The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระปลัดเล็ก อานนฺโท (ทองแสน)-ดุษฎีนิพนธ์-สมบูรณ์ (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Phrapalad Lek, 2022-08-16 06:42:33

พระปลัดเล็ก อานนฺโท (ทองแสน)-ดุษฎีนิพนธ์-สมบูรณ์ (1)

พระปลัดเล็ก อานนฺโท (ทองแสน)-ดุษฎีนิพนธ์-สมบูรณ์ (1)

86

- นักเรียนตอ้ งเข้าใจวิธีการในการเรยี นดงั ตอ่ ไปนี้
วิธีการเรียนแบบลุ่มลึก (A deep approach) ใช้เพื่อการเรียนรู้ท่ีเก่ียวข้องกับการนาไป
ประยุกต์ใช้และเป็นการเรียนรู้ท่ีเหมาะสาหรบั การเรียนรู้ด้วยตนเอง วิธีการเรียนรู้แบบนี้เก่ียวข้องกับ
การทาความเข้าใจสิ่งท่ีตนเองต้องการ การนาความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ และการอธิบาย
แนวคดิ ด้วยภาษาใหม่ ๆ และการเรียนรู้ทลี่ ึกเกนิ กว่าที่จาเปน็ ต้องใชใ้ นบทเรียน
วิธีการเรียนแบบผิวเผิน (A surface approach) วิธีการน้ีเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอด น้ันก็
คือการคัดลอกส่วนท่ีจาเป็นต้องเรียน เป็นการเรียนรู้เฉพาะเรื่องท่ีจาเป็นในบทเรียนเพ่ือให้การเรียน
ผ่านไปไดด้ ว้ ยดี และเป็นการสามารถยกตัวอย่างและอธิบายสิง่ ท่เี รียนได้
วิธีการเรียนเชิงกลยุทธ์ (A strategic approach) วิธีการน้ีเก่ียวข้องกับองค์กร คือการ
ได้มาซึ่งผลการเรียนท่ียอดเย่ียมที่สุดเท่าที่สามารถจะทาได้ การเรียนในเนื้อหาท่ีจาเป็นต่อการสอบ
ผา่ น การจดจาข้อเท็จจริง และการใช้เวลาทบทวนจากการสอบท่ีผ่าน ๆ มา
ก่อนหน้าน้ี งานวิชาการมักจะส่งเสริมวิธีการเรียนแบบผิวเผินหรือวิธีการเรียนเชิงกลยุทธ์
ในการเรยี น ซง่ึ วิธีการเรียนรู้ทง้ั สองแบบนั้นไม่เพียงพอ (หรอื เหมาะสม) สาหรับการศึกษาค้นคว้าด้วย
ตนเอง (Independent Study) การศึกษาคน้ คว้าด้วยตนเองจาเปน็ ต้องใชว้ ิธกี ารศึกษาแบบลุ่มลึก ซ่ึง
นักเรียนต้องเข้าใจแนวคิดและสามารถนาความรู้ไปใช้ในสถาณการณ์ใหม่ ๆ ได้ นักเรียนจะต้องสร้าง
ความเชือ่ มโยงและเปน็ แรงบันดาลใจในการเรียนร้ใู ห้แก่ตนเอง
ขนั้ ตอนที่ 4 การประเมินการเรยี นรู้
สาหรับนักเรียนท่ีต้องการประสบความสาเร็จในการเรียนรู้ด้วยตนเอง นักเรียนต้องมีการ
สะท้อนผลตนเองและประเมินผลตนเองดา้ นเป้าหมายการเรยี นร้ใู นแต่ละหน่วยการเรียน เพื่อส่งเสริม
กระบวนการประเมินตนเอง ผู้เรียนควรปรึกษาอาจารย์ท่ีปรึกษาอย่างสม่าเสมอ ขอผลตอบรับ และมี
สว่ นรว่ มในการสะท้อนผลสาเร็จของตนเอง ซึ่งเก่ียวขอ้ กับขอ้ ดังตอ่ ไปนี้

- ฉันจะรู้ไดอ้ ยา่ งไรว่าฉันไดเ้ รยี นไปแล้ว ?
- ฉันมีความยืดหยนุ่ ในการปรับและนาความร้ไู ปใช้ไหม ?
- ฉันมคี วามมนั่ ใจในการอธิบายสงิ่ ตา่ ง ๆ หรอื ไม่ ?
- เมอื่ ไรฉันจะรวู้ า่ ได้เรยี นรู้อยา่ งเพยี งพอแลว้ ?
- เมือ่ ไรคอื เวลาสะท้อนผลตนเองและเวลาทจ่ี ะต้องเขา้ พบอาจารยท์ ี่ปรึกษา ?
- ความรับผดิ ชอบในกระบวนการ 4 ขัน้ ตอน การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างประสบ
ความสาเร็จน้ันจาเป็นต้องอาศัยความรับผิดชอบและบทบาทบางอย่างจากทั้งผู้เรียนและอาจารย์ท่ี
ปรึกษา ข้อดังต่อไปนี้เป็นการแสดงบทบาทหน้าท่ีท่ีสาคัญโดยสรุป ซ่ึงมีประโยชน์ต่อท้ังผู้เรียนและ
อาจารย์ท่ีปรึกษาเพ่ือใช้ตรวจสอบและเพื่อสื่อสารเป็นคร้ังคราวว่าแต่ละคนรู้สึกว่าอีกฝ่ายปฏิบัติตาม
ความรับผดิ ชอบของตนทม่ี รี ่วมกนั หรือไม่
บทบาทของผเู้ รยี น
- ประเมนิ ความพร้อมในการเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
- ต้งั เปา้ หมายการเรียนรู้และสร้างสัญญาการเรยี นร้ขู ้ึนมา
- สงั เกตกระบวนการเรียนร้ขู องตนเอง

87

- เป็นผู้ริเริ่มในทุกขั้นตอนกระบวนการการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นแรงบันดาลใจให้
ตนเอง

- ประเมินหรือปรับเปลยี่ นเป้าหมายหากจาเป็นระหวา่ งหนว่ ยการเรียน
- ขอคาแนะนาจากอาจารยท์ ่ปี รึกษาเม่ือจาเปน็
บทบาทของผู้สอน
- สร้างสงิ่ แวดล้อมการเรยี นรู้แบบรว่ มกัน
- ชว่ ยกระตุ้นและชน้ี าประสบการณก์ ารเรยี นรู้ของผู้เรยี น
- สง่ เสริมความคดิ รเิ รม่ิ ในการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น
- พร้อมให้คาปรกึ ษาแก่ผู้เรียนตามความเหมาะสมในระหว่างกระบวนการเรียนรู้
- ทาหน้าทเี่ ป็นทป่ี รกึ ษามากกว่าทจี่ ะเป็นครูผู้สอนอย่างเปน็ ทางการ
- หากผู้เรยี นตอ้ งการเติบโตสูโ่ ลกแห่งอนาคต พวกเขาจาเป็นตอ้ งเชย่ี วชาญดา้ นการ
เรียนรดู้ ้วยตนเอง ด้านการวเิ คราะห์และการแก้ไขปัญหา
ในฐานะผู้ให้ศึกษา วิธีการท่ีสาคัญในการส่งเสริมทักษะเหล่าน้ีให้แก่ผู้เรียนคือการสร้าง
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ ให้ผู้เรียนได้มี
โอกาสศกึ ษาดว้ ยตนเองและศึกษารว่ มกบั ผู้อน่ื และสร้างบรรยากาศแห่งความคิดสร้างสรรค์ขน้ึ
Bull (2013) กล่าวถึง Steps for developing Self-Directed Learning ไวด้ ังน้ี
5 ข้ันตอนง่าย ๆ ในการพฒั นาแผนการเรยี นรูท้ ี่กาหนดด้วยตนเอง
การเรียนรู้แบบลงมือทาไม่ใช่เรื่องใหม่ มีตัวอย่างให้เห็นนั้นก็คือ โปรเจค 4-เอช ซ่ึงเป็น
คลับสมาคมท่ีมีอยู่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ ค.ศ.1990 ขณะที่บางคนคิดว่า 4-เอช
มุ่งเน้นไปที่งานที่เก่ียวข้องกับด้านชีวิตในชนบทโดยส้ินเชิง ซ่ึงความคิดเช่นนี้ห่างไกลจากภาพของ 4-
เอช ในปัจจบุ นั นี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น 4-เอชกลับเป็นรูปแบบท่ีหลากหลายและมีประสิทธภิ าพในการ
ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยการลงมือทา การสร้างจรวด การเล้ียงหมู การถ่ายภาพ การปลูกดอกไม้ การ
เพ่ิมทักษะการพูดในที่สาธารณะหรือเข้ารับการฝึกอบรมความเป็นผู้นา เป็นต้น นอกจากนั้นโปรเจค
4-เอชคลับน้ีซึ่งมีขึ้นเพ่ือเยาวชนคนรุ่นใหม่ท่ัวสหรัฐอเมริกา โปรเจคประเภทแรก ๆ ท่ีพวกเขาสามาร
เลือกทาได้ก็คือ “โปรเจคการวางแผนให้ตนเอง” (Self-Determined Project) ซ่ึงเป็นโอกาสสาหรับ
หนุ่มสาวอายุน้อยในการตั้งกาหนดการของตนเอง เลือกทาโปรเจคท่ีตนอยากทาและลงมือทาโปรเจค
น้นั ซึ่งเราจะเรียกเอกสาร/แนวทางเหล่านีว้ ่าการวางแผนให้ตนเอง
ซึ่งโปรเจคมจี ุดเรม่ิ ตน้ ดังนี้
“คุณสามารถออกแบบโปรเจค 4-เอช ได้ในแบบของตัวเอง ออกแบบในสิ่งท่ีคุณชอบ ซ่ึง
อาจจะเปน็ ในรูปของงานอดิเรก ความสนใจ หรอื อะไรก็ตามท่ีคุณอยากทา
โลกน้ีคือสถานที่อันน่าต่ืนเต้นและมีสิ่งให้เราทาและเรียนรู้อย่างไม่มีวันจบสิ้น จงคิดการใหญ่! นี่คือ
โอกาสในการออกไปแตะขอบฟา้ ของคณุ ”
ทาในสิ่งที่คุณฝันอยากทามาตลอด ตรวจหาจุลินทรีย์ตัวเล็ก หาจุดเริ่มต้น หรือศึกษาการ
ทางานของรัฐบาล หรือเขียนคอลัมน์ลงหนังสือพิมพ์ อย่าจากัดตัวเองด้วยส่ิงท่ีเคยทาอยู่เป็นประจา
ลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่มีใครเคยทามาก่อน! นี่แหละโอกาสในการเร่ิมต้นทาสิ่งใหม่ ๆ ของคุณ
และ 4-เอช

88

ขอ้ ความ/แนวทางที่มีให้นัน้ เป็นแมแ่ บบท่เี รียบง่ายแต่ยอดเย่ียมสาหรับการเรยี นรูด้ ว้ ย
ตนเอง ต่อไปนเ้ี ป็น 5 ขนั้ ตอนที่ฉนั สรุปออกมาแบ่งปนั ให้ได้อ่านกนั

1. ตดั สนิ ใจเลอื กในส่งิ ท่ีคณุ อยากทาในโปรเจค
2. พฒั นาแผนการในการทาโปรเจค
3. กาหนดความชว่ ยเหลือท่ีคุณจาเปน็ ในการทาโปรเจคแต่ละสว่ น
4. ออกแบบวธิ ที ใ่ี ช้ในการบันทกึ ความก้าวหนา้ ของคุณ
5. เผยแพร่ (แบง่ ปัน) ส่ิงท่ีคุณได้ทาละเรียนร้รู ะหว่างทาง
ข้อความเหลา่ น้ยี งั ช่วยพัฒนาลาดบั ขั้นเวลาและการค้นหา “ตวั ชว่ ย”
การเรียนรู้ด้วยตนเองน้ันไม่ได้เป็นสิ่งที่ซับซ้อน เป็นเพียงรูปแบบการศึกษาร่วมสมัยที่เป็น
ทางการที่เป็นเรื่องแปลกใหม่มากข้ึนเร่ือย ๆ ซ่ึงยกระดับมาตรฐานและผลลัพธ์ท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้า
เหนือสิ่งใด แม่แบบง่าย ๆ สาหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองน้ันมีประสิทธิภาพด่ังแนวทางปฏิบัติ และ
สามารถนาไปใช้กับบริบทท่หี ลากหลาย เช่นดังต่อไปนี้
สาหรบั การเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ
1. ใช้เป็นเครื่องมือในการสอน ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นได้สัมผสั ประสบการณ์การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
ภายในโรงเรียนท่มี กี ารเรียนการสอนแบบดั้งเดิม
2. ใช้สาหรับการเรียนรู้ที่บา้ น
3. เป็นแผนพฒั นาวิชาชีพสาหรับบคุ คลในทุกสาขาอาชพี หรือสาหรับ
4. นักศึกษาระดับบัณฑิตศกึ ษาทก่ี าลงั ทาวิทยานิพนธ์หรือปริญญานพิ นธ์
มีขอ้ ดีอย่างไรบ้าง ?

- ช่วยสร้างความมั่นใจ
- สร้างความสามารถ
- สรา้ งคณุ ลกั ษณะ
- สร้างทกั ษะการแกป้ ัญหา
- สร้างทักษะด้านการวจิ ัย
- สร้างทกั ษะการต้งั เปา้ หมาย
- สร้างทักษะดา้ นการกากับตนเอง
- ช่วยสร้างสิ่งท่ีทรงคณุ ค่าให้แก่ผูอ้ นื่ อยา่ งแทจ้ รงิ
- เป็นรางวัลอยา่ งแทจ้ รงิ
- จากมุมมองทางจิตวิทยาเชิงบวก แม่แบบเหล่านี้มีองค์ประกอบทั้ง 5 ประการของ
โมเดล PERMA ได้แก่ อารมณ์ ในเชิงบวก (Positive Emotion), ข้อผูกพั น (Engagement),
ความสัมพันธ์เชิงบวก (Positive Relationships), ความหมาย (Meaning), และการบรรลุเป้าหมาย
(Accomplishment)
Dobbs (2017) เป็นศิลปินและนักการศึกษา อยู่ในเมือง Plymouth (สหราชอาณาจักร)
กลา่ วถึง Steps for developing Self-Directed Learning ไว้ดังนี้
5 ขนั้ ตอนในการสรา้ งแผนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองขนึ้ มาเอง

89

คุณกาลังมองหาการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่ท้าทายอยู่ใช่หรือไม่? ฉันได้รวบรวมคู่มือนี้เพ่ือช่วยให้
คุณออกแบบเสน้ ทางการเรยี นรดู้ ้วยตวั คณุ เอง

1. เขา้ ใจในแรงบนั ดาลใจของคณุ เอง
1.1 เร่ิมด้วยการถามตัวเองว่าทาไมคุณจึงอยากจะเรียนรู้ทักษะใหม่น้ี ทาความเข้าใจ

แรงบันดาลใจของตัวเองในการเรียนรู้จะทาให้คุณมีความแนว่ แน่และมัน่ คงในเวลาท่ีคุณคิดจะยอมแพ้
(ซง่ึ อาจเกิดข้นึ ในจดุ หนง่ึ ระหวา่ งเสน้ ทางการเรยี นรู้ดว้ ยตัวเองของคุณ!)

1.2 เลือกส่ิงที่คุณต้องการทาให้สาเร็จ อะไรที่คุณอยากทาเพื่อมัน และอะไรคือ
เปา้ หมายของคณุ คณุ สามารถเร่มิ ทาส่งิ นไ้ี ดโ้ ดยเริ่มจากถามตัวคณุ เองดว้ ยคาถามต่อไปน้ี

1.3 ฉนั อยากร้อู ะไร? และอะไรคือส่งิ ทฉ่ี นั อยากจะทาความเข้าใจใหช้ ัดเจนย่งิ ขึ้น?
1.4 ฉนั อยากทา้ ทายตวั เองด้วยการเรยี นรู้สง่ิ ใหม่ ๆ อย่างไร?
1.5 อะไรคือสิ่งสาคัญในการเรียนรเู้ รอ่ื ง ก ข ค ?
1.6 การเรียนรู้เรื่อง ก ข ค มีความสัมพันธ์กับสิ่งอ่ืน ๆ ท่ีฉันต้องการบรรลุผลเช่น
หน้าท่กี ารงาน ชวี ิต และความสัมพนั ธก์ บั ผู้อน่ื ท่อี ยา่ งไร?
1.7 ฉันจะใช้วิธีการใดบ้างในการเรียนรู้เร่ือง ก ข ค ซ่ึงจะช่วยให้ฉันมีความม่ันใจ มี
ประโยชน์ตอ่ การทางาน ชวี ติ และความสัมพันธ์ของฉันกบั คนอนื่ ๆ?
1.8 ฉันจะใช้ความรู้และทักษะใหม่ในการช่วยเหลือผู้อ่ืน หรือใช้เพ่ือริเริ่มโครงการใหม่ ๆ
ได้อย่างไรบ้าง?
1.9 การเรียนรู้เรื่อง ก ข ค ช่วยให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถเลือกทาในสิ่งท่ีต้องการไม่
วา่ จะเป็นเรื่องงาน เร่ืองส่ิงแวดลอ้ ม หรอื แม้แตแ่ งม่ ุมอื่น ๆ ในชีวติ ไดอ้ ยา่ งไร?
1.10 ความสาเร็จของฉันในการเรียนรู้เรื่อง ก ข ค จะเป็นท่ียอมรับของผู้อ่ืนได้
อย่างไร?
1.11 คุณจะเข้าใจประโยชน์ในการเขียนคาตอบเหล่าน้ีให้กับตัวเอง สิ่งเหล่าน้ีจะเป็น
ประโยชน์เมื่อคุณมองกลับไปหลังจากท่ีคุณได้ทุ่มเทไปกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ คุณจะเร่ิมเห็นว่าคุณมา
ไกลแค่ไหน และจะนึกถึงจุดท่คี ุณเพ่ิงเร่มิ กระบวนการท้งั หมดตงั้ แตต่ ้น
1.12 ตอนน้ีคุณเข้าใจเป้าหมายของการเรียนรู้ได้อย่างดีข้ึนแล้ว คุณจะรู้สึกว่าการมี
แรงใจในการเรียนรู้ในระยะยาวเป็นเรื่องง่ายข้ึน และเมื่อไรทีคุณรู้สึกแย่หรือเสียสมาธิกับการเรียนรู้
คุณจะสามารถพาตัวเองกลับมายังจุดท่ีมีแรงบันดาลใจได้ย่างรวดเร็ว และต้องย้าเตือนตนเองเสมอว่า
“สิ่งท่ฉี ันกาลงั ทาอยู่นน้ั สาคัญเพราะว่าฉนั กาลังทาเป้าหมายเร่ือง ก ข ค ให้สาเร็จ [ระบแุ รงบันดาลใจ
ของคณุ ]”
2. มคี วามชดั เจนและฉลาด (S.M.A.R.T.) ด้านสิ่งทค่ี ุณวางแผนจะเรยี นรู้
2.1 เพื่อช่วยจัดโครงสร้างการเรียนรู้ของคุณ ลองใช้กรอบโครงสร้างแบบ S.M.A.R.T.
ในการช่วยคณุ วางแผนในสิ่งที่จะทาได้อย่างชัดเจนยง่ิ ขึน้
2.2 ตั้งเป้าหมายท่ีเฉพาะเจาะจง (Specific) ในสิ่งท่ีคุณอยากทา เขียนลงบนกระดาษ
ว่าอะไรคือส่ิงท่ีคุณพร้อมจะทุ่มเทเรียนรู้สักหนึ่งประโยค หากว่าหัวข้อหรือเนื้อหาท่ีสนใจกว้างไป ตัด
ทอนให้แคบลงเพื่อให้มีความเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น แยกย่อยออกมาเป็นด้านต่าง ๆ หาจาเป็นและ
เลือกหัวข้อทส่ี นใจท่ีสุดเป็นอันดับแรก การใช้เวลากับข้ันตอนนี้ก่อนจะเริ่มหาขอ้ มูลออนไลนน์ ้ันถือว่า

90

น้ันคุ่มค่าเพราะช่วยให้คุณรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณสนใจเร่ืองอะไรและเป็นการช่วยประหยัดเวลาในระยะ
ยาวได้อีกด้วย

2.3 คุณต้องสามารถประเมิน (Measure)ระยะเวลาในการเรียนรู้ของคุณได้ ซึ่ง
หมายถึงสามารถทจ่ี ะประเมินการใชเ้ วลาในการทากิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองที่กาหนดเวลาไว้เป็น
จานวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรืออาจหมายถึงการท่ีคุณสามารถทาสิ่งใดส่ิงหน่ึงให้สาเร็จได้ ตัวอย่างเช่น
“ฉันอยากใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Lasso tool ในโปรแกรม Photoshop เป็น” หรือ “ฉันอยากเขียน
บล็อกเกี่ยวกับการเรยี นการสอนดา้ นฝ่ายซ้ายท่ีมีความยาว 300 คาได้” หรือ “ฉันอยากเย็บเบาะแบบ
ปะติดปะต่อกันตามแบบได้” เป็นต้น การสามารถประเมินเวลาที่ต้องใช้ในการบรรลุเป้าหมายได้น้ัน
หมายถึงว่าคุณประมาณได้ว่าเม่ือไรจะทาเป้าหมายได้สาเร็จ และเป็นการช่วยคุณจัดตารางการทา
กิจกรรมและเฉลมิ ฉลองความสาเร็จให้คณุ อีกดว้ ย

