The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระปลัดเล็ก อานนฺโท (ทองแสน)-ดุษฎีนิพนธ์-สมบูรณ์ (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phrapalad Lek, 2022-08-16 06:42:33

พระปลัดเล็ก อานนฺโท (ทองแสน)-ดุษฎีนิพนธ์-สมบูรณ์ (1)

พระปลัดเล็ก อานนฺโท (ทองแสน)-ดุษฎีนิพนธ์-สมบูรณ์ (1)

36

1. ผู้เรียนเป็นผู้กาหนด กากับ การเรียนรู้ของตนเอง (Directing and Learning are
Organized by Learners) ผู้เรียนจะต้องกระตือรือร้นมีส่วนร่วมในการศึกษา อย่างดีท่ีสุดก็คือ
หมายความว่านักเรียนมีโอกาสท่ีจะสงสัย ไตร่ตรอง และคิดอย่างสร้างสรรค์ นักเรียนควบคุมจังหวะ
ของการเรียนรู้ทาให้พวกเขาได้ใช้เวลามากขึ้นในสิ่งท่ีจาเป็นและต้องการเรียนรู้ นักเรียนสามารถมุ่ง
ความสนใจไปท่ีหัวขอ้ ทด่ี ึงดูดใจพวกเขา จากนั้นจึงคอ่ ยขยับขยายออกไปสารวจหัวข้อท่ีพวกเขารู้เพยี ง
เลก็ น้อย

2. ผู้เรียนได้ปลูกฝังกระบวนการรู้คิด (Learners have Instilled the Cognitive
Process) การเปน็ ผูเ้ รียนท่ีประสบความสาเร็จนน้ั เก่ียวขอ้ งกับการทาความเข้าใจ วิธที ่ีคุณเรียนรู้ สิ่งน้ี
อาจเป็นเรื่องยากสาหรับนักเรียนทุกวัยเนื่องจากเราต้องเผชญิ หนา้ กับจุดอ่อนและจุดแข็งของเรา สว่ น
หนงึ่ ของกระบวนการเรยี นรูด้ ้วยตนเองควรรวมถึงการกาหนดเป้าหมายและสะท้อนให้เหน็ วา่ เราบรรลุ
เป้าหมายเหล่านั้นได้ดีเพียงใด และด้วยขั้นตอนน้ีนักเรียนจะเข้าใจกลยุทธ์ท่ีทาให้พวกเขาประสบ
ความสาเรจ็ ในการเรียนรู้

3. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะเพื่อเตรียมความพร้อมด้านอาชีพ (Learners’ Skill are
Developed for Preparing the Future Career) การจัดการเวลา ความสามารถในการทางานทั้ง
อิสระและทางานร่วมกัน การแก้ปัญหา การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจ สิ่งเหล่าน้ีคือทักษะที่
จาเป็นในการทางานและเป็นสว่ นประกอบของรูปแบบการเรียนรู้ที่ชี้นาตนเองที่วางแผนไวอ้ ย่างดี เรา
บอกให้นักเรียนประยุกต์ใช้สิ่งท่ีเรียนรู้ในห้องเรียนกับสถานการณ์จริง การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง
สามารถช่วยนักเรียนพัฒนาทักษะในโลกแห่งความเป็นจริงท่ีพวกเขาจาเป็นจะต้องใช้เมื่อ อยู่นอก
ห้องเรยี น

4. ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียน (Learners have a good Attitude Towards
Learning) ถึงท่ีสุดแล้วบางทีประโยชน์ท่ียิ่งใหญ่ที่สุดของการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองก็คือการได้รับ
รู้คุณค่าในการเรียนรู้ ทาให้นักเรียนกลายเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษาตอนปลายมี
การยืนยันว่าพบดาวเคราะห์นอกระบบมากกว่า 1,800 ดวง แต่ฉันก็ยังคงเรียนร้เู กี่ยวกับดาราศาสตร์
โดยใช้เทคโนโลยีที่ทรงพลังมากกว่า ฉันไมไ่ ด้ทาไปเพอื่ เป็นนักดาราศาสตร์ แตฉ่ ันยังคงจ้องมองท้องฟ้า
ยามคา่ คืนและฉงนสนเทห่ ไ์ ปกับความงามของมัน

นักเรียนวันน้ีสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลออนไลน์มากมายเพื่อการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง
เร่ิมต้นด้วยการดูคู่มือการเรียนรู้ด้วยตนเองออนไลน์แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์ดี ๆ ท่ีมี
บทเรยี นฟรที ่พี ัฒนาขึ้นสาหรบั นกั เรยี น

Gutierrez (2017) นักยุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลและที่ปรึกษาด้านการตลาดท่ี Nectar
Digital กล่าวถึงความสาคัญของทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (Self-Direction Learning Skills)
ไว้วา่

1. ผู้เรียนสามารถยืดหยุ่นการจัดตารางเวลา (Learners’ Timetable is Adjustable
and Flexible) ตามทฤษฎีความยืดหยุ่นของการรู้คิด การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากข้อมูล
ท่ซี บั ซอ้ นถกู อธบิ ายผ่านมมุ มองทหี่ ลากหลาย การเปรยี บเทยี บ และการยกตัวอยา่ ง

ซ่ึงผู้ใหญ่จะอ้างว่าพวกเขาเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อพวกเขาวิเคราะห์และ
จัดการความรู้ภายในด้วยตนเอง โดยการสลับไปมาระหว่างมุมมอง การอ้างอิงถึงกรณีศึกษา และ

37

ค้นหาแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ภายในพื้นท่ีเสมือน ซึ่งทาให้ผู้เรียนท่ีเป็นผู้ใหญ่มีความยืดหยุ่นในการจัด
ตารางเวลาและเรียนรู้เม่อื ใดและอยา่ งไรกไ็ ด้ ตามความสะดวกของพวกเขาทจ่ี ะทาเชน่ นัน้

2. ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบผู้ใหญ่ (Learners can Learn as an Adult) ซ่ึงจะสอดคล้อง
อย่างมากกับสไตล์การเรียนรู้ตามธรรมชาติของผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องการถูกป้อนข้อมูลโดย
ผสู้ อน ซึ่งการเขา้ กนั ได้นีจ้ ะขจัดความรู้สกึ ตอ่ ต้านและกระตุ้นผเู้ รียนทเ่ี ป็นผ้ใู หญ่ใหค้ น้ หาการเรยี นรู้

3. ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความต้องการของตนเอง (Leaners Learn by their own
Needs) ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปตามจังหวะของแต่ละคน ตามความต้องการ และตามความพึงพอใจ
ในการเรียนรู้ในแบบของตนเอง ส่ิงน้ีทาให้การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองสัมพันธ์กับความต้องการของ
ผูเ้ รียนมากข้ึน และความสัมพันธ์นี้ยังเพม่ิ ขึ้นหากพนักงานมีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ของ
ตนเองในขณะทีน่ าความรทู้ ่ไี ดม้ าใหมไ่ ปใช้กับงานท่ีทาอยู่

4. ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรู้ที่เป็นปัจจุบัน (Learners Learn Updated Knowledge) เม่ือ
ผเู้ รยี นได้รับแรงบันดาลใจในการเรียนรู้และมีเครื่องมือและทรัพยากรท่ีพร้อมใช้งานได้ง่ายเพื่อให้พวก
เขาขีดเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง พวกเขาก็จะสามารถก้าวทันข้อมูลล่าสุด พนักงานที่คอยติดตาม
การพัฒนาในสายงานจะถอื ว่าเป็นสนิ ทรพั ยท์ ม่ี ีคณุ ต่อองค์กร

5. ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะเฉพาะ (Learners Learn Specific Skills) ผู้เรียนที่เป็นผู้ใหญ่
ต้องการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะเฉพาะเพื่อให้ทันกับการแข่งขันในสถานท่ีที่ทางาน ความสามารถใน
การเลือกวิธีท่ีพวกเขาต้องการในเรื่องนั้น ๆ ถือเป็นแรงบันดาลใจอย่างมาก นอกจากน้ีความสามารถ
ในการกาหนดเวลาการเรยี นร้ตู ามความสะดวกโดยไม่ต้องรอให้ผู้จัดฝกึ อบรมมาเตรียมการให้ กจ็ ะเป็น
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนและเชย่ี วชาญในทักษะของตนเอง

6. ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่สนใจและช่วยให้เกิดความชานาญ (Learners Learn what
they are Interested, Result for their Specific Expertise) เมื่อผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยวิธีท่ี
พวกเขาทาได้ดีที่สุด โดยการกากับบทเรียนตามความต้องการของพวกเขาและเลือกใช้ทรัพยากรเพ่ือ
วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้างองคค์ วามรู้ความเข้าใจของตนเอง ก็จะทาให้มีความเช่ียวชาญ
ในสาขานั้นมากขน้ึ

เว็บไซต์ของ Alternatives to School (2019) เป็นเว็บไซต์ท่ีนาเสนอโรงเรียน
ทางเลือก ซึ่งมีหลักสูตรและวิธีการท่ีไม่ใช่แบบด้ังเดิม โรงเรียนดังกล่าวมีปรัชญาและวิธีการสอนที่
หลากหลาย กล่าวถึงความสาคัญของทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (Self-Direction Learning
Skills) วา่

การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง คือ ผู้ปกครองที่ให้เด็กเปล่ียนเป็นการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง
โดยตรงมักจะกล่าวว่า น่ีเป็นมากกว่าวิธีการใหม่ในการศึกษา แต่เป็นวิถีชีวิตใหม่ นี่เป็นเพราะการ
เรยี นรู้แบบชี้นาตนเองสะทอ้ นให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่าผ้คู นมีสทิ ธิใ์ ช้ชีวิตของตนเองและทาตามเสน้ ทาง
ของตนเอง เพ่ือไขว่คว้าความสุขในรูปแบบของตนเองตราบใดท่ีพวกเขาไม่ยุ่งเก่ียวกับสิทธิ์ของผู้อื่นที่
เหมือนเดิม การเรียนรู้แบบชีน้ าตนเองเป็นการพูดถึงการสร้างวฒั นธรรมการทางานร่วมกันซึ่งเป็นสงิ่ ที่
เสรีภาพส่วนบุคคลมีคุณค่าและใช้ในรูปแบบการทางานร่วมกันที่สนับสนุน “เสรีภาพและความ
ยุติธรรมสาหรับทุกคน” ซ่ึงตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า เราแต่ละคนจะได้รับประโยชน์มากท่ีสุด (ดัง
สุภาษิตที่ว่า) จากการทาพายท่ีใหญ่กว่าโดยไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับพายท่ีมีอยู่แล้ว (อย่าไปใส่ใจกับ

38

ส่ิงท่ีไร้ค่า) เป็นปรัชญาแบบต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ชนะ ซึ่งประโยชน์หลายประการท่ีสาคัญที่สุดของการ
เรียนรู้แบบชน้ี าตนเอง ไดแ้ ก่

1. ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ตามความพอใจของตนเอง ซ่ึงช่วยให้ผู้เรียนมีความมั่นใจ
เกิ ด ค ว า ม คิ ด ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ( Learners have Developed their Learning by their own
Satisfaction. This way Help Learners to become Confident and Creative) ก า ร ท่ี เร า
ควบคุมชีวิตของเราทั้งหมดไม่ได้ (เนื่องจากปัจจัยภายนอกหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อเราทุกคน
รวมถึงยีนต่อสถานการณ์แวดล้อม) เราแต่ละคนจึงต้องรับผิดชอบชีวิตของเราเอง เรารับผิดชอบใน
การสร้างตัวเลือกที่จะช่วยสร้างเส้นทางของเราเองเม่ือเราโตข้ึน การเรียนรู้แบบช้ี นาตนเองเพ่ิม
ความสามารถของบุคคลได้อย่างมากในการสร้างตัวเลือกท่ีฟังดูเข้าที ฉลาด และตนเห็นพ้องด้วยเมื่อ
ต้องเดิมพันสูง ย่ิงฝึกการสร้างทางเลือกเพื่อตัดสินใจด้วยตนเองมากเท่าไหร่ เช่น อ่านความคิด
ความรู้สึก ความต้องการ และความจาเป็นของตนเองแล้วช่ังน้าหนักโดยเปรียบเทียบกับตัวเลือกที่มี
ในขณะท่ียังมีอายุน้อย ๆ อยู่ ก็มีแนวโน้มท่ีจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ท่ีมีวุฒิภาวะ มีเหตุผล มีสุขภาพดี มี
ประสทิ ธผิ ล และเหน็ อกเหน็ ใจผู้อื่น

2. ผู้เรียนได้เห็นคุณค่าและความสาเร็จของตนเอง (Learners Know their Value and
Success) ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครพูดดูถูกอะไรพวกเขา หรือวิจารณ์ว่าพวกเขาไร้
ความสามารถในทางใดทางหนึ่ง แต่นี่เป็นการชี้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกับ การเสริมแรงท่ีเป็นระบบ
ของคาพูดเชิงลบเหล่าน้ัน เช่น การถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มท่ีอ่อนด้านการอ่านในชั้น ป.1 เพราะตาราง
เรียนไม่ตรงกันกับเพื่อน หรือการช้ีว่าพวกเขาเป็นพวกที่ “ขาดแรงบันดาลใจ” หรือขี้เกียจเพราะพวก
เขาชอบเส้นทางของตนเองมากกว่าส่ิงท่ีโรงเรียนกาหนดให้ จอห์นโฮลท์ เขียนไว้ในหนังสือ ทาไมเด็ก
ลม้ เหลว ว่า “โรงเรียนเป็นสถานที่ที่เด็กเรียนรทู้ ี่จะร้สู ึกงีเ่ ง่า” นอกจากน้ียังนาไปใชก้ ับคนวัยหนุ่มสาว
ที่โรงเรียนเห็นว่าเป็น “ผู้ชนะ” หากเรียนได้เกรดสูง ๆ ดังท่ีโฮลท์ และต่อมาเคิร์สเทนโอลสัน (ใน
หนังสือของเธอท่ีชื่อ บาดแผลจากโรงเรียน) ได้อธิบายไว้อย่างเฉียบคมว่า ไมว่ ่าเวลาใด ก็ไม่มีใครไมไ่ ด้
รับอิทธิพลจากความกลัวอย่างลับ ๆ ที่เธอหรือเขาอาจแสดงออกมาเป็น “ความล้มเหลว” เมื่อความ
ล้มเหลวและความสาเร็จถูกตรึงไว้กับการทดสอบและการวัดประเมินจากผู้อ่ืนที่ทาตามใจชอบ ดังที่
เกดิ ขึ้นในโรงเรียนนน่ั เอง ซง่ึ บาดแผลดังกล่าวจะติดตามไปตลอดชีวติ

เราอาจพยายามกลบบาดแผลเหล่าน้ันไว้ด้วยประสบการณ์ของความสาเร็จในอีกหลาย ๆ
ปีหลังเรียนจบ แต่บาดแผลก็ไม่ได้หายไปไหน สาหรับหลาย ๆ คนการต่อสู้เพื่อชดเชยความรู้สึก
เช่นน้ันคือการระบายออกอย่างต่อเน่ือง ลองคิดว่าเราจะมีความสุขมากข้ึนและประสบความสาเร็จ
มากขึ้นเพียงใด ถ้าเราไม่ต้องพยายามพิสูจน์ว่าเราไม่ใช่คนโง่เขลาแบบที่เรากลัวว่าเราจะเป็น หรือว่า
เราเป็นคนที่มีสติปัญญาดแี บบท่ีเราถูกมองว่าเป็นอย่างน้ันตอนที่เรียนอยู่ เราจะเป็นผูฟ้ ังและผู้เรียนที่
ดีข้ึนมากเพียงใดถ้าเราไม่จาเป็นต้องคอยปกป้องตนเองและพิสูจน์ให้ผู้อ่ืนเห็นว่าเรามีความรู้ เราจะ
เปิดกวา้ งมากข้นึ และอยากรู้อยากเห็นแบบเดียวกับที่เราเป็นตอนอายุ 2 ขวบมากข้ึนเพียงใด ถ้าความ
นบั ถอื ในตนเองของเราไมเ่ คยถูกโจมตหี รือถูกสนับสนนุ อย่างผิด ๆ ตลอดหลายปีเหล่าน้ัน

3. ผู้เรียนได้เรียนรู้ในส่ิงที่ตนเองสนใจ (Learners Learn by their own Satisfaction)
โรงเรียนโดยท่ัวไปจะมีการกาหนดหลักสูตรไว้แล้ว มีกาหนดการที่ตายตัวและไม่สามารถตอบสนอง
ความต้องการและความสนใจของแต่ละบุคคลได้ แมแ้ ต่หวั ข้อท่ีอย่ใู นหลกั สตู รของโรงเรียนตามปกติ ก็

39

สามารถสารวจได้ในเชิงลึกและมีความหมายมากขึ้นในการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง เช่น โดยการสร้าง
และแล่นเรือใบแทนท่ีจะอ่านเพียงวิธีท่ีคนอื่นทา หรือโดยการสารวจท่ีดินสักแปลงมากกว่าเพียงแค่
การคานวณพ้ืนที่ของรูปหลายเหล่ียมที่เขียนอยู่ในกระดาษ และหากเรือจมคุณสามารถซ่อมแซมและ
เรียนรู้จากความผิดพลาด แทนที่จะรับรู้เพียงว่าน่ีเป็นสิ่งที่ผิดแล้วหันไปเร่ิมทา “งาน” ช้ินถัดไป เมื่อ
เรอื ลอยก็จะมีเวลาที่จะแล่นเรือ แม้จะใช้เวลานานก็ตาม ซึ่งอาจเป็นผลให้เกิดการสารวจชดุ ของความ
สนใจใหม่ทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะมีข้อจากัดใด ๆ ท่ีอาจเกิดข้ึน ก็ไม่นับว่าเป็นผลของหลักสูตรที่มีการ
กาหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

4. ผู้เรียนได้เรียนรู้การทางานร่วมกับบุคคลอ่ืน (Learners Learn to Work with other
People) หากไม่มีข้อกาหนดในหลักสูตรของโรงเรียน ผู้ปกครองและนักเรียนก็มีอิสระในการ
สร้างสรรค์ อภิปราย ต่อรอง ออกแบบ และสารวจ ซ่ึงเป็นการลงมือทาในสิ่งท่ีพวกเขาตัดสินใจเลือก
ว่าจะตอบสนองเป้าหมาย ค่านิยม และความปรารถนาส่วนตัวได้ดีท่ีสุด ประสบการณ์ได้แสดงให้เห็น
ว่าวิธีการนี้ตรงข้ามกับส่ิงท่ีคนข้ีสงสัยส่วนใหญ่กลัว ผลของวิธีนี้มีแนวโน้มท่ีจะเกิดกับคนหนุ่มสาวท่ี
รู้สึกผ่อนคลายกับตนเองและไวต่อความต้องการของผู้อ่ืน ส่ิงนี้มักสะท้อนให้เห็นในการเลือกอาชีพ
และลักษณะงาน นั่นคือ พวกเขาเลือกที่จะทางานร่วมกันและให้อานาจผู้อื่นแทนท่ีจะแสวงหาอานาจ
เหนือผู้อื่น ความสุขเป็นสิ่งที่หล่อเล่ียงให้ความสุขเพิ่มขึ้น และสามารถพูดได้ว่าการชี้นาตนเองก็มี
ลักษณะเช่นเดียวกัน ผู้ที่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตนเองมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนผู้อื่นในการ
ชี้นาตนเองดว้ ยเชน่ กัน และยอมรบั ความรบั ผิดชอบในการเปน็ สมาชิกของครอบครวั มนษุ ย์

เว็บไซต์ของ Assignment Bay (2017) กล่าวถึงความสาคัญของทักษะการเรียนรู้แบบ
ช้ีนาตนเอง (Self-Direction Learning Skills) ว่า เป็นนวัตกรรมใหม่ในการเข้าถึงความรู้ มีข้อดี
มากมายของการเรียนร้แู บบชี้นาตนเองสาหรับนักเรียน เป็นนวตั กรรมด้านการศึกษา ผู้ปกครองหลาย
คนที่ช่ืนชอบวิธีน้ีบอกว่าเทคนิคน้ีเป็นวิธีการใหม่แกะกล่องในด้านมุมมองต่อการเรียนรู้ มีเหตุผล
มากมายสาหรับมุมมองนี้เก่ียวกับการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง นักวิชาการจานวนมากบอกว่าเทคนิคนี้
สง่ เสริมความร้สู ึกว่า ผู้เรียนทกุ ๆ คนมีหนา้ ทอี่ ันสูงสง่ ท่ีจะกระทาการใดในโลกใบน้ี และเขาหรือเธอก็
มสี ิทธ์ิท่จี ะไปตามทิศทางท่ีนาไปสู่เปา้ หมายทตี่ นเองกาหนดไว้ เมื่อผู้เรียนทาตัวเป็นผ้ใู ครใ่ นการเรียนรู้
ของตวั เอง ก็จะเรม่ิ เปน็ เจ้าของและรบั ผดิ ชอบ ข้อดีหลกั ๆ ของวิธีการนี้ ได้แก่

1. ผู้เรียนเกิดความพอใจและม่ันใจในการเรียนรู้ของตนเอง (Learners are Satisfied
and Confident with their Self-Learning) บุคคลน้ันจะต้องตระหนักว่า ในที่สุดแล้วก็ต้อง
รับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง อย่างไรก็ตาม น่ีไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องควบคุมทุก
อย่างเก่ียวกับชีวิตของพวกเขา ตรงกันข้ามพวกเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เข้าใจเก่ียวกับสถานการณ์
เหล่านั้นของโลกภายนอกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา การยอมรับข้อจากัดของตัวเองจะ
ทาใหบ้ คุ คลน้นั ตระหนักถึงขอบเขตของอสิ รภาพทเี่ ขาหรือเธอสามารถใชย้ ดึ ถือสาหรบั ตวั เอง

วิธีการน้ีช่วยให้บุคคลสามารถแก้ไขปัญหาของตนได้อย่างสร้างสรรค์และสร้างวิธีการของ
ตนเอง คนเหล่านั้นเรียนรูผ้ ่านความผดิ พลาดของตัวเอง จนกลายเป็นผู้ท่ีสามารถตัดสินใจได้ดขี ้นึ และ
ทาใหม้ ีทางเลอื กท่สี รา้ งสรรคม์ ากขนึ้ ในชวี ิตประจาวัน

2. ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองจากเร่ืองท่ีตนเองสนใจและถนัด (Learners Learn
and Develop themselves based on their Interests) วิธีน้ีป้องกันนักเรียนไม่ให้ข้ีเกียจในเรื่อง

40

การเรียน นักเรียนทที่ าตามรปู แบบการเรียนรู้แบบช้นี าตนเองจะแน่ใจไดว้ า่ รปู แบบการเรยี นรู้ของพวก
เขาสอดคล้องกับความถนัด ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์ท่ีต่างฝ่ายต่างก็ได้ประโยชน์สาหรับนักเรียน
เหล่าน้ี

เราจะเช่ือกันว่าบรรทัดฐานของโรงเรียนท่ีการแข่งขันมีความเข้มข้นจะทาให้นักเรียนรู้สึก
ด้อยความสามารถหากพวกเขาไม่ได้เกรดสูง ๆ ในการเรียนส่ิงนี้ทาให้ความม่ันใจในตนเองหมดไป
อย่างส้ินเชิง สาหรับนักเรียนหลาย ๆ คน แล้วความรู้สึกท่ีด้อยกว่านี้จะอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต
พวกเขาจะไม่มวี นั คิดว่าตวั เองมีสติปัญญาทดี่ ีได้อีกตอ่ ไป

ผ้สู นบั สนนุ การเรียนรู้แบบช้นี าตนเองใหเ้ หตผุ ลว่า บุคคลจะสามารถตระหนักถึงศักยภาพท่ี
แท้จริงของตัวเองได้อย่างไรหากเขาหรือเธอเป็นเพียงคนบ้า ๆ บอ ๆ ท่ีต้องแข่งกันทาส่ิงท่ีน่าเบื่อ
หน่ายในหมู่เพื่อนด้วยกันเอง พวกเขายังแย้งว่าการเหนือกว่าทางปัญญาจะเกิดข้ึนได้กต็ ่อเมื่อนักเรียน
มงุ่ เน้นทก่ี ารพฒั นาและท้าทายตวั เองเทา่ นั้นแทนทจี่ ะเปรียบเทยี บตัวเองกับผู้อ่ืน

3. ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้ ซ่ึงนาไปสู่การสร้างและพัฒนานวัตกรรม (Learners are
Free to Learn. It could Help Creative and Innovation) กาหนดการต่าง ๆ ของโรงเรียนท่ัวไป
น้ันเข้มงวดมากและไม่ยดื หยนุ่ เน้ือหาสาหรับการสอนในแต่ละวชิ ามีการกาหนดไว้ตายตัว ดังน้ันจึงไม่
มที ่ีว่างสาหรบั นวตั กรรมนอกจากนี้ยังไม่มกี ารทาตามความต้องการสาหรับนักเรียน นักเรียนควรไดร้ ับ
อิสระในการเข้าถึงหลักสูตรท่ีมีเนื้อหาลึกกว่าท่ีกาหนดไว้ ซ่ึงหากทาเช่นน้ีแล้วนักเรียนจะสามารถ
กระทาสง่ิ ท่สี รา้ งสรรคแ์ ละเป็นนวตั กรรมเพอ่ื อวดให้โลกได้เห็น

การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองช่วยให้บุคคลสามารถค้นหาวิธีการและลักษณะที่เหมาะสมกับ
บคุ ลิกภาพและความถนัดของตนอย่างดีท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ เมอ่ื บุคคลมีการช้ีนาตนเองเช่นนั้นแล้ว
เขาหรือเธอจะกลายเป็นมนุษย์ทีม่ ีความสุขซ่ึงสามารถช่วยเหลือผู้คนรอบตัวด้วยความรับผิดชอบ และ
กลายเปน็ พลเมืองท่ดี ไี ดอ้ กี ด้วย

เว็บไซต์ของ Western Academy of Beijing (2017) กล่าวถึงความสาคัญของทักษะ
การเรียนรู้แบบช้ีนาตน เอง (Self-Direction Learning Skills) ว่า เด็กนักเรียนที่ Western
Academy of Beijing กาลังร่างหลักสูตรการเรียนรู้ของตนเอง แนวคิดริเร่ิมนี้เป็นของครูชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 3 คือ Kelly Crysell และ Leah Rempel ซ่ึงออกแบบมาเพ่ือให้นักเรียนเลือกวิชา
และทักษะที่พวกเขาเรียน พวกเขาเรียกมันว่า “วันศุกร์ วันอิสระ” โดยนักเรียนสามารถควบคุมและ
เป็นอิสระในการเรียนได้มากข้ึน ด้วยความหวังว่าพวกเขาจะได้รับความคิดใหม่ ๆ และล้วงลึกลงไป
ตามความสนใจของพวกเขา ปรากฏการณ์น้มี ักเรียกกนั ว่าเป็นการเรียนรูแ้ บบชี้นาตนเอง และการวิจัย
มากมายทีเ่ พิ่มขึ้นจะสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนานักเรยี น “เราตอ้ งการให้สิทธใ์ิ นการแสดง
ความคิดเห็นและทางเลือกแก่นักเรียนมากข้ึนในสิ่งท่ีพวกเขาเรียนรู้” เคลล่ีกล่าว มันเก่ียวกับการทา
โรงเรียนให้แตกตา่ ง ในรปู แบบทส่ี ามารถพฒั นาการเรียนรู้สาหรบั นกั เรียนได้

ใน “วันศุกร์ วันอิสระ” มีการจัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับนักเรียน 3
แบบ

1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เชิงสารวจ (Learners have Learned from Explorations) ลองทา
สิ่งใหม่ ๆ กับผู้เช่ียวชาญในสาขาน้ัน ๆ ตัวอย่างเช่น การเข้าร่วมเล่นดนตรีกับครูสอนดนตรี การ
ทดลองรว่ มกบั นักเคมี

41

2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ในส่ิงที่จาเป็น (Learners Learn What They Need to Learn)
ช่ัวโมง โฮมรูมเหมาะกับงานในวิชาหลักที่นักเรียนแต่ละคนต้องทาให้เสร็จ แต่พวกเขาก็มีอิสระที่จะ
ทางานในสถานท่ีต่าง ๆ ในเวลาท่ีต่างกัน ตัวอย่างเช่น การอ่านหนังสือสองบท หรือฝึกทักษะ
คณิตศาสตร์ใหเ้ กง่ ขน้ึ

3. ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้จากผู้เช่ียวชาญ (Learners Learn From Experts) นักเรียนมีอิสระใน
การชี้นาการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยเลือกหัวข้อที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมและทาให้ครูเห็นคุณค่าของ
หัวข้อน้ัน ๆ ตัวอย่างเช่น การเรียนรกู้ ารเล่นกีตาร์ไฟฟ้า การทาเคร่ืองแต่งกายสาหรับการแสดงละคร
หรือดนตรี

อักษร “e” แต่ละตัวในคาว่า “Freeeday” น้ันตรงกับประเภทของบทเรียนท่ีกล่าวมา
ข้างต้น (exploratory, essential, expert) ซึ่งกิจกรรมนี้สอดคล้องกับโครงการใหญ่ของโรงเรียนท่ี
รู้จักกันในชื่อ FLoW21 หรือการเรียนรู้แห่งอนาคต (Future of Learning) ที่ Western Academy
of Beijing โดยแนวคิดที่ริเร่ิม FLoW21 จะมุ่งเน้นไปท่ีเป้าหมายท่ีท้าทายสถานะเดิมของ
ประสบการณ์ในโรงเรียนของนักเรียนด้วยการใช้การเรียนการสอนและการปฏิบัติการเรียนรู้ท่ี ดีที่สุด
บนพ้นื ฐานการวิจยั ด้านประสาทวิทยาและความรใู้ นดา้ นการศึกษาของครู

ครูลีอาห์และเคลล่ีได้เห็นประโยชน์ของการอุทิศเวลาให้กับนักเรียนของพวกเขา ในการ
เรยี นรู้แบบชีน้ าตนเอง และผูป้ กครองกเ็ หน็ เช่นเดยี วกัน

“ลกู สาวของฉันและเพ่ือนกลับบ้านบ่ายวนั ศกุ รแ์ ละท้งั คู่ต่างก็ตนื่ เตน้ ไปกับวันศุกร์ที่พิเศษ”
ผปู้ กครองคนหน่ึงกลา่ ว “แน่นอนว่าพวกเขามหี นึง่ วันท่เี ต็มไปดว้ ยความรกั ในการเรยี นรู้”

เว็บไซต์ของ Self-Directed Learning (n.d.) กล่าวถึงความสาคัญของ ทักษะการ
เรียนรู้แบบชี้นาตนเอง (Self-Direction Learning Skills) ว่ามีผลลัพธ์ในเชิงบวกมากมายที่เกิดจาก
การเรียนรูแ้ บบช้ีนาตนเอง และน่ีกค็ อื ขอ้ สังเกตเลก็ ๆ น้อย ๆ จากส่งิ ท่ีเราเหน็ ในปีทผ่ี ่านมา

1. ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ (Learners Learn the Learning Method) เปิดโอกาส
ให้นักเรียนได้สอนตนเองในทักษะท่ีจาเป็นท่ีสุดในการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต น่ันคือ ความรู้เกี่ยวกับ
วิธีการเรียนรู้ การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง สอนวิธีการที่จะเรียนรู้มากกว่าส่ิงที่จะเรียนรู้ให้กับนักเรียน
หากนักเรียนสามารถเรียนรู้ “วิธีการ” สว่ นท่ีเป็นเนื้อหาหรือหัวข้อกส็ ามารถเรียนรู้สลับกันได้ ซึง่ การ
ให้เวลา 20% นี้ถือว่าโรงเรียนมอบของขวัญและอนุญาตให้ทาการศึกษาด้วยตนเอง ซ่ึงพวกเขาจะ
สามารถเติบโตและหล่อเลยี้ งชวี ติ ท่ีเหลือของพวกเขาได้

2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมและการสื่อสาร (Learners Learn Social and
Communication Skills) เม่ือไปดูที่รายการทักษะสหวิทยาการของหลักการที่นาไปสู่การปฏิบัติ
(PYP transdisciplinary) จึงไม่ใช่เร่ืองแปลกสาหรับนักเรียนที่จะใช้ทักษะมากกว่า 75% อย่าง
กระตือรือร้นตลอดการสอบถามที่เป็นส่วนตัว ทักษะเหล่านี้สามารถนาไปใช้กับบริบทต่าง ๆ และ
สถานการณก์ ารเรยี นรทู้ ่หี ลากหลาย ท้ังภายในและนอกโรงเรียน

3. ผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการเรียนรู้อย่างอิสระ (Learners Practice the Free-Learning
Methodology) ซ่ึงเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ จะช่วยให้นักเรียนฝึกฝนตนเองอย่างเป็นอิสระ ในขั้น
ต่อไปของกลยุทธ์เพ่ือทาความเข้าใจ น่ันคือ นักเรียนอ่านแล้วตั้งคาถามในใจพร้อมกับกระตุกความ
สงสัยใคร่รู้ไปโดยตลอด พวกเขาเชื่อมโยงเข้ากับความรู้และโครงสร้างทางความรู้พื้นฐาน พวกเขา

42

ตรวจสอบความเข้าใจเมื่อทาการประเมินเนื้อหาที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์ด้วย พวกเขากาหนดสว่ นสาคัญ
ของเน้ือหาเพ่ือช่วยให้เน้นไปที่การสอบถามท่ีเฉพาะเจาะจง พวกเขาอนุมานคาท่ีไม่คุ้นเคยและ
ความหมายของแนวคิดเมื่ออ่านเน้ือหา และพวกเขานาทุกส่ิงท่ีพวกเขาเข้าใจแล้วสังเคราะห์มาเป็น
บทสรปุ ของการเรียนรใู้ หม่ของตนเอง

4. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนมากข้ึน (Learners Improve their
Reading and Writing Skills) การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองจะเพ่ิมระยะเวลาท่ีนักเรียนใช้ในการอ่าน
และการเขียน ในการเรียนรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกับความสงสัยใคร่รู้ของพวกเขาน้ัน นักเรียนจะต้องมีความ
เชี่ยวชาญในการทาความเข้าใจและสร้างเน้ือหาท่ีเป็นเร่ืองจริงและส่ิงท่ีมองเห็น เป็นผลให้เกิดการ
พัฒนาความรู้ทีแ่ ทจ้ ริงและมีจดุ มุ่งหมาย ภายใต้บริบทของการสบื เสาะน้ัน

5. ผู้เรียนได้รับอิสระในการเรียนรู้ (Learners have Freedom to Learn) พวกเขา
สามารถเลือกท่ีจะทางานอย่างอิสระหรือสลับคู่ พวกเขาสามารถเลือกท่ีจะทางานในห้องเรียน ห้อง
เงียบ ๆ พ้ืนที่ส่วนกลางหรือห้องสมุด พวกเขาสามารถเลือกส่ิงที่พวกเขาต้องการเรียนรู้และวิธีท่ีพวก
เขาต้องการสื่อสารการเรียนรู้ใหม่ของพวกเขา เสรีภาพในการเลือกน้ีช่วยให้นักเรียนค้นหาขอบเขต
การเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกับพวกเขา ท้ังทางกายภาพ สังคม จิตใจ และอารมณ์ ซ่ึงส่งเสริมการรับรู้
เกยี่ วกบั อภปิ ญั ญาและการสนับสนุนตนเองตลอดการเรยี นรนู้ ้นั ๆ

6. ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติโดยมีครูเป็นผู้ให้คาแนะนา (Learners Learn
from the Practice Under the Suggestions from Teacher) การที่นักเรียนได้แสดงออกจะ
เพิ่มข้ึนเป็นอย่างมากตามเวลาที่ผ่านไป โดยในช่วงส้ินปีการศึกษาครูจะมีบทบาทหลักเป็นผู้เช่ือมโยง
ผู้ฝึกสอน และโค้ชทางปัญญา การริเร่ิมสร้างสรรค์และความสามารถในการจัดระเบียบของนักเรียนก็
จะเติบโตไปด้วยกันตลอดทั้งปี นักเรียนรู้ว่าพวกเขากาลังทาอะไรอยู่และพวกเขาต้องการทาให้สาเร็จ
อยา่ งไร งานของครูคือการเพม่ิ และผลกั ดนั ศักยภาพการเรียนรู้ในแต่ละขอ้ สงสัยเหล่านั้น

7. ผเู้ รยี นได้เรยี นรู้จากสภาพแวดลอ้ มจริง (Learners Learn from Real Environment)
ไม่ว่านักเรียนจะเกิดข้อสงสัยเองหรือมากันเป็นกลุ่ม ก็จะมีการผสมผสานความคิดและการแบ่งปันที่
เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ือง นักเรียนมีส่วนร่วมในการต่อรองประนีประนอม ให้ผลสะท้อนกลับ และการ
ประเมินผลโดยเฉพาะอย่างยิง่ เมื่อเรยี นรแู้ บบจับคู่กันและกลุ่มเลก็ ๆ

8. ผู้เรียนเป็นผู้กากับการเรียนรู้ของตนเอง (Learners Control their Learning) การ
ควบคุมและอานาจจะเปล่ียนกลับไปอยู่ที่นักเรียน พวกเขาเร่ิมมีความมุ่งม่ันและอิสระในการเรียนรู้
มากข้ึน ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนว่าจะเป็นความหลงใหลที่แท้จริงและเกิดขนึ้ ใหม่ต่อการมาโรงเรียนและ
การเรียนรู้ การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองเป็นช่วงเวลาท่ีนักเรียนช่ืนชอบของวันน้ัน ๆ และหลายคนต่ืน
ขน้ึ มารอให้มชี ว่ งเวลานที้ โ่ี รงเรยี น

9. ผู้เรียนเป็นผู้สนับสนุนตนเองในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ (Learners are Self-Supporting
of What They want to Learn) สาหรับนักเรียนบางคนอาจจะต้องใช้พ้ืนที่และระดับการได้ยินท่ี
แตกต่างกันเพ่ือใช้เป็นจุดสนใจ แตส่ าหรับบางคนอาจแนะให้ใช้ดนตรีผ่อนคลาย เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้เพ่ือ
ความสะดวก เครื่องมือเทคโนโลยี ทรพั ยากรที่เป็นสิ่งปลูกสร้างหรอื การออกแบบ การเข้าถึงสิ่งอานวย
ความสะดวกในมหาวิทยาลัย ผู้เช่ียวชาญเพ่ือให้ความช่วยเหลือ ฯลฯ นักเรียนรู้ว่าถ้าพวกเขาขอในสิ่ง

43

ที่จะช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้และสามารถบอกเหตุผลของข้อเรียกร้องน้ันได้ คาตอบก็มักจะเป็น “ตก
ลง” สิ่งน้ีทาให้นกั เรียนได้เปน็ เจา้ ของการเรียนรขู้ องตนเองได้มากข้ึน

10. ผู้เรียนมีทักษะการสื่อสารเพิ่มข้ึน (Learners Increase their Communication
Skill) เป็นการเพิ่มความสามารถของนักเรียนในการสื่อสารกับผู้อื่นและทั้งโลก นักเรียนใช้รูปแบบท่ี
มองเห็นได้อยา่ งหลากหลายเพือ่ แบง่ ปันและจัดทาเอกสารการเรียนรู้ซ่ึงช่วยในการปรบั ปรงุ ทกั ษะการ
ออกแบบ สิ่งท่ีมองเห็นได้ ส่งผลให้นักเรียนคิดอย่างเป็นธรรมชาติมากข้ึนเก่ียวกับจุดประสงค์ของ
“ช้ินงาน” และกลุ่มเป้าหมายของพวกเขา ซ่ึงจะกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพ
มากขึ้น

11. ผู้เรียนได้เรียนรู้วธิ ีการสืบค้นข้อมลู ผา่ นระบบอินเทอร์เน็ตและเลอื กใช้อยา่ งเหมาะสม
(Learners Learn how to use Internet Appropriately and also Learn how to find an
Information from the Internet) สาหรับการเรียนรู้วิธีการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต น่ันคือ การใช้
ทกั ษะการสืบค้นและดึงข้อมูลเพื่อกล่นั กรองทรัพยากรที่มอี ยมู่ หาศาลที่เขา้ ถึงได้ทางออนไลน์ ประเมิน
แหล่งท่ีมาเพื่อระบุข้อมูลท่ีสามารถเข้าใจและเรียนรู้ได้ กรองแหล่งข้อมูลท่ีไม่เหมาะสมหรือไม่มี
ประโยชน์ซึ่งอาจออกไปจากเส้นทางการเรียนรู้ และเป็นผู้เรียนท่ีมีความรับผิดชอบและเรียนรู้ด้วย
ระบบดิจิทัลมากขึ้น ซ่ึงมีท่าทีเชิงรุกกับวิธีการเหล่าน้ี ช่วยให้มีปฏิสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์จาก
แหลง่ ขอ้ มลู ออนไลน์ นักเรยี นกลายเป็นผู้เรยี นทีท่ ันสมยั ทีเ่ ชื่อถือได้

12. ผู้เรียนมีความรู้และความชานาญด้านเทคโนโลยี (Learners Improve their
Technology Skill) บ่อยคร้ังท่ีพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อน ดังนั้นเมื่อนักเรียนคนหนึ่งคิด
อย่างแตกตา่ งและพยายามทาส่ิงใหม่ ๆ คนอื่น ๆ ก็จะติดตามและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ไปด้วย ดังนั้น
ความชานาญด้านเทคโนโลยี “จากเพื่อนสู่เพ่ือน” จึงสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบดิจิทัลท่ี
แลกเปล่ียนกันท่ีเป็นพลวัต ซ่ึงช่วงเวลาที่พวกเขาใช้เทคโนโลยีก็จะเพิ่มข้ึนพร้อมกับโอกาสในการ
เรียนร้แู บบชี้นาตนเอง ดังนั้นจงึ เป็นการเติบโตไปดว้ ยกนั ทงั้ ความสามารถส่วนบุคคลและส่วนรวมจาก
การใชส้ อื่ เหลา่ น้ี

13. ผู้เรียนมีความกล้าที่จะปรึกษาเพื่อนร่วมงาน ครู และผู้เช่ียวชาญ (Learners are
Confident when Consulting with Co-Worker, Teacher, and Experts) ไม่ว่าจะเป็นการขอ
คาแนะนาจากเพ่ือน ๆ ว่าจะหาข้อมูลได้ดีที่สุดอย่างไร ขอให้โค้ชการเรียนรู้ดิจิทัลช่วยแก้ไขปัญหา
ผ่านแอพใหม่ หรือโดยการติดต่อกบั ผู้เชี่ยวชาญผ่านสอื่ โซเชียล ซึง่ นักเรียนจะไม่รู้สึกอายตอ่ ความไม่รู้
น้ัน ๆ พวกเขาเห็นคุณค่าในการใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลใด ๆ ที่พวกเขาต้องการเพ่ือช่วยให้พวก
เขาเรยี นรู้ และคน้ พบจดุ แข็งของการขอความชว่ ยเหลือ

14. ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ (Learners Learn New Things) ในระหว่างการเรียนรู้
แบบช้ีนาตนเอง ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมของการทดลองและข้อผิดพลาด ความล้มเหลว
ความขัดข้อง ความสาเร็จและผลสัมฤทธ์ิ เป็นผลให้นักเรียนสร้างวัฒนธรรมของช่องโหว่โดยเจตนา
ความผกู พันกันจะเกิดข้นึ เมื่อทุกคนพยายามที่จะสารวจสภาพการเรียนรูท้ ่ีท้าทายและยุ่งเหยิงโดยเข้า
ไปมีส่วนร่วมอยา่ งจงใจกบั ท่ีคนไม่รู้จกั แต่เนื่องจากไม่ได้มขี ้อตกลงกันทางวาจา จึงมีการประเมินน้อย
มากจากเพ่ือนในช่วงเวลาการเรียนรูแ้ บบชีน้ าตนเอง

44

15. ผู้เรียนได้เรียนรู้การแก้ปัญ หาอย่างสร้างสรรค์ (Learners Learn Creative
Problem Solving) นักเรียนจะไม่สามารถเข้าถึงเคร่ืองมือหรือทรัพยากรได้ทันทีในตอนแรกท่ีพวก
เขาคิด ดังน้ันพวกเขาจาเป็นต้องเป็นนักคิดที่มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ พวกเขาเร่ิมเรียนรู้ในการ
แก้ปัญหาด้วยความคิดท่ีและสร้างสรรค์ บรรลุเป้าหมายด้วยส่ิงท่ีพวกเขามี และรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งท่ี
ได้ลงมอื ทา

เม่ือ 20% ของเวลาในชั้นเรียนถูกมอบให้กับนักเรียน นักเรียนต้องฟังผู้ใหญ่พูดน้อยลง
20% เป็นผลให้ทักษะการใช้ภาษาของนักเรียนพัฒนาทั้งภาษาแม่และภาษาที่เรียนรู้ แทนท่ีจะทา
อย่างอ่ืน ครกู ็ปลีกตัวออกมาแล้วฟังนักเรียน และส่ิงเหลา่ น้ีก็จะทาใหเ้ กิดการสนทนาแบบแลกเปลี่ยน
กันมากขึ้น

การเรยี นรู้แบบชน้ี าตนเองเปน็ ประโยชนต์ อ่ นักเรียน
ผู้ท่ีมีความต้องการในการเรียนรู้แบบพิเศษ เช่น ผู้ที่อาจมีความผิดปกติแบบออทิสซึม
(ASD) โดยนักเรียน ASD สามารถมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการซักถามและปิดกั้นสิ่งเร้าภายนอก
ทั้งหมดท่ีอาจขัดขวางพวกเขาในสภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้อื่น พวกเขาสามารถมุ่งไปท่ีความสนใจของ
พวกเขาได้เป็นเวลานานและทาให้ความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาเติบโตข้ึน นอกจากนี้ตัวเลือก
สาหรับความแตกต่างในการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองช่วยให้นักเรียน ASD บางคนมีโอกาสท่ีจะประสบ
ความสาเร็จได้ด้วยตัวเอง ซ่ึงสามารถสร้างสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางสังคม ซ่ึงกลุ่มที่
ทางานรว่ มกนั จะทางานตามบรรทดั ฐานทคี่ าดหวัง
นักเรียนที่ต้องด้ินรนกับการคงไว้ซึ่งความสนใจของพวกเขาในเร่ืองอื่น ๆ ในโรงเรียน มี
แนวโน้มที่จะทาได้ดีกว่าหากเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ในขณะท่ีนักเรียนบางคนอาจถูกท้าทายให้อยู่กับ
ภาระงานในบริบทอ่ืน ๆ ซ่ึงเป็นกรณีท่ีไม่ค่อยเกิดข้ึนในการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง ในเม่ือโครงสร้าง
และความคาดหวังถกู วางไวใ้ นท่ีเหมาะสมตง้ั แต่เร่ิมต้น
เนื่องจากไม่มีกาหนดเวลาหรือวันครบกาหนด นักเรียนสามารถทาให้การแสวงหาการ
เรียนรู้ของพวกเขาเต็มไปด้วยการใช้เวลาในการสอบถามมากเท่าท่ีพวกเขาต้องการ เมื่อนักเรียนหมด
ความอยากรู้อยากเห็นในหัวข้อท่ีกาหนดพวกเขาก็สามารถหาหัวข้อใหม่ได้ สาหรับบางคนอาจ
หมายถึงเวลาเป็นสัปดาห์ บางคนก็อาจเป็นเดอื น ๆ
การขาดความกดดันด้านเวลาเป็นการเปล่ียนแปลงที่น่ายินดีสาหรับนักเรียนที่เติบโตข้ึนใน
โลกทีเ่ ปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว
กล่าวโดยสรุป จากทัศนะดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าความสาคัญของทักษะการเรียนรู้
แบบช้ีนาตนเอง (Self-Direction Learning Skills) มีความสาคัญต่อการเรียนรู้ในปัจจุบัน สามารถ
ตอบสนองต่อการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 และสอดคล้องกับสภาพสังคม เทคโนโลยีท่ีเปล่ียนแปลง
อย่างรวดเร็ว เปน็ การเตรยี มความพรอ้ มให้ผ้เู รยี นสามารถแสวงหาความรู้ไดต้ ามความสนใจของแตล่ ะ
บุคคล ซ่ึงมีความแตกต่างกันและสอดคล้องกับพัฒนาการทางจิตวิทยาและธรรมชาติของผู้เรียน
เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาบุคลิกภาพ ทัศนคติในการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ นาไปสู่การ
เรยี นรูต้ ลอดชวี ติ ดงั นี้

45

1) ผู้เรียนได้เรียนรู้ในส่ิงที่ต้องการ และมีความสนใจ (Learner Learn from own
Demand and Interests) ซ่ึงทาให้สามารถศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยให้ผู้เรียนมีความชานาญ
ในเรอ่ื งท่ีตนเองใหค้ วามสนใจ โดยไม่ต้องมใี ครมาบอก และเป็นผู้คดิ ริเรม่ิ ทจี่ ะเรียนรู้

2) ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Learner Determine Learning
Methodology) มีการกาหนดวัตถุประสงค์และจุดหมายอย่างชัดเจน มีความต้ังใจใฝ่เรียนรู้ มี
แรงจูงใจในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ท่ีสง่ เสริมให้ผู้เรียนให้รู้จักวิธีการเรียนด้วยตนเอง และช่วยให้
ผเู้ รียนเรยี นรู้ไดด้ ยี ิ่งขึน้ สามารถนาผลที่ไดจ้ ากการเรยี นรู้ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งคุ้มค่าและย่ังยืน

3) ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์และสภาพแวดล้อมจริง (Learner Learn from
Authentic Experience and Environments) ผู้เรียนกลายเป็นศูนย์กลางรับประสบการณ์จากการ
กระทาของตนเอง ได้ทดลอง ปฏิบัติ จัดระเบียบข้อมูล หาข้อสรุป และหาวิธีการกระบวนการด้วย
ตนเอง สามารถนาสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
กลา้ ตัดสินใจและมีความรับผดิ ชอบในตวั เอง ซ่งึ เปน็ จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ของการเรียนรู้ตลอดชวี ติ

4) ผู้เรียนเกิดเจตคติท่ีดีต่อการเรียน (Learners have Good Attitudes towards
Learning) มีความเชื่อม่ันว่าตนเองสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาได้ ตระหนักเห็นคุณค่าและ
ความสาเร็จของตน โดยพร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา บุคคลที่เห็นคุณค่าในตนเองจะสามารถเผชิญ
อปุ สรรคทเี่ กิดขนึ้ ไดอ้ ย่างม่ันใจ หาแนวทางแก้ปญั หาให้ผ่านไปได้ด้วยดี ดังนัน้ การเห็นคุณคา่ ในตนเอง
จะเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญของการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ซ่ึงลักษณะของผู้ท่ีเห็นคุณค่าในตนเอง
ได้แก่ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสามารถ มีความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรค์ มีลกั ษณะเป็นผู้นามากกว่า
ผตู้ าม กลา้ แสดงออก และสามารถปรบั ตวั ได้ดี ฯลฯ

5) ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ (Learner Learn and
Develop Skills to Seek the New Knowledge) เพ่ือท่ีจะได้รับความรู้ท่ีเป็นปัจจุบัน และยังต้องมี
ทักษะและความสามารถในวิธีสืบค้นข้อมูลผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การใช้งานด้านเทคโนโลยี รวมทั้ง
ข้อดีและข้อเสียจากนาขอ้ มลู เหลา่ นน้ั มาใช้ด้วย

6) ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการจัดการตนเองทั้งในด้านเวลาและค วามรู้
(Learners Develop the Ability of Time and Knowledge) ซ่ึงความสามารถในการจัดแบ่งเวลา
ใหก้ ารเรียน การทากิจกรรม เพ่ือให้สอดคล้องและเหมาะสมกบั กิจวัตรประจาวันของตวั เอง การมีวินัย
การมีความรู้เก่ียวกับความต้องการการเรียนรู้ แหล่งทรัพยากรทางความรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนมี
ประสทิ ธิภาพย่ิงข้ึน

7) ผู้เรียนได้รับอิสระจากการเรียนรู้ (Learners have an Independent Learning) คือ
การแสวงหาคาตอบจากคาถามต่าง ๆ ซ่ึงเป็นการกระตุ้นการเรยี นรู้ ชอบแสวงหาความรู้โดยปราศจาก
แรงกดดันจากผู้อื่น รวมถึงการทากิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ตนเองได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ซึ่งนาไปสู่
การสร้างและพฒั นานวตั กรรม

8) ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะพ้ืนฐาน (Learners Develop Basic Skills) ซึ่งเป็นการพัฒนา
ความสามารถทั่วไปที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้และเตรียมพร้อมด้านอาชีพ เช่น การอ่าน การเขียน
การสือ่ สาร การทางานร่วมกบั บคุ คลอืน่

46

9) ผู้เรียนสามารถวางแผนการดาเนินการ ติดตาม ประเมินการเรียนรู้ของตนเอง
(Learners able to Plan Actions, Following up, and Assessing their Own Learning) ในการ
เรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการประเมินการเรียนรู้ ดังน้ันจึงต้องพัฒนาทักษะ
การประเมินให้แก่ผู้เรียน และสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้เรียนว่า การประเมินตนเองเป็นส่วนหน่ึงของ
ระบบประเมินผล รวมทั้งยอมรับผลการประเมินจากผู้อ่ืนด้วย นอกจากนี้ต้องจัดให้ผู้เรียนได้รับ
ประสบการณก์ ารประเมนิ ผลหลาย ๆ รูปแบบ

10) ผู้เรียนได้ปลูกฝังกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล (Learners Cultivate the Thinking
Process) ไม่ใช้อคติหรืออารมณ์ในการตัดสินใจ การยอมรับข้อมูลใด ๆ หรือการตัดสินใจใด ๆ จะไม่
เชอ่ื ในตัวบุคคลหรืออารมณ์ ข้อมูลท่ีมีเหตุผลจะทาให้การตดั สินใจดีกว่า สามารถยอมรับแนวความคิด
อื่นทถ่ี กู ตอ้ ง และพร้อมทจ่ี ะเปล่ียนแนวความคิดนัน้

11) ผู้เรียนไดเ้ รยี นรจู้ ากการสารวจ (Learners Learn from Exploring) เป็นกระบวนการ
ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยวิธีสืบค้น สืบเสาะ สารวจ ตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่าง ๆ
จนเกิดความเข้าใจและรับรู้ความรู้น้ันอย่างมีความหมาย ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งเนื้อหา
หลักการ และทฤษฎี ตลอดจนการลงมือปฏบิ ตั เิ พื่อให้ไดค้ วามรู้

12) ผู้เรียนมีความสามารถในการเช่ือมความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ครูและผู้เชี่ยวชาญ
(Learners have an Ability to Connect their Relationship with Co-Workers, Teachers,
and Experts) เพอื่ ขอความช่วยเหลอื และขอคาปรกึ ษา

13) ผู้เรียนได้เรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Learners have the Creative
Problem Solving) เป็นกระบวนการมุ่งหาคาตอบและแก้ปัญหา รวมถึงการพัฒนาสภาวะท่ีเป็นอยู่
ให้ดีขึ้น โดยการทางานร่วมกันระหว่างการคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์
ทาได้โดยให้คิดลึกและหลากหลายที่สุด ปราศจากการตัดสินความคิดต่าง ๆ ว่าดีหรือไม่ จนถึงระยะ
หน่ึงจึงพิจารณาความคิดเหล่านั้นด้วยการคิดวิจารณญาณ ในการเลือกและประเมินวิธีการแก้ปัญหา
จนได้วิธีท่ีดีที่สุดใน การแก้ปัญหา วางแผนการแก้ปัญหาและนาไปแก้ปัญหาโดยเชื่อมั่นว่าตนเอง
สามารถแกป้ ญั หาได้และควบคมุ ตนเองได้เพื่อทจี่ ะได้แกป้ ัญหาด้วยความรอบคอบและสมบรู ณ์

2.3.3 ทัศนะเกี่ยวกับลักษณะท่ีแสดงถึงทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (The
Characteristics of Self-Direction Learning Skills)

Nucum (2019) สาเร็จการศึกษาปรญิ ญาตรี สาขาภาษาอังกฤษ วชิ าวารสารศาสตร์ เป็น
ผู้ท่ีให้ความสนใจเก่ียวกับเร่ืองเทคโนโลยีการศึกษาได้กล่าวถึงลักษณะการเรียนรู้แบบชี้นา ตนเองว่า
เป็นการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเรว็ ความก้าวหน้าและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพิ่มจานวนมากขึ้นทุก
วัน ปัจจุบันความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วได้กลายเป็นหนึ่งในทักษะท่ีสาคัญท่ีสุดที่คน
ต้องการ หากต้องการเตรียมพร้อมสาหรับงานท่ีหลากหลายในอนาคต ต้องใส่ใจกับการเรียนรู้ ต้อง
พัฒนาทักษะอย่างต่อเน่ืองแม้อยู่นอกห้องเรียน วิธีหน่ึงในการทาส่ิงนี้คือการเรียนรู้เชิงรุก โดย
คุณสมบัตขิ องผเู้ รยี นทีช่ ี้นาตนเองทีส่ ามารถทาตามได้ มีดงั ต่อไปน้:ี

1. เป็นผู้ริเร่ิม (Take the Initiative) คือการได้รับมอบหมายให้ทาภารกิจบางอย่างท่ีไม่
เคยทามาก่อน จะรอให้คนอ่ืนสอนก่อนไหม หรือทาการค้นหาส่ิงท่ีต้องรู้ เมื่อมีปญั หาเกิดข้ึนรอให้มีคน
มาแก้ไขหรือไม่ หรือดาเนินการเชิงรุกและแก้ไขปัญหา การริเร่ิมด้วยตนเองเป็นลักษณะสาคัญของ

47

ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเอง ผู้ท่ีริเริ่มด้วยตนเองจะมีความม่ันใจในการพูดและแบ่งปันความคิด ไม่กลัวท่ีจะ
คว้าโอกาสทคี่ นอนื่ มองข้าม

2. สารวจอย่างเป็นอิสระ (Explore Independently) ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองมีความอยากรู้
อยากเห็นสูง มีคาถามมากมายและต้องการทราบว่า “ทาไม” และ “อย่างไร” เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ไม่
กลัวการพึ่งตนเอง การเป็นอิสระไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองจะแยกตัวเองออกจากผู้คน
การสรา้ งเครือขา่ ยและการร่วมมือกบั ผคู้ นยังคงเปน็ ส่วนสาคัญในการเรยี นรู้ แต่ผู้เรยี นท่ีช้ีนาตนเองจะ
รู้วิธีปรับตัวเข้ากับสภาพแวดลอ้ มทอ่ี ยู่ รู้วิธีการใช้ทรพั ยากรและพ่ึงพาตนเอง

3. มีความรบั ผิดชอบ (Accept Responsibility) คนที่มีความรับผิดชอบจะกระตือรือร้นที่
จะทางานให้เสรจ็ ตามเวลาที่กาหนด รับผิดชอบต่อการกระทาและพฤติกรรม เพราะคนอ่ืนจะให้ความ
ไว้วางใจและพึ่งพา ลักษณะอ่ืนที่เช่ือมโยงกับความรับผิดชอบคือการมีวินัยในตนเอง การมีวินัยใน
ตนเองหมายความว่าคณุ ตรงต่อเวลากบั การนดั หมาย หมายความว่าทางานด้วยความคิดริเริ่ม และทา
ตามกฎและข้อบงั คับแม้วา่ จะไม่มีใครคอยเฝ้าดู

4. มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิต (Have a Healthy Outlook in Life) ความพ่ายแพ้และความ
ล้มเหลวเป็นสิ่งท่ีหลีกเลี่ยงไม่ได้ในกระบวนการเรียนรู้ แน่นอนว่าปัญหาอาจทาให้เกิดความเครียด
แต่อะไรทาให้ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองแตกต่างจากคนอ่ืน มองปัญหาว่าเป็นความท้าทายมากกว่าเป็น
อุปสรรค ผู้เรียนท่ีชน้ี าตนเองเหน็ ความท้าทายเป็นโอกาสในการเติบโต เรียนรู้ และปรับปรุง ความคิด
เชิงบวกนี้ช่วยให้จัดการกับสถานการณ์ที่ยากลาบากได้อย่างมีประสิทธิภาพ คงเป็นไปไม่ได้ท่ีจะไม่ได้
พบกับความกดดนั ใด ๆ แต่เมื่อมคี วามเช่ือทด่ี ีเช่นนีแ้ ล้วจะไมส่ ะดุดโดยงา่ ยเมื่อพบความยากลาบาก

5. มีแรงจูงใจโดยธรรมชาติ (Naturally Motivated) แรงจูงใจภายในนั้นหมายถึง
พฤติกรรมที่ขับเคล่ือนโดยส่ิงตอบแทนที่เกิดภายใน ตัวอย่างเช่น การลงทะเบียนในหลักสูตรการ
เข้ารหัสออนไลน์เพื่อต้องการได้รับทักษะด้านเทคนิคเพ่ิมเติม ในทางตรงกันข้ามแรงจูงใจภายนอก
เกิดขึ้น เม่ือได้รับแรงจูงใจจากส่ิงตอบแทนภายนอก เช่น การลงทะเบียนในหลักสูตรการเข้ารหัส
ออนไลน์เพือ่ หลีกเลี่ยงความล้มเหลวในชัน้ เรยี น เคยเป็นไหม ในยามทีก่ ารมีส่วนร่วมในกจิ กรรมเพราะ
ความชอบ ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองท่ีประสบความสาเร็จจะต้องการทราบสิ่งต่าง ๆ เพียงเพราะชอบที่จะ
เรียนรู้ เข้ารว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ ท่รี สู้ กึ ว่าเปน็ รางวลั ส่วนตวั

6. รู้ทักษะพ้ืนฐานในการเรียน (Know Basic Study Skills) รู้หรือไม่ว่าประโยชน์ของ
ทักษะพ้ืนฐานของการเรียน เช่น การจดบันทึกนั้น มีมากเกนิ กว่าการใช้แคใ่ นเวลาเรียน? ในความเป็น
จริงการจดบันทึกเป็นทักษะสาคัญท่ีจะต้องใช้เม่ือเร่ิมทางาน ทักษะพ้ืนฐานของการเรียนรู้ เช่น การ
ถามคาถามท่ใี ช่ การอธิบายใหต้ วั เองฟงั และฝึกทาข้อสอบ ช่วยให้เป็นผู้เรยี นที่เกง่ ได้

7. รู้วิธีจัดการเวลา (Know How to Manage Time) การรับมือกับภารกิจหลายอย่าง
เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ย่ิงใหญ่ที่สุดท่ีผู้คนเผชิญในแต่ละวัน การจัดการเวลาช่วยให้มีเวลาในการ
เรียนรู้จากสง่ิ ต่าง ๆ มากมายตรงหน้า แต่ไม่จาเป็นต้องรบี เร่งหรือทาสิ่งต่าง ๆ ในคราวเดียว โปรดจา
ไว้วา่ วิธกี ารเรียนรู้ก็สาคญั พอ ๆ กับผลลัพธท์ ่ตี อ้ งการ

8. รู้ตัวเอง (Self-Aware) หน่ึงในคุณลักษณะที่ดีท่ีสุดของผู้เรียนที่ดีคือการรู้จักตนเอง
การตระหนักในตนเองนั้นเป็นการรู้ว่าคุณคือใคร ท้ังในด้านบุคลิกภาพ ค่านิยม และเป้าหมายใน

48

อนาคต ผู้ทรี่ ู้ตวั เองจะเข้าใจจุดแข็งและจุดออ่ นของตนเอง ความสามารถนีช้ ่วยให้ระบุสไตลก์ ารเรียนรู้
ท่เี หมาะสมทส่ี ุด

แล้วการตระหนักรู้ในตนเองจะช่วยให้ทาได้ดีขึ้นท้ังท่ีโรงเรียนและที่อ่ืน ๆ ได้อย่างไร?
ความสามารถในการเขา้ ใจคุณสมบัติของตวั เองนาไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่า ตัวอย่างเช่น การตระหนัก
ถึงจุดแข็งช่วยให้เลือกสาระวชิ าทีเ่ หมาะสมในมัธยมปลายหรือระดบั มหาวิทยาลัยได้ ในท้ายท่ีสุด การ
เป็นผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองเป็นกระบวนการตลอดชีวิต ส่ิงท่ีเรียนรู้ในโรงเรียนเป็นเพียงการเริ่มต้นการ
เดินทางท่ีไม่รู้จบในการพัฒนาตนเอง แต่เม่ือทาตามคุณลักษณะข้างต้นจะมีความมั่นใจในการสรุปย่อ
ความคดิ ใหม่ ๆ ได้อยา่ งง่ายดาย แล้วคุณลักษณะข้อใดท่ีอธิบายความเป็นตนเองได้ดใี นฐานะผู้เรียน ?
มีจุดอ่อนที่ตอ้ งการปรบั ปรุงหรือไม่? มหี ลายสงิ่ หลายอย่างที่สามารถทาไดเ้ พอ่ื เพ่ิมพูนการเรียนรู้ทั้งใน
และนอกโรงเรียน

