141
6. จงอธบิ ายหลกั การคัดเลือกผลงานและเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากการใช้แฟ้มสะสมผลงาน
7. จงอธบิ ายขั้นตอนการประเมนิ จากแฟม้ สะสมงาน (Portfolio Assessment)
8. เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) มคี วามสาคญั ตอ่ การวัดผลและประเมนิ ผลการศกึ ษาอยา่ งไร
9. จงอธบิ ายขัน้ ตอนการสร้างเกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics)
10. จงสร้างเคร่ืองมอื วดั พฤตกิ รรมดา้ นทกั ษะพิสัยแบบเกณฑ์การใหค้ ะแนนมา 1 จุดประสงค์
เอกสารอ้างองิ
คดั นาง มณศี รี. (2548). แฟม้ สะสมงาน : การวัดผลยุคใหม่. กรงุ เทพฯ : เอ๊กซเปอร์เน็ทบคุ ส.์
ทิวตั ถ์ มณีโชติ. (2557 . การประเมนิ จากการปฏบิ ตั .ิ [ออนไลน]์ . แหลง่ ทีม่ า :
http;//ird.rmuti.ac.th/newweb/fmanager/files/3Tiwat.doc. [15 ตุลาคม 2557].
บรู ชัย ศิริมหาสาคร. (2545). แนวคิดทฤษฎีของแฟม้ ผลงานครู. กรงุ เทพฯ : บ๊คุ พอยท์.
ปรียา นิลแก้ว. (2547). การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา. เชยี งใหม่ : คณะครศุ าสตร์ สถาบนั
ราชภฏั เชยี งใหม.่
พิชติ ฤทธจิ์ รูญ. (2552 . หลักการวดั และประเมินผลการศกึ ษา. พิมพค์ ร้ังที่ 5. กรงุ เทพฯ : เฮาส์ออฟ
เคอรม์ สิ ท.์
พชิ ิต ฤทธจ์ิ รูญ. (2554 . หลักการวดั และประเมินผลการศึกษา. พิมพ์คร้งั ที่ 7. กรุงเทพฯ : เฮาส์ออฟ
เคอรม์ สิ ท์.
พิมพพ์ ันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดีสุข.(2549 . ทกั ษะ 5C เพ่อื พฒั นาหน่วยการเรียนร้แู ละ
การจดั การเรยี นการสอนแบบบูรณาการ. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
ราตรี นันทสคุ นธ์. (2553). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ :
บริษทั จุดทองจากดั .
วชิ าการ, กรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2544 . เอกสารหมายเลข 6 : การออกแบบการพัฒนา
เครอื่ งมือประเมินสภาพจริง การประชุมอบรมเชิงปฏิบตั ิการพฒั นาเครอื่ งมอื ประเมิน
การศึกษา ตามหลกั สตู รการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544. 26 – 30 พฤศจิกายน
2544 ณ โรงแรมอมรินทรล์ ากูน จงั หวดั พิษณโุ ลก.
ศริ ชิ ัย กาญจนวาส.ี (2548 . ทฤษฎีการทดสอบแบบดง้ั เดิม. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
ส. วาสนา ประวาลพฤกษ.์ (2544). คมู่ อื การอบรมเชิงปฏิบตั กิ าร เพ่ือพัฒนาบุคลากรทาง
การศกึ ษาเรื่องหลักการและเทคนิคการประเมินทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : บรษิ ัทเดอะ
มาสเตอร์กรุป๊ แมเนจเมน้ ท์ จากัด.
สมนึก นนธิจนั ทร์. (2544). การเรียนการสอนการวัดและประเมนิ ผลจกสภาพจริงของผ้เู รยี น
โดยใชพ้ อร์ตโฟริโอ. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
สมนึก ภัททยิ ธนี. (2551 . การวัดผลการศึกษา. พิมพค์ รั้งที่ 6. กาฬสินธุ์ : ประสานการพมิ พ์.
142
สมศกั ดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์. (2544). การยดึ ผเู้ รยี นเป็นศูนย์กลางและการประเมนิ ตามสภาพจริง.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ สงศลิ ป.์
สมศกั ดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน.์ (2545). การยึดผู้เรยี นเปน็ ศูนย์กลางและการประเมินตามสภาพจรงิ .
พมิ พค์ ร้งั ที่ 3. เชียงใหม่ : THE KNOWLEDGE CENTER.
สมศักด์ิ สินธุระเวชญ์. (2545). การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
สมั พนั ธ์ พันธุ์พฤกษ์ และคณะ. (2558). ทกั ษะการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ : ทฤษฎสี กู่ ารปฏบิ ัติ.
กรุงเทพฯ : สถาบนั ทดสอบทางการศกึ ษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน .
สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ. (2542 . แนวทางการประเมินตามสภาพท่แี ท้จรงิ .
กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ สุ ภาลาดพร้าว.
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. (2554). แนวปฏบิ ัติการวดั และ
ประเมนิ ผลการเรียนร้ตู ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551.
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด.
สวุ ิทย์ มลู คา. (2543). แฟ้มสะสมงาน. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์.
สวุ ิมล ว่องวานชิ . (2546 . การประเมนิ ปฏิบตั งิ าน : การประเมินผลการเรยี นรู้. ในสวุ ิมล ว่องวานชิ .
(บรรณาธิการ . การประเมินผลการเรียนรูแ้ นวใหม่. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
เอกรินทร์ สมี่ หาศาล และสปุ รารถนา ยุกตะนนั ท์. (2546 . กระบวนการวดั ผลและประเมินผลตาม
หลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : บ๊คุ พอยท.์
Gronlund, N.E. (2004). Assessmemt of Student Achievment. (2ed). Editions USA :
Person Education, Inc.
Kubiszyn, Tom and Borich, Gary. (2000). Educational Testing and Measurement :
Classroom Application and Practice. (6th ed) : Newyork John Wiley & Sons. Inc.
McMillan, James H., (2001). Classroom Assessment Principle and Practice for
Effective Instruction. (2rd ed) : Needham Heights : Allyn & Bacon.
Nitko, A.J. (2004). Educational Assessment of Students. New Jersey : Prentice Hall.
Popham, W. James. (1999). Classroom Assessment : What Teachers Need to Know.
(2nd ed) : Allyn and Bacon.
Ward, A.W. & Mildred Murry – Ward. (1999). Assessment in the Classroom. Wadsworth
Publishing Company.
Wiggins, Grant. (1998). Educative Assessment : Designing Assessment to Inform
and Improve Student Performance. San Francisco : Jossey – Bass Publishers.
Wiggins, Grant. (2000). Education Assessment Designing Assessments to Inform and
Improve Student Perfomance. United States of America : Jossey – Bass Inc.
บทที่ 5
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็นเคร่ืองมือท่ีสาคัญสาหรับผู้สอน และเป็น
แบบทดสอบที่ใช้วัดพฤติกรรด้านพุทธิพิสยั หรอื ด้านความรู้ ซ่งึ มีวัตถุประสงคเ์ พ่อื ตรวจสอบพฤตกิ รรม
หรือผลการเรยี นร้ขู องผ้เู รียนอันเนื่องมาจากการจัดการเรียนการสอนของผู้สอนว่า ผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถหรือมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในแต่ละรายวิชามากน้อยเพียงใด ผลการทดสอบ
วัดผลสมั ฤทธ์ิจะเปน็ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือตาม
มาตรฐานผลการเรยี นรู้ท่ีกาหนดไว้ และเป็นประโยชนต์ อ่ การปรับปรงุ และพฒั นาการสอนของผู้สอน
ให้มีคุณภาพยิ่งข้ึน แต่การสร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพ ผู้สอนจะต้องรู้เกี่ยวกับลักษณะของ
แบบทดสอบ การวางแผนการสร้าง หลักการสร้าง การเลือกชนิดของแบบทดสอบให้เหมาะสมกับ
เน้อื หา และนาผลจากการสอบไปใชป้ รับปรงุ และสรุปผลการเรียน
ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น (Achievement test) นักวัดผลและนักการศึกษา
ไดใ้ ห้ความหมายไว้หลายท่าน ดังน้ี
ชวาล แพรตั กุล (2518 : 12) ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง แบบทดสอบ
ที่วัดความรู้ ทักษะและสมรรถภาพสมองด้านต่าง ๆ ท่ีเด็กได้รับจากประสบการณ์ทั้งปวง ท้ังจาก
โรงเรียนและทางบ้าน ยกเว้นการวัดทางร่างกาย ความถนัด และทางบุคคลกับสังคม สาหรับใน
โรงเรยี นแล้วแบบทดสอบประเภทผลสมั ฤทธม์ิ ุ่งท่ีจะวดั ความสาเร็จในวชิ าการเปน็ สว่ นใหญ่
เยาวดี วิบลู ย์ศรี (2551 : 28) ใหค้ วามหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธเิ์ ปน็ แบบทดสอบ
ที่ใชว้ ัดความรูเ้ ชิงวชิ าการ มกั ใชว้ ดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เน้นการวัดความรู้ความสามารถจากการ
เรียนรูใ้ นอดตี หรอื ในสภาพปจั จบุ นั ของแตล่ ะคน
สมนกึ ภัททิยธนี (2551 : 73) ให้ความหมายวา่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ เป็นแบบทดสอบ
ทว่ี ัดสมรรถภาพทางสมองดา้ นตา่ ง ๆ ที่นักเรียนได้รบั เรยี นรผู้ ่านมาแลว้
พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2553 : 96) ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง
แบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ทักษะ ความสามารถทางวิชาการท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผล
สาเร็จตามจุดประสงคท์ ก่ี าหนดไวเ้ พยี งใด
ธนวฒั น์ ธิติธนานนท์ (2554 : 39) ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ หมายถึง
แบบทดสอบทีใ่ ชว้ ดั ความรู้ ทักษะและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ทีน่ กั เรียนแต่ละคนได้เรียนมาแล้ว เป็น
การวัดเพื่อให้ทราบว่านักเรยี นเรียนรู้อะไรในอดีตมากน้อยเพียงใด และสามารถนาความรู้มาใช้ได้ดี
เพียงใด
144
พัคเคทท์ และแบล็ค (Puckett and Black. 2000 : p. 211) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี น เป็นแบบทดสอบทใี่ ช้วดั ส่งิ ท่ีผเู้ รยี นไดเ้ รยี นมาแลว้ หรือส่ิงทเ่ี ปน็ ทักษะทผ่ี ู้เรยี นไดร้ บั จาก
การสอน
สรปุ ไดว้ ่า แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน หมายถงึ แบบทดสอบทใี่ ช้วดั ความรู้
ทักษะ และสมรรถภาพทางสมองด้านตา่ ง ๆ ทีไ่ ดเ้ รยี นรหู้ รอื ไดร้ ับการสอนและการฝกึ ฝนมาแลว้ วา่
ผ้เู รยี นมคี วามรอบรมู้ ากน้อยเพียงใด
ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คอื
1. แบบทดสอบที่ครสู รา้ งขน้ึ เอง (Teacher made test) เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง
เพ่ือใชใ้ นการทดสอบนักเรียนในช้ันเรียน โดยยึดจุดมุ่งหมายในการสอนเป็นหลัก เพ่ือวัดพฤติกรรม
การเรยี นของผเู้ รยี นว่ามีการเปลยี่ นแปลงไปอยา่ งไร ตามที่ครมู ่งุ หวงั ไวห้ รือไม่ สร้างโดยยดึ เนอื้ หาและ
จดุ มงุ่ หมายการสอนของโรงเรียนเป็นหลกั ใชผ้ ลการวัดเพื่อตดั สินความสามารถของผเู้ รียน โดยนาผล
จากการใช้แบบทดสอบนี้ไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ระบุไว้ในจุดมุ่งหมายของการสอน หรือเกณฑ์ท่ี
กาหนดไว้ (ถา้ เปน็ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์) หรืออาจนาผลการใช้แบบทดสอบนี้ไปเปรียบเทียบ
กันในกลุ่มผู้เรียนที่ถูกวัดเพื่อพิจารณาตัดสินความสามารถของผู้เรียนว่าอ ยู่ในระดับใดของกลุ่ม
(ถ้าเปน็ การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม) แบบทดสอบทค่ี รูสร้างข้นึ เอง แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื
1.1 แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) ไดแ้ ก่
1.1.1 แบบถูก – ผิด (True – false)
1.1.2 แบบจับคู่ (Matching)
1.1.3 แบบเติมคาใหส้ มบูรณ์ (Completion) หรือแบบคาตอบสนั้ (Short answer)
1.1.4 แบบเลอื กตอบ (Multiple choice)
1.2 แบบอัตนัย (Essay tests) ได้แก่
1.2.1 แบบจากดั คาตอบ (Restricted response item)
1.2.2 แบบไมจ่ ากัดคาตอบ หรือตอบอยา่ งเสรี (Extended response item)
2. แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized tests) เป็นแบบทดสอบท่สี รา้ งโดยผเู้ ชี่ยวชาญ
ทม่ี คี วามรใู้ นเนอ้ื หา และมที ักษะการสร้างแบบทดสอบ มีการวิเคราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ
มีคาชีแ้ จงเกย่ี วกับการดาเนินการสอบ การใหค้ ะแนนและการแปลผล มคี วามเป็นปรนัย (Objective)
มีความเท่ียงตรง (Validity) และความเชอ่ื ม่ัน (Reliability)
สรปุ ไดว้ ่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น แบ่งได้ 2 ประเภท คือแบบทดสอบท่ีครู
สรา้ งขึ้นเพ่ือใช้ในการทดสอบในชน้ั เรยี น ส่วนอีกประเภทหน่งึ คอื แบบทดสอบมาตรฐาน ซ่ึงสร้างจาก
ผเู้ ชย่ี วชาญด้านเน้ือหาและด้านวัดผลการศึกษา
145
จดุ มุง่ หมายของการใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิเป็นเคร่ืองมืออย่างหน่ึง ที่ใช้ประเมินผลการเรียนการสอน
โดยเฉพาะวัดสมรรถภาพทางสมองเป็นสาคัญ จุดมุ่งหมายของการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น มีดังนี้ (บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และนวลเสน่ห์ วงศ์เชดิ ธรรม. 2545 : 221 – 223)
1. สรุปผลการเรยี น
มีจุดม่งุ หมายเพื่อสรปุ การเรียนการสอน เม่ือส้ินสุดการเรียนการสอน เพ่ือสรุปผลการ
เรียนรขู้ องผู้เรยี นท้ังระบบ และตัดสนิ ผลคะแนนได้ – ตก กล่าวคือ เปน็ การประเมนิ ผลเพอื่ ตรวจสอบ
ผลสมั ฤทธ์ิของผูเ้ รยี นในการเรยี นรายวิชาตา่ ง ๆ ตามผลการเรยี นร้ทู ่คี าดหวงั รายปี และผลการเรียนรู้
ที่คาดหวังรายภาค การประเมินผลนี้นอกจากจะมีจุดประสงค์เพื่อการสรุป ตัดสินความสาเร็จของ
ผู้เรียนในการเรียนสาระการเรียนรู้รายปี รายภาค เป็นสาคัญแล้ว ยังใช้เป็นข้อมูลสาหรับปรับปรุง
แก้ไข ผเู้ รยี นที่ไม่ผ่านการประเมนิ ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังของรายวิชา เพื่อให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการ
และมผี ลการเรยี นตามผลการเรยี นทีค่ าดหวงั อยา่ งครบถ้วนสมบรู ณด์ ว้ ย (กรมวิชาการ. 2545 : 18)
2. ตรวจสอบความก้าวหน้าของผเู้ รียน
เป็นการประเมินความก้าวหน้าของผู้เรยี น เพือ่ ช่วยใหผ้ ู้เรียนทราบศักยภาพของตนเอง
ในขณะน้นั และใช้เปน็ แนวทางให้ผเู้ รยี นพฒั นาพฤติกรรมต่าง ๆ ของตนเองทั้งด้านความรู้ความสามารถ
ลักษณะนสิ ัยและทักษะตา่ ง ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายทก่ี าหนดไว้
3. ปรบั ปรุงการเรียนการสอน
การปรับปรงุ การเรยี นการสอนควรทาอยา่ งตอ่ เน่อื งอาจใชเ้ มอ่ื สน้ิ สดุ การสอนในแต่ละหนว่ ย
ซง่ึ เม่ือพบผเู้ รยี นคนใดไม่ผ่านเกณฑข์ องแต่ละจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ผู้สอนกค็ วรจะได้ศกึ ษาวา่ ผู้เรียน
มขี อ้ บกพรอ้ งหรอื จุดอ่อนในเร่อื งใดจะได้ทาการแกไ้ ขข้อบกพร่อง จากน้นั จงึ ประเมนิ อีกครั้งหนง่ึ
สาหรับจดุ ม่งุ หมายของการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน เพื่อปรับปรุงการเรียน
