The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sutthasangarii, 2022-07-10 03:17:36

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 3 ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565

365

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 29

เรอ่ื ง การสะทอ้ นของแสง

รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 3 รหัสวิชา ว30203 เวลา 3 ชั่วโมง

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 11 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ แสงเชงิ รังสี รวม 24 ชัว่ โมง

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 1

บูรณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น  มาตรฐานสากล  ขา้ มกล่มุ สาระ

1. สาระฟิสิกส์
2. เขา้ ใจการเคล่ือนท่ีแบบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่าย ธรรมชาตขิ องคลนื่ เสียงและการไดย้ นิ ปรากฏการณ์ท่ี

เกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั แสงรวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
6. ทดลอง และอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและ คำนวณ

ตำแหน่งและขนาดภาพของวัตถุ เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้งอธิบายการนำ
ความรู้เรื่องการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบ และกระจกเงาทรงกลมไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจำวนั

3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายการสะท้อนของแสง และกฎการสะทอ้ นของแสงได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) ทดลองกฎการสะท้อนของแสงได้
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้ และมคี วามรบั ผิดชอบ

4. สาระสำคัญ
การสะท้อนของแสง (reflection of light) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความ

หนาแน่นค่าหนง่ึ มายงั ตัวกลางทีม่ ีค่าความหนาแนน่ อกี ตวั หนึง่ ทำใหแ้ สงตกกระทบกับตัวกลางใหม่ แล้วสะท้อนกลับ
สู่ตัวเดิม เมื่อแสงตกกระทบผิววตั ถจุ ะเกดิ การสะท้อนของแสง โดยเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน ดงั นี้

1. มุมตกกระทบกบั มุมสะท้อน
2. รงั สตี กกระทบ รงั สีสะทอ้ น และเสน้ แนวฉาก อยูใ่ นระนาบเดียวกนั

366

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
การสะท้อนของแสง (reflection of light) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มี

ความหนาแน่นค่าหนึ่งมายังตัวกลางที่มีค่าความหนาแน่นอีกตัวหนึ่ง ทำให้แสงตกกระทบกับตัวกลางใหม่
แล้วสะท้อนกลับสตู่ ัวเดิม

การสะท้อนของแสงเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทางไปถึงผิวสะท้อน ซึ่งอาจจะเป็นกระจกเงาหรือพื้นผิว
อ่นื ๆ ท่ีสามารถสะท้อนแสงได้ และไม่จำเปน็ ต้องเปน็ ผวิ ที่เรียบ การเขยี นรงั สีของแสงและหาความสัมพันธ์ระหว่าง
มมุ ตกกระทบ (angle of incidence) กับมุมสะท้อน (angle of incidence)

โดยมุมตกกระทบเป็นมุมที่รังสีตกกระทบกับเส้นสมมติที่ตั้งฉากกับผิวสะท้อน เรียกว่า เส้นแนว
ฉาก (normal line) การสะทอ้ นของแสงประกอบด้วย ดังน้ี

1. รังสตี กกระทบ (Incident Ray) คอื รังสขี องแสงทีพ่ ุ่งเข้าหาพืน้ ผวิ ของวตั ถุ
2. รังสีสะท้อน (Reflected Ray) คือ รังสขี องแสงที่พุ่งออกจากพืน้ ผวิ ของวตั ถุ
3. เสน้ แนวฉาก (normal line) คอื เส้นท่ลี ากตงั้ ฉากกบั พนื้ ผวิ ของวัตถตุ รงจุดที่แสง

กระทบ
4. มมุ ตกกระทบ (Angle of Incidence) คือ มุมทร่ี ังสีตกกระทบทำกบั เสน้ ปกติ
5. มมุ สะทอ้ น (Angle of Reflection) คือ มุมที่รังสสี ะท้อนทำกบั เสน้ ปกติ
เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุจะเกิดการสะท้อนของแสง โดยเป็นไปตามกฎการสะท้อน (law of
reflection) ดังนี้
1. มมุ ตกกระทบกับมุมสะทอ้ น ( 1 = 2)
2. รงั สตี กกระทบ รงั สสี ะทอ้ น และเส้นแนวฉาก อยใู่ นระนาบเดยี วกัน
ในกรณีทผ่ี ิวสะท้อนมีความขรุขระ เชน่ กระดาษท่ียบั พื้นคอนกรีตทีไ่ ม่เรียบ การสะท้อนของแสง
ยังคงเปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ น การสะทอ้ นของแสงจากพื้นผิวทีไ่ มเ่ รยี บ นน้ั ไมเ่ ปน็ ไปตามกฎการสะท้อนเพราะรังสี
สะท้อนไม่ได้ขนานกนั ทั้งที่รังสีตกกระทบก็เป็นรังสีขนาน คือ เส้นแนวฉากที่แตล่ ะจุดบนพื้นทีเ่ กิดการสะท้อนน้นั
ไมไ่ ดข้ นานกัน จึงทำใหม้ ุมตกกระทบทแ่ี ตล่ ะจุดไม่เทา่ กัน ดงั รูป

367

การสะท้อนของแสงบนวัสดุทีม่ ผี ิวขรุขระทำให้แสงสะทอ้ นออกมาน้ันมีทิศทางที่หลากหลาย และ
ไม่ทำให้ความเข้มแสงในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมีค่ามากเกินไป จึงทำให้สามารถมองเห็นวัตถุนั้นได้ในหลายๆ มุม
รวมทั้งมองเหน็ วตั ถนุ ้นั ได้โดยไมม่ ีจดุ ใดจุดหนึ่งท่สี ว่างหรอื มดื มากเกินไป

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสือ่ สาร (อ่าน ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (-)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต (ทำงานกล่มุ และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร)์

5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผิดชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ

ปัญหาท่ีเกิดขึ้นระหวา่ งการทำกิจกรรม
6.2 บูรณาการกบั กลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณติ ศาสตร์ เรือ่ ง เส้นขนาน

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นตอนการเรยี นรู้
ข้ันท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรู้ทีไ่ ดศ้ กึ ษามาแลว้ ในบทที่ 10 แสงเชิงคลน่ื
1.2 ครูอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ที่เกี่ยวกับแสง แนวคิด แบบจำลอง และสมบัติของ
คลนื่
1.3 ครูสาธิตการสะท้อนของแสงเมื่อฉายแสงเลเซอรห์ รือไฟฉายไปยังกระจกเงาราบ ให้นักเรียน
สังเกต แลว้ ตงั้ คำถามเพอ่ื นำเขา้ สูก่ ารทำกจิ กรรม ดังนี้
1) เส้นของแสงมลี กั ษณะอย่างไร
2) เม่ือเส้นของแสงจากเลเซอร์หรอื ไฟฉายไปตกกระทบกระจกเงาราบ มีการเปล่ียนแปลง
หรือไม่ อย่างไร
3) ขนาดของมมุ ตกกระทบและขนาดของมมุ สะทอ้ นทีเ่ กดิ จากรังสขี องแสงที่ตกกระทบ
และสะท้อนบนกระจกเงาราบ มีความสมั พันธก์ ันอย่างไร
(โดยครเู ปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนแสดงความคดิ เห็นอย่างอสิ ระ และไมค่ าดหวงั คำตอบที่ถกู ตอ้ ง)

ขัน้ ที่ 2 ข้ันสำรวจและค้นหา
2.1 นกั เรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 11.1 เร่ือง กฎการสะท้อนของแสง
2.3 ครแู จง้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทดลองอย่างละเอยี ด

368

2.4 นกั เรยี นรับอปุ กรณก์ ารทดลอง พร้อมตดิ ต้งั อปุ กรณ์
2.5 นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ทำการทดลอง สังเกตและบนั ทึกผลการทดลอง

ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูสมุ่ นักเรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทดลองหนา้ ช้นั เรียน
3.2 ครนู ำนักเรียนอภปิ รายเพอื่ นำไปสูก่ ารสรปุ โดยใช้คำถามต่อไปนี้
1) นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ

ไดผ้ ลเหมือนกนั )
2) รังสีตกกระทบ รังสสี ะท้อน และเสน้ แนวฉากอย่ใู นระนาบเดยี วกนั หรือไม่ (แนวการ

ตอบ รังสตี กกระทบ รังสสี ะทอ้ น และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดยี วกนั )
3) มมุ ตกกระทบและมมุ สะท้อนท่ีผวิ สะท้อนของแทง่ พลาสติกเทา่ กันทกุ ครง้ั หรือไม่

อย่างไร (แนวการตอบ มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นมคี ่าใกลเ้ คยี งกันจนประมาณได้ว่าเท่ากันทกุ คร้ัง)
4) มมุ ตกกระทบและมุมสะท้อนที่ผวิ สะทอ้ นนูนเทา่ กนั ทุกคร้งั หรือไม่ อยา่ งไร (แนวการ

ตอบ มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นมคี ่าใกล้เคยี งกนั จนประมาณได้วา่ เท่ากนั ทุกคร้งั )
5) มุมตกกระทบและมมุ สะทอ้ นท่ีผวิ สะทอ้ นเวา้ เท่ากนั ทุกครั้งหรอื ไม่ อย่างไร (แนวการ

ตอบ มุมตกกระทบและมุมสะท้อนมคี ่าใกล้เคยี งกนั จนประมาณไดว้ ่าเทา่ กนั ทกุ ครงั้ )
3.3 นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภปิ รายและสรุปผลการทำกิจกรรม จนสรุปได้ ดงั นี้
การสะท้อนของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง คือ 1. มุมตกกระทบและ

มุมสะท้อน 2. รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกัน การสะท้อนของแสงใน
กรณีผิวสะทอ้ นมีความขรขุ ระ ผิวสะทอ้ นนูน และผิวสะทอ้ นเวา้ ยังคงเปน็ ไปตามกฎการสะท้อนของแสง

ขน้ั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายให้ความรูเ้ พ่มิ เติม ดังน้ี
1) การสะท้อนของแสง (reflection of light) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจาก

ตัวกลางที่มีความหนาแน่นค่าหนึ่งมายังตัวกลางที่มีค่าความหนาแน่นอีกตัวหนึ่ง ทำให้แสงตกกระทบกับ
ตวั กลางใหม่ แล้วสะทอ้ นกลับสตู่ ัวเดมิ

2) การสะท้อนของแสงเกิดขึ้นเมื่อแสงเดินทางไปถงึ ผิวสะท้อน ซึ่งอาจจะเป็นกระจกเงา
หรือพื้นผิวอื่นๆ ที่สามารถสะท้อนแสงได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นผิวที่เรียบ การเขียนรังสีของแสงและหา
ความสมั พันธ์ระหว่างมมุ ตกกระทบ (angle of incidence) กับมมุ สะท้อน (angle of incidence)

369

โดยมุมตกกระทบเป็นมุมที่รังสีตกกระทบกับเส้นสมมติที่ตั้งฉากกับผิวสะท้อน เรียกว่า
เสน้ แนวฉาก (normal line) การสะทอ้ นของแสงประกอบดว้ ย ดงั น้ี

1. รงั สตี กกระทบ (Incident Ray) คือ รังสขี องแสงที่พงุ่ เข้าหาพื้นผิวของวตั ถุ
2. รงั สีสะท้อน (Reflected Ray) คอื รงั สขี องแสงท่ีพ่งุ ออกจากพื้นผิวของวัตถุ
3. เสน้ แนวฉาก (normal line) คือ เสน้ ทล่ี ากตั้งฉากกบั พ้นื ผิวของวตั ถุตรงจุดที่
แสงกระทบ
4. มมุ ตกกระทบ (Angle of Incidence) คือ มมุ ทร่ี ังสีตกกระทบทำกบั เส้นปกติ
5. มมุ สะทอ้ น (Angle of Reflection) คือ มมุ ท่รี ังสสี ะทอ้ นทำกบั เส้นปกติ
3) เมื่อแสงตกกระทบผิววัตถุจะเกิดการสะท้อนของแสง โดยเป็นไปตามกฎการสะท้อน
(law of reflection) ดังน้ี
1. มุมตกกระทบกบั มมุ สะทอ้ น ( 1 = 2)
2. รังสตี กกระทบ รังสสี ะทอ้ น และเส้นแนวฉาก อย่ใู นระนาบเดียวกัน
4) ในกรณีที่ผิวสะท้อนมีความขรุขระ เช่น กระดาษที่ยับ พื้นคอนกรีตที่ไม่เรียบ การ
สะทอ้ นของแสงยงั คงเป็นไปตามกฎการสะท้อน การสะทอ้ นของแสงจากพ้นื ผิวทีไ่ ม่เรียบ นน้ั ไมเ่ ป็นไปตาม
กฎการสะทอ้ นเพราะรังสีสะท้อนไม่ได้ขนานกัน ทั้งที่รังสีตกกระทบกเ็ ป็นรังสีขนาน คือ เส้นแนวฉากที่แต่
ละจุดบนพน้ื ท่ีเกดิ การสะทอ้ นน้นั ไมไ่ ดข้ นานกัน จึงทำใหม้ มุ ตกกระทบทแี่ ตล่ ะจดุ ไมเ่ ท่ากนั ดังรูป

