16
3. การคมุ พระ
การคุมพระเป็นวิธีการที่พุทธบริษัทของจัดตีโพนเป็นการประโคมก่อนถึง วันลากพระ
เพ่อื เตือนใหช้ าวบ้านทั่วไปทราบและเกิดความกระตอื รือร้นทีจ่ ะมารว่ มงานลากพระ โดยจะตโี พนเปน็ ระยะกอ่ น
ถึงวันลากพระ ประมาณหน่ึงถึงสองสัปดาห์ การคุมพระมักจะทำตอนกลางคืน เสียงโพนจะกังวาน
ชัดเจนไปไกล
4. การอัญเชญิ พระลากขึน้ ประดษิ ฐานบนนมพระ
พระลากเป็นช่ือพระพุทธรูปยืนปางต่าง ๆ แต่ที่นิยมใช้ในพิธีล ากพระ คือ พระพุทธรูป
ปางอุ้มบาตร เม่ือถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด พุทธบริษัทจะอัญเชิญพระลากออกจากวิหารหรืออุโบสถ ทำ
ความสะอาดและสรงน้ำพระชโลมเคร่ืองหอมต่าง ๆ แล้วเปล่ียนจีวรให้สวยงาม ในการนี้มีพิธีสงฆ์
สวดสมโภช มีการเทศนาในเรื่องเก่ียวกับการเสด็จไปดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้า จนกระท่ังเสด็จกลับมายังโลก
มนุษย์
5. การตกั บาตรหนา้ ล้อ
ตอนเช้าตรู่ในวันแรม 1 ค่ำเดือนสิบเอ็ด พุทธบริษัทจะนำภัตตาหารที่เตรยี มไว้มาตักบาตรทางวดั จะ
ตั้งโต๊ะวางบาตรเรียงอยู่หน้าพระลาก การตักบาตรหน้านมพระ เรียกว่า “ตักบาตรหน้าล้อ” แล้วจึงอัญเชิญ
พระลากขึ้นประดิษฐานบนบุษบกในนมพระ บางวัดจะทำพิธีไสยศาสตร์ เพื่อให้การลากพระ
เป็นไปดว้ ยความราบรนื่ ปลอดภยั แคลว้ คลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง
หลังจากพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเช้าแล้ว พุทธบริษัทจะนำต้มซ่ึงเป็นขนมชนิดหนึ่ง ท่ีทำด้วย
ข้าวเหนียวห่อด้วยใบพ้อแล้วต้มให้สุก นำมาใส่บาตรและวัดแขวนต้มหน้าพระ ย่ิงเวลาล่วงผ่านไป ต้มยิ่งเพ่ิม
จำนวนมากข้ึน เม่ือนมพระถูกลากหน้าบ้านใคร ผู้คนก็จะนำต้มลงมาทำบุญตลอดเส้นทาง บางท้องถ่ินมีการ
แจกจา่ ยให้ผคู้ นทอี่ อกมาลากนมพระได้กนิ ตม้ กนั ท่วั ถงึ
6. การลากพระ
6.1 การลากพระบก การลากพระ คือ การลาก
นมพระซ่ึงต้องอาศัยคนลากจำนวนมาก เพราะสมัยโบราณใช้
ล้อไม้เลื่อน นมพระจึงหนัก จึงต้องมีเชือกลากเป็นสองสาย
แบ่งเป็นสายผู้หญิงและสายผู้ชาย ผู้ลากจะลากนมพระผ่านมา
ตามเส้นทาง เมื่อผ่านหน้าบ้านของใคร คนท่ีอยู่ในบ้านจะ เรอื พระทางบก
ม า ช่ ว ย กั น ล า ก พ ร ะ ไ ป จ น ไ ก ล พ อ ส ม ค ว ร แ ล้ ว จ ะ มี ค น จ า ก บ้ า น อ่ื น
มารับทอดต่ออย่างไม่ขาดสาย คร้ันเม่ือลากเฮฮากันไปสายเชือกก็เบียดเสียดกันเช้าไปเป็ นท่ีสนุกสนาน
คนลากจะประสานเสียงร้องบทลากพระ เพื่อเป็นการผ่อนแรงไปในตัว เช่น บทร้องที่ใช้ ลากพระ และ
ยงั นิยมกนั ในปัจจบุ นั มีเน้ือความ ดงั น้ี
17
สร้อย : อีสาระพา เฮโล เฮโล (สรอ้ ย)
สาวสาวไม่มา ลากพระไมอ่ อก
สาวสาวพุงใหญ่ เกดิ ลกู ตามทาง
(สรอ้ ย)
แม่พมิ พ์ไม่มา ลากพระไม่ไป
แมส่ รอ้ ยไม่มา ลากพระไม่ไหว
(สร้อย)
ไอไ้ หรกลมกลม หนมโค หนมโค
ไอ้ไหรยาวยาว กลว้ ยไลกลว้ ยไล
(สรอ้ ย)
ไอไ้ หรกลมกลม หัวนมสาวสาว
ไอ้ไหรยาวยาว สาวสาวชอบใจ
ไอไ้ หรใหญใ่ หญ่ ไข่อุ้ง ไข่อ้งุ
(สร้อย)
ในวันรุ่งข้ึนเม่ือลากพระกลับถึงวัด พุทธบริษัทจะช่ วยกันทำความสะอาด เก็บพระลาก
เก็บข้าวของเคร่ืองใช้ท้ังหมดให้อยู่ในสภาพเรียบรอ้ ยเหมือนเดิม แล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยความสุขจาก
การทำบุญในวันออกพรรษา
6.2 การลากพระน้ำ การลากพระน้ำ คือ การลากเรือพระก็ทำในลักษณะเดียวกัน แต่นิยมกันใน
พ้ืนที่ซึ่งมีสภาพเป็นที่ลุ่ม มีลำคลองมาก ได้แก่ อำเภอปากพนัง อำเภอหัวไทร อำเภอเชียรใหญ่ อำเภอ
ชะอวด อำเภอฉวาง การเตรียมการเช่นเดียวกับการลากพระ
บก แต่เปลี่ยนจากนม พระบนล้อเลื่อนมาเป็นนมพระบนเรือ
เรียกว่า “เรือพระ” โดย การนำเรือสองหรือสามมายึดโยง
กันอย่างแข็งแรง จนเรือแยกจากกันไม่ได้ทำเป็นเรือพระ
เรียกว่า “การคาดเรอื พระ” แล้วสร้างนมพระบนเรืออัญเชิญ
พระลากไปประดิษฐานในเรือพระ ส่วนการลากเรือพระ
เรอื พระทางนำ้
18
ใช้เรือพายเรือแจวหลายลำช่วยกนั ลาก เรอื พระ บทร้องทใี่ ชล้ ากพระและพิธกี รรมต่าง ๆ ก็ปฏบิ ัติเชน่ เดียวกัน
19
ปัจจุบันสภาพชีวิตและสังคมเปล่ียนแปลงไปเส้นทางคมนาคมทางน้ำมีการใช้น้อยไม่เหมือนสมัยก่อน
พาหนะทางเรือลดน้อยลง จึงไม่ค่อยมีกิจกรรมประเพณีลากพระน้ำ กิจกรรมดังกล่าวลดน้อยลงทุกปี ยังคงมี
เฉพาะท่ีอำเภอปากพนัง ที่ให้ความสำคัญ กับการลากพระทางน้ำ ประเพณี ลากพระที่ปากพนัง
มีช่ือเสยี งเลอื่ งลือ ทำให้ผคู้ นทั่วทุกสารทิศหลงั่ ไหลมาร่วมลากพระอยา่ งล้นหลามทุกปี
เรือ่ งท่ี 3 ประเพณที เี่ กีย่ วเน่ืองกบั ความศรทั ธา จงั หวดั นครศรีธรรมราช
ความศรัทธา คือ ความเช่ือถือเลื่อมใส พุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ล้วนแต่มี
ความเลื่อมใสและเช่ือมั่นในพระรัตนตรัย ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ชาวนครศรีธรรมราชแสดงออกถึง
ความศรัทธาในรูปแบบของความพฤติปฏิบัติตามประเพณี โดยการประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา
ในวันสำคญั ตา่ ง ๆ คอื ประเพณแี หผ่ า้ ขึน้ ธาตุ ประเพณตี ักบาตรธปู เทียน และประเพณสี วดด้าน
3.1 ประเพณีแหผ่ า้ ขึน้ ธาตุ
แห่ผ้าข้ึนธาตุ หมายถึง การแห่ผ้าผืนยาวไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการนำผ้าข้ึนห่มล้อมรอบ
องค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็น ประเพณี ที่ชาวนครศรีธรรมราช
และพทุ ธศาสนกิ ชนทอี่ ยูใ่ นจงั หวดั ตา่ ง ๆ ยึดถือปฏบิ ัตสิ ืบทอดกันมาเปน็ เวลายาวนาน
ประวตั ิความเป็นมา
ใน ส มั ย ที่ พ ร ะ เจ้ า ศ รี ธ ร ร ม า โ ศ ก ร า ช เป็ น
กษัตริย์ครองตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) อยู่น้ัน ได้
มีการบูรณปฏิสังขรณ์ พระบรมธาตุเจดีย์คร้ังใหญ่และ
เสร็จในปี พ.ศ.1773 ขณะท่ี เตรียมสมโภชพระบรม
ธาตุอยู่น้ัน ชาวปากพนังมากราบทูลว่า คล่ืนได้ซัดเอา
ผ้าแถบยาวผืนหน่ึง ซึ่งมีภาพเขียนเรื่องพุทธประวัติมา
ขึ้นท่ีชายหาดปากพนัง ชาวปากพนังเก็บผ้านั้นถวาย
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช พระองค์รับสง่ั ให้ซักผ้าน้ันจน การแห่งผา้ ขึน้ ธาตุ
สะอาด เห็นภาพวาดพุทธประวัติ เรียกกันว่า “ผ้าพระ
บ ฏ ” จึ ง รั บ ส่ั ง ใ ห้ ป ร ะ ก า ศ ห า เ จ้ า ข อ ง
ได้ความว่า ชาวพุทธจากเมืองหงสากลุ่มหน่ึง จะนำผ้าพระบฏไปบูชาพระพุทธบาทท่ีลังกา แต่ถูกพายุพัด
มาข้ึนท่ีชายฝั่งปากพนัง เหลือผ้รู อดชีวิตสิบคน พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงความเห็นว่า ควรนำผ้าพระบฏไป
ห่มพระบรมธาตุเจดีย์ เน่ืองในโอกาสสมโภชพระบรมธาตุ แม้จะไม่ใช่พระพุทธบาทที่ต้ังใจ แต่เป็น
พระบรมสารรี ิกธาตุซึ่งเจา้ ของผา้ พระบฏก็ยนิ ดี การแห่ผา้ ขนึ้ ธาตุจึงมีขนึ้ ตงั้ แต่ปนี น้ั และดำเนินการสืบต่อมา จน
กลายเป็นประเพณีสำคญั ของชาวนครศรธี รรมราชในปัจจุบนั
ความเชื่อ
20
นครศรีธรรมราชรับพระพุทธศาสนาจากอินเดียและลังกา จึงรับความเชื่อของชาวอินเดียและลังกา
เข้ามาด้วย ชาวพุทธในอินเดียเช่ือว่าการทำบุญและการกราบไหว้บูชาท่ีให้ได้กุศลจริง จะต้องปฏิบัติต่อพระ
พักตร์และให้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด แม้เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จป รินิพพานแล้ว แต่ก็
มีสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์อยู่ ได้แก่ พระธาตุเจดีย์ พระพุทธรูป เป็นต้น การกราบไหวบ้ ูชาส่งิ เหล่าน้ีเท่ากับ
เปน็ การกราบไหวบ้ ูชาต่อพระพกั ตร์พระพทุ ธเจ้าโดยตรงเช่นกัน ดว้ ยเหตุนี้จึงเชอ่ื กนั มาว่า การนำผ้าไปบูชาพระ
บรมธาตุเจดีย์ด้วยการโอบล้อมองค์บรมธาตุเจดีย์ ถือเป็นการบูชาท่ีใกล้ชิดกับพระพุทธองค์ พุทธศาสนิกชนใน
นครศรธี รรมราชจากทกุ สารทิศจงึ มุ่งหมายมาสักการะ เม่ือถงึ วนั ดงั กลา่ ว
ระยะเวลา
แตเ่ ดมิ การแห่ผ้าขึ้นธาตนุ ิยมจัดปีละสองคร้ัง ในวนั ขึน้ 15 ค่ำเดือนสาม (วันมาฆบูชา) และวันขึน้ 15
ค่ำ เดือนหก (วันวิสาขบูชา) โดยนำผ้าไปห่อองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ปัจจุบัน
นิยมทำกัน ในวนั ขึ้น 15 ค่ำ เดอื นสาม (วันมาฆบูชา) มากกว่า
พิธีกรรม
1. การเตรยี มผา้ พระบฏ
ผ้าที่นำขึ้นห่อพระธาตุ มักนิยมใช้สีขาว เหลือง และแดง พุทธศาสนิกชนคนใดต้องการห่อผ้า
พระธาตุจะตระเตรียมผ้าขนาดความยาวตามความศรัทธาของตน เมื่อไปถึงวัดก็นำผ้ามาผูกต่อกัน
เป็นขนาดยาวที่สามารถห่อพระธาตุรอบองค์ได้ หากใครต้องการทำบุญร่วมด้วยก็จะบริจาคเงินสมทบ
ในขบวนผา้ พระบฏน้กี ็ได้
บางคนประดิษฐ์ตกแต่งชายขอบผ้าประดับด้วยริบบ้ิน พู่ห้อยแพรพรรณ ลวดลายดอกไม้สวยงาม
แต่ผ้าห่อพระบรมธาตุเจดีย์ผืนพิเศษ จะเขียนภาพพระพุทธประวัติท้ังผืนยาวโดยช่างผู้ชำนาญเขียนภาพ
แสดงให้เห็นถึงความตงั้ ใจ ความมานะพยายามในการทำผา้ พระบฏข้ึน เพ่อื เป็นพุทธบูชาองค์พระบรมธาตเุ จดยี ์
แต่ในปจั จุบันผา้ พระบฏซ่ึงมที ั้งสีขาว เหลือง แดง สว่ นใหญ่เปน็ ผา้ ผนื ยาวเรยี บ ๆ ธรรมดา
2. การจัดขบวนแหผ่ ้าขนึ้ ธาตุ
สมัยโบราณเม่ือถึงวันแห่ผ้าข้ึนธาตุ เร่ิมด้วยการจัดอาหารคาวหวาน เครื่องอุปโภคและบริโภคที่
จำเป็น ไปถวายพระสงฆ์วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร โดยการหาบคอนกันไปเป็นขบวนแห่ที่สวยงาม
พรอ้ มนำผ้าพระบฏและผ้าสีเหลอื งหรอื แดงหรอื ขาวไปวัด
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือคร้ังเสด็จพระราชดำเนินมายังนครศรีธรรมราช
ได้จัดแห่ผ้าขึ้นธาตุในวันมาฆบูชาและจัดให้มีการเวียนเทียนรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ชาวบ้านได้นำผ้าท่ี
เตรียมมาแหห่ ่มพระบรมธาตเุ จดีย์ดว้ ย
สมัยปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง ก็ตรงที่ได้ยกเลิกนำภัตตาหาร เคร่ืองอุปโภคและ
บริโภคที่นำไปทำบุญถวายพระ การประดับตกแต่งผ้าพระบฏ ก็ลดหรือดัดไปยังมีก็เฉพาะแต่ผ้าพระบฏ
ของบางหน่วยงาน เชน่ สถาบันราชภัฏนครศรีธรรมราช และวิทยาลยั ศลิ ปหตั ถกรรมนครศรีธรรมราช เปน็ ต้น
21
แต่เดิมการแห่ผ้าขึ้นธาตุจะนัดหมายโดยพร้อมเพรียงกันเป็นขบวนใหญ่ แต่ในปัจจุบันการเดินทาง
สะดวกข้ึน ผู้คนท่ีศรัทธาก็มาจากหลายทิศทาง ต่างคนต่างคณะต่างจึงเตรียมผ้ามาห่อพระธาตุ ใครจะ
ตง้ั ขบวนแหผ่ ้าขึน้ ธาตุในเวลาใดก็สุดแตค่ วามสะดวก ขบวนแหผ่ ้าข้ึนธาตจุ งึ มตี ลอดท้ังวนั ไมข่ าดสาย
เดิมขบวนแห่ผ้าข้ึนธาตุทุกขบวน นิยมใช้ดนตรีพ้ืนบ้านนำหน้าขบวน ได้แก่ ดนตรีหนังตะลุง ดนตรี
โนรา แตใ่ นปจั จุบนั เปล่ียนมาเป็นกลองยาวบรรเลงจังหวะท่ีครึกคร้ืน เพ่อื ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลนิ ขบวนแห่
ผ้าข้ึนธาตุจะเดินเป็นแถวเรียงเป็นร้ิวยาวไปตามความยาวของผืนผ้า ทุกคนชู (เทิด) ผ้าพระบฏไว้เหนือศีรษะ
ทัง้ นเี้ พราะเชื่อกันว่าผ้าพระบฏเครือ่ งสักการะพระพุทธเจ้า จงึ ควรถอื ไว้ในระดบั สูงกวา่ ศีรษะ
3. การถวายผ้าพระบฏ
เม่ือขบวนแห่ผ้าขึ้นธาตุถึงจัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารแล้วจะทำพิธีถวายผ้าพระบฏโดยมีหัวคณะ
กล่าวนำด้วยภาษาบาลี แล้วตามด้วยคำแปลซึ่งใจความว่า “ข้าแต่พระผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวาย
ผ้าห่มพระธาตุน้ี แก่พระพุทธเจ้า เพื่อเป็นพุทธบูชา ข้าพเจ้าท้ังหลายขอกราบไหว้ซ่ึงเจดีย์ท้ังหลาย
ในสถานที่น้ี ขออานิสงส์แห่งบุญกุศลของข้าพเจ้าทั้งหลายจงมีแก่ข้าพเจ้า และญาติมิ ตรทั้งหลาย
เพอื่ ความสุขความเจริญตลอดกาลนานเทอญ”
4. การนำผ้าข้นึ ห่อพระธาตุ
หลังจากทุกคนกล่าวคำถวายผ้าพระบฏเรียบร้อยแลว้ จะแห่ทักษิณาวตั ร รอบองคพ์ ระบรมธาตุเจดีย์
สามรอบ แล้วนำผ้าเข้าสู่วิหารพระทรงม้า (พระวิหารมหาภิเนษกรมณ์ ) เม่ือถึงตอนน้ีผู้ท่ีร่วมใน
ขบวนแห่จะส่งผูแ้ ทนเพียงสามหรือส่ีคนสมทบกับเจ้าหน้าท่ีของวัด นำผ้าพระบฏขึ้นโอบลอ้ มพระบรมธาตุเจดีย์
การที่ไม่สามารถขึ้นไปรอบกำแพงแก้วได้หมดท้ังขบวน ก็เพราะด้านในกำแพงแก้วคับแคบและ
เขตหวงห้าม และเชื่อว่าท่ีฐานพระบรมธาตุเจดีย์ มีพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานอยู่ หากข้ึ นไปเดิน
บนลานกำแพงแกว้ กเ็ ป็นการไม่เคารพพระพทุ ธองค์
3.2 ประเพณตี ักบาตรธปู เทยี น
การตักบาตรธปู เทียนเป็นการทำบญุ ด้วยธูปเทียน และ
ดอกไม้เน่ืองในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่ อจะให้พ ระสงฆ์
ที่จำพรรษาได้นำธูปเทียนใช้บูชาพระรัตนตรัยตลอดพรรษาสาม
เดือน ชาวนครศรีธรรมราชจึงนำธูปเทียนและไม้ขีดไฟ ไปถวาย
พระสงฆ์ในวันดังกลา่ ว การตกั บาตรธปู เทยี น
ประวัติความเป็นมา
ประเพณีตักบาตรธูปเทียน เกิดจากพุทธศาสนิกชนนำธูปเทียนดอกไม้ไปนมัสการและจุดไฟเพ่ือบูชา
พระบรมสารีริกธาตุ ณ วดั พระมหาธาตุวรมหาวหิ ารเน่ืองในเทศกาลวนั เข้าพรรษา ได้พบเห็นพระสงฆ์มากมาย
คับค่ัง มาชุมนุมมนสั การพระบรมสารีริกธาตุเชน่ กันเห็นผ้าเหลืองเต็มไปทง้ั วัด จึงเกิดความศรัทธาเสื่อมใส ผคู้ น
พ า กั น แ บ่ ง ธู ป เที ย น แ ล ะ ด อ ก ไม้ ข อ ง ต น ถ ว า ย ให้ พ ร ะ ส ง ฆ์ ไ ว้ เป็ น เค ร่ื อ ง บู ช า น มั ส ก า ร
22
ดว้ ยความศรัทธานี้ค่อย ๆ ฝงั แน่นและขยายกว้างขวา้ งออกไป ในวนั เขา้ พรรษาพุทธศาสนกิ ชนจึงพร้อมใจกันใน
วันเขา้ พรรษา รว่ มกันตกั บาตรธปู เทียนสบื มา จนเปน็ ประเพณีตกั บาตรธูปเทยี นถงึ ปัจจบุ ัน
ระยะเวลา
การตักบาตรธูปเทียนมีปีละคร้ัง คือ ในรันแรกเร่ิมเข้าพรรษา (แรม 1 ค่ำ เดือนแปด) เวลาประมาณ
16 นาฬกิ า โดยใชล้ านในวดั เปน็ สถานท่ีถวายธปู เทียน
การเตรยี มการ
ชาวนครศรีธรรมราชนยิ มจัดเตรียมสิ่งของเพ่อื นำไปตักบาตรธปู เทยี น ดังน้ี