Hamdy (2018) ได้กล่าวว่า ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้กลายเป็น
ข้อกาหนดเบื้องต้นสาหรบั การใช้ชีวิตในโลกปัจจุบันน้ี ซ่ึงจาเป็นต่อการอยู่รอด ท้ังความอยู่รอดเองใน
ฐานะปัจเจกบุคคลและความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จากผลการสารวจพบว่า ผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง
มาก ๆ จะเป็นคนที่แสดงให้เห็นถึงความคิดริเริ่ม การพึ่งตนเอง และความเพียรในการเรียนรู้
รับผิดชอบในการเรยี นรู้ของตนเอง และมองปัญหาว่าเป็นส่ิงท้าทายไม่ใช่อุปสรรค ผู้เรยี นรู้ด้วยตนเอง
เปน็ ผูท้ ม่ี ีความสามารถในการมีวนิ ยั ในตนเอง และมคี วามอยากรู้อยากเห็นเปน็ อยา่ งมาก

ลกั ษณะของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Characteristics of Self-Learning)
ผู้เรียนรู้ด้วยตนเองจะตระหนักถึงความต้องการและความสนใจในการเรียนรู้ของตนเอง
มนั่ ใจในความสามารถในการเรียนรจู้ ากประสบการณ์การเรียนรู้ท่ผี า่ นมา สามารถกาหนดเป้าหมายใน
การเรียนรู้ สามารถเลือกกลยุทธ์สาหรับการเรียนรู้ สามารถสร้างแรงจูงใจด้วยตนเองและมีวินัยใน
ตนเอง เขา้ ใจกระบวนการเรียนรู้ และตระหนักถงึ ทักษะการเรยี นรู้ของตนเอง ซ่งึ พอสรุปได้ ดังนี้
1. การชี้นาตนเอง (Self-Directedness) ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองได้เป็นอย่างดีจะไม่รอให้คน
อ่ืนบอกว่าต้องเรียนรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยผู้เรียนเหล่าน้ีจะทุ่มเทพลังให้กับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสร้าง
แรงจูงใจให้ตนเอง ความสนใจท่ีเกิดข้ึนขณะที่มีแรงจูงใจจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการเรียนรู้
แบบชี้นาตนเอง ดังน้ันผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองมีระดับของแรงจูงใจท่ีหลากหลายและรับรู้ถึงความ
รบั ผิดชอบต่อตนเองในฐานะผู้เรียน การชี้นาตนเองน้ีเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงเป็นกระบวนการตลอด
ชวี ิต
2. การพึ่งตนเอง (Independence) ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองไม่ได้ทาหน้าที่อิสระหรือเป็น
อสิ ระเสมอไป จริง ๆ แลว้ ย่ิงต้องเพิ่มการสร้างเครือข่ายเพ่ือเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม
ผู้เรียนทชี่ ้ีนาตนเองทปี่ ระสบความสาเรจ็ สามารถท่ีจะทางานตามลาพงั ได้ดี
3. ความพร้อม (Readiness) ความพร้อมหมายถึงระดับของความปรารถนาท่ีจะเรียนรู้
ช่วยเน้นแรงจูงใจและความต้องการของผู้เรียนเพื่อเตรียมพร้อมสาหรับกิจกรรมการเรียนรู้ ความ
พร้อมเป็นทัศนคติเบ้ืองต้นในการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ ขณะท่ีแรงจูงใจจะสร้างเหตุผลในการ
เรียนรู้ ความปรารถนาหรือความชอบที่เกิดขึ้นขณะที่มีแรงจูงใจต้องได้รับการดูแลเพื่อการพัฒนาท่ีดี
ท่ีสุดและการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพของผู้เรียน โดยเฉพาะเพื่อให้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต ความ
พร้อมยังหมายรวมถึงจุดประสงค์หรือความสนใจของผู้เรียนในการเรียนรู้ แนวความคิดและความ

49

มั่นใจในตนเองของผู้เรียน ระดับความทะเยอทะยานของผู้เรียนสาหรับการเรียนรู้ และความเข้าใจ
และการประเมินของผ้เู รียนว่าทาได้ดีเพียงใดเมอ่ื เทยี บกบั เปา้ หมายของตนเอง

4. การจัดการเวลา (Organizing Time) แมก้ ารเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองจะไม่ใช่การครุ่นคิด
แต่ว่าจะต้องทางานให้ได้เยอะ ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะพบเรื่องราวเหล่านี้อยู่มากมายบนโลกอินเตอร์เน็ต
แต่กระน้ันก็ตาม ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองที่ประสบความสาเร็จจะรู้วิธีการจัดสรรและจัดการเวลาอย่างมี
ประสิทธิภาพสาหรับการเรียนรู้

5. การวางแผน (Set a Plan) ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองท่ีประสบความสาเร็จตระหนักดีว่าการ
วางแผนเป็นส่วนหน่ึงของการกาหนดระยะท่ีจะก้าว และในที่สุดก็จะไปถึงปลายทางได้ สุดท้ายเรา
ส าม ารถ พู ด ได้ ว่าผู้ เรีย น ที่ ช้ี น าต น เอ งเป็ น ผู้ ท่ี มี ค ว าม ป ราร ถ น า อ ย่ างแ รงก ล้ าท่ี จ ะ เรี ย น รู้ห รื อ
เปล่ียนแปลงและมีความม่ันใจในตนเอง ซึ่งเป็นผู้ท่ีสามารถใช้ทักษะพ้ืนฐานในการศึกษา บริหารเวลา
และกาหนดจงั หวะที่เหมาะสมสาหรับการเรียนรู้ และพฒั นาแผนสาหรับการทางานให้สาเรจ็

Caruso (2011) สาเร็จการศึกษาปริญญาเอก คณะเทคโนโลยีและความเป็นผู้นา บัณฑิต
วิทยาลัยการศึกษาบอยเยอร์มหาวิทยาลัย William Howard Taft เป็นผู้ประสานโครงการ HRD
ความรู้ความเป็นผู้นาและการพัฒนา มหาวิทยาลัย Northeastern Illinois ได้กล่าวว่า ข้อสันนษิ ฐาน
แรกเกี่ยวกับมุมมองด้านการสอนผู้ใหญ่คือผู้เรียนเร่มิ ชี้นาตนเองมากขนึ้ เม่ือโตเต็มที่ ซงึ่ ในความหมาย
โดยท่ัวไปก็คือ การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองเป็นการอธิบายการลงมือปฏิบัติท่ีบุคคลได้รับหรือไม่ได้รับ
ความช่วยเหลือจากผู้อ่ืน ในการระบุความต้องการการเรียนรู้ของตนเอง สร้างเป้าหมายการเรียนรู้
คน้ หาแหลง่ เรยี นรู้ เลือกและนากลยุทธ์การเรยี นรู้ทเ่ี หมาะสมไปใช้ และประเมินผลการเรียนรู้

ผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองจะพยายามทาให้วัตถุประสงค์หรือแรงขับง่ายข้ึน ความต้องการ ความ
สนใจ และวัตถุประสงค์มีความสาคัญต่อกระบวนการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ผู้เรียนท่ีต้องการเรียนรู้
จะพึงพอใจเมื่อกาลังทากิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนจะทุ่มเทพลังงานจานวนมากในกิจกรรมการเรียนรู้
ทส่ี ร้างแรงจูงใจให้ตนเอง ความสนใจที่เกดิ ข้ึนขณะทม่ี ีแรงจงู ใจชว่ ยสง่ เสรมิ ประสิทธภิ าพในการเรยี นรู้
ด้วยตนเอง ผู้เรียนที่กากับตนเองมีแรงจูงใจในระดับต่าง ๆ และรับรู้ถึงความรับผิดชอบต่อตนเองใน
ฐานะผู้เรียน การชี้นาตนเองนีจ้ ะเกิดขึน้ อย่างต่อเนอ่ื ง ซ่ึงเปน็ กระบวนการตลอดชีวิต

ความพร้อม (Readiness) เป็นอีกคุณลักษณะหนึ่งของผู้เรียนที่ช้ีนาตนเอง ความพร้อม
หมายถึงระดับของความปรารถนาท่ีจะเรียนรู้ เป็นการย้าแรงจูงใจและความต้องการของผู้เรียนเพ่ือ
เตรียมพร้อมสาหรับกิจกรรมการเรียนรู้ ความพร้อมเป็นทัศนคติเบื้องต้นในการเข้าร่วมกิจกรรมการ
เรียนรู้ แรงจูงใจเป็นเหตุผลให้ทาการเรียนรู้ การเรียนรแู้ บบช้ีนาตนเองเป็นหน่ึงในผลลัพธ์ท่ีดีที่สดุ ของ
แรงจูงใจท่ีเข้มขน้ ความปรารถนาหรือความชอบท่ีเกิดขึ้นขณะที่มแี รงจูงใจต้องได้รับการดูแลเพ่ือการ
พัฒนาที่ดีท่ีสุดและการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพของผู้เรียน โดยเฉพาะเพ่ือให้เป็นผู้เรียนตลอดชีวิต
ความพร้อมยังหมายถึงการรวมเอาจุดประสงค์หรือความสนใจของผู้เรียนในการเรียนรู้ แนวความคิด
และความม่ันใจในตนเองของผู้เรียน ระดับความทะเยอทะยานของผู้เรียนในการเรียนรู้ และความ
เข้าใจและการประเมนิ ของผเู้ รียนวา่ ทาได้ดีเพียงใดเมื่อเทยี บกบั เป้าหมายของตนเอง

การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองเป็นกระบวนการตลอดชีวิต ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองจะตระหนักถึง
ความต้องการและความสนใจในการเรียนรู้ ม่ันใจในความสามารถในการเรยี นรู้จากประสบการณ์การ
เรียนรู้ที่ผ่านมา สามารถกาหนดเป้าหมายในการเรียนรู้ได้ สามารถเลือกกลยุทธ์การเรียนรู้ สามารถ

50

สร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองและมีวินัยในตนเอง เข้าใจกระบวนการเรยี นรู้และตระหนักถึงทักษะการ
เรยี นรู้ รวมถึงจุดแขง็ และจดุ ออ่ นในการเรียนรู้

Vaivada (2017) สาเร็จการศึกษาปริญญาเอกสังคมศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษานักวิจัย
ผู้เช่ียวชาญด้านภาวะผู้นาส่วนบุคคลและการพัฒนาตนเอง การจัดการบุคลากรสุขศึกษา การวิจัย
ประยุกต์ที่เก่ียวข้องโดยใช้เคร่ืองมือการวิจัยท่ีแตกต่างกัน ได้กล่าวว่า คุณลักษณะและความสามารถ
แบบใดทจี่ ะระบุได้ว่าผู้เรยี นน้ันกาลงั เรยี นด้วยวิธีการเรียนรแู้ บบชี้นาตนเอง? ผู้เรียนท่ีเรยี นด้วยวธิ ีการ
เรยี นรู้แบบชี้นาตนเองต้องมคี วามสามารถอะไรบ้าง? ทาไมการเรียนร้แู บบชีน้ าตนเองจึงมคี วามสาคัญ
ในบรบิ ทของการเรยี นรู้ตลอดชวี ติ

ความต้องการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองเม่ือผู้เรียนได้ตัดสินใจว่า จะเรียนรู้อะไรและอย่างไร
น้ัน จะถูกเน้นในกระบวนทัศน์การเรียนรู้ ซ่ึงอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่าการเรียนรู้เป็นการ
กระทาท่ีถูกสร้างข้ึนของบุคคล โดยเงื่อนไขของการเรียนรู้และการสนับสนุนทางด้านวิชาการจะทาให้
แน่ใจไดว้ ่าภารกิจหลกั ของการเรียนรู้จะสาเร็จลงได้

การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองน้ันเก่ียวโยงกับผู้เรียนที่สามารถใช้ทัศนคติ ความกระตือรือร้น
และความกลมกลืนของการลงมือทาในการเชื่อมโยงชีวิตเข้ากับการเรียนรู้ และสามารถรับผิดชอบต่อ
คุณภาพของการเรยี นรแู้ ละประสบการณ์ของตนเอง

การเรียนรู้แบบนาตนเองประกอบไปด้วยมิติหลายประการ เช่น เป้าหมายการเรียนรู้
เน้ือหาการเรียนรู้ โครงสร้างการเรียนรู้ (ความสอดคล้อง) ระยะเวลาการเรียนรู้ เวลาเรียนรู้ ผู้ร่วม
เรียนรู้ เทคนิคการเรียนรู้ กลยทุ ธ์การเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ รปู แบบการเรยี นรู้ สถาบันท่ี
ให้เรียนรู้ สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สื่อการเรยี นรู้และอื่น ๆ ซ่ึง Dietrich เห็นด้วยกับส่ิงน้ีและยืนยัน
ว่าการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองในระดับสูงจะเกิดข้ึนก็ต่อเมื่อผู้เรียนเพ่ิมเป้าหมายการเรียนรู้ ตัดสินใจ
เลือกเนื้อหาการเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ (วิธีการ ส่ือ รูปแบบทางสังคม) สถานท่ี เวลา และระยะเวลา
และเมือ่ ผู้เรยี นควบคมุ ผลการเรียนรู้

จากการเตรียมการที่เป็นระบบ ได้ข้อสรุปว่าการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองอาจเกิดข้ึนแค่ใน
สภาวะที่มีลักษณะเฉพาะ และหนึ่งในสภาวะสาคัญนั้น ก็คือ ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองต้องมีลักษณะที่
สอดคล้องกับบางอย่าง หมายความว่าหากผู้เรียนต้องการเติมเต็มบทบาทของตนในบริบทการเรียนรู้
ตลอดชีวิตในเชิงคุณภาพ ซึ่งควรมีลักษณะที่สามารถเชื่อมโยงกับคุณลักษณะของบุคลิกภาพ ท่ี
ประกอบด้วยลกั ษณะ ทกั ษะ ความสามารถและสมรรถนะส่วนบคุ คล

หลังจากดาเนนิ การตามทฤษฎีแล้ว ได้มีการกาหนดให้คณุ ลกั ษณะหลักทีเ่ หมาะสมกบั ความ
ต้องการของผู้เรียนที่เรียนรู้แบบชี้นาตนเองท่ีต้องการให้เป็นบุคคลที่พ่ึงตนเอง มีความสามารถในการ
เชือ่ มโยงกระบวนการเรียนรู้เขา้ กับชีวติ สว่ นตวั และรบั ผดิ ชอบตนเองในด้านคุณภาพและประสบการณ์
การเรียนรู้ นอกจากนี้นักเรียนท่ีเรียนรู้แบบชี้นาตนเองจะต้องมีสมรรถนะหลักของการเรียนรู้แบบ
meta-learning (เรียนรู้วธิ ีการเรียน) การจัดการและการสอื่ สาร

Atkinson (2015) เปน็ อาจารย์สอนในระดับอุดมศึกษา ได้กล่าวว่า ต้ังแต่ Rhaine ลูกคน
แรกเกิด เม่ือเกือบ 21 ปีที่แล้ว ได้ไตร่ตรองและตรวจสอบต้นตอและลักษณะของผู้เรียนที่ช้ีนาตนเอง
พบข้อมูลจานวนมหาศาล นักวิจัยแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันในส่ิงท่ีประกอบกันเป็นผู้เรียนท่ี
ชี้นาตนเอง ซงึ่ แตล่ ะคนก็มีจานวนคณุ ลกั ษณะตา่ ง ๆ ทต่ี า่ งกันไป

51

เป็นเวลาหลายปีที่อ่านค้นคว้า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ บทความ งานวิจัย และได้เขียนบันทึก
คุณลักษณะแต่ละอย่างในสมุดบันทึกขนาดเล็ก ได้เขียนถ้อยคากล่าว คุณลักษณะ และนักวิจัยท่ี
ค้นพบคุณลักษณะดังกล่าว แล้ววันหน่ึงก็น่ังเปิดดูสมุดบันทึกเล่มยับ ๆ น้ี และเร่ิมพลิกแต่ละหน้า
กลับไปกลับมา เพ่ือค้นหารูปแบบจากข้อความต่าง ๆ ท่ีได้จดไว้ซ่ึงคัดมาจากงานของนักวิจัย แต่ก็
ยังคงหาไม่ได้อยู่ดี คืนหน่ึงได้ทรุดตัวลงบนเตียง หมดเรี่ยวหมดแรง แต่ยังหลับไม่ลง ความคิดยังคง
หมุนวนอยู่ในห้วงคานึง เป็นข้อมูลท่ีกวนใจจนไม่อาจพักผ่อนลงได้ ลุกข้ึนด้วยความขุ่นเคืองแล้วไปที่
ห้องทางานในห้องใต้หลังคา พลิกหน้าหนังสืออีกคร้ังและคงจมอยู่กับข้อมูลมากมายน้ัน รู้สึกว่ามี
แรงผลักดันที่จะค้นหารูปแบบการเรียนรู้ ลูก ๆ ทุกคนยังคงอยู่ท่ีบ้านและมีความรับผิดชอบเพิ่มมาอีก
นั่นคือลูกเลี้ยงคนใหม่ สงสัยว่าจะปลูกฝังคุณลักษณะเหล่าน้ีในเด็ก ๆ เหล่าน้ีได้อย่างไรถ้าไม่สามารถ
เข้าใจคุณลกั ษณะเหลา่ นไี้ ดด้ ้วยตนเอง

เร่ิมต้นด้วยกระดาษคราฟท์อีกครั้งโดยใช้งานต้นฉบับบนผนัง เขียนรายการลักษณะต่าง ๆ
ของการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง แต่ครง้ั น้ีได้จัดเป็นกลุ่ม ๆ ในที่สุดรูปแบบก็ปรากฏออกมา สังเกตว่ามี
แนวคดิ หลกั 5 ประการ คือ 1) แรงจูงใจ 2) ทักษะการเรียน 3) มงุ่ เนน้ เปา้ หมาย 4) นักยุทธศาสตร์ 5)
การประเมนิ ตนเอง

การท่ีรายการจานวนมากได้ลดน้อยลงได้ช่วยช้ีนาให้ความพยายามในการสอนทักษะการ
เรียนรู้แบบกากับตนเองให้กับนักเรียนและโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ท่ีช่วยเสริมให้เกิดทิศทางของอาชีพน้ี
ทุกวนั จะแบง่ ปันสิ่งท่ีค้นพบจากการวจิ ยั และประสบการณส์ ว่ นตวั

กล่าวโดยสรุป จากทัศนะของ Nucum, K, N (2019) Caruso (2011) Hamdy (2018)
Vaivada (2017) และ Atkinson (2015) ดังกล่าวข้างต้น พบว่า ลักษณะหรือคุณลักษณะของคนที่มี
ทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (Characteristics of Self direction learning Skills) เป็นแนวคิด
พ้ืนฐานมาจากทฤษฎีกลุ่มมานุษยนิยม ซึ่งมคี วามเชื่อเร่ืองความเป็นอิสระและความเป็นตัวของตัวเอง
ของมนุษย์ สามารถที่จะหาทางเลือกของตนเอง มีศักยภาพและพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างไม่
มีขดี จากัด ซึ่งมลี ักษณะการเรยี นรูแ้ บบชนี้ าตนเอง ดังน้ี

1. เป็นผู้ริเริ่มและสมัครใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง (Take the Initiative and Voluntary
to learn by yourself) ผู้เรียนมีความพร้อมและความสนใจท่ีจะเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่บังคับ เป็น
การเรียนด้วยความอยากรู้

2. มีการวางแผน (Set a Plan) ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายในการเรียนรู้
มวี ิธกี ารลาดบั ข้ันตอนของการเรยี นรู้ โดยทีผ่ เู้ รียนต้องเป็นผู้กากบั และจัดการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง

3. มีแรงจูงใจในการเรยี นรู้ด้วยตนเอง (Intrinsic Motivation) ผู้เรียนสามารถที่จะเรียนรู้
ไดโ้ ดยปราศจากการบงั คบั ภายนอก เช่น รางวัล วฒุ ิบัตร เกียรติบัตร หรือตาแหนง่ ต่าง ๆ

4. มีทักษะพื้นฐานในการเรยี นรู้ (Know Basic Study Skills) ผู้เรียนเห็นความสาคัญของ
ทักษะพน้ื ฐานไดแ้ ก่ การฟงั การอา่ น การเขยี น และการจดบันทกึ

5 . มี ก ารบ ริห ารจั ด ก ารเรื่อ งเว ล า (Know How to Manage Time) ผู้ เรีย น มี
ความสามารถในการจัดแบง่ เวลาอย่างมีประสิทธิภาพสาหรับการเรยี นรู้

6. มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ (Accept Responsibility) ผู้เรียนทราบดีว่าตัวเอง
ตอ้ งการจะเรยี นอะไร เขา้ ใจบทบาทของตนเองว่าอยู่ในฐานะอะไร และกาลังทาอะไร จะเรียนอย่างไร

52

ขณะเดียวกัน เมื่อต้องเรียนสิ่งที่ยาก ก็จะไม่ย่อท้อ ถ้าเร่ืองน้ันเป็นเร่ืองท่ีตนสนใจ ที่สาคัญมีวินัยใน
ตนเอง

7. มีอิสระในการเรียนรู้ (Independence in learning) ผู้เรียนรู้จักการแสวงหาคาตอบ
จากแหล่งต่าง ๆ ชอบแสวงหาความรู้ รักการเรียนรู้ รู้จักปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่อยู่ รวมถึง
การมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกับแหลง่ ทรพั ยากรทางความรู้

8. มีเจตคติเชิงบวกต่อตนเอง (Have a positive attitude) ผู้เรียนมองตนเองว่าเป็น
ผเู้ รียนรตู้ ลอดชีวิต เห็นปัญหาว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย เปิดโอกาสในการที่จะเรียนรแู้ ละปรับปรุงเพื่อพัฒนา
ตนเอง

9. รู้จักตนเอง (Self-Aware) ผู้เรียนรู้ว่าตัวเองมีลักษณะอย่างไร ทั้งในด้านบุคลิกภาพ
ค่านิยม สามารถกาหนดได้ว่าตนเองจะทาอะไร เพื่ออะไร มีมาตรฐานระดับใด และสามารถท่ีจะ
ประเมินผลได้ด้วยตนเองอยู่เสมอ ๆ ว่า เรียนรู้แล้วก้าวหน้าอยู่ในระดับไหน โดยที่ไม่ต้องอิงอาศัย
บคุ คลอน่ื

10. มีการช้ีนาตนเอง (Learner Self-Direction) ผู้เรียนมีคุณลักษณะเฉพาะตัวหรือ
บุคลิกภาพของผู้เรยี นท่ีเอื้อและสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้โดยการชนี้ าตนเอง ซ่งึ เป็นลักษณะเฉพาะที่
เกดิ จากภายในตัวของผู้เรียนเอง

11. เรียนรู้วิธีการเรียน (Meta-Learning) ผู้เรียนเลือกวิธีเรียนแบบที่ตนชอบ เหมาะกับ
ตนเอง รวมทั้งขั้นตอนการเรียนรู้ของตนเอง ว่าจะนาไปถึงจุดมุ่งหมายที่ทาให้เกิดการเรียนรู้อย่างไร
โดยอาศยั การจัดการและการส่ือสาร

2.3.4 ทัศนะเก่ยี วกับแนวการพฒั นาทกั ษะการเรยี นรแู้ บบชนี้ าตนเอง (The
Guideline For Developing Self Direction Learning Skills)

ในเว็บไซต์ของ Impact Teacher (2018) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบ
ช้นี าตนเอง ว่า ครมู กั จะบอกว่าพวกเขาต้องการให้นกั เรียนมคี วามรับผดิ ชอบมากขึ้นต่อการเรียนรู้ของ
ตนเอง หากเราต้องการที่จะเขา้ ใจและพัฒนาผู้เรยี นท่ีชนี้ าตนเองให้มากขึ้น วธิ ที ี่มีประสิทธิผลก็คือการ
ใหค้ วามสนใจไปยังส่ิงทผี่ ูเ้ รยี นเหล่านั้นสามารถทจ่ี ะทาส่งิ ตอ่ ไปนี้

1. จดจ่อกิจกรรมที่กาหนดให้ทา
2. จดั การสิ่งรบกวน
3. จัดระเบยี บข้อมลู ที่ได้รับ
4. จดจอ่ ที่ครแู ละสง่ิ ที่ครูกาลงั พดู
แต่ท้ังหมดนี้มาจากมุมมองการเรียนรู้แบบเชื่อฟัง ซ่ึงการเรียนรู้เป็นการ “สอน” โดย “ผู้
หยิบย่ืนความรู้ให้” การสนับสนุนจะช่วยให้ผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองสามารถเริ่มสร้างคาถามขึ้นเอง
วางแผนว่าพวกเขาจะดาเนินกิจกรรมอย่างไร ตรวจสอบว่ากิจกรรมดาเนินไปไดด้ ีเพยี งใดและทบทวน
วา่ กลยทุ ธท์ พี่ วกเขาใชน้ ั้นได้พิสูจนแ์ ล้วว่ามปี ระสทิ ธภิ าพหรอื ไม่
อย่างดีท่ีสุด ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองสามารถสร้างการเรียนรู้ของตนเอง เลือกจากทรัพยากรที่
เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมท่ีจาเป็นสาหรับการเรียนรู้ สร้างด้วยแรงจูงใจและเป้าหมายอื่น ๆ
ส่งเสริมและพัฒนาด้วยการอภปิ รายกบั ผอู้ น่ื ในด้านการเรียนรู้ และการเรยี นรรู้ ่วมกันจากบรบิ ทต่าง ๆ
ของสภาพการเรยี นร้ขู องพวกเขา หอ้ งเรยี นกลายเป็นชุมชนแหง่ การเรยี นรู้

53

มีประเด็นสาคัญหรือไม่ ในการพัฒนาผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองโดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อครูถูก
บงั คับใหร้ ับผิดชอบต่อสมรรถนะของผูเ้ รียน? แม้ในการดาเนินการเหล่าน้จี ะถูดกดดนั ให้ทาในขณะนั้น
นักเรียนท่ีทากิจกรรมร่วมกันในห้องเรียนซ่ึงพวกเขาสามารถวางแผนและสะท้อนผลได้ จะมีผล
คะแนนดีข้ึนอย่างมีนัยยะสาคัญในการสอบระดับ GCSE (ระบบการศึกษาสาหรับเด็กที่มีอายุ 14-16
ปี ในโรงเรียนหรือวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ) ส่วนระยะยาวยิ่งกว่าน้ี หากคนหนุ่มสาวอยากทาตัวให้
เกิดประโยชนส์ ูงสดุ ในยคุ ทีโ่ ลกเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ นี้ ความสามารถของพวกเขาในฐานะผเู้ รียนรู้
ท่ีช้ีนาตนเองก็มีความสาคัญ แล้วห้องเรียนที่ส่งเสรมิ การเรียนร้แู บบชี้นาตนเองมีลักษณะอย่างไร? ครู
ควรได้เหน็ ลกู ศษิ ย์

1. สรา้ งตัวเลือกเพ่ือทากิจกรรม ระหวา่ งกจิ กรรม เม่อื กจิ กรรมเสร็จสมบรู ณ์
1.1 ทาให้เป้าหมายเป็นของตวั เอง
1.2 มีสว่ นร่วมในการวางแผนว่าจะดาเนินการอย่างไร
1.3 ถูกกระตุ้นให้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ของพวกเขา
1.4 พดู สงิ่ นน้ั ออกมา
1.5 ได้รบั การสนบั สนุนในการทบทวนประสบการณ์ของพวกเขา
1.6 บอกเล่าเรือ่ งราว
1.7 ประเมนิ ช้นิ งานที่แลว้ เสรจ็
1.8 ขอความช่วยเหลือจากผอู้ ่ืน
1.9 เกดิ แรงจูงใจจากสิ่งจูงใจภายใน

2. อยากรู้อยากเหน็ และเตม็ ใจทจี่ ะลองส่ิงใหม่ ๆ
3. มองปัญหาเป็นความท้าทาย ปรารถนาการเปลยี่ นแปลงและเพลดิ เพลินกับการเรยี นรู้
4. เกิดแรงบันดาลใจและเด็ดเด่ียว พ่ึงตนเอง มีวินัยในตนเอง มั่นใจในตนเองและมุ่งเน้น
เป้าหมาย
5. ค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง ใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายและเพื่อ
แสดงแนวคดิ ในรูปแบบต่าง ๆ (การวาดและการเขยี น)
6. ไขว่คว้าตามความสนใจของตัวเองเพ่ือให้การเรียนรู้มีความหมายมากข้ึน (ไม่เสมอไปท่ี
จะมีการอนุญาตให้ “เลือกตามใจ” แต่ครูก็สามารถทาได้ เช่น กาหนดกรอบใจความสาคัญในส่ิงที่
นักเรยี นได้ทาการเลือก)
เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตัวเองและการรับความเสี่ยง ครูจาเป็นต้องใช้ประโยชน์ในจุด
แข็งของผู้เรียนแทนการมุ่งเน้นจุดอ่อน คุณสามารถกระตุ้นให้เกิดการสนทนากับเพ่ือนแม้ไม่มีคาตอบ
ท่ีครบถ้วนสมบูรณ์ กระบวนการนี้สามารถใหข้ อ้ มูลเชงิ ลึกใหม่ ๆ และมคี ณุ คา่
ครูยังสามารถนาปัญหาที่เกิดได้ในชีวิตจริงมาให้ผู้เรียนทากิจกรรมในห้องเรียน เพ่ือให้
กจิ กรรมมีความหมายมากข้นึ
ครูยังต้องยกตัวอย่างกลยุทธ์การเรียนรู้ เช่น การทานาย การต้ังคาถาม การอธิบายให้
ชัดเจน และการสรุป เพ่ือให้นักเรียนพัฒนาความสามารถในการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ด้วยตนเอง ครูยัง
ตอ้ งใหผ้ ูเ้ รยี นแตล่ ะคนจัดการกับภาระงานด้วยวธิ ีแตกตา่ งกันโดยใชก้ ลยุทธท์ ่แี ตกตา่ งกัน

54

นักวิจัยพบว่าเม่ือเด็กโตขึ้นพวกเขามีความต้องการอิสระเพ่ิมมากขึ้น การเรียนรู้แบบช้ีนา
ตนเองอาจเป็นวธิ หี น่งึ ในการใชป้ ระโยชน์หรอื ควบคุมความปรารถนาตามธรรมชาตนิ ั้น

จะแนะนานักเรียนอย่างไรเพ่ือให้เป็นผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองได้? น้ีเป็นคาแนะนาเพ่ือช่วยให้
นักเรียนไปตามเส้นทางสปู่ ระสบการณก์ ารเรียนร้ทู ีม่ ีความหมายซึง่ จะคงอยู่ตลอดไป

1. ผู้เรียนที่พึ่งพาผู้อ่ืน (Dependent Learners) พ่ึงผู้อ่ืน (ท่ีเก่งกว่าหรือมีอานาจ) เพ่ือ
บอกทิศทางท่ีชัดเจนเก่ียวกบั สิ่งทต่ี ้องทา วิธีทา และเม่ือใดทต่ี ้องทา สาหรบั นักเรียนเหล่านี้การเรียนรู้
คือการท่ีครูเป็นศูนย์กลางในแบบ “ผู้หยิบย่ืนความรู้ให้” พวกเขาปฏิบัติต่อครูในฐานะผู้เช่ียวชาญท่ีรู้
ว่านักเรียนต้องทาอะไร หรือไม่ก็อดทนให้ผ่านไปตามระบบการศึกษา โดยเลือกตอบสนองต่อครูที่
“ทาให้” พวกเขาได้เรียนรู้ ผู้เรียนที่พ่ึงพาผู้อ่ืนบางคนกลายเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมได้เนื่องจากพวก
เขาทาอะไรเป็นระบบ ละเอียดและมีวินัย พวกเขาสามารถเช่ียวชาญในวิชาเรียนหรือถ่ายทอดได้ใน
รูปแบบที่กาหนดเพ่ือให้ได้คุณวุฒินั้นมา การเป็นผู้เรียนที่พ่ึงพาผู้อื่นนั้นไม่ได้เป็นข้อบกพร่อง แต่อาจ
เป็นข้อจากดั

