การวัดผลและประเมนิ ผลการศึกษา
Educational Measurement and Evaluation
(ฉบบั ปรับปรงุ )
สิรินทร์นิชา ปญั จอริยะกลุ
กศ.ด. (การวจิ ยั และประเมนิ ผลการศึกษา)
ภาควิชาเทคนิคการศกึ ษา
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชยี งใหม่
พ.ศ. 2563
ISBN 978-616-7669-69-4
การวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษา
Educational Measurement and Evaluation (ฉบบั ปรับปรุง)
สิรินทรน์ ิชา ปัญจอริยะกุล
ปที พี่ มิ พ์ มิถุนายน 2563, พมิ พ์ครงั้ ที่ 1
จานวนพมิ พ์ 200 เลม่
ข้อมูลทางบรรณานกุ รมของสานกั หอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
สิรนิ ทร์นิชา ปัญจอรยิ ะกลุ .
การวัดผลและประเมนิ ผลการศึกษา.-- เชียงใหม่ : ส.อนิ ฟอรเ์ มชนั่ เทคโนโลย,ี 2563. 383 หน้า.
1. การวดั ผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา. I. ชอื่ เรื่อง.
ISBN 978-616-7669-69-4
พมิ พท์ ่ี :
บรษิ ัท ส.อนิ ฟอรเ์ มชนั่ เทคโนโลยี จากดั
6/8 ถ.หมืน่ ด้ามพรา้ คต ต.ชา้ งเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50300
โทร 053-214405
(1)
คำนำ
(ปรับปรงุ )
การวัดผลและประเมินผลการศึกษา ER 2103 (Educational Measurement and Evaluation)
เป็นรายวชิ าชพี ครบู งั คบั รายวชิ าหนงึ่ ในสาขาวชิ าการศึกษา ตามหลกั สูตรระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัย
ราชภฏั เชียงใหม่ ซ่งึ เปน็ ความรู้ทจ่ี าเป็นอยา่ งยง่ิ สาหรับผู้เป็นครู นอกจากจะทาหน้าท่ีในการสั่งสอน
ถ่ายทอดวิชาความรูเ้ ป็นหลกั แลว้ การวดั ความรู้ผูเ้ รยี นได้เรยี นรไู้ ปเป็นสงิ่ ทจ่ี าเป็น เพอ่ื ที่จะได้ทราบว่า
การเรยี นการสอนน้นั ๆ บรรลุตามจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนท่ีต้องการหรอื ไม่
ตาราการวัดผลและประเมนิ ผลการศึกษานี้ ผู้เขียนไดศ้ กึ ษาค้นคว้าเนื้อหาท่ีมีความเกยี่ วขอ้ ง
และได้นามาเรยี บเรยี งสาระจานวนท้งั หมด 9 บท ประกอบดว้ ย 1. ความรู้พนื้ ฐานเกย่ี วกับหลกั การวัดผล
และประเมนิ ผลการศึกษา 2. พฤตกิ รรมของการศกึ ษา 3. เคร่ืองมือและวิธีการท่ีใช้ในการวัดผลและ
ประเมนิ ผลการศกึ ษา 4. เทคนิคการวัดผลและประเมินผลการศึกษา 5. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน 6. สถติ เิ บื้องตน้ ท่ีใช้ในการวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษา 7. การหาคุณภาพแบบทดสอบ
8. คะแนน การตัดเกรด และการแปลความหมายของคะแนน 9. การบริหารการสอบ และปัญหาท่ี
เก่ยี วข้องกับการวัดผลและประเมนิ ผล
ถ้าตารานี้จะมีประโยชน์ใด ๆ เกิดข้ึนในทางวิชาการ ผู้เขียนขอให้ประโยชน์น้ันเป็นกุศลบุญ
แกผ่ มู้ ีพระคุณทุกท่าน หากมีข้อเสนอแนะใด ๆ จากผู้ศึกษาเอกสารนี้ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้เพื่อการ
ปรบั ปรุงใหส้ มบรู ณย์ ง่ิ ข้ึนในโอกาสต่อไป ดว้ ยความขอบคณุ ยิ่ง
สริ นิ ทรน์ ิชา ปัญจอริยะกลุ
มิถนุ ายน 2563
(2)
คำนำ
การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา ER 2013 (Educational Measurement and Evaluation)
เปน็ รายวชิ าชพี ครูบงั คบั รายวชิ าหนงึ่ ในสาขาวิชาการศึกษา ตามหลักสูตรระดับปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลัย
ราชภฏั เชียงใหม่ ซ่งึ เปน็ ความรู้ท่ีจาเปน็ อยา่ งยิง่ สาหรับผู้เป็นครู นอกจากจะทาหน้าที่ในการสั่งสอน
ถ่ายทอดวิชาความรเู้ ปน็ หลักแลว้ การวัดความร้ผู เู้ รียนไดเ้ รยี นรูไ้ ปเปน็ สง่ิ ทจ่ี าเปน็ เพ่อื ทจ่ี ะได้ทราบว่า
การเรยี นการสอนนน้ั ๆ บรรลตุ ามจดุ มุ่งหมายการเรยี นการสอนท่ตี อ้ งการหรอื ไม่
ตาราการวัดและประเมินผลการศึกษานี้ ผู้เขียนได้ศึกษาค้นคว้าเน้ือหาท่ีมีความเกี่ยวข้อง
และได้นามาเรียบเรียงสาระจานวนทง้ั หมด 8 บท ประกอบด้วย 1. ความรพู้ นื้ ฐานเกีย่ วกบั หลักการวดั
และประเมนิ ผลการศึกษา 2. พฤตกิ รรมของการศกึ ษา 3. เคร่ืองมือวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ 4. แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5. การหาคุณภาพแบบทดสอบ 6. สถิติพื้นฐานที่ใช้สาหรับการวัดและ
ประเมินผลการศึกษา 7. คะแนน การตัดเกรด และการแปลความหมายของคะแนน 8. การบริหาร
การสอบและปัญหาเกย่ี วข้องกับการวดั และประเมินผล
ถา้ ตาราน้ีจะมีประโยชน์ใด ๆ เกิดข้ึนในทางวิชาการ ผู้เขียนขอให้ประโยชน์นั้นเป็นกุศลบุญ
แกผ่ ูม้ พี ระคุณทุกท่าน หากมีข้อเสนอแนะใด ๆ จากผู้ศึกษาเอกสารนี้ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้เพื่อการ
ปรับปรุงใหส้ มบูรณ์ย่งิ ข้ึนในโอกาสต่อไป ดว้ ยความขอบคณุ ย่งิ
เสาวภา ปญั จอรยิ ะกลุ
มถิ ุนายน 2560
(3)
สารบัญ หนา้
คานา (ปรับปรงุ ).............................................................................................................. (1)
คานา................................................................................................................................ (2)
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………. (3)
สารบัญตาราง……………………………………………………………………………………………………… (7)
สารบัญภาพ………………………………………………………………………………………………………… (9)
บทท่ี 1 ความรู้พื้นฐานเก่ียวกบั หลักการวดั ผลและประเมนิ ผลการศึกษา…………………… 1
ความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมนิ ผล………………………………. 1
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการสอนและการประเมนิ ผล………………..…………………………. 5
ความมุ่งหมายของการวัดผลและประเมนิ ผล……………………………………..……………. 6
ปรัชญาของการวัดผลการศกึ ษา…………………………………………………………….………. 7
ธรรมชาตขิ องการวัดผลและประเมินผล……………………………………………………….… 8
หลักการวัดผลและการประเมนิ ผล……………………………….…….…………………………. 10
ประเภทของการวดั ผลและการประเมนิ ผล………………………………………………………. 11
ประโยชน์ของการวัดผลและประเมนิ ผล……………………………………….…………………. 17
คณุ ธรรมของนักวัดผลและประเมนิ ผล……………………………………………………………. 19
สรปุ ……………………………….……………………………….…………………………………….……. 19
คาถามทา้ ยบท……………………………….……………………………….…………………………… 20
เอกสารอ้างองิ ........................................................................................................... 21
บทท่ี 2 พฤติกรรมของการศกึ ษา…………………………………………………………………………… 23
การจาแนกพฤติกรรมของการศกึ ษา……………………………………………………………….. 23
พฤติกรรมดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย………………………………………………………………………… 23
พฤติกรรมดา้ นจิตพสิ ัย………………………………………………………………............... 28
พฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ัย……………………………………………………………….......... 32
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างพฤติกรรมของการศึกษากับการประเมนิ ผล……………………… 36
จดุ มุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม……………………………………………………………….......... 36
ประเภทของจดุ มุ่งหมายการศกึ ษา………………………………………………………….. 40
ประโยชน์ของจุดมงุ่ หมายเชิงพฤตกิ รรม…………………………………………………… 43
พฤติกรรมและลักษณะคากรยิ าท่รี ะบุถึงการแสดงออก……………………………………… 43
พฤติกรรมด้านพุทธพิ สิ ยั แนวใหม…่ …………………………………………………………………. 52
การเขยี นจุดประสงคก์ ารเรียนร…ู้ …………………………………………………………………… 57
สรปุ ……………………………………………………………………………………………………………. 60
คาถามท้ายบท…………………………………………………………………………………………….. 61
เอกสารอา้ งอิง........................................................................................................... 63
(4)
สารบัญ (ต่อ)
บทที่ 3 เคร่อื งมือและวธิ ีการท่ใี ชใ้ นการวัดผลและประเมนิ ผลการศึกษา.......................... หน้า
แบบทดสอบ…………………………………………………………………………………………………
การสงั เกต…………………………………………………………………………………………………… 65
แบบสอบถาม……………………………………………………………………………….……………… 65
การสมั ภาษณ์………………………………………………………………………………………….…… 68
แบบวดั สถานการณ์……...……………………………………………………..………………….…… 73
สังคมมิต…ิ …………………………………………………………………………………………………… 80
แบบตรวจสอบรายการ…………………………………………………………………………………. 83
มาตราส่วนประมาณคา่ …………………………………………………………………………………. 86
สรปุ ……………………………………………………………………………………………………………. 90
คาถามทา้ ยบท…………………………………………………………………………………………….. 91
เอกสารอ้างอิง...................................................................................................... ..... 96
96
บทที่ 4 เทคนิคการวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษา…………………………………………………. 97
การจดั ลาดบั คณุ ภาพ................................................................................................
การประเมินจากการปฏบิ ัติ....................................................................................... 99
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ....................................................................................... 99
การประเมินจากแฟม้ สะสมงาน................................................................................ 105
เกณฑ์การประเมิน.................................................................................................... 115
สรปุ ……………………………………………………………………………………………………………. 122
คาถามทา้ ยบท…………………………………………………………………………………………….. 134
เอกสารอา้ งอิง........................................................................................................... 140
140
บทท่ี 5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น……………………………………………………… 141
ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น…………………………………….
ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน………………………………………… 143
จุดมุ่งหมายของการใชแ้ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน………………….……….. 143
ขน้ั ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน………………………..………… 144
หลักการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น………………………………….…… 145
การเขยี นขอ้ สอบวัดพฤตกิ รรมดา้ นพุทธิพสิ ัย…………………………………………………… 147
การเขียนขอ้ สอบดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั แนวใหม่.................................................................. 152
สรปุ ……………………………………………………………………………………………………………. 153
คาถามท้ายบท…………………………………………………………………………………………….. 167
เอกสารอา้ งอิง........................................................................................................... 172
173
173
(5)
สารบญั (ต่อ)
บทที่ 6 สถิติเบอื้ งต้นท่ใี ช้ในการวัดผลและประเมินผลการศึกษา………………………………… หนา้
ระดับของการวดั …………………………………………………………………………………………..
สถติ ิท่ีใชใ้ นการวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษา……………………….……………………… 175
ความหมาย………………………………………………..………………………………………… 175
ประเภทของสถติ ิ………………………………………………………………………………….. 178
การแจกแจงความถ…่ี ……………………………………………………………………………………. 178
การวดั แนวโนม้ เขา้ สสู่ ว่ นกลาง……………………………………………………………………….. 179
การวดั การกระจาย……………………………………………………………………………………….. 179
การเปรียบเทียบตาแหนง่ ………………………………………………………………………………. 182
การแจกแจงปกต…ิ ……………………………………………………………………..………………… 192
สหสมั พนั ธ…์ ………………………………………………………………………………………………… 200
สรปุ ……………………………………………………………………………………………………………. 204
คาถามท้ายบท……………………………………………………………………………………………… 206
เอกสารอ้างองิ ........................................................................................................... 211
211
บทที่ 7 การหาคุณภาพแบบทดสอบ………………………………………………………………………. 213
ลกั ษณะของเครอื่ งมอื วดั ผลทีด่ …ี ……………………………………………………………………
วธิ กี ารตรวจสอบคณุ ภาพแบบทดสอบ…………………………………………………………….. 215
การวิเคราะหข์ ้อสอบเป็นรายข้อ…………………………………………………………………….. 215
การวิเคราะหข์ ้อสอบเปน็ รายข้อแบบอิงกลมุ่ ………………………………….………… 218
การวิเคราะหข์ ้อสอบเป็นรายข้อแบบองิ เกณฑ์………………………………………….. 218
การวิเคราะหข์ ้อสอบทัง้ ฉบบั ……………………………………………………………….…………. 218
การหาความเทยี่ งตรงของแบบทดสอบ............................................................ 230
การหาความเทยี่ งตรงของแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม…………………………….. 234
การหาความเที่ยงตรงของแบบทดสอบแบบองิ เกณฑ…์ ………………………… 234
การหาความเชอ่ื มน่ั แบบของทดสอบ................................................................ 234
การหาความเช่อื มน่ั ของแบบทดสอบแบบองิ กลมุ่ ………………………………… 237
การหาความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบแบบองิ เกณฑ…์ …………………………... 240
การวิเคราะห์ข้อสอบแบบอตั นยั ............................................................................... 240
ความคลาดเคลอ่ื นมาตรฐานในการวดั …………………………………………………………..… 249
สรปุ ………………………………………………………………………………………………………….… 252
คาถามท้ายบท……………………………………………………………………………………………… 257
เอกสารอ้างองิ ........................................................................................................... 259
260
263
(6)
สารบญั (ตอ่ )
บทท่ี 8 คะแนน การตดั เกรด และการแปลความหมายของคะแนน……………………………. หน้า
ความหมายและประเภทของคะแนน…………………………………….…………………………
ธรรมชาติของคะแนนดิบ……………………………………………………………..………………… 265
แนวคดิ เกย่ี วกับคะแนนมาตรฐาน…………………………………………………………………… 265
คะแนนมาตรฐาน Z และ T…………………………………………………………………………… 266
คะแนนมาตรฐาน T – ปกต…ิ ………………………………………………………………………… 267
การตัดเกรด…………………………………………………………………….…………………………… 267
สรปุ ………………………………………………………………………….………………………………… 272
คาถามท้ายบท……………………………………………………………………………………………… 276
เอกสารอ้างองิ ........................................................................................................... 283
283
บทที่ 9 การบริหารการสอบ และปญั หาเก่ยี วข้องกบั การวดั ผลและประเมินผล……………. 284
ความสาคญั ของการบรหิ ารการสอบ………………………………………………………………..
หลกั การและกระบวนการบริหารการสอบ……………………………………………………….. 285
การเตรียมการก่อนสอบ………………………………………………………………………………… 285
การดาเนนิ การสอบ…………………………………………………………………….………………… 285
การนาผลการสอบไปใช…้ ……………………………………………………………………………… 286
ปญั หาเกีย่ วข้องกบั การวดั ผลและประเมนิ ผล…………………………………………………… 290
การนาผลการวดั ผลและประเมนิ ไปใช้ในการพฒั นาทางการศกึ ษา........................... 292
สรปุ ……………………………………………………………………………………………………….…… 293
คาถามทา้ ยบท……………………………………………………………………………………………… 301
เอกสารอา้ งองิ ........................................................................................................... 307
307
บรรณานุกรม.................................................................................................................... 307
ภาคผนวก........................................................................................................................ 309
315
การวัดและประเมนิ ผลการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน
พทุ ธศักราช 2551 และในศตวรรษที่ 21........................................................ 317
บญั ชตี ารางวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อของ Chung Teh – Fan…………………… 353
ประวัตผิ ู้เขียน................................................................................................................... 383
(7)
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1.1 การเปรียบเทียบความแตกตา่ งระหว่างการวดั ผลและประเมินผล............................ 5
1.2 ความคลา้ ยคลึงและความแตกตา่ งระหว่างการประเมินผลกอ่ นเรยี น
12
การประเมินผลระหว่างเรียน และการประเมนิ ผลหลงั เรยี น.....................................
1.3 การเปรียบเทยี บความแตกต่างระหวา่ งการประเมินผลแบบอิงกลมุ่ และ 15
29
การประเมนิ ผลแบบอิงเกณฑ์.................................................................................... 38
2.1 แนวคิดการจัดจาแนกระดับความรูส้ กึ ตามแนวคดิ ของแครทโรลและคณะ…………… 40
2.2 คากรยิ าทีบ่ ่งการกระทาและคากรยิ าท่ไี มบ่ ่งการกระทา........................................... 44
2.3 แสดงจุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมท่ีมสี ่วนประกอบครบทง้ั 3 สว่ น............................... 46
2.4 พฤตกิ รรม คากรยิ า และคาขยายพฤติกรมดา้ นพุทธิพสิ ยั ......................................... 48
2.5 พฤติกรรม ลกั ษณะพฤติกรรม และคากรยิ าพฤตกิ รรมดา้ นจิตพิสัย......................... 49
2.6 พฤตกิ รรม และคากริยาพฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ยั ตามทฤษฎีของดาเว่ (Dave’).....
2.7 พฤติกรรม และคากริยาพฤติกรรมดา้ นทกั ษะพิสัยตามทฤษฎขี องคบิ เบอร์ (Kibler) 50
2.8 แสดงส่ิงที่ต้องการวัดและพฤตกิ รรมทสี่ งั เกตไดข้ องพฤตกิ รรมด้านพุทธพิ สิ ัย 52
54
จติ พิสัย และทักษะพสิ ยั ............................................................................................
2.9 การเปรยี บเทยี บกระบวนการทางปญั ญาทใี่ ช้คาศพั ทเ์ ดมิ และคาศพั ท์ใหม่…………… 57
2.10 คาสาคัญและพฤตกิ รรมของกระบวนการทางปญั ญา 6 ข้ัน……………………………… 100
2.11 แสดงการนาจดุ ประสงคก์ ารเรียนรูไ้ ปใช้ในมิตดิ า้ นความรแู้ ละมิตกิ ระบวนการ 102
103
ทางปัญญา............................................................................................................. 103
4.1 บญั ชีสาหรบั แปลงอนั ดบั คุณภาพใหเ้ ปน็ คะแนน จากคะแนนเตม็ รอ้ ย..................... 104
4.2 แสดงผลการใหค้ ะแนนโดยตรงทุกลกั ษณะของครผู สู้ อน.......................................... 104
4.3 แสดงผลการจัดอนั ดับของกรรมการเป็นรายบคุ คล.................................................. 105
4.4 แสดงผลการจดั อันดบั ในรปู ของความถี่.................................................................... 131
4.5 แสดงนา้ หนักคะแนนและผลการตัดสนิ ..................................................................... 132
4.6 แสดงแบบฟอรม์ การจดั ตง้ั อนั ดับคณุ ภาพเมอ่ื มหี ลายลกั ษณะ.................................. 136
4.7 แสดงแบบฟอรม์ การตัดสินรวมทุกลกั ษณะ............................................................... 137
4.8 ตวั อยา่ งเกณฑ์การประเมินช้ินงาน............................................................................ 148
4.9 ตวั อยา่ งเกณฑก์ ารประเมิน (Rubric score) แฟม้ สะสมงาน.................................... 149
4.10 ตวั อย่างเกณฑ์การประเมินแบบแยกประเดน็ สาหรบั การประเมินการเขยี นเรือ่ ง.....
4.11 ตวั อย่างเกณฑก์ ารประเมนิ แบบภาพรวมสาหรบั การประเมนิ การเขียนเรียงความ...
5.1 ตัวอยา่ งตารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตร..............................................................................
5.2 เน้อื หาและจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม........................................................................
(8)
สารบัญตาราง (ตอ่ )
ตารางที่ หนา้
5.3 การวิเคราะหห์ ลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรูค้ ณิตศาสตร์ สาระท่ี 1 จานวนและ 149
การดาเนินการ มาตรฐาน ค 1.1 เขา้ ใจถงึ ความหลากหลายของการแสดงจานวน 150
และการใชจ้ านวนในชวี ติ จริง.................................................................................... 164
177
5.4 น้าหนักและความสาคญั ของจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมและระดบั พฤตกิ รรมพุทธิพิสัย.. 177
5.5 การเปรียบเทียบข้อดีและขอ้ เสียของแบบทดสอบเลือกตอบ.................................... 180
6.1 คณุ สมบัติของมาตรการวัด........................................................................................ 181
6.2 ลักษณะสาคญั ตวั อย่างการวัด ตวั อย่างสถิติท่ีใช้ และแบบของการทดสอบ............ 183
6.3 การแจกแจงความถ่ีแบบไม่จดั กลมุ่ ของคะแนนการสอบวชิ าคณิตศาสตร์…………….. 184
6.4 การแจกแจงความถ่แี บบจดั กลมุ่ ของคะแนนการสอบวชิ าคณติ ศาสตร์…………………
6.5 ค่าเฉล่ยี ผลการสอบวิชาภาษาไทยของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2…………………… 186
6.6 คา่ เฉลีย่ ผลการสอบวิชาคณติ ศาสตรข์ องนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2....................
6.7 ผลจากการหาคา่ มัธยฐานของการสอบวิชาวิทยาศาสตรข์ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา 187
200
ปีท่ี 2 แบบไม่จัดกลุม่ …………………………………………………………….……………......…… 202
6.8 ผลจากการหาค่ามัธยฐานของการสอบวชิ าวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษา 222
226
ปีท่ี 2 แบบจดั กลมุ่ ……………………………………….……………………….……………………… 227
6.9 การใช้การวัดแนวโน้มเข้าสู่สว่ นกลางควบคกู่ บั การวัดการกระจาย……………………… 231
6.10 ตารางวิเคราะห์หาค่าเปอรเ์ ซน็ ไทล์......................................................................... 233
7.1 แสดงคา่ p , r เฉพาะตวั ถูก (N = 15)...................................................................... 254
7.2 การแจกแจงคาตอบกลุม่ สงู ......................................................................................
7.3 การแจกแจงคาตอบกลุม่ ต่า...................................................................................... 254
7.4 แสดงผลการสอบกอ่ นและหลังการสอนของนกั เรียนจานวน 5 คน……………………… 256
7.5 แสดงจานวนผ้เู ขา้ สอบที่ตอบถูกในแตล่ ะข้อ............................................................. 258
7.6 แสดงคะแนนขอ้ สอบอัตนัยจาแนกกลุ่มสงู และกล่มุ ตา่ โดยใช้เทคนิค 25%..............
