The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

2

2.6 พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แยม้ )
2.7 หมน่ื ไกรพลขนั ธ์ (ตาขนุ พล)
2.8 พงั พการ
2.9 พรพรตั นธชั มนุ ี (มว่ ง ศิริรตั น)์
2.10 พระครูพศิ ษิ ฐอ์ รรถการ
2.11 พระรัตนธัชมนุ ี (แบน ฤทธโิ ชต)ิ
2.12 พระรัตนธชั มุนี (แบน คณฐุ าภรโณ)
2.13 พลตำรวจตรีขุนพนั ธรักษ์ราชเดช
2.14 ดร.สุรินทร์ พศิ สุวรรณ
2.15 นายสมชาย วงศ์สวัสด์ิ
2.16 องั คาร กลั ยาณพงศ์
เรอ่ื งท่ี 3 ประชากร การเมอื ง และการปกครอง จังหวัดนครศรีธรรมราช
3.1 จำนวนประชากรประชากร
3.2 อัตราการเพมิ่ ลดของประชากร
3.3 อตั ราการเกิด ตาย การย้ายเขา้ การย้ายออก ของประชากร
3.4 รายได้ประชากร
3.5 ศาสนา
3.6 อาชพี
เร่อื งท่ี 4 การเมอื งการปกครองจังหวดั นครศรีธรรมราช
4.1 เขตการเลอื กต้งั ภายในจงั หวัดนครศรีธรรมราช
4.2 การปกครอง

4.2.1 การปกครองส่วนภูมิภาค
4.2.2 การปกครองสว่ นทอ้ งถิน่
4.2.3 โครงสร้างการบรหิ ารราชการ

เวลาทใี่ ช้ในการศกึ ษา 18 ชัว่ โมง

3

สื่อการเรียนรู้
1. ชุดวชิ านครศรีธรรมราชศกึ ษา รหสั รายวิชา สค3300168
2. สมุดบันทึกกิจกรรมการเรียนร้ปู ระกอบชดุ วชิ านครศรธี รรมราชศกึ ษา
รหสั รายวิชา สค3300168
3. ส่อื เสริมการเรยี นรูอ้ ่นื ๆ

4

เรอื่ งที่ 1 ประชากรนครศรีธรรมราช

จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นจังหวัดใหญ่ในภาคใต้ของประเทศไทย มีความสำคัญในทาง
ประวัติศาสตร์มาแต่อดีตควบคู่กับความเป็นมาของชนชาติไทย มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะการ
แปรเปล่ียนจำนวนประชากร ท่ีเป็นไปตามปัจจัยแวดล้อมท้ังภายในและภายนอก ทำให้เราจำเป็น
ต้องศึกษาเกยี่ วกับประชากรจังหวัดนครศรีธรรมราช การตั้งรกรากถ่ินฐาน การย้ายท่อี ยอู่ าศัย เชื้อชาติ ศาสนา
และวัฒนธรรม อัตราการเกิดและตายของประชากรจังหวัด ตั้งแต่อดีตสมัยก่อนป ระวัติศาสตร์จังหวัด
นครศรธี รรมราชจนถงึ ปจั จบุ นั

1.1 สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรน์ ครศรีธรรมราช

ในทางโบราณคดสี มยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ คือ
ช่วงเวลา ทีม่ นษุ ย์ยงั ไม่,รู้จักบันทึกเรื่องราวอนั เปน็ ตัวอักษร
ใหม้ นษุ ย์ สมยั ปจั จบุ ันสามารถอ่าน แปลความหมายออกมาได้
จากหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏวา่ จงั หวดั นครศรธี รรมราช
เปน็ ท่ีอยู่อาศยั ของมนษุ ยส์ มัยก่อน ประวัติศาสตรพ์ ืน้ ท่ี
เปน็ ป่าเขามาก่อนท่ีจะเปน็ พน้ื ทร่ี าบชายฝ่ังทะเล

1.2 การต้ังถน่ิ ฐานและชมุ ชนโบราณ พุทธศตวรรษ ท่ี 12-18

ร่องรอยชุมช นโบ ราณ ตั้งแต่พุ ท ธศตวรรษ ที่ 12
มีปรากฏในท่ีราบเชิงเขา และที่ราบริมแม่นํ้าทางทิศตะวันออกของ
เทือกเขาหลวงภูมิประเทศบริเวณนี้ด้านหนึ่งติดทะเล ถัดไปมีแนว
สันทรายทอดยาวตามแนวทิศเหนือและทิศใต้ ส่วนทางตะวันตก
เป็นแนวเทือกเขานครศรีธรรมราช เป็นแหล่งต้นน้ําของคลอง
หลายสาย จากแนวเทือกเขาจดฝ่ังทะเล ประมาณ 15 - 20 กิโลเมตร
เป็นแผ่นดินที่อุดมด้วยปุ๋ยจากธรรมชาติจากตะกอนทับถมของแม่น้ํา
และลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งเหนือพดั ผา่ น จงึ เหมาะแก่การทำนาเล้ยี งชมุ ชนขนาดใหญ่

ลักษณะชุมชนเมื่อแรกตั้งเป็นชุมชนการค้า ซึ่งการติดต่อกับดินแดนโพ้นทะเลมีวัฒนธรรมและ
เทคโนโลยี ก้าวหน้ากว่ายังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างช้า ๆ
จนชุมชนพัฒนาเติบโตเป็นศูนยก์ ลางการคา้ ทางทะเลบนคาบสมทุ รไทยในพทุ ธศตวรรษที่ 18

โดยเหตุท่ีภูมิประเทศเป็นป่าดิบที่อุดมสมบูรณ์ จึงมีผลผลิตจากป่าอยู่มาก เช่น ขี้ผึ้ง ไม้ฝาง งาช้าง
หนังสัตว์ ซึ่งเป็นสินค้าออกชายฝังตะวันออกจึงเป็นแนวชายฝังที่นิยมตั้งถ่ินฐาน เพราะสะดวกในการติดต่อ
ค้าขายกันกบั ดินแดนโพน้ ทะเล เช่น อินเดยี จีน เวยี ดนามและภาคกลางของประเทศไทย

5

สังคมและชุมชนจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพัฒนาการที่ยาวนาน ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีและ
ประวัติศาสตร์ พอจะสันนิษฐานได้ว่าคนจังหวัดนครศรีธรรมราชยุคก่อนประวัติศาสตร์อาศัยอยู่ในถ้ํา บริเวณ
ป่าเขา และบนเกาะต่าง ๆ รวมทั้งท่ีราบตามริมฝ่ังน้ํา ยังชีพโดยการล่าสัตว์ จับสัตว์นํ้าและหาของป่า รู้จักการ
ทำภาชนะเคร่ืองมอื และเครือ่ งนงุ่ หม่ มีความเช่อื ในเร่อื งสิ่งศักด์ิสิทธิ์ และเคารพภตู ผี

การตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณของจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ค้นพบตามหลักฐานร่อ งรอย
การต้ังถิ่นฐานของชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ก่อนพุทธศตวรรษที 19 ตามหลักฐานวรรณคดีและวัตถุ
โบราณคดที ป่ี รากฏ ได้แก่

1. ชุมชนโบราณบนหาดทรายแก้ว ปรากฏร่องรอย
การต้งั ถ่ินฐาน ตามแนวลำนํ้าใหญ่ไหลมาจากภูเขาทางตะวันตก
ผ่านสันทรายออกไปสู่ทะเลอ่าวไทยในหลายพน้ื ท่ี โดยเฉพาะ
บริเวณแนวสันทรายหรอื ทเ่ี รยี กว่า หาดทรายแก้ว พบปรากฏ
รอ่ งรอยตามนักโบราณคดี

2. ชุมชนโบราณบ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอเมือง
นครศรีธรรมราชนักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เป็นศูนย์กลางของ
ตามพรลิงค์ในยุคแรก เน่ืองจากเป็นจดุ ท่ีคลองท่าเรือไหลออกทะเล
ในอดีตน่าจะเป็นร่องน้ําลึกท่ีเรือเดินทะเลสามารถแล่นเข้ามาจอด
ได้ และพบหลักฐานสำคัญ คือ เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์กัง
อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 12 - 15 เคร่ืองถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ซ้อง
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18-19 เครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัยและ
เงนิ ตราต่างชาติจำนวนมากในซากเรอื บรรทุกสินคา้ หลายลำท่ีจมอยู่
บริเวณปากอ่าว และลำคลองแห่งน้ี

3. ชุมชนโบราณเมืองพระเวียงตำบลพระเวียง ตำบล
ในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ลักษณะของเมือง เป็นรูป
ส่ีเหล่ียมผืนผ้าขนาด 450 X 1,100 เมตร วางตามแนว ทิศ-ทิศใต้
มีคูเมือง และแนวกำแพงดินล้อมรอบอย่างละชั้น ภายในเมืองมี
วัดโบราณหลายแห่ง เช่น วัดสวนหลวงตะวันออก ปัจจุบันเป็น
ที่ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระเวียง ปัจจุบัน เป็นที่ตั้ง
สถานสงเคราะห์เดก็ ชายบ้านศรธี รรมราช (กรม ประชาสงเคราะห์)

6

4. ชุมชนเมืองโบราณคดีนครศรีธรรมราช ต้ังอยู่ตำบล
ในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ลกั ษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ขนาด 500 X 2,239 เมตร วางยาวตามแนวเหนือใต้บนแนวสันทราย
ขนาบด้วยท่ีราบลุ่ม มีคูเมืองกำแพงเมืองล้อมรอบ จากตำนาน
เมืองนครศรีธรรมราช และพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
กล่าวถึงประวัติ การสร้าง เมืองบนหาดทรายแก้ว สถานท่ีฝัง
พระทันตธาตขุ องสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ กบั การสร้างพระบรม
ธาตุเจดีย์ว่าเมืองนี้สร้างข้ึนราวพุทธศตวรรษที่ 11 โดยพระเจ้า
ศรธี รรมโศกราช แต่ไม่มีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยัน
ได้ว่า นครศรีธรรมราช สร้างขึ้นได้แต่โบราณสถานที่เก่าท่ีสุด สามารถกำหนดอายุจากรูปศิลปกรรมได้ คือ
พระบรมธาตุเจดีย์ ที่วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นเจดีย์ทรงกลมศิลปะลังกา แบบที่พบในเมืองโปโลนากำหนด
อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 การต้ังถ่ินฐานของชุมชนโบราณของจังหวัดนครศรีธรรมราชได้ค้นพบตามหลักฐาน
รอ่ งรอย

1.3 ลกั ษณะอปุ นสิ ยั ของคนจงั หวดั นครศรธี รรมราช

โดยทวั่ ไปลกั ษณะอุปนิสยั ของคนวงั หวดั นครศรธี รรมราช มลี ักษณะคลา้ ย ๆ กบั คนภาคใตท้ ่ัวไป ดงั นี้
1. ชอบนับญาติ หมายถึง ความสัมพันธ์ในสายสกุลเดียวกัน หรือมีความเก่ียวข้องกัน บางคร้ัง
เรียกว่า “เป็นดอง” กัน จึงมกี าร “นบั ญาติ/ชมุ ญาติ” หรอื เรยี กวา่ “สาวยา่ น” กนั ถงึ จะรกั กนั อยา่ งเหนียวแน่น
เมื่อมีงานหรอื กิจกรรมใด ๆ สำคญั กจ็ ะกลับมา “รวมญาต”ิ กันอย่างพรอ้ มเพรียง
2. รักพวกพ้อง แม้วา่ ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่หากเป็นคนจงั หวัดเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน จะเกิดการ
รวม กลุ่มกัน “ผูกเกลอ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อออกไปอยู่ต่างถ่ินก็จะปรากฏเห็นชัด คนนครศรีธรรมราช
มักรวมกลุ่มพบปะสังสรรค์เพื่อรู้จักกัน เชื่อมความสามัคคีระหว่างกัน ทำกิจกรรมเพ่ือสาธารณะประโยชน์
และมีโอกาสที่จะ “แหลงใต้” กัน
3. รักภาค/ถิ่นฐาน ในภาพรวมเป็นคนนครศรีธรรมราชท่ีมีความรู้สึกภาคนิยมสูง มีความหย่ิง และ
ภูมิใจในทอ้ งถ่ินท่อี ยู่ รวมถงึ การใช้ภาษาใตด้ ้วย แมว้ า่ จะตกไปอย่ทู อ้ งถน่ิ อ่ืน ยังมีความภูมิใจลึก ๆ วา่ เขาเกดิ มา
เป็นคนใตน้ บั ว่าเปน็ เอกลักษณศ์ ักด์ศิ รีประการหน่งึ
4. รักตายาย คำว่าตายายในที่น้ี หมายถึง บรรพบุรุษ เน้นการนับถือผีตายาย (เดิมคงเน้นสายสกุลแม่
เป็นสำคัญ) แต่คำว่าตายายโดยท่ัวไป หมายถึง บรรพบุรุษของทุกฝ่าย เป็นพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างของ
ความเคารพ กตัญญูกตเวทีสำนึกในบุญคุณบรรพบุรุษ สืบต่อมาช้านานจนเป็นวัฒนธรรมท่ีเด่นชัด “งานสารท
เดอื นสบิ ” ของจงั หวดั เปน็ งานใหญแ่ ละเป็นวนั “ชุมญาติ/รวมญาต”ิ กนั อกี ด้วย
5. ใจสู้ หมายถึง การมีใจกล้าน่ันเอง กล้าสู้ กล้าคิด กล้าทำกลา้ ท่ีเผชิญหน้ากับเหตุการณ์หรืออุปสรรค
ทีเ่ กดิ ขนึ้ พร้อมที่จะออกหนา้ มีลักษณะท่คี ่อนข้างจะไม่กลัวใคร จงึ กล้าที่จะตัดสนิ ใจเป็นลักษณะแห่งผนู้ ำได้

7

6. ใจใหญ่ คำว่า “ใหญ่” หรือบางทีว่าใจนักเลง แต่มิใช่นักเลงหัวไม้ เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ใจกว้าง
ยอมเสียสละเพอ่ื ชือ่ เสยี ง แม้ตัวเองจะต้องเสยี ผลประโยชน์ไปบ้าง เอาหนา้ ไว้ก่อน

7. ไม่หวาน หมายถึง การพูด คนนครศรีธรรมราชพูดหยาบ สำเนียงห้วนส้ัน ไม่มีหางเสียง อาจมี
สว่ นอยู่บ้างเพราะสภาพแวดลอ้ มทางภมู ิศาสตร์เป็นตัวกำหนด แต่ใหด้ กู ันที่ความจริงใจถ้าบอกว่าช่วยก็ช่วยจริง
ไมท่ ิง้ กนั ถ้าบอกว่ารกั ก็รกั จรงิ ไม่หลอกกนั

8. หัวหมอ เป็นมุมมองหนึ่งของคนต่างถิ่น คงเป็นเพราะว่าคนนครศรีธรรมราช มักไม่ยอมก้มหัว
ให้ใครง่าย ๆ ซึ่งความจริงลักษณะคนหัวหมอ คือ การที่มีความคิดอ่านทันคน รู้มาก จึงไม่ยอมสยบให้กับ
ความอยุติธรรมท้ังปวงอย่างงา่ ยนั่นเอง

9. ชอบความเป็นอิสระ เป็นลักษณะหน่ึงของคนนครศรีธรรมราช อาจสืบลักษณะนิสัยมาจาก
โบราณท่ีคนใต้ปกครองตนเองมาโดยตลอดสมัยประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นดินแดนไกลศูนย์กลางการปกครอง
จึงสร้างสมคุณลกั ษณะตอ้ งพ่ึงตนเอง ทำให้หยิง่ และรักศักด์ศิ รีของมาตภุ ูมิ เกิดค่านิยมช่วยเหลือตนเองมากกว่า
แบมอื ขอคนอื่น

10. รักศักดิ์ศรี พฤติกรรมนี้เกิดจากลักษณะรวม ๆ เกิดขึ้นตามสภาวการณ์หลายอย่างจึงเกิด
ความภูมิใจจึงไม่แสดงพฤติกรรมใด ๆ ท่ีทำให้คนอื่นดูถูกประณามท้องถิ่นของตน สังเกตได้จากคนใต้ท่ีเป็น
ขอทานหรือโสเภณีน้อยนิดโดยสถิติ เชื่อเรื่องกรรม ความเช่ือดังกล่าวคงสืบเน่ืองมาจากศาสนาที่สืบทอดมาถึง
ลูกหลาน อันเป็นเหตุปัจจัยไมใ่ ห้คนทำชั่วเพราะกลัวกรรมสนอง ศัพท์ภาษาถ่ินที่ว่า “ใช้ชาติ” จะเป็นคำตอบ
ของความเช่อื ของคนนครศรีธรรมราชเปน็ อยา่ งดี เปน็ วัฒนธรรมความเชื่อทีว่ ่าผลมาจากเหตนุ ัน่ เอง

กจิ กรรมท้ายเรอื่ งที่ 1 ประชากรนครศรธี รรมราช
(ใหผ้ ู้เรยี นไปทำกจิ กรรมท้ายเรอ่ื งท่ี 1 ท่สี มดุ บนั ทกึ กจิ กรรมการเรยี นรู้ประกอบชดุ วชิ า
นครศรธี รรมราชศกึ ษา รหัสรายวชิ า สค3300168)

เรื่องท่ี 2 บุคคลสำคญั จังหวดั นครศรธี รรมราช

จงั หวัดนครศรธี รรมราช มปี ระวัติและบุคคลสำคัญๆ ทม่ี ผี ลงานเป็นท่ปี รากฏต่อสงั คม ชุมชน และ
ท้องถิน่ โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี

2.1 พระเจ้าศรธี รรมาโศกราช

พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เป็นปฐมกษัตริย์ เป็น
ต้นราชวงศ์ปทุมวงศ์ แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ เป็นผู้สร้างเมือง
นครศรีธรรมราช จากชุมชนเดิมซ่ึงมีชื่อเรียกว่า ตามพรลิงค์
บนหาดทรายแก้ว ปัจจุบันอยู่บริเวณตำบลในเมือง อำเภอเมือง
จั ง ห วั ด น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช เ มื่ อ ป ล า ย พุ ท พธระเศจา้ ศตรธี รวรมราโรศกษราชท่ี 1 7

8

จนกลายเป็นนครรัฐหรือเป็นอาณาจักรใหญ่ในคาบสมุทรไทยก่อนที่จะเข้ารวมอยู่ในราชอาณาจักรไทยในสมัย
กรงุ ศรีอยุธยาตอนต้นพุทธ ศตวรรษที่ 20

พระนามกษัตริย์พระองศ์ปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เช่น ตำนานเมือง
นครศรธี รรมราช และจารึกของแมน่ างเมอื ง

ตามตำนานได้กล่าวเล่าขานกันว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นชาวอินเดียไม่ปรากฏวันพระราชสมภพ
และนามพระบิดาและพระมารดา แต่มีพระอนุชา 2 พระองค์ พระเจ้าจันทรภาณุ และพระเจ้าพงษาสุระ พระองค์
มีความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนามาก่อน เม่ือได้มาสร้างบ้านเมืองใหม่ขึ้น ก็ได้นำเอาพระพุทธศาสนาเข้ามา
นอกจากน้ันยังได้นำเอาลัทธิความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์เข้ามาด้วย แต่เน่ืองจากวิธีการปฏิบัติทางโลก
มากกว่าทางธรรม จึงทำให้พิธีการของพราหมณ์ซึ่งเป็นทางโลกส่วนมาก เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคน
ในดินแดนนี้มากจึงทำให้ภาษาสันสกฤตซ่ึงเป็นภาษาที่ใช้ในศาสนาพราหมณ์ก็นำมาใช้ด้วย พระเจ้าศรีธรรมา
โศกราชได้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึน้ ราว ๆ พ.ศ. 1098 ในช้ันแรกคนทั่วไปไมไ่ ด้เรียกว่า“นครศรีธรรมราช”
แต่เรียกว่า “พลิง” ตามคัมภีร์บาลี และ “ตามพรลิงค์” ท่ีปรากฏในศิลาจารึกเมืองไชยาตั้งแต่อดีตมาจนถึง
ทุกวันน้ี

ผลงานและพระเกยี รตคิ ณุ
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นผู้สร้างเมืองนครศรีธรรมราช และสร้างสถูปเจดีย์ที่เรียกว่า
“พระบรมธาต”ุ ทเ่ี ปน็ ปูชนยี สถานทส่ี ำคญั คู่บา้ นคู่เมืองของไทย

2.2 พระเจ้าจนั ทรภาณุ

พระเจ้าจันทรภาณุตามประวัติจากหลักฐานตำนานเมืองและตำนานพระธาตุทราบว่าพระเจ้าจันทร

ภาณุ เป็นพระอนุชาของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เมื่อพระเจ้านครศรีธรรมาโศกราชถึงแก่กรรม เม่ือศักราช

1200 ปี พระยาจันทรภาณุ เปน็ เจ้าเมืองมีพระนามว่า “พระเจ้าจันทรภาณุ” นับเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีย่ิงใหญ่

พระองค์หนึ่งในราชวงศ์ศรธี รรมาโศกราช หรืออาณาจักรตามพรลิงค์ เป็นกษัตริย์ท่ีทรงเผยแผ่พระเดชานุภาพ

ขจร ไปยังแคว้นไกลท่ีสุด คือ เกาะลังกา โดยการยกทัพไปตีถึง 2 ครั้ง ตามประวัติจากหลักฐานตำนานเมือง

และตำนานพระธาตุทราบว่า พระเจ้าจันทรภาณุ ได้ต้ังอารามก่อพระเจดีย์ปลูกพระศรีมหาโพธิ

รายทางมาจนถึงเมืองนคร มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึกตอนหนึ่งว่า “พระเจ้า ผู้ปกครองเมืองนคร

ตามพรลิงค์เป็นผู้อุปถัมภ์ตระกูลปทุมวงศ์ พระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์มีอำนาจ ด้วยอนุภาพแห่งบุญกุศล

ซ่ึงพระองค์ได้กระทำแก่มนุษย์ท้ังปวง ทรงเดชานุภาพดุจพระอาทิตย์ พระจันทร์และ มีเกียรติอันเล่ืองลือ

ทรงพระนามจันทรภาณุศิริธรรมราช เม่ือกลียุค 4332

9

ผลงานและพระเกยี รติคณุ
1. ประกาศอิสรภาพจากอาณาจักรศรีวิชยั ใหแ้ กน่ ครศรีธรรมราช ตอนนั้นนครศรีธรรมราช เป็นรัฐ
หนึ่งของศรวี ิชัย ในขณะทอี่ าณาจักรศรีวิชัยออ่ นแอพระเจ้าจันทรภาณุจึงประกาศเอกราชจากอาณาจักรศรีวชิ ัย
ในราว พ.ศ.1773 และอาณาจักรศรีวิชัยก็ถงึ กาลอวสานในราวปี พ.ศ.1838

2. ยกทัพไปตีลังกา 2 ครัง้ ดงั น้ี
คร้ังที่ 1 ยกไปตีลังกาในราวปี พ.ศ.1750 ในสมัยของพระเจ้าปรักกรมพาหุ กษัตริย์แห่งลังกา

ในการรบคร้ังนี้ได้รับชัยชนะ เป็นเหตุให้แสนยานุภาพของพระองค์แผ่ไปตลอดแหลมมลายู และเกิดมี
อาณานิคมของตามพรลิงค์อยู่ในลังกา และเป็นสาเหตุหน่ึงที่ลังกาต้องมอบพระพุทธสิหิงค์ให้ในโอกาสต่อมา
และชาวลงั กาเรยี กพระนามของพระองคว์ ่า “ชวากะ”

คร้ังที่ 2 ยกทัพไปตีลังกาครั้งน้ี อยู่ในระหว่าง พ.ศ.1801 - 1803 นักประวัติศาสตร์ บางท่าน
มีความเห็นว่า ในการรบคร้ังน้ีพระองค์มิได้กรีธาทัพไปโดยพระองค์เอง แต่มอบหมายให้ราชโอรสพร้อมด้วย
นายพลคนสำคัญไปรบแทน