1. ธูปเทียน นิยมมัดธูปและเทียนไว้ด้วยกัน เพ่ือสะดวกในการตักบาตรจึงเตรียมธูปสามดอก เทียน
หนึ่งเล่ม จัดตามจำนวนที่ใช้ไว้บูชาพระตามปกติ แต่คนส่วนใหญ่จะตักบาตรด้วยธูปและเทียนมัดใหญ่ เพื่อ
ประสงคใ์ ห้พระสงฆม์ ีธูปเทียนไดใ้ ชต้ ลอดพรรษา
2. ไม้ขีดไฟ เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดเสียไม่ได้ใช้จุดธูปและเทียน ดังนั้นการตักบาตรธูปเทียน จึงมี
ไม้ขีดไฟเป็นของเสรมิ เพ่อื ใหพ้ ระสงฆ์มีอุปกรณค์ รบไมข้ ีดไฟมีท้ังกล่องขนาดเลก็ และใหญ่บางคนใช้ไม้ขีดไฟเป็น
ห่อในการตกั บาตร
3. ดอกไม้ เพ่ือให้พระสงฆ์ใช้บูชาพระรัตนตรัย จึงเตรียมดอกไม้สดชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะที่
ขาดไม่ได้ คือ ดอกบัว ปัจจุบันมีดอกไม้ประดิษฐ์ท่ีสีสันสดใส สวยงามและรูปลักษณ์เหมือนกับดอกไม้สด
บางคนจึงตกั บาตรด้วยดอกไม้ประดิษฐ์ จะได้ไม่เหี่ยวเฉาตลอดพรรษา
พิธีกรรม
เน่ืองจากวันประกอบพิธีตักบาตรธูปเทียน เป็นวันเข้าพรรษาของพระสงฆ์ ทุกวัดท่ีพระสงฆ์
จำพรรษา เร่ิมพิธเี ข้าพรรษามาต้ังแต่ตอนเช้า มีพุทธศาสนิกชนไปวัดทำบุญเข้าพรรษากันจำนวนมาก หลังจาก
ไหว้พระฟังเทศน์ ฟังธรรม และถวายภัตตาหารแ ด่พระสงฆ์แล้ว จึงไปเริ่มพิธีตักบาตรธูปเทียน
ในตอนบ่าย
พิธตี ักบาตรธปู เทียนเริม่ ประมาณ 16 นาฬิกา พระภิกษสุ งฆ์ต่างมาพรอ้ มเพรียงกนั ยืนเรยี งแถว โดยมี
ยา่ มคล้องแขนกันทุกรูป เพื่อเตรียมบิณฑบาตธูปเทียน พุทธศาสนิกชนจะนำ ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ และดอกไม้มา
ใส่ย่ามถวายพระสงฆ์
สมัยก่อนในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หลังจากตักบาตรธูปเทียนเสร็จแล้ว พุทธศาสนิกชน
จะนิยมไปจุดเปรียงเพื่อพุทธบูชา ตามหน้าพระพุทธรูปและฐานเจดีย์ทุกฐานในวัด โดยใช้วิธีง่าย ๆ
ด้วยการเอาด้ายดิบใส่ภาชนะ เล็ก ๆ หรือใส่เปลือกหอย หยอดน้ำมันมะพร้าวลงในภาชนะ แล้วจุดไฟท่ีด้าย
แสงจะสวา่ งวบั แวมไปท่วั ทุกวิหารและฐานเจดีย์ ปจั จุบนั จุดเปรยี งได้ยกเลิกไป ได้หนั มาจุดเทยี นไขแทน
ปจั จุบันการตักบาตรธูปเทียน ปฏิบัติกันแพร่หลายในนครศรีธรรมราช ชาวบ้านจะเตรียมธูปเทียนไว้
ไนเทศกาลเข้าพรรษา แม้ไม่ใช่วันประเพณีตักบาตรธูปเทียน หากพบเห็นพระสงฆ์เดินผ่านมาก็จะ
ถวายธปู เทียนกนั อย่โู ดยทั่วไป
3.3 ประเพณสี วดดา้ น
23
การสวดหนังสือ มีความหมายถึง การอ่านหนังลือร้อยกรองโดยใช้สำเนียงภาษาพ้ืนเมือง
อ่านออกเสยี งเปน็ ทำนองตามบทร้อยกรอง
ด้าน หมายถงึ ด้านต่าง ๆ รอบของพระวหิ ารคด หรอื พระระเบยี งรอบพระบรมธาตุเจดีย์ซ่ึงมีสี่ด้าน
พระด้าน หมายถึง พระพุทธรูปที่ประดิษฐาน
อยู่ในวิหารคดทั้งสี่ด้าน มีจำนวนท้ังหมด 173 องค์ การสวดด้าน
พระพทุ ธรูปเหล่าน้ีเรียกว่า พระด้าน
สวดด้าน หมายถึง การสวดหนังสือที่ระเบียงด้านต่าง ๆ ท้ังในวิหารคดและวิหารทับ เกษตรใน
ส่วนท่ีประดิษฐานธรรมาสน์สำหรับพระภิกษุสงฆ์ทั่งเทศนาในวันธรรมสวนะแต่ตามลักษณะนิ สัยของ
ชาวนครศรีธรรมราชชอบพูดคำส้ัน ๆ จึงตัดคำออกเหลือเพียงสวดด้าน สวดด้านจึงเป็นประเพณีการอ่าน
หนังสือรอ้ ยกรองประเภทนิทานนิยายในวาระหนง่ึ ของชาวนครศรธี รรมราช
ประวตั ิความเป็นมา
ในวันธรรมสวนะ พุทธศาสนิกชนจะมาทำบุญฟังธรรมกัน ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซ่ึงถือกัน
ว่าเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนามาแต่โบราณจึงมีชาวบ้านมาทำบุญกันมากเป็นพิเศษ สถานท่ีท่ีจัดให้มีภิกษุ
สงฆ์มาเทศนา คือในวิหารคดหรือพระระเบียง ชาวนครศรีธรรมราช เรียกว่า “ด้าน” การเทศน์ของพระภิกษุ
สงฆจ์ ะมดี า้ นละหนึง่ ธรรมาสนเ์ ป็นอยา่ งน้อย
การไปฟังเทศน์ฟังธรรม ชาวบ้านจะต้องเตรียมตัวไปนั่งรอท่ีพระระเบียงก่อนที่พระสงฆ์จะไปถึง
ในขณะท่ีนั่งรอบางคนก็พูดคุยสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ บางคนก็เร่ืองราวมาบอกเล่าสู่กันฟัง บางคน น่ังอยู่
เฉย ๆ ทำให้นา่ เบ่ือ ในท่สี ดุ จึงเกิดความคิดเห็นฟังกันว่าควรจะหาหนังสอื มาสวดจนกว่าพระจะมาเทศน์ เพื่อจะ
ได้ฟังกนั ไดท้ ้ังความเพลิดเพลินและความร้เู ป็นคตสิ อนใจ จงึ เกดิ ประเพณีสวดดา้ นขนึ้
ระยะเวลา
การสวดด้านจะมีเฉพาะในวันพระหรือวันธรรมสวนะ (ขึ้นหรือแรม 8 ค่ำและขึ้นหรือแรม 15 ค่ำ)
เวลาก่อนเพล ก่อนพระสงฆ์จะข้นึ ธรรมาสน์แสดงธรรมเทศนาให้พุทธศาสนิกชนฟงั ท่ีพระระเบียงทั้งส่ีด้านในวัด
พระมหาธาตุวรมหาวหิ าร
การเตรียมการ
1. ลักษณะของผู้สวดด้าน
ผสู้ วดดา้ นจะตอ้ งเป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการอ่านออกเสียงอย่างย่ิง ใช้ทำนองและสำเนยี งภาษาถ่ิน
ใต้ โดยจะต้องรู้จักเน้นเสียงเอ้อื นและเล่นลกู คอ เล่นท่าทางประกอบในตอนที่จำเป็น ใช้สีหน้า โยกตวั ประกอบ
ท่าทางและตอ้ งกิริยาอนื่ ๆ ตามที่ผสู้ วดสามารถทำได้
ผู้สวดมักจะมาจากบุคคลท่ีมีอาชีพต่าง ๆ หรือบุคคลที่เคยเป็นชาววัดต่าง ๆ เคยอ่านทำนอง
ท่ีฝึกฝนมาจากวัด เช่น นักเทศน์เก่า นักแหล หมอทำขวัญนาค นักสวดมาลัย นายหนังตะลุง โนราเก่า
เพลงบอก เปน็ ตน้
24
คนสวดท่ีสวดได้ไพเราะผู้ฟังจะช่ืนชมติดอกติดใจมาก ถึงขนาดคนเฒ่าคนแก่ที่ไม่รู้หนังสือ
อ่านไม่ออก เม่ือฟังสวดด้านแล้วสามารถจำบทกลอนในหนังสือเล่มที่ฟังนั้นได้ทุกบททุกตอนแทบตลอด
ทัง้ เล่มและจำได้หลาย ๆ เลม่ ดังนน้ั คนสวดด้านเม่อื สวดเสรจ็ แล้วมกั จะได้รับเงนิ รางวลั และได้รบั การเล้ียงดูทุก
ครั้งไป
การสวดด้านจะสวดท้ังส่ีด้านของพระระเบียง ดังน้ันคนสวดด้านจะต้องพยายามแสดงความสามารถ
ในการสวดมาก เพราะหากสวดไม่เปน็ ทีน่ ่าพอใจของผู้ฟงั จะทำใหค้ นเบ่ือหนา่ ย ดังน้นั คนสวดแตล่ ะคนจึงต้อง
แสดงความสามารถในเชิงสวดให้ปรากฏดว้ ย
2. ลักษณะหนังสอื ทใี่ ชส้ วดดา้ น
หนงั สอื ท่ีเปน็ ที่นิยมของคนฟงั ส่วนใหญ่มกั เป็นหนังสอื นทิ านชาดกที่เขยี นเป็นร้อยกรองหนงั สือนิทาน
พื้นเมืองเรอ่ื งต่าง ๆ ที่กวีพื้นเมืองแตง่ ขน้ึ เรอื่ งท่เี ป็นทนี่ ยิ ม ได้แก่ สุบนิ วนั คาร ทินวง สี่เสา กระต่ายทองพระรถ
เสน ของนายเรืองนาใน และเสือโคของพระนี
สมัยก่อนหนังสือนิทานชาดกและนิทานพื้นบ้านท่ีใช้สวดด้านจะเขียนข้ึนเรียกว่า “หนังสือบุด”
สมัยต่อมาไม่ได้สวดหนังสือบุด แต่กลับนิยมหนังสือซง่ึ พิมพ์โดยโรงพิมพร์ าชเจริญวัดเกาะ โดยคนสวดจะเช่ามา
จากบ้าน นายปลอด ซึ่งอยู่หนังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ในราคาเช่าส่ีเล่มห้าสตางค์ เรื่องที่นิยมสวด ได้แก่
รามเกียรติ พระอภัยมณี สวุ รรณศิลป์ และสงั ขท์ อง
หนังสือเร่ืองสุบิน แต่งโดยกวีชาวนครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็นหนังสือที่ได้รับความนิยมสูงของผู้ฟั ง
การสวดด้าน และใช้เปน็ หนงั สือเรยี นในนครศรธี รรมราชในสมัยกอ่ น สาระในหนังสือ เช่น
25
บทไหวค้ รู
“ขา้ ขอถวายบงั คม ยอกรประนมขน้ึ หรือเศยี ร
ตา่ งดอกประทุมเทียน บรสิ ุทธิบชู า
วรบาทพุทธกงจกั ร และลายลักษณ์ทงั้ ซา้ ยขวา
ประเสริฐงามโลกา ยิ่งกวา่ เขียนดว้ ยนำ้ ทอง
วรบาทพระชนิ สีห์ สรา้ งบารมมี ากกา่ ยกอง
หวงั จะโปรดสัตว์ทง้ั ผอง ใหจ้ ากโทษและโพยภยั
ขอนบพระปฎิ กสัจธรรม อันลกึ ล้ำพน้ อปุ มัย
พระสตู รพระวินัย พระปรมัตถม์ ากเหลอื ตรา”
ตัวอยา่ งเร่ิมตน้ เรื่อง
ปางโพ้นโพธสิ ัตว์ องค์หน่ึงสนั ทัด
ธนูศรศรี กลา้ หาญชาญณรงค์
ทรงอทิ ธฤิ ทธี ครองเมืองสารวัตถี
เป็นเอกกรุงไกร
มีบาทบริจา รปู โฉมโสภา
สบิ ห้าปใี หม่ ผวิ เนอ้ื เหลืองขมนิ้
กลิ่นหอมเอาใจ เกษาประไพ
ไรเกษตลากัน
พระพกั ตรผ์ งึ่ ผาด งามจริงย่ิงวาด
คิว้ คอ้ มเกาทัณฑ์ เนตรคอื ตาทราย
พรายแสงเหมืองมนั ระใบพระกรรณ
ปานกลีบอบุ ล
26
พิธีกรรม
พิธีกรรมเร่ิมข้ึนเมื่อพุทธศาสนิกชนนำป่ินโตบรรจุอาหารคาวหวานและดอกไม้ธูปเทียนมาน่ังรอเพ่ือ
ถวายพระสงฆ์และฟังเทศน์ ขณะน่ังรอ คนสวดด้านจะนำหนังสือร้อยกรอง นิทานชาดกที่เตรียมมา
สวดด้านให้ผู้ฟังได้ฟัง และจะหยุดสวดด้านเม่ือพระสงฆ์เข้ามาใน
พระระเบยี ง ผ้สู วดดา้ นและผฟู้ ังจงึ รว่ มกันทำบญุ ในวันธรรมสวนะ
ประเพณีสวดด้าน ปัจจุบันได้สูญหายไปตามความเจริญ
ในยุคโลกาภิวัตน์ แต่ก็ยังคงมีการเทศนาของพระสงฆ์อยู่ แต่มักจะ
แบ่งการเทศนอ์ อกเปน็ วัดละดา้ น ต่อมาพระที่มาเทศน์นอ้ ยลงเรอ่ื ย
ๆ ในปัจจุบนั จะมพี ระเทศนใ์ นพระด้านอยูเ่ พยี งธรรมาสนเ์ ดียว
3.4 ประเพณีแหน่ างดาน
ประเพณีแห่นางดาน เป็นพิธีพราหมณีแห่งเมืองคอน
หรือ พิธีตรียัมปวาย ตามความเชื่อลัทธิพราหมณี จะประกอบด้วย
พิธี “ตรียัมปวาย-โล้ชิงช้า”เพ่ือต้อนรับพระอิศวร ที่เสด็จมาเยี่ยม
โลกมนุษย์ ซ่ึงพิธีตรียัมปวายเกิดข้ึนในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แหน่ างดาน
ประกอบพิธีกรรมกันในเดือนอ้าย แต่ในปี พ.ศ. 2544 เทศบาลนครนครศรีธรรมราชร่วมกับสำนักงานการ
ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ เขต 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช เห็นว่าประเพณีแห่นางดานเป็น
ประเพณีเก่าแก่ที่ควรศึกษา จึงได้ฟื้นฟูพิธี “แห่นางดาน” ข้ึนมาใหม่ โดยผนวกประเพณีหลัก ๆ คือ ประเพณี
สงกรานต์ในคราวเดียวกัน
ระยะเวลา
ประเพณีแห่นางดาน จดั ขน้ึ ในวนั ที่ 14 เมษายน
พิธีกรรม
พิธีกรรมเก่ียวกับประเพณีแห่นางดาน ประกอบด้วย ขบวนแห่กระดาน 3 แผ่น จากสนาม
หน้าเมืองไปตามถนน การแห่นางกระดานราชดำเนินสู่หอพระอิศวร กระดานแผ่นที่ 1 สลักเป็นรูป
พระอาทิตย์ และพระจันทร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลางวันและกลางคืน กระดานแผ่นที่ 2 เป็นรูปพระแม่
คงคา ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์ของความฉ่ำเย็นและอุดมสมบูรณ์ กระดานแผ่นที่ 3 เป็นรูปพระแม่ธรณี ซึ่งหมายถึง
ผืนแผน่ ดินอันมง่ั ค่ัง เมื่อขบวนแหถ่ งึ หอพระอิศวรจะมีการรำบวงสรวง
27
28
เร่ืองท่ี 4 เอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมจงั หวัดนครศรีธรรมราช
นครศรธี รรมราชเคยเป็นอาณาจักรศรีวชิ ัยและอาณาจกั รตามพอนลิงค์มาก่อนมีอายุประมาณ 1,500
ปีก่อน สุโขทัย ดังนั้นนครศรีธรรมราชจึงได้สั่งสมอารยธรรมท่ีสามารถเผยแ พร่ไปสู่อาณ าจักร
นอ้ ยใหญแ่ ละหวั เมืองข้างเคียง มากมาย
ในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และกรุงเทพฯ นครศรีธรรมราชเป็นตัวแทนของราชธานีท้ัง 4
ในการปกครองภาคใต้ตลอดมา จนกระท่ังถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมุงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และส้ินสุดการปกครองแบบเทศาภิบาลลงใน พ.ศ. 2476 หลังเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นระบอบ
ประชาธิปไตยแล้ว 1 ปี ประกอบกับนครศรธี รรมราชต้ังอยู่ระหว่างกลางของประเทศสู่อารยธรรมตะวันออกทั้ง
สอง คือ จีนกับอินเดีย และประเทศทั้งสองได้ผ่านนครศรีธรรมราชโดยการเดินทางไปมาค้าขายและ
สืบทอดศาสนาพุทธทั้งทางบกและทางเรืออยู่เสมอ ด้วยลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุม
ตะวันออกเฉียงเหนือจึงทำให้นครศรีธรรมราชสร้างสมอารยธรรมเอเชีย มาเป็นรูปแบบของตนเอง
อย่างหลากหลาย จนเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เอกลักษณ์วัฒนธรรมของชาวนครศรีธรรมราช ดังตัวอย่าง
ทีจ่ ะยกมานำเสนอ ดงั นี้
4.1 เอกลกั ษณ์ด้านภาษาและวรรณกรรม
ดา้ นภาษา
ภาษาถิ่นของนครศรีธรรมราช การพูดเอาความมากกว่าความไพเราะ ซ่ึงในแต่ละอำเภอจะมีความ
แปลก แตกต่างกันออกไปตามสภาพท้องถนิ่ คือ
กลุ่มชาวนอกเขา คำนี้ถูกเรียกโดยชาวเมืองนครศรีธรรมราชแถบชายทะเลที่เรียกพวกหลังเขา
ในขณะท่ีดวงอาทิตย์ตก ซ่งึ ดูเหมือนว่าเป็นเขตล้ีลับและมีวัฒนธรรมเฉพาะของตนเอง บริเวณนี้ในสมัยก่อนคือ
ฉวาง แต่ปัจจุบัน คือบริเวณอำเภอช้างกลาง อำเภอฉวาง อำเภอพิปูน อำเภอนาบอน และอำเภอ
ถ้ำพรรณรา ลักษณะคำพูดจะเสียงดัง เน้นความรู้ความเข้าใจ ไม่ค่อยมีมรรยาทในการพูดหรือเป็นรูปแบบ
กระบวนตามแบบแผน แต่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2442
ได้โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังโรงเรียนวัดวังม่วง อำเภอฉวาง เป็นสถานท่ีจัดการเรียนการสอนภาษาไทยภาคกลาง
มรรยาทการพูดจาเปน็ ระบบเข้าสูม่ าตรฐานภาคกลาง
กลุ่มชาวทุ่ง บริเวณน้ีจะเป็นกลุ่มอำเภอที่มีอาชีพทำนามาตั้งแต่โบราณกาล เช่น หัวไทร
เชียรใหญ่ ชะอวด ปากพนัง กลุ่มคนแถบน้ีมีอาชีพหลัก คือการทำนาจึงมีความสัมพันธ์กับท้องนาและ
วัดมากที่สดุ เพราะวัดเปน็ ศูนย์กลางของชุมชน
กลมุ่ ชายทะเล บริเวณน้ปี ระกอบดว้ ย ทา่ ศาลา สชิ ล ขนอม วฒั นธรรมภาษาของกลุม่ นจี้ ะพัฒนาจาก
กลุ่มชนทีม่ ีความเช่ือด้ังเดิม พ่อคา้ วานชิ และชมุ ชนอนิ เดยี
ระบบเสียงและระบบคำภาษาถน่ิ นครศรีธรรมราช
ระบบเสยี งของภาษาถน่ิ นครศรีธรรมราช ประกอบดว้ ยเสียงพยญั ชนะ เสยี งสระและเสยี งวรรณยุกต์
เสียงพยญั ชนะมี 22 หนว่ ยเสียง คือ ป พ บ ต ท ด จ ช ก ค อ ม น ญ ง ล ร ฟ ส ฮ ว ย
29
เสียงพยัญ ชนะควบคล้ำ มี 13 เสียง คือ ปล ปร พล พร ตร กล กร กว คล คร คว
(ตามแบบภาษาไทยมาตรฐาน) และ มล มร ท่ีมีเฉพาะในภาษาถิ่นนครศรีธรรมราช เช่น มล่ืน เมลือง
เมลือก เมลิน เมร่อ มราญ เปน็ ตน้
นอกจากน้ันยังมี เสียงพยญั ชนะต้นลักษณะพิเศษ ที่มีทั้งอักษรนำ และอักษรควบอย่ใู นพยัญชนะ
ด้น เดยี วกัน คอื ห นำ ม ควบ ร เช่นคำว่า หมรบั หมรง โหมระ หมรอดแหมรด เป็นตน้
เสยี งพยัญชนะท้ายมี 9 หน่วยเสยี ง คือ บ ด ก อ ม น ง ว ย
เสียงสระเด่ียว มี 18 หน่วยเสียง คือ อิ อี เอะ เอ แอะ แอ อึ อึ เออะ เออ อะ อา อุ อู โอะ โอ
เอาะ ออ
