265
เฉลยใบกิจกรรม 9.4 การแทรกสอดของคล่ืนผวิ น้ำ
1. รายช่อื สมาชิกท่ี …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
2. จดุ ประสงค์การทำกจิ กรรม
สงั เกตและอธิบายการแทรกสอดของคล่นื ผิวนำ้
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชุด
1. ชดุ ถาดคลื่น 1 เครอื่ ง
2. หมอ้ แปลงโวลต์ต่ำพร้อมสายไฟ 1 แผน่
3. กระดาษขาว
4. วธิ ที ำกิจกรรม
1. ตั้งถาดคลน่ื ให้อยใู่ นแนวระดับ ใส่น้ำในถาดคลื่น จัดปมุ่ กำเนิดคลน่ื อนั กลางและปุ่มด้านข้างอันใดอันหนึ่งให้แตะผิว
น้ำ
2. ทำให้เกิดคลื่นต่อเนื่องวงกลมสองขบวนที่เหมือนกันทุกประการแผ่ออกไป สังเกตภาพที่เกิดขึ้นบนแผ่นกระดาษท่ี
เปน็ ฉาก
5. ผลการทำการทดลอง
266
6. คำถามท้ายการทดลอง
1) จากภาพคล่นื ตอ่ เนื่องวงกลมท่ีสร้างโดยป่มุ กำเนดิ คลืน่ ทงั้ สองปรากฏเป็นแถบมดื แถบมืดน้เี กิดข้ึนได้อย่างไร
ตอบ ตำแหนง่ ท่เี ป็นแถบมดื และแถบสว่าง คอื จดุ ทค่ี ลน่ื จากปมุ่ กำเนดิ คล่ืนทง้ั สองไปรวมกันแบบหกั ลา้ งและเสริมกนั
ตามลำดับไม่มีการเปลีย่ นแปลง แต่ เปลยี่ นแปลงไป โดยความยาวคลื่นนอ้ ยลง
2) การรวมกันของคล่นื ท่ีเกดิ จากแหล่งกำเนดิ อาพันธท์ ีม่ ีแอมพลิจดู เท่ากัน เมื่อรวมกนั จะอะไร
ตอบ เมือ่ รวมกันจะเกิดบัพและปฏิบพั เขตนำ้ ลกึ และเขตน้ำต้นื ถา้ หนา้ คลนื่ ตกกระทบทำมุมกบั รอยต่อ ทศิ ทางการ
3) ปุ่มกำเนดิ คล่นื สองปมุ่ ตดิ อยกู่ ับคานกำเนิดคล่ืนเดยี วกนั จึงทำให้เกิดคลืน่ ผิวนำ้ มีค่าใดเทา่ กนั
ตอบ ความถ่ี คล่ืนผา่ นตวั กลาง อตั ราเร็ว ความยาวคล่ืน สั่นแรง และแอมพลิจูดเท่ากัน น้อ ยกว่าคลื่นหกั เห
4) เมอื่ คลน่ื จากแหลง่ กำเนิดทง้ั สองมาพบกนั จงึ เกดิ จดุ ท่ีคลน่ื มารวมกนั และเกิดจุดที่คลนื่ รวมกันแบบหักล้าง เรยี กวา่ จัด
นน้ั วา่ จุดอะไรตามลำดับ
ตอบ จุดท่ีคลน่ื มารวมกัน เรยี กวา่ แบบเสริม เป็นจดุ ปฏบิ ัพ และจดุ ท่ีคลืน่ รวมกันแบบหักล้าง เป็นจุดบัพ ม
จากการทดลองพบว่า เมอื่ หน้าคลืน่ ผ่านบรเิ วณรอยตอ่ ระหว่างเขตนำ้ ลกึ เขา้ สนู่ ้ำต้นื ถ้าหน้าคลื่นขนานกบั
5) ตำแหน่งที่เปน็ บพั และปฏบิ พั เหล่านี้ ไม่เคล่อื นที่ แสดงวา่ เกดิ คล่นื ใด เปน็ จุดบพั ม
ตอบ คลน่ื น่งิ จดุ ท่คี ลื่นมารวมกนั เรยี กว่า แบบเสริม เปน็ จดุ ปฏบิ ัพ และจุดที่
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบว่า ปุ่มกำเนิดคลื่นสองปุ่มติดอยู่กับคานกำเนิดคลื่นเดียวกัน ทำให้เกิดคลื่นผิวน้ำ
ด้วยความถี่เดียวกัน คลื่นผ่านตัวกลางเดียวกนั อัตราเร็วเท่ากัน ความยาวคลื่นเท่ากัน สั่นแรงเท่ากัน แอมพลิจูดเทา่ กัน
เป็นแหล่งกำเนิดอาพนั ธ์ เมื่อคลื่นจากแหล่งกำเนดิ ทั้งสองมาพบกนั จึงเกิดจุดที่คล่ืนมารวมกนั แบบเสริม เป็นจุดปฏิบพั
และจุดทค่ี ลื่นรวมกันแบบหักลา้ ง เป็นจดุ บัพ ซ่งึ ตำ แหน่งทเ่ี ปน็ บพั และปฏบิ ัพเหลา่ น้ี ไมเ่ คลือ่ นที่ จึงเปน็ คลน่ื นิง่ สะทอ้ น
b
b
b
267
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 22
เรื่อง การเลีย้ วเบนของคลื่นผวิ น้ำ
รายวิชา ฟิสกิ ส์ 3 รหสั วชิ า ว30203 เวลา 2 ชั่วโมง
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 9 ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ คลื่น รวม 24 ช่ัวโมง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1
บูรณาการ
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง อาเซยี น STEM PLC
สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น มาตรฐานสากล ขา้ มกลุ่มสาระ
1. สาระฟิสกิ ส์
2. เข้าใจการเคล่อื นท่ีแบบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย ธรรมชาตขิ องคลนื่ เสยี งและการได้ยนิ ปรากฏการณ์ที่
เกีย่ วข้องกบั เสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเ่ี กี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
4. สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบนของคลื่นผิวน้ำ รวมท้ัง
คำนวณปริมาณต่าง ๆ ท่เี กยี่ วข้อง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายการเลีย้ วเบนของคลน่ื ผวิ นำ้ ได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) ทดลองและสงั เกตการเลีย้ วเบนของคล่นื ผวิ นำ้ ได้
3.3 ดา้ นเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผิดชอบ
4. สาระสำคญั
พฤตกิ รรมของคล่ืน คลื่นแสดงพฤตกิ รรมการสะทอ้ นเม่อื กระทบสง่ิ กดี ขวางหรือรอยตอ่ ของตวั กลางท่ี
ตา่ งกนั
การสะทอ้ นของคลนื่ เป็นไปตามกฎการสะทอ้ น คือ มุมสะทอ้ นเท่ากบั มมุ ตกกระทบ คล่นื สะทอ้ นในเชือกจะ
กลับเฟสเม่ือปลายเชือกตรงึ แน่น และคลืน่ สะทอ้ นในเชือกมเี ฟสคงเดิม เมอ่ื ปลายเชอื กอิสระ
คลน่ื เกดิ การหักเหเมอื่ เคลื่อนทผี่ ่านรอยตอ่ ของตวั กลางที่ต่างกัน โดยคลื่นมคี วามถี่คงท่ี แตอ่ ตั ราเรว็ คลนื่
เปล่ยี นไปเป็นไปตามกฎการหักเห แทนดว้ ยสมการ sin 1 = 1
sin 2 2
เม่ือคลน่ื สองขบวนเคลื่อนที่มาพบกันเกดิ การแทรกสอดกนั ถ้าคล่ืนจากแหลง่ กำเนิด S1 และ S2 มีความถี่
เท่ากนั เฟสตรงกัน แอมพลจิ ูดเทา่ กนั เม่ือแทรกสอดกันเกดิ ตำแหน่งท่รี วมแบบเสริม เรยี กว่า ปฏิบัพ และแบบหักลา้ ง
เรยี กว่า บพั โดยตำแหนง่ ท่ีเกดิ ปฏิบัพเปน็ ไปตามสมการ | 1 − 1 | = เม่อื n = 0, 1, 2, 3, …
และตำแหน่งท่เี กิดบพั เป็นไปตามสมการ | 1 − 1 | = ( = 1) เมอ่ื n = 1, 2, 3, …
2
268
คลื่นอาพนั ธส์ องขบวนเคลือ่ นที่สวนทางกันจะเกดิ การแทรกสอดเกดิ เป็นปฏิบัพและบัพทีอ่ ย่นู ิ่ง โดยมีระยะ
ระหว่างบพั ทีถ่ ัดกัน และปฏบิ พั ทีถ่ ดั กนั เท่ากบั คร่ึงหนงึ่ ของความยาวคล่ืน เรยี กว่า คลืน่ นิง่
คล่ืนเกิดการเลีย้ วเบนเมอ่ื เคลือ่ นท่ีพบขอบของสิง่ กดี ขวางหรือช่องแคบ แล้วมีคล่นื แผ่ออกจากของของ
สิ่งกีดขวางไปทางด้วนหลงั ได้
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
เมื่อเคลื่อนเคล่อื นทม่ี าถึงบรเิ วณท่ีมีสง่ิ กีดขวาง ตรงจดุ ท่ีเปน็ ขอบของสงิ่ กีดขวาง คลน่ื จะเปลี่ยนทิศ
ทางการเคลื่อนที่ อ้อมขอบสิ่งกีดขวางไปด้านหลังของสิ่งกีดขวางได้โดยทิศทางของการเคลื่อนที่จะเปลี่ยนไปและ
แอมพลิจูดของคลื่นที่อ้อมไปนั้นมีค่าน้อยลง แต่ความยาวคลื่นกับความถี่ยังคงเดิม เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
การเล้ียวเบน (diffraction)
จากรปู 9.27 แสดงการเลี้ยวเบนของคล่นื ระนาบผ่านส่งิ กีดขวาง 2 แบบ ในรปู ดา้ นซ้าย 8
คล่นื เคลื่อนที่มาถงึ แผน่ กน้ั ที่มีขอบหนึ่งดา้ น ในรูปด้านขวา คลื่นระนาบเคล่ือนทผี่ ่านช่องทีม่ ีคามกว้างมากกว่าความ
ยาวคลื่น จะเห็นว่าในทั้งสองกรณี เมื่อเคลื่อนที่มาถึงขอบของสิ่งกีดขวาง คลื่น ณ จุดนั้นจะทำตัวเป็นแหล่งกำเนิด
แบบจุด ตามหลกั การของฮอยเกนส์ ทำให้หนา้ คลนื่ ท่ีแผจ่ ากจุดท่ีขอบนั้น เคล่ือนท่ไี ปได้โดยมีหน้าคล่ืนเป็นส่วนโค้ง
วงกลม
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่ือสาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (-)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ (ทำงานกลมุ่ และความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร)์
5.3 คณุ ลักษณะและคา่ นิยม
ใฝ่เรียนรู้ และมีความรับผดิ ชอบ
6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ
ปัญหาทีเ่ กดิ ขึน้ ระหวา่ งการทำกิจกรรม
269
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขัน้ ตอนการเรยี นรู้
ข้ันท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เดิม เรื่อง การแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำ สมการที่เกี่ยวข้องของการแทรก
สอดของคลืน่ ผิวนำ้
1.2 ครทู บทวนหลักการของฮอยเกนสท์ ีเ่ คยเรยี นผ่านมา
1.2 ครูทบทวนพฤตกิ รรมของคล่ืนเมื่อผา่ นรอยต่อของตวั กลางว่ามีคล่ืนสะทอ้ นและหักเห
1.3 ครูยกสถานการณ์ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายกรณีที่คลื่นกระทบสิ่งกีดขวางที่ขนาดเล็กกว่า
ความยาวของหนา้ คลืน่ ทำให้คลื่นสว่ นหน่งึ ผ่านขอบของส่ิงกดี ขวางได้ หรอื สง่ิ กดี ขวางมลี ักษณะเปน็ ชอ่ งทใี่ ห้
คลื่นผ่านได้ คลื่นแสดงพฤติกรรมอย่างไร (เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่
คาดหวังคำ ตอบทถี่ กู ต้อง)
ขนั้ ท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา
2.1 นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 9.5 เรื่อง การแทรกสอดของคลนื่ ผวิ นำ้
2.3 ครแู จ้งจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ อุปกรณ์ และขั้นตอนการทดลองอยา่ งละเอยี ด
2.4 นักเรียนรับอุปกรณ์การทดลอง พรอ้ มตดิ ต้ังอปุ กรณ์
2.5 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มทำการทดลอง สังเกตและบนั ทึกผลการทดลอง
ขน้ั ที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูส่มุ นักเรยี น 2 คน ออกมานำเสนอสรปุ ท่ีได้จากการศกึ ษาหน้าช้นั เรยี น
3.2 ครูนำนกั เรียนอภปิ รายเพ่อื นำไปสกู่ ารสรุปโดยใชค้ ำถามตอ่ ไปนี้
1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ ได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร (แนวการตอบ
ไดผ้ ลเหมอื นกนั )
2) เม่ือใช้แผน่ ก้นั ขวางการเคล่อื นทข่ี องคลื่นผวิ น้ำบางส่วน คลนื่ จะมกี ารเคลอ่ื นที่อย่างไร
บริเวณด้านหลงั ของแผ่นกั้น (แนวการตอบ เมอื่ คลน่ื เคล่ือนที่ผา่ นขอบของแผน่ ก้ัน พบว่ามีคลื่นแผเ่ ป็นแนว
โคง้ ทางดา้ นหลังของแผน่ ก้นั )
3) เม่อื ใช้แผ่นกั้นสองแผน่ ทำชอ่ งเปิดท่มี ีความกวา้ งมากกว่า ใกล้เคยี งและน้อยกว่าความ
ยาวคล่นื ของคลนื่ ผวิ น้ำ ในแต่ละคร้งั คล่ืนท่ีเคลื่อนที่ผ่านชอ่ งเปิดมีลักษณะอยา่ งไร (แนวการตอบ เมื่อคล่ืน
ผ่านชอ่ งเปดิ ท่มี ีความกว้างมากกวา่ ความยาวคลนื่ ดังรปู ก. เมือ่ คลนื่ ผ่านช่องเปดิ ท่มี ีความกวา้ งใกลเ้ คยี งกบั
ความยาวคลนื่ มลี กั ษณะดังรูป ข. และเมือ่ คลนื่ ผ่านชอ่ งเปดิ ทมี่ ีความกว้างน้อยกวา่ ความยาวคลื่นมลี ักษณะ
ดงั รปู ค.)
