The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

1.คู่มือวิชานครศรีธรรมราชศึกษา สำนักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช

52

อำนาจหน้าทีข่ องสำนกั งานจงั หวัด (ตามกฎกระทรวง พ.ศ. 2553)
1. แปลงยุทธศาสตร์การพัฒนาระดบั ชาติไปเปน็ ยทุ ธศาสตร์การพัฒนาจงั หวัดในพื้นที่
2. พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการวางแผน และ
เครือขา่ ยสารสนเทศของจงั หวัด โดยเปน็ ศนู ย์สารสนเทศของจังหวดั เพอื่ การบรหิ ารและวางแผนพัฒนาจังหวดั
3. จัดทำแผนพัฒนาจังหวัด ดำเนินการตามแผน กำกับและตดิ ตามผลการดำเนินงานตามยทุ ธศาสตร์
นโยบาย และแผนพฒั นาจงั หวดั รวมทั้งประสานการจัดทำแผนพฒั นากลุ่มจังหวัด
4. จัดทำแผนปฏิบัตริ าชการประจำปขี องจงั หวดั หรอื คำของบประมาณของจังหวัด และประสานการ
จดั ทำแผนปฏบิ ัติราชการประจำปีของกลมุ่ จังหวดั หรือคำของบประมาณของกลุ่มจงั หวดั
5. ดำเนินการด้านการบรหิ ารทรัพยากรบคุ คลและการพัฒนาระบบราชการของจังหวดั
6. อำนวยการ ประสาน ปฏิบตั งิ าน และสนบั สนนุ งานอันเป็นอำนาจหนา้ ท่ีของผู้วา่ ราชการจงั หวัด
7. ปฏบิ ัตงิ านร่วมกบั หรือสนับสนนุ การปฏบิ ตั งิ านของหนว่ ยงานอืน่ ท่เี กยี่ วข้องหรือทไี่ ดร้ ับ
มอบหมาย

1) องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ
หนว่ ยราชการองค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ มี 3 รูปแบบ คือ องค์การบริหารส่วนจังหวดั

เทศบาล ประกอบด้วย เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และองค์การบรหิ ารส่วนตำบล
1.1) องค์การบริหารส่วนจังหวดั
องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ถูกจัดตั้งขึ้นทุกจังหวัด เม่ือ พ.ศ.2498 โดย

พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ.2498 เพื่อทำหน้าท่ีเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ประกอบด้วย สภาจังหวัด และ ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยสภาจงั หวัดประกอบด้วยสภาที่มาจากการเลือกตั้งชอง
ประชาชน ทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ กำหนดนโยบายการบริหารและควบคุมฝ่ายบริหาร อันมี หัวหน้า
ฝ่ายบริหาร คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้รับผิดชอบ ในการบริหารงานด้วยการนำมติหรือนโยบายของ
สภาจังหวัดไปพิจารณาดำเนินการ โดยมีพ้ืนท่ีที่อยู่ในความรับผิดชอบ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้แก่
พนื้ ท่ีท่ีไมเ่ ก่ยี วขอ้ งกับพืน้ ทขี่ องเทศบาลและสุขาภิบาล

ในปี พ.ศ.2537 ได้มีพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.
2537 ซ่ึงกำหนดให้สภาตำบล ซึ่งเดิมเป็นพ้ืนที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่มีรายได้เฉล่ียย้อนหลัง 3 ปี
ต้ังแต่ 150,000 บาท ขึ้นไป จัดต้ังเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล มีฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่นและเป็นนิติ
บุคคลทำให้องค์การบริหารสว่ นจังหวดั ไมม่ ีพนื้ ท่ีในการตำเนนิ กิจการสมควรปรับปรุงบทบาทและอำนาจหน้าท่ี
ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้สอดคล้องกัน และปรับปรุงโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้

53

เหมาะสมย่ิงข้ึน ได้มีการตราพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 โดยกำหนดให้พ้ืนที่จังหวัด
เปน็ พ้ืนทข่ี ององค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัด มผี ู้บรหิ ารสงู สูด คือ ตำแหน่งนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัด มาจาก
การเลือกตั้งของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวดั โดยความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการส่วนจังหวัด และดำเนินกิจการส่วนจังหวัดควบคู่ไปกับสภาจังหวัดการบริหารงาน
ขององคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดในปัจจบุ ันเป็นไปตามพระราชบัญญัติองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวดั พ.ศ.2540 ซง่ึ มี
การแก่ไขเพ่ิมเติม 2 ครั้ง คือ ในปี พ.ศ.2542 และ พ.ศ.2546 กำหนดใหม้ ีหน่วยการบริหารราชการส่วนห้องถิ่น
รูปแบบหน่ึง เรียกว่า “องค์การบริหารส่วนจังหวัด” โดยอยู่ในทุกจังหวัด ๆ ละ 1 แห่ง มีฐานะเป็นนิติบุคคล
และมีพ้ืนที่รับผิดชอบท่ัวท้ังจังหวัด โดยทับซ้อนกับพ้ืนที่ของหน่วยการบริหารราชการส่วนห้องถิ่นอ่ืน คือ
เทศบาล สขุ าภิบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดน้นั ความเปน็ นิติบุคคลก่อใหเ้ กิดความสามารถ ใน
การทำนิตกิ รรม ความเปน็ หน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นก่อให้เกิดอำนาจหน้าทแ่ี ละขอบเขตพืน้ ทใ่ี นการ
ใช้อำนาจหน้าท่นี นั้

โครงสรา้ งองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด

54

หน้าทขี่ ององคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวดั
1. หน้าที่ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 มาตรา 45 กำหนดว่า
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด มอี ำนาจหนา้ ท่ดี ำเนนิ กจิ การภายในเขตองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดดงั นี้

1) ตราขอ้ บัญญัตโิ ดยไมข่ ดั หรือแย้งตอ่ กฎหมาย
2) จัดทำแผนพัฒนาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และประสานการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัด ตาม
ระเบยี บคณะรฐั มนตรีกำหนด
3) สนบั สนุนสภาตำบลและราชการส่วนท้องถิ่นอ่ืนในการพัฒนาท้องถิน่
4) ประสานและใหค้ วามร่วมมอื ในการปฏบิ ตั ิหน้าที่ของสภาตำบลและราชการส่วนท้องถิ่น
5) แบ่งสรรเงนิ ซง่ึ ตามกฎหมายจะตอ้ งแบ่งให้แก่สภาตำบลและราชการส่วนทอ้ งถิ่น
6) อำนาจหน้าท่ีของจังหวัดตามพระราชบัญญัติ ระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด
พ.ศ.2498 เฉพาะภายในเขตสภาตำบล
7) คุ้มครอง ดแู ล และบำรงุ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม
8) จัดทำกิจการอื่นใดๆ อันเป็นอำนาจหน้าที่ของราชการส่วนท้องถ่ินอ่ืนท่ีอยู่ในเขตองค์การ
บริหารส่วนจังหวัด และกิจการนั้นเป็นการสมควรให้ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นร่วมกันดำเนินการหรือให้องค์การ
บริหารสว่ นจงั หวัดจัดทำ ทง้ั นี้ตามท่กี ำหนดในกฎกระทรวง
9) จัดทำกิจกรรมอ่ืนใดตามที่กำหนดไวในพระราชบัญญัติน้ี หรือกฎหมายอ่ืนกำหนดให้
เป็นอำนาจหน้าท่ีขององค์การบริหารส่วนจังหวัด บรรดาอำนาจหน้าที่ใดซ่ึงเป็นของราชการส่วนกลาง หรือ
ราชการส่วนภูมิภาค อาจมอบให้องค์การบรหิ ารส่วนจังหวัดปฏบิ ัตไิ ด้
2. หน้าท่ีตามกฎกระทรวง พ.ศ.2541 ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วน
จังหวดั พ.ศ.2540 กำหนดอำนาจหนา้ ทีไ่ ว้ดังนี้
1) จัดใหม้ ีน้ำเพื่อการอปุ โภค บริโภค และการเกษตร
2) กำจัดขยะมลู ฝอยและสิง่ ปฏกิ ลู
3) บำบดั น้ำเสยี
4) บำรงุ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม
5) วางผังเมือง
6) จัดให้มีและบำรงุ รกั ษาทางบก ซง่ึ อย่างน้อยต้องเป็นทางหลวงขนาดตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง
7) จัดใหม้ แี ละบำรุงรกั ษาทางนํา้
8) จดั ใหม้ ีทำเทียบเรือ ทำข้าม ท่จี อดรถ และตลาด
9) ปองกนั และบรรเทาสาธารณภัย

55

10) รกั ษาความสงบเรียบรอ้ ยและศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน
11) จัดการศึกษา ทำนุบำรุงศาสนา และบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถ่ินหรือ
วัฒนธรรมอันดขี องท้องถน่ิ
12) จัดให้มีและบำรุงสถานที่สำหรับการกีฬา สถานพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะ และสวนสัตว์
ตลอดจนสถานทีป่ ระชุมอบรมสำหรบั ราษฎร
13) จัดให้มีการสังคมสงเคราะห์และการสาธารณปู การ
14) ป้องกนั และบำบดั รักษาโรค
15) จัดตงั้ และการบำรงุ สถานพยาบาล
16) ส่งเสริมการท่องเที่ยว
17) ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาการประกอบอาชพี
18) กจิ การทไี่ ด้มีการกำหนดไว้ในแผนพฒั นาจงั หวดั และแผนพฒั นาองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั
3. ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี 2 พ.ศ.2541 ออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วน
จังหวดั พ.ศ.2540 กำหนดอำนาจหน้าที่ ไว้ดงั น้ี
1) การนั้นจำเป็นต้องกระทำและเป็นการที่เกีย่ วเนื่องกับกจิ การทด่ี ำเนินการตามอำนาจหน้าท่อี งค์การ
บรหิ ารสว่ นจงั หวัดและเปน็ ประโยชน์แกป่ ระชาชน ในองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด
2) ไดร้ ับความยินยอมจากสภาองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด
3) ได้รับความยินยอมจากสภาแห่งราชการส่วนท้องถิ่นหรือสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ทเี่ กีย่ วข้องแลว้ แต่กรณี
4. ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอำนาจ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วน
ทอ้ งถนิ่ พ.ศ.2542 มาตรา 17 กำหนดอำนาจหนา้ ท่ีไว้ดังน้ี
1) การจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และประสานการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดตามระเบียบท่ี
คณะรฐั มนตรกี ำหนด
2) การสนบั สนนุ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ อน่ื ในการพฒั นาทอ้ งถนิ่
3) การประสานและใหค้ วามรว่ มมือในการปฏิบตั ิหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ อื่น
4) การแบง่ สรรเงนิ ซึง่ ตามกฎหมายจะตอ้ งแบง่ ใหแ้ ก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินอน่ื
5) การคมุ้ ครอง ดูแล และบำรงุ รักษาปาไม้ ที่ดนิ ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม
6) การจดั การศกึ ษา
7) การส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสิทธเิ สรภี าพของประชาชน
8) การสง่ เสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพัฒนาท้องถ่นิ
9) การส่งเสริมการพฒั นาเทคโนโลยีทเ่ี หมาะสม
10) การจดั ต้งั ดูแลระบบบำบัดน้ำเสยี รวม
11) การกำจดั มูลฝอยและสง่ิ ปฏิกูลรวม

56

12) การจัดการส่ิงแวดลอ้ มและมลพษิ ตา่ ง ๆ
13) การจัดการดแู ลสถานขี นส่งทง้ั ทางบกและทางน้ำ
14) การสง่ เสรมิ การทอ่ งเทย่ี ว
15) การพาณิชย์ การส่งเสริมการลงทุน และการทำกจิ การไม่วา่ จะดำเนินการเองหรือรว่ มกับบุคคลอื่น
จากสหการ
16) การสร้างแล ะบ ำรุงรักษ าท างบ ก และท างนํ้ า ท่ี เช่ื อม ต่ อ ระห ว่างองค์ก รป ก ค รอ ง
สว่ นทอ้ งถน่ิ อ่นื
17) การจัดตั้งและดแู ลตลาดกลาง
18) การสง่ เสรมิ การกีฬา จารตี ประเพณี และวฒั นธรรมอนั ดงี ามของท้องถ่ิน
19) การจัดใหม้ โี รงพยาบาลจงั หวดั การรกั ษาพยาบาล การบีองกันและควบคุมโรคตดิ ตอ่
20) การจัดใหม้ ีพพิ ธิ ภัณฑ์และหอจดหมายเหตุ
21) การขนสง่ มวลชนและการวิศวกรรมจราจร
22) การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
23) การจดั ใหม้ ีระบบรกั ษาความสงบเรียบรอ้ ยในจังหวดั
24) การจัดทำกิจการใดอันเป็นอำนาจหน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินอื่นท่ีอยู่ในเขตกิจการนั้น
เป็นการสมควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นร่วมกันดำเนินการหรือให้องค์การบริหารส่ว นจังหวัดจัดทำทั้งนี้
ตามท่ีคณะกรรมการประกาศกำหนด
25) สนบั สนนุ หรอื ชว่ ยเหลือสว่ นราชการ หรอื องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ อื่นในการพัฒนา
26) การให้บริการแก่เอกชน ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครอง
สว่ นท้องถน่ิ อน่ื
27) การสงั คมสงเคราะห์และการพฒั นาคุณภาพชวี ิตเด็ก สตรี คนชรา และผดู้ อ้ ยโอกาส
28) จัดทำกิจการอื่นใดตามท่ีกำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นและหน้าที่
ขององคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด
29) กิจการอนื่ ใดทเี่ ปน็ ผลประโยชน์ของประซาซนในท้องถ่นิ ตามท่ีคณะกรรมการประกาศ

1.2) เทศบาล ประกอบด้วย เทศบาลนคร เทศบาลเมอื ง เทศบาลตำบล โดยมีรายละเอียด
ดงั น้ี

1.2.1) เทศบาลนคร

57

โครงสรา้ งเทศบาลนคร

58

เทศบาลนคร เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินสำหรับเมืองขนาดใหญ่ท่ีมีประชากรต้ังแต่
50,000 คนข้ึนไป และมีรายได้พอเพียงต่อการให้บริการสาธารณะตามหน้าท่ีท่ีกฎหมายบัญญัติไว้
การจัดตั้งเทศบาลนคร กระทำโดยประกาศกระทรวงมหาดไทยยกฐานะเป็นเทศบาลนครตามพระราชบัญญัติ
เทศบาล พ.ศ.2496 ปัจจบุ นั มเี ทศบาล นครอยู่ 30 แหง่ ท่วั ประเทศ เทศบาลนคร แห่งแรกของไทย 3 แห่ง คอื

เทศบาลนครกรุงเทพ เทศบาลนครธนบุรี และ เทศบาลนครเชียงใหม่ จัดตั้งข้ึนในปี
พ.ศ.2478 ต่อมาเทศบาลนครกรุงเทพและเทศบาลนครธนบุรีได้ถูกยุบรวมกัน เป็นเทศบาลนครหลวงในปี
พ.ศ.2514 และในปี พ.ศ.2515 เทศบาลนครหลวงได้ถูกยุบพร้อมกับจังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรีเพ่ือจัดต้ัง
กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นเทศบาลนครจึงเหลือแต่เพียงเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเทศบาลนครแห่งแรกใน
ส่วนภูมิภาค จนกระทั่งปี พ.ศ.2537 จึงมีการจัดต้ังเทศบาลนครแห่งท่ีสองในส่วนภูมิภาค คือ เทศบาลนคร
นครศรธี รรมราช

เทศบาลนคร ประกอบด้วยนายกเทศมนตรี ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารและ
สภาเทศบาลท่ีมีสมาชิก จำนวน 24 คน มาจากการเลือกต้ังของราษฎรในเขตเทศบาล ทำหน้าท่ีเป็นฝ่าย
นิติบัญญัติ นายกเทศมนตรี มาจากการเลือกต้ังโดยตรงของราษฎรในเขตเทศบาลและมีรองนายกเทศมนตรมี า
จากการแต่งต้ังของนายกเทศมนตรี นอกจากนี้ยังมีสำนักงานเทศบาลนครซึ่งมีปลัดเทศบาล เป็นหัวหน้า
พนกั งานเทศบาล ทำหน้าท่ีเป็นหน่วยงานธุรการ และหน่วยงานให้บรกิ ารประชาชนภายใตก้ ารบงั คับบัญชาของ
นายกเทศมนตรี

59

1.2.2) เทศบาลเมือง
โครงสรา้ งเทศบาลเมอื ง

ท้องถิ่นท่ีจะได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลเมืองนั้น คือ ท้องถ่ินอันเป็นที่ต้ังศาลากลางจังหวัด

หรือท้องถ่ินที่มีจำนวนราษฎรมากกว่า 10,000 คน และมีรายได้เพียงพอท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีของเทศบาลเมืองตามท่ี

กฎหมายกำหนดไว้ แต่ก็มีท้องถ่ินบางแห่งท่ีไม่ได้เป็นท่ีต้ังศาลากลางจังหวัดและมีจำนวนประชากรไม่ถึง 10,000

คน แต่ก็มีฐานะเป็นเทศบาลเมือง เน่ืองจากไดร้ ับการจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเทศบาลสมัยแรก ๆ ซึ่ง

วางเกณฑต์ า่ งจากปัจจบุ นั

เทศบาลเมืองมีนายกเทศมนตรี ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารและมีสภาเทศบาล

ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 18 คน ที่ราษฎรในเขตเทศบาลเลือกตั้งมาทำหน้าท่ีฝ่ายนิติบัญญัติ

นายกเทศมนตรีมาจากการเลือกต้ังโดยตรงของราษฎรในเขตเทศบาล โดยเทศบาลเมืองมีหน้าที่รักษา

ความสงบเรยี บร้อยและความสะอาดสร้างและบำรุงถนนและท่าเรือ ดับเพลิง และกู้ภัย จัดการศึกษา ให้บริการ

สาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ และรักษาวัฒนธรรมอันดีในท้องถ่ิน นอกจากน้ียังอาจจัดให้มีสาธารณูปโภคและ

สาธารณูปการอื่น ๆ ไดต้ ามสมควร

60

1.2.3) เทศบาลตำบล
โครงสร้างเทศบาลตำบล

เทศบาลตำบล เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองขนาดเล็ก โดยท่ัวไปเทศบาล
ตำบล มีฐานะเดิมเป็นสุขาภิบาลหรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) การจัดต้ังเทศบาลตำบลกระทำโดย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย ยกฐานะท้องถิ่นขึ้นเป็นเทศบาลตำบลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496
เท ศ บ าล ต ำบ ล มี น า ย ก เท ศ ม น ต รีค น ห น่ึ งท ำห น้ าท่ี หั ว ห น้ า ฝ่ า ย บ ริห าร แ ล ะ ส ภ า เท ศ บ า ล
ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 คน ท่ีราษฎรในเขตเทศบาล เลือกต้ังมาทำาหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ
นายกเทศมนตรมี าจากการเลือกตัง้ โดยตรงของราษฎรเขตเทศบาล