การไปรบลังกาในคร้ังหลังนี้พระเจ้าจันทรภาณุ ได้รับความช่วยเหลือจากทหารชาวทมิฬโจฬะ
และพวกปาณฑย์ ซึ่งเป็นศัตรูกับชาวลังกามาแต่โบราณ และได้ยกพลขึ้นบกที่มหาติตถะ ทางฝ่าย
นครศรีธรรมราช มีเจ้าชายวีรพาหุเป็นแม่ทัพ ในระยะแรกฝ่ายพระเจ้าจันทรภาณุมี ชัยชนะในการรบ
แต่ระยะหลังกองทัพของพวก ปาณฑย์เกิดกลับใจไปร่วมรบกับพวกลังกา ตีพวกทมิฬโจฬะแตกพ่าย ทำให้ทัพ
ของพระเจ้าจันทรภาณุถูกล้อม นักประวัติศาสตร์บางท่านกล่าวว่า พระองค์สิ้นพระชนม์ในสนามรบ
แต่บางทา่ นบอกว่า พระองคเ์ สดจ็ กลับมาได้ และอยู่ตอ่ มาอีกหลายปจี งึ สิ้นพระชนม์

อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ได้สืบสาวเร่ืองราวเก่ียวกับเรื่องนี้ได้ความว่า ในระหว่าง พ.ศ.1776 ถึง
พ.ศ.1823 นครศรีธรรมราชวา่ งจากสงครามมีเวลาว่าง จงึ ได้สร้างวัดขนึ้ หลายวดั เช่น วัดพระเดมิ วัดหว้าทยาน
หรอื วัดหวา้ อทุ ยาน และได้มีการปลูกต้นพระศรีมหาโพธิไว้ทกุ วัดดว้ ย

ในช่วงที่พระเจ้าจันทรภาณุได้ส่งทูตไปเมืองลังกาเพื่อขออัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ ก็ได้ส่งพระภิกษุ
ชาวนครศรีธรรมราชไปศึกษาพระธรรมวินัยแบบหินยานของลังกา และตอนกลับก็ได้เชิญพระภิกษุชาวลังกา
พรอ้ มชนชาวลังกามาด้วย มาตั้งคณะสงฆ์ขึ้นใหม่ท่ีนครศรีธรรมราช เรียกว่า “พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์”
แทนพระพุทธศาสนาแบบมหายานตามอย่างศรีวิชัย ต่อมาลัทธิลังกาวงศ์ก็แผ่ไปสู่สุโขทัย ตั้งเป็นปึกแผ่นอย่าง
มน่ั คงมาจนถึงปจั จุบันน้ี

10

ด้วยในระยะพระบรมธาตุเดิมเป็นแบบศรีวิชัยและชำรุดทรุดโทรมมาก พระภิกษุและชนชาวลังกา
ที่มาอยู่ทน่ี ครศรธี รรมราช รวมท้ังชาวนครรีธรรมราช เองด้วย ลงความเห็นกันว่าเห็นควรบูรณะซอ่ มแซมองศพ์ ระ
บรมธาตุเสยี ใหม่ให้แขง็ แรง โดยใหส้ รา้ งใหม่หมดทง้ั องค์ตามแบบทรงลังกาและใหค้ ร่อมทบั พระเจดียอ์ งค์เดิมไว้
โดยสร้างเป็นพระสถูปทรงโอควํ่า พระเจดีย์องค์เดิมได้ค้นพบเม่ือคราวบูรณปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุเจดีย์
ในสมัยรัชกาลท่ี 5 และมีหลักฐานยืนยันว่าชนชาวลังกาได้มาอยู่ที่นครศรีธรรมราชจริงด้วย ในปี พ.ศ.2475
ได้ขุดพบพระพุทธรูปลังกาทำด้วยหินสีเขียวคล้ายมรกต 1 องค์ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝีมือของชาวลังการุ่นเก่า
โดยขุดพบท่ีบริเวณพระพุทธบาทจำลองในวัดพระมหาธาตุฯ ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์น้ีได้เก็บรักษาไว้ท่ี
พพิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวดั นครศรีธรรมราช

11

2.3 เจ้าพระยานคร (พัฒน)์

เจา้ พระยานคร (พฒั น)์ หรือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พฒั น์) เปน็ เจา้ เมอื งอันดบั ท่ี 2
ของนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานครผู้นี้เดิมเป็น
หม่อมเจ้าในกรมหม่ืนอินทรพิทักษ์ (รัชกาลท่ี 3) ในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซ่ึงในพงศาวดาร เรียกว่า พระอุปราช
หรือ เจ้าพัฒน์ ในสมัยกรุงธนบุรีได้ทำราชการสนองพระเดชพระคุณ
พระเจ้าอยู่หัวและประเทศชาติ เช่น ตามเสด็จไปราชการทัพ ชนะศึก
มีความชอบหลายคร้ังหลายหน จนเป็นท่ีโปรดปรานของสมเด็จพระเจ้า
ตากสินย่ิงนัก ถึงกับยกเจ้าหญิงปราง ชายาของพระองค์ ให้เป็นชายาของ
พระอุปราช ภายหลังทราบว่าท่านหญิงนวลชายาเดิมสิ้นชีพลง เมื่อสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเถลิงถวัลย์ ราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ โปรดให้ถอดยศพระเจ้า
นครศรีธรรมราช (หนู) ออกจากตำแหน่ง และให้กลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งต้งั พระอุปราช (พฒั น)์ ขึ้นเป็นผู้สำเรจ็ ราชการเมอื งนครศรธี รรมราช

เม่ือปีมะโรง พ.ศ. 2329 พระอุปราช (พัฒน์) ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณด้วยดีตลอดมา
จนกระทั่งถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระอุปราช (พัฒ น์) ได้เข้า
เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลพระกรุณาลาออกจากราชการด้วยเหตุที่ชรามาก เกรงว่าจะทำ
ราชการสนองพระเดชพระคุณไม่ดีเท่าท่ีควร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าโปรดกระหม่อม ให้เลื่อนยศขึ้นเป็น “เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมาโศกราชวงศ์ เชษฐพงศ์
ฦา ไชย อนุไทยธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ” มีตำแหน่งท่ีปรึ กษาราชการของผู้สำเร็จราชการ
เมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่ เจ้าพระยานคร (พัฒน์) หรือ พระอุปราช (พัฒน์) มีบุตรธิดาหลายคน ที่สำคัญ
ไดแ้ ก่

1. เจ้าจอมมารดานุ้ยใหญ่ ในรัชกาลท่ี 1 คุณนวล ธิดาเจ้านคร (หนู) เป็นมารดา เป็นพระชนนี
สมเดจ็ กรมพระราชรังบวรมหาศักดพิ ลเสพ ในรัชกาลท่ี 3

2. เจ้าจอมมารดานุ้ยเล็ก ในสมเด็จกรมพระราชรังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 คุณนวลธิดา
เจ้านคร (หน)ู เป็นมารดา เป็นเจ้าจอมมารดาของพระองศเ์ จา้ หญงิ ปัทมราช

3. เจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ชาติเดโซชัย มไหสุริยธิบดี อภัยพิริยปรากรมพาหุ เจ้าพระยา
นครศรธี รรมราช เจา้ หญิงปรางหรือคณุ หนเู ล็ก ธิดาเจา้ นคร (หนู) เป็นมารดา

4. พระยาภักดีภธู ร (ฉิม) รับราชการฝ่ายพระราชวงั บวร
5. ท่านผู้หญิงหนู ภรรยาเจ้าพระยาทพิ ากรวงศ์ (ชำ)
6. นายจา่ ยง (ชัน)
7. พระราชภกั ดี (รา้ ย) ยกกระบตั รเมอื งนครศรีธรรมราช
8. คณุ ใจ มหาดเล็ก

12

9. คุณเรกิ มหาดเลก็
10. คุณกนุ

ผลงานและพระเกยี รตคิ ุณ

เจ้าพระยานคร (พัฒน์) หรือพระอุปราช (พัฒน์) ถึงแก่อสัญกรรม เม่ือ พ.ศ.2358 นับเป็นแบบอย่าง

ข้าราชการที่ดผี ู้หนึ่ง คือ เป็นผู้ที่ไม่ยึดถือในตวั บุคคลจนเกินไป แต่ยดึ ถือในหลกั การ และประโยชน์ของส่วนรวม

คือ ประเทศชาตเิ ป็นทต่ี ้ัง ไม่ว่าเหตุการณ์บ้านเมอื งจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็ยังสามารถปฏิบตั ิราชการงานเมอื ง

ในหน้าที่ด้วยดีเสมอมา มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ และต่อผู้บังคับบัญชามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสมัย

กรงุ ธนบุรี หรือกรุงรัตนโกสินทร์ จะเห็นว่าเป็นท่ีโปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินมาทั้งสองสมัย นอกจากนั้นยัง

เป็นท่ีรู้จักกาล รู้จักประมาณตน ปราศจากความโลภ ความหลง เช่น เม่ืออายุมากไม่สามารถปฏิบัติราชการ

ดว้ ยดไี ด้ ก็กราบถวายบงั คมทูลลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้ผอู้ ื่นที่มีความสามารถ

กว่าทำหน้าท่ีแทน คุณลักษณะเช่นนี้จึงทำให้เจา้ พระยานคร (พัฒน์) มีวิถีชีวิต

ทด่ี ำเนินมาดว้ ยความราบร่ืนตราบสิ้นอายขุ ยั

2.4 เจ้าพระยานคร (นอ้ ย)

เจ้าพระยานคร (น้อย) หรือเจ้าพระยานครศรธี รรมราช (น้อย) เป็น

เจ้าเมอื งลำดบั ท่ี 3 ของเมอื งนครศรีธรรมราชในสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ นับเป็น เจ้าพระยานคร (น้อย)
เจ้าเมืองที่มีชื่อเสียงโดดเด่นกว่าเจ้าเมืองใด ๆ ในสมัยเดียวกัน เพราะเป็นท้ัง

นกั รบ นักปกครอง และเป็นผ้สู ันทัดในการช่างเป็นอยา่ งยอดเยี่ยม รับราชการ

สนองพระเดชพระคุณชาติบ้านเมืองด้วยความอุตสาหะ จงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อ

พระบรมราโชบายในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์อย่างแน่วแน่ม่ันคงถึงสามรัชกาล

คื อ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า

จุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ตามลำดับ นับได้ว่าเป็นข้าราชการ ช้ันผู้ใหญ่ที่ได้บำเพ็ญกรณียกิจที่สำคัญแก่ชาติบ้านเมืองมายาวนาน ตั้งแต่

วัยฉกรรจ์จนกระท่ังถึงอสัญกรรม เกิดเมื่อจันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2319 ตามหลักฐานทางราชการกล่าวว่า

เปน็ บุตรพระยาสุธรรมมนตรี (พัฒน์) มารดาช่ือ ปราง หรือ หนูเลก็ เร่มิ เขา้ รับราชการอย่างจริงจังในต้นรัชสมัย

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย คือ ใน พ.ศ.2354 กล่าวคือ เม่ือถวายพระเพลิงพระบรมศพ

พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ พุ ท ธ ย อ ด ฟ้ า จุ ฬ า โ ล ก แ ล้ ว เ จ้ า พ ร ะ ย า น ค ร ( พั ฒ น์ )

ก็ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานถวายบังคมลาออกจากราชการ

วา่ มีความชรา หูหนัก จักษุมดื มวั และหลงลมื พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ เหลา้ นภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรด

เกล้าฯ เล่ือนเจ้าพระยานคร (พัฒน์) ขึ้นเป็นเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี และทรงต้ังพระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย)

ผชู้ ่วยราชการ เมืองนครศรีธรรมราชเป็น “พระยาศรีธรรมาโศกราช” ว่าราชการเมอื งนครศรีธรรมราช และได้

13

เลื่อนเป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราชในรัชกาลที่ 2 ภายหลังได้ปราบปรามกบฏเมืองไทรบุรีครั้งแรกใน
พ.ศ2364 จนเป็นผลสำเร็จ และได้ปกครองเมืองน้ีจนถึงแก่อสัญกรรม ในจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2381
สิริรวมอายุได้ 62 ปีเศษ

14

ผลงานและพระเกยี รตคิ ุณ
1. ด้านการปกครอง การตีเมืองไทรบุรี เป็นเมืองท่ีมีปัญหาในการปกครองของไทยตลอดเวลา
เจ้าพระยานคร (น้อย) ปกครองเมืองนคร ต้องใช้ความรู้ ความสามารถทั้งในด้านการสงคราม การทูต
การปกครอง และการบริหารอย่างย่ิงยวด จึงสามารถรักษาเมืองไทรบุรีให้อยู่ภายในราชอาณาจักรไทยตลอด
ชีวิตของท่าน ทั้งนี้เพราะปัญหาเมืองไทรบุรีเป็นปัญหาละเอียดอ่อน อยู่ในภาวะล่อแหลมต่ออันตราย คือภัย
จากเจ้าเมืองเดิมประการหนึ่ง และภัยจากอังกฤษที่กำลังแสวงหาเมืองขึ้นอีกประการหนึ่ง ภัยท้ังสองประการ
ดงั กล่าวได้ทำใหเ้ จา้ พระยานคร (นอ้ ย) ตอ้ งยกกำลงั ไปปราบถึง 4 ครงั้
ครง้ั ท่ี 1 ปี พ.ศ.2463 เมืองไทรบุรีแม้ว่าจะเป็นประเทศราชของไทยมาต้ังแต่ครั้งสมเด็จกรมพระราชวัง
บวรมหาสุรสิงหนาถ โปรดเกล้า ๆ ให้พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากรเป็นแม่ทัพไปตี เมื่อ
พ.ศ.2328 แต่การยินยอมของพระยาไทรบุรี (โมกุรัมซะ) ในครั้งนั้นเป็นไปในลักษณะจำยอม ด้วยเกรงฝ่ายไทย
ซ่ึงมีแสนยานุภาพเหนือกว่า แต่ต่อมาเมื่อพระยาไทรบุรี (โมกุรัมซะ) ถึงแก่กรรมลง ตนกูปะแงรันจึงได้รับ
พระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองไทรบุรีแทนโดยมีชื่อว่า “พระยารัตนสงครามรามภักดี ศรีสุลต่านมหะ
หมัด รัตนราชบดินทร์ สุรินทรวังษา พระยาไทรบุรี” แต่คนโดยท่ัวไปรู้จักกันในนาม “พระยาไทรบุรีปะแงรัน”
พระยาไทรบุรี คนใหม่นี้เริ่มหันไปฝักใฝพ่ ม่าอีก เจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งขณะน้ันยงั เป็น “พระยานคร (น้อย)”
มฐี านะเป็นผู้กำกับเมอื งไทรบุรีได้ทราบข่าวและเรมิ่ สงสัยในพฤติกรรมของพระยาไทรบุรีปะแงรันมาก จึงได้สืบ
ความเคล่ือนไหวและได้กราบบังคมทูลไปยังรัชกาลที่ 2 ทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ทรงพิจารณาเห็นว่าพระยาไทรบรุ ี (ปะแงรัน) มีความผิดมาก ปล่อยไวต้ ่อไปก็จะกลายเป็นไส้ศึก จึงโปรดให้มีตรา
ออกไปยังพระยานคร (น้อย) ให้ยกกองทัพไปตีเมืองไทรบุรี โดยมีใจความตอนหน่ึงว่า “พระยาไทรบุรีเอาใจ
เผ่ือแผ่ข้าศึกเป็นแน่แล้ว หากละไว้เมืองไทรบุรีเป็นไส้ศึกอีก จึงให้พระยานคร (น้อย) ยกกองทัพหัวเมืองปักษ์ใต้
ลงไปตีเมืองไทรบุรีเอาไว้ในอำนาจเสียให้สิทธ์ิขาด” การตีเมืองไทรบุรีครั้งนี้พระยานคร (น้อย) ได้แสดง
วเิ ทโศบายการเมืองท่ีฉลาดหลกั แหลม แทนท่ีจะบุกเข้าตีอย่างผู้มีอำนาจบาทใหญ่ พระยานคร (น้อย) กลับมีใบ
บอกให้เมืองไทรบุรีจัดเตรียมซื้อข้าวของไว้เป็นเสบียงแก่กองทัพ ไทยท่ีจะรับมือกับพม่าซ่ึงจะมาตีปักษ์ใต้การ
ท้ังนี้กเ็ พ่อื เป็นอุบายหรือขอ้ อ้างอันสมเหตุสมผลท่ีเข้าตีเมืองไทรบรุ ี เพราะพระยานคร (น้อย) ทราบดีวา่ พระยา
ไทรบุรี (ปะแงรัน) จะต้องปฏิเสธหรือบิดพลิ้วคำสั่งในใบบอกอย่างแน่นอน ครั้นพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน)
บิดพล้ิวตามความคาดหมาย พระยานคร (น้อย) ก็นำทหารจากเมืองนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง
ประมาณ 7,000 คน ท้ังทัพบกและเรือเข้าตเี มอื งไทรบุรี ใน พ.ศ.2364 โดยไดเ้ สยี ทหารไป 700 คน ส่วนทหาร
แขกตายไปประมาณ 1,500 คน ส่วนพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ยกสมัครพรรคพวกหนีไปอาศัยอังกฤษ อยู่ที่
เกาะปีนัง เป็นอันว่าเมืองไทรบุรีก็ตกอยู่ในอำนาจของพระยานคร (น้อย) ในวันศุกร์ เดือนย่ี ข้ึน 10 คํ่า
จ.ศ.1184 ปีมะเมีย (พ.ศ.2365) ต้ังแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ก็มีฐานะทางการเมืองสูงขึ้น
มีอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะไปจัดการเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นในเมืองไทรบุรีได้อย่างเต็มที่ ทางราชธานี
ได้วางใจในความรู้ ความสามารถของเจา้ พระยานคร (นอ้ ย) เป็นลำดบั

15

ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2365 การปราบกบฏในเมืองไทรบุรีใน พ.ศ.2365 สำเร็จ ทำให้พระบาทสมเด็จ

พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เล่ือนบรรดาศัก ด์ิพระยานคร (น้อย) ขึ้นเป็น

“เจ้าพระยา” และ พระราชทานเมืองไทรบุรีให้อยู่ในสิทธิ์ขาดของเจ้าพระยานคร (น้อย)ในฐานะผู้สำเร็จ

ราชการการปกครองดูแลรักษา เมืองไทรบุรีและเมืองเประ ต่อมา ก็เกิดกบฏขึ้นในเมืองไทรบุ รีอีก โดย

ตนกูมหะหมัด ตนกูโยโส และรายาปัตนาชินดรา ญาติของพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ที่อาศัยในเมืองไทรบุรีนำ

สมัครพรรคพวก ประมาณ 2,000 คน คบคิดจะก่อกบฏ ในจันถือพระพิพัฒน์สัตยา แต่พระยานคร (น้อย)

ทราบเหตกุ อ่ นจงึ สามารถตีกองทพั แขกกบฏแตกหนีไปได้ โดยง่าย เพราะพวกแขกไมท่ ันรู้ตัว

คร้ังที่ 3 ปี พ.ศ. 23744 การสงครามเพ่ือปราบปรามเมืองไทรบุรีสองครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าฝ่ายเมือง

ไทรบุรีจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบไปก็จริง แต่มิได้หมายความว่าบ้านเมืองจะสงบปราศจาก “คลื่น

ใต้น้ํา” ทางการเมือง ท้ังนี้เพราะญ าติวงศ์ของเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้พยายามก่อกบฏ

อยู่ตลอดเวลาที่มีโอกาส เจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ซึ่งหนีไปอยู่ที่เกาะปีนังพยายามติดต่อบริษัทอังกฤษ

ที่เกาะปีนังให้สนับสนุนเพ่ือก่อกบฏเมืองไทรบุรี หลายครั้ง ในคร้ังแรก ๆ บริษัทก็มีท่าทีให้การสนับสนุนหรือรู้

เห็นเป็นใจอยู่มากแต่เม่ือเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้เจรจากับเฮนี่ เบอร์นี่ (Henry Burney) ตวั แทน

บริษัทอังกฤษที่นครศรีธรรมราช และมีการทำสนธิสัญญาระหว่าง รัฐบาลไทยกับตัวแทนบริษัทอังกฤษท่ี

กรุงเทพฯ เม่ือวันท่ี 20 มิถุนายน พ.ศ.2369 แล้ว ผู้ว่าการเกาะปีนัง ก็มีคำส่ัง ให้ย้ายพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน)

ออกจากเกาะปีนัง และไม่ให้การช่วยเหลอื เหมือนอย่างเคย พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ก็หมดโอกาสใช้เกาะปนี ังเป็น

ฐานปฏิบัติการกบฏอกี แต่ก็มาสนับสนุนหลานชาย ชื่อ ตนกูเด่น บุตรของตนกูรายา ซึ่งเป็นพี่ชายของพระยาไทร

บุรี (ปะแงรัน)ให้ก่อกบฏ ใน พ.ศ.2374 ตนกูเด่นได้นำสมัครพรรคพวก ประมาณ 3,000 คน ยกเข้าตีไทรบุรี

ทางด้านโปรวินซ์ เวลส์เลย์ พร้อมกับยกกองเรือปิดปากนํ้าไทรบุรี พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) เจ้าเมืองไทรบุรี ซึ่ง

เป็นบุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) สู้ไม่ได้จึงพากันหนีมาอยู่ท่ีเมืองพัทลุง ตนกูเด่นจึงยึดเมืองไทรบุรีได้ง่ายดาย

เมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ทราบข่าวศึก พิจารณาเห็นว่าเหลือกำลังทัพเมืองนครศรีธรรมราชจะปราบได้

จึงขอให้ พระสุรินทร์ซึ่งเป็นข้าหลวงในกรมพระราชรังบวร ๆ ซ่ึงขณะนั้นมาช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราช

ไปเกณฑ์กองทัพ เมืองสงขลา และเมืองแขกทั้ง 7 หัวเมือง (คือ เมืองยะหริ่ง ยะหา สายบุรี หนองจิก ปัตตานี

รามัน ระแงะ) ให้ไปช่วยรบศึกไทรบุรีด้วย แต่ปรากฏว่าพระยาสงขลา (เซ่ง) ไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมีเร่ือง

ไม่ถูกกับเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นทุนเดิมมาก่อน พระสุรินทร์จึงต้องไปเกณฑ์กองทัพหัวเมืองแขกทั้ง 7 เอง

ปรากฏว่าหัวเมืองแขกท้ัง 7 ยกเว้น เมืองยะหริ่งไม่ยอมให้ความร่วมมือท้ังยังก่อกบฏขึ้นอีก เป็นอันว่ากองทัพ

นครต้องไปตีเมืองไทรบุรีโดยลำพังในเดือน มิถุนายน พ.ศ.2374 การศึกคร้ังนี้ทัพเจ้าพระยานคร (น้อย)

ชนะพวกกบฏอย่างง่ายดาย สามารถตีป้อมไทรบุรแี ตก และยกเข้าเมืองได้ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2374 ตนกูเด่น

ผเู้ ป็นกบฏนน้ั หลักฐานตามจดหมายเหตหุ ลวงอุดมสมบัติ ระบวุ ่าฆ่าตัวตาย แต่ในหนังสือ History of Malaya

ของ Richard 0. Winsted ระบวุ า่ ถูกฆ่าตาย อยา่ งไรกต็ าม หลกั ฐานทั้งสองต่างก็ระบุตรงกันว่าหัวของตนกเู ด่น

กบฏถูกตัดส่งไปยังกรุงเทพฯ ส่วนพวกกบฏที่เหลือหนีออกไปทางโปรวินซ์ เวลส์เลย์ ภายหลังเสร็จศึกในคร้ังนี้

เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ยกไปตีหัวเมืองแขกซึ่งเป็นกบฏในระยะเดียวกับกบฏไทรบุรี โดยได้แบ่งทัพเป็น