การสอน อาจจาแนกตามระยะเวลาของการวัดและการประเมินได้ 3 ระยะ ดงั น้ี
3.1 การวัดและประเมนิ ผลกอ่ นการเรียนการสอน มีจดุ มุ่งหมายเพื่อหาสารสนเทศของ
ผู้เรียนในเบ้ืองต้น สาหรับไปจัดกระบวนการเรียนรู้ ท่ีสอดคล้องกับผู้เรียนตามแนวทางการจัด
กระบวนการเรยี นรู้ท่ียดึ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั ประกอบดว้ ยการประเมนิ
3.3.1 การประเมินความพร้อมและพื้นฐานของผู้เรียน เป็นการตรวจสอบความรู้
ทักษะ และความพร้อมตา่ ง ๆ ของผู้เรียนท่ีเปน็ พื้นฐานของเร่ืองใหม่ ๆ ที่ผู้เรียนต้องการเรียนโดยใช้
วธิ กี ารที่เหมาะสม แล้วนาผลการประเมนิ มาปรบั ปรงุ ซอ่ มเสริมหรอื ตระเตรยี มผู้เรยี นให้มีความพร้อม
และพ้นื ฐานพอเพียง ซึ่งจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นประสบความสาเร็จในการเรยี นได้เปน็ อย่างดี
3.3.2 การประเมินความรอบรู้ในเรื่องที่จะเรียนก่อนการเรียน เป็นการประเมิน
ผเู้ รยี นในเรอื่ งทจี่ ะทาการสอน เพอ่ื ตรวจสอบวา่ ผู้เรยี นมีความรู้ และทักษะในเร่ืองท่ีจะเรียนน้ันมาก
นอ้ ยเพยี งไร เพื่อนาไปเป็นขอ้ มลู เบอื้ งต้นของผู้เรียนแตล่ ะคนว่าเริ่มต้นเรียนเร่ืองน้ัน ๆ โดยมีความรู้
เดมิ อยเู่ ทา่ ไรจะได้นาไปเปรียบเทยี บกับผลการเรียนภายหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน
แลว้ วา่ เกดิ พฒั นาการหรือการเกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่เพียงไร ซึ่งจะทาให้ทราบถึงศักยภาพใน
การเรยี นรขู้ องผูเ้ รียน และประสิทธิภาพในการจดั การเรยี นการสอน ผู้สอนสามารถนาผลการประเมนิ
146
ไปใช้เปน็ ขอ้ มูลในการจดั เตรียมวธิ ีการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความรู้เดิมของ
ผู้เรียนว่าจะต้องจัดอย่างเข้มข้นหรือมากน้อยเพียงใด จึงจะทาให้แผนการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ
สามารถทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรียนร้แู ละพฒั นาการต่าง ๆ ตามผลการเรยี นท่คี าดหวังด้วยกันทุกคนได้
ในขณะทีท่ าใหผ้ ู้เรยี นทม่ี พี ้นื ความรู้เดิมอย่แู ลว้ เกิดความรู้สกึ เบ่อื หนา่ ยและเสยี เวลาเรียนในส่งิ ท่ตี นรูแ้ ลว้
การประเมินความรอบรู้ก่อนเรียนมีขั้นตอนการปฏิบัติเหมือนกับการประเมินความพร้อมต่างกัน
เฉพาะความรทู้ ักษะทปี่ ระเมนิ เท่าน้ัน
3.2 การวัดและประเมินผลระหว่างการเรียนการสอน มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบ
พัฒนาการของผู้เรียนว่า บรรลุตามผลการเรยี นรู้ผู้คาดหวัง ในการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี
ผสู้ อนได้วางแผนไวห้ รือไม่ ทง้ั นส้ี ารสนเทศท่ไี ด้จากการประเมินไปสกู่ ารปรบั ปรุงแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งของ
ผเู้ รยี น และสง่ เสรมิ ผู้เรียนทม่ี คี วามรู้ ความสามารถใหเ้ กดิ พฒั นาการสงู สดุ ตามศกั ยภาพ
3.3 การวัดและประเมินผลเมื่อส้ินสุดการเรียนการสอน มีจุดมุ่งหมายเพ่ือตรวจสอบ
ความสาเรจ็ ของผู้เรียน เมอื่ ผ่านการเรยี นรูใ้ นช่วงเวลาหนง่ึ วา่ ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ตามผลการเรียนท่ี
คาดหวังหรือไม่ เม่อื นาไปเปรียบเทียบกบั ผลการประเมนิ กอ่ นเรียนแล้วผู้เรียนเกิดพัฒนาการขึ้นมาก
น้อยเพียงไร ทาใหส้ ามารถประเมินไดว้ า่ ผู้เรยี นมศี ักยภาพในการเรยี นเพียงไร และกิจกรรมการเรียน
ท่จี ดั ขึน้ มปี ระสทิ ธภิ าพในการพฒั นาผ้เู รยี นเพยี งไร ข้อมลู จากการประเมินภายหลงั การเรียน สามารถ
นาไปใช้ประโยชน์ไดม้ ากมาย ไดแ้ ก่
3.3.1 ปรบั ปรงุ แก้ไขซอ่ มเสรมิ ผู้เรียนให้มีผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง หรือจุดประสงค์
ของการเรียน
3.3.2 ปรบั ปรุงแก้ไขวิธีเรียนของผูเ้ รียนให้มีประสิทธภิ าพยิ่งขน้ึ
3.3.3 ปรบั ปรุงแกไ้ ขและพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรยี น
การประเมนิ หลงั เรยี นนี้ ถา้ จะใหส้ อดคลอ้ งกบั การประเมินก่อนเรยี น เพ่ือเปรียบเทียบ
พฒั นาการของผู้เรยี นสาหรบั การวจิ ยั ในชนั้ เรียน ควรใชว้ ิธีการและเครอื่ งมือประเมินชุดเดียวกันหรือ
คขู่ นานกัน (กรมวิชาการ. 2545 : 13 – 18)
4. จดั ตาแหนง่ ผเู้ รียน
เปน็ การจดั ผ้เู รยี นอกเปน็ กลมุ่ ๆ ตามความสามารถ กล่าวคือ ผู้เรียนที่มีความสามารถ
ใกลเ้ คียงกนั ไว้ด้วยกัน เพอ่ื ประโยชนใ์ นการจดั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ งกบั ผเู้ รียน
แต่ละกลุ่ม การทดสอบเพื่อจัดตาแหน่งนั้นต้องมีการทดสอบก่อนการเรียนการสอนในวิชานั้น ๆ
ในทางการศกึ ษา จุดมงุ่ หมายการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเพ่ือจดั ตาแหน่งนยิ มใชก้ นั
ใน 2 ลกั ษณะ เพือ่ การจัดจาแนก เช่น แยกผเู้ รยี นออกเปน็ ประเภทตามระดบั คะแนน (A B C และ D)
และเพ่อื คัดเลือก
5. การใหค้ าปรกึ ษาและแนะแนว
เพ่ือช่วยใหค้ รูแนะแนวมขี อ้ มูลทเ่ี ปน็ ความสามารถของผเู้ รยี นในดา้ นการเรียน ว่าผูเ้ รียน
เกง่ – อ่อน – ดอ้ ย อยา่ งไร ซึง่ เปน็ ประโยชน์สาหรบั การวางแผนการศกึ ษาตอ่ และการประกอบอาชีพ
โดยจะส่งผลให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จได้ นั่นคือการใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
มจี ุดมุ่งหมายเพื่อพยากรณ์
147
สรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเพ่ือสรุปผลการเรียน
ตรวจสอบความก้าวหนา้ ของผู้เรยี น ปรบั ปรุงการเรยี นการสอน จดั ตาแหน่งผ้เู รียน และให้คาปรึกษา
และแนะแนว
ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
การสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน มขี ั้นตอนในการดาเนินการ ดงั น้ี
1. กาหนดจดุ มงุ่ หมายในการสอบ
1.1 วเิ คราะหห์ ลักสตู ร
เป็นการพิจารณาว่าหลักสูตรแต่ละวิชากาหนดจุดมุ่งหมายไว้อย่างไร เช่น
จุดมุ่งหมายสาระคณิตศาสตร์ เม่ือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551 ขอ้ 1 กาหนดวา่ มคี วามรูค้ วามเข้าใจและความรู้สึกเชิงจานวนเก่ียวกับจานวนนับ
และศูนย์ เศษส่วน ทศนยิ มไมเ่ กนิ สามตาแหน่ง รอ้ ยละ การดาเนนิ ของจานวน สมบัติเกี่ยวกับจานวน
สามารถแก้ปญั หาเกีย่ วกับการบวก การลบ การคูณ และการหาจานวนนับ เศษส่วน ทศนิยมไม่เกิน
สามตาแหน่ง และร้อยละ พร้อมทั้งตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบที่ได้ สามารถหา
คา่ ประมาณของจานวนนบั และทศนยิ มไม่เกินสามตาแหน่งได้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 59)
1.2 วิเคราะหเ์ นื้อหา ผสู้ อนจะตอ้ งพิจารณา ดงั นี้
1) แยกแยะรายละเอยี ดเนอ้ื หาวิชาออกเป็นหน่วยยอ่ ย ๆ ว่ามกี ่ีเร่อื ง
2) แต่ละเร่อื งความยากง่ายมากน้อยเพยี งใด แล้วจัดลาดับความสาคัญของเน้ือหา
แต่ละเรื่อง
3) กาหนดเวลาท่ีใช้สอบแต่ละเร่ือง ถ้าเน้ือหาใดมีมาก หรือมีความยากหรือมี
ความสาคัญ ควรกาหนดเวลาใหม้ ากกวา่ เนอ้ื หาอืน่
4) กาหนดรายละเอยี ดในแตล่ ะคาบ/ช่วั โมงทส่ี อน
5) กาหนดรปู แบบวธิ กี ารจัดการเรียนการสอนและวธิ กี ารวัดและประเมินผล
1.3 กาหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือจุดประสงค์การเรียนรู้ อันจะเป็นผลการ
เรียนรู้ที่ผู้สอนมุ่งหวังที่จะให้เกิดกับผู้เรียน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมประกอบด้วยพฤติกรรมที่
คาดหวัง สถานการณ์ และเกณฑ์ ผู้สอนควรกาหนดไว้ล่วงหน้าเพ่ือจะช่วยให้เห็นแนวทางในการ
จดั การเรียนการสอนและการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ในการกาหนดพฤติกรรมที่คาดหวัง ผสู้ อนจะตอ้ งพิจารณาเน้อื หาว่าตอ้ งการให้ผู้เรียน
เกดิ พฤติกรรมระดับใด ต้ังแต่ระดับความรู้ – ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การ
สงั เคราะห์ และการประเมินค่า ซ่ึงพฤติกรรมแต่ละระดับมีลักษณะการแสดงออกที่แตกต่างกัน (ได้
นาเสนอไวใ้ นบทท่ี 2)
2. กาหนดรปู แบบของขอ้ สอบ (Test Formats)
เม่ือวิเคราะห์หลักสูตรแล้วผู้สอนจะต้องพิจารณาว่าจะกาหนดรูปแบบของข้อสอบว่า
แบบใดเปน็ แบบปรนัยหรอื อตั นัย หรอื ทั้งแบบปรนัยและอัตนยั ผสมกัน
148
3. สร้างตารางวเิ คราะห์หลักสูตร
เมือ่ กาหนดจุดม่งุ หมายและรปู แบบของขอ้ สอบแลว้ ก็จะสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร
(Curriculum Analysis) หรือตารางจาแนกข้อสอบ (Table of Specification) หรือพิมพ์เขียวการ
ออกข้อสอบ (Test Blueprint) ซึ่งมลี กั ษณะเปน็ ตารางแบบ 2 ทาง โดยแสดงถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง
เนื้อหาและพฤติกรรมที่ต้องการวัด แนวนอนจะเป็นองค์ประกอบด้านเน้ือหา ส่วนแนวตั้งจะเป็น
องค์ประกอบด้านพฤติกรรมการเรยี นรู้ ดงั ตารางท่ี 5.1
ตารางที่ 5.1 ตัวอยา่ งตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู ร
พฤตกิ รรม ร-ู้ จา เขา้ ใจ พฤตกิ รรมพทุ ธพิ ิสัย ประเมินคา่ รวม อันดับ
เนอ้ื หา นาไปใช้ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ ความสาคัญ
1.
2.
3.
4.
5.
รวม
อันดับ
ความสาคัญ
ขน้ั ตอนการสรา้ งตารางวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร (ดวงกมล ไตรวิจติ รคุณ. มปป : 60)
1. จดั ประชมุ อาจารย์ผู้สอนหรือครทู เี่ คยมปี ระสบการณใ์ นการสอนวชิ านัน้
2. วิเคราะหจ์ ุดมุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรมหรอื จุดประสงค์การเรียนรทู้ ี่ได้ในข้ันตอนแรกของ
การสร้างขอ้ สอบวา่ ในแตล่ ะเน้ือหามีจุดมุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรมท่ีวดั พฤตกิ รรมในระดับใดบา้ ง
3. แจกแบบฟอร์มตารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตรให้ครผู สู้ อนแตล่ ะคนลงคะแนนนา้ หนักในแตล่ ะ
ชอ่ ง โดยพจิ ารณาวา่ เนือ้ หาแตล่ ะเร่อื งมจี ดุ เน้นความสาคญั ท่ีพฤติกรรมระดบั ใด มากน้อยเพยี งใด
4. รวมน้าหนักท่ีครูแต่ละคนให้ และคานวณหาคา่ เฉลยี่
5. รวมน้าหนกั ในแนวนอนและแนวตงั้
6. ปรับจานวนรวมใหเ้ ป็นตัวเลขลงตัว เพือ่ ความสะดวกในการนาไปใช้
ตวั อยา่ งการสรา้ งตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตร
ตัวอยา่ ง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 สาระที่ 1 จานวน
และดาเนนิ การ มาตรฐาน ค 1.1 เขา้ ใจถึงความหลากหลายของการแสดงจานวนและการใช้จานวน
ในชวี ิตจริง และมาตรฐาน ค 1.2 เขา้ ใจถึงผลท่เี กดิ ขึน้ จากการดาเนนิ การของจานวนและความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งการดาเนินการต่าง ๆ และใช้การดาเนนิ การในการแก้ปัญหา
149
ตารางที่ 5.2 เน้อื หาและจดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
เน้ือหา จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
1. การอ่านและการเขยี นทศนิยมไม่เกนิ สาม 1. เขียนและอ่านทศนยิ มไมเ่ กินสามตาแหนง่
ตาแหน่ง 2. เปรยี บเทยี บและเรยี งลาดับเศษสว่ นและ
ทศนยิ มไม่เกนิ สามตาแหนง่
2. การเปรยี บเทยี บและเรยี งลาดบั เศษสว่ นและ
ทศนิยมไม่เกินสามตาแหนง่ 3. เขยี นทศนยิ มในรปู เศษสว่ นและเขยี น
เศษส่วนในรูปทศนยิ ม
3. การเขียนทศนยิ มในรูปเศษสว่ นและเขียน
เศษสว่ นในรูปทศนยิ ม 4. บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน และทศนิยม
พร้อมทงั้ ตระหนกั ถึงความสมเหตสุ มผลของ
4. บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน และทศนยิ ม คาตอบ
5. วิเคราะหแ์ ละแสดงวิธที าหาคาตอบของโจทย์
ปัญหาระคนของเศษสว่ นและทศนิยมทง้ั
ตระหนักถงึ ความสมเหตสุ มผลของคาตอบ
ตารางที่ 5.3 การวเิ คราะห์หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์สาระท่ี 1 จานวนและการ
ดาเนนิ การ มาตรฐาน ค 1.1 เขา้ ใจถงึ ความหลากหลายของการแสดงจานวนและการใช้
จานวนในชวี ติ จริง
พฤติกรรม พฤติกรรมพทุ ธิพสิ ยั
รู้-จา
จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม เข้าใจ
นาไปใ ้ช
ิวเคราะ ์ห
สังเคราะ ์ห
ประเ ิมน ่คา
จิต ิพสัย
ัทกษะพิสัย
1. เขียนและอ่านทศนิยมไมเ่ กินสามตาแหนง่
2. เปรยี บเทียบและเรยี งลาดบั เศษสว่ นและ
ทศนยิ มไม่เกนิ สามตาแหนง่
3. เขียนทศนยิ มในรปู เศษสว่ นและเขยี น
เศษสว่ นในรูปทศนิยม
4. บวก ลบ คูณ หาร เศษสว่ น และทศนยิ ม
พร้อมทั้งตระหนกั ถึงความสมเหตสุ มผล
ของคาตอบ
5. วเิ คราะหแ์ ละแสดงวิธีทาหาคาตอบของ
โจทยป์ ญั หาระคนของเศษส่วนและ
ทศนยิ มทั้งตระหนกั ถึงความสมเหตสุ มผล
ของคาตอบ
150
จากตารางที่ 5.3 แสดงถงึ พฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ในแต่ละจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม จากนั้น
ใหน้ ้าหนกั แตล่ ะจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมตามตารางที่ 5.4
ตารางท่ี 5.4 น้าหนกั และความสาคญั ของจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมและระดับพฤติกรรมพุทธิพสิ ัย
ระดบั พฤตกิ รรมพทุ ธิพิสยั
จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
ู้ร-จา
เข้าใจ
นาไปใ ้ช
ิวเคราะ ์ห
สังเคราะ ์ห
ประเ ิมน ่คา
รวม
ัอน ัดบความสาคัญ
1. การอ่านและการเขียนทศนิยมไมเ่ กนิ 36- - - -94
สามตาแหนง่
-38- - - 11 3
2. การเปรียบเทียบและเรยี งลาดบั เศษส่วน
และทศนิยมไมเ่ กินสามตาแหนง่ - 5 11 - - - 16 2
3. การเขียนทศนิยมในรูปเศษสว่ นและเขยี น - 5 7 12 - - 24 1
เศษส่วนในรูปทศนยิ ม 3 19 26 12 - - 60 -
4213 - ---
4. การบวก ลบ คณู หาร เศษส่วน และ
ทศนิยม
รวม
อันดับความสาคัญ
โดยปกตกิ ารออกขอ้ สอบจะออกไวเ้ ผอื่ เลือกประมาณ 20 - 50% เช่น จากตารางท่ี
4.4 ต้องการใชข้ อ้ สอบจริง 60 ขอ้ หากต้องการเผ่ือไว้ 20% กเ็ ขียนไว้ท้ังหมด 72 ขอ้
4. เขยี นขอ้ สอบ
4.1 เขียนข้อสอบลงในกระดาษข้อละแผน่ ควรเป็นกระดาษแข็งเพือ่ ความสะดวกในการ
คัดเลือกขอ้ สอบ
4.2 ข้อสอบแต่ละข้อประกอบด้วยข้อความและเฉลยคาตอบอยา่ งชัดเจน
4.3 จัดเรยี งตวั เลือกในแตล่ ะขอ้ ใหเ้ ปน็ ระบบเดยี วกนั เชน่ จากนอ้ ยไปหามาก หรือมาก
ไปหานอ้ ย
5. คดั เลอื กขอ้ สอบ
5.1 นาขอ้ สอบทีเ่ ขียนท้งั หมดมาคัดเลือก โดยพจิ ารณาจากเน้อื หาและพฤตกิ รรมเปน็ ไป
ตามตารางวิเคราะห์หลกั สตู รหรือไม่ ลกั ษณะคาถามถกู ตอ้ งหลักการเขียนขอ้ สอบและใชภ้ าษาชัดเจน