เสียงสระประสม มี 6 หนว่ ยเสยี ง คอื เอยี ะ เอีย เออื ะ เออื อัวะ อวั
เสียงวรรณยกุ ต์ มี 7 หน่วยเสียง (มากกวา่ ภาษาไทยมาตรฐาน ซ่ึงมเี พียง 5 หน่วยเสียง)
ระบบคำของภาษาถิน่ นครศรธี รรมราช มลี กั ษณะต่าง ๆ ดังนี้
การใช้คำ มีท้ังคำพยางค์เดียว และหลายพยางค์ ถ้าเป็นคำหลายพยางค์ในภาษาไทยมาตรฐาน
ส่วนใหญ่จะตัดให้เหลือเพียงพยางค์เดียว เช่น มะพร้าว เป็น พร้าว, ตลาด เป็น หลาด, ขนม เป็น หนม, ถนน
เป็น หนน, สะเอว เปน็ เอว, ตะกร้า เปน็ กรา้ เป็นตน้
การแบ่งชนิดคำตามหลักไวยากรณ์ เป็นแบบเดียวกันกับการแบ่งคำตามหน้าท่ีในภาษาไทย
มาตรฐาน คำทใ่ี ช้มที ง้ั คำท่ีเหมือนกับภาษาไทยมาตรฐานและคำที่แตกตา่ งเปน็ คำศัพทเ์ ฉพาะท้องถนิ่ ดังนี้
คำนามท่ัวไป เช่น ยาหนัด (สับปะรด) รถถีบ (จักรยาน) เหล็กขูด (กระต่ายขูดมะพร้าว)
สายเอว (เขม็ ขัด) หัวครกยาร่วง (มะม่วงหิมพานต)์ ลอกอ (มะละกอ) พรก (กะลา) นากา (นาฬิกา) ผ้าพ่วย (ผ้า
หม่ นอน) จอกน้ำ (แกว้ นำ้ ) เปน็ ต้น
คำลักษณนาม มกั ใช้คำวา่ หนวย ลกู เรียกสิ่งที่มีลักษณะแบบกลม เช่น พรา้ ว 5 หนวย (มะพรา้ ว
5 ผล) ไข่ไก่ 3 หนวย ไข่ไก่ 3 ลกู (ไข่ไก่ 3 ฟอง) จาน 2 หน่วย (จาน 2 ใบ) เปน็ ต้น และมักเรียกส่ิงของท่ัวไปว่า
อนั เชน่ ไม้ 3 อัน เป็นตน้ นอกจากน้ันมคี ำลักษณนามเฉพาะ เชน่
สมุด หนังสือ เรียกเป็น แหล้ม, หวั
ช้อน เรยี กเป็น หาง
ปากกา ดินสอ เรียกเป็น แหล้ม เปน็ ต้น
คำลำดับญาติ โดยท่ัวไปใช้เหมือนภาษาไทยมาตรฐานแต่ท่ีแตกต่างไป เช่น พ่อเฒ่า (ตา)
แม่เฒ่า (ยาย) บาว (พี่ชาย) สาว (พ่ีสาว) หลวง (ผู้สูงวัยกว่าที่บวชเป็นพระแล้ว) เณร (ผู้อ่อนวัยกว่าที่เป็นพระ
แล้ว) นอกจากนั้นจะเรียกคนทั่วไปตามลำดับอายุ เช่น แก่กว่า เรียก “พี่” อ่อนกว่า เรียก “น้อง”
อ่อนกว่าพ่อ เรียก “น้า” แก่กว่าพ่อแม่ เรียก “ลุง - ป้า” อายุคราวปู่ย่า เรียก “ตายาย” เป็นต้น ไม่นิยมท่ีจะ
เรียกใครวา่ “คุณ” ซงึ่ แสดงใหเ้ ห็นถึงการถอื ลักษณะความสมั พนั ธแ์ บบเครือญาติ เป็นสำคัญ
คำบุรุษสรรพนาม โดยท่ัวไปใช้เหมือนภาษาไทยมาตรฐานแต่ท่ีมีแตกต่าง ตรงระดับเสียง เช่น
ฉัน-ฉาน, กู-กู้, เรา-เรา้ , หนู-นยุ้ , มึง-หมึง, สู-สู้,คณุ -เตนิ้ , แก-แก,้ มัน-หม้นั
30
คำกริยา ใช้เหมือนภาษาไทยมาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ มีความแตกต่างกันออกไปบ้าง เช่น
พดู -แหลง, ขี่-ขบั , ไกว แกวง่ -เว, รอ-ท่า คร่าว, เจอ-ทะ จวน, แอบ ซอ่ น-หยบ, จดั แตง่ -ดับ เป็นตน้
คำปฏิเสธ มีเพียงไม่กี่คำ เช่น ใช่....หม้าย....หมาหม้าย ดังตัวอย่างในประโยค กูไม่ได้ทำ-
กใู ช่ทำ, ไมม่ เี งนิ -หม้ายตังค,์ หมาหมา้ ยตางค์ เป็นตน้
คำวิเศษ เป็นคำที่ขยายคำอื่นในภาษาถิ่นนี้ มีลักษณะพิเศษคือ มีคำวิเศษณ์ ขยายคำได้ละเอียด
หลายระดับ เป็นข้ันกวา่ ถึงท่ีสุด เช่น
-คำแสดงว่า เล็ก นอ้ ย เชน่ หดิ หดี ฉิดแยดแต็ด นุ้ย แล็ก
-คำแสดงว่า ใหญ่โต เช่น ใหญ่ ใหญ่โต เติบ ไอ้เติบ เฒ่า ไอ้เฒ่า เฒ่าถำเฒ่าถำมัง
-คำแสดงว่า มาก เช่น มาก วังหู วังหัน วังเสีย ลุย คะลุย คะลักคะลุย เออ้าน เอหนัด
หนัดเหนยี น หนดั แหนน่ หนดั เหนยี นใน ขูโข โขลยุ ขลู ยุ
คำแสดงคำถาม มีความแตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน เช่น ไตร ไซ่-ทำไม, ปรือปรื๋อ-ทำไม
อยา่ งไร, ไหร-อะไร ตัวอยา่ ง
มาทำไม - มาไตร มาไซ๋
มาอย่างไร - มาปรอื๋
มาทำไมอกี - มาไซ๋หลาว เป็นตน้
คำลงท้ายประโยค มีเพียงไม่กี่คำแต่การใช้ต้องคำนึงถึงวัยของผู้ฟังด้วยบางคำไม่สามารถใช้กับผู้
สูงวัย หรือมีคุณวุฒิสูงกว่า เช่น
ล่ะ เถอะ -เหวอ เหวอ่ ตวั อย่าง ไปละ ไปกันเถอะ – ไปเหวอ
แนะ่ -โหร ตัวอย่าง ไปตลาดแนะ่ – ไปหลาดโหร
เถอะ สิ -ต๊ะต้า ตัวอย่าง มาเถอะ - มาต้า, กนิ สิ – กินต๊ะ
นะ -หน้ั ฮนั ตัวอยา่ ง ฉันเบอื่ แลว้ นะ่ – ฉนั เอือนแล้วฮนั
คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน ในภาษาไทยถิ่นนี้มีการสร้างคำ โดยยึดหลักพยายามให้เป็นรูปธรรม
และบอกลกั ษณะมากทีส่ ดุ เช่น กระตา่ ย - เหล็กขดู , ผา้ ซน่ิ - ผา้ ถุง, รถเข็น - รถรนุ เปน็ ตน้
นอกจากน้ียังนยิ มขึ้นต้นคำประสม ลูก หวั ส้ม ขี้ แม่ เชน่
ลูกกรูด - มะกรูด ลกู ตอ – สะตอ
หวั เทยี ม - กระเทยี ม หวั บอน – เผอื ก
ส้มนาว - มะนาว ส้มมว่ ง,ลูกมว่ ง – มะม่วง
ข้ีหยะ - ขยะ ขีก้ รา – นำ้ ครำ
แม่หนอง – ปลาตวั ใหญ๋ แมเ่ สอื้ – เสอื้ นอก
การซำ้ คำ มี 2 ลกั ษณะ คือ
31
ลักษณะหนึ่งเป็นคำซ้ำท่ีแยกจากกันไม่ได้ เช่น ล็อกล็อก-รีบเร่ง, หลาวหลาว - ซุ่มซ่าม,ช็อมช็อม -
คมุ้ ดี คุ้มรา้ ยไมเ่ ต็มเต็ง เป็นต้น
และอีกลักษณะหน่ึงเป็นคำอิสระพยางค์เดียว แต่มาพูดซ้ำกันเพื่อให้เกิดความหมายในทาง
มากขึน้ น้อยลง โดยประมาณ หรือ แต่ละ เปน็ ตน้
ตักข้าวชาม ๆ เตบิ - ตกั ข้าวแต่ละจานมากเกินไป
หญ้าสงู เทยี ม ๆ เอว - หญ้าสูงประมาณเอว
เรยี นหนล้ี ูก ๆ เทา่ หดิ - ทุเรยี นนี้แต่ละผลเลก็ นิดเดยี ว เปน็ ตน้
คำซ้อน มที งั้ คำซอ้ น 2 คำ และ 4 คำ ทำให้เกดิ ความหมายในทางแคบลงหรอื กวา้ งขน้ึ เชน่
คำซอ้ น 2 คำ ตัวอย่าง หนกั แนน่ แกเ่ ฒ่า เฒา่ ถกึ เป็นตน้
คำซ้อน 4 คำ ตัวอยา่ ง อาบน้ำอาบหนอง ทาแปง้ ทาปนู ต่ำเต้ยี เร่ียดิน เปน็ ต้น
คำยืม ในภาษาไทยถ่ินนครศรีธรรมราชมีคำยืมจากภาษาอ่ืน ๆ เช่นเดียวกับภาษาไทยมาตรฐาน คือ
มที ั้งภาษาบาลี สันสกฤต เขมร มลายู และภาษาจากประเทศแถบตะวันตก เชน่
คำยืมจากภาษาบาลี พบมากทั้งในภาษาพูด และในวรรณกรรม ท้องถ่ินท่ีเก่ียวข้องกับ
พระพุทธศาสนาในภาษาพูด จะมีคำท่ีเปล่ียนเสียง และกลายความหมายต่างไปจากภาษาเดิมมากบ้าง
น้อยบ้าง เช่น
สัพเพ แผลงเป็น เพ เพนิ้ เพน้ิ แปลวา่ ทงั้ ปวง ทัง้ หมด
อกโขภณิ ี แผลงเปน็ โข ขขู ลู ุย ขูตาย ขูตาย แปลว่า มากมาย
เทวดา แผลงเป็น เทวดา เทยี มดา แปลวา่ เทวดา
พิจารณา แผลงเปน็ พิดหนา
กินนร แผลงเป็น ข้หี นอน เป็นต้น
คำยืมจากภาษบาลีสันสกฤต เข้าสู่นครศรีธรรมราชพร้อมกับศาสนาพราหมณ์ และ
พุทธศาสนานิกายมหายาน โดยรับเฉพาะศัพท์แล้วเปล่ียนแปลงเสียงรูปศัพท์ไปตามธรรมชาติของภาษาถ่ิน
นครศรีธรรมราช บางคำห่างไกลจากคำเดมิ มาก ความหมายกแ็ ตกต่าง แต่ยังมีเคา้ เดิมอยเู่ ชน่
ศฺมฺศาน (สสุ าน) แผลงเป็น สามสรา้ ง แปลว่า ที่เผาศพที่จัดทำชวั่ คราว
ตามรฺ แผลงเป็น ดาม ใช้ในคำว่า หวันตง้ั ดาม แปลวา่ ชว่ งเวลาพระอาทิตยเ์ ริ่ม
ทอแสง, กอ่ นตะวนั ขนึ้
ศาลา ตดั เสียงพยางค์หนา้ และเพี้ยนเสียงเปน็ หลา
คำยืมจากภาษาเขมร ส่วนมากเป็นภาษาท่ีเขมรที่พูดกันปากต่อปากสืบต่อกันมาคนรุ่นหลังมา
ดดั แปลงหรอื เรียกตามความถนัด จึงมกี ารตัดพยางคเ์ สียงบา้ ง ลากเขา้ หาภาษาไทยเสียบ้าง เพย้ี นไปบ้าง ฉะน้ัน
คำเขมรท่ีใช้ภาษาถน่ิ นครศรธี รรมราช จงึ แตกต่างกนั ไปท้ังเสียง รปู คำและความหมาย เช่น
แหมฺ หมายถึง สะเก็ดแผล ใกล้คำเขมร กรมร แปลว่า สะเก็ดแผลหรอื สิ่งหลุดลอ่ น
32
กะเทาะออกมาอย่างเปลือกไหม้
ตดุ หมายถึง หดู ใกล้คำเขมร คือ ตากตดุ แปลวา่ หูด
ขเี้ ตรย หมายถึง หญา้ เจา้ ชใู้ กล้คำภาษาเขมร คือ กนเตรีย แปลวา่ หญ้าเจา้ ชู้
แคว็ด หมายถงึ คด เอยี งไปขา้ งหน่งึ ใกลค้ ำเขมร คือ เวียจ แปลวา่ เบีย้ วโกง
ดาย หมายถึง เสียดายใกลค้ ำเขมร คอื สดาย แปลว่าเสยี ดายใช้ในคำภาษาถ่ินใต้วา่ ดายของ
พกุ หมายถงึ ผุ ใกลค้ ำเขมร คือ พุ แปลวา่ ผุ เปน็ ต้น
คำยมื จากภาษามลายู เนื่องจากมกี ารตดิ ต่อกบั ทางใต้ไดส้ ะดวก จงึ ทำใหม้ ีคำท่ีมาจากภาษามลายู ใช้
ในชีวิตประจำวันเป็นจำนวนมาก เชน่
ลาไล หมายถงึ ขา้ เผอเรอ
พรก หมายถงึ กะลา
คง หมายถึง ขา้ วโพด
หมาถงั้ (ตหี้ มา) หมายถึง กังตักนำ้
มายา หมายถงึ ปุย
หลดุ หมายถงึ ขโี้ คลน เป็นตน้
คำยืมจากภาษาจีน นครศรีธรรมราชเคยเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางค้าขายมีชาวจีนเดินทางมา
ค้าขาย ทำใหม้ ีภาษาจีนปะปนอยู่บา้ ง
โกปี้ หมายถงึ กาแฟ
โส้ย หมายถงึ ซวย
องั เลา่ หมายถึง เตาไฟ
ฉา้ ย หมายถึง บอกใบ้
จะโกย หมายถงึ อิว่ จาก้วย (ปาทอ่ งโก)๋
ก็องถงึ่ หมายถึง ขนมตุบ๊ ตบ๊ั เป็นต้น
คำยืมจากภาษาตะวันตก นครศรีธรรมราชเคยเบนเมืองท่า มีการติดต่อค้าขายกับประเทศแถบ
ตะวนั ตกด้วย จึงทำให้มภี าษาปะปนอยบู่ ้าง เช่น
ยาแหร็ด มาจาก ซิกาแรต หมายถงึ บุหร่ี
33
แบแรต็ มาจาก คอมแบ็ท หมายถงึ รองเท้า
หลูด มาจาก รจู หมายถงึ สีแดงทาปาก
มุตโต มาจาก มอตโต หมายถึง กลอนสด เป็นต้น
การแบ่งคำโดยใช้ความหมาย
ภาษาถิ่นนครศรีธรรมราชมีคำที่ใช้เหมือนและแตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน เฉพาะที่แตกต่างทั้ง
รูป เสยี งและความหมายโดย เชน่
คำบอกเวลา มีคำบอกเวลามากและหลากหลาย แต่ละคำมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับ
สภาพแวดล้อม วถิ วี ฒั นธรรม ประเพณแี ละสภาพทางภมู ศิ าสตร์ เช่น
หวันมุ้งมงิ้ หมายถงึ ตอนโพล้เพล้
ต่อโพรก ต่อเชา้ หมายถึง พรงุ่ นี้
หวนั ช้าย หมายถงึ ตอนบา่ ย
หยามนา หมายถงึ ฤดูท่ีชาวนาเรม่ิ ทำงานต้งั แตไ่ ถนาจนเก็บเก่ียวประมาณเดือน
พฤษภาคม – พฤศจิกายน
วนั ชงิ เปรต หมายถึง วนั ท่ีมกี ารทำบุญส่งเปรต ตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดอื น 10 ของทกุ ปี
คำเกี่ยวกบั อาหารการกิน ภาษาไทยถนิ่ มีชอ่ื อาหารท่แี ตกต่างจากถิ่นอื่น เชน่
หนมุ จูจ้ นุ หมายถงึ ขนมฝกั บัว
แกงส้ม หมายถงึ แกงเหลอื ง
แกงสมรม หมายถงึ แกงผักรวม
แกงพงุ ปลา หมายถึง แกงไตปลา
คำเก่ยี วกบั พืชและสัตว์ คำท่แี ตกต่าง เชน่
แตงจีน หมายถึง แตงโม
ยา่ หนดั หมายถงึ สับปะรด
หัวครก ยารว่ ง หมายถงึ มะม่วงหิมพานต์
มสู ัง หมายถงึ ชะมด
วาด เจยี ด หมายถึง จกั จ่นั
หรงิ้ แหร้ หมายถงึ เรไร
คำเกี่ยวกบั โรคภยั ไขเ้ จ็บ บางสว่ นทแ่ี ตกตา่ ง เช่น
สางคราง หมายถงึ เชือ้ ราทีข่ าหนีบ
ชันตุ ชันโต หมายถงึ แผลเปือ่ ยเรอ้ื รงั จนแข็ง
ไขอ่ งุ้ ไขล่ งฝัก หมายถึง ไลเ้ ล่อื น
คำเกยี่ วกบั เครื่องมือเคร่อื งใช้ บางส่วนทใี่ ชแ้ ตกตา่ งจากภาษาไทยมาตรฐาน เชน่
34
สกี้ หมายถงึ ปงุ้ ก้ี
โคม หมายถึง กะละมัง
จอก พลอ้ หมายถึง แก้วนำ้
ผา้ ซกั อาบ หมายถึง ผา้ ขาวมา้
รถรุน หมายถึง รถเข็น
การเรียงคำและประโยค การเรยี งคำส่วนใหญ่เหมือนกบั ภาษาไทยมาตรฐานแตม่ บี างคำที่เรียงสลับที่
กนั เชน่ หลวงพ่อ - พอ่ หลวง หลวงตา - ตาหลวง เลือดออก – ออกเลือด
ส่วนการเรียงคำในประโยคมีลักษณ ะการเรียงคำของภาษาไทยโบราณ หลงเหลืออยู่คือ
การเรยี งคำโดยมีคำนับจำนวนนำหน้านาม และคำนามมลี ักษณะนามนำหนา้ เช่น
คำนบั จำนวน + ลักษณะนาม + นาม เช่น
สองบาททอง หมายถงึ ทองสองบาท
สิบลำเรือ หมายถงึ เรือสิบลำ
สามคันรถ หมายถึง รถสามคัน
สองตัวหมู หมายถึง หมสู องตัว
เงนิ รอ้ ยหน่ึงหมายถงึ เงินหนึง่ รอ้ ย
สำหรับรูปประโยคมีลักษณะเหมือนภาษาไทยมาตรฐาน คือ เรียงคำแบบประธาน + กริยา + กรรม
และ สามารถตัด หรอื ยา้ ยคำทำให้ไดป้ ระโยคหลาย ๆ แบบ เช่น
ฉานกนิ ขา้ วแหลว่ กนิ ขา้ วแหล่วฉาน ข้าวกินแหล่วฉาน
เดนิ เรว็ ๆ ตะ๊ เรว็ ๆ ตะ๊ เดนิ
ฝนอีต็อกหลาว อิต๊อกหลาวฝน
สำนวนโวหารท่ีเป็นเอกลักษณะของคนนครศรีธรรมราชได้ชื่อว่าเป็นท่ีนิยมใช้กับคล้องจอง
คำผวน และ สำนวนโวหารกันจนตดิ ปาก และสำนวนโวหารเหล่าน้ัน เป็นเคร่ืองแสดงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
ไดเ้ ป็นอย่างดี เชน่
เข้าโหม้ง หมายถงึ มนี ิสัยเข้ากันได้ดีเป็นไปในทำนองเดยี วกนั (มาจากการ
แสดงหนงั ตะลุงที่ใชโ้ หม่งเป็นดนตรใี หจ้ ังหวะ)
นอนเหมือนโนราโรงแพ้ หมายถึง นอนหมดอาลัยและหมดเรี่ยวแรง (มาจากการแข่งโนรา
ใครแพก้ ็ผิดหวงั นอนหมดอาลยั )
อยากเหมอื นเปรตเดือนสิบ หมายถึง อยากกนิ ทุกอย่าง
เออื ดเหมือนสอบเกลอื หมายถงึ เหนียวเหนอะหนะ
ไอย้ อดทองบา้ นาย หมายถึง ประจบสอพลอ (ไอย้ อดทองเป็นตัวตลกหนังตะลงุ
ท่ีมีลกั ษณะนสิ ยั ประจบสอพลอ)
35
ด้านวรรณกรรม
เมืองนครศรีธรรมราชได้ชื่อว่าเป็นเมืองนักปราชญ์ราชกวีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ทุกยุคทุกสมัย
นักปราชญ์และกวีเมืองนครได้สร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่ปรากฏต่อการรับรู้และการยอมรับของผู้คน
อย่างแพร่หลายกว้างขวาง โดยเม่ือพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงจัดการศึกษาแก่อาณาประชาราษฎร์นั้นทรง
บันทกึ บทบาทของนกั ปราชญจ์ ากเมืองนครศรีธรรมราช ไวใ้ นหลกั ศิลาจารึกหลักท่ี 1 วา่
“...สังฆราชปราชญ์เรยี นจบปิฏกตรัย หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ ทุกคนลุกแต่เมืองศรีรรรมราชมา
... ” เมอ่ื สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระมหากษัตริย์นักปราชญ์ จำต้องลงโทษเนรเทศ “ศรีปราชญ์” กวีแห่ง
ราชสำนักที่ทรงโปรด ให้ออกจากกรุงศรีอยุธยาเป็นการช่ัวคราวตามกฎมณเทียรบาลนั้น พระองค์ทรงเลือ ก
เมืองนครศรีธรรมราชให้เป็นที่พำนักของศรีปราชญ์ เพราะต้องการส่งคนที่ทรงโปรดให้มาอยู่ในบ้านเมือง
ที่เจริญรงุ่ เรอื งทางดา้ นกวี
เม่ือสุนทรภู่ เขียนเพลงยาวถวายโอวาท ก็ใช้เมืองนครฯ เป็นหลักฐานอ้างอิงรับรองความเด่นดังของ
ตวั เองว่า
“อย่างหม่อมฉันอนั ทด่ี ีแลชวั่ ถึงลับตัวแต่ชื่อเขาลือฉาว
เปน็ อาลักษณน์ ักเลงทำเพลงยาว เขมรลาวลอื เลือ่ งถงึ เมืองละคร”
ทั้งนี้วรรณกรรมเมืองนครศรีธรรมราชน้ันมีท้ัง “วรรณกรรมมุขปาฐะ” และ “วรรณกรรม
ลายลักษณ์”
“วรรณกรรมมุขปาฐะ” คือ วรรณกรรมท่ีถ่ายทอดสืบต่อกันมาโดยการจดจำและร้องต่อกันมาด้วย
ปากต่อปาก เช่น เพลงร้องเรือ (เพลงกล่อมเด็กภาคใต้) บทร้องเล่นของเด็ก บทขับเพลงบอก โนรา หนังตะลุง