16

สองทาง คือ ทางเรือยกไปปิดปากน้ำปัตตานี ส่วนทางบกยกไปสมทบกับ กรุงเทพฯ และสงขลา แยกย้ายเข้า
ตีหัวเมืองแขก ปรากฏว่าสามารถปราบกบฏหัวเมืองแขกได้ภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน อน่ึงในการศึกไทรบุรี
ครง้ั น้มี ีเรอ่ื งเล่าในหมู่วงศ์ญาตขิ องเจ้าพระยานคร (น้อย) สืบต่อกนั มาว่าเม่อื เจา้ พระยานคร (น้อย) ทราบข่าวว่า
พระยาอภัยธิเบศร์ (แสง) บตุ รชายของตนซง่ึ ดำรงตำแหนง่ เจ้าเมืองไทรบุรี และพระเสนานุชติ (นชุ ) บุตรชายอีก
คนซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดเมืองไทรบุรีถอยหนีพวกกบฏตนกูเด่นไปถึงเมืองพัทลุง โดยมิได้แสดงฝีเมือ ให้สมเป็น
เจ้าเมืองก็มีความโกรธเป็นอันมาก ถึงกับส่ังให้ลงโทษบุตรทั้งสอง โดยการเฆ่ียนด้วยหวายคนละ 30 ที ทั้ง ๆ
ท่ีบุตรทั้งสองต้องอาวุธฝ่ายกบฏมาแล้ว ท้ังนี้นัยว่าเพ่ีอมิให้เป็นเย่ียงอย่างแก่ข้าทหารในกองทัพสืบไป มีข้อ
น่าสังเกตประการหนึ่งว่าการกบฏที่เกิดมาแล้วท้ังสองคร้ังน้ัน ล้วนเกิดจากความพยายามของพระยาไทรบุรี
(ปะแงรัน) ในอันท่ีจะแสวงหาโอกาสเพ่ือกลับคืนมาครองเมืองไทรบุรีให้ได้โดยพยายามอย่างยิ่งที่จะให้บริษัท
อังกฤษช่วยเหลือให้ตนมาครองเมืองไทรบุรี ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้ แต่เมื่ออังกฤษวางเฉย พระยาไทรบุรี
(ปะแงรัน) ก็มจี ดหมายไป ทกั ท้วงผู้ว่าการเกาะปีนังที่ซอ่ื ฟูลเลอรต์ ัน มีใจความโดยสรปุ ว่า “ถ้าบริษัทองั กฤษไม่
ช่วยเหลือตนแล้วก็จะขอไปตามโชคชะตาของตนเอง แต่ไม่สามารถท่ีจะปฏิบัติตามสนธิสัญญาเบอร์นึ่ได้
เพราะว่าเมืองไทรบุรีไม่ได้เป็นของกำนัลที่ตนได้รับมาจากไทย หรือได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองจากไทย
แต่ประการใด เมืองไทรบุรีเป็นสมบัติของพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) โดยผ่านทางการสืบมรดกตกทอดมาจากปู
ย่าตาทวดต่างหาก ตนจะขอยอมตายเสียดีกว่าจะปฏิบัติตามสนธิสัญญา” ความข้อน้ีจึงทำให้พิจารณาได้ว่า
ศึกเมืองไทรบุรีเห็นจะยุติได้ไม่ง่ายนัก เพราะฝ่ายท่ีแพ้สงครามยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตน และยังอ้าง
สิทธิเหนือแผ่นดินไทรบุรีตลอดมา แต่ฝ่ายไทยน้ันเห็นว่าเมืองไทรบุรีนั้น เป็นเมืองขึ้นของไทยจะต้องยอมรับ
สิทธิในฐานะเมืองขึ้นทุกประการ เมื่อเป็นเช่นนี้เร่ืองการยุติการกบฏในเมืองไทรบุรี คงเป็นได้ยากและก็เป็น
เชน่ นั้นจรงิ ๆ เพราะในเวลาตอ่ มาคือใน พ.ศ.2381 กเ็ กิดกบฏเมืองไทรบรุ ขี ้ึนอีก

คร้ังท่ี 4 พ.ศ.2381 พระยาไทรบุรี(ปะแงรัน) ยังไม่ละความพยายามท่ีจะเอาเมืองไทรบุรีคืนมาให้ได้
ดังนั้นจึงได้เตรียมการก่อกบฏคร้ังใหม่ขึ้นอีก โดยมีตนกูหมัดสอัดและตนกูอับดุลลาห์ ซ่ึงเป็นโจรสลัด
ในทะเลฝั่งตะวันตกเป็นหัวหน้าสมทบกับหวันมาลี หัวหน้าแขกสลัดท่ีเกาะยาว (เขตจังหวัดพังงาในปัจจุบัน)
อกี แรงหน่ึง ฝ่ายกบฏเข้ายึดเมืองไทรบุรีทั้งทางบกและทางเรอื พระยาอภัยธิเบศร (แสง) เจ้าเมืองไทรบุรีพร้อม
ข้าราชการฝ่ายไทย หนีมายังเมืองพัทลุงอีกครั้ง พวกกบฏบุกตีเมืองไทรบุรีได้แล้วก็ยกทัพเรือมาตี
ได้เมืองตรัง อีกสายหนึ่งก็เข้าตีเมืองปัตตานีและสงขลา และหัวเมืองแขกท้ังเจ็ด ขณะนั้นเจ้าเมืองสงขลา (เซ่ง)
และเจ้าพระยานคร (น้อย) ยังอยู่ในระหว่างการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระศรี
สุลาไลย สมเด็จพระพันปีหลวง ครั้นเม่ือทราบข่าวกบฏ จึงรีบเดินทางกลับมาเกณฑ์คนที่เมืองนครศรีธรรมราช
และพัทลุงจดั เป็นกองทัพ มอบหมายให้พระยาอภัยธิเบศร (แสง) พระยาวิชิตสรไกร (กลอ่ ม) พระเสนานุชิต (นุช)
ซึ่งเป็นบุตรเจ้าพระยานคร (น้อย) ทั้งสามคนคุมกำลังประมาณ 4,000 คน ยกไปตีกบฏเมืองไทรบุรีได้สำเร็จ
ภายในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนเจ้าพระยานคร (น้อย) นั้นป่วยเป็นโรคลม ไม่สามารถคุมทัพไปด้วยตนเองได้
ขณะเดียวกันทางกรุงเทพฯ ได้ส่งพระวิชิตณรงค์ (พัด) และพระราชวรินทร์ คุมทหารกรุงเทพฯ ประมาณ
790 คน มาช่วยรักษาเมืองสงขลาไว้ก่อน พวกกบฏแขกท่ีล้อมสงขลาอยู่แล้วได้ทราบว่า กองทัพนครศรีธรรมราช

17

ตไี ทรบุรีแตกแล้ว และกำลังบ่ายหน้ามาช่วยเมืองสงขลาพร้อมกับทัพกรุงเทพฯ จึงเกดิ ความเกรงกลัว พากันหนี
กลับไปโดยท่ียังไม่ได้ตีเมืองสงขลาเลย เป็นอันว่าทัพนครศรีธรรมราชสามารถปราบปรามไทรบุรีได้
อยา่ งงา่ ยดายอกี ครงั้ หนึง่

การศึกคร้ังนี้เป็นการศึกครั้งสุดท้ายในชีวิตของเจ้าพระยานคร (น้อย) เพราะเมื่อเจ้าพระยานคร
(น้อย) ทราบข่าวเกิดการกบฏไทรบุรีขึ้นก็ได้รีบกลับมายังเมืองนครศรีธรรมราชเพื่อตระเตรียมทัพไปตี
ไทรบุรี แต่ได้เกิดเป็นโรคลมและถึงแก่อสัญกรรมเสียก่อน จึงเห็นได้ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นนักรบ
ผู้เข้มแข็งและมีความสามารถโดยแท้ สามารถนำไพร่พลไปสู้รบในต่างแดนได้ทั้งทางบก ทางน้ำ และได้รับ
ชัยชนะกลับมาทกุ ครัง้

2. ด้านการทูต บทบาทของเจ้าพระยานคร (น้อย) ว่าเป็นนักการทูตคนสำคัญในยุคนั้น โดยเฉพาะ
การทูตระหว่างไทยกับองั กฤษในสมัยรัชกาลท่ี 2 - 3 เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเฉลียวฉลาด มปี ฏิภาณไหว
พริบในการเจรจาความเมืองและผลแห่งการเป็นนักการทตู ผู้มีปฏภิ าณทำให้เมืองนครศรีธรรมราช มอี ิทธิพลต่อ
หัวเมืองมลายู และเป็นท่ีนับถือยำเกรงแก่บริษัทอังกฤษ ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลการค้าและการเมืองมายังภาคพื้น
เอเชียอาคเนย์ ดังน้ี

2.1 การเจรจากบั ครอเฟดิ พ.ศ.2365
ภายหลังที่เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ยกทัพไปตีเมืองไทรบุรี เมื่อ พ.ศ.2364 ในฐานเอาใจ
ออกห่างไทยไปติดต่อพมา่ และพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้หลบหนีไปอาศัยองั กฤษอยู่ท่ีเกาะปีนัง เจา้ พระยานคร
(น้อย) ได้ติดต่อขอตัวพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) คืน แต่ผู้ว่าการเกาะปีนัง คือ นายพิลิปป์ (Robert Philipps)
ได้ปฏิเสธ ที่จะส่งตัวคนื ทำให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ขัดเคืองมาก และบริษัทอังกฤษก็มีท่าทีต้องการให้พระยา
ไทรบุรี (ปะแงรัน) กลับไปครอบครองเมืองไทรบุรีอีก แต่ฝ่ายไทยต้องการเอาตัวมาแก้ข้อกล่าวหาที่กรุงเทพฯ
จึงเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งกันเรื่อยมา ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียทราบเหตุ จึงได้ส่งยอห์น
ครอเฟดิ (John Crawfurd) จากอนิ เดยี มายังเกาะปีนัง โดยใหเ้ น้นเก่ยี วกับเรื่องการค้ามากกว่าเร่อื งเมืองไทรบรุ ี
และเมืองเประ ครอเฟิดได้เข้ามาเจรจากับรัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ เริ่มเจรจาเป็นครั้งแรกในวันที่ 21 พฤษภาคม
พ.ศ.2365 การเจรจาครั้งนี้แม้เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้เข้าเจรจาด้วย แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าเจ้าพระยานคร
(น้อย) คงทราบดีว่า ครอเฟิด น่าจะเจรจาไม่สำเร็จอย่างแน่นอน เพราะครอเฟิดมีท่าทีโอนอ่อนตามผู้ว่าการ
เกาะปีนัง ท่ีตอ้ งการให้พระยาไทรบุรี (ปะแงรนั ) กลับมาครองเมืองไทรบุรีด้งเดิม ซึ่งก็เป็นไปดังคาดเพราะในการ
เจรจาครั้งน้ี ครอเฟิดได้กล่าวหาว่า เจ้าพระยานคร (น้อย) กระทำการต่าง ๆ โดยลำพัง และพยายาม
เกล้ยี กล่อมให้ไทยยอมรบั พระยาไทรบรุ ี (ปะแงรนั ) กลบั ไปครองเมืองตามเดิม แต่ฝา่ ยไทยไม่ยนิ ยอม การเจรจา
จึงลม้ เหลว
2.2 การเจรจากับบริษทั องั กฤษทปี่ ีนัง พ.ศ.2365
ภายหลังครอเฟิด กลับไปใน พ.ศ.2365 แล้ว เจ้าพระยานคร (น้อย) ก็ได้รับคำส่ังจากราชธานี
ให้พยายามติดต่อกับผู้ว่าการเกาะปีนังอีกหลายครั้ง เพื่อให้ส่งตัวพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) โดยให้เหตุผลว่า

18

พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) มีความผิดฐานกบฏตามกฎหมายไทย แต่ถูกปฏิเสธกลับมา ในระยะแรก ๆ เจ้าพระยา
นคร (น้อย) ต่อมาพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ซึ่งอาศัยในเกาะปีนังได้สนับสนุนให้ลูกหลานและสมัครพรรคพวก
ลักลอบเข้ามาก่อการร้ายประการต่าง ๆ รวมทั้งทำร้ายเจ้าหน้าท่ีไทยอยู่บ่อย ๆ เจ้าพระยานคร (น้อย) จึงได้
แจ้งให้บริษัทอังกฤษท่ี เกาะปีนังทราบอีก แต่ฝ่ายอังกฤษก็เฉยเมยเช่นเคย ทั้งยังปฏิเสธวา่ มิได้มีส่วนช่วยเหลือ
พวกกบฏแต่อย่างใด ทำให้เจ้าพระยานคร (น้อย) ไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงหาทางตอบโต้เป็นการทดแทนบ้าง โดย
การให้เจ้าหน้าทไ่ี ทยในเมืองไทรบุรี คิดภาษีสินคา้ ขาออกท่ีชาวอังกฤษซื้อจากไทรบุรี บริษัทอังกฤษในเกาะปีนัง
ได้รับความเดือดร้อน จึงได้มาขอให้ไทยงดเก็บภาษีสินค้าขาออกต่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ในฐานะผู้สำเร็จ
ราชการเมืองไทรบุรีโดยอ้างว่าเมืองพระยาไทรบุรี (โมกุรัมซะ) อนุญาตให้อังกฤษเช่าเกาะปีนังน้ัน ได้สัญญาว่า
จะไม่เก็บภาษีสินค้าอาหารที่บริษัทอังกฤษซื้อไปบริโภค ในเกาะปีนัง เจ้าพระยานคร (น้อย) เห็นเป็นทีของตน
จึงตอบไปว่าเมืองไทรบุรีเป็นเมืองขึ้นของกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ไมเ่ คยอนุญาตให้พระยาไทรบุรี (โมกุรัมซะ) ไปทำ
สัญญากับอังกฤษ บริษัทอังกฤษทำสัญญากับพระยาไทรบุรี (โมกุรัมซะ) โดยพลการ ตนจึงยอมทำตามสัญญาไม่ได้
เป็นอันว่าอังกฤษต้องยอมรับความเดือดร้อนอันเป็นผลกรรมจากการสนับสนุนพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน)
โดยปริยาย

การเจรจากบั อังกฤษและเหตุการณ์อันเป็นผลจากการเจรจาครงั้ นี้ ทำให้ฝา่ ยไทยได้รับ ประโยชน์
และช่วยลดอิทธิพลของอังกฤษลงไปได้มาก นับว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นนักการทูตท่ีมีความสามารถ และ
ฉลาดรู้ทนั ผ้อู ่ืนมากทสี่ ุด

2.3 การเจรจากบั เฮนรี่ เบอรน์ ี่ ทนี่ ครศรีธรรมราช พ.ศ. 2368
บริษัทอังกฤษที่เกาะปีนัง ได้พยายามติดต่อเจ้าพระยานคร (น้อย) หลายครั้ง แต่เจ้าพระยานคร
(น้อย) ก็แกล้งทำเฉยเสีย ด้วยรูว้ ่าอังกฤษมีจุดประสงค์จะให้พระยาไทรบุรี (ปะแงรนั ) เข้ามาครอบครองเมือง ไทรบุรี
ซ่ึงเป็นเรื่องกิจการภายในของไทยอีกเช่นเคย เมื่อติดต่อไม่ได้ผล ข้าหลวงใหญ่ของบริษัทอังกฤษประจำเบงกอล
จึงได้แต่งต้ังนายเฮนรื่ เบอร์น่ี (Henry Burney) เป็นทูตเข้ามาเพื่อจะเจรจากับไทย เบอร์น่ีเข้ามาถึงเกาะปีนัง
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2367 ซึง่ เป็นระยะเวลาเดียวกบั ท่ีเจ้าพระยานคร (น้อย) กำลังประชุมทพั ท่เี มืองตรังและสตูล
เพื่อยกไปตีเประและสลังงอ ฝ่ายบริษัทอังกฤษท่ีเกาะปีนังเห็นว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) จะขยายอำนาจต่อไปใน
ดนิ แดนมลายู จึงหาทางยับย้งั โดยการสง่ เรือรบปิดปากอ่าวเมืองตรงั ไว้ เป็นเหตใุ ห้เจ้าพระยานคร (นอ้ ย) ชะงัก
การส่งกำลังไปตีเมืองทั้งสอง เบอร์น่ีจึงได้เข้ามายังเมืองนครศรีธรรมราชเพ่ือเจรจาปีญหาเมืองเประ
สลังงอ และไทรบุรี รวมทั้งปัญหาการค้า ผลการเจรจาคร้ังนี้ได้เกิดมีสัญญาเบื้องต้น (Preliminary Treaty)
ซง่ึ ลงนามเม่ือวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2368 ที่เมืองนครศรีธรรมราชไวเ้ ป็นแนวทางในการเจรจากับรัฐบาลไทย
ทีก่ รุงเทพฯ อีกครัง้ หนึ่ง สัญญาเบอ้ื งต้นนมี้ ีใจความโดยสรปุ วา่

ก. เจ้าพระยานคร (น้อย) จะไม่ส่งทหารไปยังเประและสลังงออีก ส่วนอังกฤษก็จะไม่เข้า
ยดึ ครองหรือแทรกแซงเมอื งเประและสสังงอเชน่ เดียวกนั

ข. บริษัทอังกฤษจะไมแ่ ทรกแซงการปกครองเมืองไทรบุรี ถ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) ได้
กลับมาครองเมืองไทรบุรี บริษัทอังกฤษก็จะบังคับให้ส่งดอกไม้เงินทองให้แก่ไทยปีละ 4,000 ดอลลาร์

19

เจ้าพระยานคร (น้อย) สัญญาว่าถ้าพระมหากษัตริย์ไทยยินยอมให้พระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) กลับมาครองเมือง
ไทรบุรีอีก เจ้าพระยานคร (น้อย) จะถอนเจ้าหน้าที่ไทยกลับจากเมืองไทรบุรีทั้งหมดและไม่โจมตี
ไทรบรุ ีอีก

ถ้าพิจารณาดูตามเน้ือความในสัญญาเบื้องต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) ยอม
อ่อนข้อให้แก่เบอร์น่ีมาก แต่ถ้าพิเคราะห์ให้ละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) ก็มีเจตนา
จะแก้ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างไทยกับบริษัทอังกฤษในเรื่องไทรบุรี เประและสลังงอ โดยวิธีการที่นุ่มนวล
อย่างแท้จริง เพราะหากดึงดันที่จะโจมตีเประและสลังงอด้วยเจตนาดั้งเดิม ไทยก็จะต้องก่อศึกขึ้นอีกด้านหน่ึง
อย่างแน่นอน และปัญหาเมืองแขกที่คาราคาซังมาโดยตลอดก็จะยุติได้โดยยาก ตรงกันข้ามนับวันแต่จะเพ่ิมพูน
ข้ึนทุกขณะ

2.4 การเจรจากบั คณะทูตของเบอรน์ ท่ี ่ีกรุงเทพฯ พ.ศ.2369
เมื่อเบอร์น่ีเดินทางจากนครศรีธรรมราชกลับไปอินเดีย เพื่อขออนุมัติเจรจากับรัฐบาลไทยท่ี
กรุงเทพฯแล้ว ก็ได้เดินทางมายังปีนังแล้วออกจากปีนัง เม่ือวันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2368 มาแวะสิงคโปร์ ตรัง
กานู และมาถึงนครศรีธรรมราช เม่ือวันท่ี 28 ตุลาคม พ.ศ.2368 ภายหลังท่ีพักอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช 8
วัน ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยมีบุตรชายเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นผู้นำทางไปถึงกรุงเทพฯ ในวันท่ี 6
พฤศจิกายน พ.ศ.2368 ส่วนเจ้าพระยานคร(น้อย) นั้นได้เดินทางโดยทางบกตามหลังไปและไปถึงกรุงเทพฯ
เม่ือวันท่ี 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2369 หลังเบอร์นี่ประมาณสองเดือนเศษ การเจรจาท่ีกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จ
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง แต่งต้ังข้าราชการสำคัญ ๆ หลายคนเป็นคณะเจรจา เช่น กรมหมื่นสุรินทรรักษ์
เจ้าพระยาอภัยภูธร เจา้ พระยามหาเสนา และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) แต่ทีท่ รงไว้วางพระราชหฤทัยมากท่ีสุด
ก็คือ เจ้าพระยานคร (น้อย) ด้วยเหตุที่ได้เคยเจรจากับเบอร์นี่มาก่อน เจ้าพระยานคร (น้อย) จึงต้องรับภาระ
การเจรจาอย่างหนัก ต้องเป็นตัวกลางคอยประสานความเข้าใจระหว่างพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับฝ่ายเบอร์นี่ ต้องพยายามช้ีแจงให้ฝ่ายไทยมอง เห็นปั ญหาเรื่องหัวเมืองมลายูท่ีตนเองประสบมา
และตอ้ งรับภาระรับผิดซอบอยา่ งละเอียดลออ
ผลการเจรจาครั้งนี้ได้ลุล่วงไปด้วยดี มีการลงนามกันเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ.2369 เรียกว่า
“สญั ญาเบอรน์ ี”่ ข้อใหญใ่ จความของสัญญาพอสรุปได้ดงั น้ี
มาตรา 12 ไทยจะไม่ทำการขัดขวางการค้าขายในเมืองตรังกาบูและกลันตัน พ่อค้าและคนใน
บงั คับขององั กฤษ สามารถไปมาค้าขายได้โดยสะดวกต่อไปในเมืองทง้ั สอง อังกฤษจะไม่ไปรบกวนโจมตี หรือก่อ
ความไมส่ งบขนึ้ ในเมอื งทั้งสองแตป่ ระการใด
มาตรา 13 ไทยให้สัญญาต่ออังกฤษว่า ไทยยังคงปกครองเมืองไทรบุรีต่อไป และจะให้
ความคุ้มครองแก่เมืองไทรบุรีและประชาชนชาวเมืองไทรบุรีตามความเหมาะสม ไทยสัญญาว่า เม่ือ
เจ้าพระยานคร (น้อย) ออกมาแต่กรุงเทพฯ ก็จะปล่อยครอบครัว ทาสบ่าวคนของพระยาไทรบุรีคนเก่า
ให้กลับคืนไปตามชอบใจ อังกฤษขอสัญญาต่อไทยว่า ไม่ต้องการเอาเมืองไทรบุรีและไม่ให้พระยาไทรบุรี
คนเก่ากับบ่าวไพร่ของพระยาไทรบุรีคนเก่าไปรบกวน ทำอันตรายสิ่งใดสิ่งหน่ึง ณ เมืองไทรบุรี และ

20

เมืองอ่ืน ๆ ซ่ึงขึ้นกับเมืองไทรบุรี เมืองปีนัง เมืองเประ เมืองสสังงอ เมืองพม่า ถ้าอังกฤษไม่ให้พระยาไทรบุรี
คนเกา่ ไปอยเู่ มอื งอน่ื ตามสญั ญา ให้ไทยเรยี กเอาภาษขี ้าวเปลอื ก ข้าวสารท่เี มอื งไทรบุรเี หมอื นแต่กอ่ น

มาตรา 14 ไทยกับอังกฤษสัญญาต่อกันว่าให้พระยาเประครองเมืองเประ ให้พระยาเประ ถวาย
ดอกไม้เงิน ณ กรุงเทพฯ แต่ก่อนก็ตามใจพระยาเประ อังกฤษไม่ห้ามปราม เจ้าพระยานคร (น้อย)
จะใช้ไทย แขก จีน หรือคนฝ่ายไหนลงไปเมืองเประโดยดี 40 - 50 คน อังกฤษไม่ห้ามไทย อังกฤษไม่
ยกกองทัพไปเบียดเบียน รบกวนเมืองเประ อังกฤษไม่ให้เมืองสสังงอมารบกวนเมืองเประ ไทยก็ไม่รบกวน
เมอื งเประ