ตรวจสอบความเหมาะสมตัวเลอื กถูกและตัวลวง
151
5.2 เรยี งขอ้ สอบจากง่ายไปหายาก โดยมีความยากงา่ ยในอัตราสว่ นท่ีเหมาสมประมาณ
1 : 2 : 1 (งา่ ย : ปานกลาง : ยาก) กลา่ วคอื ให้จานวนข้อท่ียากในระดับปานกลางประมาณครึ่งหนึ่ง
ของจานวนขอ้ สอบท้งั หมด ส่วนทเี่ หลอื เป็นข้อสอบทย่ี ากและง่ายอย่างละคร่งึ
5.3 ตรวจสอบดูว่าขอ้ สอบทีเ่ รียงลาดบั แลว้ มีตวั เลือกถกู ใดบา้ ง มลี ักษณะการกระจายใน
อัตราสว่ นทเ่ี ท่ากันหรือใกลเ้ คยี งกันหรือไม่ ถ้ามอี ัตราสว่ นทไี่ มเ่ หมาะสมก็ปรบั ตวั เลือกถกู ใหมใ่ หเ้ หมาะสม
5.4 ให้ครทู ุกคนทเี่ ขียนขอ้ สอบทดลองทาข้อสอบ เพ่ือตรวจสอบในเร่ืองความบกพร่อง
ของคาถามและคาตอบในด้านการใช้ภาษา การเฉลย การเรียงลาดับเนื้อหา ตลอดจนเพ่ือเป็นการ
กาหนดเวลาที่จะใช้สอบให้เหมาะสม (Optimum Time) (ซ่ึงโดยปกติเวลาท่ีเหมาะสมของการทา
ข้อสอบคือ เวลาที่ผู้สอบประมาณ 90 – 95% ทาขอ้ สอบเสร็จ)
5.5 ตรวจสอบคุณภาพของข้อสอบก่อนนาไปใช้ โดยนาแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึน ไปให้
ผเู้ ชย่ี วชาญด้านเน้ือหา และด้านการวดั ผลการศึกษาจานวน 3 – 5 ทา่ น ตรวจสอบความเท่ียงตรงตาม
เน้อื หา (Content Validity) โดยให้ผู้เช่ียวชาญพิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อนั้นสร้างได้ถูกต้อง และ
เหมาะสมเพียงใด พิจารณาความสอดคล้องของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ หรือเนื้อหา ตาม
ตารางวเิ คราะหห์ ลักสูตรหรอื ไม่ โดยใช้เกณฑก์ ารประเมิน ดงั น้ี
+ 1 หมายถึง แน่ใจว่าขอ้ สอบวัดจดุ ประสงค์ขอ้ นนั้
0 หมายถึง ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อสอบวัดจดุ ประสงค์ขอ้ นนั้
- 1 หมายถึง แน่ใจวา่ ขอ้ สอบไม่วัดจุดประสงค์ข้อนั้น
นาข้อมูลที่ได้ หาค่าความสอดคล้อง (Item Objective Congruence Index :
IOC) มีค่าตง้ั แต่ 0.50 ขน้ึ ไป จัดพิมพแ์ บบทดสอบฉบับใหม่
6. จดั พิมพแ์ บบทดสอบฉบับทดลอง
เมอื่ ตรวจสอบความถกู ตอ้ งสมบรู ณ์แล้วให้พิมพ์ข้อสอบทั้งหมดเป็นฉบับทดลอง โดยมี
คาช้แี จงวิธกี ารตอบอยา่ งชดั เจน และจดั วางการพมิ พใ์ หเ้ หมาะสมกบั หนา้ กระดาษ
7. การทดลองใช้และวิเคราะหข์ ้อสอบ
7.1 การทดลองใช้ เปน็ การนาแบบทดสอบไปตรวจสอบคุณภาพก่อนนาไปใช้จริง โดย
การนาแบบทดสอบไปทดสอบกบั กลมุ่ ตวั อย่างท่มี ลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั กลมุ่ ตวั อย่างท่ตี ้องการสอบจริง
(โดยท่วั ไปแล้วแบบทดสอบท่ีผู้สอนจัดทาข้ึนเพ่ือสอบในโรงเรียนมักไม่ค่อยมีการทดลองใช้ข้อสอบ
สว่ นใหญ่จะนาไปใช้ทดสอบจรงิ แล้ววเิ คราะหข์ อ้ สอบพร้อมทง้ั ปรับปรุง นาไปใชใ้ นครัง้ ต่อ ๆ ไป)
7.2 วเิ คราะหข์ ้อสอบ เป็นการตรวจสอบคณุ ภาพข้อสอบแตล่ ะขอ้ ภายหลังจากท่ีทาการ
สอบแลว้
7.2.1 วิเคราะหร์ ายขอ้ ไดแ้ ก่ คา่ ความยาก ค่าอานาจจาแนก
7.2.2 การวิเคราะห์ทั้งฉบับ ได้แก่ ความเชื่อม่ัน ความเที่ยงตรง เช่น ความ
เท่ยี งตรงเชิงเนอ้ื หา ความเทย่ี งตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์ หรอื ความเทยี่ งตรงเชงิ โครงสรา้ ง
152
8. ปรับปรงุ แบบทดสอบ
พิจารณาขอ้ สอบแต่ละข้อวา่ มีคุณสมบัติท่ีดดี ้านคา่ ความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.20 – 0.80
และ คา่ อานาจจาแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ประสิทธิภาพตัวลวง ซ่ึงต้องมีการตัดทิ้งหรือปรับปรุง
แก้ไขให้มคี ณุ ภาพดียง่ิ ข้นึ
9. จดั พมิ พ์แบบทดสอบฉบับจริง
เม่ือปรบั ปรงุ ขอ้ สอบแล้ว จงึ จัดทาเปน็ แบบทดสอบฉบบั จรงิ เพือ่ นาไปใชก้ บั กลมุ่ ตัวอยา่ ง
ท่ตี อ้ งการสอบจริงตอ่ ไป
หลกั การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนจะมีคุณภาพได้นั้นจะต้องอาศัยหลักการ
สรา้ งที่มปี ระสทิ ธภิ าพ ซ่ึง กรอนลันด์ (Gronlund. 1993 : 8 – 11) ไดใ้ ห้หลกั การสรา้ ง ดังนี้
1. ตอ้ งนยิ ามพฤตกิ รรมหรือผลการเรยี นรู้ที่ต้องการจะวัดให้ชัดเจน โดยกาหนดในรูปของ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ของบทเรยี นหรือรายวิชาด้วยคาทเี่ ฉพาะเจาะจงสามารถวดั และสงั เกตได้
2. ควรสรา้ งแบบทดสอบวัดใหค้ รอบคลุมผลการเรียนรู้ที่ได้กาหนดไว้ทั้งหมด ทั้งในระดับ
ความรู้ ความจา ความเขา้ ใจ การนาไปใช้และระดบั ท่ีซับซ้อนมากขน้ึ
3. แบบทดสอบทส่ี รา้ งขนึ้ ควรจะวดั พฤตกิ รรม หรือผลการเรยี นรทู้ เี่ ป็นตัวแทนของกิจกรรม
การเรียนรู้ โดยจะต้องกาหนดตัวช้วี ดั และขอบเขตของผลการเรยี นร้ทู จ่ี ะวัด แลว้ จึงเขยี นข้อสอบตาม
ตวั ช้วี ดั จากขอบเขตท่ีกาหนดไว้
4. แบบทดสอบที่สร้างข้นึ ควรประกอบด้วยข้อสอบชนิดต่าง ๆ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับ
การวัดพฤติกรรมหรือผลการเรียนรู้ทกี่ าหนดไวใ้ หม้ ากทสี่ ดุ
5. ควรสร้างแบบทดสอบโดยคานงึ ถงึ แผนหรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องการนาผลการทดสอบไปใช้
ประโยชน์จะไดเ้ ขยี นข้อสอบให้มีความสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์ และทนั ใช้ตามแผนที่กาหนดไว้ เช่น
การใชแ้ บบทดสอบกอ่ นการเรยี นการสอน (Pretest) สาหรับตรวจสอบพ้ืนฐานความรขู้ องผ้เู รียน เพ่ือ
การสอนซอ่ มเสรมิ การใชแ้ บบทดสอบระหว่างการเรียนการสอนเพื่อการปรับปรุงการเรียนการสอน
(Formative test) และการใชแ้ บบทดสอบหลังการเรียนการสอนเพ่ือตัดสินผลการเรียน (Summative
test)
6. แบบทดสอบทสี่ รา้ งขึน้ จะตอ้ งทาให้การตรวจให้คะแนนไม่มีความคลาดเคล่ือนจากการวัด
(Measurement errors) ซง่ึ ไมว่ ่าจะนาแบบทดสอบไปทดสอบกบั ผ้เู รยี นในเวลาที่แตกตา่ งกันจะต้อง
ได้ผลการวัดเหมอื นกนั
สรุปได้วา่ หลักการสรา้ งแบบทดสอบนนั้ ผู้สร้างแบบทดสอบตอ้ งคานงึ ถึงการนิยามพฤติกรรม
หรือผลการเรยี นรใู้ หช้ ดั เจน ครอบคลุมผลการเรียนรู้ กาหนดขอบเขตของผลการเรยี นรู้ และควรมีการ
ตรวจสอบแบบทดสอบเพือ่ ความถูกต้อง นอกจากน้ียังพิจารณาถึงระยะเลาที่ใช้สอบ การให้คะแนน
ต้องไม่มคี วามคลาดเคลอื่ นจากการวดั
153
การเขยี นขอ้ สอบวดั พฤติกรรมดา้ นพทุ ธพิ ิสัย
โดยท่ัวไปแลว้ รูปแบบของแบบทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบทดสอบ
ปรนัย (Objective Test) ได้แก่ แบบจับคู่ แบบถูก – ผิด แบบเติมคาหรือตอบส้ัน ๆ และแบบ
เลือกตอบ สว่ นแบบทดสอบอีกประเภทหนง่ึ คือ แบบทดสอบอัตนยั (Essay Type Test) ได้แก่ แบบ
ตอบขยายความ และแบบจากดั คาตอบ
1. แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีผู้ตรวจให้คะแนน
แต่ละคนสามารถให้คะแนนผลการสอบของผู้เข้าสอบได้ตรงกัน ไม่ว่าจะตรวจซ้าก่ีคร้ังหรือถ้าใช้
ผ้ตู รวจตา่ งกันตรวจให้คะแนนผ้สู อบคนเดียวกนั ก็จะไดค้ ะแนนเท่ากนั ซ่ึงเปน็ แบบทดสอบเลือกตอบ
และแบบเติมคาหรอื ตอบสน้ั ดงั น้ี (เยาวดี รางชัยกุล วบิ ูลยศ์ รี. 2553 : 117)
1.1 แบบทดสอบแบบจับคู่ (Matching)
1.1.1 ลักษณะทั่วไป แบบทดสอบแบบจับคู่เป็นแบบทดสอบที่มีชุดของคาหรือ
ขอ้ ความแยกออกจากกันเป็น 2 ชุด หรือ คอลัมน์ ชุดหน่ึงเรียกว่าตัวยืน (Premise) โดยปกติจะอยู่
ทางซ้ายมอื ชดุ ท่ี 2 เรียกว่าตวั เลอื ก (Response) จะอย่ทู างขวามือ แลว้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเลือกจบั คูว่ า่ คาหรือ
ข้อความในระหว่างชดุ ใดมคี วามสัมพันธ์กนั
1.1.2 หลักการสร้าง
1) คาหรือข้อความที่จะให้จับคู่ควรเป็นเรื่องราวหรือเนื้อหาเดียวกัน ถ้า
ต้องการถามหลาย ๆ เรือ่ งควรแยกออกเปน็ ตอน ๆ
2) คาหรือข้อความในแต่ละชุดต้องเป็นเอกพันธ์กัน (Homogeneity) คือ
เป็นเรือ่ งราวเดียวกนั เพราะถา้ เปน็ เรอื่ งราวหลายเรอื่ ง จะทาให้การจบั คู่ง่ายเกินไป
3) คาหรอื ข้อความในชุดหน่ึงจะจับคู่ได้ถูกต้องกับคาหรือข้อความเพียงข้อ
เดียวกบั ในชุดหนึง่ เทา่ นั้น
4) ตัวยนื ควรจะมปี ระมาณ 5 - 15 ข้อ ถา้ มีนอ้ ยเกินไปการจับคู่หาคาตอบ
จะง่ายมาก แต่ถ้ามมี ากเกนิ ไป ผเู้ รียนจะเกิดความสับสน การจบั คูห้ าคาตอบจะยากเกนิ ไป
5) จานวนตวั เลอื กควรมีมากกว่าตัวหลักประมาณ 3 – 4 ตัว ถ้าตัวยืนและ
ตวั เลือกเท่ากนั โอกาสการเดาถกู ข้อหลัง ๆ จะสูงมาก โดยเฉพาะขอ้ สุดทา้ ยจะจับคไู่ ดท้ ันทีโดยไม่ตอ้ ง
คิดหาคาตอบ
6) ตัวเลือกถูกไม่ควรอยู่ตรงกับตัวยืน ควรสลับไปมาอย่างเป็นระบบ เพื่อ
ปอ้ งกันการเดาและการชี้แนะคาตอบ
7) การเลือกคาตอบควรให้เลือกเฉพาะตัวอักษรหน้าคาหรือข้อความจาก
ตัวเลอื กไปใสห่ นา้ คาหรือขอ้ ความท่เี ป็นตัวยืน
8) ควรพมิ พ์ขอ้ สอบแตล่ ะชดุ อยู่ในหน้าเดียวกัน จะช่วยประหยัดเวลาและ
สะดวกในการทาข้อสอบ
154
1.1.3) ข้อดแี ละข้อเสีย
1) ข้อดี
- สามารถวัดเข้าใจในความสัมพนั ธข์ องเรอื่ งราวหรอื สง่ิ ต่าง ๆ
- เหมาะสาหรับวัดความรู้ความจาหรือความจริงตามท้องเรื่อง
ประเภท ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน เม่ือไร
- สรา้ งได้ง่าย สะดวกและรวดเรว็
- ตรวจใหค้ ะแนนไดง้ ่าย และมคี วามเปน็ ปรนยั สูง
- ประหยัดเวลาในการตรวจ
- ประหยัดกระดาษในการพิมพ์ขอ้ สอบและการเขยี นตอบ
- โอกาสในการเดาน้อย เพราะมหี ลายตวั เลอื ก
2) ข้อเสยี
- วัดพฤตกิ รรมความรู้ความจาเทา่ นน้ั วัดพฤติกรมข้ันสูงกวา่ นไ้ี ด้ยาก
- เป็นการยากที่สร้างข้อสอบใหเ้ ปน็ เร่อื งราวเดียวกัน
- โอกาสในการเดาถูกขอ้ สอบแต่ละข้อไม่เท่ากนั ขอ้ ตน้ ๆ มีโอกาส
เดาถกู น้อยกวา่ ข้อท้าย ๆ เนือ่ งจากจานวนตวั เลือกลดลง
ตวั อยา่ งข้อสอบแบบจับคู่
คาชแ้ี จงให้นักเรียนเลือกจบั คู่ระหว่างสถานทท่ี อ่ งเทีย่ วและจังหวัดที่สมั พนั ธ์กัน
โดยนาตวั เลขหน้าขอ้ เลือกทางขวามือ มาใสใ่ นหนา้ ชอ่ งว่างหน้าข้อความเลอื กทางซา้ ยมือ
สถานทที่ อ่ งเท่ียว จงั หวัด
........ก. วัดพระแกว้ 1. เชยี งใหม่
........ข. ปราสาทหินพนมรงุ้ 2. ภูเก็ต
........ค. ดอยสุเทพ 3. พงั งา
........ง. หมูเ่ กาะสมิ ริ นั 4. เชียงราย
........จ. พิพิธภณั ฑส์ ริ นิ ธร 5. กาฬสินธ์ุ
6. กรุงเทพมหานคร
7. บุรีรมั ย์
8. อยธุ ยา
1.2 แบบทดสอบแบบถกู – ผดิ (True – False Test)
1.2.1) ลักษณะทวั่ ไป แบบทดสอบถูกผดิ เปน็ แบบทดสอบท่ีมีให้เลือก 2 ตัวเลือก
ทมี่ ีลกั ษณะตรงขา้ มกนั เชน่ ถกู – ผดิ , ใช่ – ไม่ใช,่ จริ ง – ไม่จริง, เหมือนกัน – ต่างกัน เปน็ ตน้
1.2.2) หลักการสร้าง
1) ควรเขียนขอ้ ความด้วยภาษาท่ีง่าย ๆ ส้ัน กะทัดรัด และให้เห็นประเด็น
การพจิ ารณาถกู – ผิด ทช่ี ัดเจน
155
(ไม่ด)ี .....1. คณุ สมบัติของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์มิ ีหลายประการ
และคุณสมบัตปิ ระการหนึ่งท่ีสาคญั มากทส่ี ุดคือ
ความเท่ยี งตรง
(ดขี น้ึ ).....1. ความเที่ยงตรงเปน็ คุณสมบัติที่สาคัญทส่ี ุดของแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธิ์
2) เขยี นเป็นประโยคบอกเล่า ไมใ่ ชป่ ระโยคคาถาม
(ไมด่ ี).....1. แสงแดดมีวิตามินดีหรือไม่
(ดขี ้ึน).....1. แสงแดดใหว้ ิตามนิ ดี
3) ไมค่ วรเขียนประโยคปฏเิ สธซ้อนปฏเิ สธ เพราะผเู้ รยี นจะสบั สนหรอื เข้าใจ
ผิด ทาใหผ้ ลการสอบไมไ่ ดม้ าจากความรูใ้ นเรื่องทจ่ี ะวดั แตก่ ลบั เป็นความสามารถในการใช้ภาษาแทน
(ไมด่ ี).....1. การไมด่ ม่ื นา้ อัดลมจะทาใหเ้ ราไมเ่ ป็นโรคอ้วน
(ดีขึ้น).....1. การงดดม่ื นา้ อดั ลมจะไมเ่ ปน็ โรคอ้วน
(ดขี ้นึ ).....1. การงดด่มื น้าอัดลมจะทาให้เป็นโรคอ้วน
4) ไม่ควรใช้คาคุณศัพท์ทแ่ี สดงปรมิ าณไม่ชัดเจน เช่น อาจจะ บางคร้ัง ไม่แน่
บ่อย ๆ เสมอ ๆ บางครั้ง ท้ังส้นิ มาก น้อย ฯลฯ เพราะคาเหล่านีผ้ ้เู รียนอาจตัดสินใจได้ง่ายกว่าถูกหรอื ผดิ
หรืออาจจะตดั สนิ ใจไม่ไดเ้ ลยวา่ ถกู หรือผิด แตใ่ ชค้ าท่แี สดงปรมิ าณหรือจานวนที่แน่ชัด เช่น ท่ีสุดกว่า
ฯลฯ
(ไม่ดี).....1. ระนองเปน็ จังหวัดทฝี่ นตกมาก
(ดขี น้ึ ).....1. ระนองเป็นจงั หวดั ที่ฝนตกมากท่ีสุดในประเทศไทย
5) ไม่ควรคัดลอกข้อความจากในหนังสือเรียนหรือตารามาเป็นข้อคาถาม
เพราะจะทาให้เป็นการวัดความจาเท่านัน้ ควรปรบั ปรงุ ใหม่ให้สามารถวัดพฤติกรรมไดส้ งู ขนึ้
(ไมด่ )ี .....1. แสงแดดเป็นปจั จยั ในการดารงชวี ิตของพชื
(ดขี น้ึ ).....1. แสงแดดเปน็ ปัจจัยทสี่ าคญั ทส่ี ดุ ในการดารงชวี ิตของพชื
6) ควรให้จานวนขอ้ ถูกและผิดมีจานวนใกล้เคียงกัน และสลับข้อถูก – ผิด
อย่างไม่เป็นระบบเพ่ือป้องกันการเดา
7) ข้อสอบแตล่ ะข้อควรส้ันยาวใกล้เคียงกัน และควรจะเรียงจากคาตอบที่
สัน้ ไปหาคาตอบท่ียาว หรอื คาตอบที่ยาวไปหาคาตอบท่สี น้ั
1.2.3) การตรวจให้คะแนน
1) ควรทาเฉลยไวล้ ว่ งหน้าเพื่อจะได้ตรวจได้ง่ายและรวดเรว็
2) ควรกาหนดใหค้ ะแนนเทา่ กนั ทุกข้อ โดยให้ 1 คะแนน สาหรับข้อท่ีตอบ
ถูก และ 0 คะแนนสาหรับข้อทต่ี อบผดิ
3) ไม่ควรใช้วธิ กี ารหักคะแนนหรือติดลบในข้อท่ีทาผิด เพราะจะทาให้เกิด
ปัญหาในการเปรียบเทยี บคะแนนว่าใครเก่งกวา่ กนั
156
1.2.4) ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี
1) ขอ้ ดี
- วัดไดค้ รอบคลมุ เนื้อหา เพราะสามารถออกข้อสอบไดห้ ลายขอ้
- สรา้ งได้สะดวก รวดเร็ว และใชเ้ วลาตรวจน้อย
- ตรวจใหค้ ะแนนไดง้ า่ ยและมคี วามเปน็ ปรนัยสูง
2) ข้อเสีย
- มักจะวัดความรู้ความจามากกว่าด้านอ่นื ๆ
- สามารถเดาไดง้ ่าย ผู้เรียนมีโอกาสเดาถงึ 50%
- คะแนนท่ไี ดจ้ ากการสอบไมส่ ามารถบอกได้ว่ามาจากความสามารถ
ที่แทจ้ รงิ มากน้อยเพียงใด
- ไมส่ ามารถวินิจฉัยข้อบกพร่องของผเู้ รยี นไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง เนื่อง
มาจากโอกาสเดาถกู สงู
- บางรายวิชาเปน็ การยากมากที่จะสรา้ งข้อคาถามให้เปน็ จริงหรอื
เทจ็ โดยสมบูรณ์
1.3 แบบเติมคาหรอื ตอบสน้ั
1.3.1) ลกั ษณะท่วั ไป แบบทดสอบเติมคา เป็นแบบทดสอบทม่ี งุ่ วัดให้ผู้ตอบเติมคาวลี
หรือประโยคใหส้ มบรู ณ์ เพ่ือใหเ้ ปน็ ขอ้ ความที่ครบถ้วนและตรงตามขอ้ เทจ็ จรงิ ส่วนแบบตอบส้ันเป็น
แบบทดสอบที่มุ่งให้ผู้ตอบเขียนตอบข้ึนเองท้ังหมด แต่ใช้ถ้อยคาหรือข้อความท่ีส้ันและกระชับ
แบบทดสอบท้งั สองชนิดนใ้ี นทางปฏิบตั ิถอื ว่าเป็นแบบทดสอบชนิดเดียวกัน เพราะว่าในพฤติกรรมที่
ต้องการให้เกดิ การเรยี นรู้น้ัน สามารถนามาสร้างเป็นคาถามแบบเติมคาหรือแบบตอบสั้นที่ต้องการ
คาตอบตวั เดียวกนั ได้ (เยาวดี รางชยั กุล วิบูลย์ศรี. 2553 : 217) ตวั อย่างเช่น
- ยอดเขาทส่ี ูงทสี่ ดุ ในประเทศไทยมชี อื่ ว่าอะไร ?