การสะท้อนของแสงบนวัสดุที่มีผิวขรุขระทำให้แสงสะท้อนออกมานั้นมีทิศทางที่
หลากหลาย และไม่ทำให้ความเข้มแสงในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมีค่ามากเกินไป จึงทำให้สามารถมองเห็น
วัตถนุ ้ันได้ในหลายๆ มุม รวมทง้ั มองเหน็ วัตถุนนั้ ไดโ้ ดยไม่มีจุดใดจดุ หนง่ึ ทสี่ ว่างหรือมืดมากเกินไป

4.2 ครอู ธิบายตวั อย่าง 11.1 ในหนงั สือเรียน
4.3 ครใู ห้ความร้เู พมิ่ เตมิ เกีย่ วกบั การสำรวจดวงจันทร์ในอดีต ตามหนงั สอื เรยี น

ข้ันท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรียนสง่ ใบกจิ กรรม เรื่อง กฎการสะทอ้ นของแสง

8. ส่ือการเรียนร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพ่ิมเติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส์) ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 เลม่ 3 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอรเ์ น็ต
8.3 ใบกิจกรรม เรือ่ ง กฎการสะท้อนของแสง
8.4 ชดุ กิจกรรม เรื่อง กฎการสะทอ้ นของแสง

370

9. การวัดและประเมินผล วธิ กี ารวัด เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจคำถามในใบ 1) ใบกิจกรรม เรอื่ ง 1) นักเรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K) กิจกรรม เรื่อง กฎการ กฎการสะท้อนของ ตอบคำถามไดร้ ะดับ
1) อธบิ ายการสะท้อนของแสง สะทอ้ นของแสง แสง ดีผ่านเกณฑ์
และกฎการสะท้อนของแสงได้

ด้านกระบวนการ (P) 1) ตรวจบนั ทึกผลการ 1) ใบกิจกรรม เร่ือง 1) นกั เรยี นสามารถ
1) ทดลองกฎการสะท้อนของแสงได้ ทดลองและสรปุ ผลการ กฎการสะทอ้ นของ บันทึกผลการทดลอง
ทดลอง แสง และสรปุ ผลการ
ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) ทดลองไดร้ ะดบั ดี
1) ใฝ่เรียนรู้ และมีความรบั ผดิ ชอบ ผ่านเกณฑ์

1) ตรวจการสง่ ใบกิจกรรม 1) ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง 1) นกั เรยี นได้ระดบั ดี
เรอ่ื ง กฎการสะท้อนของ กฎการสะท้อนของ ผ่านเกณฑ์
แสง แสง

10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรอ่ื ง กฎการสะท้อนของแสง

ประเดน็ การ ค่านำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน

ด้านความรู้ 3 ตอบคำถามท้ายการทดลองไดถ้ กู ต้องทกุ ขอ้

(K) 2 ตอบคำถามทา้ ยการทดลองได้ถูกต้อง 2-3 ขอ้

1 ตอบคำถามท้ายการทดลองได้ถกู ตอ้ ง 1 ข้อ หรอื ไม่ถกู ต้อง

ดา้ น 3 บนั ทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วน

กระบวนการ 2 บนั ทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลองค่อนข้างถกู ต้องครบถ้วน

(P) 1 บนั ทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลองได้คอ่ นข้างถูกต้อง

ด้าน 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถว้ น

คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น

ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

371

การประเมินการทำกจิ กรรม เรือ่ ง กฎการสะทอ้ นของแสง

จุดประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ชอื่ - นามสกุล ด้านความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

372

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

373

บนั ทึกหลังการสอน

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 11 เรื่อง แสงเชิงรงั สี อ

แผนการสอนที่ 29 เรอ่ื ง การสะทอ้ นของแสง .

วันท่ี.................................................เดือน.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจัดการเรยี นรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปญั หา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงช่อื ............................................ครผู สู้ อน ลงชื่อ.............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงชือ่ ............................................. รองฯ กลุ่มบรหิ ารวิชาการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)

ลงช่ือ............................................ผ้อู ำนวยการโรงเรียน
(นายสรุ ิยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..

ใบกจิ กรรม 11.1 กฎการสะทอ้ นของแสง 374

1. รายชอื่ สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จุดประสงค์การทำกจิ กรรม
เพอ่ื ศกึ ษาระนาบของรังสตี กกระทบ รังสสี ะทอ้ น และเสน้ แนวฉาก และความสัมพนั ธ์ระหว่างมุมตกกระทบ

และมมุ สะท้อน

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1. ชดุ กลอ่ งแสง 1 เคร่อื ง
2. หมอ้ แปลงโวลต์ตำ่ ขนาด 12 โวลต์ 1 แทง่
3. แท่งพลาสติกส่ีเหลี่ยมผนื ผ้า 1 อัน
4. ผวิ สะทอ้ นเว้าและนูน 1 อัน
5. ครึ่งวงกลมวัดมุม 1 แผน่
6. กระดาษขาว

4. วธิ ที ำกจิ กรรม
17. ต่อหลอดไฟฟ้าของกลอ่ งแสงเขา้ กบั หม้อแปลงโวลตต์ ่ำขนาด 12 โวลต์
18. วางกระดาษขาวหนา้ กล่องแสง จากน้ันใส่แผน่ ช่องแสงทม่ี ี 1 ชอ่ ง ท่ีหน้ากลอ่ งแสง แลว้ จดั ให้ลำแสงขนานกบั ระนาบ
ของกระดาษ
19. วางแผน่ พลาสตกิ ส่ีเหลย่ี มผืนผ้าหนา้ กลอ่ งแสง โดยใหห้ น้าขนุ่ ทาบกบั กระดาษบนโต๊ะ ดังรูป

20. ลากเสน้ ตรงแทนแนวของของแทง่ พลาสติก

375
21. จัดกล่องแสงให้ลำแสงตกกระทบผิวของแทง่ พลาสติกโดยทำมุม 30 องศา กับผิวของแท่งพลาสติก เปิดหม้อแปลง

โวลต์ตำ่ เพือ่ ให้กลอ้ งแสงทำงาน สงั เกตแสงทส่ี ะทอ้ นกบั ผิวของแท่งพลาสติก
22. ลากรงั สีตกกระทบ รงั สีสะท้อน และเสน้ แนวฉาก จากนัน้ วดั มุมตกกระทบและมุมสะทอ้ น
23. ทำซำ้ ข้อ 5-6 โดยเปลี่ยนมุมตกกระทบอกี 2 ค่า
24. ทำซ้ำขอ้ 3-7 โดยเปลี่ยนแทง่ พลาสตกิ เปน็ ผิวสะทอ้ นเวา้ และผวิ สะท้อนนูน ตามลำดับ
5. ผลการทำกจิ กรรม

การสะทอ้ นของแสงโดยแทง่ พลาสติกสี่เหลีย่ มผนื ผ้า

การสะทอ้ นของแสงโดยผวิ สะทอ้ นเว้า

การสะทอ้ นของแสงโดยผวิ สะทอ้ นนนู

376

6. ตารางบนั ทึกผลการทดลอง มมุ 30 องศา มมุ 45 องศา มมุ 60 องศา
มุมตกกระทบ มุมสะทอ้ น
ชนิดวตั ถุ มุมตกกระทบ มุมสะท้อน มมุ ตกกระทบ มุมสะท้อน
(องศา) (องศา)
แท่งพลาสตกิ สเี่ หล่ยี มผืนผา้ (องศา) (องศา) (องศา) (องศา)
วตั ถผุ วิ สะทอ้ นเว้า
วตั ถุผิวสะทอ้ นนูน

7. คำถามท้ายการทดลอง
1) รงั สตี กกระทบ รังสสี ะท้อน และเสน้ แนวฉากอยู่ในระนาบเดยี วกนั หรอื ไม่

ตอบ รงั สีตกกระทบ รังสีสะทอ้ น และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกนั อ

2) มุมตกกระทบและมมุ สะท้อนที่ผิวสะท้อนของแท่งพลาสติกเท่ากันทกุ ครั้งหรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ มุมตกกระทบและมมุ สะทอ้ นมีค่าใกล้เคยี งกันจนประมาณไดว้ ่าเท่ากันทกุ คร้งั ท

3) มุมตกกระทบและมมุ สะท้อนท่ีผวิ สะทอ้ นนูนเทา่ กันทกุ คร้งั หรือไม่ อย่างไร

ตอบ มุมตกกระทบและมุมสะท้อนมีค่าใกล้เคียงกันจนประมาณได้ว่าเท่ากันทกุ ครงั้ บ 30

4) มุมตกกระทบและมมุ สะท้อนที่ผวิ สะท้อนเวา้ เท่ากันทกุ ครัง้ หรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ มมุ ตกกระทบและมุมสะท้อนมีค่าใกล้เคยี งกนั จนประมาณไดว้ ่าเท่ากันทกุ คร้งั m

8. สรุปผลการทดลอง

การสะท้อนของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง คือ 1. มุมตกกระทบและมุมสะท้อน 2. รังสีตกกระทบ รังสี

สะทอ้ น และเส้นแนวฉากอยูใ่ นระนาบเดยี วกนั การสะทอ้ นของแสงในกรณีผวิ สะท้อนมีความขรุขระ ผิวสะท้อนนูน และ

ผิวสะท้อนเว้า ยังคงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงแถบตรงสีขาวแผ่ออกไปทั้งสองด้านของคาน โดยมีระยะห่างระ

หวา่ งแถบพอ ๆ กนั ระหว่า งแถบพอ ๆ กัน

ผิวสะท้อนเว้า ยังคงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงแถบตรงสีขาวแผ่ออกไปทั้งสองด้านของคาน โดยมีระยะห่างระ

หว่า งแถบพอ ๆ กันระหว่า งแถบพอ ๆ กนั

ผิวสะท้อนเว้า ยังคงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงแถบตรงสีขาวแผ่ออกไปทั้งสองด้านของคาน โดยมีระยะห่างระ

หว่า งแถบพอ ๆ กนั ระหว่า งแถบพอ ๆ กั

377

เฉลยใบกิจกรรม 11.1 กฎการสะท้อนของแสง

1. รายชือ่ สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม
เพอ่ื ศกึ ษาระนาบของรงั สีตกกระทบ รงั สสี ะท้อน และเสน้ แนวฉาก และความสัมพันธร์ ะหว่างมมุ ตกกระทบ

และมุมสะทอ้ น

3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด
1. ชุดกลอ่ งแสง 1 เครือ่ ง
2. หมอ้ แปลงโวลต์ต่ำ ขนาด 12 โวลต์ 1 แทง่
3. แทง่ พลาสตกิ ส่เี หล่ียมผนื ผ้า 1 อัน
4. ผิวสะทอ้ นเวา้ และนนู 1 อัน
5. ครงึ่ วงกลมวดั มุม 1 แผ่น
6. กระดาษขาว

4. วิธที ำกจิ กรรม
1. ต่อหลอดไฟฟา้ ของกล่องแสงเขา้ กับหมอ้ แปลงโวลตต์ ำ่ ขนาด 12 โวลต์
2. วางกระดาษขาวหน้ากลอ่ งแสง จากน้ันใสแ่ ผน่ ช่องแสงทีม่ ี 1 ชอ่ ง ที่หน้ากล่องแสง แล้วจัดใหล้ ำแสงขนานกับระนาบ
ของกระดาษ
3. วางแผ่นพลาสติกส่เี หลย่ี มผนื ผา้ หน้ากล่องแสง โดยให้หนา้ ขุน่ ทาบกบั กระดาษบนโตะ๊ ดังรูป

378
4. ลากเส้นตรงแทนแนวของของแทง่ พลาสตกิ
5. จัดกล่องแสงให้ลำแสงตกกระทบผิวของแทง่ พลาสติกโดยทำมุม 30 องศา กับผิวของแท่งพลาสติก เปิดหม้อแปลง

โวลต์ต่ำเพ่อื ให้กลอ้ งแสงทำงาน สงั เกตแสงที่สะท้อนกบั ผวิ ของแท่งพลาสตกิ
6. ลากรังสีตกกระทบ รังสสี ะทอ้ น และเสน้ แนวฉาก จากนัน้ วัดมมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ น
7. ทำซ้ำข้อ 5-6 โดยเปลี่ยนมมุ ตกกระทบอกี 2 ค่า
8. ทำซ้ำข้อ 3-7 โดยเปลยี่ นแทง่ พลาสตกิ เปน็ ผวิ สะท้อนเว้า และผวิ สะท้อนนนู ตามลำดับ
5. ผลการทำกจิ กรรม