2. ผเู้ รียนทีส่ นใจ (Interested Learners) ตอบสนองตอ่ เทคนคิ ท่ีสรา้ งแรงบนั ดาลใจ พวก
เขายนิ ดที ่ีจะทางานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายหากพวกเขามีความสนใจและสามารถรู้วัตถุประสงค์ ครูนาความ
กระตือรือร้นมาสู่ห้องเรียน กวาดเอาผู้เรียนไปพร้อมกับความตื่นเต้นในการเรียนรู้ ครูท่ีเป็นเช่นน้ีจะ
โน้มน้าว อธิบาย และ “ชวนให้เลือก” โดยใช้แนวทางที่มีการชี้นาแต่ให้การสนับสนุนสูง ซ่ึงจะ
เสริมแรงให้กับความตั้งใจและความกระตือรือรน้ ของผู้เรียน ผู้เรยี นก็จะร่วมด้วยหากพวกเขาเข้าใจว่า
ทาไม ถ้าผู้สอนให้ทิศทางและความช่วยเหลอื เพราะพวกเขาชอบครู ครูให้คาอธบิ ายท่ีชัดเจนว่าเหตใุ ด
ทกั ษะจึงมีความสาคัญและงานท่มี อบหมายจะช่วยนักเรยี นอย่างไร นกั เรียนที่ได้รับแรงบันดาลใจและ
กาลงั ใจกจ็ ะทางานตอ่ ไป

3. ในข้ันน้ีครูสามารถเตรียมนักเรียนให้มีการชนี้ าตนเองมากข้ึน โดยการฝึกอบรมพวกเขา
ในทักษะพ้ืนฐานเช่นการตั้งเป้าหมาย ครูสามารถใช้การชมเชย แต่เป็นการใช้สายตาเพ่ือหยุดชื่นชม
(แรงจูงใจภายนอก) แล้วเปล่ยี นเป็นการปลกุ ใจ (ซ่งึ สรา้ งแรงจูงใจภายใน) ครสู ามารถสรา้ งความม่ันใจ
ในขณะที่สร้างทักษะ พวกเขาสามารถช่วยให้นักเรียนเร่ิมรู้จักบุคลิกภาพ เป้าหมายชีวิต และรูปแบบ
การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ตัวละคร Robin Williams ใน Dead Poets Society เป็นตัวอย่างของการ
สอนผู้เรียนที่สนใจ เขาท้าทายกลุ่มเด็กผู้ชายเกเรแต่ก็เข้าถึงได้ง่ายเพ่ือให้ตื่นเต้นกับบทวิธีการของเขา
คือการแสดงละคร เขาเป็นนักแสดงหลกั ทต่ี ้องการให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วม โดยให้ลองยืนตอ่ หนา้ ชนั้ เรียน
และอ่านท่องงานของตนเอง ท่ีน่าสนใจก็คือเพื่อตอบสนองต่อการให้กาลังใจของเขา พวกเด็ก ๆ ได้
จัดต้ังกลุ่มบทกวีของตัวเอง แต่การช้ีนาตนเองเช่นน้ีเป็นแบบตามสถานการณ์ เพราะพวกเขาไม่ได้ต้ัง
กลุม่ อืน่ ๆ ขน้ึ มา (เชน่ กลุ่มภมู ศิ าสตร์)

4. ผู้เรียนท่ีมีส่วนร่วม (Involved Learners) พัฒนาการคดิ เชิงวิพากษ์และการตระหนักรู้
ในตนเองในฐานะผู้ร่วมสร้างสรรค์ ดังน้ันพวกเขาจึงทางานได้ดีกับครูและด้วยกันเอง ในการออกแบบ
และการดาเนินการตามโครงการการเรียนรู้ ครูเป็นผู้มีส่วนร่วมในประสบการณ์การเรียนรู้ ครูและ
นักเรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ โดยนักเรียนมีบทบาทท่ีโดดเด่นมากขึ้น ครูมุ่งเน้นไปที่การอานวย
ความสะดวกและการสื่อสารและสนับสนนุ นักเรยี นในการใช้ทกั ษะที่ไดร้ ับ

55

5. หากครูเป็น “มัคคุเทศก์เฉพาะถิ่น” ที่มีประสบการณ์ ครูก็นานักเรียนไปยังพื้นที่น้ัน ๆ
แต่หากในฐานะมัคคุเทศก์ ครูก็จะเตรียมเครื่องมือ วิธีการ เทคนิค และแนวทางในการตีความ
ประสบการณ์ที่พบ ครูมัคคุเทศก์จะแบ่งปันประสบการณ์และเปิดทางผู้อ่ืนสู่ประสบการณ์ ครู
มัคคุเทศก์จะช่วยให้นักเรียนไปสู่การพ่ึงตนเอง ผู้เรียนสามารถได้รับมอบหมายให้ทางานเป็นกลุ่มใน
โครงงานท่ีมีลักษณะปลายเปิดแต่ออกแบบเป็นอย่างดี เกณฑ์ที่มีการเขียนไว้หรือข้อตกลงการเรียนรู้
และรายการตรวจสอบการประเมินผลนั้นสามารถช่วยผู้เรียนติดตามความก้าวหน้าของตนเอง เม่ือ
พวกเขามีความสามารถมากข้ึนในการต้ังเป้าหมายและจังหวะในการทางาน ผู้เรียนสามารถมีอิสระ
มากขึน้ และทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายที่ยากข้นึ ได้

6. ผู้เรียนที่ชี้นาตนเอง (Self-Directed Learners) กาหนดเป้าหมายและมาตรฐานของ
ตนเองโดยมีหรือไม่มีความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาใช้ผู้เชี่ยวชาญและทรัพยากรอ่ืน ๆ เพ่ือ
ไล่ตามเป้าหมายเหล่านี้ การพึ่งตนเองไม่ได้หมายถึงอยู่คนเดียว ผู้เรียนท่ีพ่ึงตนเองหลายคนมีความ
เปน็ สงั คมสูง

7. ผู้เรียนในขั้นน้ีมีความสามารถและเต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ ทิศทางและ
ผลผลิต พวกเขาฝึกทกั ษะในการบริหารเวลา การจดั การโครงการ การกาหนดเป้าหมาย การประเมิน
ตนเอง การวิพากษ์เพื่อน การรวบรวมข้อมูลและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษา ผู้เรียนที่ช้ีนาตนเอง
ไม่สามารถไม่พึ่ง “ครู” ได้อย่างสมบูรณ์ เน่ืองจากมีทักษะและองค์ความรู้บางอย่างที่ดีท่ีสุดและจะ
เข้าใจได้อยา่ งถ่องแทภ้ ายใต้การสงั่ สอนจากผูเ้ ชีย่ วชาญ

ตอนน้ีลาดับขั้นก็ครบถ้วนแล้ว จากการมุ่งเน้นเนื้อหาวิชาในขั้นตอนแรกสุดไปจนถึงการ
มุง่ เน้นผู้เรียน ซึ่งบทบาท “ครู” ไม่ใช่การสอนเนื้อหาวชิ า แต่เพื่อปลูกฝงั ความสามารถของนักเรียนใน
การเรียนรู้ โดย “คร”ู อาจยังตอ้ ง

1. หารือกับผู้เรียนเพ่ือพัฒนาเกณฑ์ที่เขียนขึ้น รายงานตรวจสอบการประเมินผล
ตารางเวลา และแผนการจดั การสาหรับแต่ละโครงการทีพ่ ฒั นาขน้ึ

2. จัดการประชุมเป็นประจาเพ่ือให้นักเรียนสามารถทาแผนและอภิปรายความก้าวหน้า
ของทคุ นและอภิปรายปญั หา

3. กระต้นุ ให้นักเรยี นร่วมมอื และปรึกษากัน แต่ไมล่ ะทิง้ ความรบั ผิดชอบ
4. มงุ่ เน้นท่กี ระบวนการของการมีประสิทธิผลและผลงาน ทาโครงการในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ
5. เชญิ วิทยากรที่เป็นตวั แทนของแตล่ ะข้นั ข้างต้นมาบอกเลา่ เรอื่ งราวนัน้ ๆ
6. แนะนาชวี ประวตั ขิ องคนตน้ แบบ
7. ตอ้ งมีการประเมินตนเอง
แม้จะเป็นเรื่องสนุกที่ได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนท่ีเก่ง แต่ “ครู” จะพาตัวเองออกมา เพ่ือให้
ความพยายามของผู้เรยี นกลายเปน็ จุดสนใจที่ชัดเจน“คร”ู สามารถติดตามความก้าวหน้าอย่างแข็งขัน
เพ่ือให้แน่ใจในความสาเร็จ แต่ก็เข้าไปเพียงเพ่ือช่วยให้นักเรียนได้รับทักษะในการช้ีนาตนเองและการ
กากับตนเอง “คร”ู แยกนักเรยี นออกจากการถกู สอน โดยบทบาทของ “คร”ู ในตอนนี้อาจเปน็
1. สร้างแรงบนั ดาลใจและให้คาปรึกษา
2. ท้าทายหรอื กระตุน้ ผ้เู รียน จากนน้ั ถอยออกมา
3. ปลกู ฝังแนวคดิ คาถาม หรอื ความขัดแยง้ ในใจของผเู้ รยี น ซ่ึงเปน็ เร่ืองตอ้ งใชเ้ วลา

56

4. พรอ้ มให้คาปรึกษาหรือเป็นตัวแทนความคิด
ในฐานะ “ครู” คนหน่ึง คุณจะได้ช่วยพัฒนาผู้เรียนท่ีเป็นผู้ใหญ่ให้ชี้นาตนเองได้ตลอดชีวิต
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลลัพธ์ท่ีสาคัญท่ีสุดของการศึกษาในระบบ ลูกศิษย์ของคุณท้ังที่เป็นนักเรียนและ
ผู้ใหญ่จะสามารถก้าวหน้าไปได้ ลกุ ขึ้นเพื่อหาโอกาสและใช้ส่ิงที่พวกเขารู้ คุณจะบรรลุเป้าหมายสูงสุด
ในการเป็นครู และกลายเป็นคนที่ไม่จาเป็นสาหรับนักเรียนคนน้ี แต่พร้อมท่ีจะเร่ิมส่งเสริมการเรียนรู้
แบบชีน้ าตนเองให้กบั นักเรยี นคนตอ่ ไป
Briggs (2015) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ว่า คาจากัดความ
โดย Malcolm Knowles ผู้เช่ียวชาญด้านการศึกษาผู้ใหญ่ ก็คอื การเรียนรู้แบบชน้ี าตนเอง “อธิบาย
กระบวนการที่บุคคลใช้คิดริเร่ิมโดยมีหรือไม่มีความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการวินิจฉัยความต้องการใน
การเรียนรู้ การกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ การระบุทรัพยากรสาหรับการเรียนรู้ท้ังท่ีเป็นมนุษย์และ
วัตถุ และการประเมินผลการเรียนรู้” มันเป็นแนวคิดท่ีสาคัญอย่างยิ่งในบรรยากาศการศึกษาใน
ปัจจุบันท่ีการเรียนการสอนออนไลน์ (MOOCs) และเคร่ืองมือการเรียนรู้เพ่ิมเติมอื่น ๆ มีอยู่มากมาย
อีกไม่นานเราจะได้รับตราท่ีเป็นดิจิทัลแทนใบประกาศนียบัตร และเมื่อส่ิงน้ีเกิดขึ้น การเรียนรู้แบบ
ชน้ี าตนเองจะเปน็ ทักษะท่ีสาคญั ซง่ึ นักเรียนท่ีคาดหวังในความสาเร็จจะต้องมีทกั ษะน้ี
คาท่ีใกล้เคียงอย่างคาว่า “Autodidacticism” ก็มีรากศัพท์ในคากรีกโบราณ น่ันคือ
Autós หรือ “ตัวเอง” และ Didaktikos ที่หมายถึง “การสอน” แนวคิดของเร่ืองน้ีค่อนข้าง (และ
มักจะ) ง่ายจริง ๆ นั่นคือ นักเรียนควรได้รับการกระตุ้นให้ทางานแบบพึ่งตนเองมากขึ้น คนท่ี
เป็น Autodidacts (ผู้ศึกษาด้วยตนเอง) ในยุคแรก ๆ เช่น Leonardo Da Vinci อาจเป็นคนแปลก
แยกจากสังคมในช่วงเวลาน้ัน แต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมสร้างโอกาสมากข้ึนสาหรับคนที่จะไขว่คว้า
อาชพี นกั วชิ าการขน้ั สูงและขับเคลอ่ื นการเรยี นรู้ของตนเอง
ตอนน้ีส่ิงท่ีเราเห็นในศตวรรษท่ี 21 ก็คือการยอมรบั วธิ ีการศกึ ษาแบบ DIY อย่างกวา้ งขวาง
รูปแบบดั้งเดิมไม่ให้ผลลัพธ์ท่ีเคยทามาอีกต่อไป และบัณฑิตจานวนมากในปัจจุบันถูกปล่อยปละ
ละเลยโดยไม่มงี านใหท้ าหรืออาจแยก่ วา่ นนั้ ไมม่ คี วามสนใจทแ่ี ท้จริงในการเรยี นรู้
หน่ึงในความนิยมด้านการศึกษาในปัจจุบันคือสภาพแวดล้อม การเรียนร้คู วรตอบสนองต่อ
ความต้องการ เป้าหมาย และความสนใจของแต่ละบุคคล รูปแบบน้ีใช้แนวคิดของการเรียนรู้แบบ
สบื เสาะ (Inquiry-Based Learning) ซง่ึ นกั เรยี นจะได้รับการนาเสนอสถานการณ์เพอื่ กาหนดประเด็น
วิจัย คาถาม และความรู้ของตนเองในหัวข้อเฉพาะน้ัน ๆ ในสถาบันการศึกษาท่ีประสบความสาเร็จ
มากที่สุดนั้นนักเรียนจะได้รบั โอกาสในการ “มีประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์” กับความรู้ เช่นเดียวกับ
ดาวินชี ซึง่ ทาให้การเรียนสนุกและเปน็ ธรรมชาติ
อะไรทาให้การเรียนรแู้ บบชีน้ าตนเองมีประสิทธิภาพ ?
สมาคมวทิ ยาศาสตรจ์ ติ วิทยาระบวุ ่า ความสาเรจ็ มากมายของวธิ ีการเรียนรแู้ บบช้นี าตนเอง
นน้ั นบั วา่ เกดิ จากประโยชนข์ องการร้คู ดิ (Cognitive) ที่เก่ียวโยงด้วย
ในบทความที่ตีพิมพ์ใน Perspectives On Psychological Science ซึ่งเป็นวารสารของ
สมาคมวิทยาศาสตรจ์ ิตวทิ ยา ซึ่ง Todd Gureckis และ Douglas Markant นักวิจัยแห่งมหาวทิ ยาลัย
นิวยอร์กพบว่า จิตวิทยาการรู้คิดได้ให้คาอธิบายหลายประการถึงประโยชน์ของการเรียนรู้แบบชี้นา
ตนเอง ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง “ช่วยให้เราเพ่ิมประสิทธิภาพประสบการณ์ด้าน

57

การศึกษาของเรา ทาให้เราเน้นความพยายามไปที่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เรายังไม่มี และเปิดเผยให้
เราทราบถึงข้อมูลท่ีเราไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการสังเกตเท่าน้ัน” ธรรมชาติของการเรียนรู้แบบช้ีนา
ตนเองยังช่วยเราในการเข้ารหัสข้อมลู และเกบ็ รกั ษาไว้เมือ่ เวลาผา่ นไป

แต่เราไม่ได้เป็นผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองที่ดีท่ีสุดเสมอ Gureckis และ Markant ยังชี้ให้เห็นว่า
“อคติและการคิดแก้ปัญหาหลายประการเกี่ยวกับการรู้คิดท่ีเราใช้เพ่ือช่วยในการตัดสินใจก็สามารถมี
อิทธิพลต่อข้อมูลที่เราให้ความสนใจ และในที่สุดก็เกิดการเรียนรู้” นักวิจัยได้ระบุว่ารูปแบบการ
คานวณท่ีใช้กันท่ัวไปในการวิจัยท่ีเก่ียวกับการเรียนรู้ของเคร่ือง (Machine Learning เป็นการศึกษา
การทาให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถท่ีจะเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมกากับไว้อย่างชัดเจน)
สามารถสร้างกรอบสาหรับศึกษาว่า คนประเมินแหล่งข้อมูลท่ีแตกต่างกันอย่างไร และตัดสินใจ
เกีย่ วกับข้อมูลที่พวกเขาคน้ หาและเขา้ ร่วมอย่างไร การศึกษาการเรยี นรู้ของเครอื่ งยังสามารถช่วยระบุ
ประโยชน์และจุดอ่อนของการสารวจอย่างอิสระและสถานการณ์ท่ีการสารวจดังกล่าวจะให้ประโยชน์
สูงสดุ แกผ่ ู้เรยี น

การรวมผลวจิ ัยจากมุมมองดา้ นการรคู้ ิดและด้านการคานวณจะชว่ ยให้นักวิจยั มีความเขา้ ใจ
ท่ีดีขึ้นเกี่ยวกับกระบวนการท่ีรองรับการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง และสามารถช่วยลดช่องว่างระหว่าง
การวิจัยด้านการรู้คิดข้ันพื้นฐานและการวิจัยด้านการศึกษาเชิงประยุกต์ ซ่ึง Gureckis และ
Markant หวังว่าการบูรณาการนี้จะช่วยให้นักวิจัยพัฒนาวิธีการฝึกอบรมแบบให้ความช่วยเหลือท่ี
สามารถนามาใชเ้ พื่อปรบั ประสบการณ์การเรียนรใู้ ห้เหมาะสมกบั ความต้องการเฉพาะของสถานการณ์
และลักษณะของผเู้ รยี นแต่ละคน

วิธเี สริมการเรยี นรู้แบบชน้ี าตนเอง (How to Pursue More Self-Directed Learning)
ตอนนี้เราไดเ้ ล่าถึงความเป็นมาและประโยชน์ท่ีเก่ียวข้องกบั การเรยี นรแู้ บบชี้นาตนเองแล้ว
ลองดูข้ันตอนบางอย่างต่อไปนี้ท่ีเราสามารถทาได้เพ่ือให้บรรลุถึงการเรียนรู้ดังกล่าว ซ่ึงเป็น 20 วิธีใน
การใหค้ วามสาคญั กับตวั เองเปน็ อนั ดับแรกเม่ือพูดถึงเร่ืองการศกึ ษาของคุณ
1. ระบุเป้าหมายการเรียนรู้ของคุณ (Identify Your Learning Goals) ไม่สามารถบรรลุ
ส่งิ ท่ีคณุ ไม่ไดว้ าดภาพเอาไว้ การระบุส่งิ ท่ีคณุ ตอ้ งการเรียนรเู้ ป็นขน้ั ตอนแรกของกระบวนการน้นั
2. ตั้งคาถามถึงความสาคัญของสิ่งต่าง ๆ (Question the Significance of Things)
สร้างนิสัยการไม่ทาอะไรเพียงหวังผลตอบแทนท่ีมีมูลค่า แต่ให้เร่ิมต้นที่จะถามคาถามเพราะคุณใส่ใจ
ในคาตอบจริง ๆ
3. ค้นหาความท้าทายที่น่าสนใจ (Seek out Interesting Challenges) ใครกันท่ีบอกว่า
นิยามของความท้าทายฟังแล้วขัดหู? จงระบุปัญหาที่คุณใส่ใจและให้รางวัลตัวเองด้วยการแก้ปัญหา
เพราะนน่ั คือส่ิงท่เี ปน็ ทงั้ หมดของการเรียนรู้ทีแ่ ท้จรงิ
4. ตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ของคุณเอง (Monitor Your Own Learning Process)
การเรียนรู้เป็นเร่ืองสนุกมากข้ึนเม่ือคุณต้ังมาตรฐานของคุณเอง ไม่ว่าคุณจะได้เกรดที่คุณต้องการ
หรือไมก่ ็ตาม ให้ลองวัดความก้าวหน้าของคณุ กับเปา้ หมายการเรียนรู้ที่คณุ กาหนดเอง
5. เข้าใจวิธีการของคุณเอง (Understand Your Own Approach) หลายคนทึกทักเอา
ว่าเรารู้รูปแบบการเรียนรู้และความชอบของเราเอง แต่จะใช่จริงหรือ? จงใช้เวลาสักครู่พิจารณา
รูปแบบหรอื ส่อื ทชี่ ่วยใหค้ ุณเรยี นรไู้ ดด้ ที ่สี ุด

58

6. ใช้กลยุทธ์การสร้างแรงจูงใจด้วยเกม (Use Game-Based Motivation Strategies)
ระบบให้รางวัลสามารถใช้การได้อย่างน่าทึ่งเมื่อพูดถึงการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง จงให้เหตุผลสนุก ๆ
กบั ตัวเองเพอื่ ทา้ ทายตวั เองและทางานใหห้ นกั

7. เร่ิมต้นด้วยข้อมูลพื้นฐานของหัวข้อน้ัน (Start with Background on a Topic) ทา
ความรู้จักกับหัวข้อของคุณโดยอ่านค้นคว้าใน Wiki ก่อน สิ่งสาคัญคือต้องมีบริบทก่อนท่ีคุณจะลงลึก
ไปในรายละเอียด

8. ปลูกฝังแรงจูงใจจากภายใน (Cultivate Intrinsic Motivation) แรงจูงใจภายในน้ัน
ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติสาหรับทุกคน แต่สามารถเรียนรู้ได้ จงช่วยให้ตัวเองสนุกกับการเรียนรู้มาก
ขน้ึ โดยรวบรวมข้อเทจ็ จริงที่น่าสนใจหรือวางแผนท่จี ะแบง่ ปนั ความรูข้ องคณุ กับผู้อื่น

9. แบง่ ปนั การเรียนรู้ของคุณกบั เพ่ือนและท่ปี รกึ ษา (Share Your Learning with Peers
and Mentors) การร้วู ่าคุณจะแบ่งปันสิ่งท่ีคุณได้เรียนรู้กับผู้อ่ืนสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมาก
เม่ือพูดถึงการเรียนรู้ ท้ังความเอาใจใส่และความทรงจาของคุณ ได้รับแรงหนุนเมื่อคุณนึกภาพตัวเอง
ว่าได้ถ่ายทอดเนอ้ื หาใหม่ให้กับบุคคลอืน่

10. สร้างสรรค์บางส่ิงจากสิ่งที่คุณ ได้เรียนรู้ (Create Something Out of What
You’ve Learned) สร้างนิสัยในการสร้างบางส่ิง เช่น แผนภาพ เพลง บันทึกประจาวัน ด้วยเนื้อหา
ใหม่ที่คุณได้เรียนรู้ ซ่ึงไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมความคงทนของเน้ือหาในความทรงจาระยะยาวของคุณ
แต่ยังช่วยการเรยี นรู้ในอนาคต

12. สร้างสาระการเรียนรู้ส่วนตัวของคุณเอง (Build Your own Personal Learning
Syllabus) คณุ เคยเห็นสาระวิชาจากหลกั สูตรใด ๆ และอยากใส่อะไรลงไปเพ่มิ เติมหรือไม่? ตอนนเ้ี ป็น
โอกาสของคุณ จงเรียนรสู้ ่งิ ท่ีคุณตอ้ งการ ในเวลาและวธิ ีทค่ี ุณตอ้ งการ

13. ใช้เวลา (หรือไม่ใช้) เพ่ือผลประโยชน์ของคุณ (Use time (or lack thereof) to
your advantage)เราทุกคนต่างก็ยุ่ง แต่บางคร้ังส่ิงน้ีอาจเป็นข้อได้เปรียบ ใช้เวลาสามสิบนาทที ่ีคุณมี
ในชว่ งเวลาอาหารกลางวันหรือหลังเลกิ งานท่ีโรงยิมเพ่ือทากจิ กรรม “สกั อยา่ ง” ทีอ่ ยากทา

14. ไขว่คว้าความรู้ ไม่ใช้เกรดดี ๆ (Pursue Knowledge, Not Good Grades) เป็นการ
ยากท่ีจะเพิกเฉยต่อเกรดเม่ือดูเหมือนว่ามันจะมีความหมายมากสาหรับคณะกรรมการที่ รับเราเข้า
เรียนมหาวิทยาลัย แต่ส่ิงสาคัญคือต้องจาไว้ว่ามันไม่ใช่จุดจบของท้ังหมด คะแนนไม่ได้สะท้อนว่าคุณ
ได้เรยี นรจู้ รงิ แค่ไหน เพราะนนั่ คอื สง่ิ ท่มี ีความสาคญั ในทา้ ยทสี่ ดุ

15. สร้างแบบบันทึกการเรียนรู้ส่วนตัว (Create Your Own Personal Learning
Record) มีเคร่ืองมือที่ยอดเยี่ยมมากมายที่จะช่วยคุณจัดทาเอกสารการเรียนรู้ของคุณ คุณจะสนุกกับ
แฟ้มสะสมผลงานการเรียนรู้แบบดิจิทัลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเม่ือผ่านไปสิบปีแล้วคุณได้อ่านบันทึกและ
โครงการเก่า ๆ

16. บอกเล่าความสาเร็จของคณุ ทางวาจา (Verbalise Your Achievements) การรใู้ นส่ิง
ท่ีคุณได้เรียนรู้ก็เป็นเร่ืองหนึ่ง การทาให้มันเป็นที่รู้จักก็เป็นอีกเรื่องหน่ึง การเล่าความสาเร็จของคุณ
ออกมาเป็นคาพูดนั้นเป็นการให้รางวัลอย่างท่ีสุด และสามารถช่วยให้คณุ ไตรต่ รองระหว่างสิ่งที่คุณคิด
ว่าไดเ้ รียนรู้กบั สิ่งท่คี ณุ ไดเ้ รียนรู้แลว้ จริง ๆ

59

17. ทารายการหัวข้อ “ที่ต้องเชี่ยวชาญ” (Make a List of Topics “to Master”) การ
สร้างรายการหวั ข้อท่ีตอ้ งเชี่ยวชาญให้ได้ก็จะสนกุ พอ ๆ กบั การขีดฆา่ ออก จงจาไวว้ ่าให้ทาเป้าหมายท่ี
เปน็ รปู ธรรม บรรลผุ ลได้งา่ ย รวมถึงเปา้ หมายทวั่ ไปทีค่ รอบคลุม

18. ฝึกใช้สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ (Practise Using What You’ve Learned) เราทุกคนต่างให้
ค่ากับความรู้ที่เราสามารถใช้ได้จริง ถึงแม้บางคร้ังเราจาเป็นต้องใช้ความพยายามในการใช้งาน จง
สรา้ งโอกาสของคุณเองทจ่ี ะใชค้ วามรู้ของคุณและคณุ จะพบผลลพั ธ์ท่ีคมุ้ ค่ามาก

19. ให้คุณค่ากับความก้าวหน้ามากกว่าผลท่ีได้ (Value Progress Over Performance)
เราไม่เคยหยุดเรียนรู้ ซ่ึงเป็นหน่ึงในหลาย ๆ เหตุผลท่ีการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองนั้นเป็นเรื่องที่
สนกุ โดยหัวข้อคาถามและปญั หาท่ีนับไมถ่ ้วน ซง่ึ หมายถึงโอกาสในการถกู กระตนุ้ ให้ประสบผลสาเร็จ

20. ทาให้เป้าหมายของคุณเป็นจริง (Keep Your Goals Realistic)หน่ึงในส่ิงสาคัญที่
ทาลายบรรยากาศของการเรียนรูแ้ บบชีน้ าตนเองไมไ่ ดถ้ ูกสรา้ งขึ้นโดย “ระบบ” แต่สรา้ งด้วยตัวเราเอง
ซ่ึงน่ันก็คือ เป้าหมายท่ีไม่สมจริง เป็นเรื่องง่ายที่จะหมดกาลังใจเมื่อเราไม่บรรลุส่ิงที่เราต้องการ จง
พยายามทาสงิ่ ต่าง ๆ ในสัดสว่ นท่มี องเห็นได้ และสรา้ งเป้าหมายท่คี ณุ สามารถทาได้อยา่ งสมเหตุสมผล

21. สร้างเครือข่าย “เพ่ือนร่วมงานแห่งการเรียนรู้” (Build a Network of “Learning
colleagues”) เราเป็นผู้เรียนรู้ร่วมกันโดยธรรมชาติ จงใช้ประโยชน์จากชุมชนออนไลน์และสิ่งที่อยู่
ตรงหน้า ทีจ่ ะสนับสนุนคณุ ตลอดเสน้ ทางการเรยี นรูแ้ ละชว่ ยสอ่ งสว่างเสน้ ทางของคณุ

Centre for Teaching Excellence (n.d.) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้
แบบชี้นาตนเอง ว่า การเรียนรู้ด้วยตนเองอาจเป็นเรื่องท้าทายแม้แต่นักเรียนท่ีฉลาดและมีแรงจูงใจ
มากทีส่ ุด เพื่อให้เข้าใจกระบวนการทเี่ ก่ียวขอ้ งในวิธกี ารศึกษาน้ีได้ดยี ิ่งขึ้น เคลด็ ลับการสอนตอ่ ไปนี้ได้
สรุปองค์ประกอบสาคัญของข้ันตอน 4 ประการที่สาคัญในการเรียนรู้แบบอิสระที่รู้จักกันในนามของ
การเรียนรแู้ บบชีน้ าตนเอง ได้แก่ พร้อมที่จะเรียนรู้ ต้ังเป้าหมายการเรียนรู้ มีส่วนร่วมในกระบวนการ
เรยี นรู้ และประเมนิ การเรียนรู้

ขั้นตอนท่ี 1 : ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ (Assess Readiness to Learn) นักเรียน
ต้องการทั กษ ะและทั ศน คติที่ห ลากห ลายต่อการเรียนรู้เพ่ื อการศึกษ าอิสระ ท่ีป ระสบ
ความสาเร็จ ขั้นตอนน้ีเกี่ยวข้องกับการท่ีนักเรียนทาการประเมินตนเองในสภาพปัจจุบัน นิสัยในการ
เรียน สถานการณ์ครอบครัว และเครือข่ายการสนับสนุนทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน และยังเก่ียวข้องกับ
การประเมินประสบการณ์ท่ีผ่านมาด้วยการเรียนรู้แบบอิสระ สาหรับรายละเอียดของเครื่องมือ
ประเมินทักษะการเรียนรู้ ให้อ่านใน “การเตรียมความพร้อมที่จะเรียนรู้เคล็ดลับการสอน” ซ่ึง
สัญญาณของความพร้อมต่อการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองได้แก่ ทาอะไรด้วยตนเอง มีระเบียบวินัยใน
ตนเอง สามารถสื่อสารได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ และสามารถท่ีจะยอมรบั ความคิดเห็นท่ีสร้างสรรคแ์ ละ
มสี ่วนร่วมในการประเมินตนเองและการสะท้อนตนเอง

60

ขั้นตอนท่ี 2 : กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ (Set Learning Goals) การสื่อสารเก่ียวกับ
เป้าหมายการเรียนรู้ระหว่างนักเรียนและอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นส่ิงสาคัญ เราได้พัฒนาชุดของคาถาม
สาหรับนักเรียนที่จะต้องพิจารณาตามที่พวกเขาร่างแผนเป้าหมายการเรียนรู้ของพวกเขา (ดูท่ี Unit
Planning Decision Guide) นอกจากน้ีสิ่งสาคัญในการพัฒนาความเข้าใจท่ีชัดเจนของเป้าหมายการ
เรยี นร้รู ะหว่างนกั เรยี นและอาจารย์ผ้สู อนก็คือขอ้ ตกลงการเรียนรู้ ซง่ึ ประกอบด้วย