จนถงึ บทสวดในพธิ ีกรรมต่าง ๆ เป็นต้น
“วรรณกรรมลายลักษณ์” คือ วรรณกรรมที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในสมุดข่อย สมุด
ไทยใบลาน และหนังสือบุด จนถึงรูปแบบหนังสือและสื่ออ่ืน ๆ ในปัจจุบัน ซ่ึงมีวรรณกรรมที่เป็น
บทร้อยกรอง นิทาน ตำนาน ตำราต่าง ๆ เป็นตน้
ดังนั้น หากจะสืบสาวเดินย้อนรอยไปตั้งแต่ช่วงก่อนปี 2500 จนถึงช่วงกรุงธนบุรีและ
กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก็จะพบวา่ มีนักเขียนหรือกวีเมืองนครจำนวนมาก ได้สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมไว้
ท้ังโดยรูปแบบของฉันทลักษณ์พ้ืนบ้านภาคใต้ และฉันทลักษณ์อย่างท่ีเป็นที่นิยมในราชธานี ตัวอย่างกวีเมือง
นครในช่วงเวลาดังกล่าว ที่มีชื่ อเสียงเป็นท่ียอมรับเช่น ภิกษุอินทร์ พระยาตรัง พระครูวินัยธร
นายเรือง นาใน หมื่นสนิท พระสมุห์หนู ชูปราชญ์ พระรัตนธัช มุนี (ม่วง รตนธโช) สุขปราชญ์
พระปลัดเล่ียม อาสโย และขนุ อาเทศคดี เป็นต้น
ภิกษอุ ินทร์
เป็นกวีชาวนครศรีธรรมราชที่มีช่ือเสียงและมีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ถนัดเขียนประเภทฉันท์โดยใช้ธรรมะเป็นเนื้อหา ผลงานของภิกษุอินทร์ที่รู้จักกันดีคือ เรื่อง “กฤษณา
สอนน้องคำฉนั ท”์
36
พระยาตรงั
หรือ พระยาตรังภูมาภิบาล (ชื่อเดิม “ศรีจันทร์”) เป็นบุตรของออกพระศรีราชสงคราม
รามภักดี (เยาว์) ปลัดเมืองนครศรีธรรมราช และมารดาแจ่ม ผู้เป็นธิดาพระยานคร (พัด) เร่ิมเรียนหนังสือขอม
หนังสือไทยท่ีจัดท่ามอญ (วัดศรีทวี ตำบลท่าวัง อำเภอเมืองนครศรธรรมราช) ได้รับการโปรดเกล้าฯ
ให้เป็นเจ้าเมืองตรัง ในสมยั สมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั
พระยาตรังถนัดเขียนโคลง โดยใช้จินตนาการและโวหารคมกล้ามาประพันธ์ ผลงานท่ีสำรวจได้
เช่น นิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย นิราศถลาง โคลงด้ันเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โคลงกระทเู้ บด็ เตล็ด เปน็ ต้น
พระครวู นิ ัยธร
เป็นกวีท่ีมีชีวิตอยู่ร่นุ ราวคราวเดียวกับพระยาตรัง จำพรรษาอยู่วัดชายนา (ตำบลนา อำเภอเมือง
นครศรีธรรมราช) พระครูวินัยธรถนัดเขียนกาพย์โดยใช้ธรรมะและนิทานชาดกเป็นเน้ือหา ผลงาน
ที่ค้นพบและถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของพระครูวินัยธรคือ เรื่อง “สุบินสำนวนเก่า” ซ่ึงแต่งด้วยคำกาพย์
ทั้งกาพย์ยานี 11 กาพยฉ์ บงั 16 ราบหรือสรุ างคนางค์ 28
นายเรือง นาใน
เกิดท่ีบ้านนาใน (ตำบลช้างซ้าย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช) คาดวา่ มีอายุอย่ใู นช่วงสมัยรัชกาล
ท่ี 1-3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้มีความสามารถในการเขียนกาพย์และกลอนแปดบท โดยเฉพาะกลอนแปด
บทซ่ึงเป็นฉันทลักษณ์กลอนพื้นบ้านภาคใต้น้ันเป็นท่ียอมรับกันโดยท่ัวไป จนได้สมญานามว่า “นายเรอื ง นาใน
เจ้าแห่งกลอนแปดบท” ทีเดียว นายเรือง นาใน แต่งวรรณกรรมโบราณและนิทานพ้ืนบ้านไว้หลายเร่ือง เช่น
เรื่อง พระรถเสนโคบตุ ร จำปีสีต่ น้ เปน็ ต้น
หมน่ื สนิท
เป็นกวเี มืองนครทม่ี ีชีวิตอยใู่ นช่วงปลายรัชกาลท่ี 3 ถึงต้นรัชกาลที่ 5 เป็นผู้มีความรอบรู้ทางด้าน
หนังสืออย่างดี จึงได้เป็นทำงานเป็นเลขานุการของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (พร้อม ณ นคร) ถนัดเขียนกลอน
เพลงยาวสื่อสารโต้ตอบ เป็นที่รู้จักมีช่ือเสียงในสมัยน้ันมาก เคยเขียนกลอนโต้ตอบกับนายมี ซึ่งเป็นนักกลอน
ทางกรุงเทพฯ มผี ูจ้ ดจำบอกเลา่ กนั ต่อมา
พระสมุห์หนู
เป็นกวีชาวนครศรีธรรมราชท่ีมีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยรัชกาลท่ี 5 ถึงรัชกาลที่ 7 เดิมเป็นชาวอำเภอ
ปากพนัง บ้านอยู่ข้างวัดเสาธงทอง ตำบลปากพนังฝ่ังตะวันออก ต่อมาได้บวชเรียนและมาจำพรรษาท่ีวัดในตัว
เมืองนครศรธี รรมราช พระสมุห์หนูมีความถนัดในการเขียนฉันทแ์ ละโคลง โดยใช้ศัพท์สูง เน้นการใช้พุทธธรรม
37
และวรรณคดี เป็นเนื้อหาในการแต่งผลงานท่ีพบคือ เร่ือง “เพชรมงกุฎคำฉันท์” “โสฬสนิมิต” และเรื่อง
“อเุ ทนคำฉนั ท์”
ชปู ราชญ์
เป็นกวีท่ีมีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับพระยาตรัง (ศรีจันทร์) ซ่ือเดิมคือ “นายชู” แต่เมื่อมี
ความสามารถทางกวี เป็นที่ปรากฏและยอมรับ คนท่ัวไปจึงเรยี นว่า “ชูปราชญ์” โดยเตมิ คำว่า “ปราชญ์” เป็น
สร้อยให้ ภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่อำเภอฉวาง เป็นผู้มีความสามารถในการเล่นเพลงบอก เพลงนา เพลงเรือ
โคลงกลอน และรับจ้างเขยี นเพลงยาวให้แก่หนุ่มสาวในสมัยนนั้ เปน็ ทข่ี ้นึ ช่อื ลอื ชามาก
พระรตั นธัชมนุ ี (มว่ ง รตนธโช)
เดิมช่ือม่วง เกิดในสกุล สิริรัตน์ ที่ตำบลบ้านเพิง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เม่ือ
วันที่ 10 สิงหาคม 2396 เป็นสหชาติในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว ไดบ้ วชเรยี น และตอ่ มาได้รับ
การแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นได้รับพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้อำนวยการศึกษาเป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชและปัตตานี ทำหน้าที่จัดการ
คณะสงฆ์การศกึ ษาและการพระศาสนา โดยจดั ต้ังโรงเรียนเพอ่ื จัดการศกึ ษาแผนใหมท่ วั่ ภาคใต้ถึง 21 โรงเรยี น
ทางด้านกาพย์กลอน ท่านก็มีความสามารถหาผู้เสมอเหมือนได้ยาก จนทำให้ท่านเป็นศูนย์รวม
ของกวีและศิลปินพื้นบ้านในสมัยน้ัน ท่านเจ้าคุณม่วงมีความถนัดกลอนพื้นบ้าน โดยเฉพาะกลอนเพลงบอก
เป็นพิเศษ จนฉันทลักษณ์ของเพลงบอกของท่านได้กลายเป็นต้นแบบของกลอนเพลงบอกในสมัยต่อมา กลอน
เพลงบอกเร่ือง “ศาลาโกหกหรือสัจจศาลา” ที่ทักท้วงการเรียกชื่อศาลาโกหก (ประดู่หก) ซึ่งตั้งอยู่ที่สนาม
หน้าเมืองจนเพี้ยนไปเป็นศาลาโกหก เป็นกลอนเพลงบอกที่มีการกล่าวถึงและนำมาแสดงให้เห็นถึงความเป็น
ปราชญ์ของทา่ นอย่างชัดแจ้ง
สขุ ปราชญ์
ช่ือจริงคือ นายสุข สุขรินทร์ คร้ันเมื่อมีความสามารถทางกวีคนทั่วไปจึงเติมคำว่า “ปราชญ์” ให้
เป็นสร้อย ของชื่อและเรียกต่อ ๆ กันมาว่า “สุขปราชญ์” สุขปราชญ์เกิดแถวบ้านมะขามชุม (ตำบลท่าวัง
อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช) เป็นผู้มีความสามารถทางการเล่นเพลงบอก กลอนแปดบท แต่งกลอนโนรา บท
ทำขวัญนาค และ กลอนหนังตะลุงทม่ี ีชื่อเสียงมาก กล่าวกนั ว่าสุขปราชญ์เป็นกวีที่เก่งกลา้ ฝีปากคมคายไมเ่ กรง
กลวั กวีใด ๆ และมักจะหาโอกาสไปเล่นบทกลอนถวายพระรตั นธัชมุนี (มว่ ง) ที่วัดท่าโพธิอ์ ย่เู สมอ
พระปลดั เลี่ยม อาสโย
เดิมชื่อ เล่ียม นาครภัฏ เกิดที่ตำบลมะม่วงสองต้น อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อปี
พ.ศ. 2429 ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุและได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเพรง วัดจังหูน และวัดพระศรีอาริย์
(วัดไม้หลา) เป็นลำดับ และสุดท้ายมาจำพรรษาที่วัดเพชรจริก อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จนถึง
แก่มรณภาพเมื่อปี 2513 พระปลัดเลี่ยมถนัดเขียนกลอนและกาพย์มาก โดยใช้วีถีชีวิตจริงมาผูกร้อย
เป็นเรื่องราว เชน่ เร่ือง“โขนเสือ้ เมอื ง” “ลิเกในวงั ” “หาดทรายแก้ว” “ทิดปาน” “นิราศถูกวาตภยั ” และเรือ่ ง
“คชานสุ รณ”์ หรือ “พลายจำเริญ” ซง่ึ ถือว่าเป็นเรอื่ งทรี่ ้จู กั แพร่หลายทีส่ ดุ
38
ขุนอาเทศคดี
เดิมช่ือ กลอน มัลลิกะมาส เกิดที่บ้านท่าชี ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อ
ปี พ.ศ. 2431 รับราชการสังกัดกรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ขุนอาเทศคดี
เป็นผู้มีความรอบรู้เก่ียวกับ คติชนวิทยา ภาษาและวรรณกรรมท้องถิ่นอย่างดีย่ิง สำหรับความสามารถ
ด้านกวนี ้นั ถนดั เขียนโคลง โดยใชห้ ลกั ธรรมะมาผกู ร้อยเป็นเรอื่ งราว
นอกจากน้ันยังปรากฏช่ือศิลปินเพลงบอก โนรา หนังตะลุงอีกจำนวนมากม าย ท่ีต่าง
ได้สร้างสรรค์ผลงาน เชิงวรรณศิลป์เผยแพร่ ท่ามกลางบรรยากาศความเป็น “เมืองนักกลอน” ของ
นครศรีธรรมราชให้เป็นที่ปรากฏเด่นชัดมาโดยตลอด เป็นต้นว่า “เพลงบอกปานบอด” (ปาน ชีช้าง)
แห่งตำบลเขาพังไกร อำเภอหัวไทร “เพลงบอกเนตร ชลารัตน์” แห่งตำบลอินคีรี อำเภอพรหมคีรี หนังหนู
จันทร์ ธานินทร์พงศ์ แห่งตำบลไทยบุรี อำเภอท่าศาลา หนังจันทร์แก้ว บุญขวัญ แห่งอำเภอหัวไทร
หนังเร้อื ย-หนงั รา่ น คำหวาน แห่งอำเภอท่าศาลา เหล่านี้เป็นต้น
4.2 เอกลกั ษณ์ด้านหตั ถกรรม
การทำเคร่อื งถม เป็นหัตถกรรมทีม่ ีช่อื เสียงที่สุดของนครศรีธรรมราชไดแ้ ก่ การทำเครื่องถมเครื่องใช้
เคร่ืองประดับตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ปัจจุบันชาวเมืองนครศรีธรรมราชบางส่วนยังประกอบอาชีพทำเคร่ือง
ถมอยู่ มโี รงเรยี นชา่ งถมเพือ่ ฝกึ หดั เยาวชนให้สืบทอดมรดกทางวฒั นธรรมนตี้ อ่ ไป
เครือ่ งถมนครศรธี รรมราช
การสานย่านลิเพา เป็นเครื่องใช้ เช่น กระเป๋าภาชนะใส่ส่ิงของ ซึ่งเร่ิมมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4-5
และมชี ื่อเสียงตั้งแต่รชั สมยั รชั กาลท่ี 6 จนปจั จบุ ัน นครศรีธรรมราชมีผเู้ ชีย่ วชาญการสานย่านลิเพาฝีมือเอก ชื่อ
ร้อยเอกเผือน คงเอียง ปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชน นีพันปีหลวง
โปรดเกล้าฯ ให้ไปเปน็ ครสู อนการประดิษฐ์เครื่องใชจ้ ากยา่ นลิเพา ทศ่ี นู ย์ศลิ ปาชพี บางไทร พระนครศรอี ยุธยา
39
ย่านลิเพานครศรธี รรมราช
การทำพัดด้วยใบกระพ้อ ได้แก่ การทำ ใบพัดกระพ้อ ของชาวบ้านโคกยางหน้าโรงเรียน
วัดสุวรรณรังษี อำเภอร่อนพิบูลย์ การใช้ยอดพ้อขนาดเพสลาดมาคล่ีใบตากแห้งยอมสีและทำจักสานเป็น
พดั แบบพ้นื บ้าน ปจั จบุ นั นี้ พดั ใบพ้อเปน็ ของท่ีระลกึ การท่องเทีย่ วเมืองนครศรธี รรมราช
พัดใบกระพ้อนครศรีธรรมราช
การแกะสลักรูปหนังตะลุง ได้แก่ การแกะสลักหนังวัว หนังควาย ให้เป็นรูปหนังตะลุง และระบายสี
ตามแบบและเทคนิคการทำรูปหนงั ตะลุงส่วนมากเปน็ อาชีพเสริมของนายหนงั ตะลุง หรือแวดวงของอาชีพตะลุง
เดิม
รูปหนงั ตะลุงนครศรีธรรมราช
40
การทำกรงนก ได้แก่ การทำกรงนกเขาและกรงนกหวั จุก เริม่ นยิ มแพร่หลายมาตงั้ แต่ พ.ศ. 2530
การประกอบกรงนกขายจงึ ทำรายได้ให้อยา่ งงดงาม
กรงนก
ผ้าฝ้ายเมืองนครศรีธรรมราช มีชื่อเสียงพอ ๆ กับเคร่ืองถมเมืองนครโดยเฉพาะชายราชสำนัก
ในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว จะโปรดของฝากจากเมอื งนครศรธี รรมราชอยู่ 3 อย่าง คือ
ผา้ ยกเมอื งนคร เคร่ืองถมเมอื งนคร และน้ำผึ้งปา่ จากปา่ เขาหลวงในเขตชาวนอกเขา
ในสมัยก่อน ชาวเมืองนครศรีธรรมราชเกือบทุกพน้ื ท่ีจะนิยมปลูกฝ้ายเอง เก็บฝ้ายมาป่ันเส้นด้ายด้วย
มือ ย้อมสีด้วยสีจากสมุนไพรหรือเปลือกไม้ และทอผ้าฝ้ายด้วยหูกทอผ้าท่ีประดิษ ฐ์เองในครอบครัว
และญาตพิ น่ี ้อง ส่วนท่ีไดพ้ ฒั นาใหฝ้ ีมอื ประณีตขนึ้ เปน็ ผา้ ยกเมอื งนครท่ีโด่งดัง
ผา้ ยกเมอื งนครศรธี รรมราช
41
เอกลักษณด์ า้ นศิลปกรรม ศิลปกรรมของนครศรธี รรมราชที่เด่นท่ีสุดมีดังนี้
มโนราห์หรือโนรา เป็นการแสดงพื้นบ้านท่ีเป็นที่นิยมมากของชาวนครศรีธรรมราช ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั และพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว โปรดใหแ้ สดงมโนราห์
หน้ าพ ระที่ น่ั งเสมอเวลาเสด็จป ระพ าสเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพ าะเวลาเสด็จนมัสการ
พระบรมธาตุเจดยี ์ ปจั จุบนั การแสดง มโนราห์ประยุกตใ์ หเ้ ป็นแบบสมัยใหมม่ ากขึน้
รำมโนราห์
หนงั ตะลุง เป็นการแสดงทชี่ าวนครศรีธรรมราชนยิ มมากอกี ประเภทหน่งึ
การแสดงหนังตะลุง
42
เพลงบอก : ปฏิภาณกวีประจำท้องถิ่น เป็นศิลปะการละเล่นพ้ืนบ้านภาคใต้ท่ีมีมานานต้ังแต่อดีต
(ควบคู่กับหนังตะลุงและโนรา) โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เช่ือว่ามีความนิยมในการเล่น
เพลงบอกมาแล้วราว 150-200 ปี เป็นศิลปะการละเล่นที่แสดงความสามารถในเชิงปฏิภาณกวีของแม่เพลง ท่ี
จะร้องขับกลอนเพลงบอก หรือร้องโต้ตอบกันสด ๆ เพ่ือร้องบอกเร่ืองราวข่าวสารและความบันเทิงรื่นรมย์
เพลงบอกคณะหน่ึง ๆ ประกอบด้วย แม่เพลง 1 คน และลูกคู่ 2-3 คน (ในคณะสามารถที่จะผลัดเปลี่ยนกนั ทำ
หน้าที่เป็นแมเ่ พลงและลูกค่ไู ด้) มี “ฉ่งิ ” เป็นเคร่อื งดนตรีประกอบกำกบั จงั หวะเพียงคูเ่ ดียว
กลอนเพลงบอก สันนิษฐานว่ามาจากกลอนแปดบท แล้วค่อยปรับเปล่ียนมาเป็นรูปแบบ
ฉนั ทลักษณ์พน้ื บ้านเฉพาะ ว่าเป็นกลองเพลงบอก แต่มคี วามยดื หยนุ่ ในเรื่องจำนวนคำในแตล่ ะวรรคและการลง
สัมผัส มีรูปแบบการว่าของแม่เพลงและการรับของลูกคู่ที่ชัดเจน นิยมเรียกการขับร้องเพลงบอกว่า
“ทอกเพลงบอก” หรือ “ว่าเพลงบอก”
“เพลงบอก” กับ “วันสงกรานต์” เป็นของคู่กันมาในอดีตของพื้นบ้านภาคใต้กล่าวคือ เม่ือถึงหน้า
เทศกาลสงกรานต์ ในยามค่ำคืน จะมีคณะเพลงบอก (ทั้งอาชีพและสมัครเล่น) เดินทางไปเย่ียมเยือนกัน
ในหมู่บ้านเพ่ือขับร้องเพลงบอก บอกข่าวสาร ประกาศสงกรานต์และเร่ืองรื่นรมย์สนุกสนานโดย
เจ้าของบ้านจะยกเหล้ายาปลาปิ้ง ขนมนมเนยมารับรองคณะเพลงบอก รวมถึงอาจจะให้เงินทองเป็นรางวัล
เรียกกิจกรรมน้ีกันติดปากว่า “เพลงบอกทอกหัวได” แต่เม่ือสภาพสังคมเปลี่ยนไป ทำให้มีข้อจำกัดใน
เรื่องของความปลอดภัยยามค่ำคืน รวมทั้งความนิยมและคณะเพลงบอกที่มีลดน้อยลง ทำให้ “เพลงบอกทอก
หวั ได” ในหนา้ สงกรานต์พลอยเปล่ียนแปลงและรา้ งราไปนาน ร่วม 20-30 กวา่ ปี แลว้ ..