ภาพที่ 2.3 แผนภาพความชดั เจนและฉลาด (S.M.A.R.T.) ตามแนวคิดของ Rachel Dobbs

ถ า ม ตั ว คุ ณ เอ ง ว่ า เป้ า ห ม า ย ก า ร เรี ย น รู้ ท่ี คุ ณ ว า ง แ ผ น ไ ว้ น้ั น ส า ม า ร ถ ท า ให้ ส า เร็ จ ไ ด้
(Achievable)หรือไม่ คุณต้องจดั การอะไรต่อมิอะไรให้เข้าที่เข้าทางกอ่ นและต้องมนั่ ใจได้ว่าคณุ มเี วลา
เพียงพอที่จะใช้กับการเรียน รวมไปถึงการมีสถานท่ีอันเหมาะสมสาหรับการทางานหรือการเรียนซึ่ง
คุณสามารถให้เวลากับการเรียนรู้น้ีได้ คุณอาจต้องว่าจ้างสถานท่ีดูแลเด็กเพ่ือดูแลลูก ๆ ขอบคุณหรือ
อาจต้องจัดหาทรัพยากรอื่น ๆ ท่ีจาเป็นต้องใช้ประกอบการเรียนรู้ (ตัวอย่าง เช่น อินเตอร์เน็ต หูฟัง
หรอื อุปกรณ์ซง่ึ คุณสามารถหยบิ ใช้ได้เมอ่ื ต้องการ เป็นต้น)

หากคุณพบว่าการเรียนออนไลน์ในอดีตเป็นเรื่องยาก ให้เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ก่อน ใช้ความ
มุง่ ม่ันและเวลาทีละน้อยในการศึกษาและ/หรือให้ผู้อนื่ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของคุณ ให้
เริ่มต้นทาในส่ิงที่คุณอยากทาและทามันให้เข้าท่ีเข้าทาง คุณสามารถปรับเปลี่ยนส่วนใดส่วนหน่ึงท่ี
เฉพาะเจาะจง (Specific) / หรือส่วนที่สามารถประเมินเวลาในการบรรลุผลได้ (Measurable) ใน

91

เป้าหมายของคุณเพื่อทาให้เป้าหมายนั้นบรรลุผลสาเร็จได้ดีย่ิงขึ้น (ตัวอย่าง เช่น การเจาะจงขอบเขต
ของสง่ิ ท่ีชอบให้เลก็ ลงเพือ่ คน้ คว้าหรอื ศึกษาให้รอบรู้)

คุณต้องม่ันใจว่าสิ่งท่ีคุณกาลังศึกษานั้นเกี่ยวข้อง (Relevant) กับคุณหรือไม่ ซ่ึงเรื่องนี้
สัมพันธ์กับการทาความเข้าใจแรงบันดาลใจของคุณเองอย่างชัดเจน หากส่ิงท่ีคุณกาลังเรียนรู้อยู่น้ัน
เป็นการเรียนรู้ “เพ่ือ” คนอ่ืน คุณมีแนวโน้มที่จะอยากทาส่ิงน้ีน้อยกว่า แต่หากคุณเรียนรู้ในส่ิงที่คุณ
“ต้องการ” เข้าใจให้มากข้ึนเน่ืองจากส่ิงน้ีจะช่วยให้คุณสามารถนาไปศึกษาต่อหรือนาไปต่อยอดด้าน
ก ข ค ได้นั้นคุณจะรสู้ ึกไดเ้ ลยว่าคุณจะมคี วามต้ังใจ ทุม่ เทเวลาและพลงั ของคุณกบั ส่ิงนไ้ี ด้มากกวา่

กาหนดเวลา (Time) ที่คุณตั้งใจจะบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้แรกของคุณ ซึ่งอาจจะเป็น
เวลาภายในอาทิตย์นี้ ภายใน 2 อาทติ ย์ หรือภายใน 1 เดอื น เปน็ ตน้ การตง้ั เป้าหมายระยะสั้นสาหรับ
การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นเรื่องท่ีดีมากเนื่องจากจะช่วยให้คุณเป็นคนตั้งเป้าหมายและสร้างเป้าหมาย
ใหม่ท่ีเฉพาะเจาะจง (Specific) อยู่เสมอ เป้าหมายแบบ S.M.A.R.T. ของคุณอาจเก่ียวโยงกับ
เป้าหมายท่ีใหญ่กว่าหรือยาวนานกว่าซ่ึงเป็นเป้าหมายท่ีคุณกาหนดเอง เป้าหมายเหล่านั้นอาจไม่ใช่
เป้าหมายท่ีเฉพาะเจาะจงมากนัก (ตัวอย่างเช่นแรงจูงใจท่ีครอบคลุมไปหมดทุกเรื่อง) และไม่มี
กาหนดการท่ชี ัดเจน (ซง่ึ อาจใชเ้ วลานานกวา่ 30 วัน เปน็ ตน้ )

3. บริหารเวลาของคุณและติดตามการเรยี นรขู้ องคณุ
ส่ิงท่ีน่าสนใจของการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือการเรียนผ่านระบบออนไลน์ก็คือ คุณสามารถ
กาหนดการเรียนรู้ของตนเองและเรียนรู้ตามเง่ือนไขท่ีตนเองต้องการได้ ซ่ึงแตกต่างจากการเรียนใน
ระบบห้องเรียนเหมือนการศึกษาแบบท่ัวไป อย่างไรก็ตามการเรียนรู้แบบมีระบบ *สักเล็กน้อย* นั้น
เป็นส่ิงท่ีดี หนา้ ที่ของคณุ คอื ต้องตดั สนิ ใจวา่ จะเรียนในรปู แบบใด
คุณอาจจะต้องทาตารางการนัดหมายของตนเอง เช่น “หลังจากเลิกงานในวันพุธ ช่วงเวลา
ประมาณ 5-6 โมงเย็น ฉนั จะเรียนเร่ือง เป็นเวลา 1 ชว่ั โมง” หรอื “ระหว่างการเดินทางชว่ งเช้า ฉนั จะ
ฟังพอดคาสต์ในหัวข้อ และจดบันทึกไว้” เราแนะนาให้ใช้ Google Calendar หรือ Trello ช่วยใน
การจดั ตารางใหค้ ณุ
หากคุณพบกับความยากลาบากในการสร้างวินัยให้กับตนเอง ลองเช่ือมโยงการเรียนรู้เข้า
กับกิจวัตรประจาวันของคุณดู ตัวอย่างเช่นกิจกรรมในย่อหน้าที่แล้ว คุณอาจไม่จาเป็นต้องบังคับ
ตนเองมากเกินไป เพียงแค่ลองผสานการเรียนรู้เข้ากับกิจกรรมที่คุณมีความสุขในการทาในแต่ละวัน
อยู่แล้ว เช่น ในเย็นวันพฤหัส ฉันจะดูวีดีโอเพ่ือการเรียนรู้สองรายการ ความยาวรายการละ 10 นาที
กอ่ นทจ่ี ะดรู ายการอ่ืน ๆ ระหว่างการเดินเลน่ ในสวน
คุณอาจต้องใช้เวลาหาวิธีในการเรียนรู้ของคุณ รวมถึงเวลาที่เหมาะสมในการเรียนรู้ด้วย
บางคนอาจเหมาะกับการใช้เวลา 2-3 ช่ัวโมงต่อเน่ืองกันในการเรียนรู้ หรือบางคนอาจจะใช้เวลาเล็ก ๆ
น้อย ๆ ในแต่ละวัน คุณสามารถใช้โปรแกรม Pomodoro Timer ช่วยคุณจัดตารางและเน้ือหาในการ
เรยี นรู้ หรอื ใชเ้ ตอื นเพอ่ื ใหค้ ณุ หยุดพักจากการเรียนก็ได้
เพื่อจดบันทึกและติดตามการเรียนรู้ คุณจาเป็นต้องมีสมุดบันทึก หรือเอกสารท่ีหยิบมา
อ่านได้งา่ ย โดยมีหวั ข้อหลกั ท่ตี ้องคานงึ ถึงดังน้ี :

3.1 ฉันเหมาะกับสื่อการเรียนรู้รูปแบบใด (เว็บไซต์ วิดีโอ หรือการเรียนผ่านระบบ
ออนไลน์ และอ่ืน ๆ)

92

3.2 สรุปย่อของสิ่งทก่ี าลังพูดถงึ หรือสรุปหวั ขอ้
3.3 มคี วามคดิ เหน็ ใหม่ ๆ สาหรับสิง่ ทก่ี าลงั รบั ชม/สงิ่ ทีอ่ ่าน/หรือสง่ิ ท่กี าลังมีส่วนรว่ มอยู่
3.4 สง่ิ ที่เป็นความรใู้ หม่
3.5 สิง่ ท่ีฉนั ต้องการจะร้ใู นอนาคต หรือความสนใจท่ีกาลังติดตามอยู่
หากคุณเป็นคนที่เคร่งครดั กับการเรียนรู้มาก ๆ คุณอาจจะตรวจสอบบันทึกเหล่านี้สัปดาห์
ละครั้ง หรือเดือนละครั้งเพ่ือประเมินผลการเรียนรู้ว่าตรงกับเป้าหมายในการเรียนรู้ท่ีต้ังไว้ตอนแรก
หรือไม่ คุณอาจจะใช้เพ่ือปรับขอบเขตของเนื้อหาของการเรียนรู้ หรือปรับเวลาในการเรียนรู้เพื่อให้
คณุ เปน็ ผู้เรียนท่ีมีความปราดเปรอื่ งในเร่ืองนนั้ ๆ
4. สร้างเงื่อนไขในการเรียนรู้ของคุณ ให้ผู้อ่ืนมีส่วนร่วมกับความมุ่งม่ันของคุณด้วย บางที
อาจเป็นเพอ่ื นสนทิ ของคุณเองกไ็ ด้
บางทีการกาหนดและการบังคับตัวเองให้เป็นผู้เรียนรู้ที่ดีน้ันเป็นเร่ืองยาก เพ่ือแก้ปัญหานี้
เราแนะนาให้คุณ “อย่าทาอะไรคนเดียว” ข้ันตอนแรกท่ีจะช่วยคุณคือสร้างเงื่อนไขในการเรียนรู้
ร่วมกับคนอ่ืน ๆ บอกคนอ่ืน ๆ ว่าคุณสนใจเรื่องน้ีอยู่ อาจจะต้องเริ่มจากบอกเพ่ือนสนิทของคุณเอง
ครอบครัว หรือเพ่ือนร่วมงาน ลองให้พวกเขาช่วยตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ของคุณ หรือพวกเขา
อาจจะช่วยดึงคณุ กลบั เขา้ สู่ตารางการเรียนรู้ ในตอนทคี่ ณุ ไมท่ าตามแผนก็ได้
คุณสามารถจับคู่กับใครสักคนเพื่อเรียนรู้ความรู้ใหม่ ๆ ด้วยกัน ส่ิงท่ีเรียนรู้อาจไม่ใช่เรื่อง
เดียวกันก็ได้ สร้างข้อตกลงว่าต้องตรวจสอบการเรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ส่ิงสาคัญท่ีสุดคือการแบ่งปัน
ขอ้ มูลการเรยี นรู้ระหวา่ งกนั
ในกรณีทคี่ ุณไม่สามารถหาใครสักคนท่ีสนใจจะเรยี นรู้กบั คุณ คุณสามารถเข้าร่วมสังคมการ
เรยี นผา่ นระบบออนไลน์หรือทีเ่ รยี กสน้ั ๆ ว่า MOOC ยกตัวอย่างเชน่ Coursera หรือ Future Learn
ลองพยายามหากลุ่มที่อยู่ในชุมชนใกล้ ๆ กับคุณ เพื่อพบเจอกันในรูปแบบออนไลน์หรือพบเจอกันข้าง
นอก ลองใช้ Meetup.com หรอื Google Hangouts เพอ่ื ชว่ ยคณุ ในเรอ่ื งนี้กไ็ ด้
5. ประยุกต์ใชส้ ิง่ ทคี่ ุณกาลังเรยี นร้ไู ปใช้ในชีวติ จริง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิธีการเรียนรู้ท่ีดีที่สุดคือการเรียนรู้ผ่านโครงการจริง หากคุณต้องการ
พัฒนาความสามารถในการจัดงานเทศกาล คุณต้องจัดงานจริง ๆ หากคุณสนใจท่ีจะเรียนรู้เรื่องการ
เขียนเพื่อการเปลี่ยนแปลง คุณต้องจาเป็นต้องใช้ส่ิงท่ีเรียนมา แล้วเขียนบทความแสดงความคิดเห็น
เพื่อเผยแพร่ความคิดริเร่ิม เผยแพร่นโยบาย หรือเขียนบทบรรณาธิการ หากคุณอยากจะเจอความท้า
ทายทางด้านการออกแบบ ลองเสนอตัวไปออกแบบเอกสารหรือโปสเตอร์งานปาร์ต้ีให้กับเพื่อนของ
คุณดู หากคุณสนใจงานด้านธุรกิจ ให้คุณลองเสนอแผนธุรกิจที่มีศักยภาพให้กับผู้เช่ียวชาญได้
วเิ คราะห์แผนดู อาจจะลองใช้แผนธุรกิจของ Canvas กไ็ ด้
พยายามหาวิธีที่จะทาให้ความรู้ของคุณใช้งานได้จริง หากว่าสิ่งท่ีคุณเรียนมาสามารถใช้
แกป้ ัญหาในชวี ติ จรงิ ได้ มันจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนใหค้ ณุ รวมถึงสร้างโอกาสใหค้ ุณได้ทดสอบ
ความรู้และทักษะใหม่ ๆ ตลอดเวลา คุณจะพบว่าการลองกาหนดเวลาทางานให้กับตนเอง หรือการ
เตรียมการอภิปราย รวมถึงการเสนอตัวช่วยเหลือผู้อื่น ก็ช่วยให้คุณนาความรู้ของคุณไปใช้งานได้จริง
เชน่ กนั

93

เช่นเดียวกับการลองประยุกต์ใช้ความรู้ของคุณในการสอนผู้อื่น คุณอาจจะสอนทฤษฎีหรือ
ทักษะก็ได้ โดยปกติเม่ือคุณจะสอนอะไรบางอย่าง สถานการณ์จะบังคับให้คุณต้องวางแผน คิดและ
ปฏิบัติเกี่ยวกับส่ิงท่ีคุณได้เรียนรู้มา กระบวนการน้ีจะช่วยให้คุณได้เข้าใจว่าคุณได้เรียนอะไรมา และรู้
อะไรมาบ้าง รวมถงึ การที่คุณจะไดม้ องหาจุดบกพร่องและพฒั นาความรู้ของคุณต่อไป

นอี่ าจเป็นวิธที ีป่ ฏบิ ัตไิ ด้ยาก แตก่ ็คุม้ คา่ ทีจ่ ะทาตาม
2.3.6 ทศั นะเกยี่ วกับการประเมินทกั ษะการเรยี นรแู้ บบช้ีนาตนเอง (Assessment of
Self-Direction Learning Skills)
Williamson and Seewoodhary (2007) ได้นาเสนอเครื่องมือวัดระดับการประเมิน
ตนเองด้านการเรียนรู้แบบนาตนเอง (Self-Rating Scale for Self-Directed Learning: SRSSDL
tool) ในบทความวิจัยที่มีช่ือว่า Student Evaluation of the Usefulness of the Self-rating
Scale of Self-directed Learning tool in the FdSc in Health and Social Care Course (การ
ประเมินผู้เรียนด้านประโยชน์ของการประเมินตนเองเก่ียวกับเครื่องมือสาหรับการเรียนรู้แบบนา
ตนเอง โดย FdSc ในคอร์สการดแู ลสุขภาพและสังคม) ซึ่งตีพมิ พ์ในวารสาร Journal of Healthcare
Communications ปี ค.ศ. 2007 จุดประสงค์ของเคร่ืองมือนี้คือการชี้ให้เห็นระดับของการเรียนรู้
แบบนาตนเองของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา โปรดอ่านและวงกลมเลือกแต่ละข้อท่ีคิดว่าเป็นระดับที่
เหมาะสมกับตนเองมากท่ีสุด โปรดทราบว่าความคิดแรกที่ปรากฏข้ึนในใจหลังจากได้อ่านประโยคแต่
ละข้อมักจะเป็นคาตอบท่ีน่าเช่ือถือมากท่ีสุด ดังนั้นควรใช้เวลาเพียงส้ัน ๆ ในการอ่านแต่ละประโยค
ช่อง “อนื่ ๆ” ท่ีอยู่ดา้ นล่างนนั้ คุณสามารถเพ่ิมหัวข้ออะไรก็ไดท้ ่ีเก่ียวขอ้ งกับการเรียนรแู้ บบนาตนเอง
ส่วน “ใบให้คะแนน” มีไว้สาหรับประเมินว่าระดับการเรียนรู้แบบนาตนเองของคุณน้ันอยู่ในระดับใด
ระดับการให้คะแนน มดี ังน้ี 5 = สมา่ เสมอ 4 = บ่อย 3 =บางครงั้ 2 = นาน ๆ ครง้ั และ 1 = ไม่เคย
ตอนที่ 1 ทดสอบการตระหนกั รู้ (Awareness)
1) ฉันสามารถระบุความต้องการในการเรียนรู้อะไร (I identify my own learning
needs)
2) ฉันสามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สดุ ให้กับตวั เองได้ (I am able to select the best
method for my own learning)
3) ฉันคิดว่าครูคือผู้อานวยความสะดวกในการเรียนรู้มากกว่าเป็นเพียงผู้ให้ข้อมูล (I
consider teachers as facilitators of learning rather than providing information only)
4) ฉันเป็นคนที่อัพเดทแหล่งเรียนรู้ใหม่ ๆ เสมอ (I keep up to date on different
learning resources available)
5) ฉนั รบั ผิดชอบการเรยี นรู้ดว้ ยตัวเอง (I am responsible for my own learning)
6) ฉันสามารถที่จะบอกได้ว่าส่วนใดท่ีขาดหายไป (I am responsible for identifying
my areas of deficit)
7) ฉั น ส าม ารถ รักษ าแรงจู งใจข องต น เองไว้ได้ (I am able to maintain self-
motivation)
8) ฉนั สามารถวางแผนและตั้งเป้าหมายการเรยี นรู้ของตัวเองได้ (I am able to plan and
set my learning goals)

94

9) เวลาที่ทางานติดต่อกันเป็นเวลานาน ฉันจะมีช่วงเวลาพักผ่อนบ้าง (I have a break
during long periods of work)

10) ฉันมักจะแยกกิจวัตรการเรียนรู้ของฉันออกจากกิจวัตรอื่น ๆ (I need to keep my
learning routine separate from my other commitments)

11) ฉนั มักจะนาประสบการณ์ท่ีผ่านมามาประยุกตเ์ ข้ากับขอ้ มูลใหม่ ๆ เสมอ (I relate my
experience with new information)

12) ฉนั รู้สกึ ว่าฉนั กาลังเรียนรู้ด้วยตัวเองแม้ไม่ไดร้ ับคาแนะนาใด ๆ จากผ้สู อน (I feel that
I am learning despite not being instructed by a lecturer)

13) อ่นื ๆ (Any other:)
ตอนท่ี 2 ทดสอบกลยุทธ์ในการเรยี นรู้ (Learning Strategies)
1) ฉันมักจะมีส่วนร่วมในการอภิปรายภายในกลุ่มเสมอ (I participate in group
discussions)
2) ฉันพบว่าการท่ีเพ่ือนเป็นโค้ชนั้นเป็นอะไรที่มีประสิทธิภาพ (I find peer coaching
effective)
3) ฉันพบว่าการ “การสวมบทบาท” เป็นวิธีท่ีมีประโยชน์สาหรับการเรียนรู้ท่ีซับซ้อน (I
find ‘role play’ is a useful method for complex learning)
4) ฉันพบว่าการมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนน้ันมีประสิทธิภาพมากกว่าการนั่งฟัง
บรรยาย (I find inter-active teaching-learning sessions more effective than just listening
to Lectures)
5) ฉันพบว่าการจาลองภาพในการเรียนการสอนน้ันมีประโยชน์ (I find simulation in
teaching-learning useful)
6) ฉันพบว่าการเรียนรู้จากกรณีตัวอย่างนั้นมีประโยชน์ (I find learning from case
studies useful)
7) แรงผลกั ดนั ภายในใจนาฉนั ไปสกู่ ารพฒั นาและปรบั ปรุงการเรียนรูข้ องฉันใหด้ ีย่งิ ขน้ึ (My
inner drive directs me towards further development and improvement in my
learning)
8) สาหรับฉันแลว้ ปัญหาถือเป็นความท้าทาย (I regard problems as challenges)
9) ฉันจัดกิจวัตรการเรียนรู้ด้วยตนเองในลักษณะท่ีเป็นแนวทางในการช่วยพัฒนา
วัฒนธรรมการเรียนรู้ถาวรในชีวิต (I arrange my self-learning routine in such a way that it
helps develop a permanent learning culture in my life)
10) ฉันพบว่าแผนผังมโนทัศน์เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (I find concept
mapping is an effective method of learning)
11) ฉันพบว่าเทคโนโลยีการศึกษาที่ทันสมัยช่วยปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ของฉันให้ดี
ย่ิ ง ขึ้ น ( I find modern educational interactive technology enhances my learning
process)

95

12) ฉันสามารถเลือกกลยุทธ์การเรียนรู้ของตัวเองได้ (I am able to decide my own
learning strategy)