การสะทอ้ นของแสงโดยแท่งพลาสตกิ ส่ีเหลยี่ มผนื ผ้า

การสะท้อนของแสงโดยผิวสะทอ้ นเว้า

\\
การสะท้อนของแสงโดยผิวสะท้อนนูน

379

6. ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง มุม 30 องศา มมุ 45 องศา มุม 60 องศา
มุมตกกระทบ มมุ สะทอ้ น
ชนดิ วัตถุ มุมตกกระทบ มุมสะท้อน มุมตกกระทบ มุมสะท้อน
(องศา) (องศา)
แท่งพลาสติกส่เี หลย่ี มผนื ผา้ (องศา) (องศา) (องศา) (องศา) 60.0 59.5
วัตถผุ ิวสะท้อนเวา้ 60.0 60.0
วตั ถุผวิ สะทอ้ นนูน 30 30 44.7 45.0 59.7 60.4

29.7 30.2 44.6 44.6

29.5 29.8 45.0 45.2

7. คำถามท้ายการทดลอง อ
1) รงั สีตกกระทบ รังสีสะทอ้ น และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกันหรือไม่ ท
ตอบ รงั สตี กกระทบ รังสสี ะท้อน และเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดยี วกัน บ 30
2) มุมตกกระทบและมมุ สะทอ้ นที่ผวิ สะท้อนของแท่งพลาสติกเท่ากนั ทกุ คร้ังหรือไม่ อย่างไร m
ตอบ มมุ ตกกระทบและมมุ สะท้อนมคี ่าใกล้เคยี งกนั จนประมาณไดว้ า่ เทา่ กนั ทุกครง้ั
3) มมุ ตกกระทบและมุมสะทอ้ นท่ีผวิ สะท้อนนนู เทา่ กนั ทุกคร้ังหรือไม่ อยา่ งไร
ตอบ มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นมีค่าใกล้เคยี งกันจนประมาณได้ว่าเท่ากันทกุ ครงั้
4) มุมตกกระทบและมมุ สะทอ้ นท่ีผวิ สะท้อนเว้าเท่ากันทุกคร้ังหรือไม่ อยา่ งไร
ตอบ มมุ ตกกระทบและมมุ สะทอ้ นมีค่าใกล้เคียงกนั จนประมาณไดว้ ่าเท่ากันทกุ ครั้ง

8. สรุปผลการทดลอง

จากการทดลอง พบว่า เมื่อแสงจากกล่องแสงไปตกกระทบทางพลาสติกเกดิ การสะท้อนของแสง โดยการสะทอ้ น

ของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสง คือ 1. มุมตกกระทบและมุมสะท้อน 2. รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และ

เสน้ แนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกัน และการสะท้อนของแสงในกรณีผวิ สะท้อนนนู และผิวสะทอ้ นเว้า ยงั คงเป็นไปตามกฎ

การสะท้อนของแสงแถบตรงสีขาวแผอ่ อ กไปทง้ั ส องดา้ นของคาน โดยมี

ผิวสะท้อนเว้า ยังคงเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงแถบตรงสีขาวแผ่ออกไปทั้งสองด้านของคาน โดยมีระยะห่างระ

หวา่ งแถบพอ ๆ กันระหวา่ งแถบพอ ๆ กัน

ผิวสะท้อนเว้า ยังคงเปน็ ไปตามกฎการสะท้อนของแสงแถบตรงสีขาวแผ่ออกไปทัง้ สองด้านของคาน โดยมีระยะหา่ งระ

380

แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 30

เรือ่ ง การหักเหของแสง

รายวิชา ฟสิ ิกส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 2 ช่ัวโมง

หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ แสงเชงิ รังสี รวม 24 ช่วั โมง

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  มาตรฐานสากล  ขา้ มกลุ่มสาระ

1. สาระฟสิ ิกส์
2. เข้าใจการเคลื่อนทแ่ี บบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ย ธรรมชาติของคลน่ื เสยี งและการไดย้ ิน ปรากฏการณ์ที่

เก่ียวขอ้ งกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเ่ี กย่ี วข้องกบั แสงรวมท้ังนำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
7. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเหรวมทั้งอธิบาย

ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของ แสง และคำนวณ
ปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายการหกั เหของแสง และกฎของสเนลล์ได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) ทดลองการหกั เหของแสงได้
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผดิ ชอบ

4. สาระสำคัญ

การหักเหของแสง (refraction of light) เกิดขึ้นเมื่อแสงมีการเดนิ ทางจากตัวกลางหนึง่ ไปอกี ตัวกลาง

หนึ่ง ทำให้มีอัตราเร็วเปลี่ยนไป โดยอัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วแสงในสุญญากาศกับอัตราเรว็ แสงในตวั กลางใด ๆ

คือ ดรรชนีหักเห ( index of refraction) = และ n1 sin 1 = n2 sin 2 เรียกว่า กฎของ

สเนลล์ (Snell’s law)

การหักเหของแสงเป็นไปตามกฎการหกั เห (law of refraction) คือ

1. n1 sin 1 = n2 sin 2
2. รังสีตกกระทบ รังสหี ักเห และเส้นแนวฉาก อยใู่ นระนาบเดยี วกนั

381

ในกรณีที่แสงเดินทางจากตัวกลางทีม่ ีดรรชนีหักเหมากไปตวั กลางที่มดี รรชนีหักเหน้อย จะทำให้มุมหกั เห

โตกว่ามุมตกกระทบ เมื่อเพิ่มมุมตกกระทบจนมีมุมหักเหเป็นมุม 90 องศาพอดี เรียกมุมตกกระทบนี้ว่า มุมวิกฤต

(critical angle, θc ) ซึ่งเป็นไปตามสมการ sin = 2 ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต จะทำให้ไม่มีแสง
1
หกั เหผา่ นเข้าส่ตู ัวกลางทีม่ ดี รรชนีหักเหน้อย มแี ตแ่ สงส่วนท่สี ะท้อนกลบั ในตัวกลางเดมิ เท่าน้นั เรียกปรากฏการณ์นี้

ว่า การสะท้อนกลับหมด (total internal reflection) เมื่อให้แสงขาวผ่านปริซึมจะพบว่าแสงที่หักเหออกจาก

ปริซมึ จะแยกออกเป็นแสงสีต่าง ๆ เรียก ปรากฏการณน์ ้ีวา่ การกระจายแสง (dispersion of light)

5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
การหกั เหของแสง (refraction of light) เปน็ ปรากฏการณท์ างแสงท่ีเหน็ ได้อย่างชัดเจน เพราะ

เมอ่ื เกดิ ข้ึนจะทำให้แสงเปล่ียนแนวทางไปจากเดิม โดยเกดิ ขนึ้ เมื่อแสงมกี ารเดนิ ทางจากตวั กลางหน่ึงไปอีกตัวกลาง
หนึง่ ทำให้มอี ัตราเร็วเปล่ียนไป เชน่ แสงเลเซอร์ท่ีเดนิ ทางจากอากาศเข้าไปในแท่งแกว้ และเดินทางจากแก้วออกสู่
อากาศ

แผนภาพรังสีสำหรับอธบิ ายปรากฏการณ์การหักเหของแสง แสดงได้ดังรูป โดยรังสีตกกระทบทำ

มุมตกกระทบ 1 กับเส้นแนวฉาก ส่วนรังสีของแสงที่เข้าไปในตัวกลางใหม่ เรียกว่า รังสีหักเห (refracted ray)
ซ่งึ ทำมมุ หักเห 2 กับเส้นแนวฉาก

ดรรชนีหักเห (index of refraction) คือ อัตราส่วนระหว่างอัตราเร็วแสงในสุญญากาศกับ
อัตราเร็วแสงในตัวกลางใด ๆ สมการหาคา่ ดรรชนีหกั เห

โดยท่ี
=
คือ ดรรชนหี กั เหของตวั กลาง

คอื อัตราเรว็ ของแสงในสุญญากาศซงึ่ มีคา่ ประมาณ 3.0 x 108 เมตรตอ่ วินาที

382

คือ อัตราเรว็ ของแสงในตัวกลาง มีหน่วยเปน็ เมตรตอ่ วนิ าที (m/s)
ความสัมพันธ์ตามสมการ n1 sin 1 = n2 sin 2 เรยี กว่า กฎของสเนลล์ (Snell’s
law) และสามารถสรปุ กฎการหกั เห (law of refraction) ได้วา่
1. n1 sin 1 = n2 sin 2
2. รังสตี กกระทบ รงั สีหกั เห และเส้นแนวฉาก อยใู่ นระนาบเดยี วกนั
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลมุ่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (-)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ (ทำงานกลมุ่ และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝ่เรยี นรู้ และมคี วามรับผดิ ชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ

ปัญหาท่ีเกิดข้ึนระหวา่ งการทำกจิ กรรม
6.2 บรู ณาการกับกลมุ่ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ เร่อื ง การแก้สมการ

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นตอนการเรยี นรู้
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้ เร่อื ง การสะทอ้ นของแสง และกฎการสะท้อนของแสง
การสะท้อนของแสงเกดิ ข้ึนเมอ่ื แสงเดินทางไปถงึ ผิวสะท้อน ซ่งึ อาจจะเปน็ กระจกเงาหรือ
พื้นผิวอื่นๆ ที่สามารถสะท้อนแสงได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นผิวที่เรียบ การเขียนรังสีของแสงและหา
ความสมั พันธร์ ะหวา่ งมมุ ตกกระทบ (angle of incidence) กบั มุมสะท้อน (angle of incidence)

โดยมุมตกกระทบเป็นมุมที่รังสีตกกระทบกับเส้นสมมติที่ตั้งฉากกับผิวสะท้อน เรียกว่า
เส้นแนวฉาก (normal line) การสะทอ้ นของแสงประกอบด้วย ดังนี้

1. รังสีตกกระทบ (Incident Ray) คือ รงั สขี องแสงท่ีพุ่งเข้าหาพื้นผวิ ของวัตถุ
2. รังสีสะท้อน (Reflected Ray) คือ รงั สขี องแสงท่พี ่งุ ออกจากพืน้ ผิวของวัตถุ

383

3. เสน้ แนวฉาก (normal line) คอื เส้นทล่ี ากต้ังฉากกบั พน้ื ผิวของวตั ถุตรงจุดที่
แสงกระทบ

4. มมุ ตกกระทบ (Angle of Incidence) คอื มมุ ทร่ี ังสตี กกระทบทำกับเส้นปกติ
5. มุมสะท้อน (Angle of Reflection) คือ มุมทร่ี งั สสี ะท้อนทำกับเส้นปกติ
เมื่อแสงตกกระทบผวิ วัตถุจะเกิดการสะท้อนของแสง โดยเป็นไปตามกฎการสะท้อน (law
of reflection) ดังน้ี
1. มุมตกกระทบกับมุมสะทอ้ น ( 1 = 2)
2. รังสีตกกระทบ รังสสี ะท้อน และเส้นแนวฉาก อยใู่ นระนาบเดียวกัน
1.2 ครูให้นักเรียนสังเกตภาพการหักเหของแสง เกี่ยวกับหลอดดูดที่อยู่ในน้ำ โดยสังเกตหลอด
ทางด้านขา้ งของแก้ว แลว้ ต้ังคำถามเพอ่ื นำเข้าสู่การทำกจิ กรรม

1) นักเรียนสังเกตเหน็ อะไรบา้ ง (นักเรียนควรตอบได้ว่า ตำแหน่งของหลอดที่อยูใ่ นนำ้ ไม่
ตรงกับตำแหนง่ ของหลอดทอี่ ยู่เหนือนำ้ )

1.3 ครตู ั้งคำถามเพื่อนำเขา้ ส่กู ารทำกิจกรรม ดงั นี้
1) เมอ่ื เปล่ียนหลอดดดู เป็นแสง โดยฉายแสงเลเซอรล์ งไปในแกว้ ที่บรรจนุ ำ้ นักเรียนคดิ ว่า

เส้นทางการเคลือ่ นที่ของแสงมลี ักษณะอย่างไร
2) เพราะเหตุใดแสงเลเซอร์จงึ เกิดการเปลยี่ นทิศทางเมื่อเคล่ือนที่จากอากาศไปน้ำ

(โดยครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอิสระ และไม่คาดหวงั คำตอบท่ถี ูกตอ้ ง)

ขนั้ ที่ 2 ข้นั สำรวจและค้นหา
2.1 นักเรียนแบง่ กลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 11.2 เรือ่ ง การหักเหของแสง
2.3 ครูแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ อุปกรณ์ และข้ันตอนการทดลองอยา่ งละเอียด
2.4 นักเรียนรับอปุ กรณ์การทดลอง พรอ้ มตดิ ตั้งอุปกรณ์
2.5 นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มทำการทดลอง สังเกตและบันทกึ ผลการทดลอง

ขนั้ ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครสู มุ่ นกั เรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทดลองหนา้ ชนั้ เรยี น
3.2 ครูนำนกั เรียนอภิปรายเพื่อนำไปส่กู ารสรุปโดยใช้คำถามต่อไปนี้
1) นกั เรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมอื นกนั )

