The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

20

ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 19 - 20 และเมอื่ สรา้ งองค์ต้นแบบขนึ้ แล้ว กค็ งไม่มีการป้ันหลอ่ พระพทุ ธสิหิงคแ์ บบเดียวกัน
นั้นข้ึนอีกเลย ซ่ึงน่าจะเป็นเพราะคนแต่ก่อนลือกันว่าพระพุทธรูปสำคัญศักด์ิสิทธิ์คูบ่ ้านคู่เมือง จะต้องมีเพียง
องค์เดยี วเท่าน้ัน พึ่งมาเริ่มจะคดิ เปลย่ี นแปลงทำเลยี นแบบขึ้นในสมัยหลัง (พรศกั ด์ิ พรหมแก้ว. 2529 : 2306 -
2310)

ตามความคิดเห็นของประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ ทำให้เกิดความเห็นคล้อย ตามว่าพระพุทธสิหิงค์
น่าจะหล่อขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยชาวพื้นเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนรูปแบบสัดส่วนขององค์พระและโลหะผสม
นา่ จะได้รับคำแนะน่าจากพระเถระชาวลังกา ซงึ่ มาจำพรรษาอย่ในเมืองนครศรธี รรมราช สมยั นน้ั

เมืองไทยมีพระพุทธสิหิงค์อยู่ 3 องค์ องค์ที่ 1 อยู่ท่ีนครศรีธรรมราช องค์ 2 อยู่ที่พระท่ีน่ัง
พทุ ไธสวรรคพ์ ิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติพระนคร องค์ 3 อยู่ท่ีวดั พระสงิ ห์ จังหวัดเชียงใหม่ พระพุทธสิหงิ ค์องคอ์ ่ืน
ๆ นอกจากน้ีหล่อในสมัยหลัง ๆ คงหล่อขึ้นในสมัยอยุธยาเปรียบเทียบสัดส่วนของพระพุทธสิหิงค์
ทง้ั 3 องค์ แตกต่างกนั ดงั นี้

พระพทุ ธสิหิงค์ นครศรีธรรมราช กรงุ เทพฯ เชยี งใหม่

โลหะผสมสกุ ปลัง่ แดงเรอ่ื ๆ คลา้ ยนาก ทองเหลืองมาก ทองเหลืองมาก

หนา้ ตกั กวา้ ง 32 ซม. 63 ซม. 82.5 ซม.

สูง 42 ซม. 79 ซม. 96 ซม.

ประทบั นั่ง สมาธเิ พชร สมาธริ าบ สมาธเิ พชร

ปาง มารวิชัย สมาธิ มารวิชยั

พระองคุลี ไม่เสมอกัน เสมอกัน ไม่เสมอกนั

พระพักตร์ กลม รูปไข่ ผลมะตมู

พระรศั มี เป็นตอ่ ม เป็นเปลวสูง เป็นต่อม

พระวรกาย อวบอ้วน ไม่อวบอว้ น อวบอว้ นมาก

21

สงั ฆาฏิ สน้ั เหนือพระลนั ยาวเลยพระนาภี สนั้ เหนอื พระลัน

22

1.3 วัดทา้ วโคตร

วัดท้าวโคตร ต้ังอยู่ริมถนนราชดำเนิน บ้านนาเดิม
หมู่ที่ 2 ตำบลนา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็น
วัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมืองนครฯ ภายในวัดท้าวโคตรมี
หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณสถานท่ีสำคัญคือ
ซากเจดีย์โบราณ สูงประมาณ 11 เมตร ฐานเจดีย์มีลักษณะ
เป็นรูปสี่เหลียมผืนผ้า เจดีย์สร้างด้วยอิฐและดินเหนียวและ
หินปะการังในบางส่วน เจดีย์วัดท้าวโคตรใช้อิฐเป็นโครงสร้าง
หลกั และใช้ดนิ เหนยี ววัดท้าวโคตรเป็นส่วนยึด ข้างในมีพระพุทธรูปปูนป้ัน ขนาดใหญซ่ ง่ึ เปน็ ของมีมาแต่เดิม มีตู้
เกบ็ ของวางอยู่ทางซา้ ยขององคพ์ ระ ซึ่งแต่เดิมเป็นต้หู นังสือพระ ตัวโบสถ์ยังเหมือนเดิมแต่หลังคาคงบูรณะใหม่
ภายในวิหารมีจิตรกรรมบนแผ่นไม้ประดับอยู่ด้านบนของวิหารทั้งสองด้าน เป็นศิลปะต้นสมัยรัตนโกสินทร์
ภายในบริเวณวัดมีเจดีย์ปรักหักพังสมัยศรีวิชัย ด้านหลังหอระฆังมีกุฏิไม้ตกแต่งด้วยลายฉลุที่งดงาม น่าชม วัด
ท้าวโคตรสร้างขึ้นเม่ือปี พ.ศ.1861 ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมราช ริมถนนราชดำเนิน ตำบลใน
เมือง อำเภอเมือง วังหวัดนครศรีธรรมราช มเี นอ้ื ทปี่ ระมาณ 19 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวา สถานทต่ี ั้งวัดน้ีเคยเป็น
นิวาสสถานของพราหมณม์ าก่อน เท่าที่พอสืบคน้ ได้ปรากฏว่าแต่เดิมในบรเิ วณนี้ วดั ต้ังอยู่หลายวัด กล่าวคอื

1. วดั ประตทู อง อยู่ทางด้านหลังสดุ ติดกับถนนพัฒนาการทงุ่ ปรงั และวดั ชายนา (ในปจั จบุ ันนี้)
2. วัดธาราวดี (วัดไฟไหม)้ อย่ทู างด้านทิศเหนือ
3. วดั วา อยู่ทางด้านทศิ ตะวันออกของวัดประตทู อง และทางทิศใตข้ องวัดธาราวดี
4. วัดศรภเดมิ หรอื วัดศรภ อยู่ทางทศิ ใตบ้ ริเวณรอบ ๆ เจดีย์
5. วัดทา้ วโคตร
โดยวัดเหล่าน้ีในภายหลังได้กลายเป็นวัดร้างไปในท่ีสุด และมีผู้สันนิษฐานว่าในปี พ.ศ.2452 หรือ
ประมาณ ร.ศ.128 (พ.ศ.2453) พระบาทสมเด็จฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ยังดำรงพระราชอิสริยยศ
เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ได้เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช หลังจากทรงนมัสการ
พระบรมธาตุๆ แล้ว ทรงทราบเร่อื งเทวาลัยทวี่ ัดทา้ วโคตร จึงได้เสด็จไปทอดพระเนตรเทวาลยั ท่ียงั เป็นหลักฐาน
อยู่ และในวโรกาสนัน้ ไดท้ อดพระเนตรเหน็ วา่ บรเิ วณท่ใี กล้ ๆ กับวัดท้าวโคตรน้ัน มีวัดเล็กวัดนอ้ ยต้ังเรยี งรายอยู่
หลายวัด ย่อมไม่สะดวกต่อการปกครองของคณะสงฆ์ และคงไม่สะดวกต่อการปฏิบัติศาสนกิจ จึงทรงรับสั่งให้
ยุบวัดท้ังหลายรวมกันกับวัดท้าวโคตรเดิม ให้เป็นวัดเดียวกันเสีย เรียกว่า “วัดท้าวโคตร” และทางราชการได้
ออก ส.ค. 1 และโฉนดท่ีดิน เลขท่ี 9868 (พ.ศ.2518) เพื่อเป็นหลักฐานแสดงสิทธ์ิถือครอง (น้อม อุปรมัย,
2526) คำว่า“วัดท้าวโคตร”น้ัน น้อม อุปรมัย ได้ให้ความเห็นว่า เป็นช่ือท่ีประชาชนเรียกกันเองในฐานะเป็น
กษัตริย์พระองค์แรก แต่ชื่อท่ีปรากฏ ตอ่ มาท่ีนักประวัตศิ าสตร์เรียกตามพราหมณ์ในอินเดีย ส่วนช่ือ “วดั ศรภ”
น้ัน คงสืบเนื่องมาจากการถวายพระเพลิงศพพญาศรีธรรมโศกราชที่ 1 (น้อม อุปรมัย, 2526) ช่ือของ

23

พญาศรีธรรมโศกราชน้ันเป็นชื่อของกษัตริย์ที่สร้างเมืองนครศรีธรรมราช ซ่ึงปรากฏอยู่ในตำนานเมือง
นครศรธี รรมราช และตำนานพระธาตุเมอื งนครศรธี รรมราช

1.4 วดั เสมาเมือง

วัดเสมาเมือง ต้ังอยู่ในเขตตำบลในเมือง อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช มีหลักฐานกล่าวถึง ประวัติการสร้าง
วัดเสมาเมอื งไว้ว่าพระเจา้ ศรีธรรมโศกราชเป็นผทู้ รงสร้างวัดน้ีข้ึน
เมื่อ พ.ศ.1318 ภายหลังที่ได้สร้างพระบรมธาตุแล้ว 18 ปี
ส ถ า น ท่ี ส ร้ า ง วั ด น้ี เป็ น ท ำ เล ใจ ก ล า ง เมื อ ง น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช
ในสมัยน้ัน มีพระประสงค์ที่จะให้ภิกษุฝ่ายมหายาน จำพรรษา
เป็นแห่งแรก วัดนี้น้ันเป็นต้นกำเนิดของวัดท้ังหลายในเมืองนคร
ในการสร้างวดั ได้มีการสรา้ งศาสนสถานด้วยอิฐรวมสามหลัง สร้างและอุทิศถวายแด่พระพุทธองค์ผู้ทรงชนะมาร
พระโพธิสัตว์ ปัทมปาณีและวัชรปาณี นอกจากนี้ก็มีสถูป 3 องค์ ซ่ึงพระราชทานนามว่า ชยันตะ สร้างขึ้นตาม
พระราชโองการของพระราชา และเจดีย์อีก 2 องค์ วัดเสมาเมืองเป็นวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และ
โบราณคดีของเมืองนครศรีธรรมราช จารึกจากวัดเสมาเมืองซ่ึงสลักบนหินทราย เป็นรปู ใบเสมาสูง 1.05 เมตร
ฐานกว้าง 40 เซนติเมตร และส่วนยอดกว้าง 50 เซนติเมตร ได้กลายเป็นหลักฐานที่ช่วยคล่ีคลายปัญหาทาง
ประวัตศิ าสตร์และโบราณคดีลงได้อย่างมาก

1.5 วดั เสมาชัย

วัดเสมาชัย ปัจจุบนั เป็นวัดรา้ ง ต้ังอยู่ภายในโรงเรียนเทศบาล
เมืองนครศรีธรรมราช ทางทิศเหนือของวัดเสมาเมือง หลงเหลือเพียง
อุโบสถเก่าที่มีฐานยกสูงและถูกสร้างอาคารโถงสมัยใหม่ทับลงไปแล้ว
ในปัจจุบันมีพระพุทธรูปศักด์ิสิทธิ์ ที่เรียกกันว่า หลวงพ่อเสมาชัย และ
เจ้าแม่อ่างทอง พระพุทธรูปหินทรายภายในอุโบสถวัดเสมาชัย (ร้าง)
บางองค์ถูกพอกด้วยปูนจนไม่เห็นเค้าเดิม และยังมีลวดลายปูนปั้น
ประดับเคร่ืองทรงอยู่ บางองค์ยังเห็นได้ว่าเป็นพระพุทธรูปหินทราย
สีแดง พระพักตร์ยาวรี เม็ดพระศกเล็ก คล้ายพระพุทธรูปในศิลปะ
อยุธยาตอนตน้ ราวพทุ ธศตวรรษที่ 20-21 วดั เสมาชยั เป็นแหลง่ ประดิษฐานปราสาทอฐิ 3 หลงั และศลิ าจารึก
จันทรภาณุ หลักที่ 24 ปัจจุบันศิลาจารึกดงั กล่าว ได้ถกู ยา้ ยไปยังพิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติกรุงเทพฯ แล้ว ยังคง
เหลือร่องรอยแต่พระพุทธรูปปั้นเรียกว่า “หลวงพ่อเสมาชัย 3 องค์” ทางด้านหน้า อน่ึง วัดน้ีมีบ่อน้ำกอ่ ด้วยอิฐ

24

เล็ก ๆ ซ่ึงเป็นบ่อน้ำศักด์ิสิทธิ์ท่ีใช้ในการทำน้ำพระพุทธมนต์ในพิธีและพระราชพิธีต่าง ๆ ปัจจุบันมีต้นโพธ์ิข้ึน
โอบ

1.6 วดั หน้าพระลาน

วัดหน้าพระลาน ต้ังอยู่บนถนนพระบรมธาตุ
ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัด
นครศรีธรรมราช อยู่ติดกับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ วัดหน้าพระลานมีพระพุทธรูปประทับ
ยืน หล่อจากสำริด ปางประทานอภัยสองพระหัตถ์ หรือ
ปางห้ามสมุทร ครองจีวรห่มคลุม ทรงเครื่องอย่าง
พระจักรพรรดิราช คือ ศิราภรณ์ทรงคล้ายเทริด โนรา
กรองศอ รัดประคดและชายหน้านาง มีลวดลายประดับอายุสมัยราวพุทธศตวรรษ ที่ 22-24 เจดีย์วัดหน้าพระ
ลาน มีฐานส่ีเหลย่ี มยกสงู รองรับฐานบัวเตยี้ ๆ ในผังกลมองค์ระฆงั ทรงโอคว่ำบลั ลงั ก์เหลีย่ ม ยอดทรงกรวยเรียบ
คล้ายกับเจดีย์รายภายในวัดพระมหาธาตุ ซ่ึงอยู่ไม่ไกลกัน อาจสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 23-24 ส่วน
อุโบ สถได้รับ การสร้างใหม่จนห มดแล้ว และมี บ่ อน้ำวัดหน้ าพ ระลาน อยู่ทางทิศอีสาน ของวัด
ในครั้งโบราณ ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์น้ำใสสะอาด มีความหนาแน่นผิดปกติกว่าบ่ออ่ืน ๆ
หากใครได้ด่ืมน้ำในบ่อนี้ จะมีสติปัญญาดี มีบุญวาสนา จะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ นอกจากน้ันชาวบ้าน
ยังเชื่อว่า น้ำในบอ่ นี้สามารถใชผ้ สมยารกั ษาโรคและใช้ประพรมขบั ภูตผีปีศาจได้ดว้ ย จึงนิยมตักน้ำในบ่อน้ีไปใช้
ด่ืมกินตามความเชื่อของตน ในปีพุทธศักราช 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว
ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ และได้เสด็จประพาสประทับแรม จังหวัดนครศรีธรรมราช ซ่ึงขณะนั้น
เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) เป็นเจา้ เมืองพระองค์ทรงทราบเรอ่ื งราวบ่อนำ้ ศักด์ิสทิ ธ์ิวัดน้ี จึงได้เสดจ็ พระ
ราชดำเนินมายังวัดหน้าพระลาน ทรงตักน้ำในบ่อน้ี ด้วยภ าชนะซ่ึงทำด้วยใบจาก (หมาจาก)
ด้วยพระองค์เองและทรงเสวยด้วย หลังจากนั้นก็ทรงรับสั่งถามพระครูรอง (มีนามว่า พระศรีจันทร์)
เจ้าอาวาส เขาลือว่าถ้าใครได้ด่ืมน้ำจากบ่อน้ำศักด์ิสิทธ์ิแห่งนี้แล้ว จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เฉลียวฉลาดกัน
จริงหรือประการใด เจ้าอาวาสได้ทูลว่าขอถวายพระพรมหาบพิตร ลูกศิษย์วัดหน้าพระลาน ถ้าได้ด่ืมน้ำ
ในบ่อน้ีแล้วอย่างเลวก็ไม่สามารถที่จะคาดว่าเหตุการณ์น้ีเกิดข้ึน ถ้านับถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 114 ปี
ในอดีตครั้งกรุงศรีอยุธยา เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เคยอัญเชิญน้ำศักด์ิสิทธ์ิจากบ่อแห่งน้ี เพื่อเข้าสู่พิธี
และพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของเมืองนครศรีธรรมราช และอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธ์ิจากบ่อ
แห่งนี้ เข้าสู่งานพระราชพิธีทวีธาภิเษก เม่ือ ปี พ.ศ.2447 (รัชกาล ที่ 5) และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระ
มหากษตั รยี าธิราชเจ้าทกุ พระองคใ์ นราชวงศ์จกั รี

1.7 เจดีย์ยักษ์

เจดีย์ยักษ์ เป็นเจดีย์ท่ีสูงใหญ่รองจากเจดีย์
พระบรมธาตุ ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเจดีย์ ซ่ึงร้างไปแล้ว

25

ติดกับสำนักงานเทศบาลนครศรีธรรมราช ถนนราชดำเนิน ใกล้ตลาดท่าวัง ที่ได้ช่ือว่าเจดีย์ยักษ์ ตามตำนานว่า
ใน ข ณ ะ ท่ี พ ระเจ้ าศ รีธ รรม โศ ก ราช ก ำลั งก่ อ ส ร้างเจ ดี ย์ เพ่ื อ บ รรจุ พ ระบ รม ม าส ารีริก ธ าตุ
อยู่ใน นั้ น มีพ วก ยักษ์ (ต าม พ จน านุ กรม ฉบั บ ราช บั ณ ฑิ ตยสถาน ห ม ายถึง อม นุ ษ ย์ พ วกห นึ่ ง
มีรูปร่างใหญ่โต น่ากลัว มีเขี้ยวงอกโง้ง กินมนุษย์กินสัตว์ มีฤทธ์ิเหาะได้ จำแลงตัวได้) คอยขัดขวางไมใ่ ห้การ
ก่อสร้างเจดีย์สำเร็จ แต่ถูกพระอรหันต์ผู้ควบคุมการก่อสร้างเจดีย์ทรมานจนหมดฤทธ์ิ จึงขอพระอรหันต์สร้าง
เจดีย์แข่งกับพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ถ้าของใครเสร็จก่อน ขอให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ของคนนั้น
ถ้าตนแพ้ก็ขอเป็นทาสพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระอรหันต์ก็อนุญาต ในที่สุดพระเจ้าศรีธรรมโศกราช
ผ้มู ีพระบารมีทำบุญกุศลไวม้ ากกว่าพวกยักษ์ก็ก่อสร้างเจดีย์เสรจ็ ก่อน พวกยักษ์จึงพ่ายแพ้แล้วโมโหตนเองและ
ถีบเจดีย์ท่ีตนสร้างจนยอดหักและยอมเป็นทาสพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระเจ้าศรีธรรมโศกราชจึงให้เป็น
ยามเฝ้าประตูต่างๆ ในพระบรมธาตุเจดีย์และเชิงหัวบันไดขน้ึ บนลานทักษิณขององค์พระเจดีย์ ดังนั้นเจดีย์องค์
น้ีจึงได้ช่ือว่า “เจดีย์ยักษ์” ตำนานนี้คงเป็นนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้เด็กๆ ฟังต่อๆ กันมา อีกตำนานหน่ึงกล่าวว่า
เศรษฐีมอญชาวกรงุ สะเทิม อพยพหลบภัยจากพวกพม่าหลายฝ่ายที่ยกมาตีกรุงสะเทิม ได้คนทรัพย์สมบัติพร้อม
ด้วยครอบครัวและบริวารหนีมาพ่ึงพระบรมมาโพธิสมภาร พระเจา้ ศรธี รรมโศกราช เพราะทราบวา่ เป็นกษัตริย์
ผู้มีบุญ มีน้ำพระหัยเมตตากรุณา ขณะท่ีลอยเรืออยู่กลางทะเลถูกคลื่นซัดกระหน่ำจนเรอื เกือบอับปาง จึงตั้งจิต
อธิษฐานคุณ พ ระรัตนตรัยและขอบารมีพ ระเจ้าศรีธร รมโศกราชว่า หากทุกคนรอดตายไปถึง
เมืองนครศรีธรรมราชจะก่อสร้างเจดีย์เป็นพุทธบูชา และขอเป็นข้าพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ครั้นรอดชีวิตมาก็
สร้างวัดและสร้างเจดีย์ขึ้นในวัดประมาณปี พ.ศ.1546 วดั นี้จึงเรียกว่า “วัดเจดีย์” ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุได้กล่าว
ไว้ในเร่ือง“เจดีย์ยักษ์” ซึ่งพิมพ์ท่ีปกหลังของสารนครศรีธรรมราช ปีท่ี 4 ฉบับที่ 5 กรกฎาคม 2562 ว่า
เขา้ ใจกนั ว่า เจดียย์ ักษ์องค์น้ีคงสร้างข้ึนภายหลังพระบรมธาตเุ จดยี เ์ ล็กนอ้ ยราว พ.ศ.1800-1900 โดยพวกลังกา
ซง่ึ เข้ามาตั้งสำนกั เผยแผ่พระพุทธศาสนาในระยะน้ัน กล่าวคือ พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์กำลังเจรญิ รงุ่ เรอื งมาก
และไดเ้ ข้าสู่ประเทศสยาม ประมาณ พ.ศ.1770 ก่อนหลังคงไม่มากนัก ดังขอ้ ความที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่
24 เรื่องพระเจ้าจันทรภาณุ ศรีธรรมราช เสด็จยกทัพไปรุกรานและติดต่อรับลัทธิพุทธศาสนาจากลังกาถึง 2
คร้ัง จึงเช่ือกันว่าชาวลังกาท่ีเข้ามา คร้ังนั้นคงมีท้ังพระภิกษุและฆราวาส คงเป็นนายช่างออกแบบ ควบคุมการ
ก่อสร้าง ความเป็นจริงอาจอยู่กับเหตุผลต้ืน ๆ กล่าวคือ เหตุท่ียอดเจดีย์หักด้วน เน่ืองจากถูกลมพายุหรือเป็น
ความประสงค์ความจำเป็นในตอนสร้าง ถ้าต่อยอดเจดีย์ให้ถูกส่วนสมบูรณ์จะสูงทัดเทียมกับองศ์พระบรมธาตุ
เจดีย์ ซ่ึงเป็นปูชนียสถานท่ีสำคัญสุดยอด ย่อมผิดธรรมเนียมเกิดความรู้สึกไม่ดีแข่งบุญบารมีความสำคัญ
จึงลดยอดทำคล้ายกับไม่เสร็จเสีย แล้วตั้งนิทานขึ้นประกอบภายหลัง การที่ชาวบ้านเรียก “เจดีย์ยักษ์” ก็อาจ
แสดงความรสู้ ึกเปรียบเทยี บวา่ หมายถึง พระเจดีย์องค์ใหญ่ คือ ใหญ่ผดิ ธรรมดา ใหญ่กว่าที่ชาวเมืองเคยพบเห็น
มานน่ั เอง

1.8 วดั ประดพู่ ฒั นาราม

26

วดั ประดพู่ ัฒนาราม เก๋งพระเจา้ ตาก

วัดประดู่พัฒนาราม หรือ วัดประดู่ หรือ วัดโด ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนคร นครศรีธรรมราช อำเภอ

เมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติ

ความเป็นมาอันยาวนาน กล่าวกันว่า เป็นทบ่ี รรจอุ ัฐขิ องเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) แตผ่ ู้รบู้ างท่านยืนยันวา่ บัว

องค์น้ีเจ้าพระยานคร (น้อย) สร้างเพ่ือบรรจุอัฐิเจ้าพระยานคร (น้อย) ผู้เป็นบิดา และ อัฐิสมเด็จพระเจ้ากรุง

ธนบุรี (พระเจ้าตาก) ผู้เป็นปู่ ซึ่งเจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) ไปแบ่งมาจากวัดอินทารามธนบุรี วัดประดู่มีเนื้อท่ี

ทง้ั หมด 19 ไร่ 54.7 ตาราวา จัดต้งั เม่อื พ.ศ.1815 ได้รบั วิสุงคามสมี า พ.ศ.1820 เป็นวัดฝ่ายมหานิกาย บุคคล

ที่สำคัญย่ิงท่านหน่ึง ชื่อว่า “พระพนมวัง” ภริยาช่ือ “นางเสดียงทอง” ถูกส่งให้มาควบคุมดูแลพลเมืองและ

ช่วยพัฒนาท้องถิ่น พร้อมกันนไี้ ด้นิมนตพ์ ระภิกษุใหม้ าช่วยสร้างวัดเพ่ือเปน็ ทย่ี ึดเหนย่ี วใจของพลเมือง พระภกิ ษุ