13) อน่ื ๆ (Any other:)
ตอนท่ี 3 ทดสอบกจิ กรรมการเรียนรู้ (Learning Activities)
1) ฉนั ทอ่ งจาและทบทวนบทเรียนใหมเ่ สมอ (I rehearse and revise new lessons)
2) ฉันระบุประเด็นสาคัญเม่ืออ่านบทเรียนหรือบทความ (I identify the important
points when reading a chapter or an article)
3) ฉันใช้การทาแผนผังมโนทัศน์/การเขียนโครงร่างซ่ึงเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการทาความ
เข้ าใจข้ อ มู ล ที่ ห ล าก ห ล าย (I use concept mapping/outlining as a useful method of
comprehending a wide range of information)
4) ฉันสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ (I am able to use
information technology effectively)
5) ฉันใช้สมาธิมากขึ้นและเพ่งความสนใจมากข้ึนเม่ืออ่านเน้ือหาที่มีความซับซ้อน (My
concentration intensifies and I become more attentive when I read a complex study
content)
6) ฉันจดบันทึกคาอธิบายประกอบหรือทาสรุปความคิด การสะท้อนและการเรียนรู้ใหม่
ทั้งหมดของฉัน (I keep annotated notes or a summary of all my ideas, reflections and
new learning)
7) ฉันเพลิดเพลินไปกับการค้นหาข้อมูลที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ของ
หลกั สูตร (I enjoy exploring information beyond the prescribed course objectives)
8) ฉนั สามารถเชื่อมโยงความรู้กับการลงมือปฏิบัติได้ (I am able to relate knowledge
with practice)
9) ฉันตั้งคาถามท่ีเก่ียวข้องในการเรียนการสอน (I raise relevant question(s) in
teaching-learning sessions)
10) ฉันสามารถวิเคราะห์และสะท้อนความคิด ข้อมูล หรือประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ
อ ย่ า ง มี วิ จ า ร ณ ญ า ณ ได้ (I am able to analyze and critically reflect on new ideas,
information or any learning experiences)
11) ฉันเปิดใจให้กับความเห็นของผู้อ่ืนเสมอ (I keep an open mind to others’ point
of view)
12) ฉันชอบท่ีจะหยุดพักระหว่างการเรียนแต่ละคร้ัง (I prefer to take any break in
between any learning task)
13) อ่ืน ๆ (Any other:)

ตอนที่ 4 ทดสอบการประเมินผล (Evaluation)
1) ฉนั ประเมินตนเองก่อนได้รบั คาติชมจากผ้สู อน (I self-assess before I get feedback
from instructors)

96

2) ฉันระบุประเด็นสาหรับการนาไปพัฒนาต่อไปเม่ือไรก็ตามที่ฉันจบบทเรียนแล้ว (I
identify the areas for further development in whatever I have accomplished)

3) ฉันสามารถติดตามความคืบหน้าการเรียนรู้ของฉัน (I am able to monitor my
learning progress)

4) ฉันสามารถระบุจุดแข็งหรือจุดอ่อนของตัวเองได้ (I am able to identify my areas
of strength and weakness)

5) ฉันรู้สึกขอบคุณเม่ืองานของฉันสามารถนาไปใช้ทบทวนและตรวจสอบข้อมูลได้ (I
appreciate when my work can be peer reviewed)

6) ฉันพบว่าท้งั ความสาเร็จและความล้มเหลวนนั้ ลว้ นเป็นแรงบนั ดาลใจให้ฉนั เรยี นรู้มากข้ึน
(I find both success and failure inspire me to further learning)

7) ฉันให้ความสาคัญกับการวิจารณ์เพราะสามารถนาไปปรับปรุงการเรียนรู้ของฉันได้ (I
value criticism as the basis of bringing improvement to my learning)

8) ฉันตรวจสอบตนเองเสมอไม่ว่าจะบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้หรือไม่ (I monitor
whether I have accomplished my learning goals)

9) ฉันตรวจสอบแฟ้มผลงานของฉันเพื่อติดตามความคืบหน้าการเรียนรู้ (I check my
portfolio to review my progress)

10) ฉันทบทวนและสะท้อนกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ของฉัน (I review and reflect on
my learning activities)

11) ฉนั พบการเรียนรู้ใหม่ ๆ ทที่ า้ ทาย (I find new learning challenging)
12) ฉนั ไดแ้ รงบันดาลใจจากความสาเร็จของผู้อ่ืน (I am inspired by others’ success)
13) อน่ื ๆ (Any other:)
ตอนท่ี 5 ทดสอบทกั ษะการติดตอ่ ส่อื สารระหวา่ งบคุ คล (Interpersonal Skills)
1) ฉันต้ังใจเรียนรู้เพ่มิ เติมเก่ียวกบั วฒั นธรรมและภาษาอื่น ๆ ท่ฉี นั พบบ่อย (I intend to
learn more about other cultures and languages I am frequently exposed to)
2) ฉนั สามารถระบบุ ทบาทของฉันภายในกลมุ่ ได้ (I am able to identify my role
within a group)
3) การมปี ฏิสัมพนั ธก์ ับผอู้ ่ืนช่วยให้ฉันพัฒนาความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการวางแผนเพื่อการ
เรียนรู้เพ่ิมเติม (My interaction with others helps me to develop the insight to plan for
further learning)
4) ฉันใช้ประโยชน์จากทุกโอกาสท่ีมี (I make use of any opportunities I come
across)
5) ฉนั จาเป็นต้องแบง่ ปันข้อมลู กับผู้อน่ื (I need to share information with others)
6) ฉันรักษ าค วามสัมพั นธ์อัน ดีกับ บุ คคลอ่ืน (I maintain good inter-personal
relationships with others)
7) ฉันพบว่าการทางานกับผู้อื่นเป็นเร่ืองง่าย (I find it easy to work in collaboration
with others)

97

8) ฉั น มั ก ป ระ ส บ ค ว าม ส าเร็จ ใน ก ารสื่ อ ส ารด้ ว ย ว าจ า (I am successful in
communicating verbally)

9) ฉันสามารถบอกได้ว่าการเช่ือมโยงแบบสหวิทยาการเป็นสิ่งที่จาเป็นเพ่ือรักษาความ
กลมกลืนทางสังคม (I identify the need for inter-disciplinary links for maintaining social
harmony)

10) ฉันสามารถแสดงความคิดผ่านการเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ (I am able to
express my ideas effectively in writing)

11) ฉันสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ (I am able to express my views
freely)

12) ฉันพบว่ามันท้าทายท่ีจะพยายามเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมท่ีหลากหลาย (I find it
challenging to pursue learning in a culturally diverse milieu)

13) อน่ื ๆ (Any other:)
Rodney (2007) ได้นาเสนอเครือ่ งมือวัดระดับการประเมินตนเองด้านการเรียนรู้แบบนา
ตนเอง (Self-Rating Scale for Self-Directed Learning: SRSSDL tool) ในบทความวิจัยท่ีมีชื่อว่า
Evaluating the self-directed learning readiness of engineering undergraduates : a
necessary precursor to project-based learning (การประเมินความพร้อมของการเรียนรู้แบบ
นาตนเองของนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ในระดับปริญญาตรี: ส่ือท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้ด้วย
โค รงงาน ) ซ่ึ งตี พิ ม พ์ ใน ว ารส าร World Transactions on Engineering and Technology
Education ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 ปี ค.ศ. 2007 มีคาอธิบายและข้อคาถามดังน้ี
ตอนที่ 1 ทดสอบการจัดการตนเอง (Self-management)
1) ฉนั จัดการเวลาไดเ้ ป็นอย่างดี (I manage my time well)
2) ฉันมวี นิ ัยในตนเอง (I am self-disciplined)
3) ฉนั เป็นคนมรี ะเบียบ (I am organized)
4) ฉันตัง้ กรอบเวลาไว้อยา่ งเข้มงวด (I set strict timeframes)
5) ฉนั มีทักษะการจัดการท่ีดี (I have good management skills)
6) ฉนั เป็นคนดาเนนิ ตามแบบแผน (I am methodical)
7) ฉนั เรียนรอู้ ย่างมีระบบ (I am systematic in my learning)
8) ฉนั ตั้งเวลาสาหรบั การเรียนโดยเฉพาะ (I set specific times for my study)
9) ฉนั แก้ไขปัญหาโดยการวางแผน (I solve problems using a plan)
10) ฉนั ลาดับความสาคัญการทางานของฉัน (I prioritize my work)
11) ฉนั สามารถเช่อื ถือไดใ้ นการเรียนรดู้ ้วยตัวเอง (I can be trusted to pursue my
own learning)
12) ฉนั ชอบท่ีจะวางแผนการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (I prefer to plan my own learning)
13) ฉนั ม่นั ใจในความสามารถด้านการหาข้อมลู (am confident in my ability to
search out information)
ตอนที่ 2 ทดสอบความปรารถนาในการเรียนรู้ (Desire for learning)

98

1) ฉนั อยากเรียนรูข้ ้อมลู ใหม่ ๆ (I want to learn new information)
2) ฉนั สนุกกบั การเรียนรขู้ ้อมูลใหม่ๆ (I enjoy learning new information)
3) ฉนั มคี วามจาเป็นทีจ่ ะต้องเรยี นรู้ (I have a need to learn)
4) ฉันสนุกกับความท้าทาย (enjoy a challenge)
5) ฉนั สนุกกบั การเรียน (I enjoy studying)
6) ฉันประเมนิ คา่ ความคดิ ใหม่ ๆ อยา่ งจรงิ จัง (I critically evaluate new ideas)
7) ฉันชอบที่จะรวบรวมข้อเท็จจริงก่อนทาการตัดสินใจ (I like to gather facts before I
make a decision)
8) ฉนั ชอบทจ่ี ะประเมินส่งิ ท่ีฉันทา (I like to evaluate what I do)
9) ฉนั เปิดรับความคิดใหม่ ๆ เสมอ (I am open to new ideas)
10) ฉนั เรยี นรูจ้ ากความผดิ พลาด (I learn from my mistakes)
11) ฉันต้องรู้ให้ไดว้ ่าทาไม (I need to know why)
12) เมื่อฉันประสบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ฉันจะขอความช่วยเหลือ (When
presented with a problem I cannot resolve I will ask for assistance)
ตอนที่ 3 ทดสอบการควบคุมตนเอง (Self-control)
1) ฉันชอบท่ีจะตั้งเป้าหมาย (I prefer to set my own goals)
2) ฉันชอบที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง (I like to make decisions for myself)
3) ฉันรับผิดชอบการตัดสินใจ/การกระทาของตัวเอง (I am responsible for my own
decisions/actions)
4) ฉันเป็นผคู้ วบคมุ ชวี ิตของตวั เอง (I am in control of my life)
5) ฉันมมี าตรฐานส่วนบุคคลสูง (I have high personal standards)
6) ฉันชอบตง้ั เป้าหมายการเรียนรูข้ องตวั เอง (I prefer to set my own learning goals)
7) ฉนั ประเมนิ ประสิทธิภาพของตัวเอง (I evaluate my own performance)
8) ฉันมเี หตผุ ล (I am logical)
9) ฉันมคี วามรับผิดชอบ (I am responsible)
10) ฉนั มคี วามคาดหวงั ในตวั เองสูง (I have high personal expectations)
11) ฉนั สามารถมงุ่ เนน้ ไปท่ปี ัญหา (I am able to focus on a problem)
12) ฉันรขู้ ดี ความสามารถของตัวเอง (I am aware of my limitations)
13) ฉนั สามารถหาข้อมูลได้ด้วยตัวเอง (I can find out information for myself)
14) ฉันเชอื่ ในความสามารถของตัวเองมาก (I have high beliefs in my abilities)
15) ฉันชอบที่จะกาหนดเกณฑ์ของตัวเองข้ึนมาเพือ่ ประเมนิ ผลงานของฉนั เอง (I prefer to
set my own criteria on which to evaluate my performance)
Khiat (2015) ได้นาเสนอเคร่ืองมือวัดระดับการประเมินตนเองด้านการเรียนรู้แบบนา
ตนเอง (Self-Rating Scale for Self-Directed Learning: SRSSDL tool) ในบทความวิจัยที่มีชื่อว่า
การวัดระดับการเรียนรู้แบบนาตนเอง: เคร่ืองมือวิเคราะห์สาหรับผู้เรียนท่ีเป็นผู้ใหญ่ (Measuring

99

Self-Directed Learning: A Diagnostic Tool for Adult Learners) ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal
of University Teaching & Learning Practice ปีท่ี 12 ฉบบั ที่ 2 ปี ค.ศ. 2015

ออกแบบเครื่องมือ (Design of tool items) จากการทบทวนวรรณกรรมท่ีดาเนินการใน
การศึกษาครั้งนี้ ก็ได้ทาการจัดทารายการแนวคิดรวบยอด 70 รายการในแบบสอบถามเพื่อวัด
ความสามารถในการเรียนรู้แบบนาตนเองในด้านต่าง ๆ ซ่ึงจะถูกตรวจสอบความถูกต้องโดยสมาชิก
จากคณะต่าง ๆ ในศูนย์การเรียนการสอนท่ี UniSIM

ความถูกตอ้ งของเครื่องมอื (Validation of tool items) จากกระบวนการตรวจสอบความ
ถูกต้องของเคร่ืองมือสามารถทาได้ผ่านการวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ อตั ราส่วนของหัวขอ้ และตัวแปรใน
กระบวนการวิเคราะห์องค์ประกอบนี้เท่ากับ 10:6 วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ Principal Axis
Factoring และ Oblimin’s rotation สาหรับรายการของเคร่ืองมือน้ัน แต่ละข้อจะถูกประเมินตาม
ระดับจากระดับ 1 (ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง) ถึงระดับ 7 (เห็นด้วยอย่างยิ่ง) ดังมีคาอธิบายและข้อคาถาม
ดังนี้

1) ฉันเห็นว่าการทางานของฉันมีประโยชน์และการทางานมีการพัฒนา หลังจากเข้าร่วม
ห ลัก สู ตรนี้ (I can see the benefits for my work and/or personal development from
completing the program)

2) ในแต่ละข้ันของการเรียนในหลักสูตรนี้ ฉันไม่ได้สนใจว่าฉันเรียนรู้สาเร็จไปเท่าไหร่แล้ว
(I do not monitor how much I have achieved in terms of learning at each stage of a
course)

3) การเรียนในหลักสูตรน้ี ฉันรู้ดีว่าฉันต้องการอะไร (I know what I want to achieve
in terms of learning from the program)

4) ฉันสูญเสียสิ่งท่ีฉันควรจะเรียนรู้ ตลอดระยะเวลาการเรยี นในหลักสูตร (I am at a loss
as to what I should be learning over the duration of a course)

5) ฉันตั้งเป้าหมายว่าในแต่ละหลักสูตรท่ีเข้าร่วม ฉันจะต้องผ่านการทดสอบและผ่านการ
ประเมนิ (I set targets to achieve for assignments and examinations for each course)

6) ฉันไม่รู้ว่าทาไมฉันถึงเลือกเรียนหลักสูตรนี้ (I do not know why I chose the
degree program I have enrolled in)

7) ฉันหาเวลาว่างเพ่ือศึกษาเอกสารและสื่อการเรียนรู้ในหลักสูตรน้ี (I find time to
study the learning materials and/or resources in a course)

8) ฉันไม่รู้ว่าฉันต้องทาอะไรในขณะท่ีฉันเรียนอยู่ (I do not know what I'm supposed
to be doing whenever I sit down to study)

9) ฉันรู้สึกว่าฉันมีส่ิงท่ีต้องทาให้สาเร็จมากมายระหว่างการเรียน จนถึงการจบในแต่ละ
หลักสูตร (I feel that I have too much to accomplish in terms of learning towards the
end of each course)

10) ฉันส่งงานท่ีได้รับมอบหมายไม่ทันเวลา (I do not submit my assignments on
time)

100

11) ฉันวางแผนล่วงหน้าว่าฉันต้องการอะไรจากหลักสูตรน้ี (I plan what I need to
learn in a course)

12) ฉันจัดสรรเวลาได้เพียงพอสาหรับการทาแบบทดสอบ หรือการทาแบบฝึกหัดใน
ห ลั ก สู ต ร ( I set aside enough time to study for examinations and/or do the
assignments in a course)

13) ฉันพยายามเรียนให้จบในบทเรียนที่ยังค้างอยู่ให้เร็วท่ีสุด (I persist in finishing
uncompleted study tasks as quickly as possible)

14) ฉันเลื่อนการเรียนของฉันออกไปจนเกินระยะเวลาที่กาหนดไว้ในหลักสูตร (I keep
postponing my study tasks designated in a course)

15) ฉันพบว่าการเรียนวิชาน้ีสาคัญต่อฉันมาก (I find studying for the course is of
high priority for me)

16) ฉันอยากทาอย่างอ่ืนมากกว่าการอ่านส่ือการเรียนรู้หรือเอกสารประกอบการเรียน (I
prefer to do other things than study the learning materials or resources)

17) ฉันหาข้ออ้างเพื่อหลีกเล่ียงการเรียนในหลักสูตร (I find excuses for not studying
for courses)

18) ฉันจดั สรรเวลาและปฏบิ ตั ิตามตารางเรียน (I follow my study schedule)
19) ฉันไม่เข้าใจว่าผู้สอนกาลังพูดเก่ียวกับอะไร ในขณะที่เขากาลังสอนออนไลน์อยู่ (I do
not understand what my instructor says during online presentations)
20) ขณะที่ผู้สอนกาลังสอนออนไลน์ ฉันไม่รู้ว่าข้อมูลสาคัญอยู่ตรงไหน (I do not know
how to pick up important information during online presentations)
21) ฉนั ไมส่ ามารถจดจ่อกับการเรียนผ่านระบบออนไลน์ (I cannot focus during online
presentations)
22) เมื่อมีการสอนออนไลน์ ฉันอ่านเอกสารการสอนล่วงหน้า (I do the required
reading before online presentations)
23) ระหว่างการสอนออนไลน์ ฉันตามเน้ือหาที่ผู้สอนกาลังพูดได้ทัน (I can follow the
pace of online presentations)
24) ระหวา่ งการสอนออนไลน์ ฉันคานึงถึงส่ิงท่ีกาลังเรียนรู้อยู่ (I reflect on what I have
learnt during online presentations)
25) ฉนั ไม่เข้าใจงานทไี่ ด้รบั มอบหมาย (I do not understand the assigned readings)
26) ฉันคิดว่าเอกสารการสอนท่ีได้รับไม่สอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ของหลักสตู ร (I cannot
relate the content of the readings to the course objectives)
27) ฉันเชื่อมโยงเนื้อหาของหลักสูตรเข้ากับการทางานในชีวิตจริงของฉัน (I relate the
content of the learning materials or resources to my work or life)
28) ฉันเข้าใจสิ่งท่ีฉันจดบันทึกมาจากการสัมมนาหรือการเรียนผ่านระบบออนไลน์ (I
understand what I have written in my own notes taken in seminars or online
Presentations)

101

29) จากเอกสารประกอบการเรียนที่ได้อ่าน ฉันไม่รู้ว่าต้องสรุปย่ออย่างไร (I do not
know how to make notes from my readings)

30) ส่ิงที่ฉันจดน้ันเพียงพอสาหรับการสอบหรือทาแบบฝึกหัด (My notes are sufficient
to help me prepare for examinations/assignments)

31) ฉันทาแบบฝกึ หัดไดด้ ี (I do well on my assignments)
32) ฉนั ไม่ทราบวา่ ต้องการความรอู้ ะไรบ้างในการทาแบบฝกึ หดั แต่ละชดุ (I do not know
what is required in my assignments)
33) ฉนั ไมร่ ูว้ ธิ ที าแบบฝึกหัด (I do not know how to write my assignments)
34) ฉันสามารถตอบแบบฝึกหัดและนาเสนอข้อมูลที่เกี่ยวกับแบบฝึกหัดได้เป็นอย่างดี (I
am able to present the information in my assignments clearly)
35) ฉันมีข้อมูลที่เพียงพอในการทาแบบฝึกหัด (The information I gathered for my
assignments is relevant)
36) ในการทาแบบฝึกหัด ฉันไม่รู้ว่าฉันต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบ้าง (I do not know
what information to search for in doing my assignments)
37) ระหว่างการอภิปรายออนไลน์ ฉันเรียนรู้จากผู้สอนและเพื่อนร่วมงาน (I learn from
my instructor and peers during online discussions)
38) ฉันไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอย่างไรสาหรับการอภิปรายผ่านระบบออนไลน์ (I do not
know how to prepare for online discussions)
39) ระหว่างการสนทนา ฉันตามเนื้อหาท่ีเขาพูดทัน (I can follow the content of
threaded discussions)
40) เม่ือต้องนาความคิดเห็นเพื่อตอบกลับการอภิปรายไปติดท่ีกระดานสนทนา ฉันไม่รู้ว่า
ต้ อ งเขี ย น อ ะไรล งใน ก ระด าษ แ ผ่ น นั้ น (I do not know what to write in response to
discussion topics posted on discussion forums)
41) ฉันรกั การเขา้ รว่ มอภปิ ราย (I love attending seminars)
42) ฉนั รู้สกึ เหนือ่ ยขณะทกี่ าลังเรียน (I am physically drained when I am studying)
43) ฉนั รู้สกึ มีพลงั ขณะทีก่ าลังเรียน (I feel motivated whenever I am studying)
44) ฉันกลัวว่าฉันอาจจะทาได้ไม่ดีพอในการทาแบบฝึกหัด หรือการประเมินต่าง ๆ (I fear
not doing well on my assignments/assessments)
45) ฉันรู้สึกหมดกาลังใจเมื่อผลการเรียนของฉันทาได้น้อยกว่าท่ีหวังเอาไว้ (I am
demoralized when I do not meet the expectations I set for myself in my studies)
46) ฉันไม่กังวล หากส่งแบบฝึกหัดไม่ทันเวลา ( do not worry about not submitting
my assignment on time)
47) ระหว่างการสัมมนา ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้สอนพูด (I do not understand what my
instructor says during the seminar sessions)
48) ระหวา่ งการสัมมนา ฉนั ไม่รู้วา่ ข้อมูลส่วนไหนมีความสาคญั (I do not know how to
pick up important information during seminars)