7.7 แสดงผลการวิเคราะหค์ า่ ความยากและอานาจจาแนก ดว้ ยวธิ ีการวิเคราะหข์ อง 270
เดรก (Drack)............................................................................................................ 271
7.8 ผลการตรวจคาตอบและนับความถขี่ องผเู้ ข้าสอบ จาแนกกลมุ่ สงู และกลุ่มต่า.......... 274
7.9 การแปลผลของช่วงคะแนน (Band score) 275
8.1 การเปรียบเทยี บความสามารถในการสอบกลางภาคของพภิ พและพิศาล
จากคะแนนดบิ ……………..……………..……………..……………..………..………..……………..
8.2 การเปรียบเทียบความสามารถในการสอบกลางภาคของพิภพและพศิ าล
จากการแปลงคะแนนดบิ …………………..……………..……………..…………………..………..
8.3 การเทยี บตาแหนง่ เปอร์เซ็นตไ์ ทลเ์ ป็นคะแนน T – ปกต.ิ .........................................
8.4 คะแนน Normalized T – Score และพื้นที่ใตโ้ คง้ ปกติ...........................................
(9)
สารบญั ภาพ หน้า
ภาพที่ 4
5
1.1 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการทดสอบ การวัดและประเมินผล........................................ 27
1.2 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งจดุ มงุ่ หมาย การจัดการเรยี นรู้ และการประเมนิ ผล……………. 28
2.1 ลาดบั ขั้นของพฤติกรรมดา้ นพุทธิพสิ ยั ...................................................................... 28
2.2 การแบง่ พฤติกรรมด้านพทุ ธพิ สิ ัย.............................................................................. 31
2.3 ระดบั พัฒนาการด้านจติ พสิ ยั .................................................................................... 32
2.4 ลาดับขั้นของพฤติกรรมดา้ นจิตพสิ ยั ตามแนวคดิ ของแครทโรลและคณะ……………… 37
2.5 ลาดับขั้นของพฤติกรรมด้านจติ พสิ ยั ......................................................................... 53
2.6 ส่วนประกอบของจดุ มุง่ หมายเชงิ พฤตกิ รรม.............................................................. 89
2.7 พฤติกรรมดา้ นพุทธพิ สิ ัยแนวใหม่.............................................................................. 190
3.1 แผนผังสงั คมมติ แิ สดงการเลอื กเพ่อื นในการทากจิ กรรมกลมุ่ .................................... 191
6.1 การกระจายแบบโคง้ ปกติ......................................................................................... 191
6.2 การกระจายแบบเบข้ วาหรือเบท้ างบวก.................................................................... 204
6.3 การกระจายแบบเบซ้ า้ ยหรือเบท้ างลบ...................................................................... 205
6.4 โคง้ ปกติมาตรฐาน..................................................................................................... 205
6.5 โคง้ ปกตทิ ม่ี คี า่ เฉลีย่ ต่างกนั และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานเทา่ กนั ................................... 205
6.6 โค้งปกติที่มคี ่าเฉล่ยี เท่ากนั และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน.............................................. 208
6.7 โค้งทม่ี คี ่าเฉล่ียต่างกนั และคา่ เบยี่ งเบนมาตรฐานต่างกนั .......................................... 208
6.8 แสดงคะแนนชุด X และ Y เมอ่ื rxy เท่ากบั 1.00...................................................... 209
6.9 แสดงคะแนนชุด X และ Y เมื่อ rxy เท่ากบั -1.00..................................................... 258
6.10 แสดงค่า rxy เข้าใกล้ศนู ย์ ตวั แปร 2 ชุด มีแนวโน้มจะไมส่ ัมพันธ์กนั ………………….. 268
7.1 พน้ื ท่ีใต้โคง้ ปกติ (Normal curve)............................................................................ 271
8.1 คะแนนมาตรฐานซี (Z-Score) ในโคง้ ปกติ............................................................... 272
8.2 คะแนนมาตรฐาน Z คะแนนมาตรฐาน T และพื้นทีใ่ ตโ้ คง้ ....................................... 273
8.3 โคง้ การแจกแจงความถ่ีของคะแนนดบิ คะแนนมาตรฐาน Z และคะแนนมาตรฐาน T 278
8.4 การแจกแจงของพ้นื ท่ใี ต้โคง้ ปกติ.............................................................................. 286
8.5 การแบ่งกล่มุ ใหเ้ กรดตามการแจกแจงปกติ............................................................... 288
9.1 กระบวนการบรหิ ารการสอบ.................................................................................... 304
9.2 แผนผังทนี่ ่ังสอบ จานวนผู้เข้าสอบจานวน 35 คน.................................................... 304
9.3 การใช้ผลการทดสอบปรบั ปรงุ และพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนของคร.ู ............. 305
9.4 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการจัดการเรียนรู้ การวิจัย และการปรบั ปรงุ แกไ้ ข.................
9.5 ความสมั พนั ธก์ ารจดั การเรยี นรกู้ บั การวจิ ัย............................................................... 306
9.6 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งหลักสตู ร การจดั การเรยี นการสอน และการวัดผลและ
การประเมนิ ผล.........................................................................................................
บทที่ 1
ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ียวกับหลกั การวดั ผลและประเมนิ ผลการศึกษา
การวดั ผลและประเมนิ ผล เป็นหวั ใจหลักทีส่ าคญั ของการจัดการศึกษาในระดับชาติ ระดับ
สถานศึกษา และระดับชั้นเรียน ครูสามารถนาการวัดผลและประเมินผลไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
และผู้สอนมบี ทบาทสาคญั ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะการที่จะรู้ว่าผลการจัดการศึกษาบรรลุ
ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ีก่ าหนดหรอื ไม่ จะตอ้ งทาการวดั ผลและประเมินผล ดังนั้น ผู้ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับการจดั
การศกึ ษา โดยเฉพาะอย่างย่ิงผ้สู อนจึงจาเป็นต้องเรียนรู้ถึงหลักการวัดและประเมินผลการศึกษาให้
ถูกตอ้ ง และเชอ่ื ถอื ได้ เพือ่ ใหส้ ามารถดาเนินการได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ความหมายของการทดสอบ การวดั และการประเมินผล
การทดสอบ (Testing) การวัดผล (Measurement) และการประเมินผล (Evaluation)
เป็นคาท่มี ีความสมั พันธเ์ กยี่ วข้องกบั การจดั การเรียนการสอนโดยตรง เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ
จดั การเรยี นการสอน ดังนั้น จึงตอ้ งทาความเขา้ ใจให้ชัดเจน มีผใู้ หค้ วามหมาย ดังน้ี
การทดสอบ (Testing) มีผู้ใหค้ วามหมาย ดังนี้
อทุ มุ พร จามรมาน (2530 : 6) ใหค้ วามหมายว่า การวัดลักษณะโดยการสุ่มลักษณะ
บางอยา่ งออกมาวดั เพ่ือประโยชนใ์ นการบรรยายสรปุ
ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ (2539 : 14) ให้ความหมายวา่ เป็นการนาแบบทดสอบ
ซงึ่ สรา้ งข้นึ อย่างเป็นกระบวนการและมีระบบ ไปตรวจสอบตัวอย่างของคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการวัด
การทดสอบจงึ ใช้กฎเกณฑ์หน่งึ ของการวดั
ศิริชยั กาญจนวาสี (2548 : 9) ใหค้ วามหมายวา่ เป็นกระบวนการใชแ้ บบสอบสาหรบั
กาหนดหรือบรรยายคุณลักษณะหรือคุณภาพเฉพาะอย่างของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเพื่อใช้เป็น
สารสนเทศสาหรบั การตดั สินใจ
พิชิต ฤทธจิ์ รูญ (2553 : 3) ให้ความหมายว่า เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการวัดผลซึ่งใช้
เครอ่ื งมือท่ใี ช้วัดคอื แบบทดสอบ
Wiersam and Jure (1990 : 9) ให้ความหมายวา่ เป็นกระบวนการที่ใช้เคร่ืองมือไป
เร้าให้บุคคลหรือผู้สอบมีการเกิดการตอบสนองออกมาในรูปพฤติกรรมอย่างใดอย่าหนึ่ง โดยการ
ทดสอบถือว่าเปน็ ส่วนหนึง่ ของการวดั ผล
สรุปได้ว่า การทดสอบ หมายถึง กระบวนการใช้เครื่องมือประเภทหน่ึงที่เรียกว่า
“แบบทดสอบ” ไปเรา้ ให้บุคคลหรือผู้สอบเกิดการตอบสนองออกมา เพ่ือจะได้สังเกตและใช้ในการ
บรรยายคุณลกั ษณะของพฤตกิ รรมนน้ั ๆ ได้ หรอื คุณภาพเฉพาะ การทดสอบจึงเปน็ สว่ นหน่ึงของการ
วัดผล
2
การวดั ผล (Measurement) มผี ้ใู หค้ วามหมาย ดงั น้ี
ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี (2548 : 9) ใหค้ วามหมายว่า เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลข ให้แก่
สิ่งตา่ ง ๆ ตามกฎเกณฑ์
สมนึก ภัททยิ ธานี (2551 : 1) ใหค้ วามหมายวา่ กระบวนการหาปริมาณ หรือจานวน
ส่งิ ตา่ ง ๆ โดยใชเ้ ครอ่ื งมืออยา่ งใดอย่างหนงึ่ มาวดั ผลจากการวัดจะออกมาเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์
หรือขอ้ มูล
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2553 : 3) ใหค้ วามหมายว่า กระบวนการกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์
ให้กับบคุ คล ส่งิ ของ หรอื เหตกุ ารณ์อยา่ งมกี ฎเกณฑ์ เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูลท่ีแทนปริมาณ หรือคุณภาพของ
คุณลักษณะทีจ่ ะวัด
ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์ (2554 : 1 – 2) ให้ความหมายว่า กระบวนการในการกาหนด
จานวน ปริมาณ อันดับแทนคุณลกั ษณะของสง่ิ หนึง่ สงิ่ ใดหรือแทนพฤติกรรม โดยอาศยั เครอื่ งมอื ช่วย
ในการวัด ผลการวัดจะอยู่ในรปู ของตัวเลขหรอื การบรรยายลักษณะสิ่งนั้น ทาให้รู้รายละเอียดเก่ียวกับ
สิ่งนั้นว่ามีจานวนหรือปริมาณเท่าใด หรือมีลักษณะอย่างไร เช่น โต๊ะยาว 5 เมตร 15 เซนติเมตร
เด็กหญิงวราภรณ์ ไดค้ ะแนนวชิ าคณิตศาสตร์ 40 คะแนน เด็กชายชิดชนกหนัก 40 กโิ ลกรมั เป็นต้น
ราตรี นันทสุคนธ์ (2553 : 11) ให้ความหมาว่า การกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์ให้กับ
บคุ คล ส่งิ ของ เหตกุ ารณ์ หรอื พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ตามกฎหมายท่กี าหนดไว้
Chase (1987 : 82) ให้ความหมายว่า เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขเพื่อบอกหรือ
อธิบายปริมาณหรือคุณภาพ โดยใช้เคร่ืองมือช่วยในการวัด ผลการวัดจะอยู่ในรูปขอ งตัวเลขหรือ
สัญลักษณ์ของสง่ิ นนั้
Sax (1989 : 4) ใหค้ วามหมายว่า เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขท่ีมีความหมายแทน
คุณลกั ษณะของบุคคล วตั ถุ หรือเหตกุ ารณ์ตามแบบแผนหรอื กฎเกณฑท์ ี่กาหนดขึ้น
สรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกาหนดตัวเลข ปริมาณ อันดับแทน
คณุ ลักษณะของสิ่งหนึ่งส่งิ ใดหรอื แทนพฤติกรรม หรอื สัญลักษณ์ให้กับสง่ิ ตา่ ง ๆ อย่างมีกฎเกณฑ์ โดยใช้
เครอ่ื งมอื ช่วยในการวัด ผลการวดั จะอยู่ในรปู ของตัวเลขหรอื สญั ลกั ษณ์ของสิ่งนัน้ เช่น ใสเ่ สอ้ื เบอร์ M
รับประทานอาหารวนั ละมอื้ จบั ฉลากได้เป็นอันท่ีสาม ท่องศพั ท์ไม่ได้ตามท่ีกาหนด เปน็ ต้น
โดยท่ัวไปการวดั ผลแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1. การวดั ด้านกายภาพหรอื ดา้ นวิทยาศาสตร์ (Physical Science Measurement)
เป็นการวดั เพอื่ หาจานวนหรือปริมาณของสงิ่ ของตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม เชน่ การวัดความยาว ส่วนสูง
น้าหนกั พ้ืนที่ ขนาด ปริมาตร เปน็ ตน้ การวดั ดา้ นนีม้ เี คร่อื งมือวัดทใ่ี ห้ผลได้แน่นอน มีหน่วยการวัดท่ี
แน่นอน เชน่ เมตร กรมั ลิตร ฟตุ เป็นต้น การวดั ทางดา้ นนีจ้ งึ เป็นการวัดทางตรง
2. การวัดทางสังคมศาสตร์ (Social Science Measurement) เป็นการวัดเพื่อ
หาจานวนหรือปริมาณของส่ิงของต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตนท่ีแน่นอน โดยท่ัวไปแล้วจะวัด
พฤตกิ รรมของสิ่งมีชวี ติ ไม่มีหนว่ ยการวดั ทแ่ี น่นอน เช่น การวัดความรู้ ความสนใจ ความรับผิดชอบ
ทศั นคติ ทักษะของมนษุ ย์ เป็นตน้ การวดั ทางด้านนีม้ คี วามยุง่ ยากและมีปัญหาในการกาหนดสิ่งที่จะ
3
วดั วา่ เปน็ อะไร คืออะไร ตอ้ งอาศยั การแปลความหมาย ตีความหมายสิ่งที่จะวัดให้ถูกต้อง และเลือก
เครื่องมอื วัดใหเ้ หมาะสมกบั การวดั ทางด้านน้ี จึงเป็นการวดั ทางออ้ ม
การประเมนิ (Evaluation) มผี ใู้ ห้ความหมาย ดงั นี้
อุทุมพร จามรมาน (2530 : 6) ให้ความหมายว่า เป็นการตัดสินคุณค่าของส่ิงที่วัด
ตามเกณฑภ์ ายในและภายนอก
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธ์ิ (2535 : 17) ให้ความหมายว่า เป็นกระบวนการในการ
ตัดสินคุณคา่ ของสง่ิ ใดส่ิงหนงึ่ อย่างมหี ลกั เกณฑ์ เพ่อื สรุปวา่ ส่งิ นน้ั ดี – เลว ปานใด
วนดิ า เดชตานนท์ (2540 : 5) ให้ความหมายว่า เป็นกระบวนการในการตัดสินใจ การ
วินิจฉยั การตรี าคา หรอื การสรุปคณุ ลกั ษณะของสิ่งใดสิ่งหนึง่ หรอื พฤติกรรมของบคุ คลใดบุคคลหนึ่ง
อย่างมีหลักเกณฑ์ โดยอาศัยขอ้ มลู จากการวัดเป็นหลกั และใช้วจิ ารณญาณประกอบการพจิ ารณา
ศริ ิชยั กาญจนวาสี (2548 : 9) ให้ความหมายว่า เป็นกระบวนการตัดสินคุณค่าของ
สง่ิ ต่าง ๆ ตามเกณฑ์
สมนกึ ภทั ทยิ ธนี (2551 : 1) ให้ความหมายว่า การตัดสินหรือวินิจฉัยสิ่งต่าง ๆ ที่ได้
จากการวัดผล โดยอาศยั เกณฑก์ ารพจิ ารณาอย่างใดอยา่ งหนงึ่
พิชิต ฤทธ์ิจรญู (2553 : 3) ให้ความหมายว่า การตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของผลที่
ไดจ้ ากการวัดโดยเปรยี บเทยี บกบั ผลการวัดอ่ืน ๆ หรอื เกณฑ์ท่ตี ัง้ ไว้
Gronlund (1976 : 6) ให้ความหมายวา่ เป็นกระบวนการที่เป็นระบบ เป็นการตัดสินใจ
ในขอบเขตของวัตถุประสงคข์ องการสอนท่ีเป็นสมั ฤทธิ์ของนกั เรียน
Airasian (1997 : 12) ใหค้ วามหมายว่า เปน็ การตดั สินคณุ ภาพการปฏิบตั ิ หรือตัดสิน
คณุ ภาพกจิ กรรมในหลกั สตู รของผู้เรยี น
สรปุ ไดว้ ่า การประเมนิ หมายถึง กระบวนการในการตัดสินคุณค่าของส่ิงต่าง ๆ หรือ
สรปุ คณุ ลักษณะท่ีได้จากการวดั ผลตามเกณฑม์ าตรฐานท่ีตง้ั ไว้ เช่น การสรุปว่า วันน้ีอุณหภูมิเย็นลง
ณภัทรเขาเปน็ คนเก่ง เกง่ กาจสอบได้ทห่ี นงึ่ เอชอบเรียนภาษาองั กฤษมากกว่าวิชาภาษาไทย
ดังนั้น กระบวนการในการประเมิน จึงประกอบดว้ ย 3 ส่วน คือ
1. ผลการวัด (Measurement) เป็นขอ้ มูลท่ไี ด้จากการวัดผลมีจานวนหรือปริมาณ
เท่าไร มีคณุ สมบัติอย่างไร เพื่อนาไปเปรียบเทยี บกับเกณฑท์ ีต่ ้งั ไว้
2. เกณฑ์ (Criteria) เป็นมาตรฐานท่ีตั้งไว้ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตัดสิน
คณุ ค่าของสิง่ ที่ได้จากการวัด
3. การตัดสินคุณค่า (Judgment) เป็นการนาผลจากการวัดมาเปรียบเทียบกับ
เกณฑ์ทต่ี ้งั ไว้แล้ว สรุปตัดสนิ คุณคา่ วา่ สูงกวา่ หรือตา่ กวา่ เกณฑม์ ากนอ้ ยเพยี งใด
จากกระบวนการประเมินดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การวัดผลและการประเมินมี
ความสัมพนั ธ์กนั โดยสามารถเขยี นเปน็ สมการ ดงั นี้
การประเมินผล (Evaluation) = การวดั ผล (Measurement) + การตดั สนิ คณุ คา่ (Judgment)
4
จากความหมาย องค์ประกอบของการทดสอบ การวดั และการประเมินผล สามารถ
เขยี นเป็นความสัมพนั ธเ์ กีย่ วข้องกนั ได้ ดังนี้
การประเมินผล
(การตดั สนิ คณุ ค่า)
การวดั ผล
(การกาหนดตวั เลข)
การทดสอบ
(การใช้ชุดข้อสอบหรือคาถาม)
ภาพท่ี 1.1 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างการทดสอบ การวดั และประเมนิ ผล
ที่มา : Wiersam and Jurs (1990 : 10)
จากภาพที่ 1.1 แสดงให้เห็นว่าการทดสอบเป็นส่วนหนึ่งของการวัดผล การวัดเป็น
เพียงส่วนหน่ึงของการประเมินผล กล่าวคือ การวัดผลสามารถเกิดข้ึนได้โดยไม่จาเป็นต้องมีการ
ประเมินผล แตใ่ นทางกลับกันการประเมินผลท่ีถูกต้องสมบูรณ์ต้องอาศัยข้อมูลจากการวัดที่ถูกต้อง
และข้อมูลจากการวัดทถ่ี กู ต้องจะตอ้ งอาศัยเครื่องมือท่ีมีคณุ ภาพ
การประเมินผลการศึกษา (Educational Evaluation)
หมายถึง การพิจารณาตัดสิน ตีค่าที่ได้จากการวัดพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนเน่ืองจาก