เทศบาลตำบล มหี น้าทีร่ ักษาความสงบเรยี บรอ้ ยและความสะอาด สร้างและบำรุงถนนและ
ท่าเรือ ดับเพลิง และกู้ภัย จัดการศึกษา ให้บริการสาธารณสุข สังคมสงเคราะห์ และรักษาวัฒนธรรม
อนั ดใี นท้องถ่ิน นอกจากน้ียงั อาจจดั ให้มีสาธารณปู โภคและสาธารณูปการอนื่ ๆ ได้ตามสมควร

61

อำนาจหนา้ ท่ีของเทศบาล
อำนาจหน้าท่ีของเทศบาล สามารถแบ่งแยกประเภทอำนาจหน้าที่ของเทศบาลไว้
เป็น 2 ส่วน คือ หน้าท่ีบังคับหรือหน้าท่ีท่ีต้องปฏิบัติ และอำนาจหน้าท่ีที่เลือกปฏิบัติ ทั้งยังได้กำหนดอำนาจ
หนา้ ทีข่ องเทศบาลในฐานะ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี

1. อำนาจหนา้ ทบ่ี ังคับหรอื หนา้ ทท่ี จี่ ะต้องปฏบิ ตั ิ มาตรา 50, 53, 54 และ 56
1.1 ภายใตบ้ งั คับแหง่ กฎหมาย เทศบาลตำบล มีหน้าท่ีตอ้ งทำให้เขตเทศบาล ดังต่อไปนี้
1) รกั ษาความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน
2) ให้มีและบำรงุ ทางบกและทางนํ้า
3) รักษาความสะอาดของถนนหรือทางเดินและที่สาธารณะรวมท้ังการกำจัดขยะ

มลู ฝอยและส่งิ ปฏิกลู
4) ปองกนั และระงับโรคติดตอ่
5) ใหม้ เี ครื่องใช้ในการดบั เพลิง
6) ใหร้ าษฎรไต้รับการศกึ ษาอบรม
7) สง่ เสรมิ การพฒั นาสตรี เดก็ เยาวชน ผูส้ งู อายุ และผู้พกิ าร
8) บำรงุ ศิลปะ จารตี ประเพณี ภมู ิปัญญาห้องถ่นิ และวฒั นธรรมอันดขี องท้องถิ่น
9) หน้าทอ่ี ืน่ ตามที่กฎหมายบญั ญัติให้เป็นหนา้ ท่ขี องเทศบาล

1.2 ภายใตบ้ ังคับแห่งกฎหมาย เทศบาลเมอื ง มีหนา้ ท่ีต้องทำในเขตเทศบาล ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) กจิ การตามที่ระบไุ ว้ในมาตรา 50
2) ใหม้ นี ำ้ สะอาดหรอื การประปา
3) ใหม้ ีโรงฆา่ สตั ว์
4) ใหม้ ีและบำรงุ สถานท่ที ำการพิทักษ์และรักษาคนเจบ็ ไข้
5) ให้มแี ละบำรงุ ทางระบายน้ำ
6) ใหม้ ีและบำรงุ ส้วมสาธารณะ
7) ใหม้ แี ละบำรงุ การไฟฟา้ หรอื แสงสวา่ งโดยวธิ อี ่ืน
8) ให้มีการดำเนินกิจการโรงรบั จำนำหรือสถานสินเช่ือท้องถน่ิ

1.3 ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย เทศบาลเมือง อาจจัดทำกิจการใด ๆ ในเขตเทศบาล
ดงั ต่อไปนี้

1) ให้มีตลาด ทา่ เทียบเรือและทา่ ข้าม
2) ให้มสี สุ านและฌาปนสถาน
3) บำรุงและสง่ เสรมิ การทำมาหากนิ ของราษฎร
4) ใหม้ แี ละบำรงุ การสงเคราะหม์ ารดาและเดก็

62

5) ใหม้ ีและบำรงุ โรงพยาบาล
6) ให้มีการสาธารณปู การ
7) จดั ทำกจิ การซึ่งจำเปน็ เพอ่ื การสาธารณสุข
8) จดั ตงั้ และบำรงุ โรงเรียนอาชวี ศึกษา
9) ให้มีและบำรุงสถานทสี่ ำหรบั การกฬี าและพลศึกษา
10) ให้มแี ละบำรงุ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสถานทีพ่ กั ผ่อนหย่อนใจ
11) ปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรม และรกั ษาความสะอาดเรียบร้อยของห้องถิ่น
12) เทศพาณิชย์
1.4 ภายใตบ้ งั คับแห่งกฎหมาย เทศบาลนครมหี นา้ ที่ตอ้ งทำในเขตเทศบาล ดังตอ่ ไปน้ี
1) กจิ การตามที่ระบุไว้ในมาตรา 53
2) ให้มแี ละบำรงุ การสงเคราะหม์ ารดาและเด็ก
3) กิจการอย่างอ่ืนซง่ึ จำเป็นเพ่อื การสาธารณสุข
4) การควบคุมสุขลักษณะและอนามัยในร้านจำหน่ายอาหาร โรงมหรสพ และสถาน
บรกิ ารอน่ื
5) จัดการเก่ยี วคับท่อี ยูอ่ าศยั และการปรับปรงุ แหลง่ เสื่อมโทรม
6) จดั ใหม้ ีและควบคมุ ตลาด ท่าเทียบเรือ ทา่ ข้ามและที่จอดรถ
7) การวาผงั เมืองและการควบคมุ การกอ่ สร้าง
8) การส่งเสริมกจิ การการท่องเท่ียว
2. อำน าจหน้าที่ที่เลือกปฏิบัติเทศบาลใน การจัดระบบ การบ ริการสาธารณ ะ
เพ่ือประโยชน์ ของประชาชนในท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจฯ
พ.ศ.2542 ดังนี้
1) การจดั ทำแผนพฒั นาทอ้ งถิน่ ของตนเอง
2) การจดั ให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางนำ้ และทางระบายน้ำ
3) การจดั ให้มแี ละควบคมุ ตลาด ทา่ เทยี บเรอื ทา่ ข้าม และที่จอดรถ
4) การสาธารณปู โภคและการก่อสร้างอน่ื ๆ
5) การสาธารณปู การ
6) การส่งเสรมิ การฝึกและประกอบอาชพี
7) การพาณชิ ย์ และการล่งเสรมิ การลงทุน
8) การส่งเสรมิ การท่องเท่ียว
9) การจดั การศึกษา
10) การสงั คมสงเคราะห์ และการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อยโอกาส

63

11) การบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของ
ท้องถ่นิ

12) การปรบั ปรุงแหล่งชุมชนแออัด และการจดั การเก่ียวกับทีอ่ ยูอ่ าศัย
13) การจัดใหม้ ีและบำรงุ รักษาสถานที่พกั ผ่อนหย่อนใจ
14) การล่งเสริมกีฬา
15) การส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน
16) ส่งเสรมิ การมสี ่วนรว่ มของราษฎรในการพัฒนาท้องถ่ิน
17) การรักษาความสะอาด และความเป็นระเบยี บเรยี บร้อยของบ้านเมือง
18) การกำจัดมูลฝอย สิง่ ปฏกิ ลู และน้ำเสยี
19) การสาธารณสุข การอนามยั ครอบครัว และการรกั ษาพยาบาล
20) การจัดให้มแี ละควบคมุ สสุ านและฌาปนสถาน
21) การควบคุมการเลี้ยงสัตว์
22) การจัดให้มแี ละควบคุมการฆ่าสัตว์
23) การรักษาความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัยโรงมหรสพ แล
สาธารณสถานอ่นื ๆ
24) การจัดการการบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากปาไม้ท่ีดิน ทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อม
25) การผังเมือง
26) การขนส่งและการวศิ วกรรมจราจร
27) การดแู ลรักษาทีส่ าธารณะ
28) การควบคมุ อาคาร
29) การปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั
30) การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและรักษาความ
ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สนิ
31) กิจการอน่ื ใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามท่ีคณะกรรมการประกาศ
กำหนด
ประโยชน์ท่ปี ระชาชนไดร้ ับจากองคก์ ารปกครองสว่ นท้องถ่นิ
1. ใหม้ ตี ลาดท่าเทยี บเรอื และท่าขา้ ม
2. ใหม้ ีสุสานและฌาปนสถาน
3. บำรงุ และสง่ เสริมการทำมาหากินของราษฎร
4. ใหม้ แี ละบำรงุ การสงเคราะหม์ ารดาและเด็ก
5. ให้มีและบำรุงโรงพยาบาล

64

6. ใหม้ กี ารสาธารณปู การ
7. จดั ทำกจิ การซ่ึงจำเป็นเพ่ือการสาธารณสขุ
8. จดั ต้งั และบำรุงโรงเรียนอาชวี ศกึ ษา
9. ใหม้ แี ละบำรุงสถานท่สี ำหรับการกฬี าและพลศึกษา
10. ให้มีและบำรุงสวนสาธารณะ สวนสตั ว์ และสถานที่พกั ผอ่ นหย่อนใจ
11. ปรับปรุงแหลง่ เสื่อมโทรม และรกั ษาความสะอาดเรยี บร้อยของท้องถิ่น

1.3) องค์การบรหิ ารส่วนตำบล
องค์การบริหารส่วนตำบล มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นราชการบริหารส่วนท้องถ่ิน
รูปแบบหน่ึง ซึ่งจัดต้ังขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 และ
ท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมจนถึง ฉบับที่ 6 พ.ศ.2552 โดยยกฐานะจากสภาตำบลที่มีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนุน
ในปงี บประมาณทล่ี ว่ งมาติดต่อกัน สามปีเฉลี่ยไม่ต่ํากว่าปีละหน่ึงแสนห้าหมน่ื บาท

โครงสร้างองค์การบริหารสว่ นตำบล

65

องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การ
บริหารสว่ น ตำบล พ.ศ.2537 และแก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี 3 พ.ศ. 2542) ดงั นี้

1. พัฒนาตำบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สงั คม และวัฒนธรรม (มาตรา 66)
2. มหี นา้ ท่ตี อ้ งปฏบิ ัติให้กบั ตำบล (มาตรา 67) ดังนี้

1) จดั ให้มีและบำรุงทางนำ้ และทางบก
2) การรักษาความสะอาดของถนน ทางน้ํา ทางเดินและที่สาธารณะ รวมทั้งการ
กำจดั ขยะมลู ฝอย และสงิ่ ปฏิกูลป้องกนั โรคและระงบั โรคตดิ ตอ่
3) ปอ้ งกนั โรคและระงับโรคติดต่อ
4) ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั
5) ส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
6) สง่ เสริมการพฒั นาสตรี เด็กและเยาวชน ผสู้ ูงอายแุ ละผู้พกิ าร
7) คุม้ ครอง ดูแลและบำรงุ รกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม
8) บำรุงรกั ษาศลิ ปะ จารีตประเพณี ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถิ่นและวฒั นธรรมอันดขี องทอ้ งถน่ิ
9) ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีอน่ื ตามทท่ี างราชการมอบหมาย
3. มหี นา้ ท่ีที่อาจทำกจิ กรรมในเขต อบต. ตามมาตรา 68 ดงั นี้
1) ใหม้ ีนา้ํ เพ่อื การอปุ โภค บริโภคและการเกษตร
2) ให้มีและบำรุงไฟฟา้ หรือแสงสว่างโดยวิธอี ื่น
3) ใหม้ แี ละบำรุงรกั ษาทางระบายนา้ํ
4) ใหม้ ีและบำรุงสถานทีป่ ระชุม การกฬี า การพักผอ่ นหยอ่ นใจและสวนสาธารณะ
5) ใหม้ แี ละสง่ เสรมิ กลมุ่ เกษตรกร และกิจการสหกรณ์
6) สง่ เสริมใหม้ อี ุตสาหกรรมในครอบครวั
7) บำรงุ และส่งเสรมิ การประกอบอาชีพ
8) การค้มุ ครองดแู ลและรักษาทรพั ยส์ นิ อันเป็นสาธารณสมบตั ชิ องแผ่นดิน
9) หาผลประโยชน์จากทรัพยส์ นิ ของ อบต.
10) ใหม้ ีตลาด ท่าเทยี บเรือ และทา่ ข้าม
11) กจิ การเกีย่ วกับการพาณชิ ย์
12) การท่องเท่ียว
13) การผงั เมือง
ประโยชน์ทปี่ ระชาชนไดร้ ับจาก อบต.
พระราชบัญญัติกำหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอำนาจให้แก,องค์กรปกครองท้องถิ่น
พ.ศ.2542 กำหนดให้ อบต. มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดระบบการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ ของ
ประชาชนในทอ้ งถน่ิ ของตนเอง (มาตรา 16) ดังนี้

66

1. การจดั ทำแผนพัฒนาท้องถิน่ ของตนเอง
2. การจัดให้มีและบำรงุ รักษาทางบกทางนา้ํ และทางระบายนา้ํ
3. การจดั ใหม้ ีและควบคุมตลาด ท่าเทยี บเรือ ท่าขา้ ม และทจี่ อดรถ
4. การสาธารณปู โภค และการก่อสร้างอื่น ๆ
5. การสาธารณปู การ
6. การสง่ เสริม การฝกึ และการประกอบอาชีพ
7. คุ้มครอง ดแู ล และบำรงุ รักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อม
8. การส่งเสรมิ การทอ่ งเทีย่ ว
9. การจดั การศกึ ษา
10. การสงั คมสงเคราะห์ และการพฒั นาคณุ ภาพชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ดอ้ ยโอกาส
11. การบำรงุ รักษาศลิ ปะ จารตี ประเพณี ภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ และวัฒนธรรมอนั ดขี องทอ้ งถ่ิน
12. การปรบั ปรงุ แหล่งชมุ ชนแออัด และการจัดการเกยี่ วกับทีอ่ ย่อู าศยั
13. การจดั ใหม้ ี และบำรุงรักษาสถานทพ่ี กั ผอ่ นหย่อนใจ
14. การส่งเสริมกฬี า
15. การส่งเสรมิ ประชาธิปไตย ความเสมอภาค และสทิ ธเิ สรีภาพของประชาชน
16. สง่ เสริมการมสี ว่ นรว่ มของราษฎรในการพฒั นาทอ้ งถิน่
17. การรกั ษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยของบ้านเมือง
18. การกำจัดมลู ฝอย ส่ิงปฏกิ ลู และนาํ้ เสีย
19. การสาธารณสขุ การอนามยั ครอบครวั และการรกั ษาพยาบาล
20. การจดั ใหม้ ี และควบคมุ สสุ าน และฌาปนสถาน
21. การควบคมุ การเลีย้ งสัตว์
22. การจัดให้มี และควบคุมการฆา่ สตั ว์
23. การรักษาความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัย โรงมหรสพ และ
สาธารณสถานอ่นื ๆ
24. การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ท่ีดิน ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม
25. การผังเมือง
26. การขนสง่ และการวศิ วกรรมจราจร
27. การดูแลรกั ษาท่สี าธารณะ
28. การควบคมุ อาคาร
28. การปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย

67

30. การรักษาความสงบเรียบร้อย การส่งเสริมและสนับสนุนการป้องกันและรักษาความ
ปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ ิน

31. กิจอน่ื ใดที่เป็นผลประโยชนข์ องประชาชนในท้องถ่นิ ตามทค่ี ณะกรรมการประกาศกำหนด

1

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 8
การจดั การศกึ ษาจังหวัดนครศรีธรรมราช

สาระสำคัญ
การจัดการศึกษาจังหวดั นครศรีธรรมราช ท้ังการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ

การศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญ ด้านความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้
และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ซ่ึงสถานศึกษาและหน่วยงาน
ทีเ่ กย่ี วขอ้ งดำเนนิ การจัดการศึกษาใหส้ อดคล้องกับบริบทและเออื้ ตอ่ ความต้องการของผูเ้ รยี น

ตัวช้วี ัด

1. อธิบายความเปน็ มาของการศึกษาในจงั หวดั นครศรีธรรมราช
2. อธบิ ายการจดั การศกึ ษาในจังหวดั นครศรีธรรมราช
3. ระบหุ นว่ ยงานการศกึ ษาและสถานศึกษาท่จี ัดการศึกษา

ขอบข่ายเนือ้ หา
เร่ืองท่ี 1 ความเป็นมาของการศึกษาในจังหวัดนครศรีธรรมราช
เรอื่ งที่ 2 การจัดการศึกษาในจังหวดั นครศรีธรรมราช
เรอ่ื งที่ 3 หน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาท่จี ัดการศึกษา

เวลาทใี่ ช้ในการศึกษา 6 ช่วั โมง

สอ่ื การเรยี นรู้
1. ชุดวิชานครศรธี รรมราชศึกษา รหสั รายวชิ า สค3300168
2. สมุดบันทึกกจิ กรรมการเรียนรู้ประกอบชุดวิชานครศรีธรรมราชศึกษา
รหัสรายวชิ า สค3300168
3. สื่อเสริมการเรียนรอู้ นื่ ๆ