102

49) ฉันไม่สามารถมีใจจดจ่ออยู่กับการฟงั สมั มนา (I cannot focus during seminars)
50) ฉันอ่านเอกสารท่ีเกี่ยวกับการสัมมนาล่วงหน้า (I do the required reading before
seminars)
51) ระหว่างการสัมมนา ฉันเรียนรู้จากผู้สอนและเพ่ือนร่วมสัมมนา (I learn from my
instructor and peers during seminars)
52) ระหว่างการสัมมนา ฉันสามารถประเมินได้ว่า ฉันได้เรียนรู้อะไรบ้าง (I reflect on
what I have learnt during seminars)
53) ระหว่างการสอบและการประเมินผล ฉันจดจาข้อมูลและความรู้ที่จาเป็นได้ (I can
remember the required facts and knowledge during tests and examinations)
54) ระหว่างการสอบและการประเมินผล ฉันมีความกังวล (I am nervous during tests
and examinations)
55) ฉันสามารถทาแบบทดสอบและแบบประเมินผลการเรียนได้ทุกข้อ (I am able to
complete all the questions in tests and examinations)
56) ระหว่างการสอบและการประเมินผล ฉันไม่เข้าใจว่าคาถามในแบบทดสอบต้องการ
อะไรจากฉัน (I do not understand what is required of me when tackling the questions
in tests and examinations)
57) ฉันท าแบ บท ดสอบ และแบ บป ระเมินผลได้แย่ (I do poorly in tests and
examinations)
58) ระหว่างการสอบและการประเมินผล ฉันรู้สึกมั่นใจในการทาแบบทดสอบ (I feel
confident when taking tests and examinations)
59) อินเทอร์เน็ตทาให้ชีวิตฉันน่าสนใจมากขึ้น (The internet makes my life more
interesting)
60) ฉันหลีกเล่ียงการเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ (I try to avoid study work that needs
computers)
61) ฉันใช้สื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือกระดาน ถาม-ตอบ บนอินเทอร์เน็ต
เ ป็ น ป ร ะ จ า (I use social media such as Facebook, Twitter, internet forums etc.
regularly)
62) ฉันรู้สึกโดนคุกคามทุกคร้ังที่ใช้อินเทอร์เน็ต (I feel intimidated whenever I use
the internet)
63) ฉันมีปัญหากับการใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ (I have problems using computer
software and hardware)
64) เม่ือใช้คอมพิวเตอร์ ฉันรู้สึกสะดวกสบาย (I am very comfortable using a
computer)
65) ฉันสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับส่ิงท่ีเรียนได้บนอินเทอร์เน็ต (The internet provides
me with a wealth of resources for my assignments)

103

66) สาหรับการทาแบบฝึกหัด เม่ือพบเจอข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ฉันไม่รู้ว่าขอ้ มูลใดถกู หรือ
ผิ ด ( I do not know how to evaluate and extract relevant information from the
internet for my assignments)

67) ฉันสามารถหาข้อมูลสาหรับการทาแบบฝึกหัดได้ (I am able to use the
information I gathered in my assignments meaningfully)

68) ฉันไม่รู้วิธีใช้ทรัพยากรของห้องสมุด (I do not know how to use the library
resources)

69) ฉันใช้เวลามากมายในการหาข้อมูลเพื่อมาทาแบบฝึกหัด (I spend too much time
researching information for my assignments)

70) ทรัพยากรของห้องสมุดมีประโยชน์มากสาหรับการทาแบบฝึกหัด (The library
resources are very useful for researching my assignments)

กล่าวโดยสรุป จากนิยามของทกั ษะการเรียนรแู้ บบชี้นาตนเอง (Self-Direction Learning
Skills) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยความต้องการของตนเอง เป็นอิสระเพื่อให้ได้มาซ่ึงความรู้ ซึ่ง
ผู้เรียนแต่ละคนเป็นผู้วิเคราะห์ความต้องการ สร้างแผน เป้าหมายของตนเอง เป็นผู้เลือกทรัพยากร
แหล่งเรียนรู้ ข้อมูลท่ีจะเรียนรู้ กาหนดวัตถุประสงค์ การประเมินผล วิธีการเรียนรู้ รูปแบบ ทัศนคติ
ค่านิยม และความสามารถ การสารวจ การคน้ หาสิ่งใหม่ ๆ การต้ังคาถาม การโต้ตอบ การตอบสนอง
ด้วยตนเอง การไตร่ตรองในข้อมูลน้ัน ๆ ร่วมกับชุมชน การเรียนรู้อย่างต้ังใจและยอมรับในกฎเกณฑ์
การสื่อสารระหว่างกัน การกระตุ้นใฝ่เรียนรู้ของตนเอง การเรียนรู้โดยอาศัยประสบการณ์ของผู้เรียน
ให้สอดคล้องกับส่ิงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจาวันและเวลาท่ีเหมาะสม ซ่ึงผู้เรียนมีบทบาทและมีความ
รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง จะดาเนินการดว้ ยตนเอง หรอื ขอความร่วมมอื จากผ้อู ื่นหรือไมก่ ไ็ ด้
และจากการศึกษาลักษณะของทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง จากทัศนะของ Nucum (2019)
Hamdy (2018) Caruso (2011) Vaivada (2017) และ Atkinson (2015) และจากผลจาก
การศกึ ษาการประเมินทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองจากทศั นะ Williamson and Seewoodhary
(2007) Rodney (2007) และ Khiat (2015) ได้กาหนดทักษะเพ่ือการประเมินผลจากการพัฒนา 7
ทักษะ แตล่ ะทกั ษะมีนิยามศัพทเ์ ฉพาะดังนี้

1. การตระหนักรู้ (Awareness) หมายถึง การรับผิดชอบการเรียนร้ดู ้วยตัวเอง สามารถ
วางแผนและตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ของตัวเองได้ สามารถระบุความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง
สามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ที่ดีท่ีสุดให้กับตัวเองได้ และสามารถรักษาแรงจูงใจเพื่อการเรียนรู้ของ
ตนเองไวไ้ ด้

2. การควบคุมตนเอง (Self-control) หมายถึง การชอบท่ีจะตัดสินใจด้วยตัวเอง รู้ขีด
ความสามารถของตัวเอง เชอ่ื ในความสามารถของตัวเอง จดั การเวลาได้เป็นอยา่ งดี ลาดับความสาคัญ
การทางาน และชอบตัง้ เปา้ หมายและวางแผนการเรียนรู้ของตัวเอง

3. การประเมินตนเอง (Self-Evaluation) หมายถึง การชอบที่จะประเมินส่ิงที่ฉันทา
สามารถระบุจุดแข็งหรือจุดอ่อนของตัวเองได้ ได้แรงบันดาลใจจากความสาเร็จของผู้อื่น ตรวจสอบ
ตนเองเสมอไม่ว่าจะบรรลุเป้าหมายการเรยี นรู้หรือไม่ และพบว่าท้ังความสาเร็จและความล้มเหลวนั้น
ลว้ นเป็นแรงบนั ดาลใจให้ฉนั เรียนรู้มากข้ึน

104

4. ความปรารถนาในการเรียนรู้ (Desire for Learning) หมายถึง การอยากเรียนรู้ส่ิง
ใหม่ ๆ สนุกกบั การเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ เปดิ รับความคิดใหม่ ๆ เสมอ เรียนรู้จากความผิดพลาด ชอบที่
จะรวบรวมข้อเท็จจริงก่อนทาการตัดสินใจ และประสบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้จะขอความ
ช่วยเหลือ

5. กลยุทธ์การเรียนรู้ (Learning Strategies) หมายถึง หลักการมีส่วนร่วมในการ
อภิปรายภายในกลุ่มเสมอ การเรียนรู้จากกรณีตัวอย่างนั้นมีประโยชน์ การที่มีเพื่อนเป็นโค้ชน้ันเป็น
อะไรท่ีมีประสิทธิภาพ แผนผังมโนทัศน์เป็นวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วมในการเรียน
การสอนน้ันมีประสิทธิภาพมากกว่าการน่ังฟังบรรยาย และเทคโนโลยีการศึกษาท่ีทันสมัยช่วย
ปรบั ปรุงกระบวนการเรียนร้ขู องฉนั ใหด้ ยี ิ่งข้ึน

6. กิจกรรมการเรียนรู้ (Learning Activities) หมายถึง การซักซ้อมและทบทวน
บทเรียนใหม่เสมอ เปิดใจให้กับความเห็นของผู้อื่นเสมอ ชอบที่จะหยุดพักระหว่างการเรียนแต่ละคร้ัง
ชอบใช้แผนผังมโนทัศน์ในการทาความเข้าใจข้อมูลที่หลากหลาย และใช้สื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก
ทวิตเตอร์ หรือกระดานถาม-ตอบบนอนิ เทอร์เนต็ เป็นประจา

7. การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Skills) หมายถึง การพบว่าการ
ทางานกับผู้อื่นเป็นเร่ืองง่าย มักประสบความสาเร็จในการส่ือสารด้วยวาจา สามารถแสดงความคิด
ผ่านการเขียนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ มันท้าทายท่จี ะพยายามเรียนรู้กบั บุคคลท่ีหลากหลาย และการมี
ปฏสิ ัมพันธก์ ับผ้อู ืน่ ช่วยใหพ้ ฒั นาความเขา้ ใจและการเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างลึกซึ้ง

จากนิยามศัพท์เฉพาะของประเด็นหลักเพื่อการประเมินผลทักษะการเรียนรู้ด้วยการช้ีนา
ตนเองดังกล่าว ผู้วิจัยได้นามาใช้เป็นแนวในการสร้างข้อคาถามในแบบประเมินผลการบรรลุความ
คาดหวังจากการพัฒนาในลักษณะเป็นแบบประเมินตนเอง (Self-Assessment) แบบมาตรประมาณ
ค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดย 5 หมายถึง มีคุณลักษณะตามข้อคาถามนั้นในระดับมากที่สุด 4
หมายถึง มีคุณลักษณะตามข้อคาถามน้ันในระดับมาก 3 หมายถึง มีคุณลักษณะตามข้อคาถามนั้นใน
ระดับปานกลาง 2 หมายถึง มีคุณลักษณะตามข้อคาถามนั้นในระดับน้อย และ 1 หมายถึง มี
คณุ ลักษณะตามขอ้ คาถามน้นั ในระดบั น้อยที่สุด ดงั นี้

คณุ ลกั ษณะท่แี สดงถงึ ทักษะการเรียนรู้แบบชนี้ าตนเอง ระดับความเห็นของท่าน
5 43 2 1
การตระหนักรู้ (Awareness)
1) ฉนั รบั ผิดชอบการเรียนรดู้ ้วยตวั เอง
2) ฉันสามารถวางแผนและตั้งเปา้ หมายการเรียนรู้ของตัวเองได้
3) ฉนั สามารถระบุความต้องการในการเรยี นรขู้ องตนเอง
4) ฉนั สามารถเลือกวิธีการเรียนรทู้ ด่ี ีท่ีสดุ ใหก้ บั ตวั เองได้
5) ฉนั สามารถรักษาแรงจงู ใจเพ่ือการเรยี นรู้ของตนเองไวไ้ ด้

การควบคุมตนเอง (Self-control)
6) ฉนั ตัดสินใจเลือกเรียนรูต้ ามความตอ้ งการและความสนใจของตัวเองได้
7) ฉนั รขู้ ีดความสามารถของตวั เอง
8) ฉันเชือ่ ในความสามารถของตัวเอง

105

คุณลกั ษณะทแี่ สดงถึงทกั ษะการเรยี นรูแ้ บบชีน้ าตนเอง ระดับความเหน็ ของทา่ น
5 43 2 1
9) ฉันจัดการเวลาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

10) ฉนั สามารถจดั ลาดบั ความสาคญั ของงานได้

การประเมนิ ตนเอง (Self-Evaluation)
11) ฉนั สามารถประเมนิ ทกั ษะพ้นื ฐานในการเรยี นรขู้ องตนเองได้
12) ฉนั ได้แรงบันดาลใจจากความสาเรจ็ ของผูอ้ ่ืน
13) ฉนั ตรวจสอบตนเองเสมอไม่วา่ จะบรรลุเป้าหมายการเรยี นรหู้ รอื ไม่
14) ฉนั พบวา่ ทงั้ ความสาเรจ็ และความลม้ เหลวน้ันลว้ นเป็นแรงบันดาลใจ
ให้ฉันเรียนรมู้ ากข้นึ

ความปรารถนาในการเรียนรู้ (Desire for learning)
15) ฉันอยากเรยี นรสู้ ิง่ ใหม่ ๆ
16) ฉนั สนกุ กับการเรยี นรู้ขอ้ มลู ใหม่ ๆ
17) ฉนั เปดิ รบั ความคิดใหม่ ๆ เสมอ
18) ฉนั เรยี นร้จู ากประสบการณ์และสภาพแวดลอ้ ม
19) ฉันชอบที่จะรวบรวมขอ้ เท็จจรงิ ก่อนทาการตัดสนิ ใจ
20) เม่ือฉนั ประสบปญั หาที่ไมส่ ามารถแก้ไขได้ ฉันจะขอความช่วยเหลอื

กลยทุ ธก์ ารเรียนรู้ (Learning Strategies)
21) ฉันมที กั ษะการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ โดยการเรียนรแู้ บบแกป้ ญั หา
อยา่ งสรา้ งสรรค์
22) ฉันชอบเรียนรู้แบบกลมุ่ ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
23) ฉนั พบวา่ การมเี พอ่ื นเป็นที่ปรกึ ษาจะชว่ ยให้การเรียนประสบ
ผลสาเร็จ
24) ฉันพบว่าแผนผงั มโนทศั นเ์ ปน็ วิธกี ารเรียนรู้ท่มี ีประสทิ ธิภาพ
25) ฉนั พบวา่ การมีส่วนรว่ มในการเรียนการสอนนน้ั มีประสิทธภิ าพ
มากกว่าการน่ังฟังบรรยาย
26) ฉนั พบว่าเทคโนโลยีการศกึ ษาที่ทนั สมยั ชว่ ยปรบั ปรงุ กระบวนการ
เรยี นรูข้ องฉันให้ดยี ง่ิ ขนึ้

กิจกรรมการเรยี นรู้ (Learning Activities)
27) ฉนั เลอื กเทคนคิ /กจิ กรรมการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมได้
28) ฉันชอบที่จะหยุดพักระหวา่ งการเรยี นแต่ละครัง้
29) ฉันชอบใช้แผนผงั มโนทศั น์ในการทาความเขา้ ใจข้อมลู ทหี่ ลากหลาย
30) ฉันสามารถเลอื กใชส้ อื่ เทคโนโลยที เ่ี หมาะสมได้

การติดต่อสอื่ สารระหว่างบคุ คล (Interpersonal Skills)
31) ฉันเปิดใจให้กบั ความเห็นของผูอ้ น่ื เสมอ
32) ฉันพบวา่ การทางานกบั ผ้อู น่ื เป็นเร่ืองง่าย
33) ฉนั มักประสบความสาเรจ็ ในการส่ือสารด้วยวาจา
34) ฉนั สามารถแสดงความคิดผา่ นการเขียนได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
35) ฉนั พบวา่ มันทา้ ทายทจี่ ะพยายามเรยี นรู้กับบคุ คลที่หลากหลาย

106

คุณลักษณะที่แสดงถึงทกั ษะการเรยี นรู้แบบชนี้ าตนเอง ระดับความเห็นของทา่ น
5 43 2 1
36) การมีปฏิสัมพนั ธก์ ับผ้อู ่ืนช่วยใหฉ้ นั พัฒนาความเข้าใจและการเรยี นรู้
ได้อยา่ งลึกซึ้ง

2.4 บริบทของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา : ประชากรเป้าหมาย
สาหรับการเผยแพรผ่ ลงานวิจยั ไปใช้ประโยชน์

1. ประวัตคิ วามเปน็ มาของโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศกึ ษา
การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา น้ันเป็นการศึกษารูปแบบหนึ่งของการศึกษาคณะสงฆ์
เป็นการศึกษาที่รัฐกาหนดให้มีขึ้นตามความประสงค์ของคณะสงฆ์ (พระราชวรมุนี 2521 อ้างถึงใน
กองพุทธศาสนศึกษา, 2557) ซ่ึงมีมูลเหตสุ ืบเนื่องมาจากการจัดต้ังโรงเรียนบาลีมัธยมศึกษา และบาลี
วิสามัญศึกษา สานักเรียนวัด กล่าวคือ ภายหลังจากที่การศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ังสองแห่ง คือ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลัย ซ่ึงเปิดดาเนินการ
มาตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2432 และ พ.ศ.2489 ตามลาดบั ได้เจรญิ กา้ วหนา้ มากข้นึ ทางมหาวิทยาลัยมหาจฬุ า
ลงกรณราชวิทยาลัยได้จัดแผนกมัธยมขึ้นมาเรียกว่า โรงเรียนบาลีมัธยมศึกษา กาหนดให้มีการเรียน
บาลีนักธรรม และความรู้ชั้นมัธยม โดยรับผู้ที่สาเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 4 ต่อมาเมื่อโรงเรียนบาลี
มัธยมศึกษาได้แพร่ขยายออกไปยังต่างจังหวัดหลายแห่งมีภิกษุและสามเณรเรียนกันมาก ทางคณะ
สงฆ์โดยองค์การศึกษาจึงไดก้ าหนดใหเ้ รียกโรงเรียนประเภทนี้ใหม่วา่ โรงเรียนบาลวี ิสามัญศึกษาสานัก
วัด โดยมติสังฆมนตรีและกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ออกระเบียบกระทรวงให้โรงเรียนบาลีวิสามัญ
ศึกษาสานักเรียนวัดเปิดทาการสอบสมทบในช้ันตัวประโยค คือช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 และช้ัน
มัธยมศึกษาช้ันปีที่ 3 ได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา และเมื่อสอบได้แล้วก็ยังจะได้รับ
ประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทาให้พระภิกษุและสามเณรนิยมเรียน
กนั เป็นจานวนมาก โรงเรยี นประเภทน้ีจึงแพรห่ ลายออกไปยังจังหวดั ต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง จนทาให้
ทางการคณะสงฆ์เกรงว่าการศึกษาธรรมและบาลีจะเสื่อมลง เพราะพระภิกษุและสามเณรต่างมุ่ง
ศึกษาวิชาทางโลกมากไป เป็นเหตุให้ต้องละท้ิงการศึกษาธรรมและบาลีเสีย แต่ทางคณะสงฆ์ก็ยัง
พจิ ารณาเหน็ ความจาเป็นทางการศึกษาวิชาทางโลกอยู่

ดังนั้นแม่กองบาลีสนามหลวง พระธรรมปัญญาบดี (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ฟื้น ชุตินฺ
ธรมหาเถร) จึงได้ต้ังคณะกรรมการ ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีข้ึนใหม่ มี
วิชาบาลี วิชาธรรม และวิชาทางโลก เรียกว่า บาลีศึกษาสามัญศึกษา และปริทัศน์ศึกษา และได้
ประกาศใช้เม่ือ พ.ศ. 2507 พร้อมกับได้ยกเลิกระเบียบของคณะสังฆมนตรีว่าด้วยการศึกษาของ
โรงเรียนบาลีวิสามัญศึกษา สานักเรียนวัดเสีย และกาหนดให้พระภิกษุสามเณรเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกบาลีท่ีคณะสงฆ์ได้จดั ขึ้นใหม่ แต่การณ์ปรากฏต่อมาว่า การต้ังสานักเรียนตามแบบโรงเรียนพระ
ปริยัติธรรม แผนกบาลีใหม่นี้มีน้อย นักเรียนก็นิยมเรียนกันน้อย เพราะพระภิกษุสามเณรส่วนใหญ่ยัง
พอใจท่ีจะเรียน โดยได้รับประกาศนียบัตรจากกระทรวงศึกษาธิการอยู่ ดังนั้นนักเรียนในโรงเรียน
ดังกล่าว จึงได้พากันเข้าชื่อกันเป็นนักเรียนราษฎร์ของวัด ซึ่งตั้งข้ึนโดยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ

107

บ้าง สมัครสอบเทียบบ้าง เข้าเป็นนักเรียนผู้ใหญ่บ้าง ทาให้การศึกษาของคณะสงฆ์ในช่วงระยะเวลา
นนั้ เกิดความสบั สนเป็นอนั มาก (กรมการศาสนา, 2521)

ในขณะเดียวกันได้มีผู้แทนราษฎรได้ย่ืนเร่ืองราวขอให้กระทรวงศึกษาธิการเปิดการสอบ
สมทบในชั้นประโยคให้แก่พระภิกษุสามเณร แต่กรมการศาสนาร่วมกับกรมต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องได้
พิจารณาลงความคิดเห็นร่วมกันว่าควรจะตั้งโรงเรียนขึ้นประเภทหนึ่ง เพ่ือสนองความต้องการของ
พระภิกษุสามเณร โดยให้เรียนทั้งวิชาธรรมและวิชาสามัญศึกษาควบคู่กันไป โดยไม่มีการสอบสมทบ
แต่ให้กระทรวงศึกษาธิการดาเนินการสอบเอง และโดยพระปรารภของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (จวน อุฏฐายีมหาเถระ)ว่า “การศึกษาทางโลก
เจริญก้าวหน้ามากขน้ึ ตามความเปลี่ยนของโลก การศึกษาพระปริยัติธรรมก็จาเป็นต้องอนุวัตรไปตาม
ความเปล่ียนแปลงของโลกบ้าง จึงเห็นสมควรท่ีจะมีหลักสูตรในการเรียนพระปริยัติธรรมเพิ่มขึ้นอีก
แขนงหน่ึง คือหลักสูตรพระปริยัติธรรมแผนกสามญั ศึกษา ทั้งนี้เพ่ือให้ผู้ศึกษาไดม้ ีโอกาสบาเพ็ญตนให้
เป็นประโยชน์ได้ท้ังทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป”ในท่ีสุดกระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศใช้
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ขึ้นเมื่อวันที่ 20
กรกฎาคม 2514 และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ
ศกึ ษา พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ทจ่ี ะให้การศึกษาในโรงเรยี นดังกล่าวเป็นประโยชน์ตอ่ ฝ่ายศาสน
จักร และฝ่ายบ้านเมือง กล่าวคือ ทางฝ่ายศาสนจักรจะได้ศาสนทายาทที่ดี มีความรู้ความเข้าใจใน
หลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนาอย่างแท้จรงิ เป็นผ้ปู ระพฤตดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบ ดารงอยู่ในสมณธรรม สมควร
แก่ภาวะ สามารถธารง และสืบต่อพระพุทธศาสนา ให้เจริญสถาพรต่อไป และถ้าหากพระภิกษุ
สามเณรเหล่าน้ีลาสิกขาบทไปแล้ว สามารถเข้าศึกษาต่อในสถานศึกษาของรัฐได้หรือเข้าราชการสร้าง
ประโยชน์ให้ก้าวหน้าให้แก่ตนเองและบ้านเมืองสืบต่อไปด้วยเช่นกัน ในระยะเร่ิมแรกมีเจ้าอาวาส 51
แห่ง รายงานเสนอจัดตั้งต่อกรมการศาสนา (โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามญั ศึกษา พ.ศ. 2553-
2562, 2552)