3.3 นักเรยี นและครูรว่ มกันอภปิ รายและสรปุ ผลการทำการทดลอง จนสรุปได้ ดงั น้ี
จากการทำการทดลอง พบว่า ทุกกรณีที่คลื่นผ่านขอบของสิ่งกีดขวาง หรือผ่านช่องแคบ
จะเกิดคล่ืนแผ่อ้อมไปทางด้านหลังของสิ่งกีดขวางเสมอ เรยี ก พฤตกิ รรมของคล่นื นว้ี ่าการเลยี้ วเบนของคล่ืน
แล้วตง้ั คำ ถามวา่ คลื่นออ้ มเขา้ ไปด้านหลงั ของสิง่ กีดขวางไดอ้ ย่างไร ใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภิปรายอยา่ งอิสระ
270
ข้ันที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายให้ความร้เู พม่ิ เตมิ ดงั นี้
เมือ่ เคลอื่ นเคล่ือนท่ีมาถงึ บริเวณทีม่ ีสง่ิ กีดขวาง ตรงจดุ ทเ่ี ปน็ ขอบของสิ่งกีดขวาง คล่ืนจะ
เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ อ้อมขอบสิ่งกีดขวางไปด้านหลงั ของส่ิงกีดขวางได้โดยทิศทางของการเคลื่อนที่
จะเปลี่ยนไปและแอมพลิจูดของคลื่นที่อ้อมไปนั้นมีค่าน้อยลง แต่ความยาวคลื่นกับความถี่ยังคงเดมิ เรียก
ปรากฏการณ์นวี้ ่า การเลย้ี วเบน (diffraction)
จากรูป 9.27 แสดงการเล้ยี วเบนของคลน่ื ระนาบผ่านสงิ่ กีดขวาง 2 แบบ ในรูปด้านซา้ ย 8
คลื่นเคลื่อนที่มาถึงแผ่นกั้นที่มีขอบหนึ่งด้าน ในรูปด้านขวา คลื่นระนาบเคลื่อนที่ผ่านช่องที่มีคามกว้าง
มากกว่าความยาวคลื่น จะเห็นว่าในทั้งสองกรณี เมื่อเคลื่อนทีม่ าถงึ ขอบของสิ่งกีดขวาง คลื่น ณ จุดนั้นจะ
ทำตัวเป็นแหล่งกำเนิดแบบจุด ตามหลกั การของฮอยเกนส์ ทำใหห้ นา้ คลน่ื ที่แผ่จากจุดท่ีขอบน้ัน เคล่ือนที่
ไปไดโ้ ดยมีหน้าคล่ืนเปน็ สว่ นโคง้ วงกลม
ข้ันที่ 5 ข้ันประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นสง่ ใบกิจกรรม เร่ือง การเล้ียวเบนของคลืน่ ผิวน้ำ
8. สื่อการเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวิชาเพิม่ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอร์เน็ต
8.3 ใบกิจกรรม เรอื่ ง การเลีย้ วเบนของคลืน่ ผวิ น้ำ
8.4 ชดุ กจิ กรรม เรอ่ื ง การเล้ยี วเบนของคลนื่ ผวิ น้ำ
271
9. การวัดและประเมนิ ผล
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน
ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายการเลย้ี วเบนของคลนื่ 1) ตรวจใบกิจกรรม เรือ่ ง 1) ใบกจิ กรรม เร่อื ง การ 1) นกั เรียนสามารถ
ผิวนำ้ ได้ การเลย้ี วเบนของคล่นื ผิวนำ้ เล้ยี วเบนของคลืน่ ผิวน้ำ สรปุ ผลการทดลองได้
ด้านกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบกจิ กรรม เรื่อง ระดบั ดผี ่านเกณฑ์
1) ทดลองและสงั เกตการ การแทรกสอดของคลืน่ ผิว
เลี้ยวเบนของคลืน่ ผวิ น้ำได้ นำ้ 1) ใบกิจกรรม เรื่อง การ 1) นกั เรียนสามารถทำ
เลย้ี วเบนของคลื่นผิวนำ้ ใบกจิ กรรมไดร้ ะดบั ดี
ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจการสง่ ใบกจิ กรรม
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมคี วาม ผา่ นเกณฑ์
รบั ผดิ ชอบ
1) ใบกิจกรรม เรอ่ื ง การ 1) นักเรยี นได้ระดบั ดี
เล้ยี วเบนของคลน่ื ผิวน้ำ ผา่ นเกณฑ์
10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรอื่ ง การเลย้ี วเบนของคลนื่ ผิวน้ำ
ประเดน็ การ ค่านำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรปุ ผลการทดลองได้ถูกต้องครบถว้ น
(K) 2 สรปุ ผลการทดลองคอ่ นขา้ งถกู ตอ้ งครบถว้ น
1 สรุปผลการทดลองไดค้ ่อนข้างถกู ตอ้ ง
ดา้ น 3 บนั ทึกผลกิจกรรมได้ถูกตอ้ งครบถว้ น
กระบวนการ 2 บนั ทึกผลกจิ กรรมค่อนขา้ งถูกตอ้ ง
(P) 1 บนั ทกึ ผลกิจกรรมได้ค่อนขา้ งถกู ตอ้ ง
ดา้ น 3 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถว้ น
คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางสว่ น
ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน
272
การประเมินการทำกิจกรรม เร่อื ง การเล้ยี วเบนของคลื่นผิวน้ำ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ช่อื - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
273
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
274
บันทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 เรอ่ื ง คลื่น อ
แผนการสอนท่ี 22 เรอ่ื ง การเลยี้ วเบนของคลน่ื ผิวน้ .
วนั ท่.ี ................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อปุ สรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงช่ือ............................................ครผู ู้สอน ลงช่ือ.............................................หวั หนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)
ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กลุ่มบรหิ ารวิชาการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)
ลงชอ่ื ............................................ผู้อำนวยการโรงเรยี น
(นายสุรยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..
ใบกิจกรรม 9.5 การเล้ียวเบนของคลน่ื ผิวนำ้ 275
1. รายชอื่ สมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
2. จุดประสงค์การทำกจิ กรรม
สงั เกตและอธบิ ายการแทรกสอดของคล่ืนผวิ นำ้
3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด
1. ชดุ ถาดคลื่น 1 เคร่อื ง
2. หม้อแปลงโวลต์ต่ำพรอ้ มสายไฟ 1 แผน่
3. กระดาษขาว
4. วิธีทำกจิ กรรม
1. ใสน่ ำ้ ในถาดคลื่น วางแผ่นก้นั หน้าตรง ณ บริเวณกลางถาดคลน่ื ในแนวขนานกับคานกำเนิดคล่นื
2. ทำให้เกิดคลื่นเส้นตรงต่อเน่ืองเคลื่อนที่เข้าหาแผ่นกั้น โดยให้หน้าคลื่นขนานกับแผ่นก้ันนั้น สังเกตการณ์เคลื่อนที่
ของคลน่ื เม่ือผา่ นขอบแผ่นก้นั
3. ใชแ้ ผน่ ก้นั สองแผน่ ทำช่องเปดิ ความกว้างมากกว่าความยาวคลนื่ สังเกตลกั ษณะของคลน่ื เมอ่ื ผา่ นช่องเปิด
4. ปรบั ความกวา้ งของชอ่ งเปิดใหม้ ีความกวา้ งใกล้เคียงความยาวคล่นื สงั เกตลักษณะของคลน่ื เม่ือผ่านชอ่ งเปิดไปแลว้
5. ทำซ้ำโดยปรับความกว้างของช่องเปดิ ใหน้ อ้ ยกวา่ ความยาวคลืน่ สงั เกตลกั ษณะของคล่นื เม่ือผ่านช่องเปดิ ไปแลว้
5. ผลการทำการทดลอง
276
6. คำถามทา้ ยการทดลอง
1) เม่อื ใช้แผ่นก้ันขวางการเคลือ่ นท่ขี องคล่นื ผิวน้ำบางส่วน คลื่นจะมกี ารเคลื่อนท่ีอยา่ งไรบริเวณดา้ นหลงั ของแผน่ กน้ั
ตอบ เมอ่ื คลืน่ เคลอื่ นท่ผี า่ นขอบของแผ่นกน้ั พบว่ามีคลื่นแผ่เปน็ แนวโคง้ ทางด้านหลงั ของแผ่นกั้น มีการเปลยี่ นแปลง แต่
b
b
2) เม่ือใช้แผน่ ก้นั สองแผ่นทำชอ่ งเปิดทมี่ คี วามกว้างมากกว่า ใกล้เคียงและนอ้ ยกว่าความยาวคลืน่ ของคล่นื ผวิ น้ำ ในแต่ละ
ครั้งคล่ืนทเี่ คลื่อนท่ีผ่านช่องเปิดมลี ักษณะอย่างไร
ตอบ เมอื่ คลื่นผ่านช่องเปดิ ทีม่ คี วามกวา้ งมากกว่าความยาวคล่นื ดงั รูป ก. เม่อื คล่นื ผ่านชอ่ งเปิดที่มีความกว้างใกล้เคยี งกบั
ความยาวคลื่นมีลกั ษณะดงั รูป ข. และเม่ือคล่ืนผ่านช่องเปดิ ท่ีมีความกวา้ งน้อยกว่าความยาวคล่นื มีลักษณะดงั รปู ค.เขต
น้ำลึกและเขตนำ้ ตน้ื ถ้าหนา้ คล่นื ตกกระทบทำมมุ กบั รอยตอ่ ทศิ ทางการ
น้ำลกึ และเขตน้ำตนื้ ถ้าหน้าคลนื่ ตกกระทบทำมมุ กับรอยตอ่ ทศิ ทางการ
นำ้ ลึกและเขตน้ำตื้น ถ้าหน้าคล่นื ตกกระทบทำมมุ กบั รอยต่อ ทิศทางการ
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบวา่ ทกุ กรณที คี่ ลื่นผ่านขอบของสง่ิ กีดขวาง หรอื ผา่ นชอ่ งแคบจะเกิดคล่ืนแผ่อ้อมไป
ทางดา้ นหลังของสง่ิ กีดขวางเสมอ เรียก พฤติกรรมของคลืน่ นวี้ า่ การเล้ียวเบนของคลน่ื แลว้ ต้ังคำ ถามวา่ คลื่นอ้อมเข้าไป
ด้านหลังของสงิ่ กีดขวางได้อย่างไร ให้นักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายอย่างอสิ ระสะ ท้อน
b
b
b
b
b
b
เฉลยใบกิจกรรม 9.5 การเล้ยี วเบนของคลนื่ ผิวนำ้ 277
1. รายช่อื สมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
2. จดุ ประสงค์การทำกิจกรรม
สงั เกตและอธิบายการแทรกสอดของคลืน่ ผวิ น้ำ
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1. ชุดถาดคล่ืน 1 เครอื่ ง
2. หมอ้ แปลงโวลตต์ ่ำพรอ้ มสายไฟ 1 แผ่น
3. กระดาษขาว
4. วิธีทำกิจกรรม
1. ใส่นำ้ ในถาดคลืน่ วางแผน่ กั้นหน้าตรง ณ บริเวณกลางถาดคลนื่ ในแนวขนานกบั คานกำเนิดคลืน่
2. ทำให้เกิดคลื่นเส้นตรงต่อเนื่องเคลื่อนที่เขา้ หาแผ่นกั้น โดยให้หน้าคลื่นขนานกับแผ่นกั้นนั้น สังเกตการณ์เคลื่อนที่
ของคลน่ื เมือ่ ผ่านขอบแผ่นกนั้
3. ใช้แผน่ กนั้ สองแผน่ ทำชอ่ งเปิดความกว้างมากกว่าความยาวคล่นื สงั เกตลกั ษณะของคลนื่ เมอ่ื ผา่ นชอ่ งเปิด
4. ปรับความกวา้ งของชอ่ งเปิดให้มีความกวา้ งใกลเ้ คยี งความยาวคลื่น สงั เกตลักษณะของคลน่ื เมอื่ ผ่านช่องเปดิ ไปแล้ว
5. ทำซำ้ โดยปรับความกวา้ งของช่องเปดิ ใหน้ อ้ ยกว่าความยาวคลื่น สังเกตลกั ษณะของคล่ืนเมอ่ื ผา่ นช่องเปิดไปแล้ว
5. ผลการทำการทดลอง
ก. ข. ค.