2

เรือ่ งที่ 1 ความเปน็ มาของการศึกษาในจงั หวดั นครศรธี รรมราช

ความเปน็ มาของการศึกษาในจงั หวัดนครศรีธรรมราช มีรายละเอยี ด ดงั น้ี
เมื่อ พ.ศ.2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ เวลา
ที่ประทั บแรม อยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พ ระมหาม่วงได้เข้าเฝ้าห ลายคร้ัง ท รงไต่ถามถึง
การพระพุทธศาสนาในจังหวัดน้ี ท่านได้ชี้แจงเป็นท่ีชอบพระอัธยาศัย ทรงเห็นว่าเป็นผู้ทรงธรรมวินัย
อนั น่าเลื่อมใสหลายประการ และทราบว่าเป็น สหชาติ (ผู้เกิดในวัน เดือน ปเี ดยี วกับพระองค)์ จึงทรงต้ังให้เป็น
พระราชาคณะ มีราชทินนามว่า พระศิริธรรมมุนี ใน พ.ศ.2442 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เป็นผู้อำนวยการ
ศึกษา เป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช ตลอดไปจนถึงปัตตานีด้วย ได้จัดตั้งคณะสงฆ์ การศึกษาและการ
ศาสนา จึงเกิดผลสมพระราชประสงค์ ดังปรากฏในรายงาน การศึกษา ร.ศ.119 ลงวันท่ี 17 พฤษภาคม พ.ศ.
2443 จำนวนโรงเรียน ซ่ึงท่านได้ต้ังท้ังหมด 21 แห่ง โดยโรงเรียนหลวงหลังแรกต้ังอยู่ที่วัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช มีช่ือว่า “สุขุมภิบาลวิทยา” ท้ังน้ีเพื่อให้สอดคล้องกับผู้อุปถัมภ์โรงเรียน คือ
พระยาสุขุมนัยวินิต (ป้ัน สุขุม) สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราชในสมัยนั้น นับเป็นโรงเรียนหลวงแห่ง
แรกของจังหวัดนครศรีธรรมราช และภาคใต้
ในปีการศึกษา 2447 ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชก็เร่ิมให้ความสนใจ ส่งบุตรหลานเข้าเรียน
มากขึ้น พระศิริธรรมมุนี (ม่วง รตั นธโช) จึงได้สร้างอาคารเรยี นเพ่มิ เติมข้ึนอีก 1 หลัง และได้เปล่ียนชื่อโรงเรียน
มาเปน็ “ศรีธรรมราช” โดยประสงค์ใหเ้ ป็นโรงเรียนประจำจังหวัดนครศรธี รรมราช และโอนกิจการให้กรรมการ
การดำเนินการเรียนการสอนก็เปล่ียนไปตามแบบกรมศึกษาธิการ ขยายเวลาเรียนออกเป็น 5 ปี ต้ังแต่ชั้นมูล
จนถึงมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 และยังได้เปิดแผนกฝึกหดั ครูขึ้นในโรงเรยี นอีกดว้ ย ด้านการเรียนการสอน เรม่ิ เปิดสอน
ในระดับประถมศึกษาก่อน แล้วจึงขยายชั้นเรียนถึงระดับมัธยมศึกษา ครั้นเม่ือจำนวนนักเรียนเพ่ิมข้ึน จึงย้าย
แผนกประถมไปเรียน ณ วัดท่ามอญ หรือวัดศรีทวีในปัจจุบัน นอกจากแผนกประถม และมัธยมศึกษา
ทางโรงเรียนยังเปิดสอนแผนกฝึกหัดครู ซึ่งเรียกในสมัยนั้นว่า โรงเรียนฝึกหัดครูมณฑล และมีโรงเรียนช่างถม
อีกแผนกหนึ่งด้วย จึงเป็นเหตุให้สถานที่เรียนไม่พอ ทางโรงเรยี นแก้ปัญหาโดยใหน้ ักเรียนมัธยมปีที่ 1 ไปเรียนท่ี
วัดศรีทวี และวัดจันทาราม พ.ศ.2468 แผนกฝึกหัดครู ยกเลิกไป ส่วนโรงเรียนช่างถมแยกออกไปเป็น โรงเรียน
ศิลปหตั ถกรรม หรอื วิทยาลัยศิลปหตั ถกรรมนครศรีธรรมราช ในปัจจบุ ัน
ปี พ.ศ.2456 พระธรรมโกษาจารย์ (ม่วง รัตนธโช) ได้สร้างตึกชั้นเดียวให้เป็นสถานที่เรียน
ณ บริเวณกำแพงวดั ท่าโพธิ์ทางด้านทศิ ใต้ และได้เปลย่ี นชื่อโรงเรียนเป็น “เบญจมราชทู ิศ” อันเปน็ มงคลนามท่ี
ได้รับพระราชทาน จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันมีความหมายว่า “อุทิศถวายเป็นพระราช
กุศลแด่รัชกาลท่ี 5” เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและอุทิศส่วนกุศลในพระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั

3

ปี พ.ศ.2476 ด้วยเหตุท่ีโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ซึ่งตั้งอยู่ในวัดท่าโพธิ์ มีเนื้อท่ีคับแคบ ไม่อาจขยาย
เนื้อที่ เพื่อสร้างอาคารใหม่เพ่ิมเติมได้ จึงได้ย้ายไปปลูกสร้างยังบริเวณวดั พระสูง บนเนื้อท่ี 8 ไร่ และแล้วเสร็จ
เม่ือปี พ .ศ.2479 ในปี พ .ศ.2490 เปิ ดสอนระดับ เตรียมอุดมศึกษ า มีท้ั งแผนกวิท ยาศาสตร์
แผนกอักษรศาสตร์ แต่ในปี พ.ศ.2504 ได้ย้ายแผนกอักษรศาสตร์ไปเรียนที่โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช
ปี พ.ศ.2507 โรงเรียนเปิดรับสมัครนักเรียนช้ัน ม.ศ.1 แทนการรับเข้าเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1
อยา่ งเดิม

ปี พ.ศ.2514 โรงเรียนได้เข้าโครงการโรงเรียนมัธยมแบบประสมและได้จัดซ้ือที่ดินบริเวณ
หมู่ท่ี 3 ตำบลโพธิ์เสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้งบประมาณก่อสร้างประมาณ 30 ล้านบาท
และได้ยา้ ยมาทเ่ี รยี นใหม่ในปี พ.ศ.2519

ในปี พ.ศ.2523 โรงเรียนได้จัดสร้างรูปหล่อพระรัตนธัชมุนี (ม่วง รัตนธโช) ผู้ให้กำเนิดโรงเรียน และ
อัญเชิญจากวิหารหลวงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นสถานท่ีหล่อมาประดิษฐานไว้ ณ ศาลา
หน้าอาคาร 1 วันท่ี 22 กันยายน พ.ศ.2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามบรมราชกุมาร เสด็จแทนพระองค์ทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปิดหอสมุดเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนาง เจ้าฯ
พระบรมราชินีนาถ

เร่ืองที่ 2 การจัดการศกึ ษาในจงั หวัดนครศรีธรรมราช

การจัดการศกึ ษาในจงั หวัดนครศรธี รรมราช มีรายละเอียดดังน้ี
การจดั การศึกษาในจงั หวัดนครศรีธรรมราช จัดตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542
(และแกไ่ ขเพ่ิมเตมิ 2545,2553) ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี 14 สงิ หาคม พ.ศ.2542
ระบบการศึกษา ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการจัดการศึกษาสามรูปแบบ คือ การศึกษา
ในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 1) การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาท่ีกำหนด
จุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษาหลักสูตรระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเง่ือนไขของ
การสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน 2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาท่ีมีความยืดหยุ่นในการกำหนด
จุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการ จัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไข
สำคญั ของการสำเร็จการศกึ ษา โดยเนอ้ื หาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหาและ
ความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม 3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาท่ีให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง
ตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อม และโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม
สอ่ื หรอื แหลง่ ความรูอ้ น่ื ๆ
สถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรปู แบบหน่ึงหรอื ทง้ั สามรปู แบบก็ได้ ให้มีการเทียบโอน ผล
การเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ในระหว่างรูปแบบเดียวกั นหรือต่างรูปแบบได้ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียน
จากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม รวมท้ังจากการเรียนรู้นอกระบบ ตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพ หรือจาก

4

ประสบการณ์การทำงาน การศกึ ษาในระบบมี 2 ระดับ คือ การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานและการศกึ ษาระดับอดุ มศึกษา
การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน ประกอบด้วย การจัดการศึกษาซึ่งจดั ไมน่ ้อยกวา่ สิบสองปีก่อนระดบั อุดมศึกษา การศึกษา
ข้นั พ้ืนฐานแบง่ ระดบั และประเภทการจัดการศึกษา ออกเป็น 3 ระดบั ดงั น้ี

1) การศึกษาก่อนระดับประถมศึกษา โดยปกติเป็นการจัดการศึกษาให้แก่เด็กอายุสามปีถึงหกปี
เพื่อเป็นการวางรากฐานชีวิตและการเตรียมความพร้อมของเด็กท้ังร่างกายและจิตใจ สติปัญญา อารมณ์
บุคลกิ ภาพ และการอยูร่ ว่ มในสังคม

2) การศึกษาระดับประถมศึกษา เป็นการศกึ ษาที่มุ่งวางรากฐานเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะ
ทพ่ี ึงประสงค์ ทัง้ ในด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ความรู้และความสามารถขนั้ พื้นฐานโดยปกตใิ ชเ้ วลาเรียนหกปี

3) การศึกษาระดบั มัธยมศึกษา แบ่งเปน็ สองระดบั ดังน้ี
(ก) การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นการศึกษาท่ีมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาคุณลักษณะ

ที่พึงประสงค์ในด้านต่าง ๆ ต่อจากระดับประถมศึกษา เพื่อให้รู้ความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของ
ตนเอง ท้ังในด้านวิชาการและวิชาชพี ตลอดจนความสามารถในการประกอบการงาน และอาชีพตามควรแก่วัย
โดยปกตใิ ช้เวลาเรยี นสามปี

(ข) การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการศึกษาท่ีมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาตาม
ความถนัดและความสนใจ เพื่อเป็นพ้ืนฐานสำหรับการศึกษาต่อหรือการประกอบอาชีพรวมท้ังการพัฒ นา
คุณธรรม จรยิ ธรรม และทักษะทางสังคมทจ่ี ำเปน็ โดยปกติใช้เวลาเรียนสามปี

การศกึ ษาระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย แบง่ เปน็ สองประเภท ดงั นี้
1. ประเภทสามัญศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามความถนัดความสนใจ
ศกั ยภาพ และความสามารถพเิ ศษเฉพาะดา้ น เพอ่ื เปน็ พน้ื ฐานสำหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
2. ประเภทอาชีวศึกษา เป็นการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ
ให้เป็นกำลงั แรงงานที่มฝี ีมือ หรอื ศกึ ษาตอ่ ในระดบั อาชพี ข้นั สงู ต่อไป
การศึกษาระดบั อดุ มศกึ ษาแบง่ เปน็ สองระดับ คือ ระดบั ต่ำกว่าปรญิ ญาและระดบั ปริญญา
การแบ่งระดับหรือการเทียบระดับการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษานอก
ระบบใหแ้ บง่ ออกเป็นสองระดับ ดังน้ี
1. การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ

(ก) การศกึ ษาระดบั ก่อนประถมศึกษา
(ข) การศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา

(ค) การศึกษาระดับมัธยมศึกษา แบ่งออกเป็นสองระดับ คือ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
และการศกึ ษาระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย โดยแบ่งออกเปน็ ประเภทสามัญศึกษา และประเภทอาชวี ศกึ ษา

2. การศึกษาระดบั อดุ มศกึ ษา แบง่ ออกเปน็ สองระดบั คือ
(ก) การศึกษาระดบั ตำ่ กวา่ ปรญิ ญา

5

(ข) การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญา
การศึกษาภาคบังคับจำนวนเก้าปี โดยให้เด็กซึ่งมีอายุย่างเข้าปีท่ีเจ็ด เข้าเรียนในสถานศึกษาขั้น
พื้นฐาน จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก เว้นแต่สอบได้ช้ันปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ หลักเกณฑ์และวิธีการนับ
อายใุ หเ้ ปน็ ไป ตามทกี่ ำหนดในกฎกระทรวง
การจดั การศึกษาปฐมวยั และการศึกษาข้นั พนื้ ฐานใหจ้ ดั ในสถานศกึ ษาดงั ต่อไปน้ี
1. สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนเกณฑ์
ของ สถาบันศาสนา ศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมของเด็กพิการและเด็กซึ่งมีความต้องการพิเศษ หรื อ
สถานพฒั นาเดก็ ปฐมวัยทเ่ี รียกช่ืออย่างอืน่
2. โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนที่สังกัดสถาบันพุทธศาสนาหรือ
ศาสนาอื่น
3. ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานท่ีเรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียนบุคคล ครอบครัว
ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชี พ สถาบันศาสนา
สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์และสถาบันสังคมอ่ืนเป็นผู้จัด
การจดั การศึกษาระดับอุดมศึกษาให้จดั ในมหาวิทยาลยั สถาบนั วทิ ยาลัย หรอื หน่วยงานทีเ่ รียกชือ่ อย่างอน่ื ทัง้ น้ี
ให้เป็นไปตามกฎหมายเก่ียวกับสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษา
นนั้ ๆและกฎหมายที่เก่ยี วข้อง
การจัดการอาชีวศึกษา การฝึกกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ สถานศึกษาของเอกชน
สถานประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ ทั้งน้ีให้เป็นไปตาม
กฎหมายวา่ ด้วยการอาชีวศกึ ษาและกฎหมายทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

เรอ่ื งท่ี 3 หนว่ ยงานการศึกษาและสถานศึกษาที่จัดการศึกษา

หน่วยงานการศึกษาและสถานศึกษาท่ีจัดการศึกษาท้ัง 3 ระดับ ได้แก่ หน่วยงานการศึกษาสังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน หน่วยงานการศกึ ษาสังกัดสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริม
การศึกษาเอกชน หน่วยงานการศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
หน่วยงานการศึกษาสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช หน่วยงานการศึกษาสังกัดองค์การ
บริหารส่วนตำบล (อบต.) หน่วยงานการศึกษาสังกัดเทศบาล หน่วยงานการศึกษาสังกัดอาชีวศึกษา (รัฐบาล)
หน่วยงานการศึกษาสังกัดอาชีวศึกษา (เอกชน) หน่วยงานการศึกษาสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หน่วยงานการศึกษาสังกัดสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
หน่วยงานการศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีสถานศึกษาในสังกัด หน่วยงานการศึกษาสังกัด
มหาวทิ ยาลัยการกีฬาแห่งชาติ สงั กัดกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 42 มรี ายละเอยี ดดงั นี้

หน่วยงานการศกึ ษาและสถานศึกษาทีจ่ ัดการศึกษาทั้ง 3 ระดับ ดงั นี้
1. สงั กดั สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ประกอบดว้ ย

6

1.1 สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 1 มีสถานศึกษาใน
สงั กดั จำนวน 110 โรงเรยี นประกอบด้วย

1) อำเภอเฉลมิ พระเกียรติ จำนวน 15 โรงเรียน
2) อำเภอพระพรหม จำนวน 16 โรงเรยี น
3) อำเภอเมอื ง จำนวน 57 โรงเรยี น
4) อำเภอลานสกา จำนวน 22 โรงเรียน
1.2 สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 2 มีสถานศึกษาใน
สังกัด จำนวน 189 โรงเรยี นประกอบดว้ ย
1) อำเภอท่งุ สง จำนวน 47 โรงเรยี น
2) อำเภอทงุ่ ใหญ่ จำนวน 38 โรงเรยี น
3) อำเภอฉวาง จำนวน 29 โรงเรยี น
4) อำเภอถ้าํ พรรณรา จำนวน 12 โรงเรียน
5) อำเภอนาบอน จำนวน 14 โรงเรียน
6) อำเภอบางขนั จำนวน 20 โรงเรียน
7) อำเภอพิปนู จำนวน 13 โรงเรียน
8) อำเภอชา้ งกลางจำนวน 16 โรงเรียน

1.3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 3 มีสถานศึกษา
ในสงั กดั จำนวน 240 โรงเรียน ประกอบดว้ ย

1) อำเภอจฬุ าภรณ์ จำนวน 19 โรงเรียน
2) อำเภอชะอวด จำนวน 52 โรงเรียน
3) อำเภอเชียรใหญ่ จำนวน 33 โรงเรียน
4) อำเภอปากพนงั จำนวน 57 โรงเรยี น
5) อำเภอร่อนพิบูลย์ จำนวน 41 โรงเรยี น
6) อำเภอหวั ไทร จำนวน 38 โรงเรยี น
1.4 สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 4 มีสถานศึกษาใน
สงั กดั จำนวน 140 โรงเรียนประกอบดว้ ย
1) อำเภอขนอม จำนวน 17 โรงเรยี น
2) อำเภอทา่ ศาลา จำนวน 53 โรงเรยี น
3) อำเภอนบพิตำ จำนวน 12 โรงเรยี น
4) อำเภอพรหมครี จี ำนวน 18 โรงเรยี น
5) อำเภอสชิ ล จำนวน 40 โรงเรยี น

7

1.5 สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 มีสถานศึกษาในสังกัด จำนวน
71 โรงเรยี น ประกอบดว้ ย

1) อำเภอเฉลิมพระเกยี รติ จำนวน 2 โรงเรยี น
2) อำเภอพระพรหม จำนวน 3 โรงเรียน
3) อำเภอเมอื ง จำนวน 8 โรงเรียน
4) อำเภอลานสกา จำนวน 2 โรงเรียน
5) อำเภอทุ่งสง จำนวน 5 โรงเรยี น
6) อำเภอทุง่ ใหญ่ จำนวน 5 โรงเรยี น
7) อำเภอฉวาง จำนวน 2 โรงเรยี น
8) อำเภอถำ้ พรรณรา จำนวน 1 โรงเรียน
9) อำเภอนาบอน จำนวน 1 โรงเรียน
10) อำเภอบางขัน จำนวน 2 โรงเรียน
11) อำเภอพปิ ูน จำนวน 2 โรงเรยี น
12) อำเภอข้างกลาง จำนวน 1 โรงเรยี น
13) อำเภอจฬุ าภรณ์ จำนวน 1 โรงเรยี น
14) อำเภอชะอวด จำนวน 5 โรงเรยี น
15) อำเภอเชียรใหญ่ จำนวน 4 โรงเรียน
16) อำเภอปากพนงั จำนวน 4 โรงเรยี น
17) อำเภอรอ่ นพบิ ูลย์ จำนวน 5 โรงเรียน
18) อำเภอหัวไทร จำนวน 5 โรงเรียน
19) อำเภอขนอม จำนวน 2 โรงเรียน
20) อำเภอท่าศาลา จำนวน 3 โรงเรียน
21) อำเภอนบพิตำ จำนวน 2 โรงเรยี น
22) อำเภอพรหมคีรี จำนวน 2 โรงเรยี น
23) อำเภอสิชล จำนวน 4 โรงเรยี น
2. สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประกอบด้วย สำนักงานศึกษาธิการ
จงั หวัดนครศรีธรรมราชมีสถานศึกษาเอกชนในสงั กดั จำนวน 139 โรงเรยี น
3. ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน
24 แห่ง
1) กศน.อำเภอเฉลมิ พระเกยี รติ
2) กศน.อำเภอพระพรหม
3) กศน.อำเภอเมอื ง

8

4) กศน.อำเภอลานสกา
5) กศน.อำเภอทงุ่ สง
6) กศน.อำเภอทุ่งใหญ่
7) กศน.อำเภอฉวาง
8) กศน.อำเภอถํา้ พรรณรา
9) กศน.อำเภอนาบอน
10) กศน.อำเภอบางขัน
11) กศน.อำเภอพปิ ูน
12) กศน.อำเภอช้างกลาง
13) กศน.อำเภอจุฬาภรณ์
14) กศน.อำเภอชะอวด
15) กศน.อำเภอเชียรใหญ่
16) กศน.อำเภอปากพนงั
17) กศน.อำเภอร่อนพิบลู ย์
18) กศน.อำเภอหัวไทร
19) กศน.อำเภอขนอม
20) กศน.อำเภอทา่ ศาลา
21) กศน.อำเภอนบพิตำ
22) กศน.อำเภอพรหมครี ี
23) กศน.อำเภอสิชล
24) สำนกั งานการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จงั หวดั นครศรธี รรมราช (กศน.นศ.)
4. สังกัดองค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั นครศรีธรรมราช
มีสถานศึกษาในสงั กดั จำนวน 5 โรงเรยี น
5. สงั กัดเทศบาล
มีสถานศึกษาในสงั กัด จำนวน 42 โรงเรียน
6. สงั กดั องค์การบริหารสว่ นตำบล (อบต.)
มสี ถานศกึ ษาในสงั กัด จำนวน 399 โรงเรยี น
7. สังกัดอาชีวศกึ ษา (รัฐบาล) มีสถานศึกษาในสังกัด จำนวน 11 โรงเรยี น
1) วิทยาลยั อาชวี ศกึ ษานครศรีธรรมราช
2) วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรธี รรมราช
3) วทิ ยาลัยเทคนิคนครศรีธรรมราช
4) วทิ ยาลยั เทคนคิ ทุ่งสง