การศึกษาโดยผ่านกระบวนการเรียนการสอนว่ามีคุณภาพเพียงไร บรรลุจุดประสงค์ของการศึกษา
หรอื ไม่ ดี – เลว, สงู – ตา่ , ใชไ้ ด้ – ใชไ้ มไ่ ด้ เพื่อนามาปรับปรงุ แก้ไขในการเรยี นการสอนและส่งเสริม
ให้ผู้เรียนมีพัฒนาการเพ่มิ ขน้ึ การประเมินผลการศึกษาทด่ี จี ึงต้องอาศัยผลการวัดทีส่ มบูรณ์ เชือ่ ถือได้
และเกณฑ์ที่เหมาะสม ดังนั้น การประเมินผลการศึกษาจึงครอบคลุมกระบวนการท้ัง 3 คือ
กระบวนการทดสอบ กระบวนการวัดผล และกระบวนการประเมนิ ผล
จากความหมายของการวัดผล และการประเมินผล แสดงว่ากระบวนการทั้งสอง
ต่อเนื่องกนั ไป กล่าวคอื เม่ือมกี ารวดั ผลแล้วจะได้รายละเอยี ดหลายด้าน แล้วนาผลท้ังหลายมาพิจารณา
หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ประเมินผล ผลการประเมินจะถกู ตอ้ งเหมาะสมเพยี งไรย่อมขนึ้ กับผลของการวัดเปน็ สาคัญ
ท้งั การวดั ผลและการประเมนิ ผล จงึ สัมพันธ์เก่ียวโยงกัน แตอ่ ย่างไรก็ตามการวัดผล และการประเมินผล
ยังมลี ักษณะรายละเอยี ดทแ่ี ตกตา่ งกัน ดงั นี้
5
ตารางท่ี 1.1 การเปรียบเทียบความแตกตา่ งระหว่างการวัดผลและประเมินผล
การวัดผล การประเมนิ ผล
1. เป็นการกาหนดจานวน ปรมิ าณ หรอื 1. เปน็ การกาหนดระดับของคุณคา่ หรือตัดสิน
รายละเอียด ลงสรปุ ผล
2. กระทาอยา่ งละเอียดทลี ะด้าน ทลี ะอยา่ ง 2. สรุปผลเป็นขอ้ ชีข้ าด
3. ใชเ้ คร่อื งมือเปน็ หลกั 3. ใชผ้ ลการวัดเป็นหลกั
4. ผลทีไ่ ดเ้ ปน็ ขอ้ มลู รายละเอยี ด 4. ผลทไ่ี ดเ้ ปน็ การตัดสนิ ใจ
5. อาศัยวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ 5. อาศยั การใช้ดุลพนิ จิ
สรุปไดว้ า่ จากความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมินผล เปน็ กระบวนการ
ทีต่ ่อเนื่อง กลา่ วคือ เมือ่ มีการทดสอบและวัดผลจะได้รายละเอียดด้านต่าง ๆ ในรูปของปริมาณหรือ
คุณลักษณะ แล้วนาเอาผลน้ันมาพิจารณาสรุปหรือประเมินผลในรูปของคุณภาพ ดังนั้นผลกา ร
ประเมินจะถกู ต้องเหมาะสมเพยี งใด ยอ่ มขึน้ อยูก่ ับผลการวัดเป็นประการสาคัญ กล่าวคือ ถ้าผลการวัด
ถูกตอ้ ง การประเมนิ ผลกเ็ ชื่อถือได้ตรงตามความเป็นจริง ในทางตรงกันข้าม ถ้าผลการวัดพลาดการ
ประเมินผลกย็ ่อมผิดพลาดคลาดเคลอื่ น
ความสมั พันธร์ ะหว่างการสอนและการประเมนิ ผล
หวั ใจหลักของการจดั การศึกษาประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบทีส่ าคัญ 3 องคป์ ระกอบ คือ การ
กาหนดวัตถุประสงค์ การจัดการเรียนรู้ การวัดผลและประเมนิ ผล เปน็ องค์ประกอบท่ีสาคัญในการ
จดั การศกึ ษา เขยี นเป็นภาพไดด้ งั น้ี
จุดมงุ่ หมาย
การจดั การเรยี นรู้ การประเมินผล
ภาพที่ 1.2 ความสมั พันธ์ระหว่างจดุ มุง่ หมาย การจัดการเรยี นรู้ และการประเมินผล
1. จดุ มงุ่ หมายการเรียนรู้ (Objective) ผู้สอนจะต้องกาหนดไว้อย่างชัดเจนในการจัดการ
เรียนรูแ้ ต่ละคร้ัง เพื่อใหท้ ราบวา่ การจัดการเรียนรู้แต่ละคร้ังต้องการให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้
อยา่ งไรบ้าง
6
2. การจัดการเรียนรู้ (Learning) ผู้สอนจะต้องวิเคราะห์ผู้เรียนก่อนแล้วจึงเลือกกิจกรรม
การเรียนรู้ ส่ือการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับผเู้ รยี นแตล่ ะคน เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นทกุ คนบรรลุผลตามจดุ มุ่งหมาย
ท่ตี งั้ ไว้
3. การประเมินผล (Evaluation) เม่ือดาเนินการจัดการเรียนรู้เสร็จแล้ว ผู้สอนจะต้องวัด
และประเมนิ ผลผูเ้ รยี นทุกคร้ัง เพือ่ จะได้ทราบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนและบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายท่ี
วางไวห้ รือไม่ ถา้ ยงั ไมบ่ รรลผุ ลจะปรับปรงุ การจัดการเรียนรู้อย่างไร
ความมุ่งหมายของการวัดผลและประเมินผล
1. เพือ่ ตดั สินผลการเรยี น เมือ่ ส้นิ สดุ ผลการเรียนในภาคเรียนใดหรือปีการศึกษาใด ก็จะมี
การนาเอาขอ้ มลู จากการวัดในระหวา่ งเรียนมาสรปุ รวมตัดสินผลในขั้นสุดท้ายในรูปของเกรด เช่น A,
B, C, D หรือ 4, 3, 2, 1, 0 หรือในรปู คณุ ภาพ เช่น ผา่ น – ไม่ผา่ น, ดีมาก – ดี – ปรบั ปรุง เปน็ ตน้
2. เพื่อปรับปรงุ การเรียนการสอน การวัดผลและประเมนิ ผลกอ่ นเรียนและระหวา่ งเรียน จะ
สามารถนามาใช้พิจารณาปรับปรุงการเรียนการสอน โดยดูว่าถ้าผลการประเมินท่ีไม่เป็นไปตาม
วตั ถุประสงค์ท่กี าหนดไว้ ครูก็จะต้องนามาพิจารณาว่าเป็นเพราะว่าวิธีการสอน กิจกรรม หรือส่ือ
การสอนไมเ่ หมาะสมกับผู้เรยี น
3. เพื่อจดั ตาแหนง่ (Placement) เปน็ การตรวจสอบความรพู้ ้นื ฐานวา่ ผู้เรียนมีความพร้อม
ความสนใจ และทักษะพ้ืนฐานท่ีสาคัญต่อการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด อันจะเป็นประโยชน์ต่อการ
กาหนดจุดมุ่งหมายและวางแผน การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนต่อไป
4. เพ่ือวินิจฉัยข้อบกพร่อง (Diagnosis) เป็นการวิเคราะห์สาเหตุข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นใน
ระหวา่ งการเรียนรู้ กลา่ วคอื เมื่อวัดผลและประเมินผลแล้ว นักเรียนยังมีปัญหายังไม่เกิดการเรียนรู้
ตรงจุดใด ผ้สู อนก็ตอ้ งหาทางช่วยเหลือหรอื สอนซอ่ มเสริมหรือทบทวนในเรอื่ งน้นั ๆ ได้ ปรับปรงุ การสอน
ให้เหมาะสมมากขึ้นในการสอนคร้งั ต่อไป
5. เพ่ือจาแนกประเภท (Classification) เป็นการวัดผลและประเมินผลเพื่อจัดประเภท
ผเู้ รียนเป็นประเภท เช่น สอบได้ – สอบตก, เกง่ มาก – เกง่ – ปานกลาง – อ่อน – ออ่ นมาก, รอบรู้ – ไม่รอบรู้
ซงึ่ การจัดจาแนกประเภทนจ้ี ะตอ้ งอาศัยเกณฑ์มาตรฐานท่ีเชอ่ื ถือไดเ้ ปน็ ตวั ตดั สิน
6. เพื่อพยากรณ์หรือทานาย (Prediction) เปน็ การนาผลที่ได้จากการวดั ผลและประเมินผล
ไปคาดคะเนหรือทานายอนาคตว่าผเู้ รยี นน้ันควรจะเรียนสาขาอะไร หรือประกอบอาชีพอะไร จึงจะ
ประสบผลสาเร็จ การวัดผลและประเมินผลในลักษณะนี้จะนาไปใช้ในการแนะแนวหรือการสอบ
คัดเลือกเพ่ือศึกษาต่อ ซึ่งโดยมากจะใช้แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน (Aptitude Test) เพ่ือ
การพยากรณ์
7. เพื่อเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการเปรียบเทียบความสามารถของตนเอง
โดยท่วั ไปจะเปรียบเทยี บกอ่ นและหลังเรยี น วา่ มีพฒั นาการหรือความเจริญงอกงามทางด้านความรู้
ความรสู้ ึก และทกั ษะจากเดมิ มากน้อยเพียงใด
8. เพอื่ สร้างแรงจงู ใจ (Motivating Learning) เมื่อการวัดผลและประเมินผลแล้วควรนาผล
มาแจง้ ให้ผู้เรียนทราบเพือ่ เรา้ หรือกระตุน้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ แรงบนั ดาลใจทจี่ ะศกึ ษาหาความรู้มากยิง่ ข้ึน
7
9. เพ่อื ประเมนิ คา่ (Evaluation) เปน็ การนาผลทไ่ี ด้มาตัดสินหรือสรุปคุณภาพของการจัด
การศกึ ษาวา่ มปี ระสทิ ธิภาพมากนอ้ ยเพียงใด รวมถึงการพิจารณาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน
การวัดผลและประเมินผล และเครื่องมอื ทใ่ี ชว้ ่ามีความเหมาะสมหรอื ไม่
ปรัชญาของการวัดผลการศกึ ษา
ปรัชญาของการวัดผลการศึกษา คือ ทดสอบเพ่ือค้นหาและพัฒนาสมรรถภาพของผู้เรียน
ซึ่งหมายความวา่ ต้องการจะใช้การสอบไปตรวจดูความรู้ความสามารถของนักเรียนว่าผู้ใดเด่นด้อย
ในทางใด และเพื่อจะใช้การสอบไปกระตุ้นสมรรถภาพต่าง ๆ ของนักเรียนให้งอกงามยิ่งขึ้น (ชวาล
แพรตั นกุล, 2518 : 34)
สง่ิ แรกที่ตอ้ งการทราบคอื ระดับความสามารถต่าง ๆ ของนกั เรียนในดา้ นการเรียนการสอน
ซึ่งหมายถึง การทดสอบเพ่ือเอาผลไปใช้ในการแนะแนว แต่ส่ิงที่สาคัญย่ิงกว่าก็คือ ต้องการให้การ
ทดสอบไปทาหน้าทพี่ ัฒนาให้เดก็ เจรญิ งอกงาม หรอื ไปทาหน้าทกี่ ระตนุ้ ให้การเรยี นรูส้ งู ขน้ึ น่ันคอื ขอ้
คาถามของแบบทดสอบที่ดี ๆ จะสามารถกระตนุ้ และพัฒนาสมรรถภาพของมนุษย์ได้ โดยคาถามทา
ใหใ้ ชค้ วามคดิ ลกึ ๆ ใช้เหตุผลอยเู่ สมอ กระตนุ้ ให้สมองไดต้ น่ื ตัวทางานไดม้ ีประสิทธิภาพยิ่งข้ึนกว่าเดิม
ก็จะทาให้ผู้เรียนพัฒนาและฉลาดขึ้นโดยมีคุณภาพสูงขึ้น ดังนั้นการทดสอบเพ่ือค้นและพัฒนา
สมรรถภาพของผูเ้ รียน จึงเป็นหลักการท่ีต้องยดึ ไวใ้ นการวัดผลประเมินผล
ผ้สู อนควรยึดหลักปรชั ญาของการวัดผลเป็นแนวทางในการปฏบิ ตั ิ เพอื่ ใหผ้ ลทีไ่ ด้เปน็ ข้อมูล
ชีน้ าในการดาเนินการสอนตอ่ ๆ ไปได้เป็นอยา่ งดีและถกู ต้องมากทสี่ ดุ มใิ ช่การนาผลที่ได้ไปตัดสินผล
การสอบได้หรือสอบตกของนักเรยี นเพียงอย่างเดยี ว ซึ่งปรัชญาการวัดผลการศกึ ษามดี งั ตอ่ ไปน้ี
1. ให้ถอื วา่ การสอบเป็นสว่ นหนึ่งของการสอน ถึงแม้ว่าการสอนและการสอบมีจุดมุ่งหมาย
ตา่ งกนั และทาในเวลาที่ต่างกัน แต่ก็ถือว่าการสอนและการสอบมีความต่อเนื่องกันและสัมพันธ์กัน
ครทู ี่ดีจะไม่แยกการสอนและการสอบออกจากกนั แต่พยายามทาใหท้ ้ังสองอยา่ งต่อเน่อื งกันตลอดเวลา
2. การสอบควรม่งุ วดั ศักยภาพมากกวา่ การวัดความจา การสอบท่ีผ่านมามักจะมุ่งวัดว่า
ผู้เรียนจาส่ิงที่ครูสอนไปแล้วได้มากน้อยเพียงไร แต่ปัจจุบันมุ่งที่จะวัดความสามารถด้านสมองของ
ผ้เู รียนว่า เขาสามารถนาสง่ิ ท่ีเรยี นรู้ไปดัดแปลงเพือ่ ใชใ้ นสถานการณต์ า่ ง ๆ ไดด้ ีอย่างไร
3. สอบเพอ่ื วนิ จิ ฉัยการเรยี นการสอน ปัจจุบันมุ่งให้ผู้เรียนเรียนเพื่อรู้มากกว่าแข่งขันกัน
ระเบียบการวัดผลปัจจุบันได้กาหนดให้มีการสอนซ่อมเสริมได้ ครูจาเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องรู้ว่าผู้เรียน
บกพรอ่ งในเร่อื งใดจงึ สามารถสอนซ่อมเสริมได้
4. สอบเพ่อื ประเมินคา่ การสอบมุง่ ท่ีจะนาผลไปประเมินผลทางการศกึ ษาเปน็ สว่ นรวมว่ามี
ความเหมาะสมหรือไม่ เพียงใด รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงความเหมาะสมของหลักสูตร การเรียนการสอน
และองค์ประกอบอน่ื ๆ ของการศึกษา มอี ะไรควรปรับปรงุ แกไ้ ข
5. ทดสอบเพอ่ื คน้ หาและพัฒนาสมรรถภาพ เปน็ ปรชั ญาท่ีสาคัญย่งิ มุ่งใหค้ รทู าหน้าท่ีตรวจ
ค้นหานกั เรยี นวา่ ใครมสี มรรถภาพเด่น – ด้อยในด้านใด โดยถือว่านักเรียนแต่ละคนมีคุณลักษณะพิเศษ
ของตน มีลักษณะต่างกันแฝงอยู่ อาจแสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดหรือไม่ชัดก็ได้ ครูจึงต้องทาหน้าที่
ค้นหาให้พบ เพ่ือหาทางสง่ เสริมสนับสนุนให้ไปในทางน้ันใหม้ ากทส่ี ุด
8
ธรรมชาติของการวดั ผลและประเมนิ ผล
ธรรมชาติของการวัดผลการเรียนการสอนเป็นส่ิงที่ครูควรทราบ เพื่อให้สามารถวัดและ
ประเมินผลได้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมาย ไม่นาการวัดผลประเมินผลไปใช้ในทางที่ผิด และครูบางคน
จริงจังกับคะแนนสมมติมากเกนิ ไป ทาให้เกิดความผิดพลาด ความคลาดเคล่ือนในการประเมินผล
การวดั ผลจาเป็นต้องมีการตรวจวัดหลาย ๆ ด้านและหลาย ๆ คร้ัง เพอ่ื ใหไ้ ด้ผลทน่ี ่าเชอ่ื ถอื ยงิ่ ขนึ้ การ
วัดผลและประเมินผลทางการศึกษามลี กั ษณะทีส่ าคญั 5 ประการ ดงั น้ี
1. การวัดผลการศึกษาเปน็ การวัดทางอ้อม (Indirect Measurement)
คณุ ลกั ษณะที่ตรวจวดั ในทางการศึกษา เช่น ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สติปัญญา ความ
ถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพ เจตคติของผู้เรียนน้ันมีลักษณะเป็นสภาพของจิตวิทยาในตัวนักเรียน
เปน็ นามธรรมทไ่ี มส่ ามารถวดั ได้โดยตรง เพราะไม่สามารถสังเกตเหน็ หรอื สัมผัสได้ วิธีการตรวจวัดจึง
เร่มิ โดยการแปลงคุณลักษณะนัน้ ออกมาเปน็ พฤตกิ รรมที่วัดได้ สังเกตได้ จากนนั้ จงึ ใช้เครือ่ งมอื เป็นสิ่ง
เร้าแกผ่ ้เู รยี น เพื่อใหผ้ เู้ รียนตอบสนองโดยแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมา ผู้สอนจึงสามารถตรวจวัด
พฤติกรรมน้ัน ๆ ไดใ้ นเชงิ ปริมาณ หรือคุณภาพแลว้ แตก่ รณี ผลท่ไี ดผ้ ูส้ อนจะนาไปอ้างอิงสรุปกลับไป
ยังคุณลักษณะท่ีประสงค์จะตรวจสอบนั้นอีกครั้ง เราจึงกล่าวว่าการวัดผลการศึกษาเป็นกา รวัด
ทางอ้อม
2. การวัดผลการศกึ ษาเปน็ การวดั ที่ไมส่ มบูรณ์ (Imperfect Measurement)
การจดั การเรยี นการสอนในช้ันเรียนเป็นการจดั ตามเน้อื หาและจดุ มงุ่ หมายทีก่ าหนดไว้ใน
หลกั สตู รระดับชน้ั ต่าง ๆ เนื้อหาและพฤติกรรมที่ตอ้ งการใหเ้ กิดขน้ึ แก่นกั เรยี นจะมอี ย่มู ากมาย ซ่ึงผู้ท่ี
ทาหน้าที่วัดผลและประเมินผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนคงไม่สามารถตรวจวัดหรือทดสอบให้ครอบคลุม
หรอื ครบถ้วนในทกุ ประเด็นของเน้อื หา และทุกพฤติกรรมทีต่ ้องการให้เกิดข้ึน เนื่องจากข้อจากัดของ
เวลา งบประมาณ คา่ ใช้จ่าย และสภาพการณท์ เ่ี ปน็ จริง ในทางปฏิบัตนิ น้ั ครูจะเลือกข้อสอบบางข้อที่
เป็นตัวแทนของเนื้อหาและจุดมุ่งหมาย ดังน้ัน การวัดผลการศึกษาจึงเป็นการวัดท่ีไม่สมบูรณ์ ไม่
ครบถว้ นทงั้ หมด
3. การวดั ผลการศึกษาเปน็ การวดั เชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพ
ในกระบวนการของการวัดผลที่ใช้เคร่ืองมือเพื่อตรวจวัดคุณลักษณะที่ต้องการจะ
แสดงผลในรปู ของจานวนหรอื ตวั เลข โดยเฉพาะการวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นครนู ยิ มใชแ้ บบทดสอบ
เปน็ เครื่องมือ หลักในการวดั ผลที่ไดค้ อื คะแนน (Score) จากแบบทดสอบรวมกับคะแนนจากการวัด
ครงั้ กอ่ น ๆ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ในการประเมินผล ซ่ึงผลการประเมินจะแสดงในเชิงคุณภาพ เช่น ผ่าน
ไม่ผ่าน หรอื ประเมินเป็นระดับคะแนน A B C D E (ดมี าก ดี ปานกลาง ควรปรับปรุง ต้องแก้ไข)
4. การวดั ผลการศึกษาเปน็ การวดั เชิงสมั พัทธ์ (Relative Measurement)
จานวนหรือตัวเลขท่ีได้จากการวัดผลท่ีเรียกว่าคะแนน (Score) นั้นมีระดับการวัดได้
สงู สุดในมาตรอันตรภาค (Interval Scale) เท่านั้น ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่มีศูนย์แท้ (Non Absolute
Zero) หมายความว่า เลข 0 ในการวัดผลการศึกษาไม่ได้มีความหมายว่าไม่มีคุณลักษณะท่ีวัด
เนือ่ งจากเครือ่ งมือที่ใช้วดั ผลไมส่ ามารถจะวัดลงไปไดค้ รบถว้ นจนถึงจุดที่เป็นศนู ยแ์ ทจ้ ริง เช่น ผู้เรียน
ท่สี อบได้คะแนน 0 จากการทดสอบดว้ ยแบบทดสอบฉบับหนึ่งไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนไม่มีความรู้
9
ความเข้าใจในเน้ือหาท่ีเรียน บอกได้เพียงว่านักเรียนผู้น้ีทาข้อสอบไม่ถูกเลยแม้แต่ข้อเดียว เพรา ะ
แบบทดสอบท่ีใชว้ ดั ผลไมส่ ามารถจะบรรจเุ น้อื หาทั้งหมดทกุ ประเดน็ ทผ่ี ู้สอนได้สอนไว้ แตใ่ ช้ตัวอย่าง
ของเน้อื หาและพฤติกรรมมาสอบวดั เทา่ น้ัน ดังนัน้ ในการแปลความหมายของผลการวัดทางการศกึ ษา
จงึ ตอ้ งคานงึ ถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคะแนนท่ไี ด้กับเกณฑใ์ ดเกณฑห์ น่งึ
5. การวัดผลและประเมินผลการศกึ ษาเป็นกระบวนการที่มคี วามคลาดเคลื่อน (Error of
Measurement)
การวดั ผลทางการศึกษาเป็นการวัดผลด้านจิตวิทยา ซึ่งมีตัวแปรที่เข้ามาเกี่ยวข้องมาก
โอกาสท่จี ะเกดิ ความคลาดเคลื่อน (Error) หรอื ความผดิ พลาดซึ่งมอี ยู่สูง เนื่องจากผู้ดาเนินการวัดผล
ไม่สามารถควบคมุ ตัวแปรต่าง ๆ ไดค้ รบถว้ น ดงั น้นั คะแนนที่ได้จากการวดั ผล (Obtained Score) จะ
เป็นผลรวมของคะแนน 2 สว่ น คือคะแนนที่แท้จริง (True Score) กับคะแนนท่ีคลาดเคล่ือน (Error
Score) โดยคะแนนที่คลาดเคล่อื นนอ้ี าจเป็นไปในทางบวกหรือทางลบก็ได้
การทดสอบแต่ละครั้งคะแนนที่สอบได้หรือคะแนนที่สังเกตได้ (Observed Score, X)
เกดิ จากคะแนนจรงิ (True Score, T) รวมกับคะแนนความคลาดเคลื่อน (Error Score, E) สามารถ
เขยี นรูปสมการ ไดด้ งั น้ี
คะแนนทีส่ ังเกตได้ (X) = คะแนนจริง (T) + คะแนนความคลาดเคลอ่ื น (E)
จากสมการ สมมุตใิ นการสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ 20 ข้อ 20 คะแนน เด็กชาย เอ สอบได้
16 คะแนน ปรากฏว่ามคี วามรูจ้ รงิ 14 คะแนน แต่เดาถูก 3 ข้อ เด็กชาย บี สอบได้ 16 คะแนน แต่มี
ความรู้จรงิ 18 คะแนน แต่อ่านโจทย์ผิด 1 ข้อ และกาเครื่องหมายผิด 1 ข้อ เด็กชาย ซี สอบได้ 16
คะแนน มคี วามรจู้ รงิ 16 คะแนน เดาถกู 1 ข้อ และข้อสอบผิด 1 ข้อ ดังน้ันสามารถเขียนคะแนนที่
สังเกตไดด้ ังน้ี
เด็กชาย เอ 16 = 14 + 3
เดก็ ชาย บี 16 = 18 + (-2)
เดก็ ชาย ซี 16 = 16 + 0
จากตวั อยา่ ง จะเหน็ ไดว้ า่ คะแนนทีส่ งั เกตไดจ้ ากการนาแบบทดสอบมคี วามคลาดเคลอื่ น
เสมอ โดยอาจเกดิ ด้านบวก ด้านลบ หรืออาจจะไมม่ คี วามคลาดเคล่อื นเกดิ ขึน้ เลยกับผู้สอบ