384

2) เม่อื แสงเคล่ือนทจ่ี ากอากาศเข้าสู่แท่งพลาสติก เกดิ การเปล่ียนทิศทางหรอื ไม่ อยา่ งไร
(แนวการตอบ เกดิ การเปลยี่ นทศิ ทาง โดยแสงทีเ่ ข้าไปในแทง่ พลาสติกเข้าใกลเ้ สน้ แนวฉาก)

3) จากภาพผลการทดลอง เมอ่ื แสงเคลอ่ื นที่จากอากาศไปยงั แท่งพลาสตกิ และแสง
เคลอ่ื นทจ่ี ากแท่งพลาสติกออกสูอ่ ากาศ จากภาพการหักเหของแสง เกิดรงั สแี ละมมุ อะไรบา้ ง

1

2

3

4

(แนวการตอบ รงั สีตกกระทบ 1 คอื รังสีที่เคล่อื นท่ีจากอากาศไปยงั รอยตอ่ ของ
อากาศกบั แทง่ พลาสตกิ มมุ ตกกระทบ 1 คอื มุมระหวา่ งรงั สตี กกระทบกบั เส้นแนวฉาก รงั สหี ักเห 2
คกครืืออะรมทงัุมบสรีทะเี่หค3วล่า่ืองนรคังทือสเ่ี ขีตรัง้ากสไกปีทรใ่เีะนคทแลบทือ่ กน่งบัพทเล่ีใสนา้นสแแตทนิกง่ วพมฉลามุ ากหสกัรตเงัิกหสไหีป กั ย2เังหรอคยอื ต4มอ่ มุขอรคะงือพหวลร่าางั งสสรตที งั ิก่ีเสคกหี ลบั กั อ่ื อเนหาทกกี่าจบั ศาเสกม้นแมุ แทตนง่ กพวกฉลราาะกสทตรบกิ งั อส ีตอ 3กกสู่

อากาศ และมมุ หักเห 4 คือ มุมระหวา่ งรังสีหกั เหกบั เสน้ แนวฉาก)
4) คา่ ของ sin 1 และ sin 3 ท่ีได้ทง้ั สามคร้งั เทา่ กันหรือไม่ (แนวการตอบ

sin 2 sin 4

ใกล้เคยี งกนั หรอื เท่ากนั )

5) คา่ ของ sin 1 เท่ากบั ส่วนกลบั ของ sin 3 หรอื ไม่ (แนวการตอบ ค่าของ
sin 2 sin 4
sin 1 มีคา่ ใกลเ้ คยี งหรอื เท่ากบั ส่วนกลับของ sin 3)
sin 2 sin 4
6) จงอธิบายการหักเหของแสง (refraction of light) (แนวการตอบ เปน็ ปรากฏการณ์

ทางแสงท่ีเห็นได้อย่างชดั เจน เพราะเมอื่ เกดิ ขน้ึ จะทำให้แสงเปลยี่ นแนวทางไปจากเดมิ โดยเกดิ ขึ้นเม่ือแสง

มีการเดินทางจากตวั กลางหนง่ึ ไปอีกตัวกลางหนงึ่ ทำใหม้ ีอตั ราเรว็ เปล่ยี นไป)

7) จงอธบิ ายกฎของสเนลล์ (แนวการตอบ อตั ราส่วนระหวา่ งไซนข์ องมุมตกกระทบกับ

ไซน์ของมมุ หักเหมีค่าคงตัวคา่ หน่งึ ความสัมพนั ธต์ ามสมการ n1 sin 1 = n2 sin 2)
8) ก ฎ ก า ร ห ั ก เ ห ม ี ก ี ่ ข ้ อ อ ะ ไ ร บ ้ า ง ( แ น ว ก า ร ต อ บ 2 ข ้ อ ค ื อ 1.

n1 sin 1 = n2 sin 2 2. รังสตี กกระทบ รังสหี กั เห และเสน้ แนวฉาก อย่ใู นระนาบเดียวกัน)

385

3.3 นกั เรยี นและครูร่วมกนั อภิปรายและสรุปผลการทำกจิ กรรม จนสรปุ ได้ ดังน้ี
1) เมอื่ ลำแสงเคลื่อนทจี่ ากอากาศเข้าสู่แท่งพลาสติกสี่เหล่ียมผนื ผ้า แสงจะเกิดการหักเห

และเมอ่ื แสงเคล่ือนท่ีจากแทง่ พลาสติกสเี่ หลี่ยมผืนผ้ากลับออกสู่อากาศ แสงจะเกดิ การหกั เหอีกครัง้ ดังรปู

2) มุม θ1 โตกว่า θ2 นั่นคือ เมื่อแสงเคลื่อนทีจ่ ากอากาศเขา้ ไปในแทง่ พลาสตกิ ส่ีเหลี่ยม
ผืนผา้ มมุ หกั เหจะเลก็ กวา่ มมุ ตกกระทบ

3) มุม θ3 เลก็ กว่า θ4 นน่ั คือ เม่อื แสงเคล่ือนท่จี ากแทง่ พลาสติกส่เี หล่ียมผืนผ้าเข้าไปใน
อากาศ มุมหกั เหจะโตกว่ามุมตกกระทบ

4) อัตราส่วนของ sin 1 และอตั ราส่วนของ sin 3 มีคา่ คงตัว
sin 2 sin 4
5) อัตราส่วนของ sin 1 เท่ากับส่วนกลับของอัตราส่วน sin 3
sin 2 sin 4
6) อัตราส่วนระหว่างไซน์ของมุมตกกระทบกับไซน์ของมุมหักเหมีค่าคงตัวค่าหนึ่ง เรียก

ความสมั พนั ธ์น้ีว่า กฎของสเนลล์

ข้นั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายให้ความรูเ้ พิม่ เตมิ ดังน้ี
การหักเหของแสง (refraction of light) เป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เห็นได้อย่าง

ชัดเจน เพราะเมื่อเกิดขึ้นจะทำให้แสงเปลี่ยนแนวทางไปจากเดิม โดยเกิดขึ้นเมื่อแสงมีการเดินทางจาก
ตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลางหน่ึง ทำให้มีอัตราเร็วเปลี่ยนไป เช่น แสงเลเซอร์ท่ีเดินทางจากอากาศเข้าไปใน
แทง่ แกว้ และเดนิ ทางจากแกว้ ออกส่อู ากาศ

386

แผนภาพรังสีสำหรับอธิบายปรากฏการณ์การหักเหของแสง แสดงได้ดังรูป โดยรังสีตก
กระทบทำมุมตกกระทบ 1 กับเส้นแนวฉาก ส่วนรังสีของแสงที่เข้าไปในตัวกลางใหม่ เรียกว่า รังสีหักเห
(refracted ray) ซึ่งทำมมุ หกั เห 2 กบั เสน้ แนวฉาก

ดรรชนหี ักเห (index of refraction) คือ อัตราส่วนระหว่างอัตราเรว็ แสงในสุญญากาศ
กบั อตั ราเร็วแสงในตัวกลางใด ๆ สมการหาค่าดรรชนีหักเห


=

โดยท่ี คอื ดรรชนหี กั เหของตวั กลาง
คอื อัตราเร็วของแสงในสุญญากาศซง่ึ มคี า่ ประมาณ 3.0 x 108 เมตรตอ่ วินาที
คอื อัตราเร็วของแสงในตวั กลาง มีหน่วยเปน็ เมตรต่อวินาที (m/s)

4.2 ครูอธิบายตัวอย่าง 11.2 ในหนังสอื เรียน
4.3 ครูใหน้ ักเรยี นทำชวนคิดในหนงั สอื เรียน หน้า 170
ข้ันที่ 5 ขั้นประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นส่งใบกิจกรรม เรอ่ื ง การหักเหของแสง
8. ส่ือการเรยี นร้/ู แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต
8.3 ใบกิจกรรม เร่อื ง การหักเหของแสง
8.4 ชดุ กจิ กรรม เรื่อง การหกั เหของแสง

387

9. การวัดและประเมินผล วธิ ีการวัด เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจคำถามในใบ 1) ใบกิจกรรม เรอื่ ง 1) นักเรียนสามารถ
ดา้ นความรู้ (K) กจิ กรรม เรอ่ื ง การหกั เห การหกั เหของแสง ตอบคำถามได้ระดบั
1) อธบิ ายการหกั เหของแสง และกฎ ของแสง ดผี า่ นเกณฑ์
ของสเนลล์ได้
1) ตรวจบันทกึ ผลการ 1) ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง 1) นักเรยี นสามารถ
ด้านกระบวนการ (P) ทดลองและสรุปผลการ การหกั เหของแสง บนั ทกึ ผลการทดลอง
1) ทดลองการหักเหของแสงได้ ทดลอง และสรุปผลการ
ทดลองไดร้ ะดับดี
ด้านคณุ ลักษณะ (A) ผ่านเกณฑ์
1) ใฝ่เรียนรู้ และมีความรบั ผดิ ชอบ
1) ตรวจการส่งใบกจิ กรรม 1) ใบกจิ กรรม เรอ่ื ง 1) นกั เรียนได้ระดบั ดี
เรอื่ ง การหกั เหของแสง การหกั เหของแสง ผ่านเกณฑ์

10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เร่อื ง การหกั เหของแสง

ประเด็นการ คา่ นำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน

ดา้ นความรู้ 3 ตอบคำถามทา้ ยการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งทุกขอ้

(K) 2 ตอบคำถามทา้ ยการทดลองไดถ้ กู ตอ้ ง 4-6 ข้อ

1 ตอบคำถามทา้ ยการทดลองได้ถกู ต้อง 1-3 ข้อ

ดา้ น 3 บันทึกผลการทดลอง และสรปุ ผลการทดลองได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน

กระบวนการ 2 บันทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลองค่อนข้างถูกตอ้ งครบถ้วน

(P) 1 บันทกึ ผลการทดลอง และสรปุ ผลการทดลองไดค้ ่อนข้างถูกต้อง

ดา้ น 3 ทำภาระงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บรอ้ ยถูกต้องครบถ้วน

คุณลักษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน

(A) 1 ทำภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางสว่ น

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน

388

การประเมนิ การทำกจิ กรรม เร่ือง การหักเหของแสง

จุดประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ชอื่ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

389

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

390

บันทึกหลงั การสอน

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 11 เรือ่ ง แสงเชิงรังสี อ

แผนการสอนท่ี 30 เรอ่ื ง การหักเหของแสง .

วนั ที.่ ................................................เดือน.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจดั การเรยี นรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปญั หา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชื่อ............................................ครผู ้สู อน ลงชือ่ .............................................หวั หนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงช่อื ............................................. รองฯ กล่มุ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)

ลงชื่อ............................................ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

391

ใบกจิ กรรม 11.2 การหักเหของแสง

1. รายชื่อสมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

2. จดุ ประสงค์การทำกิจกรรม
เพื่อศกึ ษาการหกั เหของแสง

3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1. ชดุ กลอ่ งแสง 1 เครือ่ ง
2. หมอ้ แปลงโวลต์ตำ่ ขนาด 12 โวลต์ 1 แทง่
3. แทง่ พลาสติกส่เี หล่ียมผืนผ้า 1 อัน
4. ครึง่ วงกลมวัดมุม 1 แผ่น
5. กระดาษขาว

4. วธิ ีทำกจิ กรรม
25. ตอ่ สายไฟจากกล่องแสงเข้ากับหม้อแปลงโวลต์ตำ่ ขนาด 12 โวลต์ ใส่แผ่นช่องแสงที่ใหล้ ำแสง 1 ลำ เขา้ กบั กล่องแสง
26. วางแผน่ พลาสติกสเี่ หลย่ี มผนื ผ้าหน้ากล่องแสง โดยให้ด้านขนุ่ ทาบกับกระดาษขาว จัดลำแสงให้ทำมุมตกกระทบค่า
หนึ่งท่ีผิวด้านขา้ งของแท่งพลาสติก ดงั รปู

27. สังเกตแสงที่หกั เหในแท่งพลาสติก จากนั้นลากเส้นดนิ สอตามขอบของแท่งพลาสติกท้ังสี่ด้านบนกระดาษขาว ลาก
รังสตี กกระทบและรังสีหกั เหในแท่งพลาสติก รวมทั้งรังสหี กั เหท่เี คลื่อนทอ่ี อกจากแท่งพลาสตกิ สู่อากาศ

28. วดั มมุ ตกกระทบในอากาศ 1 มมุ หกั เหในแทง่ พลาสตกิ 2 มมุ ตกกระทบในแทง่ พลาสติก 3 และมมุ หกั เหใน
อากาศ 4 แลว้ บนั ทึกผลการทดลองในตาราง