1. เป้าหมายสาหรับหน่วยการเรียนรู้
2. โครงสร้างและลาดับของกิจกรรม
3. กาหนดเวลาสาหรบั ใหก้ ิจกรรมแลว้ เสร็จ
4. รายละเอียดเก่ยี วกบั ทรพั ยากรเนือ้ หาสาหรับแต่ละเป้าหมาย
5. รายละเอยี ดเกีย่ วกับขั้นตอนการใหเ้ กรด
6. ข้อเสนอแนะและการประเมินผลเมอ่ื แต่ละเปา้ หมายเสรจ็ สมบูรณ์
7. แผนการประชุมกบั อาจารย์ที่ปรกึ ษา
8. ข้อตกลงของแผนประจาหนว่ ย เช่น แผนการเก่ยี วกับการมอบหมายงานลา่ ชา้
เมื่อสร้างแล้วควรมีการประเมินข้อตกลงโดยทีมอาจารย์ท่ีปรึกษา และควรตั้งคาถาม
เกี่ยวกับความเป็นไปได้ เช่น มีอะไรท่ีอาจผิดพลาดได้ ? หรือมีภาระงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
หรอื ไม่ ? กรอบเวลาและการประเมนิ ผลมีความสมเหตสุ มผลหรือไม่ ?
ข้ันตอนท่ี 3 : เข้าร่วมในกระบวนการเรียนรู้ (Engage in the Learning Process)
นักเรียนจาเป็นต้องเข้าใจตนเองในฐานะผู้เรียน เพื่อที่จะเข้าใจความต้องการของพวกเขาในฐานะ
นกั เรียนท่ีเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง การอ้างอิงใหน้ ักเรียนทราบถึงแหลง่ เรียนรู้เกี่ยวกับความชอบในการ
เรียนรอู้ าจมปี ระโยชน์นกั เรียนควรพจิ ารณาตอบคาถามต่อไปนี้
1. ฉนั ต้องการให้สอนด้วยวิธีใด ?
2. ครูคนโปรดของฉนั คอื ใคร ทาไม ?
3. พวกเขาทาอะไรทแี่ ตกตา่ งจากครูคนอื่น ๆ นักเรียนควรไตรต่ รองคาถามเหล่าน้ตี ลอดท้ัง
หลักสูตร และแทนที่ “คร”ู ด้วย “อาจารย์ทีป่ รึกษา”
นกั เรยี นตอ้ งเข้าใจวธิ ีทต่ี นใช้ในการเรียนดว้ ย
วิธีเชิงลกึ เพ่ือการเรยี นทเ่ี กีย่ วข้องกับการปรบั เปล่ียน ซึ่งเหมาะสาหรับการเรียนรู้แบบชนี้ า
ตนเอง วิธีนเี้ ป็นการทาความเข้าใจความคิดเพื่อใช้กับตัวเราเอง การนาความรู้ไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ ๆ
และใช้ตัวอย่างใหม่ ๆ เพ่ืออธิบายแนวคิด และเรียนรู้ให้มากกว่าที่ต้องใช้เพียงเพื่อให้ครบตามหน่วย
การเรียนนน้ั
วิธีผิวเผิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการถอดแบบ น่ันคือ การจัดการกับส่ิงท่ีหน่วยการเรียนนั้น
ตอ้ งการ การเรยี นรู้เฉพาะสิ่งท่ีจาเป็นเพ่ือให้ครบตามหน่วยการเรียนและทาออกมาให้ดี ซ่งึ มีแนวโน้ม
ทีจ่ ะทาใหต้ ัวอย่างและคาอธบิ ายมากมายทอี่ ่านเจอน้นั ลน้ คืนกลบั ออกมา
วิธีเชิงกลยุทธ์ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการให้เป็นระบบ นั่นคือ การให้ได้เกรดสูงสุดเท่าที่จะ
เป็นไปได้ การเรียนรู้ส่ิงท่ีจาเป็นเพื่อให้ผ่านการสอบ การท่องจาข้อเท็จจริง และใช้เวลาฝึกทา
แบบทดสอบท่ีผ่านมา

61

งานวิชาการก่อนหน้าน้ีอาจมีการสนับสนุนวิธีแบบผิวเผินหรือวิธีการเชิงกลยุทธ์ใน
การศึกษา ซ่ึงวิธีการเหล่าน้ีถือว่าไม่เพียงพอ (หรือไม่เหมาะสม) สาหรับการศึกษาอิสระให้ประสบ
ความสาเรจ็ โดยการศึกษาอิสระต้องใช้วิธีการเชงิ ลึกในการศกึ ษาซงึ่ นักเรยี นจะต้องเข้าใจความคดิ และ
สามารถนาความรู้ไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ นักเรียนจาเป็นต้องสร้างการเชื่อมต่อของตัวเองและเป็น
แรงจงู ใจให้ตวั เอง

ข้ันตอนท่ี 4 : ประเมินการเรียนรู้ (Evaluate Learning) สาหรับนักเรียนท่ีจะประสบ
ความสาเร็จในการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองนั้น พวกเขาจะต้องสามารถมีส่วนร่วมในการสะท้อนตนเอง
และประเมินตนเองตามเป้าหมายการเรียนรู้และความก้าวหน้าในหน่วยการเรียนรู้ เพื่อสนับสนุน
กระบวนการประเมินตนเอง ผูเ้ รยี นควร

1. ปรกึ ษากับอาจารยท์ ่ปี รกึ ษาอยา่ งสม่าเสมอ
2. เปดิ รบั ข้อเสนอแนะ
3. มีสว่ นร่วมในการสะท้อนความสาเรจ็ ซ่ึงเปน็ การตัง้ คาถามว่า
4. ฉนั จะรู้ได้อยา่ งไรวา่ ฉนั ได้เรียนรู้ ?
5. ฉันมคี วามยดื หยุ่นในการปรับและใชค้ วามร้หู รือไม่ ?
6. ฉันมีความม่ันใจในการอธิบายเนื้อหาหรอื ไม่ ?
7. เม่อื ไหร่ทฉ่ี ันรจู้ ะว่าฉันได้เรยี นรู้เพยี งพอแล้ว ?
8. เมอ่ื ไหร่ท่ีตอ้ งสะทอ้ นตนเอง ? และเมอื่ ไหร่ทตี่ ้องหารอื กบั อาจารยท์ ่ปี รึกษา ?
9. อานวยความสะดวกในการรเิ ร่ิมของนักเรียนในการเรียนรู้
10. พรอ้ มใหค้ าปรึกษาตามความเหมาะสมในระหว่างกระบวนการเรียนรู้
11. ทาหน้าทเ่ี ปน็ ท่ีปรึกษามากกว่าเป็นผูส้ อนตามระบบ
ความรับผิดชอบในกระบวนการ 4 ขั้นตอน การศึกษาอิสระท่ีประสบความสาเร็จน้ัน
จาเป็นต้องมีความรับผิดชอบหรือบทบาทของนักเรียนและอาจารย์ท่ีปรึกษาที่แน่นอน ต่อไปนี้เป็น
รายการย่อ ๆ ของบทบาทท่ีสาคัญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อท้ังนักเรียนและอาจารย์ท่ีปรึกษาในการ
ทบทวนรายการน้ีเป็นระยะ และสื่อสารวา่ แต่ละคนรู้สกึ ว่าคนอื่น ๆ กาลังแบง่ ปันความรับผิดชอบของ
พวกเขาหรอื ไม่
1. บทบาทของนกั เรียน
2. ประเมนิ ความพร้อมของตนเองในการเรยี นรู้
3. นยิ ามเป้าหมายการเรียนร้แู ละจัดทาขอ้ ตกลงในการเรยี นรู้
4. ตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ของตน
5. ใช้ความคิดริเริ่มสาหรบั ทุกข้ันตอนของกระบวนการเรยี นรู้ มีแรงจูงใจในตวั เอง
6. ประเมินซา้ และปรับเป้าหมายตามท่ีจาเป็นในระหว่างหนว่ ยการเรียนรู้
7. หารอื กบั อาจารยท์ ป่ี รึกษาตามต้องการ
8. บทบาทของผู้ให้คาปรึกษา
9. สร้างสภาพแวดล้อมการเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ
10. ช่วยกระต้นุ และชี้นาประสบการณ์การเรยี นรู้ของนักเรียน

62

Weimer (2010) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ว่า ทักษะการ
เรียนรู้แบบช้ีนาตนเองน้ันเก่ียวข้องกับความสามารถในการจัดการภาระงานโดยไม่ต้องให้บุคคลอื่น
ช้ีนา ซึ่งเป็นทักษะที่จาเป็นสาหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นหน่ึงในทักษะ
การเรียนรู้ท่ีนักเรียนได้รับการคาดหวังให้พัฒนาขณะที่เรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งความคาดหวังก็คือ
นักเรียนจะกลายเป็นผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเม่ือพวกเขาเติบโตและได้รับความรู้ด้านเนื้อหา ต่อไปนี้เป็น
ผ ล ก ารศึ ก ษ าท่ี แ ส ด งให้ เห็ น ว่ านั ก เรีย น ส าม าร ถ ช้ี น าต น เองได้ อย่ างไรด้ วย ก ารเรีย น ก ารส อน ที่
ตรงไปตรงมา

การวิจัยนี้ดาเนินการในรายวิชาธุรกิจระหว่างประเทศในกลุ่มช้ันปีสุดท้าย ถึงกระน้ัน
นักเรียนส่วนใหญ่ (59% ในภาคการศึกษา Spring และ 61% ในภาคการศึกษา Fall) ยังไม่พร้อม
สาหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยวัดจากคะแนนของพวกเขาในแบบวัดความพรอ้ มการเรยี นรแู้ บบชีน้ า
ตนเอง ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือท่ีได้รับการพัฒนาในงานวิจัยอื่น ๆ และใช้กันอย่างกว้างขวาง นักวิจัยมีความ
สนใจในการแทรกแซงท่ีอาจทาให้คะแนนความพร้อมเหล่าน้ีสูงขึ้น พวกเขาต้ังสมมติฐานว่านักเรียนท่ี
มีคะแนนต่าจะสามารถพัฒนาได้ในสภาพแวดล้อมท่ีมีแบบแผนซ่ึงจาลองทักษะการเรียนรู้ที่ใช้โดย
ผู้เรยี นท่ีชีน้ าตนเอง พวกเขาจัดสภาพแวดล้อมการเรยี นรู้โดยใช้คาถามที่เจาะจงเก่ียวกับรายวชิ านี้ทุก
สัปดาห์ พวกเขาให้คาแนะนาท่ีชัดเจนและมีรายละเอียดสาหรับการทางานท่ีได้รับมอบหมายให้เสร็จ
สมบูรณ์และมีอิสระน้อยมากในการกาหนดงานของตนเอง โดยนักเรียนที่มีคะแนนต่า ซึ่งต่ากว่า
คา่ เฉล่ยี และนกั เรยี นท่ีมคี ะแนนเทา่ ค่าเฉลีย่ ถูกจัดใหอ้ ยู่ในสภาพแวดลอ้ มการเรียนรู้ท่ีมแี บบแผนน้ี

นั ก เรี ย น ท่ี มี ค ะ แ น น สู ง ก ว่ า ค ะ แ น น เฉ ล่ี ย แ ล ะ นั ก เรี ย น ท่ี มี ค ะ แ น น สู ง ถู ก จั ด อ ยู่ ใ น
สภาพแวดล้อมท่ีไม่มีแบบแผน ซ่ึงทาให้พวกเขามีอิสระมากขึ้นในการกาหนดรูปแบบงานของ
ตนเอง พวกเขาถูกขอให้ระบุประเด็นสาคัญของการอ่านท่ีได้รับมอบหมายและตั้งคาถามเกี่ยวกับการ
อ่านนั้น พวกเขาสามารถกาหนดโครงการวิจัยได้ สรุปก็คือ นักเรียนเหล่าน้ีออกแบบการเรียนของ
ตนเอง

ผู้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแบบแผนมีคะแนนเพิ่มขึ้น 6.8 คะแนน ส่วนผู้ท่ีอยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่ไม่มีแบบแผนมีคะแนนเพิ่มข้ึน 13 คะแนน ตามแบบวัดความพร้อมการเรียนรู้แบบ
ช้ี น าต น เอ ง ก ารเพิ่ ม ข้ึ น เห ล่ านี้ เที ย บ เคี ย งได้ กั บ นั ก เรีย น ที่ มี ค ะ แ น น ไม่ สั ม พั น ธ์กั บ
สภาพแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนท่ีมีคะแนนต่าและเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแบบแผน
“หลักฐานนี้ชี้ให้เห็นว่าการจับคู่ให้ตรงแบบแผนช่วยเพิ่มทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (SDL) ซึ่ง
การค้นพบเชิงประจักษ์น้ียังช้ีให้เห็นว่าหลักสูตรที่ออกแบบมาเพื่อเพ่ิมความพร้อมของนักเรียนก็
สามารถทาไดเ้ ช่นกนั ”

นักวิจยั ไดย้ ้าว่าการขาดความพร้อมในการเรยี นรู้แบบชี้นาตนเองในรายวิชาในชั้นปีทสี่ ูงขึ้น
น้ัน แสดงใหเ้ หน็ วา่ จาเป็นต้องทาการพฒั นาทักษะเหลา่ นี้แตเ่ นน่ิ ๆ ในหลักสูตร และจากน้ันให้โอกาส
มากข้นึ สาหรับการเรยี นรูแ้ บบชีน้ าตนเองตลอดหลกั สูตร

ข้อมูลอ้างอิง: Dynan, L.; Cate, T.; และ Rhee, K. (2008) ผลกระทบของแบบแผนการ
เรียนรู้ที่มีต่อความพร้อมของนักเรียนในการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง วารสารการศึกษาเพื่อธุรกิจ,
พฤศจิกายน, ธันวาคม, 96-100

63

Cobb (2019) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ว่า แม้ว่าการ
เรียนรู้ตลอดชีวิตและการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองจะเทียบเคียงกันไม่ได้ แต่ก็ถือว่าทับซ้อนกันอย่าง
มาก ประเด็นต่อไปน้ีสามารถอธิบายท้ังสองส่ิงได้เท่า ๆ กัน โดยผู้ท่ีเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นผลสาเร็จ
จะต้องมีการพัฒนาทกั ษะต่อไปน้ี

1. คิดริเริ่ม (Takes Initiative) การทาเป็นคนแรกนับเป็นแก่นของแนวคิดท้ังหมดของ
“การชี้นาตนเอง” ผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองเปน็ ผลสาเร็จไม่รอให้คนอืน่ พูดว่า “คุณต้องเรยี นรู้ส่ิงน้ี” แต่จะ
มแี รงจูงใจจากภายในตอ่ การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง

2. สบายใจกับความเป็นอิสระ (Is Comfortable with Independence) ผู้เรียนท่ีช้ีนา
ตนเองไม่ได้พ่ึงตัวเองหรือเป็นอิสระเสมอไป แน่นอนว่าพวกเขาย่ิงต้องสร้างเครือข่ายเพือ่ เรียนรู้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนท่ีช้นี าตนเองเปน็ ผลสาเร็จจะรวู้ ่าจะเช่ือมนั่ ตนเองได้อย่างไร

3. หมั่นเรียนรู้ด้วยตนเอง (Is Persistent) เช่นเดียวกับการเรียนรู้ทุกอย่าง ต้องใช้เวลา
ต้องทาซ้า ๆ ต้องฝึกฝน ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จจะยึดตดิ กับสิง่ เหลา่ น้ี

4. ยอมรับหน้าท่ีท่ีรับผิดชอบ (Accepts Responsibility) ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเป็น
ผลสาเรจ็ น้นั จะนาความรับผิดชอบมาใชใ้ นการทางานเพื่อการเรยี นรแู้ ละทาได้เป็นอยา่ งดี

5. มองปัญหาว่าเป็นความท้าทาย ไม่ใช่อุปสรรค (Views Problems as Challenges,
Not Obstacles) ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จจะใช้วิธีคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) และ
ไมถ่ กู ขดั ขวางไดง้ า่ ยเมอื่ เกิดความยากลาบาก

6. มีวินัยในตนเอง (Is Capable of Self-Discipline) แม้ว่าการเรียนรู้จะสนุก (ผู้เรียนที่
ชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จมักเป็นเช่นนี้) แต่ก็ต้องมีวินัยด้วย ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองรู้ (หรือเรียนรู้) วิธี
พฒั นาและรักษาวินยั ท่ีจาเปน็ สาหรับการเรียนรดู้ ้วยตนเอง

7. มีความสงสัยใคร่รู้ในระดับสูง (Has a High Degree of Curiosity Has a High
Degree of Curiosity) ผ้เู รียนที่ช้ีนาตนเองเป็นผลสาเร็จมีแนวโน้มสูงในการถามว่าทาไม และคาถาม
อ่ืน ๆ อีกมากมาย

8. มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าท่ีจะเรียนรู้หรือเปล่ียนแปลง (Has a strong desire to
learn or change) ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จนั้นมีแรงจูงใจจากภายใน มีความตั้งใจที่จะ
เรยี นรู้และมองว่าการเรียนรเู้ ป็นเสน้ ทางท่ดี ีเพือ่ ก้าวไปข้างหนา้

9. มีความม่ันใจในตนเอง (Is Self-Confident) ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จมี
ความรู้สึกม่ันคงในเรื่อง “การรับรู้ความสามารถของตนเอง” ซ่ึงเป็นความเชื่อที่ว่าคน ๆ หน่ึงมี
ความสามารถในการลงมือทาด้วยวิธีใดวธิ ีหนง่ึ เพ่ือใหบ้ รรลุเปา้ หมายนัน้

10. สามารถใชท้ ักษะพ้ืนฐานในการศึกษา (Is Able to Use Basic Study Skills) อย่างท่ี
ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทักษะอย่างเช่นการจดบันทึกอย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีประโยชน์ต ลอด
ชีวติ ผู้เรยี นที่ชน้ี าตนเองจะรู้เรอ่ื งนี้

11. จัดการเวลา (Organizes His or Her Time) แม้การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองไม่
จาเป็นต้องใช้ความอยากจะทาให้ได้เยอะ ๆ ที่ดูเหมือนว่าข้อมูลต่าง ๆ มากมายจะหาได้ทุกท่ีบน
อนิ เทอร์เน็ต ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผู้เรียนที่ชีน้ าตนเองเป็นผลสาเรจ็ จะรู้วิธีการสรรหาและจัดการเวลาได้
อย่างมีประสิทธผิ ลเพ่ือใชใ้ นการเรียนรู้

64

12. เลือกจังหวะท่ีเหมาะสมสาหรับการเรียนรู้ (Sets an Appropriate Pace for
Learning) ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเป็นผลสาเร็จตระหนักดีว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการ
มากพอ ๆ กับ (ถ้าไม่ใช่ “มากกว่า”) ผลลัพธ์ และจะไมพ่ ยายามรบี ทาจนเกนิ ไป

13. พัฒนาแผนเพ่ือทางานให้เสร็จ (Develops a Plan For Completing Work) การ
วางแผนเป็นส่วนหนึ่งของการกาหนดจังหวะและในที่สุดก็จะไปถึงปลายทาง ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองเป็น
ผลสาเรจ็ จะตระหนกั วา่ การวางแผนเปน็ องคป์ ระกอบสาคัญของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง

4. มีแนวโน้มท่ีจะมุ่งเน้นเป้าหมาย (Has a Tendency to be Goal-Oriented) แม้ไม่ใช่
ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองทุกคนที่จะตั้งเป้าหมายอย่างตั้งใจ แต่กระนั้นก็ตาม พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะมี
คาตอบในใจ ในตอนทเ่ี ริม่ เส้นทางการเรยี นรนู้ ้ัน

15. สนุกกบั การเรียนรู้ (Enjoys Learning) สรุปเป็นสุภาษติ ได้วา่ ผ้เู รยี นทช่ี ้นี าตนเองเป็น
ผลสาเร็จนน้ั กแ็ คช่ อบที่จะเรียนรู้

Dickinson (2018) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองว่า ผู้เรียนท่ี
ชน้ี าตนเองทเี่ ก่งท่สี ดุ มลี กั ษณะนิสัย 7 ประการ

Bill Gates, Mark Zuckerberg และ Ellen DeGeneres ต่างก็ลาออกจากวิทยาลัย แต่
พวกเขากลายเปน็ ผนู้ าในสาขาของพวกเขา ความลับของพวกเขาน่ะหรือ? การเรยี นรู้แบบชน้ี าตนเอง

การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองสามารถช่วยให้เพ่ิมพูนความรู้ เกิดทักษะใหม่ ๆ และพัฒนา
การศกึ ษาแนวเสรีของแต่ละคน

การทาตามลักษณะนิสัยอย่างเช่น กฎ 5 ช่ัวโมง กฎ 80/20 และเป้าหมายแบบ SMART
ของเบนจามิน แฟรงคลิน สามารถช่วยใหผ้ ู้เรียนทช่ี ้ีนาตนเองประสบความสาเร็จในสิ่งที่กาลงั ไขว่ควา้

ผู้คนต่างหลงใหลในเรื่องราวของบุคคลที่ละท้ิงการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่ยังคงกลายเป็น
ยักษ์ใหญ่ในวงการของพวกเขา เชน่ Bill Gates, Ellen DeGeneres, Anna Wintour, Henry Ford,
John D. Rockefeller ซึ่งต่างก็เรยี นไม่จบมหาวิทยาลัย แต่พวกเขามีชื่อเสยี งและประสบความสาเร็จ
ในระดับที่นอ้ ยคนจะทาได้ พวกเขาทาสงิ่ นี้ได้อย่างไร? กเ็ พราะพวกเขาเปน็ ผู้เรียนทชี่ ้ีนาตนเอง

ทุกวันนี้การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองเป็นส่ิงท่ีน่าสนใจน้อยลงในเชิงวัฒนธรรม แต่มีความ
จาเป็นทางเศรษฐกิจมากข้ึน ความรู้ใหม่สะสมอย่างรวดเร็วและอุตสาหกรรมเปล่ียนไปอย่างเร่งด่วน
ซึ่งเส้นทางการศึกษาแบบดั้งเดิมไม่สามารถก้าวทันได้ ถ้าคุณไม่ชานาญในเรื่องเคร่ืองป้ันดินเผาของ
กรีกโบราณ ประกาศนียบัตรของคุณ (ในสาขาอนื่ ๆ สาขาท่วั ๆ ไป) จะล้าสมัยกอ่ นท่ีหมึกจะแห้งด้วย
ซ้า (ถึงอย่างน้ันคุณก็ยังไม่รู้เลยว่าการค้นพบ Pompeii จะทาให้ความรู้เกี่ยวกับเคร่ืองปั้นดินเผา
เปล่ียนไป)

ต้องการความช่วยเหลือในการฝึกฝนหรือไม่? ต่อไปน้ีจะนาเสนอนิสัย 7 ประการที่แบ่งปัน
โดยผู้เรยี นทีช่ ี้นาตนเองได้ดีทีส่ ดุ

1. เป็นเจ้าของการเรียนรู้ของคุณ (Take Ownership of Your Learning) Malcolm
Knowles เป็นนักการศึกษาและผู้ท่ีสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (รู้จักกันในช่ือ andragogy) เขา
อธบิ ายการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองวา่ เป็นกระบวนการ “ทแ่ี ตล่ ะคนจะทาการรเิ ริ่ม โดยมีหรือไม่มีความ
ช่วยเหลือจากผู้อ่ืน ในการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้
ระบุทรัพยากรมนุษย์และเนื้อหาสาหรับการเรียนรู้ เลือกและนากลยุทธ์การเรียนรู้ท่ีเหมาะสมไปใช้

65

และประเมินผลการเรียนรู้" ลักษณะนิสัยที่จะพูดถึงต่อไปน้ี ครอบคลุมประเด็นท้ังหมดข้างต้น แต่
ขั้นตอนแรกมกั จะเรมิ่ ทกี่ ารใช้ความคดิ รเิ ร่ิม

ดังท่ี Salman Khan ผู้ก่อตั้ง Khan Academy ได้กล่าวกับ BigThink.com เอาไว้ว่า น่ี
ไม่ได้แตกต่างจากการเรยี นระดับมัธยมหรือวิทยาลัยมากนัก “มีภาพมายาเช่นน้ีที่ถูกสร้างข้ึนในระบบ
การศึกษาแบบดั้งเดิมที่ซึ่งมีคนสอนภาพเหล่าน้ีให้กับเรา” Khan กล่าว “จริง ๆ แล้วพวกเขากาลัง
สร้างบริบททีเ่ ราตอ้ งดึงขอ้ มลู น้ันมาและเปน็ เจา้ ของเอง”

สง่ิ ทแ่ี ตกต่างก็คือผู้เรียนที่ช้นี าตนเองต้องสร้างบริบทน้ันสาหรับตนเอง ซ่งึ พวกเขาทาเช่นนี้
ได้โดยการมีส่วนรว่ มในการเรียนรผู้ ่านวิธีคิดแบบเติบโต (growth mindset) การศึกษาแบบด้ังเดิมทา
ให้นักเรียนมีวิธีคิดแบบตายตัว (fixed mindset) (เช่นนักเรียนมีความสามารถพิเศษในเรื่องใดเร่ือง
หนึ่งหรือไม่ แล้วผลการเรียนของพวกเขาก็จะสะท้อนส่ิงน้ันเอง) ในทางตรงกันข้าม นักเรียนท่ีมีวิธีคิด
แบบเตบิ โตจะรูว้ ่าการปรบั ปรุงสามารถเปน็ ไปได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เร่ืองงา่ ย

2. ตั้งเป้าหมายแบบ SMART (Set SMART Goals) เม่ือคุณมีความคิดริเริ่ม คุณจะต้อง
กาหนดเป้าหมาย มิฉะนั้นผลที่จะได้ที่เป็นรางวัลก็ยังคงไม่ชัดเจนและไม่สามารถเข้าถึงได้ ซ่ึงรางวัล
เป็นส่ิงจาเป็นหากคุณอยากคงแรงจูงใจไว้ ผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองเก่ง ๆ จะรู้ว่าต้องตั้งเป้าหมายแบบ
SMART ซ่ึงเป็นตัวย่อของ Specific (เจาะจง) Measurable (วัดได้) Action-oriented (เน้นลงมือ)
Realistic (เปน็ จรงิ ได้) และ Time-defined (กาหนดเวลา) ซ่งึ เปา้ หมายใด ๆ ทค่ี ุณกาหนดควรเป็นไป
ตามเกณฑเ์ หล่านี้ ให้ความสาคญั เป็นพิเศษกับการจัดการเวลาที่สามารถทาไดจ้ ริง การเรียนรู้แบบชน้ี า
ตนเองโดยท่ัวไปจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาทองไม่กี่ช่ัวโมงตอนท่ีไม่ได้เร่งรีบ การสอนตัวเองให้เขียน
โปรแกรมเป็นสิ่งที่ดี การเขียนโปรแกรมวิดีโอเกมให้เสร็จภายในหนึ่งปีน้ันนับเป็นงานท่ีค่อนข้าง
หนัก จงแบง่ ให้เป็นสว่ นยอ่ ย ๆ และให้เวลากับตัวเอง

หากคุณยังงง ๆ อยู่ ให้ดูส่ิงตรงข้ามกับเป้าหมายแบบ SMART น่ันคือ เป้าหมายแบบ
VAPID ซ่ึงย่อมาจาก Vague (ไม่ชัดเจน) Amorphous (ไร้จุดหมาย) Pie-in-the-sky (ฝันลม ๆ
แล้ง ๆ) Irrelevant (นอกเรอ่ื ง) และ Delayed (ชกั ช้า) จงอย่าเปน็ ผเู้ รียนแบบ VAPID

3. กฎ 5 ชั่วโมงของเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin's Five-Hour Rule) เบน
จามิน แฟรงคลินเป็นนักเขียน รัฐบุรุษ นักประดิษฐ์ และผู้ประกอบการ นอกจากนี้เขายังออกจาก
โรงเรียนเมื่อเขาอายุ 10 ขวบ เขาสะสมความรู้ท่ีจาเป็นต่อการประสบความสาเร็จในธุรกิจการค้า
จานวนมากด้วยการศึกษาเพยี งเล็กนอ้ ยอยา่ งไร? เขาจัดสรรเวลาหนึ่งช่ัวโมงทกุ วันจันทร์ถึงวันศุกรเ์ พื่อ
เรียนรู้อย่างตั้งใจ เขาจะอ่าน เขียน ไตร่ตรองหรอื วางแผนการทดลองในช่วงเวลาน้ัน

นักเขียนอย่าง Michael Simmons เรียกส่ิงน้ีว่า กฎห้าชั่วโมงของแฟรงคิน และเขาต้ัง
ขอ้ สงั เกตวา่ ผ้เู รียนท่ีชี้นาตนเองเก่ง ๆ หลายคนกใ็ ช้รูปแบบของวิธีการบางอย่าง เช่น Bill Gates อา่ น
หนังสอื ประมาณสัปดาห์ละเลม่ ในขณะที่ Arthur Blank อา่ นวนั ละสองชว่ั โมง

ให้แน่ใจว่าคุณได้ใช้ห้าช่ัวโมงตลอดทั้งสัปดาห์ สมองของคุณไม่ได้ออกแบบมาสาหรับการ
กวดวิชาและพยายามบีบการเรียนรู้หน่ึงสัปดาห์เป็นหน่ึงวัน เพราะน่ันจะทาให้คุณลืมเน้ือหามากมาย
เหล่านั้น นอกจากนี้ โครงข่ายประสาทของสมองของเราต้องใช้เวลาประมวลผลข้อมูล ดังนั้นการเว้น
ระยะการเรยี นร้ขู องเราจะช่วยให้เราจดจาเนอ้ื หาท่ียากไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพมากข้นึ

66

4. การเรียนรู้แบบลงมือ ปฏิบัติ (Active Learning) Salman Khan ก่อต้ัง Khan
Academy เพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมโดยใช้แบบฝึกหัดท่ีพวกเขาสามารถทาได้เอง เขากล่าวว่าการ
เรียนร้แู บบลงมือปฏิบัตนิ ช้ี ว่ ยใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจเนอื้ หาและรวู้ ่าควรใชท้ ักษะใด

เปน็ เรอ่ื งง่ายที่จะมีส่วนรว่ มอย่างกะตือรือร้นกับการทาสวนหรือคณิตศาสตร์ปญั หา แตห่ าก
เป็นวิชาอ่ืน ๆ จะทาอย่างไร เช่น วิชาประวัติศาสตร์ ซ่ึงการมีส่วนร่วมส่วนใหญ่มาจากการอ่าน
หนงั สือ แต่ Bill Gates มที างออกในเร่ืองนี้ เขาใช้หมายเหตุ (marginalia) ซง่ึ เป็นการจดบันทกึ ไวต้ รง
ขอบหนังสอื เพือ่ เปลย่ี นการอา่ นเป็นการสนทนาทมี่ ชี ีวิตชีวากบั ผู้เขยี น

"ขณะที่อ่านคุณต้องแน่ใจว่าคุณกาลังตั้งใจจดจ่อ" Gates กล่าวกับ Quartz “โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงถ้ามันเป็นหนังสือท่ีไม่ใช่นิยาย คุณกาลังนาความรู้ใหม่รวมเข้ากับความรู้ที่คุณมี สาหรับผม
แลว้ การจดบันทึกช่วยใหแ้ น่ใจวา่ ผมกาลงั ขบคดิ จริงจังเก่ยี วกับสิง่ ทอ่ี ยู่ในนัน้ ”

5. จดั ลาดับความสาคญั (กฎ 80/20) (Prioritize (the 80/20 Rule) ในช่วงต้นศตวรรษท่ี
20 นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี Vilfredo Pareto พบว่า 20% ของประชากรอิตาลีครอบครองท่ีดิน
80% ของประเทศ หลังจากน้ันส่ิงที่เขาวิเคราะห์ได้ต่อยอดไปเป็นหลักการ Pareto (หรือท่ีรู้จักในชื่อ
กฎ 80/20) กฎนีร้ ะบุอย่างกว้าง ๆ วา่ 80% ของผลลัพธ์ของคณุ จะเกิดจาก 20% ของการกระทาของ
คณุ

ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเก่ง ๆ ใช้กฎนี้เพื่อจัดลาดับความสาคัญเวลาเรียน พวกเขามุ่งเน้นไปท่ี
20% ของการกระทาทใ่ี ห้ผลลัพธท์ ่ีดีที่สดุ หากใครตอ้ งการเรียนรู้ทจี่ ะถกั โครเชต์ กไ็ ม่จาเป็นต้องเขา้ ใจ
ประวัติศาสตร์ของสิ่งทอด้ังเดิมเพ่ือท่ีจะถักโครเชต์ให้ได้ (น่าสนใจเท่าที่ควรจะเป็น) พวกเขาต้องอุทิศ
เวลาการเรยี นรู้ใหก้ ับการลงมอื ทาโดยตรง แลว้ กแ็ ค่เจียดเวลาเพื่อพฒั นาเทคนคิ การถกั

6. เข้าห้องสมุด (Visit the Library) ส่ิงน้ีอาจใช้ไม่ได้กับผู้เรียนท่ีใช้วิธีเช่นเดียวกับ Bill
Gates แต่สาหรับพวกเราส่วนใหญ่ ข้อจากัดทางการเงินอาจรบกวนความสามารถของเราในการเพ่ิม
เสบียงใหม่ ๆ ดังนั้น จงเข้าห้องสมุด ห้องสมุดเพื่อการวิจัยดี ๆ มีหนังสือเกือบทุกวิชา สามารถเข้าถึง
โฮสต์ของแหล่งข้อมูลออนไลน์ และสามารถเช่ือมต่อคุณกับผู้เชี่ยวชาญหรือกลุ่มที่มีความสนใจ
เดยี วกนั

