The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การวัดผลและประเมินผลการศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การวัดผลและประเมินผลการศึกษา

การวัดผลและประเมินผลการศึกษา

293

หรือปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนซ่ึงอาจจะมีการจัดทาแผนหรือโครงการ
พัฒนาการเรยี นการสอนของรายวชิ าตา่ ง ๆ ที่ปรากฏว่าผลการทดสอบหรือผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
ไม่ได้มาตรฐานตามท่กี าหนดไว้

ปัญหาทเี่ กยี่ วข้องกบั การวัดผลและประเมนิ ผล

การวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษาในปัจจบุ นั มปี ญั หาหลายด้าน ทง้ั ดา้ นท่ีเกี่ยวกับการศึกษา
ความเปล่ียนแปลงทางสงั คม คณุ ภาพของเครื่องมอื ปญั หาจากผู้สอน นักเรียน และการบริหาร เป็นต้น
ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้

1. ปญั หาเกิดจากระบบการจัดการศึกษา
1.1 การสอบเทยี บความรู้ การศึกษาในปัจจบุ ันมี 3 ระบบใหญ่ ๆ คอื
1.1.1 การศกึ ษาในระบบ เป็นการศกึ ษาทกี่ าหนดจุดม่งุ หมาย วิธกี ารศึกษา หลักสูตร

ระยะเวลาของการศึกษา การวัดผลและประเมินผล ซง่ึ เปน็ เงื่อนไขของการสาเร็จการศึกษาท่ีแน่นอน
1.1.2 การศกึ ษานอกระบบ เปน็ การศึกษาทม่ี คี วามยืดหยุ่นในการกาหนดจดุ มงุ่ หมาย

รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศกึ ษา การวดั ผลและประเมินผล ซง่ึ เปน็ เงอ่ื นไขสาคัญ
ของการสาเร็จการศกึ ษา โดยเน้อื หาและหลักสตู รจะต้องมคี วามเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหา
และความตอ้ งการของบุคคลแต่ละกลมุ่

1.1.3 การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตาม
ความสนใจ ศกั ยภาพ ความพรอ้ มและโอกาส โดยศกึ ษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพแวดล้อม
ส่อื หรือแหล่งความรู้อ่นื ๆ

ปัจจบุ ันนี้นักเรียนท่ีอยูใ่ นระบบโรงเรยี นต่างสนใจใช้ระบบการศึกษานอกโรงเรียน
เปน็ ทางลัด เพอ่ื ให้จบหลกั สตู รเรว็ ๆ โดยไม่สนใจตอ่ กระบวนการเรยี นการสอนและการประเมินผลใน
ระบบโรงเรียนเท่าที่ควร นักเรียนมักให้ความสนใจเฉพาะเนื้อหาท่ีคิดว่าจะช่วยให้การสอบเทียบได้
มากที่สดุ ทาใหค้ รูไม่สามารถทาการวดั ผลและประเมินผลตามจดุ ประสงค์การเรยี นร้ไู ด้ ถ้าพิจารณา
ใหด้ ีจะเห็นวา่ การสอบเทยี บเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเทคนิค และวิธีการวัดผลในโรงเรียนอยู่มาก
เพราะนาแบบทดสอบมาสอนหรือที่เรียกว่า “ติว” แทนการสอนตามแผนการทดสอนที่จัดทาไว้
เพราะเห็นว่าเป็นการท่ีดีจะย่นระยะเวลาเรียนของนักเรียนได้ เน่ืองจากมาตรฐานความรู้ในระบบ
การสอบเทยี บกาหนดไว้ตา่ กวา่ เกณฑ์มาตรฐานความรใู้ นระบบโรงเรยี นมาก

1.2 การสอบคดั เลอื กเพ่อื ศกึ ษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เน่ืองจากระบบการศึกษาการรับ
นกั เรยี นเข้าศึกษาตอ่ ในรับสูง ในปัจจบุ ันนีส้ ่วนมากโดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษาเป็นมาตรการหนึ่ง
ท่นี อกจากจะทาใหค้ นท่ีเข้ามา สามารถเรียนได้สาเร็จมากที่สดุ อย่างมีคุณภาพมาตรฐานไม่สูญเปล่าแล้ว
ยงั เป็นมาตรการทจ่ี ะประกันคณุ ภาพมาตรฐานอุดมศึกษาไว้ได้ด้วย เพราะเร่ิมต้นจากนักศึกษาท่ีดีมี
คณุ ภาพ

การสอบคัดเลือกมุ่งหวังท่ีจะคัดคนดีท่ีสุด เก่งที่สุด เพ่ือให้ได้คุณภาพมาตรฐาน
การศึกษา แตป่ ัจจุบันกลับกลายเป็นการสอบเพ่ือชิงท่ีสาหรับเข้าเรียนมากกว่าเป็นการสอบเพ่ือวัด
คณุ ภาพ เพราะคานึงถึงจานวนผู้ที่จะคัดไว้มากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ฉะนั้นคุณภาพของผู้ที่ผ่านการ