278
6. คำถามทา้ ยการทดลอง
1) เม่อื ใช้แผ่นก้ันขวางการเคลือ่ นท่ขี องคล่นื ผิวนำ้ บางส่วน คล่ืนจะมีการเคลื่อนท่ีอย่างไรบริเวณดา้ นหลงั ของแผน่ กน้ั
ตอบ เมอ่ื คลืน่ เคลอื่ นท่ผี า่ นขอบของแผน่ กน้ั พบว่ามีคลื่นแผ่เปน็ แนวโคง้ ทางด้านหลังของแผ่นกั้น มีการเปลีย่ นแปลง แต่
b
b
2) เม่ือใช้แผน่ ก้นั สองแผ่นทำชอ่ งเปิดทมี่ คี วามกว้างมากกว่า ใกลเ้ คยี งและนอ้ ยกว่าความยาวคลืน่ ของคลน่ื ผิวน้ำ ในแต่ละ
ครั้งคล่ืนทเี่ คลื่อนท่ีผ่านช่องเปิดมลี ักษณะอย่างไร
ตอบ เมอื่ คลื่นผ่านช่องเปดิ ทีม่ คี วามกวา้ งมากกว่าความยาวคล่ืนดังรูป ก. เม่อื คล่นื ผา่ นชอ่ งเปิดที่มีความกวา้ งใกล้เคียงกบั
ความยาวคลื่นมีลกั ษณะดงั รูป ข. และเม่ือคล่ืนผ่านช่องเปดิ ที่มีความกวา้ งน้อยกวา่ ความยาวคล่นื มีลักษณะดงั รปู ค.เขต
น้ำลึกและเขตนำ้ ตน้ื ถ้าหนา้ คล่นื ตกกระทบทำมมุ กบั รอยตอ่ ทศิ ทางการ
น้ำลกึ และเขตน้ำตนื้ ถ้าหน้าคลนื่ ตกกระทบทำมมุ กับรอยตอ่ ทศิ ทางการ
นำ้ ลึกและเขตน้ำตื้น ถ้าหน้าคล่นื ตกกระทบทำมมุ กบั รอยต่อ ทศิ ทางการ
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบวา่ ทกุ กรณที คี่ ลื่นผ่านขอบของส่งิ กีดขวาง หรอื ผา่ นชอ่ งแคบจะเกิดคล่ืนแผ่อ้อมไป
ทางดา้ นหลังของสง่ิ กีดขวางเสมอ เรียก พฤติกรรมของคลืน่ นีว้ า่ การเลี้ยวเบนของคลืน่ แลว้ ต้ังคำ ถามว่า คลื่นอ้อมเข้าไป
ด้านหลังของสงิ่ กีดขวางได้อย่างไร ให้นักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายอยา่ งอสิ ระสะ ท้อน
b
b
b
b
b
b
279
แผนการจัดการเรยี นรู้
บทท่ี 10
เร่ือง แสงเชงิ คล่นื
280
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 23
เร่อื ง แนวคิดเกย่ี วกบั แสงเชิงคล่ืน
รายวิชาฟิสกิ ส์ 3 รหัสวชิ า ว30203 เวลา 1 ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 10 ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ แสงเชงิ คลื่น รวม 12 ชัว่ โมง
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่ 1
บูรณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง อาเซยี น STEM PLC
สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น มาตรฐานสากล ข้ามกลมุ่ สาระ
1. สาระฟิสกิ ส์
2. เขา้ ใจการเคลอื่ นท่ีแบบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลนื่ เสยี งและการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่
เกย่ี วขอ้ งกบั เสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับแสงรวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธบิ ายการแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคู่และเกรตติง การเล้ยี วเบนและการแทรกสอดของ
แสงผา่ นสลิตเด่ียว รวมทง้ั คำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วข้อง
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายแนวคดิ เกีย่ วกบั แสงเชงิ คล่นื ได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) ระบุไดว้ ่าแสงเป็นคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทีต่ ามองเห็นได้
3.3 ดา้ นเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมคี วามรับผิดชอบ
4. สาระสำคญั
แสงเปน็ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าความยาวคลน่ื อยู่ในชว่ งประมาณ 400-700 นาโนเมตร ซึง่ ตามนุษยร์ ับร้ไู ด้ และ
แสดงพฤตกิ รรมการแทรกสอดและการเลีย้ วเบนเช่นเดียวกบั คลื่นกล
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
คลื่นแสงหรือเรียกสัน้ ๆ ว่า แสง เป็นคลื่นชนิดทีแ่ ตกต่างจากคลื่นเสียงหรือคลื่นผิวน้ำซ่ึงเป็นคลนื่
กลท่ีตอ้ งอาศัยตวั กลางในการส่งผ่านพลังงาน สว่ นคลน่ื แสงเป็นคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าทไี่ มจ่ ำเปน็ ต้องอาศัยตัวกลางใน
การส่งผ่านพลังงาน คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ในย่านที่ตามนุษย์สามารถตอบสนองได้หรือในช่วงความยาวคลื่นประมาณ
400-700 นาโนเมตร แสงทุกย่นความถี่เคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วเท่ากันในสุญญากาศ โดยอัตราเร็วในสุญญากาศมี
ค่าประมาณ 3 x 10 8 เมตรต่อวินาที ซึ่งตราบจนถึงปัจจุบันพบว่าเป็นอัตราเร็วสูงสุด ไม่มีคลื่นหรืออนุภาคใดๆ
เคลื่อนท่ใี นสุญญากาศด้วยอตั ราเรว็ หรือมากกวา่ แสง
281
แนวคิดเรื่องแสงของ นิวตัน (Newton) เสนอแนวคิดว่าแสงเป็นอนุภาค และสามารถใช้แนวคดิ นี้
ในการอธบิ ายการสะท้อนและการหักเหของแสงได้
แนวคิดเร่ืองแสงของ ธอมัส ยัง (Thomas Young) เสนอแนวคิดเรื่องแสง เนื่องจากได้ทำการ
ทดลองโดยแสดงใหเ้ ห็นวา่ แสงเกดิ การแทรกสอด และคำนวณหาความยาวคลืน่ ได้
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกล่มุ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (-)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (ทำงานกล่มุ และความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร)์
5.3 คุณลกั ษณะและค่านิยม
ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผดิ ชอบ
6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นกั เรียนแตล่ ะคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เลา่ ส่กู นั ฟงั ถึงความร้ทู ีไ่ ดจ้ ากการศกึ ษาค้นควา้
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้ันตอนการเรียนรู้
ขน้ั ที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ
1.1 ครูให้นกั เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรอื่ ง แสงเชงิ คลนื่ จำนวน 10 ขอ้
1.2 ครูทบทวนความรู้เดิม เรื่อง สเปกตรัมของแสง การรวมกันของคลื่น การแทรกสอดของคลืน่
การเลย้ี วเบนของคลื่น และชนิดของคลน่ื
1.3 ครตู ้ังคำถามนำเขา้ สกู่ ิจกรรม ดงั น้ี
1) แสงเปน็ คล่นื ชนดิ ใด
2) คลน่ื เสียงเป็นคลืน่ ชนิดใด
3) คล่ืนแสงต่างจากคลื่นเสียงหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
ขนั้ ที่ 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา
2.1 นักเรียนทกุ คนศกึ ษาคน้ คว้า เร่ือง แนวคดิ เก่ยี วกบั แสงเชิงคล่ืน ในหนังสือเรยี น หนา้ 107-
108
ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูสมุ่ นกั เรยี น 2 คน ออกมานำเสนอผลงานของตนเองหน้าช้ันเรยี น
3.2 ครูนำนกั เรียนอภปิ รายเพ่อื นำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้
1) แสงเป็นคล่นื ชนดิ ใด (แนวการตอบ แสงเป็นคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ )
2) คลน่ื เสยี งเปน็ คลน่ื ชนดิ ใด (แนวการตอบ คล่นื เสยี งเป็นคล่นื กล)
282
3) คลื่นแสงต่างจากคลื่นเสียงหรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวการตอบ ต่างกัน เพราะคลื่น
เสียงเปน็ คลนื่ กล แต่แสงเป็นคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าซ่ึงมคี วามยาวคล่ืนในช่วงประมาณ 400-700 นาโนเมตร)
4) นักเรียนวิทยาศาสตร์ใดเสนอแนวคิดว่าแสงเป็นอนุภาค และสามารถใช้แนวคิดนี้ใน
การอธิบายการสะท้อนและการหกั เหของแสงได้ (แนวการตอบ นิวตนั (Newton))
5) นักเรียนวิทยาศาสตร์ใดเสนอแนวคิดเรือ่ งแสง เนื่องจากได้ทำการทดลองโดยแสดงให้
เหน็ ว่าแสงเกดิ การแทรกสอด และคำนวณหาความยาวคล่ืนได้ (แนวการตอบ ธอมัส ยัง (Thomas Young))
6) พฤติกรรมใดที่แสดงว่าแสงเป็นคลื่น (แนวคำตอบ พฤติกรรมการแทรกสอดและการ
เล้ียวเบนของแสง แสดงให้เหน็ ว่าแสงเป็นคลนื่ )
7) มนษุ ย์สามารถรับร้คู ล่ืนแสงได้อยา่ งไร (แนวคำตอบ มนษุ ย์สามารถรบั รู้คล่ืนแสงได้จาก
การมองเห็น)
3.3 นักเรยี นและครูร่วมกันอภปิ รายและสรุปการศกึ ษาคน้ คว้าจนสรุปได้ ดงั น้ี
แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคลื่นอยู่ในช่วงประมาณ 400-700 นาโนเมตร
ซ่ึงตามนุษย์รบั รไู้ ด้ และแสดงพฤติกรรมการแทรกสอดและการเลย้ี วเบนเช่นเดยี วกบั คล่ืนกล
แนวคิดเรื่องแสงของ นิวตัน (Newton) เสนอแนวคิดว่าแสงเป็นอนุภาค และสามารถใช้
แนวคิดนใี้ นการอธิบายการสะทอ้ นและการหกั เหของแสงได้
แนวคดิ เรือ่ งแสงของ ธอมัส ยัง (Thomas Young) เสนอแนวคดิ เรื่องแสง เนอื่ งจากได้ทำ
การทดลองโดยแสดงใหเ้ หน็ ว่าแสงเกดิ การแทรกสอด และคำนวณหาความยาวคลื่นได้
ข้ันท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายให้ความรเู้ พม่ิ เติม ดงั นี้
คลื่นแสงหรือเรียกสัน้ ๆ ว่า แสง เป็นคลื่นชนิดที่แตกต่างจากคลื่นเสียงหรือคลื่นผิวนำ้ ซ่งึ
เป็นคลืน่ กลทตี่ ้องอาศยั ตวั กลางในการส่งผ่านพลงั งาน สว่ นคลน่ื แสงเป็นคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นต้อง