ในอดีตนั้นมีการขับร้องเพลงบอกโดยการประชันร้องโต้ตอบกันเป็นท่ีสนุกสนานและต้องอาศัย
ปฏิภาณไหวพริบอย่างยิ่ง มีการจดจำเป็นตำนานของการโต้เพลงบอกท่ีประทับใจและบอกเล่าต่อกันมา
เช่น การโต้เพลงบอกระหว่าง เพลงบอกปานปอดกับเพลงบอกรอดหลอ และระหว่างเพลงบอกปานบอด
ชชี ้างกับเพลงบอกเนตร ชลารตั น์ เมื่อประมาณ 100 กวา่ ปีมาแลว้ เปน็ ต้น
สำหรับคณะเพลงบอกในระยะหลังที่มีช่ือเสียงเป็นท่ียอมรับ เช่น เพลงบอกสร้อย เสียงเสนาะ
(ดำแจ่ม) ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงเพลงบอก เพลงบอกแมน อัศวิน
เพลงบอกสมใจ ศรีอู่ทอง เพลงบอกสุรินทร์ เสียงเสนาะ เพลงบอกสมใจ ฤทธิอักษร เพลงบอกปรีชา
สขุ จนั ทร์ เปน็ ต้น
การครอบครูหมอช้าง การพิธีบูชาพระพิฆเนศ เพื่อให้เกิดสิริมงคลในการทำงานศิลปะและ
งานท่ีเกี่ยวกับการบังคับช้าง นับต้ังแต่การจับช้างป่า การเล้ียงและฝึกช้างการนำช้างไปใช้งาน พิธีกรรม
จะดำเนนิ โดยหมอเฒา่
43
การครอบครูหมอชา้ ง
การแทงหยวก คือ การนำกาบกล้วยสดมาจัก-แทง-ตดั ให้เป็นลวดลายต่าง ๆ ด้วยมีดขนาดเล็ก ซึ่งมี
ลักษณะยาวโคง้ เล็กน้อย มีท่ีจับ มักใชน้ ำไปประกอบเบญจา เวลารดน้ำผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์ หรือประกอบเมรุ
เผาศพ งานแทงหยวกต้องอาศัยผู้มีฝีมือ เนื่องจากต้องทำอย่างรวดเร็วก่อนกาบกล้วยจะเหี่ยวแห้ง ปัจจุบัน
มีช่างฝีมอื ท่ีสามารถทำได้น้อยลง
การแทงหยวก
4.3 เอกลกั ษณด์ ้านอาหารการกนิ
การกินสำรับ ชาวนครศรีธรรมราชนยิ มกินสำรับกับข้าวโดยนำถ้วยกับข้าวใส่ในถาดพรอ้ มข้าว ยกไป
ให้แขกหรอื ญาตผิ ู้ใหญร่ บั ประทานเรยี กวา่ ยกสำรับหรือกินสำรบั
ขนมจีนเมืองนคร มีทั้งแบบแป้งบีบเส้นน่ิมอ่อน กับเส้นไม่นิ่มอ่อน ท่ีบดอัดออกมาจากกระบอก
ขนมจีน ส่วนน้ำแกงขนมจีนท่ีชาวกรุงเทพฯ เรียกน้ำยาจะมีหลายอย่าง เช่น น้ำแกงไม่ใส่มะพร้าว นํ้าแกง
ใส่มะพร้าว น้ำพริกที่ใช้การเค่ียวหัวกะทิใส่น้ำตาลและถั่วลิสง ไม่มีรสเผ็ด ส่วนน้ำพริกจิ้มผักหรือน้ำพริกปลาทู
ชาวนครศรธี รรมราช เรยี กวา่ น้ำชุบ
นอกจากนั้นยังมีแกงอีกประเภทหน่ึง ท่ีแถมให้ในการกินขนมจีนเมืองนคร คือ แกงพุงปลา
ซ่ึงการแกงจะเน้นรสและกลิ่นของพุงปลาให้จัด ใช้ผักเสริมรสชาติ เช่น กล้วยหมาก มัน น้ำเต้า (ฟักทอง)
44
มะกรูด ต้นตะไคร้ ขม้ินอ่อนทุบและเคร่ืองแกงที่ตำแหลกไม่ละเอียดนักปนอยู่ด้วย เวลากินขนมจีนท่ีราด
นำ้ แกง 2 ประเภทแรกไปแล้วจะหยอดน้ำแกงพุงปลาเพิ่มรสชาตอิ กี กไ็ ด้
ผักเหนาะ มีแตงดอง มะละกอดอง ยอดผักต่าง ๆ ทุกประเภทที่มีทั้งแตงกวา ถ่ัวฝักยาว และ
อื่น ๆ สว่ นของ ชูรสทขี่ าดไมไ่ ด้ คอื พริกทอดกรอบ น้ำปลาและมะนาว
ขนมจีนเมืองนครศรธี รรมราช
ข้าวยำเมืองนคร มีรสชาติแปลกตามส่วนผสม เช่น ใบขม้ินอ่อนซอย ใบมะกรูด กุ้งตำละเอียด
เครื่องแกง มะพร้าวคั่ว ถั่งฝักยาวฝานบาง ๆ พริกป่นละเอียด และราดน้ำปลาเค่ียวน้ำตาลปีบ หรืออ่ืน ๆ เช่น
มะขามเปียก เพื่อรสชาตจิ ะได้อรอ่ ยกลมกลอ่ ม
ขา้ วยำเมืองนครศรธี รรมราช
น้ำชุบ น้ำชุบของชาวเมืองนครศรี คือ อาหารพิเศษ ถ้วยเล็ก ใช้จ้ิมผักสดหรือผักต้ม มีส่วนผสม
ท่ีสำคัญคือ ดีปลี หัวกระเทียม เคยกุ้ง เน้ือปลาทู มะนาว และน้ ำเล็กน้อย น้ำชุบหรือน้ำพริกจะมี
หลายประเภท เช่น น้ำชุบเคย (น้ำพริกกะปิ) น้ำชุบมะอึกซอยมะอึกใส่ น้ำชุบไม่ใส่มะนาว จะเรียกว่า น้ำชุบ
นายโจร เพราะนายโจรจะทำนำ้ ชุบแบบลวก ๆ รบี ด่วนไมใ่ ส่มะนาวก็กินไดแ้ ล้ว
45
ตามปกติแม่ค้าข้าวแกงในเมืองนครศรีธรรมราชจะมีน้ำพริกกะปิและผักสดหลายชนิดแถมให้กิน
พรอ้ มกับข้าวแกง ไมค่ ิดราคา
น้ำชบุ
อาหารพ้ืนเมือง เป็นต้นว่า เม็ดยาร่วงเชื่อมน้ำตาล (เม็ดมะม่วงหิมพานต์) มังคุดเขียวคัดเปลือกทิ้ง
แช่น้ำเกลือเป็นของกินเล่น ลูกเนียงต้มกินกับมะพร้าวและน้ำตาลทราย ขนมกวนขาว สะตอดองยำ
ใส่นำ้ ตาล หอมแดงซอย กงุ้ ฝอย พรกิ แกงสม้ ดอกกล้วย ยำบุกคางบก ยำมะเขือหืน แกงเหลืองยอดอ่อนขมน้ิ ใส่
กะทิ ยำหัวกะทอื หรอื ยอดหมากต้มจิ้มน้ำพรกิ ลูกเหบ็ เป็นตน้
ผกั สมุนไพร
สะตอดองยำใส่น้ำตาล เมด็ ม่วงเชอ่ื มนำ้ ตาล
46
1
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 11
โบราณสถานและโบราณวตั ถนุ ครศรีธรรมราช
สาระสำคัญ
การศกึ ษาสืบคน้ และทศั นศึกษาแหล่งเรยี นรู้โบราณสถานโบราณวตั ถุท่พี บในท้องถิ่นจังหวัด
นครศรีธรรมราช จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้ มีความรัก ภาคภูมิใจ หวงแหน และร่วมอนุรักษ์
โบราณสถาน โบราณวัตถใุ นท้องถิ่นของตนเอง
ตัวช้วี ดั
1. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งโบราณสถานจังหวดั นครศรธี รรมราช
2. อธิบายและยกตัวอย่างโบราณวัตถุจงั หวดั นครศรีธรรมราช
ขอบข่ายเนอื้ หา
เรอ่ื งที่ 1 โบราณสถานจังหวัดนครศรธี รรมราช
1.1 วดั พระมหาธาตวุ รมหาวิหาร
1.1.1 พระบรมธาตุเจดีย์
1.1.2 เจดีย์ราย
1.1.3 วิหารพระม้า
1.1.4 วหิ ารเขยี น
1.1.5 วิหารโพธ์ิลังกา
1.1.6 วิหารสามจอม
1.1.7 วิหารพระแอด
1.1.8 วหิ ารทับเกษตร
1.1.9 วิหารคด
1.1.10 วิหารธรรมศาลา
1.1.11 พระวิหารหลวง
1.1.12 วหิ ารโพธิพ์ ระเดิม
1.1.13 พระพทุ ธบาทจำลอง
1.1.14 ศาลาศรีพุทธศิ าล
2
1.1.15 ประตูวัด (5 ประต)ู
1.2 หอพระพทุ ธสิหิงค์
1.3 วัดทา้ วโคตร
1.4 วัดเสมาเมอื ง
1.5 วัดเสมาชัย
1.6 วดั หนา้ พระลาน
1.7 เจดยี ์ยักษ์
1.8 วดั ประดพู่ ฒั นาราม
1.9 วดั แจง้ วรวิหาร
1.10 หอพระสูง
1.11 วัดทา่ โพธ์ิวรวิหาร
1.12 วัดวังตะวนั ตก
1.13 วัดสระเรยี ง
1.14 วัดชายนา
1.15 ศาลพระเสอ้ื เมอื ง
1.16 ฐานพระสยม
1.17 หอพระอิศวร
1.18 หอพระนารายณ์
1.19 แหลง่ น้ำศกั ดสิ์ ิทธิใ์ นจังหวดั นครศรีธรรมราช
1.19.1 บอ่ น้ำศักดิ์สิทธ์ิ วัดหนา้ พระลาน
1.19.2 บ่อนำ้ ศักดิ์สิทธว์ิ ดั เสมาเมือง
1.19.3 บอ่ น้ำศักดิ์สทิ ธ์ิวัดเสมาชยั
1.19.4 บอ่ น้ำศกั ดส์ิ ิทธ์วิ ดั ประตขู าว
1.19.5 บอ่ นำ้ ศักดส์ิ ทิ ธหิ์ ้วยเขามหาชัย
1.19.6 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ห้วยปากนาคราช
1.20 ศาลากลางจังหวัด
1.21 สนามหนา้ เมอื ง
1.22 กำแพงเมืองนครศรีธรรมราช
1.23 สระลา้ งดาบศรีปราชญ์
3
1.24 อนสุ าวรียว์ รี ไทย
1.25 วัดสอ (วดั สรรเสริญ)
1.26 วัดวังไทร
1.27 วดั ธาตนุ ้อย
1.28 วดั อนิ ครี ี
1.29 วัดเขาขุนพนม
1.30 วัดภเู ขาหลัก
1.31 วัดแมเ่ จ้าอยหู่ วั
1.32 วดั ควนชะลิก
1.33 วดั พัทธสมี า
1.34 วัดเขาพระทอง
1.35 วดั โมคลาน
1.36 โบราณสถานตมุ ปัง
1.37 โบราณสถานเขาคา
1.38 วัดธาตุธาราม (วัดเขาธาตุ)
เร่อื งท่ี 2 โบราณวัตถุ จงั หวัดนครศรีธรรมราช
2.1 เงินตรานโม (หัวนะโม)
2.2 ใบเสมา
2.3 ศิลาจารกึ วัดเสมาเมอื งและศิลาจารึกวัดหวั เวียง
2.4 ศิลาจารกึ วดั มเหยงคณ์
2.5 ศลิ าจารึกหุบเขาช่องคอย
2.6 ศวิ ลึงคแ์ ละฐานโยนโิ ทรณะ
2.6.1 ศิวลึงค์
2.6.2 ฐานโยนิโทรณะ
2.7 พระวิษณุ(พระนารายณ์)
2.8 ภาชนะดินเผาทรงหมอ้ สามขา
2.9 กลองมโหระทึกสำริด
2.10 เครือ่ งถว้ ยท่พี บในจังหวัดนครศรธี รรมราช
2.11 เครอ่ื งมอื หิน
4
2.12 เครอ่ื งป้ันดนิ เผาศรีวิชัยและตามพรลิงค์
2.13 เคร่อื งถมเมอื งนคร
2.13.1 ถมเงิน
2.13.2 ถมทอง
2.13.3 ถมตะทอง
2.14 สายสร้อยสามกษัตริย์
เวลาท่ีใช้ในการศึกษา 20 ช่วั โมง
สอื่ การเรียนรู้
1. ชดุ วิชานครศรธี รรมราชศึกษา รหสั รายวชิ า สค3300168
2. สมดุ บนั ทึกกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบชดุ วชิ านครศรีธรรมราชศึกษา
รหัสรายวชิ า สค3300168
3. สื่อเสริมการเรียนร้อู ่นื ๆ
5
เรอ่ื งท่ี 1 โบราณสถานจงั หวดั นครศรธี รรมราช
จงั หวดั นครศรธี รรมราช มโี บราณสถานท่สี ำคัญมากมายหลายแห่ง โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี
1.1 วดั พระมหาธาตุวรมหาวิหาร
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารซาวนครเรียกส้ันๆ ว่า “วัดพระธาตุ“ตามประกาศของกระทรวงธรรม
การ เร่ืองจัดระเบียบพระอารามหลวง ลงวันที่ 30 กันยายน 2458 ให้เรียกว่า “วัดพระมหาธาตุ” เป็นพระ
อารามหลวงช้ันเอก ชนิด “วรมหาวิหาร” ต้ังอยู่ภายในเขตกำแพงเมืองโบราณ ปัจจุบันมีถนน
ราชดำเนินตดั ผา่ นหนา้ วดั มีเนอื้ ที่ 25 ไร่ 2 งาน
ทิศตะวนั ออก จดถนนราชดำเนนิ
ทิศตะวนั ตก จดถนนพระบรมธาตุ
ทศิ เหนือ จดโรงเรียนวดั พระมหาธาตุ
ทศิ ใต้ จดถนนพระลาน
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จประพาสเมืองนคร
(พ.ศ. 2458) ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร” มีโบราณสถานที่สำคัญดังนี้
1. พระบรมธาตุเจดีย์ 2. เจดีย์ราย 3. วิหารพระม้า 4. วิหารเขียน 5. วิหารโพธ์ิลังกา 6. วิหารสามจอม
7. วิหารพระแอด 8. วิหารหับเกษตร (ระเบียงตีนธาตุ) 9. วิหารคด (ระเบียงคด) 10. วิหารธรรมศาลา
11. วิหารหลวง 12. วิหารโพธิ์พระเดิม 13. พระพุทธบาทจำลอง 14. ศาลาศรีพุทธสาร 15. ประตูวัด โดยมี
รายละเอยี ด ดังน้ี
1.1.1 พระบรมธาตเุ จดีย์
เล่ากันมาว่า พระบรมธาตุเจดีย์องค์เดิม หาเป็น
ดังท่ีเห็นทุกวันนี้ไม่ ที่เห็นนี้เป็นองค์ใหม่ท่ีสร้างครอบองค์เดิม
ไว้ พระเจดีย์องค์เดิมสร้างตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา
6
นิกายมหายานตามแบบสถาปัตยกรรมศรีวิชัย ประมาณ พ.ศ. 1300 ปี พระพุทธศาสนานิกายหินยาน
เจริญรุ่งเรืองในประเทศลังกา พระเจ้าศรีธรรมโศกราช จันทรภาณุ ผู้เป็นศาสนูปถัมภ์ได้ถวายความสะดวกให้
พระสงฆ์ ชาวเมืองนครศรีธรรมราช เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎก จำพรรษาอยู่เมืองน้ันหลายปี จนมีความรู้
แตกฉานในพระไตรปิฎก และขากลับได้นิมนต์คณะสงฆ์จากลังกามาประดิษฐานพระศาสนาในเมือง
นครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 1770 เรยี กวา่ “พระพุทธศาสนาลทั ธิลังกาวงศ์”ในระยะน้ันพระเจดียอ์ งค์เดมิ ชำรุด
มาก คณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์จากลังกาและฝ่ายบ้านเมืองได้บูรณะซ่อมแซม โดยการก่อสถูปใหม่ครอบพระ
เจดียอ์ งคเ์ ดมิ ไว้ตามแบบสถาปัตยกรรมลังกา ดงั ทีป่ รากฏในปัจจบุ ัน
7
ใต้ฐานภายในของพระองค์พระเจดีย์ มีสระสี่เหลี่ยมจัตุรัส 8 วา ลึก 4 วา รองด้วยหิน แท่นหินใหญ่
ข้าง ๆ ก็หล่อด้วยปูนเพชรแข็งแรง ภายในสระใหญ่ยังมีสระเล็กหล่อด้วยปูนเพชรส่ีเหล่ียมจัตุรัส 2 วา
ลึก 2 วา บรรจุพิษนาคเต็มสระ ภายในสระน้ีมีขันทองคำลอยอยู่ ภายในขันทองคำน้ีบรรจุผอบทองคำ ภายใน
ผอบทองคำบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่ีมุมสระทั้งสี่มีทองคำหนัก 38 คน
หามใสไว้ในตมุ่ มุมละตุม่
รายละเอียดเก่ียวกบั พระบรมธาตุเจดยี ์มีดังน้ี
1. ความสูงจากพ้ืนถึงยอด 37 วา หรือ 53.075 เมตร (บางแห่งว่า 38 วา 2 ศอก หรือ 77.00
เมตร) มรี ายละเอยี ดเพม่ิ เตมิ ดงั นี้
1.1 ตั้งแตพ่ ืน้ ดินถงึ กำแพงแกว้ 2 วา 2 ศอก
1.2 ตั้งแตป่ ากระฆังถึงคอระฆงั 8 วา 1 ศอก
1.3 ตง้ั แต่คอระฆงั ถงึ หลงั เหม 4 วา 2 ศอก
1.4 ตั้งแตป่ ล้องฉนั หมายถึงบวั คว่ำบวั หงาย 15 วา
1.5 ตงั้ แต่บวั ควำ่ บวั งายไปถงึ ปทุมโกศ 4 วา 2 ศอก (บางแห่งวา่ 6 วา 2 ศอก 1 คืบ)
1.6 ต้ังแตป่ ทุมโกคลงึ กรงแกว้ 1 วา 2 ศอก
1.7 ต้ังแตก่ รงแกว้ ถงึ ยอดสุด 3 ศอก
2. เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางที่ฐาน 22.98 เมตร
3. ฐานยาวด้านละ18วา1ศอก15นว้ิ (บางแห่งวา่ 15วา3นวิ้ )
4. ยอดหุ้มดว้ ยทองคำหนกั 800 ชั่ง (ประมาณ 216 กิโลกรมั )
5. ส่วนท่ีท้มุ ทองคำสูง 6 วา 2 ศอก 1 คืบหรือ 8.294 เมตร (บางแหง่ 4 วา 2 ศอก)
6. ปล้องไฉน (หมายถงึ ปล้องท่ยี อดพระเจดีย์ 52 ปลอ้ ง)
7. หน้ากระดานปล้องไฉน มีพระมหาสาวก 8 องค์เรียนว่า “พระเวียน” ยืนเวียนเป็นทักขิณาวัฏ
ประนมมอื ทุกองค์ชื่อ ดงั น้ี
7.1 พระอัญญาโกณฑัญญะเถระ
7.2 พระมหากสั สปเถระ
7.3 พระสารบี ตุ รเถระ
7.4 พระอบุ าลีเถระ
7.5 พระอานนทเ์ ถระ
7.6 พระคจมั ปติเถระ
7.7 พระโมคคลั ลาเถระ
7.8 พระราหุลเถระ