จะเห็นว่าสนธิสัญญาน้ี ท้ังฝ่ายอังกฤษและไทยต่างก็ประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ
ฝ่ายอังกฤษสามารถยับยัง้ ไม่ให้เจ้าพระยานคร (นอ้ ย) ขยายอำนาจของไทยลงไปทางหวั เมืองมลายู และสามารถซื้อ
เสบี ยงอาห ารจากเมื องไท รบุ รีได้ โดยสะดวก ไม่ ต้ องเสี ยภ าษี สิ น ค้ าขาออกเห มื อน ดั งแต่ ก่ อน
ส่วนทางฝ่ายไทยก็สามารถเจรจาให้อังกฤษยอมรับว่าไทรบุรีเป็นเมืองขึ้นของไทย เป็นลายลักษณ์อักษร
ได้สำเร็จ ท้งั สามารถยตุ ิปญั หาขดั แยง้ ทส่ี ำคัญระหว่างไทยกับบรษิ ัทอังกฤษท่ีเกาะปีนังลงได้

เบื้องหลังความสำเร็จของสนธิสัญญานี้ ต้องนับเป็นความสามารถของเจ้าพระยานคร (น้อย)
โดยแท้ เพราะเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นผู้รอบรู้เร่ืองราวของปัญหาความยุ่งยากของหัวเมืองมลายูดีกว่าใคร
ในแผ่นดินไทยเวลานั้น ในระยะต้น ๆ ของการเจรจาน้ัน กล่าวกันว่าคณะผู้แทนไทยหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ
และมีความเห็นขัดแย้งกับเจ้าพระยานคร (น้อย) บ่อยคร้ัง อีกทั้งยังมองเห็นว่าไทยไม่ควรเสียเปรียบอังกฤษ
ตรงข้ามควรจะได้ขยายอาณาเขตลงไปในมลายูให้มากขึ้น โดยมิได้คำนึงว่าการกระทำเช่นน้ันจะทำให้เกิดปัญหา
การเมืองระหว่าง ประเทศติดตามมา และคนที่รับผิดชอบเรื่องน้ีก็คงไม่พ้นไปจากเจ้าพระยานคร (น้ อย)
แต่เจ้าพระยานคร (น้อย) นั้นสัมผัสอยู่กับปัญหาเหล่านี้มานานปี ทำให้ไม่เห็นว่าหนทางท่ีขจัดปัญหา
ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศนั้น หาใช่การนำกำลังเข้าทำสงครามกันอย่างเดียวไม่ หากแต่ต้องใช้
วิธีการทูตเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วย เม่ือการเจรจาสำเร็จลงด้วยดี โดยท่ีไทยไม่เสียประโยชน์ในการทำสนธิสัญญา
จึงนับได้ว่าเจ้าพระยานคร (น้อย) มีความสามารถทางการทูตและวิเทโศบายทางการทูตเป็นเลิศในยุคน้ัน
โดยแท้

3. การต่อเรอื
เจ้าพระยานคร (น้อย) มีความเช่ียวชาญในการต่อเรือมาก คือได้ต่อเรือกำปั่นหลวงสำหรับบรรทุก
ข้าวไปขายที่อินเดีย ทำให้ประเทศชาติมีรายได้มาก และท่ีสำคัญคือได้ต่อเรือรบขนาดย่อมไปจนถึงเรือ
ขนาดใหญ่ ท่ีต้องใช้กรรเชียงสองชั้น เรือรบท่ีต่อก็มีขนาดใหญ่กว่าท่ีเคยปรากฏมาก่อน เจ้าพระยานคร (น้อย)
ได้ต่อเรือรบและเรือลาดตระเวนเหล่าน้ีที่เมืองตรัง และเมืองสตูล เมื่อ พ.ศ.2352 - 2354 คร้ังหนึ่ง อีกครั้งหน่ึงใน
พ.ศ.2364 - 2366 ได้ต่อเรือรบเป็นจำนวนถึง 150 ลำ ท่ีบ้านดอน เจ้าพระยานคร (น้อย) มีกองทัพเรือขนาดใหญ่
อยู่ท่ีเมืองตรัง ประกอบด้วยขบวนเรือท้ังหมด ประมาณ 300 ลำ ซ่ึงเข้าใจว่าเป็นกองทัพเรือท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุด
แห่งหน่ึง ในราชอาณาจักรขณะนั้น เพราะแม้ทางกรุงเทพฯ เองก็เพ่ิงจะมาตื่นตัวในการสร้างกองทัพเรือข้ึนในสมัย
รัชกาลท่ี 3 พ.ศ.2371 เมอื่ ไทยเรม่ิ เปน็ ศัตรกู ับญวน

21

เร่ืองความสามารถทางด้านการต่อเรือของเจ้าพระยานคร (น้อย) นั้น มีหลักฐานปรากฏยืนยันอยู่อีก
หลายแห่ง เช่น

1. ครั้งเจ้าพระยานคร (น้อย) เข้ามาเฝ้ากราบบังคมทูลและช่วยงานพระบรมศพพระบาท สมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เม่ือ พ.ศ.2371 ได้ต่อเรือพระท่ีนั่งท่ีบ้านดอน (จังหวัดสุราษฎร์ธานีปัจจุบัน)
เข้าไปถวาย ช่ือเรือพระท่ีน่ังอมรแมนสวรรค์ ปากกว้าง 3 วา เป็นเรือกำป่ันใบ ต่ออย่างประณีตขัดทั้งข้างในข้าง
นอก พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เป็นเรือพระที่นั่งรบ ในขณะน้ันไทยบาดหมางกับญวน ทรงไม่ไว้
วางพระราชหฤทัยกับญวน จงึ โปรดฯ ใหเ้ จา้ พระยานคร (นอ้ ย) คดิ ต่อเรอื รบตวั อย่างข้ึนอีกลำหนงึ่
ให้ใช้ได้ท้ังในลำคลองและในทะเล เจ้าพระยานคร (น้อย) จึงได้ต่อเรือซ่ึงมีหัวเป็นปากปลาและท้ายเป็นกำป่ัน
แปลง มีพลแจวทั้งสองแคม มีเสาใบสำหรับแล่นในทะเล ปากกว้าง 9 ศอก 1 คืบ ยาว 11 วา ข้ึนถวายเป็น
ตวั อย่าง พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดพระราชทานนามว่า “เรือมหาพิไชยฤกษ์” และทรงตรัสชมไว้
ในคราวน้ันว่า “.....เห็นว่าบรรดาเจ้าเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกไม่รู้การพินิจเหมือนเจ้าพระยานครคนน้ี จะทำ
การสงิ่ ใดกห็ มดจดเกลี้ยงเกลาเป็นชา่ ง และรพู้ เิ คราะหก์ ารดแี ละชว่ั ......”

2. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้แบบเรือ “มหาพิไชยฤกษ์” ท่ีเจ้าพระยานคร
(น้อย) สร้างไว้ มาเป็นแบบในการสร้างเรือรบข้ึนอีก 30 ลำ เพ่ือเตรียมการรับมือสงครามกับญวน โดย
ทรงเกณฑ์ เสนาบดี เจ้าสัว เจ้าภาษี และนายอากรช่วยกันออกเงินสร้าง ทั้งน้ีได้พระราชทานเงินสมทบ
ลำละ 30 ชั่ง เรือรบที่สร้างข้ึนตามแบบเรือมหาพิไชยฤกษ์น้ี ได้รับพระราชทานนามต่าง ๆ กัน เช่น
เรอื ไชยเฉลิมกรุง เรือบำรุงศาสนา เรืออาสาส้สู มร และเรอื ขจรแดนรบ เป็นตน้

4. การพัฒนาเครอ่ื งถม
“เคร่ืองถม” เป็นหัตกรรมชั้นสูงที่ชาวนครทำสืบทอดกันมาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง
บ้างก็ว่าเป็นฝีมือการรังสรรค์ของชาวนครครั้งโบราณ บ้างก็ว่าได้รับสืบทอดความรู้จากชาวโปรตุเกสที่มาติดต่อ
ค้าขาย แต่ไม่ว่าจะมีกำเนิดมาอย่างไร งานศิลปหัตถกรรมประเภทนี้ก็กลายเป็นงานฝีมือเอกลักษณ์ของเมือง ล่วง
มาถึงสมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นเจ้าเมืองก็ได้พัฒนางานน้ีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง โดยกะเกณฑ์เอาเชลยชาวเมือง
ไทรบุ รีท่ี มี ฝีมื อช่างโลหะอยู่ก่ อนแล้ว มาฝึ กฝนทำเคร่ืองถมจนชำนาญ เจ้าพระยานคร (น้ อย)
ให้การเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเน่ือง ประกอบกับเป็นผู้มีความประณีตบรรจงในงานช่างเป็นทุนอยู่แล้ว เครื่องถมใน
สมัยเจ้าพระยานคร (น้อย) จึงโดดเด่น เป็นพิเศษ งานถมช้ินใดท่ีสวยงามเป็นเลิศก็มักนำไปทูลเกล้าฯ ถวายทุกครั้ง
ที่เข้าเฝ้าฯ จนกล่าวได้ว่ามีจำนวนมากมาย ในราชสำนักในเร่ืองการพัฒนาเครื่องถมนี้ พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวเคยมีพระบรมราชโองการอนุสรณ์ ถึงงานช่าง ดังกล่าวของเจ้าพระยานคร (น้อย)
ซ่ึงทรงสนิทสนมด้วยเม่ือครั้งยังทรงผนวชอยู่ว่า “เจ้าพระยา นครศรีธรรมราชผู้เป็นบิดาพระยาอุทัยธรรมราชน้ัน
เล่าได้จัดแจงจัดทำของดี ๆ มี ราคาและหาของประหลาดมาทู ล เกล้าทูลกระหม่อมถวายให้ เป็ น
เครื่องราชูปโภคใช้สอยเพิ่มพูนสิริราชสมบัติหลายสิ่งหลายประการ เม่ือเสด็จพระราชดำเนินไปประทับท่ีใด ๆ ใน
พระราชนิเวศน์มหาสถาน ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นสิ่งของ ซึ่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้จัดแจงทูลเกล้าฯ ถวาย

22

ในท่ีน้ัน ๆ โดยมาก จนถึงจะกลา่ วว่าของเจา้ พระยานครศรีธรรมราช ซงึ่ ทูลเกลา้ ทูลกระหมอ่ มถวายไวน้ ้ัน มีอยู่ในท่ี
เสดจ็ ประทับทกุ แห่งก็ว่าได้”

5. ชีวติ ครอบครวั
ชีวิตครอบครัวเจ้าพระยานคร (น้อย) สมรสกับท่านผู้หญิงอิน ซึ่งเป็นราชนิกูลธิดาพระยาพินาศอัคคี
(ตระกูล ณ บางช้าง) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า “พี่อิน” ท่านผู้หญิงอิน มีบุตรธิดากับ
เจ้าพระยานคร (น้อย) 6 คน ในจำนวนน้ีคือ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) ซ่ึงต่อมาได้ปกครองเมือง
นครศรีธรรมราชสืบแทนบิดา ส่วนบุตรธิดาของเจ้าพระยานคร (น้อย) ท่ีเกิดจากภรรยาอ่ืน ก็ยัง
มีอีกหลายคน เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ถึงแก่อสัญกรรม ขณะเตรียมทัพไปปราบเมืองไทรบุรีครั้งสุดท้าย
ด้วยโรคลม อาเจียน จนนํ้าลายเหนียว เสมหะปะทะหน้าอก ในวันอาทิตย์ท่ี 14 พฤษภาคม พ.ศ.2381
โรคกำเรบิ ขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว และถึงแก่อสญั กรรมในคืนนั้น สริ ริ วมอายุได้ 62 ปเี ศษ

2.5 พระเจา้ ขัตตริ าชนคิ มสมมตมิ ไหสวรรย์ (หนู ณ นคร)

พระเจา้ ขัตตยิ ราชนคิ ม สมมติมไหสวรรย์ พระเจ้านครศรีธรรมราช เดิมชือ่ หนู เกดิ พ.ศ. ใด
และท่ีใดไม่ปรากฏชัด เม่ือหนุ่มมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงนายสิทธ์ิ นายเวร
มหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร ต่อมาได้รับตำแหน่งเป็นปลัด
เมืองนครศรีธรรมราช เป็นที่รู้จักกันในนาม “พระปลัดหนู” ในช่วงก่อน
จะเสยี กรุงคร้งั ที่สอง เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชถูกกล่าวโทษ จึงถูกเรียกตัว
ไปในกรุงศรีอยุธยา พระปลัดหนูจึงรักษาการเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
และภายหลังท่ีสมเด็จพระเจ้าตากสินสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
แล้ว 9 ปี ก็ได้รับการสถาปนาเป็น “เจ้าประเทศราช” ในพระนาม
“พ ระเจ้ าขั ต ติ ยราช นิ ค ม ส ม ม ติ ม ไห ส วรรย์ “ จน ก ระทั่ งถู ก
ถอดพระยศในสมัยรัชกาลท่ี 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บทบาทของ
พระปลัดหนูแห่งเมืองนครศรีธรรมราช เรม่ิ ปรากฏชัดข้ึนเมื่อคร้ังท่ีกองทัพ พม่ารุกมาใกล้ กรุงศรีอยุธยา ในต้นปี
พ.ศ.2310 กล่าวคือสมเด็จพระท่ีนั่งสุริยามรินทร์ มีพระบรมราชโองการให้พระยานครศรีธรรมราช (เดิม) เข้ามา
ทำการช่วยราชการอยู่ในบริเวณหัวเมืองช้ันใน ส่วนเมืองนครศรีธรรมราชนั้นโปรดให้พระปลัดหนูรักษาราชการ
อยู่ แต่ในคราวกรุงแตก ปรากฏว่าพระยานครศรีธรรมราชหายสาบสูญไป กรมการเมืองและประชาชน ชาว
นครศรีธรรมราชพร้อมกันยกพระปลัดหนูขึ้นเป็นผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช พระปลัดหนู ได้ต้ังตนเป็นอิสระ
อยู่แคว้นหนึ่ง มีอาณาเขตต้ังแต่ชุมพรตลอดลงไปถึงหัวเมืองมลายูบางเมือง เรียกว่า “ชุมชนเจ้านคร” ระหว่าง
นั้นหัวเมืองมลายูบางเมืองก่อการกำเริบขึ้นเจ้านคร (พระปลัดหนู) ทำการปราบปราบจนสงบราบคาบ สามารถ
รักษาอำนาจของไทยไว้ได้ ต่อมา พ.ศ.2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินได้เสด็จยกกองทัพเรือไปปราบ
นครศรีธรรมราช เพ่ีอรวมอาณาจักรไทย เจ้านครต้านไม่ไหวอพยพหนีไปอยู่เมืองตานี กองทัพกรุงธนบุรีตามจับ
ได้ท้ังเจ้านคร และพรรคพวกกลับมาพร้อมกัน ลูกขุนปรึกษาให้สำเร็จโทษเสีย แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินทรง

23

พระราชดำรวิ ่าคณะของเจ้านครศรธี รรมราชไมม่ ีความผดิ ฐานกบฏ และเม่อื จบั มาแลว้ ทุกคนกย็ อมสวามิภักด์ิไม่มี
อาการกระด้างกระเดื่อง จึงพระราชทานอภัยโทษโปรดให้เข้ามารับราชการในกรุงตามความสามารถของแต่ละ
คน แต่ช่ือนั้นผู้คนสมัยน้ันก็ยังคงเรียกว่า “เจ้านคร” ดังเดิม ส่วนการปกครองหัวเมืองนครศรีธรรมราชโปรดฯ
ให้เจ้านราสุริยวงศพ์ ระเจ้าหลานเธอ เป็นเจ้าเมืองแทน เพราะเมอื งนครตั้งเป็นรัฐมากอ่ น และถ้าจะยกเมืองนคร
เป็นขัณฑสีมาให้มีฐานะสูงกว่าเมืองเอก เพ่ือสะดวกแก่การเพิ่มพูนกำลังทางภาคใต้ ก็ย่อมเหมาะสมกับนโยบาย
ในเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองนครศรีธรรมราชเป็นประเทศราชปกครองเมือง
ปัตตานี ไทรบุรี ตรังกานู ตลอดถึงหัวเมืองชายทะเลหน้านอกทั้งหมดฝ่ายเจ้านครรับราชการสนองพระเดช
พระคุณอยู่ ณ กรุงธนบุรีดว้ ยความอุตสาหะ ซื่อสตั ย์ มนั่ คงตลอดมา

คร้ันใน พ.ศ.2319 เจ้านราสุริยวงศ์ๆ ทิวงคต สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงทรงพระกรุณาเล่ือนพระยศเจ้า
นครขนึ้ เปน็ “พระเจ้าขัตติยราชนิคม สมมตมิ ไหศวรรยพ์ ระเจา้ นครศรีธรรมราช” ในวันอาทิตย์ เดือน 11 ข้ึน 3 คํ่า
คร้ังน้ันโปรดให้พระเจ้าขัตติราชนิคมครองนครศรีธรรมราช และดำรงพระอิสริยยศเสมอพระเจ้าประเทศราช แต่
ต่อมาใน พ.ศ.2325 อันเป็นปีที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดใหล้ ดฐานะเสนาบดีจตุสดมภ์นครศรธี รรมราช ลงเป็น
เพียงกรมการเมืองเอก และให้แยกเมืองสงขลา ปัตตานี ไทรบุรี ตรังกานู ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และโปรดให้ลดฐานะ
เมอื งนครศรีธรรมราชจากประเทศราชลงเปน็ หวั เมืองช้นั เอก

ในปี พ.ศ. 2327 เป็นปีท่ีสามในรัชกาลท่ี 1 พระเจ้านครศรีธรรมราชถูกถอดพระยศปลดจากตำแหน่งให้
มาประจำอยู่ ณ กรงุ เทพฯ จนตลอดพระชนมายุ เชื้อสายสกุลต่าง ๆ ท่ีสืบเชื้อสายจากธิดาพระเจ้านครศรีธรรมราช
ไดแ้ ก่ บูรณสิริ สุจริตกุล ภมู ิรตั น์ อินทรกำแหง อศิ รคกั ดิ์ ณ อยุธยา กำภู ณ อยธุ ยา เกศรา ณ อยุธยา อนุชศักดิ์ ณ
อยุธยา นันทิศักด์ิ ณ อยุธยา พงษ์สิน นพวงศ์ ณ อยุธยา สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา ธรรมสโรช รงุ่ ไพโรจน์ พิพัฒนศิริ
ณ นคร โกมารกุล ณ นคร จาตุรงคกุล ศรธี รัช ณ อยุธยา วฒั นวงศ์ ณ อยธุ ยา

2.6 พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานชุ ติ (แย้ม)

พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) เป็นบุตร เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนู) อุปราช
เมืองนครศรีธรรมราช และท่านนิ่ม เกิดเม่ือรันท่ี 21 เมษายน พ.ศ. 2410 ปลายรัชกาลท่ี 4 ภายในจวนผู้ว่า
ราชการ เมืองนครศรีธรรมราช ท่านได้เริม่ เล่าเรยี นหนังสือไทยหนังสือขอมในสำนักครูคงเมืองนครศรีธรรมราช
เรียนวิชาเลขไทยในสำนักขุนกำจัดไพริน (เอี่ยม) ท่ีกรุงเทพมหานคร เม่ือ พ.ศ. 2422 เม่ืออายุได้ 12 ปี ได้ทำ
การมงคลตัดจุก และบวชเป็นสามเณรที่รัดพระมหาธาตุเมืองนครศรีธรรมราช แล้วไปอยู่วัดใหม่กาแก้ว
ได้ศึกษาทางพระพุทธศาสนาในสำนักพระครูเทพมุนี (แก้ว) ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และในสำนักพระครูกาแก้ว
เจา้ อธิการวดั ใหมน่ ัน้ อปุ สมบท หนึ่งพรรษา

ปี พ.ศ. 2424 เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ออกไปตรวจราชการเมือง
นครศรีธรรมราช ได้ขอต่อบิดาพาเข้ามารับราชการอยู่กับท่าน ณ กรุงเทพฯ คร้ันต่อมาได้เข้ารับราชการอยู่กับ
เจ้าพระยาสุรวงษโวยวัฒน์ (วร บุนนาค)โดยเป็นนักเรียนทหารเรือในเรือรบหลวง (สุริยมณ ฑล)
ซ่ึงออกไปลาดตระเวน ตามหัวเมืองชายทะเลตะวันตกคร้ังหนึ่ง ปี พ.ศ.2431 ได้ถวายตัวเป็นนักเรียน
นายร้อยทหารบก (ปัจจุบันโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า) ได้ศึกษาวิชาทหารอยู่ในโรงเรียนนายร้อย

24

ท่ีวังสราญรมย์แห่งน้ี จนสำเร็จการศึกษา โดยสอบไล่ได้วิชาชั้นเอกที่ 1 แล้วเข้ารับราชการแทนตำแหน่ง
จา่ นายสบิ ในกองนั้น

ปี พ.ศ.2432 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็นนายร้อยตรี มีตำแหน่งประจำการใน
โรงเรียนนายร้อยทหารบก ถึงปี พ.ศ.2435 ได้รับพระราชทานเลื่อนยศทหารเป็นนายร้อ ยเอก
รับตำแหน่งที่นายเวร คำสั่งกรมปลัดทหารบกใหญ่ กรมยุทธนาธิการ และใน พ.ศ.2436 ได้เข้าสังกัด
กรมทหารบกราบท่ี 4 ตำแหน่งปลัดกองในกองทหารพิเศษ ออกไปรักษาเขตแดนมณฑลอุบลราชธานี
ตง้ั ค่ายอยูท่ ล่ี ำนำ้ โขง

ปี พ.ศ.2440 ได้เล่ือนบรรดาศักด์ิเป็นหลวงรวบรัดสับตรพล ในตำแหน่งผู้ช่วยปลัดทัพบก และได้รับ
พระราชทานเลอ่ื นยศช้นั เป็นนายพันตรี

ปี พ.ศ.2444 เล่ือนบรรดาศกั ด์ิเป็นพระสูรเดชรณชิต และในปีตอ่ มาไดเ้ ล่อื นยศชนั้ เป็นนายพันโทในปี
นมี้ ีราชการทีอ่ อกไปวดั การปราบปรามพวกเง้ยี วที่ก่อการจราจลในมณฑลภาคพายพั และไดว้ ดั ต้งั กองทหารชั้น

ปี พ.ศ.2446 ได้รับพระราชทานเล่ือนยศชั้นเป็นนายพันเอก ตำแหน่งปลัดทัพบก และได้รับ
พระราชทาน บรรดาศักด์ิเป็นพระยาวรเดชศักดาวุธถึงปี พ.ศ.2448 ได้รับพระราชทานเลื่อนยศช้ันเป็น
นายพลตรี แล้วไปราชการ ดูการประลองยุทธ์ ณ ประเทศญ่ีปน่

ปี พ.ศ.2453 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกไปไต่สวนระงับเหตุการณ์ท่ีเกิดช้ันที่จังหวัดแพร่อัน
เน่ืองจากพวกจีนฮ่อในจังหวัดนั้นรวบรวมกันเพื่อจะไปช่วยพวกกบฏในประเทศจีนได้ปฏิบั ติราชการ
เป็นท่ีเรียบร้อยด้วยดี เป็นที่พอพระราชหฤทัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก
ครน้ั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว ไดเ้ สดจ็ เถลิงถวัลย์ราชสมบัตแิ ล้ว ในปี พ.ศ.2453 เดียวกันน้ัน ได้
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ โปรดกระหมอ่ มให้รง้ั ตำแหนง่ ปลัดทูลฉลองรบั ราชการสนองพระเดชพระคณุ ต่อมา