294

คดั เลอื กจงึ ขึ้นอยู่กบั คุณภาพการศึกษาระดับมธั ยม หากคณุ ภาพการศึกษาระดับมัธยมต่า ผูท้ ผี่ า่ นการ
คัดเลอื กก็มคี ณุ ภาพต่าด้วย

1.3 การกวดวิชา เน่ืองจากการศึกษาของเราเน้นการประเมินผลแบบอิงกลุ่ม มีการ
แข่งขนั ชงิ ดีชงิ เด่นกันทุกระดบั ตงั้ แตร่ ะดับอนบุ าล ประถม มัธยม จนถึงมหาวทิ ยาลัย จึงมีผลทาให้ทง้ั
นกั เรียนและผปู้ กครองต่างหาวธิ กี ารทีจ่ ะช่วงชงิ สถานศกึ ษาทตี่ นเห็นวา่ มคี ุณภาพดีเอาไวก้ ่อน วิธีท่ีจะ
ทาใหส้ ามารถชนะคนอน่ื ได้คือ การเพิม่ มาตรฐานความรู้ให้แก่ตนเอง ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้มาคือ “การ
กวดวชิ า” การกวดวชิ ามีอยทู่ กุ ระดับการศกึ ษา แม้แต่นกั เรียนจะเขา้ เรยี นระดบั ช้นั อนุบาลก็ยังมีการ
กวดวิชา ดว้ ยเหตุนีก้ ระบวนการเรียนการสอน การวดั ผลและประเมินผลในโรงเรียนจึงมีความหมาย
น้อยลง นกั เรยี นทเ่ี รียนจากโรงเรยี นกวดวชิ ามากอ่ นจะใหค้ วามสนใจในกระบวนการเรยี นการสอนใน
ช้นั เรยี นปกตนิ อ้ ยลง ทาให้การเรียนการสอน การวดั ผลและประเมนิ ผลไม่สมบูรณ์

จะเห็นได้ว่า การจัดระบบการศึกษาทั้ง 3 ประการดังกล่าว มีผลกระทบต่อการ
วัดผลและประเมินผลในโรงเรียนโดยตรง

แนวทางการแกไ้ ข การแก้ไขปัญหาขา้ งต้นจะแกไ้ ขได้หากมีการเปล่ียนแปลงระบบ
การจัดการศึกษา ซงึ่ ปัจจุบันโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาหลายแห่งได้ทดลองใช้หลักสูตรนาร่อง ท่ี
ปรับใช้สาหรบั การเรยี นในระดบั มัธยมศึกษาตอนปลายใหเ้ หลอื 2 ปี หากผลเปน็ ทน่ี า่ พอใจ ปัญหาการ
สอบเทยี บก็คงจะลดลง นักเรยี นหันมาใหค้ วามสนใจกับการเรียนการสอนในโรงเรยี นมากขนึ้

2. ปญั หาเกิดจากการเปลยี่ นแปลงหลักสตู รและระเบียบการประเมินผล
เน่ืองจากไดม้ กี ารปรบั ปรงุ หลักสตู รทง้ั ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทาให้ระเบียบ

และแนวปฏบิ ัติเกย่ี วกับการวัดผลและประเมินผลเปลย่ี นแปลง ทาให้เกิดปญั หา ดังน้ี
2.1 ปญั หาความไม่เขา้ ใจระเบียบและหลักการวัดและประเมินผล เนื่องจากแนวปฏิบัติ

หลกั การ วิธีการตามระเบียบวา่ ด้วยการวดั ผลและประเมนิ ผล เพื่อใหค้ รไู ด้ใชศ้ กึ ษาให้เขา้ ใจ ปัจจบุ ันมี
ไม่เพยี งพอกับครูท่ีมีจานวนมาก

แนวทางการแก้ไข หน่วยงานท่ีรับผิดชอบในการจัดการศึกษาควรจัดให้ครูได้มี
คมู่ ือการใช้ระเบยี บว่าด้วยการวดั ผลและประเมนิ ผลอย่างเพียงพอ พร้อมทง้ั จดั ให้มกี ารอบรมสัมมนา
เก่ียวกับความรูแ้ ละแนวปฏิบตั ิเก่ยี วกับระเบยี บว่าดว้ ยการวัดและประเมินผลให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
จนสามารถปฏิบตั ิไดถ้ กู ต้อง

2.2 การกาหนดขั้นตอนการวัดผลและประเมนิ ผลมากเกนิ ไป ระเบียบการประเมินผล
ไดก้ าหนดให้มกี ารวดั ประเมินผลหลายขนั้ ตอน มที ั้งการประเมินผลก่อนสอนซึง่ มีการสอบย่อยหลายครั้ง
หากนกั เรียนคนใดไมผ่ า่ นเกณฑ์จะตอ้ งจดั ใหม้ กี ารสอนซอ่ มเสรมิ แลว้ ประเมนิ ผลการสอนซอ่ มเสริมอีก
และมีการสอบปลายภาคดว้ ย และดว้ ยเหตุน้ีกิจกรรมการเรียนการสอนของครูส่วนใหญ่จึงมุ่งอยู่กับ
การทดสอบนกั เรยี นทที่ าใหส้ ้ินเปลอื งเวลาและงบประมาณในการวดั ผลและประเมินผลมาก