- ยอดเขาท่สี ูงทส่ี ดุ ในประเทศไทย คือ..................
1.3.2) หลกั การสร้าง
1) ควรสร้างคาถามข้นึ มาใหม่ ไมค่ วรนาขอ้ ความจากบทเรียนมาตัดคาบางคา
หรือข้อความออก เพอื่ ใหเ้ ตมิ เข้าไป
2) แตล่ ะข้อ ควรให้เติมเพียงแห่งเดียว และควรเป็นตอนท้ายของประโยค
มากกว่าจะอยูต่ อนหนา้ หรือตอนกลางประโยค เพ่ือผู้เรียนจะสามารถจับประเด็นที่นามาก่อนอันจะ
เปน็ แนวคิดให้หาคาตอบไดไ้ ม่ตอ้ งยอ้ นคิดกลับจากสว่ นขยายตอนท้ายไปหาคาถามในตอนหนา้
(ไม่ดี) ......................เป็นบิดาแห่งการแพทย์ไทย
(ดขี ึ้น) บดิ าแหง่ การแพทย์ไทยมีชื่อว่า.................
3) คาถามควรถามในเรอ่ื งท่ีสาคญั แกก่ ารถาม ไม่มงุ่ ถามในสิง่ ทีเ่ ป็นรายละเอียด
ปลกี ย่อย เชน่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวภมู พิ ลอดุลยเดชทรงประสูติวันที.่ ..
4) คาตอบที่ต้องการให้เติม ต้องมีความเฉพาะเจาะจง สื่อความหมายได้
ตรงกนั เชน่
157
คาตอบให้ชัดเจน เช่น (ไม่ด)ี สงครามโลกครงั้ ที่ 2 เกิดขึ้นใน........(อาจจะตอบทวปี หรือ
ประเทศ)
(ดขี น้ึ ) สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 เกดิ ข้ึนในปี ค.ศ..............
5) ตรงทจ่ี ะใหเ้ ติมต้องเปน็ จดุ สาคัญจรงิ ๆ ไมค่ วรเว้นจดุ ทไี่ ม่สาคญั เช่น
(ไม่ดี) พ่อขุนรามคาแหงมหาราช........อักษรไทย ขน้ึ ในปี พ.ศ. 1862
(ดีขน้ึ ) พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชทรงประดษิ ฐอ์ กั ษรไทยขน้ึ ในปี
พ.ศ.................
6) คาถามท่ีต้องการหน่วยมาตราของคาตอบ จะต้องระบุหน่วยมาตราของ
(ไมด่ ี) รูปสเี่ หล่ียมผนื ผ้าที่มีด้านกวา้ ง 20 ซ.ม. ดา้ นยาว 25 ซ.ม.
จะมพี น้ื ท่ีเท่ากบั ..................
(ดขี นึ้ ) รูปส่เี หลย่ี มผืนผา้ ท่ีมีด้านกว้าง 20 ซ.ม.ดา้ นยาว 25 ซ.ม.
จะมีพน้ื ที่เท่ากบั ..............ตร.ม.
7) คาตอบท่เี ปน็ ทศนิยมต้องระบจุ านวนตาแหนง่ ทศนิยมท่ีต้องการดว้ ย เช่น
(ไม่ดี) ค่าโดยประมาณของ 29 เท่ากบั .................
6
(ดีขึ้น) ค่าโดยประมาณของ 29 เมอื่ ระบุเปน็ ทศนยิ ม 2
6
ตาแหน่ง เท่ากับ.............
1.3.3) การตรวจใหค้ ะแนน
1) ควรเฉลยคาตอบไว้ล่วงหน้า และพยายามเตรียมคาตอบอ่ืน ๆ ท่ีอาจ
เปน็ ไปได้ในแตล่ ะขอ้ ด้วย
2) ถา้ ข้อคาถามใดมคี าตอบถูกหลายคาตอบ จะตอ้ งใหค้ ะแนนคาตอบถกู ทกุ
คาตอบ
3) คาตอบทีเ่ ติมในแตล่ ะช่องควรให้คะแนนเท่ากันทุกคาตอบ
4) กรณีตอบถูกแต่สะกดผดิ ไมค่ วรหักคะแนน
1.3.4) ขอ้ ดแี ละขอ้ เสีย
1) ขอ้ ดี
- สรา้ งได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว
- เหมาะสาหรับวดั ความรคู้ วามจา
- เดาได้ยากมาก เพราะไม่มีตัวเลือก ผู้สอบต้องมีความรู้จริง ๆ จึงจะ
สามารถเขยี นตอบได้
- ออกข้อสอบได้ทุกวิชา แต่วิชาที่เหมาะสมคือ คณิตศาสตร์ และ
วทิ ยาศาสตร์ ทเ่ี กี่ยวกับขอ้ เท็จจรงิ คาศพั ท์ สตู ร กฎ การคดิ คานวณ การแปลความหมายจากรูปหรือ
แผนภูมิตา่ ง ๆ
158
2) ข้อเสยี
- วดั ความรู้ความจาอยา่ งเดียว ไมส่ ามารถวดั พฤตกิ รรมทีส่ ูงกวา่ นีไ้ ด้
- ถ้าคาถามไม่เฉพาะเจาะจง จะทาให้ลาบากในการตรวจให้คะแนน
และใช้เวลาในการตรวจนาน
- การให้คะแนนขาดความเป็นปรนัย เพราะบางคร้ังตัดสินใจได้ยาก
กว่าคาตอบนน้ั ๆ ถกู หรือผดิ
1.4) แบบทดสอบแบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test)
1.4.1) ลักษณะทั่วไป แบบทดสอบเลือกตอบเป็นแบบทดสอบท่ีประกอบไปด้วย
2 ตอนคอื ตอนนาหรือคาถาม (Stem) และตัวเลือก (Choices) ตอนนาหรือคาถามคือข้อความหรือ
คาถามท่ีต้องการจะถาม เป็นประโยคบอกเล่าหรือประโยคคาถามก็ได้ ส่วนตัวเลือกประกอบด้วย
ตัวถูก (Correct Alternative) และตัวลวง (Distracters) เป็นตัวเลือกท่ีไม่ถูกต้องมีประมาณ 2 – 4
ตวั เลือกความเหมาะสมกับระดับชัน้
1.4.2) ประเภทของแบบทดสอบเลอื กตอบ โดยทั่วไปแบง่ ออกเป็น 3 ประเภทคอื
1) แบบคาถามเดยี่ ว (Single Question)
- แบบใหเ้ ลอื กคาตอบถูก (Correct Answer)
- แบบให้เลอื กคาตอบผิด (Incorrect Answer)
- แบบให้เลือกคาตอบดที ีส่ ดุ
- แบบใหเ้ รียงลาดบั คาตอบ
- แบบให้เลือกคาตอบเปรียบเทียบ
- แบบใหเ้ ลอื กคาตอบซอ้ น
2) แบบตวั เลือกคงที่ (Constant Question)
3) แบบสถานการณ์ (Situation Test) เป็นข้อสอบที่ใช้วิธีการกาหนด
ขอ้ ความ ภาพ ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิ ให้อ่านหรือพิจารณาดูก่อน แล้วตั้งคาถามในแง่มุมต่าง ๆ
ให้ผเู้ รยี นตอบคิดและพิจารณาตอบภายใต้สถานการณ์เหล่าน้ี แต่ไม่ควรถามตรงตามสถานการณ์ท่ี
กาหนดไวห้ รือถามนอกสถานการณ์
1.4.3) หลกั การสรา้ ง
1) เขยี นตอนนาให้เป็นประโยคคาถามสมบูรณ์ อาจจะใสเ่ ครอ่ื งหมายปรัศนี
(?) ด้วย ไม่ควรเขียนตอนนาให้เป็นแบบอ่านต่อความ เพราะจะทาให้เกิดความสับสนในการคิดหา
คาตอบ เชน่
(ไมด่ ี) : เชยี งใหมเ่ ปน็ ชอ่ื ของ (ดีข้ึน) : ปัจจบุ ันเชียงใหมเ่ ปน็ ชอ่ื ของอะไร?
ก. สถานศึกษา ก. จังหวดั
ข. จงั หวดั หนง่ึ ข. สถานศกึ ษา
ค. โบราณสถาน ค. เมอื งหลวง
ง. เปน็ เมืองหลวง ง. โบราณสถาน
159
2) ควรถามใหต้ รงจดุ และชัดเจน ไม่คลมุ เครอื เพราะผ้ตู อบจะไขว้เขว เสียเวลา
ในการอา่ นคาถามและคาตอบหลายครัง้ เชน่
(ไมด่ ี) : ศลี คืออะไร ? (ดีขน้ึ ) : ศีลข้อท่ี 1 คอื ขอ้ ใด ?
ก. การไมพ่ ดู ปด ก. การไมพ่ ูดปด
ข. การไม่ด่มื สุรา ข. การไม่ด่ืมสุรา
ค. การไมฆ่ า่ สัตว์ ค. การไม่ฆา่ สตั ว์
ง. การไมล่ กั ขโมย ง. การไม่ลกั ขโมย
3) ควรถามในเรอ่ื งท่มี คี ณุ ค่าและมีประโยชน์ต่อการวัด นน่ั คือ ไม่ถามเฉพาะ
ความรคู้ วามจาจากตาราเพยี งอยา่ งเดียว ควรถามให้ผู้เรียนคดิ หลาย ๆ ด้าน หรอื คิดที่จะนาความรู้ไป
ใช้ในสถานการณอ์ ื่น ๆ ที่แปลกใหม่ออกไป เชน่
(ไมด่ )ี : ส่ีเหลี่ยมด้านขนานมีด้านขนานกันกี่คู่ (ดขี ้ึน) : ขอ้ ใดเป็นคุณสมบตั ิของสเ่ี หล่ียม
ก. 1 คู่ ด้านขนาน ?
ข. 2 คู่ ก. มีด้านขนานกัน 2 คู่
ค. 3 คู่ ข. มีมมุ ทกุ มมุ เป็นมมุ ฉาก
ง. 4 คู่ ค. มมุ แบง่ คร่ึงกันและกัน
ง. สตู รทีใ่ ช้คือ กว้าง x ยาว
4) อย่าใชค้ าฟุ่มเฟอื ย ควรตงั้ คาถามใหก้ ระชับ ชัดเจน สิง่ ใดท่ีไม่เก่ียวข้องก็
ไม่ตอ้ งนามาเขยี นไวใ้ นข้อคาถาม เช่น
(ไมด่ ี) : เขาเป็นคนไทย ไมใ่ ชค่ นต่างชาติ จึง (ดขี น้ึ ) : ขอ้ ใดเป็นการแสดงมารยาทแบบไทย?
ควรมีมารยาทอย่างไทย ๆ ข้อใดเป็น ก. ไหว้ผ้ทู เ่ี คารพ
มารยาทอย่างไทย ? ข. คานบั ผทู้ ี่ไปมา
ก. ไหว้ผ้ทู ่เี คารพ ค. จบั มอื เขยา่ กบั ผู้ทร่ี ู้
ข. คานบั ผูท้ ไ่ี ปมา ง. เรียกช่อื ผทู้ ่ีตอ้ งการทกั ทาย
ค. จับมอื เขยา่ กบั ผ้ทู ร่ี ู้
ง. เรยี กชอื่ ผทู้ ี่ตอ้ งการทกั ทาย
5) หลีกเลี่ยงคาถามปฏิเสธ เพราะจะทาให้เกิดความสับสนหรือยุ่งยากต่อ
การแปลความสบั สนหรอื ยุ่งยากต่อการแปลความหมายของคาถาม แตถ่ ้าจะใช้ควรพิมพ์ตัวหนา ตัวเอียง
หรือขดี เส้นใต้คาปฏเิ สธนัน้ เชน่ (สมนึก ภทั ทิยธน.ี 2551 : 85)
160
(ไม่ดี) : ถ้าตน้ ไม้ไมไ่ ดร้ บั แสงแดดจะไมม่ ี (ดีขึ้น) : ถ้าต้นไม้ไม่ได้รับแสงแดดใบจะมี
ลักษณะอยา่ งไร? ลกั ษณะอย่างไร? (ซีด)
ก. ซดี หรือ ต้นไม้ที่ได้รับแสงแดดใบจะมลี กั ษณะ
ข. แหง้ อยา่ งไร? (เขียว)
ค. เขียว
ง. เหีย่ ว
6) เขียนตัวเลือกให้เป็นเอกลักษณ์ หมายถึง ตัวเลือกทุกตัวควรมีลักษณะ
หรือองคป์ ระกอบอยา่ งใดอย่างหนงึ่ หรอื มีทิศทางเดยี วกนั เพ่ือความสะดวกและง่ายต่อการพิจารณา
ของผู้เรียน เช่น ช่ือ คณุ สมบัติ อาการ ประโยค วลี คา ดี เลว ฯลฯ เชน่
(ไม่ดี) : ถา้ ต้องการกรีดยางพาราให้ได้นา้ ยาง (ดีขน้ึ ) : ถา้ ตอ้ งการกรีดยางพาราให้ได้
มากท่ีสุด ควรกรดี เวลาใด? น้ายางมากที่สุด ควรกรดี เวลาใด?
ก. เช้า ก. เช้า
ข. สาย ข. สาย
ค. เย็น ค. บ่าย
ง. ดึก ง. เย็น
7) เขยี นตัวเลือกให้เป็นอสิ ระจากกัน หมายความวา่ อยา่ ให้ตวั เลือกตัวใดตัวหน่ึง
เป็นส่วนหน่ึงส่วนใดของตัวเลือกอนื่ ต้องใหเ้ ปน็ อิสระจากกนั อยา่ งชดั เจน เชน่
(ไมด่ )ี : คนไทยส่วนใหญ่ทาอาชพี อะไร? (ดีข้ึน) : คนไทยส่วนใหญ่ทาอาชพี อะไร?
ก. ทานา ก. คา้ ขาย
ข. ทาไร่ ข. รับราชการ
ค. เกษตรกรรม ค. เกษตรกรรม
ง. อุตสาหกรรม ง. อตุ สาหกรรม
8) ควรเรยี งลาดบั ตวั เลขในตวั เลอื กอย่างเปน็ ระบบ เช่น เรยี งจากมากไปหา
น้อยหรอื จากนอ้ ยไปหามาก, เพม่ิ – ลด, ใกล้ – ไกล เชน่
(ไมด่ ี) : 25 มีค่าเทา่ กบั เท่าไร? (ดขี ึ้น) : 25 มคี ่าเท่ากับเทา่ ไร?
ก. 2 ก. 2
ข. 16 ข. 10
ค. 10 ค. 16
ง. 32 ง. 32
161
9) ข้อเดียวต้องมคี าตอบเดียว บางครั้งผู้สอบเขียนตัวลวงไม่รัดกุม อาจจะ
ทาให้มตี วั เลอื กถูกมากกวา่ 1 ข้อ ดงั นนั้ เมอื่ เขยี นข้อสอบเสร็จจะตอ้ งพจิ ารณาตวั ลวงอกี ครัง้ หนงึ่ เชน่
(ไม่ด)ี : ขอ้ ใดไมเ่ ข้าพวก? (ดีขนึ้ ) : ข้อใดไมเ่ ขา้ พวก?
ก. ไก่ ก. ม้า
ข. แมว ข. แมว
ค. เสือ ค. เสอื
ง. กระบอื ง. กระบอื
บางคนอาจจะตอบข้อ ค. เพราะคดิ วา่ เป็นสัตว์
ป่า นอกจากน้นั เปน็ สัตว์เลีย้ ง บางคนอาจจะ
ตอบขอ้ ก. เพราะคิดวา่ เปน็ สตั ว์ 2 เทา้ หรอื สตั ว์
ปกี นอกน้นั เปน็ สตั ว์ 4 เท้าหรอื ไม่ใช่สัตว์ปกี
10) ตัวเลอื กถูกและผดิ ต้องถกู ตอ้ งตามหลักวชิ า หมายความว่า ตัวถูกและ
ตัวลวงจะต้องเป็นไปตามหลักวิชา เพ่ือให้ผู้เรียนรู้ความจริงต่าง ๆ ตามหลักวิชา การจะกาหนด
ตัวเลือกเพราะสอดคล้องกบั ความเชือ่ โชคลาง คาพังเพย หรือขนบธรรมเนียมประเพณเี ฉพาะทอ้ งถิ่น
ยอ่ มไมไ่ ด้ เชน่ ถามว่าถา้ หมบู่ า้ นขาดแคลนน้าบริโภค จะไม่ควรกาหนดตัวเลือกถูกเป็น “การแห่นาง
แมวขอฝน” เพราะไมถ่ กู ตอ้ งตามหลักวชิ า
11) ใช้ตัวเลือกปลายเปิดและปลายปิดให้เหมาะสม ตัวเลือกปลายเปิด
ได้แก่ ตวั เลือกสุดทา้ ยทใี่ ชว้ ่าสรปุ ยังไมไ่ ด้ หรอื ผิดหมดทุกข้อ ส่วนตัวเลือกปลายปิด ตัวเลือกสุดท้าย
มกั ใช้คาวา่ ถกู หมดทกุ ข้อ เชน่
ข้อใดเป็นการแยกตัวประกอบของ 16 ขอ้ ใดเป็นแบบทดสอบปรนัย
ก. 2 x 8 ก. ถูก – ผดิ
ข. 2 x 2 x 4 ข. แบบจบั คู่
ค. 4 x 4 ค. เลือกตอบ
ง. ผดิ ทกุ ขอ้ ง. ถูกทกุ ขอ้
หลักการใช้ตัวเลือกปลายเปิดและปลายปิดมีเหตุผลสาคัญ คือ (สมนึก
ภัททยิ ธนี. 2551 : 88 – 89)
- ถา้ ใชเ้ ป็นตัวถูกในบางข้อ ต้องใช้เป็นตัวลวงในบางข้อด้วย เพื่อป้องกัน
การเดา แต่ไม่ควรใชเ้ ป็นตัวเลอื กสดุ ทา้ ยทกุ ข้อ
- กรณีหาตัวลวงยาก หรอื หากเขียนไม่คมุ้ ค่า เห็นชัดไมว่ า่ ตวั ถกู
- กรณีต้องการใหข้ ้อสอบนัน้ มีความยากหรอื งา่ ยกวา่ ปกติ
- ในบางเรือ่ งคาตอบถกู หรอื ความรทู้ ี่นกั เรยี นควรจะได้รับมีหลายประเด็น
จึงตอ้ งใชต้ ัวเลือกประเภทน้ี โดยเฉพาะตัวเลือกปลายเปิด เชน่
162
- ไมค่ วรใช้ตัวเลือกปลายเปดิ และปลายปิดในข้อเดียวกัน เพราะมีโอกาส
เปน็ ตัวถูก 1 ตัว ตัวผดิ 1 ตวั หรือผิดทั้ง 2 ตวั
- การเขียนข้อสอบทุกครั้ง ควรมีตัวเลือกปลายเปิดและปลายปิดรวมอยู่
ดว้ ย ทั้งเป็นตัวถูกละตวั ลวง
12) ใช้ภาษาไทยใหเ้ หมาะสมกบั วัยผสู้ อบ แต่ละระดับช้ัน เพราะภาษาและ
คาศัพทใ์ นแตล่ ะวัย แตล่ ะระดบั ชน้ั มีความยากงา่ ยไม่เทา่ กนั ผ้สู อบในแตล่ ะวยั
13) ควรมีตวั เลอื ก 3 – 5 ตัว นักเรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 ควร
ใช้ 3 ตัวเลอื ก ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ควรใช้ 4 ตัวเลือก ตั้งแต่ระดับช้ันมัธยมศึกษาขึ้นไป ควรใช้ 5
ตัวเลอื ก
14) อย่าแนะคาตอบ มีหลายกรณี เชน่
- คาถามขอ้ หลงั ๆ แนะคาตอบขอ้ แรก ๆ
- ตวั เลอื กถกู ผิดยาวไม่สม่าเสมอ (ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์. 2556 : 69 – 70)
(ไม่ดี) : จุดเดอื ดของนา้ คอื ? (ดขี ึ้น) : จดุ เดือดของน้า ณ ระดับน้าทะเล
ก. 100 ºF และต้มในภาชนะท่ีไมป่ ดิ ฝาคือ?