392

29. ทำซ้ำข้อ 2-4 โดยเปลี่ยนมุม 1 อีก 2 ค่า แล้ววัดมุม 2 3 และ 4 บันทึกผลลงในตาราง จากนั้นหาค่า
ของ sin 1 และ sin 3 บันทึกผลลงในตาราง

sin 2 sin 4

5. ภาพการทดลอง

6. ตารางบนั ทกึ ผลการทดลอง 2(องศา) 3(องศา) 4(องศา) sin 1 sin 3
sin 2 sin 4
ครัง้ ท่ี 1(องศา)

1
2
3

7. คำถามท้ายการทดลอง
1) เม่ือแสงเคล่ือนท่จี ากอากาศเขา้ สแู่ ท่งพลาสตกิ เกิดการเปลย่ี นทิศทางหรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ เกิดการเปลยี่ นทศิ ทาง โดยแสงทเี่ ข้าไปในแทง่ พลาสตกิ เข้าใกลเ้ สน้ แนวฉาก อ

2) จากภาพผลการทดลอง เม่อื แสงเคลอื่ นท่ีจากอากาศไปยังแท่งพลาสติก
และแสงเคล่อื นที่จากแท่งพลาสตกิ ออกสู่อากาศ จากภาพการหกั เหของแสง
เกดิ รังสแี ละมมุ อะไรบ้าง
ตอบ รังสตี กกระทบ คือ รังสีทเี่ คลอ่ื นที่จากอากาศไปยงั รอยต่อของอากาศ

กบั แท่งพลาสติก มมุ ตกกระทบ 1 คอื มมุ ระหวา่ งรังสีตกกระทบกับเส้นแนวฉาก
รงั สีหกั เห คือ รงั สที ี่เคลอื่ นที่เข้าไปในแท่งพลาสติก มุมหกั เห 2 คือ
มุมระหวา่ งรงั สหี กั เหกบั เส้นแนวฉาก รังสตี กกระทบ คือ รงั สีท่ีเคลื่อนทีใ่ นแท่งพลาสตกิ ไปยังรอยตอ่ ของพลาสตกิ

กับอากาศ มมุ ตกกระทบ 3 คือ มุมระหวา่ งรงั สีตกกระทบกบั เสน้ แนวฉาก รงั สหี กั เห คือ รังสีที่เคล่ือนทจี่ ากแทง่
พลาสติกออกสอู่ ากาศ และมุมหักเห 4 คอื มุมระหวา่ งรงั สีหักเหกบั เสน้ แนวฉาก อ

393

3) ค่าของ sin 1 และ sin 3 ทไ่ี ด้ทัง้ สามคร้งั เท่ากนั หรือไม่ 30

sin 2 sin 4

ตอบ ใกล้เคียงกันหรอื เท่ากันบ

4) คา่ ของ sin 1 เทา่ กบั ส่วนกลบั ของ sin 3 หรือไม่
sin 2 sin 4

ตอบ คา่ ของsin 1 มีคา่ ใกล้เคยี งหรือเทา่ กบั ส่วนกลบั ของ sin 3) m
sin 2 sin 4

5) จงอธิบายการหักเหของแสง (refraction of light)

ตอบ เปน็ ปรากฏการณ์ทางแสงท่ีเห็นได้อยา่ งชัดเจน เพราะเม่ือเกิดขน้ึ จะทำให้แสงเปล่ียนแนวทางไปจากเดิม โดยเกิดขนึ้

เม่ือแสงมกี ารเดินทางจากตวั กลางหนงึ่ ไปอีกตัวกลางหนง่ึ ทำให้มอี ัตราเรว็ เปลยี่ นไป m

6) จงอธบิ ายกฎของสเนลล์ m
ตอบ อัตราสว่ นระหวา่ งไซน์ของมุมตกกระทบกบั ไซน์ของมุมหักเหมีคา่ คงตัวคา่ หนงึ่ ความสัมพันธต์ ามสมการ
n1 sin 1 = n2 sin 2

7) กฎการหักเห มกี ขี่ อ้ อะไรบ้าง

ตอบ 2 ขอ้ คอื 1. n1 sin 1 = n2 sin 2 2. รังสีตกกระทบ รงั สหี ักเห และเส้นแนวฉาก อยใู่ นระนาบเดยี วกนั

เมอ่ื แสงมกี ารเดินทางจากตัวกลางหน่งึ ไปอีกตัวกลางหน่ึง ทำให้มอี ัตราเร็วเปล่ียนไป m

8. สรปุ ผลการทดลอง

จากการทดลอง พบว่า เมื่อลำแสงเคลื่อนที่จากอากาศเข้าสู่แท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า แสงจะเกิดการหักเห

และเมื่อแสงเคลื่อนท่ีจากแทง่ พลาสติกสีเ่ หลี่ยมผนื ผ้ากลับออกสู่อากาศ แสงจะเกิดการหกั เหอีกคร้ัง มุม θ1 โตกว่า θ2 คือ

เมื่อแสงเคล่อื นท่ีจากอากาศเข้าไปในแท่งพลาสตกิ สี่เหลย่ี มผืนผา้ มมุ หักเหจะเล็กกว่ามมุ ตกกระทบ และ มมุ θ3 เลก็ กว่า θ4
คือ เมื่อแสงเคลื่อนที่จากแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าเข้าไปในอากาศ มุมหักเหจะโตกว่ามุมตกกระทบ อัตราส่วนของ

sin 1 และอตั ราสว่ นของ sin 3 มคี ่าใกล้เคียงกนั และอัตราสว่ นของsin 1 เทา่ กับสว่ นกลับของอัตราส่วน sin 3
sin 2 sin 4 sin 2 sin 4
ซง่ึ อัตราสว่ นระหวา่ งไซน์ของมมุ ตกกระทบกับไซน์ของมุมหักเหมคี ่าคงตวั ค่าหนง่ึ เรียกความสมั พนั ธ์นี้วา่ กฎของสเนลล์ m

เมอื่ แสงมีการเดนิ ทางจากตัวกลางหนึ่งไปอีกตวั กลางหนงึ่ ทำให้มีอตั ราเรว็ เปลีย่ นไป m

เมอ่ื แสงมีการเดนิ ทางจากตัวกลางหนงึ่ ไปอีกตวั กลางหนงึ่ ทำใหม้ อี ตั ราเร็วเปลยี่ นไป m

เฉลยใบกจิ กรรม 11.2 การหักเหของแสง 394

1. รายช่อื สมาชกิ ท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทำกิจกรรม
เพื่อศกึ ษาการหักเหของแสง

3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ
1. ชดุ กลอ่ งแสง 1 เครือ่ ง
2. หม้อแปลงโวลต์ตำ่ ขนาด 12 โวลต์ 1 แท่ง
3. แทง่ พลาสตกิ สีเ่ หลีย่ มผืนผ้า 1 อัน
4. ครึง่ วงกลมวดั มุม 1 แผน่
5. กระดาษขาว

4. วิธีทำกิจกรรม
1. ตอ่ สายไฟจากกลอ่ งแสงเขา้ กบั หมอ้ แปลงโวลต์ตำ่ ขนาด 12 โวลต์ ใส่แผน่ ช่องแสงท่ใี หล้ ำแสง 1 ลำ เข้ากบั กล่องแสง
2. วางแผน่ พลาสติกสเ่ี หลีย่ มผนื ผ้าหน้ากล่องแสง โดยให้ด้านขุ่นทาบกับกระดาษขาว จดั ลำแสงให้ทำมุมตกกระทบค่า
หน่ึงท่ผี ิวดา้ นขา้ งของแทง่ พลาสตกิ ดงั รูป

3. สังเกตแสงที่หักเหในแท่งพลาสติก จากนั้นลากเส้นดนิ สอตามขอบของแท่งพลาสติกท้ังสี่ดา้ นบนกระดาษขาว ลาก
รงั สีตกกระทบและรงั สหี กั เหในแทง่ พลาสตกิ รวมทั้งรังสหี ักเหทีเ่ คลื่อนท่ีออกจากแทง่ พลาสตกิ สู่อากาศ

4. วัดมุมตกกระทบในอากาศ 1 มมุ หักเหในแทง่ พลาสติก 2 มมุ ตกกระทบในแท่งพลาสตกิ 3 และมุมหักเหใน
อากาศ 4 แลว้ บนั ทกึ ผลการทดลองในตาราง

395

5. ทำซ้ำข้อ 2-4 โดยเปลี่ยนมุม 1 อีก 2 ค่า แล้ววัดมุม 2 3 และ 4 บันทึกผลลงในตาราง จากนั้นหาค่า
ของ sin 1 และ sin 3 บนั ทึกผลลงในตาราง

sin 2 sin 4

5. ภาพการทดลอง

6. ตารางบันทกึ ผลการทดลอง 2(องศา) 3(องศา) 4(องศา) sin 1 sin 3
sin 2 sin 4
ครงั้ ท่ี 1(องศา) 19.5 19.5 30
28.5 28.5 45 1.49 0.67
1 30 36 36 60 1.48 0.67
2 45 1.47 0.68
3 60

7. คำถามท้ายการทดลอง
1) เม่อื แสงเคล่ือนท่ีจากอากาศเข้าสูแ่ ทง่ พลาสตกิ เกดิ การเปล่ยี นทิศทางหรือไม่ อย่างไร

ตอบ เกดิ การเปลยี่ นทศิ ทาง โดยแสงทเี่ ข้าไปในแท่งพลาสติกเข้าใกล้เส้นแนวฉาก อ

2) จากภาพผลการทดลอง เม่อื แสงเคลอื่ นที่จากอากาศไปยงั แท่งพลาสติก
และแสงเคล่ือนทจี่ ากแทง่ พลาสตกิ ออกสู่อากาศ จากภาพการหักเหของแสง
เกิดรังสีและมมุ อะไรบา้ ง
ตอบ รังสีตกกระทบ 1 คือ รงั สีท่ีเคลอ่ื นท่ีจากอากาศไปยังรอยตอ่ ของอากาศ

กับแท่งพลาสติก มมุ ตกกระทบ 1 คือ มุมระหว่างรังสตี กกระทบกบั เสน้ แนวฉาก

รังสหี กั เห 2 คือ รงั สีท่ีเคลอื่ นท่ีเข้าไปในแท่งพลาสตกิ มุมหกั เห 2 คือ

3

มมุ ระหวา่ งรงั สหี กั เหกบั เสน้ แนวฉาก รังสีตกกระทบ คือ รังสที ่ีเคล่อื นท่ใี นแท่งพลาสติกไปยังรอยต่อของพลาสติก

4

กบั อากาศ มุมตกกระทบ 3 คอื มุมระหว่างรงั สีตกกระทบกับเสน้ แนวฉาก รังสหี กั เห คอื รงั สีท่ีเคลอื่ นที่จากแทง่

พลาสติกออกสอู่ ากาศ และมุมหกั เห 4 คือ มุมระหว่างรงั สีหักเหกบั เส้นแนวฉาก อ

396

3) คา่ ของ sin 1 และ sin 3 ที่ได้ทงั้ สามครั้ง เทา่ กันหรอื ไม่ 30

sin 2 sin 4

ตอบ ใกล้เคียงกนั หรอื เท่ากนั

4) ค่าของ sin 1 เท่ากับส่วนกลบั ของ sin 3 หรือไม่
sin 2 sin 4

ตอบ คา่ ของsin 1 มีคา่ ใกลเ้ คยี งหรอื เทา่ กบั ส่วนกลับของ sin 3) m
sin 2 sin 4

5) จงอธิบายการหักเหของแสง (refraction of light)

ตอบ เปน็ ปรากฏการณ์ทางแสงท่เี ห็นไดอ้ ย่างชัดเจน เพราะเม่ือเกิดขนึ้ จะทำให้แสงเปลี่ยนแนวทางไปจากเดิม โดยเกดิ ขนึ้

เม่ือแสงมีการเดนิ ทางจากตัวกลางหนึง่ ไปอกี ตวั กลางหนึ่ง ทำใหม้ อี ัตราเร็วเปลย่ี นไป m

6) จงอธบิ ายกฎของสเนลล์ m
ตอบ อัตราสว่ นระหว่างไซนข์ องมุมตกกระทบกบั ไซนข์ องมมุ หกั เหมคี ่าคงตวั คา่ หนึง่ ความสมั พันธต์ ามสมการ
n1 sin 1 = n2 sin 2

7) กฎการหกั เห มกี ่ีข้อ อะไรบ้าง

ตอบ 2 ขอ้ คอื 1. n1 sin 1 = n2 sin 2 2. รังสตี กกระทบ รงั สหี ักเห และเสน้ แนวฉาก อย่ใู นระนาบเดียวกัน

เมอ่ื แสงมีการเดนิ ทางจากตวั กลางหนึง่ ไปอีกตวั กลางหน่งึ ทำให้มอี ตั ราเรว็ เปลีย่ นไป m

8. สรปุ ผลการทดลอง

จากการทดลอง พบว่า เมื่อลำแสงเคลื่อนทีจ่ ากอากาศเข้าสู่แท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้า แสงจะเกิดการหักเห