ต่อมา โดยที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไข (เพิ่มเติม) พ.ศ.
2545 ได้กาหนดไว้ในหมวดที่ 2 มาตรา 12 ว่า “นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น ให้บุคคล ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถาน
ประกอบการ และสถาบันสังคมอ่ืน มีสิทธ์ิในการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม
กฎกระทรวง” และมาตรา 18 (2) กาหนดว่า “โรงเรียนได้แก่ โรงเรียนของรัฐ โรงเรียนเอกชน และ
โรงเรียนที่สังกัดสถาบันพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่น” ดังน้ัน จึงถือได้ว่าโรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา เป็นสถานศึกษาข้ันพื้นฐานแห่งหนึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ ในการน้ี เพื่อให้
สอดคล้องกับข้อความในมาตรา 12 และมาตรา 18 (2) แห่งพระราชบัญญัติน้ี กระทรวงศึกษาธิการ
ได้ออกกฎกระทรวง ว่าด้วยสิทธ์ิในการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยสถาบันพระพุทธศาสนา พ.ศ.
2548 เพื่อใหเ้ ป็นไปตาม พ.ร.บ. การศกึ ษาแห่งชาติ

เพ่ือให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติและกฎกระทรวงดังกล่าว โดยมุ่งเน้น
ให้วัดที่จัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ดาเนินการจัดการเรียนการสอนให้
สอดคล้องกับนโยบายของคณะสงฆ์เป็นสาคัญ มหาเถรสมาคม จึงได้ออกประกาศมหาเถรสมาคม ว่า
ดว้ ย โรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา พ.ศ. 2553 โดยกาหนดให้มีการบรหิ ารจดั การศกึ ษา

108

ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษากาหนด ซ่ึง

คณะกรรมการดังกล่าวมีอานาจหน้าที่กาหนดนโยบาย มาตรฐาน แผนการจดั การศึกษา ใหค้ าแนะนา

ส่งเสริมการจัดการศึกษา และพิจารณาวินิจฉัย ช้ีขาดปัญหา ข้อขัดข้องต่าง ๆ มี สมเด็จพระวันรัต

(จนุ ท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เปน็ ประธานกรรมการ มีผู้อานวยการสานักงานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ เป็นรอง

ประธานกรรมการ มีผู้แทนจากบุคคลและหน่วยงานสาคัญต่าง ๆ อาทิ ประธานกลุ่มโรงเรียนพระ

ปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้น

พ้ืนฐาน ผู้อานวยการสานักงบประมาณ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นคณะกรรมการ โดยมี

ผู้อานวยการกองพุทธศาสนศึกษา สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ

(โรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกสามญั ศึกษา, 2557)

2. รปู แบบการศึกษา

โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ดาเนินการจัดการเรียนการสอนในระดับ

มัธยมศึกษาโดยแบ่งเป็น 2 ระดับ หรือ 2 ช่วงชั้น คือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอน

ปลาย จัดเป็นโรงเรียนในระบบเช่นเดียวกับรูปแบบโรงเรียนของรัฐและเอกชนท่ัวไป โดยใช้หลักสูตร

การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ของกระทรวงศึกษาธิการ ซ่ึงมีกลุ่มสาระการเรียนรู้ตามที่

กระทรวงศกึ ษาธิการ กาหนด 8 กลมุ่ สาระ คือ

1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์

3) วิทยาศาสตร์ 4) สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

5) สขุ ศกึ ษา และพลศึกษา 6) ศลิ ปะ

7) การงานอาชพี และเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ

และมีวิชาเฉพาะ ที่กาหนดให้นักเรียนคือพระภกิ ษุสามเณรต้องเรยี นตามนโยบายของคณะ

สงฆโ์ ดยมหาเถรสมาคม คอื วิชาทางพระพทุ ธศาสนา อันประกอบดว้ ย

1) ภาษาบาลี 2) พทุ ธประวัติ

3) ธรรมะ 4) วนิ ยั

5) ศาสนปฏิบตั ิ

เพื่อเปน็ พื้นฐานในการศึกษาหลักพระพุทธศาสนาในคัมภรี ์พระไตรปิฎก สามารถนาไปเป็น

เคร่ืองมือเผยแผ่พระพุทธศาสนา อันเป็นหน้าที่สาคัญของพระภิกษุสามเณร ในฐานะท่ีเป็นศาสน

ทายาทผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา

3. การบริหารจดั การศกึ ษา

โรงเรยี นพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จัดตัง้ อย่ใู นวัด ทธ่ี รณีสงฆ์ หรือท่ดี ินของมูลนิธิ

ทางพระพุทธศาสนา จัดการศึกษาเฉพาะสาหรับพระภิกษุสามเณรเท่านั้น โรงเรียนจะได้รับการจัดต้ัง

ไดก้ ็ต่อเมือ่ ได้รับอนุญาตหรือเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม โดยสานักงานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติเป็น

ผู้ออกใบอนุญาต แก่เจ้าอาวาสวัดที่ขอจัดตั้งโรงเรียน การบริหารจัดการโรงเรียน เจ้าอาวาสวัดหรือ

พระภิกษุท่ีเจ้าอาวาสมอบหมายเป็นผู้จัดการ และผู้จัดการเป็นผู้คัดเลือกพระภิกษุผู้มคี ุณสมบัติตามที่

กาหนดไว้ในประการคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา รูปหนึ่งทาหน้าที่

เป็นผู้อานวยการโรงเรียน ซึ่งจะดาเนินการคัดเลือกพระภิกษุและคฤหัสถ์เพื่อเสนอแต่งต้ังเป็นครูและ

109

บุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียน กฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนก
สามัญศกึ ษา ดาเนนิ การตามกฎหมาย กฎกระทรวง ระเบยี บ ดังน้ี

3.1 พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไข (เพ่ิมเติม) พ.ศ. 2545
มาตรา 12 กาหนดว่า นอกเหนือจากรัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้บุคคล
ครอบครัว องค์กรชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรมหาชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถาน
ประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น มีสิทธิ์ในการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ท้ังนี้ให้เป็นไปตาม
กฎกระทรวง
มาตรา 14 บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน
ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่น ซ่ึงสนับสนุน หรือจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานมีสิทธ์ิ
ได้รับสิทธปิ ระโยชน์ตามควรแกก่ รณี ดังตอ่ ไปนี้

3.1.1 การสนับสนุนจากรฐั ใหม้ ีความรู้ความสามารถในการอบรมเล้ียงดูบุคคลซ่ึงอยู่
ในความดแู ลรับผดิ ชอบ

3.1.2 เงนิ อดุ หนุนจากรัฐสาหรบั การจัดการศึกษาข้นั พืน้ ฐานตามท่ีกฎหมายกาหนด
3.1.3 การลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีสาหรับค่าใช้จ่ายการศึกษาตามที่กฎหมาย
กาหนด
3.2 กฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิในการจัดการศึกษาโดยสถาบันพระพุทธศาสนา พ.ศ.
2548
3.3 ระเบียบสานักงานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาติ ว่าดว้ ยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนก
สามัญศึกษา พ.ศ. 2546
3.4 ประกาศคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. 2555
จานวน 6 ฉบบั ดงั น้ี
3.4.1 วา่ ด้วยกลุ่มโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา
3.4.2 ว่าด้วยพนักงานศาสนการด้านการศกึ ษา
3.4.3 ว่าด้วยขนาดของโรงเรียน และกรอบอัตรากาลังพนักงานศาสนการด้าน
การศึกษา
3.4.4 วา่ ด้วยคณะกรรมการโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามญั ศกึ ษา
3.4.5 ว่าด้วยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการโรงเรียนพระปริยัติ
ธรรม แผนกสามัญศกึ ษา
3.4.6 วา่ ด้วยระบบการประกันคุณภาพการศึกษาโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม แผนก
สามัญศึกษา
3.5 พระราชบัญญัติการศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม พ.ศ. 2562
3.5.1 ขอ้ บงั คับคณะกรรมการการศึกษาพระปริยตั ิธรรมวา่ ดว้ ยโครงสรา้ งการ
บริหารงานและการจัดการศึกษาพระปริยัตธิ รรมและสถานศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม พ.ศ. 2563
3.5.2 ข้อบงั คับคณะกรรมการการศึกษาพระปริยตั ธิ รรมวา่ ด้วยการบรหิ ารงานบุคคล
การศึกษาพระปริยัตธิ รรม พ.ศ. 2563
4. อัตลักษณข์ องโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา

110

โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา นอกจากจะจัดการเรยี นการสอนตามหลักสตู ร
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2521 ของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังได้สนองงานคณะสงฆ์ด้าน
การจัดการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม แผนกนักธรรมและบาลีอีกด้วย โดยได้จัดให้มีการเรียนการ
สอนตามหลักสูตรนักธรรมและบาลีให้สอดคลอ้ งกับนโยบายของคณะสงฆโ์ ดยมหาเถรสมาคม ทั้งน้ี ใน
การประชุมมหาเถรสมาคม เม่ือวันท่ี 20 มิถุนายน 2555 ท่ีประชุมมหาเถรสมาคมมีมติเห็นชอบให้
ปรบั ปรงุ โครงสร้างเวลาเรียนและเกณฑ์การจบการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา
ตามคาสัง่ ประธานคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศกึ ษา ที่ 1/2555 ลงวันที่ 19
เมษายน 2555 เร่ืองการปรับปรุงโครงสร้างเวลาเรียนและเกณฑ์การจบการศึกษาโรงเรยี นพระปริยัติ
ธรรม แผนกสามัญศกึ ษา เพอื่ ให้ผูเ้ รียนสามารถสอบผ่านธรรมสนามหลวงและบาลีสนามหลวงได้ โดย
เพิ่มหนว่ ยกิตวชิ าภาษาบาลี และวิชาพระพุทธศาสนา (พุทธประวัติ ธรรมวนิ ัย และศาสนปฏิบตั )ิ ท้งั นี้
ผู้ท่ีจะจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้ ต้องสอบได้นักธรรมชั้นตรีเป็นอย่างต่า และจะจบ
การศึกษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลายได้ ตอ้ งสอบได้นกั ธรรมชนั้ โทเป็นอยา่ งตา่ (มตมิ หาเถรสมาคมท่ี
388/2555)

นอกจากน้ี สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)
หรือ สมศ. ยังได้ปรับตัวบ่งช้ีและเกณฑ์การประเมินคุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554-2558)
ของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยให้ใช้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนตาม
เป้าหมายเฉพาะของสถานศึกษา (หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมคือวิชาพุทธประวัติ วิชาธรรมวินัย และ
วิชาภาษาบาลี) นอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พื้นฐานอีกด้วย ในการนี้ เพ่ือดาเนินการดังกล่าว สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับ
สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ. จัดให้มีการสอบวัดผลทางการ
ศึกษาระดับชาติด้านพระพุทธพุทธศาสนา หรือเรียกย่อว่า B-NET (Buddhism National
Educational Test)

5. ผมู้ ีสว่ นเกี่ยวข้องกับโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม แผนกสามญั ศึกษา
โรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั ศกึ ษา เป็นการจัดการศึกษาเพ่ือใหพ้ ระภกิ ษุสามเณร
ได้เรียนรู้ตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งปัจจุบันสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ดูแล
รับผิดชอบการศึกษาของสงฆ์ประเภทนี้ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติ
ธรรม แผนกสามัญศึกษา

5.1 สานกั งานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ
สานกั งานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ เป็นหน่วยงานที่ต้งั ขน้ึ ใหม่ตามพระราชบัญญัติปรับปรุง
กระทรวง ทบวง กรม ปีพทุ ธศักราช 2545 ซึ่งมีฐานะเป็นกรมข้ึนตรงต่อนายกรฐั มนตรโี ดยให้มีอานาจ
หนา้ ที่ ดังตอ่ ไปน้ี (สานกั งานพระพุทธศาสนาแหง่ ชาติ, 2546)

5.1.1 ดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกาหนดวิทย
ฐานะผ้สู าเร็จการศึกษาวิชาการพระพุทธศาสนารวมทั้งกฎหมายและระเบยี บท่ีเกย่ี วขอ้ ง

5.1.2 รับสนองงาน ประสานงานและถวายการสนับสนุนกิจการของคณะสงฆ์การ
บรหิ าร การปกครอง

5.1.3 เสนอแนวทางกาหนดนโยบายและมาตรการในการค้มุ ครองพระพุทธศาสนา

111

5.1.4 ส่งเสริม ดูแล รักษาและทานุบารุงศาสนสถานและศาสนวัตถุทาง
พระพุทธศาสนา

5.1.5 พัฒนาพทุ ธมณฑลให้เปน็ ศนู ย์กลางทางพระพทุ ธศาสนา
5.1.6 ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เก่ียวข้องหรือ
ได้รบั มอบหมาย
5.1.7 ทานบุ ารุง สง่ เสริมการพทุ ธศาสนศกึ ษา เพ่อื พฒั นาความรู้คูค่ ุณธรรม
5.1.8 ปฏบิ ัตกิ ารอื่นใดตามทกี่ ฎหมายกาหนดใหเ้ ปน็ อานาจหนา้ ทขี่ องสานักงานหรือ
ตามท่กี ระทรวงหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
สาหรับหน่วยงานราชการสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติน้ันประกอบด้วย กองกลาง
กองพุทธศาสนศึกษา กองพุทธศาสนสถาน สานักงานพุทธมณฑล สานักงานศาสนสมบัติ สานักงาน
เลขาธิการมหาเถรสมาคม
5.2 กองพทุ ธศาสนศึกษา
เป็นหน่วยงานที่สังกัดสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ทาหน้าท่ีการบริหารงาน
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา โดยตรง ซึ่งมีหน้าที่ดังนี้ (สานักงานพระพุทธศาสนา
แหง่ ชาติ. 2546)
5.2.1 ประสานและดาเนินการเก่ียวกับการควบคุม ดูแล จัดการศึกษาวิชาการ
พระพุทธศาสนา การจัดการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และรับผิดชอบงาน
การศึกษาของคณะสงฆ์ การศึกษาสงเคราะหแ์ ละการศึกษาอืน่ ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การศาสนา
5.2.2 ดาเนินการเกี่ยวกับการจัดทาสื่อการเรียนการสอนด้านศาสนา วิเคราะห์ผลงาน
ทางวชิ าการตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วกับพระพทุ ธศาสนา อนั เปน็ แหล่งความรทู้ ีม่ ีระบบและอา้ งองิ ได้
5.2.3 สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในการศึกษาทุกระดับ รวมทั้งการนิเทศ ติดตาม
และประเมินผลการศึกษาทกุ ประเภท
5.2.4 ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบตั ิงานของหน่วยงานอ่นื ท่ีเก่ยี วข้องหรือ
ได้รบั มอบหมาย
6. คณะกรรมการการศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม แผนกสามัญศึกษา
คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ประกอบด้วย ผู้อานวยการ
สานกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปน็ ประธานกรรมการ รองผอู้ านวยการสานักงานพระพุทธศาสนา
แห่งชาติ เป็นรองประธานกรรมการ ผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวง ผู้แทนแม่กองบาลีสนามหลวง
ผู้แทนมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้แทนมหาวิทยาลัยมหามงกุฎราชวิทยาลัย ผู้แทน
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ผู้แทนกรม
วชิ าการ ผู้แทนสานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ ผูแ้ ทนสานักงานคณะกรรมการข้าราชการ
ครู และผู้แทนกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จานวนไม่เกิน 5 รูป/คน เป็น
กรรมการ ผู้อานวยการกองพทุ ธศาสนาศึกษา เป็นกรรมการและเลขานุการกรรมการท่ีเป็นผู้แทนกลุ่ม
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษามีอานาจหน้าที่ดังนี้ (ระเบียบสานักงานพระพุทธศาสนา
แห่งชาติวา่ ดว้ ยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม แผนกสามัญศึกษา 2546)

112

6.1 กาหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนก
สามัญศกึ ษา

6.2 กาหนดมาตรฐานโรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา
6.3 กาหนดหลกั เกณฑ์และวิธกี ารในการจกั ต้ัง ขยาย หรือยบุ เลิกโรงเรยี นพระปรยิ ัติ
ธรรม แผนกสามญั ศึกษา
6.4 กาหนดหลกั เกณฑ์การจัดสรรเงนิ อุดหนนุ ให้โรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม แผนกสามัญ
ศกึ ษา
6.5 กาหนดตาแหน่งผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา และอตั ราครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามญั ศึกษา
6.6 ควบคุมดูแลจัดการศกึ ษาให้มกี ารศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรมเปน็ หลกั และป้องกนั มใิ ห้มี
การเปลีย่ นแปลงพระธรรมวินัยใหผ้ ดิ ไปจากหลักธรรมวนิ ยั ในพระไตรปิฎก
6.7 ให้คาแนะนาส่งเสริมการจดั การศึกษา
6.8 พจิ ารณาวินจิ ฉัยคาร้องทุกข์ของผู้รับใบอนญุ าต, ผู้จัดการ, ครูใหญ,่ อาจารยใ์ หญ่,
ผู้อานวยการ,ผู้ช่วยครใู หญ่, ผชู้ ว่ ยอาจารย์ใหญ่, ผชู้ ว่ ยผอู้ านวยการ, ครู และบคุ ลากรทางการศึกษา
6.9 ตรวจสอบการดาเนินงานของโรงเรียนพระปริยัติ แผนกสามัญศึกษาตลอดจน
หลักฐาน เอกสารต่าง ๆ ทุกประเภท ถ้าปรากฏมีความบกพร่องให้พิจารณาเสนอสานักงาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อขอความเห็นชอบจากประธานสภาการศึกษาของคณะสงฆ์ เม่ือได้รับ
ความเห็นชอบแลว้ สานักงานพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาติมีอานาจส่งั ยุบเลิกโรงเรียนได้
6.10 วนิ จิ ฉยั ชข้ี าด ปญั หาข้อขดั ขอ้ งในการปฏิบตั ิตามระเบียบนี้
6.11 ออกระเบียบ คาสั่ง ประกาศเก่ียวกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติ
ธรรม แผนกสามัญศกึ ษา
6.12 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการและประธานกลุ่มโรงเรียนให้ปฏิบัติหน้าที่ตาม
คณะกรรมการการศกึ ษาโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศกึ ษา มอบหมาย
7. สานักเขตการศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรม แผนกสามัญศึกษา
กลุ่มโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ประกอบด้วย ผูจ้ ัดการ หรือผู้อานวยการ
โรงเรียนละ 1 รูป เป็นกรรมการโดยตาแหนง่ ผู้ทรงคุณวฒุ ิไม่เกิน 5 รูปหรือคน ผู้แทนครูไม่เกิน 5 รูป
หรือคน เลขานุการกลุ่มโรงเรียน และผู้ช่วยเลขานุการกลุ่มโรงเรียน ให้มีประธานกลุ่มโรงเรียน
จานวน 1 รูป รองประธานกลุ่มโรงเรียน จานวน 1 รูป กรณีมีโรงเรียนมากกว่า 20 โรง ให้มีรอง
ประธานกลุ่มโรงเรยี นในสัดส่วน 20 : 1 รปู โดยคัดเลือกจากกรรมการโดยตาแหน่งสาหรับเลขานุการ
กลุ่มโรงเรียน ให้ประธานกลุ่มโรงเรียนเป็นผู้คัดเลือก และผู้ช่วยเลขานุการกลุ่มโรงเรียน ให้
ผู้อานวยการสานักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดท่ีสานักงานกลุ่มโรงเรียนต้ังอยู่เป็นผู้คดั เลือก (ประกาศ
คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ว่าด้วยกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศึกษา พ.ศ. 2555)
โดยมกี ลมุ่ โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรมแผนกสามัญศึกษาท่ัวประเทศจานวน 14 กลุ่ม มี
โรงเรียน 408 โรง จาแนกได้ดังน้ี
1. กล่มุ โรงเรียนพระปริยตั ิธรรมแผนกสามัญศกึ ษากล่มุ ท่ี 1

113

ประกอบด้วยจังหวดั กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, ปทมุ ธานี มโี รงเรียนจานวน 14 โรง
2. กลุ่มโรงเรียนพระปริยัตธิ รรมแผนกสามัญศึกษากลมุ่ ท่ี 2

ประกอบดว้ ยจงั หวัดกระบ่ี, ชมุ พร, ตรัง, นครศรีธรรมราช, ปัตตานี, ยะลา, ระนอง,
สงขลา, สตูล, สุราษฎรธ์ านี มีโรงเรียนจานวน 20 โรง

3. กลมุ่ โรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรมแผนกสามัญศกึ ษากลุ่มที่ 3
ประกอบดว้ ยจงั หวดั กาญจนบุรี, ชยั นาทประจวบครี ีขันธ์, พระนครศรอี ยุธยา, เพชรบรุ ี

ราชบุรี, ลพบุรสี ระบรุ ี, สงิ ห์บรุ ี, สพุ รรณบุรี, อา่ งทองอุทยั ธานี มีโรงเรียนจานวน 19 โรง
4. กล่มุ โรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกสามัญศกึ ษากลุ่มท่ี 4
ประกอบด้วยจังหวัดกาแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พษิ ณุโลก, เพชรบูรณ์