ความคลาดเคล่ือนทเี่ กิดขนึ้ จากการวดั ผล มสี าเหตอุ ย่หู ลายประการ คือ
1) เครื่องมือที่ใช้วดั ขาดความสมบรู ณ์วัดไม่ตรงคุณลกั ษณะที่ตอ้ งการ
2) ผู้จัดดาเนนิ การวัดผลขาดความชานาญในการวัดผล
3) ความผันแปรของผเู้ ขา้ ทดสอบขณะสอบ
4) ความคลาดเคล่อื นในการคิดคานวณในการรวมหรอื กรอกคะแนน
5) ความคลาดเคล่ือนจากการสมุ่ ตวั อย่างเนื้อหาและพฤตกิ รรมไมถ่ กู ต้องตามหลกั วิชา
10
หลักการวัดผลและการประเมนิ ผล
หลักการวัดผลและประเมินผลจะมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับจุดประสงค์ มีดังนี้
(ภทั รา นคิ มานนท.์ 2537 : 6 – 7 และสมนึก ภทั ธิยน,ี 2551 : 16 – 17)
1. กาหนดจุดมงุ่ หมายให้ชัดเจนและวัดใหต้ รงจุดมุ่งหมาย
การวัดผลและประเมินผลส่ิงแรกท่ีต้องทาคือ การกาหนดจุดมุ่งหมายก่อน เพ่ือจะได้
กาหนดกรอบใหช้ ดั เจนว่าจะวดั อะไร แลว้ หลงั จากน้ันจึงวัดให้ตรงกับจุดมุ่งหมายท่ีตั้งไว้ หากการวัด
แต่ละครัง้ ไม่ตรงกับจดุ มงุ่ หมายท่ีตัง้ ไว้ ผลการวัดกจ็ ะไมม่ คี วามหมาย และกอ่ ใหเ้ กิดความผิดพลาดใน
การนาไปใช้ ถา้ จดุ มงุ่ หมายทางการศกึ ษาตา่ งกัน แบบทดสอบทใี่ ช้วัดก็ควรต่างกัน วธิ ีการใช้แบบทดสอบ
กย็ ่อมตา่ งกัน ความผิดพลาดท่อี าจทาใหก้ ารวดั ไม่ตรงกับวตั ถุประสงค์ มีหลายประการคือ
1.1 ไม่เขา้ ใจในคณุ ลักษะที่ต้องการวัด ผู้วัดมีความเข้าใจในส่ิงที่ต้องการวัดไม่แจ่มแจ้ง
เพียงพอ หรอื เขา้ ใจเกย่ี วกับสง่ิ ท่ตี อ้ งการวัดผดิ ทาใหก้ ารใหค้ วามหมายหรอื คาจากัดความของสงิ่ ที่จะ
วัดไม่ตรงตามความตอ้ งการ สง่ ผลให้การวัดผลคาดเคลือ่ นไมต่ รงกบั วัตถปุ ระสงคไ์ ด้
1.2 ใช้เคร่ืองมือไม่สอดคล้องกับตัวแปรท่ีจะวัด การเลือกใช้เคร่ืองมือเป็นเร่ืองสาคัญ
สาหรับนกั วัดผลอย่างมาก เพราะการใช้เครอื่ งมอื ถูกตอ้ งเหมาะสมย่อมทาให้ผลการวดั น่าเช่อื ถอื และ
สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการ ในทางตรงกันขา้ มถา้ ใชเ้ ครอื่ งมือไม่ถูกต้อง ผลการวัดอาจทาให้ขาดความ
นา่ เชือ่ ถือได้
1.3 วดั ไดไ้ มค่ รบถ้วน การวดั ทด่ี ีต้องวัดคุณลักษณะได้ครอบคลุมครบถ้วนตามลักษณะ
ของตัวแปรน้นั ๆ การวัดเพียงบางสว่ นหรอื เพยี งบางองคป์ ระกอบยอ่ มทาใหผ้ ลการวดั น้นั คลาดเคลือ่ น
ไม่แน่นอน และไม่สามารถสรุปผลไดอ้ ยา่ งมัน่ ใจ
1.4 เลอื กกลุม่ ตวั อยา่ งทจี่ ะวดั ไมเ่ หมาะสม ในบางครัง้ ผู้วัดผลมีความรู้ในส่ิงที่จะวัดเป็น
อย่างดี รวู้ ิธีวัดทถ่ี กู ต้องและมเี ครอ่ื งมอื ท่ีดี มคี วามเที่ยงตรงสามารถวัดได้ ครอบคลุมพฤติกรรมหรือ
คุณลักษณะนัน้ ๆ แตก่ ลบั ไปเลอื กกลมุ่ ตวั อย่างท่ีไม่ถูกต้องหรือกลุ่มตัวอย่างท่ีไม่มีคุณลักษณะน้ัน ๆ
ผลการวดั ยอ่ มไมถ่ กู ต้องตรงตามวัตถปุ ระสงคเ์ ชน่ กนั
2. ใช้เคร่อื งมือที่เหมาะสมและมีคุณภาพ
เม่อื ทราบวา่ กาหนดจดุ มุง่ หมายและรวู้ ่าจะวดั อะไรแล้ว เราตอ้ งกาหนดเครื่องมือวัดให้
เหมาะสมกบั สง่ิ ที่จะวัด เช่น วัดความรู้ความสามารถควรใช้แบบทดสอบวัดบุคลกิ ภาพหรอื ความสนใจ
อาจใช้การสงั เกต การสมั ภาษณ์ หรือแบบสอบถาม เปน็ ต้น
แม้ว่าจะใช้เครือ่ งมอื ท่เี หมาะสมกบั ส่ิงที่จะวัดแต่ถ้าเคร่ืองมือไม่มีคุณภาพ ผลการวัดก็
จะดอ้ ยคุณภาพไปดว้ ย ดงั น้ัน เครื่องมอื จะต้องผ่านกระบวนการสร้างที่มีมาตรฐาน เพื่อหาคุณภาพ
ดา้ นความเที่ยงตรง (Validity) ความเชื่อมั่น (Reliability) ความยาก (Difficulty) และอานาจจาแนก
(Discrimination)
3. ใชว้ ธิ ีการวดั ผลและประเมินผลหลากหลายวิธี
การวดั ผลและประเมินผลมีหลายวิธี แต่ละวิธีก็จะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การ
เลือกใชว้ ธิ ีการและเครื่องมือหลาย ๆ อยา่ ง จะทาให้สามารถอธบิ ายพฤติกรรมต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
และครอบคลุมสิ่งที่ต้องการวัด เช่น การวัดผลและประเมินผลในช้ันเรียน ครูไม่ควรใช้คะแนน
11
ผลสัมฤทธเิ์ ท่านนั้ พิจารณาด้านการมสี ว่ นรว่ มกิจกรรมในช้นั เรียน การปฏิบัติท่ีไดร้ บั มอบหมาย ฯลฯ
ประกอบด้วย
4. มีความยตุ ิธรรม การวัดผลการศึกษาจัดวา่ เป็นการวัดตัวแปรทางดา้ นจติ วิทยาหรือทาง
สงั คมศาสตร์นน้ั จะไดผ้ ลดตี ้องมีความยตุ ธิ รรมในการวัด ส่งิ ท่ีถูกวดั ตอ้ งอยู่ภายใต้สถานการณ์ท่ีเป็นไป
เหมอื น ๆ กัน ไม่มีการลาเอยี ง
5. แปลผลไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
การวดั ผลและประเมนิ ผล มีเป้าหมายเพ่ือทจี่ ะเปรยี บเทยี บหรอื อธบิ ายพฤตกิ รรมต่าง ๆ
ดงั น้ันจะต้องแปลผลไดอ้ ย่างถกู ต้อง โดยใช้กฎเกณฑท์ เ่ี หมาะสม กล่าวคือ ต้องพิจารณาดวู ่าการวดั ผล
และประเมินผลในคร้งั นน้ั วา่ เปน็ แบบองิ กล่มุ หรือองิ เกณฑ์ ถ้าเป็นแบบองิ กลุม่ ก็จะแปลผลโดยเทียบ
ความสามารถของคนในกล่มุ และถา้ เป็นแบบองิ เกณฑ์ก็แปลผลโดยเทียบกบั เกณฑม์ าตรฐานทีม่ อี ยู่
6. ใชผ้ ลการวดั ผลและประเมินอยา่ งค้มุ ค่า
การวดั ผลและประเมินผลแต่ละครั้งจะต้องใช้ทั้งเวลา ความคิด แรงงาน วัสดุอุปกรณ์
และงบประมาณ เพื่อให้ผลตามวัตถุประสงคท์ ่กี าหนดไว้ ดังน้ันจะต้องใช้ผลการวัดให้เกิดประโยชน์
ตอ่ ผูเ้ รยี นสูงสดุ เชน่ ถ้าเป็นผลการสอบของนกั เรยี น นอกจากจะบอกแตเ่ พียงวา่ เก่ง – อ่อน, ผ่าน – ไม่ผ่าน
แลว้ ควรจะดวู ่าผู้เรยี นแต่ละคนมกี ารพฒั นามากน้อยเพียงใด มีข้อบกพร่องในการเรียนอย่างไร เพ่ือ
ปรับปรงุ และพัฒนาการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น และครูควรใช้ผลในการปรับปรุงและพฒั นาการจดั การเรยี น
การสอนของตนเอง
สรุปไดว้ ่า หลักการวัดผลและประเมนิ ผลทด่ี ตี อ้ งวัดไดต้ รงกับจดุ ประสงคท์ จ่ี ะวดั เครื่องมือที่ใช้
วัดมคี ณุ ภาพ มีวธิ กี ารวัดและประเมินผลหลากหลายวิธี มีความยุติธรรมไม่ลาเอียงท่ีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
แปลผลได้ถูกต้องและใชผ้ ลการวดั ให้คุ้มคา่
ประเภทของการวดั ผลและประเมินผล
แนวทางการประเมนิ ผลการเรียนการสอน อาจจาแนกได้หลายประเภทขนึ้ อยู่กับเกณฑ์ท่ีใช้
ในการแบ่งไดด้ งั นี้
1. จาแนกตามขนั้ ตอนการเรยี นการสอน
1.1 การประเมินผลก่อนเรียน (Pre – Evaluation) การวัดผลและประเมินผลก่อนเรียน
เปรียบได้กับจัดวางตาแหน่งของผู้เรียน เพื่อตรวจสอบความรู้พื้นฐานเดิมว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้า
ตรวจสอบแล้วพบว่าความรเู้ ดิมมเี พยี งพอแลว้ ผูเ้ รียนก็สามารถเรียนได้ แต่ถ้าพบว่าผู้เรียนมีความรู้
พ้ืนฐานไมเ่ พยี งพอสาหรบั วิชาใหมห่ รอื เนือ้ หาใหม่ ผสู้ อนต้องปรบั พืน้ ฐานเดิมโดยการสอนเพิ่มเตมิ ให้
ผู้เรยี นมีความพร้อมทีเ่ พียงพอท่ีจะเรยี นเนอื้ หาใหม่ได้ การประเมินผลก่อนเรียนนอกจากจะช่วยให้
ผู้สอนทราบความร้พู ืน้ ฐานเดมิ ของผ้เู รยี นแล้ว ยังชว่ ยใหค้ รูสามารถวางแผนการสอนได้เหมาะสมกับ
สภาพผ้เู รียนแต่ละคนดว้ ย เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการประเมินผลก่อนเรยี น ได้แก่ แบบทดสอบเตรียมความพร้อม
(Readiness Test) แบบวดั ความถนัด (Aptitude Test) แบบสารวจรายงานตนเอง (Self – report
Inventory) เทคนิคการสังเกต (Observation Technique) เป็นต้น ซึ่งการประเมินแบบนี้จัดเป็น
การประเมนิ แบบองิ กลุ่ม
12
1.2 การประเมินผลระหว่างเรียน (Formative – Evaluation) บางคร้ังเรียกว่า การ
ประเมนิ ผลย่อย มจี ดุ มงุ่ หมายเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน เพ่ือตรวจสอบพัฒนาการของผู้เรียน
แตล่ ะคนวา่ บรรลุจุดประสงคก์ ารเรยี นและจะสอนซ่อมเสริมอย่างไร และยังสามารถปรับวิธีการสอน
ของตัวเองให้สอดคลอ้ งเหมาะสมกับผู้เรียนแตล่ ะคน เคร่ืองมอื ท่ใี ช้ในการวดั ผลและประเมนิ ผลกอ่ นเรยี น
ได้แก่ แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้น (Teacher – made Test) เทคนิคการสังเกต (Observation
Technique) เป็นต้น ซ่ึงการประเมนิ ผลในข้ันนีไ้ มไ่ ด้มุ่งเพ่ือตัดสนิ ไดห้ รือตก หรอื การใหร้ ะดับคะแนน
การประเมนิ ผลในข้นั นีจ้ ะวัดตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีกาหนดไวส้ าหรบั หน่วยการเรยี นนน้ั ๆ
1.3 การประเมินผลหลังเรียน (Summative – Evaluation) หรือการตัดสินผลการเรียน
เมอ่ื สิ้นสดุ การเรยี นการสอน ครูจะตอ้ งวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี น เพ่อื ตัดสนิ ผลการเรียนของผู้เรียน
แต่ละคนว่ามีความรใู้ นเนอ้ื หาวชิ าที่เรียนมากนอ้ ยเพียงใด และมคี วามสามารถระดับใด ควรได้ – ตก,
ผ่าน – ไม่ผา่ น, เล่อื นชนั้ – ซ้าชั้น หรอื ควรได้เกรดอะไร การประเมินผลหลังเรียนครูต้องประเมินให้
ครอบคลุมจดุ ประสงค์ทกุ จุดประสงค์ หรือหากมีจุดประสงค์มากอาจเลอื กจดุ ประสงค์ท่ีสาคัญประเมนิ
กไ็ ด้ นอกจากนีย้ งั เปน็ ข้อมลู ทค่ี รูจะนาไปใชใ้ นการปรับปรุงการเรียนการสอนในภาคเรียนหรอื ปีการศกึ ษา
ต่อไป เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมนิ ผลหลังเรียนไดแ้ ก่ แบบทดสอบท่ีครูสร้างข้ึน (Teacher – made
Test) แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) แบบทดสอบภาคปฏิบัติ (Performance Test) เปน็ ต้น
Bloom, Benjamin S,, J. Thomas Hasting and George F. Madaus. (1971 : 91 – 92)
ได้สรุปถงึ ความคลา้ ยคลึงและความแตกต่างระหวา่ งการประเมนิ ผลท้งั 3 แบบ ดังน้ี
ตารางท่ี 1.2 ความคล้ายคลึงและความแตกต่างระหวา่ งการประเมินผลกอ่ นเรียน การประเมนิ ผล
ระหว่างเรยี น และการประเมินผลหลังเรยี น
สิ่งทีค่ ล้ายคลึง การประเมนิ ผล การประเมนิ ผล การประเมนิ ผล
หรอื แตกต่างกัน ก่อนเรยี น ระหว่างเรียน หลังเรยี น
วัตถุประสงค์ 1. เพือ่ ตรวจสอบว่าผู้เรยี น 1. เพ่ือเป็นข้อมูลย้อนกลับ เพือ่ รับรองสมั ฤทธผ์ิ ลของ
แตล่ ะคนเกิดการเรยี นรู้ ไปยงั ครแู ละนกั เรียน ผเู้ รียนเมื่อเรยี นจบรายวิชา
หรือไม่เกี่ยวกับความรู้ เกย่ี วกบั ความก้าวหน้า หรือระหวา่ งภาคการศกึ ษา
พืน้ ฐานที่จาเป็น ในการเรียนรแู้ ตล่ ะ
หน่วยของผเู้ รียน
2. เพอ่ื ตรวจสอบสาเหตทุ ่ี
ทาใหเ้ กิดความ 2. เพ่ือจดั เตรยี มวธิ กี าร
บกพร่องในความรู้ สอนซอ่ มเสริมให้
พ้ืนฐานน้นั ๆ เหมาะสมกับโครงสรา้ ง
ของวัตถปุ ระสงค์เชิง
พฤติกรรมในแตล่ ะหนว่ ย
13
ตารางที่ 1.2 ความคล้ายคลึงและความแตกต่างระหว่างการประเมนิ ผลก่อนเรยี น การประเมนิ ผล
ระหว่างเรียน และการประเมนิ ผลหลงั เรียน (ต่อ)
สิง่ ทค่ี ลา้ ยคลึง การประเมินผล การประเมนิ ผล การประเมินผล
หรือแตกตา่ งกนั ก่อนเรยี น ระหว่างเรียน หลังเรียน
ช่วงเวลาในการ เกิดขึ้นระหว่างการเรียน
ประเมนิ 1. จุดเรม่ิ แรกก่อนที่ครจู ะ การสอน เม่ือการเรยี นการสอน
เร่ิมตน้ สอน รายวชิ านนั้ ๆ เสร็จส้ินลง
จดุ ประสงค์การศกึ ษา จุดประสงคก์ ารศึกษา หรอื เกดิ ระหวา่ งภาค
ทถ่ี กู นามาประเมินผล 2. อาจเกิดขึ้นระหว่างการ ดา้ นพุทธพิ ิสยั ทสี่ อดคล้อง การศึกษา
เรียนการสอน ถา้ การ กบั ลาดับขั้นการเรียนรู้ใน
เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ ประเมนิ ยอ่ ยไม่สามารถ แตล่ ะหน่วย โดยท่วั ไปเน้นการประเมิน
ในการประเมนิ หาสาเหตขุ อง ด้านพุทธิพิสยั แต่บางครัง้
ขอ้ บกพร่องในการ แบบประเมินผลย่อยท่ี จะมีการประเมินดา้ น
คา่ ความยาก เรยี นรู้ท่สี าคัญได้ สรา้ งขึ้นให้สอดคลอ้ งกบั จติ พสิ ยั และทักษะพิสัยดว้ ย
จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม ทัง้ นีข้ นึ้ กับลกั ษณะ
ระบบการประเมนิ จุดประสงค์การศึกษาดา้ น เนื้อหาวชิ า
พุทธพิ ิสยั ดา้ นจิตพิสัย และ ไมค่ านึงถงึ ค่าความยากของ แบบประเมนิ ผลรวม
ดา้ นทกั ษะพสิ ยั โดยเน้นท่ี ข้อสอบเพราะความยากของ
การประเมินพฤตกิ รรม ขอ้ สอบไมค่ งทข่ี ้ึนอยู่กับ ค่าความยากควรอยู่ในช่วง
พืน้ ฐานท่จี าเป็น โครงสรา้ งของจุดประสงค์ 35 - 75
เชิงพฤติกรรมในแตล่ ะ
1. อาจเปน็ แบบ หนว่ ยการเรยี น โดยทวั่ ไปเป็นการ
ประเมินผลยอ่ ยหรอื เปน็ การประเมินผล ประเมนิ ผลแบบองิ กลุ่ม
แบบประเมนิ ผลรวม แบบองิ เกณฑ์ แตใ่ นบางสถานการณอ์ าจ
ใชก้ ารประเมนิ แบบ
2. แบบทดสอบมาตรฐาน องิ เกณฑ์ขนึ้ กับจุดประสงค์
ตา่ ง ๆ ของครูหรอื ผู้เกี่ยวขอ้ ง
3. แบบสังเกตหรือแบบ
ตรวจสอบรายการ
แบบทดสอบค่อนขา้ งง่าย
และขอ้ สอบสว่ นใหญ่ควรมี
คา่ ความยาก 65 ขึน้ ไป
โดยท่ัวไปเป็นการประเมินผล
แบบอิงกลุ่ม แตใ่ นบาง
สถานการณ์อาจใช้การ
ประเมินแบบอิงเกณฑ์
ขน้ึ กับจดุ ประสงค์ของครู
หรอื ผู้เกยี่ วข้อง
14
ตารางท่ี 1.2 ความคลา้ ยคลึงและความแตกตา่ งระหว่างการประเมนิ ผลกอ่ นเรยี น การประเมินผล
ระหว่างเรยี น และการประเมินผลหลงั เรยี น (ตอ่ )
สิง่ ทคี่ ล้ายคลึง การประเมนิ ผล การประเมินผล การประเมินผล
หรอื แตกตา่ งกนั กอ่ นเรยี น ระหว่างเรียน หลังเรยี น
การรายงานผล เสนอเปน็ รายบุคคลใน เสนอเปน็ รายบคุ คลใน เสนอเปน็ รายบคุ คลในรปู
การสอบ ลักษณะผา่ น/ไม่ผ่านทักษะ ลักษณะผ่าน/ไมผ่ ่าน ระดบั คะแนน เชน่ A, B, C
พ้นื ฐานย่อย ๆ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม หรืออาจเสนอในรูประดับ
ของหน่วย คะแนนควบคูไ่ ปกบั การ
ผา่ น/ไม่ผา่ นในแต่ละ
จุดประสงค์
2. จาแนกตามการแปลความหมายของคะแนน
ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง (2546 : 11) จาแนกการวัดและประเมินผลจาแนกตามการแปล
ความหมายของคะแนนออกเปน็ 3 ประเภทคือ
2.1 การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม (Norm – referenced Evaluation) เป็นการบรรยาย
และตัดสนิ คณุ ลกั ษณะหรอื พฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นแต่ละคนโดยการเปรียบเทียบกับผู้เรียนท้ังหมดในกลุ่ม
และเปน็ การใช้ในการสอบคัดเลือก เพื่อจัดลาดับและจาแนกความสามารถของผู้เรียนในกลุ่มน้ัน ๆ
เชน่ การสอบคัดเลอื กเขา้ ศกึ ษาตอ่ ในสถานศกึ ษา การสอบชงิ ทนุ การศึกษา และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการ
ประเมินแบบอิงกลุ่ม ได้แก่ แบบทดสอบมาตรฐาน (Standard Test) แบบทดสอบท่ีครูสร้างข้ึน
(Teacher – made Test) เปน็ ตน้
2.2 การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (Criterion – referenced Evaluation) เป็นการ
บรรยายและตัดสินคุณลักษณะหรือพฤติกรรมของผู้เรียนแต่ละคนโดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์
มาตรฐาน (Standard Criteria) ที่มีอยู่แล้ว หรือเกณฑ์ที่ผู้ประเมินสร้างขึ้น (Arbitrary Criteria)
ในทางการปฏิบตั ิการประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เกณฑ์จะหมายถึงกลมุ่ พฤติกรรมตามจดุ มุ่งมาย
ในแต่ละบทเรียนหรือหน่วยการเรียน โดยท่ัวไปนิยมใช้จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral
Objective) หรือกลุ่มพฤติกรรม (Domain of Behavior) และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินแบบ
อิงกลุม่ ได้แก่ แบบทดสอบที่ครูสร้างข้ึน (Teacher – made Test) เทคนิคการสังเกต (Observation
Technique) เปน็ ตน้
การประเมนิ ผลแบบองิ เกณฑ์ มจี ดุ มุง่ หมายเพอื่ บง่ ช้สี ถานภาพของผู้เรียนแต่ละคนเมื่อ
เปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์ท่ีทดสอบเพ่ือตัดสินว่าผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไม่ และ
มากน้อยเพียงใดอันจะนาไปสู่การปรับปรุงการเรียนการสอน เม่ือผู้เรียนไม่สามารถทาข้อสอบได้
ถึงเกณฑ์ต้องมีการสอนซ่อมเสริมจนกว่าจะผ่าน การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์จึงจะเหมาะสมกับ
การเรยี นการสอนในหอ้ งเรยี น
15
ศริ ชิ ยั กาญจนวาสี (2548 : 167 – 168) ได้จาแนกความแตกตา่ งของการประเมินผลแบบ
องิ กลมุ่ และการประเมนิ ผลแบบอิงเกณฑ์ ดังตารางที่ 1.3
ตารางท่ี 1.3 การเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งการประเมินผลแบบองิ กลุ่มและการประเมินผล
แบบอิงเกณฑ์
ความแตกตา่ ง การประเมินผลแบบองิ กลมุ่ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
แนวคดิ
ทฤษฎีความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล : ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ : บุคคลเรียนรู้ได้