อาศัยตัวกลางในการสง่ ผ่านพลังงาน คลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าในยา่ นท่ีตามนุษย์สามารถตอบสนองได้หรือในช่วง
ความยาวคล่ืนประมาณ 400-700 นาโนเมตร แสงทกุ ย่นความถเี่ คลื่อนที่ดว้ ยอัตราเรว็ เท่ากนั ในสุญญากาศ
โดยอัตราเรว็ ในสุญญากาศมีค่าประมาณ 3 x 10 8 เมตรตอ่ วนิ าที ซ่ึงตราบจนถึงปัจจบุ นั พบวา่ เปน็ อัตราเร็ว
สูงสุด ไมม่ คี ลนื่ หรอื อนุภาคใดๆ เคลอื่ นทีใ่ นสุญญากาศดว้ ยอัตราเรว็ หรือมากกวา่ แสง
283
ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นส่งใบกิจกรรม เร่ือง แนวคดิ เกย่ี วกบั แสงเชิงคลนื่
8. สื่อการเรียนร/ู้ แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เน็ต
8.3 ใบกจิ กรรม เร่อื ง แนวคิดเก่ียวกับแสงเชิงคลน่ื
9. การวดั และประเมินผล
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวดั เคร่อื งมอื เกณฑ์การประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K)
1) อธิบายแนวคิดเกย่ี วกับ 1) ตรวจใบกิจกรรม เร่อื ง 1) ใบกจิ กรรม เร่ือง แนวคิด 1) นกั เรยี นสามารถ
แสงเชงิ คล่ืนได้ แนวคิดเกย่ี วกับแสงเชิงคลืน่ เกี่ยวกับแสงเชิงคลื่น อธบิ ายแนวคดิ ที่
เกี่ยวข้องได้ระดบั ดี
ดา้ นกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบกิจกรรม เรื่อง 1) ใบกิจกรรม เรือ่ ง แนวคดิ ผา่ นเกณฑ์
1) ระบไุ ดว้ ่าแสงเปน็ คล่ืน แนวคดิ เก่ียวกับแสงเชิงคลื่น เกี่ยวกับแสงเชงิ คล่นื
แมเ่ หล็กไฟฟา้ ทีต่ า 1) นกั เรียนสามารถทำ
มองเห็นได้ 1) ตรวจการส่งใบกิจกรรม เรื่อง 1) ใบกจิ กรรม เรื่อง แนวคดิ ใบกจิ กรรมได้ระดับดี
ด้านคุณลักษณะ (A) แนวคดิ เก่ียวกบั แสงเชงิ คล่นื เกย่ี วกับแสงเชิงคลืน่ ผ่านเกณฑ์
1) ใฝ่เรียนรู้ และมคี วาม
รับผดิ ชอบ 1) นกั เรียนได้ระดบั ดี
ผา่ นเกณฑ์
284
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เรอื่ ง แนวคิดเกยี่ วกับแสงเชิงคลน่ื
ประเด็นการ คา่ นำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 สรุปแนวคดิ ท่ีเกย่ี วข้อง ไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น
(K) 2 สรปุ แนวคดิ ที่เกย่ี วข้อง ค่อนขา้ งถกู ต้องครบถว้ น
1 สรปุ แนวคิดท่เี กย่ี วขอ้ ง ได้คอ่ นข้างถกู ตอ้ ง แตไ่ มค่ รบถ้วน
ด้าน 3 บนั ทึกผลกิจกรรมได้ถูกตอ้ งครบถว้ น
กระบวนการ 2 บนั ทึกผลกิจกรรมคอ่ นข้างถกู ต้อง
(P) 1 บันทึกผลกิจกรรมไดค้ อ่ นขา้ งถกู ต้อง
ดา้ น 3 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด และเรียบรอ้ ยถูกตอ้ งครบถ้วน
คุณลักษณะ 2 ทำภาระงานทไี่ ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด แตง่ านยังผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1 ทำภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางสว่ น
ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน
285
การประเมนิ การทำกิจกรรม เร่อื ง แนวคิดเก่ียวกับแสงเชิงคล่ืน
จุดประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ชื่อ - นามสกุล ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
286
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
287
บันทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 10 เรอื่ ง แสงเชิงคลน่ื อ
แผนการสอนที่ 23 เร่ือง แนวคดิ เก่ียวกบั แสงเชงิ คลื่น .
วนั ที่.................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอ่ื ............................................ครผู ู้สอน ลงชือ่ .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)
ลงชื่อ............................................. รองฯ กลุม่ บรหิ ารวิชาการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)
ลงช่อื ............................................ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ิยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..
ใบกจิ กรรม เรอื่ ง แนวคิดเก่ียวกบั แสงเชิงคล่ืน 288
1. สรุปสิ่งท่ีได้จากการศึกษาค้นควา้
b
b
b
b
b
2. ตรวจสอบความเขา้ ใจ
2.1 แสงเป็นคลืน่ ชนิดใด
ตอบ แสงเป็นคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ,
2.2 คล่นื เสยี งเปน็ คล่ืนชนดิ ใด
ตอบ คลนื่ เสยี งเป็นคลนื่ กล m
2.3 คลืน่ แสงต่างจากคล่ืนเสียงหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
ตอบ ตา่ งกัน เพราะคลืน่ เสียงเป็นคล่ืนกล แต่แสงเป็นคล่นื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ซง่ึ มีความยาวคลน่ื ในช่วงประมาณ
400-700 นาโนเมตร v
2.4 นักเรยี นวทิ ยาศาสตร์ใดเสนอแนวคิดวา่ แสงเปน็ อนุภาค และสามารถใช้แนวคิดนใ้ี นการอธิบายการสะท้อนและการ
หกั เหของแสงได้
ตอบ นวิ ตัน (Newton)
2.5 นักเรียนวทิ ยาศาสตร์ใดเสนอแนวคิดเรื่องแสง เน่ืองจากไดท้ ำการทดลองโดยแสดงใหเ้ ห็นว่าแสงเกดิ การแทรกสอด
และคำนวณหาความยาวคลืน่ ได้
ตอบ ธอมัส ยัง (Thomas Young) d
2.6 พฤตกิ รรมใดท่ีแสดงว่าแสงเปน็ คล่นื
ตอบ พฤตกิ รรมการแทรกสอดและการเลย้ี วเบนของแสง แสดงให้เห็นว่าแสงเปน็ คลืน่ ,
2.7 มนษุ ย์สามารถรบั รู้คล่นื แสงได้อย่างไร
ตอบ มนุษยส์ ามารถรับรู้คลืน่ แสงไดจ้ ากการมองเห็ น
289
ใบกิจกรรม เร่อื ง แนวคดิ เกย่ี วกับแสงเชงิ คลน่ื
1. สรุปสิง่ ทีไ่ ด้จากการศึกษาค้นควา้
แสงเป็นคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้าความยาวคล่นื อยู่ในช่วงประมาณ 400-700 นาโนเมตร ซึ่งตามนุษย์รับรู้ได้ และ
แสดงพฤติกรรมการแทรกสอดและการเลี้ยวเบนเช่นเดียวกับคลื่นกล แนวคิดเรื่องแสงของ นิวตัน (Newton) เสนอ
แนวคิดว่าแสงเปน็ อนุภาค และสามารถใช้แนวคดิ นี้ในการอธิบายการสะท้อนและการหักเหของแสงได้ แนวคิดเรื่องแสง
ของ ธอมสั ยงั (Thomas Young) เสนอแนวคิดเรอ่ื งแสง เนื่องจากไดท้ ำการทดลองโดยแสดงให้เหน็ วา่ แสงเกิดการแทรก
สอด และคำนวณหาความยาวคล่นื ได้ b
2. ตรวจสอบความเขา้ ใจ
2.1 แสงเป็นคลน่ื ชนดิ ใด
ตอบ แสงเป็นคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า ,
2.2 คลื่นเสียงเป็นคลื่นชนิดใด
ตอบ คลื่นเสียงเป็นคล่ืนกล m
2.3 คล่ืนแสงตา่ งจากคล่นื เสียงหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ ต่างกัน เพราะคลืน่ เสยี งเปน็ คลืน่ กล แต่แสงเป็นคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ ซึ่งมคี วามยาวคลื่นในชว่ งประมาณ
400-700 นาโนเมตร v
2.4 นักเรยี นวทิ ยาศาสตร์ใดเสนอแนวคิดว่าแสงเป็นอนภุ าค และสามารถใช้แนวคดิ นใ้ี นการอธบิ ายการสะท้อนและการ
หักเหของแสงได้
ตอบ นวิ ตนั (Newton)
2.5 นักเรยี นวิทยาศาสตร์ใดเสนอแนวคดิ เร่อื งแสง เนือ่ งจากไดท้ ำการทดลองโดยแสดงให้เห็นว่าแสงเกิดการแทรกสอด
และคำนวณหาความยาวคลื่นได้
ตอบ ธอมัส ยงั (Thomas Young) d
2.6 พฤตกิ รรมใดทีแ่ สดงว่าแสงเป็นคลื่น
ตอบ พฤติกรรมการแทรกสอดและการเลี้ยวเบนของแสง แสดงใหเ้ หน็ ว่าแสงเปน็ คลน่ื ,
2.7 มนุษย์สามารถรบั รู้คลืน่ แสงได้อยา่ งไร
ตอบ มนษุ ย์สามารถรบั รู้คล่ืนแสงได้จากการมองเหน็ v
290
291
292
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24
เร่อื ง การแทรกสอดของแสงผา่ นสลติ คู่
รายวิชาฟสิ ิกส์ 3 รหสั วิชา ว30203 เวลา 2 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 10 ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ แสงเชิงคล่ืน รวม 12 ช่ัวโมง
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นที่ 1
บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง อาเซยี น STEM PLC
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น มาตรฐานสากล ขา้ มกลุม่ สาระ
1. สาระฟสิ กิ ส์
2. เข้าใจการเคล่อื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อย่างงา่ ย ธรรมชาตขิ องคลน่ื เสยี งและการไดย้ นิ ปรากฏการณ์ที่
เกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทีเ่ ก่ยี วข้องกับแสงรวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคูแ่ ละเกรตตงิ การเลยี้ วเบนและการแทรกสอดของ
แสงผา่ นสลิตเดยี่ ว รวมทงั้ คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกยี่ วข้อง
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธิบายรปู แบบการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่ได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) ทดลองการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่ได้
3.3 ด้านเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรับผิดชอบ
4. สาระสำคญั
การแทรกสอดของแสงผ่านแสงผ่านสลิตคู่ จากการแทรกสอดของแสงตามการทดลองของ ธอมัส ยัง