สโุ ขทัย, อตุ รดติ ถ์ มโี รงเรียนจานวน 24 โรง
5. กล่มุ โรงเรยี นพระปริยัตธิ รรมแผนกสามัญศกึ ษากลมุ่ ที่ 5
ประกอบดว้ ยจังหวัดเชยี งใหม่, แม่ฮ่องสอน, ลาพนู มโี รงเรียนจานวน 42 โรง
6. กลุ่มโรงเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกสามญั ศกึ ษากลมุ่ ท่ี 6
ประกอบดว้ ยจงั หวัดเชียงราย, น่าน, พะเยา, แพร่, ลาปาง, มีโรงเรยี นจานวน 61 โรง
7. กลุ่มโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรมแผนกสามัญศึกษากล่มุ ที่ 7
ประกอบด้วยจังหวดั ขอนแกน่ , เลย, หนองบัวลาภู มีโรงเรียนจานวน 45 โรง
8. กลมุ่ โรงเรียนพระปริยตั ิธรรมแผนกสามญั ศึกษากลุ่มท่ี 8
ประกอบด้วยจังหวดั สกลนคร, หนองคาย, อดุ รธานี มีโรงเรียนจานวน 42 โรง
9. กล่มุ โรงเรียนพระปริยัตธิ รรมแผนกสามญั ศกึ ษากล่มุ ท่ี 9
ประกอบดว้ ยจังหวัดมุกดาหาร, ยโสธร, อบุ ลราชธาน,ี อานาจเจริญ มโี รงเรียนจานวน

35 โรง
10. กล่มุ โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามญั ศกึ ษากลุ่มที่ 10
ประกอบดว้ ยจงั หวัดกาฬสนิ ธุ์, นครนครพนม, มหาสารคาม, ร้อยเอ็ด มีโรงเรยี นจานวน

43 โรง
11. กลุ่มโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรมแผนกสามัญศึกษากลมุ่ ที่ 11
ประกอบดว้ ยจังหวดั ชัยภูม,ิ นครราชสมี า, บรุ ีรมั ย์, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ มีโรงเรยี น

จานวน 41 โรง
12. กลมุ่ โรงเรียนพระปริยัตธิ รรมแผนกสามญั ศกึ ษากลมุ่ ท่ี 12
ประกอบด้วยจงั หวัดฉะเชิงเทรา, ชลบรุ ,ี นครนายก, ตราด, ปราจนี บรุ ี, ระยอง,

สระแกว้ มีโรงเรยี นจานวน 13 โรง
13. กลมุ่ โรงเรยี นพระปริยัติธรรมแผนกสามญั ศกึ ษากลมุ่ ท่ี 13 (จนี นิกาย)
ประกอบดว้ ยจงั หวดั กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, เชียงราย มโี รงเรยี นจานวน 3 โรง
14. กลุ่มโรงเรียนพระปริยตั ิธรรมแผนกสามัญศกึ ษากลุ่มที่ 14 (อนัมนิกาย)
ประกอบดว้ ยจงั หวัดกรุงเทพมหานคร, สงขลา, อดุ รธานี มีโรงเรยี นจานวน 3 โรง
คณะกรรมการบริหารกลมุ่ โรงเรียนมอี านาจหนา้ ท่ีดงั นี้ (ประกาศคณะกรรมการการศึกษา

พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามัญศกึ ษา วา่ ดว้ ยกลุ่มโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา 2555)

114

1. กาหนดนโยบายและแผนพัฒนาโรงเรียนภายในกลุ่มโรงเรียน
2. สง่ เสรมิ สนับสนุนการพฒั นาคุณภาพในการบริหารงานโรงเรียนและงานวชิ าการ
3. กากับ ตดิ ตาม ตรวจสอบ การบริหารจัดการโรงเรยี นภายในกลุม่ โรงเรียน
4. ให้คาแนะนาและแก้ไขปญั หาการปฏิบตั ิงานโรงเรยี นภายในกลมุ่ โรงเรยี น
5. เสนอแนวทางในการแก้ไขปญั หาตอ่ คณะกรรมการการศึกษาพระปริยัตธิ รรม แผนก
สามัญศกึ ษา
6. ปฏบิ ตั ิงานอ่ืนตามท่ีไดร้ ับมอบหมาย
ซึง่ หน่วยงานที่มีส่วนเก่ียวขอ้ งกับโรงเรียนพระปรยิ ัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษาประกอบด้วย
สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีหน้าที่รับสนองงาน ประสานงาน ส่งเสริม ดูแล ทานุบารุงศาสน
สถานและศาสนวัตถุ และกองพุทธศาสนาศึกษา ท่ีทาหน้าที่ดูแลการบริหารงานโรงเรียนพระปริยัติ
ธรรม แผนกสามัญศึกษาโดยตรง นอกจากน้ียังมีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้แก่ คณะกรรมการการศึกษา
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และคณะกรรมการบริหารกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม
แผนกสามัญศกึ ษา
ปัจจุบันได้มีตราพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562 และได้มีประกาศ
ประธานกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา (ฉบับที่1) เร่ือง หน้าที่และอานาจ
ของสานกั งานการศกึ ษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศกึ ษา
ผนวก ก โครงสรา้ งและลาดบั การบังคับบญั ชา
1. สานักงานการศึกษา พระปริยตั ธิ รรม แผนกสามญั ศึกษา

1.1 สานักอานวยการ
1.2 สานกั เขตการศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามญั ศึกษา
1.3 กลุ่มตรวจสอบภายใน
2. สานกั อานวยการ
2.1 กองบรหิ ารงานกลาง
2.2 กองเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.3 กองนโยบายและแผนการจัดการศึกษา
2.4 กองนติ ิการ
2.5 กองบริหารทะเบียนและวดั ผล
2.6 กองวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา
3. สานักเขตการศึกษาพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั ศึกษา
3.1 กองอานวยการ
3.2 กองเทคโนโลยสี ารสนเทศ
3.3 กองนโยบายและแผนการจัดการศึกษา
3.4 กองประเมินผล การจดั การศกึ ษา
3.5 กองสง่ เสริมและพัฒนาการจดั การศึกษา
3.6 สถานศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ในสังกัด เขต 1-14

115

ผนวก ข หน้าท่ีและอานาจ
1. สานกั งานการศึกษา
2. สานักอานวยการ

2.1 กองบริหารงานกลาง มีหน้าท่ีและอานาจในการบริหารงานท่ัวไป งานสารบรรณ
งานเอกสาร งานบริหารงานบุคคล งานสวัสดิการ งานการเงินและบัญชี งานอาคารสถานท่ี งานจัดซื้อ
จัดจ้างและพัสดุ งานวิเทศสัมพันธ์ งานกิจการพิเศษ งานช่วยอานวยการ งานจัดต้ังสถานศึกษาพระ
ปริยัติธรรม ขยายชั้นเรียน เปิดห้องเรียนสาขา ยุบ ยุบรวม ย้ายท่ีตั้ง เปลี่ยนชื่อ หยุดดาเนินการ
ช่ัวคราว หรือเลิกดาเนินการ งานอ่ืนที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของงานใด และงานอ่ืนตามที่ได้รับ
มอบหมาย

2.2 กองเทคโนโลยีสารสนเทศ มีหน้าท่ีและอานาจในการบริหารงานเทคโนโลยี
วิเคราะห์ วางแผนและออกแบบ ระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ งานข้อมูลสารสนเทศ ปรับปรุง
แก้ไขให้ถูกต้องและทันสมัย งานจัดสร้าง ปรับปรุงเครื่องมือในการวัดผลประเมินผล งานสารสนเทศ
เพ่ือการบริหาร งานจัดทาระบบการจัดเก็บการประมวลผล และการใช้ประโยชน์ข้อมูล งานสื่อสาร
องค์กร งานเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลขององค์กร งานประชาสัมพันธ์ งานเสริมสร้างภาพลักษณ์ท่ีดีของ
องคก์ ร และงานอนื่ ตามทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย

2.3 กองนโยบายและแผนการจัดการศึกษา มีหน้าที่และอานาจในการวางแผน
ยุทธศาสตร์ แผนงานและงบประมาณ งานวิเคราะห์ จัดทานโยบายและแผนพัฒนาการจัดการศึกษา
งานจัดทาแผนการใช้จ่ายประจาปีงานวิเคราะห์และวางระบบการติดตามแผนงานหรือโครงการ งาน
ประเมินผลงานหรือโครงการ งานติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณ งานวิเคราะห์จัดทา
แผนบรหิ ารความเส่ยี งและงานอน่ื ตามทไี่ ด้รบั มอบหมาย

2.4 กองนิติการ มีหน้าท่ีและอานาจในการบริหารงานด้านนิติกรรม งานคดีความงาน
ร้องเรียนงานอทุ ธรณ์รอ้ งทกุ ข์ งานด้านกฎหมาย และงานอ่ืนตามที่ได้รับมอบหมาย

2.5 กองบริหารทะเบียนและวัดผล มีหน้าท่ีและอานาจในการบริหารการวัดผล
ประเมินผล งานจัดทาแผน โครงการระเบียบและหลกั เกณฑ์ในการวัดผลประเมินผล งานสถานท่สี อบ
งานกาหนดแนวทางการสอบ งานควบคุมกากบั ดูแลการวัดผลประเมินผล งานทะเบยี นที่เก่ียวข้องกับ
การวัดผลประเมินผล งานจัดทารวบรวมข้อมูลสถิติ งานจัดทาทะเบียนรูปแบบเอกสารและคาร้องต่าง ๆ
และงานอ่ืนตามทไี่ ด้รับมอบหมาย

2.6 กองวิชาการและมาตรฐานการศึกษา มีหน้าท่ีและอานาจในงานด้านวิชาการ
จัดทาแผนงานวิชาการงานพัฒนาวิจัยและปรับปรุงหลักสูตรงานวิทยบริการ งานผลิตรวบรวมจัดหา
แหล่งความรู้ งานมาตรฐานการศึกษากาหนดมาตรฐานการศึกษา งานประกันคุณภาพงานติดตาม
ตรวจสอบและประเมินผลการดาเนนิ งานด้านการศึกษา งานกจิ การผู้เรยี นงานคุณธรรมจริยธรรม งาน
สวัสดิการนักเรียนและงานอนื่ ตามท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

3. สานักเขตการศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรมแผนกสามญั ศึกษา
3.1 กองอานวยการ มีหน้าที่และอานาจในการบริหารงานท่ัวไป งานสารบรรณงาน

เอกสารงานบริหารงานบุคคล งานสวัสดิการการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา งานมาตรฐาน
วิชาชีพและจรรยาบรรณงานการเงินและบัญชี งานอาคารสถานท่ี งานจัดซื้อจัดจ้างและพัสดุงาน

116

กิจการพิเศษ งานจัดตั้งสถานศึกษาพระปริยัติธรรม ขยายชั้นเรียนเปิดห้องเรียนสาขา ยุบ ยุบรวม
ย้ายทีต่ ง้ั เปล่ียนช่อื หยุดดาเนินการช่ัวคราวหรือเลิกดาเนินการ งานนติ ิกรรมและสัญญา งานวนิ ยั และ
อุทธรณ์ร้องทุกข์ งานช่วยอานวยการและประสาน งานอื่นที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของงานใด
และงานอืน่ ตามท่ไี ด้รับมอบหมาย

3.2 กองเทคโนโลยีสารสนเทศ มีหน้าท่ีและอานาจในการบริหารงานเทคโนโลยี
วิเคราะห์ วางแผนและออกแบบระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ งานข้อมูลสารสนเทศ ปรับปรุงแก้ไข
ให้ถูกต้องและทันสมัย งานจัดสร้าง ปรับปรุงเครื่องมือในการวัดผลประเมินผล งานสารสนเทศเพ่ือ
การบริหาร งานจัดทาระบบการจัดเก็บการประมวลผลและการใช้ประโยชน์ข้อมูล งานส่ือสารองค์กร
งานเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลขององค์กร งานประชาสัมพันธ์ งานเสริมสร้างภาพลักษณ์ท่ีดีขององค์กร
งานพัฒนาส่ือและรูปแบบนวตั กรรมในการจดั การศึกษาและงานอืน่ ตามที่ไดร้ ับมอบหมาย

3.3 กองนโยบายและแผนการจัดการศึกษา มีหน้าท่ีและอานาจในการวางแผน
ยุทธศาสตร์ แผนงานและงบประมาณในสานักเขต งานวิเคราะห์ จัดทานโยบายและแผนพัฒนาการ
จดั การศึกษา งานจัดทาแผนการใช้จา่ ยประจาปี งานวิเคราะห์และวางระบบการติดตามแผนงานหรือ
โครงการ งานประเมินผลงานหรือโครงการ งานติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณ งาน
วิเคราะห์จัดทาแผนบริหารความเสี่ยง และงานอนื่ ตามที่ไดร้ ับมอบหมาย

3.4 กองประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษา มีหนา้ ที่และอานาจในการวเิ คราะห์ และวางแผน
ระบบติดตามประเมินผลแผนงานหรือโครงการ งานนิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
ของสถานศึกษาพระปริยัติธรรม งานส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาพระปริยัติธรรม งาน
ระบบประกันคุณภาพการศึกษา งานทะเบียนและสถิติท่ีเก่ียวข้องกับการวัดผลประเมินผล งาน
ฐานข้อมลู สารสนเทศของสถานศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมงานจัดทารวบรวมข้อมลู สถิติ งานจัดทาทะเบียน
รูปแบบเอกสารหลกั ฐานทางการศกึ ษา และงานอืน่ ตามท่ไี ด้รับมอบหมาย

3.5 กองส่งเสริมและพัฒนาการจัดการศึกษา มีหน้าที่และอานาจในการดาเนินการ
เกี่ยวกับงานส่งเสริมการจดั การศึกษาหลากหลายรูปแบบ งานศาสตร์ของพระราชา งานตามโครงการ
พระราชดาริ งานอนามยั สถานศึกษาพระปริยัติธรรมงานกิจการนักเรียน งานพัฒนาส่งเสริมศักยภาพ
นักเรยี น งานคุณธรรมจรยิ ธรรม งานสวัสดิการ งานระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี น งานพัฒนาการศึกษา
เชงิ รกุ งานส่งเสรมิ การจัดการเรยี นรเู้ ชิงรุก และงานอ่นื ตามท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

3.6 สถานศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา มีหน้าท่ีและอานาจในการจัดทา
แผนพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนของคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม
และของสานักงานการศึกษาพระปริยัติธรรม จัดตั้งงบประมาณและรับผิดชอบจากการใช้จ่าย
งบประมาณ จัดการเรียนการสอนสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม
ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
พร้อมท้ังออกระเบียบ ประกาศ คาส่ัง หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกาหนด กากับ ติดตาม
ประเมินผลงานและประเมินผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนการพิจารณาความดีความชอบ การพัฒนา
และดาเนินงานทางวินัยกับครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาพระปริยัติธรรม จัดให้มี
ระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาพระปริยัติธรรมและให้ความร่วมมือในการประเมินคุณภาพ

117

การศึกษาจากหน่วยงานภายนอก รวมทั้งการรายงานผลการประเมินต่อคณะกรรมการ ปฏิบัติหน้าท่ี
อ่นื เก่ียวกับกิจการภายในสถานศึกษาพระปริยัติธรรม และงานอื่นตามท่ไี ด้รบั มอบหมาย

3.6.1 กลุ่มบริหารงานทั่วไป มีหน้าที่และอานาจในการดาเนินการพัฒนาระบบและ
เครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ การประสานงานและพัฒนาเครือข่ายการศึกษา การวางแผนการ
บริหารงานการศึกษา งานวิจัยเพ่ือพัฒนานโยบายและแผนการจัดการศึกษา การจัดระบบการบริหาร
และพัฒนาองค์กร การพัฒนามาตรฐานการปฏิบัติงานงาน งานเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา การ
ดาเนินงานธุรการ การดูแลอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม การจัดทาสามะโนผู้เรียน การรับ
นักเรียน การเสนอความเห็นเกี่ยวกับเร่ืองการจัดต้ังสถานศึกษาพระปริยัติธรรมขยายชั้นเรียน เปิด
ห้องเรียนสาขา ยุบ ยุบรวม ย้ายท่ีตั้ง เปลี่ยนช่ือ หยุดดาเนินการชั่วคราวหรือเลิกดาเนินการ การ
ประสานการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย การระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา
การทัศนศึกษา งานกิจการนักเรียน การประชาสัมพันธ์งานการศึกษา การส่งเสริม สนับสนุนและ
ประสานการจดั การศึกษาของบคุ คล ชมุ ชน องค์กรหน่วยงานและสถาบันสงั คมอ่ืนที่จัดการศกึ ษา งาน
ประสานราชการกับส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น การรายงานผลการปฏิบัติงาน การจัดระบบการ
ควบคุมภายในหน่วยงาน แนวทางการจัดกิจกรรมเพ่ือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการลงโทษนักเรียน
และงานอน่ื ทไ่ี ด้รบั มอบหมาย

3.6.2 กลุ่มงานบริหารงานงบประมาณ มีหน้าที่และอานาจในการดาเนินการจัดทา
แผนงบประมาณ และคาขอจัดต้ังงบประมาณเพื่อเสนอต่อหนว่ ยงานตน้ สังกดั จัดทาแผนปฏิบตั กิ ารใช้
จา่ ยเงนิ ตามที่ได้รบั จัดสรรงบประมาณจากหน่วยงานต้นสังกัดการอนุมัตกิ ารใชจ้ ่ายงบประมาณทไ่ี ด้รับ
จดั สรร การขอโอนและการขอเปล่ียนแปลงงบประมาณ การรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณ การ
ตรวจสอบติดตามและรายงานการใช้งบประมาณ การตรวจสอบติดตามและรายงานการใช้ผลผลติ จาก
งบประมาณ การระดมทรัพยากรและการลงทุนเพ่ือการศึกษา การปฏิบัติงานอ่ืนใดตามท่ีได้รับ
มอบหมายเก่ียวกับกองทุนเพื่อการศึกษา การบริหารจัดการทรัพยากรเพ่ือการศึกษา การวางแผน
พัสดุ การกาหนดรูปแบบรายการ หรือคุณลักษณะเฉพาะของครุภัณฑ์ หรือส่ิงก่อสร้างท่ีใช้เงิน
งบประมาณเพ่ือเสนอต่อหน่วยงานตน้ สังกดั การพัฒนาระบบขอ้ มลู และสารสนเทศเพอ่ื การจดั ทาและ
จัดหาพัสดุ การจดั หาพัสดุ การควบคมุ ดูแล บารุงรักษาและจาหน่ายพัสดุ การจดั หาผลประโยชน์จาก
ทรัพย์สิน การเบิกเงนิ จากคลัง การรับเงิน การเก็บรักษาเงิน และการจ่ายเงิน การนาเงินส่งคลัง การ
จัดการจัดทาบัญชีการเงิน การจัดทารายงานทางการเงินและงบการเงิน การจัดทาหรือจัดหาแบบ
พมิ พบ์ ญั ชี ทะเบียน และรายงานและงานอ่ืนท่ไี ด้รับมอบหมาย

3.6.3 กลุ่มงานบริหารงานบุคคล มีหน้าท่ีและอานาจในการดาเนินการวางแผน
อัตรากาลัง การจัดสรรอัตรากาลังครูและบุคลากรทางการศึกษา การสรรหาและบรรจุแต่งต้ัง การ
เปล่ียนตาแหน่งให้สูงขึ้น การย้ายครูและบุคลากรทางการศึกษา การดาเนินการเกี่ยวกับการเลื่อนขั้น
เงินเดือน การลาทุกประเภท การประเมินผลการปฏิบัติงาน การดาเนินการทางวินัยและการลงโทษ
การสั่งพักและการส่ังให้พ้นจากครูและบุคลากรทางการศึกษาไว้ก่อน การรายงานการดาเนินการทาง
วินัยและการลงโทษ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ การออกจากครูและบุคลากรทางการศึกษา การ
จัดระบบและการจัดทาทะเบียนประวัติ การจัดทาบัญชีรายชื่อและให้ความเห็นเกี่ยวกับการเสนอขอ
พระราชทานเคร่ืองราชอิสรยิ าภรณ์ การสง่ เสริมการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา

118

การส่งเสริมและยกย่องเชิดชูเกียรติ การส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิช าชีพ การ
สง่ เสริมวินัย คุณธรรมและจรยิ ธรรมสาหรับครูและบุคลากรทางการศึกษา การรเิ ร่ิมส่งเสริมการขอรับ
ใบอนุญาต การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การดาเนินการที่เก่ียวกับการบริหารงานบุคคล
ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายวา่ ด้วยการนนั้ และงานอนื่ ที่ได้รบั มอบหมาย

3.6.4 กลุ่มงานวิชาการ มีหน้าท่ีและอานาจในการดาเนินการพัฒนาหรือการ
ดาเนินการเก่ียวกับการให้ความเห็นการพัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น การวางแผนงานด้านวิชาการ
การจัดการเรียนการสอน การพัฒนาหลักสูตร การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล
และดาเนินการเทยี บโอนผลการเรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาและสง่ เสริมให้
มีแหล่งเรียนรู้ การนิเทศการศึกษา การแนะแนวการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและ
มาตรฐานการศึกษา การส่งเสริมชมุ ชนใหม้ คี วามเข้มแข็งทางวิชาการ การประสานความรว่ มมือในการ
พัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาพระปริยัติธรรมและองค์กรอ่ืน การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการ
แก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานสถานประกอบการและสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา การจัดทา
ระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการ การคัดเลือกหนังสือ แบบเรียน การพัฒนาและการ
ใชส้ ือ่ เทคโนโลยีเพ่อื การศึกษา และงานอื่นทไี่ ดร้ ับมอบหมาย