8. ตั้งแต่บัวคว่ำบัวหงายถึงปทุมโกศ หุ้มด้วยทองคำแผ่นหนาขนาดใบตาล มีลวดทองคำคาดไว้
รอยเชือ่ มระหวา่ งแผน่ ทองคำใช้หมดุ ยำ่
8
9. สว่ นท่ีหุ้มด้วยทองคำนี้ยังมี ทองรปู พรรณนานาชนิด เชน่ แหวน กำไล ตา่ งหู พระพทุ ธรปู เป็น
ตน้ ผกู แขวนไว้ดว้ ยเสน้ ลวดเปน็ จำนวนมาก
10. บนยอดสดุ มีหม้อทองคำ 1ใบ โตขนาดฟองไข่ วางหงายไว้ในหมอ้ มปี ่นทองคำ ทำเป็นคันธง
ห้อยด้วยใบโพธ์ิทอง มีดอกไม้ทำด้วยกระดุมเพชรปักไว้ในหม้อ 4 ดอก (กระดุมเพชรนี้ เจ้าพระยา
สุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) ได้รับในพระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ในรัชกาลท่ี 5 แล้ว
ตกทอดมาเป็นของ คุณนุ้ย ณ นคร ซึ่งเป็นบุตร คุณนุ้ยมอบให้นำขึ้นไปไว้เม่ือ พ.ศ.2457 คราวติดสายล่อฟ้าท่ี
พระองค์เจดยี )์
11. ใต้หม้อทองคำ มกี ำไลหยกรองรบั อยู่ 1 วง
12. ใต้กรงแก้วทำเป็นพานสำริดเกล้ียง ๆ มีกลีบย่ืนทั้ง 4 ทิศ ทิศละกลีบ กลางพานทะลุ
มีลวดทองแดงยื่นออกมา แล้วดัดให้ผายออกตามขอบพานโดยรอบ เป็นซี่กรงแก้ว 4 ซ่ี แล้วรวบปลาย
เป็นกับพุ่มบัว เรียกว่า “กรงแก้ว” 4 ซ่ีนั้น สวมลูกแก้วโตเท่าหมากสุก ซี่ละ 16 ลูก ส่วนที่เป็นแกนกลางน้ัน
สวมลกู แกว้ 9 ดวง สว่ นในพานสำริดมีดวงแก้วผลึกต่างสีหลายดวง ถกั ด้วยลวดทองคำผกู ติดกับแกน
13. รอบ ๆ องคพ์ ระเจดีย์มีกำแพงแกว้ 4 ด้าน กวา้ งยาวเท่ากันทุกด้าน คือ 12 วา 2 ศอก
14. มีใบเสมาและร้ัวเหล็กล้อมรอบกำแพงแก้ว ประดับด้วยเคร่ืองสูง มีฉัตรและบังสูรย์ และ
มีกระดงิ่ ทำเป็นระฆงั ห้อยใบโพธไิ์ วโ้ ดยรอบ
15. ฐานของพระเจดยี ์ เปน็ รูปสเ่ี หลีย่ มจัตุรัส มหี ัวช้างย่ืนออกมาจำนวน 22 หวั สนั นิษฐานว่า
หัวช้างทง้ั หมดคือหวั ขอื่ น้ันเอง
16. พระบรมธาตเุ จดยี ์สงู เป็นท่ี 2 ของประเทศไทย (พระปฐมเจดยี ์ จงั หวดั นครปฐม สงู 60 วา
แตพ่ ระบรมธาตเุ จดยี ์มีอายุเก่าแก่กวา่ พระปฐมเจดยี )์
17. วันเดือนปีท่ีก่อสร้าง ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่นอน เพราะเป็นปูชนียสถานท่ีเก่าแก่เกินไป
มีแต่เพยี งตำนานซง่ึ มิได้ระบุไว้ชดั เจน
9
จากตำนานพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช และจารึกบนแผ่นทองหุ้มปลียอด
พระบรมธาตุเจดีย์ พบทองคำทัง้ หมด 19 แผ่น เรียงตามลำดับศกั ราช คือสมเด็จพระเอกาทศรถ 2 แผน่ สมเด็จ
พระเจ้าปราสาททอง 2 แผ่น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช 3 แผ่น สมเด็จพระเพทราชา 3 แผ่น สมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวบรมโกศ 2 แผ่น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 1 แผ่น สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 1 แผ่น
นอกจากนไ้ี มพ่ บหลกั ฐานจารึก
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช (สมเด็จพระเจ้าภาณุรังษีฯ) ได้
เสด็จเมอื งนครศรธี รรมราช เม่อื ปีวอก พ.ศ.2427 ทรงบนั ทึกเกีย่ วกบั พระบรมธาตุเจดีย์ มีรายละเอยี ดดังน้ี
1. องศพ์ ระเจดีย์ทรงตง้ั แต่พื้นดนิ ถึงยอด 37 วา 7 ศอก
2. ฐานพระเจดยี ์ชื่อว่า “ทับเกษตร” ยาว 18 วา
3. ลดข้ึนนไปช้ันหนึ่งช่ือว่า “ทิพคีรี” สูง 1 วา 2 ศอก มีพระยืน 25 องศ์ สูง 1 วา 1 ศอก
ระหว่าง พระน้ันมีชา้ งแลว้ หวั 22 ตวั สูง 3 ศอก
4. บนทิพคีรีมกี ำแพงแก้วสงู 2 ศอก ยาว 24 วา เทา่ กนั ท้งั 4 ด้าน
5. ฐานลวดรบั องศร์ ะฆงั บนกำแพงแก้ว 1 วา 1 ศอก สงู 2 วา 1 ศอก
6. องศ์ระฆังสูง 7 วา
7. กลางกำลงั องศ์ระฆงั 33 วา
8. เหมสงู 2 วา 3 ศอก กวา้ ง 4 วา 2 ศอก 1 คืบ
9. คอเรบนเหมสูง 1 วา 2 ศอก มีรูปพระอรหันต์ยืน 8 องศ์ รูปพระอรหันต์สูง 4 ศอก 1 คืบ
หน้ากระดานรอบองศ์ 11 วา
10. ปลอ้ งไฉนตดิ หน้ากระดานรอบองศ์ 11 วา
11. ปลอ้ งไฉน 52 ปล้อง
12. แต่หน้ากระดานถึงปลอ้ งไฉนถึงบัวควำ่ บวั หงายสูง 15 วา
13. กลีบบัวใหญ่ 1 ศอก กลีบบัวน้อย 1 คีบ กลีบบัวใหญ่ 15 กลีบ กลีบบัวน้อย 15 กลีบ กำลัง
ใหญ่รอบ 5 วา 2 ศอก 1 คีบ
14. แตบ่ ัวคว่ำบัวหงายถงึ ปทุมโกศ 4 วา 2 ศอก
15. แตป่ ทมุ โกศถงึ แทรกแก้ว 1 วา 2 ศอก
16. แต่แทรกแก้วถึงสดุ ยอด 3 ศอก
พระเจดีย์องค์น้ี ก่อด้วยอิฐถือปูน รอยตะไคร่น้ำจับรอบองศ์ ที่ตรงปลียอดน้ันหุ้มทองคำ
แผ่นหนาเท่าใบลาน กวา้ งประมาณ 6 นิ้ว หุ้มปลียอดมหาธาตตุ ลอดจนถึงบัวคว่ำบัวหงายซงึ่ ตอ่ ปล้องไฉนนนั้ ท่ี
คอปลีริมปทุมโกศ เอากล้องส่องแลดูมีเป็นหัวแหวนประดับอยู่เป็นอันมาก เขาว่าเป็นแหวนโต ๆ
มีพลอย บศุ ย์ มรกต ทับทมิ เป็นตน้ ท่ีพมุ่ ข้าวบณิ ฑ์เขาวา่ ประดบั ด้วยแก้ว
กำแพงบนทิพคีรนี ั้น มีพระเจดีย์ 4 มุม ช่อื รัตนเจดยี ์ สูง 7 วา กำแพงแก้วมีทอ่ น้ำเป็นศีรษะนาค
7 ท่อ ไม่มีศีรษะนาค 3 ท่อ ด้านเหนือนั้นมีวิหารมุงกระเบ้ืองติดกับฐานทิพคีรี มีประตู ขึ้นบน
10
ลานทักษิณ บานตะวันออกสลักเป็นรูปพระพรหม บานตะวันตกสลักเป็นรูปพระอิศวร มีบันได ข้ึนไป
บนกำแพงแก้ว 15 ช้ัน หัวบันไดมีฝาผนังท้ัง 2 ข้าง มีรูปพระข้างละองค์ ช่ือ พระทัศตุคามองค์หน่ึง
(ทัศตุคาม สะกดการันต์ตามต้นฉบับเดิมแต่ของจริงเป็น ท้าวขัตตุคาม กลายมาเป็น จัตุคาม และ จตุคาม เป็น
ที่มาของจตุคามรามเทพ ในปัจจุบัน) ชื่อพระราม เทพองค์หนึ่ง ต้ังอยู่หัวผนังท้ัง 2 ข้าง นกอินทรีย์
ขา้ งละตัว ขอ่ื วา่ เทา้ กุเวรเทพราชตวั หน่งึ ข้างตนี บนั ไดน้นั มีรปู นนทยกั ษ์ ยืนถอื กระบองขา้ งละตัว
1.1.2 เจดยี ร์ าย
ภายในบริเวณพระบรมธาตุเจดีย์ถัดเข้าไป จาก
พระระเบียงวิหารคดมีเจดีย์ขนาดต่าง ๆ เรียงรายรอบองค์
พระบรมธาตุเจดีย์ดูราวกับว่าผู้สร้างมีเจตนาท่ีจะให้เป็นบริวาร
ของพระบรมธาตุเจดีย์ เจดีย์บริวารเหล่าน้ีไม่มีหลักฐานยืนยันว่า
แต่เดิมผู้สร้างเจตนาที่จะใช้บรรจุอัฐิหรือไม่ แต่ปัจจุบันมี
ผู้ปฏิสังขรณ์แล้วนำอัฐิของวงศ์ตระกูลไปบรรจุไว้ท่ีฐานของเจดีย์
เหลา่ น้ีแทบทกุ องค์ เจดียบ์ รวิ ารเหล่านี้สร้างอย่างมรี ะเบียบ เรยี บร้อย เป็นศลิ ปะราวสมัยอยธุ ยาตอนปลายหรือ
รัตนโกสินทร์ตอนต้น จากการสำรวจทำให้ทราบว่าเจดีย์บริวารรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ มีอยู่ท้ังสิ้นจำนวน
185 องค์ แบบท่ียืดในการสรา้ งส่วนใหญเ่ ปน็ การจำลองมาจากพระบรม ธาตเุ จดยี ์แทบทง้ั สิน้
1.1.3 วิหารพระมา้
วิหารพระม้าน้ี มีขื่อเรียกหลายชื่อเช่นวิหาร
พระม้า หรือวิหารพระทรงม้า หรือวิหารพระมหา ภิเนษ
กรม อันเป็นช่ือเรียกทางราชการ แต่ชาวนครนิยม เรียกสั้น
ๆ ว่าวิหารพระม้า ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะว่าภายในวิหารน้ีมี
ปูนปั้นเป็นภาพเก่ียวกับเร่ืองพระพุทธประวัติตอนพระพุทธ
อ งค์ ท ร งม้ า เส ด็ จ อ อ ก บ ร รพ ช าอ ยู่ ท่ี ฝ า ผ นั งจึ ง เรี ย ก กั น
โดยทั่วไป ว่าวิหารพระทรงม้า วิหารพระม้าน้ันอยู่ติดกับ
พระบรมธาตุ เจดีย์ทางด้านทิศเหนือ เป็นวิหารที่มีหลังคาเดียวกับวิหารพระม้า วิหารเซียนแต่มีผนังกั้นอยู่ถึง
แยกออกเป็น 2 สว่ น คือเป็นวิหารพระม้าส่วนหนึ่ง และเป็นวหิ ารเซียนอกี ส่วนหน่ึง แต่เดิมมาวิหารทั้งสองหลัง
น้ีมีประตูวงโค้งสามารถเดินทะลุถึงกัน ต่อมาวิหารเซียนใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ จึงปิดประตูโดยทำเป็นผนังตันไป
ผนังนี้กว้าง 5 วา 10 น้ิว ยาว 15 วา 3 ศอก 8 นิ้ว สูง 7 วา ภายในวิหารประกอบด้วยส่ิงต่าง ๆ ต่อไปน้ี
คือ ตรงกลางวิหาร มีบันได รวม 22 ข้ัน ทอดเป็นทางข้ึนสู่ลานประทักษิณรอบ ๆ องค์พระบรมธาตุเจดีย์
(ก็คือลานภายในกำแพงแก้วน่ันเอง) ท่ีผนังทั้งสองข้างของบันไดมีปูนปันเป็นภาพเทวดาและสัตว์ในเทพนิกาย
ทางด้านซ้าย ตอนบนมีพระพุทธบาทจำลอง ด้านขวาเป็นรูปพระหลักเมือง ท่ีผนังตรงหัวบันไดมีรูปครุฑ 1 คู่
ที่เชิงบันไดมียักษ์และหัวนาคอย่างละ 1 คู่ ท่ีปลายบันไดที่จะขึ้นไปลานพระประทักษิณนั้นมีประตูไม้ 1 ประตู
ท่ีบานประตมู ีภาพสลักทงั้ สองบาน ใช้ไม้บานละแผ่นเท่านั้น ไมม่ ีการนำไมม้ าต่อกัน ฝีมือการแกะสลักกป็ ระณีต
11
สวยงามมาก บานประตูดา้ นซ้ายสลกั เป็นรูปพระพรหม ส่วนดา้ นขวาเป็นรูปพระนารายณ์ บางแหง่ ว่าบานประตู
น้ีเป็นของทำขึ้นใหม่ภายหลังมิใช่ของด้ังเดิม ที่ทำขึ้นใหม่น้ันก็เพื่อใช้แทนของเดมิ ท่ถี ูกไฟไหมเ้ สียหายไป สมเด็จ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า บานประตูแต่เดิมนั้นเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ตามตำนานเล่ากันว่า วหิ ารพระม้านีผ้ ู้สร้างเป็นเศรษฐีชาวลังกา 2 คนชื่อ พลิติและพลิมุ่ย (ซ่ึงในท่ีสุดเศรษฐีทั้ง
สองคนน้ีก็ได้บวชเป็นพระภิกษุ) ความมีว่าเศรษฐีท้ังสองได้รับพระบรมราชโองการจากพระเจ้ากรุงลังกาให้มา
ช่วยสร้างพระบรมธาตุที่เมืองนคร แต่เศรษฐีท้ังสองเดินทางมาถึงช้าไป พระบรมธาตุสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ดว้ ยแรงศรัทธาเศรษฐีทั้งสองจึงดำเนินการก่อสร้างวิหารพระม้าแทน ในระยะเดียวกันน้ีบุตรชายของเศรษฐีช่ือ
มดและหมู เกิดทะเลาะกนั เรื่องการชนไก่ เลยฆ่ากนั ตายทั้งสองคน เศรษฐีเศรา้ สลดใจมาก จึงเอาอัฐขิ องบุตรมา
ตำเคล้ากับปูน แล้วป้ันเป็นรูปพระสิทธัตถะ พระนางพิมพา พระราหุล นายฉันนะ ม้ากัณฐกะ เทวดา มาร
พรหม โดยอาศัยตอนพระพุทธองค์เสด็จออกบรรพชา (เสด็จออกมาหาภิเนษกรรม) และปั้นพระพุทธรูปยืน
ปางหา้ มญาติ ป้ันพระสารีบุตร พระโมคคัลลานท่ผี นังตรงข้ามบันได
1.1.4 วหิ ารเซยี น
วิหารเซียน ท่ีได้ชื่ออย่างน้ีก็เพราะว่าแต่เดิมนั้น
เสาและผนังของวิหารนี้มีภาพลายเส้นอยู่เต็ม ชาวนครจึง
เรียกว่าวิหารเซียน ซ่ึงท่ีทองลูกบวบ (ทองลูกบวบ ก็คือ
ทองดอก หมายถึง ทองเนื้อหก โบราณกำหนดคุณภาพของ
เนื้อทอง ต้ังแต่เนื้อสี่ดั้งพิกัดตามราคานั้าหนักเช่น ทองเน้ือหก
หรือทองดอกบวบ หนัก 1 บาท ราคา 6 บาท เป็นต้น ราคา
ทองสูงที่สุด คือ หนัก 1 บาท ราคา 9 บาท เรียกว่า ทองเน้ือ
เก้าหรอื นพคุณ มนั ถือวา่ เป็นทองบรสิ ทุ ธิ์) พระท้ังสององคน์ ี้เจา้ พระยานคร (พดั ) สร้างเป็นอนุสรณ์ เม่ือไปตไี ทร
บุรีชนะเมื่อ พ.ศ.2480 กรมศิลปากรได้ประกาศรับพิพิธภัณฑสถานของวัดพระมหาธาตุเป็นสาขา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อว่า “ศรีธรรมราชพิพิธภัณฑสถาน” ที่ต้ัง
พิ พิ ธ ภั ณ ฑ ส ถ า น แ ห่ ง ช า ติ ข อ ง วั ด พ ร ะ ม ห า ธ า ตุ ก็ คื อ วิ ห า ร เ ซี ย น น้ั น เ อ ง
วัดได้ใช้วิหารเซียนเก็บรักษาส่ิงของขนาดเล็กท่ีทำด้วย ทอง เงิน นาก สำริด เช่น พระพุทธรูปต้นไม้เงิน
ต้นไม้ทอง ถ้วยชาม เครื่องลายคราม สร้อย แหวน ต่างหู เข็มขัด กำไล และป่ินปักผม เป็นต้น ชาวเมืองจึงมัก
ไปชมโบราณวัตถุในวิหารเซียนกันอย่างคับค่ังทุกวัน จนในท่ีสุดต้องขยายพิพิธภัณฑสถานของวัดออกไปอยู่ที่
วิหารโพธิ์ลังกาและวิหารสามจอม ขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณ ฑใหม่ติดกับวิหารคด
ด้านทิศเหนือ บุคคลสำคัญที่คิดสร้างพิพิธภัณฑสถานประจำวัดน้ีขึ้น คือพระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช
(รตนธัช เถร-ม่วงเปรียญ) เจ้าคณะมณฑลในอดีต ครั้นท่านสิ้นบุญก็มีผู้ดำเนินการต่อมา คือ พระรัตนธัชมุนี
นครศรีธรรมราช (คณฐาภรณเถร-แบน-เปรียญ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ วิธีการดำเนินการก็คือ
ประกาศเชิญชวนชาวเมืองให้นำของเก่ามาถวายพระบรมธาตุเจดีย์ แล้ววัดก็ต้ังกรรมการลงบัญชีรับไว้
เป็นหลักฐาน จากนนั้ ก็นำออกวางแสดงในพิพธิ ภณั ฑสถานของวัด
12
1.1.5 วิหารโพธลิ์ งั กา
วิหารโพธ์ิลังกา ท่ีได้ชื่อเช่นน้ีก็เพราะ ตรงกลาง
วิหาร มีลานสำหรับปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง
เชือ่ กันว่าพระศรมี หาโพธิ์ต้นน้ีได้พันธ์ุมาจากลงั กา และเรยี กชื่อ
วิหารตามช่ือของต้นพระศรีมหาโพธ์ิจากลังกา ว่า วิหารโพธิ์
ลงั กา วิหารโพธ์ิลังกาอยู่ติดกบั วิหารเซียน คืออยู่ด้านเหนือของ
วิหารเซียนและบรมธาตุเจดีย์ สร้างเป็นแบบสร้างวิหารคด