พิจารณาว่าเมื่อแสงผ่านสลิตคู่ช่องของสลิตเหมอื นกบั เปน็ แหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ ทำให้เกดิ การแทรกสอดของแสง
ตำแหน่งบนฉากทแี่ ทรกสอดแบบเสริม เกิดแถบสว่าง ซึ่งมคี วามตา่ งระยะทาง ∆ = หรือ sin =
เมื่อ n = 0, 1, 2, … ตำแหน่งบนฉากที่แทรกสอดแบบหักล้าง เกิดแถบมือ ซึ่งมีความต่างระยะทาง ∆ =
( − 1) หรือ sin = ( − 1) เมื่อ n = 1, 2, 3, … โดยที่ความกว้างของแถบสว่าง ความสว่าง
22
และระยะระหวา่ งแถบสว่างจะพอๆ กัน
293
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
สลิตเป็นอุปกรณ์ทางแสงมีลกั ษณะเปน็ ช่องเปิดขนาดเล็กที่มีความกว้างน้อยๆ ค่าหนึ่ง หากมีช่อง
เดียวเรยี กว่า สลติ เด่ียว (single slit) หากมี 2 ช่อง ใกลก้ ันเรียกวา่ สลิตคู่ (double slit)
เมื่อให้แสงเดินทางผ่านสลิตคู่ไปตกกระทบบนฉากที่อยู่ห่างออกไป ภาพที่ปรากฏบนฉาก
จะมีลักษณะเกิดแถบสว่างและแถบมืดบนฉาก (คล้ายกับการเกิดปฏิบัพและบัพจากการแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำ)
แสงเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อแสงเดินทางผ่านช่องเปิด 2 ช่อง จะปรากฏเป็นแถบสว่าง 2 แถบ
บนฉากในแนวท่ตี รงกับชอ่ งเปิด 2 ช่องน้ัน
แนวคิดหลักในการอธิบายปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง โดยช่องเล็กๆ ทำหน้าที่เป็น
แหล่งกำเนิดคลน่ื แสง และคลน่ื แสง 2 ขบวนหรือมากกวา่ ท่ีเดนิ ทางมาพบกัน ณ ตำแหนง่ หนง่ึ บนฉาก ทำใหเ้ กิดการ
รวมคล่นื แบบเสรมิ และแบบหกั ล้าง พิจารณาได้จากความต่างระยะทางเดนิ ของแสงจากแหล่งกำเนิดแสงถึงตำแหน่ง
พิจารณา ในกรณีแหล่งกำเนดิ อาพนั ธ์เฟสตรงกันแบบจุด
พิจารณา S1 และ S2 เปน็ แหลง่ กำเนดิ คลนื่ อาพันธ์แบบจุด ซ่ึงอยหู่ ่างกนั เป็นระยะ d ทำให้ปรากฏ
แถบสว่าง-แถบมดื บนฉากทอ่ี ย่หู ่างออกไป ดงั รปู
แผนภาพแสดงเฉพาะทางเดนิ ของคลืน่ จากแหลง่ กำเนิดไปยังตำแหน่ง O, P และ Q บนฉาก
กำหนดให้ O, P และ Q เปน็ ตำแหนง่ บนฉากทีอ่ ยู่หา่ งออกไปจากแหลง่ กำเนิดคลืน่ ทงั้ สอง
ความตา่ งระยะทาง (∆ ) ของคลืน่ จากแหลง่ กำเนดิ ท้ังสองไปยังจดุ O, P และ Q บนฉาก คอื
จากแหลง่ กำเนดิ ท้ังสองถึงจุด O (∆ = |S1O − S2O|)
จากแหลง่ กำเนดิ ท้งั สองถึงจุด P (∆ = |S1P − S2P|)
จากแหล่งกำเนดิ ทั้งสองถงึ จุด Q (∆ = |S1Q − S2Q|)
294
นอกจากการพิจารณาความต่างระยะทาง สามารถพจิ ารณาความต่างเฟส (∆∅) ของคล่ืนจากสอง
แหลง่ กำเนิดเมอ่ื ไปถงึ ตำแหน่งทีพ่ ิจารณาบนฉาก จะไดว้ ่า
กำหนดให้ ∆∅ = ∆ (2 )
∆∅ คอื มมุ เฟสตา่ ง (มีหน่วยเปน็ องศา)
∆ คอื ความตา่ งระยะทาง (มหี น่วยเป็น เมตร)
λ คอื ความยาวคลืน่ (มหี น่วยเปน็ นาโนเมตร)
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั กล่มุ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (-)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต (ทำงานกลมุ่ และความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร์)
5.3 คุณลักษณะและค่านิยม
ใฝเ่ รียนรู้ และมีความรับผดิ ชอบ
6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ
ปัญหาท่ีเกดิ ขึน้ ระหว่างการทำกิจกรรม
6.2 บรู ณาการกับปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เรอื่ ง การใชอ้ ุปกรณไ์ ฟฟ้าอย่างรอบคอบและระมัดระวงั
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้ันตอนการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เดิม เรื่อง การแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำ สมการที่เกี่ยวข้องของการแทรก
สอดของคลื่นผวิ น้ำ
1.2 ครอู ภปิ รายเกยี่ วกับสลิต จนสรุปไดว้ ่า เปน็ อุปกรณ์ทางแสงมีลักษณะเป็นช่องเปิดขนาดเล็กท่ี
มคี วามกวา้ งน้อยๆ ค่าหนงึ่ หากมีช่องเดยี่ ว เรียกว่า สลิตเดีย่ ว มสี องชอ่ ง เรียกวา่ สลติ คู่
1.3 ครตู งั้ คำถามเพอ่ื นำเข้าสกู่ ารทดลอง
1) หากแสงผา่ นสลติ คไู่ ปตกบนฉาก ภาพที่ปรากฏบนฉากจะมลี กั ษณะอยา่ งไร
(เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอิสระ ไมค่ าดหวังคำตอบท่ีถูกตอ้ ง)
ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 10.1 เร่ือง การแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่
2.3 ครแู จ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ อุปกรณ์ และขั้นตอนการทดลองอยา่ งละเอยี ด
295
2.4 นักเรียนรบั อปุ กรณ์การทดลอง พรอ้ มตดิ ตั้งอุปกรณ์
2.5 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ทำการทดลอง สังเกตและบันทกึ ผลการทดลอง
ข้นั ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครสู มุ่ นักเรยี น 2 คน ออกมานำเสนอผลการทดลองหนา้ ชน้ั เรียน
3.2 ครนู ำนักเรยี นอภปิ รายเพอ่ื นำไปส่กู ารสรุปโดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้
1) นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรอื แตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ
ไดผ้ ลเหมอื นกนั )
2) ในกรณที ่ใี ชแ้ สงเลเซอร์สแี ดงผา่ นสลิตคูท่ ี่มรี ะยะหา่ งระหว่างช่องต่างกนั ภาพทีป่ รากฏ
บนฉากมีลักษณะอยา่ งไร มคี วามแตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร (แนวการตอบ เม่อื แสงเลเซอรส์ ีแดงผา่ นสลิตคู่
ลักษณะภาพบนฉากประกอบด้วยแถบสว่างและแถบมืดสลับกัน โดยมีแถบสว่างตรงกลางสว่างกว่า
แถบสว่างด้านข้าง เมื่อระยะหา่ งระหว่างช่องสลิตคูม่ ีค่ามากขึ้น ความกว้างของแถบสว่างและแถบมดื มคี า่
นอ้ ยลง)
3) ภาพการแทรกสอดของแสงทไี่ ด้จากกรณที ่ีใชแ้ สงเลเซอรส์ ีเขียวแตกต่างจากกรณีท่ีใช้
แสงเลเซอร์สีแดงหรือไม่ อย่างไร (แนวการตอบ เมื่อแสงเลเซอร์สีเขียวผ่านสลิตคู่ จะปรากฎแถบมืด
แถบสว่างเช่นเดียวกับแสงเลเซอร์สีแดง แต่แตกต่างกันคือ เมื่อใช้สลิตคู่ที่มีระยะห่างระหว่างช่องเท่ากนั
แถบสว่างและแถบมืดที่เกิดจากแสงเลเซอร์สีเขียวจะมีความกวา้ งของแถบนอ้ ยกว่าท่ีเกิดจากแสงเลเซอร์สี
แดง)
3.3 นักเรียนและครรู ว่ มกันอภิปรายและสรุปผลการทำการทดลอง จนสรุปได้ ดงั นี้
จากการทำการทดลอง พบว่า เมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลิตคู่ จะเห็นลวดลายการแทรกสอด
ของแสงเปน็ แถบสว่าง และแถบมืดสลบั กนั บนฉาก คลา้ ยกับการเกิดปฏิบพั และบัพจากการแทรกสอดของ
คล่ืนผิวน้ำ ตามลำดับ แสดงวา่ คล่นื แสงมีการแทรกสอดแบบเสรมิ และแบบหักล้าง ลวดลายการแทรกสอดที่
ปรากฏเมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลิตคู่นั้นแถบสว่างแต่ละแถบมีขนาดใกล้เคียงกัน แผ่ออกไปทั้งสองข้างจาก
ก่ึงกลาง เมอ่ื เปล่ยี นสลิตที่มรี ะยะห่างระหว่างช่องของสลติ คู่มากขน้ึ ขนาดของแถบสวา่ งที่ปรากฎจะมขี นาด
เล็กลง และอยู่ใกล้กันมากขึ้น เมื่อให้แสงเลเซอร์สีแดงและสีเขียว ผ่านสลิตคู่ที่มีระยะระหว่างช่องเท่ากัน
ความกว้างของแถบสว่างที่ปรากฏจากแสงเลเซอร์สีเขียวกว้างน้อยกว่าที่ปรากฏจากแสงเลเซอร์สีแดง
แสดงให้เห็นว่าเมื่อใช้แสงเลเซอร์สีเขียวซึ่งมคี วามยาวคลื่นนอ้ ยกว่าแสงเลเซอร์สีแดงจะทำ ให้ความกว้าง
ของแถบสว่างมคี ่าน้อยกว่า
ข้ันท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายใหค้ วามรู้เพิม่ เตมิ ดังนี้
1. เมื่อให้แสงเดินทางผ่านสลิตคู่ไปตกกระทบบนฉากที่อยู่ห่างออกไป ภาพที่ปรากฏบน
ฉากจะมีลักษณะเกิดแถบสว่างและแถบมืดบนฉาก (คล้ายกับการเกิดปฏบิ พั และบัพจากการแทรกสอดของ
คล่ืนผวิ นำ้ )
296
2. แสงเดินทางเป็นเสน้ ตรง เมอ่ื แสงเดนิ ทางผ่านช่องเปิด 2 ช่อง จะปรากฏเป็นแถบสว่าง
2 แถบบนฉากในแนวทต่ี รงกับชอ่ งเปิด 2 ชอ่ งนน้ั
3. แนวคดิ หลกั ในการอธิบายปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง โดยชอ่ งเล็กๆ ทำหน้าท่ี
เป็นแหล่งกำเนิดคลืน่ แสง และคลื่นแสง 2 ขบวนหรือมากกว่าที่เดินทางมาพบกัน ณ ตำแหน่งหน่งึ บนฉาก
ทำให้เกิดการรวมคลื่นแบบเสริมและแบบหักล้าง พิจารณาได้จากความต่างระยะทางเดินของแสงจาก
แหลง่ กำเนิดแสงถงึ ตำแหนง่ พจิ ารณา ในกรณีแหล่งกำเนดิ อาพันธ์เฟสตรงกนั แบบจุด
4. พิจารณา S1 และ S2 เป็นแหล่งกำเนิดคลื่นอาพันธ์แบบจุด ซึ่งอยู่ห่างกันเป็นระยะ d
ทำให้ปรากฏแถบสวา่ ง-แถบมดื บนฉากทอ่ี ยหู่ า่ งออกไป ดงั รูป
แผนภาพแสดงเฉพาะทางเดนิ ของคลน่ื จากแหล่งกำเนิดไปยังตำแหนง่ O, P และ Q บนฉาก
5. กำหนดให้ O, P และ Q เปน็ ตำแหนง่ บนฉากท่อี ยู่ห่างออกไปจากแหลง่ กำเนิดคลืน่ ทั้ง
สองความตา่ งระยะทาง (∆ ) ของคลนื่ จากแหลง่ กำเนดิ ทั้งสองไปยังจดุ O, P และ Q บนฉาก คือ
จากแหลง่ กำเนดิ ทัง้ สองถงึ จดุ O (∆ = |S1O − S2O|)
จากแหลง่ กำเนดิ ท้งั สองถึงจุด P (∆ = |S1P − S2P|)
จากแหลง่ กำเนดิ ทั้งสองถงึ จดุ Q (∆ = |S1Q − S2Q|)