รูปน้ันชื่อว่า “พระมหาเถรอนุรุธ” ได้จัดการสร้างวัดทางด้านทิศเหนือชานเมืองนครศรีธรรมราช ซ่ึงบริเวณ

พื้นท่ีเป็นดอนทราย หรือหาดทราย มีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเต็มไปหมด สภาพเป็นป่ารกชัด แต่มีต้นประดู่ข้ึนอยู่

มาก เมอื่ สร้างวัดจงึ ใหช้ ื่อว่า “วัดประดู”่ ภาษาใตเ้ รียกว่า วดั โดเก๋งจีน วัดประดู่มีลักษณะเก๋งเป็นอาคารหนั หน้า

ไปทางทศิ ใต้ ผนงั ก่ออฐิ ถอื ปูน เป็นผนังทึบสามด้านเว้นแต่ด้านหน้าทเ่ี ป็นเครื่องไม้แกะสลัก เป็นลวดลายมังกรคู่

และฉลุลวดลายสัตว์รูปหงส์ร่อน รูปไก่ฟ้าทองคำ รูปนกกระเรียนขาว และลายพรรณพฤกษาลายดอกโบตั๋น

คานและเสามีลกั ษณะเหล่อื มซอ้ นกันโดยใช้ตะปูไม้เปน็ ตัวยึด และใชก้ ารเจาะร่องเสาเพือ่ รองรับคาน เคร่ืองบน

เปน็ เคร่ืองไม้ หลังคาทรงจ่วั เรียบ มุงกระเบอื้ งดินเผาและด้านข้างมีการแกะสลกั ลายบวั หลวง พร้อมส่วนภายใน

เก๋งมีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้ 12 ปิดทอง ขนาดฐานกว้าง 1.70 เมตร สูง 3.10 เมตร ฐานชั้นล่างสุดเป็น

ฐานสิงห์ มีฐานบัวซ้อนกันข้ึนไป 2 ช้ันเป็นลายปูนป้ันบัวคว่ำบัวหงาย ส่วนยอดทำเป็นดอกบัวตูมตกแต่งด้วย

ลายปูนป้ันเป็นลายกนกไทย ลายกระจังตาอ้อย และประดับด้วยกระจกสีบนพ้ืนสีแดง เก๋งจีนวัดประดู่

พัฒนารามหรือเก๋งจีนพระเจ้าตาก สร้างข้ึนเมื่อปี พ.ศ.2385 โดยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง)

เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ผู้เป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้าตากสิน

มหาราช กับเจ้าจอมมารดาปราง ในช่วงปลายรัชกาลที่ 3 ท่านได้บรรจุพระบรม อัฐิของสมเด็จ

พระเจ้าตากสินมหาราช พระอัยกาและพระอัฐิเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ท่านบิดาไว้ในบัวทรงเจดีย์

องคเ์ ดียวกัน

1.9 วัดแจง้ วรวิหาร

วัดแจ้งวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ต้ังอยู่ติดกับ

วัดประดู่ ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ตำบลท่าวัง อำเภอเมือง เป็นวัดโบราณมาต้ังแต่สมัยอยุธยา ได้รับการ

27

ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2529 พ่ีสาวของเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ช่ือ ชี
เป็นผู้สร้างประมาณปี พ.ศ.2327 - 2330 ภายในวัดมีเก๋งจีนหลังหนึ่งก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบ้ือง
มีซ้มุ ประตูประดับลายปูนปัน้ แบบจนี อยดู่ ้านหน้า 2 ซมุ้ ภายในซ้มุ มีบัวอยู่ซุ้มละองค์ องค์ตะวนั ออกเปน็ แบบย่อ
มุมไม้สิบสองบรรจุอัฐิพระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) องค์ตะวันตกเป็นแบบยอดดอกบัวตูมบรรจุ
อฐั ิมุมทองเหน่ยี วพระชายา วัดแจง้ วรวหิ ารมีเนื้อทีป่ ระมาณ 17 ไร่ 5.10 ตาราวา มอี าณาเขตดังนี้

ทศิ เหนือ ตดิ ถนนพัฒนาการ - วิทยาลัยเทคนคิ นครศรธี รรมราช
ทศิ ตะวันออก ตดิ ถนนพฒั นาการ
ทิศใต้ ตดิ วัดประดูพ่ ัฒนาราม
ทิศตะวันตก ติดถนนราชดำเนนิ (ทางหลวงแผน่ ดินสายนครศรธี รรมราช – ทา่ แพ)
อน่ึง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัดที่มีช่ือว่า วัดแจ้ง จำนวน 3 วัด คือ วัดแจ้ง พระอารามหลวง
ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช วัดแจ้ง ตำบลท่าง้ิว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช และวัดแจ้ง ตำบล
บ้านเพิง อำเภอปากพนัง วัดแจ้งเป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองทางด้านทิศเหนือของคลอง
ท่าวัง ประวัติความเป็นมา ในการสร้างวัดในหนังสือประวัติวัดท่ัวราชอาณาจักร เล่ม 5 ของกรมการศาสนา
และหนังสือประวัติวัดทั่วราช อาณาจักร เล่ม 23 ของสำนักงานพระพุทธศาสนาระบุว่า “สร้างขึ้นในสมัย
สุโขทัย ราว พ.ศ.1823 ตามประวัติ ที่เล่าสืบกันมาว่าสร้างพร้อม ๆ กับวัดประดู่พัฒนาราม โดยมีพระมหาเถร
อนุรุทธและคณะ ซึ่งย้ายมาจากเมืองยศโสทร หรือจังหวัดยโสธรในปั จจุบัน มาดำเนินการให้วัดมี
ความเจริญรุ่งเรืองมาตามสำดบั
นอกจากน้ี ข้อความในซุ้มประตูทางทิศตะวันตก
ทางเข้าวัดด้านนอกระบุนามวัดว่า “วัดแจ้งวรวิหาร” ส่วน
ด้านในระบขุ อ้ ความวา่ “สร้าง พ.ศ.1823”
ประวตั วิ ัดแจง้ เทา่ ทสี่ ามารถสืบคน้ ไดเ้ ป็นเร่ืองราวท่ี
เก่ียวข้องกับตระกูล ณ นคร ดังปรากฏในพงศาวดารเมือง
นครศรีธรรมราช ของหลวงอนุสรสิทธิกรรม (บัว ณ นคร)
ความว่า “คุณชุ่มได้เป็นภรรยาเจ้าพัฒน์ เจ้าพัฒน์นี้เป็น
บุตรปลัด มีพ่ีสาวคน 1 ชื่อคุณชี คุณชีไม่มีสามี มารดานั้น
เรียกวา่ คุณหญงิ คณุ หญิงสรา้ งวัดประดู่ คณุ ชสี รา้ งวัดแจ้ง ทอี่ ยตู่ ำบล ท่าวังเด๋ียวน้ี”
อีกทั้งยังมีเรื่องเล่าว่า บริเวณที่สร้างวัดเป็นท่ีตั้ง บ้านเรือนของ
เจ้าพระยานครศรีธรรมราชมาแต่เดิม ภายหลังเม่ือได้ย้ายไปตั้งบ้านเมืองใน
เขตกำแพงเมือง จึงยกที่ดินให้เป็นที่สร้างวัด เหมือนกั บที่เจ้าพระยา
นครศรีธรรมราช (พัฒน์) ยกวังให้เป็นที่สร้างวัดท่าโพธ์ิ (ใหม่) แต่ในหนังสือ
ประวัติทั่วราชอาณาจักรเล่ม 5 กล่าวว่า ครั้นถึง พ.ศ.2330 วัดแจ้งได้
ทรดุ โทรมลงเพราะขาดการบำรุง คุณชีซ่ึงเป็นพี่สาวของเจ้าพระยานครพัฒน์

28

เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จึงได้ปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง และคุณหญิงมารดาของเจ้าพระยานครพัฒน์ ได้ปฏิสังขรณ์

วัดประดู่พัฒนาราม จึงกล่าวได้ว่า วัดแจ้งและวัดประดู่นั้น เป็นวัดแม่วัดลูกกัน ท้ังยังถือว่าเป็นวัดสำหรับวงศ์

ต ระ กู ล

ณ น ค ร ไ ด้ บ ำ รุ ง เ ป็ น อ ย่ า ง ดี ต ล อ ด ม า เ ช่ น ใ น ส มั ย รั ช ก า ล ที่ 2 เ จ้ า พ ร ะ ย า

สุธรรมมนตรี (พัฒน์) ได้ปฏิสังขรณ์วัดแจ้งและวัดประดู่ วัดแจ้งน้ียังเป็นที่เก็บอัฐิของสายตระกูล ณ นคร

นบั ต้ังแต่อัฐิของพระเจ้าขัตตยิ ราชนิคมสมมติมไหศวรรย์ พระเจา้ นครศรีธรรมราช (หน)ู และ หมอ่ มทองเหน่ยี ว

รวมทั้งสายตระกูล ณ นครในสมัยต่อมาอีกด้วย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วัดแจ้งเป็นวัดสำคัญรองจากวัด

พระบรมธาตุ (พ ระมหาธาตุ) ซึ่งในสมัยน้ัน วัดพ ระบรมธาตุเป็นเขตพุ ทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์

จำพรรษา โดยมีพระครูกา เปน็ ผรู้ กั ษาพระธาตุทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระครูกาเดิมด้านทิศเหนือ พระครกู าแก้ว ดา้ น

ทิศตะวันออก พระครูการามด้านทิศใต้ และพระครูกาชาดด้านทิศตะวันตก ส่วนวัดท่าโพธ์ิก็ยังไม่มีบทบาท

ความสำคัญเหมือนเช่นทุกวันน้ี วัดแจ้งจึงเป็นวัดท่ีมีบทบาทสำคัญในสังคมเมืองนครศรีธรรมราชในช่วงสมัย

รัต น โก สิ น ท ร์ต อ น ต้ น เม่ื อ พ .ศ .24 79 ก รม ศิ ล ป าก รได้ ป ระก าศ ขึ้ น ท ะเบี ย น โบ ราณ ส ถ าน

“วัดแจ้ง อำเภอเมือง ตำบลท่าวัง”เป็นโบราณสถานสำหรับชาติ แต่มิได้กำหนดขอบเขตท่ีดินโบราณสถาน

ต่อมาใน พ.ศ.2547 จึงได้ประกาศพ้ืนที่โบราณสถานประมาณ 1 งาน 55 ตารางวา โบราณสถาน คือ

เก๋งจีน

เก๋งจีน เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มงุ กระเบื้องหันหนา้ ไปทางทศิ ใต้ หน้าต่างหรือช่องระบายอากาศเป็น

รูปวงกลม ภายในวงกลมทำเป็นซี่กรง ประตูทางเข้าเป็นเครื่องไม้แกะลายฉลุเป็นลายจีนส่งมาจาก

เมืองจีน ด้านหน้าเก๋งมีซุ้มลายปูนเป็น 2 ซุ้ม ภายในเก๋งจนี มี “บัว” ลกั ษณะเป็นเจดีย์ยอ่ มุมไมส้ ิบสองยอดเป็น

รปู ดอกบัวตูม 2 องค์ โดยบัวองค์ตะวันออกเป็นท่ีบรรจุท่ีบรรจุอัฐิของพระเจ้าขัตติยราชนิคมสมมติมไหสวรรค์

พระเจ้านครศรีธรรมราช (หนู) และบัวองค์ตะวันตกบรรจุอัฐิหม่อมทอง เหน่ียว ชายาเจ้าพระยา

นครศรีธรรมราช (หนู) ซึ่งบัวบรรจุอัฐินี้ สร้างโดยเจ้าพระยานครพัฒน์ บุตรชาย และคุณหญิงชุ่ม บุตรี

ดงั ปรากฏในพงศาวดารเมอื งนครศรธี รรมราชของหลวงอนุสรสทิ ธิกรรม (บวั ณ นคร) ความว่า บัวท้ังสององค์น้ี

เป็นบัวท่ีสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะบัว เป็นฐาน 3 ชั้น ย่อมุมไม้สิบสอง สูงประมาณ 2 เมตร

เศษ บัวก่ออิฐถือปูน โดยใช้ปูนขาวผสมน้ำอ้อย เรียกว่า ปูนเพชร ตกแต่งผิวนอกปูนฉาบด้วยลาย

ปูนปั้นเป็นรูปกระจัง ติดกระจกสี การปิดทองลายปิดลงบนเน้ือปูนไม่ได้ลงรักก่อน จึงไมค่ ่อยคงทนเท่าท่ีควร

พ้ืนทาสีแดงชาด ส่วนยอดเป็นรูปดอกบัวตูมมีก้านดอกสีแดงกลีบดอกบัวปิดทองและประดับกระจกสี เพื่อให้

เป็นที่สงั เกตระหว่างบัวบรรจุอัฐิของผู้ชายกับบัวบรรจุอัฐิผู้หญงิ โดยบวั บรรจุอัฐขิ องผู้ชายทำเป็นเจดีย์ทรงระฆัง

ย่อ มุ ม ไม้ สิ บ ส อ งเค ร่ือ งย อ ด เป็ น บั ว ก ลุ่ ม เถาแ ล ะเค รื่อ งยอ ด ส่ วน บั วบ รรจุ อั ฐิผู้ ห ญิ งย อ ด ท ำ

เป็นรูปดอกบัวตูม

1.10 หอพระสูง

พระวิหารสูง หรือหอพระสูง เป็นปูชนียสถาน

ที่สำคัญ แห่งหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราช ต้ังอยู่

29

น อ ก ก ำ แ พ ง เ มื อ ง โ บ ร า ณ น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช ด้ า น ทิ ศ เ ห นื อ
ใ น บ ริ เ ว ณ ส น า ม ห น้ า เ มื อ ง ใ ก ล้ ส ำ นั ก ง า น ก า ร ท่ อ ง เ ท่ี ย ว
แห่งประเทศไทย ถนนราชดำเนิน เรียกช่ือตามลักษณะของการก่อสร้างของพระวิหารซ่ึงสร้างบนเนินดินท่ีสูง
กว่าพนื้ ปกติถึง 2.10 เมตร ไม่ปรากฏหลักฐานแสดงประวัติอย่างแท้จรงิ แต่สามารถสนั นิษฐานจากลกั ษณะของ
สถาปัตยกรรมและจิตรกรรมฝาผนังว่า สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ภายในพระวิหารประดิษฐาน
พระพุทธรูปปูนป้ันแกนดินเหนียว สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ 23-24 หรือในสมัยอยุธยาตอน
ปลาย ยังไม่ปรากฏหลักฐานทางเอกสารแน่ชัดเก่ียวกับประวัติการสร้างหอพระสูงแห่งนี้ แต่มีเร่ืองเล่าของ
ชาวบ้านท่ีบอกเล่าต่อ ๆ กันมาว่าเนินดินขนาดใหญ่เป็นท่ีประดิษฐานหอพระสูงนั้น ชาวบ้านได้ช่วยกันขุดดิน
จากบริเวณคลองหน้าเมืองมาถมเป็นเนินขนาดใหญ่เพื่อใช้ต้ังปืนใหญ่ในการสกัดก้ันทัพพม่า ในคราวที่ได้มีการ
ยกทัพใหญ่ลงมาตีหัวเมืองหน้าด่านต่าง ๆ ทางภาคใต้ ตั้งแต่มะริด ถลาง ไชยา จนถึงนครศรีธรรมราช บริเวณ
ส น า ม ห น้ า เ มื อ ง น่ า จ ะ เ ป็ น ส น า ม ร บ แ ล ะ ตั้ ง ทั พ ต า ม
กลยุทธ์ในการจัดทัพออกศึก เพ่ือต่อสู้ประจัญบาน ต่อมาบริเวณแห่งน้ีกลายเป็นสถานท่ีศักดิ์สิทธ์ิ ได้มี
การก่อสร้างพระพุทธรูปเพื่อเป็นท่ี เคารพสักการะบูชา และได้สร้างวิหารครอบองค์พระพุทธรูปในเวลาต่อมา
รูปแบบสถาปัตยกรรม เป็นอาคารทรงไทย รูปสี่เหล่ียมผืนผ้า ก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 5.90 เมตร ยาว 13.20
เมตร สูง 3.50 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาเป็นเคร่ืองไม้มุงกระเบ้ืองดินเผาผนังด้านข้างเยื้องมา
ทางด้านหน้าทั้งสองด้านเจาะเป็นกรอบหน้าต่างทำช่องรับแสง ในกรอบเป็นรูปกากบาท ฐานชั้นลา่ งก่อด้วยอิฐ
เป็นตะพัก 4 ช้ัน ด้านหน้าทางขึ้นเป็นบันไดต่อจากเนินเข้าไปยังพระวิหารรูปแบบประติมากรรม ได้แก่ องค์
พระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย แกนพระพทุ ธรปู ทำด้วยดนิ เหนียวโบกปนู ปั้น องคพ์ ระภายนอกขนาดหน้าตัก
กว้าง 2.40 เมตร สงู 2.80 เมตร ลักษณะอวบอว้ น พระพักตร์เป็นรปู ส่ีเหลี่ยม พระขนงโก่ง พระนาสิกงุ้ม พระ
โอษฐ์เป็นรูปคันศร พระศอเป็นริ้ว พระกรรณห้อยต่ำอยู่ใต้พระศก พระเกศาเกล้าเป็นมวย เม็ดพระศกเป็น
ขมวดปนเล็ก ยอดพระเกตุมาลาอาจทักหายไป ครองผ้าสังฆาฏิเฉียงจากพระอังสาซ้ายมาจรดพระนาภี
ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ทรงวินิจฉัยว่าควรจัดอยู่ในสมัยพุทธศตวรรษท่ี 23 - 24 สมัยอยุธยา
ตอนปลาย หรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทางด้านหลังของหอพระสูง พบพุทธรูปหินทรายแดงปางมารวิชัย เศียร
หักหายไป ส่วนฐานมีจารกึ ภาษาขอม รูปแบบจติ รกรรมฝาผนัง เขียนเป็นรูปดอกไม้หอ้ ยลง กลีบดอกเขยี นด้วย
สีน้ำตาล จำนวน 8 กลีบ ด้านดอกเขียนสีน้ำเงินหรือสีคราม ส่วนก้านเกสรเป็นลายไทย ดูอ่อนช้อยสวยงาม
ส่วนใต้ฐานพระพุทธรูปเป็นลายจีน เข้าใจว่าคงเขียนขึ้นภายหลัง รูปแบบของจิตรกรรมฝาผนังคล้ายงานเขียน
ในสมัยรัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น ทมี่ ีอิทธิพลจนี เข้ามาปะปนผสมกับลวดลายไทย

1.11 วดั ทา่ โพธ์ิวรวิหาร

30

วัดท่าโพธิ์วรวิหาร ต้ังอยู่ริมคลองท่าวัง ตำบลทา่ ชัก อำเภอเมือง สร้างในราวปี พ.ศ.2027 ตรงกับรัช
สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) แห่งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
(พ.ศ.2133 - 2148) ทรงพระยารามราชท้ายน้ำมาเป็นเจ้าเมือง และเพื่อปราบปรามพวกโจรสลัดซ่ึงอาละวาด
ห นั ก เข้ าป ล้ น หั ว เมื อ งภ าค ใต้ อ ยู่ ใน ข ณ ะน้ั น ใน พ .ศ .2 1 7 1 พ ว ก โจ รส ลั ด ย ก เข้ าป ล้ น เมื อ ง
พระยารามราชท้ายน้ำ ยกกำลังเข้าต่อสู้ปราบปรามอย่างเข้มแข็งในที่สุดพวกโจรพ่ายแพ้ท้ิงศพพรรคพวกไว้
มากมาย ท่ีเหลือหนีตายไปได้ แต่กว่าจะปราบได้สำเร็จพวกโจรสลัดเผาบ้านเรือนของชุมชนแถบน้ัน
ตลอดถึงวดั ท่าโพธิ์ราบเรียบเป็นหน้ากลอง วัดท่าโพธ์ิจึงร้างอยู่เป็นเวลานานในสมัยกรงุ รัตนโกสินทร์ เจ้าพัฒน์
ซ่ึงยังดำรงตำแหน่งเป็นอุปราชได้มาต้ังวังอยู่ทางทิศเหนือใกล้วัดท่าโพธ์ิ คร้ันสิ้นสมัยพระเจ้านครศรีธรรมราช
(หนู) เจา้ พฒั น์ไดร้ บั การแต่งตั้งเป็นเจ้าเมอื งคนต่อมา จงึ ยา้ ยเข้าไปอย่ใู นวังเจา้ เมอื งเดิม แล้วยกวงั ถวายวัด และ
สร้างวัดขึน้ ใหม่ใน พ.ศ.2327 รวมเนอ้ื ทเ่ี ข้ากับวัดเดิมและ ให้ช่ือว่า วัดทา่ โพธ์ิ เหมือนเดิม

วัดท่าโพธวิ รวหิ าร พระประธานในโบสถ์วดั ทา่ โพธ้วิ รวิหาร

โบราณวัตถโุ บราณสถานทส่ี ำคัญ คือ โบสถแ์ ละพระประธานในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปทรงเครอ่ื งใหญ่

สีสวยงาม ด้านหลังพระประธานมีเจดีย์บรรจุอัฐิของเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) มีกุฏิท่ีพักของท่านเจ้าคุณพระ

รัตนธัชมนุ ี (มว่ ง) รูปแบบสถาปตั ยกรรมยุโรปผสมจนี กรงประตหู น้าตา่ งมีลวดลายไมแ้ กะสลักงดงาม

31

1.12 วัดวังตะวันตก

วังตะวันตก ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน ติดกับ
บริเวณตลาดท่าวัง แต่ก่อนสร้างเป็นวัดเป็นส่วนของ
เจ้าจอมปราง พระสนมท่ีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระราชทานแก่เจ้าพระยานคร (พัฒน์) ส่วนวังของเจ้า
จอมปราง ตั้งอยู่ตรงกันข้ามคนละฟากของถนนราช
ดำเนิน คือ วัดวังตะวันออกในปัจจุบัน คร้ันเจ้าจอมปราง
สิ้นชีพิตักษัย เจ้าพระยานคร (น้อย) ยกให้เป็นวัด คือ
วัดวังตะวันออก และยกสวนให้เป็นวัดคือ วัดวังตะวันตก ในวัดวังตะวันตก มีกุฏิทรงไทย 3 หลั งสร้างเมื่อ
พ.ศ.2431 โดยพระครูกาชาด (ย่อง) เป็นเรือนเคร่ืองลับ หลังคาจั่ว ฝาปะกน แต่ละหลังมีชานที่มีหลังคาคลุม
เช่ือมต่อกันที่ประตู หน้าต่าง หน้าจั่ว มีลวดลายที่แกะสลักอย่างสวยงาม อันเป็นเอกลักษณ์ของ
เมืองนคร เน่ืองจากความงามลงตัวในเชิงสถาปัตยกรรม และได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีจึงได้รับ
การคัดเลือก “เป็นอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี” ประเภทปูชนียสถานและวัดอาราราม และได้รับรางวัลจาก
สมาคมสถาปนกิ สยาม เมือ่ พ.ศ.2536

1.13 วดั สระเรียง

วั ด ส ร ะ เรี ย ง อี ก ห น่ึ งวั ด ที่ ต้ั งอ ยู่ ต ร ง ข้ า ม
วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร ต้ังอยู่ถนนราชดำเนิน
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
เป็ น วั ด เก่ า แ ก่ ที่ เค ย เป็ น ท่ี ป ร ะ ทั บ ข อ ง พ ร ะ เจ้ า
กรุงธนบุรี เม่ือครั้งยกทัพมาตีหัวเมืองทางใต้และ
ได้ ส ร้างพ ลั บ พ ล าที่ ป ร ะ ทั บ ใน วั ด ส ระ เรี ย ง
โดยปัจจุบันพลับพลาที่ประทับและพระพุทธรูป
ดินเผาโบราณ ถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่อุโบสถวัดวัดสระเรียง ยังท่ีเป็นท่ีเคารพ
สักการะของชาวนครศรธี รรมราช รวมถึงรูปหล่อสมเด็จพระพฒุ าจารย(์ โต พรหมรังสี) ประดิษฐานอย่ใู นวดั แห่ง
นี้ มีพระพทุ ธชินราชจำลองปางมารวิชัย (ซุ้มเรือนแก้ว) เปน็ พระประธาน ในอโุ บสถวัดสระเรยี ง มีขนาดหน้าตัก
กว้าง 41 น้วิ สงู 59 น้ิว สรา้ งขน้ึ เมื่อปี พ.ศ.2529 ในปัจจุบันกำแพงแกว้ ของวัด ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขนึ้ มา
ใหม่ตามศิลปะบาหลี และประดับไว้ด้วยพระพุทธปูนป้ัน พระประจำวันเกิด พระพุทธสิหิงค์ พระแก้วมรกต
และหลวงพ่อท่านคล้าย วดั สระเรียงแห่งน้ียังถอื เปน็ โรงเรยี นพระปริยตธิ รรมทีใ่ หญ่ทสี่ ดุ ในภาคใต้