4. กลุ่มตรวจสอบภายใน มีหน้าท่ีและอานาจในการวางระบบตรวจสอบ และควบคุม
ภายในตรวจสอบ วิเคราะห์และประมวลผลโดยติดตามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้านการเงิน
การบญั ชี และการพสั ดุ การบรหิ าร การจัดการประมวลผล การดาเนนิ งานตามแผนงาน โครงการและ
กจิ กรรมให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายท่ีกาหนด การบรหิ ารความเส่ียง และการอ่ืนตามที่ได้รับ
มอบหมาย

ผนวก ค เขตการศึกษาพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศึกษา (เขต 1-14)
1. เขต 1 ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จังหวัดนครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ

นนทบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม มีโรงเรยี นจานวน 14 โรง
2. เขต 2 ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา กระบี่

ตรัง ระนอง พงั งา ภเู ก็ต พทั ลุง สตูล ยะลา ปตั ตานี และนราธวิ าส มีโรงเรยี นจานวน 20 โรง
3. เขต 3 ประกอบด้วย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี

ชัยนาท อุทัยธานี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ มีโรงเรียนจานวน 19
โรง

4. เขต 4 ประกอบด้วย จังหวัดนครสวรรค์ กาแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก อุตรดิตถ์
พิจติ ร ตาก และเพชรบรู ณ์ มโี รงเรยี นจานวน 24 โรง

5. เขต 5 ประกอบดว้ ย จังหวัดเชียงใหม่ ลาพูน และแม่ฮ่องสอน มโี รงเรียนจานวน 42
โรง

6. เขต 6 ประกอบด้วย จังหวัดแพร่ น่าน พะเยา เชียงราย และลาปาง มีโรงเรียน
จานวน 61 โรง

7. เขต 7 ประกอบด้วย จงั หวดั ขอนแกน่ เลย และหนองบัวลาภู มโี รงเรียนจานวน 45
โรง

119

8. เขต 8 ประกอบดว้ ย จงั หวัดหนองคาย อุดรธานี สกลนคร และบงึ กาฬ มีโรงเรียน
จานวน 42 โรง

9. เขต 9 ประกอบดว้ ย จังหวดั อุบลราชธานี ยโสธร อานาจเจรญิ และมุกดาหาร มี
โรงเรียนจานวน 35 โรง

10. เขต 10 ประกอบด้วยจังหวัดรอ้ ยเอด็ มหาสารคาม กาฬสนิ ธุ์ และนครพนม มี
โรงเรยี น จานวน 43 โรง

11. เขต 11 ประกอบดว้ ยจงั หวัดนครราชสมี า บุรรี ัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และชัยภูมิ มี
โรงเรียนจานวน 41 โรง

12. เขต 12 ประกอบดว้ ยจังหวัดฉะเชงิ เทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว นครนายก ชลบุรี
ระยอง จันทบรุ ีและตราด มโี รงเรยี นจานวน 13 โรง

13. เขต 13 คณะสงฆ์จีนนิกาย ทว่ั ราชอาณาจกั ร
14. เขต 14 คณะสงฆ์อนมั นิกาย ทั่วราชอาณาจักร

2.5 บรบิ ทของโรงเรียนประภัสสรวทิ ยา วัดศรีนวล : พืน้ ทใี่ นการวจิ ยั เชงิ ทดลอง

2.5.1 ขอ้ มูลท่วั ไป
1. ช่ือสถานศกึ ษา (ไทย) โรงเรียนประภสั สรวิทยา วัดศรนี วล
2. ชื่อสถานศกึ ษา (องั กฤษ) Prapassornwittaya School Wat Srinual
3. สถานที่ต้ัง เลขท่ี 441 ถนน หลังเมือง ตาบล ในเมือง อาเภอ เมืองขอนแก่น จังหวัด
ขอนแก่น รหัสไปรษณีย์ 40000 โทรศัพท์/ โทรสาร 043-226155 , Website www.psw.ac.th
มีเนื้อที่ประมาณ 12 ไร่ 59 ตารางวา โฉนดท่ี 2125 เล่มท่ี 22 หน้า 25 หมายเลขที่ดิน 46
หน้าสารวจ 34
อาณาเขต
ทิศเหนือ ประมาณ 4 เส้น 3 วา จดที่ดินโฉนดเลขที่ 29,30,31,33,45 และถนนสาธารณะ
ส่วนหนง่ึ
ทศิ ใต้ ประมาณ 4 เส้น 4 วา จดถนนรอบเมอื ง
ทิศตะวันออก ประมาณ 2 เส้น 6 วา จดทด่ี ินท่มี กี ารครอบครอง และถนนรอบเมือง
ทศิ ตะวันตก ประมาณ 2 เส้น 4 วา จดถนนหลังเมือง (เดิมเป็นถนนศรีนวล)
โรงเรียนประภสั สรวทิ ยา วดั ศรีนวล เป็นโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั ศึกษา สงั กัด
สานักเขตการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เขต 7 กองพุทธศาสนศึกษา สานักงาน
พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้รับอนุญาตให้เปิดดาเนินการ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เม่ือวันท่ี 18
มถิ ุนายน 2525 ตามใบอนุญาตเลขที่ 101/2525 โดยมี พระมุนีสารประศาธน์ (คาพันธ์ โกวโิ ท ป.ธ.7)
รองเจา้ คณะจังหวัดขอนแก่น วดั ธาตุ พระอารามหลวง เป็นผูจ้ ัดการ และมีพระมหาบัวผัน ปคุณธมฺโม
ป.ธ.8 เจา้ อาวาสวดั ศรนี วล เป็นครูใหญ่
ปพี ุทธศักราช 2526 ไดร้ ับอนุญาตให้เปิดดาเนินการระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสาย วิทย์
-คณิต โดยมี พระกิตติญาณโสภณ (ดร.บัวผัน ปคุณธมฺโม ป.ธ.8) รองเจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น เป็น
ผู้อานวยการและผู้จดั การ

120

ปัจจุบันนี้ มี พระครูปริยัติธรรมานุศาสก์ (จานง ญาณธมฺโม) น.ธ.เอก, ป.ธ.4, พธ.บ. เจ้า
อาวาสวัดศรีนวล เป็นผู้จัดการ และมีพระครูปริยัติจันทสาร (สุพรรณ จนฺทสโร) น.ธ.เอก, ป.ธ.4, ศษ.ม.
และเจา้ คณะตาบลในเมอื ง เขต 1 เป็นผอู้ านวยการ

4. ปรัชญา ปณธิ าน วสิ ัยทัศน์ พันธกจิ อตั ลกั ษณ์ และเอกลกั ษณ์ ของโรงเรียน
ปรัชญาสอนศิษยถ์ ูกทาง วางตนเหมาะสม ใตร้ ่มพุทธธรรม
ปณิธาน ศึกษาใหไ้ ด้ผล นาตนให้พน้ ทุกข์ (เป้าหมายสูงสดุ ในชีวติ )
วิสยั ทัศน์ ม่งุ มน่ั จัดการศึกษา พฒั นาผ้เู รียนใหม้ คี ุณภาพ เลิศล้าวชิ าการ
สถานศึกษาได้มาตรฐาน พฒั นางานครูสมู่ ืออาชีพ เร่งรบี เผยแผ่
พทุ ธธรรม น้อมนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
พนั ธกจิ สง่ เสรมิ สร้างสรรค์ เสยี สละ สามัคคี ตามวิถีความพอเพียง
อตั ลักษณ์โรงเรยี น เกง่ ดี มวี ินยั
เอกลักษณ์โรงเรียน ผา้ เหลอื งทอง หม่ ดอง มองสง่า
พระพุทธรูปประจาโรงเรียน พระพุทธปางลลี า “พระพุทธศากยมุนีศรีประภสั สร”
ต้นไมป้ ระจาโรงเรียน ต้นคณู (ราชพฤกษ์)
อกั ษรย่อโรงเรียน (ไทย) ปส.ว.
อกั ษรย่อโรงเรียน (อังกฤษ) PS.W.
คติธรรมโรงเรียน ครองตนดว้ ยอดุ มการณ์ชีวิต 3 ย.
ย. 1 หย่ิงในศักด์ิศรี สีลภาวิต (ศีล)
ย. 2 ยิง่ ดว้ ยคุณธรรม จติ มั่นคง (สมาธ)ิ
ย. 3 เยยี่ มดว้ ยคณุ ภาพทรงวชิ ชา (ปัญญา)
คุณสมบตั ขิ องลกู ประภสั สร
ใฝศ่ ึกษา กลา้ หาญ อดทน ขยัน ประหยัด ซือ่ สัตย์ สจุ รติ คือศิษย์ประภัสสร
ตราสัญลกั ษณโ์ รงเรียน

รปู พระธาตุขามแกน่ ลักษณะทรงเหล่ียมมฐี านอนั มั่นคง เป็นช้ัน ๆ
แสดงถงึ ความเจริญรุ่งเรอื งของการศึกษาตัง้ แต่
รัศมีพระธาตุ ระดบั ต้นไปถงึ ระดับสงู สุด
คอื แสงสว่างแห่งปญั ญา มรี ัศมีเจดิ จรสั แผ่ไพศาล
รบิ บิ้น (ผ้าแพรไหม) ไปรอบทศิ แสดงถงึ ความเจริญแหง่ ปญั ญาของ
วงกลม 2 วง ศิษย์ประภสั สรวิทยา
ชื่อเสยี ง เกยี รตยิ ศ และความสาเร็จ
แสดงถงึ ความสามคั คี และความพนั ผกู ของศษิ ย์
ประภัสสรวทิ ยา

121

สขี องโรงเรียน สีเหลอื งอ่อน (สนี วล)

ความหมายของสี ความนุ่มนวล ความมีคุณธรรม และความสงบ

รม่ เยน็

5. นโยบายการจดั การศกึ ษาของโรงเรยี น

1. เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุสามเณรในชนบท ได้ศึกษาเล่าเรียน ตามสมควรแก่

เอกตั ตภาพ เปน็ การขยายโอกาสทางการศกึ ษา

2. เพ่ือให้พระภิกษุสามเณร ได้ศึกษาเล่าเรียนหลักวิชาท่ีเหมาะสมกับภาวะการณ์ใน

ปัจจุบัน

3. เพื่อส่งเสรมิ การศกึ ษาของคณะสงฆ์ในสว่ นภูมิภาค ให้เจริญก้าวหนา้ มากยิ่งขึน้

4. เพื่อเปน็ การลดช่องวา่ ง ทางการศึกษาของสังคมไทยในปจั จบุ นั

6. ข้อมลู บคุ ลากรของสถานศกึ ษา

ตารางที่ 2.1 ขอ้ มลู บุคลากรของสถานศกึ ษา

บุคลากร ผบู้ ริหาร ครผู ู้สอน บคุ ลากรทางการศึกษา ครพู เิ ศษ เจ้าหนา้ ที่

ปกี ารศึกษา 2564 5 9 3 13 2

7. ข้อมูลนักเรียน ปีการศกึ ษา 2564

ตารางท่ี 2.2 ข้อมูลนักเรยี น ปีการศึกษา 2564

ระดบั ชน้ั เรยี น ม.1 ม.2 ม.3 ม.4 ม.5 ม.6 รวม

จานวนห้อง 11 1 111 6
-
พระภกิ ษุ - - - --- 167

สามเณร 27 27 24 29 21 21

รวมเฉล่ีย 31 : 1 33 : 1 27: 1 26 : 1 31 : 1 19 : 1

8. ขอ้ มลู ด้านอาคารสถานท่ี ส่ือ/โสตทัศนูปกรณ์
1. อาคารเรียนถาวร 1 หลงั
2. จานวนห้องเรยี นท้ังหมด 16 ห้อง ประกอบดว้ ย
- หอ้ งเรยี น 6 หอ้ ง
- หอ้ งผู้อานวยการ 1 ห้อง
- หอ้ งพักครู 3 หอ้ ง
- ห้องเรยี นอัจฉริยะ 1 ห้อง
- หอ้ งสมุด 1 หอ้ ง
- หอ้ งพยาบาล 1 ห้อง

122

- ห้องสหกรณ์ 1 หอ้ ง
- หอ้ งศิลปะ 1 ห้อง
- ห้องประชุม (เกยี รตยิ ศ) 1 หอ้ ง
3. สื่อการเรยี นการสอน
- เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ 25 เคร่อื ง
- เคร่อื งถ่ายเอกสาร 1 เคร่ือง
- เคร่ืองพิมพเ์ อกสาร (Printer) 10 เครือ่ ง
- โทรทศั น์ 2 เครื่อง
- เครื่องฉายโปรเจค็ เตอร์ 4 เครอ่ื ง
- เครอื่ งโทรศัพท/์ โทรสาร 1 เครือง
9. ข้อมลู การใช้แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกโรงเรียน ปกี ารศึกษา 2564

ตารางท่ี 2.3 ข้อมูลการใชแ้ หล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกโรงเรียน ปีการศึกษา 2564

ขอ้ แหล่งเรียนรู้ ชื่อแหล่งเรียนรู้ จานวนครัง้

1. แหล่งเรยี นรูภ้ ายใน 50

1) อโุ บสถ พทุ ธประวัต,ิ ธรรมะ, วนิ ัย 200
200
สงั คมศึกษาศาสนาและ
50
วัฒนธรรม 50
50
2) ห้องสมุด อธั ยาศยั 100

3) ศาลาหลวงป่พู ระราชสาร ศาสนปฏิบัติ, พุทธรูปปาง 2
2
ธรรมมุนี ตา่ ง ๆ 2
1
4) วหิ ารหลวงปผู่ าง ศาสนปฏิบตั ิ 1
1
5) ตน้ ไม้พดู ได้ ภาษา, คาคม, ขอ้ คดิ 1

6) ตะกร้าความรู้ ใช้เวลาว่างให้เกดิ ประโยชน์

7) หอ้ งเรยี นอัจฉรยิ ะ IT, ภาษา, บันเทงิ

2. แหล่งเรยี นรภู้ ายนอก

1) โฮมมูลมงั วฒั นธรรมประเพณี

2) พพิ ธิ ภัณฑ์ขอนแก่นฯ วฒั นธรรมประเพณี

3) ศนู ย์เทคโนโลยีฯ IT

4) อทุ ยานแหง่ ชาตภิ เู วยี ง ประวตั ิศาสตร,์ ภูมิศาสตร์

5) พิพธิ ภณั ฑส์ ัตว์ทะเล วทิ ยาศาตร์ , ระบบนเิ วศ

6) อทุ ยานผาแต้ม ประวตั ศิ าสตร,์ ภมู ิศาสตร์

7) ภูกมุ้ ขา้ ว ประวตั ศิ าสตร,์ ภูมิศาสตร์

123

10. ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นระดบั สถานศกึ ษา

ตารางที่ 2.4 ขอ้ มลู ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนระดับสถานศึกษา

1. ร้อยละของผู้เรียนที่มีเกรดเฉล่ียผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แต่ละรายวิชาระดับ 3 ข้ึนไป

(ม.1-6)

รายวิชา จานวน (รปู ) ร้อยละ

1) ภาษาไทย 143 85.62

2) คณติ ศาสตร์ 126 75.44

3) วทิ ยาศาสตร์ 153 91.61

4) สังคมศกึ ษา 141 84.43

5) ประวตั ศิ าสตร์ 154 92.21

6) สุขศึกษา 159 95.20

7) ศลิ ปะ 148 88.62

8) การงานอาชพี 139 83.23

9) วิชาด้านพระพทุ ธศาสนา 155 92.81

2. ผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาติข้นั พื้นฐาน O NET ม.3

รายวิชา คะแนน คะแนน คะแนนเฉล่ยี คะแนนเฉลี่ย

เฉลย่ี ของ เฉล่ยี ระดบั สงั กัดสานักงาน ระดับประเทศ

โรงเรยี น จังหวัด พระพุทธฯ

1) ภาษาไทย 37.67 54.36 43.57 55.14

2) คณิตศาสตร์ 19.56 25.57 20.47 26.73

3) วิทยาศาสตร์ 24.56 29.98 27.42 30.07

4) ภาษาองั กฤษ 26.52 32.01 26.77 33.25

ผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาติขน้ั พ้ืนฐาน O NET ม.6

3. คะแนนเฉลีย่ คะแนน คะแนนเฉลี่ย คะแนนเฉลี่ย

รายวิชา ของโรงเรียน เฉลีย่ ระดับ สงั กดั สานักงาน ระดับประเทศ

จงั หวัด พระพทุ ธฯ

1) ภาษาไทย 33.05 41.32 31.49 42.21

2) คณิตศาสตร์ 15.00 23.61 16.01 25.41

3) วิทยาศาสตร์ 22.42 28.57 24.05 29.20

4) สงั คมศึกษา 32.74 34.79 30.93 35.70

ศาสนาและ

วฒั นธรรม

(5) ภาษาอังกฤษ 21.78 27.55 21.63 29.20

124

ตารางท่ี 2.4 (ตอ่ )

4. ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตดิ ้านพระพุทธศาสนา B-NET ม.3

คะแนนเฉลย่ี คะแนนเฉลย่ี คะแนนเฉล่ีย คะแนนเฉลยี่

รายวิชา ของโรงเรียน ระดบั จังหวดั สงั กัด ระดับประเทศ

สานักงานกล่มุ

1) ภาษาบาลี 31.63 29.79 29.48 31.59

2) ธรรมะ 43.85 39.81 39.80 43.89

3) พทุ ธประวัติ 36.22 31.31 30.88 34.58

4) วนิ ัย 39.33 32.09 32.24 34.51

5) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดบั ชาตดิ า้ นพระพุทธศาสนา B-NET ม.6

คะแนนเฉลย่ี คะแนนเฉลี่ย คะแนนเฉลี่ย คะแนนเฉล่ยี

รายวิชา ของโรงเรียน ระดบั จังหวัด สงั กดั ระดบั ประเทศ

สานักงานกลมุ่

1) ภาษาบาลี 28.53 28.76 28.50 31.96

2) ธรรมะ 34.32 31.71 33.08 36.07

3) พุทธประวตั ิ 44.53 36.07 36.97 41.49

(4) วนิ ยั 48.32 32.29 33.06 34.60

กราฟแสดงผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดับชาตขิ ัน้ พ้ืนฐาน (O-NET)
ปีการศกึ ษา 2562 ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3

125

กราฟแสดงผลการทดสอบทางการศกึ ษาระดับชาติขัน้ พ้ืนฐาน (O-NET)
ปกี ารศกึ ษา 2562 ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6

กราฟแสดงผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตดิ า้ นพระพุทธศาสนา (B-NET)
ปีการศึกษา 2562 ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3

กราฟแสดงผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตดิ ้านพระพุทธศาสนา (B-NET)
ปีการศกึ ษา 2562 ระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 6

126

จากข้อมลู ท่ีแสดงถึงบริบทของโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม แผนกสามญั ศึกษา สังกัดกองพุทธ
ศาสนศึกษา สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มุ่งเน้นให้นักเรียนทุกรูปได้มีความรู้ท้ังวิชาการทาง
โลกและทางธรรม คือมีความรู้ควบคู่กับคุณธรรม เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย สามารถท่ีจะเรียนรู้
และพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างต่อเน่ือง โดยนาหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาใช้ให้เกิด
การพฒั นาจิตใจและปัญญา และรักษาพระธรรมวนิ ัยใหเ้ ป็นไปอย่างถกู ตอ้ งดีงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา
แก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป อีกท้ังสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้กาหนดยุทธศาสตร์การจัด
การศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม แผนกสามัญศกึ ษา เพอื่ ผลิตศาสนทายาทและพัฒนาเยาวชน เป็นประชากร
คุณภาพด้วยศาสตร์แห่งพุทธธรรม โดยมีมาตรการการยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนที่มี
มาตรฐาน โดยการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนพระปรยิ ัติธรรม แผนกสามัญศึกษาแนวใหม่ ผ่าน
ความร่วมมือพหุภาคี เครือข่ายเขตการศึกษาให้เกิดสัมฤทธิ์ผล โดยการเพ่ิมเครือข่ายขององค์กรทาง
ศาสนา สถานศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และบริหารหลักสูตรให้ทันสมัย พัฒนาระบบการ
บริหารจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 4.0 ที่เน้นการนาเทคโนโลยีดิจิทัลและ
นวตั กรรมการจัดการศึกษาแห่งอนาคตเข้ามาใช้ สนับสนุนการพัฒนาเน้ือหาวิชาการเรียนการสอนใน
รูปแบบออนไลน์ การพัฒนาครูให้มีความเชี่ยวชาญในการนาเทคโนโลยีมาจัดการเรียนรู้ และการ
สง่ เสริมสนับสนุนให้ทกุ โรงเรียนไดจ้ ัดทาแผนพัฒนาผู้เรียนรายบคุ คล และส่งเสรมิ ใหโ้ รงเรยี นเร่งจดั ทา
แผนการผลิตคนคุณภาพ คนดีท้ังจิตใจและปัญญา ปฏิบตั ิตามพระธรรมวินัยอย่างถูกต้อง เพ่ือสง่ คนดี
สู่สังคม ร่วมสร้างสังคมแห่งคนดี พร้อมท้ังให้การส่งเสริมผู้เรียนในแผนกสามัญศึกษามีจริยาวัตรที่น่า
ยกย่องเลื่อมใสศรัทธา และเข้าถึงโอกาส ความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาหรืองานอาชีพ ผู้วิจัยจึง
เหน็ ความสาคัญที่จะพัฒนาโปรแกรมออนไลน์เพ่ือพัฒนาครูสู่การเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนา
ตนเองของนักเรียน จึงทาวิจัยและพัฒนาโปรแกรมออนไลน์เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ
ทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเองของครูเพ่ือนาไปสู่การพัฒนานักเรียน เพื่อเสริมสร้างพัฒนาครูสู่ครู
มอื อาชีพและเสรมิ สรา้ งทักษะของนักเรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้อย่างเต็ม
ศกั ยภาพอนั ส่งผลให้เกดิ การเรยี นรู้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพต่อไป