แม้นกั เขียนอย่าง Ray Bradbury ไม่สามารถจา่ ยเพ่ือเขา้ เรียนท่ีมหาวิทยาลัยได้ แต่เขาเข้า
ห้องสมุดท้องถ่ินสามครั้งต่อสัปดาห์ เขาทาเช่นน้ันจนกลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่โด่งดังที่สุดใน
ศตวรรษที่ 21

“มหาวิทยาลัยให้การศึกษาคุณไม่ได้ ห้องสมุดให้การศึกษาคุณได้” Ray Bradbury กล่าว
"คุณเขา้ หอ้ งสมุดเพอ่ื ค้นหาตัวเอง คณุ ดึงหนงั สอื เหล่าน้ันออกมาจากช้นั วาง คุณเปิดหนงั สือ แล้วกเ็ ห็น
ตวั เองอยใู่ นนัน้ และคุณก็จะพดู วา่ “ไมอ่ ยากเชือ่ เลย ฉันอยนู่ ่ีเอง”

7. ใช้แรงจูงใจของคุณเอง (Employ Your Own Motivation) เส้นทางการศึกษาแบบ
ดั้งเดิมให้แรงบันดาลใจท่ีชัดเจนมาก ได้เกรดที่ดีเพื่อให้ได้งานท่ีดี การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองนั้นไม่มี
แรงจงู ใจทีช่ ัดเจน ดังนัน้ คณุ ต้องสรา้ งดว้ ยตัวคณุ เอง

Mark Cuban เป็นนักธุรกิจท่ีผลักดันให้ผู้คนไม่หยุดที่จะเรียนรู้ มหาเศรษฐีวัยใกล้ 60 ปี
กาลังสอนตัวเองให้ใช้รหัสใน Python (ภาษาในการเขียนโปรแกรม) เหตุผลของเขาคืออะไร? เขาเชื่อ

67

วา่ เศรษฐีลา้ นล้านคนแรกของโลกจะสรา้ งทรพั ยส์ มบัตดิ ้วยปญั ญาประดษิ ฐ์ และเขาไมต่ ้องการถกู ทงิ้ ไว้
ขา้ งหลงั

“ไม่ว่าคุณกาลังเรียนอะไรอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณไม่เริ่มท่ีจะกระตุ้นการเรียนรู้ในเร่ือง deep
learning (ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบการทางานของระบบโครงขา่ ยประสาท) หรอื โครงข่าย
ประสาท (neural networks) ฯลฯ คุณก็จะเสียโอกาส” Cuban กล่าวกับ CNBC “ย่ิงฉันเข้าใจมาก
เทา่ ใด ก็ย่ิงตน่ื เต้นมากเทา่ น้ัน”

แน่นอนว่าแรงจูงใจของคุณไม่จาเป็นต้องเป็นการมองหาธุรกิจร่วมทุนนับล้านดอลลาร์ที่
ไหน แตส่ ามารถเป็นเรื่องง่าย ๆ พอ ๆ กบั การใชก้ ารศกึ ษาแนวเสรใี หม้ ากขน้ึ เพ่ือพฒั นาตนเอง เรียนรู้
ทกั ษะใหม่เพื่อความกา้ วหน้าในสาขาของคุณ หรือเพียงแค่อ่านหนงั สือเพ่ือสนทนาแบ่งปันกับผอู้ ื่น ไม่
ว่าในกรณีใด แรงจงู ใจจาเปน็ ต้องมาจากคณุ

ในเว็บไซต์ของ Professional Learning Board (2019) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะ
การเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง ว่า ความรับผิดชอบของครูต่อนักเรียนไม่จากัดเพียงการช่วยเพิ่ม
ความสามารถทางวิชาการ แต่ครอบคลุมไปถึงการเตรียมความพร้อมนักเรียนในด้านศึกษาต่อและ
อาชีพ ครูต้องช่วยนักเรียนพัฒนาความรู้และทักษะท่ีนาไปสู่ความสาเร็จในโลกแห่งความจริง ซึ่ง
รวมถึงการพัฒนาการส่ือสารที่มีประสิทธิผล การทางานร่วมกัน และทักษะการจัดการโครงงาน และ
สนับสนนุ ใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรียนร้แู บบช้ีนาตนเอง

การเรียนรู้แบบชนี้ าตนเองคอื อะไร (What is Self-Directed Learning?)
การเรียนรู้แบบชีน้ าตนเอง (SDL) เป็นกระบวนการเรียนรแู้ บบลงมือปฏิบตั ิ ซ่ึงนักเรยี นใช้
ความคิดรเิ ริ่มในการ
1. ระบคุ วามต้องการการเรียนรู้ ส่ิงทเี่ ป็นจุดแขง็ และจดุ ออ่ น
2. กาหนดเป้าหมายการเรยี นรู้
3. คน้ หาแหลง่ ข้อมลู และใชเ้ ครอื่ งมือ กลยุทธ์ และเทคนิคทีเ่ หมาะสมเพื่อชว่ ยในการ
เรียนรู้
 วิเคราะห์อย่างมีวจิ ารณญาณ เสนอแนะและประเมินประสทิ ธิผลของกลยทุ ธแ์ ละการบรรลุ
เป้าหมาย
1. ความต้องการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (Need for Self-Directed Learning) เม่ือ
นักเรียนใช้การเรยี นรู้แบบชี้นาตนเอง กระบวนทศั น์การเรียนรจู้ ะเปลย่ี นจากวิธีการทค่ี รูเปน็ ศนู ยก์ ลาง
ใหเ้ ปน็ วิธีที่เนน้ นักเรียนเปน็ ศูนย์กลาง ซง่ึ ชว่ ยให้นกั เรียน

1.1 สนใจและอุทิศให้กระบวนการเรียนรมู้ ากข้ึน
1.2 รับผิดชอบและอธิบายได้ถึงการตัดสินใจและการกระทาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้
พฒั นาทักษะการแกป้ ญั หาและการตัดสนิ ใจและจดั การกับสถานการณด์ ว้ ยความมั่นใจ
1.3 ถา่ ยโอนและใช้ความรู้เชงิ ทฤษฎอี ยา่ งอสิ ระกับบรบิ ทการลงมอื ปฏบิ ัติ
1.4 เข้ารว่ มและมีส่วนรว่ มในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่านภายใตก้ ารแนะนา การเขียน
สะท้อนคิด และกลุ่มความสนใจ
เนอ่ื งจากมหาวทิ ยาลัยและองคก์ รสว่ นใหญ่มองหาทกั ษะเหล่านี้ในตัวนกั เรียนหรือพนักงาน
ของพวกเขา ดงั นน้ั นกั เรยี นตอ้ งไดร้ ับการกระตนุ้ ใหด้ าเนนิ การเรยี นรู้แบบช้ีนาตนเอง

68

2. กระตุ้นการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (Encouraging Self-Directed Learning) นักเรียน
สามารถเป็นผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองได้เม่ือพวกเขาแสดงให้เห็นสิ่งต่อไปน้ีเม่ืออยู่ในห้องเรียน ได้แก่ การมี
ส่วนร่วมอย่างแข็งขัน การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การเลือกอย่างอิสระ และการดาเนินการตาม
เส้นทางการเรียนรู้ ซึ่งต่อไปนี้คือแนวทางท่ีครูสามารถใช้ช้ีแนะนักเรียนให้ค้นพบเส้นทางการเรียนรู้
ด้วยตนเอง และช่วยให้พวกเขาเป็นเจ้าของกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ความตระหนักในตนเอง
ขั้นตอนแรกคือการช่วยใหน้ ักเรียนตระหนกั ถงึ สง่ิ ต่อไปน้ีของพวกเขาเอง

- นสิ ยั ในการเรียน
- ทัศนคติและพฤติกรรมการเรยี นรู้
- สิง่ ที่เปน็ จุดแข็งและจุดอ่อน
รูปแบบการเรียนท่ีนักเรียนจะแสดงออก แบ่งได้ 3 ประการ ไดแ้ ก:่
2.1 วิธีการผิวเผิน: ในวิธีการน้ีนักเรียนเพียงแค่เรียนรู้ให้ครบตามวัตถุประสงค์ของ
รายวชิ า พวกเขาพยายามจดจาและทาซ้าเนอ้ื หาโดยไมไ่ ด้ทาความเข้าใจใหล้ ึกซง้ึ
2.2 วิธีการเชิงกลยุทธ์ : นักเรียนจัดระเบียบและระบบให้กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของ
ตนเอง โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ได้เกรดสงู สุดเท่าท่เี ปน็ ไปได้
2.3 วิธีการเชิงลึก : ความหมายตามช่อื วธิ ี น่นั คือ นักเรียนจะทาความเข้าใจอย่างลึกซ้ึง
เก่ียวกับเน้ือหา สามารถนาความรู้ไปใช้กับบริบทที่ใช้งานได้จรงิ และอธิบายแนวคิดโดยใช้ตัวอย่างใหม่ ๆ
แทนท่ีจะเป็นตัวอย่างที่เป็นข้อความ นักเรียนที่เรียนแบบช้ีนาตนเองจะใช้วิธีการเชิงลึกน้ีเพื่อการ
เรียนรู้
การสรา้ งความตระหนักในตนเองชว่ ยให้นักเรียนประเมินรูปแบบการเรียนและความพร้อม
ในการเรียนรู้
3. สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) ครูสามารถรวมการเรียนรู้แบบ
ลงมือปฏิบัติที่หลากหลายเข้าด้วยกันตามความสนใจของนักเรียน เพื่อช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ผ่านการ
สังเกต การสารวจ การทดลอง และการคน้ พบ
4. พลังของการเลอื ก (Power of Choice) ใหอ้ สิ ระแก่นักเรียนในการเลือกสง่ิ ต่อไปนี้เอง
- กจิ กรรมการเรียนรู้
- วธิ ีการนาเสนอการเรยี นรู้
- เครอื่ งมอื และกลยทุ ธ์การเรยี นรู้
นอกจากการเพ่ิมภาระรับผิดชอบของนักเรียนในการเลือกของพวกเขาแล้ว ความสาเร็จ
ของกิจกรรมที่เลือกยังสามารถปลูกฝังให้นักเรียนมีความรู้สึกของความสาเร็จ ซ่ึงจะทาให้พวกเขา
พยายามตอ่ ไปในการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง
5. พัฒนาทักษะ (Develop Skills) จัดให้นักเรียนมีทักษะที่จาเป็น เช่น การสืบค้น
ทรัพยากร การตั้งเป้าหมายและทักษะการจัดการเวลาเพื่อช่วยนักเรียนวางแผนและจัดตารางการ
เรียนรู้ กระตุ้นให้นักเรียนสร้างแฟ้มสะสมผลงานและเขียนบันทึกต่อไป เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบ
กระบวนการเรยี นร้แู บบชี้นาตนเอง และเปน็ บันทึกความก้าวหน้าและความสาเร็จของพวกเขา
6. การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ (Critical Analysis) ครูต้องกระตุ้นให้นักเรียนวิจารณ์การ
ตัดสินใจและการกระทาของพวกเขาในการเรยี นรู้ สิง่ นจ้ี ะทาให้นักเรียนสามารถ

69

- กาหนดประสิทธผิ ลของกลยุทธ์และเทคนิคที่ใช้ในการเรียนรู้
- ระบคุ วามสมั พนั ธ์ของเหตุและผล ระหว่างการลงมือปฏบิ ตั กิ บั การเรียนรูท้ ี่พวกเขาได้
- พจิ ารณาแนวคดิ ทีแ่ ตกต่าง
ในเว็บไซต์ของ Wabisabi Learning (2018) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้
แบบชี้นาตนเอง วา่ การฝึกเรียนรู้แบบชี้นาตนเองน้ัน จริง ๆ แล้ว เราหมายถึงอะไร? ใครบ้างที่เคยได้
ยินว่า ผู้เรียนสอนตนเอง? ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มต้นด้วยการพิจารณาตัวอย่างชีวิตจริงสองสาม
ตัวอย่าง เช่น ในเกมกีฬาเมื่อผู้เล่นเล่นได้ไม่ดี เขาหรือเธอรู้ว่าต้องทายังไงในเวลาต่อจากน้ัน พวกเขา
กลับบ้านและฝึกฝนทักษะน้ันเพื่อผลลัพธ์ท่ีดีกว่าสาหรับเกมต่อไป ในทานองเดียวกันศิลปินและนัก
ดนตรกี จ็ ะใหท้ าการลับฝีมือของพวกเขาอยเู่ สมอและเลอื กว่าจะคงอะไรไว้และเอาอะไรออก
ดังน้ันเมื่อเรียนจบคุณหยุดเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ หรือไม่? ไม่แน่นอน และทาไมล่ะ? โดยพ้ืนฐาน
แล้วการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองน้ันเป็นเรื่องของการเติบโตอย่างมีสติและต่อเนื่อง มันเกี่ยวกับการเป็น
เจา้ ของการเรยี นรู้เพราะนั่นคอื สง่ิ ทีเ่ ราตอ้ งการให้นักเรียนทาจรงิ ๆ
การเรียนรูแ้ บบชี้นาตนเองคืออะไร ? ความหมายต่อไปนี้ของการเรียนรู้แบบชีน้ าตนเองมา
จาก University of Waterloo ซึง่ เปน็ การเน้น 4 ขน้ั ตอนสาคญั ของการเรยี นรอู้ ย่างอิสระ
- พรอ้ มทจ่ี ะเรยี นรู้
- กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้

- มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้

- ประเมนิ การเรยี นรู้

แนวคิดของการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองมีประโยชน์กับนักเรียนอย่างไร ? ถ้าเราจะระบุ
อุปสรรคในการเรียนรูต้ ลอดชีวิต เราจะรู้ว่ามันอยู่ที่วธิ ีคิด โดยพื้นฐานแล้วจะมีวิธีคิดที่ไม่สร้างสรรค์ 3
แบบที่ขดั ขวางการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง:

- แรงจงู ใจ ฉนั ไมม่ แี รงจูงใจในตัวเองมากพอ

- ความสามารถ ฉันไมฉ่ ลาด /ไม่เกง่ พอ

- ประเภท ฉันไม่ใชค่ นประเภทนน้ั

คณุ เห็นวิธีคดิ นป้ี รากฏข้นึ ในหอ้ งเรียนหรอื ไม่ ?
รื้อกาแพง
ก่อนอ่ืนมาเร่ิมกันที่ "แรงจูงใจตนเอง" กันก่อน ว่ากันว่าผู้คนไม่สามารถสร้างแรงจูงใจด้วย
ตนเองได้ ดังนั้นพวกเขาจะต้องได้รับแรงจูงใจบางอย่าง ตัวอย่างท่ีดีในเรื่องนี้ก็คือการทดลองของ
Edward Deci ในปี 1969
Deci แบ่งนักศึกษาเป็นสองกลุ่มเพื่อมีส่วนร่วมในการต่อจิ๊กซอว์แบบต่าง ๆ ในช่วง
ระยะเวลาหน่ึง สาหรับกลุ่มหนึ่งเขาไม่ได้สัญญาเรื่องเงินหรือกล่าวถึงการชดเชยหรือรางวัลใด ๆ
อย่างไรก็ตาม อกี กลมุ่ หนึง่ ได้รับเงินสาหรับการต่อจก๊ิ ซอว์ หลังจากนั้นก็จะมีการแจ้งกล่มุ ท่ีได้รบั เงนิ ว่า
พวกเขาจะไม่ได้รบั เงนิ อีกต่อไป
ผลการศึกษาพบว่ากล่มุ ทไี่ มไ่ ดร้ ับเงินจะต่อจิ๊กซอว์ได้มากกว่า และยังคงทาเชน่ น้นั หลงั จาก
วันที่สาม กล่าวอีกนัยหน่ึงพวกเขากาลังทาเพื่อความสุขและความพึงพอใจอย่างแท้จริง Deci สรุปว่า

70

การเรยี นรูจ้ ากภายในน้นั มีพลังมากกวา่ การเรียนรดู้ ้วยส่ิงกระต้นุ แมว้ ่ามันจะเปราะบางกว่ากต็ าม เมื่อ
คณุ ต้งั รางวัลให้ ค่าของมันก็จะลดลง

ในการศึกษาข้างต้น หลังจากได้รับแจ้งว่าพวกเขาจะไม่ได้รับเงิน ปริมาณของงานก็ลดลง
ทาไมถึงเป็นเช่นน้ัน ? Daniel Pink ผู้แต่ง Drive แนะนาว่ามีแรงจูงใจภายในท่ีแท้จริง 3 ประการ
สาหรบั การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง

- ความเป็นอสิ ระ (Autonomy) อสิ ระในการกาหนดเส้นทางของคุณ
- ความชานาญ (Mastery) โอกาสในการพฒั นาขีดความสามารถ
- วัตถปุ ระสงค์ (Purpose) เชอ่ื มต่อกับส่ิงท่ีดีกวา่
และนคี่ ือ Dan ใน TED Talks ที่ตรวจสอบผลลพั ธ์ของ Deci ข้างตน้ และพดู คยุ เกย่ี วกบั
วา่ แรงจงู ใจไม่ได้เพิ่มข้นึ ด้วยสิง่ กระตุน้ ภายนอกได้อย่างไร
ประเภทและพรสวรรค์
ตอนน้ีขอพูดถึงวิธีคิดที่ 2 (ฉันไม่ฉลาด / ไม่เก่งพอ) และวิธีคิดท่ี 3 (ฉันไม่ใช่คนประเภท
นั้น) การคิดเช่นน้ีเป็นการพยากรณ์ที่ย้าความเชื่อของตน (self-fulfilling prophecy) ซ่ึงเป็นสิ่งที่ทา
ร้ายตัวเอง หากเราเปลี่ยนคาพูดน้ีที่นักเรียนรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่มีความสามารถเพียงพอ ก็จะ
เป็นก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามขอทาความเข้าใจก่อนว่า การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองเป็น
การทางานหนัก
เราได้พูดคุยเกี่ยวกับแรงจูงใจภายในก่อนหน้านี้ว่าเป็นองค์ประกอบของการเรียนรู้แบบ
ช้นี าตนเอง และหากมองอีกด้านหนึ่ง มันก็คือ “การฝึกฝนท่ีมงุ่ มน่ั ” การฝึกเช่นนเ้ี ป็นงานหนักของการ
เรียนรู้แบบชี้นาตนเอง แม้ว่าสิ่งนี้อาจฟังดูไม่น่าดึงดูดใจ แต่ให้พิจารณาว่าการฝึกแบบมุ่งม่ันและ
รอบคอบนี้แสดงใหเ้ หน็ ว่าเป็นการสร้างแรงจูงใจภายในไมใ่ ช่การกาจัดมันออกไป แรงจูงใจภายในเป็น
อิสระ เป็นเร่ืองของความชานาญ และมีวัตถุประสงค์ ซ่ึงหากฝึกฝนโดยเข้มข้นแล้ว เราสามารถสร้าง
“ความเป็นเลิศใหเ้ ป็นนิสัย” ตามทอ่ี ริสโตเตลิ สอนไว้
เมื่อเราเรียกตัวเองว่า “ไม่ฉลาด ไม่เก่ง ไม่ใช่คนแบบน้ัน” ความนึกคิดและวิธีคิดของเราก็
จะหยุดชะงักเส้นทางของเราทันที ผู้เรียนที่ช้ีนาตนเองจะหลีกหนีจากถ้อยคาเหล่านี้โดยใช้วิธีคิดแบบ
เติบโต (growth mindset) ดังอธิบายรายละเอียดในหนังสือของ Carol Dweck ชื่อว่า Mindset:
The New Psychology for Success
สาระสาคัญของวิธีคิดแบบเติบโตก็คือ มันช่วยให้เราเช่ือว่าสติปัญญาของเราไม่ได้ถูก
กาหนดไว้ตายตัว วางตาแหน่งความล้มเหลวให้เป็นเพียงจุดเปล่ียนผ่าน และเราสามารถเปล่ียน
บคุ ลิกภาพของเราได้ คุณลองนกึ ดูสิหากนกั เรียนทกุ คนของคุณใช้วิธีคิดแบบน้ี
ขอย้าอีกคร้ังว่าการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองคือการทางานอย่างหนัก แต่การทางานอย่าง
หนักน้ันเติมเช้ือให้แรงบันดาลใจภายใน บ่อยครั้งท่ีอปุ สรรคในการอนุญาตให้นักเรียนกากับตนเองคือ
ความต้องการของเราในขณะท่ีครูควบคุมเส้นทางของนักเรยี นของเรา ต้องการเชน่ ไร? ผูท้ ่ีคิดเช่นนี้จะ
มองว่าเกรดสาคญั น้อยกว่าความรักในการเรียนรู้อย่างแทจ้ ริงและการได้มาซึ่งความรู้ ใช้ความคาดหวัง
ของเราและปลอ่ ยให้นกั เรยี นเบง่ บานในวธิ ที พ่ี วกเขาเทา่ นั้นทสี่ ามารถกาหนด
Nicora (2019) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง ว่าเป็นเร่ือง
ธรรมดาที่จะได้ยินนักวิชาการพูดว่านักเรียน “ถูกป้อน” ท่ีโรงเรียน และหลายคนเรียนจบทั้งที่ยังขาด

71

ทกั ษะท่ีพวกเขาต้องใช้สาหรับการศกึ ษาในระดบั ปริญญาตรี การเรียนรู้อิสระท่ีถูกชี้นาถือเป็นปติพจน์
(oxymoronic) ซึ่งบางครงั้ ก็ฟังดขู ัดแย้งกัน เพราะการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องให้เป็นจดุ สิ้นสุดของ
การพ่ึงพิงที่มากเกินไป เน่ืองจากนักเรียนได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาความเป็นอิสระทางวิชาการและการ
พงึ่ พาตนเอง อยา่ งนอ้ ยก็ในทางทฤษฎี

ความจรงิ ก็คือมักจะมีช่องว่างของทักษะระหว่างปีสดุ ท้ายของโรงเรียนมัธยมและปีแรกของ
มหาวิทยาลยั

เม่ือเราพิจารณาชั่วโมงเรียน (Contact Hours) ในระดับชั้น Sixth Form (เทียบได้กับ
มัธยมปลาย) ซ่ึงโดยทั่วไปก็จะถูกจัดให้ลงตัวกับภาคการศึกษาท่ีมีการให้การบ้านมากมาย พ้ืนที่การ
เรียนที่มีการกาหนดไว้ และคาแนะนาท่ีชัดเจนว่านักเรียนควรใช้เวลาของพวกเขาอย่างไร ซ่ึงบางทีก็
พอเข้าใจได้ นักเรียนหลายคนก้าวเข้าสู่ความท้าทายอย่างรวดเร็ว แต่สาหรับสาหรับบางคน การ
เปล่ียนผา่ นอาจเปน็ เร่ืองยาก

แทนท่ีจะคาดหวังความเป็นอิสระที่สมบูรณ์ตั้งแต่เร่ิมต้น สถานศึกษาบางแห่งทางานอย่าง
หนักเพ่ือช่วยเหลือนักศึกษาตลอดกระบวนการ โดยให้การเปลี่ยนแปลงท่ีเป็นขั้น ๆ พร้อมฐานความ
ช่วยเหลือในช่วงปีแรกนักเรียนจะได้รับการสนับสนุนคาแนะนา และทักษะการเรียนที่จาเป็นสาหรับ
การประสบความสาเรจ็ ในมหาวทิ ยาลยั ต่อไปนีค้ ือกลยุทธ์ 4 ประการท่มี ีประสทิ ธผิ ล:

1. ส่ือสารความคาดหวัง (Communicate Expectations) นักเรียนของเรามาพร้อมกับ
ประสบการณ์การเรียนรู้และความคิดที่ติดตัวมาท่ีหลากหลายเก่ียวกับการศึกษาในเชิงวิชาการ เช่น
นักศึกษาใหม่ท่ีมาจากโรงเรียนมัธยมปลายที่โดดเด่นที่มีชื่อเสียงในด้าน 'เรียนเข้มเกิน' ให้กับนักเรียน
คอื Ryan ซ่ึงประสบการณ์ของเขาจะเก่ียวกับการทบทวนบทเรียนแบบเข้มข้นและการมีส่วนร่วมของ
ผูป้ กครองอย่างใกล้ชิด ในขณะท่ีเพ่อื นร่วมช้ันของเขาอย่าง Rachel ได้ผ่านการเข้าเรยี นหลักสตู รของ
มหาวิทยาลัยในขณะที่ทางานเตม็ เวลา โดยผา่ นผู้ให้บรกิ ารการเรียนรแู้ บบทางไกล

แนวคิดในการสร้างส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อช่วยเหลือนักเรียนต่างชาติ ได้ทาให้นึกถึง
Independent Learning Report ข อ ง Higher Education Academy (HEA) ซึ่ งเตื อ น เร าว่ า
ทศั นคตทิ างวัฒนธรรมที่มีต่อมหาวิทยาลัยนั้นอาจแตกต่างจากที่เราคาดไว้ ในรายงานฉบับดังกล่าวได้
แนะว่าผู้สอนควรหาข้อมูลเก่ียวกับทัศนคติของนักศึกษาต่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ความ
คาดหวังจากผู้สอนของพวกเขา และวิธที พ่ี วกเขาตัง้ ใจทีท่ าให้การเรยี นรูข้ องตนเองงา่ ยขึ้น

ความคิดเช่นน้ีจะมีประโยชน์ในการสื่อสารความคาดหวังพื้นฐานบางประการต้ังแต่เริ่มต้น
เป็นการแจ้งให้นักเรียนทราบว่าจะหาทรัพยากรและเข้าถึงการสนับสนุนที่มีอยู่ได้ท่ีไหน ซ่ึงควรอย่าง
ยิ่งท่ีจะนากลับมาหารือกันอีกคร้ังในภายหลังในชั้นปีท่ีสาระสาคัญอาจตกหล่นไปเน่ืองจากความ
ต่ืนเต้นในเทอมแรก

2. ส่งเสริมระบบสนับสนุน (Promote Support Systems) การก้าวไปสกู่ ารเป็นอิสระไม่
จาเป็นต้องเหงาหรือโดดเด่ียวเมื่อมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีหลากหลายรูปแบบของการสนับสนุนทาง
วิชาการและโปรแกรมผู้ช่วยการเรียนรู้ มันมีประโยชน์สาหรับนักเรียนที่จะต้องมีการติดต่อภายใน
มหาวิทยาลัย เช่น ครูสอนพิเศษส่วนตัวหรืออาจารย์ที่ปรึกษาด้านวิชาการ เพ่ือชี้แนะพวกเขาใน
ทิศทางที่ถูกตอ้ ง ซ่ึงบางครงั้ ก็ง่ายพอ ๆ กับการทาให้การแนะนาบรกิ ารห้องสมุด หรือการอบรม “การ
จดบันทึกเบื้องต้น” นา่ สนใจข้นึ

72

มหาวิทยาลัยบางแห่งมีการเชิญผู้ปกครองและผู้ดแู ลใหเ้ ข้ารว่ มในกิจกรรมการเปลย่ี นผ่านสู่
มหาวิทยาลัย โดยเนน้ ความสาคัญของทกั ษะการเรยี นดว้ ยตนเองต้ังแตว่ นั แรกที่เข้าเรียน

3. ให้เข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้ท่ีมีคุณภาพสูงได้โดยง่าย (Provide Easy Access to
High Quality Learning Resources) Dr. Daniel Belton จาก University of Huddersfield ได้
อธิบายถึงวิธที ่เี ขาไดเ้ ตรยี มทรัพยากรการเรียนรู้แบบปฏิสมั พันธ์อยา่ งหลากหลายสาหรับนักศกึ ษาของ
เขา ซ่ึงประกอบไปด้วยบทเรียนออนไลน์ เครือ่ งมอื ประเมินระหว่างเรียนแบบให้คะแนนอัตโนมัติ การ
ตอบสนองรูปแบบต่าง ๆ และประสบการณ์การเรยี นรูแ้ บบอื่น ๆ ทเี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง

“ในฐานะครู เป็นความรบั ผิดชอบของฉันที่จะออกแบบประสบการณ์การเรยี นรู้แบบมีส่วน
ร่วมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองและท่ีลึกซ้ึง” Belton ซ่ึงเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอาวุโสของ HEA ได้
กล่าวไว้ “และมันเป็นกุญแจสาคัญสาหรับนักศึกษาในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากโอกาสการเรียนรู้ท่ี
พวกเขาม”ี

แน่นอนว่าทรัพยากรดิจิทัลท่ีมีอยู่ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเสมือน (VLE) ของ
สถาบัน หรอื พืน้ ที่เสมอื นอื่น ๆ มีแนวโน้มท่ีจะเข้าถงึ ได้ถ้ามีการนาเสนอไดน้ ่าสนใจ ข้อมูลเปน็ ปัจจบุ ัน
และมีการจัดระเบียบท่ีดี เช่นเดียวกับส่ิงอานวยความสะดวกในห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ควรสะอาด
สะดวกสบายและดงึ ดดู ใจ พ้นื ท่ีการเรียนรูอ้ อนไลนค์ วรเป็นสถานท่ีทน่ี ักศกึ ษาอยากใช้เวลาไปกับมัน

เพื่อช่วยให้นักศึกษาเข้าถึงการเรียนรู้ได้จากทุกที่ในเวลาท่ีตัวเองสะดวก มหาวิทยาลัยบาง
แห่งจึงให้มีการเข้าใช้งานหนังสือเรียนดิจิทัล Kortext ได้ โดยนักศึกษาท่ีใช้ Kortext ไม่จาเป็นต้อง
กังวลเก่ียวกับการแบกตาราเรียนหนัก ๆ กลับบ้านเพ่ือไปอ่านในช่วงวันหยุด หรือการเดินทางไป
ห้องสมุดตอนดึก ๆ เพื่อค้นหาวารสารสักเล่ม แต่พวกเขาสามารถเข้าถึงตาราจากโซฟาของบ้านเพ่ือน
หรอื บนรถบสั ขณะไปทางานพารต์ ไทม์

4. เพิ่มโอกาสในการประเมินตนเอง (Develop Opportunities for Self-Assessment)
โปรแกรมท่ีได้รับการออกแบบอย่างมีประสิทธิภาพมากท่ีสุดมักจะมีโอกาสบ่อยครั้งสาหรับการ
ประเมินตนเองด้วยวิธีทกี่ ระตุ้นให้ผู้เรียนประเมนิ ความก้าวหน้าและพิจารณาว่าพวกเขาจะเข้าใกล้การ
เรียนรู้ทีจ่ ะเกดิ ขนึ้ ได้อยา่ งไร

“หน่ึงในวิธีที่ฉันใช้ดึงนักศึกษาเข้าสู่การเรียนรู้ด้วยตนเองนอกห้องเรียนคือการมอบหมาย
การอ่านแบบเสริมตอ่ การเรียนรู้อยา่ งตั้งใจ” Belton อธบิ าย “นักศึกษาได้รับคาส่งั ให้อ่านหน้าเฉพาะ
ของหนังสือแล้วให้จดบันทึกรายละเอียดท่ีสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การเรียนรู้แต่ละข้อ เม่ือเสร็จแล้ว
บันทึกนนั้ จะถูกอัปโหลดและแบบทดสอบการอา่ นจะถกู ปลดล็อคเพ่ือให้นักศึกษาลงมือทา”

กลยุทธ์อ่ืน ๆ ที่กล่าวถึงท่ัว ๆ ไป ในรายงานท่ีตีพิมพ์ร่วมกันของ HEA และ QAA นี้
ประกอบไปด้วย บันทึกการเรียนรู้สาหรับนักเรียนในการบันทึกความคิดเกี่ยวกับการอ่าน คาถาม
สะท้อนคิดที่ให้ไว้ในตอนทา้ ยของการบรรยายหรือโมดูล บันทึกประจาวันในรปู ดิจิทัล แผนการเรียนรู้
สว่ นบุคคล และแฟม้ สะสมผลงานอเิ ลก็ ทรอนิกส์

เส้นทางสู่ความเป็นอิสระทางวชิ าการมักจะไม่ราบเรียบ แตด่ ้วยการทางานหนักและโอกาส
ท่ีเหมาะสม นักศึกษาส่วนใหญ่สามารถพัฒนาการพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เสริมทักษะอภิปัญญา และ
ความร้สู ึกม่นั ใจทางวิชาการไปตลอดชวี ิต

73

Ark (2016) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง ว่า “ฉันพบวัยรุ่นที่
ช้ีนาตนเองได้จานวนไม่มากนัก” ครูโรงเรียนมัธยมผู้ท้อแท้ท่านหน่ึงได้กล่าวในระหว่างการนาเสนอ
เมอ่ื เร็ว ๆ น้ี