9

5) วทิ ยาลัยเทคนคิ สิชล
6) วิทยาลยั การอาชีพนครศรธี รรมราช
7) วิทยาลยั การอาชพี หัวไทร
8) วทิ ยาลยั การอาชีพพรหมครี ี
9) วทิ ยาลยั สารพดั ชา่ งนครศรีธรรมราช
10) วิทยาลยั เทคโนโลยีและอตุ สาหกรรมการตอ่ เรือนครศรีธรรมราช
11) วทิ ยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรธี รรมราช
8. สงั กัดอาชวี ศกึ ษา (เอกชน) มีสถานศึกษาในสังกัด จำนวน 14 โรงเรียน
1) วิทยาลัยเทคโนโลยธี รุ กิจบัณฑิต
2) วทิ ยาลัยเทคโนโลยีทกั ษณิ อาชีวศึกษา
3) วิทยาลัยเทคโนโลยีเจรญิ มิตรพณิชยการ
4) วิทยาลยั อาชีวศกึ ษานครพณิชยการ
5) วิทยาลัยเทคโนโลยีสถาปัตย์นคร
6) วิทยาลัยเทคโนโลยจี รสั พิชากร
7) วิทยาลัยเทคโนโลยภี าคใต้ (เอส.เทค.)
8) วิทยาลัยเทคโนโลยีรัชต์ภาคย์
9) วิทยาลยั อาชีวศกึ ษาวีรศลิ ปิน
10) วิทยาลัยอาชีวศึกษาพณิชยการศกั ดิศิลปิน
11) โรงเรียนพณิชยการทุ่งสง (ท.ี ซ.ี ซี.)
12) โรงเรยี นประทปี ศาสนพ์ ณิชยการ
13) วิทยาลยั อาชีวศึกษาปากพนัง
14) วิทยาลยั เทคโนโลยพี ณชิ ยการสิชล
9. สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มีสถานศึกษาในสังกัด
จำนวน 5 แห่ง
1) มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลศรวี ชิ ัย วิทยาเขตตรงั
2) มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชยั วทิ ยาเขตนครศรธี รรมราช
3) มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช
4) มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช
5) มหาวทิ ยาลัยวลัยลักษณ์
10. สังกัดสถาบันพระบรมราชชนก ได้แก่ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครศรีธรรมราช

11. สังกัดสถาบันบัณฑติ พฒั นศลิ ป์ กระทรวงวัฒนธรรม มีสถานศึกษาในสงั กดั จำนวน 2 แหง่

10

1) วิทยาลยั นาฏศิลป์นครศรีธรรมราช
2) วิทยาลยั ชา่ งศิลปะนครศรธี รรมราช
12. สงั กดั สำนกั งานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรธี รรมราช มสี ถานศึกษาในสงั กัด จำนวน 5 แหง่
1) พระบรมธาตพุ ิทักษว์ ทิ ยา
2) พระปรยิ ัติธรรมวัดขนาน
3) พระปริยตั ิธรรมวัดไตรวทิ ยาราม
4) พระปรยิ ัติธรรมวัดมะนาวหวาน
5) พระปริยตั ิธรรมสามญั ศกึ ษาวัดสระเรียง
13. สังกัดสำนกั บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ มีสถานศึกษาในสังกดั จำนวน 5 แห่ง
1) ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษจังหวดั นครศรีธรรมราช
2) โรงเรยี นนครศรีธรรมราชปัญญานุกลู จังหวดั นครศรธี รรมราช
3) โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 19 จังหวดั นครศรธี รรมราช
4) โรงเรยี นสำหรับคนพิการทางดา้ นร่างกายและการเคลื่อนไหวของจังหวัดนครศรีธรรมราช
5) โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรธี รรมราช
14. สงั กดั มหาวทิ ยาลยั การกฬี าแห่งชาติ ได้แก่ โรงเรยี นกีฬาจงั หวดั นครศรีธรรมราช
15. สังกัดกองกำกบั การตำรวจ ตระเวนชายแดนท่ี 42 มสี ถานศึกษาในลังกัด จำนวน 3 โรงเรียน
1) บ้านเขาจงั
2) ศกร.ตชด.บา้ นหลังอา้ ยหมี
3) ศกร.ตชด.บา้ นหว้ ยตง

1

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 9
ศาสนาจังหวดั นครศรีธรรมราช

สาระสำคัญ
ศาสนพิธีพิธีกรรมของศาสนาต่าง ๆ ที่ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่นับถือ ได้แก่

ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ มีลักษณ ะสำคัญ ท่ีศาสนิก ชนพึงปฏิบัติตน
อย่างเหมาะสมเมื่อต้องเข้าร่วมพิธีอย่างมีมารยาท เข้าร่วมในศาสนพิธี พิธีกรรมและกิจกรรม
ในวนั สำคญั ทางศาสนาตามที่กำหนด และปฏิบตั ิตนได้ถูกตอ้ ง

ตวั ช้ีวดั

1. สรุปประวัตทิ างศาสนาในจังหวดั นครศรีธรรมราช
2. อธบิ ายและยกตวั อย่างศาสนาท่ชี าวจงั หวัดนครศรธี รรมราชส่วนใหญน่ บั ถือ
3. อธิบายและยกตัวอยา่ งความเชอื่ ทางศาสนาและพิธีกรรมอืน่ ๆ

จังหวดั นครศรีธรรมราช

ขอบขา่ ยเนอ้ื หา
เร่ืองที่ 1 ประวัติทางศาสนาในจังหวดั นครศรีธรรมราช
เรอ่ื งที่ 2 ศาสนาทีช่ าวจังหวัดนครศรธี รรมราชส่วนใหญ่นบั ถือ
2.1 ศาสนาพุทธ
2.2 ศาสนาอสิ ลาม
2.3 ศาสนาคริสต์
เรื่องท่ี 3 ความเช่อื ทางศาสนาและพิธีกรรมอื่น ๆ จังหวัดนครศรีธรรมราช
3.1 ศาลหลกั เมืองนครศรีธรรมราช
3.2 ศาลเจ้า

เวลาทใ่ี ช้ในการศึกษา 9 ช่ัวโมง

สอื่ การเรยี นรู้
1. ชุดวิชานครศรธี รรมราชศกึ ษา รหสั รายวชิ า สค3300168

2

2. สมดุ บันทึกกิจกรรมการเรยี นรู้ประกอบชุดวชิ านครศรีธรรมราชศกึ ษา
รหัสรายวิชา สค3300168

3. สื่อเสริมการเรียนรู้อื่น ๆ
เรอ่ื งที่ 1 ประวตั ิทางศาสนาในจังหวัดนครศรธี รรมราช

ศาสนาทุกศาสนาล้วนมีจุดมุ่งหมายในการจดั ระเบียบสังคมมนุษย์ เพ่ือให้อยู่ร่วมกนั ได้อย่างสันติเกิด
ประโยชน์ทั้งส่วนตนและส่วนรวมเปรียบเสมือนธรรมนูญแห่งชีวิต และอยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์ทุกคนโดยทั่วไป
ด้วยเหตุนีท้ ุกศาสนายอ่ มวางหลักศาสนาไวใ้ หป้ ฏิบตั ิตาม รวมท้ังชี้ให้เป็นประโยชน์และโทษแห่งการปฏิบัติตาม
หรอื ฝา่ ฝืนหลักศาสนานั้น ๆ ไว้แล้วตั้งแต่โบราณกาล ในการน้ีคำขวัญจงั หวดั นครศรีธรรมราช ไดใ้ หค้ วามสำคัญ
กับศาสนาเป็นอยา่ งมาก ดังคำขวญั ประจำเมือง ดังน้ี

เราชาวนครฯ อยูเ่ มอื งพระ ม่นั อยู่ในสัจจะ ศีลธรรม
กอปรกรรมดี มีมานะ พากเพียร ไม่เบยี ดเบียน ทำอนั ตรายผูใ้ ด

ศาสนาเป็นส่ิงที่สำคัญมาก ไม่ว่าศาสนาใด ๆ ก็ตาม ล้วนแต่มีลักษณะสำคัญที่เห มือนกัน
คือ สอนให้ทุกคนเป็นคนดี อยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุข อีกทั้งยังเป็นที่ยึดเหน่ียวทางจิตใจ และมีหลักใน
การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและปลอดภัย ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นเร่ืองที่เก่ียวข้องกับชีวิตของมนุษย์ทุกคน
ไม่ว่ามนุษย์จะเจริญหรือล้าหลังก็ตาม ก็ย่อมมีศาสนาประจำบ้านเมืองประจำหมู่คณะหรืออย่างน้อย
กป็ ระจำตระกูลหรอื ครอบครัว ความสำคญั ของศาสนา มดี ังนี้

1. ศาสนาเป็นเคร่ืองสั่งสอนให้มนุษย์ประพฤติปฏิบัติในทางท่ีถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
สงั คม และประเทศชาติ

2. ศาสนาเปน็ บ่อเกิดแห่งศีลธรรมจรรยาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชอบ อันเป็นเครอ่ื งประกอบ
ให้เกดิ ความสมัครสมานสามัคคี มีเอกลักษณ์ อารยธรรม และวฒั นธรรมอันดงี าม เปน็ ของตนเอง

3. ศาสนาเปน็ เครือ่ งบำบดั ทกุ ขแ์ ละบำรงุ สขุ ให้แกม่ นุษย์ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
4. ศาสนาเปรียบเสมือนดวงประทปี โคมไฟท่ีใหค้ วามสวา่ งไสวแก่เส้นทางการดำเนินชวี ติ ของมนุษย์ผู้
อาศยั อยใู่ นโลก
5. ศาสนาชว่ ยทำให้ชวี ิตครอบครัวอบอนุ่ เป็นแหลง่ ผลติ ทรพั ยากรมนุษยท์ ่ีมคี ุณค่าใหแ้ ก่สงั คม
6. ศาสนาเป็นพลังใจให้มนุษย์สามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญ ไม่หว่ันไหวต่อปัญหาและ
อปุ สรรค ทำใหม้ ีความสงบสุขและผาสกุ ในชวี ติ
7. ศาสนาช่วยยกระดับจิตใจ ทำให้เป็นผู้ควรแก่การเคารพนับถือ อีกท้ังยังช่วยสร้างจิตสำนึกใน
คุณคา่ ของความเปน็ มนุษยใ์ ห้กับคนในสงั คมอกี ดว้ ย

3

8. ศาสนาช่วยสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วยขจัดช่องว่างทางสังคม สร้างความไว้วางใจ
ซึ่งกันและกัน ให้เกิดขึ้น เป็นรากฐานแห่งความสามัคคี การร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชน และสร้าง
ความสงบสขุ ความมนั่ คงให้แก่ชุมขน

9. ศาสนาช่วยให้มนุษย์ได้ประสบความสุขสงบและสันติสขุ ขึ้นสูง จนกระท่ังบรรลุถึงเปา้ หมายสงู สุด
ของชีวติ คือ หมดทุกขโ์ ดยส้นิ เชงิ ได้

10. ศาสนาเป็นมรดกล้ําค่าแห่งมนุษยชาติ เป็นความหวังและวิถีทางสุดท้ายแห่งความอยู่รอดของ
มวลมนุษยชาติ

จากคำขวัญประจำเมืองนครศรีธรรมราชสถานศึกษาสามารถนำมาสู่การปฏิบัติและยกย่องผู้เรียน
ที่ปฏิบตั ิตนไดด้ แี ละเหมาะสม เชน่

เราชาวนครฯ อยู่เมืองพระ ผู้เรียนที่นับถือศาสนาพุทธสามารถสวดมนต์ หรือทำกิจวัตรอ่ืน ๆ
ทางพุทธศาสนาได้ดีและเหมาะสม คดั เลอื กและมอบเกียรติบตั รเพ่อื ยกย่องเชดิ ชเู กียรติ

มั่นอยู่โนสัจจะ ศีลธรรม ผู้เรียนท่ีนับถือทุกศาสนาท่ีปฏิบัติตน มีสัจจะ ได้แก่ มีความซื่อสัตย์
ทั้งทางกาย วาจา และใจ คดั เลอื กและมอบเกยี รติบตั รเพอ่ื ยกย่องเชดิ ชเู กยี รติ

กอปรกรรมดี มีมานะ พากเพียร ผู้เรียนท่ีนับถือทุกศาสนาที่ปฏิบัติตนเป็นคนดีของชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ เป็นพลเมืองดีของสังคม มีความขยันพากเพียรจนประสบความสำเร็จด้านใดก็ได้ท่ีโดดเด่น
คดั เลือกและมอบเกยี รตบิ ัตรเพอ่ื ยกยอ่ งเชิดชเู กียรติ

ไมเ่ บียดเบียนทำอันตรายผู้ใด ผู้เรียนท่ีนบั ถอื ทุกศาสนาท่ีไม่ประพฤติชวั่ ไม่ทำลายผู้อ่ืน มุ่งทำความดี
เจริญด้วยศักดิ์ศรี ตั้งจิตผ่องใส ผูกไมตรี มีมารยาทต่อทุกคน คัดเลือกและมอบเกียรติบัตรเพื่อยกย่อง
เชิดชูเกียรติ สถานศึกษาทุกแห่งสามารถทำป้ายคำขวัญประจำเมืองนครศรีธรรมราช ไว้ในบริเวณสถานศึกษา
เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นได้เห็นทกุ วันและเปน็ แรงจงู ใจในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามคำขวญั ดงั กลา่ ว

ประวตั ิทางศาสนาในจงั หวดั นครศรีธรรมราช
ประวัติของเมืองนครศรีธรรมราช จากการขดุ คน้ และโบราณสถานโบราณวตั ถุตา่ ง ๆ สามารถย้อนไป
ได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์นับพัน ๆ ปี จนกระทั่งเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานบันทึกปรากฏชื่อเป็นท่ี
รู้จักในหมู่นักเดินเรือและพ่อค้าชาวอินเดียอาหรับและจีนในจังหวัดว่า ตามพรลิงค์/กะมะลิง/
ต้ังมาหล่ิง บ้าง ต้ังแต่ช่วง พ.ศ.600-700 และชุมชนนครศรีธรรมราชได้พัฒนาจนเป็นขุมชนใหญ่ รับอิทธิพล
ศาสนาพราหมณ์จากอินเดียตลอดแนวชายฝัง ตั้งแต่เขตสิชลจนถึงเขตตำบลท่าเรือของอำเภอเมือง
ในปัจจุบันมีโบราณสถานหลงเหลืออยู่มากมาย โดยเฉพาะท่ีบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เขาคา และ
เขตอำเภอสิชล ซ่ึงได้ค้นพบเทวรูปพระวิษณุศิลา ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ คือ ประมาณ
พุทธศตวรรษท่ี 9 - 10 กับยังพบศิลาจารึกขนาดใหญ่ ที่เก่าแก่ท่ีสุดหลักหนึ่งของประเทศไทย คือ มีอายุครั้ง
พทุ ธศตวรรษที่ 11 ณ หุบเขาชอ่ งคอยอำเภอร่อนพิบูลย์ มีข้อความบูชาพระศิวะและเชิดชูคนดีว่า “ถ้าคนดีอยู่
ในหมู่บ้านของชนเหล่าใด ความสขุ และผล (ประโยชน์) จักมีแก่ชนเหล่านน้ั ” อีกดว้ ย

4

หลังพุทธศตวรรษท่ี 10 เริ่มพบร่องรอยพุทธศาสนาในนครศรีธรรมราช และเชื่อว่านครศรีธรรมราช
พัฒนาจนเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยดังปรากฏหลักฐานบน ศิลาจารึกหลักท่ี 23 วัดเสมาเมืองท่ีจารึก
ไวต้ ั้งแต่ พ.ศ.1318 ว่า “พระเจ้ากรุงศรวี ิชัยผู้ประกอบด้วยคุณความดีและเป็นเจ้าแห่งพระราชาทั้งหลายในโลก
ท้งั ปวงได้ทรงสร้างปราสาทอิฐทั้งสามนี้เป็นทบ่ี ูชาพระโพธิสตั ว์เจ้าผู้ถือดอกบัว(ปทุมปาณ)ี พระผู้ผจญพระยามาร
(พระพุทธเจ้า) และพระโพธิสัตว์ เจ้าผู้ถือวัชระ (วชรปาณี) พระองค์ได้ถวายปราสาทท้ังสามนี้ แก่บรรดา
พระชนิ ราชอันประเสริฐสุด ซ่ึงสถติ อยู่ในทศทิศ ณ สถานทแี่ ห่งนร้ี ่วมกับศิลาจารกึ อีกหลายหลัก เชน่ ศิลาจารึก
หลักที่ 29 วัดพระบรมธาตุเมืองนคร ภาษาทมิฬ พุทธศตวรรษที่ 9 - 10 ศิลาจารึกหลักที่ 28 วัดพระบรมธาตุ
เมืองนคร ภาษามอญโบราณ พุทธศตวรรษท่ี 12 และศิลาจารึกหลักที่ 27 วัดมเหยงค์ ภาษาสันสกฤตอักษร
คล้ายเขมร พุทธศตวรรษที่ 12 - 14 ที่จารึกไว้ว่า “...บุญกุศลอื่น ๆ ตามคำสอน คือ การปฏิบัติพระธรรม
ไมข่ าดสักเวลา การบริบาลประชาราษฎร์ การทนตอ่ อฏิ ฐารมณแ์ ละอนิฏฐารมณ์การชำระอินทรีย.์ ..”