ข. 160 ºF ก. 100 ºF
ค. 212 ºF ณ ระดับน้าทะเลและตม้ ข. 160 ºF
ในภาชนะทไี่ ม่ปิดฝา ค. 212 ºF
ง. 312 ºF
ง. 312 ºF
- ตัวเลอื กถกู หรอื ตัวลวง ถูกผดิ ชัดเจนเกินไป
(ไม่ด)ี : ขอ้ ใดเป็นสตั วเ์ ลย้ี งไวใ้ ช้งาน? (ดีขึ้น) : ขอ้ ใดไมเ่ ข้าพวก?
ก. เสอื แรด ววั ก. ควาย วัว สนุ ขั
ข. ควาย วัว ช้าง ข. ควาย วัว ช้าง
ค. สิงโต แรด ชา้ ง ค. ควาย ชา้ ง สุนัข
ง. เสอื สงิ โต ควาย ง. ควาย วัว กวาง
ปรับตวั ลวงให้ใกลเ้ คียงกบั ตวั ถกู (ง)
- ตัวเลือกถูกใช้คาซ้ากับคาถามหรือเก่ียวข้องกับผู้เรียนที่ไม่มี
ความรู้อาจจะเอาคาตอบได้
(ไมด่ ี) : รูปสามเหลีย่ มชนดิ ใดมีดา้ นเทา่ กนั (ดขี ้ึน) : รปู สามเหล่ียมใดเปน็ รูปสามเหล่ยี ม
ทกุ ด้าน? มมุ แหลมเสมอ?
ก. หน้าจั่ว ก. มมุ ฉาก
ข. ดา้ นเท่า ข. ด้านเท่า
ค. มมุ ฉาก ค. มมุ ปา้ น
ง. มุมแหลม ง. หนา้ จ่ัว
163
- ขอ้ ความของตวั ถูกบางสว่ นเปน็ ส่วนหน่ึงของทุกตัวเลือก ทาให้
ขอ้ ความน้นั ไม่มีความหมาย และเป็นการแนะนาคาตอบโดยไม่รตู้ วั
(ไม่ด)ี : รปู สเ่ี หลยี่ มชนดิ ใดมีมมุ ทกุ มมุ เป็น (ดีขึ้น) : รปู ส่ีเหล่ยี มชนดิ ใดมีมมุ ทุกมมุ เปน็
มมุ ฉาก? มุมฉากเชน่ เดยี วกับส่เี หลีย่ มจตั รุ ัส?
ก. จตั ุรสั ผืนผา้ ก. ผืนผ้า
ข. จตั รุ สั คางหมู ข. คางหมู
ค. จัตรุ สั ดา้ นขนาน ค. ด้านขนาน
ง. จตั รุ สั ขนมเปียกปูน ง. ขนมเปียกปนู
- ถามเรื่องทผ่ี เู้ รยี นคลอ่ งปากหรือคุ้นเคยอยู่เสมอ โดยเฉพาะคาถาม
ประเภทสุภาษิต คาพงั เพย คตพิ จน์ หรอื คติเตอื นใจ เชน่
(ไม่ด)ี : ความประมาทเป็นบ่อเกิดของอะไร? (ดีข้นึ ) : เพราะเหตุใดความประมาทจงึ เปน็
ก. ความแก่ บอ่ เกดิ แห่งความตาย?
ข. ความจน ก. ขาดสติ
ค. ความเจบ็ ข. ขาดสมาธิ
ง. ความตาย ค. จิตใจมัวหมอง
ง. รเู้ ท่าไม่ถงึ การณ์
- คาตอบไมก่ ระจายตวั แบบทดสอบบางฉบับอาจจะมีตวั ถกู ซา้ ๆ
ท่หี รอื ผลัดเปล่ียนกนั หรือเปน็ ชว่ ง ๆ ซ่ึงจะทาใหข้ อ้ สอบเสยี คณุ ภาพ ผู้เรียนอาจจะเดาคาตอบได้โดย
ไม่ต้องคิด ดังนั้น ควรมีการกระจายตัวเลือกให้มีจานวนเท่า ๆ กัน เช่น ข้อสอบ 60 ข้อ 4 ตัวเลือก
แต่ละตวั เลือกควรเป็นตัวถูก 15 ตวั และมกี ารสลบั ตัวถูกอยา่ งไมม่ ีระบบ
1.4.4) การตรวจให้คะแนน
การตรวจใหค้ ะแนนประเภทนที้ าไดง้ า่ ย และสะดวกเพราะสามารถทาเฉลย
ไว้ล่วงหน้า จะตรวจดว้ ยมอื หรอื เครือ่ งคอมพวิ เตอร์ก็ได้
1.4.5) ขอ้ ดีและข้อเสยี
พิชิต ฤทธ์ิจรูญ (2553 : 133) ได้เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ
แบบทดสอบเลอื กตอบ ดงั ตารางที่ 5.5
164
ตารางที่ 5.5 การเปรยี บเทยี บข้อดีและข้อเสยี ของแบบทดสอบเลอื กตอบ
ขอ้ ดี ข้อเสีย
1. วัดได้ครอบคลมุ เนอ้ื หาและสมรรถภาพ 1. สรา้ งไดย้ ากและเสียเวลาในการสร้าง
ทางปญั ญาตง้ั แตต่ ้นถึงขั้นสงู เพราะต้องอาศัยความรูค้ วามชานาญของ
2. ตรวจใหค้ ะแนนไดง้ า่ ย สะดวก และ ผ้สู รา้ งเป็นสาคัญ
2. วัดความรใู้ นเชงิ สรา้ งสรรค์ ความสามารถ
รวดเรว็ เหมาะสาหรับใช้สอบคัดเลือกทมี่ ี
ในการใช้ภาษาและแสดงความคดิ เห็น
ผสู้ อบจานวนมาก ๆ ต่าง ๆ ได้ยาก
3. มคี วามเป็นปรนัยสูง คอื เข้าใจคาถามได้ 3. ส้ินเปลืองมาก โดยต้องลงทุนกระดาษ วสั ดุ
ตรงกนั ตรวจใหค้ ะแนนตรงกนั และแปล และอุปกรณ์ในการสร้าง
4. ไม่สง่ เสรมิ หรือช่วยเหลือทกั ษะการเรียน
ความหมายได้ตรงกนั 5. สามารถเดาคาตอบได้ถกู ต้อง โดยไม่มี
4. สามารถนามาวิเคราะห์ ปรบั ปรงุ ใหม้ ี
ความรเู้ ลย
คุณภาพสูงข้นึ ได้
5. ใหค้ วามยตุ ิธรรมสงู เพราะออกข้อสอบ
ไดค้ รอบคลมุ ตัวอยา่ งเนอ้ื หาและ
พฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั
2. แบบทดสอบอัตนยั (Essay Type Test)
2.1 ลักษณะทั่วไป แบบทดสอบอัตนัยหรือความเรียง เป็นแบบทดสอบท่ีมีเฉพาะข้อ
คาถาม แล้วให้ผู้สอบหาคาตอบเอง โดยการเขียนบรรยายหรือแสดงข้อคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์
เรอ่ื งราว พฤตกิ รรมต่าง ๆ จากความรู้และประสบการณ์ทไี่ ด้รับมา ลักษณะของแบบทดสอบนี้อาจจะ
เปน็ โจทย์ หรือคาถามทีก่ าหนดเป็นสถานการณ์ หรือปญั หาอยา่ งกวา้ ง ๆ หรือเฉพาะเจาะจง
2.2 ชนดิ ของแบบทดสอบอตั นยั แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื
1) แบบตอบขยาย (Extended Response) หรือไมจ่ ากัดคาตอบ (Unrestricted
Response) เป็นแบบทดสอบท่ีเปิดโอกาสให้ผู้สอบตอบโดยแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มความสามารถ
มักใชก้ ับนกั เรยี นหรอื นักศึกษาในระดบั ชัน้ สูง ลกั ษณะของคาถามมกั ขึ้นต้นคาว่า จงอธิบาย จงอภิปราย
จงบรรยาย จงเปรยี บเทยี บ จงวิเคราะห์ แสดงความคดิ เหน็ ข้อเสนอแนะ สรปุ วางแผน ออกแบบการ
ทดลอง ตั้งสมมตฐิ าน ต้ังเกณฑต์ ัดสิน ประเมินผลหรอื การแกป้ ญั หา เป็นต้น
ตวั อย่างคาถาม
- จงอภิปรายถงึ สาเหตุเดก็ ไทยที่มผี ลสมั ฤทธ์ดิ ้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ต่า
- จงเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของการทดสอบอิงกลุ่ม
และองิ เกณฑ์
- จงอธิบายแสดงความคิดและให้ขอ้ เสนอแนะเก่ยี วกบั สังคมไทยในอนาคต
- จงเปรียบเทียบแบบทดสออตั นยั และแบบทดสอบปรนัยว่ามีข้อแตกต่างกัน
รวมทัง้ ข้อดแี ละขอ้ จากัดอย่างไร
165
- จรรยาบรรณวชิ าชีพ มีความสาคญั ตอ่ การประกอบอาชีพแตล่ ะอาชีพ
อยา่ งไร จงอภิปรายและใหข้ อ้ เสนอแนะต่อการสร้างจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู
2) แบบจากัดคาตอบ (Restricted Response) หรือตอบแบบส้ัน (Short
Essay Item) เป็นแบบทดสอบท่ีถามแบบจาเพาะเจาะจง ให้ผู้ตอบตอบสั้น ๆ ภายในขอบเขตท่ี
กาหนดไว้ โดยทวั่ ไปจะกาหนดขอบขา่ ยและความยาวในการตอบไว้ด้วย ลักษณะข้อคาถามมักจะอยู่
ในรปู คาถาม เชน่ จงบอกประโยชน์ จงอธิบายสั้น ๆ จงบอกขนั้ ตอน หรือจงอธิบายสาเหตุ เป็นต้น
ตวั อยา่ งคาถาม
- จงบอกประโยชนข์ องการเปิดเสรีทางการคา้ ของกลมุ่ อาเซียน
- จงบอกวธิ ปี อ้ งกนั ปัญหาเด็กติดเกม
- จงบอกขนั้ ตอนการป้องกันไข้หวดั นก
- จงบอกประโยชน์ของการประดษิ ฐข์ องใช้ด้วยตนเอง
- จงบอกประโยชนข์ องการฝึกสมาธิ
- จงบอกขั้นตอนของการปลูกผักสวนครวั
- จงอธิบายสาเหตขุ องการเสยี กรุงศรอี ยธุ ยาครั้งท่ี 2 มา 5 ประการ
2.3 หลักการสร้างแบบทดสอบอัตนยั
การสร้างแบบทดสอบอตั นยั มหี ลักการดังน้ี
1) เขียนคาชีแ้ จงให้ชัดเจนเกี่ยวกบั วิธีการตอบ จานวนขอ้ คาถาม เวลาที่ใช้สอบ และ
คะแนนเตม็ ของแต่ละข้อ
2) เขียนข้อความให้อยู่ในรูปประโยคคาถามที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ
ประเดน็ คาถามและสามารถตอบได้ตรงประเด็นทีถ่ าม
3) เขียนขอ้ คาถามใหผ้ เู้ รยี นได้ใช้ความคิดในการตอบ น่ันคือ ถามสูงกว่าประเภท
ความรู้ความจา
4) ควรเขียนข้อคาถามใหม้ จี านวนมาก ๆ เพ่ือจะวดั ไดค้ รอบคลุมเน้ือหา
5) ถามประเด็นท่สี าคัญ ๆ เพราะไม่สามารถถามได้ทุกเรอ่ื งทเ่ี รยี นมาแล้ว และต้อง
ใช้เวลาตอบนาน
6) เขียนข้อคาถามโดยพิจารณาระดับความยากง่าย จานวนข้อ และระยะเวลาที่
เหมาะสม
7) ควรเรียงลาดับข้อจากง่ายไปหายาก เพ่ือกระตนุ้ ยว่ั ยุให้ผูเ้ รยี นอยากตอบมากข้นึ
8) ควรให้อิสระผูเ้ รียนในการเลอื กทาข้อคาถามใดก่อนกไ็ ด้
9) ไมค่ วรให้ผูเ้ รยี นเลือกตอบเป็นบางข้อ เพราะขอ้ คาถามแตล่ ะขอ้ มีเนอ้ื หาตา่ งกัน
และมคี วามยากงา่ ยตา่ งกนั อาจจะทาให้เกิดการไดเ้ ปรียบกัน
10) ควรเขียนคาตอบไวด้ ้วยเพ่ือเป็นการตรวจสอบความชัดเจนของข้อคาถาม ถ้า
ไม่ชดั เจนจะได้ปรบั ปรุงแก้ไขใหช้ ัดเจนกอ่ นนาไปใชจ้ รงิ
166
2.4 หลักการตรวจใหค้ ะแนน
1) ควรมีเฉลยคาตอบที่ถูกต้องชัดเจนไว้ล่วงหน้า โดยแยกเป็นข้อ ๆ หรือแต่ละ
ประเด็น พร้อมกาหนดคะแนนในแต่ละข้อ แต่ละประเดน็ ให้ชดั เจน
2) ตรวจทลี ะขอ้ ใหเ้ สร็จหมดทุกคนแล้วจึงตรวจข้อใหม่ เพ่ือเปรียบเทียบคาตอบ
ของแตล่ ะคนไดอ้ ยา่ งชดั เจน
3) ควรปดิ ชื่อผูส้ อบไว้ขณะตรวจ เพื่อใหเ้ กิดความเปน็ ธรรมปราศจากความลาเอียง
หรอื อคตติ า่ ง ๆ (Bias)
4) ถา้ มผี ตู้ รวจหลายคน (Raters) ควรแบง่ กนั ตรวจคนละข้อหรือตรวจคนละกลุ่ม
แตต่ อ้ งปรึกษาหารือเก่ียวกับแนวทางและเกณฑ์การตรวจให้คะแนนท่ีชัดเจน แต่ถ้าเป็นการสอบท่ี
สาคญั ๆ อาจตรวจกนั หลายคนแล้วใช้คะแนนเฉล่ียแทน
5) ไม่ควรนาเรื่องทักษะการเขียนหรือไวยากรณ์ หรือความสกปรกมาเป็นเหตุให้
ตอ้ งหกั คะแนน ยกเว้นจะเป็นการวดั ทกั ษะด้านนโี้ ดยเฉพาะ
6) การกาหนดเกณฑ์การตรวจให้คะแนน ควรใช้เกณฑ์ด้านเนื้อหา (Content
Criteria) เกณฑด์ า้ นการจดั ลาดับความคดิ (Organization Criteria) และเกณฑด์ า้ นกระบวนการทาง
สมอง (Process Criteria) โดยพจิ ารณาควบคูไ่ ปกับความถูกตอ้ ง สมบูรณ์และความสมเหตสุ มผลของ
คาตอบดว้ ย
2.5 ข้อดีและข้อเสยี ของแบบทดสอบอัตนัย
2.5.1 ขอ้ ดี
1) สามารถวดั พฤติกรรมต่าง ๆ ไดท้ กุ ด้าน โดยเฉพาะด้านการคิดวิเคราะห์
การสงั เคราะห์ และการประเมินคา่
2) สามารถวดั ความคิดสรา้ งสรรคไ์ ด้เปน็ อยา่ งดี โดยเปิดโอกาสให้ผู้สอบได้
แสดงขอ้ คิดเหน็ หรือเจตคติของตนเองได้อย่างเต็มที่
3) สามารถวดั ความสามารถในการเขียนและการใชภ้ าษาไทยได้เป็นอย่างดี
4) ผู้สอบไม่มโี อกาสในการเดาหรือเดาแลว้ ได้คะแนนมีน้อยมาก
5) สรา้ งไดง้ า่ ย รวดเร็ว และประหยดั คา่ ใชจ้ ่าย
2.5.2 ขอ้ เสีย
1) ออกคาถามไดน้ อ้ ยขอ้ จงึ วดั ไดไ้ ม่ครอบคลมุ เนอ้ื หาในหลกั สตู ร
2) ตรวจให้คะแนนยากและมีโอกาสเกิดความคลาดเคลอ่ื นเสมอ
3) ไมเ่ หมาะที่จะใชก้ ับนักเรียนจานวนมาก ๆ เพราะใชเ้ วลาในการตรวจมาก
4) คะแนนท่ีไดอ้ าจจะมปี จั จยั อย่างอ่ืน ได้แก่ อคตสิ ่วนตวั ตอ่ ผสู้ อบ อารมณ์
ของผูต้ รวจ ลายมือของผู้สอบ สง่ ผลให้ความเชื่อมัน่ ต่า
167
การเขียนข้อสอบดา้ นพทุ ธพิ สิ ัยแนวใหม่
การเขยี นข้อสอบดา้ นพุทธิพิสัยแนวใหม่ ได้มีการปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาและปรับ
นยิ ามคาศพั ท์ดา้ นพุทธพิ ิสยั ของบลมู ซงึ่ ในการเปล่ยี นจากการใช้คานามเป็นคากริยา เพราะคากริยา
สามารถอธิบายการกระทาของพุทธิพิสัยได้ดีกว่าคานาม เช่น ความรู้ (Knowledge) เปลี่ยนเป็น
จา (Remember) ความเขา้ ใจ (Comprehension) เปลยี่ นเปน็ เข้าใจ (Understand)
และการปรบั เปล่ียนคาอธิบายหรือคานิยามของแต่ละด้านจะมีคาหลัก (Keywords) ที่ใช้
ประกอบการเขียนข้อคาถามเพ่ือให้มีความสัมพันธ์กันเช่น คาหลัก “นิยาม (Define)” การเขียนข้อ
คาถามจะเป็น “จงบอกความหมาย/นิยาม คาว่า จานวนเต็มได้” (Anderson and Krathwohl.
2001; อา้ งถึงใน อนวุ ัติ คูณแก้ว. 2558 : 54 – 59)
1. จา (Remember)
คาหลกั (Keywords) ข้อคาถาม
เลอื ก (Choose) 1. จงบอกความหมาย/นยิ าม “จานวนเตม็ ”
นิยาม (Define) 2. ใครเป็นคนกล่าวคาว่า “ประชาธิปไตยเป็นการปกครองของ
คน้ หา (Find) ประชาชน โดยประชาชนและเพ่อื ประชาชน”
ระบุ (Label)
3. จงบอกประโยชนข์ องการส่งโทรทศั นร์ ะบบดิจติ อล (Digital TV)
แสดง (Show)
บอก (Tell) 4. จงแสดงขน้ั ตอนของกระบวนการย่อยอาหาร
ละเลย (Omit) 5. จงทอ่ งกลอนเกีย่ วกบั การประหยดั และการออมเงิน
6. จงเขียนคาสาคญั (Keyword) เกยี่ วกับการสงั เคราะหแ์ สงของพืช
อะไร (What)
เม่อื ไหร่ (When) 7. ประชาคมอาเซียน (Asean Economic Community)
ทไ่ี หน (Where) กาหนดการเปิดอย่างเปน็ ทางการเมือ่ ไหร่
สง่ิ ไหน (Which) 8. จงเขยี นเหตุการณท์ ่เี กดิ ข้ึนในแตล่ ะวนั ของนักเรยี น
ใคร (Who)
ทาไม (Why) 9. ใหร้ ะบุข้อห้ามเก่ยี วกับการขับรถจกั รยานยนต์มา 3 ประเดน็
10. ภาวะโลกร้อน หมายความวา่ อยา่ งไร
ทาอยา่ งไร (How) 11. Where is Angkor War?