2.6 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย

ระเบียบวิธีวิจัยท่ีใช้ในการวิจัยน้ี คือ วิจัยและพัฒนา (Research and Development :
R&D) เป็นนวัตกรรมท่ีพัฒนาขึ้นโดยกระบวนการวิจัย และพัฒนามีจุดมุ่งหมาย-เพ่ือนาไปใช้พัฒนา
บุคลากรสู่การพัฒนาคุณภาพของงานท่ีมีปรากฏการณ์ หรือขอ้ มูลเชิงประจักษ์แสดงให้เห็นว่ามีความ
จาเป็นเกดิ ขน้ึ เช่น เปน็ ผลสืบเน่ืองจากการกาหนดความคาดหวังใหม่ที่ท้าทายของหน่วยงาน หรือการ
เปลีย่ นแปลงในกระบวนทัศน์การทางานจากเกา่ ส่ใู หม่ ท่บี ุคลากรขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะใน
กระบวนทัศน์ใหม่ และในปัจจุบันมีหลักการ แนวคิด ทฤษฎีท่ีถือเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการบริหาร
การศึกษาเกิดขึ้นมากมาย ท่ีคาดหวังว่าหากบุคลากรทางการศึกษามีความรู้ (Knowledge) แล้ว
กระตุ้นให้พวกเขานาความรู้เหล่าน้ีสู่การปฏิบัติ (Action) ก็จะก่อให้เกิดพลัง (Power) ให้การ
ปฏิบัติงานในหน้าท่ีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลย่ิงข้ึน ตามแนวคิด “Knowledge +
Action = Power” หรือตามคากล่าวที่ว่า “Make Them Know What To Do, Then Encourage
Them Do What They Know” หรือ “Link To On-The-Job Application” และด้วยแนวคิดท่ีว่า

127

การศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องในบทที่ 2 ถือเป็นจุดเร่ิมตน้ ท่ีสาคัญของการวิจยั และพัฒนา
เพราะจะทาใหไ้ ด้โปรแกรมออนไลน์เพ่ือเสริมพลังความรู้ของครูสู่การพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้แบบช้ีนา
ตนเองนักเรียนที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยโครงการ 2 โครงการ คือ 1) โครงการพัฒนาเพื่อการ
เรียนรู้ของครู มีคู่มือประกอบโครงการจานวน 6 ชุด คือ (1) คู่มือเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับนิยามของ
ทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง (2) คู่มือเพ่ือการเรียนรู้เก่ียวกับความสาคัญของทักษะการเรียนรู้
แบบชี้นาตนเอง (3) คู่มือเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะหรือคุณลักษณะของคนท่ีมีทักษะการเรียนรู้
แบบช้ีนาตนเอง (4) คู่มือเพ่ือการเรียนรู้เกี่ยวกับแนวการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง
(5) คู่มือเพื่อการเรียนรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง (6) คู่มือเพ่ือการ
เรียนรู้เก่ียวกับการประเมินทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง และ 2) โครงการครูนาผลการเรียนรู้สู่
การพัฒนานักเรียน มีคู่มือประกอบโครงการจานวน 1 ชุด คือ (1) คู่มือเชิงปฏิบัติการเพ่ือการพัฒนา
นกั เรียน

ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องในบทท่ี 2 ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ แนวคิด
และทฤษฎีจากทัศนะของนักวิชาการหรือหน่วยงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้
แบบชี้นาตนเองของนกั เรียนใน 6 ประเดน็ คอื

1.) นิยามของทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ศึกษาจาก 13 แหล่ง คือ Meredith
(1989) Gibbons (2016) Petro (2017) Mocker & Spear (1982) Mezirow (1985) Carter
(2009) Brookfield (1985) Ecu (2019) Garland (1985) Weimer (2010) Boles (n.d.) Noelle
(2018) IGI Global Disseminator of Knowledge (1988)

2.) ความสาคัญของทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ศึกษาจาก 9 แหล่ง คือ Timpau
(2015) Andriotis (2017) Holz (2017) Help Teaching (2019) Gutierrez (2017) Alternatives
to School (2019) Assignment Bay (2017) Western Academy of Beijing (2017) และ Self-
Directed Learning (n.d.)

3.) ลักษณะหรือลักษณะของทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ศึกษาจาก 5 แหล่ง คือ
Nucum (2019) Hamdy (2018) Caruso (2011) Vaivada (2017) Atkinson (2015)

4.) แนวการพัฒนาทักษะการเรยี นรู้แบบช้ีนาตนเอง ศึกษาจาก 10 แหล่ง คือ เว็บไซต์ของ
Impact Teacher (2018) Briggs (2015) Centre for Teaching Excellence (n.d.). Weimer
(2010) Cobb (2019) Dickinson (2018) เว็บ ไซ ต์ ข อ ง Professional Learning Board (2019)
เว็ บ ไซ ต์ ข อ ง Wabisabi Learning (2018) Nicora (2019) แ ล ะ เว็ บ ไซ ต์ ข อ ง Design Your
Homeschool (2006)

5.) ขั้นตอนการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แบบช้ีนาตนเอง ศึกษาจาก 3 แหล่ง คือ Harvey
(2019) Bull (2013) Dobb (2017)

6.) การประเมินทักษะการเรียนรู้แบบชี้นาตนเอง ศึกษาจาก 3 แหล่ง คือ Williamson
and Seewoodhary (2007) Rodney (2007) Khiat (2015)

จากทัศนะของนักวิชาการหรือหน่วยงานเก่ียวกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้แ บบชี้นา
ตนเอง ใน 6 ประเด็นดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้นาเอาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาท่ีเป็นหลกั การ /
แนวคิด / เทคนิค / วิธีการ / กจิ กรรม มากาหนดเป็นข้อเสนอแนะที่เป็นปัจจัยป้อนเข้า (Input) และ

128

นาเอาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาที่เป็นโมเดลข้ันตอน (Step Model) มากาหนดเป็น
ข้อเสนอแนะท่ีเป็นกระบวนการ (Process) รวมท้ังนาเอาลักษณะหรือคุณลักษณะท่ีคาดหวังจากผล
การพัฒนามากาหนดเป็นข้อเสนอแนะท่ีเป็นปัจจยั ป้อนออก (Output) เพ่ือแสดงใหเ้ หน็ ถึงแนวคิดเชิง
ระบบ (System Approach) ของข้อเสนอทางเลือกที่หลากหลายในเชิงวิชาการหรือทฤษฎี
(Academic or theoretical Alternative Offerings) ที่ได้จากการศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องของ
ผู้วิจัย เป็นข้อเสนอทางเลือกท่ีหลากหลายท่ีคาดหวังว่าหลังจากโครงการพัฒนาครูผู้สอนแล้ว
ครูผู้สอนจะเลือกนาเอาทางเลือกที่แต่ละคนเห็นวา่ เหมาะสม เป็นไปได้ เป็นประโยชน์ และสอดคล้อง
กับบริบทของตัวนักเรียน กับระยะเวลา กับสถานท่ี หรือกับระดับชั้นเรียน อย่างทบทวนไปมาใน
ข้อเสนอทางเลือกที่หลากหลายเหล่าน้ี เพื่อเพ่ิมโอกาสเลือกทางเลือกท่ีหลากหลายมากข้ึน อย่าง
สม่าเสมอและอย่างต่อเน่ือง ตลอดระยะเวลาของการนาความรู้ของครูสู่การพัฒนานักเรียน ถือเป็น
กรอบแนวคิดเพื่อการวจิ ัย (Conceptual Framework) ในการวิจัยคร้งั น้ี ดงั แสดงในตารางท่ี 2.7

ตารางที่ 2.5 แนวคิดเชิงระบบของข้อเสนอทางเลือกท่ีหลากหลายในเชิงวิชาการห
วรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งของผู้วิจัย : กรอบแนวคิดในการวิจัย

ขอ้ เสนอแนะท่ีเปน็ ปจั จัยปอ้ นเขา้ (Input) ข้อเสนอแนะ
หลักการ / แนวคิด / เทคนคิ / วิธีการ / กจิ กรรม / โมเดลข้นั
ทางเลือกที่หลากหลายเพอื่ การพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้แบบชีน้ าตนเอง
เพอื่ การพฒั นา
ในเว็บไซตข์ อง Impact Teacher (2018) Harvey (2019)
1) ผู้เรยี นที่พึ่งพาผอู้ ่ืน (Dependent Learners) พ่ึงผอู้ ื่น (ท่เี ก่งกว่า
1) การประเมนิ คว
หรอื มอี านาจ) เพือ่ บอกทศิ ทางท่ีชดั เจนเก่ียวกับสง่ิ ทต่ี อ้ งทา วิธีทา Readiness to Lea
(Rely an Authority Figures to Give them Explicit Directions
on What to Do) 2) การตั้งเปา้ หมา
3) การมสี ่วนร่วม
2) ผู้เรียนท่สี นใจ (Interested Learners) ตอบสนองต่อเทคนิคท่ี the Learning Proc
สร้างแรงบันดาลใจ (Respond to Motivational Techniques) 4) การประเมินกา
Bull (2013)
3) ครูสามารถเตรยี มนักเรยี นโดยการฝกึ อบรมพวกเขาในทักษะ 1) ตดั สนิ ใจเลือกใ
พื้นฐานเช่นการต้งั เป้าหมาย (Teachers can Prepare Students to what you want to
become more Self-Directing by Training them in such Basic 2) พัฒนาแผนกา
Skills as Goal Setting) for how to do it.)
3) กาหนดความช
4) ผ้เู รียนทมี่ สี ว่ นรว่ ม (Involved Learners) พัฒนาการคิดเชิง แตล่ ะส่วน (Determ
วิพากษแ์ ละการตระหนกั ร้ใู นตนเองในฐานะผรู้ ว่ มสร้างสรรค์ each part.)
4) ออกแบบวิธที ีใ่
5) ครูควรเตรียมเครอื่ งมือ วิธีการ เทคนคิ และแนวทางในการสอน (Design a means
จากประสบการณ์ (Teacher offers Tools, Methods, Techniques, 5) เผยแพร่ (แบง่
and Ways of Interpreting the Experience) ทาง (Disseminate
you learned alon
6) ผู้เรียนควรกาหนดเปา้ หมายและมาตรฐานของตนเองโดยมหี รือไม่
มีผ้เู ชี่ยวชาญชว่ ยเหลือกไ็ ด้ (Set their Own Goals and Standards,
with or Without Help from Experts)

129
หรือทฤษฎี (Academic or theoretical Alternative Offerings) ที่ได้จากการศึกษา

ะท่ีเปน็ กระบวนการ (Process) ข้อเสนอแนะทเ่ี ปน็ ผลลัพธ์ (Output)
นตอนทางเลือกทห่ี ลากหลาย ลักษณะหรอื คณุ ลักษณะทคี่ าดหวงั จากการพฒั นา
าทักษะการเรียนรูแ้ บบช้นี าตนเอง
วามพร้อมในการเรียนรู้ (Assess ทักษะการเรยี นรู้แบบช้ีนาตนเอง
arn) Nucum (2019)
ายการเรียนรู้ (Set Learning Goals)
มในกระบวนการการเรยี นรู้ (Engage in 1) เป็นผ้รู ิเรมิ่ (Take the Initiative)
cess) 2) สารวจอยา่ งเปน็ อิสระ (Explore
ารเรียนรู้ (Evaluate Learning) Independently)
ในส่งิ ท่ีคณุ อยากทาในโปรเจค (Decide 3) มคี วามรบั ผดิ ชอบ (Accept Responsibility)
o do for your project. 4) มีทศั นคติทดี่ ีตอ่ ชวี ิต (Have a Healthy
ารในการทาโปรเจค(Develop a plan Outlook in Life)
) 5) มี แ ร ง จู ง ใ จ โ ด ย ธ ร ร ม ช า ติ (Naturally
ช่วยเหลือทีค่ ณุ จาเปน็ ในการทาโปรเจค Motivated)
mine what help you need to do 6) ร้ทู ักษะพ้นื ฐานในการเรยี น (Know Basic
ใช้ในการบันทึกความกา้ วหนา้ ของคุณ Study Skills)
of documenting your progress.) 7) รู้วธิ ีจดั การเวลา (Know How to Manage
งปนั ) ส่งิ ทีค่ ณุ ได้ทาละเรียนรรู้ ะหวา่ ง Time)
e (share) what you did and what 8) รูต้ ัวเอง (Self-Aware)
ng the way.) Hamdy (2018)
1) การชนี้ าตนเอง (Self-Directedness)
2) การพึง่ ตนเอง (Independence)
3) ความพรอ้ ม (Readiness)
4) การจดั การเวลา (Organizing Time)
5) การวางแผน (Set a Plan)

ตารางที่ 2.5 (ตอ่ )

ข้อเสนอแนะทเ่ี ป็นปจั จยั ปอ้ นเขา้ (Input) ข้อเสนอแนะ
หลักการ / แนวคดิ / เทคนิค / วธิ ีการ / กจิ กรรม / โมเดลขนั้
ทางเลือกทีห่ ลากหลายเพื่อการพัฒนาทักษะการเรยี นรูแ้ บบช้นี าตนเอง
7) ผู้เรยี นมีความรับผิดชอบตอ่ การเรียนรู้ ทิศทางและผลผลติ การ เพ่ือการพัฒนา
บริหารเวลา การจดั การโครงการ การกาหนดเปา้ หมาย การประเมนิ
ตนเอง การวิพากษเ์ พอื่ น การรวบรวมข้อมูลและการใช้ทรัพยากรทาง Dobbs (2017)
การศกึ ษา (Learners at this Stage are both able and Willing to 1) เข้าใจในแรงบ
take Responsibility for their Learning, Direction and
Productivity. They Exercise Skills in time Management, Project Your Motivation)
Management, Goal-Setting, Self-Evaluation, Peer Critique, 2) มคี วามชดั เจน
Information Gathering and use of Educational Resources)
Briggs (2015) วางแผนจะเรยี นรู้ (B
1) ระบเุ ป้าหมายการเรียนรู้ (Identify Your Learning Goals) You are Planning
2) ตงั้ คาถามถงึ ความสาคญั ของสิ่งต่าง ๆ (Question the
Significance of Things) 3) บรหิ ารเวลาขอ
3) ค้นหาความท้าทายทนี่ า่ สนใจ (Seek out Interesting (Get Organised w
Challenges) 4) ตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ (Monitor Your Own Learning)
Learning Process)
5) เขา้ ใจวธิ ีการ (Understand Your Own Approach) 4) สร้างเงอ่ื นไขใน
6) ใชก้ ลยุทธ์การสร้างแรงจูงใจดว้ ยเกม (Use Game-Based ร่วมกับความมุ่งม่นั ข
Motivation Strategies) Commitment to
7) เริ่มตน้ ดว้ ยข้อมลู พ้นื ฐานของหวั ข้อนั้น (Start with Background 5) ประยกุ ตใ์ ชส้ ิง่ ทค่ี
on a Topic)
8) ปลกู ฝงั แรงจงู ใจจากภายใน (Cultivate Intrinsic Motivation) what you are l

130

ะท่เี ป็นกระบวนการ (Process) ข้อเสนอแนะทเี่ ปน็ ผลลัพธ์ (Output)
นตอนทางเลือกทหี่ ลากหลาย ลักษณะหรอื คณุ ลกั ษณะท่ีคาดหวงั จากการพฒั นา
าทักษะการเรยี นรู้แบบชีน้ าตนเอง
ทักษะการเรยี นรแู้ บบชนี้ าตนเอง
บนั ดาลใจของคุณเอง (Understand
Caruso (2011)
นและฉลาด (S.M.A.R.T.) ดา้ นสิง่ ท่คี ุณ 1) การลงมือปฏิบัตทิ ่บี คุ คลได้รบั หรือไมไ่ ด้รบั ความ
Be clear & S.M.A.R.T. About What ชว่ ยเหลอื จากผอู้ ื่น (A practice in which
g to Learn) individuals, with or without the help of
องคณุ และตดิ ตามการเรียนรู้ของคณุ others)
with Your Time & Tracking Your 2) ความพร้อม/ความป รารถนาที่จะเรียนรู้
(Readines/Desire to learn)
นการเรยี นรขู้ องคณุ ให้ผู้อนื่ มสี ว่ น 3) มัน่ ใจในความสามารถในการเรยี นรู้จาก
ของคณุ ด้วย (Make a Public ประสบการณ์การเรยี นรทู้ ี่ผ่านมา (Confident of
Your Learning & Buddy up) their Learning Abilities based on Previous
คุณกาลงั เรยี นรไู้ ปใช้ในชีวิตจรงิ (Apply Learning Experiences)
learning in real-world projects) 4) สามารถกาหนดเปา้ หมายในการเรียนรู้ได้
(Capable of Setting their Own Goals in
Learning)
5) การคน้ หาแหลง่ เรยี นรู้ (Find Resources for
Learning)
6) สามารถเลอื กกลยทุ ธก์ ารเรยี นรู้ (Able to
Choose Strategies for Learning)

ตารางท่ี 2.5 (ต่อ) ข้อเสนอแนะ
โมเดลขนั้
ข้อเสนอแนะทเ่ี ป็นปจั จยั ป้อนเขา้ (Input)
หลักการ / แนวคิด / เทคนคิ / วธิ ีการ / กจิ กรรม / เพือ่ การพัฒนา
ทางเลอื กที่หลากหลายเพ่อื การพัฒนาทักษะการเรยี นรูแ้ บบช้ีนาตนเอง
9) แบง่ ปันการเรียนรู้กบั เพอื่ นและที่ปรึกษา (Share Your Learning
with Peers and Mentors)
10) สร้างสรรคบ์ างส่งิ จากส่งิ ทไ่ี ดเ้ รียนรู้ (Create Something Out
of What You’ve Learned)
11) สรา้ งสาระการเรียนรสู้ ่วนตวั (Build Your own Personal
Learning Syllabus)
12) ใชเ้ วลา (หรือไม่ใช)้ เพอื่ ผลประโยชน์ของคุณ (Use time (or
lack thereof) to your advantage)
13) ไขว่ควา้ ความรู้ ไมใ่ ชเ้ กรดดี ๆ (Pursue Knowledge, Not
Good Grades)
14) สร้างแบบบนั ทกึ การเรียนรูส้ ว่ นตวั (Create Your Own
Personal Learning Record)
15) บอกเล่าความสาเร็จของคุณทางวาจา (Verbalise Your
Achievements)
16) ทารายการหัวข้อ “ทเี่ ชยี่ วชาญ” (Make a List of Topics “to
Master”)
17) ฝกึ ใช้ส่งิ ท่คี ุณไดเ้ รียนรู้ (Practise Using What You’ve
Learned)
18) ให้คณุ คา่ กับความกา้ วหนา้ มากกว่าผลทไี่ ด้ (Value Progress
Over Performance)

131

ะทเ่ี ป็นกระบวนการ (Process) ข้อเสนอแนะท่ีเปน็ ผลลพั ธ์ (Output)
นตอนทางเลอื กทห่ี ลากหลาย ลกั ษณะหรือคณุ ลักษณะท่ีคาดหวงั จากการพฒั นา
าทกั ษะการเรียนรแู้ บบช้ีนาตนเอง
ทกั ษะการเรยี นรู้แบบช้ีนาตนเอง

7) สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ตนเองและมีวินัย
ใน ต น เอ ง (Capable of Being Self-Motivated
and Self-Disciplined)
8) เข้าใจกระบวนการเรียนรูแ้ ละตระหนักถงึ ทักษะ
การเรยี นรขู้ องตนเอง (Understand the Process
of Learning, and are Aware of their Own
Learning Skills)
9) เข้าใจจดุ แข็งและจุดออ่ นในการเรียนรู้
(Strengths and Weaknesses in Learning)
10) การประเมินผลการเรียนรู้ (Assess Learning
Outcomes)
Vaivada (2017)
1) เปา้ หมายการเรียนรู้ (Learning Aim)
2) เนื้อหาการเรียนรู้ (Learning Content)
3) โครงสรา้ งการเรียนรู้ (ความสอดคล้อง)
(Learning Structure (Consistency))
4) ระยะเวลาการเรยี นรู้ (Learning Duration)
5) ผู้ร่วมเรยี นรู้ (Learning Partners)

6) เทคนิคการเรยี นรู้ (Learning Techniques)

7) กลยทุ ธก์ ารเรยี นรู้ (Learning Strategies)

ตารางท่ี 2.5 (ต่อ) ข้อเสนอแนะ
โมเดลขัน้
ขอ้ เสนอแนะที่เปน็ ปจั จยั ป้อนเขา้ (Input)
หลักการ / แนวคดิ / เทคนิค / วิธีการ / กจิ กรรม / เพอ่ื การพัฒนา
ทางเลอื กท่หี ลากหลายเพอื่ การพัฒนาทกั ษะการเรยี นรแู้ บบชีน้ าตนเอง
19) ทาใหเ้ ปา้ หมายใหเ้ ปน็ จริง (Keep Your Goals Realistic)
20) สรา้ งเครอื ขา่ ย “เพื่อนร่วมงานแห่งการเรยี นรู้” (Build a
Network of “Learning colleagues”)
Centre for Teaching Excellence (n.d.)
1) ประเมินความพรอ้ มในการเรียนรู้ (Assess Readiness to
Learn)
2) กาหนดเปา้ หมายการเรียนรู้ (Set Learning Goals)
3) เขา้ รว่ มในกระบวนการเรยี นรู้ (Engage in the Learning
Process)
4) ประเมินการเรียนรู้ (Evaluate Learning)
Weimer (2010)
1) เป็นการเรียนร้โู ดยไม่ต้องให้บคุ คลอ่ืนชน้ี า (Ability to Manage
Learning Tasks Without having them Directed by Others)
Cobb (2019)
1) คดิ รเิ รมิ่ (Takes Initiative)
2) สบายใจกับความเป็นอสิ ระ (Is Comfortable with
Independence)
3) หมั่นเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (Is Persistent)
4) ยอมรับหน้าทท่ี ่รี ับผดิ ชอบ (Accepts Responsibility)


Click to View FlipBook Version