ปี พ.ศ.2455 โปรดเกล้าฯ พระราชทานเล่อื นยศช้นั เปน็ นายพลโท
ปี พ.ศ.2456 ได้รบั พระราชทานบรรดาศกั ด์ิเป็น พระยาสหี ราชเดโชชัย
ปี พ.ศ.2462 โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานยศเลือ่ นชัน้ เปน็ นายพลเอก
ปี พ.ศ.2464 ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมว่างลง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้รั้ง
ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม แล้วเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหมในปีเดียวกัน (ผู้บัญชาการทหารบก ลำดับที่
7) ปี พ.ศ.2465 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักด์ิเป็นเจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต มีสมญา
จารึกในหิรัญบัฏว่า เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต อดิศรมหาสวามิภักด อุดมศักด์ิเสนาบดี ศรีธรรมราชกุลพงศ์ดำรง
ราชวรฤทธ์ิสัตยสถิตย์อาชวาศัย พทุ ธาทิไตรยส์ รณธาดา อภยั พิริยปรากรมพาหุ ดำรงศักดินา 10000
พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ได้รับราชการในตำแหน่งหน้าท่ีเสนาบดี
กระทรวงกลาโหมต่อมา จนถึง พ.ศ.2469 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ขอ
พระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง เพราะป่วยและสูงอายุ งานในหน้าท่ีราชการพิเศษก็ได้กระทำ
สนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั และประเทศชาติตลอดมา เช่น เปน็ ราชองครักษ์พิเศษเป็น

25

องคมนตรี ในสมัยรัชกาลท่ี 7 เป็นนายทหารพิเศษในกรมทหารรักษาวัง และเป็นเลขาธิการ สำหรับ
เคร่ืองราชอสิ ริยาภรณ์ อันมีศกั ดิ์รามาธิบดีสมยั รัชกาลที่ 6 และรชั กาลท่ี 7

พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) นับเป็นบุคคลตัวอย่างที่มีแบบฉบับ
ในการทำงานที่ดีเด่นผู้หน่ึง คือตลอดระยะเวลาของการทำงานอันยาวนานทั้งสามรัชกาลไม่เคยปรากฏว่า
มีความด่างพร้อยหรือบกพร่องในหน้าท่ีการงานเลย เม่ือจะทำงานราชการแต่ละเรื่องจะต้องมีแผนงาน
อย่างละเอียดลออ จนได้รับคำชมเชย จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเจ้านายชั้นผู้ใหญ่อยู่เสมอมา
ดังเช่นเม่ือคราวเป็นหัวหน้าคณะนายทหาร ไปตรวจการ ณ มณฑลพายัพ ได้ถวายรายงานเข้ามายัง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กระทั่งพระองคท์ ่าน ได้มีพระราชดำรัสว่า “พระยาสุรเดชผู้นี้นับว่า
เปน็ ข้างเผอื กในหมูท่ หารคนหน่ึง แซเ่ จ้าพระยานครจะไมส่ ญู ”

ในด้านส่วนตัว พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ท่านเป็นผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล
เป็นผู้เคร่งครัดในกฎระเบียบวินัยเย่ียงวิสัยทหาร แต่ก็เป็นผู้ท่ีมีกิริยาวาจาที่นุ่มนวล เป็นประมุขแห่งบ้านมหา
โยธิน อันเปรียบเสมือนไม้ใหญ่ที่คอยให้ที่พักพิงแก่บรรดาญาติพี่น้องลูกหลานตราบจน ส้ินอายุขัย
เม่ือวันท่ี 1 มีนาคม พ.ศ.2504 และท่ีสำคัญคือท่านเป็นผู้ขอพระราชทานนามสกุล “ณ นคร” อันเป็นตระกูล
ใหญ่ตระกลู หนึง่ ท่สี ืบทอดต่อเนือ่ งมา จนถงึ ในปจั จุบนั น้ี

2.7 หมืน่ ไกรพลขนั ธ์ (ตาขนุ พล)

ประวัติของหมื่นไกรพลขันธ์ หรือ ตาขุนพลท่านเป็น 1 ใน 4 แม่ทัพคนสำคัญของพระเจ้า
ศรีธรรมโศกราช ประกอบด้วย หม่ืนพันเสร็จหม่ืนระเห็จดับภัย หมื่นสนั่นหวั่นไหว และหม่ืนไกรพลขันธ์
โดยหม่ืนไกรพลขันธ์ หรือ ตาขุนพล ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลบริเวณทางตะวันออกของวัง ซึ่งท่านได้มี
ความเชี่ยวชาญในการใช้สรรพาวุธ แกล้วกล้าในพิไชยสงคราม เป็นหนึ่งในนักรบคู่ พระหัยเสมอมา
จนกระทั่งพระเจ้าศรีธรรมโศกได้ทรงอพยพโยกย้ายราษฎรพร้อมด้วยข้าทาสราชบริพารฝ่ายหน้า ฝ่ายใน
ลงไปสร้างเมืองแห่งใหม่ท่ีสันหาดทรายแก้ว โดยมีพระมหาธาตุเป็นศูนย์กลางของสันทราย ตาขุนพลก็ได้
ทูลขอพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ว่าจะขออยู่ท่ีเดิมเพ่ือระแวดระวังภัยข้าศึกศัตรูทางทิศตะวันตก โดยมี
เพื่อนหม่ืนท้ัง 3 คอยเป็น แนวร่วมบนหุบเขา แต่ละขุนพล ได้สร้างวัดของตนขึ้นมา เพ่ีอเป็นศูนย์กลางของ
ชุมชน ปวงไพร่พลโยธาหาญรักษา ค่ายตาขุนพลได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซ่ือสัตย์ และกล้าหาญตลอดมา
จนกระท่ังถึงแก่กรรม ลูกหลานได้เอาศพของท่านฝังไว้แล้วปลูกต้นประดู่ทับ ปัจจุบันต้นประดู่อยู่ข้างกัน
กับอนุสาวรียข์ องท่าน เป็นประจักษ์พยานในการมีตวั ตนของทา่ นตาขนุ พล

ปัจจุบันหากเดินทางไปยัง อำเภอลานสกา แถบตำบลขุนทะเล ในละแวกน้ันจะเป็นอาณาเขต
ท่ีเชื่อกันว่าเป็นท่ีประทับช่ัวคราวของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ก่อนท่ีจะลงไปสร้าง เมืองใหม่และ
พระบรมธาตุท่ีหาดทรายแก้ว โดยอนุสาวรีย์ของ “หม่ืนไกรพลขันธ์” หรือ “ทวดตาขุนพล” ได้ต้ังอยู่ที่ข้าง

26

ลำคลองเสาธง ซ่ึงอีกฝ่ังคลองเป็นภูเขาวัง อันเชื่อกันว่าเป็นท่ีประทับหลบภัยไข้ห่าของพระเจ้า
ศรธี รรมโศกราช

สำหรับตาขุนพลนั้นมีความศักด์ิสิทธ์ิ ในการขอไหว้ได้รับ ผู้ท่ีบูชามักจะนิยมแก้บนด้วยอาวุธจำลอง
มวย หนังตะลุง มโนราห์ หมากพลู เครื่องเซ่นไหว้ตา่ ง ๆ ซ่ึงเชื่อกนั ว่าเป็นสงิ่ ทีต่ าขุนพลโปรด ในอดีตท่ตี ้นประดู่
ยักษ์แห่งนี้ จะปรากฏงูบองหลาขนาดใหญ่ ขดกายอยู่ข้างต้นประดู่นี้เสมอ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่า คือ ตาขุนพล
ท่ีจำแลงกายมาในร่างของงูขนาดใหญ่ ลงจากภูเขามาโปรดลูกหลาน และยังเชื่อกันว่าท่านตาขุนพล ยังคง
ปกปักรักษาลูกหลานชาวลานสกาโดยเสมอมา แม้นกาลเวลาผ่านไปเท่าไร แต่ความศรัทธา นับถือในตาขุนพล
วีรบรุ ษุ รกั ษาเมอื งนคร ยงั คงมีอยมู่ ิเสอื่ มคลายจากใจชาวนครสืบไป

2.8 พงั พการ

พังพการเป็นวีรบุรุษในสมัยอาณาจักรตามพรลิงค์ (ชื่อเดิมของนครศรีธรรมราช) เป็นขุนพลแก้วของ
พระเจ้าจันทรภาณุท่ี 3 กษัตริย์ผู้เข้มแข็งแห่งตามพรลิงค์ ตามตำนานเมืองนครศรีธรรมราช พังพการ
ไม่ทราบวันเกิด ช่ือบิดา มารดา ซ่ึงเป็นลูกขายคนเดียวของชาวนา ของบ้านนพเดียร ในวัยทารก พ่อแม่จะนำลูก
น้อยไปทำนาด้วย โดยผูกเปลไว้ท่ีก่ิงต้นหว้าซึ่งงอกท่ีคันนาของตน ขณะที่ท้ังสองกำลังดำนาอยู่นั้น ก็ได้มี
งูบองหลา (จงอาง) ใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไป ท่ีเปลของเด็กน้อยโดยได้แผ่พังพานชูข้ึนเหนือเปล แล้วได้คายแก้ว
ไว้ในเปลนั้นด้วย เสร็จแล้วก็ได้เลื้อยเข้าป่าหายไปทางทิศตะวันตก พ่อแม่ของทารกน้อยและเพ่ือนชาวนาท่ีกำลัง
ดำนาอยู่ ณ ที่น้ันต่างก็พากันตกใจ และได้รีบวิ่งเข้ามาดูที่เปลของบุตรตนทันทีจึงเห็นว่าทารกน้อยไมไ่ ด้รับ
อันตรายแต่อย่างใด และยังนอนเล่นแก้วของพญางูอยู่ด้วย ต่างก็รู้สึกยินดีในบุญบารมีของทารกน้อย
ย่งิ นัก จงึ ไดต้ ั้งช่อื วา่ “พังพการ”

วัยเด็ก พังพการ มีอายุมากขึ้นพอที่จะทำงานได้ ชาวนาพ่อแม่จึงใช้ให้นำวัวควายไปเลี้ยงในทุ่งนาใกล้
บ้านเหมือนกบั ลูกชาวนาคนอ่ืน ๆ ทั่วไป พังพการจึงมีเพื่อนฝูงท่ีเป็นเด็กเลย้ี งวัวเลี้ยงควายด้วยกนั ตงั้ แต่นั้นมาทุก
ๆ วัน ได้ปล่อยวัวควายออกหากินกั นตามลำพั งแล้ว เด็ ก ๆ ก็ได้ เล่นกันตามประสาเด็ กทุ ก วัน
ตามโอกาส แต่ทุกคร้ังท่ีเล่นกันฝ่ายข้างเด็กน้อยพังพการมักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ จึงได้รับยกย่องจาก
เด็กอื่น ๆ ใหเ้ ป็นหวั หนา้ ของเด็กท้ังหลาย ในละแวกบ้านน้นั

ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นการเล่นรบทัพจับศึก ซ่ึงต่างคนก็ได้เอาไม้พาเข มาทำเป็นดาบหอกอาวุธคู่มือแบ่ง
พวกกันต่อสู้ด้วยหอกดาบไม้พาเข โดยมีพังพการเป็นผู้ควบคุมและบงการอยู่อีกเช่นเคย อยู่มาวันหน่ึง
พังพการ ได้ชวนเพื่อน ๆ ไปวิดปลาและจับปลากันในหนองน้ำ โดยขันซี (พนัน) กันว่าทุกคนต้องรับผิดชอบใน
หน้าที่การจับปลาให้เคร่งครัด คือ ถ้าปลาหลุดออกไปทางที่ผู้ใดรับผิดขอบแล้ว ผู้นั้นก็จะได้รับโทษถึงถูก
ตัดศีรษะด้วยดาบไม้พาเข ของพังพการผู้เป็นหัวหน้า ขณะนั้นได้มีปลาช่อนตัวใหญ่หลุดออกทางท่ีเด็กผู้หนึ่ง
รับผิดขอบอยู่ เด็กผู้นั้นจึงถูกพังพการ ตัดศีรษะด้วยดาบไม้พาเข ด้วยเหตุอย่างไรมิทราบได้ ดาบไม้พาเข
อันเป็นของเด็กเล่น จึงได้คมประดุจดาบเหล็กจริง ๆ ขึ้นได้ ทำให้ศีรษะเด็กผู้นั้นขาดไปเหมือนกับ
ถูกฟันด้วยดาบจริง ๆ เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นทำให้พังพการตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าเพื่อนของตนจะมาตาย
กบั การเลน่ เช่นน้ี

27

พ่อแม่ของเด็กที่เสียชีวิตได้ฟ้องร้องที่เกิดขึ้นไปยังกรมการเมือง เม่ือกรมการเมืองได้ออกไป
ไต่สวนเรื่องราวแลว้ มากราบทูลให้พระเจ้าจันทรภานุทรงทราบเรื่องประหลาดนี้ในที่สุดพระเจา้ จันทรภานุจงึ ให้
กรมการเมอื ง นำพังพการ มาให้พระองค์ทอดพระเนตรและรูส้ ึกพอพระทัยเพราะทรงเห็นวา่ เปน็ ผู้ท่ีมีลกั ษณะดี
เลิศผูห้ นึ่งในแผน่ ดิน จงึ ทรงรับเอาไว้เป็นราชบตุ รบญุ ธรรม

ในวัยหนมุ่ พงั พการได้ศึกษาศิลปวทิ ยา และเพลงอาวุธจากพระราชบิดาจนเก่งกลา้ และเชย่ี วชาญ ย่ิง
ซํ้ายังเป็นผู้ท่ีมีพละกำลังเหนือกว่าคนทั้งหลาย และยังสามารถล่องหนหายตัวได้อีกด้วยเพราะฤทธิ์อำนาจของ
แก้วพญางขู องประจำตัว

ผลงาน
ทำให้เมืองนครศรีธรรมราชพ้นจากอำนาจชองเมืองชวา พังพการเป็นบุคคลท่ีชีวิตอยู่ในสมัยของ พระ
เจ้าจันทรภานุ ซ่ึงครองเมืองนครศรีธรรมราช ประมาณ พ.ศ.1820 เมืองนครศรีธรรมราชได้ตกเป็นเมืองขึ้น ของ
ชวาซึ่งยกทัพมาตีเมือง แม้ระยะแรกจะตีเมืองไม่แตก ในท่ีสุดพวกชวาก็ยกทัพเรือมาทอดสมออยู่ที่ปากน้ำ และ
ออกอุบายใช้ราชสารถึงเจ้าเมืองนคร ให้ลงไปรับลูกสาวท่ีมาถวาย เมื่อเจ้าเมืองลงไปพวกชวาก็จับตัวไว้ และได้
ส่งกลับ เม่ือทางเมืองนครศรีธรรมราชยินยอมส่งส่วยไข่เป็ดแก่ชวา นครศรีธรรมราชตกเป็นเมืองขึ้น
ของชวาและส่งส่วยอยู่กี่ปีไม่มีหลักฐานแน่ชัด แต่ก็ได้พ้นจากอำนาจชองพวกชวาเพราะความแกล้วกล้าของ
พังพการนั่นเอง จากตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวว่า พังพการ สามารถฆ่าชาวชวาล้มตาย
วันละ 30 - 40 คน ทัพของชวาจึงแตกพ่ายไป เม่ือทัพชวาแตกกลับไปแล้ว พระเจ้าจันทรภาณุได้บำเหน็จรางวัล
ให้แก่พังพการ โดยแบ่งเมืองให้อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นเมืองพระเวียง และให้ครอบครองอีก
ก่ึงหนึ่งเรียกว่า “ไชยมนตรี” หรือตำบลไชยมนตรี อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปัจจุบัน แม้ว่าเร่ืองราว
ของพังพการจะอยู่เฉพาะในตำนานก็ตาม แต่ก็เป็นที่เช่ือแน่ว่าเร่ืองราวของท่านผู้นี้น่าจะเป็นเร่ืองจริงท่ีมีมูลแอบ
แฝง เมอื่ เปน็ เช่นนี้ชนรุ่นหลังควรระลึกถงึ และยกย่องบคุ คลผู้นีว้ ่าเป็นวรี บุรษุ ท่านหน่ึง
หลักฐานเกี่ยวกับพังพการวีรบุรุษของอาณาจักรตามพรลิงค์ ยังคงมีปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ในจังหวัด
นครศรีธรรมราช คือ
1. โคกพงั พการ อยูใ่ นตำบลนาสาร อำเภอพระพรหม
2. บา้ นนพเตยี น อยูใ่ นตำบลไชยมนตรี อำเภอเมอื ง
3. เขามหาชยั อยใู่ นตำบลทำงิ้ว อำเภอเมือง
4. เรื่องราวของ “พังพการ” ยังเป็นท่ีมาของสำนวนภาษาประจำถ่ิน สำนวนหนึ่งอีกด้วยคือท่ีว่า
“ตายด้วยดาบไม้พาเข” หรือ “ตายกับดาบไม้พาเข” ซึ่งมีความหมายตรงกับ
สำนวนทีว่ า่ “ปลาใหญต่ ายนำ้ ต้ืน”

2.9 พรพรตั นธชั มนุ ี (มว่ ง ศิรริ ตั น)์

พระรัตนธัชมุนี มีนามเดิมว่า “ม่วง ศิริรัตน์” เกิดเม่ือวันที่ 10
สิงหาคม พ.ศ.2396 ท่ีบ้านหมาก หมู่ท่ี 5 ต.บ้านเพิง อ.ปากพนัง
จ.นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายแก้ว และนางทองคำ สิริรัตน์

28

มี พ่ี น้ อ ง 7 ค น เ ป็ น บุ ต ร ค น สุ ด ท้ อ ง เ ม่ื อ อ า ยุ ไ ด้ 7 ปี ไ ด้ ศึ ก ษ า เ บ้ื อ ง ต้ น
ใ น ส ำ นั ก อ า จ า ร ย์ สี ด ำ วั ด ห ลุ ม พ อ อ . ป า ก พ นั ง อ า ยุ 9 ปี ย้ า ย ไ ป ศึ ก ษ า
ในสำนักอาจารย์เพชรวัดแจ้ง อ.ปากพนัง ได้ศึกษาเล่าเรียน มูลกัจจายน์ในสำนักน้ี อายุได้ 15 ปี ได้บรรพชาอยู่ที่
วัดแจ้งนั้น เม่ืออายุได้ 17 ปี ได้ย้ายมาอยู่ท่ีวัดมเหยงคณ์ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติ
ธรรมจากพระครูการาม (จู) ในพ.ศ. 2416 ได้อุปสมบทเป็นภิกษุฝ่ายมหานิกาย โดยพระครูการาม (จู)
เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า “รัตนธโช” เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดมเหยงคณ์ 1 พรรษาต่อมาเมื่อ
พระครูการาม (จู) ย้ายไปอยู่ที่วัดท่าโพธ์ิฯ จึงย้ายตามไปด้วยในปี พ.ศ 2427 เม่ือพระครูการาม (จู) มรณภาพก็ได้
เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธ์ิสืบแทน ต่อมาได้รับการแต่งต้ังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็น
พระราชาคณะมีราชทินนามว่า “พระสิริธรรมมุน”ี

ปี พ.ศ.2442 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลปัตตานี
เป็นผู้อำนวยการการศึกษามณฑลนครศรธี รรมราชและมณฑลปัตตานี เพ่อื ใหจ้ ัดการพระศาสนาและการศึกษา
ใน 2 มณฑลด้วยความรู้ ความสามารถ และความอุตสาหะวิริยะพากเพียรในการรับใช้บ้านเมืองในด้านการพระ
ศาสนาและการศึกษา ปี พ.ศ.2453 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่มีราชทินนาม
ตามสัญญาบัตร ว่า “พระเทพกวีศรีสุทธิดลิ กตรปี ิฎกบัณฑติ ยตคิ ณิศร บวรสังฆารามคามวาส”ี สถิต ณ วดั ท่าโพธิ์
ตำบลกลางเมือง อำเภอเมอื งนครศรีธรรมราช มีนิตยภัตเดือนละ 26 บาท มีฐานานศุ ักด์ิควรต้ังฐานานุกรมได้ 4 รูป
ต่อมาได้โปรดให้เล่ือนสมณะศักดิ์เป็น “พระธรรมโกศาจารย์ สุนทรญาณดิลก ตรีปิฎกธรรมภูษิตยติคณิศร
บวรสังฆาราม คามวาส”ี มนี ติ ยภตั เดือนละ 28 บาท มีฐานานุศักด์ิตั้งฐานานุกรมได้ 6 รูป

ปี พ.ศ.2466 โปรดให้เลื่อนสมณะศักดิ์เป็น “พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราชสังฆนายกตรีปิฎกคุณา
ลังการ ศีลสมาจารวินยสุนทร ยติคณิศร บวรลังฆรามคามวาสี” สถิต ณ วัดท่าโพธ อำเภอเมือง จังหวัด
นครศรีธรรมราช มีฐานศักด์ิต้ังฐานานุกรมได้ 6 รูป พระรัตนธัชมุนีได้ทำงานทางด้านการพระศาสนาและ
การศึกษาเพื่อบ้านเมือง ตลอดมา จนถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชรา เม่ือวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2477 อายุ
ได้ 82 ปี 45 พรรษา

29

ผลงาน/เกยี รตคิ ณุ ท่ีไดร้ บั
1. ดา้ นการศาสนา
แก้ไข การปกครองสงฆ์ สามเณร ในนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลาใหม่ โดยกำหนดให้มี
เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง อธิการวัด และพระครู บังคับบัญชากันตามสำดับช้ัน วิธีการแบบน้ีเป็น
ท่ียอมรับและได้รับการยกย่องมาก สามารถแก้ไขปัญหาในการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้
จนกระทั่งกรมหมื่นวชิรญาณวโรรสและกรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ทรงเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นแบบแผนที่ดี
ควรให้ผ้อู ำนวยการการศกึ ษา รบั ไปจดั ให้ตลอดเหมอื นกันทว่ั ทุกมณฑล
2. ดา้ นการศกึ ษา
เป็นผู้ริเร่ิมจัดการศึกษาฝ่ายสามัญและวิสามัญขึ้นในมณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี
ซ่งึ แตเ่ ดิมมักจะศึกษากันทจ่ี ัดหรือบา้ น เมือ่ ไดร้ ับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯให้เป็นผ้อู ำนวยการศกึ ษาแผน
ใหม่ ก็เร่ิมจัดการตามพระราชประสงค์ทันทีดังปรากฏอยู่ในรายงานการศึกษาร.ศ.119 ลงจันที่17 พฤศจิกายน
พ.ศ.2443 จำนวนโรงเรียนท่ีท่านไดจ้ ัดตั้งทั้งหมด 21 แห่ง เช่น โรงเรียนหลวงหลงั แรกตั้งอยู่ที่วัดทา่ โพธิ์ อำเภอ
เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีชื่อว่า “สุขุมาภิบาลวิทยา” ได้พระยาสุขุมนัยวินิต (ป้ัน สุขุม) ข้าหลวงเทศาภิบาล
เป็นผู้อุปถัมภ์ (โรงเรียนน้ีต่อมาเปล่ียนซ่ือเป็น “เบญจมราชูทิศ”) โรงเรียนราษฎรผดุงวิทยา ตั้งอยู่ท่ีจัดพระนคร
ได้พระครูกาชาติเป็นผู้อุดหนุน โรงเรียนวัฑฒนานุกูล อยู่ท่ีวัดหมาย อำเภอท่าศาลา ได้นายเจริญ กรมการ
อำเภอ เป็นผู้อุดหนุน โรงเรียนเกษตราภิสิจน์ ต้ังอยู่ที่วัดร่อนนอก อำเภอร่อนพิบูลย์ ได้ขุนเกษตรพาหนะเป็น
ผู้อุดหนุน โรงเรียนนิตยาภิรมย์ ตั้งอยู่ที่จัดโคกหม้อ อำเภอทุ่งสง ได้นายเท่ียง กรมการอำเภอเป็นผู้อุดหนุน
โรงเรียนวิทยาคม นาคะวงศ์ ต้ังอยู่ท่ีจัดวังม่วง อำเภอฉวาง ได้นายนาค กรมการอำเภอเป็นผู้อุดหนุน ท่านเจ้า
คณุ รัตนธัชมุนี นอกจากจะเป็นผรู้ ิเริม่ จัดการศึกษาฝ่ายสามัญท่ัวทั้งภาคใต้ดังกล่าว พอสังเขปแล้วนนั้ ท่านยังได้
พยายามจัดตง้ั โรงเรียนวสิ ามญั เช่น ให้มีการสอนวิชาช่างถมขน้ึ ที่วัดท่าโพธิ์เป็นคร้ังแรก ในพระราชอาณาจักร
เม่ือ พ.ศ.2456 ในระยะแรก ๆ ท่านไดส้ ละนติ ยภัตส่วนตวั ชองทา่ นใหเ้ ป็นเงินเดือนครู และได้เพียรทำนุบำรงุ ให้
เจรญิ เปน็ ลำดับ โรงเรยี นชา่ งถมนี้ ภายหลงั ทางราชการได้รับช่วงเป็นโรงเรียนหลวงประเภทวิสามัญ
3. ดา้ นกวีนิพนธ์
พระรัตนธัชมนุ ี มคี วามสามารถทางกวีนิพนธ์ดว้ ย ทัง้ กลอนสด กลอนเพลงบอกและโคลงกลอน อ่ืน ๆ
อีกมาก เช่น แต่งคำร้องรับเสด็จในสมัยรัชกาลที่ 5 เพ่ือให้นักเรียนร้องรับเสด็จ เม่ือเสด็จถึงจังหวัด
นครศรีธรรมราช แต่งโคลงรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาส จังหวัด
นครศรธี รรมราช พ.ศ.2441 แต่งเพลงบอกเรอ่ื งศาลาโกหก