ชว่ งท่ีนครศรีธรรมราชม่ันคงท่ีสุดในประวตั ิศาสตร์คือในพุทธศตวรรษที่ 17 - 19 อันเป็นรัชสมัยของ
ราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช ซึ่งได้สถาปนาพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ลงในนครศรีธรรมราช
อย่างมั่นคง ก่อนที่จะแผ่ขยายไปยังดินแดนของแหลมทอง นครศรีธรรมราชครั้งน้ันกว้างขวาง มีเมืองขึ้นราย
รอบ 12 เมือง เรียกว่า เมืองสิบสองนักษัตร ตั้งแต่ชุมพรลงไปถึงเมืองปาหัง กลันตันและไทรบุรี
กับนครศรีธรรมราชยังเคยกรีธาทัพเรือท่ีมีแสนยานุภาพ ไปตีลังกาถึง 2 คร้ัง นอกจากน้ียังพบร่องรอย
ความสมั พันธแ์ ละยกทพั สู้รบระหว่างกนั ของนครศรีธรรมราชกับเขมรโบราณ ละโว้ ตลอดจนชวาโบราณอกี ดว้ ย

เรอ่ื งท่ี 2 ศาสนาทชี่ าวจังหวดั นครศรีธรรมราชส่วนใหญ่นับถือ

ชาวนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่นับถอื ศาสนาพุทธ ประมาณ 93.61% รองลงมา ได้แก่ ศาสนาอสิ ลาม
6.17% ศาสนาคริสต์ 0.20% ศาสนาซิกข์ 0.01% ศาสนาอ่ืน ๆ 0.01% (ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวจังหวัด
นครศรีธรรมราช 2557) ในท่ีนจี้ ะมีรายละเอยี ดเฉพาะศาสนาทีช่ าวนครศรีธรรมราชส่วนใหญน่ ับถอื ดังนี้

1. ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาท่ีแพร่หลายท่ีสุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีโบราณสถานและ
โบราณวัตถุทางพุทธศาสนาท่ีแสดงถึงความรุ่งเรืองมาช้านาน (ข้อมูล ณ วันท่ี 30 กันยายน 2557) มีวัด
ทางพุทธศาสนา 605 แห่ง มีพระภิกษุ 3,267 รูป สามเณร 703 รูป ชาวนครศรธี รรมราชยึดม่ันในประเพณีทาง
ศาสนา และมีความผูกพันกับพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
ได้จังหวัดว่าเป็น “เมืองพระ” เมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันมาฆบูชา ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ
วันวิสาขบูชา ฯลฯ จะมีประชาชนจากท่ัวสารทิศ หลั่งไหลกันมาสักการะองค์พระบรมธาตุเจดีย์อย่างล้นหลาม
จังหวัดนครศรีธรรมราช มีวัด 621 แห่ง มหานิกาย 539 แห่ง และธรรมยุติ 82 แห่ง ท่ีพักสงฆ์ 157 แห่ง
มพี ระภกิ ษสุ งฆร์ วมทัง้ จังหวัด 3,307 รูป สามเณร 778 รปู มมี หาวทิ ยาลยั สงฆ์ 2 แหง่ โรงเรยี นพระปริยัติธรรม
แผนกสามญั 7 แหง่ (ขอ้ มูล ณ วนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2560)

2. ศาสนาอิสลาม ในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่มีบรรพบุรุษมาจาก
เมืองกลันตัน ปัตตานี และไทรบุรี อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม มีมัสยิด 122 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอำเภอเมือง

5

นอกจากน้ัน กระจัดกระจายอยู่ในเขตอำเภอท่าศาลา อำเภอหัวไทร อำเภอสิชล อำเภอปากพนัง และอำเภอ

ร่อนพิบูลย์ มีศูนย์อบรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจำมัสยิด 101 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม

2560)

3. ศาสนาคริสต์ มีผู้นับถือจำนวนเพียงเล็กน้อยในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอทุ่งสง

อำเภอทุ่งใหญ่ และอำเภอร่อนพิบูลย์ มีท้ังนิกายโปรแตสแตนท์และโรมันคาธอลิค มีโบสถ์คริสต์ 27 แห่ง

(ขอ้ มลู ณ วนั ท่ี 31 พฤษภาคม 2560)

2.1 ศาสนาพุทธ

ประวตั ิความเป็นมาของศาสนาพทุ ธเรม่ิ ต้งั แต่สมัยพุทธกาล ผู้ประกาศศาสนาและเป็นศาสดาของ

ศาสนาพุทธคือ พระพุทธเจ้า

ศาสนสถาน

วัดและสำนักสงฆ์ต่าง ๆ อันเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธ ซึ่งเป็นสถานท่ีอยู่อาศัย หรือ

ที่จำพรรษาของพระภิกษุ สามเณรตลอดจนแม่ชี เพื่อใช้ประกอบกิจกรรมประจำวันของพระภิกษุสงฆ์ เช่น

การทำวัตรเขา้ และเยน็ และสังฆกรรมในพระอโุ บสถ อีกทั้ง ยงั ใชป้ ระกอบพิธีกรรม เชน่ การเวยี นเทยี น เป็นต้น

ในวันสำคญั ทางศาสนาพุทธ และยังเป็นศูนย์รวมในการมารว่ มกันทำกิจกรรมในทางช่วยกันสง่ เสรมิ พุทธศาสนา

เช่ น ก ารม าท ำบุ ญ ใน วัน พ ระ ข อ งแ ต่ ล ะ ท้ อ งถิ่ น ข อ งพุ ท ธ ศ าส นิ ก ช น (สื บ ค้ น ข้ อ มู ล ได้ จ าก

https://th.Wikipedia.org/wiki/รายชือ่ วัดในจังหวัดนครศรธี รรมราช)

วัดในจังหวดั นครศรธี รรมราชมอี ย่ทู ุกอำเภอ ยกตวั อยา่ งท่ีสำคัญพอเป็นสงั เขป ดังน้ี

1. วดั พระมหาธาตุวรมหาวิหาร

ตั้งอยู่ ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช

เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็น 1 ในจอมเจดีย์แห่งสยาม สมเด็จ

พ ระเจ้าบ รม วงศ์เธอกรม พ ระยาด ำรงราช านุ ภ าพ ท รงเป็ น ผู้บั ญ ญั ติคำว่า จอม เจดีย์ ขึ้น ม า

ซึ่งทั้งประเทศมีจอมเจดียท์ ี่ควรคา่ แก่การยกย่อง 8 แห่ง ไดแ้ ก่

1. พระปฐมเจดีย์ จงั หวัดนครปฐม

2. พระมหาธาตเุ มืองละโว้

3. พระธาตหุ รภิ ุญชยั

4. พระธาตพุ นม

5. พระศรีรตั นมหาธาตเุ มืองเชลียง

6. พระมหาธาตุเมืองนครศรธี รรมราช

7. พระมหาธาตุเมืองศรสี ชั นาลยั

8. พระเจดีย์ชยั มงคลจดั ใหญ่ วัดพระมหาธาตเุ มืองนครศรธี รรมราช

2. วดั ธาตนุ ้อย หรือ วดั พระธาตนุ อ้ ย

6

ตั้งอยู่ในเขตตำบลหลักช้าง อำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งขึ้นโดยความประสงค์ของ
พ่อท่านคล้าย (พระครูพิศิษฐ์อรรถการ) พระเกจิอาจารย์ท่ีชาวใต้เล่ือมใสศรัทธาอย่างสูงยิ่งรูปหน่ึ ง
ซ่ึงศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนท่ีเคารพนับถือ ศรัทธา พ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักด์ิสิทธ์ของวาจา พูด
อย่างไรเปน็ อย่างน้นั ท่านมกั จะใหพ้ รกบั ทุกคน ขอให้ เป็นสขุ เป็นสขุ

โดยประดิษฐานพระสารีริกธาตุและสรีระสังขารพ่อท่านคล้าย ในโลงแก้วประดิษฐานอยู่ในองค์
พระเจดีย์ สังขารพ่อทา่ นคล้าย ซึง่ ว่ากนั ว่าแข็งเปน็ หินท่ชี าวบ้านนับถือและศรทั ธามาจนทกุ วันน้ี

วดั ธาตุน้อย หรือ วดั พระธาตนุ อ้ ย

2.2 ศาสนาอสิ ลาม

ศาสนาอิสลาม (Islam ) เป็นศาสนาเอกเทวนิยมและศาสนาอับราฮัม บัญญัติโวโนคัมภีร์
อัลกุรอาน คัมภีร์ศักด์ิสิทธ์ของอิสลามซึ่งสาวกถือว่าเป็นพระวจนะคำต่อคำของพระเป็นเจ้า (อัลสอฮฺ)
และสำหรับสาวกส่วนใหญ่ เป็นคำสอนและตัวอย่างเชิงบรรทัดฐาน (เรียกว่า สุนัต และประกอบด้วยหะดีษ)
ของมุอัมมัด (ประมาณ 570 - 8 มิถุนายน 632) เป็นศาสดา (นบี) องค์สุดท้ายของพระเป็นเจ้า สาวกของ
ศาสนาอิสลาม เรียกว่า มุสลิม ศาสนาอิสลามเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาในประเทศไทย แต่มีการเติบโตอย่าง
รวดเร็ว

คนส่วนใหญ่เช่ือว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่ของประเทศอาศัยอยู่ในสามจังหวัดใต้สุดข องประเทศไทย
ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส อย่างไรก็ตาม การศึกษาของกระทรวงการต่างประเทศ
ช้ีว่าชาวไทยมุสลิมเพียง ร้อยละ 18 เท่าน้ันที่อยู่ในพื้นท่ีสามจังหวัดน้ี ส่วนท่ีเหลืออาศัยอยู่กระจายไป
ทวั่ ประเทศ โดยส่วนใหญอ่ าศัยอยู่ในกรงุ เทพมหานครและตลอดพ้ืนท่ภี าคใต้ของประเทศ

สำหรับชาวมุสลิมในจังหวัดภาคใต้ของไทยน้ัน เป็นชนพ้ืนเมืองมาแต่ด้ังเดิม มิได้สืบเช้ือสายมาจาก
ชาวมุสลิมทเ่ี ขา้ มาทางการค้าหรอื อพยพมาจากดินแดนอื่น เพราะมีหลักฐานปรากฏว่า ชนชาติดั้งเดิมเหล่านี้ได้
เข้ามาตั้งถ่ินฐานอยู่บนแหลมมลายูต้ังแต่ก่อนคริสต์ศักราชเป็นเวลา 43 ปี และมอี าณาจักรสำคัญคอื อาณาจักร
ลังกาซู ต่อมาประมาณคริสต์ศักราช 220 ชนชาติน้ีก็ได้ก่อต้ังอาณาจักรข้ึนท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราช และใน
คริสต์ศักราช 658 เกิดอาณาจักรขึ้นใหม่ คอื อาณาจักรศรวี ิชัย มีอิทธพิ ลแผ่ไปทั่วแหลมมาลายู และอาณาจักร
ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ตกอยู่ใน อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยด้วย จนกระท่ังถึงคริสต์ ศตวรรษท่ี 8

7

อาณาจักรศรีวิชัยเส่ือมอำนาจลง และอาณาจักรใหม่เกิดข้ึนแทนท่ี คือ อาณาจักรมัชปาหิต ต่อมาถึง
คริสต์ศักราช 1401 อาณาจักรนี้ก็เสื่อมสลายลงและอิทธิพลของ ศาสนาอิสลามก็ได้แผ่เข้ามาแทนที่วัฒนธรรม
อินเดียที่เคยมีอยู่ในบริเวณน้ี ประมาณปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 8 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ศาสนาอิสลามได้เข้า
ฝังรากในอาณาจกั รปัตตานี ซง่ึ ก่อต้ังโดยพระยาตนกูตันดารา และขยายตัวไปครอบคลุมจงั หวัดชายแดนภาคใต้
ในปจั จบุ ันชาวไทยท่นี บั ถอื ศาสนาอสิ ลามมีอยทู่ ั่วประเทศ (ประยุทธ สุทธพิ ันธ์ 2505 : 212)

มัสยิดในจังหวัดนครศรธี รรมราช

มัสยดิ ในจังหวดั นครศรีธรรมราช ตง้ั อยู่ในอำเภอเมอื งนครศรธี รรมราช อำเภอขนอม อำเภอพรหมคีรี
อำเภอพระพรหม อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอชะอวด อำเภอท่าศาลา อำเภอลิชล อำเภอหัวไทร อำเภอทุ่งสง
อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอบางขัน และอำเภอปากพนัง (สืบค้นข้อมูลได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อวัด
ในจงั หวัดนครศรีธรรมราช)

2.3 ศาสนาครสิ ต์

ศาสนาครสิ ต์ ราชบัณฑติ ยสถานเรียกว่า คริสต์ศาสนา เป็นศาสนาประเภท เอกเทวนิยม ที่มพี ้ืนฐาน
มาจากชีวิตและการสอนของพระเยซูตามที่ปรากฏในพระวรสาร ในสารบบ (canonical gospel) และงาน
เขยี นพันธสัญญาใหม่อืน่ ๆ ผู้นับถอื ศาสนาคริสตเ์ รียกว่าคริสตค์ าสนิกชนหรือครสิ ตชน

พระเยซูเป็นชาวยิว คริสต์ศาสนาถือโดยสมมติว่าวันประสูติของพระองค์ คือวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.
1 (ซึ่งถือเอาวันประสูติเป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์คักราช ซ่ึงตรงกับพุทธคักราช 543) คริสต์ศาสนาเกิดขึ้นประมาณ
พ.ศ.573 ในปาเลสไตน์ หรือประเทศอิสราเอลปัจจุบัน ผู้ให้กำเนิดคือ พระเยซูคริสต์ เป็นบุตรของโจเซฟ ผู้มี
อาชพี ช่างไม้ เป็นเชือ้ สายยวิ แห่งนาซาเรธ และนางมาเรีย

8
คริสตจักรในจงั หวัดนครศรธี รรมราช
คริสตจักรในจังหวัดนครศรีธรรมราช นิกายคาทอลิก ต้ังอยู่ในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช และ
อำเภอร่อนพิบูลย์ นิกายโปรเตสแตนต์ ต้ังอยู่ในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอขนอม อำเภอชะอวด
อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอช้างกลาง อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอทุ่งสง อำเภอทุ่งใหญ่ อำเภอท่าศาลา อำเภอ
บางขัน อำเภอปากพนัง อำเภอรอ่ นพบิ ูลย์ อำเภอลานสกา อำเภอสิชล และอำเภอหวั ไทร (ขอ้ มูล ปี 2559)
โบสถ์คริสตจักรเบธเลเฮ็ม ศาสนาคริสต์เผยแผ่เข้ามาในนครศรีธรรมราชเมื่อกว่าร้อยปีล่วงมาแล้ว
จากผู้ที่นับถือศรัทธาเพียงไม่ก่ีคน จนถึงปัจจุบันมีศริสตศาสนิกชน ในนครศรีธรรมราชมากมาย จนโบสถ์หลัง
เก่าที่ สร้างหลังเล็ก ๆ ไม่เพียงพอในการประกอบศาสนพิธี จนต้องขยายมาเป็นหลังใหญ่อย่างในปัจจุบัน
คริสตจักรเบธเสเฮ็ม ตัง้ อยู่ที่ 1307/51 ถนนราชดำเนนิ ตำบลคลงั อำเภอเมือง จงั หวัดนครศรีธรรมราช

คริตจักรเบธเลเฮม็ นครศรธี รรมราช

เรือ่ งท่ี 3 ความเช่อื ทางศาสนาและพธิ ีกรรมอน่ื ๆ จงั หวดั นครศรีธรรมราช

ความเช่ือทางศาสนาและพิธีกรรมอื่น ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชจะเป็นเร่ืองราวเกี่ยวกับ
ศาลหลกั เมืองนครศรธี รรมราช และศาลเจา้ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้

3.1 ศาลหลกั เมืองนครศรธี รรมราช

9

ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างขึ้นในช่วง
ราวปี 2530 ในยุคที่ นายเอนก สิทธิประศาสน์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นศูนย์รวม
จิตใจของ “คนคอน” โดยมีบุคคลสำคัญ 2 คนที่เก่ยี วข้องกับการสรา้ ง คือ พล.ต.ต.ชุนพันธรักษ์ราชเดช และ
พล.ต.ท.สรรเพชญธรรมาธิกุล อดีตผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ท่ีนี่เปรียบเสมือนส่ิง
ศักด์ิสิทธ์ิคอยปกป้องรักษาบ้านเมืองให้พ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ โดยรับรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของศาลหลักเมือง
ผา่ นองค์จตุคามรามเทพ เทวดารกั ษาเมือง ซึ่งอยู่บนเสาสูงสุดของหลักเมือง มีคำบอกเล่าจากปู่ย่าตายายมาช้า
นานแลว้ วา่ ถา้ อยากทจี่ ะเจรญิ กา้ วหน้าในหน้าที่การงานกต็ ้องไปสักการบูชาศาลหลักเมือง

3.2 ศาลเจ้า

เป็นมรดกทางวัฒนธรรมชองชาวไทยเช้ือสายจีนที่ยังคงต้ังอยู่บนความเชื่อทางศาสนา และพิธีกรรม
ความศรัทธาน้ันยังคงพยายามรักษาให้คงอยู่ถึงปัจจุบัน โดยแสดงให้เห็นถึงแนวทางการปฏิบัติ
ตามธรรมเนียมจีน ผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาล เช่น เทศกาลวันตรุษจีน เป็นต้น ศาลเจ้าตั้งอยู่
ในหลายอำเภอของ จงั หวดั นครศรีธรรมราช ได้แก่

1. ศาลเจ้ากวนอู อำเภอเมอื ง จังหวัดนครศรธี รรมราช
2. ศาลเจ้าลา่ มกุงหยา อำเภอเมอื ง จังหวัดนครศรีธรรมราช
3. ศาลพระเส้ือเมอื งนครศรธี รรมราช
4. ศาลเจ้านาจาซาไหช้ ือ้ อำเภอปากพนงั จังหวัดนครศรีธรรมราช
5. ศาลเจา้ ฮกฮัว้ เก็ง หรอื ศาลแปะกง ตำบลนาบอน อำเภอนาบอน จงั หวัดนครศรีธรรมราช
6. ศาลเจ้าพ่อมหาชัย ณ บรเิ วณเขามหาชัยและภเู ขาหลักไก่ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครศรธี รรมราช
7. ศาลเจา้ ทวดทอง อำเภอเมอื ง จงั หวัดนครศรีธรรมราช
8. ศาลเจา้ ทวดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรธี รรมราช
9. ศาลเจ้าเทพเจ้าพญามา้ ขาว ตำบลปากพนู อำเภอเมือง จังหวดั นครศรีธรรมราช
10. ศาลเจ้าพระ 108-109 นอกไร่ ถนนสะพานยาว ตำบลโพธเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัด
นครศรธี รรมราช
11. ศาลเจ้าฮกเกี้ยน อำเภอปากพนัง จงั หวดั นครศรธี รรมราช
12. ศาลเจา้ เดก็ ก่าจีคุงเกาะ อำเภอปากพนงั จงั หวัดนครศรีธรรมราช
13. ศาลเจา้ พอ่ ตาปะขาว อำเภอสิชล จงั หวัดนครศรีธรรมราช
14. ศาลเจา้ ทวดโตะ๊ ตำนครศรีธรรมราช
15. ศาลเจ้าแมก่ วนอิมจนั ดี ตำบลจันดี อำเภอฉวาง จังหวดั นครศรีธรรมราช
16. ศาลเจ้าแมก่ วนอิมทุง่ สง อำเภอทงุ่ สง จังหวดั นครศรีธรรมราช