32

1.14 วดั ชายนา

วัดชายนาได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นวัด

สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ในตำบลนา อำเภอเมือง

จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยพิจารณาจากถาวรวัตถุ อัน

สำคัญ คือ โบสถ์ซึ่งมีลักษณ ะเป็นโบสถ์ยุคแรก

ทางพระพุทธศาสนาที่นิยม ทำขนาดความยาวไม่เกิน 7

ก้าว กว้างพอจุพระครบองค์สังฆกรรมตามบัญญัติ ใน

พุทธศาสนาได้เท่าน้ัน มีประตูเข้าด้านหน้าเพียง

ด้านเดียว ไม่มีหน้าต่างแต่มีช่องหรือรูระบายอากาศ ที่ฝาผนัง ผนังด้านหลังพระพุทธรูป เสาติดผนังและผนัง

ด้านข้างมีร่องรอยภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง แต่ลบเลือนไปมาก จากหลักฐานดังกล่าวน้ีพร้อมด้วยกระเบื้อง

หลังคาเกา่ ท่ีฝงั จมดิน ทรงหลังคาภาพเขียนสี พระประธาน ละประณีตศิลป์ที่ปรากฏบนบัวหัวเสาและฐานชกุ ชี

น้ัน อาจารย์ ประเวศ ลิมปรังษี หัวหน้าแผนกช่างสิบหมู่ กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรได้สรุปว่า เป็นฝีมือ

ชา่ งสมัยอยุธยา และกรมศิลปากรประกาศข้ึนทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 118 ตอนที่ 127

ง. วนั ที่ 21 ธันวาคม 2544 เป็นโบราณสถานวัดชายนามพี ้ืนท่ปี ระมาณ 90 ตารางวา แต่มหี ลกั ฐานทางราชการ

ปี 2473 ซ่ึงมีการวัดทำบัญชีสำรวจที่ดินวัดร้างในแผนกสรรพากรวังหวัดนครศรีธรรมราช อันดับที่ 23 ว่าวัด

ชายนา (ร้าง) ไม่มีผู้เช่า ต่อมามีการแจ้งสิทธิ์ครอบครองรับเอกสาร ส.ค.1 เลขที่ 100 ลงวันที่ 23 พฤษภาคม

พ.ศ.2498 เช่นนี้ วดั ชายนาจึงยงั คง มชี ื่อวา่ วัดชายนา และวงเล็บว่า ร้าง วดั ชายนารา้ งน้ันมีสภาพดงั สำนักสงฆ์

มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาบ้างและบางขณะถูกปล่อยร้างสลับกันไป หลักฐานที่ชัดเจนในการใช้พื้นท่ีอาณา

บริเวณน้ีเป็นที่ประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนา คือ ปีพุทธศักราช 2477 พุทธธรรม-สมาคม สาขา

นครศรธี รรมราช ซึ่งพยายามจัดหาสถานท่ีวเิ วกสำหรับพระภิกษุ สามเณรเพ่ือปฏิบัตธิ รรมขั้นสูงโดยสะดวก ได้

เลือกวัดชายนาซึ่งเป็นวัดร้างเปิดเป็นสถานที่วิปัสสนาธุระใน วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2477 เรียกสถานที่วัด

ชายนาวา่ “สวนพุทธธรรมปันตาราม” แปลวา่ สวนหรือป่าสงัด อันเป็นปัจจยั แหง่ การบรรลุพุทธธรรม กระท่ังปี

พ.ศ.2505 ท่านพระอาจารยธ์ มมธโร ได้เขา้ สอนการปฏบิ ัติอยู่หนึ่งปี พอข้นึ ปีที่สองเท่านน้ั ชื่อเสยี งของท่านกโ็ ด่ง

ดังไปท่ัวทั้งเมืองนครศรีธรรมราช มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา พากันมาศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่าน

มากมาย บรรดานักปราชญ์นักธรรมและแม้แต่นักกฎหมายหลายท่านต่างก็เดินทางมาพบท่านเพ่ือสนทนา

สอบถามปัญหาธรรมต่าง ๆ ในปีพ.ศ.2515 ท่านพระอาจารย์ธมมธโร ได้ไห้ชื่อสำนัก วิปัสสนาใหม่ว่า “สำนัก

วปิ ัสสนากัมมัฏฐาน สวนพุทธธรรม วัดชายนาร้าง” เพื่อให้สอดคลอ้ งกบั ชื่อเดิมว่า “สวนพุทธธรรมปันตาราม”

และ “วัดชายนา” และในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2539 ทางกรมการศาสนาโดยความเห็นชอบของมหาเถร

สมาคม ได้ประกาศยกวัดชายนาร้างข้ึนเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา และในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2539

พระราชปฏิภาณโสภณ เจา้ คณะวังหวัดนครศรธี รรมราชได้แตง่ ต้งั ให้พระครูสมุหแ์ จง้ จนทวณโณ ดำรงตำแหน่ง

เป็นเจ้าอาวาสวดั ชายนา

33

34

1.15 ศาลพระเสอื้ เมือง

ศาลพระเส้ือเมือง ตั้งอยู่ท่ีหลังโรงพยาบาล
เทศบาล ถนนหน้าวัดสวนป่าน อำเภอเมือง จังหวัด
นครศรีธรรมราช แต่เดิม สันนิษฐานเป็นสองกระแส
กระแสแรก ว่าเคยเป็นศาลหลักเมืองของนครศรีธรรมราช
ในสมัยโบราณ กระแสท่ีสอง ว่าเคยเป็นศาลาเปล้ือง
เคร่ืองทรงของเจ้าพระยาท้าวมหากษัตริย์ ท่ีจะมา
สักการะบูชาพระบรมธาตุ ได้ผ่านการบูรณะมาหลายครั้ง
โดยชาวจีนฮกเก้ียน ท่ีมาสร้างศาลแบบจีน โดยมีในบนั ทึก ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาภานุพนั ธุ
วงศ์วรเดช ได้ทรงบันทึกในหนังสอื “ชีวิวฒั น์ บันทกึ การเดินทางเสด็จประพาสหัวเมืองภาคใต้” เมื่อ พ.ศ.2427
(สมัยรัชกาลที่ 5) มีตอนที่กล่าวถึง เมืองนครศรีธรรมราชตอนหน่ึงว่า “ข้างฟากถนนด้านตะวันตกถัดบ้าน
พระยานคร (ศาลากลาง จังหวัดในปัจจุบัน) ไปประมาณ 10 เส้น มีหมู่ตลาดอีกแห่งหน่ึง เป็นตลาดเพิงเป็น
หลัง ๆ ขายผ้า เครื่องนุ่งห่มและเคร่อื งใช้สอยต่างๆ ประมาณ 21-22 ร้าน ที่น้ันมีโรงศาลเจ้าเสื้อเมืองหลังหนึ่ง
มุงจาก ฝาลูกกรงไมไ้ ผเ่ หมอื นโรงโป ในนั้นมกี ฏุ ิอิฐ 2 หน้า ขา้ งตะวนั ตกมเี ทวรูปศลิ าปิดทองยืนจมดนิ สูงสักศอก
เศษ (1 ศอก = 50 ซม.) หน้าข้างตะวันออกมีเทวรูปศิลาปิดทองน่ังชันเข่าสูงสักศอกเศษหน่ึง” ให้นำย้อนหลัง
ไปดูศาลเจ้าพระเส้ือเมือง เป็นโรงใหญ่กำมะลอฝาขัดแตะ กลางโรงมีกุฏิก่ออย่างจีน ดุจกุฏินกขุนทอง หน้ากุฏิ
มีโต๊ะพระเคร่ืองบูชาอย่างจีนต้ังในกุฏิเป็นพระพุทธรูปเก่า หลังกุฏิมีรูปป้ันเป็นเทวดาน่ังวิศวกรรมแต่มีนม
ดูจะเป็นนาง หลังโต๊ะมีโต๊ะเครื่องบูชาอย่างจีนตั้งอีกแห่งหน่ึง หลังโต๊ะแขวนรูปกวนอู เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า
ศาลนี้เคยมีจีนมาปกครองแต่เดี๋ยวน้ีไม่มีแล้ว ผู้ว่าราชการให้ผู้ใหญ่บ้านท่ีอยู่ใกล้มาดูแล...” ในปี พ.ศ.2505
ได้เกิดวาตภัยใหญ่ ทำให้ศาลพระเสื้อเมือง นครศรีธรรมราช ได้พังทลายจนต้องบูรณะใหม่แล้วเสร็จใน
ปี พ.ศ.2508 และได้มีการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2552 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2557 ปัจจุบันศาลพระเส้ือเมือง
ไดบ้ รู ณะใหม่เป็นทีส่ ง่าเชิดหนา้ ชูตา ควรค่าแก่การเข้าไปสักการะบชู า

1.16 ฐานพระสยม

ฐานพระสยม (ฐานพระสยมภูวนาท) ตั้งอยู่ที่
ถนนหลังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ตำบลในเมือง
อำเภอเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ฐานพระสยมเป็น
เทวาลัยไศวนิกาย ฐานพระสยมเป็นเทวสถานเก่าแก่ของ
พราหมณ์ สรา้ งประมาณ พ.ศ.1600 ตั้งอยูท่ างทิศตะวันตก
เฉียงเหนือไม่ไกลนักจากพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
สร้างด้วยอิฐ ประกอบด้วย ห้องครรภคฤหะขนาดเล็ก
ซ่ึงสำหรับประดิษฐานศิวลึงค์และมณฑปทางด้านหน้า
สำหรับผู้บูชา ภายในประดิษฐานศิวลึงค์ ซ่ึงต้ังอยู่บนฐานโยนีทรงกลม อันเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะและ

35

พระอุมาในฐานะแห่งการไม่มีรูป อนึ่งฐานโยนีทรงกลมน้ีเป็นลักษณะพิเศษ ไม่ปรากฏมาก่อนในศิ ลปะ
ศรีวิชัย แต่กลับเป็นลักษณะปกติในศิลปะอินเดียใต้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นไปได้ที่ฐานดังกล่าวอาจแสดง
ความสมั พนั ธท์ างใดทางหน่งึ กับชาวอนิ เดีย

1.17 หอพระอิศวร

หอพระศิวะ ต้ังอยู่ท่ีถนนราชดำเนิน ใกล้กับ
วัดเสมาเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง มีเน้ือท่ี 2 ไร่
1 งานเศษ เป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ไศวนิกาย
คอื นิกายที่นับถือพระศิวะหรือพระอิศวร นิกายนี้แทนท่ี
จะนับถือองศ์พระศิวะ แต่กลับนับถืออวัยวะเพศ
หรือลึงค์ของพระศิวะ ที่เรียกว่า “ศิวลึงค์” และนับถือ
อ วั ย ว ะ เ พ ศ ข อ ง พ ร ะ ม เ ห สี พ ร ะ ศิ ว ะ คื อ พ ร ะ น า ง อุ ม า
“อุมาโยนี” ศิวลึงค์กับอุมาโยนีจะอยู่คู่กันเสมอ ภายในหอพระศิวะประดิษฐานศิวลึงค์บนแท่นโยนิโทรณะ
ภายนอกด้านใต้มี “เสาชิงช้า” จำลองแทนของเดิม ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ทำด้วยไม้ตะเคียนทอง สำหรับ
ประกอบพิธีโล้ชิงช้า เชิญเสด็จพระอิศวรลงมายังโลกมนุษย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุ
พันธ์ ธุวงศ์วรเดช เสด็จประพาสเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อปีวอก พ.ศ.2527 ส่งบรรยายหอพระอิศวร และหอ
พระนารายณ์ไว้วา่ ถัดวัดเสมาเมืองออกไปเปน็ เขตจังหวัดโบสถ์พราหมณ์ มีตวั โบสถพ์ ราหมณ์หลัง 1 ผนงั ทลาย
มุงจากในโบสถ์ มีคอกอิฐ ในคอกอิฐนั้น มี ฐานสำหรับรองรับ ศิว ลึงค์ (สะกดการัน ต์แบบเดิม)
ทำด้วยศิลา 4 เหล่ียมใหญ่ประมาณ 2 ศอก มีรูปพระพิฆเณศศิลาปิดทองเปลว ๆ ต้ังอยู่บนฐานน้ันและ
มีไม้บานประตูสลักเป็นเทวรูปอยู่อันหนึ่งสูงสัก 3 ศอก มีศิวลึงค์ศิลาย่อม ๆ ปักอยู่สองข้างฐานน้ัน
นอกคอกอิฐ มุมข้างตะวันออกเฉียงใต้มีศิวลึงค์ศิลาอันหนึ่งปักอยู่ ใหญ่ 5 กำ สูงศอกคืบ น่าจะเป็นศิวลึงค์
สำหรับกับฐานท่ีตั้งอยู่ข้างในแต่พลัดกันไป ข้างโบสถ์ด้านเหนือมีหอมุงกระเบื้องเฉลียงรอบตัวอยู่หลังหนึ่ง เป็น
ท่ีพวกพราหมณ์อาศัย ท่ีลานโบสถ์นั้นมีเสาชิงช้าอันหน่ึง สูงประมาณ 3 วา ท่ีเทวสถานน้ันมีพวกพราหมณ์นุ่ง
ขาวอยหู่ ลายคน(ภาณุพันธธ์ วุ งศว์ รเดช,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจา้ ฟา้ กรมพระยา 2504:117-118)

1.18 หอพระนารายณ์

หอพระนารายณ์ต้ังอยู่ท่ีถนนราชดำเนินใกล้กับ
วัดเสมาเมือง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ฝ่ังตรงข้ามกันกับ
พ่อพระศิวะ มีเน้ือที่ 1 ไร่ 1 งานเศษ เป็นเทวสถานใน
ศาสน าพ ราหม ณ์ ไวษณ พ นิกาย คือ นิกายท่ีนับ ถือ
พระนารายณ์ ซ่ึงเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว คือ ท้ังผู้สร้าง
ผรู้ ักษาและผู้ทำลายสากลโลกนี้ นิกายนีส้ อนเร่อื ง “อวตาร”
คือ การปรากฏกาย ลงมาเกิดในเมืองมนุษย์ เพ่ือปราบยุคเข็ญต่าง ๆ ในโลกนี้ ซ่ึงมีมาแล้วถึง 10 ครั้ง เรียกว่า
“นารายณ์ 10 ปาง” ครั้งสุดท้าย อวตารลงมาเป็นพระพุ ทธเจ้า ตำราไม่ได้บอกไว้ว่าตอนที่ 11

36

จะเกดิ มาเป็นอะไรในโลกภายหน้า ภายในหอเปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระวิษณุศิลา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอเจ้าฟ้า
กรมตะวันออก มีโบสถ์พราหมณ์อีกจังหวัดหนึ่ง มีผนังอิฐทลายมุงจาก มีคอกอิฐข้างใน มีเทวรูปนารายณ์ศิลา
ปิดทองยืมจมดินอยู่เพียงน่องสงู ประมาณศอกเศษถดั เทวสถานทั้งสองฟากต่อไปมีบ้านราษฎรบา้ ง

1.19 แหลง่ นำ้ ศกั ดิ์สิทธ์ิในจังหวดั นครศรีธรรมราช

ในคร้ังโบราณตราบจนปัจจุบัน เมื่อต้องการใช้น้ำพระพุทธมนต์ประกอบพระราชพิธี เช่น
น้ำอภิเษก น้ำบรมราชาภิเษกและน้ำพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น เจ้าเมืองก็จะให้ราชบุรุษไปพลีกรรม
เพ่ือเอาน้ำจากแหล่งน้ำศักด์ิสิทธิ์ ทั้ง 6 แหล่งมาประกอบพิธีทุกครั้งไป แหล่งน้ำศักด์ิสิทธิ์คู่เมือง
นครศรีธรรมราช ใช้ในพระราชพิธีและพิธีกรรมอัน ศักด์ิสิทธิ์ในพระราชพิธีเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ
พระมหากษัตริย์ที่จะขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ในขั้นตอนการเตรียมพิธี จะต้องมีการตักน้ำจากแหล่งสำคัญ
สำหรับนำมาเป็นน้ำสรงพระมุรธาภิเษก และเพื่อทำน้ำอภิเษกก่อนที่จะนำไปประกอบในพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก ซ่ึงน้ำท่ีนำมาจะต้องมีความพิเศษกว่าน้ำธรรมดาท่ัวไป ซึ่งได้รวม 6 แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์คบู่ ้าน คู่
เมืองนครศรีธรรมราช ไปตั้งทำพิธีที่วัดพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็นปูชนียสถานท่ีสำคัญใน
จงั หวดั นครศรธี รรมราช แหลง่ น้ำศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ทใ่ี ชใ้ นการประกอบพิธีพลีกรรมตักนำ้ จำนวน 6 แหล่ง คอื

1.19.1 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ วัดหนา้ พระลาน

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วัดหน้าพระลาน ตั้งอยู่ในวัด
พระลาน ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ใน
สมัยโบราณชาวบา้ นเช่ือกันว่าเป็นบ่อน้ำศกั ด์ิสทิ ธิ์นำ้ ใสสะอาด
มี ค ว าม ห น าแ น่ น ผิ ด ป ก ติ ก ว่าบ่ อ อ่ื น ๆ ห าก ใค รได้
ดม่ื น้ำในบ่อนจ้ี ะมีสติปัญญาดี มีวาสนา จะได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่
นอกจากนั้นชาวบ้านยังเช่ือว่า น้ำในบ่อนี้สามารถใช้ผสม
ยารักษาโรคและใช้ประพรมขับภูตผีปีศาจได้ด้วย จึงนิยม
ตักน้ำในบ่อน้ีไปใช้ด่ืมกินตามความเช่ือของตน ในปีพุทธศักราช 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ได้เสด็จหัวเมืองปักษ์ใต้และได้ประทับแรมจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนั้นเจ้าพระยาสุธรรม
มนตรี (หนูพรอ้ ม) เป็นเจ้าเมอื ง พระองคท์ รงทราบเร่อื งราวบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์วดั นี้จึงได้เสดจ็ พระราชดำเนินมายัง
วัดหน้าพระลาน ทรงตักน้ำในบ่อน้ำน้ีด้วยภาชนะซึ่งทำด้วยใบจาก (หมาจาก) ด้วยพระองค์เองและทรงเสวย
ในอดีตคร้ังกรุงศรีอยุธยา เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช เคยอัญ เชิญ น้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อแห่งน้ีเพื่อ
เข้าสู่พิธีและพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเมืองนครศรีธรรมราช และอัญเชิญ
น้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อน้ำน้ีเข้าสู่งานพระราชพิธีทวีธาภิเษก เมื่อปี พ.ศ.2447 (รัชกาลที่ 5) และพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษกพระมหากษัตรียาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี คร้ังล่าสุดทางจังหวัดได้อัญเชิญ

37

น้ำศักด์ิสิทธ์ิจากบ่อแห่งน้ีซึ่งเป็นหนึ่งในหกแหง่ ของจังหวัดนครศรธี รรมราช ขนึ้ ทลู เกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยูห่ วั เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เมอ่ื ปพี ทุ ธศักราช 2542 และ
พระราชพธิ มี หามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา เมื่อวันที่ 5 ธนั วาคม พ.ศ.2550

1.19.2 บอ่ นำ้ ศักด์สิ ทิ ธวิ์ ดั เสมาเมือง

ต้ังอยู่ทางทิศอีสานของวัด เป็นบ่อน้ำท่ีสร้างข้ึน
พร้อมกับการต้ังวัดเสมาเมือง หมายถึง หลักเมืองเปน็ สถานที่
บอกเร่ืองราวต่าง ๆ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ต้ังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบันวัดเสมาเมือง สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 1318
เป็นวัดที่สร้างข้ึนเป็นอันดับท่ี 2 รองจากวัดพระมหาธาตุ
วรมหาวิหาร มีหลักศิลาจารึกหลักที่ 23 ซึ่งขุดพบที่วัดเสมา
เมืองแห่งน้ี ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำแห่งนี้ ต้ังอยู่ภายในเขต
ธรณีสงฆ์อันเป็นแดนของพระพุทธศาสนาและในอดีตเคยเป็นศาสนาพราหมณ์ ท่ีได้เข้าสู่นครศรีธรรมราชราว
ศตวรรษท่ี 10-12 ก่อนกลายเป็นวัดในพระพุทธศาสนา และเช่ือว่าบ่อน้ำนี้มีอายุก่อนต้ังวัดเสมาเมือง เป็นบ่อ
น้ำในศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์ จึงมีความเชื่อว่าใครที่ได้ด่ืมกินน้ำในบ่อน้ี ก็สามารถแก้คุณไสยภูตผี
ปศี าจได้ จงึ เปน็ บ่อน้ำศักด์ิสทิ ธิ์ หนึ่งในหกแห่งของจังหวดั นครศรีธรรมราชและทางการได้ตักน้ำในบ่อน้ำนี้เข้าสู่
พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ของเมืองนครศรีธรรมราช และอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อน้ำแห่งนี้เข้าสู่งานพระ
ราชพิธีทวีธาภิเษกในรัชกาลท่ี 5 และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตรียาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ใน
ราชวงศจ์ ักรี

1.19.3 บอ่ น้ำศกั ดสิ์ ทิ ธวิ์ ดั เสมาชัย

ต้ังอยู่ทางทิศเหนือของวัดเสมาเมืองบ่อน้ำตั้งอยู่
ทางทิศอีสานของวัดเช่นเดียวกับวัดเสมาเมือง เสมาชัย หมายถึง
เคร่ืองหมายของการชนะ ในอดีตพระเจ้าศรีธรรมโศกราช
กษัตริยเ์ มืองนครได้สร้างวัดน้ีข้ึนหลงั จากไดก้ รีธาทัพไปตีหัวเมือง
ฝายใต้และได้รับชัยชนะกลับมา จึงได้บูรณะวัดเสมาชัย เป็นท่ี
ระลึก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมืองจึงทำให้น้ำศักด์ิสิทธิ์ในบ่อวัดเสมาชัยได้ถูกนำไปใช้เป็นบ่อพระพุทธมนต์
ประพรมแก่ทหารหรือใหท้ หารด่ืมน้ำเพอื่ ออกสงคราม ในคราวท่เี จา้ พระยานครน้อยได้กรีธาทัพไปตไี ทรบรุ ี ก็ได้

38

นำน้ำศกั ด์ิสทิ ธ์ิบ่อนี้เขา้ พิธีพทุ ธาภิเษก ประพรมให้ทหาร และใหท้ หารดม่ื น้ำบ่อนเ้ี พื่อไปทำสงครามกับเมอื งไทร
บุรีและได้รับชัยชนะกลับมา ชาวนครจึงเช่ือว่าบ่อน้ำนี้ผู้ใดได้ดื่มกินจะได้รับชัยชนะในทุกคราวในอดีตจังหวัด
นครศรีธรรมราช ได้อัญเชิญน้ำศักด์ิสิทธ์ิจากบ่อแห่งนี้ เพ่ือเข้าพิธีและพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พิธีถือ
น้ำพระพิพัฒน์สัตยาของเมืองนครศรีธรรมราช และอัญเชิญน้ำศักดิ์สิทธ์ิจากบ่อน้ำแห่งน้ีเข้าประกอบพระราช
พิธีบรมราชาภเิ ษกพระมหากษัตรยี าธิราชทุกพระองค์ในราชวงศจ์ ักรี

39

1.19.4 บอ่ นำ้ ศักดิส์ ทิ ธว์ิ ดั ประตูขาว

ตัง้ อยู่ตำบลคลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรธี รรมราช
ปัจจุบันเป็นวัดร้างทางราชการได้ใช้สถานที่วัดเป็นโรงเรียนอนุบาล
นครศรีธรรมราชไปแล้ว บ่อน้ำที่วัดประตูขาว เดิมเป็นบ่อน้ำลึกอยู่
หลังโรงเรียนอนุบาล นครศรีธรรมราช แต่ครั้งโบราณน้ำในบ่อนี้
ได้รับการปลุกเสก โดยเจ้าอาวาสรูปสำคัญของวัดนี้ เป็นเจ้าอาวาส
ท่ีมีความเช่ียวชาญทางไสยศาสตร์ น้ำในบ่อนี้เป็นบ่อน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์
เป็นสิริมงคล ใช้ในการทำน้ำพระพุทธมนต์ในพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น น้อมอภิเษกพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
นำ้ พระพพิ ัฒนส์ ัตยา เปน็ ต้น