ปูชนียวัตถุปูชนียสถานท่ัว ๆ ไป คือ เป็นวิหารสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ล้อมรอบพระศรีมหาโพธิ์ กว้างและยาวด้านละ 12 วาเศษ วิหารน้ีได้ขยายเป็นพิพิธภัณฑสถานของวัดสำหรับ
เกบ็ โบราณวตั ถุ จำนวนมากพอสมควร เช่น ศลิ าจารึก เครื่องปนั้ ดนิ เผา
พระพุทธรูปลับแลมุก (ซ่ึงคล่ืนซัดขึ้นมาท่ีอำเภอหัวไทร) ทางอำเภอก่อนนำมาถวาย
วัดพระมหาธาตุ หีบศพเจ้าพระยานคร (ไมม่ ีหลักฐานแน่ชัดว่าของเจ้าพระยานครคนใด) พระพุทธรูป
ปางมารวิชัย ฝีมือสกุลช่างนครศรีธรรมราช ที่อัญเชิญมาจากวัดบูรณาราม (วัดหัวรอ) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
พ.ศ.2455 และพ ระพุ ท ธรูป ทรง เคร่ืองปางห้ามญ าติ ซึ่งเดิมอยู่ท่ี วัดห อไตร ต่อมานำมาไว้ที่
วัดธาราวดี ตำบลนา อำเภอเมือง จังหวัดนครศรธี รรมราช แลว้ อัญเชิญมาประดิษฐานทว่ี ิหารเซียน เมื่อวันท่ี 25
พฤษภาคม 2452 เป็นต้น ที่ประตูของวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเคร่ืองปางประทานอภัยเป็น
พระพุทธรูปประทับยืน พระพุทธรูปองค์น้ีสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เรียกว่า พระพวย เพราะมี
รูนํ้าไหลเหมือนพวยเทออกมาจากฐานบัว แต่เดิมพระพุทธรูปองค์น้ีประดิษฐาน ท่ีวัดโมคลาน อำเภอ
ทา่ ศาลา จังหวดั นครศรธี รรมราช ต่อมายา้ ยไปประดิษฐานท่ีวัดประตหู ลัก อำเภอเมือง จงั หวดั นครศรีธรรมราช
คร้ันสมเด็จเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงเป็นอุปราชมณฑลปักษ์ใต้ ก็
อัญเชิญพระพุทธรูปองค์น้ีมาประดิษฐานท่ีวัดมหาธาตุ เชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้สามารถบันดาลส่ิงที่พึง
ประสงค์ได้หลายอย่าง เช่น บันดาลให้มีบุตร บันดาลให้ของที่หายกลับได้คืน และบันดาลให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย
เป็ น ต้ น ส่ ว น ภ า ย ใน วิ ห า ร ด้ า น ต ะ วั น ต ก เป็ น ท่ี ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น พ ร ะ พุ ท ธ ไส ย า ส น์ อ ง ค์ ให ญ่
องค์หน่ึงขนาดยาว 6 วา พระอุระกว้าง 4 ศอก พระบาทกวา้ ง 1 ศอก 7 น้ิว พระบาทยาว 3 ศอก 10 นวิ้
1.1.6 วหิ ารสามจอม
วิหารสามจอม เล่าสืบต่อกันมาว่า ผู้สร้าง
วิหารน้ีเป็นผู้ชายชื่อ สามจอม โดยสร้างพร้อมกับเจดีย์ใหญ่
(เจดีย์บริวารองค์หน่ึง) ซึ่งอยู่ด้านหลังของวิหาร ดังน้ัน
จึงเรียก ช่ือวิหารตามชื่อของผู้สร้างว่า วิหารสามจอม
วิหารสามจอมอยู่ทางด้านตะวันออกของพระบรมธาตุ ตรงข้าง
ป ร ะ ตู พ ร ะ ร ะ เ บี ย ง ก่ อ น เ ข้ า สู่ วิ ห า ร จ ะ เ ห็ น
รูปป้ันพระธรณกี ำลังบีบมวยผมที่ผนังดา้ นหนา้ ของวิหาร ภายใน
13
วิ ห า ร เ ป็ น ท่ี ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น ข อ ง พ ร ะ พุ ท ธ รู ป
ปูนปั้น เรียกกันว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ซึ่งเช่ือกันว่า เป็นผู้ทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์ เป็นพระพุทธรูป
ปางมารวิชัยมีเครื่องทรงอย่างกษัตริย์โบราณประดับชฎายอดสูง เป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา มาจากช่ือของ
พระพุทธรูป “พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช” บางครั้งชาวนคร เรียกวิหารสามจอมน้ีว่า “วิหารพระเจ้าศรีธรรมา
โศกราช” ด้านหลังของวิหารเป็นซุ้มประตู 3 ช่อง บรรจุพระพุทธรูปปางมารวิชัยและเก็บอัฐิเชื้อพระวงศ์และ
เจ้านายในเชื้อสายของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและตรงซุ้มประตู มีภาพปั้นพระพุทธประวัติตอนทรงตัดเมาฬี
เพ่ือออกบรรพชา
1.1.7 วหิ ารพระแอด
วิหารพระแอด เรียกกันตามชื่อของพระพุทธรูป
ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารหลังน้ี คือพระกัจจายนะ หรือ
พระสังกัจจายน์ หรือพระสุภูตเถระ แต่คนท่ัวไปเรียกกันว่า
พระแอด ดังนั้นวิหารท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปองค์น้ีจึงได้ชื่อ
ว่า “วิหารพระแอด” วิหารน้ีอยู่ต่อกับวิหารสามจอมไปทาง
ด้าน เห นื อ แต่เดิมนั้ นวิห ารพ ระแอดอยู่ภ ายนอกเขต
พระระเบียง ใกล้กับวิหารธรรมศาลา คร้ันพระรัตนธัชมุนี
(คณฺฐาภร เถร- แบน-เปรียญ) เป็นเจ้าอาวาสรัดพระมหาธาตุ
ก็ได้ดำเนินการ บูรณะพระแอดและสร้างวิหารพระแอดขึ้นใหม่ โดยผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุ คือ
พระครูพทุ ธิสาร เจติยาภิวฒั น์ หรือพระพทุ ธสิ ารเถระ (ผุด สุวฑฺฒโน) เป็นผู้อำนวยการ เมอ่ื สร้างเสร็จก็อญั เชิญ
พระแอดข้ึนไปประดิษฐานที่วิหารหลังใหม่มาจนทุกวันน้ี พระแอดเป็นที่เคารพสักการะและเชื่อถือของคน
โดยท่ัวไปมาก ลือกันว่าผู้ใดปวดเอวปวดหลัง ได้นำไม้ไปค้ำยันให้หลังของพระแอด อาการปวดก็จะหาย
ดงั ประสงค์
1.1.8 วหิ ารทับเกษตร
วิห ารทั บเกษ ตร ห รือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า
พระระเบียงตีนธาตุ เบีนระเบียงหรือวิหารที่อยู่ โดยรอบฐาน
องค์พระบรมธาตุเจดีย์ คำว่า “ทับเกษตร” เป็นศัพท์ทาง
สถาปัตยกรรม หมายถึง ผิวพ้ืนบริเวณท่ีใช้เป็นที่ตั้งพระพุทธรูป
หรือนาบบนฐานพระ หรือเรือนซ่ึงเป็นขอบเขต ซ่ึงได้แก่
ระเบียงคด วิหารคด ด้วยเหตุนี้วิหารทับเกษตร จึงได้ซ่ือตามหน้าที่ก็คือ วิหารคด ซึ่งเป็นวิหารแสดงขอบเขต
ข อ ง พ ร ะ บ ร ม ธ า ตุ เ จ ดี ย์ วิ ห า ร ทั บ เ ก ษ ต ร มี ข น า ด ดั ง น้ี คื อ
ยาวเท่ากันท้ัง 4 ด้าน ด้านละ 18 วา 1 ศอก 15 นิ้ว และกว้างก็เท่ากันท้ัง 4 ด้าน ด้านละ 2 วา ในวิหารนี้
มีพระพุทธรูปปนู ป้ันและสำรดิ เรียงราย เป็นระเบยี บเต็มไปหมดทงั้ 4 ดา้ น กล่าวคือ
ดา้ นทศิ เหนอื มีพระพทุ ธรปู ยืน 14 องค์ มพี ระพุทธรูปน่ัง 9 องค์
14
ด้านทศิ ใต้ มีพระพทุ ธรูปยนื 12 องค์ มพี ระพทุ ธรูปน่ัง 9 องค์
ดา้ นทิศตะวันออก มพี ระพุทธรปู ยืน 15 องค์ มีพระพทุ ธรปู นง่ั 9 องค์
ด้านทศิ ตะวันตก มพี ระพุทธรูปยนื 14 องค์ มพี ระพุทธรูปนัง่ 9 องค์
รวมพระพทุ ธรูปทง้ั หมดในวิหารนี้ 91 องค์
พระพุทธรปู เหล่าน้ีสร้างในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ท้ังส้นิ รอบ ๆ ฐานพระบรมธาตุเจดีย์ ทำ
เป็นซุ้ม มีหัวช้างย่ืนออกมาจากฐานพระบรมมาธาตุเจดีย์ ราวกับว่าเป็นขื่อคานรับพระบรมธาตุเจดีย์
ซุ้มเหล่านี้ มีโดยรอบ 22 ซุ้ม (หัวช้าง 22 หัว) ในระหว่างซุ้มหัวช้างแต่ละซุ้ม มีซุ้มเรือนแก้วครอบพระพุทธรูป
ปูนปั้นปางประทานอภัยอยู่สลับกันด้วยรอบฐานพระบรมธาตุเจดีย์จำนวน 25 ซุ้ม สันนิษฐานว่าซมุ้ เหล่านีส้ รา้ ง
สมัยอยุธยา แต่ได้รับอิทธิพลทางศิลปะแบบลพบุรี บางซุ้มมีลักษณะคล้ายของสุโขทัย ทุกด้านในวิหารน้ี
มีธรรมาสน์ สำหรับพระสงฆ์ใช้ในการแสดงพระธรรมเทศนาในวันพระ บนฐานที่ยกพ้ืนขึ้นเป็นช้ันท่ี 2 นั้น
เดินไดโ้ ดยรอบ 3 ดา้ นยาวเทา่ กันทกุ ดา้ น คือ ด้านละ 15 วา 3 นวิ้
1.1.9 วหิ ารคด
วหิ ารคดหรือพระระเบียง หรอื บางทกี ็ เรียกว่า
พระด้าน เดี๋ยวนี้เรียกกันว่า วิหารคด ก็เพราะว่า วิหารน้ี
ส ร้างเป็ น รูป สี่ เห ล่ี ย มผื น ผ้ าล้ อมร อบ บ ริเวณ ภ าย ใน องค์
พระบรมธาตุเจดีย์ การที่สร้างให้หักเป็นมุมน่ีเอง ชาวบ้าน
จึงเรียกว่า วิหารคด ส่วนท่ีเรียกกันว่าพระด้านหรือ
พระระเบียง ก็เพราะว่าเป็นระเบียงขององค์พระบรมธาตุ
เจดีย์ จึงเรียกกันว่าพระระเบียง และท่ีเรียกว่า พระด้าน
ก็เพราะว่าในวิหารหรือระเบียงนี้ เต็มไปด้วยพระพุทธรูปป้ันเรียงเป็นระเบียบ เป็นพระพุทธรูปนั่งเป็นแถวยาว
ตลอดทุกดา้ นของระเบียง จำนวน 173 องค์ พระพุทธรูปเหล่านเ้ี ป็นฝีเมือชา่ งสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ การ
ท่ีมีพระพุทธรูปอยู่รอบด้านของพระบรมธาตุเจดีย์น้ีเองชาวบ้านจึงเรียกกันว่า พระด้าน วิหารนี้มีประตูเพียง 2
ประตูเท่านน้ั ประตูด้านหนา้ และประตูดา้ นหลังอยู่ในตำแหนง่ ทตี่ รงกัน ประตูหน้า มชี ื่อวา่ ประตูเหมรังศรี ข้าง
ประตูมีรูปสิงโตทำด้วยหิน เป็นสิงโตตัวผู้และตัวเมียข้างละตัว หน้าจ่ัวของซุ้มประตูประดับแก้วสีเป็นรูปครุฑ
และนาคยึดเกี่ยวกัน ภายในวิหารด้านเหนือมีโครงกระดูกปลาวาฬตัวโตขนาดยาว 5 วา วางอยู่ในตู้ โครง
กระดูกปลาวาฬนี้เล่ากันว่าได้มาจากปลาวาฬที่ตายแล้วลอยมาเกยหาดท่ีปากน้ำท่าสูง อำเภอท่าศาลา จังหวัด
นครศรีธรรมราช เม่ือเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2452 ประชาชน จึงช่วยกันนำโครงกระดูกมาเก็บที่
พิพิธภัณฑสถานของวัด วิหารนี้ได้รับการซ่อมแซมอยู่เสมอ เมื่อพ.ศ.2513 กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรได้
ดำเนินการซ่อมแซมครั้งล่าสุด การซ่อมแซมในคร้ังน้ันได้เปลี่ยนไม้เครื่องบนทุกตัว จึงดูสวยงามเป็นระเบียบ
มากขน้ึ ผนงั กอ่ อฐิ ซง่ึ เคยคดงอก็ตดั เสียใหม่ ทำฐานบัวเพ่มิ ข้ึนหวั เสาก็ทำใหมต่ ามแบบเดิม อาสนะพระด้านก็ทำ
ให้หนาและกว้างขึ้น และพ้ืนล่างกป็ รบั ระดับให้สูงข้ึน บางส่วนของวิหารนี้เคยใช้เป็นหอสมุดแห่งชาติด้วย โดย
ต้ังเมื่อวนั ท่ี 15 เดอื นตุลาคม พ.ศ.2480 ระยะแรกสุดนั้นต้ังที่วิหารสามจอม พอมหี นังสอื เพิ่มข้ึน ก็ย้ายไปวิหาร
15
ธรรมศาลา วิหารทับเกษตร และวิหารคดตามลำดับ ทุกด้านของวิหารน้ีมีธรรมาสน์ตั้งอยู่เช่นเดียวกับในวิหาร
ทับเกษตร ทั้งนี้ก็เพื่อใช้เป็นที่แสดงธรรมในวันพระ วันโกน ก่อนแสดงธรรมมีชาวบ้านมาสวด (อ่าน) หนังสือ
ก่อนเป็นประจำ จนเกิดเป็นประเพณีขึ้นมาเรียกว่า “สวดด้าน” ดังนั้นประเพณีสวดด้านจึงถือว่าเกิดขึ้น
ทีร่ ะเบยี งน้ี
1.1.10 วหิ ารธรรมศาลา
วิหารธรรมศาลา ท่ีได้เรียกช่ืออย่างน้ีก็เพราะว่า ภายใน
วิหารน้ีมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ มีช่ือว่าพระธรรมศาลา
เป็นพระพุทธองค์ใหญ่ท่ีสุดในวิหารหลังน้ี เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน
ลงรักปิดทอง เป็นศิลปะยุคเดียวกับพระพุทธรูปพระเจ้าศรีธรรมโศกราช
ซึ่งประดิษฐานในวิหารสามจอม วิหารธรรมศาลาอยู่ทางด้านตะวันออก
ของพระบรมธาตุเจดีย์ คือนอกระเบียงคดตรงประตูเยาวราช มีตำนานว่า
พระเถระเหมรังสีเป็นผู้สร้าง ท่ีหน้าวิหารมีพระพุทธรูปพระธนกุมาร
ด้านหลังวิหารมีพระพุทธรูปเจ้าหญิงเหมชาลา พ่ีน้องคู่น้ีเองท่ีกล่าวกันว่า
เป็นผู้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้ามาฝังไว้ ณ หาดทรายแก้ว
อันเป็นที่ตั้งของพระบรมธาตุเจดีย์ทุกวันน้ี พระพุทธรูปสององค์นี้เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูน ลงรักปิดทอง
เป็นพระพุทธรูปประทับยืน ทรงเคร่ืองราชาภรณ์อย่างกษัตริย์โบราณ พระพุทธรูป พระธนกุมารนั้น เป็น
พระพุทธรูปปางประทานอภัย ส่วนพระพุทธรูปนางเหมชาลาเป็น พระพุทธรูป ปางห้ามญาติ ท้ังสององค์มี
ขนาดเดียวกัน ภายในวิหารธรรมศาลาด้านหน้ามีเจดีย์องค์หน่ึงเรียกว่า พระเจดีย์สวรรค์ กล่าวกันว่าพระยา
แก้วสร้างเจดีย์น้ีขึ้นมาเพี่อบรรจุอัฐิของพระยารามราชท้ายน้ำ ผู้ครองเมืองนคร ท่ีตายกลางศึกโจรสลัดเม่ือ
พ.ศ.2181 นอกจากนี้ภายในวิหารยังมีพระพุทธรูปปูนป้ันอีกหลายองค์ ที่หน้าจั่ววิหารธรรมศาลา มีข้อความ
สลักบนกระดานวิหารธรรมศาลา มีข้อความสลักบนกระดานว่า “ได้บูรณะเมื่อวันเสาร์ เดือนย่ี ข้ึน 11 ค่ำ ปี
มะเมีย ฉศก พ.ศ.2437” เป็นท่ีทราบกันว่าผู้บูรณะก็คือพระครูเทพมุนี (ปาน) ซ่ึงเป็นผู้บูรณะ องค์พระธาตุ
นน้ั เอง หลงั จากน้ันใน พ.ศ.2510 ก็ไดม้ กี ารบรู ณะอกี ครง้ั หน่ึงแต่เดิมวิหารธรรมศาลาน้ี เคยใช้เป็นสาขาหอสมุด
แหง่ ชาตจิ ังหวดั นครศรีธรรมราชช่วั คราว ตอ่ มาไดย้ ้ายหอสมุดดงั กล่าวไปท่ีวหิ ารทับเกษตร
1.1.11 พระวิหารหลวง
พระวิหารหลวง ท่ีได้เรียกเช่นน้ีก็เพราะถือกันว่า
วิห ารนี้ เป็ น ขอ งกลางท่ี พุ ท ธศ าส นิ กช น ทุ กห น ทุ กแห่ ง
มีสิทธ์ิใช้ร่วมกัน ในสมัยแรกพระสงฆ์ไม่ได้จำพรรษาท่ี
วัดพระมหาธาตุ แต่จำพรรษาท่ีวัดอื่น ๆ ซ่ึงอยู่รอบรอบ
วัดพระมหาธาตุที่เป็นเช่นน้ีก็เพราะต้องการให้วัดพระมหาธาตุ