1

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 10
ประเพณแี ละวัฒนธรรมจงั หวดั นครศรีธรรมราช

สาระสำคญั
ประเพณีเป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นเอกลักษณ์และมีความสำคัญ

ต่อสังคม เช่น การแต่งกาย ภาษา ศาสนา ศิลปกรรม กฎหมาย คุณธรรม ความเชื่อ ฯลฯ อันเป็นบ่อ
เกิดของวัฒนธรรมของสังคม เช้ือชาติต่าง ๆ กลายเป็นประเพณีประจำชาติ และถ่ายทอด
กันมาโดยลำดับ ประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถ่ินจึงมีความจำเป็นที่บุคคลในท้องถิ่น
ตอ้ งเรียนรู้ สืบทอด ธำรงรักษาไว้ และภาคภูมิใจต่อประเพณีและวฒั นธรรมท้องถน่ิ ท่ีดงี าม

ตวั ช้วี ดั

1. อธบิ ายและยกตัวอย่างประเพณีท่ีเก่ยี วเนอื่ งกับความกตญั ญูกตเวที
จงั หวัดนครศรีธรรมราช

2. อธบิ ายและยกตัวอย่างประเพณีที่เกี่ยวเนอื่ งกบั ความสามคั คี
จังหวัดนครศรีธรรมราช

3. อธิบายและยกตัวอยา่ งประเพณที เ่ี กีย่ วเนอ่ื งกบั ความศรทั ธา
จงั หวัดนครศรีธรรมราช

4. อธิบายและสาธิตเอกลักษณท์ างวัฒนธรรมจงั หวัดนครศรธี รรมราช

ขอบข่ายเนอื้ หา
เร่ืองท่ี 1 ประเพณีท่เี กีย่ วเนอื่ งกับความกตัญญูกตเวที จงั หวัดนครศรธี รรมราช
1.1 ประเพณสี ารทเดือนสิบ
1.2 ประเพณีอาบน้ำคนแก่
เรอ่ื งที่ 2 ประเพณที เ่ี ก่ยี วเน่ืองกับความสามคั คี จงั หวดั นครศรีธรรมราช
2.1 ประเพณีใหท้ านไฟ
2.2 ประเพณีกวนข้าวยาคู
2.3 ประเพณีลากพระ
เรื่องท่ี 3 ประเพณที ี่เก่ยี วเนอ่ื งกบั ความศรทั ธา จงั หวัดนครศรธี รรมราช

2

3.1 ประเพณีแห่ผา้ ขนึ้ ธาตุ
3.2 ประเพณตี ักบาตรธปู เทยี น
3.3 ประเพณีสวดด้าน
3.4 ประเพณแี หน่ างดาน
เรอื่ งที่ 4 เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมจังหวดั นครศรีธรรมราช
4.1 เอกลกั ษณด์ า้ นภาษาและวรรณกรรม
4.2 เอกลักษณ์ด้านหัตถกรรม
4.3 เอกลกั ษณ์ด้านศลิ ปกรรมของนครศรธี รรมราชท่เี ดน่ ทีส่ ดุ
4.4 เอกลกั ษณ์ดา้ นอาหารการกิน

เวลาท่ีใชใ้ นการศึกษา 16 ชั่วโมง

สอ่ื การเรียนรู้
1. ชดุ วิชานครศรธี รรมราชศกึ ษา รหัสรายวชิ า สค3300168
2. สมุดบันทึกกจิ กรรมการเรียนร้ปู ระกอบชุดวิชานครศรีธรรมราชศกึ ษา
รหัสรายวชิ า สค3300168
3. ส่ือเสริมการเรยี นรูอ้ นื่ ๆ

3

เรือ่ งที่ 1 ประเพณีท่ีเก่ยี วเนือ่ งกับความกตัญญูกตเวที จงั หวัดนครศรีธรรมราช

ความกตัญญูกตเวที คือ ความรู้บุญคุณท่านแล้วตอบแทนให้ปรากฏ เป็นรูปธรรมประคองให้โลกให้
อยู่ได้ด้วยความสงบสุข คนเรามีชีวิตอยู่ได้เพราะบิดามารดาและบรรพบุรุษ การระลึกถึงบุญคุ ณคือ
การตอบแทนบุญคุณ บรรพบุรุษ ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่มีคุณค่า มีความสำคัญต่อครอบครัว
และชุมชน เป็นส่ิงที่ควรปลูกฝังให้อยู่ในจิตใจของลูกหลาน ด้วยการช่วยกันเสริมสร้างให้มีการทำกิจกรรมรวม
ญาติท่ีอยู่ห่างไกลให้ได้มาพบปะกัน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของคนไทยล้วนแต่มีความกตัญญูกตเวที
เป็นหลักอันสำคัญ ประเพณีที่เก่ียวเน่ืองกับความกตัญญูกตเวทีของท้องถ่ินนครศรีธรรมราชท่ีสำคัญ
คือ ประเพณสี ารทเดอื นสิบ และประเพณอี าบน้ำคนแก่

1.1 ประเพณสี ารทเดือนสบิ

สารทเดือนสิบ หรือท่ีชาวนครศรีธรรมราชเรียกกันว่า ประเพณีทำบุญเดือนสิบ เป็นประเพณีทำบุญ
กลางเดือนสิบ เพื่อนำเคร่ืองอุปโภคและเคร่ืองบริโภครวมทั้งขนมสำคัญห้าอย่างไปถวายพระ แล้วอุทิศ
ส่วนกุศลแด่บรรพบุรุษของตน ชาวเมืองนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ไกลเพียงใด เมื่อถึงช่วงทำบุญเดือนสิบก็จะกลับ
ภมู ลิ ำเนามารว่ มทำบญุ ดว้ ยความสำนกึ กตัญญทู ีฝ่ งั แน่นอยู่ในจิตใจมาแตเ่ ยาวว์ ยั

ประวัตคิ วามเปน็ มา
ประเพณีสารทเดือนสิบ วิวัฒนาการมาจากประเพณีเปรตพลีของพราหมณ์ ซึ่งลูกหลาน
จัดข้ึนเพ่ือทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้ว ต่อมาพวกพราหมณ์จำนวนมากได้หันมานับถือ
พระพุทธศาสนาและยังถือปฏิบัติในประเพณีดังกล่าวอยู่ พระพุทธองค์เห็นว่าประเพณีนี้มีคุณค่า
เป็นการแสดงออกซ่ึงความกตัญญูกตเวทตี ่อบรรพบุรุษ นำความสุขใจใหผ้ ู้ปฏิบัติ จึงอนุญาตให้อุบาสกอบุ าสิกา
ประกอบพิธีน้ีต่อไปได้ ประเพณี สารทเดือนสิบมีมาต้ังแต่ พุทธกาล คาดว่าเม่ือพระพุทธศาสนา
เผยแผเ่ ขา้ มาในนครศรีธรรมราช จึงรบั ประเพณมี าด้วย
ความเช่อื
ความเชือ่ ของพุทธศาสนกิ ชนชาวนครศรีธรรมราชเชื่อวา่ บรรพบุรุษอันได้แก่ ปู ย่า ตา ยาย และญาติ
พ่ีน้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเกิดในสรวงสวรรค์ แต่หากทำความชั่ว
จะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญท่ีลูกหลานอุทิศส่วนกุศลให้ในแต่ละปี
มายังชีพ ดังน้ัน ในวันแรม 1 ค่ำเดือนสิบ คนบาปท้ังหลายท่ีเรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์
เพ่อี มาขอสว่ นบญุ จากลกู หลานญาตพิ ี่น้องและจะกลบั ไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดอื นสบิ

4

โอกาสนี้ลูกหลานและผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงนำอาหารไปทำบุญที่วัดเพ่ีออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับ
ไปแลว้ เป็นการแสดงความกตัญญกู ตเวที

ระยะเวลา
ระยะเวลาของการประกอบพิธีประเพณีสารทเดือนสิบ มีข้ึนในวันแรม 1 ค่ ำ ถึงแรม 15 ค่ำ
เดอื นสบิ แต่วนั ทีช่ าวนครศรีธรรมราชนิยมทำบุญ คอื วันแรม 13 ถึงวันแรม 15 ค่ำ
พิธีกรรม
การปฏบิ ตั พิ ิธกี รรมการทำบญุ สารทเดือนสิบมี 3 ข้ันตอน คือ
1. การจัดหมฺรบั และการยกหมรฺ ับ
การจัดเตรียมสิ่งของที่ใช้จัดหมฺรับ เริ่มขึ้นในวันแรม 13 ค่ำ วันน้ีเรียกกันว่า “วันจ่าย” ตลาด
ต่าง ๆ จึงคึกคักและคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนชาวบ้านจะซื้ออาหารแห้งพืชผักที่เก็บไว้ได้นาน ข้าวของเคร่ืองใช้ใน
ชวี ิตประจำวนั และขนมท่ีเป็นสญั ลักษณ์ของสารทเดอื นสิบ จดั เตรียมไว้สำหรับใส่หมฺรับ และสำหรับนำไปมอบ
ใหผ้ ู้ใหญ่ทีเ่ คารพนับถือ

1.1 การจดั หมฺรบั
การจัดหมฺรับมักจะจัดเฉพาะครอบครัวหรือจัดรวมกันในหมู่ญาติและจัดเป็นกลุ่ม ภาชนะท่ีใช้จัด
หมฺรับนิยมใช้กระบุงหรือเข่งสานด้วยตอกไม้ ไผ่ขนาดเล็กหรือใหญ่ ข้ึนอยู่กับความประสงค์ของ
เจ้าของหมฺรับ ปัจจุบันใช้ภาชนะหลายชนิด เช่น ถาด กระเชอ กะละมัง ถัง หรือภาชนะท่ีประดิษฐ์ขึ้นมา
เปน็ กรณพี ิเศษ
การจดั หมรฺ ับ คือ การบรรจุประดับด้วยสง่ิ ของ อาหาร ขนมเดือนสิบ ลงภายในภาชนะที่เตรยี มไว้
สำหรับงานน้โี ดยเฉพาะ โดยจดั เปน็ ชั้น ๆ ดงั นี้

1) ชั้นล่างสุด จัดบรรจุประเภทอาหารแห้ง ลงไว้ท่ีก้นภาชนะ ได้แก่ ข้าวสาร แล้วใส่พริก
เกลือ หอม กระเทียม กะปิ น้ำปลา น้ำตาล มะขามเปียก รวมทั้งบรรดาปลาเค็ม เนื้อเค็ม หมูเค็ม กุ้งแห้ง
เคร่อื งปรงุ อาหาร ท่ีจำเปน็

2) ชั้นที่สอง จัดบรรจุอาหารประเภทพืชผักท่ีเก็บไว้ได้นาน ใส่ข้ึนมาจากขั้นแรก ได้แก่
มะพร้าว ข้ีพร้า หัวมันทุกชนิด กล้วยแก่ ข้าวโพด อ้อย ตะไคร้ ลูกเนียง สะตอ รวมท้ังพืชผักอื่นท่ีมี
ในเวลานัน้

3) ช้นั ทส่ี าม จดั บรรจุสงิ่ ของประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ นำ้ มนั พืช น้ำมันมะพรา้ ว
น้ำมันก๊าด ไม้ขีดไฟ หม้อ กระทะ ถ้วยชาม เข็ม ด้าย หมาก พลู กานพลู การบูร พิมเสน สีเสียด ปูน ยาเส้น
บหุ ร่ี ยาสามัญประจำบา้ น ธูป เทียน

4) ชั้นบนสุด ใช้บรรจแุ ละประดบั ประดาด้วยขนมอนั เปน็ เอกลักษณข์ องสารทเดือนสบิ เป็นส่ิง
สำคัญของหมฺรับ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง (ขนมไข่ปลา) ขนมบ้า ขนมดีซำ ขนมเหล่าน้ี
มีความหมาย ในการทำบุญเดอื นสิบ ซงึ่ จะขาดมไิ ด้เพ่อื ใหบ้ รรพบรุ ษุ และญาติทล่ี ว่ งลับไดน้ ำไปใช้ประโยชน์

5

การจัดหมรฺ บั ขนมลา เปรยี บเสมอื นเสือ้ ผ้าแพรพรรณ
ท่บี รรพบรุ ษุ จะใช้เปน็ เคร่ืองนงุ่ ห่ม

ขนมพอง เปรียบเสมือนแพอนั เปน็ พาหนะ ขนมกง (หรอื ขนมไข่ปลา) เปรยี บเสมือน
ใหบ้ รรพบุรษุ ใช้ข้ามห้วงมหรรณพ เครอ่ื งประดับให้บรรพบุรุษได้ใช้ประดับร่างกาย

ขนมบ้า เปรยี บเสมอื นสะบ้า สำหรบั ให้บรรพบรุ ุษ ขนมดซี ำ เปรยี บเสมือนเงนิ ตรา
ไวเ้ ลน่ สะบ้าวันตรุษสงกรานต์ เพอื่ ใหบ้ รรพบุรุษได้มีไว้ใช้สอย

1.2 การยกหมฺรับ

6

วันแรม 14 ค่ำชาวบ้านจะนำหมฺรับท่ีวัดเตรียมไว้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลท่ีวัด โดยเลือกท่ี
อยู่ใกล้บ้านหรือวัดท่ีบรรพบุรุษนิยม วันน้ีเรียกว่า “วันยกหมฺรับ” การยกหมฺรับไปวัดจะจัดเป็นขบวนหรือ
ไมม่ ขี บวนแหก่ ไ็ ด้ โดยนำหมฺรับและภตั ตาหารไปถวายพระ

2. การฉลองหมรฺ ับและบังสุกุล
วันแรม 15 ค่ำ ซ่ึงเป็นวันสารทเรียกว่า “วันหลองหมฺรับ” มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุล
การทำบุญวันน้ีเป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพ่ีน้องให้กลับไปยังเมืองนรก นับเป็นวันสำคัญยิ่งวันหน่ึง
ซึ่งเช่ือกันว่าหากไม่ได้กระทำพิธีกรรมในวันน้ี บรรพบุรุษญาติพ่ีน้องที่ล่วงลับไปแล้วจะไม่ได้รับส่วนกุศล
ทำใหเ้ กิดทุกขเวทนาดว้ ยความอดยากลกู หลานทีย่ ังมชี ีวิตอยู่ก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูไป
3. การต้งั เปรตและชิงเปรต
เส ร็ จ จ า ก ก า ร ฉ ล อ งห มฺ รั บ แ ล ะ ถ ว าย ภั ต ต า ห า ร แ ล้ ว ก็ นิ ย ม น ำ ข น ม อี ก ส่ ว น ห น่ึ ง น ำ ไป ว า ง ไว้
ตามบริเวณลานวัด โคนไม้ใหญ่ หรือกำแพงวัด เรียกว่า “ต้ังเปรต” เป็นการแผ่ส่วนกุศลให้เป็นสาธารณทาน
แก่ผู้ลว่ งลบั ท่ีไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาทำบุญให้
บางวัดนิยมสรา้ งร้านขึ้นเพี่อสะดวกแก่ต้ังเปรต เรียกวา่ “หลาเปรต” (ศาลาเปรต) เมอ่ื ต้ังขนม ผลไม้
แ ล ะ เงิ น ท ำ บุ ญ เส ร็ จ แ ล้ ว ก็ จ ะ น ำ ส า ย สิ ญ จ น์ ท่ี ได้ บั ง สุ กุ ล ม า ผู ก เพ่ี อ แ ผ่ ส่ ว น กุ ศ ล ด้ ว ย เมื่ อ เส ร็ จ พิ ธี ส ง ฆ์
กจ็ ะเก็บสายสญิ จน์
การชิงเปรตจะเริ่มหลงั จากตงั้ เปรตเสร็จแลว้ ช่วงน้ีเป็นช่วงท่เี รยี กว่า “ชิงเปรต” ท้ังผู้ใหญ่และเด็กจะ
ว่ิงกันเข้าไปแย่งขนมกันอย่างคึกคัก เพราะความเชื่อว่าของท่ีเหลือจากการเซ่นไหว้จากบรรพบุรุษ
ถ้าใครไดไ้ ปกนิ จะได้กุศลแรง เปน็ สิริมงคลแกต่ นเองและครอบครัว
วัดบางแห่งสร้างหลาเปรตไว้สูง โดยมีเสาเพียงเสาเดียว เสาน้ีเกลาจนลื่นชโลมด้วยน้ ำมัน
เม่ือถึงเวลาชงิ เปรต เด็ก ๆ แย่งกันปีนขึ้นไป หลายคนตกลงมาเพราะเสาลื่น และอาจถูกคนอื่นดงึ ขาพลัดตกลง
มา กว่าจะมีผู้ชนะการปีนไปถึงหลาเปรต ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก จึงมีทั้งความสนุกสนาน และความ
ตื่นเต้น

1.2 ประเพณีอาบนำ้ คนแก่

คนแก่ ผูอ้ าวุโสของตระกูล คนในตระกูลจะเป็น
ผู้กำหนดว่า สมาชิกคนไหนเป็นคนแก่ของตระกูล
แต่ละตระกลู อาจจะมีแก่หลายคนก็ได้

อาบน้ำคนแก่ เป็นวิธีการแสดงออกซึ่งความ
เคารพ นับถือ แก่บิดามารดา ญาติคนแก่ของตระกูล
รวมทง้ั ผู้มพี ระคุณและบุคคลท่ตี นเคารพนับถือ

อาบน้ำคนแก่

7

ประวตั ิความเป็นมา
อาบน้ำคนแก่ เป็นประเพณีเก่ียวเน่ืองมาจากประเพณีสงกรานต์ชาวนครศรีธรรมราชเชื่อกันว่า
ในวันที่ 14 เมษายน เทวดาท่ีเฝ้ารักษาเมืองทั้งหลายจะพากันขึ้นไปเมืองสวรรค์กันหมด ทั้งเมืองจึงปราศจาก
เทวดา วนั นี้จึงเรยี กวา่ “วันว่าง” คือ เป็นวันที่ทกุ สิ่งทุกอย่างว่าง ชาวบ้านจะหยุดทำกิจการทุกอย่างเกบ็ ส่ิงของ
เคร่ืองใช้ต่าง ๆ หมด ครกและสากตำขา้ วก็จะแช่เอาไว้สามวัน
ในวันว่าง ชาวบ้านจะนำภัตตาหารและเคร่ืองนมัสการต่าง ๆ ไปทำบุญท่ีวัดใกล้บ้านเสร็จแล้ว
จึงสักการะและสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์ท่ีสนามหน้าเมือง และนิยมรองรับน้ำจากการสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์
ท่ีวัดเพ่ือนำไปไว้ในงานมงคลท่ีบ้านของตนอีกด้วย เมื่อสรงน้ำพระพุทธสิหิงค์เสร็จแล้ว ชาวนครศรีธรรมราช
จะนำอาหาร เคร่ืองนุ่งห่ม เคร่ืองใช้ไปให้ญาติคนแก่ที่เคารพนับถือแล้วขออาบน้ำให้ท่านด้วย เพื่อความเป็น
สริ ิมงคลแกต่ นเองและครอบครวั
ระยะเวลา
ประเพณีอาบน้ำคนแก่ อยู่ในช่วงระยะเวลาของวันที่ 13 วันที่ 14 และวันท่ี 15 เดือนห้า (เมษายน)
ของทุกปี ซ่ึงจะเลือกเอาวันไหนก็ได้ เวลาทำพิธีกรรมจะเป็นตอนเช้าหรือตอนบ่ายตามการนัดหมายของแต่ละ
ครอบครัว แต่ละหมู่บ้าน โดยนัดหมายสถานท่ี และวันเวลาไว้ล่วงหน้าเป็นประจำทุกปี เพ่ือให้ลูกหลานได้มี
เวลาเตรยี มการ