1.19.5 บอ่ นำ้ ศกั ดสิ์ ิทธห์ิ ว้ ยเขามหาชยั

เป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลมาจากเขามหาชัย ผ่านลงมา
ทางแนวป่าในบริเวณที่เป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
ต้นน้ำอยู่ในเขตหมู่ท่ี 4 ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมือง จังหวัด
นครศรีธรรมราช ลำห้วยน้เี รียกตามช่ือภเู ขามหาชัย อันหมายถงึ ชัย
ช น ะ อั น ย่ิ ง ให ญ่ ท่ี ช า ว เมื อ ง น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช ใน ช่ ว ง
พ.ศ.1900-2000 มีชัยต่อสลัดชวา ที่มาทำสงครามกับชาวนคร ถือ
เป็นน้ำทีม่ ีโชคชยั ใชเ้ ป็นในพระราชพิธีตา่ ง ๆ เช่น น้ำพระพทุ ธมนต์
น้ำพระบรมราชาภิเษก น้ำพระพิพัฒนส์ ัตยา เป็นต้น โดยนำไปรวม
กับบ่ออน่ื ๆ ทีม่ ใี นตัวเมอื งนครศรีธรรมราช

1.19.6 บ่อน้ำศักดส์ิ ทิ ธหิ์ ว้ ยปากนาคราช

เปน็ ห้วยทม่ี ีความคดเคี้ยวเหมอื นตวั พญานาค อย่ทู ี่
ตำบลเขาแก้ว อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช น้ำจาก
ล ำ ห้ ว ย นี้ ไห ล อ อ ก ม า จ า ก แ ง่ หิ น ท่ี มี ป า ก เห มื อ น พ ญ า น า ค
ไหลตลอดปี ต้ังแต่โบราณมาเช่ือว่าน้ำในห้วยนาคราชเป็นน้ำ
ศักด์ิสิทธ์ิและสำคัญเหมือนน้ำ จากแหล่งอ่ืน ๆ 5 แหล่งข้างต้น
น้ำจากลำห้วยน้ีใช้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ และพระราชพิธีร่วมกับ
น้ำทุกแหล่งที่กล่าวมาตรงจุดที่ตักน้ำในห้วยปากนาคราช
มีลักษณะเป็นแอ่งน้ำที่มีทางเล็ก ๆ หลายสายมารวมกันท่ีใกล้จุดน้ี มีต้นไม้อยู่ 3 ชนิด คือ ต้นใบแร็ด 1
หมู่กอไผ่ลำเล็ก 1 กอ และหวาย 1 กอ เจา้ เมืองนครเคยจัดให้มีคนเฝา้ มิให้ใครตดั ตน้ ไม้

40

1.20 ศาลากลางจังหวดั

ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช มีประวัติ
ความเป็นมา บริเวณศาลากลางแห่งน้ี เดิมเป็นวังของเจ้าเมือง
สภาพภายในวัง ก่อนท่ีจะมีการปฏิรูปการปกครองในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขุนอาเทศคดี
(กล่อม มัลลิกะมาส) ได้บันทึกไว้ว่า ทิศตะวันออกเป็นหน้าวัง
ระหว่างถนนกับร้ัวกำแพงวังเป็นที่ว่าง กว้างศาลา ประมาณ 10 วา มีต้นประดู่ใหญ่ เรียงรายสาขาร่มร่ืนเย็น
สบาย จากทิศเหนือไปทิศใต้หลายต้น ที่ประตูวังมีโรงฆ้องสำหรับตีบอกทุ่ม ทางด้านทิศเหนือประตูวัง มีศาลา
ยกพ้ืนปกู ระดาน หลังคามุงจาก เป็นศาลาชำระความ เรียกกนั ว่า ศาลาต้นจันทน์ เพราะอยู่ใต้ตน้ จันทน์ต้นหนึ่ง
มีคำพูดเล่นๆว่า “เป็นความเป็นกันศาลาต้นจันทน์กูไม่ไป” ทางด้านทิศใต้ประตูวัง มีศาลายาว 7 ห้อง เป็นท่ี
สำหรับคุมขังคู่ความในเมื่อติดใจสงสัยกันตามกฎหมายสมัยน้ัน ทางไปตะวันตกเป็นด้านหลังวัง มีทางเดินจาก
ทิศใต้ (ตรอกหลังวัดสวนป่าน) พุ่งไปทางทิศเหนือ ทิศตะวันตก เป็นท่ีต้ังบ้านเรือนของบริษัทบริวารของเจ้า
เมืองหลายสิบหลงั คาเรอื น เรียกกันว่า “บ้านทา้ ยวงั ” ทิศเหนอื เป็นสวนดอกไม้ตา่ ง ๆ ไมผ้ ลก็มี พระยานครกุล
เชษฐ์ (เอียด ณ นคร) คร้ังยังเป็นพระเสน่หา มนตรี อย่อู าศัย เลยเรียกกันว่า “ท่านในสวน” ทิศใต้ เป็นอาคาร
บ้านเรือนของท่านเจ้าเมืองและบุตรภรรยากับท่านหญิงมารดาและน้องหญิงของท่าน อยู่อาศัยรวมหลายหลัง
ทางกำแพงวัดดา้ นทิศใต้นั้น มีเฉลียงรอบกวา้ งประมาณ 6 วา ยาวประมาณ 10 วา เป็นทีส่ ำหรบั สวดมนต์ในพธิ ี
ต่ า ง ๆ เ รี ย ก ว่ า “ โ ร ง พิ ธี ”
ทางทิศตะวันตกของโรงพิธี มีโรงแสง 1 หลัง ก่อพ้ืนผนังอิฐ มุงจาก เป็นท่ีเก็บปืนใหญ่คาบศิลา หอกดาบ และ
ส่ิงของเคร่ืองใช้ในพิธี เป็นต้น ทิศตะวันตกของโรงแสง มีโรงทอง ยกพื้นมุงจากเป็นท่ีทำทองรูปพรรณ ทักไป
ทางทศิ ตะวนั ตก มโี รงสำหรับทำงานพน้ื ดนิ มงุ จากอีก 1หลงั และทางทิศใต้ โรงพิธีเฉยี งไปทางตะวันตกเลก็ นอ้ ย
มีหอพระพุทธสิหิงค์ มีโรงสำหรับคนเฝ้าหอพระหลังหน่ึง กับมีปืนใหญ่กระสุน 4 น้ิว หรือ 5 นิ้ว กองอยู่
หลายกระบอก และมีโรงขา้ งโรงม้าด้วย

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จประพาสเมือง
นครศรีธรรมราช เมื่อปีวอก พ.ศ.2427 ทรงบรรยายถึงบ้านเรือนเจ้าเมืองสมัยนั้นไว้ว่า ถึงบ้านพระศิริธรรม
บริรักษ์ปลัด มีร้ัวอยู่ริมถนนเป็นไม้ไผ่ขัดแตะเสี้ยมปลายแหลม มีประตูไม้อย่างเก่า ข้างในมีหอนั่งยกพื้น
ช้ันเดียว ฝากระแซงอ่อน หลังคามุงจาก ทำนองเรือนฝรั่ง มีลูกกรงเรือนข้างใน หลายหลังเป็นเรือนมุงจาก
ทั้งส้ิน ต่อบ้านพระศิริธรรมไป เป็นบ้านพระภักดีดำรงฤทธิ์ ผู้ช่วย ร้ัวบ้านเป็นตัวไม้เสม็ดปีกห่าง ๆ
บ้านยังทำไม้แล้ว เป็นเรือนจาก 4 หลัง มีหมู่เรือนฝากระแชงอ่อน หลังคามุงจาก เป็นเรือนช้ันเดียว ยกพื้นถัด
บ้านพระภักดีไป บ้านพระยารักษากรุง (เจ้าพระยามหาศิริธรรมบริรักษ์ (น้อยใหญ่ โกมารกุล ณ นคร ผู้รักษา

41

กรุงเก่า) เป็นมรดกต่อไป ร้ัวบ้านขัดแตะมีเรือนมุงจากเก่า ๆ ไกลเข้าไป ถัดต่อไปเป็น วังเจ้านคร (เจ้านคร
หมายถึง พระปลัดหนู ซ่ึงตั้งตนเป็นอิสระเม่ือเสียกรุงศรีอยุธยา) ซึ่งพระยานคร อยู่เด๋ียวน้ี (เจ้าพระยา
น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช ห นู พ ร้ อ ม พ .ศ .2 4 1 0 - 2 4 4 4 ใน ปี พ .ศ .2 4 2 7 ถู ก กั ก ตั ว อ ยู่ ก รุ งเท พ ฯ
พระศิริธรนมบริรักษ์ (ถัด) น้องชาย เป็นผู้รักษาเมือง) (สงบ ส่งเมือง.2529 : 3831) กำแพงบ้านเป็น
ไม้กระดาน สูงประมาณ 10 ศอก แล้วมีร้ัวต้นแสยกบ้าง ไม้เสม็ดบ้าง หลายตอนเป็นทำนองสวนหน้าบ้าน
ในกำแพงบ้านนั้น มีหอนั่งหลังหน่ึง มีมุขพื้นเป็นขั้นบันไดก่ออิฐ ตัวหอน่ังฝากระแชงอ่อนหลังคาจากและ
มีเรือนหลังคาข้างในหลายหลัง มีเรือนหลังคากระเบ้ืองติดกัน 3 หลัง ถัดทอน่ังไปข้างใต้มีกำแพงกั้นสกัด
มีประตูออกไปตอนหนึ่ง (ภานุพันธ์ธุวงศ์วรเดช, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา.2504 :
118 - 119)

คร้ันต่อมา พ.ศ.2439 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เล่ือนพระวิจิตรวรสาส์น (ปั้น สุขุม) ข้าหลวง
ตรวจการพิเศษเมืองสงขลาและเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระยาสุขุมนัยวินิต (ต่อมาเป็นพระเจ้าพระยา
ยมราช) และทรงตั้งให้เปน็ ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรธี รรมราช

พ.ศ.2440 ได้ย้ายท่ีทำการจังหวัดจากในวังไปต้ังท่ีโรงพิธี และย้ายศาลจากศาลาต้นจันทน์
ไปรวมอยู่ด้วยโดยใช้ห้องกลางเปน็ ที่ผ้พู พิ ากษาออกนั่งชำระความ คณะกรรมการจังหวัดในยคุ นนั้ มดี งั น้ี

1. พระยานครศรีธรรมราช (หนูพร้อม ณ นคร) เป็นผู้ ว่าราชการจังหวัด (ต่อมาเป็น
พระเจา้ พระยาสธุ รรมมนตร)ี

2. พนั สุขสกลุ ราษฎร์ (เย็น สวุ รรณปทั ม์) ปลัดจังหวัด (ต่อมาเปน็ พระยาคริ ิธรรมบริรกั ษแ์ ละพระ
ยาสลวัสด์ิคีร)ี

3. ขุนโยธาราช (มี) เปน็ ยกบตั ร (อัยการจังหวดั ) (ตอ่ มาเป็นหลวงสุพากยพ์ จนพ์ จิ ติ ร)
4. พระบริรักษภ์ เู บศร์ (เอีย่ ม ณ นคร) เปน็ คลงั จงั หวัด (ตอ่ มาเป็นพระยาบริรักษภ์ ูเบศร)์
พ.ศ.2444 พระเจ้าสุธรรมมนตรี ลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการพระยาสุนทราทรธุรกิจ
(หมี ณ ถลาง) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ย้ายท่ีทำงานจากโรงพิธีไปยังท่ีว่าการเมือง ซ่ึงปลูกสร้างข้ึนใหม่
ในหมู่ต้นมะม่วง คือ ท่ีตั้งโรงเรียนกัลยาณีในปัจจุบันนี้ สร้างเป็นโรงยกพื้น เสาอิฐต้ังคาน กั้นกระดาน
พื้นกระดาน หลังคามุงกระเบ้ือง ลาดพ้ืนปูอิฐ มุขยกพ้ืนปูกระดานเสมอด้วยอาคาร ผู้ว่าราชการจังหวัด
ปฏบิ ัตงิ านประจำอยทู่ ส่ี ำนักงานใหม่แห่งนี้ ส่วนศาลจังหวดั ยงั คงอยู่ในโรงพิธีเหมือนเดิม
พ.ศ.2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 เสด็จประพาสจังหวัด
นครศรีธรรมราช ครั้งที่ 2 (ครั้งท่ี 1 พ.ศ.2441) ทางการได้ตกแต่งที่ว่าการเมืองหลังนี้เป็นท่ีประ ทับแรม
จงึ ได้ปลูกโรงพื้นดนิ มงุ จาก ก้นั จากท่ีหนา้ วัดประตูขาว (โรงเรียนอนบุ าลเดี๋ยวน้ี) เป็นทที่ ำการเมืองชั่วคราว เมื่อ
ในหลวงเสด็จกลับแลว้ ทางการเห็นวา่ ศาลาทว่ี ่าการเมอื งในหมู่ต้นมะมว่ ง ควรกั้นไว้เป็นทีป่ ระทับและเป็นที่พัก
ของข้าราชการชัน้ ผู้ใหญ่ จงึ ยา้ ยทวี่ า่ การเมืองไปต้งั ท่บี ริเวณศาลาประดูห่ ก

42

พ.ศ.2450 เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีถึงแก่อสัญกรรม ทายาทจึงยกที่บริเวณ วังให้แก่รัฐบาล
ตามเจตจำนง ของพระเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ทางการจึงสร้างที่ว่าการเมืองข้ึนใหม่ท่ีน่ัน เป็นตึก 2 ช้ัน
มีหน้ามุข สำเรจ็ ในปี พ.ศ.2455 จึงย้ายท่วี ่าการเมืองจากศาลาประด่หู กไปยังท่ีวา่ การเมืองหลงั ใหม่

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ.2504 เพลิงไหม้ขึ้นที่ทำการสรรพากรด้านหลัง ทางการจึงได้ร้ืออาคารหลัง
เก่าและปลูกสร้างใหม่ เป็นตึกทรงไทย 2 ชั้น กว้าง 38 เมตร ยาว 74 เมตร มีความสง่าสมศักด์ิศรี
ของบ้านเมือง เปิดใช้เป็นทางการเม่ือวันท่ี 26 มีนาคม พ.ศ.2507 โดย นายทวี แรงขำ รัฐมนตรีช่วยว่าการ
กระทรวงมหาดไทย เปน็ ประธานในพิธี

1.21 สนามหน้าเมือง

สนามหน้าเมืองเป็นสนามหญ้า ตั้งอยู่นอกกำแพง
เมืองเดิมของเมืองนครศรีธรรมราช ใช้เป็นท่ีประกอบกิจกรรม
ต่างๆ ของทางราชการบ้านเมืองและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
การละเล่น การแข่งขันกีฬา การออกร้านจำหน่ายสินค้า
การจัดงานเทศกาลประจำปี การแสดงมหรสพ เป็นต้น ของชาวเมอื งนครมาต้ังแต่สมัยโบราณจนถงึ ในปจั จบุ นั มี
เนอ้ื ที่ 33 ไร่เศษ มอี าณาเขต ดังนี้

ทิศตะวันออกจดถนนราชดำเนิน ตรงกันข้ามกับบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัด ศาลาประดู่หกและ
โรงเรียนกลั ยาณีศรีธรรมราช

ทิศตะวนั ตก ติดถนนทา่ ช้าง
ทิศเหนือจดถนนลูกเสือ ตรงกันข้ามกับสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชและ
กองกำกับการตำรวจภธู รนครศรีธรรมราช
ทิศใต้จดถนนเลียบคลองหน้าเมือง (หรือคูเมืองด้านเหนือ) สันนิษฐานว่าในสมัยโบราณสนาม
หน้าเมืองน้ี สร้างข้ึนตามอารยธรรมการผังเมืองของอินเดีย ตามประวัติของเมอื งปาฏลีบุตร ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่
ของอินเดีย ก็มีสนามหญ้ากว้างใหญ่อยู่หน้าเมือง เรียกกันว่า “สนามหน้าพระลาน” สนามดังกล่าว
มีไว้สำหรับประกอบกิจกรรมท่ีสำคัญ ๆ ของบ้านเมือง เช่น ประกอบราชพิธีอันสำคัญ ๆ เป็นที่ประลองยุทธ
ของฝ่ายทหาร เป็นท่ีจัดงานร่ืนเริง แสดงการละเล่นหรือมหรสพของชาวเมืองสนามหน้าพระลาน
มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ บ่อน้ำหรือสระน้ำ และศาลาที่พักของประชาชนเรียกว่า “ศาลาไสยาทาน”
หมายถึง ศาลาให้ท่ีพักผ่อนหลับนอน สมัยก่อนผู้ที่เดินทางมาถึงยามวิกาล ไม่สามารถเข้าเมืองได้ เพราะประตู
เมืองปิดเสียแล้ว จึงต้องอาศัยศาลาน้ีพักผ่อนหลับนอนค้างคืน รอจนกว่าปร ะตูเมืองจะเปิดจึงจะ
เข้าเมืองได้

1.22 กำแพงเมอื งนครศรีธรรมราช

43

กำแพงเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวกันว่าสร้างในสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราชในราวพุทธศตวรรษท่ี
11
ย า ว 5 5 เ ส้ น 5 ว า ก ว้ า ง 1 1 เ ส้ น 1 0 ว า ล้ อ ม ร อ บ เ มื อ ง
ตามพรลิงค์ กำแพงเดิมในระยะแรก สร้างเป็นระเนียดปักเสา เรยี งรายบนแนวเนินดิน มีคูคลองธรรมชาติและคู
ค ลอง
ขดุ ลอ้ มรอบอกี ช้ันหนึ่ง มปี ระตูเมืองสำคัญ 2 ประตู ประตูด้านทิศเหนือ ชื่อ “ประตูไชยศกั ดิ์” ประตดู ้านทิศใต้
ชื่อ “ประตไู ชยสิทธิ์” ยงั มีประตชู อ่ื อ่ืนๆ อกี รวม 9 ประตู ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199
- 2231) ทรงส่งพระยารามเดโช มาเป็นเจ้าเมืองและได้ทำการก่อสร้างขึ้นใหม่ตามแบบกำแพงเมืองทาง
ตะวันตก โดยก่ออิฐโบกปูนแข็งแรงม่ันคงป้องกันปืนใหญ่ได้ มีป้อมปราการที่ตั้งปืนใหญ่และปืนอ่ืนๆได้ มีใบ
เสมาบนกำแพง นายทหารชาวฝรั่งเศส ช่ือ เดอ ลามาร์ เป็นวิศวกรผู้ควบคุมและก่อสร้าง และได้ซ่อมแซมครั้ง
สุดท้ายในรัชกาลท่ี 2 สมัยเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) สภาพตัวกำแพงเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัย
รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าฟ้าฯภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงแต่งทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือปีวอก พ.ศ.2427 ทรงพรรณนาไว้วา่ ตวั เมืองนครนั้นด้านหน้าอยู่ทิศเหนือ ด้านหลัง
อย่ทู ิศใต้ ดา้ นเหนือดา้ นใต้เป็นดา้ นกว้างกำแพงยาว 80 เส้น ทด่ี ้านเหนอื นัน้ มีคเู มืองห่างจากกำแพงประมาณ 6
วา คูกว้างประมาณ 7-8 วา น้ำลึกประมาณ 2 ศอกเศษ มีสะพานไม้ข้ามเข้าทางประตูลับกว้างด้านตะวันตก
ประตูลับที่จะเข้าเมืองนั้น เป็นกำแพงเสมา กำแพงเมืองด้านใต้ก็คงเหมือนบ้านเหนือ แต่ชำรุดทรุดโทรมมาก
เหมือนด้านตะวันตก นอกกำแพงมีคูเมืองเหมือนคลองกำแพงเมืองด้านตะวันออกเหมือนกับด้านตะวันตก
ชำรุดทรุดโทรมมากเหมือนกัน มีคูเหมือนกัน ต่อคูไปเป็นทุ่งนากว้างใหญ่ เมืองนี้มีป้อม 4 ป้อม จึงรวมเป็น 8
ป้อม (ภาณุพันธ์ธุวงศ์วรเดช,สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยา.2504 : 117) ปัจจุบันกำแพงถูกผู้มี
อำนาจรื้อไปเกือบหมดเพื่อใช้ทำถนนแทน คงเหลือให้ลูกหลานชาวนครศรีธรรมราชได้เห็นร่องรอยแห่ง
ประวตั ศิ าสตร์ การต่อสขู้ องบรรพบรุ ษุ ของตนเพียงประมาณ 100 เมตร ของกำแพงทางทศิ เหนอื เทา่ นัน้

1.23 สระลา้ งดาบศรีปราชญ์

ศรีปราชญ์ เป็นกวีเอกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็น
บุตรของพระโหราธิบดี เข้ารบั ราชการต้ังแต่พระนารายณ์มหาราช แต่สดุ ท้ายด้วยความสามารถของตน ทำให้ผู้
คดิ ปองร้าย ใส่ร้ายศรีปราชญ์ จนถูกส่ังประหารชีวิตในท่ีสุด ลักษณะเด่นสระล้างดาบศรปี ราชญ์และอนุสาวรีย์

44

ศรีปราชญ์ ประวัติอนุสรณ์สถานศรีปราชญ์ ต้ังอยู่ภายในโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ฝั่งกัลยาณี 1
ประกอบด้วยสระล้างดาบศรีปราชญ์และอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์ สระล้างดาบศรีปราชญ์ถือกันตามตำนานว่า
เป็นอนุสรณ์การตายของศรีปราชญ์ ผู้เป็นกวีเอกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา
แต่ถูกเนรเทศมาอยู่ ณ เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาเกิดมีความขัดเคืองใจแก่เจ้านครศรีธรรมราช จึงถูกสั่ง
ประหาร หลังจากประหารศรีปราชญ์แลว้ เพชฌฆาตได้นำดาบมาล้างที่สระแห่งน้ี เลา่ กนั ว่าแตเ่ ดมิ สระล้างดาบ
มีขนาดใหญ่มาก คือตั้งแต่บริเวณหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ปัจจุบัน จนถึงหลังโรงเรียนอนุบาล
นครศรีธรรมราช แต่ต่อมาเกิดความตน้ื เขิน และบางสว่ นทางเทศบาลจำเปน็ ต้องถมเพ่อื ตัดถนน จงึ เหลือใหเ้ ห็น
เพียงสระที่อยู่ในเขตโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราชเท่านั้น ขุนอาเทศคดี ผู้เช่ียวชาญเก่ียวกับประวัติศาสตร์ของ
เมืองนครได้แย้งว่า สระดังท่ีกล่าวนั้นหาใช่สระล้างดาบศรีปราชญ์ไม่ หากเป็นสระท่ีขุด ข้ึนใหม่ใน พ.ศ.2448
เพื่อให้เจ้านายฝ่ายในท่ียังทรงพระเยาว์ได้พายเรือเล่น ทั้งยังได้ยืนยันว่า สระล้างดาบศรีปราชญ์แท้จริงน้ันอยู่
บริเวณหลังศาลาประดู่หก แต่ในปี พ.ศ.2476 ถูกถมเพื่อสร้างที่ทำการและที่พักข้าหลวงภาค 8 ซ่ึงในปัจจุบัน
เป็นท่ีตั้งบ้านพักประมงจังหวัด และศูนย์จักรกลขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ด้วยความที่สระล้างดาบ
ศรีปราชญ์บริเวณโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช เป็นเพียงสถานท่ีเดียวในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่บ่งบอกถึง
เหตุการณ์การประหารชีวิตศรีปราชญ์ในคร้ังน้ัน ประกอบกับการที่ชาวกัลยาณีศรีธรรมราช และชาวเมือง
นครศรีธรรมราช ให้ความเคารพสักการะศรีปราชญ์ ว่าเป็นบรมครูแห่งกาพท์กลอนคนหนึ่งของประเทศ จึงทำ
ให้ทกุ องค์กรในโรงเรียนและจังหวัดเหน็ พ้องต้องกันว่าสมควรสรา้ งอนุสาวรีย์ศรปี ราชญ์ จึงร่วมกันประสานงาน
เพ่ือจัดสร้างอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์โดยกรมศิลปากรเป็นผู้ออกแบบรูปหลอ่ โลหะ และทำพิธที างศาสนาพราหมณ์
และพุทธ โดยประดิษฐานอนุสาวรีย์ ณ ทศิ หรดีแห่งสระลา้ งดาบศรีปราชญ์ ซึ่งอนุสรณศ์ รีปราชญ์ ได้ดำเนินการ
แล้วเสร็จในสมัยผู้อำนวยการอนันต์ สุนทรานุรักษ์ ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2552 สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ศรีปราชญ์
ยงั ความปลาบปลื้มแกช่ าวกลั ยาณีศรีธรรมราชและชาวนครศรีธรรมราชเป็นลน้ พน้