1. ทฤษฎี บุคคลมพี ืน้ ฐานความรูแ้ ละ เหมอื นกนั แตใ่ ชเ้ วลาตา่ งกัน
ความสามารถในการรู้ตา่ งกัน
2. คณุ ลักษณะที่มุ่งวัด สมรรถภาพทัว่ ไปซึง่ มีขนาดหรือ สมรรถภาพเฉพาะซึ่งอาจม/ี ไม่มีหรอื
ปรมิ าณทีแ่ ตกตา่ งกันระหวา่ งบคุ คล อยู่ในระดบั ใด
3. เป้าหมาย สารวจสมรรถภาพท่ัวไปของผูส้ อน ศึกษาสมรรถภาพเฉพาะอยา่ งของ
ซ่งึ มักไม่เก่ยี วกับจดุ ม่งุ หมายและเนือ้ หา ผสู้ อบซ่ึงมักอา้ งองิ จุดมงุ่ หมายและ
4. วตั ถุประสงค์ของ ของหลักสตู รใดหลักสูตรหนงึ่ เปน็ การ เนอ้ื หาของหลักสตู ร
การวัด เฉพาะ
วดั สมรรถภาพทว่ั ไปเพื่อบ่งช้คี วาม วดั สมรรถภาพเฉพาะเพ่ือบ่งชว้ี ่าผู้สอบ
5. เคร่ืองมือทใี่ ชว้ ัด แตกต่างระหวา่ งผสู้ อบ แตล่ ะคนมคี วามสามารถอะไรบา้ ง
ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทอี่ าจเน้น
การสร้างแบบทดสอบ (Achievement Test) แบบทดสอบปฏบิ ตั ิ (Performance
1. ขอบเขตเนอื้ หา Test)
2. การเลอื กเน้ือหา
การตดั สนิ ของผู้เชีย่ วชาญ เนือ้ หาตามหลักสูตรเฉพาะ
3. ทักษะทีท่ ดสอบ
คุณภาพของข้อสอบ ส่มุ กลุ่มตัวอยา่ งเน้ือหา/พฤติกรรมท่ีมี เลือกสุ่มเน้ือหา/พฤติกรรมเฉพาะท่ี
1. ความสอดคล้องกบั ลักษณะกวา้ ง ๆ อันเปน็ ตัวแทน สาคญั ตามจดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร
จดุ มุ่งหมาย (IOC)
สมรรถภาพทว่ั ไปและสามารถใชจ้ าแนก อนั เป็นตัวแทนมวลเนอื้ หาท่ีกาหนดไว้
จดุ มงุ่ หมาย (IOC)
1. ความยาก ความแตกต่างระหว่างผู้สอบ อยา่ งชัดเจน
2. อานาจจาแนก ทกั ษะผสมผสาน (Integrated) ทกั ษะแยกเฉพาะส่วน (Isolated)
เนน้ การเลือกทส่ี อดคลอ้ งกันของ เนน้ ความสอดคล้องกับจุดม่งุ หมาย
ผเู้ ชย่ี วชาญ เฉพาะหลักสูตร
ความยากง่าย ปานกลาง ความยากข้ึนอยู่กบั สมรรถภาพ
เนน้ อานาจจาแนกสงู ที่มุง่ วดั โดยทั่วไปคอ่ นขา้ งงา่ ย
มคี วามไวในการจาแนกผ้สู อบทมี่ ี
ความรอบร้แู ละไมร่ อบรู้
16
ตารางท่ี 1.3 การเปรยี บเทยี บความแตกต่างระหว่างการประเมนิ ผลแบบอิงกลุ่มและการประเมินผล
แบบองิ เกณฑ์ (ต่อ)
ความแตกตา่ ง การประเมนิ ผลแบบองิ กลุม่ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์
คณุ ภาพของแบบทดสอบ
นิยมใช้ความเชื่อม่ันแบบสอดคล้อง ความคงเส้นคงวาในการจาแนกผู้สอบ
1. ความเชือ่ ม่ัน ภายใน (Internal consistency) ออกเปน็ ผูร้ อบรู้และไม่รอบรู้
(Reliability) เนน้ Content Validity เนน้ Content Validity ในลักษณะ
Criterion-Related Validity ครอบคลมุ ตรงตามหลักสตู รและความ
2. ความเทยี่ งตรง Construct Validity เทยี่ งตรงของผลการตดั สินผู้รอบรแู้ ละ
(Validity) ไม่รอบรู้
ผสู้ อบมักไม่ทราบรายละเอียดของ
การเตรียมตัวสอบ เนื้อหา ผ้สู อบมักทราบรายละเอียดของเนื้อหา
1. การรับรขู้ อบเขต มีส่วนช่วยไม่มาก ล่วงหน้า
เนอ้ื หา การทบทวนมีส่วนมาก
2. การเตรียมตวั ของ
ผู้สอบ รปู แบบเปน็ มาตรฐาน แตกตา่ งกันตามสถานภาพ
ขนาดใหญ่ ขนาดเลก็
การดาเนนิ การสอบ
1. การจัดห้องสอบ คะแนนมีการกระจายสูง และมลี ักษณะ คะแนนมีการกระจายต่า การกระจาย
2. ขนาดกลมุ่ ผูส้ อบ เข้าใกล้โคง้ ปกติ ของคะแนนไม่เป็นส่ิงสาคัญ การ
กระจายของคะแนนข้ึนอยู่กับ
คะแนนการสอบ คะแนนบอกการจดั ตาแหน่ง ความสามารถในการบรรลุเกณฑ์ของ
1. การแจกแจงคะแนน เปรียบเทียบระหวา่ งกลมุ่ ผูส้ อบ
คะแนนสะทอ้ นความสามารถของผู้สอบ
2. การบ่งบอกของ เปรยี บเทียบกับเกณฑ์
คะแนน
การวัดตาแหนง่ เปรยี บเทยี บ เชน่ การแสดงระดบั คะแนน เชน่ Percent
การแปลความหมาย Percentile, Z-score, T-score สดั ส่วนของการตอบถูกในแต่ละมวล
1. สถติ ิท่ีใช้ เนื้อหา
เกณฑ์สมั พันธ์ (Relative) เช่น ค่าเฉลี่ย, เกณฑ์สัมบูรณ์ (Absolute) เชน่ ระดับ
2. เกณฑ์การประเมนิ Percentile Norm, Age Norm, สมรรถภาพขัน้ ต่า คะแนนจุดตดั
Grade Norm เป็นตน้ (Cut-off Score) เป็นตน้
การนาผลไปใช้
1. การวัดสมรรถภาพ บอกขนาดหรอื ปริมาณสมรรถภาพ บอกขนาดหรือปริมาณสมรรถภาพ
ท่วั ไป เฉพาะ
2. การวนิ ิจฉัย มอี านาจการวินิจฉัยสมรรถภาพได้ตา่ วินจิ ฉัยสมรรถภาพหรือระบปุ ญั หา
เฉพาะได้
3. การตดั สนิ ใจ ปรมิ าณท่ไี ด้เรยี นรู้ เรียนรูอ้ ะไรบา้ ง
17
ตารางท่ี 1.3 การเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างการประเมินผลแบบอิงกลมุ่ และการประเมินผล
แบบองิ เกณฑ์ (ตอ่ )
ความแตกตา่ ง การประเมินผลแบบองิ กลุ่ม การประเมนิ ผลแบบองิ เกณฑ์
จุดเดน่ และจดุ ดอ้ ย
เน้นการตดั สินภาพรวมและการ เนน้ การพฒั นาและวินิฉัย
1. จุดเด่น เปรยี บเทียบ
มกั ขนาดความสามารถในการวินิจฉยั การสรา้ งข้อสอบทม่ี ีคุณภาพกระทา
2. จุดด้อย อาจขาด Norm สาหรับการแปลผลใน ได้ยาก มักมปี ัญหาเก่ยี วกับการกาหนด
ระดบั ต่าง ๆ เกณฑห์ รือมาตรฐานท่ใี ชส้ าหรับ
แปลความหมาย
2.3 การประเมนิ ผลแบบอิงตนเอง (Self-referenced Evaluation) เป็นการบรรยาย
และตดั สนิ คุณลักษณะหรือพฤติกรรมของผู้เรียนแต่ละคนโดยเปรียบเทียบผลการวัดและประเมินผล
ก่อนและหลงั เรียน ซง่ึ จะแสดงใหเ้ ห็นถึงพฒั นาการของผเู้ รียนว่ามีพฒั นาการจากเดมิ มากนอ้ ยเพยี งใด
ประโยชนข์ องการวดั ผลและประเมนิ ผล
1. ประโยชนต์ อ่ ผ้เู รยี น
1.1 ทาให้รู้ว่าตนเองเกง่ – ออ่ นวชิ าใด และจะพัฒนาตนเองอยา่ งไร
1.2 เกดิ แรงจงู ใจในการเรยี นมากย่ิงข้นึ ผู้เรียนเกง่ อยแู่ ล้วก็จะอ่านเพอ่ื พัฒนาผลการเรียน
ใหส้ งู ข้ึนหรอื รกั ษามาตรฐานการเรยี นของตนเองไว้ ส่วนผู้ท่ีเรยี นออ่ นกจ็ ะพยายามอ่านเพื่อปรับปรุง
การเรียนของตนเองให้ดกี วา่ เดมิ
1.3 ช่วยใหเ้ ข้าใจเน้ือหาทเี่ รียนไดล้ ุ่มลกึ มากขึ้น เน่อื งจากการวัดและประเมนิ ผลบอ่ ย ๆ
จะทาใหผ้ เู้ รยี นอา่ นหนังสอื ทบทวนเนื้อหาอยูต่ ลอดเวลา ทาให้มคี วามรูช้ ดั เจนมากยิ่งขึ้น
1.4 ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมีความรู้เพม่ิ เติมจากเนอื้ หาทีเ่ รยี น การวัดและประเมินผลการเรียน
นอกจากจะชว่ ยให้ผเู้ รียนมคี วามรลู้ ุ่มลึกแล้ว ยังช่วยให้ผู้เรียนศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมทาให้เกิดการ
เรียนรเู้ พิ่มเตมิ มากยง่ิ ข้นึ
1.5 ช่วยใหผ้ เู้ รยี นทราบจุดมุ่งหมายในการเรยี นมากย่งิ ข้ึน และความต้องการของครูได้
อยา่ งถกู ตอ้ ง
1.6 ทาใหเ้ กิดเครือขา่ ยการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลแต่ละครั้งจะช่วยให้นักเรียน
เกดิ การรวมกลมุ่ ทบทวนเนือ้ หาท่ีเรียนเพ่ือชว่ ยเหลอื ซง่ึ กันและกันมากย่งิ ขน้ึ ทั้งระหว่างนักเรียนในห้อง
และระหวา่ งหอ้ งเรยี น
18
2. ประโยชน์ต่อครูผสู้ อน
2.1 ผลการวัดและประเมินจะทาให้ครูทราบข้อมูลของนักเรียนแต่ละคนว่า เก่ง – อ่อน
เพียงใด ครจู ะชว่ ยเสรมิ คนเกง่ และหาทางกระตุ้นช่วยเหลือคนเรยี นอ่อนอย่างไร
2.2 ชว่ ยใหค้ รูพฒั นาเทคนคิ การสอนให้เหมาะสมสอดคล้องกับผเู้ รยี นแต่ละคน เพราะ
การวัดและประเมินผลจะช่วยให้ครูทราบว่ามีผู้ผ่าน – ไม่ผ่านกี่คน อันจะเป็นข้อมูลพ้ืนฐานการ
ปรับปรุงการจดั การเรยี นการสอนของตนเองให้มปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ
2.3 ช่วยให้ครูทราบว่าตนเองมีการจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพเพียงใด การ
จัดการเรยี นการสอนแต่ละครงั้ ครกู ็จะต้องมีจดุ มงุ่ หมายว่าจะใหผ้ เู้ รยี นรอู้ ะไรบา้ ง และจะตดั สนิ ใหผ้ า่ น
อย่างไร ได้ทาการจัดการเรียนการสอนบรรลุตามจดุ มงุ่ หมายทีไ่ ดก้ าหนดไว้มากนอ้ ยเพยี งใด
3. ประโยชนต์ ่อผู้บรหิ าร
3.1 ทาให้ทราบว่ามาตรฐานการศึกษาโดยรวมแต่ละกลุ่มของโรงเรียนอยู่ในระดับใด
เมือ่ เทยี บกบั มาตรฐานของกล่มุ ของเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา และระดับชาติ
3.2 ช่วยให้สามารถวางแผนบริหารการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมาก
ยงิ่ ขึ้น เช่น การใช้หลักสูตรการศกึ ษา การรับนกั เรียนเข้าใหม่ การจัดช้ันเรียน การส่งเสริมนักเรียนที่
เรียนเกง่ การสอนเสริมนักเรียนทีเ่ รียนอ่อน
3.3 ช่วยในการวางแผนปรับปรงุ ประสิทธิภาพงานบริหารบุคคล เช่น การคัดเลือกบุคคล
เขา้ มาทางาน การจัดครเู ข้าชัน้ การเรยี น การพฒั นาครผู สู้ อน การใหค้ วามดีความชอบ เปน็ ตน้
3.4 ช่วยในการประชาสมั พันธ์โรงเรียนให้ผู้ปกครองและผทู้ ่ีมสี ่วนได้ส่วนเสยี ทราบ
4. ประโยชนต์ ่อผู้ปกครอง
4.1 ทาให้ทราบระดับความรู้ ความสามารถ ทักษะ เจตคติและความถนัดของบุตร
หลานตนเอง
4.2 ชว่ ยให้ผู้ปกครองตัดสินใจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อของบุตร
หลานตนเอง
5. ประโยชนต์ อ่ ฝ่ายแนะแนว
5.1 ข้อมูลจากการวดั และประเมนิ ผลจะเปน็ ข้อมลู พ้ืนฐานในการใหค้ าปรกึ ษา แนะนา
ของฝา่ ยแนะแนวเกีย่ วกับการศกึ ษาต่อ การเลอื กอาชพี และปัญหาสว่ นตัวของผู้เรียน
5.2 ช่วยใหฝ้ า่ ยแนะแนวเสนอแนวทางการปรับปรุงพฒั นาการจัดการเรียนการสอนต่อ
ฝา่ ยบริหาร
5.3 ช่วยให้ฝ่ายแนะแนวใชเ้ ป็นขอ้ มลู พน้ื ฐานเพื่อประชาสมั พันธห์ รอื แนะนาโรงเรยี นแก่
นักเรยี นหรอื บุคคลผู้มสี ่วนได้ส่วนเสยี
6. ประโยชน์ต่อการวิจัย
6.1 ขอ้ มูลจากการวดั และประเมินผลสามารถนาไปใช้เปน็ ขอ้ มลู พืน้ ฐานในการวิจยั ต่อไปได้
6.2 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวัดและประเมนิ ผลสามารถนาไปปรับและใช้เป็นเครื่องมือในการ
วิจยั ได้
19
คณุ ธรรมของนกั วดั ผลและประเมินผล
การวัดผลและประเมินผลจะถูกต้องเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด นอกจากเครื่องมือวัดที่มี
ประสิทธิภาพแล้ว ผู้ที่ทาหน้าท่ีวัดและประเมินผล ก็มีความสาคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงควรมี
คณุ ธรรม ดงั ตอ่ ไปนี้
1. มีความซือ่ สตั ย์สุจรติ ผทู้ าหนา้ ท่ีวัดและประเมินผลต้องมีความซ่ือสัตย์สุจริตต่อหน้าตน
เช่น ไม่บอกข้อสอบหรือนาแบบทดสอบไปขาย หรือคัดลอกข้อสอบออกไปจากห้องสอบ หรือแก้
คะแนนสอบหรอื ผลการเรยี นกับผู้หนึ่งผ้ใู ดโดยเฉพาะ
2. มคี วามยุตธิ รรม ใหค้ วามยตุ ิธรรมแก่ทกุ คน ไม่ลาเอยี ง เช่น การตรวจให้คะแนนต้องไม่
มคี วามลาเอียงกบั นกั เรยี นบางคน ตัดสนิ ดว้ ยความบริสุทธใ์ิ จไม่ลาเอียง
3. มคี วามรับผดิ ชอบสงู เน่ืองจากงานวดั ผลมีความสาคัญมาก ดังนน้ั ผู้ท่ที าหนา้ ทน่ี จ้ี ะต้อง
เปน็ ผู้ท่ีเก็บความลบั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ถา้ เป็นผอู้ อกขอ้ สอบก็ทาอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและไม่เผลอเรอทาให้
ขอ้ สอบร่วั ไหล และทางานใหเ้ สรจ็ ตามทีไ่ ดร้ บั มอบหมาย ถา้ เปน็ ผคู้ ุมสอบก็ต้องปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีคุมสอบ
ตามระเบียบและส่งขอ้ สอบตามเวลาที่กาหนด
4. มีความขยันและอดทน งานวดั และประเมนิ ผลเปน็ งานที่ตอ้ งกระทาตอ่ เน่อื งกับการเรียน
การสอน ดงั นัน้ ครผู สู้ อนจะตอ้ งอาศยั ความขยนั อดทน ทาอย่างถกู ต้อง เพื่อให้เกิดความเท่ยี งตรง
5. มคี วามละเอียดรอบคอบ งานด้านการวดั และประเมนิ ผลต้องทาอยา่ งถกู ตอ้ ง เพอื่ ใหเ้ กดิ
ความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้มากที่สดุ เพราะถา้ ผดิ พลาดขึน้ มาจะสง่ ผลเสียหายตอ่ ผเู้ ข้าสอบมากมาย
ดังนั้น จงึ ตอ้ งใช้ความละเอยี ดถี่ถ้วนและความสุขุมรอบคอบในการทา ไม่ว่าจะเป็นการออกข้อสอบ
การเตรียมแบบทดสอบ การบรรจุซอง การตรวจให้คะแนน การตรวจทานคะแนน การรวมคะแนน
การกรอกคะแนน การตดั สนิ ผลหรือให้เกรด เปน็ ต้น
6. มีความสนใจหลักการวัดและประเมินผลอยู่เสมอ เน่ืองจากศาสตร์ทางด้านการวัดและ
ประเมนิ ผลมีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขนึ้ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น จึงต้องให้ความสนใจ ติดตาม
และแสวงหาความรู้อย่างตอ่ เนอ่ื งเพ่อื นามาใช้ในการพฒั นางานและวชิ าชีพของตนเอง
สรปุ
การวัดผลและประเมินผลเป็นกระบวนการท่ีสาคัญในการจัดการศึกษา และสัมพันธ์กับ
กระบวนการเรียนการสอนในช้ันเรยี น โดยมปี รชั ญาทีส่ าคญั คือ การวดั เพือ่ ค้นหาและพัฒนาสมรรถภาพ
ของผเู้ รยี น บทบาทสาคญั ของการประเมินผลการเรียนการสอนคือ เพ่ือจัดตาแหน่งผู้เรียนสาหรับ
การคดั เลอื กบคุ คลท่ีเหมาะสมท่ีสุดหรอื จาแนก แยกแยะบุคคลตามความสามารถ ปรับปรุงการเรียน
การสอน วินิจฉัยผเู้ รยี น เปรียบเทยี บความสามารถของผเู้ รียน ดพู ัฒนาการของผู้เรียน เพ่ือเป็นการ
เพิ่มแรงจูงใจหรอื เสรมิ แรงในการเรียน ใช้ในการแนะแนวผู้เรียนตามความถนัดและความสนใจของ
ผ้เู รียนในการเรยี นตอ่ หรอื ในการประกอบอาชีพ และใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการตดั สนิ ในการบรหิ าร
20
ธรรมชาติของการวัดผลการเรยี นการสอนท่คี วรคานงึ ถงึ คอื การวัดผลการเรียนการสอนเป็นการ
วดั ผลทางอ้อม เปน็ การวดั ผลท่ไี มส่ มบรู ณ์ การวัดผลเกิดความผดิ พลาดทุกคร้งั ท่ีมีการวัดและคะแนน
จากการวดั ผลเปน็ ค่าคะแนนในลกั ษณะสมั พนั ธ์ ผมู้ หี นา้ ท่ีในการวดั ผลและประเมนิ ผลต้องมีคุณธรรม
จริยธรรมในการวัดเพอ่ื ให้ผลการวดั ทีเ่ ชื่อถอื ได้ ไดแ้ ก่ ยุติธรรม ความซ่ือสัตย์ ขยันอดทน ละเอียดถ่ี
ถ้วนรอบคอบ และตรงตอ่ เวลา
คาถามทา้ ยบท
1. จงบอกความหมายของการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผล
2. จากรายการทก่ี าหนดให้ตอ่ ไปน้ี ใหพ้ จิ ารณาวา่ เป็นการทดสอบ การวัด และการประเมนิ ผล
2.1 รณชยั สูง 180 ซม.
2.2 ผลการสอบของเอกพงษใ์ นรายวิชาคณติ ศาสตร์ได้ 28 คะแนน
2.3 พรพรรณเลอื กซอ้ื ส้มเขียวหวาน
2.4 เอกราชสอบตกวชิ าภาษาองั กฤษ
2.5 ลมพดั ด้วยความเร็ว 50 ไมล์/ช่ัวโมง
3. จงอธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่างการวดั และประเมนิ ผล
4. จงอธบิ ายปรชั ญาการวัดผลทีก่ ลา่ ววา่ “วดั เพ่ือค้นหาและพฒั นาสมรรถภาพผเู้ รียน”
5. จงอธิบายธรรมชาตขิ องการวัดผลการศึกษา และหลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษามี
ความสมั พนั ธ์กนั อย่างไร
6. จงอธบิ ายการวดั และประเมนิ ผลกอ่ นเรียน ระหวา่ งเรียน และหลังเรยี นมีความสัมพันธ์กันอยา่ งไร
7. จงเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งการประเมินผลแบบองิ เกณฑ์ และแบบองิ กลมุ่
8. จงบอกความมงุ่ หมายของการวัดและประเมนิ ผลการศึกษามาอยา่ งนอ้ ย 5 ข้อ
9. การประเมนิ ผลการเรียนมีประโยชน์ตอ่ ใครบ้าง และมีประโยชน์อยา่ งไร
10. ให้ศกึ ษากรณีศกึ ษาจากตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี แลว้ วิจารณค์ ุณธรรมของนักวัดผลและประเมนิ ผลที่พงึ มี
ครวู ายเุ ป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ในโรงเรียนท่ีมีช่ือเสียงแห่งหนึ่ง สอนหนังสือดี เป็นผู้มี
ความรคู้ วามสามารถ ได้รับรางวัลตลอดเวลาเม่ือนาผลงานไปนาเสนอ แต่ชอบขาดสอนบ่อย มีกิจธุระ
บอ่ ย ทาให้นกั เรียนตอ้ งนัดให้ครูวายสุ อนนอกเวลาเรยี น เชน่ หลังเลิกเรยี น หรือวันหยดุ เพือ่ นาเสนอ
งานและเลี้ยงอาหารครูวายุไปด้วย ผู้เรียนคนใดที่เอางานมาส่งให้ตรวจในห้องเรียน หรือเวลาพัก
งานมักไมค่ ่อยผ่านและถา้ เอามาใหต้ รวจนอกเวลาเรียนงานมักจะผา่ น จนผู้เรยี นทกุ คน ทุกรนุ่ เกิดการ
เรยี นรแู้ ละบอกตอ่ ๆ กันถงึ เร่ืองวธิ กี ารเรยี นวิชาน้ใี หไ้ ด้ผลดี และเมือ่ ถงึ เวลาสอบปลายภาคเรียนหรือ
ปลายปขี ้อสอบท่ีออกทกุ ครง้ั จะถามผูเ้ รยี นว่าอยากไดเ้ กรดอะไร และเม่ือผู้เรียนเขียนตอบไปว่าอยาก
ไดเ้ กรด 4 ก็จะไดจ้ ริง ๆ ท้งั ๆ ทคี่ นทอี่ ยากได้เกรด 4 นัน้ ความจริงเรยี นสู้คนทไี่ ด้เกรด 3 – 3.5 ไม่ได้
ผู้เรยี นไดน้ าเร่ืองน้ีไปเลา่ ใหค้ รูในกลุ่มสาระฯ และครูวิชาการ แต่ก็ไม่มีใครทาอะไรได้ เพราะครูวายุ
มตี าแหน่งทางวิชาการท่สี งู และเปน็ ผ้สู ร้างช่ือเสียงให้แก่โรงเรยี น ผู้เรียนยอมทนเพราะต้องการเรียนจบ
เมื่อเรยี นจบแลว้ กจ็ ะไปพูดลับหลงั ว่าเรยี นวิชาน้หี มดเงินไปมาก และขออย่าไดเ้ จอครูแบบนอี้ กี
21
10.1 ใหน้ กั ศึกษาวิเคราะห์ครูวายตุ ามหลกั คณุ ธรรมจริยธรรมของนกั วัดผลและประเมินผล
10.2 ถา้ นักศึกษาเป็นผปู้ ระสบกบั เหตกุ ารณ์เช่นน้จี ะทาอย่างไร
เอกสารอ้างอิง
ชวาล แพรัตนกุล. (2518). เทคนิคการวดั ผล. กรงุ เทพฯ : วฒั นาพาณิช.
ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง. (2546). “การประเมนิ จิตพสิ ัย”. ใน สุวมิ ล วอ่ งวาณิช. การประเมินผล
การเรียนร้แู นวใหม่. (196 – 199). กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ธนวฒั น์ ธิติธนานันท.์ (2554). การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้ังที่ 2. นครราชสีมา :
คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา.
บุญธรรม กจิ ปรดี าบริสทุ ธ์.ิ (2535). ค่มู อื การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน. พิมพค์ รงั้ ที่ 2.
กรงุ เทพฯ : สามเจรญิ พานชิ .
พิชิต ฤทธ์ิจรญู . (2553). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพ์ครั้งท่ี 6. กรงุ เทพฯ : เฮ้าส์
ออฟ เคอรม์ ิสท์.
ภัทรา นิคมานนท.์ (2537). การประเมินผลและการสรา้ งแบบทดสอบ. พิมพ์ครงั้ ที่ 8. กรงุ เทพฯ :
ทิพยว์ ิสุทธิก์ ารพิมพ.์
ราตรี นันทสคุ นธ์. (2553). หลักการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (ฉบับปรับปรงุ ). กรงุ เทพฯ :
จุดทอง.
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2539). เทคนิคการวัดผลการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : ชมรมรักเด็ก.
วนิดา เดชตานนท์. (2540). การประเมนิ ผลการเรียน. พมิ พ์คร้ังท่ี 3. นครราชสมี า :
ภาควิชาวิจัยการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภฏั นครราชสีมา.
ศริ ิชัย กาญจนวาสี. (2548). ทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดมิ (Classical Test Theory). พมิ พ์ครัง้ ท่ี 5.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
สมนึก ภัททิยธนี. (2551). การวัดผลการศึกษา. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 6. กรุงเทพฯ : ประสานการพมิ พ.์
อุทมุ พร จามรมาน. (2530). การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นการสอนระดับอุดมศกึ ษา. กรุงเทพฯ :
ฟันนพ่ี บั ลซิ ซง่ิ .
Airasian W. Peter. (1997). Classroom Assessment. 3nd ed. New York : McGraw - Hill Inc.
Bloom, Benjamin S., J. Thomas Hasting and George F. Madaus. (1971). Handbook on
Formative and Summative Evaluation of Student Learning. New York :
McGraw – Hill Inc.
Chase, C.I. (1987). Measurement for Education Evaluation. 2nd ed. Philippines :
Addison – Wesley Publishing Company. Inc.
Gronlund, Norman E. (1976). Measurement and Evaluation in Teaching. 3rd ed.
New York : Mcmilang.
Sax, Gilbert. (1989). Principles of Educational and Psychological Measurement and
Evaluation. 3rd ed. United Stats : Wadsworth Publishing Company Inc.
22
Wiersam, W and Jure, S. G. (1990). Educational Measurement and Testing. 2nd ed.
Massachusetts : A Division of Simom & Schuster. Inc.
บทที่ 2
พฤตกิ รรมของการศึกษา
พฤตกิ รรมของการศกึ ษา เป็นคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์จะให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนตามขั้นตอน
ของกระบวนการเรยี นการสอนเพอ่ื พฒั นาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และมีการตรวจสอบ
โดยผ้สู อน ซึ่งวิธีการตรวจสอบคุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้เรียนนั้น ผู้สอนต้องมี
ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับพฤติกรรมของการศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของ
การศึกษากับการประเมินผล
การจาแนกพฤตกิ รรมของการศกึ ษา
จดุ มุ่งหมายที่สาคัญของการศึกษา คือ เพื่อให้บุคคลเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปในทิศทาง
ที่ตอ้ งการพฤตกิ รรมเหล่านจ้ี าแนกและจดั ลาดับออกเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า Taxonomy of Educational
Objectives ซงึ่ Bloom et.al (1968) ได้แบง่ จาแนกพฤติกรรมของการศกึ ษาออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธิพิสัย พฤตกิ รรมดา้ นจติ พิสัย และพฤตกิ รรมด้านทักษะพิสัย มรี ายละเอียดดังนี้
1. พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย (Cognitive Domain) เปน็ พฤติกรรมดา้ นความรูค้ วามสามารถ
ดา้ นสมองหรอื สติปญั ญาของแตล่ ะบคุ คลในการคิดหรอื เรยี นรสู้ งิ่ ต่าง ๆ แบง่ ออกเปน็ 6 ระดับ ซึ่งเรียง
ระดับพฤติกรรมจากงา่ ยที่สดุ ถงึ ยากที่สดุ คือ
1.1 ความรู้ ความจา (Knowledge) หมายถึง ความสามารถของสมองในการจดจา
(Memorization) และระลึกออกมาได้ (Recall) เกี่ยวกับเรื่องราวหรือส่ิงต่าง ๆ ที่ได้รับรู้หรือได้รับ
ประสบการณม์ าแลว้ แบง่ ออกเป็น 3 ดา้ น ดงั น้ี
1) ความรูใ้ นเนอื้ เรอื่ งเฉพาะ (Knowledge of Specifics)
1.1) ความรเู้ กี่ยวกบั ศพั ทแ์ ละนิยาม (Knowledge of Terminology) เป็น
ความสามารถของสมองในการบอกความหมายของคา นิยาม คาจากัดความ สัญลักษณ์ หรือ
ภาพอักษร และเครื่องหมายต่าง ๆ เช่น ให้คานิยามศัพท์ทางสถิติ คณิตศาสตร์ได้ บอกความหมาย
ของ “การวัดผล” ได้ เปน็ ต้น
1.2) ความรู้เกี่ยวกับกฎและความจริง (Knowledge of Specific Facts)
เปน็ ความสามารถของสมองในการบอกกฎ สตู ร ทฤษฎี และขอ้ เท็จจริงตา่ ง ๆ หรือสมมติฐานท่ีเคยเรียน
แล้ว ถามเน้ือเรื่อง ขนาด จานวน สถานท่ี เวลา คุณสมบัติ วัตถุประสงค์ สาเหตุและผลท่ีเกิด
ประโยชน์และโทษ และสทิ ธิหนา้ ท่ี เชน่ สามารถบอกสูตรการหาพน้ื ท่ีส่เี หล่ยี มผนื ผ้าได้ เปน็ ต้น
2) ความรู้ในวิธีดาเนินการ (Knowledge of Way and Means of Dealing
with Specific) เป็นความสามารถในการรู้เกย่ี วกับวธิ กี าร ลาดับข้ันตอนการปฏิบัติ แยกออกเป็น 5
ประเภท คือ
24
2.1) ความรู้เกี่ยวกับระเบียบแบบแผน (Knowledge of convention)
เป็นความสามารถในการบอกระเบียบ แบบแผน แบบฟอร์ม หรอื กจิ กรรมตา่ ง ๆ ที่เป็นท่ียอมรับของ
สงั คม เชน่ บอกลกั ษณะการแต่งกายของภาคต่าง ๆ ได้ บอกแผนผังกาพย์ยานี 11 ได้ เป็นตน้
2.2) ความรเู้ กยี่ วกับลาดับข้ันและแนวโน้ม (Knowledge of Trends and
Sequence) เปน็ ความสามารถในการบอกขั้นตอนก่อนหลังหรือเรียงลาดับได้ถูกต้อง และสามารถ
บอกทศิ ทางการเปลยี่ นแปลงทีจ่ ะเกิดในอนาคตจากเหตุการณห์ รือเรื่องราวต่าง ๆ ที่มักเกดิ ขึน้ บอ่ ย ๆ
ในปัจจุบัน เชน่ บอกแนวโนม้ ของปัญหาการศกึ ษาไทยได้ เปน็ ต้น
2.3) ความรู้เกี่ยวกับการจดั ประเภท (Knowledge of Classification and
Categories) เป็นความสามารถในการจาแนก แจกแจง จัดประเภท จัดหมวดหมู่ ตามคุณลักษณะ
คณุ สมบัติ เรื่องราว หรอื ปรากฏการณต์ ่าง ๆ เชน่ สามารถจดั ประเภทของอาหารตามคณุ ค่าอาหารได้
สามารถจัดหมวดหมขู่ องของใชใ้ นบา้ นได้ เปน็ ต้น
2.4) ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์ (Knowledge of Criteria) เป็นความสามารถ
ในการบอกเกณฑ์เหตผุ ลในการพจิ ารณาหรอื วนิ ิจฉัยส่งิ ต่าง ๆ ตามทอ้ งเรอ่ื งนั้น ๆ เช่น บอกไดว้ า่ อะไร
เปน็ เกณฑต์ ัดสินวา่ ใครผ่านหรอื ไม่ผ่าน เป็นตน้
2.5) ความรู้เกี่ยวกับวิธีการ (Knowledge of Methodology) เป็นความ
สามารถในการบอกขั้นตอนหรือกระบวนการในการปฏิบัติของเร่ืองราว และเหตุการณ์ต่าง ๆ อันจะ
ไดม้ าของผลลัพธท์ ต่ี ้องการ เชน่ บอกวิธกี ารแก้สมการได้ บอกวธิ กี ารเตรยี มแปลงผกั ได้ เป็นตน้
3) ความรู้รวบยอดในเน้ือเร่ือง (Knowledge of The Universal and Abstractions
in a Field) เป็นความสามารถของสมองที่เกี่ยวข้องกับการหาหลักการ ข้อสรุปที่เป็นหัวใจของ
เรอ่ื งราวหรอื ส่ิงตา่ ง ๆ เพือ่ สร้างเปน็ ทฤษฎีหรือโครงสร้างของเร่ืองราวหรือสิ่งต่าง ๆ นั้น แยกเป็น 2
ประเภทคือ
3.1) ความรู้เก่ียวกับหลักวิชาและการขยาย (Knowledge of Principles
and Generalizations) เป็นความสามารถของสมองในการสรุปหลักการหรือใจความสาคัญของ
เรอื่ งและสามารถนาหลักการท่ไี ดไ้ ปอธบิ ายขยายผลเร่อื งอน่ื ๆ ทีม่ ลี กั ษณะคลา้ ยคลึงกันได้ เช่น บอก
ได้วา่ จานวนสมาชกิ วฒุ ิสภาแต่ละจังหวดั พิจารณาจากส่งิ ใด เป็นตน้
3.2) ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีและโครงสร้าง (Knowledge of Theories
and Structures) เป็นความสามารถของสมองในการนาหลักวิชา คติ หลักการหลาย ๆ อย่างท่ี
สัมพันธ์กันหรืออยู่ในสกุลเดียวกัน มารวมกันจนกลายเป็นเนื้อหาหรือโครงสร้างใหม่ในเน้ือเร่ือง
เดยี วกัน เช่น สามารถสรปุ ประวัติศาสตรส์ โุ ขทยั ทไ่ี ดเ้ รียนร้มู าได้ บอกคุณสมบตั ขิ องสสารได้ เป็นตน้
1.2 ความเข้าใจ (Comprehension) หมายถึง ความสามารถในการผสมผสานแล้ว
ขยายความรคู้ วามจาไปดดั แปลงปรบั ปรุงโดยการแปลความหมาย ตคี วามหมาย เพื่อใชใ้ นสถานการณ์
อื่นทแ่ี ปลกใหมอ่ อกไปอย่างมีความหมาย แบ่งออกเปน็ 3 ดา้ น ดงั นี้
1) การแปลความ (Translation) หมายถึง ความสามารถในการแปลภาษาจาก
เรอ่ื งราวเดิมไปเปน็ อกี ภาษาหนึง่ แตย่ ังคงความหมายไว้เหมอื นเดิม ไดแ้ ก่ การแปลความหมายของคา
และข้อความ การแปลความหมายของภาพและสัญลกั ษณ์ การแปลบทประพนั ธ์ สุภาษติ และคาพังเพย
25
ตัวอยา่ งการแปลความหมาย เช่น แปลประโยคภาษาไทยเป็นภาษาองั กฤษจาก
คาสุภาษติ แปลความหมายจากกราฟแทง่ เป็นตน้
2) การตีความ (Interpretation) หมายถึง ความสามารถในการสรุปใจความ
สาคญั ของเร่อื งหรือการนาเร่ืองราวเดิมมาคิดในรูปแบบใหม่ หรือการนาผลสรุปที่เกิดจากการแปล
ความหลาย ๆ ส่ิงท่ีสัมพันธ์กันแล้วสรุปเป็นความหมายใหม่ที่ต่างไปจากเดิม เช่น อ่านเร่ืองแล้ว
ตคี วามหมายข้อคิดทีแ่ ฝงอยูใ่ นเนอ้ื เร่อื งได้ อ่านเรอ่ื งแล้วคน้ หาจุดม่งุ หมายของผแู้ ตง่ ได้ เป็นต้น
3) การขยายความ (Extrapolation) หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเน
เหตุการณ์ หรือการนาเรื่องราวต่าง ๆ ให้กว้างไกลไปจากข้อเท็จจริงท่ีมีอยู่ โดยอาศัยข้อมูลจาก
แนวโน้มตา่ ง ๆ มาช่วยในการพิจารณา และตอ้ งใชข้ ้อมลู จากการแปลความ และตคี วามทถ่ี กู ตอ้ งจึงจะ
สามารถขยายความได้ เช่น อ่านเร่ืองสั้นแต่อ่านไม่จบแล้วขยายความคิดไว้ว่าตอนจบน่าจะเป็น
อย่างไร คาดคะเนเหตุการณ์ท่เี กิดก่อนเหตุการณ์นไี้ ด้ เหตุการณน์ ้ีควรเกิดในสถานท่เี ชน่ ไร เป็นต้น
1.3 การนาไปใช้ (Application) หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ความจา
ความเข้าใจไปใช้แกป้ ญั หาในสถานการณ์ท่ีแปลกใหม่ ซงึ่ อาจจะมีลักษณะใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกับ
สถานการณ์เดิมกไ็ ด้ ปัญหาใหมน่ ้ันเป็นปญั หาท่ีไม่สามารถนาสูตร กฏ ที่เคยเรียนมาแก้ปัญหาได้โดย
ทันที จะต้องใช้ยุทธวิธีหลายอย่างในการแก้ปัญหานั้น คาถามในเร่ืองการนาไปใช้ ได้แก่ ถามความ
สอดคล้องระหว่างหลักวิชากับการปฏิบัติ ถามขอบเขตของการใช้หลักวิชา ถามให้อธิบายหลักวิชา
ถามใหแ้ กป้ ัญหา และถามเหตผุ ลของการปฏิบตั ิ เช่น ทาไมจึงนยิ มเก็บผักไว้ในตู้เย็น การแก้ประโยค
ทเี่ ขียนไวยากรณผ์ ิดได้ เครอื่ งใช้ไฟฟ้าใด ทเี่ ปล่ยี นพลังงานกลเปน็ พลังงานไฟฟา้ เปน็ ต้น
1.4 การวเิ คราะห์ (Analysis) หมายถงึ ความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของ
เรือ่ งราวสงิ่ ตา่ ง ๆ ออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ ได้ทาให้เห็นโครงสร้างว่าอะไรสาคัญท่ีสุด มีส่วนเก่ียวข้องกัน
อย่างไร และอยดู่ ้วยกนั โดยอาศยั หลักการใด แบง่ ออกเปน็ 3 ดา้ น ดงั น้ี
1) การวิเคราะห์ความสาคญั (Analysis of Element) หมายถึง ความสามารถ
ในการค้นหาจุดเด่น หรือหัวใจสาคัญของสิ่งน้ัน ๆ หรือเรื่องราวนั้น ๆ ตามเกณฑ์ที่กาหนดให้ เช่น
อา่ นบทความแลว้ บอกไดว้ ่าหวั ใจสาคัญของเร่อื งคอื อะไร ค้นหาเหตผุ ลของเร่อื งราวทอ่ี า่ นได้ เปน็ ต้น
2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analysis of Relationship) หมายถึง ความ
สามารถในการคน้ หาคุณลกั ษณะตา่ ง ๆ วา่ มคี วามเกีย่ วข้องสัมพันธก์ ันอย่างไร คล้อยตามกัน ขัดแย้งกัน
หรือไมเ่ ก่ยี วข้องสัมพนั ธก์ ันเลย เช่น แยกข้อความทไี่ มจ่ าเป็นในคาถามได้ เป็นตน้
3) การวิเคราะห์หลักการ (Analysis of Organizational Principles) หมายถึง
ความสามารถในการคน้ หาว่าโครงสร้าง ช้ินส่วน เรื่องราว ทางานหรือยึดติดกัน หรือคงสภาพน้ันได้
เพราะอาศัยหลกั การรว่ ม (Common Factor) อย่างใด ยึดอะไรเป็นหลักเกณฑ์ หรือมีสิ่งใดเป็นตัวเชื่อมโยง
เช่น การโฆษณาขายสนิ ค้าชวนเช่ือยึดหลกั การใด องคก์ รหรือหน่วยงานยกยอ่ งบุคคลประเภทใด เปน็ ตน้
1.5 การสงั เคราะห์ (Synthesis) หมายถงึ ความสามารถในการผสมผสานส่วนประกอบ
ย่อย ๆ ตั้งแต่ 2 ส่วนข้นึ ไปเข้าดว้ ยกันอย่างสมดุล โดยมีการเปล่ียนแปลง เพื่อสร้างให้เป็นส่ิงใหม่ ที่มี
คณุ ลักษณะโครงสร้างหรอื หนา้ ทแี่ ตกตา่ งไปจากเดิม แบง่ ออกเป็น 3 ดา้ น ดังนี้
26
1) การสังเคราะหข์ ้อความ (Production of Unique Communication) หมายถงึ
ความสามารถในการสงั เคราะห์ข้อความหรือภาษาต่าง ๆ ใหเ้ กดิ เปน็ เรอื่ งราวใหม่ โดยแสดงออกมาใน
รปู การพดู การเขยี น การแตง่ คาประพนั ธ์ การวาดภาพ และการแสดงต่าง ๆ เช่น ใครสามารถวาด
ภาพโดยอาศยั จนิ ตนาการของตนเองได้ สามารถแต่งกลอนได้โดยไม่ลอกเลียนแบบ เป็นตน้
2) การสังเคราะห์แผนงาน (Production of Plans and Proposed Set of
Operation) หมายถงึ ความสามารถในการกาหนดแนวทาง ขั้นตอน โครงการ กิจกรรม และรวมถึง
การออกแบบสิง่ ตา่ ง ๆ ไวล้ ว่ งหนา้ ใหส้ อดคล้องกบั ข้อมูลและเปา้ หมายทวี่ างไว้ เพื่อใหส้ ามารถทางานได้
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ เชน่ เขียนโครงงานวทิ ยาศาสตร์ วางแผนกิจกรรมการเรียนของตนเองได้ ท่านจะ
วางแผนการทางานอย่างไรจงึ จะได้เป็นครูตน้ แบบ เป็นตน้
3) การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ (Derivation of a Set of Abstract Relation)
หมายถึง ความสามารถในการนาเอาหลักการและแนวคิดท่ีเป็นนามธรรมย่อย ๆ มาผสมผสานกัน
เพ่ือให้เกิดเป็นรปู แบบใหม่ เป็นทฤษฎี กฎ สมมตฐิ าน สูตร หรอื เรือ่ งราวใหม่ท่ีแปลกและแตกต่างไป
จากเดมิ เช่น ใหต้ งั้ สมมติฐานเกย่ี วกับปญั หาทม่ี ีสาเหตแุ ละผลของเหตกุ ารณท์ เี่ กิดขึ้นใหม่ เม่ือกาหนด
ข้อจริงหรือเงอ่ื นไขของเรอื่ งราวให้แล้วสมมติสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถหาข้อยุติหรือข้อสรุปของ
เรื่องน้ันในแง่มุมต่าง ๆ ได้ จงอธิบายปัญหาที่แท้จริงของการศึกษาไทย จงตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับ
ปญั หาของการไมเ่ ขา้ ใจเรียนของนกั เรยี น เปน็ ตน้
1.6 การประเมินค่า (Evaluation) หมายถึง ความสามารถในการวินิจฉัย ตัดสิน ตีราคา
หรอื ลงสรปุ เกย่ี วกบั คุณค่าของสิง่ ต่าง ๆ ตามเกณฑม์ าตรฐานทีก่ าหนดไว้ แบ่งออกเปน็ 2 ด้าน ดังน้ี