สถานท่ีประกอบพิธี
สถานท่ีอาบน้ำคนแก่ อาจเป็นท่ีบ้านหรือวัดแห่งใดแห่งหนึ่งตามความเหมาะสม โดยอาจใช้บ้านเป็น
สถานท่ีทำพิธีอาบน้ำคนแก่ ในกรณีท่ีเจ้าของบ้านเป็นคนในตระกูลใหญ่ที่มีลูกหลานมาก บางบ้านจัดรวมกลุ่ม
ที่เป็นเครือญาติมาอาบน้ำด้วยกัน แต่ในกรณีท่ีเป็นการทำพิธีอาบน้ำคนแก่รวมกันท้ังหมู่บ้าน ลูกหลานจะนำ
คนแก่ของตระกูลมารวมกนั ทีจ่ ัด เพ่ือจดั พิธอี าบน้ำคนแก่พร้อมกนั จึงใช้จดั เป็นสถานทท่ี ำพิธี
การเตรียมการ
1. การเตรยี มนำ้ สำหรับพิธี
เตรียมโอ่งใบใหญ่ท่ีสามารถบรรจุน้ำได้เพียงพอกับจำนวนของสมาชิกท่ีมาร่วมพิธีตักน้ำสะอาด
ใส่โอ่ง แล้วจึงเอาน้ำพระพุทธมนต์หรือจากน้ีสรงพระพุทธสิหิงค์ ผสมลงไปในน้ำสะอาดท่ีเตรียมไว้
เติมเครอื่ งหอมนานาชนดิ เชน่ นำ้ อบไทย นำ้ ขมน้ิ ผักสม้ ป่อยเผาไฟ เพ่ือทำให้ได้น้ำทีม่ ีกล่ินหอมชืน่ ใจ
2. การเตรยี มเครือ่ งนุง่ ห่มและเคร่ืองใช้
เครื่องนุ่งห่ม ได้แก่ เส้ือผู้หญิงและผ้าถุงสำหรับคนแก่ผู้หญิง กางเกงหรือผ้าถุงขายสำหรับคนแก ่
ผู้ชาย โดยลูกหลานจะเตรยี มไวใ้ หค้ นแก่ในตระกูลไดม้ ีเสอื้ ผ้าชุดใหม่ผลัดเปลย่ี นหลังจากทำพธิ อี าบน้ำเสร็จแล้ว

8

เคร่ืองใช้ท่ีชาวบ้านเตรียมไปให้กับตนเคารพนับถือในพิธีอาบน้ำ ได้แก่ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว
ผา้ ซักอาบ (ผ้าขาวมา้ )

นอกจากเครื่องนุ่งห่มและเคร่ืองใช้แล้ว ลูกหลานจะเตรียมเงินไปให้ญาติผู้ใหญ่และคนแก่ที่
คนเคารพนับถือ เอาไว้สำหรบั ทำบุญและใช้สอยตามต้องการ

3. การเตรยี มท่นี ่งั อาบน้ำ
ประเพณอี าบน้ำคนแก่ท่ปี ระกอบเป็นพธิ ีใหญ่ นิยมสรา้ งโรงเบญจา ซง่ึ ประดับประดาด้วยกาบกล้วยที่
แกะสลักเป็นลวดลายอันวิจิตร จากนั้นจะเชิญคนแก่ที่แก่ท่ีสุดขึ้นน่ังบนแท่นในโรงเบญจาเพ่ือประกอบพิธี
อาบน้ำ ซึง่ เรียกวา่ การข้นึ เบญจา พออาบนำ้ เสร็จ ก็ให้คนแกท่ แี่ ก่รองลงมาขึ้นน่ังตามลำดับ
ปัจจบุ ันใชเ้ กา้ อี้นั่งอาบโดยใช้น่งั อาบได้คนเดียว หรือชนิดม้านั่งยาวน่งั ได้หลายคนก็ได้ โดยน่งั เรยี งกัน
เปน็ แถว
พธิ ีกรรม
1. การขอขมา
เมื่อเชิญให้คนแก่ทั้งหลายน่ังในโรงพิธีเรียบร้อยแล้ว ลูกหล านและชาวบ้านที่มาร่วมพิธี
จะรวมกลุ่มยืนอยู่ด้านหน้าของบรรดาคนแก่ ผู้นำในพิธีนำดอกไม้และจุดธูปเทียน พนมมือ แล้วกล่าวขอขมา
ทกุ คนว่าตามดงั น้ี
“กายกรรมสาม วจกี รรมสี่ มโนกรรมสาม หากข้าพเจา้ ทงั้ หลาย เกดิ ประมาทพลาดพล้ังแกท่ ่าน ด้วย
กายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้แก่
ข้าพเจ้า ด้วยเถิด และขอได้โปรดอำนวยพรให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความสุขความเจริญตลอดไป และขอตั้งจิต
อธฐิ านขอใหท้ า่ น เจริญด้วย อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ ตลอดไป”
คำกล่าวในการขอขมาคนแก่เกี่ยวข้องกับความประพฤติไม่ดีของบุคคลซึ่งแสดงออกได้สามทาง คือ
ทาง กาย วาจา และใจ โดยทางกายหรือกายกรรม มีสามประการคือ การล่วงละเมิดที่เก่ียวกับชีวิตทรัพย์สิน
และของรักของผู้อื่น โดยทางวาจาหรือวจีกรรมมีสี่ประการคือ พูดโกหก พูดนินทาว่าร้าย พูดคำหยาบ
และพูดเพ้อเจ้อ โดยทางใจหรือมโนกรรม มีสามประการคือ ความอยากได้ของผู้อื่น ความพยาบาทคิดร้าย
และความคดิ ไมถ่ ูกต้องตามทำนองคลองธรรม
2. พธิ ีการอาบน้ำ
การอาบน้ำเป็นการตักน้ำมารดหรืออาบให้คนแก่จนเปียกโชกทั้งตัว ปัจจุบันบางหมู่บ้านได้
ปรับเปล่ียนวิธีการอาบน้ำ มารดน้ำที่มือท้ังสองของคนแก่ แทนด้วยเหตุผล คือ คนแก่ที่มีลูกหลานและผู้ท่ี
เคารพนับถือมาก พิธีการอาบน้ำต้องใช้เวลานานจงึ แล้วเสร็จ ทำให้คนแก่ท่ีมีอายุมาก เกิดอาการรูส้ ึกเยน็ หนาว
สะทา้ นอนั เป็นเหตใุ หเ้ จ็บปว่ ยเปน็ ไข้ได้
ลกู หลานจะเข้าแถวตักน้ำทเี่ ตรียมไวใ้ นโอง่ มารดท่มี ือหรือท่ีตัวคนแก่ และมอบเคร่ืองนุ่งห่มเคร่อื งใช้
ให้คนแก่ พรอ้ มกับขอพรคนแกก่ จ็ ะให้พรลกู หลานท่ีมาประกอบพธิ ีและอาบน้ำไปตามลำดับจนครบทุกคน

9

เม่ือเสร็จพิธี ลูกหลานจะนำเสื้อผ้าชุดใหม่มาผลัดเปล่ียนให้คนแก่ทาแป้ง หวีผม แต่งตัวให้เป็นอัน
เสรจ็ พธิ กี ารอาบน้ำ

เรอ่ื งท่ี 2 ประเพณที เ่ี กย่ี วเนอื่ งกับความสามคั คี จังหวดั นครศรธี รรมราช

ค ว าม ส า มั ค คี ก ล ม เก ลี ย ว แ ล ะ ค ว าม พ ร้ อ ม เพ รี ย ง กั น เป็ น พ้ื น ฐ าน ท่ี ส ำคั ญ ยิ่ ง ใน ก า ร อ ยู่ ร่ ว ม กั น
ประเทศชาติจะม่ันคงได้ด้วยบุคคลในสงั คมน้ัน ต้องรักใคร่ปรองดองกนั สงเคราะห์ชว่ ยเหลือกนั ประพฤตติ นให้
เกดิ ประโยชน์เกื้อกลู แก่กัน แกห่ มคู่ ณะและชมุ ชน โดยส่วนรวมประเพณีสำคญั ของนครศรีธรรมราชที่เก่ยี วเนอื่ ง
กับความสามัคคี คอื ประเพณใี ห้ทานไฟ ประเพณกี วนข้าวยาคู และประเพณลี ากพระ

2.1 ประเพณีใหท้ านไฟ

การให้ทานไฟเป็นการทำบุญด้วยไฟ เพ่ือให้ความอบอุ่นแก่พระภิกษุสงฆ์ในตอนเช้ามืดของวันที่
อากาศหนาวเย็น ใชล้ านวดั เปน็ ท่กี อ่ กองไฟและทำขนมถวายพระ

ประวตั ิความเป็นมา
นครศรีธรรมราชตั้งอยู่ติดชายฝั่งทะเล ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบร้อนชื้นในหน้าหนาวก็ไม่
หนาวจัด เพียงแต่คนรู้สึกว่าอากาศเย็นลงกว่าปกติ เนื่องจากไมเ่ คยชินกับอากาศที่หนาวเยน็ ลงตอนย่ำรุง่ เช้ามืด
จึงลุกขึ้นมาก่อไฟผิงเพ่ือสร้างความอบอุ่น ประกอบกับชาวนครศรีธรรมราชยึดมั่นในพระพุทธศาสนา
พทุ ธศาสนกิ ชนจึงพากนั ไปก่อกองไฟในวัดใกลบ้ ้านแลว้ นิมนต์พระภกิ ษุสงฆ์มาผงิ ไฟรับความอบอนุ่ ด้วย
ตำนานการให้ทานไฟ กล่าวถึงในขุททกนิกายชาดก เร่ืองความตระหน่ีของโกลิยะเศรษฐี ซ่ึงอาศัยอยู่
บา้ นใหญ่สูงเจ็ดช้นั มฐี านะร่ำรวย วนั หน่ึงโกลิยะเศรษฐไี ปเท่ยี วท่กี รุงราชคฤห์ เห็นคนมงั่ กินขนมเบ้ืองที่แผงลอย
ขายขนมก็อยากกนิ บ้าง แต่เสียดายเงินจึงไมย่ อมซ้ือกิน กลับมาถงึ บ้านความอยากกินขนมมีมาก ทำให้จติ ใจหด
หู่ มีอาการซึมเศร้าผิดปกติ ภรรยาสอบถามจึงรู้เรื่องและรับอาสาทำขนมเบ้ืองให้ แต่โกลิยะเศรษฐีก็ยังขี้เหนียว
ไม่อยากให้ลูกเมียกินด้วย ภรรยาจึงให้สญั ญาว่าตนจะไม่กินขนมเป็นอันขาด และจะขนึ้ ไปทำขนมเบื้องท่ีชน้ั เจ็ด
ไมใ่ หใ้ ครรเู้ หน็ ให้ไดก้ นิ คนเดยี ว โกลิยะเศรษฐจี งึ ตกลง
ขณะที่สองสามีภรรยากำลังทำขนมเบ้ือง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร ทรงทราบด้วย
ญาณ จึงให้พระโมคคัลลานะไปแก้นิสัยของเศรษฐี พระโมคคัลลานะเหาะตรงไปยังประตูตึกช้ันท่ีเจ็ดของ
คฤหาสนเ์ ศรษฐี แล้วยนื สำรวมทีต่ รงประตู เศรษฐีเข้าใจวา่ จะมาขอขนมจึงแสดงอาการรังเกยี จและออกวาจาไล่
พระโมคคัลลานะ พยายามทรมานเศรษฐีอยนู่ านจนยอมละนสิ ัยตระหน่ี
พระโมคคัลลานะได้แสดงธรรมเร่ืองประโยชน์ของการให้โกลิยะเศรษฐีและภรรยาเกิดเล่ือม ใส
ได้นมิ นต์มารบั ถวายอาหารที่บา้ นตน พระโมคคลั ลานะจงึ แจ้งใหน้ ำไปถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวก 500 รูป
ณ เชตะวันมหาวิหาร โกลิยะเศรษฐีและภรรยาจึงนำเข้าของเคร่ืองปรุงไปทำขนมเบ้ืองถวายพระพุทธองค์และ
พระสาวก แต่ปรุงสกั เท่าไรแป้งที่เตรียมมาเพยี งเล็กน้อยก็ไม่หมด พระพุทธเจ้าจงึ โปรดเทศนาสง่ั สอนท้ังสองคน
เกิดความปตี อิ มิ่ เอบิ ในการบรจิ าคทานเห็นแจง้ บรรลุธรรมชั้นโสดาบัน
ระยะเวลา

10

การให้ทานไฟไม่มีกำหนดระยะเวลาท่ีแน่นอนตายตัว แล้วแต่ความสะดวกในการนัดหมาย

แต่ส่วนใหญ่จะปฏิบัติในช่วงเดือนย่ี ซ่ึงเป็นช่วงที่มีอากาศหนาวเย็นท่ีสุด ชาวบ้านจะนัดหมายไปพร้อมกัน

ในเวลาย่ำรงุ่ หรอื ตอนเชา้ มดื ซึ่งจะเป็นวนั ไหนก็ได้

ปัจจุบันทางหมู่บ้านกำหนดให้เอาเช้ามืดของวันปีใหม่ (คือวันท่ี 1 มกราคม) เป็นวันไปวัดทำบุญให้

ทานไฟ และจัดทำกจิ กรรมปใี หม่ต่อเนื่องกนั ไป

การเตรียมการ

1) การเตรียมไฟ ชาวบ้านจะจัดเตรียมไม้ฟืน

ถ่านและเตาไฟสำหรับก่อไฟให้ความร้อนความอบอุ่นแก่

พระสงฆ์ 2) การเตรียมเครื่องปรุง ขนมท่ีเตรียมไปปรุงที่วัด กองไฟสำหรับการใหท้ านไฟ
ในการให้ทานไฟเป็นขนมอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นขนมท่ี

สามารถทำเสรจ็ ในเวลาอันรวดเรว็ ขนมส่วนมากจะปรงุ โดยใช้

ไฟแรงและเป็นขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมเบ้ือง ขนมโค ขนมจู้จุน

ข้าวเกรียบปากหม้อ ขนมครกข้าวเหนียว ข้าวเหนียวกวน กล้วยทอด ขนมกรุบ ขนมบ้า ขนมพิมพ์ ดังน้ันการ

เตรยี มเคร่อื งปรงุ ขนมจงึ เตรียมตามชนดิ ของขนมทต่ี ้องการทำ

พิธีกรรม

การก่อไฟ ชาวบา้ นมกั ใช้ไม้ฟืนหลายอนั มาซ้อนกันเข้าเป็นเพิง ก่อไฟแล้วก็นมิ นต์พระสงฆ์มาน่ังผิงไฟ

เพ่อื ใหเ้ กิดความอบอ่นุ ทัง้ พระสงฆ์และคนท่ีอยใู่ กล้เคียง

การทำขนมให้ทานไฟจะต้องปรุงข้ึนในวดั ชาวบ้านจะปรงุ ขนมแต่ละชนิดทเี่ ตรียมมา โดยเฉพาะนยิ ม

ทำขนมเบ้ือง ขนมครก และขนมโค เป็นขนมที่สำคัญท่ีสุดจะขาดเสียไม่ได้ แล้วนำขนมท่ีปรุงขึ้นมาร้อน ๆ

ไปถวายพระสงฆ์ ขณะที่ทำขนมกันไปพระสงฆ์ก็ฉันไปพร้อม ๆ กันและจะหยุดปรุงขนมก็ต่อเม่ือเครื่องปรุง

ที่เตรียมมาหมด เมอ่ื พระสงฆ์ฉันจนอ่มิ แลว้ ชาวบ้านจึงรับประทานกันอยา่ งสนกุ สนาน

หลังจากพระสงฆ์ฉนั เสรจ็ แลว้ ก็สวดใหศ้ ีลใหพ้ รแกผ่ ู้ท่ีมาทำบุญเปน็ อันเสร็จพธิ ี

2.2 ประเพณีกวนข้าวยาคู

ข้ า ว ย า โค (ห รื อ ข้ า ว ย า คู ) เป็ น ชื่ อ ที่ ช า ว

นครศรีธรรมราช เรียกกันทั่วไปในพุทธประวัติเรียกว่า

“ข้าวมธุปายาสยาคู” ซึ่งเป็นข้าวท่ีนางสุชาดานำไปถวาย

พระพุทธเจา้

ประวตั คิ วามเป็นมา
ความเชื่อของชาวนครศรีธรรมราช มีความเชื่อที่เกี่ยวเน่ืองกับพุทธประวัติตอนนางสุชาดาถวาย
มธปุ ายาสยาคู ซ่ึงมี ใจความสรุปได้ ดังน้ี

11

ในตอนเช้านั้น นางสุชาดาบุตรีกระฎุมพีนายใหญ่แห่งบ้านเสนานิคม ณ ตำบลอุรุเวลา ปรารถนาจะ
บวงสรวงเทวดา จึงหุงข้าวมธุปายาสยาคูคือข้าวสุกหุงด้วยน้ำนมโคล้วน จัดลงในถาดทองคำนำไปที่
โพธิพฤกษ์ เห็นพระมหาบุรษุ นั่งอยู่ สำคัญว่าเป็นเทวดาจึงน้อมข้าวมธปุ ายาสยาคู เขา้ ไปถวาย ในเวลานนั้ บาตร
ของพระองค์เผอญิ อนั ตรธานหายไป พระองคจ์ ึงทรงรบั ข้าวมธุปายาสยาคูนนั้ ท้งั ถาด นางจงึ ทูลถวายทั้งถาดแล้ว
กลับไป พระมหาบุรุษทรงถือถาดข้าวมธุปายาสยาคู เสด็จไปสู่ท่าน้ำแห่งแม่น้ำเนรัญชรา เม่ือสรงน้ำแล้วจึงได้
เสวยขา้ วมธปุ ายาสยาคจู นหมดจึงทรงลอยถาดไป