เมื่อเราพิจารณาปัญหาใหญ่หลวงของการไม่มีส่วนร่วมของวัยรุ่นและการช้ีนาตนเองใน
ระดับต่า เราตอ้ งตง้ั คาถามวา่ “นั่นเปน็ เพราะเด็ก ๆ หรอื เป็นเพราะโรงเรยี นกันแน?่ ”

เราได้เห็นโรงเรียนที่เน้นการมีส่วนร่วมสูงในจานวนมากพอซ่ึงวัยรุ่นส่วนใหญ่เป็นผู้เรียน
แบบชน้ี าตนเอง จึงทาให้ทราบว่าอาจเป็นการออกแบบโรงเรยี นมัธยมของอเมรกิ าทีเ่ ปน็ ปัญหา ไม่ใช่
เดก็ ๆ

เป็นเวลากว่าศตวรรษแล้วที่การออกแบบเบื้องต้นของโรงเรียนอเมริกันเป็นการใช้บริการ
แบบยอมทาตาม

นักเรียนอ่าน ฝึก และทาซ้าออกมาภายในชั้นเรียนท่ีเงียบในสภาพแวดล้อมที่มีระเบียบ
เคร่งครัด จึงไม่เป็นท่ีน่าแปลกใจที่การช้ีนาตนเองในระดับต่าจะปรากฏอยู่ในการออกแบบโรงเรียน
มธั ยมแบบดงั้ เดมิ

โรงเรียนที่เน้นการมีส่วนร่วมสูงจะเร่ิมต้นจากแนวคิดท่ีแตกต่าง นั่นคือการสร้างความรู้
ร่วมกันและการสร้างผลงานที่เน้นลงมือปฏิบัติ พวกเขาออกแบบประสบการณ์สาหรับผู้เรียนท่ี
แตกต่างกันมากและสนับสนุนด้วยวัฒนธรรมและโอกาสท่ีเน้นนักเรยี นเป็นศูนย์กลางเพ่ือปรับปรุงการ
ควบคุมตนเอง การคดิ รเิ ริ่ม และความต่อเนอ่ื ง ซ่งึ ท้ังหมดเป็นกุญแจไปส่กู ารเรียนรแู้ บบชน้ี าตนเอง

1. ทาไมการช้ีนาตนเองจึงเกิดผล (Why Does Self-Direction Matter) การเติบโตของ
การทางานอิสระและระบบเศรษฐกิจแบบอิสระ (gig-economy) ทาให้การชี้นาตนเองเป็นสิ่งจาเป็น
แต่ก็มีความสาคัญมากขึ้นในองค์กรเช่นกัน ซ่ึง David Rattray จาก LA Chamber กล่าวว่า
“พนกั งานจาเปน็ ต้องเปลี่ยนมุมมองของพวกเขาที่มีตอ่ นายจ้าง จากการทางานเพื่อคนอื่นไปสทู่ ัศนคติ
ของการทางานให้กับตวั เอง น่ันคอื หน้าท่ี วินัยในตนเอง ความคิดริเริ่ม และการรับความเส่ยี ง ซึ่งลว้ น
มคี วามสาคัญตอ่ งาน”

ผู้ใหญ่หลายคนกาลังทางานในบทบาทที่พวกเขาจาเป็นต้องมีอิสระแล ะจัดการเวลาของ
ตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งมักจะเป็นการทาในลักษณะชุดโครงการ นายจ้างต่างก็มองหา
ผู้สมัครงานที่สามารถระบุคาถามท่ีสร้างแรงขับด้วยตนเอง กาหนดทีมที่ต้องการเพ่ือช่วยตอบคาถาม
นน้ั สามารถทางานกับทีมน้ันได้อย่างมีประสิทธิผล ดาเนินการและจัดการโครงการโดยผ่านการทาซ้า
หลายคร้ังพร้อมคาติชมมากมาย จากนั้นสะท้อนและประเมินผลงานของพวกเขา ซึ่งนักเรียนควร
พฒั นาการช้นี าตนเองโดยการเรยี นรูใ้ นลักษณะเดียวกันน้ี

2. จะเร่ิมจากตรงไหน (Where to Start) สงสัยไหมว่าจะให้ความสาคัญกับการชี้นาตนเอง
อย่างไรดี? จัดให้มีการพูดคุยกันในกลุ่มเก่ียวกับส่ิงที่บัณฑิตควรรู้และสามารถทาได้ (หน้าท่ี) ซ่ึง
ความคิดริเร่ิมและการชี้นาตนเองจะอยู่ตาแหน่งจุดสูงสุดเสมอ การพูดคุยกันเฉพาะกลุ่มเช่นเดียวกับ
ใน El Paso ที่ Houston และ Marion ที่ Ohio ทาให้หน้าท่ีของนักเรียนและการชี้นาตนเอง
กลายเปน็ ผลลพั ธ์ที่มคี วามสาคัญ

74

หากคุณเป็นครูหรือผู้ปกครอง คุณสามารถถามคาถามดี ๆ แทนที่จะให้คาตอบง่าย ๆ นั่น
คือ คุณสามารถช่วยนักเรียนใช้รายการส่ิงท่ีต้องทา (To-Do List) ในการพัฒนาแผนการเรียนรู้ส่วน
บคุ คลและแฟม้ สะสมผลงานท่ีดที สี่ ุดของพวกเขา

หากคุณเป็นครูใหญ่ คุณสามารถจัดให้มีช่วงเวลาให้คาปรึกษาเพ่ือส่งเสริมการช้ีนาตนเอง
และทักษะความสาเร็จอ่ืน ๆ คุณสามารถจัดสรรเวลาในตารางเพื่อกิจกรรมที่ช้ีนาตนเองมาก
ขึ้น ตัวอย่างเช่น Singapore American School ได้เพ่ิมพ้ืนท่ีคุยงานพิเศษ ช่ัวโมงอัจฉริยะ และ
รายวชิ าการศกึ ษาอิสระเพอ่ื กระตุ้นใหน้ ักเรียนได้เขา้ ถึงการเรียนรู้แบบชน้ี าตนเอง

คุณสามารถทาสิ่งต่าง ๆ โดยอ้อมเพ่ือปรับปรุงการช้ีนาตนเองในระหว่างวิชาเรียน หรือใช้
เวลาเพียงเล็กน้อยจากตารางกาหนดการ แต่เราเชื่อจริง ๆ ว่าการพัฒนาผู้เรียนที่ชี้นาตนเองท่ีเป็น
วัตถุประสงค์หลักนั้นต้องใช้การอุทิศเวลาและเครื่องมือ วัฒนธรรมที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และ
วิธกี ารใหม่เพ่ือประสบการณ์ของผู้เรียน

3. ทักษะและเครื่องมือ (Skills & Tools) อย่าทึกทักว่านักเรียนได้เรียนรู้การควบคุม
ตนเอง การจัดการเวลา และการจดั การโครงการไปแล้ว สิ่งเหล่านตี้ อ้ งใช้การเรียนการสอน ฝึกฝนและ
สะทอ้ นผล นกั เรียนต้องการคาแนะนา การสนบั สนุน และการชน้ี าเพอื่ ช่วยในขณะทพ่ี วกเขาทางานใน
สภาพแวดล้อมท้ังในและนอกระบบ นักเรียนท่ี Redwood Heights Elementary School มักจะใช้
รายการตรวจสอบ 'สิ่งท่ีต้องทา' ท่ีพวกเขาได้รับการแนะนาผ่านงานท่ีพวกเขาต้องทา แล้วเลือก
กิจกรรมเพ่ิมเติมเมื่อพวกเขาทาเสร็จ พวกเขาเรียนรทู้ ี่จะจดั การเวลาด้วยตนเองและวธิ ีการสื่อสารเมื่อ
รูว้ า่ ตอ้ งการความชว่ ยเหลอื

ระบบให้คาปรึกษาที่เข้มแข็งจะสร้างจุดศูนย์รวมให้กับการสร้างทักษะทางอารมณ์และ
สงั คม จุดปฏสิ ัมพันธ์สาหรับการสนทนา และจุดรวมสาหรับแผนการเรียนรู้ส่วนบุคคลและแฟ้มสะสม
ผ ล ง า น โ ด ย Chris Lehmann หั ว ห น้ า ส ถ า บั น Philadelphia’s Science Leadership
Academy (SLA) เช่ือว่าความสมั พันธร์ ะหวา่ งครูกบั นักเรียนได้ขยายออกไปจากแค่ชว่ งเวลาที่ปรึกษา
กัน “จงคิดวา่ การใหค้ าปรกึ ษาเป็นจิตวญิ ญาณของโรงเรียนของคณุ และในทุกสิ่งที่คุณทาโปรดจาไวว้ ่า
ให้คุณสอนตัวนักเรียนก่อนที่จะสอนเนื้อหาวิชา การให้คาปรึกษาเป็นส่ิงท่ีอยู่ในตารางเวลาที่ความคิด
น้นั มีแกน่ แท้ของมันและจากนัน้ มันจะแพร่กระจายไปสู่ทุกส่ิงทเี่ ราทา” Lehmann กล่าว

โครงการยุวทูตนักเรียนเช่นเดียวกับที่โรงเรียนประถม Katherine Smith ก็ส่งเสริมอภิ
ปัญญาในส่ิงท่ีนักเรียนกาลังเรียนรู้ ด้วยการฝึกเพียงเล็กน้อยก็ทาให้นักเรียนท่ีนั่นมีการช้ีนาตนเองได้
ในกระบวนการพาแขกเยย่ี มชมรอบ ๆ โรงเรียน ชว่ งเวลาของการสะท้อนผลหลงั จากการเยี่ยมชมชว่ ย
ใหพ้ วกเขาสังเกตเห็นการเจรญิ เตบิ โตและเตรยี มทาให้ดยี งิ่ ขน้ึ ในคร้งั ต่อไป

4. วัฒนธรรม (Culture) วัฒนธรรมการปฏิบัติตาม เช่น ขออนุญาตออกนอกห้องเรียน
เรียนตามตาราง พฤติกรรมที่ถูกบังคับและการลงโทษท่ีมุ่งเน้นวินัย ส่ิงเหล่านี้จะต่อต้านการช้ีนา
ตนเอง พื้นที่ในเขตเมืองและเครือข่ายโรงเรียนหลายแห่ง อย่างเช่น Youth Build ได้นาแนวทาง
กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) มาใช้เพ่ือช่วยให้นักเรียนสร้างวิธีการ
แก้ปัญหาในเชิงบวกแทนที่จะให้พวกเขาพักการเรียน นักเรียนท่ี Huntley High นอกเมืองชิคาโก
ได้รบั สิทธ์ิในการทางานอย่างอสิ ระท้งั ในและนอกโรงเรยี น

75

ผู้เช่ียวชาญกล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นประเด็นสาคัญที่สุดในการเข้าถึงสิทธิต่าง ๆ เม่ือเข้า
โรงเรียนใหม่ “ให้คิดว่าจะช่วยนักเรียนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของคุณได้อย่างไร”
Alex Hernandez จาก Charter School Growth Fund ซ่ึงให้การสนับสนุนโรงเรียนใหม่มากกว่า
500 แห่ง ได้กล่าวไว้ “จะมีค่ายเก็บตัวหรือปฐมนิเทศประสบการณ์เบ้ืองต้นอ่ืน ๆ ไหม? คุณต้องการ
ให้นักเรียนแสดงออกเพียงใด มีหน้าที่ ความสนุก และอ่ืน ๆ อย่างไร? ดังวลียอดนิยมที่ว่า วัฒนธรรม
สาคัญกว่ากลยุทธ์”

ที่ Olin College นักศึกษาใช้ความคิดด้านการออกแบบต้ังแต่วันแรก โดยจัดทาโครงงาน
และการแก้ปัญหา อาจารย์ทาให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตรอีกคร้ังเมื่อมันไม่เป็นไป
ตามแผนท่ีวางไว้สักเท่าไหร่ นักศึกษาระดับสูงขึ้นไปจะกาหนดวิธีแก้ปัญหาระยะยาวตลอดภาค
การศึกษาเพอ่ื ความทา้ ทายทมี่ ากขนึ้

โรงเรียนท่ียึดม่ันในความคาดหวังและหลักการแต่มีความยืดหยุ่นในการดาเนินงาน จะให้
เวลานักเรียนในการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งและโอกาสที่จะประสบความสาเร็จและล้มเหลว และ
สนบั สนุนใหพ้ ัฒนาการชี้นาตนเอง

5. ประสบการณ์ผู้เรียน (Learner Experience) ประสบการณ์ผู้เรียนเป็นส่ิงสาคัญเมื่อพูด
ถึงการออกแบบสภาพแวดล้อมที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ที่จะชี้นาตนเอง ซ่ึงนักการศึกษาควรพิจารณา
ใน 4 ประเดน็ ดังตอ่ ไปนี้:

- ความเป็นอิสระและความรับผิดชอบ (Autonomy & Responsibility) นักเรียนได้ทา
ในส่ิงที่พวกเขาเป็นเจ้าของหรอื ไม?่ หรือเป็นเพียงแค่ตาราเรียนที่ใส่ลงไปในรปู แบบท่ีแตกต่างกัน แล้ว

ภาระงานคืออะไร? มันสมเหตุสมผลสาหรับนักเรียนที่จะทาด้วยตัวเองหรือไม่? ผลลัพธ์ท่ีต้องการคือ

อะไร? ให้แน่ใจว่านักเรียนรู้ผลลัพธ์และวิธีท่ีพวกเขาสามารถสร้างฐานเสริมต่อการเรียนรู้ของตนเอง

เพ่ือเดนิ หน้าไปให้บรรลุยังสิง่ นัน้
- ความซับซ้อน (Complexity) นักเรียนถูกขอให้ทาอะไร? พวกเขาสามารถรู้สึกถึง

ความสาเร็จในการทางานได้ด้วยตนเองเพียงใด และภาระงานที่ต้องการได้รับการสนับสนุนอีกก่ี
เปอร์เซ็นต์ จงหาจุดกลมกล่อม (Sweet-Spot) ระหว่างความท้าทายและจุดที่นักเรียนรู้สึกถึง
ความสาเร็จ

- ระยะเวลา (Complexity) นักเรียนแสดงให้เห็นว่าใช้เวลาในการทางานอย่างต่อเนื่อง
มากแคไ่ หน? นกั เรยี นใช้เวลาในการเรียนร้เู นอ้ื หาหรอื ทักษะนานเท่าใดในการเตรยี มตัวเพื่อการทางาน
อย่างอสิ ระ? ครูต้องคดิ เก่ียวกับการผสมผสาน ประสบการณ์ระยะสั้นและท่ีตอ้ งสนับสนุนพอ ๆ กับส่ิง

ที่เปน็ ระยะยาวและอสิ ระมากขน้ึ ส่ิงนี้จะเพมิ่ ความสามารถของนกั เรียนในการคงไว้ซึง่ การเรียนรู้แบบ
ชนี้ าตนเอง

- สิทธิออกเสียงและการเลือก (Voice & Choice) นักเรียนต้องรู้สึกว่าตนเองมีสิทธิใน
การแสดงความคิดเห็นและทางเลือกในการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม ซ่ึงหมายถึงเวลาสาหรับการ
เรียนรู้ตามความสนใจ โอกาสในการกาหนดภาระงานและช้ินงาน และทางเลือกในการนาเสนอสิ่งท่ี
เรียนรู้ เมื่อนักเรียนและครูได้สร้างโครงการต่าง ๆ ร่วมกัน สิ่งเหล่านั้นจะเกิดจากความสนใจและอัด
แนน่ ไปด้วยเป้าหมายการเรียนร้ทู สี่ าคญั

76

เช่นเดียวกับการเขียนและการแก้ปัญหา การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองเป็นการเรียนรู้แบบ
ก้าวหน้า ซ่ึงเป็นการผสมผสานระหว่างความรู้ ทักษะ และวิธีคิดท่ีจะนาไปใช้ในสภาพแวดล้อมท่ี
แตกต่างกันตามเป้าหมายทแ่ี ตกต่างกนั

นักเรียนท่ีไม่ได้สร้างองค์ประกอบของการช้ีนาตนเองมาต้ังแต่ช่วงช้ันระดับกลาง ๆ มักจะ
ระส่าระสายในตอนแรกเม่ือเข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่เน้นการทาโครงงาน ซึ่งต้องใช้ระดับของการ
จดั การตนเองและจดั การโครงการท่สี ูง

ซ่ึงตามหลกั การแล้วการชี้นาตนเองควรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่ระดบั อนุบาลไป
จนถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองหลังจบช้ันมัธยม ความคาดหวัง สิ่งแวดล้อม ฐานเสริมต่อและการ
สนบั สนุนควรสะท้อนใหเ้ ห็นถึงการเพมิ่ ขนึ้ ของระดับการช้ีนาตนเอง

ตัวอย่างเช่น ทาโครงงานเกี่ยวกับธรณีศาสตร์ ในขณะท่ีนักเรียนประถมต้นอาจพร้อมท่ีจะ
จดั การโครงงานดว้ ยตนเองได้จริง โดยพิจารณาความก้าวหน้าตอ่ ไปน้ขี องการเรยี นรู้แบบชี้นาตนเอง

ระดบั เกรด 3 (ชนั้ ป.3) เกรด 7 (ม.1) เกรด 11 (ม.5)
อสิ ระและความ ทากจิ กรรมใน
รบั ผดิ ชอบ ห้องเรยี น ทัศนศึกษาอย่างอสิ ระ ตอ้ งทาบางอย่างใหเ้ สร็จ
บางคนทาท่ีบ้าน หรอื นอกโรงเรียน หรอื ใน
ความซบั ซ้อน เปา้ หมายเฉพาะ ภายนอกโรงเรยี น ประสบการณภ์ าคสนาม
(ทมี่ าของการก่อตัว
ระยะเวลา ของหนิ ในทอ้ งถ่ิน) หวั ขอ้ ครา่ ว ๆ (การทา สหวทิ ยาการ (ทาแผนผัง
สทิ ธอิ อกเสียง โครงการ 3 วนั ความเข้าใจแผน่ เปลอื ก เมืองใหญ่ ๆ ในเขต
และการเลือก รายการทมี่ ี 5 โลก) แผน่ ดินไหว)
ตวั เลือก
การจดั การ โครงการ 3 สัปดาห์ โครงการ 3 เดือน

นักศกึ ษาสร้างตัวเลือกที่ นักเรียนวางกรอบ
เปน็ สง่ิ ของสาธารณะ โครงงานและชิน้ งานกบั
อาจารยท์ ีป่ รึกษา
นกั เรียนจดั การ นักเรียนจัดการโครงงาน
ภาระงานทคี่ รตู ี พรอ้ มกบั การรายงาน นกั เรยี นจดั การโครงงาน
กรอบให้ ประจาวัน โดยมีท่ีปรึกษา 6 คน

เรารู้ว่าการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองเป็นเร่ืองส่วนตัวและขึ้นกับบริบท นักเรียนบางคนอาจ
รู้สึกม่ันใจในการทาโครงงานธรณีศาสตร์อย่างอิสระ ในขณะที่ในอีกวิชาหน่ึงพวกเขายังไม่พร้อม
สาหรับการขยายเวลาของการชี้นาตนเองสาหรับภาระงานนั้น ๆ นักเรียนบางคนอาจเติบโตได้ใน
ประสบการณก์ ารเรียนรูน้ อกสถานที่ แตต่ อ้ งพบความยุ่งยากกับการเข้ารว่ มในบริบทชน้ั เรยี น

การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองต้องได้รับการสอนตลอดเน้ือหาของหลักสูตรและในช่วงเวลาท่ี
เรียนในโรงเรียน การช้ีนาตนเองสามารถนาไปใช้และพัฒนาได้ในทุกสาขาวิชา นักการศึกษาทุกคนไม่
ว่าพวกเขาจะสอนแคลคูลัสหรือการเข้ารหัสก็สามารถช่วยส่งเสริมการช้ีนาตนเองให้มากข้ึนสาหรับ
นกั เรยี นได้

77

ในเว็บไซต์ของ Design Your Homeschool (2006) กล่าวถึงวิธีการพัฒนาทักษะการ
เรียนรู้แบบชี้นาตนเอง ว่า การยึดถือความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้
แบบช้ีนาตนเอง

เม่ือลูกของคุณแสดงความสนใจในเนื้อหาบางอย่าง คุณจะพบว่าพวกเขาจัดเส้นทางการ
เรียนรู้ของตัวเองตามธรรมชาติเพื่อค้นหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสนใจของตน หากพวกเขารัก
สัตว์เลื้อยคลานคุณไม่จาเป็นต้องบอกให้พวกเขาออกไปข้างนอก แต่พวกเขาจะออกไปข้างนอกเพ่ือ
คน้ หาก้ิงก่าและนาส่ิงมีค่าเหล่าน้ันกลับเข้ามาในบ้าน หากพวกเขาสนใจในคอมพิวเตอร์พวกเขาจะนา
คอมพิวเตอร์เก่า ๆ มาจากที่ไหนสักที่ จากนั้นก็ร้ือชิ้นส่วนออกจากกันแล้วประกอบข้ึนอีกคร้ัง ดังนั้น
เราจะสนับสนนุ ความสนใจนี้อย่างไรและชว่ ยให้พวกเขาพัฒนาความสนใจไดอ้ ยา่ งไร?

หากการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองเป็นเป้าหมายท่ีเราต้องการสาหรับเด็ก ๆ ของเรา เราต้องสอน
ให้พวกเขาทราบถงึ ขั้นตอนตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งและการมีระเบยี บวินยั เพื่อให้ไปบรรลขุ น้ั ตอนเหลา่ นน้ั

เราจะกระต้นุ การเรยี นรแู้ บบชน้ี าตนเองได้อย่างไร ?
1. ส ร้างส ภ าพ แ ว ด ล้ อ ม ก ารเรีย น รู้ท่ี ห ล า ก ห ล าย (Create a Rich Learning
Environment) เราจาเป็นต้องมองบ้านและชีวิตของเราให้เป็นสถานที่แห่งการศึกษา การศึกษา
สามารถเกิดข้ึนได้ตั้งแต่โรงรถไปจนถึงห้องครัว ผ่านการใช้ชีวิตประจาวัน การทัศนศึกษา และ
แม้กระท่ังเมอื่ ถกู ขดั จังหวะ
วางหนังสือ บทความ โปสเตอร์ศิลปะ ให้กระจัดกระจายไปทั่วบ้าน เพ่ือท่ีว่าเม่ือเด็ก ๆ
มองไปที่ไหนพวกเขากจ็ ะถูกล่อตาล่อใจให้อ่าน สงั เกต และเพลดิ เพลนิ ไปกับมิติอื่นได้
จัดให้มีมุมการเรียนรู้ในบ้าน หรือ สถานที่แห่งการค้นพบ ปล่อยให้เกิดความเลอะเทอะยุ่ง
เหยิง แล้วสอนพวกเขาถึงวิธที าความสะอาดหลงั จากความยุ่งเหยงิ ของพวกเขา
ไปที่อู่ท่ีขายของลดราคาและหยิบของแปลก ๆ มาให้เด็ก ๆ ได้แยกชิ้นส่วนและเรียนรู้จาก
ส่งิ เหลา่ นัน้
2. ให้เวลาอย่างเพียงพอในส่ิงที่สนใจ (Create a Rich Learning Environment) การที่
ความสนใจและการเรยี นรูแ้ บบช้ีนาตนเองจะเกดิ ข้ึนได้น้ัน ท้ังเด็กและผู้ใหญต่ ่างก็ต้องการเวลา เวลาท่ี
จะฝัน เวลาในการสร้างเป้าหมาย เวลาในการวางแผน และเวลาที่จะดาเนนิ การ
3. อภิปรายในส่ิงท่ีสนใจ (Discuss Interests) ไม่ว่าจะเป็นเป็นแมลงท่ีน่าขนลุก และ
ช้ินส่วนคอมพิวเตอร์เก่า ๆ กองหนงั สอื จากห้องสมุดท่เี กีย่ วกบั อาวุธสงครามหรืออะไรก็ตามท่ีเข้ามาใน
บ้านของเราแล้ว เราจาเป็นต้องมีส่วนร่วมกับลูก ๆ ของเราเกี่ยวกับความสนใจของพวกเขา ให้พวก
เขาบอกคุณเก่ียวกับความสนใจของพวกเขา ถามคาถาม ต้ังคาถามและบอกให้พวกเขาศึกษาสิ่งน้ัน
เพ่อื หาคาตอบ
ในขณะที่คุณอภิปรายในส่ิงที่สนใจ พูดคุยเก่ียวกับวิธีที่พวกเขาสามารถเรียนรู้เพิ่มเติม
ได้ ใหต้ วั อย่างเกย่ี วกบั การค้นควา้ น้ี แสดงให้พวกเขาเหน็ วิธกี ารค้นหาและการพบขอ้ มลู นน้ั

- พวกเราไปหาหนังสือเกี่ยวกับเร่อื งนก้ี นั ไหม ?
- ทาไมเราไมไ่ ปหอ้ งสมดุ ?
- ดูหนังสอื เล่มทอี่ ยูบ่ นชั้นวางของเราสิ มนั จะตอบคาถามบางขอ้ ท่ีเรามี
- ลองพดู ชอ่ื ช้นิ ส่วนของคอมพิวเตอร์ แล้วหันไปบอกคนอืน่ ๆ ในบา้ นดว้ ยสิ ?

78

- อ่านหนังสือเล่มน้ีกันไหม ถ่ายรูปส่ิงที่ทาอยู่และบอกหน่อยสิว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ตลอดหนึง่ สปั ดาห์ทผ่ี ่านมา

- มีวชิ าใดบ้างที่สามารถลงเรยี นเพ่ิมไดเ้ พอ่ื ตอ่ ยอดความสนใจ?
4. ทาให้เป็นหลักสูตรจริง ๆ โปรแกรมการเรียนรู้ส่วนบุคคล (เลือกทา/ไม่ทาก็ได้)
(Formalize the Course - Individual Learning Program (Optional) ส่ิงนี้ช่วยยืนยันความสนใจ
ของลูกคุณว่าเป็นเร่ืองถูกต้อง หากต้องการ คุณสามารถทาเป็นหลักสูตรที่มีแบบแผนและสร้าง
โปรแกรมการเรียนรู้เป็นรายบคุ คลซ่งึ เปน็ ของพวกเขาเอง
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงตัวเลือก แต่มันจะน่าประทับใจมากเม่ือคณุ ต้องการแสดงบันทกึ ของ
โฮมสคูล ฯลฯ สาหรับการลงทะเบียนโฮมสคูล และไม่เพียงแค่นั้น สิ่งท่ีสาคัญมากข้ึนไปอีกก็คือ การ
ทาให้การศึกษาเป็นแบบแผนข้ึนมานี้ถือว่าคุณให้ยอมรับว่าความสนใจของเด็กเป็นส่ิงถูกต้องและเป็น
เร่ืองที่คุ้มคา่ หรือน่าสนใจที่จะทาต่อไป คุณกาลังพดู กับเด็กคนนั้นว่า "ความสนใจของหนูเป็นกิจกรรม
การเรียนร้ทู สี่ าคัญ เปา้ หมายและความตอ้ งการของหนคู มุ้ คา่ ทจ่ี ะทามันให้ได้
การทาให้หลักสูตรเป็นแบบแผนหมายความว่า คุณน่ังลงหารือกับเด็กแต่ละคนเกี่ยวกับ
เป้าหมาย วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรแู้ ละวธิ ีการประเมินการเรียนรขู้ องพวกเขา

- หนตู อ้ งการเรียนรู้อะไร ?
- หนจู ะทาอยา่ งไร ?
- หนจู ะใช้แหลง่ ข้อมูลอะไรบา้ ง ? ลองดูทช่ี นั้ วางของเราสิ จากน้ันก็ไปท่หี อ้ งสมุด
- หนูจะรไู้ ดอ้ ย่างไรว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ?

- หนจู ะแสดงสิ่งทไ่ี ด้เรียนรูใ้ หเ้ ราเห็นอย่างไร ?