2.10 พระครพู ิศษิ ฐ์อรรถการ

พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ พอ่ ท่านคล้าย มีชื่อเดิมว่า คล้าย สีนิล (ศรีนิล) เกิดเมื่อวันอังคาร
เดอื น 4 ปีชวด พ.ศ.2407 ที่บ้านโคกกะทือ ต.ชา้ งกลาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช บิดาช่ือ นายอินทร์ มารดา
ชื่อนางเนี่ยว มีพี่สาวคนหน่ึงช่ือ เพิง ได้เสียชีวิตต้ังแต่เยาว์วัย การศึกษา ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอักษร จากบิดา
ของท่าน อายุ 10 ขวบ ก็เรียนจบ เมื่ออายุ 13 ปี ได้โปเรียนเลขกับอาจารย์ขํ้า ไม่นานก็ชำนาญ

30

เม่ืออายุ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดจังม่วง อ.ฉวาง พ่อท่านคล้ายเป็นพระเถระที่มีความเคร่งครัดในวิชาวินัย
มีคุณธรรม และบำเพ็ญประโยชน์อย่างใหญ่หลวง จึงได้รับการยกย่องนับถือจากประ ชาชนทั่วไปว่า
เป็นเกจิอาจารย์ท่ีสำคัญรูปหน่ึงของภาคใต้ในฐานะท่ีเป็นผู้มี “วาจาสิทธ์ิ” ต่อมาใน ปี พ.ศ.2498
พ่ อท่าน คล้าย ได้ รับพระราช ทาน เลื่ อน สมณ ะศักด์ิเป็ น พระครูช้ัน พิ เศษใน น าม สมณะศักด์ิเดิมแต่ประชาชน
สว่ นใหญ่กย็ ังเรียกท่านว่า “พ่อท่านคล้าย” ในบั้นปลายชีวติ ท่านอาพาธหลายครง้ั คร้ังสุดท้ายท่านอาพาธหนักด้วย
โรคหิดมีอาการหนักมากคณะศิษยานุศิษย์ได้นำเข้ารักษา ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรุงเทพฯ
เม่ือวันท่ี 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2513 และวันท่ี 5 ธันวาคม พ.ศ.2513 ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการอันสงบ
รวมอายุได้ 106 ปี

สมณะศกั ด์ิ
ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีท่ีพระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.2498 ต่อมาได้รับพระราชทานเล่ือน
สมณะศักดิ์เป็นพระครูช้ันพิเศษในนามสมณ ะศักด์ิเดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามซื่อเดิมว่า
พ่อท่านคล้าย ได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชนทั่วไปว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่สำคัญรูปหนึ่งของภาคใต้
ในฐานะท่ีเป็นผู้มี “วาจาสทิ ธ์ิ”
ตำแหนง่ ทางพระพทุ ธศาสนา

1. เจา้ อาวาสวดั สวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ.2445 จนมรณภาพ
2. เจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.2500 เน่ืองจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดวันดี หรือวัด
ทงุ่ ปอน ทำให้วดั ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชมุ ตกลงสร้างวดั ใหมใ่ นเน้ือท่ีที่แยกออกไป เรยี กว่า
วัดพระธาตุน้อย และแต่งต้ังให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการเป็นเจ้าอาวาส เม่ือท่านมรณ ภาพไปแล้ว
วดั นี้กเ็ ปน็ ทีป่ ระดษิ ฐาน สรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว
ผลงาน/เกยี รติคณุ ท่ีไดร้ ับ
1. งานด้านศาสนา
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการ
ปฏิสังขรณ์ บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก เช่น สร้างวัด พ่อท่านคล้ายเห็นความสำคัญของปูชนียสถาน
จึงได้สร้างวัดข้ึนหลายแห่ง ได้แก่ วัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ.2490 ต่อมา
พ.ศ.2500 ทายาทอึ่งค่ายท่าย ถวายที่ดินใกล้ตลาดนาบอน จึงสร้างวัดขึ้นเรียกชื่อตามสมณะคักด์ิว่า
วัดพิศิษฐ์อรรถการามและวัดท่ีสำคัญท่ีสุด คือ วัดพระธาตุน้อยหรือคนทั่วไปเรียกว่าวัดพ่อท่านคล้าย
พระครูพิศิษฐ์อรรถการได้สร้างข้ึนใหม่ และสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ไว้เป็นอนุสรณ์ โดยยึดรูปแบบมาจาก
วัดพระมหาธาตุทั้งหมด การก่อสร้างสำเร็จในปี พ.ศ.2513 สร้างพระเจดีย์ พ่อท่านคล้ายได้สร้างพระเจดีย์
ไว้หลายองค์ ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน เจดีย์บ้านควรสวรรค์ ตำบลนาแว อำเภอฉวาง เจดีย์วัดยางค้อม
อำเภอพิปูน และที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน อำเภอพระแสง และเจดีย์หน้าถ้ำขมิ้น
บนภเู ขาอำเภอนาสาร
2. งานด้านพฒั นาทอ้ งถิน่

31

พ่อท่านคล้าย จัดได้ว่าเป็นนักพัฒนาท่ียิ่งใหญ่ตลอดชีวิต ทำางานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เพ่ือประโยชน์ส่วนรวม ได้เดินทางไปพัฒนาในท่ีต่าง ๆ มากมาย สร้างถนน สะพานมากมาย ด้วยเมตตาบารมี
และความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน เช่น สร้างถนนเข้าวัดจันดี ถนนจากตำบลละอาย
ไปพปิ ูน ถนนจากวัดสวนขัน ไปยังสถานรี ถไฟคลองจนั ดี ถนนจากตำบลละอายไปนาแว ถนนระหว่างหมู่บ้านใน
ตำบลละอาย สะพานข้ามคลองคุดด้วน เข้าวัดสวนขัน สะพานข้ามแม่นํ้าตาปีจากตลาดทานพอไปนาแว
สะพานข้ามคลองเสหลา หนา้ วดั มะปรางงาม สะพานขา้ มคลองจนั ดี

3. ด้านความมเี มตตาและวาจาสิทธิ์
ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธ์ิของ
วาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างน้ัน พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้าย้ิมแย้มและแจ่มใสอารมณ์เยือกเย็นอยู่
ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกบั ทุกคน “ขอให้เป็นสุข เป็นสุข” ผู้ท่ีเคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะ
ผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังท่ีจะได้รับคำอวยพร เพราะคำเห ล่าน้ัน
เป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำทั้งในทางดีและทางเส่ือมเสีย คนท่ีไปนมัสการหวังที่จะได้วัตถุมงคล บ้างขอน้ำมนต์
ชานหมาก แหวน ผ้ายันต์ เหรียญ รูปหล่อ รูปพิมพ์ ซ่ึงพ่อท่านคล้ายก็ได้มีเมตตาให้กับทุกคน ย่ิงชานหมากของ
ท่าน หากใครไดร้ บั จากมือทา่ นเป็นต้องหวงแหนอย่างทสี่ ุด

2.11 พระรัตนธชั มนุ ี (แบน ฤทธโิ ชติ)

พระรัตนธัชมุนี มีนามเดิมว่า “แบน ฤทธิโชติ” เกิดเมื่อวันท่ี 2
มิถุนายน พ.ศ.2427 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 9 คํ่า เดือน 7 ปีวอก ท่ีบ้าน
ดอนทะเล หมู่ที่ 2 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช บิดาช่ือ
หมื่น ทิพยจักษุ (ขาว ฤทธิโชติ) มารดาช่ือ นางเปิด ฤทธิโชติ (ธรรมิกกุล)
มีพ่ีน้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ชีวิตประถมวัยได้เรียนหนังสือวัด
ต่อมาได้อุปสมบทและศึกษาพระธรรมวินัยจนสอบไล่ได้นักธรรมช้ันตรี
สอบไล่ได้เปรียญธรรม 3 ประโยค และเปรียญ ธรรม 4 ประโยค
จึงหยุดสอบ และได้บำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา พระรัตนธัชมุนี
เป็นนักปกครองท่ีดี คอยดูแลเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่ของภิกษุสามเณรและศิษย์อยู่ตลอดใช้หลักเมตตาธรรม
พระรัตนธัชมุนี ได้มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันท่ี 10 กมภาพันธ์ พ.ศ.2521 ตลอดชีวิตของท่านเป็นเวลายาวนาน
ถึง 95 ปี พรรษา 75 ท่านได้ทุ่มเทให้กับพระพุทธศาสนาสร้างสรรค์ “อมตสมบัติ” นับได้ว่าเป็นพระเถระท่ี
น่าเส่อื มใสศรทั ธาและนา่ บูชา ยกย่องเปน็ อย่างย่ิง

ผลงานหรือเกียรติคณุ ที่ได้รับ
1. เป็นผู้ช่วยเจา้ อาวาสจัดราชาธวิ าสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
2. เปน็ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสจดั พิชยั ญาติการาม กรุงเทพมหานคร

32

3. เปน็ เจา้ อาวาสวดั มเหยงคณ์ อ.เมือง จ.นครศรธี รรมราช
4. เป็นเจา้ อาวาสจดั พระมหาธาตุวรมหาวหิ าร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
5. รักษาการในหนา้ ที่เจา้ คณะจังหวัดนครศรธี รรมราช
6. เปน็ เจา้ คณะจังหวดั นครศรีธรรมราช
7. เปน็ รองเจา้ คณะธรรมยุต ภาค 7-8-9
8. เปน็ เจา้ คณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ภูเก็ต พงั งา กระบ่ี
9. เปน็ รองคณะ ภาค 16-17-18

2.12 พระรตั นธชั มุนี (แบน คณฐุ าภรโณ)

พ ระ รัต น ธั ช มุ นี (แ บ น ค ณุ ฐ าภ รโณ ) อ ดี ต เจ้ าอ าว าส

วัดพระมหาธาตุวรวิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธรรมยุต)

น าม เดิ ม แ บ น ฤท ธิโช ติ เกิ ด เม่ื อ วัน ที่ 2 มิ ถุ น าย น พ .ศ .242 7

ท่ีบ้านดอนทะเล ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช บิดา

ชื่อหม่ืนทิพย์จักษุ (ชาว ฤทธิโชติ) มารดาช่ือ นางเป็ด ฤทธิโชติ (ธรรมิกกุล)

มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกัน 3 คน เม่ืออายุครบ 20 ปี ได้บรรพชา

อุปสมบทที่นทิสีมา (สีมาน้ํา) ในคลองปากพูน หน้าวัดท่าม่วง หมู่ที่ 2

บา้ นดอนทะเล ตำบลปากพนู ได้รบั ขนานนามว่า “คณุฐาภรโณ” พระรัตนรชั มุนี (แบน คณฐุ าภรโณ)

ช้ันประถมศึกษา ได้เข้าศึกษาอกั ษรสมัยภาษาไทย

เรยี นหนังสือจนจบช้นั ประถมเทยี บเท่าประถมปีที่ 4

ปี พ.ศ.2448 เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เข้าศึกษาพระธรรมวินัย ในสำนักพระรัตนรั ชมุนี (ม่วง)

ท่ีวัดท่าโพธิ์ พ.ศ.2459 เข้าศึกษาอบรมในสำนักสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระว ชิรญาณวโรรส

วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ สอบได้นักธรรมชั้นตรีในปีเดียวกัน และสอบได้เปรียญ 3 ประโยค ในสำนักเรียน

วัดราชาธิวาลวิหาร ใน พ.ศ.2456 ต่อมาใน พ.ศ.2458 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค ในสำนัก

เรียนเดิม และพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) ได้หยุดสอบ เพราะถือคติโบราณท่ีว่าไม่ให้เหนืออาจารย์ คือ

พระรตั นธัชมนุ ี (ม่วง) ซงึ่ ได้เปรียญธรรม 4 ประโยค

ปี พ.ศ.2447 ได้ เข้าเรียนหนังสือไทยแผนกวิชาครู ตามหลักสูตรของมหามกุฎราชวิทยาลัย

ในสำนักพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) ท่ีวัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช สำเร็จวิชาหนังสือไทย

ช้ันฝึกหดั ครมู ูลจากสำนักวัดทา่ โพธิ์ ในปี พ.ศ.2448

33

ปี พ.ศ.2521 พระรัตนธัชมุนี ได้มรณภาพด้วยโรคชรา เม่ือวันท่ี 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2521
ตลอดชวี ิตของท่านเป็นเวลายาวนานถงึ 95 ปี พรรษา 75 ท่านได้ท่มุ เทใหก้ ับพระพุทธศาสนา

ผลงานและเกียรตคิ ุณท่ีได้รับ
1. ดา้ นสง่ เสริมพระพุทธศาสนา
1. ตำแหน่งพระปลัดฐานานุกรมของพระอริยกวี (เซ่ง) วัดราชาธิวาสวิหาร กรุงเทพ ในปี 2454

เป็นพระครูประสาทพุทธรูปวิตร ฐานานุกรมของสมเด็จพระมหาสมณ ะเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส
วดั บวรนเิ วศวิหาร กรงุ เทพฯ ใน พ.ศ.2457

2. พระครูปลัดศีลวัฒน์ ฐานานุกรมของพระธรรมโกศาจารย์ (พระรัตนธั ชมุนี ม่วง)
เจา้ คณะมณฑล นครศรีธรรมราชและปัตตานี ใน พ.ศ.2463

3. พระครูปลัดศรีธรรมวัฒน์ ฐานานุกรมของพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) เจ้าคณะมณฑล
นครศรธี รรมราช และปัตตานี ใน พ.ศ.2466

4. พระครเู หมเจติยานรุ กั ษ์ ตำแหน่งรองเจา้ คณะจังหวดั นครศรีธรรมราช ใน พ.ศ.2468
5. พระศรีธรรมประสาธน์ มหาธาตุเจติยานุรักษ์ สังฆปาโมกข์ ตำแหน่งพระราชาคณะ
ชั้นราช ในนามเดิม และใน พ.ศ.2499 เปน็ พระราชาคณะชนั้ เทพในนามเดิม
6. เป็นพระราชาคณะช้นั ธรรม ทีพ่ ระรัตนธัชมณุ ศี รธี รรมราช ธรรมสาธก ตรปี ีฏกคุณา
ลงั การศีลสมาจาก วินัยสุนทร ธรรมิกคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี ใน ปี พ.ศ.2505

ผลงานท่สี ำคญั
1. การพัฒนาศาสนาบุคคล พระรัตนธัชมุณี (แบน) เป็นผู้มีเมตตา สร้างสรรค์บุคคลให้ได้

รับความเจริญรุ่งเรือง ให้การศึกษาอบรม แนะนำ โดยเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและแผนกบาลี
สำนั กเรียนวัดราชาธิวาสวิหาร สำนั กเรียนรัดพิ ชยญ าติ การาม สำนั กเรียน วัดบวรนิ เวศวิหาร
ในกรุงเทพมหานคร ส่วนในจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นครูท่ีสำนักวัดท่าโพธิ์ วัดมเหยงค์ วัดพระมหาธาตุ
วรมหาวิหาร อีกทั้งยังคอยดูแลให้การสงเคราะห์เอื้อเฟ้ือด้วยปัจจัยลาภและธรรม จนมีศิษย์ท้ังสายบรรพชิต และ
สายคฤหัสถ์ ไดร้ บั ความสำเรจ็ ในชวี ติ และมีความก้าวหน้า ตั้งตนใหม้ ัน่ คงเป็นหลกั ฐาน เปน็ จำนวนมาก

2. การพัฒนาศาสนสถานและศาสนวัตถุ เมื่อได้รับหน้าท่ีเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะ
ได้บูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานท่ีชำรุดให้คงสภาพดีขึ้น ได้สร้างวัดและแนะนำให้ผู้อื่นสร้างวัดข้ึนในสถานที่
ท่ีควรสร้างเพม่ิ ขึน้ เปน็ จำนวนมาก เชน่

2.1 บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จัดการให้บูรณปฏิสังขรณ์ องค์
พระบรมธาตุเจดีย์ พระวิหารหลวง พระระเบียง พระวิหารภูตเถร (พระแอด) พระวิหารสามจอม วิหาร
ทับเกษตร วิหารตามศาลา สร้างกุฏิไม้ 1 ช้ัน รวม 7 หลัง สร้างหอระฆัง สร้างถนนระหว่างพระเจดีย์บริวาร
ภายในบริเวณพระบรมธาตุเจดีย์ สร้างศาลาพระรัตนธัชมุนี และส่ิงก่อสร้างอ่ืน ๆ ภายในบริเวณวัดอีก

34

เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสร้างโรงเรียน พระปริยัติธรรม ใช้เป็นสถานท่ีศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรมและ
แผนกบาลี

2.2 บรู ณปฏิสังขรณ์วัดมเหยงค์ โดยปรบั ปรงุ เสนาสนะท่ัวทง้ั วัด
2.3 เป็นพระนักเทศน์ท่ีมีความสามารถ จนได้รับการยกย่องเป็น “พระคณาจารย์โททาง
เทศนา” เพราะมีความรู้ทันต่อเหตุการณ์และทันสมัยอยู่ตลอดเวลา เน่ืองจากหากมีเวลาว่าง พระรัตนธัชมุนี
(แบน) จะอ่านตำราทางพระพุทธศาสนา สารคดี และข่าวสารต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ การแสดงพระธรรมเทศนา
จึงแสดงโดยปฏิภาณมีคารมคมคาย ชวนให้ผู้ฟังตั้งอกต้ังใจฟัง ถนัดท้ังการแสดงธรรมรูปเดียว และแสดงธรรม
โดยปุจฉาวิสัชนา 2 ธรรมาสน์ การแสดงธรรมทุกกัณฑ์ มีเหตุมีผลมีอุบายท่ีจะแก้ความผิดให้เป็นความถูก แก้
ความไม่เหมาะสมให้เป็นความเหมาะสม เช่น เทศน์สอนคนตระหนี่ถี่เหนียวให้ยินดีในการสละบริจาค ก็จะแสดง
ธรรมเรื่อง “เงินติดคุก” แก้สมภารเจ้าวัด ซึ่งชอบสั่งสมบริขาร ก็แสดงธรรม “สมบีติไล่สมภารออกจากห้อง”
ต้ังแต่ พ.ศ.2470 - 2521 เมื่อเป็นพระคณาจารย์โท ฝ่ายธรรมถึก ได้จาริกไปแสดงพระธรรมเทศนาอบรม
ประชาชนทั่วภาคใต้ อีกท้ังยังจัดให้มีการประกอบศาสนกิจ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา จัดการฝึกอบรม
ศลี ธรรมแกน่ กั เรียนในโรงเรยี นในเขตปกครองเป็นประจำ

2.13 พลตำรวจตรีขนุ พันธรกั ษร์ าชเดช

พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นอดีตนายตำรวจชื่อดัง ของ
วงการตำรวจไทย เป็นบุคคลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าตำแหน่งใด
ยศใด ยกย่อง นับถือ และกล่าวถึง เน่ืองจากท่านเป็นแบบอย่างท่ีดีของกรม
ตำรวจ มีชื่อเสียงเป็นอันมากในการปราบโจรร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ของ
ประเทศไทย เช่น เสือฝ้าย เสือย่อง เสือผ่อน เสือครึ้ม เสือปลั่ง เสือใบ
เสืออ้วน เสือไหว เสือมเหศวรที่พัทลุง ปราบเสือลัง หรือเสือพุ่ม ท่ีนราธิวาส
เป็นต้น จากผลงานท่ีโดดเด่นที่สามารถปราบปรามโจรผู้ร้ายได้มากมาย
จึงได้รับฉายาต่างๆ ว่า “นายพลตำรวจหนังเหนียว” “นายพลตำรวจหนวด พลตำรวจตรี ขนุ พันธรักษร์ าชเดช
เซ้ยี ว” “ขนุ พนั ธๆ์ ดาบแดง” “รายอกะจิ” “จอมขมงั เวท” ต่อมาได้รบั พระบรมราชานุญาตให้ใช้ราชทินนาม
เปน็ ชือ่ สกุล “ขุนพันธรักษ์ราชเดช” และเปน็ คนสุดท้ายของประเทศไทยท่ไี ดร้ ับพระราชทนิ นาม

ประวัติ
พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช ช่ือนามสกุลเดิม นายบุตร พันธรักษ์ เกิดเม่ือวันที่ 18 กุมภาพันธ์
2446 ที่ บ้ าน อ้ าย เขี ย ว ห มู ที่ 5 ต ำบ ล ด อ น ต ะโก อ ำเภ อ ท่ าศ าล า จั งห วัด น ค รศ รีธ รรม ราช
เป็นบุตรของนายอ้วน นางทองจันทร์ พันธรักษ์ เริ่มเข้าเรียนในชั้นประถมปีท่ี 1
ที่โรงเรยี นวัดสวนป่าน อำเภอเมอื งนครศรธี รรมราช ใชเ้ วลาเพยี ง 3 วัน กจ็ บชั้น
ป ร ะ ถ ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 3 เ นื่ อ ง จ า ก ท่ า น มี ค ว า ม รู้ ใ น
วชิ าเลขและหนังสืออยู่แล้ว ก่อนท่จี ะเข้า โรงเรียน ตอ่ มาได้เข้าเรียนตอ่ ชั้นมัธยม
ปีท่ี 1 ท่ีโรงเรียนวัดท่าโพธิ์ (โรงเรียนเบญจมราชูทิศในปัจจุบัน) ได้ไม่กี่เดือนก็

35

ต้ อ ง อ อ ก จ า ก โ ร ง เ รี ย น เ พ ร า ะ ป่ ว ย เ ป็ น โ ร ค คุ ด ท ะ ร า ด
ต้องพักรักษาตัวปีกว่า จึงเดินทางเข้าไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2459 ได้มาเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา
ปที ี่ 2 อยู่ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตรในปัจจุบัน) ขณะเรียนท่ีโรงเรียนนี้ท่านได้
เรยี นวิชามวย ยูโด และยมิ นาสตกิ จนมคี วามชำนาญในเชิงมวยท่านสอบไล่ได้ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 8

ตอ่ มาในปี พ.ศ.2468 จึงได้เข้าเรยี นต่อท่ี The Crocodile Creek Royal Police Cadet Academy
โรงเรียนนายร้อยตำรวจห้วยจระเข้ (โรงเรียนนายร้อยตำรวจในปัจจุบัน) จังหวัดนครปฐม ขณะที่เรียนได้เป็น
ครมู วยไทยด้วย เรียนอยู่ 5 ปี สำเรจ็ หลักสตู รในปี พ.ศ.2472

ด้านชีวติ ครอบครัว ขนุ พันธ์ๆ มีภรรยาคนแรกช่ือ เฉลา ตอนนั้นท่านมีอายุได้ประมาณ 30 ปี ขณะท่ี
รับราชการอยู่ท่ีจังหวัดพัทลุง มีบุตรด้วยกัน 8 คน ต่อมาภรรยาเสียชีวิต ท่านจึงได้ภรรยาใหม่ช่ือ สมสมัย มีบุตร
ด้วยกัน 4 คน ในวันท่ี 5 กรกฎาคม 2549 พลตำรวจตรี ขนุ พนั ธรกั ษ์ ราชเดช ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยโรคชรา ท่ี
ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมอายุได้ 103 ปี