และเมื่อแสงเคลื่อนท่ีจากแท่งพลาสติกสีเ่ หล่ียมผนื ผ้ากลับออกสู่อากาศ แสงจะเกิดการหกั เหอกี ครั้ง มุม θ1 โตกว่า θ2 คือ

เมื่อแสงเคล่อื นท่ีจากอากาศเขา้ ไปในแทง่ พลาสตกิ ส่ีเหลี่ยมผืนผา้ มมุ หักเหจะเล็กกว่ามมุ ตกกระทบ และ มมุ θ3 เลก็ กวา่ θ4
คือ เมื่อแสงเคลื่อนที่จากแท่งพลาสติกสี่เหลี่ยมผืนผ้าเข้าไปในอากาศ มุมหักเหจะโตกว่ามุมตกกระทบ อัตราส่วนของ

sin 1 และอตั ราสว่ นของ sin 3 มีค่าใกลเ้ คยี งกัน และอตั ราส่วนของsin 1 เท่ากับสว่ นกลับของอัตราส่วน sin 3
sin 2 sin 4 sin 2 sin 4
ซึง่ อัตราสว่ นระหวา่ งไซน์ของมมุ ตกกระทบกับไซน์ของมุมหักเหมีค่าคงตวั คา่ หนง่ึ เรียกความสมั พันธน์ ้วี า่ กฎของสเนลล์ m

เม่ือแสงมีการเดนิ ทางจากตัวกลางหนงึ่ ไปอกี ตวั กลางหนง่ึ ทำใหม้ ีอัตราเรว็ เปลีย่ นไป m

เมอ่ื แสงมีการเดินทางจากตวั กลางหนึง่ ไปอกี ตวั กลางหน่ึง ทำใหม้ ีอัตราเร็วเปลย่ี นไป m

397

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 31

เร่อื ง การสะท้อนกลับหมด มมุ วกิ ฤต และการกระจายของแสง

รายวิชา ฟสิ ิกส์ 3 รหสั วิชา ว30203 เวลา 2 ช่ัวโมง

หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 11 ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ แสงเชิงรังสี รวม 24 ชวั่ โมง

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1

บูรณาการ

 ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น  มาตรฐานสากล  ข้ามกลุ่มสาระ

1. สาระฟิสกิ ส์
2. เขา้ ใจการเคลอ่ื นทแ่ี บบฮาร์มอนกิ อยา่ งง่าย ธรรมชาติของคลืน่ เสียงและการได้ยนิ ปรากฏการณ์ที่

เกี่ยวข้องกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั แสงรวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
7. ทดลอง และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเหรวมทั้งอธิบาย

ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของ แสง และคำนวณ
ปริมาณต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายการสะทอ้ นกลบั หมด การเกิดมมุ วิกฤต และการกระจายของได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) สามารถคำนวณหาปริมาณต่างๆ ที่เกยี่ วขอ้ งได้
3.3 ดา้ นเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผดิ ชอบ

4. สาระสำคญั

การหักเหของแสง (refraction of light) เกิดขึ้นเมื่อแสงมีการเดนิ ทางจากตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลาง

หนึ่ง ทำให้มีอัตราเร็วเปลี่ยนไป โดยอัตราส่วนระหว่างอตั ราเร็วแสงในสุญญากาศกับอัตราเร็วแสงในตัวกลางใด ๆ

คือ ดรรชนีหักเห ( index of refraction) = และ n1 sin 1 = n2 sin 2 เรียกว่า กฎของ

สเนลล์ (Snell’s law)

การหักเหของแสงเปน็ ไปตามกฎการหักเห (law of refraction) คอื

1. n1 sin 1 = n2 sin 2
2. รงั สตี กกระทบ รังสีหักเห และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดยี วกัน

398

ในกรณีที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมากไปตวั กลางที่มีดรรชนหี ักเหนอ้ ย จะทำให้มุมหกั เห

โตกว่ามุมตกกระทบ เมื่อเพิ่มมุมตกกระทบจนมีมุมหักเหเป็นมุม 90 องศาพอดี เรียกมุมตกกระทบนี้ว่า มุมวิกฤต

(critical angle, θc ) ซึ่งเป็นไปตามสมการ sin = 2 ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต จะทำให้ไม่มแี สง
1
หกั เหผ่านเข้าสู่ตัวกลางทีม่ ีดรรชนีหกั เหน้อย มีแตแ่ สงสว่ นทีส่ ะทอ้ นกลับในตัวกลางเดมิ เท่านนั้ เรยี กปรากฏการณ์น้ี

ว่า การสะท้อนกลับหมด (total internal reflection) เมื่อให้แสงขาวผ่านปริซึมจะพบว่าแสงที่หักเหออกจาก

ปรซิ ึมจะแยกออกเป็นแสงสตี า่ ง ๆ เรียก ปรากฏการณ์นว้ี ่า การกระจายแสง (dispersion of light)

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) ปรากฏการณก์ ารสะทอ้ นกลบั หมด พจิ ารณาจากในกรณีท่ีแสงเดนิ ทางจากตวั กลางท่ีมีดรรชนี

หกั เหมากไปยงั ตัวกลางทมี่ ีดรรชนีหักเหน้อย เชน่ จากแก้วไปยงั อากาศ จะทำให้รงั สหี ักเหเบนออกจากเส้นแนวฉาก
โดยมมุ หักเหจะโตกวา่ มุมตกกระทบ ดงั รปู

เมื่อมุมตกกระทบมีคา่ เพิ่มขึ้น จะพบว่ามีมุมตกกระทบมุมหนึ่งทำให้มุมหักเหเป็นมมุ 90

องศา เรยี กมุมตกกระทบนี้วา่ มมุ วกิ ฤต (critical angle, ) ซึง่ เปน็ มมุ ท่ีใชใ้ นการพจิ ารณาการสะท้อนกลับหมด

ในกรณีที่แสงเดินทางจากตัวกลาง ไปยังตัวกลางที่มีดรรชนีหักเห โดยที่ > สามารถหามุม

วิกฤตได้ดงั น้ี

c = sin−1 2
1

ดังนน้ั การสะท้อนกลบั หมดจะเกิดขึน้ เมื่อมมุ ตกกระทบโตกว่ามุมวกิ ฤต เฉพาะกรณีท่ีแสง
เดนิ ทางจากตวั กลางท่ีมดี รรชนหี ักเหมากกวา่ ไปยังผวิ รอยต่อของตวั กลางที่มดี รรชนีหกั เหนอ้ ยกวา่ เทา่ น้นั เชน่ การท่ี
แสงเดินทางจากในนำ้ (ดรรชนหี ักเห 1.33) มายงั ผวิ รอยตอ่ ระหว่างนำ้ กบั อากาศ (ดรรชนีหกั เห 1.00)

2) ปรากฏการณก์ ารกระจายแสงเกิดข้นึ เนือ่ งจากแสงขาวประกอบด้วยแสงหลายสีและดรรชนีหัก
เหของแก้วสำหรับแสงแต่ละสีไม่เท่ากัน ทำให้เมื่อรังสีแสงขาวผ่านปริซึมที่ทำจากแก้วคราวน์ ซึ่งแสงสีทุกสี
ตกกระทบปริซมึ ดว้ ยมุมตกกระทบเท่ากนั เกิดการหักเหดว้ ยมุมท่ีไมเ่ ทา่ กัน แสงสแี ต่ละสแี ยกออกจากกนั

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (การแกส้ มการ)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ (ทำงานกลุ่ม และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร์)

399

5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝเ่ รียนรู้ และมีความรบั ผิดชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บรู ณาการ PLC นกั เรียนแตล่ ะคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสูก่ นั ฟงั ถึงความรูท้ ไ่ี ด้จากการศกึ ษาค้นคว้า
6.2 บรู ณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การแกส้ มการ

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั ตอนการเรยี นรู้
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรู้ เร่ือง การหกั เหของแสง
1.2 ครูนำภาพการเกดิ การสะท้อนกลบั หมด และการเกิดมุมวิกฤตมาให้นักเรียนได้วิเคราะห์ และ
ตอบคำถามเพอื่ นำเขา้ สกู่ ารทำกจิ กรรม ดังน้ี

1) แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมากกว่าไปยังผิวรอยต่อของตัวกลางที่มี
ดรรชนีหักเหน้อยกว่า มุมตกกระทบที่ทำใหม้ ุมหักเหเท่ากับ 90 องศา เราจะเรียกวา่ มมุ ตกกระทบน้ีว่ามมุ
อะไร (แนวการตอบ มมุ วกิ ฤต ( ))

2) ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต ทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงเป็นอย่างไร (แนวการ
ตอบ ทิศทางของแสงเคลื่อนทีไ่ ปยงั ตัวกลางเดมิ )

ขัน้ ที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
2.1 ครูใหน้ กั เรยี นทุกคนศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มลู และทำความเข้าใจ เร่ือง การสะท้อนกลับหมด การ

เกดิ มุมวกิ ฤต และการกระจายแสง ในหนงั สือเรียน และอนิ เทอร์เนต็
2.2 นักเรียนทุกคนสรปุ สิ่งท่ศี กึ ษาได้ลงในสมุด
2.3 นกั เรยี นทำใบงาน เรื่อง การสะทอ้ นกลับหมด การเกดิ มมุ วกิ ฤต และการกระจายแสง

ขน้ั ที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครสู มุ่ นักเรียน 2 กล่มุ ออกมานำเสนอผลงานของตนเองหน้าชัน้ เรียน
3.2 ครนู ำนักเรยี นอภิปรายโดยใชค้ ำถาม ดังน้ี
1) แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมากกว่าไปยังผิวรอยต่อของตัวกลางที่มี

ดรรชนีหักเหน้อยกว่า มุมตกกระทบที่ทำให้มุมหกั เหเท่ากับ 90 องศา เราจะเรียกว่ามุมตกกระทบนี้ว่ามมุ
อะไร (แนวการตอบ มมุ วกิ ฤต ( ))

400

2) ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต ทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงเป็นอย่างไร (แนวการ

ตอบ ทิศทางของแสงเคลื่อนท่ีไปยังตวั กลางเดิม)

3) จงอธิบายการเกิดมุมวกิ ฤต (critical angle, θc ) (แนวการตอบ ในกรณที แ่ี สงเดนิ ทาง

จากตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมากไปตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหน้อย จะทำให้มุมหักเหโตกว่ามุมตกกระทบ

เมื่อเพิ่มมุมตกกระทบจนมีมุมหักเหเป็นมุม 90 องศาพอดี เรียกมุมตกกระทบนี้ว่า มุมวิกฤต (critical

angle, θc ) ซงึ่ เปน็ ไปตามสมการ sin = 2)

1
4) จงอธิบายปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมด (total internal reflection) (แนวการ

ตอบ ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต จะทำให้ไม่มีแสงหักเหผ่านเขา้ สู่ตวั กลางที่มีดรรชนีหกั เหนอ้ ย มีแต่

แสงส่วนที่สะทอ้ นกลับในตัวกลางเดิมเท่านั้น)

5) จงอธิบายปรากฏการณ์การกระจายแสง (dispersion of light) (แนวการตอบ เมื่อให้

แสงขาวผา่ นปรซิ ึมจะพบวา่ แสงทหี่ กั เหออกจากปริซมึ จะแยกออกเป็นแสงสตี า่ ง ๆ)

3.3 นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภปิ รายและสรุปปรากฏการณก์ ารเกิดมุมวกิ ฤต การสะท้อนกลับหมด

และการกระจายแสง

ขั้นท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้

4.1 ครูอธิบายใหค้ วามรู้เพิ่มเติม ดังนี้

ปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมด พิจารณาจากในกรณีที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มี

ดรรชนีหกั เหมากไปยงั ตวั กลางที่มีดรรชนีหักเหน้อย เช่น จากแกว้ ไปยังอากาศ จะทำใหร้ ังสีหักเหเบนออก

จากเสน้ แนวฉาก โดยมุมหกั เหจะโตกวา่ มุมตกกระทบ

เมื่อมุมตกกระทบมีค่าเพ่ิมขึ้น จะพบว่ามีมุมตกกระทบมมุ หนึ่งทำให้มุมหักเหเป็นมุม 90

องศา เรยี กมมุ ตกกระทบนี้ว่า มุมวกิ ฤต (critical angle, ) ซง่ึ เปน็ มุมท่ีใช้ในการพิจารณาการสะท้อน

กลบั หมด ในกรณที ีแ่ สงเดินทางจากตวั กลาง ไปยังตวั กลางท่ีมีดรรชนหี ักเห โดยที่ >