1) การประเมินค่าโดยอาศัยเกณฑ์ภายใน (Judgment in Terms of Internal
Evidence) หมายถงึ ความสามารถพิจารณาตดั สนิ คณุ ค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเน้ือเร่ือง
มาเป็นหลักในการตดั สิน เช่น การตัดสินพฤติกรรมของนักเรียนวา่ กระทาถูกต้องหรือไม่ตามระเบียบ
ของโรงเรยี น ควรเพิม่ สิง่ ใดจงึ จะทาใหข้ อ้ สอบมคี วามเชื่อม่นั สงู จากเรื่องทองเน้ือเก้า ลายองเป็นคน
ประเภทใด การทเ่ี ด็กเล่นมือถอื ในขณะเรียนดีหรือไม่ เพราะเหตุใด เป็นตน้
2) การประเมินคา่ โดยอาศัยเกณฑ์ภายนอก (Judgment in Terms of External
Evidence) หมายถึง ความสามารถพจิ ารณาตัดสนิ คุณค่าตามเกณฑ์ภายนอกท่ีกาหนดไว้มาตรฐาน
ของสังคมหรอื จารตี ประเพณี เปน็ การตดั สนิ สิ่งตา่ ง ๆ โดยใช้เกณฑ์อื่น ๆ ท่ีอยู่นอกเหนือเร่ืองราวน้ัน
แต่มคี วามสมั พันธ์กบั เร่อื งนั้น เกณฑ์ภายนอกอาจจะเป็นเกณฑ์ทางสังคม เช่น การตัดสินพฤติกรรม
ของเยาวชน โดยใช้เกณฑ์วัฒนธรรมไทยว่าเหมาะสมหรือไม่ ซ่ึงอาจแตกต่างจากการตัดสินโดยใช้
เกณฑจ์ ิตวิทยา การตดั สนิ คุณค่าของวิชาบางวิชาตามสภาพสังคมปัจจุบันว่ามีคุณค่าเพียงใดกับการ
เรยี นในยคุ ปัจจุบนั เปน็ ต้น
27
ดงั นน้ั พฤตกิ รรมด้านพทุ ธพิ สิ ยั เกิดขนึ้ เปน็ ลาดบั ขน้ั ดงั ภาพท่ี 2.1
6.1 เกณฑ์ภายใน
6. การประเมินค่า
6.2 เกณฑ์ภายนอก
5.1 การสังเคราะห์ข้อความ
5. การสังเคราะห์ 5.2 การสงั เคราะหแ์ ผนงาน
5.3 การสงั เคราะห์ความสมั พนั ธ์
4.1 การวเิ คราะหค์ วามสาคญั
4. การวเิ คราะห์ 4.2 การวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์
4.3 การวิเคราะหห์ ลกั การ
3. การนาไปใช้
2.1 การแปลความ
2. ความเข้าใจ 2.2 การตคี วาม
2.3 การขยายความ
1.1.1 ศพั ทแ์ ละนิยาม
1.1 ในเรือ่ ง
1.1.2 กฎและความจริง
1. ความรู้ – ความจา 1.2.1 ระเบยี บแบบแผน
1.2 วธิ ีดาเนนิ การ 1.2.2 ลาดับขน้ั และแนวโนม้
1.2.3 การจดั ประเภท
1.2.4 เกณฑ์
1.2.5 วธิ ีการ
1.3 ความรรู้ วบยอด 1.3.1 หลกั วิชา และการขยาย
ในเน้อื เรื่อง 1.3.2 ทฤษฎแี ละโครงสร้าง
ภาพที่ 2.1 ลาดบั ขน้ั ของพฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั
28
การแบง่ พฤตกิ รรมทางด้านพุทธิพสิ ยั น้ันบางคนแบ่งเปน็ 2 ส่วน คือ ส่วนความจาและส่วน
ความคิด ดังภาพที่ 2.2
ส่วนพ้นื ฐาน ความจา
ส่วนหลงั รวมเรียกว่า ความเขา้ ใจ
“ความคดิ ” การนาไปใช้
การวิเคราะห์
การสงั เคราะห์
การประเมินคา่
ภาพที่ 2.2 การแบ่งพฤติกรรมด้านพทุ ธพิ ิสัย
ทีม่ า : สานักงานคณะกรรมการเอกชน (2535 : 4)
2. พฤติกรรมดา้ นจติ พิสัย (Affective Domain) เป็นพฤติกรรมท่ีเกย่ี วกบั ความร้สู กึ นกึ คดิ
หรอื อารมณ์ พฤตกิ รรมดา้ นนี้ ได้แก่ ความสนใจ ความซาบซึ้ง เจตคติ ค่านิยม และการปรับตัว ซึ่ง
เป็นพฤตกิ รรมท่ตี อ้ งอาศัยการปลูกฝัง ซึ่งเรียงพฤติกรรมข้ันง่ายสุดไปหาขั้นยากท่ีสุด มี 5 ระดับคือ
การรับรู้ การตอบสนอง การสรา้ งค่านยิ ม การจดั ระบบค่านิยม และการสร้างลักษณะนิสัย
พฤตกิ รรมดา้ นจิตพสิ ัยมรี ะดับพฒั นาการเป็น 5 ขัน้ ดงั นี้
5. ข้ันสรา้ งคณุ ลกั ษณะ เปน็ ขั้นท่ผี ู้เรียนสร้าง
ลกั ษณะทด่ี แี ก่ตนเอง โดยนาเอาระบบคุณค่ามา
เรียบเรยี งปรบั ปรุงรูปแบบพฤติกรรมของตนเอง
4. ข้นั จดั ระบบคณุ ค่า เป็นขัน้ ท่ีผู้เรยี นนาเอาคุณค่าทีต่ น
ตอบสนองตอ่ สิ่งตา่ ง ๆ หลาย ๆ คุณคา่ ที่อาจคลา้ ยกันหรือ
แตกตา่ งกันมาจดั เรียบเรยี งขนั้ เปน็ ระบบคุณคา่
3. ข้ันให้คุณค่า เปน็ ข้ันท่ีผู้เรยี นตัดสนิ หรอื ประเมินคุณคา่ จากการ
ตอบสนองในลกั ษณะของการยอมรับ ให้ความสาคญั พึงพอใจ
2. ข้ันตอบสนอง เปน็ ข้ันทผี่ เู้ รียนแสดงอาการตอบสนองตง้ั แต่การยอมรบั และ
ปฏิบัตติ ามด้วยความสมัครใจจนถงึ พึงพอใจในการปฏบิ ัติตาม
1. ขน้ั รบั รู้ เปน็ ขั้นที่ผู้เรียนจะเกิดการรับรู้สง่ิ ตา่ ง ๆ ท้งั ในรปู ของวตั ถุ ส่ิงของ หรือ
แนวคดิ รวมทง้ั เกิดความตั้งใจท่ีจะรบั รูใ้ นสิง่ นั้น ๆ
ภาพที่ 2.3 ระดับพฒั นาการด้านจิตพิสยั
29
แครธโรลและคณะ (Krathwoh and other. 1984) ได้ปรบั แนวคดิ ของบลมู เก่ียวกับลาดับ
ขั้นตอนของพฤติกรรมด้านจิตพิสัย โดยลาดับมโนภาพของการเกิดความรู้สึก เร่ิมจากความสนใจ
(Interest) มาเป็นอันดับแรก ตามด้วยความซาบซ้ึง (Appreciation) เจตคติ (Attitude) ค่านิยม
(Value) และการปรบั ตวั (Adjustment) แต่ถ้ามองในการลาดับความรู้สึกเป็นข้ัน ๆ จะเริ่มจากการ
รับรู้ (Receiving) การตอบสนอง (Responding) การสร้างค่านิยม (Valuing) การจัดระบบค่านิยม
(Organization) และการสร้างลักษณะนิสัยโดยอาศัยคุณค่าท่ีซับซ้อน Characterization By a
Value Complex) ดงั ตารางที่ 2.1
ตารางที่ 2.1 แนวคดิ การจดั จาแนกระดบั ความรสู้ กึ ตามแนวคิดของแครทโรลและคณะ
1. การรับรู้ 1.1 การร้จู กั สง่ิ เร้า ความสนใจ
1.2 การยินดีรบั รู้ ความซาบ ้ึซง
2. การตอบสนอง 1.3 การควบคมุ หรอื คดั เลอื กสิ่งเร้า เจตคติ
2.1 การยินยอมตอบสนอง ค่า ินยม
3. การสรา้ งค่านยิ ม 2.2 การเต็มใจตอบสนอง การปรับตัว
4. การจดั ระบบค่านิยม 2.3 การพึงพอใจตอบสนอง
5. การสรา้ งลกั ษณะนสิ ัย 3.1 การยอมรบั ในค่านิยม
3.2 การช่ืนชอบค่านิยม
3.3 การสร้างค่านิยม
4.1 การสรา้ งมโนทศั น์ของค่านิยม
4.2 การจดั ระบบคา่ นยิ ม
5.1 การสรา้ งลกั ษณะนสิ ยั ท่ัวไป
5.2 การสร้างลกั ษณะนิสยั แทจ้ รงิ
2.1 การรบั รู้ (Receiving or Attending) เป็นขน้ั ที่บคุ คลเรม่ิ รูส้ กึ ว่ากาลงั สมั ผสั กับสงิ่ เร้า
อยา่ งใดอย่างหน่ึง และเร่ิมสนใจและพิจารณาเลือกส่งิ เหลา่ นัน้ แบ่งออกเปน็ 3 ข้ันคอื
1) การรู้จักส่ิงเร้า (Awareness) เป็นข้ันท่ีบุคคลรับรู้ส่ิงเร้าสิ่งต่าง ๆ ผ่านทาง
ประสาทสมั ผัสทงั้ 5 และยอมใหส้ ่งิ นนั้ อย่ใู นความสนใจของตนเอง เชน่ นกั เรยี นเดินผ่านตลาดนึกคิด
วา่ นา่ สนใจเหมือนกัน เปน็ ตน้
2) การยินดีรับรู้ (Willing to Receive) เป็นข้ันที่บุคคลเริ่มแยกแยะความ
แตกตา่ งระหวา่ งสิ่งเร้านนั้ กับส่ิงเร้าอื่น ๆ และมีความพึงพอใจในสิ่งเร้าน้ันโดยเฉพาะ เช่น นักเรียน
หยิบสมดุ หนังสอื ขนึ้ มาวางบนโต๊ะเมือ่ ถงึ เวลาเรยี น เปน็ ต้น
3) การควบคุมหรือคัดเลือกสิ่งเร้า (Controlled of Selected Attention)
เป็นขัน้ ตอนการคัดสรรส่ิงเรา้ ทพ่ี ึงพอใจด้วยตนเอง หรือค้นหาด้วยตนเอง เช่น เลือกซ้ือของที่ตนเอง
สนใจในหา้ งสรรพสนิ ค้า เป็นต้น
30
2.2 การตอบสนอง (Responding) เป็นขน้ั ท่บี ุคคลแสดงปฏิกริ ิยาตอบสนองต่อส่ิงเร้า
อย่างใดอย่างหน่งึ ทีไ่ ด้คัดสรรมาแล้ว แยกเปน็ 3 ขั้นคอื
1) การยินยอมตอบสนอง (Acquiescence in Responding) เป็นขั้นท่ีบุคคล
แสดงพฤติกรรมออกมาในลักษณะเช่ือฟัง ยินยอม และไม่ขัดขืน เช่น เห็นป้าย “ห้ามจอด” แม้ว่า
อยากจะจอดรถ เป็นต้น
2) การเต็มใจตอบสนอง (Wiling to Response) เป็นการตอบสนองด้วยความเต็มใจ
เช่น เหน็ ป้าย “ห้ามจอด” ก็ปฏิบัติตามดว้ ยความเตม็ ใจ เป็นตน้
3) การพึงพอใจตอบสนอง (Satisfaction in Response) เป็นข้ันที่ต่อเนื่อง
จากขนั้ ยนิ ยอมและเตม็ ใจตอบสนอง โดยการแสดงออกถงึ อารมณช์ ื่นชอบ เชน่ มีความสบายใจ สุขใจ
ท่ีไม่จอดรถทีห่ า้ มจอด เป็นต้น
2.3 การสร้างค่านิยม (Valuing) เปน็ ข้นั ทีบ่ ุคคลไดต้ ดั สินใจเลือกประพฤตปิ ฏิบัติในสิ่ง
ท่ีสังคมยอมรับและเลือกใช้เกณฑ์ที่มีคุณค่าด้วยตนเอง จนในท่ีสุดก็กลายมาเป็นสิ่งท่ีบุคคลยึดถือ
ปฏบิ ตั ิ แยกเป็น 3 ขนั้ คือ
1) การยอมรบั ในค่านิยม (Acceptance of Value) เป็นขั้นที่บุคคลเห็นคุณค่า
และความสาคญั จึงยอมรับค่านิยมน้ันมาปฏิบัติ เช่น การใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก เพราะเห็นว่าจะ
ชว่ ยลดโลกร้อน
2) การชื่นชอบค่านิยม (Preference for a Value) เป็นข้ันที่บุคคลยอมรับ
ค่านิยมน้ันแล้วจะเกิดความพึงพอใจหรือสุขใจท่ีได้ปฏิบัติตามค่านิยมน้ัน เช่น มีความพึงพอใจท่ีใช้
ถงุ ผา้ แทนถุงพลาสตกิ
3) การสร้างคา่ นยิ ม (Commitment or Conviction) เป็นขนั้ ทบี่ ุคคลนายดึ ถอื
คา่ นยิ มนัน้ และนามาปฏิบตั ิอย่างสมา่ เสมอ จนเกดิ การยอมรบั กลายมาเปน็ ค่านยิ มของตนเอง รวมถึง
พยายามชักชวนคนอื่นให้ปฏบิ ตั ติ ามด้วย เช่น ชกั ชวนใหบ้ ุคคลอ่นื ใชถ้ ุงผ้าแทนถุงพลาสติก
2.4 การจัดระบบค่านิยม (Organization) เป็นขั้นที่บุคคลได้สร้างค่านิยมย่อย ๆ
ขึ้นมาหลายอย่าง แล้วนามาพิจารณาจัดระบบ หมวดหมู่ โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยม
เหล่านัน้ สร้างคา่ นยิ มทีเ่ ด่นข้ึนมา เพ่ือยดึ ถือปฏบิ ัติต่อไป แบง่ ออกเปน็ 2 ขน้ั คอื
1) การสร้างมโนทัศนข์ องคา่ นิยม (Conceptualization of a Value) เป็นข้ัน
ที่บุคคลสร้างแก่นแท้ความสาคัญและประเมินค่านิยมนั้น ๆ ว่าค่านิยมใดมีความสาคัญและไม่มี
ความสาคัญ คา่ นยิ มใดปฏบิ ัติได้และปฏบิ ัติไมไ่ ด้ เช่น การตดั สินใจในฐานะที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
เพอื่ อนรุ ักษม์ นุษยแ์ ละแหล่งทรัพยากร การพยายามบง่ ชี้ลักษณะของศิลปวัตถุทเ่ี ขาชน่ื ชอบ เป็นตน้
2) การจัดระบบค่านิยม (Organization of a Value System) เป็นขั้นที่
บุคคลนาค่านิยมทแ่ี ตกตา่ งกันมาจดั ระบบระเบยี บใหส้ อดคลอ้ งกลมกลืนเปน็ อันหนงึ่ อนั เดียวกัน ซงึ่ จะ
ออกมาในรูปของปรัชญาหรืออดุ มการณ์ของชวี ิต เชน่ ชวี ิตน้อี ยอู่ ย่างพอเพยี ง
2.5 การสร้างลักษณะนิสัย (Characterization By a Value Complex) เป็นขั้นท่ี
บุคคลมกี ารจดั ระบบค่านยิ มทสี่ อดคลอ้ งกลมกลนื สมั พนั ธ์กัน กจ็ ะเป็นตวั ควบคุมพฤติกรรมของแต่ละ
บุคคลไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างใดก็จะแสดงพฤติกรรมตามค่านิยมน้ันตลอดไป จนเกิดเป็น
ลักษณะนิสัยทถี่ าวรของบุคคล แบง่ ออกเป็น 2 ขนั้ คือ
31
1) การสร้างลักษณะนิสัยทั่วไป (Generalized Set) เป็นขั้นที่บุคคลแสดงออก
ถึงคา่ นยิ มของตนเอง โดยพยายามปรับให้สอดคล้องกับความรู้สึกภายในของตนเอง แต่ยังไม่ตรงกับ
ลกั ษณะนิสยั มากนัก เช่น การที่บุคคลรู้ว่าการช่วยเหลือสังคมเป็นส่ิงที่ดีงาม แต่โดยพื้นฐานเป็นคน
ไม่ชอบสังคมกับใคร ในบางครั้งก็ต้องช่วยเหลือสังคม เพราะทราบว่าเป็นสิ่งที่ควรทา แต่เนื่องจาก
ไม่ตรงกับลกั ษณะนสิ ยั ของเขามากนกั จงึ ทาเปน็ บางคร้ังเท่าน้นั
2) การสร้างลักษณะนิสัยแท้จริง (Characterization) เป็นขั้นที่บุคคลแสดง
ลักษณะนิสัยตนเองออกมาตรงกับตวั ตนทีแ่ ท้จรงิ มากทสี่ ดุ ตามความเชอ่ื และค่านิยมของตนเอง ถือว่า
เปน็ จดุ สูงสุดของการพัฒนาคน เช่น นิสัยเรื่องจิตสาธารณะเกิดจากการท่ีบุคคลเห็นคุณค่าของการ
ชว่ ยเหลือสงั คม แล้วจัดระบบคา่ นยิ มของตนเองให้มจี ิตสาธารณะจนเกดิ เป็นนิสัยอยา่ งถาวร
ความร้สู กึ เปน็ ระดบั ทีต่ อ่ เน่อื ง (Psychological Continuum) ไม่ได้รู้สึกเป็นท่อน ๆ แต่มี
ทิศทางและมคี วามเข้มแข็งแตกต่างกันแต่ละขัน้ ของความรู้สึกจึงเกี่ยวข้องเช่ือมโยงต่อเน่ืองกันอย่าง
ละเอียดอ่อน แนวความคิดนี้เป็นแนวปรัชญามากกว่าเป็นแนวการทดลอง แต่มีความชัดเจนก็คือ
ระดับความรูส้ ึกจะเริม่ ดว้ ยความเข้มแขง็ น้อยไปสู่ความเข้มข้นมากจนยึดติดเป็นลักษณะนิสัยของคน
ในทสี่ ดุ ถ้าพิจารณาดูใหด้ ี จะเหน็ ว่าความคดิ น้สี รปุ ได้ ดังภาพท่ี 2.4
สนใจ ซาบซง้ึ เจตคติ ค่านยิ ม บคุ ลิกภาพ
ภาพท่ี 2.4 ลาดับขั้นตอนของพฤติกรรมด้านจติ พสิ ยั ตามแนวคิดของแครทโรลและคณะ
สรปุ ได้ว่าพฤติกรรมดา้ นจติ พสิ ยั แสดงเปน็ ลาดับขน้ั ได้ดงั ภาพท่ี 2.5
32
5.1 ลักษณะนิสยั ทั่วไป
5. การสร้างลกั ษณะนสิ ยั
5.2 ลักษณะนิสยั แท้
4.1 การสรา้ งมโนทัศน์ของคา่ นยิ ม
4. การจดั ระบบค่านิยม
4.2 การจดั ระบบค่านยิ ม
3.1 การยอมรบั ในค่านิยม
3. การสรา้ งค่านยิ ม 3.2 การชืน่ ชอบค่านยิ ม
3.3 การสรา้ งค่านยิ ม
2.1 การยนิ ดีตอบสนอง
2. การตอบสนอง 2.2 การเตม็ ใจตอบสนอง
2.3 การพงึ พอใจตอบสนอง
1.1 การรูจ้ กั สง่ิ เรา้
1. การรบั รู้ 1.2 การยินดีรับรู้
1.3 การควบคมุ หรอื คัดเลอื กสง่ิ เรา้
ภาพที่ 2.5 ลาดับข้นั ของพฤติกรรมดา้ นจติ พสิ ยั
3. พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นพฤติกรรมที่เก่ียวกับ
ความสามารถในการใช้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายในการเคล่ือนไหวหรือทากิจกรรมต่าง ๆ ซ่ึงต้อง
อาศยั การประสานสมั พนั ธข์ องระบบประสาท สมอง และกลา้ มเน้ือ จึงจะทาให้เกิดทักษะการปฏิบัติ
อย่างมีประสิทธิภาพ และอาศัยระยะเวลาในการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความถูกต้องคล่องแคล่วว่องไว
จนเกิดเป็นความชานาญในที่สุด การจาแนกพฤติกรรมด้านทักษะพิสัยมีหลายกลุ่มแนวคิด ในที่น้ี
ขอนาเสนอ 3 แนวทาง ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ตามแนวทางของ ดาเว่ (Dave’. 1969) แบง่ ลกั ษณะของพฤติกรรม
ตามพัฒนาการดา้ นทักษะพิสยั ออกเป็น 5 ระดับ โดยเรยี งตามลาดบั พฤตกิ รรมที่แสดงออกจากง่าย ๆ
ไมซ่ บั ซ้อน ไปจนถงึ พฤติกรรมทย่ี งุ่ ยากและซบั ซ้อนมากย่ิงข้นึ คอื
3.1.1 ขั้นเลียนแบบ (Imitation) เป็นการปฏิบัติโดยการกระทาตามแบบอย่าง
ที่ใหก้ ระทาอยู่ในสถานการณเ์ ดิม ลกั ษณะของการเคลื่อนไหวเปน็ แบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน โดยเร่ิมจาก
การใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อที่ยังไม่สัมพันธ์กันมากนัก เช่น การเริ่มต้นด้วยฝึกหัดร้องเพลง
ผู้รอ้ งจะเรม่ิ เลยี นแบบเสียงจากครู การเร่ิมฝกึ หดั ข้ึนตน้ จากการดู สงั เกตจากครูหรอื ฝึกจากแบบที่ให้
มากอ่ น จะเห็นวา่ พฤตกิ รรมเรม่ิ ตน้ ของ Dave’ จะเร่มิ จากการมแี บบกระทาตามแบบ กระทาตามผอู้ ่นื
ลกั ษณะพฤติกรรมที่สงั เกตได้แก่ ทาไดเ้ หมือนกับตวั อยา่ ง ทาไดถ้ ูกวิธี เขียน
ตามตัวอยา่ ง อา่ นตามแบบอยา่ ง บอกรายละเอียดขนั้ ตอนในการทางานและเลียนแบบ ลอกแบบ
33
3.1.2 ข้นั ทาตามคาส่งั (Manipulation) เปน็ ขั้นปฏบิ ตั กิ ารโดยทาตามคาสั่งโดย
ไม่มีแบบใหด้ ู แต่จะมีคาสั่งใหก้ ระทาโดยเรม่ิ ตน้ ดว้ ยคาชีแ้ จง และกระทาในสถานการณ์เดมิ พฤตกิ รรม
ท่ีแสดงออกจะอาศัยการทางานของระบบประสาทและระบบกล้ามเนื้อ เช่น ครูผู้ฝึกกายบริหารจะ
ออกคาสั่งใหก้ ระทาตามคาสัง่ นกั เรยี นจะแสดงทา่ ทางตามคาส่ัง หรือการฝึกร้องเพลง ครูผู้ฝึกจะให้
คาแนะนาชี้แจงใหน้ ักเรียนปฏิบตั ิตามข้ันตอนน้ัน จะเห็นว่าในข้ันตอนนี้จะใช้ประสาททางกล้ามเนื้อ
หลาย ๆ สว่ นสัมพนั ธ์กัน ซึง่ เปน็ ขั้นพัฒนาเกี่ยวกับทักษะ คือให้เกิดความชานาญและรวดเร็วในการ
ปฏิบตั ิ
ลกั ษณะพฤตกิ รรมท่ีสงั เกตได้แก่ จับพู่กันได้ตามคาสั่ง (ถือ ลากเส้น แก้ไข
ซ่อมแซม ประกอบ ผสม เย็บ พับผ้า พับกระดาษ ...ฯลฯ ตามคาสั่ง) ทางานตามเกณฑ์ท่ีกาหนด
เขียนรูปตามคาแนะนา ทางานตามคาส่ัง ออกแบบไดต้ ามคาช้ีแจง นาคาชี้แจงไปปฏบิ ตั ิ
3.1.3 ขั้นทาเพื่อหาความถูกต้อง (Precision) เป็นการปฏิบัติโดยไม่ต้องมี
แบบอย่าง ไม่มีคาส่ัง คาช้ีแจงหรือคาแนะนะให้กระทา แต่ผู้ปฏิบัติกระทาด้วยตนเองเพ่ือหาความ