1.24 อนสุ าวรีย์วีรไทย

อนุสาวรีย์วีรไทย หรือชาวบ้านเรียกว่า “อนุสาวรีย์
จา่ ดำ” เป็นอนสุ รณ์สถานท่ีสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติประวัติวีรกรรม
ทหารไทย ที่ได้สละชีพเพื่อชาติ ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา
เม่ือวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ต้ังอยู่ห่างจากตัวเมืองไปทาง
ทิศเหนือประมาณ 6 กิโลเมตร ตามถนนสายนครศรีธรรมราช-
ท่าแพ ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ตรงบริเวณที่ทหารของมณฑลทหารบกนครศรธี รรมราช ทำการรบ
ประชิดตัวถึงขั้นตะลุมบอนกันด้วยดาบปลายปืนกับทหารญ่ีปุ่น
ตรงหน้าโรงเรียนโยธินบำรุงในปัจจุบัน อนุสาวรีย์นี้ประดิษฐาน

45

อยู่กลางถนน เม่ือถนนมาถึงบริเวณอนุสาวรีย์ถนนจากโค้งอ้อมอนุสาวรีย์ทั้งสองด้านแล้ว จึงเช่ือมต่อกันเป็น
สายตรงเหมือนเดิม ทำให้อนุสาวรีย์เด่นเป็นสง่า ประจักษ์แก่สายตาของบุคคลทั่วไป และเป็นที่เชิดหน้าชูตา
เปน็ ศรีสง่าแกก่ องทัพภาคท่ี 4 ปัจจุบันอนุสาวรียห์ ลอ่ ด้วยสำรดิ รมดำ เป็นรูปทหารแต่งเครื่องแบบสนามรบ ยืน
ถือปืนติดดาบในท่าเตรียมแทงขนาดใหญ่ 2 เท่าตัวคน หันหน้าไปทางท่าแพ ซ่ึงเป็นจุดท่ีทหารญ่ีปุ่นยกพลข้ึน
บก ฐานอนุสาวรีย์เป็นคอนกรีต 6 เหลี่ยม สูงประมาณ 2 เมตร รอบฐาน 6 เหล่ียม มีชานคอนกรีตเป็นวงกลม
ลดหลั่นลงมาเป็นชั้น ๆ แบบข้ันบันได ภายในฐานบรรจุอัฐิของทหารผู้เสียชีวิตในการสู้รบครง้ั น้ัน จำนวน 116
คน จากจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ แล ะปัตตานี หลังเสร็จส้ิน
สงคราม ประชาชนในภาคใต้พร้อมใจกันสนับสนุนให้ทางราชการสร้างอนุสรณ์สถานแห่งน้ีขึ้น พลเอกหลวง
เสนาณรงค์ จึงได้ดำเนินการติดต่อกรมศิลปากรให้ออกแบบและฐานต้ัง ศาสตราจารย์ศิลปะ พีระศรี เป็น
ผู้รับผิดชอบและมอบหมายงานปั้นให้อาจารย์สนั่น ศิลากร เป็นผู้ป้ันจนแล้วเสร็จ ฯพณฯ จอมพลแปลก พิบูล
สงคราม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงกลาโหมในสมยั น้ัน ให้นามอนุสาวรีย์น้ีว่า “อนุสาวรีย์ไทย
พ.ศ.2484” และเปิดเมื่อวันท่ี 8 ธันวาคม พ.ศ.2492 หลังสงครามแล้วเป็น เวลา 8 ปี ส่วนท่ีชาวบ้านเรียกว่า
“อนุสาวรีย์จ่าดำ” นั้น มีเร่ืองเล่าว่า...ทหารผู้หนึ่งมียศเป็นจ่าทหาร ชื่อว่า “จ.ส.อ.ดำ สุยะชีวิน” (ช่ือน้ีมีจารึก
อยู่ที่ฐานอนุสาวรีย์ในจำนวน 116 รายชื่อของทหารหาญ) เป็นผู้อยู่ยงคงกระพันและมีความกล้าหาญทรหด
อดทน เมื่อเห็นเพื่อนถูกฆ่าตายหลายคนก็ระดมยิงทหารญ่ีปุ่นล้มตายเป็นจำนวนมาก จนตัวเองหมดกระสุน
แล้วว่ิงเข้าตะลุมบอนแทงทหารญี่ปุ่นด้วยดาบปลายปืน เมื่อเห็นญ่ีปุ่นล่าถอย จึงด่าทหารญ่ีปุ่น และท้าให้มาสู้
กนั ทำใหค้ วามอยู่ยงคงกระพันเสื่อม ถกู กระสุนของฝ่ายญป่ี นุ่ ยืนตายในทา่ เตรยี มแทง อยา่ งไรกต็ ามอนุสาวรีย์นี้
มีดวงวิญญาณของทหารผู้สละชีพเพื่อชาตปิ กป้องแผ่นดินไทย รวมทั้งของจา่ ดำด้วยเป็น 116 ดวง จึงเกิดความ
ขลังความศักด์ิสิทธ์ิ มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สามารถเป็นท่ีพึ่งทางใจได้ ประชาชนจึงมากราบไหว้บูชา บนบาน
ส า น ก ล่ า ว แ ล ะ ปิ ด ท อ ง อ ร่ า ม ไ ป ทั่ ว ฐ า น วั น ท่ี 8 ธั น ว า ค ม ข อ ง ทุ ก ปี
จะมีพิธีวางพวงมาลา กล่าวคำสดุดี ทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เหล่าทหารหาญ ผู้สละชีพ
ปกป้องเอกราชแผน่ ดนิ ไทย มีบรรดาพอ่ คา้ ประชาซน ข้าราชการ ทหารตำรวจ ไปร่วมพิธีกนั เป็นจำนวนมาก

1.25 วัดสอ (วดั สรรเสรญิ )

วัดสรรเสริญหรือท่ีรู้จักกันโดยท่ัวไปว่า วัดสอ เป็น
วัดท่ีเก่าแก่ซ่ึงต้ังอยู่หมู่ 3 ตำบลขุนทะเล อำเภอลานสกา
จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นสถานท่ีรวบรวมผู้คนเม่ือมีข้าศึก
รุกราน ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในสมัยใด
สันนิฐานไว้ 2 กรณีว่าวัดนี้อาจสร้างข้ึนพร้อมกับเมือง

46

นครศรีธรรมราชในราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรืออาจสร้างข้ึน ภายในสมัยอยุธยาตอนปลาย ในราวต้นพุทธ
ศตวรรษ ที่ 24 ปรากฏความในตำนานพระบรมธาตเุ มืองนครศรีธรรมราชว่า พระครูเทพมุณีศรีสุวรรณ กปตมา
ภิบาล (ปาน) เจ้าอาวาสองค์แรกเป็นผู้ทำการบูรณะวัดน้ีเป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ.2436 ต่อมาได้รับการบูรณะ
ซอ่ มแซมอีกในสมัยหลัง สิ่งท่ีสำคัญภายในวัด ไดแ้ ก่ พระประธานปูนปั้นภายในพระอุโบสถหลังเก่า พระอุโบสถ
หลังเก่า พระพุทธรูปทองเหลืองปางอุ้มบาตร ระฆังสำริด เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ใบเสมาหินสลักเป็นรูปเสมา
ธรรมจักร และภาพเขียนนิทานชาดกและพุทธประวัติบนแผ่นกระดาน และศาลาการเปรียญซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ
พ.ศ.2467 ต่อมาได้ชำรุดทรุดโทรมลงในปี พ.ศ.2545 กรมศิลปากร ได้ดำเนินการบูรณะจนแล้วเสร็จ
(สำนักงานโบราณคดแี ละพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตนิ ครศรีธรรมราช)

1.26 วดั วังไทร

วัดวังไทร ต้ังอยู่ที่หมู่ 7 ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา
จังหวัดนครศรีธรรมราช พระยาไทรบุรี ผู้ก่อต้ังวัดวังไทร และ
เป็ น อ นุ ส ร ณ์ ส ถ าน ให้ ค น รุ่น ห ลั งได้ เค าร พ แ ล ะ ศึ ก ษ า
ทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงวัดวังไทร เป็นวัดเก่าแก่ ตามตำนาน
การสร้างวดั ครั้งเมอ่ื พุทธศักราช 2275 หรือประมาณ 284 ปีล่วง
มาแล้ว พระยาไทรบุรี เจ้าเมืองไทรบุรี ในขณะน้ันได้มาคล้องช้าง
ณ บริเวณท่ีต้ังวัดวังไทร และได้ก่อตั้งวัดข้ึน โดยตั้งชื่อคร้ังแรกว่า
วดั วงั พระยาไทรบรุ ี ต่อมาไดเ้ รยี กขานนามวดั เป็น วดั พระยาไทรบรุ ี

1.27 วดั ธาตนุ อ้ ย

วัดธาตุน้อย หรือ วัดพระธาตุน้อย ตั้งอยู่ในเขตตำบล
หลักช้าง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ต้ังข้ึนโดย
ความประสงค์ของพ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์อรรถการ)
พระเกจิอาจารย์ท่ีชาวใต้เลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงยิ่งรูปหน่ึง
ซึ่งศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือศรัทธาพ่อท่านคล้าย
ได้เช่ือถือถึงความศักดิ์สิทธ์ิของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างน้ัน
ท่านมักจะให้พรทุกคน ขอให้ เป็นสุข เป็นสุข พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธ์ิ ได้ชื่อว่าเป็นเทวดาเมืองคอน เทพเจ้า
แหง่ แดนใต้ ชาวเมืองคอนเล่ือมใสศรัทธาเปน็ อย่างยิ่งโดยประดิษฐานพระเจดีย์ พระสารีริกธาตแุ ละสรีระสังขาร
พ่อนคล้าย ในโลงแก้วประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ ปัจจุบันสรีระพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ ประดิษฐานอยู่ใน
องค์พระเจดีย์ ณ สถานทนี่ ี้ จงึ เปน็ เจดีย์อนุสรณส์ ถานพ่อท่านคล้ายอีกด้วย สังขารพ่อท่านคล้ายซึ่งว่ากันว่าแข็ง
เปน็ หนิ ทช่ี าวบา้ นนบั ถือและศรทั ธาดว้ ยแล้วก็ยง่ิ ทำใหผ้ ูค้ นหลั่งไหลเขา้ มาสักการบชู ากนั มากยิ่งขึ้น

1.28 วดั อินคีรี

47

วัดอินทคีรี ต้ังอยู่ที่บ้านนา หมู่ท่ี 6 ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดอินทคีรี มีพ้ืนท่ีประมาณ 19 ไร่ 2 งาน ทิศเหนือ ติดต่อกับทุ่งนา ทิศใต้ ติดต่อกับถนนสายบ้านนอกท่า -
บ้านท่าแพ ทศิ ตะวันออก ติดต่อกบั โรงเรียนชมุ ชน วดั อินทครี ี ทศิ ตะวนั ตก ติดตอ่ กับคลองนอกท่า

ประวตั คิ วามเปน็ มา
จากรูปแบบทางศิลปะของแหล่งศิลปกรรมที่ปรากฏน่าจะอยู่ในพุทธศตวรรษท่ี 12-14 และ
พฒั นาการตอ่ เนอื่ งมาในสมัยอยธุ ยา จากการพบพระพุทธรูปศิลปะภาคใตภ้ ายในวดั อินทคีรี ทำให้สนั นษิ ฐานได้
วา่ น่าจะสร้างในพุทธศตวรรษที่ 12-14
ลักษณะท่วั ไป/ความสำคัญต่อชมุ ชน
ลกั ษณะภูมิประเทศแหลง่ ศลิ ปกรรมวัดอินทคีรี มลี ักษณะทพี่ ้ืนที่ราบ อยู่ริมคลองนอกทา่ บรเิ วณรอบ
ๆ วัดเป็นที่ราบทุ่งนา ในฤดูฝนน้ำจะไหลลงคลองอย่างรวดเร็ว ดินมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย สภาพทั่วไป
ของแหล่งศิลปกรรมวัดอินทคีรี ภายในวัดท่ีเมรุเผาศพ อุโบสถ กุฏิ หอพระ กระวัดกระจายอยู่รอบบริเวณ
ภายในวัด ด้านริมคลองปลูกต้นมังคุดเป็นแถว มีระเบียบ บรรยากาศร่มร่ืน น่าปฏิบัติธรรมอย่างดี ศาสนสถาน
ภายในวัดได้ก่อสร้างข้ึนรูปแบบสมัยใหม่ หลักฐานท่ีพบ หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ค้นพบ
แ ห ล่ ง ศิ ล ป ก ร ร ม วั ด อิ น ท คี รี ได้ แ ก่ โย นิ ท ำ ด้ ว ย หิ น ท ร า ย สี แ ด ง เป็ น รู ป ส่ี เห ล่ี ย ม ผื น ผ้ า
ขนาดกว้าง 80 X 98 เซนติเมตร ตรงกลางมีการเจาะรู เป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส สำหรับการประดิษฐาน
ศิวลึงค์ ด้านข้างมีการสลักยกเป็นขอบข้ึนมาสูงประมาณ 2 เซนติเมตร สลักตลอดจนถึงร่องน้ำมนต์ ซึ่งมีขนาด
ยาว 26 เซนติเมตร กว้าง 24 เซนติเมตร โยนิชิ้นนี้วางอยู่ข้างบ่อน้ำ ภายในวัดอินทคีรี พระพุทธรูปประทับนั่ง
ทำดว้ ยสำรดิ เป็นพระพุทธรูปประทบั นั่งขัดสมาธิเพชรบนฐานทรงสงู พระหัตถ์แสดงภมู ิสปรศพุทรา มีลักษณะ
แสดงให้เปน็ ถึงศิลปภาคใตใ้ นสกุลช่างนครศรีธรรมราชท่เี รียกวา่ “พระพุทธสิหงิ ค์” หรือ “พระขนมตม้ ” โดยมี
ลักษณะพระพักตร์ค่อนข้างกลม เม็ดพระศกเป็นรูปก้นหอย มียอดพระเมาลีขึ้นมาไม่มากนัก พระพุทธรูป
ลักษณะน้ีนิยมสร้างกันในเฉพาะภาคใต้ ต้ังแต่ราวพุทธศตวรรษท่ี 22 เป็นต้นมา เจ้าอาวาสเล่าว่า พระพุทธรูป
องค์นี้ เมื่อเจ้าเมืองผู้ปกครองในสมัยก่อนพยายามจะมาเอาไปเก็บไว้ที่จวนเจ้าเมืองในสมัยน้ัน และเจ้าอาวาส
องค์ก่อนเล่าวา่ เมื่อได้ยินเสียงเรอื เข้ามาจะนำพระพุทธรูปท่านจึงนำพระพุทธรูปมาทิ้งไว้ในคลอง เพ่ือซ่อนไม่ให้
เจ้าเมืองเห็นพระพุทธรูปประทับยืน ทรงเคร่ืองปางอุ้มบาตร ในขณะนี้ทางวัดได้เก็บรัก ษาไว้เป็นอย่างดี
ซ่ึงถือว่าเป็นพระคู่วัดมาช้านานตั้งแต่สมัยโบราณ มีเคร่ืองประดับต่าง ๆ แสดงลักษณะเอกลักษณ์ศิลปภาคใต้
อย่างเด่นชัด ท้ังมงกุฎกรองคอ ทับทรวง ชายไหว ชายแครง อันเป็นเคร่ืองประดับของผู้เล่นโนรา สมัยโบราณ
พระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา
พระหัตถ์ขวาวางท่ีพระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงท่ีพ้ืนธรณี พระรัศมีบนพระเศียรหักหายไป หน้าตักกว้าง
50 เซนติเมตร สูง 50 เซนตเิ มตร อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ลักษณะเศรษฐกิจและสังคมบริเวณแหล่งศิลปกกรรมวัดอินทคีรี การเดินทางมายังวัดอินทคีรี
ใช้เส้นทางสายบ้านนอกท่า - ท่าแพ ห่างจากสี่แยกพรหมโลกไปทางทิศตะวันออกประมาณ 6 กิโลเมตร
กจ็ ะถึงวดั อินทครี อี ยู่ทางซา้ ยมือ จะเหน็ ซ้มุ ประตวู ัดอินทคีรีท่สี วยงาม

48

1.29 วดั เขาขนุ พนม

วัดเขาขุนพนม ต้ังอยู่ในหมู่ที่ 3 ตำบลบ้านเกาะ
อำเภอพรหมคีรี สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยอยุธยา เพราะมี
ศิลปวัตถุโบราณสมัยอยุธยาอยู่มาก เช่น ขันน้ำมนต์ คนโท
พระพุทธรูปสำริด เป็นต้น เชิงเขาใกล้ทางขึ้นถ้ำ มีโบสถ์เก่าแก่
ขนาดเล็กพอพระสงฆ์ทำสังฆกรรมได้ มีประตูเข้าทางเดียวไม่มี
หนา้ ต่าง แต่ใช้วธิ เี จาะผนงั เป็นช่องระบายอากาศขนาดเล็ก ด้าน
ละ 2 ช่อง ด้านหน้ามีช่องขนาดใหญ่ 2 ช่อง ใบเสมาเป็นศิลาแกะสลักรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา
ถ้ำเขาขุนพนมหรือถ้ำคุมพนม ตั้งอยู่ภายใต้ซะโงกผาสูงประมาณ 200 เมตร(ปัจจุบันมีบันไดคอนกรีตกว้าง
175 เซนติเมตร สูงประมาณ 200 ขั้น) ที่หน้าถ้ำมีกำแพงสูงประมาณ 2 เมตร บนกำแพงมีใบเสมาเหมือน
กำแพงเมืองโบราณ ด้านหน้ากำแพงมีลายปูนปั้นประดับด้วยถ้วยชามลวดลายสวยงาม ท่ีประตูมียักษ์เป็น
นายทวารบาลครง่ึ ตัวต้ังอยู่ 2 ตน ด้านหลังประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ไวห้ ลายองค์ ลดตำ่ ลงไปทางดา้ นขวามือของ
ถ้ำเป็นช่องทางเข้าสู่ถ้ำใหญ่ ด้านหน้าถ้ำมีรูปปั้นพระสงฆ์ และพระฉายาลักษณ์พระเจ้ากรุงธนบุรี และทะลุไป
ทางเชิงเขาอีกด้านหน่ึงได้ที่ชะง่อนหินหน้าถ้ำด้านขวามีร่องรอยตั้งป้อมเป็นวงกลม ท่ีด้านหน้าออกป้อมมีช่อง
สันนิษฐานว่าเหมือนช่องตั้งปืนใหญ่ ด้านซ้ายมือของบันไดทางข้ึนมีฐานรากของอาคาร สันนิษฐานว่าคงเป็น
อาคารที่คนสำคัญอาศัยอยู่หรือไม่ก็เป็นท่ีอยู่ของคนยามรักษาการ รักษาความปลอดภัยอย่างใดอย่างหน่ึง
ถ้ำเขาขุนพนมน้ีโด่งดังขึ้นเมื่อ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ได้เขียนนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ขนาดสั้น เรื่อง
“ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน” ตีพิมพ์ใน “เพลินจิตรายสัปดาห์” ต่อมาสำนักพิมพ์เสริมวิทย์บรรณาคาร.
นาครเกษม.กรุงเทพฯ พิมพ์ “รวม นวนิยาย 5 เรื่อง” (เร่ือง “ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน พ.ศ.2509
หน้า 96 - 238) ของพลตรีหลวงวิจิตรวาทการและพิมพ์เผยแพร่หลายครั้ง ใจความว่า ผู้ท่ีถูกประหารท่ีป้อม
วิชัยประสิทธ์ิ เมื่อวันท่ี 5 เมษายน 2324 หาใช่สมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบุรไี ม่ ระหวา่ งจลาจลในกรุงธนบรุ ี สมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรีบรรพ ชาอุปสมบทเสร็จแล้วอยู่ภายในโบสถ์วัดแจ้ง (วัดอรุณ ฯ) พระยาสรรค์
นำทหารมาล้อมไว้หนาแน่น ข้าราชการผู้จงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีปรึกษากันเพื่อถวาย
ความปลอดภัยองค์พระมหากษัตริย์ไว้จึงหาอุบายอันแยบยล เชิญสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปประทับ
ณ ท่ีซ่อนเร้น เมืองนครศรีธรรมราช เจ้าพัฒน์ อุปราชเมืองนครศรีธรรมราชได้ให้“หลวงอาสาศึก” (บุญยัง)
ผู้ยินดีถวายชีวิตเพ่ือพระมหากษัตริย์ ปลอมตัวเป็นพระสงฆ์เข้าไปในโบสถ์สับเปล่ียนตัวกับสมเด็จพระเจ้ากรุง
ธนบุรี แล้วนำเสด็จลงเรือใหญ่กลางทะเลมุ่งหน้าสู่เมืองนครศรีธรรมราช แต่ไม่ระบุว่าประทับที่ใด หลังจากน้ัน
2 ปี เสด็จไปประทับท่ีเพชรบุรี ในถำ้ ภูเขาลูกหน่ึง และถูกประหารที่ในถ้ำนั้น และหนังสอื เรอ่ื ง “ใครฆ่าพระเจ้า
ตากสิน” ของแม่สงฆณี วรมัยกบิล-วิงห์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ลูกกำพร้า 401 ถนนจรัญสนิทวงศ์ ธนบุรี พ.ศ.2516
ระบุว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีดำรงสมณเพศ ประทับอยู่ ณ ท่ีประทับเขาขุนพนมเมื่อพระชนมายุได้
52 พรรษา ชาวเมืองนครศรีธรรมราช เชื่อว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงปลอดภัยจากเหตุการณ์ตอนปลาย
รัชกาล และพระองค์เสด็จมาประทับ ณ ถ้ำเขาขุนพนมจริง เพราะมีผู้ท่ีจงรักภักดีต่อพระองค์ คือ เจ้าพระยา

49

นครศรีธรรมราช (พฒั น์) เปน็ ผ้ปู รนนิบัติ ระวังภยั ท้ังเป็นผ้รู ับพระราชทานเจ้าจอมปราง ซ่ึงทรงครรภ์กับสมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรีมาก่อนมาเป็น “แม่วัง” หาได้ล่วงเกินถือเป็น “ชายา” ไม่ ครั้นเจ้าพระยานคร (น้อย)
คลอดมา ชาวเมืองนครศรีธรรมราช รู้กันทั่วว่าเป็นโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เปิดโอกาสให้เจ้าพระยา
นคร (น้อย) เปน็ เจ้าเมอื งแทน

1.30 วดั ภูเขาหลัก

วัดภูเขาหลัก ตั้งอยู่หมู่ท่ี 5 ตำบลทุ่งสัง อำเภอทุ่งใหญ่
ฝ่ังตะวันตกของแม่น้ำตาปี ห่างจากเขาหลักประมาณ 300 เมตร
เป็นวัดโบราณที่มีช่ือเสียงในด้านศิลปะโบราณวัตถุ ภายในวัดมีเจดีย์
แบบศรวี ิชัยก่ออิฐขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ทางดา้ นใตข้ องโบสถ์ บนฐาน
ส่ีเหล่ียมจัตุรัส ขนาดกว้างยาว 12 เมตร บนฐานช้ันล่างสุดมีเจดีย์
ประจำทิศ มีรูปนกกาสีดำ 2 ตัว ยืนรักษาพระธาตุช้ัน 2 - 4 มีเจดีย์
ประจำทิศลดหลั่นกันขึ้นไป ยอดเจดีย์เป็นปลีกลมสูงส่วนต่าง ๆ ของ
เจดีย์ประดับด้วยเคร่ืองถว้ ยทั้งองค์ ภายในโบสถ์มีพระประธานปูนปั้น
ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 2.5 เมตร ฝีมือช่างพ้ืนเมือง พร้อมด้วยพระอัครสาวกปูนป้ันมี โบราณวัตถุ เครื่อง
ถ้วยจนี เครือ่ งเบญจรงคข์ ันนำ้ มนตล์ าย 12 นกั ษัตร เปน็ ต้น