สามารถหามมุ วิกฤตไดด้ ังนี้

c = sin−1 2
1

ดงั นน้ั การสะท้อนกลับหมดจะเกิดขึ้นเมอ่ื มุมตกกระทบโตกว่ามมุ วกิ ฤต เฉพาะกรณีที่แสงเดินทาง
จากตวั กลางท่ีมีดรรชนหี กั เหมากกว่าไปยงั ผิวรอยตอ่ ของตวั กลางท่ีมดี รรชนีหกั เหนอ้ ยกว่าเท่าน้ัน เช่น การ
ท่ีแสงเดนิ ทางจากในนำ้ (ดรรชนีหักเห 1.33) มายังผิวรอยต่อระหวา่ งน้ำกบั อากาศ (ดรรชนีหกั เห 1.00)

4.2 ครอู ธบิ ายตวั อย่าง 11.3-11.4 ในหนงั สือเรยี น
4.3 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ประโยชน์ของการสะท้อนกลับหมด ในหนังสือหน้า 173 และ
สเปกตรมั (spectrum)

ขัน้ ที่ 5 ข้นั ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นส่งใบงาน เรือ่ ง การสะทอ้ นกลบั หมด การเกดิ มมุ วกิ ฤต และการกระจายแสง

401

8. สอ่ื การเรียนรู/้ แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เน็ต
8.3 ใบงาน เรือ่ ง การสะทอ้ นกลับหมด การเกดิ มุมวกิ ฤต และการกระจายแสง

9. การวัดและประเมินผล วธิ ีการวดั เคร่ืองมือ เกณฑก์ ารประเมิน
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจคำถามในใบงาน 1) ใบงาน เรอ่ื ง การ 1) นกั เรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K) เรอื่ ง การสะทอ้ นกลับหมด สะท้อนกลบั หมด ตอบคำถามไดร้ ะดับ
1) อธบิ ายการสะทอ้ นกลับหมด การเกิด การเกิดมุมวกิ ฤต และการ การเกิดมมุ วกิ ฤต ดีผ่านเกณฑ์
มมุ วิกฤต และการกระจายของได้ กระจายแสง และการกระจายแสง
1) นกั เรยี นสามารถ
ดา้ นกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบงาน เร่ือง การ 1) ใบงาน เรื่อง การ บนั ทกึ ผลการทดลอง
1) สามารถคำนวณหาปริมาณต่างๆ ท่ี สะทอ้ นกลับหมด การเกิด สะทอ้ นกลบั หมด และสรปุ ผลการ
เก่ียวขอ้ งได้ มุมวกิ ฤต และการกระจาย การเกดิ มุมวกิ ฤต ทดลองไดร้ ะดบั ดี
แสง และการกระจายแสง ผ่านเกณฑ์
ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผดิ ชอบ 1) ตรวจการสง่ ใบงาน 1) ใบงาน เรือ่ ง การ 1) นักเรยี นไดร้ ะดบั ดี
เรือ่ ง การสะท้อนกลบั หมด สะท้อนกลับหมด ผ่านเกณฑ์
การเกิดมุมวิกฤต และการ การเกิดมุมวิกฤต
กระจายแสง และการกระจายแสง

402

10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรอื่ ง การสะท้อนกลับหมด การเกดิ มมุ วิกฤต และการกระจายแสง

ประเดน็ การ คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน

ดา้ นความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถกู ต้องทกุ ขอ้

(K) 2 ตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ งมากกว่า 3 ขอ้

1 ตอบคำถามไดถ้ กู ตอ้ งนอ้ ยกว่า 3 ข้อ

ดา้ น 3 ทำโจทย์ปญั หาไดถ้ กู ตอ้ งทกุ ข้อ

กระบวนการ 2 ทำโจทย์ปัญหาได้ถกู ตอ้ ง 1 ข้อ

(P) 1 ทำโจทย์ปญั หา แต่ไมถ่ กู ตอ้ ง

ด้าน 3 ทำภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบรอ้ ยถูกตอ้ งครบถ้วน

คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางส่วน

(A) 1 ทำภาระงานท่ีไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

403

การประเมนิ การทำกจิ กรรม เรื่อง การสะท้อนกลบั หมด การเกิดมมุ วิกฤต และการกระจายแสง

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ช่อื - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

404

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

405

บันทึกหลังการสอน

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 11 เร่ือง แสงเชงิ รงั สี อ

แผนการสอนที่ 31 เร่ือง การสะทอ้ นกลบั หมด การเกิดมมุ วกิ ฤต และการกระจายแสง .

วันที่.................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................

ผลการจดั การเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชือ่ .............................................หวั หนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)

ลงชือ่ ............................................. รองฯ กล่มุ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)

ลงช่อื ............................................ผู้อำนวยการโรงเรียน
(นายสุริยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..

406
ชื่อ ……………………………………………………………………………….. ชั้น ……………………….. เลขท่ี ………………

ใบงาน เร่ือง การสะทอ้ นกลับหมด การเกดิ มมุ วิกฤต และการกระจายแสง

ตอนท่ี 1 คำชี้แจง จงตอบคำถามใหถ้ กู ต้องครบถว้ น

1) แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมากกว่าไปยังผิวรอยต่อของตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหน้อยกว่า
มุมตกกระทบท่ีทำใหม้ ุมหักเหเท่ากบั 90 องศา เราจะเรยี กว่ามมุ ตกกระทบน้วี า่ มุมอะไร
ตอบ มมุ วิกฤต ( )

2) ถ้ามุมตกกระทบโตกวา่ มมุ วิกฤต ทศิ ทางการเคลอ่ื นทข่ี องแสงเป็นอย่างไร

ตอบ ทศิ ทางของแสงเคลอ่ื นทไ่ี ปยงั ตัวกลางเดมิ m

3) จงอธิบายการเกดิ มมุ วิกฤต (critical angle, θc )

ตอบ ในกรณีทแ่ี สงเดนิ ทางจากตัวกลางทีม่ ดี รรชนีหกั เหมากไปตวั กลางทม่ี ีดรรชนีหักเหนอ้ ย จะทำใหม้ ุมหักเหโตกว่า

มมุ ตกกระทบ เม่ือเพมิ่ มมุ ตกกระทบจนมมี ุมหักเหเปน็ มุม 90 องศาพอดี เรยี กมุมตกกระทบนีว้ า่ มมุ วกิ ฤต (critical

angle, θc ) ซง่ึ เปน็ ไปตามสมการ sin = 2 อ
1

4) จงอธบิ ายปรากฏการณก์ ารสะท้อนกลบั หมด (total internal reflection)

ตอบ ถา้ มุมตกกระทบโตกว่ามุมวกิ ฤต จะทำใหไ้ มม่ แี สงหกั เหผ่านเข้าสู่ตัวกลางท่มี ีดรรชนีหักเหนอ้ ย มีแต่แสงส่วนท่ี

สะทอ้ นกลบั ในตวั กลางเดมิ เท่านั้น อ

5) จงอธิบายปรากฏการณ์การกระจายแสง (dispersion of light)

ตอบ เมอื่ ใหแ้ สงขาวผ่านปริซึมจะพบว่าแสงท่ีหกั เหออกจากปรซิ ึมจะแยกออกเปน็ แสงสตี า่ ง ๆ v

407

ตอนที่ 2 คำช้ีแจง จงแสดงวิธกี ารหาคำตอบให้ถูกต้อง
1. ถ้าแก้ววางอยู่ในน้ำแทนที่จะเป็นอากาศ มุมวิกฤตสำหรับการสะท้อนกลับหมดในแก้วทีร่ อยตอ่ ระหว่างแก้วกับ
อากาศจะมีคา่ เทา่ ใด

วธิ ที ำ หา จากสูตร น

วธิ ีทำ หา x จากสูตร น

วิธีทำ หา x จากสูตร น

วิธีทำ หา x จากสูตร น

วิธีทำ หา x จากสูตร น

วิธที ำ หา x จากสูตร น

วธิ ีทำ หา x จากสูตร น

2. จงหามุมวิกฤตของเพชรเม่ือแสงผ่านจากเพชรไปยังน้ำ กำหนดดรรชนีหักเหของเพชรและน้ำเท่ากับ 2.42 และ
1.33 ตามลำดบั

วิธีทำ หา x จากสูตร น
วิธีทำ หา x จากสูตร น
วิธีทำ หา x จากสูตร น
วธิ ที ำ หา x จากสูตร น
วธิ ที ำ หา x จากสูตร น
วิธีทำ หา x จากสูตร น

408

เฉลยใบงาน เร่ือง การสะท้อนกลับหมด การเกิดมุมวกิ ฤต และการกระจายแสง

ตอนท่ี 1 คำชแี้ จง จงตอบคำถามให้ถกู ตอ้ งครบถว้ น

1) แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหมากกว่าไปยังผิวรอยต่อของตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหน้อยกว่า
มุมตกกระทบทที่ ำให้มุมหักเหเทา่ กับ 90 องศา เราจะเรยี กวา่ มมุ ตกกระทบนี้ว่ามมุ อะไร
ตอบ มุมวิกฤต ( )

2) ถ้ามุมตกกระทบโตกว่ามุมวิกฤต ทศิ ทางการเคลอื่ นทข่ี องแสงเปน็ อย่างไร

ตอบ ทิศทางของแสงเคลอ่ื นทไ่ี ปยงั ตวั กลางเดมิ m

3) จงอธิบายการเกดิ มมุ วิกฤต (critical angle, θc )

ตอบ ในกรณีทีแ่ สงเดินทางจากตัวกลางทมี่ ดี รรชนหี กั เหมากไปตัวกลางที่มีดรรชนีหกั เหน้อย จะทำใหม้ มุ หกั เหโตกว่า

มุมตกกระทบ เมอื่ เพ่ิมมมุ ตกกระทบจนมมี มุ หกั เหเปน็ มมุ 90 องศาพอดี เรียกมุมตกกระทบนวี้ า่ มุมวิกฤต (critical

angle, θc ) ซ่ึงเป็นไปตามสมการ sin = 2 อ
1

4) จงอธิบายปรากฏการณ์การสะท้อนกลับหมด (total internal reflection)

ตอบ ถา้ มมุ ตกกระทบโตกวา่ มุมวิกฤต จะทำใหไ้ มม่ ีแสงหกั เหผ่านเข้าสู่ตวั กลางทีม่ ีดรรชนีหกั เหนอ้ ย มีแต่แสงส่วนท่ี

สะท้อนกลับในตวั กลางเดิมเท่าน้นั อ

5) จงอธบิ ายปรากฏการณ์การกระจายแสง (dispersion of light)

ตอบ เมอื่ ให้แสงขาวผ่านปรซิ มึ จะพบวา่ แสงทห่ี กั เหออกจากปรซิ ึมจะแยกออกเปน็ แสงสีตา่ ง ๆ v

409

ตอนที่ 2 คำช้ีแจง จงแสดงวธิ กี ารหาคำตอบใหถ้ ูกตอ้ ง
1. ถ้าแก้ววางอยู่ในน้ำแทนทีจ่ ะเป็นอากาศ มุมวิกฤตสำหรับการสะท้อนกลับหมดในแก้วทีร่ อยตอ่ ระหว่างแก้วกับ
อากาศจะมคี ่าเท่าใด

วิธที ำ หามมุ วกิ ฤตจากกฎของสเนลลโ์ ดยพจิ ารณามมุ หกั เหมขี นาดเท่ากับ 90 องศา และใช้ดรรชนหี ักเหของน้ำ

เทา่ กับ 1.33 v

จากกฎของสเนลล์ n1 sin 1 = n2 sin 2 .
หามมุ วิกฤต จากสมการ v
แทนค่า c = sin−1 2 m
.
1

c = sin−1 1.33

1.50

c = sin−1(0.887) = 62.46 องศา

2. จงหามุมวิกฤตของเพชรเมื่อแสงผ่านจากเพชรไปยังน้ำ กำหนดดรรชนีหักเหของเพชรและน้ำเท่ากับ 2.42 และ
1.33 ตามลำดับ

วธิ ที ำ จากกฎของสเนลล์ n1 sin 1 = n2 sin 2 .
m
แทนค่า (1.52) sin 30° = (1.00) sin 2
.
sin 2 = (1.52)(0.5) = 0.760 .