ถกู ต้อง ใช้ฝมี ือ มคี วามละเอยี ดอ่อน มีความถกู ต้องแตย่ ังกระทาในสถานการณ์เดิม เช่น การฝึกกาย
บริหารด้วยตนเอง ฝึกร้องเพลงด้วยตนเอง เย็บผ้าด้วยตนเอง ข้ันน้ีเป็นข้ันการเกิดลักษณะของการ
เริม่ ทาได้อย่างถูกต้อง
ลกั ษณะพฤติกรรมท่ีสังเกตได้แก่ เขยี นไดถ้ กู ต้อง ทาได้อย่างเรียบร้อย วาด
ได้ถกู ต้อง เตรยี มเคร่ืองมอื ได้เหมาะสม รอ้ งเพลงได้ด้วยตนเอง ทดลองทาอยา่ งถูกตอ้ ง ฝึกออกเสยี งได้
ถูกต้อง
3.1.4 ข้ันทาอย่างสร้างสรรค์ต่อเน่ือง (Articulation) เป็นขั้นตอนปฏิบัติท่ีใช้
ระบบกลา้ มเนื้อและระบบประสาทหลาย ๆ ส่วนสมั พนั ธก์ ัน โดยใช้ความคิดรเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ดดั แปลง
ตอ่ เนอื่ งจากทาเพือ่ หาความถกู ตอ้ ง เป็นการกระทาอยา่ งมรี ะบบในสถานการณ์ท่ีตา่ งกนั โดยไม่ต้องมี
คาสั่ง หรือแบบอย่างให้ดู เช่น การดัดแปลงสูตรอาหารให้มีความอร่อย การร้องเพลงอย่างมีลีลา
เฉพาะตวั ซ่งึ ทาใหเ้ กิดความไพเราะแตกต่างจากผ้อู ื่น
ลักษณะพฤติกรรมที่สังเกตได้แก่ ตกแต่งได้สวยงามกว่าเดิม เล่นกีฬาได้ดี
กว่าเดิม (ทางาน ออกแบบ เยบ็ เสื้อผา้ ...ฯลฯ) ทาขนมให้อร่อยกว่าเดิม พัฒนางานไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ
รเิ ร่ิมปรับปรงุ คิดกระทาในรปู ใหม่
3.1.5 ข้ันทาได้เหมือนธรรมชาติ (Naturalization) เป็นความสามารถในข้ันสูง
ของการปฏิบัติ เป็นการกระทาตอบสนองต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึงในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งที่เป็น
สถานการณ์ใหมอ่ ยา่ งเป็นอตั โนมตั ิ โดยทาได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว ว่องไว แม่นยา โดยไม่ได้มีการ
ตระเตรียมมาก่อน เป็นการแก้ปญั หาเฉพาะหน้า มคี วามสามารถประยกุ ต์ใชอ้ ย่างเหมาะสม เช่น การ
แสดงกายบรหิ ารไดส้ วยงามเป็นธรรมชาติในสถานท่ีตา่ ง ๆ กันไดเ้ หมาะสม
ลักษณะพฤติกรรมที่สังเกตได้แก่ ทางานได้อย่างอัตโนมัติ ร้องเพลงได้
ไพเราะ ใช้เคร่อื งมอื ได้อย่างคล่องแคล่วปลอดภัย บอกรายละเอียดอย่างรวดเร็วชัดเจนและถูกต้อง
ปฏิบัตงิ านได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ เล่นดนตรไี ด้อยา่ งชานาญ อ่านออกเสียงไดถ้ กู ตอ้ งคล่องแคล่ว
34
3.2 แนวทางท่ี 2 ตามแนวทางของ ซึมซนั (Simpson. 1966) จาแนกออกไดเ้ ปน็ 7 ข้นั คือ
3.2.1 การรับรู้ (Perception) เป็นขั้นการใช้ระบบประสาทท้ัง 5 ได้แก่ ตา หู
จมูก ลิ้นและกาย รับรู้และแปลความหมายส่ิงเร้าที่ประสมในรูปของวัตถุ ส่ิงของ คุณภาพ หรือ
ความสัมพนั ธ์ แยกเป็น 3 ข้ันคือ
1) การกระทบของสิ่งเร้าผ่านประสาทสัมผัส (Sensory Stimulation
Impingement of a Stimulus Upon One or More of the Sense Organs) เป็นการรับรู้
ของประสาทสัมผัสสว่ นตา่ ง ๆ เช่น การเห็นรบั ร้ผู ่านทางสายตา การไดย้ ินรบั รผู้ ่านทางหู การดมกลิ่น
รบั รู้ผา่ นทางจมูก การลม้ิ รสรับรผู้ ่านทางปาก และการสมั ผสั รับรูผ้ า่ นทางกาย
2) การเลือกรบั รู้ (Cue Selected) เปน็ การเลอื กรบั รู้ส่งิ เร้าต่าง ๆ ท่ีรับผ่าน
ประสาทสัมผสั แต่ละด้าน เช่น เลอื กท่จี ะดมกลน่ิ ดอกกหุ ลาบจากกล่ินของดอกไมอ้ ืน่ ๆ ท่ีอยู่ในทนี่ ั่น
3) การแปลความหมาย (Translation) เป็นการแปลความหมายของสิ่งที่
รบั รู้ โดยอาศัยความรู้หรอื ประสบการณเ์ ดมิ เช่น เมือ่ ได้กล่ินดอกไม้ สามารถบอกได้ว่าเป็นกล่ินของ
ดอกกุหลาบ
3.2.2 การตระเตรียม (Set) เป็นขั้นการเตรียมสนอง อารมณ์และร่างกาย และ
พร้อมทีจ่ ะปรบั ตัวเพ่อื ทีจ่ ะปฏบิ ตั หิ รือเตรียมพบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ แยกเปน็ 3 ข้ันคอื
1) การตระเตรียมทางสมอง (Mental Set) เป็นความพร้อมทางด้าน
ความรู้ในสงิ่ ทจี่ ะปฏบิ ตั ิ
2) การตระเตรียมทางร่างกาย (Physical Set) เป็นความพร้อมของ
ร่างกายเพ่อื ใชป้ ฏบิ ัติ
3) การตระเตรียมทางอารมณ์ (Emotional Set) เป็นความพร้อมทาง
อารมณ์หรอื ความรสู้ ึกท่ีจะปฏิบัติ เชน่ มีเจตคตทิ ่ดี ีต่อการปฏบิ ตั ิงาน
3.2.3 การปฏิบัติตามคาแนะนา (Guided Response) เป็นข้ันการปฏิบัติโดย
อาศัยการช้ีแนะของบุคคลอ่ืน แยกเป็น 2 ขัน้ คือ
1) การเลียนแบบ (Imitation) เป็นข้ันปฏิบัติโดยการปฏิบัติตามตัวแบบ
หรือต้นแบบจากผอู้ ืน่
2) การลองผิดลองถูก (Trial and Error) เป็นขั้นตอนปฏิบัติโดยการ
ทดลองหลาย ๆ ครง้ั หลาย ๆ วธิ ี จนสามารถประสบผลสาเร็จได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
3.2.4 การปฏบิ ัติจนเปน็ นิสัย (Mechanism) เปน็ ข้นั ตอนการเร่ิมปรับกลไกของ
ร่างกายใหส้ ามารถปฏบิ ัติไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื งจนเกดิ ความเคยชิน เป็นการตอบสนองท่ซี ับซอ้ นมากยิ่งข้นึ
3.2.5 การปฏิบัติท่ีสลับซับซ้อน (Complex Overt Response) เป็นข้ันการ
ปฏบิ ตั ิด้วยตนเองอยา่ งคลอ่ งแคล่วว่องไวและมคี วามชานาญ และสามารถทาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แยกเปน็ 2 ขน้ั คือ
1) การทาอย่างไม่ลังเล (Resolution of Uncertainly) เป็นขั้นการปฏิบัติ
ความคล่องแคล่ว วอ่ งไว รวดเร็ว และดว้ ยความมัน่ ใจ
35
2) การปฏบิ ตั ไิ ด้โดยอัตโนมัติ (Automatic Performance) เป็นขั้นการ
ปฏบิ ตั ไิ ดเ้ ลยไม่ตอ้ งใช้ความคดิ มากนกั เปน็ การผสานการทางานของระบบต่าง ๆ ของรา่ งกายได้อย่าง
รวดเร็ว
3.2.6 การปรับเปล่ียนให้เหมาะสม (Adaptation) เป็นข้ันการดัดแปลงวิธีการ
ปฏิบัตใิ หเ้ ข้ากบั สถานการณด์ ว้ ยตนเอง เพื่อใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพมากขน้ึ โดยอาศยั ทกั ษะความสามารถ
เดมิ ทตี่ นได้เคยปฏิบตั ิมา
3.2.7 การรเิ ร่ิมสร้างใหม่ (Origination) เปน็ ขัน้ การปฏิบัติสร้างใหม่ด้วยตนเอง
จากการเปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ ท่ีเคยทามา โดยไม่ลอกเลียนแบบใคร โดยอาศัยการทางานร่วมกันของ
สมรรถภาพสมองกบั ทักษะทางกาย
3.3 แนวทางที่ 3 ตามแนวทางของ คิบเบอร์ และคณะ (Kibler) ได้จาแนกรายละเอียด
ของทักษะพสิ ยั แบ่งเป็น 4 ด้าน ดังน้ี
3.3.1 ทักษะในการเคล่ือนไหวท้ังร่างกาย (Gross Bodily Movement) การ
เคลอื่ นไหวอย่างไมซ่ ับซ้อนของอวัยวะในร่างกาย แยกออกเปน็ ส่วน ๆ ตามลาดบั คอื
1) การเคลอ่ื นไหวอวยั วะส่วนบน
2) การเคลอ่ื นไหวอวัยวะส่วนล่าง
3) การเคลอื่ นไหวอวยั วะท้งั สองส่วน
3.3.2 ทักษะการเคล่ือนไหวที่ต้องใช้ประสาทรวม ๆ กัน เป็นความสามารถท่ีจะ
ใชก้ ารประสานสมั พันธ์กันของระบบประสาทตา่ ง ๆ เช่น การมองเห็น การได้ยิน กับการเคล่ือนไหว
รา่ งกาย ไม่วา่ จะเป็นแขนหรอื ขา เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวตามท่ีต้องการ เช่น การรับลูกบอล การ
เล่นเครอื่ งดนตรี การเคล่ือนไหวระดบั นแี้ ยกเป็น
1) การเคลื่อนไหวของมือและนิว้
2) การประสานระหวา่ งมือ และตา
3) การประสานระหว่างมอื ตา และเทา้
4) การเคลอื่ นไหวอื่น ๆ ของมอื เทา้ ตา และหู
3.3.3 ทกั ษะการสอ่ื สารโดยใช้ท่าทาง (Non-verbal communication behaviors)
เป็นการแสดงออกเพื่อส่ือความหมายกับคนอ่ืน เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้สีหน้าภาษาใบ้
ซ่งึ แยกตามลาดบั ดงั นี้
1) การแสดงสหี น้า
2) ทา่ ทาง
3) การเคลอ่ื นไหวท้ังรา่ งกาย
3.3.4 พฤติกรรมทางด้านภาษา (Speech behavior) เป็นความสามารถท่ี
แสดงออกทางด้านภาษา ดว้ ยวธิ ีดงั น้ี
1) การออกเสียง
2) การสร้างเสียงและคา
3) การเปล่งเสยี ง
4) การประสานระหวา่ งเสียงและทา่ ทาง
36
พฤตกิ รรมท้ัง 3 ดา้ นคอื พทุ ธิพสิ ัย จติ พสิ ัย และทักษะพิสยั เปน็ พฤตกิ รมที่นักเรียนจะต้อง
เกิดการเปลี่ยนแปลงภายหลังการเรียนการสอน ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด
แต่การเนน้ ให้เกดิ การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมใดมากนอ้ ยกวา่ กนั นน้ั ขึ้นอย่กู ับลกั ษณะเนอ้ื หาวิชาท่ีสอน
อย่างไรก็ตามพฤติกรรมท่ีมีส่วนสาคัญทาให้เกิดความสาเร็จในการเรียนการสอน คือ
พฤติกรรมด้านจติ พิสยั ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยและทักษะ
พิสยั ได้เปน็ อย่างดี และในการเรียนการสอนไม่ควรเน้นให้ผู้เรียนเปล่ียนแปลงเฉพาะพฤติกรรมด้าน
พุทธพิ ิสัยเพยี งดา้ นเดียว ควรเน้นให้เกิดการเปลย่ี นแปลงในด้านอ่นื ๆ ไปพร้อมกนั ด้วย
ความสมั พนั ธ์ระหว่างพฤตกิ รรมของการศึกษากับการประเมินผล
เมื่อผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของการศึกษาท้ัง 3 ด้านแล้ว ส่ิงแรกที่
ผู้สอนจะตอ้ งพจิ ารณาในการจัดการเรียนการสอนแตล่ ะคร้งั ก็คือ จะสอนเพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเกิดพฤติกรรม
อะไร ต้องการพฤตกิ รรมด้านพทุ ธิพสิ ยั จติ พสิ ยั หรือทักษะพิสัย หรือบางครั้งอาจต้องการพฤติกรรม
ทกุ ดา้ นรวมกนั นั่นคอื ผ้สู อนจะตอ้ งมีจดุ ประสงค์ที่ชัดเจน และเหมาะสมแล้วดาเนินการจัดการเรียน
การสอนให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวอย่างครบถ้วน ผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจ ใน
จดุ ประสงค์ของการศึกษา
จุดประสงคข์ องการศกึ ษามหี ลายระดบั ดงั นี้
1. ระดบั ความมงุ่ หมายของการศึกษาของชาติ
2. ระดบั การศึกษาแต่ละระดับ (ระดบั หลกั สตู ร)
3. ระดบั กลุ่มวิชา หมวดวิชา หรอื กลมุ่ สาระการเรียนรู้
4. ระดบั รายวชิ า
5. ระดับการเรียนรู้
6. ระดบั เชิงพฤติกรรม
ในการเรยี นการสอนแต่ละครง้ั ผสู้ อนจะต้องกาหนดจุดประสงค์ในการสอนใหส้ อดคลอ้ งกบั
จุดมุง่ หมายของหลกั สตู รและรายวิชา ซึ่งปจั จบุ นั นนี้ ักการศกึ ษามีความเหน็ ว่า จดุ ม่งุ หมายของหลกั สูตร
และรายวิชาน้ันกว้างเกินไป เป็นนามธรรม เข้าใจยากและตีความหมายไม่ตรงกันจึงมีการคิดหาวิธี
เขียนจุดประสงค์ใหม่ ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มีความชัดเจนและเข้าใจตรงกันเรียกว่าจุดประสงค์
เชงิ พฤตกิ รรม หรอื จดุ มงุ่ หมายเชงิ พฤตกิ รรม
1. จุดมุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรม
จุดม่งุ หมายเชิงพฤติกรรม (Behavioral Objective) มคี าท่ใี ช้หลายคา เชน่ จุดประสงค์
เชิงพฤติกรรม วัตถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ จุดมุ่งหมายการเรยี นรู้ มาตรฐานการ
เรียนรู้ ตัวชี้วัดช้ันปี ตัวช้ีวัดช่วงช้ัน ผลการเรียนรู้ เป็นต้น เป็นคาที่เขียนข้ึนเพื่อต้องการแสดงให้
ทราบว่าผู้เรียนเกดิ พฤตกิ รรมใดบ้างท่สี ามารถสงั เกตได้และวดั ได้ออกมาหลงั จากเสรจ็ สนิ้ การจดั การเรยี น
การสอนแลว้
37
1.1 ความหมายและลกั ษณะที่สาคัญของจดุ ม่งุ หมายเชงิ พฤติกรรม
1.1.1 จุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม หมายถงึ การกาหนดพฤติกรรมท่ตี อ้ งการให้เกิดขน้ึ
กับนักเรียน หลังจากส้ินสุดการเรียนการสอนในเนื้อหาน้ัน ๆ แล้ว โดยพฤติกรรมดังกล่าวสามารถ
สงั เกตเหน็ ไดแ้ ละวดั ได้
1.1.2 ลกั ษณะทีส่ าคัญของจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม มี 4 ประการ คือ (ธนวัฒน์
ธิติธนานนั ท์. 2554 : 28)
1) จดุ มุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ระบุการกระทา การแสดงออก หรือผลของ
การกระทาทสี่ ามารถสังเกตเห็นได้ดว้ ยตาอยา่ งชดั เจน
2) ถ้าครูผู้สอนมอบจุดมุ่งหมายที่กาหนดขึ้นไปให้ครูคนอื่นสอนแทน ครูท่ี
สอนแทนนน้ั จะต้องมองเห็นภาพพฤติกรรมของนักเรียนท่ีเรียนจบเรื่องน้ันแล้ว ได้ตรงกับผู้กาหนด
จุดมุ่งหมาย
3) จดุ ม่งุ หมายเชงิ พฤตกิ รรม ต้องเปน็ ข้อความทีช่ ัดเจนเข้าใจได้ทันที เขียน
ในรปู ของคากริ ิยาท่บี ่งบอกถึงการกระทา เช่น ให้บอกช่ือ ให้บอกลักษณะ ให้บอกความแตกต่าง ให้
จดั ลาดบั ใหอ้ ธบิ าย ฯลฯ โดยไมต่ อ้ งแปลความหมายหรือโต้แยง้ ได้หลายทาง
4) ผู้สอนสามารถใช้จุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม เป็นหลกั ในการประเมนิ ได้
1.2 ส่วนประกอบของจุดม่งุ หมายเชงิ พฤตกิ รรม
จุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรม มีสว่ นประกอบที่สาคญั 3 ส่วน ดงั แสดงภาพที่ 2.6
ส่วนประกอบของจดุ มุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรม
พฤติกรรมทีค่ าดหวงั สถานการณ์ เกณฑ์
(Expected or หรอื เงื่อนไข (Criteria)
(Condition)
Terminal Behavior)
พฤติกรรมทตี่ อ้ งการให้ สิง่ เร้า หรอื สถานการณ์ ปรมิ าณหรอื คณุ ภาพของ
หรอื เง่อื นไขทใ่ี ชก้ ระต้นุ พฤตกิ รรมทผ่ี ู้เรยี น
ผู้เรียนได้แสดงออกเมือ่
ได้เรียนรู้ในแตล่ ะ ให้ผูเ้ รียนแสดงพฤตกิ รรม แสดงออกท่ีจะยอมรับได้
บทเรยี นแลว้ ที่คาดหวงั ออกมา
ภาพที่ 2.6 ส่วนประกอบของจุดมงุ่ หมายเชิงพฤตกิ รรม
1.2.1 พฤติกรรมท่ีคาดหวัง (Expected or Terminal Behavior) เป็นข้อความ
ทีแ่ สดงถึงพฤตกิ รรมของผู้เรยี นท่ีสามารถแสดงออกที่สังเกตได้วัดได้ หลังจากจบการเรียนการสอนแล้ว
การเขียนพฤติกรรมทค่ี าดหวงั ต้องใช้คากริ ิยาทีช่ ดั เจน เชน่ บอก เขียน ระบุชื่อ อ่าน อธิบาย คานวณ
วิจารณ์ เปรยี บเทียบ จาแนก ยกตวั อย่าง สาธิต สรา้ ง ฯลฯ เชน่
38
ตัวอยา่ งของจดุ มงุ่ หมายเชงิ พฤติกรรมในสว่ นท่ีเปน็ พฤตกิ รรมทีค่ าดหวัง เชน่
- ผเู้ รียนบอกลกั ษณะของพชื ใบเลย้ี งเดี่ยวได้
- ผ้เู รยี นเลา่ เรอ่ื งจากภาพได้
- ผเู้ รียนบวกเลขสองหลักไม่มตี ัวทดได้
- ผเู้ รยี นจาแนกประเภทของสตั วไ์ ด้
- ผเู้ รยี นเปรียบเทียบความแตกต่างของธาตุทีเ่ ปน็ โลหะกบั อโลหะได้
การเขียนพฤติกรรมที่คาดหวัง จะต้องใช้คาท่ีเป็นคากริยาเชิงพฤติกรรมหรือคา
ที่บ่งถงึ การกระทา (Action words) คอื เปน็ คากริยาทม่ี คี วามหมายเฉพาะอยา่ งเดยี ว ในตัวของมนั เอง
ไม่สามารถสงั เกตเห็นการกระทาไดโ้ ดยตรง
จะเห็นได้ว่า คากริยาเชิงพฤติกรรมท่ีบ่งการกระทาในส่วนท่ีเป็นพฤติกรรม
ท่ีคาดหวังนัน้ เปน็ คาท่ีมีส่วนสาคัญอย่างมากท่ีจะทาให้ข้อความที่เป็นจุดมุ่งหมายชัดเจนมากยิ่งข้ึน
ซ่งึ เปน็ เกณฑ์ในการพจิ ารณาว่าข้อความนั้นเป็นจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมหรือไม่ ถ้าไม่ใช่คากริยาที่
บ่งถงึ การกระทาจะทาให้พฤตกิ รรมน้ันไมช่ ดั เจน มคี วามหมายคลุมเครอื แปลความหมายไดไ้ มต่ รงกนั
ซง่ึ สามารถบอกไดว้ ่า ประโยคหรือขอ้ ความนั้นไมเ่ ป็นจดุ มุ่งหมายเชิงพฤตกิ รรม
ตัวอยา่ งของกริยาท่ีบ่งและไม่บ่งถงึ การกระทา (ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์. 2556 : 30)
ตารางท่ี 2.2 คากริยาท่บี ง่ การกระทาและคากริยาท่ีไมบ่ ง่ การกระทา
คากรยิ าที่บง่ การกระทา คากรยิ าท่ีไมบ่ ่งการกระทา
บอก รู้
พดู เชอื่ ใจ
เลา่ เขา้ ใจ
ท่อง นาไปใช้
จาแนก ซาบซง้ึ
บรรยาย วเิ คราะห์
อธิบาย สนใจ
แก้ปญั หา พอใจ
เขยี น ประเมินค่า
เปรยี บเทยี บ สร้างสรรค์
สาธติ เหน็ คุณคา่
วจิ ารณ์ จาได้
ตัดสิน ศรทั ธา
ตง้ั ปญั หา ร้จู ัก
แปลความหมาย ตระหนกั ในความสาคญั
ฯลฯ ฯลฯ