ประวตั กิ ารรับราชการ
1. นกั เรียนนายร้อย กองบังคับการตำรวจภธู รมณฑลนครศรีธรรมราชประจำจังหวัดสงขลา
2. ผบู้ งั คบั หมวด กองเมอื ง จงั หวดั พัทลุง
3. ผบู้ ังคบั กองเมืองจงั หวัดพทั ลงุ
4. รองผูก้ ำกบั การตำรวจภธู รจังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี
5. ผ้กู ำกบั การตำรวจภธู รจังหวดั พจิ ติ ร
6. ผ้กู ำกบั การตำรวจภธู รจงั หวดั ชยั นาท
7. รองผอู้ ำนวยการกองปราบพิเศษ
8. ผกู้ ำกบั การตำรวจภธู รจังหวดั กำแพงเพชร
9. ผกู้ ำกบั การตำรวจภธู รจังหวัดพทั ลงุ
10. รองผู้บังคบั การตำรวจภธู ร เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช
11. ผ้บู งั คับการตำรวจภธู ร เขต 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช

ประวตั ิทางการเมอื ง
ไดร้ บั การเลือกตัง้ เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ปี พ.ศ.2512

ผลงานทางวิชาการ
ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นท้ังนักอ่านและนักเขียน ได้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ลงพิมพ์ในหนังสือและ
วารสารต่าง ๆ หลายเรื่อง และเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจในเรื่องไสยศาสตร์ เร่ืองท่ีเขียนส่วนใหญ่จึงเป็นเร่ือง
เก่ียวกับความเช่ือทางไสยศาสตร์ เช่น ความเช่ือทางไสยศาสตร์ในภาคใต้ สองเกลอ หัวล้านนอกครู มวยไทย
เช่ือ เค ร่ือง กรุงชิง ช้างเผือกงาดำ ศิษ ย์เจ้าคุณ น อกจากนั้ น ก็มี เรื่องเกี่ยวกับ ป ระวัติศาสต ร์
ทั้งประวัติบุคคลและสถานท่ี ตำนานท้องถ่ิน มวย และเร่ืองเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง ข้อเขียนต่าง ๆ

36

ของท่าน โดยเฉพาะเรื่องกรุงชิงน้ัน เป็นเรื่องท่ีท่านเขียนทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชตามพระบรมราชโองการ และต่อมามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ได้ขออนุญาตนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ใน “รูสมิแล” วารสารของ มหาวิทยาลัยปีที่ 6 ฉบับที่ 3 เดือน พฤษภาคม -
สิงหาคม พ.ศ.2526 งานเขียนของท่านส่วนมากจะลงพิมพ์ในสาร นครศรีธรรมราช หนังสืองานเดือนสิบวิชชา
(วารส ารท างวิช าก ารขอ งวิท ยาลัยค รูน ค รศ รีธรรม ราช ) รูส มิ แล (วารส าร ท างวิช าก ารข อ ง
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร)์ และหนังสือทร่ี ะลึกในโอกาสตา่ ง ๆ ของโรงเรยี นและหน่วยงานต่าง ๆ

ผลงานด้านทะนบุ ำรุงศาสนา
เป็นผู้ริเริ่มให้มีการบวงสรวงพระธาตุนครศรีธรรมราช อันเป็นที่มาของการสร้างจตุคามรามเทพ รุ่น
แรกในปี พ.ศ.2530 ตามความเชือ่ ว่า องค์จตุคามรามเทพน้ัน เปน็ กษัตรยิ ์ของอาณาจกั รนครศรธี รรมราช ทรงมี
พระนามท่ีเป็นทางการ คือ พระเจ้าจันทรภาณุ โดยท่ีพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์องค์ที่สองของราชวงศ์ศรีธรรมา
โศกราช พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักรบที่แกร่งกล้า และได้รับสมัญญานามว่า พญาพังพกาฬ หรือ ราชันตำแห่ง
ทะเลใต้ พระองค์ทรงมีพระวรกายสีเข้ม และพระองคท์ รงศึกษาวิชาจตุคามศาสตร์ และบำเพ็ญอธิษฐานจิตเป็น
พระโพธิสัตว์
จตุคามรามเทพ มีความหมายว่า เทพรักษาพระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน
สององค์น้ันก็คือ ท้าวชัดตุคามและท้าวรามเทพ ในอดีตมีความเช่ือว่าท้าวชัดตุคาม และท้าวรามเทพน้ัน
เป็นเทพช้ันสูง ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนา ก็ ทำให้ท้าวชัดตุคามและท้าวรามเทพ
เปล่ียนสถานะเป็นเทวดาที่ทรงปกปักรักษาพระบรมธาตุ และถูกเปลี่ยนช่ือใหม่เพ่ือให้ความเป็นมงคลเป็นท้าว
จตคุ าม

2.14 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ดร.สุริน ท ร์ พิ ศสุวรรณ เกิดเม่ือวันที่ 28 ตุลาคม พ .ศ.2492
เป็นคนบ้านตาล ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
พ่อช่ือ ฮัจยี อิสมา แอล แม่ซื่อ ซอฟียะห์ พิศสุวรรณ เป็นลูกชายคนโต
จากท้ังหมด 11 คน คุณตาซื่อ ฮัจจียะโกบ พิศสุวรรณ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปอเนอะ
บ้านตาล หรือโรงเรียนประทีปศาสน์โรงเรียนสอนศาสนาอิสลามชองเอกชน ส่วน
คุณตาทวด ของ ดร.สุรินทร์ เป็นผู้บุกเบิกชุมชนมุสลิมในจังหวัดนครศรีธรรมราช
ชื่อ อิหม่าม ตูวันฆูอลั มรั ฮูม ฮจั ยซี ิดฎกิ พิศสวุ รรณ ดร.สุรินทร์มีช่ือในภาษาอาหรับ ดร.สุรนิ ทร์ พศิ สุวรรณ
วา่ อบั ดลุ ฮาลมื บนิ อสิ มาแอล พิศสุวรรณ ซึ่งแปลว่า “ผมู้ ีจิตใจสขุ มุ เยือกเย็น โกรธยาก อภัยเร็ว”

ในเร่ืองการศึกษาน้ัน ดร.สุรินทร์เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษา ท่ีโรงเรียนวัดบ้านตาลมัธยมศึกษา
จาก โรงเรียนพรสวัสด์ิวิทยา โรงเรียนเบญจมราชูทิศ และโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ตามลำดับ ในระดับ
ปริญญาตรีได้ศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ โดยเรียน ปี 1 - 2 และได้รับทุน Frank Bell
Appleby ไปศึกษาต่อ ปี 3 - 4 ด้านรัฐศาสตร์ท่ี Claremont Men’s College, Claremont University และ

37

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากท่ีนั้น และศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกท่ี Flarvard
University ด้านรัฐศาสตร์

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ สมรสกับ อลิสา พิศสุวรรณ (ฮัจยะท์อาอีซะฮ์) เม่ือ พ.ศ.2526 มีลูกชาย
ด้วยกนั 3 คน

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันท่ี 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2560 ท่ีโรงพยาบาล
รามคำแหง ดว้ ยอาการหัวใจวายเฉียบพลนั สริ ิอายุได้ 68 ปี

ประวตั ริ บั ราชการ
เริ่มอาชีพนักวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่าง พ.ศ.2518 - 2529
และได้รับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์, ผู้ช่วยรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และรองคณบดีคณะรัฐศาส ตร์
มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พ.ศ.2556 สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมติแต่งตั้งให้ สุรินทร์ พิศสุวรรณ ได้รับ
การยกย่องเชิดชูเกยี รติ ให้ดำรงตำแหนง่ ธรรมศาสตราภิชาน คนที่ 3 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การเมอื ง
ดำรงตำแหนง่ สำคญั ๆ ทางการเมอื ง ดงั น้ี

1. เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ปี พ.ศ. 2529,
2531, 2535/1, 2535/2, 2538, 2539, 2548

2. เปน็ เลขานุการประธานสภาผแู้ ทนราษฎร ปี พ.ศ.2529 - 2531
3. ผู้ชว่ ยเลขานกุ าร รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทย ปี พ.ศ.2531 - 2534
4. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล ชวน หลีกภัย ปี พ.ศ.2535 - 2538
5. รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล ชวน หลกี ภัย ปี พ.ศ.2540 - 2544
6. เป็นเลขาธกิ ารอาเซียน ปี พ.ศ.2551 – 2556
รางวัลและเกยี รติยศ
ปี พ .ศ.2532 สุ ริน ทร์ พิ ศสุ วรรณ ได้ รับพ ระราชท านยศกองอาสารักษาดิ น แดนเป็ น
นายกองตรสี รุ นิ ทร์ พิศสุวรรณ
ปี พ.ศ.2533 นายกองตรี สรุ ินทร์ พิศสุวรรณ ได้รบั พระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายก
องโท สรุ นิ ทร์ พิศสวุ รรณ
เครื่องราชอิสรยิ าภรณ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ซ.) เครื่องราช
อสิ ริยาภรณอ์ ันมีเกยี รตยิ ศยิ่งมงกุฎไทย ช้ันมหาวชิรมงกฎุ (ม.ว.ม.)
ผลงานทส่ี ำคัญในทางการเมอื ง
1. เป็นผู้รณรงค์หาเสียง และสนับสนุน ดร.ศุภชัยพานิชภักดิ์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้อำนวยการ
ใหญ่ขององค์การการคา้ โลก (World Trade Organization; WTO)

38

2. ดร.สุรินทร์ เป็นคนสำคัญที่ไปเจรจาของบประมาณช่วยเหลือจากญ่ีปุ่นเพื่อใช้ในการ
ส่งกองกำลังรักษาสันติภาพไทยฟิลิปปินส์ เพื่อไปรักษาสันติภาพในติมอร์เลสเต (Timor-Leste) หรือ ติมอร์
ตะวันออก (EastTimor) ซ่ึงเพ่ิงแยกตัวออกและจากอินโดนเี ซีย เพื่อลดความชดั แย้ง ระหวา่ งอินโดนีเซียติมอร์-
เลสเต เน่ืองจากไม่มีประเทศมหาอำนาจใดเข้ามาควบคุมสถานการณ์ที่เกิดข้ึน ถึงแม้ว่าบริเวณดังกล่าวจะอยู่
ภายใต้เขตอิทธิพลของ ออสเตรเลีย ดร.สุรินทร์ ได้ไปเจรจาของบประมาณสนับสนุนดังกล่าวจากญ่ีปุ่น
และญ่ีปุ่นได้อนุมัติเงิน ทำให้การส่งกองกำลังร่วมไทย-ฟิลิปปินส์ เพื่อไปรักษาสันติภาพท่ีติมอร์เลสเต ประสบ
ความสำเร็จในทส่ี ดุ

3. ดร.สุรนิ ทร์ มีส่วนสำคัญในการผลักตันในประเทศสมาชิกอาเซียน ท้ัง 10 ประเทศให้สัตยาบัน
ต่อกฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) จนแล้วเสร็จ ในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ.2551 และได้ประกาศใช้ใน
ที่สุด นอกจากน้ีแล้ว ดร.สุรินทร์ยังได้รณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชน ท้ัง 10 ชาติ ตระหนักและ
รูจ้ ักอาเซียน ให้มากขนึ้ อกี ด้วย

2.15 นายสมชาย วงศส์ วสั ดิ์

นายสมชาย วงศ์สวสั ด์ิ นายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย อดีต
ร อ ง น า ย ก รั ฐ ม น ต รี อ ดี ต รั ฐ ม น ต รี ว่ า ก า ร ก ร ะ ท ร ว ง ศึ ก ษ า ธิ ก า ร
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตผู้พิพากษา อดีตปลัดกระทรวง
ยุติธรรม อดีตปลัดกระทรวงแรงงาน ในขณะท่ี สมชายดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีนั้น เขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาล เพราะพันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงยึดพื้นที่ไว้ต้ังแต่ในสมัยรัฐบาล สมัคร สุนทร
เวช โดยใช้สนามบินดอนเมืองเป็นทท่ี ำการแทนนายสมชาย วงศ์สวัสด์ิ เกิดเม่ือวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2490 ที่
ตำบลสวนขัน อำเภอฉวาง ปัจจุบันคือ อำเภอช้างกลาง จังหวัด นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายเจิม - นาง
ดับ วงศ์สวัสด์ิ สมรสกับนางเยาวภา วงศ์สวัสด์ิ ซึ่งเป็นน้องสาวของ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี คนที่ 23 มี
บุตร - ธิดา 3 คน คือ ผศ.ดร.ยศธนนั วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ชินณิซา วงศ์สวัสดิ์ น.ส.ชยาภา วงศ์สวสั ด์ิ

การศึกษา
สำเร็จการศกึ ษาชั้นต้นทจี่ ังหวัดนครศรีธรรมราช ชั้นมัธยมจากโรงเรียนอำนวยศิลป์ สำเร็จนิติศาสตร์
บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เม่ือ พ.ศ.2513 ต่อมาปี 2516 เข้าศึกษาต่อเนติบัณฑิตไทย (นบท.)สำนัก
อบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา เม่ือ 2539 ปริญญาบัตรหลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัย
ป้องกันราชอาณาจักร รุ่นท่ี 38 และในปี 2545 รัฐประศาสนศาสตร์ มหาบัณฑิต หลักสูตรการจัดการภาครัฐ
และภาคเอกชน มหาบณั ฑิต สถาบันบัณฑติ พัฒนบริหารศาสตร์
ปี พ.ศ. 2555 ได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (การจัดการ)
จากมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา
ประวัติการรับราชการ

ปี พ.ศ. 2517 ผูช้ ่วยผู้พพิ ากษาประจำกระทรวง

39

ปี พ.ศ. 2518 ผู้พิพากษาศาลแขวงเชียงใหม่
ปี พ.ศ. 2519 ผู้พิพากษาศาลจังหวดั เชียงใหม่
ปี พ.ศ. 2520 ผพู้ พิ ากษาศาลจงั หวัดเชียงราย
ปี พ.ศ. 2526 ผู้พพิ ากษาหวั หน้าศาลจงั หวดั พังงา
ปี พ.ศ. 2529 ผพู้ ิพากษาหัวหน้าศาลคดีเด็กและเยาวชนจงั หวัดระยอง
ปี พ.ศ. 2530 ผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ ศาลจงั หวัดชลบุรี
ปี พ.ศ. 2531 ผพู้ ิพากษาหวั หนา้ ศาลจงั หวัดนนทบุรี
ปี พ.ศ. 2532 ผพู้ พิ ากษาหวั หนา้ คณะในศาลอาญาธนบรุ ี
ปี พ.ศ. 2533 ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
ปี พ.ศ. 2536 ผู้พิพากษาหวั หน้าคณะในศาลอทุ ธรณ์ภาค 2
ปี พ.ศ. 2540 รองปลดั กระทรวงยตุ ิธรรม ฝา่ ยวิชาการ
ปี พ.ศ. 2541 รองปลดั กระทรวงยตุ ธิ รรม ฝ่ายบรหิ าร
ปี พ.ศ. 2542 ปลัดกระทรวงยุตธิ รรม และปลัดกระทรวงแรงงานในปเี ดยี วกนั
ปี พ.ศ. 2549 ลาออกจากราชการ
ปี พ.ศ. 2550 ประธานกรรมการสภาวจิ ยั แหง่ ชาติ สาขานิตศิ าสตร์
ตำแหน่งอ่ืน
1. กรรมการเนติบัณฑติ ยสภา
2. ประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรพั ย์สนิ ผูเ้ กีย่ วข้องกบั ยาเสพตดิ ให้โทษ
3. กรรมการการไฟฟ้าฝา่ ยผลติ แหง่ ประเทศไทย (กฟผ.)
4. กรรมการบรษิ ทั ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
5. กรรมการธนาคารกรงุ ไทย จำกดั (มหาชน)
6. กรรมการ บริษทั ปตท. จำกัด (มหาชน)
7. กรรมการบริษทั ทา่ อากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
8. กรรมการบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)
9. กรรมการคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามยาเสพตดิ (ป.ป.ส.)
10. กรรมการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.)
11. กรรมการคณะกรรมการกฤษฎกี า
12. กรรมการคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ซ.)
13. กรรมการคณะกรรมการขา้ ราชการตำรวจ (ก.ตร.)
14. กรรมการคณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น (กพ.)
15. กรรมการคณะกรรมการอัยการ (กอ.)
16. กรรมการคณะกรรมการตุลาการ

40

17. กรรมการคณะกรรมการขอ้ มูลข่าวสารแหง่ ชาติ
18. กรรมการสำนกั งานสลากกินแบ่งรัฐบาล
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทำพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี คนที่ 26 ของประเทศไทย เม่ือเดือนกันยายน พ.ศ.2551 ปี พ.ศ.2550 เป็นรองหัวหน้าพรรค
พลังประชาชน ปี พ.ศ.2551 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ.2551 ได้รับเลือกจาก
คณะรัฐมนตรีให้เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2551 ได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรง
ตำแหน่งนายกรฐั มนตรคี นที่ 26 ของประเทศไทย
ปี พ.ศ.2557 เขาไดส้ มคั รรับเลือกตงั้ ในระบบบญั ชีรายซ่ือ สังกดั พรรคเพ่ือไทย สำดบั ท่ี 2
ผลงานดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม และสิทธมิ นุษยชน
1. เพิม่ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจัดการโครงการหน่ึงตำบลหนึง่ ผลติ กัณฑ์ความมน่ั คง
2. แก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
3. สง่ เสรมิ ความรว่ มมือในการพัฒนาและสร้างสัมพันธไมตรีทด่ี ใี นภมู ิภาค
4. จดั ตัง้ สภาเกษตรกรและสรา้ งระบบประกันความเสย่ี งเศรษฐกจิ
5. แก้ไขปัญหาวกิ ฤตสิ ถาบนั การเงนิ ในประเทศ
6. เรง่ รัดการลงทนุ ท่สี ำคญั ของประเทศ
7. สร้างกลไกในการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดจากวิกฤติการเงินของโลกที่ส่งผลต่อ
การเคลื่อนย้ายเงินทนุ ท้งั ระยะสน้ั และระยะยาว
ด้านสิทธมิ นุษยชน
เรง่ รัดปราบปรามการค้ายาเสพตดิ ปราบปรามผู้มีอิทธิพล อบายมุขและสงิ่ ย่วั ยุเยาวชน
เคร่อื งราชอิสริยาภรณ์
ปี พ.ศ. 2540 เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์อันเป็นท่ีเชิดชูย่ิงข้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์
ช้างเผอื ก (ม.ป.ช.)
ปี พ.ศ. 2535 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.
ม.)
ปี พ.ศ. 2542 เหรยี ญจกั รพรรดมิ าลา (จ.ม.ร.)

2.16 อังคาร กลั ยาณพงศ์

นายอังคาร กลั ยาณพงศ์ เกดิ เมอ่ื วันท่ี 13 กมุ ภาพันธ์ 2469 พนื้ เพ
เป็นคนจงั หวัดนครศรีธรรมราช บดิ านายเข็บ กลั ยาณพงศ์ (อดีตกำนนั ตำบล
ทา่ วัง) มารดา นางขุ้ม กัลยาณพงศ์ การศึกษาระดับประถมปีท่ี 1 โรงเรียน
วัดจนั ทาราม ต่อมาก็เรยี นทว่ี ัดใหญ่จนจบประถมปีที่ 4 แลว้ ยา้ ยไปเรียนที่
โรงเรยี นมธั ยมประจำจังหวัด คือ โรงเรียนเบญจมราชทู ิศ นครศรธี รรมราช
ศกึ ษาศิลปะทโ่ี รงเรียนเพาะชา่ ง และท่คี ณะจิตรกรรม ประติมากรรมและ

นายองั คาร กลั ยาณพงศ์

41

ภาพพิมพ์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร องั คารได้เป็นศิษย์ของ ศิลปินใหญ่อย่าง
ศ.ศลิ ปี พีระศร,ี อ.เฟ้อ หริพิทักษ์ และ อ.เฉลิม นาคีรักษ์ ทำใหไ้ ดต้ ดิ ตาม
และร่วมงานกับอาจารย์ในการศึกษาคน้ ควา้ งานด้านต่าง ๆ ท้ังศิลปกรรม โบราณคดี และประวัติศาสตร์

อังคารเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในด้านกวีและจิตรกร มีความเช่ือม่ันและฝึกฝนมาต้ังแต่วัยเยาว์
ซ่ึงได้พูดถึงการเป็นทั้งจิตรกรและกวีของตนว่า “บทกวีและจิตรกรรมน้ันมาจากดวงใจดวงเดียวกัน การวาดรูปกับ
การแต่งบทกวีต้องใช้ความคิดกับจินตนาการ อาจจะผิดกันในเร่ืองเทคโนโลยีกับเทคนิค แต่ใช้จิตใจ
ดวงเดียวกัน ท้ังงานเขียนรูปและเขียนหนังสือก็ต้องอาศัยมโนคติ บางคนเขาเรียก อิมเมจิเนชั่น ต้องมีจินตนาการ
ความคิ ด เหมื อนคนที่ สร้างนครวัด เขาต้องมี ภ าพมาก่อน ว่าทำอย่างไรจึงจะมี ปราสาท ขึ้นมา
ถ้าเรามีมโนภาพกว้างใหญ่ ไพศาล เราก็สามารถสร้างสรรค์อะไรท่ีใหญ่โตข้ึนมา ถ้ามีมโนภาพคับแคบ
ก็สรา้ งสรรค์อะไร อย่ใู นกะลาเท่าน้ัน”

“โดยหลักการ การเขียนกาพย์กลอนต้องโปร่งใส ต้องใช้อิสรเสรี ถึงจะทำได้ดี ก็เหมือนทะเล
เวลามีคล่ืนลมมากเรือท่ีลอยอยู่กส็ ามารถจมได้ บางครั้งอารมณ์ไมด่ ีก็ทำไมไ่ ด้”

อังคารยังให้ทัศนะในการทำงานว่า ก็เหมือนกับการเติบโตของต้นไม้ มันค่อย ๆ ขึ้นทีละใบ สองใบ ค่อย
แตกไปเรื่อย ๆ ถึงฤดูกาลก็แตกดอกออกผล ก่อนออกผลก็ออกดอกเสียก่อนไปตามลำดับ พรอ้ มกับยืนยันวา่ จะไม่ขอ
ทำอย่างอื่นแล้วในชีวิตน้ี จะทำงานเหล่าน้ีไปตลอดจนถึงชาติหน้า ท้ังงานศิลปะ ไมว่ ่าจะวาดหรือปั้น รวมถึงงาน
เขียนบทกวี และกล่าวถึงผู้สืบทอดในงานว่า “ไม่ได้คิดอะไร เหมือนเราเกิดมาเป็นต้นโพธิ์ ถึงฤดูกาลใบมันก็หล่นลง
มายั งพ้ื นดิ น กลายเป็ นดิ น น้ ำ ลม ไฟ ตามเดิ ม ใครท่ี เขาเห็ นคุ ณ ค่ า เขามาไถ่ ถามก็ ให้ เขาไป
ตามเร่ือง”

อังคาร ได้เสียชีวิต เม่ือวันท่ี 25 สิงหาคม พ.ศ.2555 รวมอายุ 86ปี 6 เดือน โดย สมเด็จพระเทพ
รัตน ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ นายอังคาร กัลยาณพงศ์
ณ เมรวุ ัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรงุ เทพมหานคร เมอ่ื วันอาทติ ยท์ ่ี 27 สิงหาคม พ.ศ.2556 เวลา 17.00 น.