2 = sin−1(0.760) = 49.5 องศา

410

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 32

เรือ่ ง การมองเห็นและการเกดิ ภาพ

รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 3 รหสั วชิ า ว30203 เวลา 3 ช่ัวโมง

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 11 ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ แสงเชิงรังสี รวม 24 ชว่ั โมง

กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1

บูรณาการ

 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  มาตรฐานสากล  ข้ามกลุ่มสาระ

1. สาระฟสิ กิ ส์
2. เขา้ ใจการเคลอ่ื นที่แบบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ย ธรรมชาติของคลืน่ เสยี งและการได้ยนิ ปรากฏการณ์ที่

เกี่ยวขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับแสงรวมทง้ั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
6. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคำนวณ

ตำแหน่งและขนาดภาพของวัตถุ เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้งอธิบาย
การนำความรูเ้ ร่อื งการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบ และกระจกเงาทรงกลม ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจำวัน

3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายวิธกี ารเขียนรังสีของแสงและการเกดิ ภาพจากการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบ
2) อธบิ ายวิธีการเขียนรงั สีของแสงและการเกดิ ภาพจากการหกั เหของแสงที่ผ่านตัวกลางทต่ี า่ งกัน
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) เขียนรังสีของแสง ระบุตำแหนง่ และชนิดของภาพทเี่ กิดจากการสะท้อนของแสงจากกระจกเงา
ราบ
2) เขียนรงั สีของแสง และคำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ของการเกดิ ภาพท่ีเกิดจากการหักเหของแสงที่
ผ่านตัวกลางท่ีต่างกนั
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) ม่งุ มัน่ ในการทำงาน และมีความรับผดิ ชอบ

4. สาระสำคญั
เมื่อแสงจากวัตถุถูกทำให้เปลี่ยนเส้นทางเดินมาเข้าตา เช่น การสะท้อนกับกระจกเงาราบ การหักเหผ่าน

เลนส์บาง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทำให้เห็นวัตถุตรงตำแหน่งทแ่ี นวรงั สีทเ่ี ปล่ียนเส้นทางมาเข้าตาตัดกัน
ซ่งึ อาจไมพ่ บวัตถุจริงตรงตำแหนง่ นน้ั เรียกสิ่งที่มองเห็นวา่ ภาพ (image)

411
กระจกเงาราบสามารถสะทอ้ นแสงได้ดี ภาพของวตั ถุที่เกิดจากการสะท้อนกับกระจกเงาราบหาได้จากการ
เขียนรงั สีของแสง หรอื ใชค้ วามสมั พนั ธ์ ′ = −
เมื่อแสงจากวัตถุเดินทางผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหต่างกัน ตำแหน่งภาพที่มองเห็นจะ
ตา่ งไปจากตำแหนง่ ของวัตถุจริงทำให้ความลึกท่ปี รากฏต่อสายตาต่างไปจากความลึกจริงของวัตถุ ซึ่งหาได้จากการ
เขยี นรงั สขี องแสง หรอื ใชค้ วามสมั พันธ์ ′ =



5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) การมองเห็นวัตถุใดได้ต้องมีแสงจากวัตถุนั้นเข้าสู่ตาเรา ซึ่งวัตถุนั้นอาจจะเป็นวัตถุที่มีแสงใน

ตวั เองหรือวัตถุนัน้ สะท้อนจากแหง่ กำเนิดอืน่ มาเขา้ ตาเรา เชน่ การมองเห็นตน้ ไม้ต้นหนึง่ ดงั รปู

- การมองต้นไม้ตำแหน่ง C คือ ส่วนยอดสุดของต้มไม้ แสดงว่ามีแสงจากจดุ C มาเข้าตา
เรา และถ้าเราขยับตัวไปด้านข้าง เรายังคงมองเห็นจดุ C ได้ แสดงว่าแสงทีอ่ อกจากจดุ C นั้นไม่ได้มีเพยี ง
ทศิ ทางใดทศิ ทางหนึ่ง แตจ่ ะออกไดท้ ุกทิศทาง (ดงั รูป ก.)

- หากพิจารณาเฉพาะรังสขี องแสงที่มาเข้าตาเราเท่านั้น อาจเขียนรงั สีของแสงออกจาก
จุด C ด้วยรังสเี พียงไม่กี่เส้น ซงึ่ ในทีน่ ้ี คือ 3 เส้น (ดังรปู ข.)

- แต่การมองเห็นของมนุษย์ ไม่ไดเ้ หน็ เฉพาะจดุ C เท่านนั้ เราสามารถเห็นสว่ นอน่ื ๆ ของ
ต้นไมด้ ้วย แสดงวา่ มีแสงจากสว่ นอ่นื ออกมาเข้าตาเราอีกด้วย (ดงั รูป ค.)

- การทีต่ าเราสามารถแยกได้ว่าแสงมาจากส่วนไหนของต้นไม้ เนื่องจากแสงจากแต่ละจุด
บนวตั ถุทม่ี าเขา้ ตาเรานนั้ เป็นแสงที่บานออก เมอื่ รงั สขี องแสงบางส่วนเข้าตาเรา เลนส์ตาจะทำหนา้ ที่ช่วยให้
แสงไปตกกระทบบนจอตา (retina) และการรบั รบู้ นจอตาจะสง่ สญั ญาณให้สมองแปลความหมายจนทำให้
เราเหน็ ต้นไม้ได้

412

2) การเกดิ ภาพ
- ภาพทีเ่ กดิ จากการสะทอ้ น การสะท้อนกับกระจกเงาราบ การหกั เหผา่ น เลนส์บาง การ

สะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทำใหเ้ หน็ วตั ถุตรงตำแหน่งท่แี นวรงั สีที่เปลี่ยนเส้นทางมาเขา้ ตาตัดกัน ซ่ึงอาจไม่พบ
วตั ถุจริงตรงตำแหน่งนน้ั เรียกสิง่ ท่มี องเหน็ ว่า ภาพ (image)

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่ือสาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จดั กลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (การแกส้ มการ)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ (ทำงานกลุม่ และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร)์

5.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
1) มุง่ มั่นในการทำงาน และมคี วามรับผิดชอบ

6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นกั เรยี นแตล่ ะคนแลกเปลีย่ นเรียนรู้เล่าส่กู นั ฟังถงึ ความร้ทู ไ่ี ด้จากการศกึ ษาค้นคว้า
6.2 บูรณาการกบั กลุ่มสาระการเรียนร้คู ณติ ศาสตร์ เรือ่ ง การแก้สมการ

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขน้ั ตอนการเรยี นรู้
ขัน้ ท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรู้ เรอ่ื ง การเกิดมุมวกิ ฤต การสะท้อนกลับหมด และการกระจายแสง
1.2 ครูยกสถานการณ์ “ในเวลากลางคนื หรือเวลาทเ่ี ราอยู่ในสถานท่ีทมี่ ืดสนิท” แลว้ ต้งั คำถามเพื่อ
เขา้ สกู่ จิ กรรม
1) ในเวลากลางคืนหรือเวลาที่เราอยู่ในสถานที่ที่มืดสนิท เราสามารถมองเห็นวัตถุได้
หรือไม่
2) ถ้ามีการส่องแสง เช่น แสงจากไฟฉายไปกระทบวตั ถุจะทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุ
ไดห้ รือไม่
3) จากสถานการณ์ดังกลา่ วนกั เรียนสามารถนำมาอธิบายการมองเหน็ วัตถไุ ด้อยา่ งไร
(โดยครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนแสดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระและไม่คาดหวงั คำ ตอบทีถ่ ูกตอ้ ง)

ขน้ั ท่ี 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
2.1 ครูใหน้ ักเรยี นทกุ คนศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู และทำความเข้าใจ เรื่อง การมองเห็นและการเกดิ ภาพ

ในหนงั สือเรียน และอนิ เทอร์เนต็
2.2 นกั เรียนทุกคนสรปุ สิ่งที่ศึกษาไดล้ งในสมุด
2.3 นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การมองเหน็ และการเกดิ ภาพ

413

ขั้นท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูสุ่มนกั เรียน 2 กล่มุ ออกมานำเสนอผลงานของตนเองหน้าชัน้ เรียน
3.2 ครนู ำนักเรยี นอภิปรายโดยใชค้ ำถาม ดังนี้
1) การมองเห็นวตั ถเุ กดิ ข้ึนเนอื่ งจากอะไร (แนวการตอบ การมองเห็นวัตถเุ กิดข้นึ เนื่องจาก

มีแสงจากวัตถเุ ขา้ ตา)
2) เลนส์ตามีหน้าที่อย่างไร (แนวการตอบ ช่วยให้แสงไปรวมกนั ทีต่ ำแหน่งตา่ ง ๆ บนจอ

ตา ทำใหเ้ กดิ การรบั รูบ้ นจอตาสง่ สัญญาณใหส้ มองแปลความหมายเปน็ การมองเหน็ วัตถุ)
3) ภาพทเี่ หน็ จากกระจกเงาราบอยู่ดา้ นหลงั กระจกเงาราบ เนื่องจากอะไร
(แนวการตอบ ภาพทเี่ หน็ เกิดจากแสงสะทอ้ นท่ีผวิ กระจก โดยแสงดังกลา่ วเสมือนออกมา

จากตำแหน่งภาพท่อี ยู่หลงั กระจกเงาราบ)
4) เมื่ออยู่ในอากาศและมองวัตถุที่อยู่ในน้ำ จากด้านบน จะเห็นภาพของวัตถุในน้ำเป็น

อย่างไร (แนวการตอบ อยตู่ ้ืนกวา่ ตำแหน่งของวตั ถจุ รงิ )
3.3 นกั เรยี นและครรู ่วมกนั อภปิ รายและสรุปการมองเห็นและการเกิดภาพ

ข้ันที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายให้ความรูเ้ พิ่มเตมิ ดังนี้
เมือ่ แสงจากวตั ถถุ ูกทำให้เปล่ียนเส้นทางเดนิ มาเข้าตา เช่น การสะทอ้ นกบั กระจกเงาราบ

การหักเหผา่ น เลนส์บาง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทำใหเ้ ห็นวัตถตุ รงตำแหน่งท่แี นวรังสีท่ีเปลี่ยน
เสน้ ทางมาเข้าตาตัดกัน ซ่งึ อาจไมพ่ บวัตถจุ ริงตรงตำแหนง่ นัน้ เรยี กส่งิ ทม่ี องเหน็ ว่า ภาพ (image)

กระจกเงาราบสามารถสะทอ้ นแสงได้ดี ภาพของวตั ถทุ ี่เกิดจากการสะท้อนกับกระจกเงา
ราบหาไดจ้ ากการเขยี นรงั สขี องแสง หรอื ใชค้ วามสัมพนั ธ์ ′ = −

เมื่อแสงจากวัตถุเดินทางผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มีดรรชนีหักเหต่างกัน ตำแหน่ง
ภาพทีม่ องเหน็ จะ ต่างไปจากตำแหน่งของวัตถุจรงิ ทำให้ความลึกท่ีปรากฏต่อสายตาต่างไปจากความลึกจริง
ของวัตถุ ซึ่งหาไดจ้ ากการเขยี นรังสขี องแสง หรอื ใชค้ วามสมั พันธ์ ′ =



ขั้นท่ี 5 ข้ันประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นส่งใบงาน เร่อื ง การมองเห็นและการเกิดภาพ

8. สื่อการเรยี นร้/ู แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส)์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 เลม่ 3 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต
8.3 ใบงาน เรอื่ ง การมองเห็นและการเกิดภาพ

414

9. การวัดและประเมินผล

จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน

ดา้ นความรู้ (K) 1) สมุดบันทึก 1) นกั เรยี นสามารถ
2) ใบงาน เรือ่ ง การ สรปุ องคค์ วามรู้ได้
1) อธบิ ายวิธกี ารเขยี นรังสขี องแสงและ 1) ตรวจสมุดบันทึก มองเหน็ และการเกดิ ระดับดผี ่านเกณฑ์
ภาพ 2) นักเรียนสามารถ
การเกิดภาพจากการสะทอ้ นของแสง การศกึ ษาค้นควา้ ตอบคำถามไดร้ ะดบั
ดีผา่ นเกณฑ์
จากกระจกเงาราบ 2) ตรวจคำถามในใบงาน

2) อธิบายวธิ กี ารเขยี นรังสีของแสงและ เร่อื ง การมองเหน็ และการ

การเกิดภาพจากการหกั เหของแสงทผ่ี า่ น เกิดภาพ

ตัวกลางท่ีตา่ งกนั

ดา้ นกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบงาน เรือ่ ง การ 1) ใบงาน เร่อื ง การ 1) นักเรียนสามารถ
1) เขียนรงั สีของแสง ระบตุ ำแหน่งและ มองเห็นและการเกิดภาพ มองเหน็ และการเกดิ เขยี นรังสีของแสงที่
ชนิดของภาพทีเ่ กิดจากการสะทอ้ นของ ภาพ กำหนดให้ไดร้ ะดับดี
แสงจากกระจกเงาราบ ผ่านเกณฑ์
2) เขยี นรงั สขี องแสง และคำนวณหา
ปริมาณตา่ ง ๆ ของการเกิดภาพที่เกิด
จากการหกั เหของแสงท่ีผ่านตัวกลางที่
ต่างกัน

ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1) ตรวจการส่งใบงาน 1) ใบงาน เร่ือง การ 1) นกั เรยี นได้ระดับดี
1) มุ่งมั่นในการทำงาน และมีความ เรือ่ ง การมองเห็นและการ มองเห็นและการเกิด ผา่ นเกณฑ์
รบั ผิดชอบ เกิดภาพ ภาพ
2) ตรวจการส่งสมุดบนั ทกึ 2) สมุดบนั ทึก


Click to View FlipBook Version