ความเชือ่
พุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช เช่ือกันว่า ข้าวยาคูน้ันเป็นอาหารทิพย์ช่วยให้สมองดี
เกิดปัญญาแก่ผู้บริโภค ทำให้มีอายุยืนยาวมีผิวพรรณผ่องใสและมีพลานามัยสมบูรณ์ และยังเป็นโอสถ
ขนานเอกที่สามารถขจัดโรคร้ายได้ทุกชนิด ท้ังยังบันดาลความสำเร็จให้ผู้บริโภคสมปรารถนาในสิ่งที่คิด
ได้อีกด้วย
ด้วยความเช่ือน้ี ชาวนครศรีธรรมราชจึงถือปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงทุกวันน้ี เมื่อกวนข้าวยาคูเสร็จ
แล้วจะแจกจ่ายและนำไปเป็นของฝากให้กับลูกหลานญาติมิตร เพื่อให้ได้รับประทานข้าวยาคูกัน
อยา่ งท่งั ถึงทุกคน
ระยะเวลา
เดือนสามเป็นระยะเวลาท่ีข้าวในนากำลังออกรวง เมล็ดข้าวยังไม่แก่ กำลังเป็นน้ ำนมข้าว
เหมาะสำหรับนำมากวนข้าวยาคู ชาวบ้านจึงนิยมกวนข้าวยาคูในจันข้ึน 13 และ 14 ค่ำ เดือนสาม โดยใช้วัด
เปน็ สถานทกี่ วนขา้ วยาคู เพราะวดั เปน็ ศนู ย์รวมของประชาซน
การเตรียมการ
1. เครื่องปรุง
เคร่ืองปรุงมีมากกว่าห้าสิบชนิด มีท้ังพวกพืชพืชผล และพืชสมุนไพร ผลไม้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
ตามฤดกู าล ซ่ึงจัดเคร่อื งปรุงเป็นประเภทไดด้ งั น้ี

1.1 น้ำนมข้าว เป็นเครื่องปรุงที่สำคัญที่สุด ได้จากการเก็บเกี่ยวท่ีกำลังมีน้ำนม ชาวบ้านใช้
กะลามะพร้าวรูดเอาแต่เมล็ดออกจากรวง นำเมล็ดข้าวไปตำให้แหลก แล้วนำมาค้ันเอาน้ำนมข้าวซ่ึงใช้วิธีการ
เช่นเดยี วกับการค้ันกะทิ ทำน้ำนมขา้ วไปกรองให้สะอาดเก็บเตรียมไว้

1.2 ประเภทผลไม้ เช่น ขนุน จำปาดะ มังคุด ละมุด อินทผาลัม กล้วย เงาะ พุทรา มะละกอ
ทุเรียนสด มะตูม สาคูวิลาดและผลไม้อ่ืน ๆ ที่มีตามฤดูกาล ผลไม้เหล่านี้ปลอกเปลือก แกะเมล็ด ห่ัน
ตม้ เตรยี มไว้

1.3 ประเภทพืชผัก ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวโพดอ่อน ข้าวฟาง ข้าวเม่า ข้าวตอก ฟักทอง
ถ่ัวลสิ งค่วั เมลด็ ผกั ชี หอม กระเทยี ม ซงึ่ บางชนิดเตรียมด้วยการหน่ั ซอย หรือตำให้ละเอียด

1.4 ประเภทพืชมีหัว ได้แก่ เผือก มันเทศ มันหอม มันล่า เป็นต้น ปอกเปลือกหั่นแล้วนำไปต้ม
ในน้ำกะทเิ ตรียมไว้

12

1.5 ประเภทน้ำผ้ึงและนม ได้แก่ น้ำผงึ้ รวง น้ำตาลทราย น้ำตาลปบี น้ำตาลกรวด น้ำตาลขณั ฑส
กร น้ำออ้ ย นมสด นมขน้ นมผง น้ำลำไย น้ำบัวบก เป็นต้น

1.6 ประเภทพืชสมุนไพร ได้แก่ พรกิ ไทย ลูกกระวาน กานพลู ราแดง ราขาว ราต๊ักแตน ชะเอม
ดีปลีเชือก (ดีปลี) ลูกจันทน์ รกจันทน์ ดอกจันทน์ นำเครื่องเทศท้ังหมดค่ัวให้มีกล่ินหอม แล้วนำไปตำ ร่อนเอา
แต่สว่ นท่ลี ะเอยี ดสว่ นขงิ แหง้ หัวเปราะ หวั กะขาย หัวขา่ อบเชย และโป๊ยกกั๊ นำไปตม้ และกรองเอาแต่น้ำ

1.7 ประเภทแป้ง ไดแ้ ก่ แปง้ ขา้ วเจา้ แป้งข้าวเหนียว เวลาจะกวนจงึ ละลายผสมในน้ำนมข้าว
1.8 มะพร้าว นำไปขดู ค้ันเอาน้ำกะทิแลว้ เค่ียวใหแ้ ตกมันจนกลายเป็นน้ำมนั มะพร้าวเก็บพักไว้
2. การเตรียมเครอื่ งปรุง
นำเครื่องปรุงทั้งหมดมาผสมเข้าด้วยกัน โดยแบ่งเคร่ืองปรุงทุกชนิดออกเป็นส่วน ๆ เท่า ๆ กัน
ใส่ภาชนะโอ่งดินพักไว้ จำนวนโอ่งดินที่ใช้ใส่เครื่องปรุงท้ังหมดจะเท่ากับจำนวนกระทะใบบัวที่ใช้
กวนขา้ วยาคู
3. การเตรียมอุปกรณ์เตาไฟ
การกวนข้าวยาคูต้องใช้ความร้อนสูง ลักษณะของเตานิยมขุดลงไปในพื้นดิน ให้ความร้อนระอุอยู่
ภายในตลอดเวลา มีช่องสำหรับใส่ฟืนเพื่อเป็นเช้ือเพ ลิงและมีช่องระบายอากาศ ชาวบ้านเรียกว่า
รพู ังเหย เตาดินสามารถเกบ็ ความร้อนไว้ไดม้ าก ลมไม่โกรก
4. การเตรียมบคุ ลากรทส่ี ำคญั
4.1 พรหมจารี เพื่อเป็นสิริมงคลในการกวนข้าวยาคู ต้องให้สาวพรหมจารีท่ีบริสุทธ์ิเป็น
ผเู้ รมิ่ ตน้ กวนจนเสร็จพธิ ีสงฆ์
4.2 นิมนต์พระสงฆ์สำหรับสวดชัยมงคลคาถา พร้อมท้ังจัดหาเคร่ืองใช้ในพิธีสงฆ์ เช่น
ดา้ ยสายสิญจน์และอน่ื ๆ
พิธีกรรม
1. ขน้ั ตอนการกวนขา้ วยาคู ประกอบดว้ ยสงิ่ ต่อไปน้ี
สาวพรหมจารีนุ่งขาวห่มขาว และต้องรับสมาทานเบญจศีลก่อนเข้าพิธีกวน ท้ังนี้เพ่ือความบริสุทธิ์
และความเป็นมงคล โดยมีด้ายสายสิญจน์ โยงจากพระสงฆ์มาผูกไว้ที่ไม้พาย (ไม้กวน) ให้สาวพรหมจ ารี
จับสายสิญจน์ไว้ พระสงฆเ์ ตรียมสวดขยั มงคลคาถา ซงึ่ ชาวบา้ นเรียกวา่ สวดชยนั โตเพื่อเป็นมงคลพิธี
2. ข้นั ตอนในการกวนข้าวยาคู
2.1 เรมิ่ พิธีกวน สาวพรหมจารีจับไม้กวน มีการล่ันฆ้องชัยต้ังอีโหย้ (โหส่ ามลา) พระสงฆ์จะสวด
ขยนั โตตัง้ แตเ่ รม่ิ กวน เม่อื สวดชยันโตจบแล้วถอื ว่าเสร็จพธิ ี ต่อไปใครจะกวนก็ได้

13

2.2 วิธีกวน การกวนข้าวยาคูต้องกวนอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะไม่ติดกระทะ เมื่อข้าวยาคู
เร่ิมเหนียวจะใช้น้ำมันมะพร้าวท่ีเค่ียวไว้เติมลงในกระทะ ไม่ให้ข้าวยาคูติดไม้พาย ข้าวยาคูจะเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
เมอื่ กวนเสรจ็ และมีกลนิ่ หอมเคร่ืองเทศ

2.3 ระยะเวลา ใช้เวลาประมาณ แปดถึงเก้าช่ัวโมง ส่วนมากเริ่มกวนเวลา 19 นาฬิกา จนถึง
ประมาณ 03.00 นาฬกิ า จึงแลว้ เสรจ็

2.4 ตักจากกระทะใส่ถาด เกลี่ยข้าวยาคูให้บาง ๆ แล้วตัดเป็นช้ินนำไปถวายพระในวัดแจกจ่าย
ญาตมิ ิตรทม่ี ารว่ มในพิธใี ห้ทั่วทุกคนทเี่ หลอื จัดส่งไปยังวัดตา่ ง ๆ และนำไปฝากญาติมิตร

2.3 ประเพณีลากพระ

ลากพระ (ชักพระหรือแห่พระ) เป็นประเพณีทำบุญในวันออกพรรษาโดยอัญเชิญพระพุทธรูป
มาประดิษฐาน ในนมพระแล้วแห่ โดยการลากไปชมุ นมุ กนั ในบรเิ วณหมู่บา้ นใน วันแรม 1 ค่ำเดือนสิบเอด็

ประวัติความเปน็ มา
ในสมัยท่ีมีการสร้างพระพุทธรูปข้ึน แล้วพุทธศาสนิกชนได้อัญเชิญพระพุทธรูปซ่ึงสมมุติแทน
องคพ์ ระพุทธเจา้ มาแห่แทน ซง่ึ เปรียบเสมือนการรับเสด็จและถวายภตั ตาหารใหพ้ ระพุทธเจ้าด้วยตนเอง
พระภิกษุจีนชื่ออี้จิง ได้จาริกแสวงบุญผ่านมายังอาณาจักรตามพรลิงค์ ได้พบเห็นชาวบ้านปฏิบัติ
ประเพณลี ากพระจงึ บันทกึ จดหมายเหตุไว้วา่
“พระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิองค์หนึ่ง มีคนแห่แหนนำมาจากวัด โดยประดิษฐานบนรถหรือบนแคร่
มีพระสงฆ์และฆราวาสหมู่ใหญ่ห้อมล้อมมา มีการตีกลองและบรรเลงดนตรีต่าง ๆ มีการถวายของหอมและ
ดอกไม้และถอื ธงชนดิ ตา่ ง ๆ ทที่ อแสงในกลางแดด พระพทุ ธรูปเสดจ็ ไปส่หู มบู่ า้ นด้วยวธิ ีดังกลา่ ว”
ความเชือ่
เม่ือคร้ังที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ข้ึนดาวดึงส์เพ่ือโปรดพระมารดา เม่ือครบพรรษา
จงึ เสด็จกลับลงมายงั โลกมนุษย์ โดยจะกลับลงมาทางบันไดแก้วที่พระอินทรน์ ิมิตถวาย โดยจะเสด็จถึงนครสังกัส
สะในเวลาเชา้ ตรขู่ องวันแรม 1 คำ่ เดือนสบิ เอ็ด
พทุ ธศาสนิกชนท่ีทราบกำหนดการเสด็จ ตา่ งปลืม้ ปีติยินดีพากันไปรบั เสดจ็ กันอย่างเนืองแน่น พร้อม
ท้งั เตรียมภัตตาหารไปถวาย พระพุทธเจา้ ได้รับการอัญเชิญขึ้นประทับบนบุษบกท่ีเตรียมไว้ แล้วแห่แหนไปยังที่
ประทับ ท่ามกลางฝูงคนล้นหลาม ทำให้ผู้คนไม่สามารถเข้าไปถวายภัตตาหารถึงพระพุทธองค์ได้ท่ัวทุกคน
มคี นท่ีอยู่รอบนอกจำนวนมากท่มี ีความศรัทธาแรงกล้าจึงได้นำใบไมม้ าห่อภัตตาหาร แล้วยื่นต่อต่อกันเพอื่ ให้ถึง
บุษบกท่ีประทับอยู่ บางคนก็โยนบ้าง ปาบ้าง ด้วยแรงอธิฐานของผู้มีจิตศรัทธาและอภินิหารของพระพุทธเจ้า
ทำให้ภตั ตาหารเหล่าน้นั ไปตกในบาตรของพระพุทธองค์ทั้งสน้ิ นคี่ ือความเช่ือทตี่ กทอดมาครง้ั พทุ ธกาล
ชาวนครศรีธรรมราชมีความเชื่ออยู่อีกประมาณหนึ่งว่า อานิสงส์แห่งการลากพระทำให้ฝนตก
ตอ้ งตามฤดูกาล ชาวนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ต้องการไร่นาทอ่ี ุดมสมบูรณ์ ผลผลิตเพ่ิมพูน
การท่ีฝนตกต้องตามฤดูกาลจึงเป็นเร่ืองสำคัญจนเกิดคติความเชื่อว่า “เมื่อพระหลบหลัง ฝนจะตกหนัก” จึงมี

14

สัญลักษณ์ในการลากพระ เพราะเชื่อว่าให้น้ำ และเชื่อกันว่าหากใครได้ลากพระทุกปี จะเป็นผู้ท่ีได้รับบุญกุศล
เปน็ อย่างมาก และส่งผลใหป้ ระสบความสำเร็จในชีวิต

ระยะเวลา
วันลากพระจะทำกันในวันออกพรรษา คือวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ดของทุกปี พุทธศาสนิกชน
แต่ละวัดมักจะตกลงนัดหมายลากพระไปยังจุดศูนย์รวม ณ ที่น้ัน มีการแข่งขันการตีโพน (ห รือล่อปืด)
การประกวดนมพระ กลางคืนมีการละเล่นและมหรสพต่าง ๆ ในวันรุ่งข้ึนวันแรม 2 ค่ ำเดือนสิบเอ็ด
จงึ จะพากนั ลากพระกลับวัด

15

พธิ ีกรรม
ก่อนจะถึงเวลาลากพระ พุทธศาสนิกชนละแวกวัดต่าง ๆ จะเตรียมการเพ่ือประกอบพิธีกรรมกัน
อยา่ งคึกคกั กลา่ วคือ
1. การแต่งนมพระ
นมพระหรือพนมพระ หมายถึง พาหนะท่ีใช้บรรทุกพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร นิยมทำกันสองแบบ
แบบหนึ่งใช้ลากทางบกเรียกว่า “นมพระ” ส่วนอีกแบบหนึ่งใช้ลากทางน้ ำเรียกว่า “เรือพระ”
ซึ่งพุทธบริษัทและพระสงฆ์สร้างข้ึน การสร้างนมพระน้ันนิยมสร้างบนร้านม้า มีไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่
สองท่อนรองรับข้างล่าง ทางด้านท้ายทำเป็นรูปหางพญานาค นิยมทำล้อเล่ือนด้วยไม้ส่ีล้อไว้ในตัวพญานาคทั้ง
สองข้าง สำหรับให้เกิดการเคล่ือนไหว เวลาลากหน้าล้อเอายางรถยนต์ปะเพ่ือจะช่วยให้การลากพระ
ไม่ต้องออกแรงมาก ด้านหน้าของพญานาคทั้งสองมีเชือกขนาดใหญ่พอกำมือรอบยาวประมาณ 20-30 เมตร
ผกู อยู่ข้างละเส้น เป็นเชือกสำหรบั ใช้ลากพระ ร้านม้าใช้ไม้ไผ่สานทำ ฝาผนังมีลวดลายและระบายสีงดงาม ข้าง
น ม พ ระมี โพ น ส อ งลู ก ก ล อ ง ฆ้ อ ง ห รือ ระฆั งอ ย่ างล ะห น่ึ งลู ก ปั จ จุบั น บ างรั ฐ ส ร้างน ม พ ระ
บนรถยนต์ใชเ้ คร่อื งยนตข์ บั เคลือ่ นเป็นการทนุ่ แรง ไมต่ อ้ งใช้คนมากในการลากพระ
บุษบกเป็นส่วนทส่ี ำคญั ทีส่ ุด เปน็ ทปี่ ระดิษฐานพระพุทธรูปปางอ้มุ บาตรทเี่ รียกว่า “พระลาก”
นมพระจะตกแต่งสวยงามมากรอบ ๆ ประดับดว้ ยผา้ แพรสี ธงร้ิว และธงสามชายด้านละสามผืน มีธง
ราว ธงยืนห้อยระยาง ตกแต่งด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ใบและทางมะพร้าว ก่ิงไม้และใบไม้ที่มีสีสันสวยงาม และ
ยงั ประดับดว้ ยดอกไมส้ ด อบุ ะดอกไมส้ ด ห้อยระย้า
ตัวพญานาคตกแต่งประดับด้วยกระจกสีต่าง ๆ ดแู วววาวงดงาม มีชีวิตชีวา กลางลำตัวสร้างเปน็ ร้าน
สูง 1.50 เมตร สำหรบั วางบษุ บกวางประดษิ ฐานพระพทุ ธรูป
ด้านหลงั นมพระสำหรบั วางเกา้ อ้ี มา้ น่งั หรือธรรมาสน์ เป็นที่นงั่ สำหรบั หม่พู ระสงฆ์
ด้านหน้าพระพุทธรูปเป็นท่ีวางบาตร สำหรับรับต้มจากผู้ท่ีมาทำบุญ เม่ือต้มเต็มบาตร จึงถ่าย
ไปใส่ภาชนะอื่นท่ีเตรียมไว้ ส่วนมากจะเตรียมเข่งไว้ใส่ต้ม บางคนทำต้มผูกเป็นพวงเป็นช่อสวยงาม
โดยนำไปแขวนรอบ ๆ นมพระ
ยอดนมเป็นส่วนยอดที่อยู่บนสุดของบุษบก มีรูปร่างเป็นพุ่มหรือพนม เป็นส่วนสำคัญที่จะตกแต่ง
ประดิษฐ์อยา่ งบรรจงงดงาม และได้รบั การดเู ป็นพเิ ศษ ความสง่าไดส้ ดั ส่วนของนมพระ ข้นึ อยู่กับยอดนมน้ันเอง
2. การหุ้มโพน
โพนเป็นเคร่ืองตี ในห้องถิ่นลุ่มน้ำปากพนังเรียกว่า “ปืด” ใช้ประโคมพระลาก การหุ้มโพน
ใช้เวลานานนับเดือน มีกรรมวิธีที่ซับซ้อนต้องขุดและขึงหนังให้ตึงเติมที่ บางวัดมีพิธีทางไสยศาสตร์
ประกอบด้วย แต่ละวัดต้องมีโพนสองใบ เสียงทุ้มและเสียงแหลมอย่างละใบ เสียงโพนเป็นจังหวะให้
ความคกึ คกั เร้าใจในขณะลากพระ


Click to View FlipBook Version