1.31 วัดแม่เจ้าอยู่หัว

วดั แม่เจ้าอย่หู ัว ที่ตงั้ อยู่ในหมู่ท่ี 3 ตำบลแม่เจ้าอยู่หัว อำเภอ
เชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นวัดคู่กับชาวอำเภอเชียรใหญ่
มานาน โดยมีประวัติอันยาวนาน ตั้งแต่สมัยยังเป็นอาณาจักร
ตามพรลิงค์ คือพระแม่เจ้าอยู่หัว พระนางเลือดขาวผู้สร้างวัด ท่านเป็น
พระอัครมเหสี ของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชที่ 5 (สีหราช) พระนาง
เลือดขาว เป็นอัครสาวิกา ผู้สร้างพุทธสถานไว้มากมายในแผ่นดิน
ภาคใต้ พระนางเลือดขาว (แม่เจ้าอยู่หัว )ได้สรา้ งวัดแม่เจ้าอยู่หัวไว้ที่น้ี
เพ่อื เป็นอารามในการประพฤติธรรมในยามท่ีทรงชรา โดยมีองค์รักษช์ ื่อ
ตาขุนวัง และตาขุนทวน สองขุนพลเป็นผู้อารักขา พร้อมกับราษฎรที่ศรัทธาในตัวพระนางได้ร่วมกันสร้างวัด
ขน้ึ มา เพือ่ อทุ ิศบญุ กุศลให้กับบ้านเมือง หลังจากท่ีพระแม่เจ้าอยู่หัว สิ้นพระชนม์ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช ทรง
ได้ก่อพระเจดีย์เพื่อบรรจุพระอัฐิของพระนาง และสร้างพระปฏิมาทำจากส่ิงมีค่ามากมาย เพื่อบรรจุในพระ
เจดีย์วัดแม่เจ้าอยู่หัวอยู่คู่กับชาวเชียรใหญ่ ชาวชะอวด ชาวหัวไทรมานาน ไม่ว่าผู้ใดเดือดร้อนมาบนบานศาล
กล่าว ก็จะสมปรารถนาทุกประการ ด้วยเชื่อมั่นศรัทธาในความเมตตาของพระแม่เจ้าอยู่หัว วัดแม่เจ้าอยู่หัว
ยังคงรอคอยให้ลกู หลานชาวเมืองคอน ได้เข้าไปสักการะพระนางเลือดขาว อัครมเหสผี ู้ใจบุญและรำลกึ ถึงบรรพ
สตรีผูอ้ ุปถมั ภ์พระพทุ ธศาสนาให้อยูค่ ่แู ผน่ ดนิ ปกั ษ์ใต้โดยสบื มามริ ู้คลาย

50

1.32 วดั ควนชะลกิ

วัดควนชะลิกเป็นวัดที่เก่าแก่ท่ีสุดของอำเภอหัวไทร
ต้ังอยู่ห มู่ 4 ตำบลควนช ะลึก อำเภ อหัวไทร จังหวัด
นครศรีธรรมราช ก่อต้ังในปี พ.ศ.2123 ในสมัยของสมเด็จ
พระมหาธรรมราชาหรือสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ท่ี 1 แห่ง
กรุงศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเม่ือปี
พ.ศ.2143 ปัจจุบัน (2558) มีอายุ 435 ปี มีเอกลักษณ์
เป็นเนินเขาไม่สูงนักมีเจดีย์อยู่ด้านบน ปัจจุบันได้บูรณะใหม่
การเดินขึ้นไปต้องเดินขึ้นมีเทปูนบันไดข้ึนถึงยอดเขามีหลาย
ร้อยข้ันด้วยกัน วัดได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ของกรมศิลปากร ซ่ึงมีโบสถ์ที่เป็นเอกลักษณ์มาก คือ เป็น
โบสถ์เปิดโล่ง มีพระประธานประดิษฐานให้เห็นจากทุกด้าน วัดยังมี ต้นประดู่ เป็นต้นไม้เก่าแก่กว่าวัดเสียอีก
ตามคำเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่ สันนิษฐานกันว่า น่าจะมีอายุราว 500 ปี เห็นจะได้ เพราะเท่าท่ีทราบ
วัดกม็ อี ายุกว่า 400 ปี

1.33 วดั พทั ธสมี า

วัดพัทธสีมา ต้ังอยู่ ท่ี อำเภ อหัวไทร จังหวัด
นครศรีธรรมราช มีอายุยาวนานกว่า 755 ปี ตามหลักฐาน
ของพงศาวดานครศรีธรรมราช ว่า ผู้สร้างวัดพัทธสีมา คือ
สองพ่ีน้องที่มีเช้ือสายศรีลังกาและจีน มีนามว่า พลิติและ
พลิมุย ซ่ึงเป็นลูกพ่ีสาวของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชที่ 5
จนั ทรภานุ ท้ังสองได้นำทรพั ยส์ มบัติบรรทุกเรือสำเภาเดินทาง
มาจากลังกา เพ่ือสมทบในการก่อสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เมืองนครศรีธรรมราช (พ.ศ.1793) ตามคำเชิญชวน
ของพระเจ้าศรีธรรมโศกราชที่ 5 จันทรภานุ แต่เม่ือเดินทางมาถึงปรากฏว่า พระบรมธาตุได้ สร้าง
เสร็จแล้ว ท้ังสองพี่น้องจึงได้ร่วมสร้างวิหารมหาภิเนษกรมณ์ (วิหารพระทรงม้า) และพระเจ้าศรีธรรม-
โศกราชฯ ยังทรงแนะนำให้นำทรัพย์ท่เี หลอื ไปสรา้ งวัดตามที่เห็นสมควร ท้ังสองจึงเดินทางเร่ือยมาจนถึงปากสำ
บางพัทธสีมาในปัจจุบัน และเห็นว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จึงได้สร้างวัดขึ้น แล้วให้ชาวบ้านเดินทางไปนิมนต์
พระสงฆ์จากนครศรีธรรมราช มาอยู่เพอี่ ทำพิธีกรรมทางศาสนา มีการนำพัทธสีมาฝังไว้ใต้ดิน เพ่ือกำหนดเขตท่ี
ทำสังฆกรรม และเรียกวัดนี้ว่า วัดพัทธสีมา ตามหลักฐานเอกสารกัลปนาวัดพัทธสีมา ระบุว่า พระเจ้าศรีธรรม
โศกราชฯ ได้กำหนดเขตแดนพระราชทานเป็นพ้ืนท่ีกัลปนา พระราชทานผู้คนชายหญิง เพื่อปรนนิบัติ
พระศาสนาเรียกว่าข้าประโยมสงฆ์หรือข้าประโยมทาน ให้ทางวัดเก็บผลประโยชน์จากท่ีดินเพ่ือบำรุงวัด บำรุง
ศาสนา ตามข้อมูลทะเบียนวัดต่าง ๆ ใน อำเภอหัวไทร ระบุว่า วัดพัทธสีมาตั้งข้ึนเมื่อ พ.ศ.2265 วัดมีอาคาร
โบราณสถานสำคัญ คือ หอพระไตรปิฎก (หอไตรกลางน้ำ) ตามหลักพงศาวดารนครศรีธรรมราช ว่าด้วย
การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช ซึ่งเกี่ยวเนื่องถึงวัดพัทธสีมา ผู้มีส่วนสำคัญในการเป็นจุดรวมของ

51

การสืบทอดพระศาสนาและดูแลวัด คือ เจ้าอาวาส โดยวัดนี้มีเจ้าอาวาสสืบต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบัน 12 รูป
แต่ละรูปมีบทบาท ศักยภาพบารมีตอ่ วดั และชุมชนแตกต่างกันไปตามเหตุปจั จยั และยุคสมยั

1.34 วดั เขาพระทอง

ตามหลักฐานท่ีปรากฏ ได้จารึกไว้ว่า วัดเขาพระทอง
สร้างมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัยตอนต้น หรือในยุคของกษัตริย์
คนสำคัญ คือ พระเจ้าศรีธรรมโศกราช และพระเจ้าจันทรภาณุ
ศรีธรรมราช เป็นวัดที่เก่าแก่มีอายุประมาณ 800 กว่าปี
มีพระพุทธรูปสีทองจำนวนมากถึง 29 องค์ ซึ่งพระพุทธรูป
เหล่าน้ันประดิษฐานอยู่รอบ ๆ ภูเขาทางด้านทิศตะวันออก
เป็นพระปูนป้ันด้วยปูนขาวผสมด้วยน้ำผ้ึงอ้อย และน้ำมันยาง
สว่ นโครงสรา้ งภายในเป็นโครงสร้างที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งท้ังหมด ทั้งที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่จำนวน 20 กว่ารูป
และท้ังซากปรกั หกั พัง ประมาณ 40 - 50 รปู

1. เขาพระทอง เคยเป็นชุมชนท่ีเจริญรุ่งเรืองมาก่อน มีผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนน้ี เป็นบุญ
นักเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยรอบเขาพระทองยังมีร่องรอยการทำนา เพราะยังมีคันนาให้เห็นอยู่ประมาณ
100 ไร่ ซง่ึ มีคันนาขนาดใหญ่ 3 - 4 เมตร ยังปรากฏอยู่ และมตี ้นไมข้ นาดไม้ประตูที่มอี ยู่ในวัดปัจจุบนั น้ี

2. ในบรเิ วณยังมไี ม้ประดู่ขนาดใหญอ่ ายหุ ลายร้อยปี
3. พระพุทธรูปซ่ึงเป็นพระปูนป้ันขนาดใหญ่จำนวนมาก เป็นการป้ันหรือก่อด้วยปูนขาว
โครงสร้างภายในทำดว้ ยไม้ เนื่องจากสมัยนัน้ ยังไมม่ ีปนู ซีเมนต์และเหล็กเส้น โครงไม้มกี ารเจาะรอ้ ยขอ้ ต่อทุกชิ้น
การผสมปนู ขาวผสมดว้ ยน้ำผง้ึ อ้อยและน้ำมนั ยาง
4. พระพุทธรูปบูชาขนาดหน้าตักไม่เกิน 12 นิ้ว ซึ่งเป็นเนื้อโลหะต่าง ๆ ท่ีถูกขนนำไปซุกซ่อนไว้
ภายในถ้ำน้ัน สันนิษฐานว่าเม่ือคร้ังพม่าเผากรุงศรีอยุธยา เพราะกลัวพม่าจะขนเอาพระของเขาไปเสีย
จงึ นำไปซกุ ซอ่ นไว้
5. เมือ่ คร้ังชาวบา้ นขุดคน้ หาพระ พบกะโหลกศรี ษะและโครงกระดกู คนมขี ้อมือข้อเท้าทีใ่ หญ่มาก
ไม่เหมือนของคนปจั จบุ นั
ตามตำนานเล่าต่อกันมาว่า ในสมัยท่ีมีการสร้างพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช พระนางเหมชาลาได้
นำคนและส่ิงของมาช่วยงานก่อสร้างพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เม่ือมาแวะพักระหว่างทางจึงได้สร้าง
พระพุทธรูปสีทองขึ้นเป็นจำนวนมาก บรรดาพระพุทธรูปสีทอง 29 องค์ มีพระพุทธรูปอยู่อง ค์หน่ึง
ซ่ึงมีขนาดใหญ่ที่สุดที่ชาวบ้าน เรียกว่า “หลวงพ่อองค์ใหญ่” ที่ด้านหลังผนังถ้ำของหลวงพ่อองค์ใหญ่
เย้ืองไปทางด้านซ้าย มีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ ปรากฏอยู่บนแผ่นหิน ซ่ึงเป็นท่ีอัศจรรย์ใจแก่ผู้ท่ีข้ึนไป
กราบไหว้ขอพร นอกจากนี้หลวงพ่อองค์ใหญ่ยังเป็นพระพุทธรูปท่ีศักด์ิสิทธิ์ ในด้านการป้องกันศาสตรวุธ
ท้ังหลายและอันตรายท้ังปวง จากประสบการณ์ของผู้ที่พกเหรียญหลวงพ่อองค์ใหญ่ติดตัวไว้ จะแคล้วคลาด
ปลอดภัยจากอันตรายท้ังหลาย ต่อมาเม่ือปี พ.ศ.2491 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งช่ือ หลวงพ่อเขียด ท่านธุดงค์

52

มาปักกรดอาศัยอยู่ท่ีเชิงเขาหน้าพระพุทธรูปโบราณท่ีประดิษฐานเรียงรายอยู่ตามเชิงเขาเป็นแนวยาว
เม่ือหลวงพ่อเขียดออกบิณฑบาตในหมู่บ้านเขากอยซ่ึงห่างไกลจากที่พักของท่าน ชาวบ้านถามท่านว่าพัก
อยู่ที่ไหน เม่ือทา่ นแจง้ รายละเอียดให้ทราบ พวกชาวบา้ นจึงรวมตวั กันหลายคนติดตามขึ้นมาท่ีเขา ณ ท่พี ักของ
ท่าน เมื่อชาวบ้ านมาพ บ เห็ นก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา คิดจะสร้างเป็นสำนั กสงฆ์ จึงนิมนต์
หลวงพ่อเขียด ให้อยู่ประจำ ณ ท่ีนั้น แล้วชาวบ้านก็จัดปลูกสร้างท่ีพักข้ึนด้วยไม้หลังคามุงจากบ้าง สาคูบ้าง
เปน็ กุฏพิ ระพักนอน เป็นท่ฉี นั อาหาร เม่ือมีชาวบา้ นเขา้ มาทพี่ ักสงฆ์มากขึ้น ก็ช่วยกนั แผ้วถางป่าออกเป็นบรเิ วณ
กว้างพอสมควร แล้วสร้างโรงเรือนเป็นที่ทำบุญฟังธรรมฟังเทศน์จากหลวงพ่อในวันธรรมสาวนะ คือ วันพระ
เป็นประจำ ต่อมาชาวบ้านก็ให้ลูกหลานเข้ามาบวชบรรพช าอุปสมบทอยู่จำพรรษากับหลวงพ่อ
ซง่ึ แตล่ ะปไี มน่ อ้ ยกว่า 10 รปู จากนัน้ จึงต้งั ชื่อวา่ “สำนักสงฆเ์ ขาพระทอง”

53

1.35 วดั โมคลาน

วัดโมคลาน หรือโมคคลาน ต้ังอยู่ท่ีหมู่ 11 ตำบล
โมคลาน อำเภอท่าศาลา โมคลานเป็น ชื่อของพราหมณ์
“โมคลี” ผตู้ ั้งเทวสถานศาสนาพราหมณ์ ลทั ธิไศวนกิ าย ตอ่ มาเมื่อ
ศาสนาพราหมณ์เล่ือมลง ชาวบ้านจึงได้แปลสภาพเป็นวัดใน
พระพุทธศาสนา เรียกช่ือ “โมคคลาน” เลียนแบบเป็นชื่อ
พระโมคคัลลาน พระอริยสาวกเบ้ืองซ้ายของพระพุทธเจ้า
โมคลาน เดิมเป็นชมุ ชนขนาดใหญ่ เป็นที่ตั้งเมือง ก่อนตัง้ เมืองนคร ดงั เพลงกล่อมเด็กว่า “ต้งั ดิน ตงั้ ฟ้า ตงั้ หญ้า
เข็ดมอน โมคลานตั้งก่อน เมืองคอนตั้งหลัง ต้ังวัดพระธาตุ ต้ังบ้าน ตั้งวัง เมืองคอนตั้งหลัง ต้ังวังไม่นาน”
ซากโบราณสถานท่ีพบ กำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 16 เป็นซากเทวาลัย พร้อมทั้งช้ินส่วน
สถาปัตยกรรม ได้แก่ รากฐาน เสาอาคาร ธรณีประตู คิวลึงค์ ศิลาฐานโยนี และต่อมาพบว่า ถูกดัดแปลงเป็น
วิหารและเจดีย์ เป็นวัดในพระพุทธศาสนา เพราะได้พบช้ินส่วนพระพุทธรูปปูนปั้นเม็ดพระศก พระพุทธรูปอายุ
อยู่ในสมยั อยุธยา

1.36 โบราณสถานตมุ ปงั

โบราณสถานตุมปัง เป็นโบราณสถานที่ต้ังอยู่ ในเขต
อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พบแหล่ง
โบราณคดี ท่ีได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดียแพร่กระจาย
อยู่เป็นจำนวนมาก ร่องรอยที่เหลือให้เห็นอย่างเด่นชัด คือ
ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ทั้งไศวนิกาย และไวษณพนิกาย
จากการสำรวจแหล่งโบราณคดีวัดตุมปังร้าง โดยกรมศิลปากร
ในปี พ.ศ.2536 พบช้ินส่วนท่อนล่างของรูปเคารพสลักจากหิน ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นเทวรูปองค์พระนารายณ์
จากการขุดค้นและการขุดแต่งโบราณสถานตุมปังนี้ มิได้คาดหวังว่า แหล่งโบราณสถานนี้จะสามารถศึกษา
ย้อนหลังไปได้ไกลถึงยุคแรกเร่ิมประวัติศาสตร์ของนครศรีธรรมราช เพราะจากการสำรวจแสดงให้เห็นลักษณะ
รูปแบบที่เป็นรุ่นหลังลงมาแล้ว แต่สิ่งที่ได้จากการศึกษาครั้งน้ี คือ การจัดลำดับช่วงเวลาของชุมชนเจ้าของ
โบราณสถานไว้ในช่วงใดช่วงหน่ึงตั้งแต่ยุคแรกเร่ิมประวัติศาสตร์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งน่ีถือเป็นการเร่ิมต้น
เรียงลำดับตารางเวลาของประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช โบราณสถานตุมปัง (รา้ ง) อยู่ในเขตมหาวทิ ยาลยั วลัย
ลักษณ์ ตำบลไทยบุรี อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช สามารถเดินทางจากตัวอำเภอเมือง จังหวัด
นครศรีธรรมราช ไปตามถนนหลวงหมายเลข 401 มายังอำเภอทา่ ศาลา กอ่ นถึงตัวอำเภอประมาณ 2 กโิ ลเมตร
เล้ียวซ้ายเข้าไปในมหาวิทยาลัย มุ่งหน้าไปสู่ถนนวลัยตุมปัง ซึ่งเป็นถนนเส้นเดียวกับท่ีต้ังโรงผลิตน้ำประปาของ
มหาวทิ ยาลัย แหล่งโบราณคดีตั้งอยบู่ ริเวณสุดถนน ก่อนจะออกสู่แหล่งชมุ ชน

54

1.37 โบราณสถานเขาคา

แหล่งโบราณคดีเขาคา ตัง้ อยู่ทบ่ี ้านเขาคา หมู่ 11 ตำบลเสาเภา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรธี รรมราช
ก าร เดิ น ท า งสู่ โบ ร าณ ส ถ า น เข า ค า ใช้ เส้ น ท างห ล ว งห ม าย เล ข 4 0 1 (เส้ น ท า งส าย เอ เชี ย
A 18) ผ่านอำเภอท่าศาลา เช้าสู่เขตอำเภอสิชล ถึงหลักกิโลเมตรท่ี 99 เลี้ยวซ้ายเดินทางไปตามถนน รพช.
เส้นทางปากด่าน-เขาคา ประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงบริเวณเขาคา รวมระยะทางประมาณ 58 กิโลเมตร เขา
คา เป็นช่ือของภูเขาขนาดย่อมท่ีมีลักษณะ เป็นภูเขาลูกโดด รอบภูเขาเป็นพ้ืนที่ราบ ภูเขาวางตัวอยู่
ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ยาวประมาณ 850 เมตร กว้างประมาณ 300 เมตร ยอดเขาสูงจากระดับน้ำทะเล
ปานกลางประมาณ 72 เมตร เขาคา ประกอบด้วยยอดเขา 2 ยอด มีลักษณะเป็นเนินบนตะพักเขา บนเนินเขา
มีโบราณสถานเรียงรายตามสันเขา เนินเขาด้านทิศเหนือมีโบราณสถานสำคัญ 1 แห่ง สร้างหรือปรับแต่งด้วย
หนิ ธรรมชาติ สว่ นเนินเขาด้านทิศใต้ มีโบราณสถานก่ออิฐท้ังหมด 4 แห่ง สระน้ำโบราณ อกี 3 แห่ง ตอ่ มากรม
ศิลปากรได้รวบรวมโบราณวัตถุท่ีสำคัญ โดยคงรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิม ที่ยังหลงเหลืออยู่ และสร้างอาคาร
จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับโบราณวัตถุ โบราณสถานที่พบโดยรอบ เขาคาปัจจุบันเปิดให้ประชาชนทั่วไป
เข้าเยย่ี มชม

โบราณสถานเขาคา จัดเป็นเทวสถานทม่ี คี วามสำคัญสูงสุด ในบรรดาเทวสถานพราหมณ์ทีพ่ บในพ้ืนท่ี
จังห วัด น ครศรีธรรม ราช เขตอำเภ อสิช ล โบ ราณ สถาน ใน แถบ นี้ แสดงให้ เห็ น ถึงพั ฒ น าการ
อย่างต่อเนื่องของชุมชนอย่างชัดเจน กลุ่มชุมชนแห่งนี้มีเขาคาเป็นศูนย์กลางตามคติความเช่ือทางศาสนา
พราหมณ์ ที่มักจำลองจักรวาลโดยมีเขาพระสุเมรุ เป็นศูนย์กลางโบราณสถานบนยอดเขาคา ในครั้งอดีตเปรียบ
เป็นวิมานแห่งพระศิวะ เป็นศูนย์รวมของชุมชนท่ีย่ิงใหญ่แห่งหน่ึงในคาบสมุทรภาคใต้ เมื่อประมาณพันกว่าปี
มาแล้ว และยังคงท้ิงซากความรุ่งเรืองให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาวิถีแห่งศรัทธา อันเป็นที่มาของมรดกทาง
ศลิ ปวฒั นธรรม

55

1.38 วดั ธาตุธาราม (วดั เขาธาตุ)

โบราณเก่าแก่ของเมืองขนอม ท่ีเช่ือกันว่ามีอายุ 1,000 ปี เลยเจดีย์ปะการังแห่งวัดจันทน์ธาตุ
ทาราม ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาธาตุ ลักษณะองค์เจดีย์เป็นรูปโอคว่าํ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เมตร
และที่พิเศษยิ่งกว่าสิ่งใด คือ เป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นด้วยหินปะการังทั้งองค์ นอกจากน้ีรอบเจดีย์ ยังมีพระพุทธรูป
แก ะสลักด้วยหิ น ท รายท่ี แสด งให้ เห็ น ว่าใน ยุคห นึ่ ง ท่ี นี่ คือแห ล่งอารยธรรม ท างพุ ท ธศาสน า
อีกท้ังบนยอดเขาธาตุยังเป็นจุดชมวิวท่ีดีท่ีคุณจะได้เห็นวิวอ่าวท้องเนียนได้แจ่มตา ตามตำนานเล่าว่าผู้มีจิต
ศรทั ธาจากเมอื งไชยา ได้รวบรวมทรัพย์สินเงินทองและของมคี ่าต่าง ๆ เพ่ือไปบรรจุทพี่ ระบรมธาตุเมืองนคร แต่
ปรากฏว่าไปไม่ทัน เน่ืองจากพระบรมธาตุได้สร้างเสร็จเสียก่อน ผู้มีจิตศรัทธาจึงได้ร่วมใจกันสร้างเจดีย์ขึ้นบน
เขาธาตุ โดยการนำปะการังทมี่ ีอยู่ในบริเวณน้ันมาสรา้ งเป็นเจดีย์ทง้ั องค์ ในขณะท่ีอีกตำนานไดเ้ ล่าว่า มีเจา้ นาย
ชั้นผู้ใหญ่ และประชาชนจากชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี ที่มีจิตศรัทธาในองค์พระบรมธาตุ
นครศรีธรรมราช ได้นำแก้วแหวนเงินทองและของมีค่าต่าง ๆ เพ่ือไปบรรจุในองค์พระบรมธาตุนคร แต่ใน
ระหว่างการเดินทางเรอื ได้อับปางลง บางส่วนรอดชวี ิตและถกู คลืน่ ซัดมาเกยฝังทีน่ ี่ เลยไดร้ ่วมกนั สร้างเจดียจ์ าก
หินปะการงั เพอ่ื บรรจขุ องมคี ่าทย่ี ังเหลอื อยู่ แทนการนำไปบรรจุท่พี ระบรมธาตุนครศรีธรรมราช