นอกจากการพิจารณาความต่างระยะทาง สามารถพจิ ารณาความต่างเฟส (∆∅) ของคล่ืน
จากสองแหล่งกำเนิดเม่ือไปถึงตำแหน่งท่พี จิ ารณาบนฉาก จะไดว้ ่า
กำหนดให้ ∆∅ = ∆ (2 )
∆∅ คือ มุมเฟสต่าง (มหี นว่ ยเป็น องศา)
∆ คอื ความตา่ งระยะทาง (มหี นว่ ยเป็น เมตร)
λ คอื ความยาวคลนื่ (มหี นว่ ยเปน็ นาโนเมตร)
6. แหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์สามารถแบ่งออกเป็นชั้นตามระดับอันตรายที่แสงเลเซอร์
สามารถทำให้เกดิ ต่อดวงตาและผิวหนัง แหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 7 ชนั้ (class) ตามรหัส
ที่แสดงไว้ดังรูป ซึ่งเรียงลำดับชั้นจากอันตรายน้อยที่สุด (least hazardous) จนถึงชั้นอันตรายมากที่สุด
(most hazardous)
297
ขน้ั ที่ 5 ข้นั ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรียนสง่ ใบกิจกรรม 10.1 เรอื่ ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
8. สือ่ การเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส)์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 3 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอรเ์ น็ต
8.3 ใบกจิ กรรม 10.1 เรอ่ื ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่
8.4 ชดุ กจิ กรรม เร่อื ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
9. การวัดและประเมินผล
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธีการวัด เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมิน
ด้านความรู้ (K) 1) ตรวจใบกิจกรรม เรอ่ื ง 1) ใบกิจกรรม เรือ่ ง 1) นกั เรียนสามารถ
1) อธิบายรปู แบบการแทรกสอด การแทรกสอดของแสง การแทรกสอดของแสง ตอบคำถามท้าย
ของแสงผ่านสลติ ค่ไู ด้ ผ่านสลิตคู่ ผ่านสลิตคู่ กจิ กรรมได้ระดับดผี ่าน
เกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถ
1) ทดลองการแทรกสอดของแสง 1) ตรวจใบกจิ กรรม เร่ือง 1) ใบกิจกรรม เรอ่ื ง บันทึกผลการทดลอง
ไดร้ ะดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
ผา่ นสลิตคู่ได้ การแทรกสอดของแสง การแทรกสอดของแสง
1) นกั เรยี นไดร้ ะดับดี
ผา่ นสลิตคู่ ผ่านสลิตคู่ ผ่านเกณฑ์
ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้ และมีความ 1) ตรวจการส่งใบกิจกรรม 1) ใบกจิ กรรม เรอื่ ง
รบั ผดิ ชอบ เรื่อง การแทรกสอดของแสง การแทรกสอดของแสง
ผ่านสลิตคู่ ผ่านสลิตคู่
298
10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรยี น
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรือ่ ง การแทรกสอดของแสงผา่ นสลติ คู่
ประเด็นการ คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถว้ นทุกขอ้
(K) 2 ตอบคำถามถกู ตอ้ ง 1 ข้อ
1 ตอบคำถามไม่ถกู ต้อง
ด้าน 3 บนั ทึกผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วน
กระบวนการ 2 บันทกึ ผลการทดลองค่อนข้างถูกตอ้ งครบถว้ น
(P) 1 บนั ทกึ ผลการทดลองไดค้ ่อนขา้ งถูกต้อง
ด้าน 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน
คุณลักษณะ 2 ทำภาระงานท่ีไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางสว่ น
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน
299
การประเมินการทำกิจกรรม เรือ่ ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ช่อื - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
300
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
301
บนั ทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 เรือ่ ง แสงเชงิ คลน่ื อ
แผนการสอนที่ 24 เร่ือง การแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่ .
วนั ที่.................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอ่ื ............................................ครผู สู้ อน ลงชอ่ื .............................................หวั หนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)
ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กล่มุ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)
ลงชอ่ื ............................................ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..
ใบกิจกรรม 10.1 การแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคู่ 302
1. รายช่อื สมาชกิ ท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื …… ………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม
สังเกตและอธิบายรปู แบบการแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่
3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์
1. เลเซอร์พอยเตอร์ชนดิ สีแดง* 1 อัน 5. แทน่ ยึด 3 ชดุ
2. เลเซอรพ์ อยเตอร์ชนิดสีเขียว* 1 อัน 6. ฉาก 1 แผ่น
3. สลิตคู่ 1 แผ่น 7. อุปกรณบ์ ันทกึ ภาพ 1 เครื่อง
4. ไมเ้ มตร 1 อัน
*ควรมกี ำลังไม่เกิน 2200 มลิ ลวิ ัตต์ และหลีกเล่ยี งการชแ้ี สงเลเซอร์ไปยังนัยนต์ าของตนเอง
หรอื ผอู้ น่ื เพราะเป็นอนั ตรายตอ่ นัยนต์ า
4. วิธีทำกิจกรรม
6. ยึดเลเซอร์พอยเตอร์และสลติ คูก่ บั แทน่ ยึด ดงั รูป
7. จดั ใหร้ ะยะห่างระหว่างสลติ กับฉาก ห่างกนั อย่างนอ้ ย 1 เมตร
8. ฉายแสงเลเซอร์สีแดงผ่านสลติ ค่ทู มี่ รี ะยะหา่ งระหวา่ งช่องค่าหนงึ่
สงั เกตและบนั ทึกภาพที่ปรากฏบนฉาก
9. ทดลองซำ้ โดยใช้สลติ ค่ทู ี่มรี ะยะห่างระหวา่ งช่องค่าอน่ื ๆ
10. ทดลองซำ้ ขอ้ 3. และ 4. แตเ่ ปล่ียนเป็นเลเซอร์สีเขียว
5. ผลการทำการทดลอง
303
6. คำถามทา้ ยการทดลอง
1) ในกรณีทีใ่ ชแ้ สงเลเซอรส์ แี ดงผ่านสลติ คูท่ ม่ี ีระยะห่างระหว่างชอ่ งตา่ งกัน ภาพที่ปรากฏบนฉากมลี ักษณะอย่างไร
มคี วามแตกต่างกนั หรอื ไม่ อย่างไร
ตอบ เมอื่ แสงเลเซอรส์ แี ดงผ่านสลิตคูล่ ักษณะภาพบนฉากประกอบดว้ ยแถบสวา่ งและแถบมืดสลบั กัน โดยมีแถบสว่างตรง
กลางสว่างกว่าแถบสว่างดา้ นข้าง เมือ่ ระยะห่างระหวา่ งช่องสลิตคู่มีค่ามากข้ึน ความกว้างของแถบสว่างและแถบมืดมคี า่
น้อยลง b
นำ้ ลกึ และเขตน้ำตนื้ ถ้าหน้าคลืน่ ตกกระทบทำมมุ กบั รอยต่อ ทศิ ทางการ
น้ำลกึ และเขตนำ้ ต้นื ถ้าหน้าคลื่นตกกระทบทำมมุ กบั รอยตอ่ ทศิ ทางการ
2) ภาพการแทรกสอดของแสงท่ไี ด้จากกรณีท่ีใชแ้ สงเลเซอรส์ ีเขียวแตกตา่ งจากกรณีที่ใช้แสงเลเซอร์สแี ดงหรอื ไม่ อย่างไร
ตอบ เมื่อแสงเลเซอร์สเี ขยี วผา่ นสลติ คู่ จะปรากฎแถบมดื แถบสวา่ งเชน่ เดยี วกับแสงเลเซอร์สีแดง แตแ่ ตกต่างกนั คอื เม่ือ
ใชส้ ลิตคู่ทม่ี รี ะยะห่างระหว่างช่องเทา่ กนั แถบสว่างและแถบมืดทเ่ี กิดจากแสงเลเซอร์สเี ขยี วจะมีความกว้างของแถบนอ้ ย
กว่าท่ีเกดิ จากแสงเลเซอร์สแี ดง m
น้ำลึกและเขตน้ำตื้น ถ้าหนา้ คลื่นตกกระทบทำมุมกับรอยต่อ ทศิ ทางการ
น้ำลึกและเขตน้ำตนื้ ถ้าหนา้ คลืน่ ตกกระทบทำมุมกบั รอยตอ่ ทศิ ทางการ
7. อภปิ รายและสรุปผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบว่า เมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลติ คู่ จะเห็นลวดลายการแทรกสอดของแสงเป็นแถบสว่าง และ
แถบมดื สลับกันบนฉาก คล้ายกบั การเกดิ ปฏิบพั และบัพจากการแทรกสอดของคล่ืนผวิ น้ำ ตามลำดบั แสดงว่าคลื่นแสงมี
การแทรกสอดแบบเสริมและแบบหักล้าง ลวดลายการแทรกสอดทีป่ รากฏเมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลติ คูน่ ้ันแถบสว่างแตล่ ะ
แถบมีขนาดใกล้เคียงกัน แผ่ออกไปทั้งสองข้างจากก่ึงกลาง เมื่อเปลี่ยนสลิตที่มีระยะหา่ งระหว่างช่องของสลิตคู่มากขึน้
ขนาดของแถบสว่างท่ีปรากฎจะมีขนาดเล็กลง และอยู่ใกล้กันมากขึ้น เมื่อให้แสงเลเซอร์สีแดงและสีเขียว ผ่านสลิตคูท่ ี่มี
ระยะระหว่างชอ่ งเท่ากนั ความกว้างของแถบสวา่ งทป่ี รากฏจากแสงเลเซอร์สีเขียวกวา้ งนอ้ ยกวา่ ที่ปรากฏจากแสงเลเซอร์
สีแดง แสดงให้เห็นว่าเมื่อใช้แสงเลเซอร์สีเขียวซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงเลเซอร์สีแดงจะทำ ให้ความกว้างของ
แถบสว่างมีค่าน้อยกว่า ม
จากการทำการทดลอง พบวา่ ทุกกรณีที่คลื่นผ่านขอบของสง่ิ กดี ขวาง หรอื ผ่านชอ่ งแคบจะเกดิ คลน่ื แผ่ออ้ มไป
เฉลยใบกิจกรรม 10.1 การแทรกสอดของแสงผา่ นสลติ คู่ 304
1. รายชือ่ สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื …… ………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จุดประสงค์การทำกจิ กรรม
สังเกตและอธบิ ายรูปแบบการแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์
1. เลเซอร์พอยเตอรช์ นดิ สีแดง* 1 อัน 5. แทน่ ยดึ 3 ชุด
2. เลเซอรพ์ อยเตอรช์ นิดสีเขียว* 1 อัน 6. ฉาก 1 แผ่น
3. สลิตคู่ 1 แผน่ 7. อุปกรณ์บนั ทกึ ภาพ 1 เครื่อง
4. ไมเ้ มตร 1 อัน