12. Why did Singapore ban gum?
13. Who were the main character in the Ramakien
(Ramayana)?
14. How is the global earth system changing?
15. Could you possibly explain the differences between
remember, remind, recall and recollect?
16. The ways to start losing weight. Which is true or false?
1) Don’t do it alone. Join an exercise group.
2) Exercise at least three times a month.
3) Know which foods are good, and which are bad.
168
2. เขา้ ใจ (Understand)
คาหลัก (Keywords) ข้อคาถาม
จาแนก (Classify) 1. จงเขียนเศรษฐกิจพอเพยี งตามแนวคิดของนกั เรียน
เปรียบเทียบ (Compare) 2. จงเปรยี บเทยี บพชื เลย้ี งใบเด่ยี วกบั ใบเล้ียงคู่
ความแตกต่าง (Contrast) 3. จงเปรยี บเทียบความแตกตา่ งของ Facebook กับ LINE
สาธติ (Demonstrate) 4. จงเขยี นภาพ หรอื การ์ตูนที่แสดงใหเ้ ห็นถึงเหตกุ ารณ์การขับรถ
อธบิ าย (Explain) ทท่ี าผดิ กฏจราจร
ขยายความ (Extend) 5. จงยกตัวอย่างคุณลกั ษณะของนักกฬี าฟุตบอลทีมชาติไทย
ยกตวั อย่าง (Illustrate) 6. จงอธบิ ายเหตุผลว่าทาไมพระอภัยมณีซึ่งมีเวทย์มนต์คาถาทาให้
อ้างอิง (Infer) ชนะการต่อสู้ แก้ปัญหาและผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ แต่
ตคี วาม (Interpret) สุดท้ายกลับมาแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นด้วยการสละบ้านเมืองและ
การสรุป (Summarize) ทรัพยส์ มบัตอิ อกบวช
แปลความ (Translate) 7. จงสรปุ เหตุการณ์รัฐประหารเมอ่ื วันท่ี 22 พฤษภาคม 2557
8. จงจดั ทาแผนผงั ลาดบั เหตกุ ารณช์ มุ นุมทางการเมืองในปี
พ.ศ.2557
9. จงถอดความบทน้ี “รอ้ ยคนรกั ไม่เท่าหนง่ึ คนท่ีภักดี ร้อยคาหวาน
ท่มี ไี ม่อาจเท่าหนึง่ คาทจี่ รงิ ใจ”
10. ข้อใดเป็นข้อเทจ็ จริง และข้อใดเปน็ ความคดิ เหน็
1) ทกุ คนหนีไม่พน้ ความตาย
2) การปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยดีที่สดุ
11. What would happen if all our satellites suddenly just
disappeared.
12. Read the paragraph/table. What are they saying?
13. How would you classify hydrogen?
14. How would you compare and contrast a dog and car?
15. How would you summarize the key process involved
in marketing?
16. What is the main idea of this message?
Regular exercise is good for your health. A moderate
amount of activity performed three to five days per
week can : Improve your heart health, Improve yiur
heart disease risk factors, and Improve your strength and
feeling of well-begin.
169
3. ประยุกต์ใช้ (Apply)
คาหลัก (Keywords) ข้อคาถาม
ประยกุ ต์ใช้ (Apply) 1. การออกกาลงั กายเพ่อื พัฒนากลา้ มเนือ้ ท้อง (Six pack)
สรา้ ง (Build, Construct) ทาอยา่ งไร
พัฒนา (Develop) 2. ถา้ ทา่ นมีอาการเจ็บคอ จะใชส้ มุนไพรใดรักษาอาการนี้
ทดลอง (Experiment) 3. สร้างแบบจาลองที่แสดงใหเ้ ห็นถึงวธิ กี ารทางานของเครอ่ื งปอก
สมั ภาษณ์ (Interview) มะพรา้ ว
แสดงการใช้รูปแบบ 4. จงแตง่ ตัวต๊กุ ตาในชดุ ประจาชาติของประเทศในอาเซยี น
5. จงเขยี นบันทกึ ประจาวัน (Diary) ของนกั เรยี น
(Make use of Model)
6. จงจดั ทาสมดุ ข่าว (มขี ่าว และรูปภาพ) ที่เก่ยี วข้องกับวชิ าท่ีเรียน
จัดการ (Organize) 7. จงเขยี นบตั รเชิญสาหรับงานเลี้ยงวันเกดิ ของทา่ น
วางแผน (Plan) 8. จงจัดทาและนาเสนอภาพที่นักเรียนได้ถ่ายไว้ โดยจัดเป็น
แกป้ ัญหา (Solve)
หมวดหมู่ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร การออกกาลังกาย
เส้อื ผ้า ฯลฯ
9. จงจัดทาเกมเสริมทกั ษะคาศัพท์ภาษาองั กฤษ
10. กาหนดให้ U = {1,2,3,4,5,6,7,8,9,10}, A = {1,2,3,},
B = {1,2,3,4,5,}, C = {3,5,6,7} จงเขียนแผนภาพ
Venn Diagram
11. Write a brief outline for a research report.
12. Paint a mural using the same materials.
13. Can you group by characteristics such as green
energy?
14. Which things to consider before you make investing
decisions
15. How would you use a leadership role constructively
for your organization?
16. What approach would you use for managing a new
small business client?
170
4. วเิ คราะห์ (Analyze)
คาหลกั (Keywords) ข้อคาถาม
วเิ คราะห์ (Analyze) 1. จงใช้แผนภาพ Venn Diagram แสดงความแตกตา่ ง
สนั นิษฐาน (Assume) และความเหมอื นของปลา และกุ้ง
จาแนกกลุม่ (Categorize) 2. ให้นักเรียนสารวจความคดิ เห็นของเพอ่ื นในชน้ั เรยี นเก่ียวกับการ
จาแนกประเภท (Classify) พดู ภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสารของเด็กไทย แล้ววิเคราะห์ผล
เปรียบเทยี บ (Compare) การสารวจ
สรุป (Conclusion) 3. จงจาแนกการกระทาของตวั ละครเร่อื งสามกก๊
ความแตกต่าง (Contrast) 4. จงสรา้ งแผนภาพความเช่ือมโยงทางสงั คม (Sociogram)
ค้นพบ (Discover) 5. จงสร้างกราฟเพ่ือแสดงให้เห็นข้อมูลการส่งออกของประเทศไทย
พนิ จิ พิเคราะห์ (Dissect) ในปที ีผ่ ่านมา
แยกแยะ (Distinguish) 6. จงสร้างต้นไมค้ รอบครัว แสดงความสมั พันธข์ องบคุ คลตา่ ง ๆ
แบ่งแยก (Divide) 7. จงเขยี นบทบาทสมมตเิ กี่ยวกบั การออมสิน
ทดสอบ (Examine) 8. จงเขยี นชวี ประวตั ิของเซอรไ์ อแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton)
หนา้ ท่ี (Function) 9. จงจดั ทารายงานเก่ยี วกับหน้าทพี่ ลเมอื งของคนไทย
อนุมาน (Inference) 10. จงตรวจสอบงานศิลปะในแง่ของรูปแบบ (Form) สี (Color)
ตรวจสอบ (Inspect) และพืน้ ผิว (Texture)
ความสมั พนั ธ์ (Relationships) 11. Which events could not have happened?
ทาใหง้ ่าย (Simplify) 12. What do you see as other possible outcomes?
เข้าร่วม (Take part in) 13. Make a flow chart to show the critical stages of skill
ตรวจสอบ (Test for) production
ประเด็นหลกั (Theme) 14. Would you take part in the project?
15. What is the theme of Bang Rajan : The Legend of the
Village’s Warriors?
16. Can you distinguish between natural and synthetic
fibers?
171
5. ประเมนิ (Evaluate)
คาหลัก (Keywords) ขอ้ คาถาม
เห็นด้วย (Agree) 1. จงสรา้ งเกณฑ์ในการตัดสนิ การวาดภาพสนี ้า (Colour Painting)
ประเมิน (Appraise, assess, 2. จากบทความน้ี ใครจะเป็นผู้ท่จี ะได้ผลประโยชน์ และใครจะเป็น
Evaluation) ผ้สู ูญเสีย เพราะเหตุใด
เลอื ก (Choose) 3. อนิ เทอรเ์ นต็ มีอิทธิพลต่อชีวิตของคนเราอยา่ งไรบา้ ง
เกณฑ์ (Criteria) 4. สิ่งใดท่ีมีความสาคัญมากกว่าระหว่างคุณธรรม ตรรกะ ความ
วิจารณ์ (Criticize) ถูกตอ้ ง และความเหมาะสม
ตดั สินใจ (Decide, 5. การแข่งขนั กบั คนเปน็ ส่ิงท่ีดีหรือไม่ เพราะอะไร
Determine) 6. วิธที ่ดี ีและเหมาะสมกบั การจดั ขยะในชุมชนทาอยา่ งไร
ลงความเห็น (Deduct) 7. คณุ เช่อื หรือไม่ว่า “ออมก่อน รวยกว่า”
กล่าวแยง้ (Defend) 8. อะไรเปน็ ส่ิงสาคัญที่สดุ ในชวี ติ ของคนเรา
พสิ จู นแ์ ยง้ (Disprove) 9. ปัจจัยใดทมี่ ีอทิ ธพิ ลตอ่ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
โตแ้ ยง้ (Dispute) 10. จงบอกเหตผุ ลในการตัดสินใจทาธุรกิจออนไลน์ (Online)
ประมาณคา่ (Estimate, Rate) 11. Is there a better solution to student background
มีอทิ ธิพลตอ่ (Influence) classification?
ตดั สิน (Judge) 12. What are the pros and cons of internet?
พสิ ูจน์ใหเ้ หน็ (Justify) 13. What information would you use to prioritize your
มาตรการ (Measure) daily tasks?
จัดลาดับกอ่ น (Prioritize) 14. How could you verify that a soft drink?
พิสูจน์ (Prove) 15. What is the most important factor in improving
reading skills?
16. How would you determine the demand for a factor
of production?
172
6. สงั เคราะห์ (Create)
คาหลัก (Keywords) ข้อคาถาม
ปรับ (Adapt) 1. จงออกแบบผลติ ภณั ฑ์รองเทา้ นกั กรฑี าแบบใหมท่ ่มี ปี ระสิทธภิ าพ
สรา้ ง (Build) เสรมิ ความเรว็ ในการวิง่ และการรกั ษาขอ้ เทา้
เปล่ยี นแปลง (Change) 2. จงออกแบบอุปกรณ์ควบคมุ (Remote control) ระบบไฟฟา้
นามารวมกัน (Combine)
ในบ้าน
รวบรวม (Compile)
ประกอบ (Compose) 3. จงออกแบบห่นุ ยนตท์ ใ่ี ชท้ างานบา้ น
สรา้ ง (Construct) 4. จงสร้างผลิตภัณฑใ์ หม่ และวางแผนการตลาดเพอื่ ขายผลติ ภณั ฑน์ นั้
5. จงเขียนบทละครโทรทัศนเ์ กยี่ วกับการรกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม
ประดษิ ฐ์ (Create)
ออกแบบ (Design) 6. จงออกแบบการบรหิ ารจัดการเงินการออกแบบระบบการเงินใหม่
พฒั นา (Develop) 7. จงเขียนเมนูสาหรับร้านอาหารใหม่ ที่มีความหลากหลายของ
อภปิ ราย (Discuss) อาหารที่ดตี ่อสขุ ภาพ
ประมาณค่า (Estimate)
กาหนดเกณฑ์ (Formulate) 8. จงออกแบบโฮมเพจ (Home page) (หน้าแรกของเว็บไซด์)
สาหรับประชาสัมพนั ธ์การขายสนิ ค้าออนไลน์
จินตนาการ (Imagine)
ปรับปรุง (Improve) 9. จงบอกวธิ กี ารศกึ ษาผลการใช้ปยุ๋ ทมี่ ีตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืช
คิดค้น (Invent)
10. จงใช้รูปเก่ียวกับห่วงโซ่อาหาร (Food chains) อธิบายสิ่งท่ี
แก้ไข (Modify) เกดิ ข้ึนในระบบนิเวศบก ระบบนิเวศชมุ ชนเมือง และให้เสนอ
ทานาย (Predict) ขอ้ มูล สนับสนนุ ด้วย
แก้ปัญหา (Solve)
11. Write a song to advertise a new product.
ทดสอบ (Test) 12. Make up a new language and use it in an example.
13. Write about your feelings in relation to news on TV.
14. What would happen if earth stopped spinning?
15. Can you develop a business proposal?
16. John says that as the temperature increases the
particles get bigger. Do you agree? Give your reasons.
ปรับปรงุ จาก : http://w.w.wroe8.com/Gardner%20-%205-02-Revised%20Blooms.pdf.
สรปุ
แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธเิ์ ปน็ แบบทดสอบทใ่ี ชว้ ดั ความรู้ความสามารถท่เี กดิ จากการเรียนรู้
ของผ้เู รยี นว่าผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรเู้ น้อื หาสาระเหลา่ นม้ี ากนอ้ ยเพียงใด รูปแบบของแบบทดสอบแบง่ ออกเปน็
2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) ได้แก่ แบบจับคู่ แบบถูก – ผิด แบบ
เติมคาหรอื ตอบส้ัน ๆ และแบบเลือกตอบ สว่ นแบบทดสอบอีกประเภทหน่ึง คือ แบบทดสอบอัตนัย
(Essay Type Test) ได้แก่ แบบตอบขยายความ และแบบจากัดคาตอบ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีลักษณะ
173
ท่ัวไป ประเภทของคาถาม ข้อดี – ข้อเสีย และหลักในการสร้างแตกต่างกัน การได้เรียนรู้เก่ียวกับ
สาระสาคญั ของการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นจะชว่ ยให้ผศู้ กึ ษาหรือผ้สู อนสามารถ
สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนได้อยา่ งมคี ณุ ภาพและมปี ระสิทธภิ าพ
คาถามทา้ ยบท
1. จงอธิบายความหมายของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน
2. จงเปรยี บเทียบความแตกตา่ งระหว่างแบบทดสอบอัตนยั และแบบทดสอบปรนยั
3. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิต์ ่อไปน้ี มีขอ้ ดีและขอ้ จากดั อยา่ งไร
3.1 แบบทดสอบอตั นัย
3.2 แบบทดสอบเลอื กตอบ
3.3 แบบทดสอบถกู – ผดิ
4. การเลอื กใช้แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธคิ์ วรมหี ลกั เกณฑอ์ ย่างไร จงให้ขอ้ เสนอแนะหรือกาหนด
เกณฑ์ในการเลอื กให้ชัดเจน
5. ถา้ นักศกึ ษาจะสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิชาภาษาไทย จานวน 30 ขอ้
นักศกึ ษาจะดาเนินการอยา่ งไร อธบิ ายอยา่ งละเอียด
เอกสารอา้ งองิ
กรมวชิ าการ. (2545). การประเมินผลการเรยี นตามหลักสตู รการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช
2544. กรุงเทพฯ : กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551.
กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ ชนสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
ขวาล แพรตั กุล. (2518). เทคนิคการวดั ผล. พมิ พ์คร้ังที่ 6. กรงุ เทพฯ : วัฒนาพานิช.
ดวงกมล ไตรวิจิตรกลุ . (มปป.) การวดั และประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพฯ : ภาควชิ าวิจยั และ
จิตวิทยาการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
ธนวัฒน์ ธติ ินานนั ท.์ (2554). การวัดผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. นครราชสมี า :
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสีมา.
ธนวัฒน์ ธติ นิ านนั ท์. (2556). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 3. นครราชสมี า :
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสมี า.
บุญศรี พรหมมาพันธุ์ และนวลเสน่ห์ วงศเ์ ชดิ ธรรม. (2545). “แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น”
ในประมวลสาระชดุ วิชาการพฒั นาเครอื่ งมือสาหรบั การประเมินการศึกษา หน่วยท่ี 5.
นนทบรุ ี : บณั ฑติ วทิ ยาลยั สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พชิ ิต ฤทธจ์ิ รูญ. (2553). หลักการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้ังท่ี 6. กรงุ เทพฯ : เฮาส์
ออฟ เคอรม์ สิ ต.์
174
เยาวดี วิบลู ย์ศรี. (2551). การวัดผลและการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์. กรงุ เทพฯ :
สานักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
เยาวดี รางชัยกลุ วิบลู ยศ์ ร.ี (2553). การวัดผลและการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์. กรุงเทพฯ :
สานักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
สมนึก ภทั ทยิ ธนี. (2551). การวัดผลการศึกษา. พิมพค์ ร้งั ท่ี 6. กาฬสินธ์ุ : ประสานการพมิ พ์.
อนวุ ตั ิ คณู แก้ว. (2558). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษาแนวใหม่. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แหง่
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
Anderson and Krathwohl. (2001). A Taxonomy for Learning Teaching, and
Assessing : A Revision of Bloom’s Taxonomy of Educational Objectives.
New York : Longman.
Gronlund, Norman E. (1993). How to Mark Achievement Test and Assessment.
(5 th ed). Boston : Allyn and Bacon.
Puckett, Margaret B. and Black, Janet K. (2000). Authentic Assessment of the Young
Child : Celebrating Development and Learning. New Jersey : Prentic –
Hall, Inc.
บทท่ี 6
สถติ ิเบื้องต้นท่ีใชใ้ นการวัดผลและประเมินผลการศึกษา
สถิติ เป็นกระบวนการท่ีประกอบด้วย การเก็บรวบรวมข้อมูล การนาเสนอข้อมูล การ
วเิ คราะหข์ ้อมลู การสรุปและแปลความหมาย ซงึ่ สอดคลอ้ งกับการวัดและประเมินผลการศกึ ษา ขอ้ มลู
ทไ่ี ดจ้ ะเปน็ ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณหรอื เป็นตัวเลขนั้น จะต้องนามาประมวลผลโดยการวิเคราะห์ด้วยสถิติ
ต่าง ๆ เช่น การแจกแจงขอ้ มลู การวดั แนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลาง การวัดการกระจาย การเปรียบเทียบ
ตาแหนง่ การแจกแจงปกติ และสหสมั พันธ์ เปน็ ต้น
ระดบั ของการวดั ผล
การวดั ผลสิ่งใด ๆ ผลของการวัดท่ีได้มักอยู่ในรูปของตัวเลข ตัวเลขเหล่านี้อาจมีหรือไม่มี
คุณสมบัติของการแสดงชนิด (Distinctiveness) การเรียงลาดับตามขนาด (Ordering in magnitude)
ชว่ งหา่ งเท่ากนั (Equal intervals) และการมศี ูนย์แท้ (Absolute zero) คุณสมบตั ดิ งั กลา่ วนี้เปน็ สิง่ ท่ี
แยกผลการวดั ออกเปน็ ระดบั ต่าง ๆ เรียกว่า ระดบั ของการวดั ผล (Level of measurement) ซงึ่ แบ่ง
ออกเป็น 4 ระดับ คือ นามบัญญัติ เรียงอันดับ อันตรภาค และอัตราส่วน (ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์.