เป็นของส่วนกลางจริง ๆ ดังนั้น วิหารซ่ึงมีมาแต่เดิมและ
ใช้ประกอบพิธีสักการะบูชาพระบรมธาตุร่วมกันนี้จึงเรียกกันว่า
16
วิหารหลวง ตอ่ มาได้มีการดดั แปลงวหิ ารหลวงเป็นอโุ บสถ แตผ่ ู้คนก็ยังเรียกว่าวหิ ารหลวงอยู่เชน่ เดิม หาได้เรียก
พระอุโบสถไม่ พระวิหารหลวงอยทู่ างด้านใต้ของพระบรมธาตเุ จดีย์ อยภู่ ายนอกเขตของพระระเบียงคด ถือเป็น
พ ร ะ อุ โ บ ส ถ ข อ ง วั ด พ ร ะ ม ห า ธ า ตุ เ ช่ื อ กั น ว่ า
ในสมัยสุโขทัยพร้อมกับพระบรมธาตุ ชาวลังกาเป็นผู้ก่อสร้างและดูแลรักษาพระวิหารหลวงเป็นอาคารที่มี
ความใหญ่โตและงดงามมาก นบั เปน็ พระอโุ บสถทก่ี ว้างใหญ่ทสี่ ุดในปักษใ์ ต้ มขี ้อท่ีนา่ สนใจ ดงั นี้
1. มีขนาดความยาว 29 วา 1 ศอก 5 น้ิว
2. มขี นาดความสูง 79 วา 10 นิ้ว
3. มขี นาดความสูง 12 วา 3 ศอก
4. มีเสารอบนอก 40 ตน้
5. มเี สาภายใน 24 ตน้
6. มหี ้องระหวา่ งเสา 13 ห้อง
7. มีหน้าตา่ ง 22 ชอ่ ง
8. มีประตดู า้ นหนา้ 33 ชอ่ ง
9. มปี ระตูดา้ นหลงั 22 ชอ่ ง
การวางเสา ยึดแบบท่ีนิยมกันในสมัยอยุธยา คือ ให้ปลายเสาเอนรวบเข้าหากันทำให้ดูสวยงาม
อ่อนช้อย หน้าบันไดด้านหน้าของพระวิหารหลวงแกะสลักไม้เป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เป็นภาพ
แกะสลักที่มีความวิจิตรงดงามเป็นอย่างย่ิง ส่วนหน้าบันไดด้านหลังแกะสลักเป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ
เพดานพระวหิ ารนนั้ เขยี นลายไทยปัดทอง มลี ายดารกาเป็นแฉกงดงามมาก
พระพุทธรูปซ่ึงเป็นพระประธานในวิหารนี้ช่ือว่า พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราชเป็นปางมารวิชัย
ขนาดหน้าตักกว้าง 3 วา 1 ศอก 12 นิ้ว สูง 5 วา ก่ออิฐถือปูนลงรักปัดทอง เป็นพระพุทธรูปที่สร้าง
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หน้าพระประธานมีพระพุทธรูปสาวกขวาและซ้าย คือพระสารีบุตรและ
พระโมคคัลลาน นอกจากน้ียังมี พระพุทธรูปยืนอีกหลายองค์ หลังคาพระวิหารทรงมีช่อฟ้าและใบระกาอย่าง
อุโบสถโดยทั่วไป ตามปกติแล้วพระวิหารหลวงใช้เป็นสถานท่ีประกอบสังฆกรรมอย่างอุโบสถโดยท่ัวไป เช่น ใช้
กระทำอุโบสถของพระสงฆ์ แสดงพระธรรมเทศนา แสดงตนเป็นพุทธมามกะ และประกอบพิธีใน
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นตน้ นอกจากน้ยี ังใช้เปน็ สถานที่ประกอบพระราชพิธี ประกอบพิธสี มโภชพระ
บรมมหาธาตุประจำปีทุก ๆ ปี และใช้ประกอบพิธีทางศาสนาของเมืองนครมาตั้งแต่คร้ังโบราณ
พระวิหารหลวงได้รับการบูรณะหลายครั้ง ในสมัยกรุงศรอี ยุธยาได้มีการซ่อมแซม และขยายพระวิหารหลวงให้
กว้างออกไปกว่าเดิม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิสังขรณ์ พระวิหารหลวงครั้ง
ใหญ่ใน พ.ศ.2515 รัฐบาลก็ดำเนินการปฏิสังขรณ์พระวิห ารหลวงและครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ.2517
มกี ารบูรณะพระวหิ ารหลวงอกี เมือ่ วนั ท่ี 26 สิงหาคม 2517 พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ภูมิพลอดลุ ยเดชและ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงยกช่อฟ้าพระวิหารหลวง
พระวิหารหลวงนับเป็นพระวิหารท่ีงดงามมาก เมื่อในการสร้างแสดงออกถึงความเจริญทางศิลปะเชิงช่างเป็น
17
อย่างดี หากจะหาส่ิงก่อสร้างประเภทโบสถ์หรือวิหารสมัยใหม่มาเทียบกับพระวิหารหลวงในแง่ความประณีต
สวยงามและมีศิลปะกันแล้วคงจะหาท่ีไหนมาเทียบไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะการวางเสาซ่ึงอาศัยศิลปะแบบ
อยุธยาตอนต้นน้ันหาดูได้ยากยิ่ง พระวิหารที่มีความเก่าแก่ควบคู่มากับพระบรมธาตุเจดีย์แห่งน้ี จึงเป็นโบราณ
สถานท่ีควรแก่การหวงแหนและบำรุงรักษาเปน็ อยา่ งย่งิ
1.1.12 วหิ ารโพธพ์ิ ระเดมิ
วิหารโพธิ์พระเดิมน้ีอยู่ทางตอนสุดอาณาเขต
ของวัดพระมหาธาตุ ทางด้านเหนือของพระบรมธาตุเป็นวัด
ที่สร้างหลังวัดพระมหาธาตุไม่นานนัก เรียกว่าวัดพระเดิม
ในวัดน้ีมีวิหารแบบเดียวกับวิหารโพธิ์ลังกาภายในบริเวณ
พระบรมมาธาตุทุกประการ ทั้งพระพุทธรูปและต้นโพธิ์
ทั้งยังเช่ือกันว่าโพธิ์ต้นนี้ได้มาจากลังกาเช่นกัน สำหรับต้น
โพธิ์ต้นนี้ทั้งขนาดและลักษณะก็เห็นว่าน่าจะมาสู่ประเทศ
ไทยสมัยเดียวกับต้นพระศรีมหาโพธิ์อยู่ท่ีวิหารโพธิ์ลังกาจริง ๆ ปัจจุบันน้ีวัดพระเดิมได้ยุบรวมเข้ากับวัดพระ
มหาธาตุและได้สร้างกฏุ ขิ องพระภกิ ษุสงฆว์ ดั พระมหาธาตุไว้ในบริเวณทีเ่ ปน็ วดั พระเดิมมาแตโ่ บราณ
1.1.13 พระพุทธบาทจำลอง
พระพุทธบาทจำลองประดิษฐานในมณฑลบนเนินสูง อยู่ทางด้านเหนือของพระบรมธาตุ
นอกวิหารคด พระพุทธบาทน้ีเป็นแผ่นหินสลักพระพุทธบาทจำลอง หินท่ีนำมาแกะสลักพระพุทธบาท
แต่เดิมเป็นของเจ้าพระยาสุรธรรมมนตรี (พร้อม) ขนาดยาว 74 นิ้ว กว้าง 44 น้ิว พระพุทธบาทจำลองนี้สร้าง
เมอื่ วนั ท่ี 1 มกราคม 2450 ผู้สร้าง คือพระรตั นธัชมุนี (รตนธชเถร-ม่วง เปรยี ญ) เมอื่ ครั้งดำรงสมณศักด์ิท่ีพระศิ
รธิ รรมมุนีโดยรว่ มกบั พระครูกาแก้ว (สี) พระยารณชัยชาญยุทธ (ถนอม บุญยเกตุ) สมัยที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระ
ยาตรังภูมาภิบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด นครศรีธรรมราช ตรงเชิงบันไดขึ้นมณฑปพระพุทธบาททางด้าน
ตะวันออกมีซุ้มคล้ายถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง เป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยหินลงรักปิดทองช่ือว่า
พระบุญมาก ขนาดหน้าตักกว้าง 3 ศอก 3 นิ้ว สูง 1 วา 12 นิ้ว เชื่อกันว่ามีความศักด์ิสิทธิ์มากสามารถที่จะ
บันดาลบตุ รให้แก่ผทู้ ไ่ี ปขอได้
1.1.14 ศาลาศรพี ุทธิศาล
ศาลาศรีพุทธิสาร สรา้ งทางด้านใต้ของพระวิหารหลวง ติดกับถนนหลังวัดพระมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ.
2506 ผู้สร้างคือพระพุทธิสารเถร (ผุด สุวฑฺฒโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส ศาลาหลังน้ีสร้างเพ่ือใช้เป็นท่ีพักของ
พระสงฆ์ อาคันตุกะและพระพุทธศาสนิกชนที่มาสักการะพระบรมธาตุ สร้างเป็นอาคาร 2 ชั้น ขนาดกว้าง 11
เมตร ยาว 18 เมตร ตอ่ มขุ ทางดา้ นหนา้ 4 เมตร มหี ้องพัก 30 ห้องหลังคาเป็นแบบทรงไทย
18
1.1.15 ประตวู ัด (5 ประตู)
ประตูเขา้ วดั พระมหาธาตทุ างดา้ นหน้าน้ันมอี ยู่ 3 ประตู
ประตูกลางท่ีตรงกับวิหารธรรมศาลา เรียกว่า ประตูเยาวราช เม่ือ
พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเว้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น
ดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร
ได้เสด็จประพาสนครศรีธรรมราช และเสด็จวัดพระมหาธาตุด้วย ใน
การเสด็จครั้งนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างประตูกลางของวัด
พระมหาธาตุ เป็นซุ้ม ก่ออิฐถือปูน เป็นซุ้มประตูขนาดใหญ่ มีลาย
ปูนป้ันประดับจารึกปีท่ีสร้างคือ ร.ศ.128 มีซุ้มทิศด้วยยอดของซุ้ม
ประตูเป็นแบบพระมหามงกุฎ และพระราชทานนามว่าประตูเยาวราช ต่อมาได้มีการทำซุ้มประตูท่ีเหลืออีก 2
ป ร ะ ตู ด้ ว ย พ ร ะ รั ต น ธั ช มุ นี ( ค ณฺ ฐ า ภ ร โ ณ เ ถ ร -แ บ น เ ป รี ย ญ )
เจ้าอาวาสเป็นประธานอำนวยการ โดยความช่วยเหลือของพระภัทร ธรรมธาดา (โสภิโต) เป็นช่าง
พระภัทรมุขนี (กนฺตสีโล) พลตำรวจตรี ขุนพันธรักษ์ราชเดช และนายซุบ ไชยคีรี เป็นผู้วัดหาทุนสร้างประตู
ทางเหนอื และใตข้ องประตเู ยาวราช อีก 2 ประตู แต่ไม่มีการตง้ั ชือ่ ประตูท่สี รา้ งขึ้น
1.2 หอพระพุทธสิหงิ ค์
หอพระพทุ ธสิหิงค์ พระพุทธสิหงิ ค์ จงั หวดั นครศรธี รรมราช
หอพระพุทธสิหิงค์ ต้ังอยู่บริเวณศาลากลางวังหวัดนครศรีธรรมราช ภายในประดิษฐานพระพุทธ
สิหิงค์ พระพุทธรูป ศักสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระพุทธสิหิง ค์
เป็นพระพุทธรูปสำริด ประทับน่ังขัดสมาธิเพชร ปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 32 เซนติเมตร สูง 52 เซนติเมตร
พระวรกายกลมป้อม พระอุระนูนมาก พระเศียรและพระหัตถ์กลม เส้นพระศกใหญ่ไม่มีพระศก พระหนุและ
19
พระนาสิกยื่นเล็กน้อย ชายสังฆาฏสิ ั้นเป็นแบบเขย้ี วตะขาบ แต่มีรวิ้ ผ้าทับซ้อนกนั มาก ฐานเตี้ยเรียบไม่มีบัวรอง
สว่ นท่ีเปน็ ฐานบวั เพิง่ มาทำในสมัยรชั กาลที่ 5
ตามตำนานได้กล่าวว่า ได้พระพุทธสิหิงค์มาจากลังกา พระเจ้ากรุงลังกาพระราชทานมาให้
พร้อมกับส่งสมณทูตมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ท่ีเมืองนครศรีธรรมราช บางตำนานว่า พระ
เจ้ากรุงสุโขทัยโปรดเกล้าฯ ให้พระยานครศรีธรรมราชแต่งทูตไปขอจากพระเจ้ากรุงลังกา บางตำนานว่า พระ
เจ้าศรีธรรมโศกราช จันทรภาณุ ยกทัพไปตีลังกาได้พระพุทธสิหิงค์มา บางตำนานว่า ลอยนํ้าทะเล
มาขน้ึ ฝังท่ีอา่ วหน้าเมืองนครศรธี รรมราช
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุ พันธุวงศ์วรเดช เสด็จประพาสเมือง
นครศรีธรรมราช เมื่อปวี อก พ.ศ.2427 ทรงบรรยายหอพระสิหิงค์ไวว้ ่า ถัดโรงพิธีไปข้างมุมบ้านตะวันตกเฉียงใต้
มีหอพระสยิง (พระพุทธสิหิงค์) เป็นตึกมุงกระเบ้ืองหลังคามีช่อฟ้าใบระกา 3 ห้อง เฉลียงรอบ ชื่อ
8 ศอก องศ์พระสยิงน้ันประดิษฐานอยู่ในตู้ไม้พระทองประสม หน้าตัก 16 น้ิว ขัดสมาธิเพชร และมี
พระจำลองพระสยิงเล็ก ๆ 2 องค์ หน้าตักประมาณ 10 น้ิว 12 นิ้ว และมีพระทองเหลืองโบราณน่ังขัดสมาธิ
เพชรอีก 2 องค์ หน้าตักประมาณ 12 นิ้ว 14 น้ิว หลังตู้พระสยิงนั้น มีพระทรงเครื่องยืนห้ามสมุทร
หุ้มทองคำประดับพลอยกเครื่องทองลงยาเป็นพระเท่าตัวสำหรับเจ้าพระยานครเฒ่า(หมายถึง พระยานครฯ
พัฒน์) และมีพระพุทธรูปยืนหุ้มทอง 1 องค์ หุ้มเงิน 1 องค์ อยู่สองข้างพระทรงเคร่ืองนั้น เป็นของเจ้าพระยา
นครเฒ่า สร้างไว้ท่ีหน้าตู้พระสยิง มีพระพุทธรูปยืนปิดทอง 2 องค์ เป็นพระเท่าตัวพระยานคร(น้อยกลาง) กับ
ภรรยา และมีพระยืนเท่าตัวของพ่ีน้องวงศ์ญาติอีก 5 องค์ และมีพระเงินน่ังมีฉัตรเล็ก ๆ หน้าตัก ประมาณ 5
นิ้ว ต้ังอยู่บนม้า 4 เหลี่ยมอีก 40 องค์ ทำนองเหมือนพระชนมพรรษา แต่ว่าถามไม่ได้ความ ท่ีมุมโบสถ์หลัง
พระสยิงมีพระน่ังเป็นศิลาขาว 2 องค์ ใหญ่ 1 เล็ก 1 และมีตู้ไม้ใส่รูปพระนารายณ์ทองเหลือง รูปประมาณคืบ
เศ ษ ส ำ ห รั บ เ ชิ ญ ไ ป ท ำ พิ ธี ไ ส ย ศ า ส ต ร์ ต่ า ง ๆ ท่ี เ ท ว ส ถ า น ข้ า ง ห ลั ง ห อ พ ร ะ ส ยิ ง
มีเรือนมุงจาก หลัง 1 สำหรับพวกข้าพระ หลัง 1 (ภาณุพันธ์ธุวงค์วรเดช, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า
กรมพระยา.250 : 120 - 121)
ประทุม ช่มุ เพ็งพันธ์ ผู้เชย่ี วชาญทางด้านโบราณคดีท่านหนึ่ง กล่าวไว้ในเรื่อง“พระพุทธสิหงิ ค์” พิมพ์
ในหนังสือรายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์ นครศรีธรรมราช คร้ังที่ 2 ว่า ตำนานเร่ืองพระพุทธสิหิงค์น้ีทาง
ลังกาไม่เคยมีการกล่าวถึงเลย แม้จะเป็นต้นตำรับทางพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์ท่ีถ่ายทอดแบบอย่างให้แก่ไทย
โด ย ต ร ง พ ร ะ พุ ท ธ สิ หิ งค์ นั บ เป็ น พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ส กุ ล ช่ างพ้ื น เมื อ งน ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช โด ย แ ท้
เป็นเอกลักษณ์ของตนเองโดยเฉพาะ แม้จะได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากลังกาและศิลปะคร้ังราชวงศ์ปาละ
จากอนิ เดียผสมกัน แต่นับไดว้ า่ เป็นสกลุ ชา่ งทส่ี ำคญั แบบหนงึ่ ของนครศรธี รรมราช
มีข้อสังเกตประการหนึ่ง โลหะส่วนประสมทีห่ ล่อพระพุทธสิหิงค์องค์ต้นแบบจะออกสีแดงเรื่อๆ คลา้ ย
นาก ผิวโลหะสุกปล่ังเป็นมันแววอยู่เสมอเป็นพิเศษกว่าทุกองค์ กล่าวคือพระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราช
รุ่นหลงั ๆ ซึ่งหล่อข้ึนในสมัยอยุธยา มักมสี ่วนผสมของทองเหลืองอยมู่ ากจนเห็นได้ชดั ดังนั้น น่าเชือ่ ว่าพระพุทธ
สิหิงค์ องค์ต้นแบบในหอพระพุทธสิหิงค์มีอายุเก่าแก่กว่าเพ่ือน หรือหล่อข้นึ ในสมัยสุโขทัยตามตำนาน มีอายุใน