- ในฐานะผู้ปกครองโฮมสคูล คุณสามารถสร้างโปรแกรมการเรียนรู้จานวนมากโดยใช้

แหลง่
- ขอ้ มลู ทคี่ ณุ มีอยู่ในช้นั วางหนงั สือของคณุ ทาให้เป็นหลักสตู รแล้วนาเสนอต่อลูก ๆ ของ

คุณ
5. ฉลองให้กบั การเรยี นรู้ (Celebrate the Learning)
- เมื่อเรียนครบหลักสูตรและบรรลุเป้าหมายแล้ว นักเรียนควรรู้สึกถึงความสาเร็จ จะ

ฉลองอยา่ งไรกนั ดี
- สาหรับบางคนก็ไม่ต้องการฉลองใด ๆ เลย การฉลองก็คือการศึกษาที่พวกเขาเพ่ิงมี

ส่วนร่วม พวกเขาไดเ้ รียนรูส้ งิ่ ท่ีต้องการเรยี นรแู้ ละน่นั ก็ยอดเยย่ี มแลว้
- เมื่อติดต้ังระบบติดตามรถยนต์เสร็จแล้ว (สนกุ มากและให้ความรู้ด้วยในเวลาเดยี วกัน)

การฉลองกค็ ือการเชญิ เพอื่ น ๆ มาร่วมงานปาร์ตแ้ี ละร่วมกันใช้งานระบบนัน้
- บางทีการฉลองก็อาจเป็นผลงานท่ีพวกเขาเพิ่งสร้างขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้

ผา้ ปะแขวนผนงั กรงใส่แมลงพรอ้ มแมลงตวั เป็น ๆ
- สาหรับบางคนอาจใช้วิธีการนาเสนอ เช่น ลูก ๆ ของฉันบางคนชอบท่ีจะนาเสนอส่ิงที่

พวกเขาเรียนรู้ให้กับผู้อ่ืนฟัง เม่ือพวกเขาทาเช่นนั้นมันจะทาให้พวกเขารู้สึกถึงความสาเร็จและความ

ยินดีอย่างมาก นอกจากนี้ยังถือเป็นการจบบทเรียน แน่นอนว่าการเรียนรู้ไม่จาเป็นต้องหยุดเพียงแค่

79

นั้น แต่ความสนใจบางอย่างเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ และด้วยวิธีน้ีพวกเขาสามารถก้าวต่อไปได้อย่างมี
ความสขุ

- หลงั จากทีพ่ วกเขาไดแ้ สดงให้เหน็ สงิ่ ท่ีพวกเขาได้เรยี นรู้ ไม่วา่ จะเปน็ งานนาเสนอท่ีเป็น
เอกสาร ใช้ lapbook ใช้ PowerPoint นาเสนอผ่านวิดีโอหรือชิ้นงานจริงแล้ว เด็กบางคนก็อาจ
ตอ้ งการไดร้ บั การยอมรบั ในการเรียนรขู้ องพวกเขาในรูปแบบอ่นื ๆ

- เราได้ทา “เข็มเครื่องหมาย” สาหรบั รายวิชาที่เรยี นเสร็จสมบูรณ์แล้ว และลกู ๆ ของ
ฉนั ได้เย็บเข็มนั้นลงบนปลอกหมอนหรือแขวนผนังเพ่ือเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งท่ีพวกเขาสร้างและทาให้
แลว้ เสรจ็ ในปนี น้ั

กล่าวโดยสรุป แนวทางการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (How to develop
Self direction learning Skills) จากทัศนะดังกลา่ วข้างต้น ข้อแนะนาการพฒั นาการเรียนรู้แบบช้ีนา
ตนเอง สามารถจะจาแนกเปน็

1. การพฒั นาระดับบุคคล มีดงั นี้
1.1 ผู้เรียนท่ีระบุเป้าหมายการเรียนรู้ (Identify Your Learning Goals) ซ่ึงถือว่าเป็น

ข้ันตอนแรกของกระบวนการเรียนรู้ผู้เรียนคิดริเรมิ่ (Takes Initiative) การทาเปน็ คนแรกนับเป็นแก่น
ของแนวคิดท้ังหมดของ "การชี้นาตนเอง" ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จไม่รอให้คนอื่นพูดว่า “คุณ
ต้องเรียนรู้ส่งิ นี้”

1.2 สบายใจกับความเป็นอิสระ (Is Comfortable with Independence) ผู้เรียนท่ี
ชี้นาตนเองไม่ได้พ่ึงตัวเองหรือเป็นอิสระเสมอไป แน่นอนว่าพวกเขายิ่งต้องสร้างเครือข่ายเพื่อเรียนรู้
อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ อย่างไรก็ตาม ผู้เรยี นที่ชี้นาตนเองเป็นผลสาเรจ็ จะรู้วา่ จะเชอ่ื ม่ันตนเองได้อย่างไร

1.3 มีความมั่นใจในตนเอง (Is Self-Confident) ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเป็นผลสาเร็จมี
ความรู้สึกม่ันคงในเร่ือง “การรับรู้ความสามารถของตนเอง” ซ่ึงเป็นความเชื่อท่ีว่าคน ๆ หน่ึงมี
ความสามารถในการลงมอื ทาด้วยวิธใี ดวธิ ีหนึ่งเพอ่ื ให้บรรลเุ ป้าหมายนั้น

1.4 หม่ันเรียนรู้ด้วยตนเอง (Is Persistent) เช่นเดียวกับการเรียนรู้ทุกอย่าง ต้องใช้
เวลา ตอ้ งทา ซา้ ๆ ตอ้ งฝกึ ฝน ผูเ้ รยี นที่ชี้นาตนเองเปน็ ผลสาเรจ็ จะยดึ ตดิ กบั สิง่ เหลา่ นี้

1.5 ยอมรับหน้าที่ที่รับผิดชอบ (Accepts Responsibility) ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเป็น
ผลสาเร็จนั้นจะนาความรับผิดชอบมาใช้ในการทางานเพ่อื การเรยี นรู้และทาได้เป็นอยา่ งดี

1.6 มีวินัยในตนเอง (Is Capable of Self-Discipline) ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเป็น
ผลสาเร็จต้องมีวินัยด้วย ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองรู้ (หรือเรียนรู้) วิธีพัฒนาและรักษาวินัยเป็นสิ่งท่ีจาเป็น
สาหรบั การเรยี นรู้ด้วยตนเอง

1.7 ต้ังคาถามถึงความสาคัญของส่ิงต่าง ๆ (Question the Significance of Things)
สร้างนิสัยการไม่ทาอะไรเพียงหวังผลตอบแทนที่มีมูลค่า แต่ให้เริ่มต้นท่ีจะถามคาถามเพราะคุณใส่ใจ
ในคาตอบจรงิ ๆ

1.8 คน้ หาความท้าทายที่น่าสนใจ (Seek out Interesting Challenges) เปน็ การระบุ
ปัญหาที่คุณใส่ใจจากน้ันค้นหาคาตอบ ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จจะใช้วิธีคิดแบบเติบโต
(Growth Mindset) และจะมองปัญหาเป็นเร่ืองท่ีท้าทาย ไม่ใช่อุปสรรค และให้รางวัลตัวเองด้วยการ
แก้ปัญหา เพราะนั่นคอื การเรยี นรูท้ แ่ี ท้จรงิ

80

1.9 ตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ของคุณเอง (Monitor Your Own Learning
Process) โดยเลือกจังหวะเหมาะสมกับการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้เป็นเร่ืองสนุกมากข้ึน เมื่อคุณตั้ง
มาตรฐานของคุณเอง ไม่ว่าคุณจะได้เกรดท่ีคุณต้องการหรือไม่ก็ตาม ให้ลองวัดความก้าวหน้าของคุณ
กบั เปา้ หมายการเรยี นร้ทู ่ีคุณกาหนดเอง

1.10 เข้าใจวิธีการของคุณเอง (Understand Your Own Approach) โดยพิจารณา
รูปแบบหรือส่อื ทีช่ ว่ ยใหเ้ กิดการเรยี นรูไ้ ดด้ ีที่สุด

1.11 เร่ิมต้นด้วยข้อมูลพ้ืนฐานของหัวข้อนั้น (Start with Background on a Topic)
ทาความรู้จักกับหัวข้อของคุณโดยอ่านค้นคว้าใน Wiki ก่อน สิ่งสาคัญคือต้องมีบริบทก่อนที่คุณจะลง
ลึกไปในรายละเอยี ด

1.12 ปลูกฝังแรงจูงใจจากภายใน (Cultivate Intrinsic Motivation) แรงจูงใจภายใน
น้ันไม่ได้เกิดข้ึนตามธรรมชาติสาหรับทุกคน แต่สามารถที่จะพัฒนาข้ึนได้จากเรียนรู้ ซ่ึงเป็นความ
ปรารถนาท่ีจะเรียนรู้และเปล่ียนแปลง จงช่วยให้ตัวเองสนุกกับการเรียนรู้มากขึ้น และรวบรวม
ข้อเทจ็ จรงิ ทนี่ ่าสนใจหรอื วางแผนทีจ่ ะแบง่ ปันความร้ขู องคุณกับผ้อู ่ืน

1.13 สร้างสรรค์บางส่ิงจากสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ (Create Something Out of What
You’ve Learned) สร้างนิสัยในการสร้างบางส่ิง เช่น แผนภาพ เพลง บันทึกประจาวัน ด้วยเน้ือหา
ใหม่ท่ีคุณได้เรียนรู้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเสริมความคงทนของเนื้อหาในความทรงจาระยะยาวของคุณ
แตย่ ังชว่ ยใหค้ ณุ ตัง้ ตาคอยการเรียนรใู้ นอนาคต

1.14 สร้างสาระการเรียน รู้ส่วน ตัวของคุณ เอง (Build Your own Personal
Learning Syllabus) คุณเคยเห็นสาระวิชาจากหลักสูตรใด ๆ และอยากใส่อะไรลงไปเพิ่มเติมหรือไม่
? ตอนนี้เปน็ โอกาสของคุณ จงเรียนรูส้ ่งิ ที่คุณตอ้ งการ ในเวลาและวธิ ที ีค่ ุณต้องการ

1.15 จัดการเวลา (Organizes His or Her Time) ผู้เรียนที่ชี้นาตนเองเป็นผลสาเร็จ
จะรู้วิธีการสรรหาและจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิผลเพ่ือใช้ในการเรียนรู้ โดยหาช่วงเวลาท่ี
เหมาะสมในการทาส่งิ ทอี่ ยากทา อาจจะเปน็ ชว่ งเวลาอาหารกลาวนั หรอื เวลาเลกิ งาน

1.16 มีความสงสัยใคร่รู้ในระดับสูง (Has a High Degree of Curiosity Has a High
Degree of Curiosity) ผู้เรียนท่ีช้ีนาตนเองเป็นผลสาเร็จมีแนวโน้มสูงในการถามว่าทาไม และคาถาม
อ่ืน ๆ อกี มากมาย ผลการเรียนไม่ไดส้ ะทอ้ นว่าผูเ้ รยี นร้จู รงิ แค่ไหน

1.17 สร้างแบบบันทึกการเรียนรู้ส่วนตัว (Create Your Own Personal Learning
Record) มีเครื่องมือท่ียอดเย่ียมมากมายที่จะช่วยคุณจัดทาเอกสารการเรียนรู้ของคุณ คุณจะสนุกกับ
แฟ้มสะสมผลงานการเรียนรู้แบบดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างย่ิงเม่ือผ่านไปสิบปีแล้วคุณได้อ่านบันทึกและ
โครงการเกา่ ๆ

1.18 ฝึกใช้สิ่งที่คุณได้เรียนรู้ (Practise Using What You’ve Learned) เราทุกคน
ต่างให้คา่ กับความรู้ท่ีเราสามารถใช้ได้จรงิ ถึงแม้บางครงั้ เราจาเป็นต้องใช้ความพยายามในการใช้งาน
จงสรา้ งโอกาสของคุณเองที่จะใชค้ วามรขู้ องคุณและคุณจะพบผลลัพธ์ทีค่ ุ้มค่ามาก

1.19 ให้ คุ ณ ค่ ากั บ ค ว าม ก้ าว ห น้ าม าก ก ว่าผ ล ท่ี ได้ (Value Progress Over
Performance) เราไม่เคยหยุดเรียนรู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่การเรียนรู้แบบชี้นาตนเองน้ัน

81

เป็นเร่ืองท่ีสนุก โดยหัวข้อ คาถาม และปัญหาที่นับไม่ถ้วนจะหมายถึงโอกาสท่ีนับไม่ถ้วนท่ีจะรู้สึกถึง
การถกู กระตนุ้ และความสาเรจ็

1.20 ต้ังเป้าหมายแบบ SMART (Set SMART Goals) เมื่อคุณมีความคิดริเร่ิม คุณ
จะต้องกาหนดเป้าหมาย มิฉะนั้นผลท่ีจะได้ที่เป็นรางวัลก็ยังคงไม่ชัดเจนและไม่สามารถเข้าถึงได้ ซ่ึง
รางวัลเป็นสิ่งจาเป็นหากคุณอยากคงแรงจูงใจไว้ SMART ซ่ึงเป็นตัวย่อของ Specific (เจาะจง)
Measurable (วัดได้) Action-oriented (เน้นลงมือ) Realistic (เป็นจริงได้) และ Time-defined
(กาหนดเวลา)

1.21 ให้เป้าหมายของคุณเป็นจริง (Keep Your Goals Realistic) โดยการวางแผน
เพอื่ พฒั นาจนนาไปสู่ความสาเร็จ ส่ิงสาคญั ที่ทาลายบรรยากาศของการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองไม่ได้ถูก
สร้างขนึ้ โดย “ระบบ” แตส่ ร้างดว้ ยตัวเราเอง ซ่ึงน่ันก็คือ เป้าหมายทไี่ ม่สมจริง เป็นเรือ่ งงา่ ยที่จะหมด
กาลังใจเม่ือเราไม่บรรลุสิ่งที่เราต้องการ จงพยายามทาสิ่งต่าง ๆ ในสัดส่วนท่ีมองเห็นได้ และสร้าง
เปา้ หมายท่ีคุณสามารถทาได้อย่างสมเหตสุ มผล

1.22 เป็นเจ้าของการเรียนรู้ของคุณ (Take Ownership of Your Learning) ในการ
วินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ของตนเองเร่ิมที่มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ กาหนดเป้าหมายการ
เรียนรู้ ระบุทรพั ยากรมนุษย์และเน้ือหาสาหรับการเรียนรู้ เลือกและนากลยุทธ์การเรียนรู้ท่ีเหมาะสม
ไปใช้ และประเมินผลการเรียนรู้

1.23 สามารถใช้ทักษะพื้นฐานในการศึกษา (Is Able to Use Basic Study Skills)
อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ทักษะอย่างเช่นการจดบันทึกอย่างมีประสิทธิภาพน้ันมีประโยชน์ตลอด
ชวี ิต ผูเ้ รียนทีช่ นี้ าตนเองจะรเู้ รอื่ งน้ี

1.24 กฎ 5 ช่ัวโมงของเบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin's Five-Hour
Rule) คือใช้เวลาห้าชั่วโมงตลอดทั้งสัปดาห์ ในการเรียนรู้ เช่น อ่าน เขียน ไตร่ตรองหรือวางแผนการ
ทดลองในช่วงเวลาน้ัน สมองของคุณไม่ได้ออกแบบมาสาหรับการกวดวิชาและพยายามบีบการเรียนรู้
หนึ่งสัปดาห์เป็นหนึ่งวัน เพราะนั่นจะทาให้คุณลืมเนื้อหามากมายเหล่าน้ัน นอกจากน้ี โครงข่าย
ประสาทของสมองของเราต้องใช้เวลาประมวลผลข้อมูล ดังนั้นการเว้นระยะการเรียนรู้ของเราจะช่วย
ให้เราจดจาเนอ้ื หาท่ียากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึน้

1.25 เข้าร่วมในกระบวนการเรียนรู้ (Engage in the Learning Process) นักเรียน
จาเป็นต้องเข้าใจตนเองในฐานะผู้เรียน เพ่ือที่จะช่วยให้ทราบถงึ แหล่งเรียนรู้เก่ียวกับความชอบในการ
เรียนรู้นน้ั และรจู้ ักปรบั เปลยี่ นนาความรู้ไปใชก้ ับสถานการณใ์ หม่ ๆ เพื่ออธิบายแนวคิด และเรียนรู้ให้
มากกวา่ ท่ตี อ้ งใช้เพยี งเพื่อใหค้ รบตามหน่วยการเรียนนน้ั

1.26 การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ (Active Learning) ช่วยให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหา
และรู้ว่าควรใชท้ ักษะใดในการเรียนรู้

1.27 จัดลาดับความสาคัญ (กฎ 80/20) (Prioritize (the 80/20 Rule) กฎนี้ระบุ
อย่างกว้าง ๆ ว่า 80% ของผลลัพธ์ของคุณจะเกิดจาก 20% ของการกระทาของคุณ ผู้เรียนที่ช้ีนา
ตนเองเก่ง ๆ ใช้กฎน้ีเพื่อจัดลาดับความสาคัญเวลาเรียน พวกเขามุ่งเน้นไปที่ 20% ของการกระทาท่ี
ให้ผลลพั ธ์ท่ีดีทีส่ ุด

82

1.28 ทักษะและเคร่ืองมือ (Skills & Tools) ระบบให้คาปรึกษาท่ีเข้มแข็งจะสร้างจุด
ศูนย์รวมให้กับการสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม จดุ ปฏิสัมพันธ์สาหรบั การสนทนา สิ่งเหล่านี้ต้อง
ใช้การเรียนการสอน ฝึกฝนและสะท้อนผล นักเรียนต้องการคาแนะนา การสนับสนุน และการช้ีนา
เพื่อช่วยในขณะท่ีพวกเขาทางานในสภาพแวดล้อมท้งั ในและนอกระบบ

1.29 ประเมินความพร้อมในการเรียนรู้ (Assess Readiness to Learn) นักเรียน
ต้องการทักษะและทัศนคติท่ีหลากหลายต่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษาอิสระท่ีประสบความสาเร็จ
ขั้นตอนนี้เก่ียวข้องกับการที่นักเรียนทาการประเมินตนเองในสภาพปัจจุบัน นิสัยในการเรียน
สถานการณ์ครอบครัว และเครือข่ายการสนับสนุนทั้งท่ีโรงเรียนและที่บ้าน และยังเกี่ยวข้องกับการ
ประเมนิ ประสบการณท์ ผี่ า่ นมาดว้ ยการเรียนรแู้ บบอสิ ระ

1.30 ประเมินการเรียนรู้ (Evaluate Learning) นักเรียนที่จะประสบความสาเร็จใน
การเรียนรู้แบบช้ีนาตนเองนั้น พวกเขาจะต้องสามารถมีส่วนร่วมในการสะท้อนตนเองและประเมิน
ตนเองตามเป้าหมายการเรียนรู้และความก้าวหน้าในหน่วยการเรียนรู้ เพ่ือสนับสนุนกระบวนการ
ประเมนิ ตนเอง

1.31 บอกเล่าความสาเร็จทางวาจา (Verbalize Your Achievements) การรู้ในสิ่งที่
คุณได้เรียนรู้ก็เป็นเรื่องหน่ึง การทาให้มันเป็นที่รู้จักก็เป็นอีกเร่ืองหน่ึง การเล่าความสาเร็จของคุณ
ออกมาเป็นคาพูดนั้นเป็นการให้รางวัลอย่างที่สุด และสามารถช่วยให้คณุ ไตรต่ รองระหวา่ งสิ่งที่คุณคิด
ว่าได้เรยี นรู้กบั ส่ิงท่ีคณุ ได้เรียนรแู้ ลว้ จรงิ ๆ

2. การพฒั นาระดบั กลมุ่ หรือระดบั ช้นั เรียน มีดังน้ี
2.1 ผ้เู รียนท่ีสนใจ (Interested Learners) ตอบสนองต่อเทคนิคที่สรา้ งแรงบันดาลใจ

โดยครูเป็นผู้กระตุ้นความสนใจ เสริมความต้ังใจให้เกิดความกระตือรือร้น เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดแรงบัล
ดาลใจในการเรยี นรู้

2.2 ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเอง (Self-Directed Learners) กาหนดเป้าหมายและมาตรฐาน
ของตนเองโดยมีหรือไม่มีความช่วยเหลือจากผู้เช่ียวชาญก็ได้ พวกเขาใช้ผู้เช่ียวชาญและทรัพยากรอื่น ๆ
เพอื่ ไล่ตามเป้าหมายเหล่านี้ การพ่ึงตนเองไมไ่ ด้หมายถึงอยูค่ นเดียว ผู้เรยี นท่ีพึ่งตนเองหลายคนมคี วาม
เปน็ สังคมสงู

2.3 ผู้เรียนในขัน้ น้ีมีความสามารถและเต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อการเรยี นรู้ ทิศทางและ
ผลผลิต พวกเขาฝึกทักษะในการบริหารเวลา การจัดการโครงการ การกาหนดเปา้ หมาย การประเมิน
ตนเอง การวิพากษ์เพื่อน การรวบรวมข้อมูลและการใช้ทรัพยากรทางการศึกษา ผู้เรียนท่ีชี้นาตนเอง
ไม่สามารถไม่พึ่ง “ครู” ได้อย่างสมบูรณ์ เน่ืองจากมีทักษะและองค์ความรู้บางอย่างท่ีดีท่ีสุดและจะ
เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ภายใตก้ ารสง่ั สอนจากผู้เชี่ยวชาญ

2.4 กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ (Set Learning Goals) การส่ือสารเกย่ี วกับเป้าหมาย
การเรียนรู้ระหว่างนักเรียนและครูผู้สอนเป็นส่ิงสาคัญ ซ่ึงเป้าหมายการเรียนรู้ระหว่างนักเรียนและ
ครูผู้สอนก็คือข้อตกลงการเรียนรู้ ได้แก่ เป้าหมายการเรียนรู้ โครงสร้าง ระยะเวลา เนื้อหา การวัด
และประเมนิ ผล แผนการประชมุ รว่ มกับครผู ้สู อน เป็นตน้

2.5 ทักษะและเคร่ืองมือ (Skills & Tools) ระบบให้คาปรึกษาท่ีเข้มแข็งจะสร้างจุด
ศูนย์รวมให้กับการสร้างทักษะทางอารมณ์และสังคม จุดปฏิสมั พันธ์สาหรับการสนทนา สิ่งเหล่านี้ต้อง

83

ใช้การเรียนการสอน ฝึกฝนและสะท้อนผล นักเรียนต้องการคาแนะนา การสนับสนุน และการช้ีนา
เพอื่ ชว่ ยในขณะทพี่ วกเขาทางานในสภาพแวดล้อมทงั้ ในและนอกระบบ

2.6 ครูช่วยพัฒนาผู้เรียนโดยทาหน้าที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้คาปรึกษา กระตุ้นให้
ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจ ใฝ่เรียนรู้ ปลูกฝังแนวคิดและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ที่ชี้นาตนเองและทักษะ
ความสาเร็จอ่นื ๆ

2.7 พัฒนาทักษะ (Develop Skills) ครูจดั ให้นักเรียนมีทกั ษะที่จาเป็น เชน่ การสืบค้น
ทรัพยากร การต้ังเป้าหมาย และทักษะการจัดการเวลาเพ่ือช่วยนักเรียนวางแผนและจัดตารางการ
เรียนรู้ กระตุ้นให้นักเรียนสร้างแฟ้มสะสมผลงานและเขียนบันทึกต่อไป เพ่ือใช้เป็นเอกสารประกอบ
กระบวนการเรยี นรแู้ บบช้นี าตนเอง และเปน็ บนั ทกึ ความกา้ วหนา้ และความสาเร็จของพวกเขา

2.8 การวิเคราะหเ์ ชิงวพิ ากษ์ (Critical Analysis) ครตู ้องกระตุ้นให้นักเรยี นวิจารณก์ าร
ตัดสินใจและการกระทาของพวกเขาในการเรียนรู้ ส่ิงนี้จะทาให้นักเรียนสามารถ กาหนดประสิทธิผล
ของกลยุทธ์และเทคนิคที่ใช้ในการเรียนรู้ ระบุความสัมพันธ์ของเหตุและผลระหว่างการลงมือปฏิบัติ
กับการเรียนรู้ทพ่ี วกเขาได้ พจิ ารณาแนวคิดที่แตกตา่ ง

2.9 แบ่งปันการเรียนรู้ของคุณกับเพื่อนและที่ปรึกษา (Share Your Learning with
Peers and Mentors) การรู้ว่าคุณจะแบ่งปันส่ิงที่คุณได้เรียนรู้กับผู้อื่นสามารถสร้างความแตกต่าง
อย่างมากเมื่อพูดถึงการเรียนรู้ ทั้งความเอาใจใส่และความทรงจาของคุณได้รับแรงหนุนเมื่อคุณนึก
ภาพตวั เองวา่ ได้ถ่ายทอดเนือ้ หาใหม่ให้กบั บุคคลอื่น

3. การพัฒนาระดบั โรงเรียน มีดงั นี้
3.1 สร้างเครือข่าย “เพื่ อนร่วมงานแห่งการเรียนรู้” (Build a Network of

“Learning colleagues”) เราเป็นผู้เรียนรู้ร่วมกันโดยธรรมชาติ จงใช้ประโยชน์จากชุมชนออนไลน์
และทีอ่ ยู่ตรงหนา้ ในการเรียนรู้

3.2 เข้าห้องสมุด (Visit the Library) การค้นคว้าในห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ
ซ่ึงมีหนังสือเกือบทุกวิชา สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลออนไลน์ และสามารถเชื่อมระหว่างผู้เรียนกับ
ผเู้ ชย่ี วชาญหรือกลมุ่ ที่มีความสนใจเดยี วกัน

3.3 สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) โรงเรียนสามารถที่จะจัด
สภาพแวดลอ้ มโดย เอ้ือต่อการเรียนรู้ทห่ี ลากหลาย คานึงถึงประสบการณ์ และความสนใจของผู้เรียน
เพือ่ ช่วยให้ผ้เู รียน

3.4 เรียนรู้ผ่านการสังเกต การสารวจ การทดลอง และการค้นพบ ซึ่งการเรียนรู้แบบ
ช้ีนาตนเองเป็นการเรียนรู้แบบก้าวหน้า เป็นการผสมผสานระหว่างความรู้ ทักษะ และวิธีคิดท่ีจะ
นาไปใช้ในสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกตา่ งกนั ตามเป้าหมายที่แตกตา่ งกนั

3.5 พลังของการเลือก (Power of Choice) โรงเรียนควรให้อิสระแก่นักเรียนในการ
เลือกกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการนาเสนอการเรียนรู้ เครื่องมือและกลยุทธ์การเรียนรู้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะ
ชว่ ยใหพ้ วกเขาพยายามตอ่ ไปในการเรยี นรู้แบบช้นี าตนเอง

3.6 ส่งเสริมระบบสนับสนุน (Promote Support Systems) โรงเรียนควรให้การ
ส่งเสริมและสนับสนุนหลากหลายรูปแบบทั้งทางวิชาการ โปรแกรมผชู้ ่วยการเรยี นรู้ รวมถึงอาจารย์ท่ี
ปรึกษาด้านวิชาการ เพื่อช้ีแนะพวกเขาในทิศทางท่ีถูกต้อง ซ่ึงเป็นประโยชน์อย่างมากสาหรับนักเรียน

84

3.7 ให้เข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูงได้โดยง่าย (Provide Easy Access
to High Quality Learning Resources) โรงเรียนควรเตรียมทรัพยากรการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์
อย่างหลากหลายสาหรับผู้เรียน ซ่ึงประกอบไปด้วยบทเรียนออนไลน์ เครื่องมือประเมินระหว่างเรียน
แบบให้คะแนนอัตโนมัติ การตอบสนองรูปแบบต่าง ๆ และประสบการณ์การเรียนรู้แบบอื่น ๆ ที่เน้น
ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง

3.8 วัฒนธรรม (Culture) โรงเรียนท่ียึดม่ันในความคาดหวังและหลักการแต่มีความ
ยืดหยุ่นในการดาเนนิ งาน จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนสามารถปรับตัวเข้ากบั วฒั นธรรมของโรงเรยี นได้เปน็ อยา่ งดี
ซึ่งจะสง่ ผลดแี ก่นกั เรียนในการมีส่วนรว่ มและโอกาสที่จะประสบความสาเร็จ

3.9 ฉลองให้กับการเรียนรู้ (Celebrate the Learning) เม่ือเรียนครบหลักสูตรและ
บรรลุเป้าหมายแล้ว นักเรียนควรรู้สึกถึงความสาเร็จ โดยการมอบเกียรติบัตร หรือรางวัลท่ีบ่งบอกถึง
ความสาเรจ็

4. การพฒั นาระดบั ครอบครัวและชมุ ชน มีดงั น้ี
4.1 สร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย (Create a Rich Learning

Environment) โดยพยายามมองรอบ ๆ บา้ นหรอื ชุมชนของเรา ให้เป็นสถานท่ีแห่งการเรียนรู้ เพราะ
การเรียนรู้สามารถเกดิ ข้ึนได้ตลอดเวลาและทุกสถานท่ี เช่น ในชีวติ ประจาวัน การทัศนศึกษา การจัด
วางหนังสือ บทความ โปสเตอร์ศิลปะ หนังสือพิมพ์ ให้กระจัดกระจายไปทั่วบ้าน เพ่ือที่ว่าเมื่อเด็ก ๆ
มองไปที่ไหนพวกเขาก็จะถูกล่อตาล่อใจให้อ่าน สังเกต และเพลิดเพลินไปกับมิติอ่ืนได้ จัดให้มีมุมการ
เรียนรู้ในบ้าน หรือ สถานที่แห่งการค้นพบ ปล่อยให้เกิดความเลอะเทอะยุ่งเหยิง แล้วสอนพวกเขาถึง
วิธที าความสะอาด

4.2 ให้เวลาอย่างเพียงพอในสิ่งที่สนใจ (Create a Rich Learning Environment) การที่
ความสนใจและการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองจะเกดิ ขึ้นได้น้นั ท้ังเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็ตอ้ งการเวลา เวลาที่จะ
ฝัน เวลาในการสร้างเป้าหมาย เวลาในการวางแผน และเวลาทจ่ี ะดาเนินการ

4.3 อภิปรายในส่ิงที่สนใจ (Discuss Interests) ไม่ว่าอะไรก็ตามท่ีเข้ามาในบ้านของ
เรา เราจาเป็นต้องมีส่วนร่วมกับลูก ๆ ของเราเก่ียวกับความสนใจของพวกเขา ให้พวกเขาบอกคุณ
เกี่ยวกับความสนใจของพวกเขา ถามคาถาม ตงั้ คาถามและบอกให้พวกเขาศึกษาสง่ิ นั้นเพ่ือหาคาตอบ

4.4 ทาให้เป็นหลักสูตรจริง ๆ โปรแกรมการเรียนรู้ส่วนบุคคล (เลือกทา/ไม่ทาก็ได้)
(Formalize the Course - Individual Learning Program (Optional) ส่ิงน้ีช่วยยืนยันความสนใจ
ของลูกคุณว่าเป็นเร่ืองถูกต้อง หากต้องการ คุณสามารถทาเป็นหลักสูตรที่มีแบบแผนและสร้าง
โปรแกรมการเรยี นรเู้ ป็นรายบุคคลซ่งึ เปน็ ของพวกเขาเอง

4.5 ฉลองให้กับการเรียนรู้ (Celebrate the Learning) เมื่อเขาได้นาเสนอในส่ิงที่
สนใจจนสาเร็จแล้ว เด็กบางคนก็อาจต้องการได้รบั การยอมรบั ในการเรียนรู้ของพวกเขาในรูปแบบอ่ืน
หรอื ได้รับคาชมเชย การจดั เล้ยี งอาหาร เป็นตน้

2.3.5 ทศั นะเกี่ยวกบั ขัน้ ตอนการพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้แบบชนี้ าตนเอง (Steps for
developing Self-Directed Learning Skills)

Harvey (2019) กลา่ วถงึ Steps for developing Self-Directed Learning ไวด้ งั นี้
4 ขนั้ ตอนกระบวนการสาหรับการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ซึ่งเขยี นขึ้นโดยมหาวทิ ยาลยั วอเตอรล์ ู มดี งั นี้

85

ข้นั ตอนที่ 1 การประเมินความพร้อมในการเรยี นรู้
ผเู้ รยี นต้องอาศยั หลายทักษะและทัศนคตใิ นการเรียนรูเ้ พอื่ ประสบความสาเร็จในการศึกษา
คน้ คว้าด้วยตนเอง ข้ันตอนน้ีจะให้นักเรียนทาการประเมินตนเองในสถานการณ์ปัจจุบัน ลักษณะนิสัย
ในการเรียนรู้ สถานการณ์ทางครอบครัว และเครือข่ายการสนับสนุนท้ังในสถานศึกษาและที่บ้าน ซ่ึง
เก่ียวข้องกับการประเมินประสบการณ์ในอดีตด้วยการศึกษาค้นคว้าอิสระ สาหรับเครื่องมือในการ
ประเมนิ ทักษะการเรียนรแู้ บบละเอยี ด กรณุ าอ่านเพ่ิมเตมิ ได้ที่เคล็ดลบั การสอนด้านความพรอ้ มในการ
เรยี นร้ขู องเรา (Readiness to Learn Teaching Tip) สัญญาณความพร้อมด้านทกั ษะการเรียนรู้ด้วย
ตัวเองน้ันหมายรวมถึง การเป็นอิสระ การมีระเบียบวินัยใน ตนเองสามารถส่ือสารได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ การสามารถยอมรับข้อเสนอแนะท่ีสร้างสรรค์และการมีส่วนร่วมในการประเมินตนเอง
และการสะท้อนตนเองอกี ดว้ ย
ขนั้ ตอนท่ี 2 การต้งั เปา้ หมายการเรียนรู้
การพูดคุยเร่ืองเป้าหมายการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นเร่ือง สาคัญ
ทางเราได้พัฒนาชุดคาถามสาหรบั ผ้เู รยี นในการใช้พิจารณาเป้าหมายการเรียนรู้ซ่งึ ผ้เู รียนไดก้ าหนดข้ึน
ดังในคู่มือการกาหนดแผนการเรียนรู้ของเรา (Unit Planning Decision Guide) และสิ่งสาคญั ในการ
พัฒนาความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายการเรียนรู้ระหว่างผู้เรียน และอาจารย์ท่ีปรึกษาก็คือ
สญั ญาการเรียนรู้ (Learning Contracts) ซง่ึ สญั ญาการเรียนรโู้ ดยทว่ั ไปนนั้ ได้แก่

- ต้งั เปา้ หมายสาหรบั หนว่ ยการเรียนรู้
- กาหนดโครงสร้างและลาดับของกจิ กรรม
- กาหนดลาดับเวลาในการทาแต่ละกจิ กรรมใหเ้ สร็จสิน้
- กาหดรายละเอยี ดเกยี่ วกับทรพั ยากรที่ตอ้ งใช้ในแต่ละเปา้ หมาย
- ชีแ้ จงรายละเอียดเก่ียวกับขนั้ ตอนการใหค้ ะแนน
- ให้ข้อเสนอแนะและการประเมินผลในแตล่ ะคร้ังทเี่ ป้าหมายบรรลุผลสาเร็จ
- วางแผนประชุมกับอาจารย์ทปี่ รึกษา
- ทาข้อตกลงเกีย่ วกบั นโยบายในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ เช่น นโยบายในการมอบหมาย
งานลา่ ช้า เป็นต้น
- เม่ือได้ทาสัญญาการเรียนรู้ขึ้น ควรมีการประเมินสญั ญาโดยสมาชิกท่ีปรึกษาของคณะ
และมีการต้ังคาถามด้านความเป็นไปได้ต่าง ๆ (ตัวอย่างเช่น มีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง ? มีข้อมูลมาก
หรอื นอ้ ยเกินไปหรอื ไม่? เวลาและการประเมินสมเหตุสมผลหรือไม่ ?) เป็นตน้
ขนั้ ตอนที่ 3 การมสี ว่ นร่วมในกระบวนการการเรยี นรู้
นักเรียนต้องมีความเข้าใจในตนเองในฐานะผู้เรียนเพ่ือเข้าใจความต้องการของตนเอง ใน
ฐานะนกั เรยี นที่เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การแนะแนวให้นักเรียนร้จู กั แหล่งขอ้ มูลของเราเพื่อใหน้ ักเรียนได้
เรียนรตู้ ามความชอบของตนน้ันมีประโยชนม์ าก นักเรยี นต้องสามารถที่จะตอบคาถามดงั ต่อไปน้ีได้
- อะไรคือสง่ิ ท่ฉี นั ตอ้ งการในการเรยี นการสอน?
- ครคู นไหนท่ฉี ันชอบทส่ี ุด? ทาไมถงึ ชอบ?
- ครูท่ีชอบน้ันสอนแตกต่างจากครูคนอื่น ๆ อย่างไร? นักเรียนควรมีการสะท้อนผล
เหล่านใ้ี นการเรียนการสอนและแทนท่ีคาวา่ “คร”ู ดว้ ย “อาจารยท์ ่ีปรึกษา”


Click to View FlipBook Version