลงแบบฮาร์มอนกิ อย่างงา่ ย)
6) เมื่อมือขยับครบ 1 รอบจะมีคลื่นเคลื่อนที่ได้กี่ลูก (แนวการตอบ 1 ลูก หรือ ได้

ระยะทางเป็น 1 ความยาวคล่ืน)

ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติม เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการกระจัดกับเวลา การกระจัดกับเฟสของ

อนภุ าคตัวกลาง ในหนงั สือเรียน หน้า 58-59
4.2 ครอู ธิบายตัวอย่างโจทย์ปญั หา 9.1 ในหนังสอื เรยี น

ขั้นท่ี 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรยี นตอบคำถามในชัน้ เรยี น
5.2 นักเรียนทำโจทยป์ ญั หา จำนวน 2 ขอ้
1. คลื่นกลหนึ่งมีความถ่ี 200 เฮิรตซ์ แผ่ออกไปด้วยอัตราเร็ว 240 เมตรต่อวินาที จงหา

จุด 2 จุดบนคล่ืนท่อี ยหู่ า่ งกนั เป็นระยะ 60.0 เซนตเิ มตร จะมเี ฟสต่างกันกี่องศา
2. จากข้อ 1. จุด 2 จดุ บนคล่ืนทมี่ ีเฟสต่างกนั 107 องศาจะอย่หู ่างกนั เท่าใด


Click to View FlipBook Version