2556 : 135 – 136)
1. มาตรานามบญั ญัติ (Nominal Scale) เป็นมาตรการวัดระดบั ตา่ สดุ เป็นการกาหนดช่อื
ให้กับสิ่งของ เหตุการณ์ เรอ่ื งราวต่าง ๆ เป็นกลุ่มเป็นพวกเท่าน้ัน เพื่อเป็นการสื่อความหมาย ไม่ได้
แสดงถงึ ปริมาณหรอื คณุ ภาพ หรอื อนั ดบั สูง – ตา่ เช่น เพศ ซ่งึ จาแนกเป็นเพศชาย หญงิ ถา้ กาหนดให้
ชาย เทา่ กับ 1 หญงิ เท่ากับ 2 ก็ไมไ่ ด้สอื่ ความหมายทางคณติ ศาสตรแ์ ต่อย่างใด ตัวเลขหรือสัญลกั ษณ์
ไม่สามารถนาไปบวก ลบ คณู หาร กนั ได้ แต่สามารถนับจานวนรวมกันได้ ตวั อยา่ งอ่ืน ๆ เช่น ศาสนา
หมายเลขโทรศพั ท์ เลขท่บี ้าน บตั รประจาตัวประชาชน หมายเลขทะเบยี นรถ ฯลฯ
สถิตพิ ืน้ ฐานทใ่ี ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ไดแ้ ก่ ความถ่ี ร้อยละ ฐานนิยม เปน็ ตน้
2. มาตราเรยี งอันดับ (Ordinal or Ranking Scale) เปน็ มาตราวัดระดับทม่ี ีความละเอยี ดสูง
กลา่ วคอื นอกจากจะสามารถแยกขอ้ มลู เปน็ กลุ่ม เป็นพวกเดยี วกันแล้ว ยังสามารถนามาเปรียบเทียบกัน
หรอื จัดอนั ดบั ได้ว่า มาก – น้อย, สูง – ต่า, เก่ง – อ่อน, ดีกว่า – ด้อยกว่า หรือเรียงลาดับข้อมูลได้
แตย่ งั ไม่สามารถบอกระยะหา่ งระหว่างช่วงได้ เนือ่ งจากแต่ละหนว่ ยทีน่ ามาเปรยี บเทียบหรอื จดั อนั ดบั
กันมีระยะหา่ งไมเ่ ท่ากนั จึงยังไม่สามารถนามาบวก ลบ คณู หาร กันได้ เช่น พรชัยดีกว่าพรเทพ แตไ่ ม่
สามารถบอกไดว้ ่าดีกว่ากันเท่าไร หรอื การประกวดขบวนกระทง จะแสดงลาดับท่ี 1, 2, 3, ... ขบวน
ได้ที่ 1 จะมีผลงานดกี วา่ 2 และ ท่ี 3 และขบวนไดท้ ่ี 2 จะมีผลงานดีกว่าที่ 3 เป็นต้น ตัวอย่างอื่น ๆ
เชน่ การประกวดคัดลายมือ การประกวดนางสาวไทย อันดบั ดาราท่ีนยิ ม ฯลฯ
176
สถติ พิ น้ื ฐานทใี่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ฐานนิยม มัธยฐาน พิสัย
เปอร์เซน็ ไทล์ เป็นตน้
3. มาตราอันตรภาค (Interval Scale) มาตราการวัดในระดับน้ีมีลักษณะเหมือนมาตรา
เรียงลาดับ แต่มีคุณสมบัติเพ่ิมข้ึนอีกประการหน่ึงคือ แต่ละหน่วยที่เกิดจากการวัดมีระยะห่างช่วง
เท่ากัน เปรียบเทียบกันได้ แสดงอันดับสูง – ต่า เช่น การสอบคณิตศาสตร์ ปรากฏว่า พิภพ ได้ 60
คะแนน พรชัย ได้ 30 คะแนน พิพิธ ได้ 0 คะแนน แสดงว่า พิภพสอบได้คะแนนมากกว่าพรชัย 30
คะแนน แตไ่ ม่ไดห้ มายความว่า พิภพเก่งกว่าพรชัย 2 เท่า และพิพิธได้ 0 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความว่า
พพิ ิธไม่มคี วามรู้ แต่หมายความวา่ พพิ ธิ ตอบไม่ถูกเลย
ค่าท่ีเป็นศูนย์จะไม่มีศูนย์แท้ คือ ค่าท่ีเป็นศูนย์น้ีเป็นค่าที่กาหนดขึ้นเท่าน้ันหรือศูนย์
สมมติขึ้น (Arbitrary Zero) แปลว่าศูนย์ไม่มีความหมายเลย เช่น การวัดอุณหภูมิในหน่วยองศา
เซลเซียส ณ จุด 0°C เป็นจุดที่น้ากลายเป็นน้าแข็ง (จุดเยือกแข็ง) ไม่ได้หมายความว่า อุณหภูมิใน
หน่วยองศาเซลเซียส 0 องศาเซลเซียส ไม่มีอุณหภูมิอยู่เลย ณ จุดนี้จะมีอุณหภูมิ -273 องศาเคลวิล
เม่ือไม่มีศูนย์แท้ จึงสามารถคานวณได้เฉพาะการบวก ลบเท่าน้ัน แต่จะนามาคูณ หาร หรือเทียบ
สดั ส่วนไม่ได้ เชน่ อุณหภูมิ 40°C ร้อนกวา่ อุณหภูมิ 21°C อยู่ 20°C แตไ่ ม่สามารถบอกได้ว่า อุณหภูมิ
40°C รอ้ นกวา่ อุณหภมู ิ 20 °C อยู่ 2 เท่า
สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล นอกจากจะใช้สถิติเช่นเดียวกับมาตรการวัด
นามบัญญตั ิ และเรียงอนั ดับแลว้ ยงั สามารถหาค่าเฉล่ีย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และความแปรปรวน
4. มาตราอัตราส่วน (Ratio Scale) มาตราการวัดน้ีมคี วามสมบูรณ์มากกว่ามาตราการวัด
อันตรภาค กล่าวคอื มีระยะหา่ งระหว่างชว่ งเท่ากันและมศี นู ยแ์ ท้หรอื ศูนยส์ มบรู ณ์ (Absolute Zero)
ซ่ึงหมายถึงไม่มีอะไรเลย (Zero is Noting) เช่น น้าหนัก 0 กิโลกรัม แปลว่าไม่มีน้าหนักเลย หรือ
อตั ราดอกเบ้ยี 0% แปลวา่ ไมม่ ีดอกเบี้ยเลย นอกจากน้ี การวัดในมาตราน้ียังบอกถึงความแตกต่างได้
อยา่ งชดั เจน เปรียบเทียบเป็นอัตราส่วน เช่น นาย ก. หนัก 80 กิโลกรัม นาย ข. หนัก 40 กิโลกรัม
แสดงวา่ นาย ก. หนกั เปน็ 2 เทา่ ของนาย ข. เป็นต้น ตัวอย่างอื่น ๆ ท่ีใช้วัดในมาตราการวัดน้ี ได้แก่
ความสงู ความยาว อายุ เวลา รายได้ พ้ืนที่ ความเร็ว ข้อมูลที่นามาใช้มาตราการวัดนี้สามารถนามา
บวก ลบ คูณ หารกันได้
สถติ พิ ื้นฐานทีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูลสามารถใช้ได้ท้งั หมดที่มีอยู่
คณุ สมบตั ิของมาตรการวดั ท้งั 4 ระดบั สรุปได้ดังตารางท่ี 6.1
177
ตารางท่ี 6.1 คุณสมบตั ขิ องมาตราการวัด
คุณสมบัติ นามบัญญัติ มาตราการวดั อตั ราสว่ น
การแสดงชนิด มี เรยี งอนั ดับ อนั ตรภาค มี
การเรียงอันดบั ตามขนาด ไม่มี มี
ช่วงห่างเท่ากนั ไม่มี มี มี มี
ศนู ย์แท้ ไม่มี มี มี มี
ไม่มี มี
ไมม่ ี ไม่มี
ลักษณะสาคัญ และสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละมาตราการวัด พอสรุปได้
ดงั ตารางท่ี 6.2
ตารางที่ 6.2 ลกั ษณะสาคัญ ตวั อยา่ งการวัด ตวั อยา่ งสถิตทิ ใี่ ช้ และแบบของการทดสอบ
มาตราการวัด ลกั ษณะสาคญั ตัวอย่างการวดั ตัวอยา่ งสถิตทิ ีใ่ ช้ แบบของ
นามบัญญตั ิ การทดสอบ
(Nominal Scale) 1. จาแนกประเภท - หมายเลขโทรศัพท์ - การแจกแจง - การทดสอบทไ่ี มใ่ ช้
2. ตัวเลขนามาบวก - หมายเลขบตั ร ความถี่ พารามิเตอร์
เรยี งอนั ดบั ประชาชน - ฐานนยิ ม (Non-
(Ordinal Scale) ลบ คูณ หารกัน - เพศ - ไคสแควร์ Parametric
ไมไ่ ด้ - ศาสนา Test)
อนั ตรภาค - เลขที่บา้ น - มธั ยฐาน
(Interval Scale) 1. เรียงลาดับ ฯลฯ - ส่วนเบีย่ งเบน - การทดสอบที่ไม่ใช้
2. ตวั เลขนามาบวก - ลาดับที่การสอบ ควอไทล์ พารามิเตอร์
- ยศของตารวจ/ - เปอร์เซ็นไทล์ (Non-
ลบ คณู หารกัน ทหาร - สมั ประสทิ ธิ์ Parametric
ไม่ได้ ฯลฯ สหสมั พนั ธ์ Test)
แบบอันดบั
1. ตวั เลขแสดง - คะแนนสอบ - คา่ เฉลี่ย - การทดสอบท่ใี ช้
ปรมิ าณมากน้อย - อุณหภมู ิระบบ - ส่วนเบยี่ งเบน พารามิเตอร์
องศาเซลเซยี ล มาตรฐาน (Parametric
2. ความแตกต่าง และฟาเรนไฮด์ - สัมประสทิ ธิ์ Test)
ระหวา่ งหน่วย สหสัมพนั ธ์
เทา่ กัน แบบเพยี ร์สัน
3. ไมม่ ีศูนย์แท้
4. ตัวเลขนามา
บวก ลบ คณู
หารกันได้
178
ตารางท่ี 6.2 ลกั ษณะสาคญั ตวั อย่างการวดั ตวั อย่างสถิตทิ ใี่ ช้ และแบบของการทดสอบ (ต่อ)
มาตราการวดั ลกั ษณะสาคัญ ตวั อยา่ งการวดั ตัวอย่างสถิติที่ใช้ แบบของ
การทดสอบ
อตั ราสว่ น 1. ตัวเลขแสดง - ความสงู ใชส้ ถติ ิได้ทุก
(Ratio Scale) ปรมิ าณมากน้อย - นา้ หนัก ประเภท ใชไ้ ดท้ ั้งการทดสอบ
ท่ใี ช้และไม่ใช้
2. ความแตกต่าง - ความเร็ว พารามิเตอร์
ระหวา่ งหน่วย - อุณหภูมริ ะบบ
เทา่ กนั เคลวลิ
3. มศี นู ยแ์ ท้
4. ตัวเลขนามาบวก
ลบ คณู หาร
กันได้
การเลือกใช้สถิติในการวเิ คราะหผ์ ลการวดั ชดุ ใด ๆ ข้นึ อยู่กับมาตราการวดั นัน้ ๆ การคานวณ
ทางคณติ ศาสตร์จากผลการวัดในระดับมาตรานามบัญญัติ จะไม่มีความหมายใด ๆ วิธีการทางสถิติ
สว่ นมากจะทาได้อย่างมคี วามหมาย เมื่อผลการวัดอยใู่ นมาตราการวดั อนั ตรภาคและอตั ราสว่ น เพราะ
วิธีการทางสถติ เิ หลา่ นีจ้ ะเกยี่ วขอ้ งกับการรวม การหาผลตา่ งระหวา่ งคะแนน
สาหรบั การวัดผลการเรยี นการสอน ส่วนใหญผ่ ลการวดั จะอยู่ในรปู ของคะแนน ซึ่งจัดอยู่ใน
มาตราการวดั อันตรภาค ผลการวดั เหลา่ นจี้ ึงสามารถนามาคานวณหาค่าทางสถติ ไิ ดอ้ ยา่ งมคี วามหมาย
สถิตทิ ่ใี ช้ในการวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษา
1. ความหมาย
คาวา่ “สถิต”ิ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Statistics” ซ่ึงสามารถแยกเป็นความหมาย
ตา่ ง ๆ ไดด้ ังน้ี (วาโร เพ็งสวสั ดิ์. 2551 : 279 – 280)
1.1 สถิตใิ นความหมายของ “ขอ้ มูลสถิติ” หมายถึง ตัวเลขที่แทนข้อเท็จจริงของสิ่ง
ท่ีเร้าสนใจ เช่น สถิติผู้มาสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ปี พ.ศ. 2557 สถิต
ผู้สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2555 – 2556
1.2 สถติ ใิ นความหมายของ “สถติ ศิ าสตร์” หมายถงึ ศาสตร์ท่เี ก่ียวกับวิธีการที่ใช้ใน
การศึกษาข้อมูล หรือที่เรียกว่าระเบียบวิธีทางสถิติ ซึ่งประกอบด้วย การเก็บรวบรวมข้อมูล การ
นาเสนอขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการตีความหมายข้อมูล ดังน้ัน สถิติในความหมายน้ีจึงเป็น
เคร่อื งมอื ทส่ี าคัญทสี่ ุดอย่างหนึง่ ของนักวิจัย นกั ประเมินผล นกั วชิ าการและนกั บรหิ ารทุกสาขา
1.3 สถิติในความหมายของ “ค่าสถิติ” หมายถึง ค่าตัวเลขที่คานวณได้จากข้อมูล
ของกลุ่มตวั อยา่ ง (Sample Data) ตวั อย่างสัญลักษณ์ของค่าสถิติที่ใช้บ่อย ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม
ตัวอย่าง ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร X และ Y ของกลุ่ม
ตัวอย่าง (rxy)
179
1.4 สถิติในความหมายของ “วิชาสถิติ” หมายถึง วิชาคณิตศาสตร์แขนงหน่ึงมี
เนอื้ หาและรากฐานมาจากวิชาคณิตศาสตร์ (Mathematics) และตรรกวทิ ยา (Logic) ในปัจจุบันได้มี
การพัฒนาทฤษฎแี ละเทคนิคใหม่ ๆ ทางสถิติเพ่ิมข้ึนเร่ือย ๆ ทาให้ขอบข่ายวิชาสถิติกว้างขวางและ
เกี่ยวข้องผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับศาสตร์แขนงอ่ืน ๆ เช่น เศรษฐศาสตร์ บริหารธุรกิจ จิตวิทยา
ศึกษาศาสตร์ เปน็ ต้น
สรุปได้ว่า สถิติ หมายถึง วิชาหน่ึงในวิชาคณิตศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลขที่แสดง
ความจริง ปรมิ าณ ส่งิ ของ หรอื พฤติกรรมท่ีเป็นข้อมูล (Data) โดยนามาคานวณหรือใช้เทคนิคต่าง ๆ
มากระทากบั ขอ้ มลู
2. ประเภทของสถติ ิ
สถิติ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื
2.1 ระเบียบวิธีสถิติ (Statistical Method) หมายถึง การศึกษาระเบียบวิธีหรือ
กระบวนการเกีย่ วกบั การหาขอ้ สรปุ จากข้อมูลหรอื ผลการวัดโดยการเก็บรวบรวมข้อมลู การจัดระบบ
การวิเคราะห์ การนาเสนอ การแปลความหมาย หรือการตคี วามหมาย และการลงสรุป
ระเบียบวิธีสถิติ แบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ คือ
1) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistical) เป็นสถิติพื้นฐานที่ใช้บรรยาย
ใหเ้ หน็ คุณลกั ษณะหรอื คณุ สมบัติของสง่ิ ทต่ี อ้ งการศึกษาจากกลมุ่ ใดกล่มุ หนงึ่ โดยเฉพาะ ซ่ึงอาจจะเปน็
กลุม่ ใหญ่หรือกลุ่มเล็กก็ได้ ผลที่ได้จากการศึกษานั้นจะบอกได้เพียงคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของ
กล่มุ ทศ่ี ึกษาเท่าน้ัน ไม่สามารถนาผลสรุปไปใช้อ้างอิงหรือทานายค่าของกลุ่มอื่นได้ สถิติประเภทน้ี
ได้แก่ การแจกแจงความถี่ การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง การวัดการกระจาย การจัดตาแหน่ง
เปรียบเทยี บ และการวดั ความสัมพนั ธ์ระหว่างตัวแปร เป็นตน้
2) สถิติอ้างอิง (Inferential Statistical) เป็นสถิติที่สรุปหรือประมาณค่า
ประชากรโดยอาศัยหลักการความนา่ จะเปน็ โดยจะศึกษาคุณลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง (Statistical)
เพื่อที่จะสรุปอ้างอิงไปสู่คุณลักษณะของประชากร (Parameter) นั่นคือ เป็นการศึกษาจากกลุ่ม
ตัวอย่าง (Sample) แล้วสรุปอา้ งอิงไปยงั ประชากร (Population) สถิติประเภทน้ี ได้แก่ สถิติที่ใช้ใน
การประมาณคา่ พารามิเตอร์ และสถติ ิท่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมติฐานเกย่ี วกับคา่ พารามิเตอร์ เปน็ ต้น
2.2 สถิติทฤษฎี (Statistical Theory) หมายถึง สถิติที่เป็นหลักวิชาและทฤษฎีทาง
คณิตศาสตร์ ซึ่งใชพ้ ัฒนาและสนบั สนุนความถูกตอ้ งสมบูรณ์ของระเบียบสถิติ เช่น ทฤษฎีความน่าจะ
เปน็ ฯลฯ
การแจงแจงความถ่ี (Frequency Distribution)
การแจกแจงความถ่ี (Frequency Distribution) หมายถงึ การนาข้อมลู หรอื คะแนนดิบมา
จดั ระบบใหม่ โดยการแจกแจงขอ้ มลู วา่ ขอ้ มลู น้ัน ๆ มจี านวนอะไรบา้ ง และซ้ากันก่ีจานวน ที่เราเรียกว่า
ความถ่ี (Frequency) การแจกแจงความถ่ี แบง่ ได้ 2 แบบคือ
180
1. การแจกแจงความถีแ่ บบไมจ่ ัดกลุ่ม (Ungroup Frequency Distribution) เปน็ การ
เรียงลาดบั คะแนนจากน้อยไปหามาก หรือมากไปหาน้อย แล้วขีดรอยคะแนน (Tally) เพื่อหาความถ่ี
ของคะแนนแตล่ ะคน ดงั ตวั อย่างที่ 6.1
ตวั อย่างที่ 6.1 จากการสอบวชิ าคณิตศาสตร์ ของนกั เรียนชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 2 จานวน 30 คน