เรื่องท่ี 2 โบราณวตั ถุ จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.1 เงินตรานโม (หวั นะโม)

เงินตรานโม เป็นวัตถุทรงกลม สรา้ งด้วยโลหะพิเศษ มีหลายแบบหลายรุน่ มีตวั อกั ษรโบราณตัวนะ
อยู่ตรงกลาง ในประเทศไทยมีการสร้างแหง่ เดยี วท่เี มืองนครศรีธรรมราช

56

กล่าวกันว่าสมัยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช กษัตริย์ผู้ทรงสถาปนา อาณาจักรนครศรีธรรมราชข้ึนเม่ือ
ประมาณ 700 ปีก่อนและทรงเป็นพระเชษฐาของพระเจ้าจันทรภานุ หรือองค์“จตุคามรามเทพ”พระองค์ทรง
ให้สร้างหัวนะโมไวด้ ้วยพธิ ีกรรมอันสูงส่งของพราหมณ์ โดยอัญเชิญเทพเจ้าท้ังสาม คือ พระศิวะ พระวิษณุ และ
พระพรหม มาสถิตในหัวนะโม เป็นอักขระแทนองค์เทพเจ้าท้ังสามโลก เพื่อเอาไปฝังหว่านรอบๆ เมือง
นครศรีธรรมราช เพ่ือป้องกันโรคห่าระบาด (อหิวาตกโรค) ปรากฏว่าโรคห่าได้หายไปจากอาณาจักร
นครศรีธรรมราชจนส้ิน ปัจจุบันหัวนะโม ถือเป็นเคร่ืองรางของขลัง หรือวตั ถุมงคลชิ้นเอกของนครศรีธรรมราช
พุทธคณุ ครอบจักรวาล เมตตามหานยิ ม โชคลาภ แคลว้ คลาด ปลอดภยั แกผ่ ู้ท่ีอาราธนาบูชาติดตวั

เล่ากันว่าในคร้ังสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลท่ี 4)ก็ได้เถิดโรคห่าระบาดข้ึน
ในเมืองนครศรีธรรมราชอีกคร้ัง พระองค์จึงรับส่ังให้สร้างหัวนะโมข้ึน แล้วประจุผงพระพุทธคุณอันวิเศษ
ท่สี ำเร็จข้ึนจากพระอาจารย์ผู้มีกฤตยาคมสูงลงในหัวนะโมนั้น โปรดเกล้าฯ ให้นำหัวนะโมไปหว่านโปรยลงรอบ
เมอื งนครฯ ให้ทั่วหมดส้ิน จากนน้ั ภายในไม่ช้าโรคหา่ หรือโรคอหวิ าตกโรคกส็ งบลง

อักขระ “นะโม” เป็นอักษรปารวะของอินเดียโบราณ ตามหลักฐานทางโบราณคดีก่อนสมัย
พระศรีธรรมโศกราช (ราชวงศ์ปัทมวงศ์) คือก่อนพุทธศตวรรษที่ 18 เม็ดโลหะท่ีเรียกกันว่า “หัวนะโม”
อยู่ในฐานะเงินตราใช้แลกเปลี่ยนแทนสินค้าในอาณาจักร ต่อมาสมัยพระเจ้าศรีธรรมโศกราช (พุทธศตวรรษ
ท่ี 18) เปลี่ยนฐานะเป็น “เคร่ืองรางของขลัง” ประกอบพิธีตามคัมภีร์ไสยเวทหรืออาถรรพเวท เพ่ือป้องกัน
ภยันตรายทั้งปวงในราชอาณาจักร อักขระนะโม จึงเป็นอักขระศักดิ์สิทธ์ิแห่งอาณาจักรทะเลใต้ นะโม
อาจหมายถึง “ความนอบน้อม” หรืออาจหมายถึง “หัวใจ” ของคาถาพุทธศาสนาท่ีว่า “นโม ตสฺส ภควโต
อรหโต สมมา สมพุทธสฺส”

เงินตรานโมของรุ่นเก่าเป็นของขลังของศกั ดิ์สิทธิ์ เป็นวัตถุมงคลของแท้หายาก แต่เงินตรานโมของ รุ่น
ใหมห่ าไดโ้ ดยง่ายตามร้านขายของท่รี ะลกึ ท่ัวไป

2.2 ใบเสมา

เป็นศิลปะศรีวิชัย สมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ 19 ใบเสมา หรือ
สีมา เป็นประติมากรรมหินสลักซง่ึ ใชเ้ ป็นสัญลักษณ์ หรอื เพือ่ แสดงขอบเขต
พ้ืนที่ศักดิ์สิทธิ์เนื่องในพุทธศาสนา จากการศึกษา พบว่ามีการสร้างอย่าง
แพร่หลายมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยช่วงพุทธ
ศตวรรษท่ี 12-16ซงึ่ เปน็ ยุคที่วฒั นธรรมทวารวดเี จริญรุ่งเรือ่ งข้ึน การปักใบ
เสมาดังกล่าว อาจสืบเน่ืองมาจากระบบคติความเชื่อ สันนิษฐานว่าอาจจะ
เก่ียวกับ

57

- คติที่สืบทอดมาจากประเพณีการปักหินตั้ง (Megaliths) โดยเชื่อเรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษของ
ชนพน้ื เมอื งในเอเชียอาคเนย์

- คติการสร้างข้ึนเน่ืองในพุทธศาสนา เพื่อเป็นหลักเขตกำหนดบริเวณศักด์ิสิทธ์ิ หรือสถานท่ี
ประกอบพธิ กี รรมทางพุทธศาสนา

- เป็นตัวแทนสถานที่ศักดิ์สิทธ์ิสำหรับเคารพบูชาทำหน้าที่คล้ายสถูปเจดีย์หรือพระพุทธรูปเพื่อให้
ผ้คู นไดก้ ราบไหว้บูชา

ลกั ษณะปักใบเสมา
- ปักหลักเดียว เพ่ือแสดงเขตหรือตำแหนง่ ของบรเิ วณพื้นท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ
- ปักเปน็ กลุม่ พบว่า มีการปกั ล้อมรอบเนนิ ดินหรือพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ิโดยไม่มีการกำหนดทิศทางแน่นอน
- ปักประจำทิศ มีตั้งแต่การปัก 4 ทิศ 8 ทิศ ไปจนถึง 16 ทิศ โดยปักล้อมรอบเนนิ ดนิ หรือส่งิ ก่อสรา้ ง
ทางศาสนา เพื่อแสดงเขตของสถานท่ีศักดิ์สิทธิ์ เชน่ เจดีย์ พระธาตุ อุโบสถ พบวา่ มที ั้งการปักใบเสมาเดีย่ ว ปัก
เสมาคู่ หรอื ปักซ้อนกนั 3 ใบ
ใบเสมา วดั เสมาชยั
ใบเสมา วัดเสมาชัย เป็นใบเสมาหินช นวนขนาดย่อม
ไม่มีลวดลายป ระดับ เที ยบ ได้กับ ใบ เสมาศิลป ะอยุธยาใน ราว
พทุ ธศตวรรษที่ 20-21

ใบเสมา วัดท้าวโคตร
ทางด้านนอกอุโบสถ มีใบเสมาปักบอกเขตอยู่ทั้ง 8 ทิศ
ใบเสมาเหล่าน้ีอาจสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง คือ ราวพุทธ
ศตวรรษท่ี 21-22 โดยพิจารณาจากขนาด ซึ่งเล็กกว่าสมัยอยุธยา
ยุคต้น แต่ยังใหญ่สมัยอยุธยายุคปลาย และรัตนโกสินทร์
นอกจากน้ีลวดลายดอกไม้ออกก้านขดที่ดูใกล้เคียงกับธรรมชาติ
กเ็ ป็นทน่ี ิยมในยคุ ดงั กล่าวด้วย

58

59

2.3 ศิลาจารึกวดั เสมาเมอื งและศลิ าจารกึ วัดหัวเวยี ง

เป็นหินทรายแดงรูปใบเสมา มีขนาดกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร สูง 106 เซน ติเมตร
หนา 8.5 เซนติเมตร จารึกเป็นอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต เม่ือ พ.ศ.1318 เป็นศิลาจารึกหลักท่ีสำคัญ ของ
เมืองนครศรีธรรมราช ในจารึกในหน้า 1 บรรทัดที่ 14,16,28 มีคำว่า “ศรีวิชเยนทรราชา”ปรากฏอยู่
มีข้อความกล่าวถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร และกล่าวสรรเสริญพระเจ้ากรุงศรีวิชัย ผู้เป็นใหญ่กว่า
พระราชาท้ังปวงในโลกน้ี และหน้า 2 กล่าวถึงพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ประดุจพระอาทิตย์ และทรง
เป็นหัวหน้าแห่งไศเลนทรวงศ์เมืองไชยา (นักปราชญ์หลายท่านสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดการสับเปล่ียนที่มากัน
กับศิลาจารึกวัดเสมาเมือง เพราะมีการขนย้ายหลายคร้ังระหว่างหอสมุดแห่งชาติ กรุงเทพฯ กับ
พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรงุ เทพฯ) มี 2 หลัก หลักแรกไม่มีข้อความเกี่ยวกบั เมอื งนครศรีธรรมราช มีขนาดสูง
72 เซนติเมตร กว้าง 37 เซนติเมตร หนา 12 เซนติเมตร จารึกด้วยอักษรขอม ภาษาสันสกฤต
พ.ศ. 1773 มีข้อความที่อ่านได้เพียง 8 บรรทัดเท่านั้น นอกนั้นลบเลือน บรรทัดแรกมีคำว่า “ตามพรลิงค์”
ปรากฏอยู่บรรทดั ท่ี 3 มคี ำวา่ “จันทรภานุ ศรีธรรมราชา” ศาสตราจารยย์ อร์ซ เซเดส์ อ่านแปลไวด้ งั น้ี

“สวสติ พระเจ้าผู้ครองเมืองตามพรลิงค์ ทรงประพฤติปฏิบัติประโยชน์เก้ือกูลแก่พระพุทธศาสนา
พระองค์สืบตระกูลจากตระกูลอันรุ่งเรือง คือ “ปทุมวงศ์” มีรูปงามเหมือนพระกามะ อันมีรูปงามราวกับ
พระจันทร์ ทรงฉลาดในนิติศาสตร์ คล้ายกับพระธรรมาโศกราช เป็นหัวหน้าของตระกูล...ทรงนาม
ศรธี รรมราช ข้อสงั เกต มกี ารกล่าวถงึ ตามพรลงิ ค์ เปน็ จารกึ วา่ ด้วยเมืองนครศรธี รรมราชโดยตรง

ศรีสวสติ พระเจ้าผู้ปกครองเมืองตามพรลิงค์ เป็นผู้อุปถัมภ์ตระกูลปทุมวงศ์ พระหัตถ์ของพระองค์มี
ฤท ธิ์อำน าจ...ด้วยอานุ ภ าพ แห่ งบุ ญ กุศล ซึ่งพ ระองค์ได้ท ำต่อมนุ ษ ย์ทั้ งป วง ท รงเดช านุ ภ าพ
เท่าพระอาทิตยพ์ ระจันทร์ แลมีพระเกียรติอนั เลอ่ื งลือในโลกท้ังปวง ทรงพระนาม จันทรภานุ ศรีธรรมราช เม่ือ
กลยี คุ 4332…”

ศิลาจารึกวัดหัวเวียง ปัจจุบันหลักศิลาจารึกดังกล่าว เก็บแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
กรุงเทพฯ เห็นควรนำกลบั มาไว้ทีพ่ ิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เพราะเปน็ มรดกทางประวตั ิศาสตร์
อันลำ้ ค่าของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชแต่เดมิ เพื่อความภาคภูมิใจในทอ้ งถิ่นของตนต่อไป

60

2.4 ศลิ าจารกึ วัดมเหยงคณ์

ในบรเิ วณจงั หวัดนครศรีธรรมราช ได้พบศิลาจารึกรุ่นเก่าร่วมสมัยพุทธศตวรรษท่ี 12 ซงึ่ เป็นจารึกรุ่น
แรกที่พบในบริเวณ ประเทศไทย น่ันคือ ศิลาจารึกวัดมเหยงค์ เป็นจารึกบนแผ่นสีดำขนาดกว้าง
58 ซม. ยาว 112 ซม. หนา 11 ซม. หลักฐานเดิมบันทึกไว้ ศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์เป็นจารึกหลักที่ 27 จารึก
หลักน้ีมีอักษรจารกึ ขอ้ ความเพียงด้านเดียว ศลิ าจารึกหลักน้ี ได้มาจากวัดมเหยงค์ จงั หวัดนครศรีธรรมราช เมื่อ
แรกเคล่ือนย้ายเข้ากรุงเทพฯ มาอยู่ท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร ต้ังแต่เม่ือใดนั้นไม่ทราบชัด ต่อมาในปี พ.ศ.2466
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้รับสั่งให้ยา้ ยมาเก็บรกั ษาในหอพระสมุดสำหรับพระ
นคร พร้อมๆ กับจารึกอื่นๆ ซึ่งเคยอยทู่ ่วี ดั บวรนิเวศฯ นั้น ซ่ึงแต่เดมิ สถานทีต่ ้ังแสดงจารึกอยู่ในทอ้ งพระโรงพระ
ท่ีนั่งศิวโมกขพิมาน บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ต่อมาในปี 2509 หอสมุดแห่งชาติย้ายมาอยู่
อาคารใหม่ที่ท่าวาสุกรี อาคารเก่าท่ีหอพระสมุดวชิราวุธจึงวา่ ง ประกอบกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
ต้องการใช้พระท่ีน่ังศิวโมกขพิมานจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ก่อนประวัติศาสตร์ ใน พ.ศ.2510 จึงได้ย้ายจารึกซ่ึง
จัดแสดงอยู่ในพระท่ีน่ังศิวโมกขพิมานไปเก็บรักษาไว้ที่อาคารหอพระสมุดวชิราวุธ คือ ตึกถาวรวัตถุข้างวัด
มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ น่ันเอง ในปี พ.ศ.2521 กรมศิลปากรมีความประสงค์จะให้จารึก ซ่ึงจัดไว้เป็น
โบราณวัตถุได้อยู่ในความรับผิดชอบของกอง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติตามกฎหมาย จึงได้ย้ายจารึกส่วนใหญ่
รวมทั้งศิลาจารึกวัดมเหยงค์ไปเก็บรักษาและต้ังแสดงในหมู่พระวิมาน ห้องอุตราภิมุขในพิพิธภัณฑสถาน
แหง่ ชาติพระนคร จนถึงปจั จบุ ัน

ศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์ เป็นจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ตัวอักษรที่ใช้คล้ายกับที่พบในเขมร
โบราณ (อักษรอินเดียใต้) อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 โดยทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่าเนื้อหาของ
ศิลาจารึกหลักนี้ “กล่าวถึง วินัยสงฆ์ในพระพุทธศาสนา” ตามที่ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดส์ ได้กล่าวไว้
ในหนงั สือประชมุ ศลิ าจารกึ ภาคที่ 2 เน้ือหา ของจารกึ หลักน้ีมีอทิ ธพิ ลของศาสนาพราหมณ์อยู่ดว้ ย

ดงั คำแปลทคี่ ัดมาจากหนังสือประชุมศลิ าจารกึ ภาคที่ 2 ดังต่อไปน้ี “พระระเบียงและห้องอาหารกบั อุ
โบส อาคารอาหาร สำหรับคณะสงฆ์และบุคคลต่าง ๆ การนมัสการพระบารมีการเขียนหนังสือ ก
ารจำหน่ายน้ำหมึกกับแผ่น (สำหรับเขียน) เครื่องบูชา อาหารเคร่ืองบำรุงคณะพราหมณ์ ของพระอคัสติมหาต

61

มัน มีทั้งธรรมกถา ประกอบด้วย ธูป ประทีป พวงมาลัย ธงพิดาน จามร ประดับด้วยธงจีน บุญกุศลอ่ืนๆ ตาม
คำสอน คือ การปฏิบัติพระธรรม ไม่ขาดสักเวลา การบริบาลประชาราษฎร์ การทนต่ออิฏฐารมณ์และ
อ นิ ฏ ฐ ารม ณ์ ก ารช ำ ระอิ น ท รีย์ (ให้ ส งบ ) ผู้ ได้ ท รัพ ย์ ส ม บั ติ โด ย ค วาม อ งอ าจ ช่ื อ อ รรณ าย ”
เป็นที่น่าเสียดายท่ีศิลาจารึกหลักนี้ชำรุดมาก แต่เนื้อหาเท่าที่มีอยู่ก็นับว่ามีประโยชน์ในการศึกษาอารยธรรม
ของบรรพบุรุษไม่น้อยเลย ในท่ีนี้ผู้เขียนเห็นว่าศิลาจารึกหลักนี้น่าจะเป็นการสรรเสริญบุคคล อันสังเกตได้จาก
เนื้อหาโดยรวม ท่ีกล่าวถึงจริยาวัตรของท่านผู้น้ีและโดยเฉพาะข้อความบางตอน เช่น “ผู้ได้ทรัพย์สมบัติโดย
ความองอาจ” และ “ชื่ออรรณ าย” เป็นต้น ในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ นั้น จะเห็นได้ว่า
ศิลาจารึกหลักน้ีได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ดังความตอนท่ีว่า “อาหารเคร่ืองบำรุงคณะพราหมณ์ของ พระ
อคลั ติมหาตมนั ” ทงั้ นี้ เพราะคำว่า “คณะพราหมณ”์ และ “พระอคัตมิ หาตมัน” ปรากฏชัดแจ้งอยู่แลว้

2.5 ศลิ าจารกึ หบุ เขาชอ่ งคอย

เม่ือจันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2522 นายจรง ชูกลิ่น และนายถวิล ช่วยเกิด อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคลอง
ท้อน หมู่ที่ 9 ตำบ ลควนเกย อำเภ อร่อนพิ บูล ย์ จังห วัดนครศรีธรรมราช ได้เดิน ทางไป ในป่ า
แถบหุบเขาช่องคอย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโคกสะท้อน ตำบลควนเกย อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ไปทางทิศใต้ประมาณ 2 กโิ ลเมตร บคุ คลทั้งสองได้พบแผ่นหินกว้างใหญ่ อยใู่ กล้กับร่องน้ำระหว่างหุบเขา แผ่น
หิ น ดั งก ล่ า ว มี ค ว า ม ก ว้ า ง 1 .6 0 เม ต ร ย า ว 6 .8 3 เม ต ร ห น า 1 .2 0 เม ต ร บ น แ ผ่ น หิ น นี้
มีเส้นเป็นรอยลึกขีดไปมาเป็นรูปอักษร น่ันคือศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย ต่อมาจันท่ี 14 มกราคม 2523
นายอำไพ ชนั ทาโรจน์ เจ้าหน้าท่ีพิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ นครศรีธรรมราช ได้ทราบเร่ืองการพบศิลาจารึกหลัก
น้ี จากพระภิกษุเพิ่ม เจ้าอาวาสวัดหนองหม้อ อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้รายงานให้นาง
กัลยา จุลนวล หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ทราบ และได้ออกสำรวจจารึกดังกล่าว 2
ค รั้ ง คื อ วั น ที่ 1 7 ม ก ร า ค ม 2 5 2 2 แ ล ะ วั น ที่ 1 9 ม ก ร าค ม 2 5 2 3 พ ร้ อ ม ทั้ งได้ ท ำ ส ำเน า
และถ่ายภาพศิลาจารึกนั้น และได้ส่งสำเนาจารึกพร้อมภาพถ่ายมายังกองพิพิธภัณ ฑสถานแห่งชาติ
กรมศิลปากร เมื่อวันท่ี 17 กุมภาพันธ์ 2523 วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2523 กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ได้ส่งสำเนาศิลาจารึกพรอ้ มภาพถ่ายมายังกองหอสมุดแหง่ ชาติ เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีงานบริการหนังสือโบราณอ่าน-
แปล เม่ือเจ้าหน้าท่ีอ่าน-แปล เสร็จแล้ว ได้ส่งคำอ่าน-แปล ไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เม่ือวันที่
5 มิถุนายน 2523 นางจริ า จงกล ผู้อำนวยการกองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไดน้ ำคำอ่าน-แปล ศิลาจารึกหลัก
นี้ เสนอนายเดโซ สวนานนท์ อธิบดีกรมศิลปากร เพ่ื อทราบเม่ือวันท่ี 25 สิงหาคม 2523 เม่ือ
นายเดโช สวนานนท์ ได้รบั ทราบแล้ว จึงได้ไห้ ใช้ชื่อศิลาจารึกหลักนว้ี ่า “ศลิ าจารึกหุบเขาช่องคอย” จากนัน้ ชู
ศักดิ์ ทิพย์เกษร กับชะเอม แก้วคล้าย จึงได้อ่านและแปลจารึกน้ี เพื่อพิมพ์เผยแพร่ในวารสารศิลปากร ปีที่ 24
ฉบับท่ี 4 (กันยายน 2523) ลักษณะของศลิ าจารึกหุบเขาช่องคอย บ่งชัดว่าเป็นการสร้างขึ้นด้วยกรรมวิธีง่าย ๆ
ไม่ประณีตบรรจง ใช้แผ่นศิลาธรรมชาติท่ีมีอยู่ในบริเวณหุบเขาน้ัน เป็นที่จารึกรูปอักษรขึ้น 3 ตอน
มีความหมายต่อเนื่องกัน แต่ขนาดของรูปอักษรไม่เท่ากัน ตอนท่ี 1 มีขนาดของตัวอักษรสูง 25 เซนติเมตร

62

มอี ักษรข้อความ 1 บรรทัด ตอนที่ 2 ขนาดของตัวอักษรสูง 7 เซนติเมตร มีอักษรข้อความ 4 บรรทัด ตอนที่ 3
ขนาดของตวั อักษรเท่ากับตอนที่ 2 แต่มอี กั ษรข้อความเพยี งแค่ 2 บรรทัด

ศิลาจารึกหุบเขาชอ่ งคอย

เน้อื หาโดยสงั เขป ตอนท่ี 1 ประกาศให้ทราบว่า ศิลาจารกึ หลักนี้ เปน็ จารึกอุทิศบูชา พระศิวะ ตอนที่
2 กล่าวนอบน้อมพระศิวะแล้วเสริมว่า ผู้เคารพในพระศิวะมา (ในที่น้ี) เพราะจะได้ประโยชน์ที่
พระศิวะประทานให้ ตอนที่ 3 กล่าวสรรเสริญคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ในที่ไหน ก็จะทำให้เจ้าถ่ินได้รับความสุข
ดังนั้น ถ้าจะพิจารณาถึงเนื้อหาท้ังหมดแล้วอาจกล่าวได้ว่า จารึกหลักน้ีกล่าวถึงการเคารพบูชาพระศิวะ พระ
สวามีแหง่ นางวิทยาเทวี พระผ้เู ป็นเจา้ อนั สูงสุด บุคคลใดสรรเสรญิ องคพ์ ระศิวะเทพอย่างเทดิ ทูนบชู า บุคคลน้ัน
จะได้รับพรจากพระองค์ไม่ว่าจะไปอยู่ ณ ท่ีใดย่อมได้รับการต้อนรับด้วยดีทุกสถาน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กลมุ่ ชน
ผสู้ รา้ งศิลาจารึกหุบเขาช่องคอยข้ึนน้ี จะต้องเปน็ กลุม่ ชนที่ใช้ภาษาสันสกฤต นับถือศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวะ
นิกาย และคงจะได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยในบริเวณน้นั เป็นการชัว่ คราว ไม่ใช่กลุ่มชนที่อยูป่ ระจำถิ่น อีกทั้ง
ยังได้กำหนดสถานท่ีบริเวณจารึกหุบเขาช่องคอยนั้น เป็นศิวะสถาน เพ่ือปฏิบัติศาสนกิจตามจารีตของตน
พร้อมๆ กันนั้นกอ็ บรมสัง่ สอนให้ผู้อยู่ในสันนิบาตนนั้ สำนึกในความเป็นคนต่างถน่ิ พลัดบ้านเมอื งมา ซึ่งสมควร
ประพฤติตนเป็นคนดี จะได้พำนักอาศัยอยู่ร่วมในสังคมท่ีมีขนบธรรมเนียมแตกต่างกัน ได้อย่างสุขสงบ
ดังทปี่ รากฏข้อความในจารึก