*ควรมีกำลังไม่เกนิ 2200 มิลลวิ ัตต์ และหลกี เลี่ยงการชี้แสงเลเซอรไ์ ปยังนยั นต์ าของตนเอง
หรอื ผู้อืน่ เพราะเปน็ อันตรายตอ่ นัยนต์ า
4. วิธที ำกิจกรรม
1. ยึดเลเซอร์พอยเตอร์และสลติ คู่กับแทน่ ยดึ ดงั รูป
2. จัดให้ระยะหา่ งระหว่างสลติ กบั ฉาก ห่างกันอย่างนอ้ ย 1 เมตร
3. ฉายแสงเลเซอรส์ แี ดงผ่านสลิตคทู่ ่ีมีระยะห่างระหวา่ งชอ่ งคา่ หนง่ึ
สังเกตและบันทกึ ภาพที่ปรากฏบนฉาก
4. ทดลองซำ้ โดยใชส้ ลิตคู่ทม่ี รี ะยะห่างระหว่างชอ่ งคา่ อน่ื ๆ
5. ทดลองซ้ำข้อ 3. และ 4. แต่เปลยี่ นเป็นเลเซอรส์ ีเขียว
5. ผลการทำการทดลอง
305
6. คำถามทา้ ยการทดลอง
1) ในกรณที ่ใี ชแ้ สงเลเซอรส์ ีแดงผา่ นสลติ คทู่ ่ีมีระยะหา่ งระหว่างชอ่ งตา่ งกัน ภาพทป่ี รากฏบนฉากมีลักษณะอยา่ งไร
มีความแตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร
ตอบ เมอื่ แสงเลเซอรส์ แี ดงผ่านสลิตคู่ลกั ษณะภาพบนฉากประกอบดว้ ยแถบสว่างและแถบมืดสลบั กัน โดยมีแถบสว่างตรง
กลางสว่างกว่าแถบสวา่ งด้านข้าง เมอื่ ระยะห่างระหว่างช่องสลิตคู่มีค่ามากข้นึ ความกวา้ งของแถบสว่างและแถบมืดมีค่า
น้อยลง b
นำ้ ลึกและเขตน้ำตนื้ ถ้าหน้าคลื่นตกกระทบทำมมุ กับรอยต่อ ทศิ ทางการ
2) ภาพการแทรกสอดของแสงทไี่ ด้จากกรณที ี่ใช้แสงเลเซอรส์ เี ขียวแตกตา่ งจากกรณีท่ีใชแ้ สงเลเซอร์สีแดงหรือไม่ อยา่ งไร
ตอบ เม่อื แสงเลเซอร์สีเขียวผ่านสลติ คู่ จะปรากฎแถบมดื แถบสวา่ งเช่นเดียวกบั แสงเลเซอร์สีแดง แต่แตกต่างกนั คอื เมอื่
ใชส้ ลติ คู่ทม่ี ีระยะห่างระหว่างชอ่ งเทา่ กัน แถบสวา่ งและแถบมืดทเี่ กิดจากแสงเลเซอรส์ ีเขยี วจะมคี วามกว้างของแถบน้อย
กว่าท่ีเกดิ จากแสงเลเซอรส์ ีแดง m
นำ้ ลกึ และเขตนำ้ ตน้ื ถ้าหน้าคลน่ื ตกกระทบทำมุมกบั รอยตอ่ ทิศทางการ
7. อภิปรายและสรุปผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบว่า เมอื่ แสงเลเซอร์ผ่านสลิตคู่ จะเหน็ ลวดลายการแทรกสอดของแสงเปน็ แถบสว่าง และ
แถบมืดสลับกนั บนฉาก คล้ายกบั การเกิดปฏิบพั และบพั จากการแทรกสอดของคลน่ื ผวิ น้ำ ตามลำดบั แสดงว่าคล่ืนแสงมี
การแทรกสอดแบบเสริมและแบบหักล้าง ลวดลายการแทรกสอดทีป่ รากฏเมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลติ คูน่ ้ันแถบสว่างแตล่ ะ
แถบมีขนาดใกล้เคียงกัน แผ่ออกไปทั้งสองข้างจากกึ่งกลาง เมื่อเปลี่ยนสลิตที่มีระยะหา่ งระหว่างช่องของสลิตคู่มากขน้ึ
ขนาดของแถบสว่างท่ีปรากฎจะมีขนาดเล็กลง และอยู่ใกล้กันมากขึน้ เมื่อให้แสงเลเซอรส์ ีแดงและสีเขียว ผ่านสลิตคูท่ ี่มี
ระยะระหว่างชอ่ งเท่ากัน ความกว้างของแถบสว่างท่ีปรากฏจากแสงเลเซอร์สีเขียวกวา้ งนอ้ ยกว่าที่ปรากฏจากแสงเลเซอร์
สีแดง แสดงให้เห็นว่าเมื่อใช้แสงเลเซอร์สีเขียวซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงเลเซอร์สีแดงจะทำ ให้ความกว้างของ
แถบสว่างมีค่าน้อยกว่า ม
จากการทำการทดลอง พบว่า ทุกกรณีทคี่ ลนื่ ผา่ นขอบของสงิ่ กีดขวาง หรอื ผ่านช่องแคบจะเกิดคล่ืนแผ่อ้อมไป
ทางด้านหลงั ของสงิ่ กดี ขวางเสมอ เรยี ก พฤตกิ รรมของคลื่นน้ีว่าการเลี้ยวเบนของคล่ืน แล้วต้งั คำ ถามวา่ คล่ืนอ้อมเข้าไป
ด้านหลัง ของส่งิ กดี ขวางได้อยา่ งไร ใหน้ กั เรยี นร่วมกันอภปิ รายอยา่ งอิสระสะ ท้อน
306
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 25
เรอ่ื ง การแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคู่ (ต่อ)
รายวิชาฟสิ กิ ส์ 3 รหัสวิชา ว30203 เวลา 2 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 10 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ แสงเชงิ คลืน่ รวม 12 ชวั่ โมง
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1
บูรณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง อาเซียน STEM PLC
สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น มาตรฐานสากล ขา้ มกลมุ่ สาระ
1. สาระฟสิ ิกส์
2. เข้าใจการเคลอ่ื นท่ีแบบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการไดย้ นิ ปรากฏการณ์ที่
เกย่ี วข้องกบั เสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ท่เี กีย่ วขอ้ งกบั แสงรวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่และเกรตตงิ การเล้ยี วเบนและการแทรกสอดของ
แสงผ่านสลติ เดยี่ ว รวมท้งั คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธิบายรูปแบบการแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่ได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) คำนวณหาปรมิ าณต่างๆ ที่เก่ยี วขอ้ งกับการแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคไู่ ด้
3.3 ดา้ นเจตคติ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมคี วามรบั ผิดชอบ
4. สาระสำคัญ
การแทรกสอดของแสงผ่านแสงผ่านสลิตคู่ จากการแทรกสอดของแสงตามการทดลองของ ธอมัส ยัง
พจิ ารณาวา่ เมื่อแสงผ่านสลิตคู่ชอ่ งของสลิตเหมือนกบั เปน็ แหลง่ กำเนิดแสงอาพนั ธ์ ทำให้เกดิ การแทรกสอดของแสง
ตำแหนง่ บนฉากที่แทรกสอดแบบเสรมิ เกิดแถบสว่าง ซ่ึงมคี วามต่างระยะทาง ∆ = หรือ sin =
เมื่อ n = 0, 1, 2,… ตำแหน่งบนฉากที่แทรกสอดแบบหักล้าง เกิดแถบมือ ซึ่งมีความต่างระยะทาง ∆ =
( − 1) หรือ sin = ( − 1) เมื่อ n = 1, 2, 3, … โดยที่ความกว้างของแถบสว่าง ความสว่าง
22
และระยะระหว่างแถบสวา่ งจะพอๆ กัน
307
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
สลิตเป็นอุปกรณ์ทางแสงมีลกั ษณะเปน็ ช่องเปิดขนาดเล็กที่มีความกว้างนอ้ ยๆ ค่าหนึ่ง หากมีช่อง
เดยี วเรยี กวา่ สลติ เด่ียว (single slit) หากมี 2 ชอ่ ง ใกลก้ ันเรยี กวา่ สลิตคู่ (double slit)
เมื่อให้แสงเดินทางผ่านสลิตคู่ไปตกกระทบบนฉากที่อยู่ห่างออกไป ภาพที่ปรากฏบนฉาก
จะมีลักษณะเกิดแถบสว่างและแถบมืดบนฉาก (คล้ายกับการเกิดปฏิบัพและบัพจากการแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำ)
แสงเดินทางเป็นเส้นตรง เมื่อแสงเดินทางผ่านช่องเปิด 2 ช่อง จะปรากฏเป็นแถบสว่าง 2 แถบ
บนฉากในแนวทต่ี รงกบั ชอ่ งเปดิ 2 ชอ่ งน้นั
แนวคิดหลักในการอธิบายปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง โดยช่องเล็กๆ ทำหน้าที่เป็น
แหล่งกำเนิดคลน่ื แสง และคลื่นแสง 2 ขบวนหรือมากกว่าทเี่ ดินทางมาพบกนั ณ ตำแหนง่ หนง่ึ บนฉาก ทำใหเ้ กิดการ
รวมคลน่ื แบบเสรมิ และแบบหักลา้ ง พจิ ารณาได้จากความต่างระยะทางเดนิ ของแสงจากแหล่งกำเนดิ แสงถึงตำแหน่ง
พิจารณา ในกรณแี หลง่ กำเนดิ อาพนั ธเ์ ฟสตรงกันแบบจุด
พิจารณา S1 และ S2 เปน็ แหลง่ กำเนดิ คลน่ื อาพันธ์แบบจุด ซง่ึ อย่หู ่างกันเปน็ ระยะ d ทำให้ปรากฏ
แถบสว่าง-แถบมืดบนฉากที่อยู่หา่ งออกไป ดงั รปู
แผนภาพแสดงเฉพาะทางเดินของคลนื่ จากแหล่งกำเนดิ ไปยงั ตำแหน่ง O, P และ Q บนฉาก
กำหนดให้ O, P และ Q เปน็ ตำแหน่งบนฉากท่ีอยู่หา่ งออกไปจากแหลง่ กำเนิดคลืน่ ทงั้ สอง
ความตา่ งระยะทาง (∆ ) ของคล่ืนจากแหลง่ กำเนดิ ทั้งสองไปยงั จุด O, P และ Q บนฉาก คอื
จากแหลง่ กำเนดิ ทง้ั สองถงึ จุด O (∆ = |S1O − S2O|)
จากแหล่งกำเนดิ ทั้งสองถงึ จุด P (∆ = |S1P − S2P|)
จากแหล่งกำเนิดทง้ั สองถึงจุด Q (∆ = |S1Q − S2Q|)
308
นอกจากการพจิ ารณาความตา่ งระยะทาง สามารถพจิ ารณาความต่างเฟส (∆∅) ของคล่ืนจากสอง
แหลง่ กำเนิดเมื่อไปถึงตำแหน่งทพ่ี ิจารณาบนฉาก จะไดว้ ่า
กำหนดให้ ∆∅ = ∆ (2 )
∆∅ คือ มุมเฟสตา่ ง (มหี น่วยเปน็ องศา)
∆ คอื ความตา่ งระยะทาง (มีหนว่ ยเปน็ เมตร)
λ คือ ความยาวคลื่น (มีหนว่ ยเปน็ นาโนเมตร)
แหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ (coherent light source) เป็นแหล่งกำเนิดที่ให้แสงที่มีความถ่ี
เดียวกันมีเฟสตรงกนั หรือมีความต่างเฟสคงที่ ตัวอย่างของแหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ เช่น เลเซอร์ แหล่งกำเนิดแสง
โดยทวั่ ไปเปน็ แหล่งกำเนิดแสงไมอ่ าพันธ์ สามารถทำใหแ้ สงไม่อาพันธ์มคี วามอาพันธ์มากขน้ึ โดยการกำจดั ให้แสงผ่าน
ชอ่ งเปดิ เลก็ ๆ เพ่อื กำจดั แสงที่มีความถี่หรือเฟสแตกต่างกนั ให้มีจำนวนน้อยลง แสงท่ผี ่านชอ่ งเปิดออกมาจะมีความ
อาพันธ์มากขน้ึ แตค่ วามเขม้ ของแสงท่ไี ด้จะลดน้อยลง
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร(อ่าน ฟงั พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด(สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา(แก้สมการ)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต(ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื คน้ ผ่านคอมพวิ เตอร)์
5.3 คณุ ลักษณะและค่านยิ ม
ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผิดชอบ
6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการกบั กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตสาสตร์ เรอื่ ง การแก้สมการ
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขัน้ ตอนการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เดิม เรื่อง การแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำ สมการที่เกี่ยวข้องของการแทรก
สอดของคลนื่ ผิวนำ้
1.2 ครูอภปิ รายเกยี่ วกับสลติ จนสรปุ ได้วา่ เป็นอปุ กรณ์ทางแสงมีลักษณะเป็นช่องเปิดขนาดเล็กที่
มีความกวา้ งน้อยๆ ค่าหนง่ึ หากมีช่องเดีย่ ว เรยี กว่า สลติ เดย่ี ว มสี องชอ่ ง เรยี กวา่ สลิตคู่
1.3 ครูตั้งคำถามเพ่อื นำเข้าสู่การทดลอง
1) หากแสงผ่านสลิตคูไ่ ปตกบนฉาก ภาพที่ปรากฏบนฉากจะมีลักษณะอยา่ งไร
(เปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระ ไมค่ าดหวงั คำตอบที่ถูกตอ้ ง)
309
ข้ันท่ี 2 ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 นกั เรียนแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คนโดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มศกึ ษาใบกิจกรรม 10.1เร่อื ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่
2.3 ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทดลองอยา่ งละเอียด
2.4 นักเรยี นรับอปุ กรณ์การทดลอง พรอ้ มติดต้ังอุปกรณ์
2.5 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ทำการทดลอง สังเกตและบนั ทึกผลการทดลอง
ขัน้ ที่ 3 ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู ่มุ นกั เรียน 2 คน ออกมานำเสนอผลการทดลองหนา้ ชนั้ เรียน
3.2 ครูนำนกั เรียนอภิปรายเพ่ือนำไปสูก่ ารสรปุ โดยใช้คำถามต่อไปน้ี
1) นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการทำกจิ กรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร(แนวการตอบ
ไดผ้ ลเหมอื นกนั )
2) ในกรณที ีใ่ ชแ้ สงเลเซอร์สแี ดงผา่ นสลติ คทู่ ี่มรี ะยะหา่ งระหว่างชอ่ งต่างกัน ภาพท่ปี รากฏ
บนฉากมีลักษณะอยา่ งไร มีความแตกตา่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร(แนวการตอบ เมื่อแสงเลเซอร์สแี ดงผ่านสลิตคู่
ลักษณะภาพบนฉากประกอบด้วยแถบสว่างและแถบมืดสลับกัน โดยมีแถบสว่างตรงกลางสว่างกว่า
แถบสว่างด้านข้าง เมื่อระยะห่างระหว่างช่องสลติ คู่มีค่ามากขึ้น ความกว้างของแถบสว่างและแถบมดื มีค่า
น้อยลง)
3) ภาพการแทรกสอดของแสงทไ่ี ดจ้ ากกรณที ี่ใช้แสงเลเซอรส์ ีเขียวแตกต่างจากกรณีท่ใี ช้
แสงเลเซอร์สีแดงหรือไม่ อย่างไร(แนวการตอบ เมื่อแสงเลเซอร์สีเขียวผ่านสลิตคู่ จะปรากฎแถบมืด
แถบสว่างเช่นเดียวกับแสงเลเซอร์สีแดง แต่แตกต่างกันคือ เมื่อใช้สลิตคู่ที่มีระยะห่างระหว่างช่องเท่ากนั
แถบสวา่ งและแถบมืดท่ีเกิดจากแสงเลเซอร์สีเขียวจะมีความกวา้ งของแถบนอ้ ยกว่าที่เกิดจากแสงเลเซอร์สี
แดง)
3.3 นักเรยี นและครรู ่วมกนั อภปิ รายและสรุปผลการทำการทดลองจนสรุปได้ ดังน้ี
จากการทำการทดลอง พบว่า เมื่อแสงเลเซอร์ผ่านสลิตคู่ จะเห็นลวดลายการแทรกสอดของแสงเป็น
แถบสว่าง และแถบมืดสลับกันบนฉาก คล้ายกับการเกิดปฏิบัพและบัพจากการแทรกสอดของคลื่นผิวน้ำ
ตามลำดบั แสดงว่าคลนื่ แสงมีการแทรกสอดแบบเสรมิ และแบบหกั ล้างลวดลายการแทรกสอดทป่ี รากฏเม่ือ
แสงเลเซอร์ผ่านสลิตคู่นั้นแถบสว่างแต่ละแถบมีขนาดใกล้เคียงกัน แผ่ออกไปทั้งสองข้างจากกึ่งกลาง เม่ือ
เปล่ยี นสลิตที่มรี ะยะห่างระหว่างช่องของสลิตคูม่ ากขน้ึ ขนาดของแถบสวา่ งทปี่ รากฎจะมีขนาดเลก็ ลง และ
อยใู่ กลก้ นั มากขน้ึ เม่อื ให้แสงเลเซอร์สแี ดงและสีเขียว ผ่านสลติ คู่ท่ีมีระยะระหว่างช่องเท่ากัน ความกว้างของ
แถบสว่างที่ปรากฏจากแสงเลเซอรส์ ีเขียวกว้างน้อยกวา่ ท่ีปรากฏจากแสงเลเซอร์สีแดง แสดงให้เห็นว่าเมือ่
ใช้แสงเลเซอร์สีเขียวซึ่งมีความยาวคลื่นน้อยกว่าแสงเลเซอรส์ ีแดงจะทำ ให้ความกว้างของแถบสว่างมีค่า
นอ้ ยกวา่
310
ขน้ั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายใหค้ วามรเู้ พ่มิ เตมิ ดงั น้ี
1. แหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ (coherent light source) เป็นแหล่งกำเนิดที่ให้แสงที่มี
ความถี่เดียวกันมีเฟสตรงกันหรือมีความต่างเฟสคงที่ ตัวอย่างของแหล่งกำเนิดแสงอาพันธ์ เช่น เลเซอร์
แหล่งกำเนิดแสงโดยทัว่ ไปเปน็ แหล่งกำเนิดแสงไม่อาพันธ์ สามารถทำให้แสงไมอ่ าพันธ์มีความอาพนั ธ์มาก
ข้นึ โดยการกำจัดใหแ้ สงผ่านชอ่ งเปิดเล็กๆ เพ่อื กำจดั แสงท่ีมีความถห่ี รือเฟสแตกต่างกันให้มีจำนวนน้อยลง
แสงทีผ่ ่านชอ่ งเปดิ ออกมาจะมีความอาพันธ์มากข้นึ แตค่ วามเข้มของแสงทไ่ี ดจ้ ะลดน้อยลง
2. ครูอธบิ ายตวั อยา่ งโจทย์ปัญหา 10.1 – 10.4 ตามหนงั สอื เรียน
4.2 ครถู ามคำถามชวนคดิ
1. ใช้เลเซอร์พอยเตอร์สีม่วง และสีเขียวฉายแสงผ่านสลิตคู่ที่มีระยะห่างเท่ากัน ความ
กวา้ งของแถบสว่างเนื่องจากแสงเลเซอรส์ มี ว่ งและแสงเลเซอรส์ เี ขียว แตกตา่ งกันหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวคำตอบ แตกต่างกนั เน่ืองจากแสงเลเซอร์สีมว่ งมีความยาวคลื่นนอ้ ยกว่าแสงเลเซอรส์ ีเขียวความกว้าง
ของแถบสว่างของแสงเลเซอร์สีม่วงจะมีความกวา้ งนอ้ ยกว่าแถบสว่างของแสงเลเซอรส์ เี ขยี ว)
ข้นั ท่ี 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรียนส่งใบงาน เรื่อง การแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคู่
8. สื่อการเรียนร้/ู แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส์) ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เน็ต
8.3 ใบงาน เรอ่ื ง การแทรกสอดของแสงผา่ นสลติ คู่
9.การวัดและประเมินผล วิธีการวัด เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจใบงาน เรือ่ ง 1) ใบงาน เร่อื ง 1) นกั เรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K) การแทรกสอดของแสง การแทรกสอดของแสง ตอบคำถามได้ระดบั ดี
1) อธบิ ายรูปแบบการแทรกสอด ผ่านสลิตคู่ ผา่ นสลิตคู่ ผา่ นเกณฑ์
ของแสงผ่านสลติ คไู่ ด้
1) ตรวจใบงาน เรื่อง 1) ใบงาน เรอ่ื ง 1) นกั เรยี นสามารถ
ด้านกระบวนการ (P) การแทรกสอดของแสง การแทรกสอดของแสง ทำใบงานไดร้ ะดับดี
1) คำนวณหาปริมาณต่างๆ ที่ ผา่ นสลิตคู่ ผา่ นสลิตคู่ ผ่านเกณฑ์
เก่ียวข้องกบั การแทรกสอดของ
แสงผา่ นสลิตคูไ่ ด้ 1) ตรวจการส่งใบกจิ กรรม 1)ใบกจิ กรรม เรือ่ ง 1) นักเรียนไดร้ ะดับดี
ด้านคุณลกั ษณะ (A) ผา่ นเกณฑ์
1) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความ เร่ือง การแทรกสอดของแสง การแทรกสอดของแสง
รบั ผดิ ชอบ
ผ่านสลิตคู่ ผ่านสลิตคู่
311
10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เร่ือง การแทรกสอดของแสงผา่ นสลติ คู่
ประเด็นการ คา่ น้ำหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วนทกุ ขอ้
(K) 2 ตอบคำถามถกู ตอ้ งครบถว้ น3-4 ขอ้
1 ตอบคำถามถกู ตอ้ งครบถ้วน 1-2 ขอ้
ดา้ น 3 ทำแบบฝกึ หัดไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วนทกุ ขอ้
กระบวนการ 2 ทำแบบฝึกหดั ถูกตอ้ งครบถ้วน1 ขอ้
(P) 1 ทำแบบฝกึ หดั ไมถ่ ูกตอ้ ง
ด้าน 3 ทำภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถว้ น
คณุ ลักษณะ 2 ทำภาระงานทไี่ ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ทำภาระงานท่ีไดร้ ับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน
ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน
312
การประเมินการทำกิจกรรม เรือ่ ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคู่
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ช่อื - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
313
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
314
บนั ทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 เรือ่ ง แสงเชงิ คลน่ื อ
แผนการสอนที่ 25 เร่ือง การแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คู่ .
วนั ที่.................................................เดอื น.......................................................................พ.ศ......................................
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอ่ื ............................................ครผู สู้ อน ลงชอ่ื .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)
ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กลุม่ บรหิ ารวิชาการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)
ลงชอ่ื ............................................ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..