ได้คะแนน ดังน้ี
30 35 33 34 29 32
45 32 33 43 33 34
34 35 40 39 42 41
31 35 45 40 42 35
39 35 40 33 44 38
วิธที า เรยี งคะแนนจากมากไปหานอ้ ย แลว้ ขีดรอยคะแนน นบั จานวนความถ่ี ดังตารางท่ี 6.3
ตารางท่ี 6.3 การแจกแจงความถ่ีแบบไมจ่ ัดกล่มุ ของคะแนนการสอบวิชาคณิตศาสตร์
คะแนน (X) รอยขดี ความถี่ (f)
45 // 2
44 / 1
43 / 1
42 // 2
41 / 1
40 /// 3
39 // 2
38 / 1
37 - -
36 - -
35 //// 5
34 /// 3
33 //// 4
32 // 2
31 / 1
30 / 1
29 / 1
รวม 30
181
2. การแจกแจงความถีแ่ บบจัดกลุ่ม (Group Frequency Distribution) เป็นการแจกแจง
ความถี่กรณีที่มีข้อมูลจานวนมาก ถ้าจะแจกเหมือนวิธีแรก จาเป็นต้องใช้บรรทัดมาก ไม่กะทัดรัด
จงึ ตอ้ งใช้การแจกแจงโดยจดั เป็นกล่มุ หรอื ชว่ งคะแนน โดยมขี ั้นตอน ดังน้ี
2.1 หาพสิ ัย (Rang) โดยคะแนนสูงสดุ ลบด้วยคะแนนต่าสดุ จากสตู ร
พิสยั = คะแนนสงู สดุ – คะแนนตา่ สุด
2.2 กาหนดจานวนชน้ั คะแนนหรอื ชว่ งคะแนน โดยใช้หลกั กว่า ถ้าพิสัยมีค่าน้อยควรจัด
จานวนชัน้ นอ้ ย ถา้ พิสัยมคี ่ามาก ควรจัดจานวนช้นั มาก แตไ่ มเ่ กนิ 20 ช้ัน
2.3 คานวณหาค่าอันตรภาค (Class Interval) จากสูตร
อันตรภาคช้นั (i) = พิสยั
จานวนชน้ั
2.4 เขียนขดี จากดั ของคะแนนแต่ละช้ัน โดยเร่มิ ต้นจากข้นั ของคะแนนสงู สดุ ไปจนถึงข้ัน
ของคะแนนต่าสดุ
2.5 ขดี รอยคะแนนลงในชนั้ คะแนน และนับจานวนรอยขีดใส่ในชอ่ งความถ่ี
ตัวอย่างที่ 6.2 จากข้อมูลในตัวอย่างที่ 6.1 ถ้าใช้วิธีการแจกแจงความถี่แบบจัดเป็น
กลุม่ จะดาเนนิ การตามข้นั ตอน ดงั นี้
1. พิสัย = 45 – 29 = 16
2. กาหนดจานวนชั้นคะแนนเป็น 6 ชนั้
16
3. อันตรภาคชั้น = 6 = 2.67 ≈ 3 (โดยประมาณ)
4. เขยี นขดี จากดั ของคะแนนแตล่ ะชัน้ โดยเริม่ นบั จากชัน้ ของคะแนนสูงสุดคือ 45
5. ขีดรอยคะแนน
6. นบั จานวนความถขี่ องแตล่ ะช้ัน จะได้ตารางแจกแจงความถี่ ดงั ตารางท่ี 6.4
ตารางที่ 6.4 การแจกแจงความถ่ีแบบจัดกล่มุ ของคะแนนการสอบวชิ าคณติ ศาสตร์
คะแนน (X) รอยขีด ความถ่ี (f)
43 – 45 //// 4
40 – 42 //// / 6
37 – 39 /// 3
34 – 36 //// /// 8
31 – 33 //// // 7
28 - 30 // 2
30
รวม
182
การวัดแนวโนม้ เข้าสู่สว่ นกลาง (Measures of Central Tendency)
การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง (Measures of Central Tendency) เป็นการคานวณหา
ค่ากลาง ทีจ่ ะเปน็ ตวั แทนของคะแนนแต่ละชดุ ทาให้ทราบลกั ษณะข้อมูลชดุ นั้นว่าเป็นอยา่ งไร ค่ากลาง
ทนี่ ิยมใช้มี 3 ประเภทคอื ค่าเฉล่ีย คา่ มธั ยฐาน และค่าฐานนิยม
1. คา่ เฉลยี่ (Mean หรือ Average)
ค่าเฉล่ีย คือ ค่าท่ีคานวณได้จากการนาข้อมูลท้ังหมดมารวมกัน แล้วหารด้วยจานวน
ข้อมูลทง้ั หมด คา่ เฉลีย่ มหี ลายชือ่ ได้แก่ ตัวกลางเลขคณติ มัชฌมิ เลขคณติ คะแนนเฉล่ีย และค่ากลาง
สญั ลกั ษณท์ ี่ใช้คอื ( ) มสี ตู รการคานวณ ดังน้ี
1.1 กรณีข้อมูลทไ่ี ม่ไดแ้ จกแจงความถี่
สูตรการคานวณ
เมอื่ แทน คา่ เฉล่ยี
แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
N แทน จานวนขอ้ มูลท้ังหมด
ตวั อย่างท่ี 6.3 ผลการสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 จานวน
7 คน เปน็ ดังนี้ 15 16 17 18 15 16 15
แทนค่าในสูตร = 1516 17 18 1516 15
7
112
= 7 = 16
ดงั นนั้ ผลการสอบวชิ าวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 คอื 16
1.2 กรณีขอ้ มลู ที่มีการแจกแจงความถ่ี
1.2.1 กรณีท่มี ีการแจกแจงความถีแ่ บบไมจ่ ดั กลุ่ม
สตู รการคานวณ
f
183
เม่ือ แทน คา่ เฉลีย่
f แทน ความถข่ี องคะแนนแต่ละตัว
fx แทน ผลคณู ระหว่างความถีก่ บั คะแนน
f แทน ผลรวมของผลคณู ระหวา่ งความถี่กบั คะแนน
N แทน จานวนข้อมูลทั้งหมด
ตัวอย่างที่ 6.4 จงหาค่าเฉลีย่ ผลการสอบวิชาภาษาไทยของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2
คะแนนเตม็ 20 คะแนน จานวน 35 คน ดงั ตารางท่ี 6.5
ตารางท่ี 6.5 คา่ เฉล่ียผลการสอบวิชาภาษาไทยของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2
คะแนน (X) ความถี่ (f) fx
20 1 20
19 4 76
18 10 180
17 8 136
16 5 80
15 3 45
14 4 56
f = 593
N = 35
สตู ร
f
แทนคา่ ในสูตร
593 = 16.94
35
ดังนน้ั ค่าเฉลี่ยของคะแนนวิชาภาษาไทย คอื 16.94
184
1.2.1 กรณที มี่ ีการแจกแจงความถีแ่ บบจัดกลมุ่
f
เมอื่ แทน คา่ เฉล่ยี
f แทน ความถขี่ องคะแนนแต่ละตัว
x แทน คะแนนจดุ กง่ึ กลางของชัน้ (Midpoint)
fx แทน ผลคูณระหว่างความถก่ี บั คะแนนจุดกงึ่ กลางช้นั นั้น
f แทน ผลรวมของผลคณู ระหว่างความถ่ีกับคะแนนกับจดุ กึง่ กลางน้ัน
N แทน จานวนข้อมูลทั้งหมด
ตัวอย่างท่ี 6.5 จงหาค่าเฉล่ียผลการสอบคณิตศาสตร์นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2
ดงั ตารางที่ 6.6
ตารางท่ี 6.6 คา่ เฉลีย่ ผลการสอบวิชาคณติ ศาสตร์ของนกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2
คะแนน (X) จดุ ก่งึ กลางชั้น ความถ่ี (f) fx
43 – 45 44 5 220
40 – 42 41 6 246
37 – 39 38 4 152
34 – 36 35 7 245
31 – 33 32 6 192
28 - 30 29 2 58
f = 1113
N = 30
สูตร
f
แทนค่าในสตู ร
1113 = 37.10
30
ดงั น้ัน คา่ เฉล่ยี ของคะแนนวชิ าคณติ ศาสตร์ คือ 37.10
185
2. คา่ มัธยฐาน (Median)
คา่ มัธยฐาน คือ ข้อมูลท่ีอยใู่ นตาแหน่งกง่ึ กลางของขอ้ มูลท้ังชุด เม่อื ไดเ้ รยี งคา่ ของข้อมูล
จากมากไปหาน้อย หรอื จากนอ้ ยไปหามาก สัญลักษณ์ทใี่ ชค้ ือ Mdn หรอื Md มีสูตรการคานวณ ดังน้ี
2.1 กรณีขอ้ มลู ทไ่ี มไ่ ด้แจกแจงความถ่ี
สตู รที่ 1 การคานวณกรณีท่มี ีข้อมลู มจี านวนเปน็ เลขค่ี
ตาแหน่ง Mdn N1
2
เมอ่ื Mdn แทน คา่ มัธยฐาน
N แทน จานวนข้อมลู ทั้งหมด
สตู รท่ี 2 การคานวณกรณที ่มี ขี ้อมลู มีจานวนเป็นเลขคู่ เลขตาแหน่งท่ีอยู่ตรงกลาง
จะมี 2 จานวน
ตาแหน่ง Mdn N
2
ตัวอย่างที่ 6.6 จงหาค่ามัธยฐาน จากข้อมลู ตอ่ ไปน้ี
ข้อมลู ชุดที่ 1 11 12 14 13 12 11 15
ขอ้ มูลชุดท่ี 2 12 13 14 12 14 15 14 13
วธิ ีทา เรียงลาดับข้อมูลจากน้อยไปหามาก ดงั น้ี
กรณีข้อมูลเป็นจานวนคี่
ขอ้ มูลชดุ ที่ 1 : 11 11 12 12 13 14 15
ตาแหน่งของ Mdn N1 = 71 = 4
2 2
ค่ามัธยฐาน คือ 12
186
กรณขี ้อมลู เป็นจานวนคู่
ข้อมลู ชุดท่ี 2 : 12 12 13 13 14 14 14 15
ตาแหน่งของ Mdn N = 8 =4
2 2
ดังนัน้ คา่ มธั ยฐานคอื ตาแหนง่ 4 นน่ั คอื ตาแหนง่ ที่อย่กู ง่ึ กลางของสองค่ารวมกัน
แล้วหารสอง 13 14
2
ค่ามธั ยฐาน = = 13.5
2.2 กรณขี อ้ มูลท่แี จกแจงความถ่ี
2.2.1 กรณขี อ้ มูลที่มีการแจกแจงความถี่แบบไม่จัดกล่มุ
การหามัธยฐานของขอ้ มลู ทีม่ ีการแจกแจงความถ่ีแบบไม่จัดกลุ่ม ทาได้โดย
N 1
หาคา่ ความถ่ีสะสมของคะแนนแต่ละช้ัน แล้วคานวณหาตาแหน่งท่ี 2 ว่าเป็นข้อมูลตัวเลขใด
ตวั เลขน่นั คอื มธั ยฐาน ดังตวั อย่างที่ 6.7
ตัวอยา่ งที่ 6.7 จงหาค่ามธั ยฐานของคะแนนวิชาวทิ ยาศาสตร์ ของนักเรยี น
ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 ดังตารางท่ี 6.7
ตารางที่ 6.7 ผลจากการหาค่ามัธยฐานของการสอบวชิ าวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
แบบไม่จดั กลุ่ม
คะแนน (X) ความถ่ี (f) ความถส่ี ะสม (cf)
20 2 30
18 4 28
17 9 24
16 6 15
15 3 9
14 2 6
13 4 4
N = 30 0
วิธีทา
1. หาความถีส่ ะสม (cf) ของแต่ละชั้น (cf หมายถึง Cumulative Frequency
คือความถี่สะสม และ f หมายถึง Frequency คือความถ่ี : โดยเรม่ิ ตน้ ที่ 0 จากช่องความถ่ีสะสมก่อน
แล้วไปบวกทแยงชอ่ งความถข่ี องคะแนนทอี่ ยู่ถัดไป)
187
2. หาตาแหนง่ มัธยฐาน = N1 = 30 1 = 15.5
2 2
3. เม่ือพิจารณาตามคา่ cf ค่ามัธยฐานจะอยูใ่ นชั้นของ cf = 15 และ 24
16 17
ตรงกบั คะแนน 16 และ 17 ดงั นน้ั คะแนนตาแหน่งท่ี 15.5 คอื 2 = 16.5
4. คา่ มธั ยฐานของคะแนนสอบวชิ าวทิ ยาศาสตรค์ อื 16.5
2.2.2 กรณขี ้อมลู ทม่ี กี ารแจกแจงความถี่แบบจัดกลมุ่
การหามธั ยฐานของขอ้ มลู ทม่ี กี ารแจกแจงความถ่ีแบบจัดกลุ่ม คานวณโดย
ใชส้ ูตร ดังนี้
N- F
2
Mdn L f i
เมื่อ Mdn แทน คา่ มัธยฐาน
L แทน ขีดจากดั ล่างในชัน้ ทมี่ ธั ยฐานอยู่
F แทน ความถ่ีสะสมในชั้นคะแนนก่อนทมี่ ัธยฐานตกอยู่
i แทน อันตรภาคชน้ั
N แทน จานวนข้อมูลทง้ั หมด
ตวั อย่างที่ 6.8 จงหาคา่ มธั ยฐานของคะแนนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ของนกั เรยี น
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ดงั ตารางที่ 6.8
ตารางที่ 6.8 ผลจากการหาค่ามธั ยฐานของการสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ของนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2
แบบจดั กลุ่ม
คะแนน (X) ความถ่ี (f) ความถี่สะสม (cf)
21 – 25 6 40
16 – 20 8 34
11 – 15 8 26
6 – 10 11 18
1–5 7
7
N = 40
188
วธิ ที า
1. หาความถ่ีสะสม (cf) ของแต่ละช้นั
N 40
2. หาตาแหนง่ มธั ยฐาน = 2 = 2 = 20
3. เม่ือพิจารณาตามค่า F (หาคะแนนตาแหนง่ ที่ 20)
ซึ่งตกอยใู่ นชั้น 11 – 15 มีคา่ L = 10.5, I = 5, N = 40, cf = 18, f = 8
4. แทนคา่ ในสตู ร N-
2
f F
Mdn L i
40 - 18
2
Mdn 10.5 5
8
= 10.5+ (0.25) x 5
= 10.5+ 1.25
Mdn = 11.75
ดงั นนั้ ค่ามธั ยฐานของคะแนนวชิ าวทิ ยาศาสตร์คือ 11.75
3. คา่ ฐานนิยม (Mode)
ฐานนยิ ม คอื ขอ้ มูลท่มี คี ่าซ้ากันมากท่สี ุด หรือขอ้ มลู ทม่ี ีความถ่สี งู สดุ ในขอ้ มูลชุดหนง่ึ ๆ
สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ช้คอื Mo มวี ธิ ีการหาดังน้ี
3.1 กรณที ่ขี อ้ มูลไมม่ กี ารแจกแจงความถ่ี
วิธกี ารหาฐานนยิ ม โดยพิจารณาว่าขอ้ มลู ทซี่ า้ กนั มากทส่ี ดุ ดงั ตัวอย่างที่ 6.9
ตวั อย่างที่ 6.9 จงหาฐานนยิ มจากขอ้ มูล 3 ชดุ ดังตอ่ ไปนี้
ข้อมูลชุดท่ี 1 : 5 8 8 7 6 8 6
ขอ้ มลู ชดุ ที่ 2 : 4 8 6 9 5 3 7
ข้อมูลชดุ ท่ี 3 : 5 5 4 7 9 8 9
ข้อมูลชุดที่ 1 ฐานนยิ มคอื 8 (เลข 8 มี 3 ตวั )
ข้อมูลชดุ ท่ี 2 ไม่มีฐานนยิ ม เพราะไม่มตี ัวเลขทซี่ า้ กัน
ข้อมูลชุดที่ 3 ฐานนิยมมี 2 ตวั คือ 5 และ 9 (เลข 5 มี 2 ตัว และเลข 9 มี 2 ตวั )
189
3.2 กรณีทขี่ อ้ มลู มีการแจกแจงความถ่ี
3.2.1 กรณที ่ขี อ้ มูลมกี ารแจกแจงความถี่แบบไม่จดั กล่มุ
การหาฐานนิยม คือ พิจารณาข้อมูลที่ซ้ากันมากท่ีสุด หรือมีความถ่ีสูงสุด
ดังตวั อย่างท่ี 6.10
ตัวอย่างที่ 6.10 จงหาฐานนยิ มจากขอ้ มลู ต่อไปนี้
คะแนน (X) ความถ่ี (f)
20 1
19 2
18 8
17 5
16 4
รวม 20
ขอ้ มลู ชดุ น้มี ีเลขทซ่ี ้ากนั มากทส่ี ุดเทา่ กบั 8 ดงั นัน้ ฐานนยิ ม คอื คะแนน 18
3.2.2 กรณีท่ขี ้อมูลมกี ารแจกแจงความถแ่ี บบจัดกลมุ่
การหาฐานนยิ มโดยใชส้ ูตรการคานวณ ดังนี้
Mo L d1 d1 d2 i
เมื่อ Mo แทน คา่ ฐานนยิ ม
L แทน ขดี จากัดลา่ งของช้นั ทมี่ ีฐานนิยมตกอยู่
d1 แทน ผลตา่ งระหวา่ งความถข่ี องช้นั ทีม่ ีฐานนยิ มอยู่
กับความถ่ขี องช้ันคะแนนทต่ี า่ กวา่ 1 ช้ัน
d2 แทน ผลต่างระหว่างความถี่ของช้ันทม่ี ฐี านนยิ มอยู่
กบั ความถขี่ องชั้นคะแนนที่สูงกวา่ 1 ชั้น
i แทน อันตรภาคช้ัน
ตัวอยา่ งที่ 6.11 จงหาฐานนยิ มจากขอ้ มลู ตอ่ ไปนี้
คะแนน (X) ความถ่ี (f)
21 – 25 3
16 – 20 4
11 - 15 6
6 – 10 3
1–5 4
รวม 20
190
วธิ ที า
1. พจิ ารณา f แล้วพบว่า ฐานนยิ มที่ตกอยู่ในชั้น 11 - 15
2. ชัน้ คะแนน 11 – 15 มี f เท่ากบั 6
และชน้ั คะแนน 6 – 10 มี f เท่ากับ 3 ดังนั้น d1 คอื 6 – 3 = 3
3. ชั้นคะแนน 11 – 15 มี f เทา่ กบั 6
และชน้ั คะแนน 16 – 20 มี f เท่ากับ 4 ดังน้ัน d2 คอื 6 – 4 = 2
4. แทนคา่ ในสูตร
Mo L d1 d1 d2 i
10.5 3 3 2 5
= 10.5 + 3 = 13.5 ดังนนั้ ฐานนิยม คอื 13.5
ความสัมพันธ์ระหวา่ งค่าเฉลยี่ มธั ยฐาน และฐานนิยม
การวัดแนวโน้มเขา้ ส่สู ่วนกลาง มีความสมั พนั ธ์ ดงั นี้ (วาโร เพง็ สวัสด์ิ. 2551 : 289 – 290)
1. การกระจายแบบโคง้ ปกติ (Normal Curve)
แปลว่า คะแนนของเดก็ กระจายจากนอ้ ย
ไปหามาก สว่ นใหญจ่ ะได้คะแนนกลาง ๆ
ของกลมุ่ แสดงว่า ความสามารถของเด็ก
มตี ้งั แต่ตา่ สดุ ไปหาสงู สดุ แต่สว่ นใหญ่มี
ความสามารถกลาง ๆ หรือหาไดจ้ ากสตู ร
Mo = 3Md – 2
ภาพท่ี 6.1 การกระจายแบบโค้งปกติ
ทม่ี า : https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQf_MyspeLvoSHfnZrXKa_
l2hghe72KAhD_5kR7GzEgCYuMNMDZAA
ข้อมูลการกระจายแบบโค้งปกติ หรือลักษณะสมมาตร (Symmetry) จะได้ว่าค่าเฉล่ีย =
มัธยฐาน = ฐานนิยม หรือ Mean = Median = Mode