ตอนท่ี 1 ศิลาจารึกนี้เป็นของพระศิวะ “ศรีวิทยาธิการสยาม” อธิบายว่า เป็นพระนามอันหนึ่งของ
พระศิวะ ซึ่งแปลวา่ ผู้เป็นสวามขี องนางวิทยาเทวี (นางทรุ คา) นางวิทยาเทวีเปน็ ร่างหน่ึงของนางทรุ คา

63

ตอนที่ 2 ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่าน ผู้อยู่เป็นเจ้าแห่งป่าพระองค์นั้นขอความนอบน้อมจงมี
แก่ท่าน ผู้เป็นเจ้าแห่งเทพทั้งมวลพระองค์น้ัน ชนท้ังหลายเคารพต่อพระศิวะ ขอให้ท่านผู้เจริญน้ีเป็นที่พึงให้
บุคคลท่ีอยทู่ ่ีนี้ มปี ระโยชน์ทว่ั กนั

ตอนท่ี 3 ถา้ คนดีอย่ใู นหมูบ่ า้ นของชนเหลา่ ใดความสุขและผลจกั มีแก่ชนเหล่านนั้

อักษรท่ีจารึกเป็นภาษาสันสกฤต อักษรปัลลวะ ซ่ึงเป็นอักษรที่พบในอาณาจักรตามพรลิงค์
อันเป็นสถานที่ติดต่อแลกเปลี่ยนซ้ือขายสินค้าของพราหมณ์ มาต้ังแต่พุทธศตวรรษที่ 11 อักษรท่ีจารึก
มีรูปแบบเหมือนกับอักษรในจารึกพระราชทานของพระเจ้าสิงหวรมัน แห่งอินเดียตอนใต้ สมัยพุทธศตวรรษท่ี
11

2.6 ศิวลึงค์และฐานโยนโิ ทรณะ

64

2.6.1 ศวิ ลงึ ค์

ศิวลึงค์ของศาสนาพราหมณ์ในครศรีธรรมราช
รุ่นแรก ๆ มักติดกับฐานโยนี เวลาทำพิธีกรรม กระทำโดย
การรดน้ำลงไปบนโบราณวัตถุดังกล่าว ซ่ึงตามความเช่ือใน
ศาสนาพราหมณ์ ถือว่า น้ำท่ีไหลลงมานั้นเป็นน้ำศักด์ิสิทธ์ิ
นิยมนำมาดื่มและอาบ ศิวลึงค์รุ่นต่อๆ มา ประกอบด้วย
3 ส่วน แต่ละส่วนมักไม่เท่ากัน ศิวลึงค์แบบสมบูรณ์
ประกอบด้วย 3 ส่วนส่วนล่างสุดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสหมายถึง
พรหมภาค คือ ภาคของพระพรหม สว่ นกลางออกแบบเปน็ แปดเหล่ียมเรียกว่า วษิ ณุภาค คือภาคของพระวิษณุ
และส่วนยอดบนสุดมีลักษณะทรงกลมมน เรียกว่า รุทรภาค คือภาคของพระอิศวร ทั้ง 3 ภาครวมเป็นภาค
เดียวกันเรียกว่า ตรีมรู ติ ศิวลึงค์ศิวลึงค์เป็นรปู เคารพแทนองค์พระศิวะหรอื พระอศิ วร พบท่ัวไปในชุมชนโบราณ
ทนี่ ับถือศาสนาพราหมณ์นกิ ายไศวะ ศิวลึงคเ์ กา่ แก่ยุคแรกพบทบี่ ้านโมคลาน อำเภอท่าศาลา และในสถานที่ต่าง
ๆ ในอำเภอเมือง อำเภอลานสกา อำเภอพรหมคีรี สันนิษฐานว่า ศิวลึงค์นี้เป็นที่มาของช่ือ อาณาจักรตามพร
ลิงค์ ส่วนฐานโยนิโทรณะเปน็ ของคูก่ ับศิวลึงค์ โดยทั่วไปศิวลึงค์จะปักอยู่บนฐานโยนโิ ทรณะ ฐานโยนิโทรณะจะ
มขี นาดและรูปร่างแตกต่างกนั ออกไป

ศิวลึงค์ท่ีค้นพบในแถบนครศรีธรรมราช สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มท่ีปรากฏเฉพาะ
รุทรภาคและติดกับฐานโยนี กลุม่ ท่ีปรากฏทงั้ สามภาคและแยกออกจากฐานโยนี สำหรบั ศวิ ลึงค์ที่ปรากฏในภาพ
นี้เป็นศิวลงึ ค์แบบท่ีสอง ซึ่งปรากฏทั้งพรหมภาค (สว่ นสเี่ หลี่ยมด้านล่าง) วิษณุภาค (ส่วนแปดเหลยี่ มตรงกลาง)
และรุทรภาค (ส่วนกลมด้านบน) แสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดยี วกันของตรีมูรติทง้ั สาม ศิวลึงค์และโยนี เป็น
ตัวแทนอันไม่เป็นรูปมนุษย์ของพระศิวะและพระอุมา เทพเจ้าสูงสุดของลัทธิไศวนิกาย มักปรากฏเป็น
ประติมากรรมประดิษฐาน ในครรภคฤหะของเทวาลัยเสมอ
สำหรับศิวลึงค์ ในภาพน้ัน ถ้าจะประดิษฐานย่อมสวมอยู่บน

65

ฐานโยนี โดยฐานโยนีย่อมกลืนพรหมภาคและวษิ ณุภาคคงหลงเหลือเฉพาะรทุ รภาคเท่านั้นที่จะปรากฏด้านบน
ฐาน อน่ึง เมืองนครศรีธรรมราช คงเคยนับถือศาสนาฮินดูเป็นหลักมาก่อนในพุทธศตวรรษที่ 19 เนื่องจากพบ
ทงั้ ศวิ ลงึ ค์และประติมากรรมพระวิษณจุ ำนวนมากในบรเิ วณแถบนี้

ค้นพบศิวลึงค์เก่าแก่ภายในวัดโบราณที่นครศรีธรรมราช อายุมากกว่า 1,200 ปี สำนักศิลปากร
ที่ 14 เข้าศึกษาที่วัดนางตรา ตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ชาวบ้านได้ทยอยเข้าไป
ชมศิวลึงค์และเคร่ืองเคลือบดินเผาขนาดใหญ่ ที่ค้นพบระหว่างการปรับพ้ืนที่ เตรียมการก่อสร้างภายในวัดนาง
ตรา โดยพระครูศุภกิจตยาภรณ์ เจ้าอาวาส นำไปเก็บรักษาไวใ้ นกุฏิป้องกันการสูญหาย สำหรับลักษณะศิวลึงค์
ดังกล่าวน้ัน พบว่า เป็นศิวลึงค์หินทรายขัดผิวเรียบชนิดช้ินเดียวกันกับฐาน โดยมีความกว้างและยาว 47 ซม.
ขอบฐานโยนีสลักลวดลายเถาพันธุ์พฤกษา ซึ่งเป็นลวดลายแบบศิลปะทวารวดี มีร่องรอยแตกบิ่นเสียหาย
เล็กน้อย เชน่ เดียวกับเคร่อื งเคลือบจากปุงก๋ี รถแบคโฮในขณะขดุ ตัก สำหรับศวิ ลึงค์และฐานโยนี เปน็ รูปเคารพ
ในศาสนาพราหมณ์ มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 10-12 หรือราว 1,300-1,400 ปีท่ีผ่านมา มีความสอดคล้องกับ
พื้นท่ีในย่านสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ที่มีความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาก่อน
พระพุทธศาสนา นายอาณัฐ บำรุงวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรท่ี 14 นครศรีธรรมราช ระบุว่า วัตถุโบราณ
ช้ินน้ียังมีความสมบูรณ์ และลวดลายมีความชัดเจนมีความเก่าแก่มาก อาจเป็นชิ้นสำคัญของภาคใต้ โดย
เฉพาะท่เี กยี่ วขอ้ งกบั ความเจริญรุ่งเรอื งของพราหมณ์ มอี ายุราวพทุ ธศตวรรษที่ 10-12

ศิวลึงค์ทองคำ ชาวบ้านขุดพบศิวลึงค์ทองคำ 2 องค์ ท่ีอำเภอ
สิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช อายุนับ 1,000 ปี โดยนายเอนก สีหามาตย์
อธิบดีกรมศิลปากรเปิดเผยว่า มีการขุดค้นพบศิวลึงค์ทองคำ 2 องค์
จากถ้ำบนเขาพลี ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
หลังจากท่ี นายเสกสันต์ นาคกลัด ชาวอำเภอสิชล เข้าไปขุดมูลค้างคาว
ในถ้ำ พบแผ่นอิฐขนาด 16 เซนติเมตร ยาว 30 เซนติเมตร เรียงกันอยู่
ด้านล่างมีอิฐแผ่นรูปสี่เหล่ียม เมื่อยกข้ึนมีผอบทำด้วยโลหะ เมื่อเปิดฝา
ออกจึงพบศิวลงึ ค์ทองคำ จากการตรวจสอบพบว่าศิวลึงค์ มีขนาดสูง รวม
2 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8 เซนติเมตร น้ำหนัก 12.7 กรัม ส่วนองค์ท่ี 2 ขนาดส่วนสูง รวม 2
เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.9 เซนติเมตร น้ำหนัก 19 กรัม จากการประเมินอายแุ ละลกั ษณะของศิวลึงค์ ซ่ึง
เป็นแบบประเพณีนิยม อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 หรือมีอายุกว่า 1,000 ปี สำหรับศิวลึงค์ดังกล่าว ผู้ค้นพบ
ประสานจะมอบศิวลึงคใ์ ห้กับกรมศิลปากร เพ่ือเกบ็ รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ นำมาจัดแสดงเพื่อให้ประชาชน
ได้ศึกษาท่ีพิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 1 องค์ และอีก 1 องค์ จะนำไปจัดแสดงท่ีพิพิทธภัณฑสถาน
แห่งชาตินครศรีธรรมราช ทั้งนี้ก่อนหน้าน้ีในพ้ืนท่ีบริเวณใกล้เคียงกันก็พบโบราณวัตถุสำคัญหลายข้ึนเม่ือปี
พ.ศ.2525 จากการศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู ทางโบราณคดีพบวา่ ในพื้นที่อำเภอสิชล มเี ทวาลัยในศาสนาพราหมณ์ไม่
ต่ำกว่า 30 แห่ง กระจายอยู่ ที่ผ่านมาพบศิวลึงค์ในเขตอำเภอสิชลแล้ว 24 องค์ ซึ่งศิวลึงค์ทองคำที่พบ ถือว่า

66

เป็นโบราณวัตถุข้ึนสำคัญมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทางโบราณคดีอย่างสูง เพราะแสดงถึงความศรัทธาในเทพ
เจ้าและความรุ่งเรืองทางการค้าของนครศรธี รรมราชโบราณ

2.6.2 ฐานโยนิโทรณะ

ฐานโยนิโทรณะ คือ ฐานท่ีประดิษฐานศิวลึงค์ มักจะมีร่องเพ่ือให้น้ำไปลงตามพิธีกรรมและความ
เช่ือในศาสนาพราหมณ์ ได้มีการค้นพบโยนิโทรณะเป็นจำนวนมากในนครศรีธรรมราช โยนิโทรณะเหล่าน้ีส่วน
ใหญเ่ ปน็ ศลิ าทัง้ สิ้น ในทีน่ ี้อาจจะแบ่งรปู แบบของโยนโิ ทรณะ ดังกล่าวออกเปน็ กลมุ่ ๆ ได้ 5 กลมุ่ ดังนี้

กลุ่มที่ 1 โยนิโทรณะท่ีไม่มีร่องรอยการสลัก นับเป็นโยนิโทรณะแบบ
ด้ั ง เดิ ม เพ ร า ะ เป็ น เพี ย ง หิ น ท่ี เจ า ะ รู เท่ า น้ั น ไม่ มี ร่ อ ง ร อ ย
การประดับตกแต่งแต่อย่างใดเลย อาจจะกำหนดให้มีอายุใกล้เคียงกับศิว
ลึงค์รุ่นแรกท่ีพบใน นครศรีธรรมราช คือ ราวต้นพุทธศตวรรษ
ที่ 12 สำหรับรูน้ันอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง หรือใช้สำหรับ
เสียบศวิ ลึงคก์ ไ็ ด้
กลุ่มท่ี 2 โยนิโทรณะท่ีไม่ได้เจาะรู เป็นโยนิโทรณะท่ีมีร่องรอย
การสลักและตกแต่งให้มีรูปร่างและขนาดท่ีสวยงามรวมทั้งมีร่องน้ำด้วย
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ได้มีการสลักเป็นรูลงไปในแผ่นศิลาดังกล่าวนี้เลย
ดั ง นั้ น ก า ร ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น คิ ว ลึ ง ค์ บ น โ ย นิ โ ท ร ณ ะ แ บ บ นี้
จึงอาจจะวางฐาน ศิวลึงค์ไปบนแผ่นโยนิโทรณะ โดยไม่ต้องมีการเสียบ
ด้วยเดือยแต่อย่างใด อาจจะกำหนดให้โยนิโทรณะแบบนี้มีอายุอยู่ในราว
พุทธศตวรรษที่ 12-14 นบั เป็นแบบที่พบน้อยมาก

กลุ่มท่ี 3 โยนิโทรณะท่ีเจาะรูไม่ทะลุ มีโยนิโทรณะแบบหนึ่งมีการ
ตกแต่งองค์ประกอบทั้งภายนอกและภายในเช่นเดียวกับโยนิโทรณะ
โดยท่ัวไปทุกประการ มีร่องน้ำและมีการเจาะรูท่ีตรงกลางแผ่นศิลาด้วย
หากแต่รูท่ีเจาะน้ันไม่ได้เจาะให้ผ่านทะลุแผ่นศิลา อาจจะเจาะ
ให้ลึกเพียงคร่ึงหนึ่งของแผ่นศิลาเท่านั้น กำหนดให้มีอายุอยู่ในราว
พทุ ธศตวรรษที่ 12-14 เชน่ เดยี วกนั
กลุ่มท่ี 4 โยนิโทรณะท่ีเจาะรูทะลุตลอด โยนิโทรณะแบบน้ีมีรูปแบบ
เห มื อ น กั บ แ บ บ ท่ี ส า ม ทุ ก ป ร ะ ก า ร ห า ก ต่ า ง กั น เพี ย ง ว่ า
โยนิโทรณะแบบนี้มีการเจาะรูที่ตรงกลาง แผ่นศิลา โดยเจาะให้รูดงั กล่าวทะลุ
ผ่านแผ่นศิลาลงไปโดยตลอด กำหนดให้มีอายุอยู่ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12-14
เช่นกัน

67

กลุ่มท่ี 5 โยนิโทรณ ะท่ีฐาน สูงมากและมีลวดลายประดับ
ในบรรดาโยนิโทรณะที่ค้นพบในนครศรีธรรมราช มักจะสลักด้วยศิลา
ท่ีไม่หนามากนัก คือ ไม่เกิน 6 น้ิว แต่กระนั้นก็ตามได้มีการค้นพบ
โยนิโทรณะบางช้ิน ซึง่ มคี วามสูงมาก คือ ราว 1 เมตร ลกั ษณะ ด้านบนมี
การตกแต่งให้มีร่องน้ำและรูที่เจาะไม่ทะลุผ่านตลอด เช่น เดียวกับโยนิ
โทรณะแบบที่สาม แต่ลักษณะท่ีพิเศษไปจากแบบอ่ืน ๆ คือ เป็นโยนิ
โทรณะที่มีฐานสูงมากและมีลวดลายสลักประดับทุกด้านของฐานมีการ
สลักฐานเป็นลวดบัวข้ึนไปเป็นช้ัน ๆ และมีเสาด้วยเหมือนกับการสลัก
ภาพจำลองอาคาร อาจจะกำหนดให้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-
14 ปจั จบุ ันศวิ ลงึ คแ์ ละฐานโยนิโทรณะขนาดต่างๆ แสดงให้ชมอยู่ท่ีพพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตนิ ครศรีธรรมราช

2.7 พระวิษณ(ุ พระนารายณ)์

พระวิษณุจากหอพระนารายณ์ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช มีดังนี้ พระวิษณุ หรือ
พระนารายณ์ศิลา พบที่แหล่งโบราณคดี ใกล้วัดพระเพรง ตำบลนาสาร อำเภอพระพรหม ประทับยืนบนปัทม
อาสน์ สูง 17.30 เซนติเมตร รูปแบบเครื่องแต่งกายของพระวิษณุ องค์นี้คล้ายคลึงกับพระวิษณุ
จากวัดศาลาทึง ท่ีไชยา สุราษฏรธ์ านี มีเค้าโครงของศิลปะอมราวดีปะปนกับคุปตะ เช่น การคาดผ้าคาดวงโค้ง
กว้างและปรากฏองค์เพศ ตามแบบศิลปะอมราวดี สวมหมวกทรงกระบอก ที่ประดับด้วยลวดลายแสดงความ
เก่ียวข้องกับศิลปะคุปตะ จากรูปแบบศิลปกรรมพบว่า ประติมากรรมน้ีมีอายุค่อนข้าง “เก่า” แสดงถึงการเข้า
มาของไวษณ พนิกายจาก ประเทศอินเดีย โดยเข้ามาต้ังแต่ระยะแรก ๆของวัฒ นธรรมศรีวิชัย
โดยเข้ามาปะปนกันท้ังอินเดียใต้และอินเดียเหนือ ปัจจุบันแสดงให้ชม
อยู่ท่พี ิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ นครศรีธรรมราช

พระวิษณุองค์นี้มีเค้าโครงคล้ายกับพระ วิษณุในศิลปะ
ปัลลวะตอนต้นของอินเดียใต้ กล่าวคือ สวมหมวกทรงกระบอกเรียบ
และนุ่งโธตียาวเรียบ ไม่มีเครื่องตกแต่ง โดยลักษณะดังกล่าวปรากฏ
เช่นกันกับพระวิษณุจำนวนมากที่ค้นพบในจังหวัดสุราษฏร์ธานีและ
จังหวัดปราจีนบุรี ในประเทศไทย ประติมากร มักกำหนดให้ใช้คทา
และชายผ้าคาดเป็นเคร่ืองค้ำยัน เพ่ือให้ประติมากรรมพระวิษณุ
แข็งแรงขึ้น พระวิษณุผู้ดูแลโลกและพระเป็นเจ้าสูงสดุ ในลัทธิไวษณพนกิ าย ทรงถือของส่ีประการ คือ จักร สังข์
คทาและธรณี โดยของถือแต่ละประการล้วนแต่แสดงคุณ สมบัติและความยิ่งใหญ่ ของพระองค์
ในทุกๆ ด้าน เชน่ ทรงถือจักรอนั เป็นสญั ลกั ษณ์ของพระสูรยะนัน้ กเ็ น่ืองด้วยทรงเป็นเจ้าแหง่ แสงสว่างท่ีแผซ่ ่าน
ไป ทุ ก ทิ ศ เป็ น ต้ น ป ระติ ม าก รรม ชิ้ น น้ี พ ระวิษ ณุ ท รงถื อ จั ก ร (แ ล ะสั งข์ ) ท่ี พ ระหั ต ถ์ คู่ ห ลั ง
ส่วนพระหัตถ์คู่หน้าถือธรณีและคทา อันเป็นลักษณะของศิลปะปัลลวะในศิลปะอินเดียใต้ ซ่ึงตอบรับ
กบั รูปแบบศิลปะ

68

พระวิษณุจากหอพระนารายณ์นครศรีธรรมราช รูปแบบ

เคร่ืองแต่งกายของพระวิษณุองค์น้ีคล้ายคลึงกับศิลปะอมราวดีและ

คุปตะ โดยการคาดผ้าคาดวงโค้งกว้างน้ันปรากฏมาก่อนแล้ว ต้ังแต่

ศิลปะอมราวดี สว่ นหมวกทรงกระบอกที่ประดบั ด้วยดาบวงกลมที่มีสิงห์

คายชายผ้าและยัชโญปวีตเส้นเชือก ก็ล้วนแต่แสดงความเก่ียวข้องกับ

ศิลปะคุปตะจากรูปแบบ ศิลปกรรม พบว่า ประติมากรรมนี้ มีอายุ

ค่อนข้าง “เก่า” จากรูปแบบศิลปกรรม พบว่า เป็นประติมานวิทยา

ทีแ่ สดงความเก่าแกข่ องพระวิษณุองค์น้ีเชน่ กัน

2.8 ภาชนะดนิ เผาทรงหมอ้ สามขา

สมยั ก่อนประวัติศาสตร์ ยุคหนิ ใหม่ อายรุ าว 4,000-2,000 ปี

แหล่งที่พบถ้ำเขาแอง อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช

เป็นภาชนะรูปแบบพิเศษมี 3 ขา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช พบ

เศษภาชนะแบบหม้อสามขาหลายแห่ง เช่น ที่อำเภอทุ่งสง อำเภอ

พรหมคีรี อำเภอร่อนพิบูลย์ และอำเภอนบพติ ำ

2.9 กลองมโหระทึกสำริด

ก ล อ ง ม โห ร ะ ทึ ก ส ำ ริ ด ส มั ย ก่ อ น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ยุค

โลหะ อายุประมาณ 2,000-1,500 ปี พบที่บ้านเกียกกาย

ต ำบ ล ท่ าเรือ อ ำเภ อ เมื อ ง จั งห วัด น ค รศ รีธ รรม ราช

“กลองมโหระทึก” เป็นกลองชนิดหนึ่งท่ีทำจากโลหะผสม

ระหว่างทองแดงดีบุกและตะก่ัว เรียกว่าสำริด บนหน้ากลอง มัก

ทำรูปกบประดับตกแต่ง จึงมีอีกช่ือว่า “กลองกบ” เม่ือ

ราว 3,000 ปี กลองมโหระทึก เป็นเคร่ืองมือโลหะ ที่คนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ผลิตข้ึน เพ่ือใช้ตีประโคมใน

พิธีกรรม ความเชื่อต่าง ๆ เซ่น พิธีศพ พิธีเลี้ยงผี พิธีขอฝน ฯลฯ และเป็นลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมความ

เช่ือท่มี ีรว่ มกนั ของคนที่เคยอาศยั ในดินแดนสุวรรณภูมิ (เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตใ้ นปัจจุบัน) เวียดนาม บ้านเกิด

ของกลองกบ คนสมัยก่อนมีความเชื่อเร่ืองผีและอำนาจเหนือธรรมชาติ ความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหาร

เกิดข้ึนจากการดลบันดาลของเทวดาผีฟ้า ผีแถนท่ีอยู่บนฟ้า เม่ือใดเกิดความแห้งแล้งจำต้องทำพิธีกรรมบูชาผี

ฟ้า ผีแถนให้เกิดความพอใจ โดยการตีกลองกบ เพ่ือส่งสัญญาณขอฝน พร้อมร้องรำทำเพลงประกอบไปกับ

ท่าเต้นกบกระโดด รวมถึงใช้กลองมโหระทึกตีประกอบในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย เช่น ใช้ตีเรียกวิญญาณ

ผู้ตายใหม้ ารับของเซ่นไหว้ หรอื ใชเ้ ป็นทตี่ ัง้ วางของเซน่ สังเวย

69

กลองมโหระทกึ มปี ระตมิ ากรรมรปู กบ กลองมโหระทกึ สำรดิ

2.10 เคร่อื งถ้วยท่ีพบในจงั หวดั นครศรีธรรมราช

จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นเมืองสำคัญมาแต่โบราณมีสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ท้ังในทวีป

เอเชียและยุโรป โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการค้า จากหลักฐานได้พบเครื่องถ้วยต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น

เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ต่าง ๆ เครื่องถ้วยอันนัม (ญวน) เคร่ืองถ้วยไทยตั้งแต่สมัยลพบุรี สมัยสุโขทัย สมัย

อยุธยา จนถึงสมัย รตั นโกสินทร์

นอกจากนยี้ ังพบเคร่ืองถ้วยพ้ืนเมอื งในจังหวดั นครศรีธรรมราช ส่วนใหญเ่ ปน็ เครือ่ งปั้นดินเผา
ไม่เคลือบ แหลง่ ที่พบเครื่องถ้วยพ้ืนเมืองท่สี ำคัญคือ วดั นาโรง (วัดร้าง) ในเขตเมืองโบราณพระเวียง

เคร่อื งถ้วยพืน้ เมอื งจงั หวัดนครศรธี รรมราช


Click to View FlipBook Version