ผลงานและเกยี รตคิ ณุ
นายอังคาร กัลยาณพงศ์ เป็นกวรี ่วมสมัยผู้ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างสรรค์กวนี ิพนธส์ มัยใหม่ให้แก่
วรรณศิลป์ไทย โดยชุบชีวิตชนวรรณศิลป์ไทยให้เติบโต สอดคลอ้ งกับวรรณศิลป์ร่วมสมัย โดยการศึกษาวรรณศิลป์
จากกวีโบราณเพ่ือเข้าใจแก่นแท้ชองสุนทรียะท้ังด้านความงามและความคิด และนำความเข้าใจน้ี
มาเป็นฐานรองรับการสร้างสรรค์วรรณศิลป์เฉพาะตนข้ึน ผลงานกวีนิพนธ์เป็นศิลปะซึ่งมุ่งสร้างสรรค์ให้เป็น
“กุศลศิลป์” อันจักช่วยจรรโลงโอบอุ้มจิตใจมนุษย์ให้ล่วงพ้นมลทินแห่งความหลงใหลในวัตถุ มุ่งเตือนมนุษย์
ให้เห็นปัญหาในสังคม ความรัก ความมุ่งม่ันแน่วแน่ในหน้าท่ีของกวี ช่วยให้งานมีพลังสร้างสรรค์เป็นประโยชน์อัน
ประมาณมิได้แก่สังคมไทยและมนุษย์ท้ังมวล นายอังคาร กัลยาณพงศ์ จงึ ได้รบั การประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติจาก
สำนักงานคณ ะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ หรือกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้เป็นศิลปิ นแห่งชาติ
สาขาวรรณศิลป์ (กวีนิพนธ)์ ประจำปี พทุ ธศักราช 2532

42

เรอื่ งที่ 3 ประชากร การเมือง และการปกครอง จังหวดั นครศรีธรรมราช

เม่ือประชากรมาอยู่รวมกันมากขึ้น ความต้องการปัจจัยพ้ืนฐานท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพความ
ปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สิน ตอ้ งการปัจจยั ด้านตา่ งๆ ยอ่ มมีมากข้นึ จำเปน็ ตอ้ งศึกษาเรยี นรู้จำนวนประชากร
สถิติอัตราการเพ่ิม - ลดของประชากร อัตราการเกิด ตาย การย้ายเข้า การย้ายออกของประชากร รายได้
ประชากรศาสนา และอาชีพจงั หวดั นครศรธี รรมราช

3.1 จำนวนประชากร

จังหวัดนครศรีธรรมราชมีประชากร จำนวน 1,560,433 คน (31 ธันวาคม 2561) แยกเป็นชาย
จำนวน 771,530 คน หญิง จำนวน 788,903 คน จำนวน 565,568 ครัวเรือน โดยเฉล่ียมีความหนาแน่นของ
ประชากรเท่ากับ 156.95 คน ต่อตารางกิโลเมตร อำเภอที่มีประ ชากรมากที่สุด ได้แก่ อำเภอ
เมืองนครศรีธรรมราช จำนวน 272,502 คน จำนวน 108,767 ครัวเรือน และอำเภอท่ีมีประชากรน้อยท่ีสุด
ได้แก่ อำเภอถํ้าพรรณรา จำนวน 19,277 คน จำนวน 7,234 ครวั เรอื น ดงั ตาราง

ท่ี อำเภอ ชาย หญิง รวม ครัวเรือน
1 เมืองนครศรธี รรมราช 133,241 139,261 272,502 108,767
2 พรหมครี ี 18,485 18,979 37,437 12,265
3 ลานสกา 19,917 20,993 40,910 15,055
4 ฉวาง 32,563 34,520 67,083 25,393
5 พปิ นู 14,364 14,758 29,122 11,493
6 เชียรใหญ่ 21,588 21,564 43,152 14,710
7 ชะอวด 42,754 43,720 86,474 30,763

43

8 ทา่ ศาลา 56,679 59,628 116,307 36,041
9 ท่งุ สง 80,895 80,790 161,685 63,164
10 นาบอน 13,189 13,589 26,778 9,420
11 ทุ่งใหญ่ 37,029 37,638 74,667 26,562
12 ปากพนงั 49,611 49,156 98,857 32,881
13 รอ่ นพบิ ลู ย์ 40,859 41,471 82,330 26,729
14 สิชล 44,033 44,920 88,953 31,504
15 ขนอม 15,099 15,323 66,189 14,593
16 หวั ไทร 33,066 33,123 66,189 23,896
17 บางขัน 23,859 23,486 47,345 16,158
18 ถา้ํ พรรณรา 9,628 9,649 19,277 7,234
19 จุฬาภรณ์ 15,629 16,104 31,733 10,380
20 พระพรหม 21,825 22,372 44,197 15,695
21 นบพติ ำ 16,757 16,786 33,543 11,616
22 ช้างกลาง 14,694 15,214 29,908 10,749
23 เฉลิมพระเกียรติ 15,793 15,769 31,562 10,440
771,503 788,903 1,560,433 565,568
รวม

ท่มี า : ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง ธนั วาคม 2561

3.2 อตั ราการเพมิ่ ลดของประชากร

อำเภอ/ปี พื้นท่ี (ตร.กม.) 2561 (คน) 2560 (คน) 2559 (คน) 2558 (คน) 2557 (คน)
เมอื งนครศรีธรรมราช 617.40 272,502 271,848 271,330 271,126 270,099
ท่งุ สง 802.97 161,685 161,356 160,724 159,924 159,174
ท่าศาลา 363.89 116,307 113,397 113,067 112,565 111,879
ปากพนัง 422.50 98,857 99,301 99,562 99,969 100,318

44

สิชล 703.10 88,953 88,884 88,611 88,283 87,802
ชะอวด 833.00 86,474 86,664 86,507 86,558 86,466
ร่อนพิบูลย์ 335.50 82,330 82,255 82,031 81,976 81,810
ท่งุ ใหญ่ 603.28 74,667 74,691 74,317 73,994 73,662
ฉวาง 528.20 67,083 67,160 67,293 67,425 67,380
หวั ไทร 417.73 66,189 66,486 66,503 66,679 66,787
บางขนั 601.70 47,345 47,221 46,914 46,752 46,474
พระพรหม 148.00 44,197 43,906 43,588 43,391 43,096
เชียรใหญ่ 232.70 43,152 43,318 43,457 43,500 43,533
ลานสกา 342.90 40,910 40,952 40,900 40,875 40,783
พรหมคีรี 321.50 37,437 37,530 37,513 37,461 37,363
นบพติ ำ 720.15 33,543 33,551 33,320 33,183 32,882
จฬุ าภรณ์ 192.50 31,733 31,743 31,584 31,481 31,441
เฉลมิ พระเกียรติ 124.10 31,562 31,597 31,572 31,549 31,564
ขนอม 433.90 30,422 30,446 30,393 30,234 30,022
ช้างกลาง 232.50 29,908 29,900 29,909 30,081 30,064
พิปนู 363.80 29,122 29,216 29,226 29,269 29,307
นาบอน 192.89 26,778 26,814 26,934 27,077 27,001
ถ้ําพรรณรา 169.10 19,277 19,246 19,177 19,178 19,121
9,942.502 1,560,433 1,557,482 1,554,432 1,552,530 1,548,028
รวมทง้ั จังหวดั

เปรียบเทียบประชากรจงั หวดั นครศรธี รรมราช ระหว่างเพศ/อายุ

กลุ่มอายุ (ป)ี จำนวน/ร้อยละ

ชาย ร้อยละ หญงิ ร้อยละ รวม ร้อยละ

0 - 4 ปี 54,016 3.42 50,196 3.18 104,212 6.59

5 - 9 ปี 50,924 3.22 47,439 3.00 98,363 6.22

10 – 14 ปี 50,281 3.31 46,963 3.10 101,244 6.41

15-19ปี 60,065 3.80 56,324 3.56 116,389 7.36

45

20 - 24 ปี 64,064 4.05 58,080 3.67 122,144 7.73
25 - 29 ปี 65,543 4.15 59,607 3.77 125,150 7.92
30 - 34 ปี 67,184 4.28 63,403 4.04 131,087 8.32
35 - 39 ปี 63,182 4.00 62,729
40 - 44 ปี 3.97 125,911 7.97
60,085 3.80 60,798
45 - 49 ปี 55,449 3.57 57,262 3.85 120,883 7.65
50 - 54 ปี 41,686 3.14 51,334
55 - 59 ปี 35,598 2.38 40,745 3.69 112,711 7.26
60 - 64 ปี 27,902 1.83 32,696
20,765 1.44 24,678 3.31 100,020 6.45
65 - 69 ปี 17,938 1.20 22,110
70 - 74 ปี 12,977 0.95 17,945 2.64 76,343 5.02
75 - 79 ปี 10,376 0.66 14,379
80 - 84 ปี 5,829 0.37 8,800 2.13 60,598 3.96
85 - 89 ปี 2,578 0.16 4,296
90 - 94 ปี 1,079 0.07 1,803 1.69 45,443 3.13
95 - 99 ปี 131 0.01 194 1.46 40,048 2.66
100 ปีขน้ึ 'โป 49.81 793,408 1.26 30,922 2.21
787,279 0.92 24,755 1.58
รวม
0.56 14,629 0.93
0.27 6,874 0.43
0.11 2,882 0.18
0.01 325 0.02
50.19 1,560,433 100.00

ท่มี า : สำนักทะเบยี นกลาง กรมการปกครอง

3.3 อตั ราการเกดิ ตาย การยา้ ยเข้า การยา้ ยออก ของประชากร

จังหวัดนครศรีธรรมราช มีอัตราการเกิด การตาย การย้ายเข้า การย้ายออก ข้อมูลของ
กระทรวงมหาดไทย ปี 2561 พบว่า อำเภอท่ีมีอัตราการเกิดมากที่สุด ได้แก่อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
จำนวน 6,133 คน อำเภอท่ีมีอัตราการเกิดน้อยท่ีสุด จำนวน 1 คน ได้แก่ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอ
ช้างกลาง และอำเภอพระพรหม อำเภอที่มีอัตราการตายมากที่สุด ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จำนวน
3,148 คน อำเภอที่มีอัตราการตายน้อยท่ีสุด ได้แก่ อำเภอถ้ําพรรณรา จำนวน 80 คน การย้ายท่ีอยู่อาศัยการย้าย
เข้ามากท่ีสุด ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรธี รรมราช จำนวน 12,852 คน การย้ายเข้าน้อยท่ีสุด ได้แก่ อำเภอถํ้าพรรณ
รา จำนวน 734 คน การย้ายออก มากที่สุด ได้แก่ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จำนวน 16,748 คน การย้ายออก
น้อยทีส่ ดุ ไดแ้ ก่ อำเภอจุฬาภรณ์ จำนวน 934 คน ดงั ตาราง

46

อำเภอ การเกดิ การตาย การย้ายเขา้ การยา้ ยออก

ชาย หญงิ รวม ชาย หญงิ รวม ชาย หญิง รวม ชาย หญงิ รวม

อำเภอเมอื งนครศรีธรรมราช 3,215 2,918 6,133 1,803 1,345 3,148 6,614 6,238 12,852 8,559 8,189 16,748

รอาำชเาภชอพรหมครี ี 42 29 71 92 79 171 736 762 1,498 683 609 1,292

อำเภอลานสกา 60 40 100 110 86 196 764 760 1,524 637 643 1,280

อำเภอฉวาง 437 372 809 182 159 341 1,034 1,146 2,180 1,262 1,335 2,597

อำเภอพปิ นู 48 38 86 86 68 154 560 580 1,140 491 529 1,020

อำเภอเชียรใหญ่ 137 141 278 130 105 235 719 688 1,407 759 725 1,484

อำเภอชะอวด 170 140 310 201 168 369 1,666 1,746 3,412 1,458 1,566 3,024

อำเภอท่าศาลา 838 728 1,566 388 335 723 2,018 2,091 4,109 2,242 2,318 4,560

อำเภอทุ่งสง 1,640 1,600 3,240 627 443 1,070 5,089 3,983 9,072 5,886 4,819 10,705

อำเภอนาบอน 48 57 105 67 45 112 526 535 1,061 563 540 1,103

อำเภอทุ่งใหญ่ 162 172 334 154 97 251 1,604 1,646 3,250 1,440 1,415 2,855

อำเภอปากพนงั 196 165 361 261 194 455 1,848 1,866 3,714 1,792 1,812 3,604

อำเภอรอ่ นพิบูลย์ 195 176 371 201 171 372 1,635 1,564 3,199 1,391 1,391 2,782

อำเภอสิชล 523 552 1,075 387 267 654 1,839 1,865 3,704 1,914 1,948 3,862

อำเภอขนอม 82 68 150 80 68 148 683 744 1,427 607 709 1,316

อำเภอหวั ไทร 146 154 300 190 139 329 1,210 1,163 2,373 1,086 1,074 2,160

อำเภอบางขัน 150 123 273 89 74 163 908 949 1,857 792 792 1,584

อำเภอถํ้าพรรณรา 39 39 78 49 31 80 362 372 734 331 318 649

อำเภอจุฬาภรณ์ 27 37 64 68 48 116 617 582 1,199 505 429 934

อำเภอพระพรหม - 1 1 98 71 169 1,024 1,013 2,037 724 732 1,456

อำเภอนบพติ ำ 1 3 4 63 41 104 706 740 1,446 490 540 1,030

อำเภอชา้ งกลาง - 1 1 66 63 129 642 630 1,272 520 544 1,064

อำเภอเฉลมิ พระเกียรติ - 1 1 67 51 118 670 628 1,298 551 502 1,053

รวมยอด 8,156 7,555 15,711 5,459 4,148 9,607 33,474 32,291 65,765 34,683 33,479 68,162

47

3.4 รายได้ประชากร

เศรษฐกิจโดยท่ัวไปของจังหวัดข้ึนอยู่กับผลผลิตทางด้านการเกษตร และการค้า อาชีพหลัก คือ การ
ทำสวน ยางพารา ปาล์มน้ํามัน ทำไร่ การปลูกผลไม้ ทำสวนมะพร้าว การประมง และการเล้ียงสัตว์ จากการ
สำรวจของสำนักงานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ปี 2560 ประชากรมีรายได้ เฉลี่ยต่อคน
ต่อปี เท่ากับ 90,033 บาท อยู่ในลำดับที่ 3 ของกลุ่มจังหวัด ลำดับท่ี 11 ของภาคใต้อันดับท่ี 32 ของประเทศ
จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ.2560 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ประชากรจังหวัด
นครศรีธรรมราช มีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 20,756 บาท ต่อเดือนต่อครัวเรือน และมีรายได้ต่อครัวเรือน 29,970
บาท จำนวนหน้ีสินเฉล่ีย 102,741 บาทต่อเดอื นต่อครัวเรือน แยกเป็นหนี้สินในระบบ98,246 บาท และหน้ีสิน
นอกระบบ จำนวน 4,495 บาท ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) เท่ากับ 155,862 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 3
ของภาคใต้ รองจาก จงั หวดั สงขลา และสุราษฎรธ์ านี รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นกับสาขาเกษตรกรรม จำนวน 50,249
ล้านบาท คิดเปน็ 32.23 %

3.5 ศาสนา

ประชากรจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่นับถือ ศาสนาพุทธ ประมาณ 92.08% รองลงมา คือ
ศาสนาอิสลาม ประมาณ 7.03% ศาสนาคริสต์ ประมาณ 0.89% นอกจากน้ีเป็นศาสนาอื่น ๆ (ข้อมูลประชากร
1,560,433 คน ปี พ.ศ. 2561)

3.6 อาชีพ

ด้านอาชีพ ประชากรร้อยละ 33.82 ประกอบอาชีพการเกษตร (ทำสวน ทำนา ทำไร่ ประมง
ปศุสัตว์) รองลงมา คือ อาชีพรับจ้างทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 21.05 และมีประชากรไม่ประกอบอาชีพ จำนวน
77,372 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 8.73 (ข้อมลู ประชากร 1,560,433 คน ปี พ.ศ. 2561)

48

เรอื่ งท่ี 4 การเมืองการปกครองจังหวดั นครศรธี รรมราช

จังหวดั นครศรธี รรมราช มกี ารแบ่งเขตเลือกตงั้ ภายในจังหวดั ออกเปน็ 8 เขตเลือกต้งั สามารถมี
สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรได้ 8 คน เขตเลอื กตงั้ ละ 1 คน โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้

4.1 เขตการเลือกตั้งภายในจังหวดั นครศรธี รรมราช

การเลือกต้ัง เขตการเลอื กตัง้ จำนวน ส.ส./
เขต
พ.ศ. 2562 เขตเลอื กตง้ั ที่ 1 อำเภอเมืองนครศรธี รรมราช [เฉพาะตำบลคลัง ตำบลทา่ วงั
ตำบลท่าซกั ตำบลปากนคร ตำบลทา่ ไร่ ตำบลบางจาก ตำบลท่าเรอื เขตเลอื กตัง้
ตำบลในเมือง ตำบลมะม่วงสองตน้ ตำบลไชยมนตรี ตำบลโพธ์ิเสดจ็ 8 เขต
และตำบลนาเคยี น (ในเขตเทศบาลนครนครศรธี รรมราช)] มี ส.ส.
เขตเลอื กตงั้ ท่ี 2 อำเภอปากพนัง, อำเภอเชียรใหญ่ และอำเภอหวั ไทร
เขตเลอื กตง้ั ที่ 3 อำเภอพระพรหม, อำเภอเฉลมิ พระเกียรติ เขตละ 1 คน
อำเภอชะอวดและอำเภอจุฬาภรณ์ (รวมส.ส.ทั้งส้นิ
เขตเลอื กตัง้ ท่ี 4 อำเภอทุ่งสงและอำเภอบางขัน จำนวน 8 คน)
เขตเลือกตง้ั ท่ี 5 อำเภอทุ่งใหญ่, อำเภอถ้าํ พรรณรา, อำเภอฉวาง และ
อำเภอพปิ ูน
เขตเลือกตงั้ ที่ 6 อำเภอร่อนพบิ ูลย,์ อำเภอลานสกา, อำเภอช้างกลาง และ
อำเภอนาบอน
เขตเลอื กอำเภอท่าศาลาและอำเภอเมืองนครศรธี รรมราช [เฉพาะ ตำบล
ปากพนู ตำบลทา่ งวิ้ ตำบลกำแพงเซา ตำบลนาทราย และตำบลนาเคยี น
(นอกเขตเทศบาลนครนครศรธี รรมราช)]
เขตเลอื กอำเภอสิชล, อำเภอขนอม, อำเภอนบพติ ำ, และอำเภอพรหมครี ี

รายชอื่ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ปี 2562

1. นายณรงค์ บุญสวยขวัญ พรรคพลังประชารัฐ

2. นายสัญหพจน์ สขุ ศรเี มือง พรรคพลังประชารฐั

3. นายเทพไท เสนพงศ์ พรรคประชาธปิ ัตย์

4. นายประกอบ รัตนพันธ์ พรรคประชาธปิ ัตย์

5. นายชินวรณ์ บญุ เกยี รติ พรรคประชาธิปตั ย์

6. นายชยั ชนะ เดชเดโซ พรรคประชาธิปัตย์

7. นายสายณั ห์ ยุติธรรม พรรคพลงั ประชารฐั

49

8. น.ส. พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล พรรคประชาธิปัตย์

4.2 การปกครอง

การปกครองและการบริหารราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชแบ่งเขตการปกครองและการบริหาร
ราชการ ตามลักษณะพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ การปกครองสว่ นภูมิภาค ประกอบด้วย อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน
และการปกครอง ส่วนท้องถ่ิน ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหาร
ส่วนตำบล ดังนี้

4.2.1 การปกครองสว่ นภูมิภาค
1) การบริหารราชการหน่วยงานในส่วนภมู ิภาค ประกอบด้วย อำเภอ 23 แห่ง ตำบล จำนวน

165 แห่ง หมู่บ้าน จำนวน 1,551 แห่ง และส่วนราชการที่อยู่ในส่วนภูมิภาคข้ึนตรงกับจังหวัดอีก จำนวน 34
แห่ง สังกดั กระทรวงมหาดไทย จำนวน 7 แห่ง และสังกดั กระทรวง ทบวง กรมอ่ืน ๆ อกี จำนวน 27 แห่ง

2) ส่วนราชการภายในจังหวัดที่ขึ้นตรงต่อส่วนราชการในส่วนกลาง จำนวน 98 แห่ง

ประกอบด้วย สังกัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน 10 แห่ง สังกัดกระทรวง ทบวง กรมอื่น ๆ จำนวน 75 แห่ง
และหน่วยงานอสิ ระ จำนวน 13 แหง่

4.2.2 การปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ

การปกครองส่วนท้องถ่ิน ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 185 แห่ง คือ
องคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด จำนวน 1 แห่ง เทศบาลนคร จำนวน 1 แหง่ เทศบาลเมอื ง จำนวน 3 แห่ง เทศบาล
ตำบล จำนวน 50 แห่ง และองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบล จำนวน 130 แห่ง

4.2.3 โครงสร้างการบริหารราชการ

จังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล การต้ัง ยุบ และการเปล่ียนแปลงเขตจังหวัดให้ตราเป็น
ราชบัญญัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา ข้าราชการของหน่วยงานต่าง ๆ ท้ังในและนอกสังกัด
กระทรวงมหาดไทย ส่วนราชการท่ีสำคัญและสังกัดกระทรวงมหาดไทย คือ สำนักงานจังหวัดและ
ที่ทำการจงั หวดั

อำเภอ เป็นหน่วยงานราชการบริหารรองจากจังหวัด การต้ัง ยุบ และเปล่ียนเขตอำเภอให้
ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา มีนายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครอง บังคับบัญชาข้าราชการในอำเภอ และ
งานบรหิ ารราชการของอำเภอ สว่ นราชการทส่ี ำคญั คือ ทท่ี ำการปกครองอำเภอ และสำนักงานอำเภอ

ตำบล และหมู่บ้าน เป็นหน่วยงานปกครองส่วนย่อยของอำเภอ หรือกิ่งอำเภอ ต้ังตามกฎหมาย
ลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ.2457 ตำบลจัดต้ังข้ึน โดยประกาศของกระทรวงมหาดไทย มีกำนันเป็น
ผรู้ ับผดิ ชอบตำบล ส่วนหมูบ่ า้ นจดั ตัง้ โดยประกาศจงั หวดั มผี ใู้ หญ่บา้ นเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบ

50

เปรียบเทียบเขตพนื้ ทกี่ ับการปกครองจงั หวัดนครศรีธรรมราชในสว่ นภูมภิ าคและองคก์ ารบรหิ ารส่วนทอ้ งถ่นิ

ที่ อำเกอ เขตการปกครอง พน้ื ที่ (ไร่)
หมู่บ้าน ตำบล อบต. เทศบาล 346,804
1 เมอื งนครศรธี รรมราช 115 13 10 7 228,589
2 เชยี รใหญ่ 331,904
3 ปากพนงั 97 10 8 2 440,849
4 ชะอวด 142 17 13 4 586,647
5 ทงุ่ สง 87 11 10 2 260,931
6 ท่าศาลา 124 12 8 5 280,324
7 รอ่ นพิบลู ย์ 109 10 10 1 427,692
8 สิชล 57 6 5 3 221,088
9 ลานสกา 110 9 8 2 312,460
10 พิปนู 44 5 4 2 272,717
11 หวั ไทร 42 5 2 4 380,703
12 ทงุ่ ใหญ่ 99 11 9 3 264,363
13 ฉวาง 63 7 6 2 193,800
14 ขนอม 86 10 8 4 124,000
15 นาบอน 34 3 1 3 153,730
16 พรหมครี ี 34 3 3 1 303,208
17 บางขนั 39 5 4 3 144,864
18 จุฬาภรณ์ 60 4 4 - 108,913
19 ถํา้ พรรณรา 29 6 5 -
29 3 3 -

20 พระพรหม 51
21 เฉลิมพระเกียรติ
22 นบพิตำ 40 4 3 1 92,116
23 ช้างกลาง 37 4 2 2 114,533
38 4 3 1 453,123
รวม 36 3 1 2 170,706
1,551 165 130 54 6,214,064

โครงสร้างจงั หวดั นครศรธี รรมราช


Click to View FlipBook Version