ความจริงแล้วปัญหาประเด็นน้ีจะหมดไป หากครูเข้าใจและยอมรับปรัชญาการ
วดั ผลของ ศาสตราจารย์ ดร.ชวาล แพรตั กลุ ทว่ี ่า “การสอบเปน็ ส่วนหนงึ่ ของการสอน”

2.3 ระเบยี บและหลกั เกณฑ์การประเมนิ ผลขาดการยืดหยุ่น การกาหนดระเบียบและ
หลักเกณฑท์ เ่ี ขม้ งวดเกนิ ไป ทาให้ผ้ปู ฏบิ ตั เิ กิดความอดึ อดั บางทกี ่อใหเ้ กิดปัญหาแกน่ กั เรียนด้วย จาก

295

การศกึ ษาปญั หาเก่ียวกับการประเมินผลการเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พบว่า สิ่งที่เป็นปญั หามากสาหรบั ครูคือ จานวนจุดประสงค์ความรู้พ้ืนฐานและทักษะเบื้องต้นมีมาก
เกนิ ไป จานวนจดุ ประสงค์การเรียนรทู้ กี่ าหนดใหต้ ายตวั และมากเกนิ ไปจุดประสงค์ที่กาหนดให้ใน ป.02
ไม่เรยี งตามลาดับเน้อื หาท่ีครสู อน บางจดุ ประสงค์เกย่ี วกบั เนื้อหาหลายบททาใหย้ งุ่ ยากต่อการปฏิบัติ
นอกจากนีก้ ารกาหนดเกณฑผ์ า่ นจุดประสงค์รอ้ ยละ 60 ทกุ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ควรจะมกี ารยืดหยุ่น
เพอื่ ใหส้ ะดวกแก่การปฏิบัติ

3. ปัญหาเกดิ จากเครอ่ื งมอื วดั ผล ซึ่งไดก้ ล่าวมาแล้วในข้อ 1.2 เกี่ยวกับการสอบคัดเลือก
เพือ่ ศึกษาตอ่ ในระดบั ทสี่ ูงขึ้นว่า การสอบคัดเลอื กเน้นจากการสอบวดั เปน็ สาคัญ หากเครอื่ งมือท่ีใชใ้ น
การคดั เลือกเชื่อถือได้ มีความเท่ียงตรงตามท่ไี ดต้ ้ังเปา้ หมายไว้ก็ได้ คนท่ีมีคณุ ภาพแต่ถา้ เครื่องมือที่ใช้
ในการคัดเลือกเชื่อถือไม่ได้ ไม่ได้วัดในส่ิงที่เราต้องการวัด การสอบก็ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานอะไร
ปัจจบุ นั ปัญหาเก่ยี วกับเครอ่ื งมอื วดั ที่ควรพิจารณา มดี งั นี้

3.1 คณุ ภาพเครือ่ งมือวดั ผล เครอื่ งมอื วดั ผลท่ีใช้ส่วนใหญ่ยังไม่มีคุณภาพเพราะมักจะ
สร้างเพื่อใชเ้ ฉพาะกจิ โดยใชเ้ วลาในการสร้างระยะสั้น เพ่อื ใหท้ นั กาหนดใชเ้ ท่าน้ัน โดยเฉพาะข้อสอบ
สาหรบั สอบคัดเลอื ก ซ่งึ ไมส่ ามารถทาการทดลองใช้เพื่อวิเคราะหก์ ่อนได้ เพราะการสอบคัดเลือกน้ัน
จะไม่มีความหมาย ถ้าผู้สอบได้รู้เห็นข้อสอบก่อนการสร้าง ข้อสอบจึงเป็นความลับท้ังช่ือผู้สร้าง
ข้อสอบและเน้ือหาสาระของขอ้ สอบ

บางคร้ังการจัดบุคลากรที่ทาหน้าที่ออกข้อสอบกลายเป็นปัญหาเมื่อมีเร่ืองของ
ค่าตอบแทนการสอนมาเกี่ยวข้อง บางทีก็ต้องการแบ่งโควตากันออกข้อสอบคนละตอน สองตอน
ต้องหมุนเวยี นกนั ออกขอ้ สอบ โดยไม่คานงึ ถงึ ความเหมาะสมตามหลักวิชา เรียกว่าเป็นการแก้ปัญหา
การสอบด้วย หลักเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่ หลักศึกษาศาสตร์ จึงเกิดปัญหาคุณภาพของข้อสอบไม่ได้
มาตรฐาน ขาดความเทีย่ งตรงและความเชอ่ื มั่น

ปญั หาท่เี ก่ียวกับคณุ ภาพของแบบทดสอบ ได้แก่
1) วัดไม่ตรงจุด ได้แก่ ข้อสอบที่ถามไม่ตรงกับจุดประสงค์และสมรรถภาพ
ทีต่ อ้ งการวัด ทาให้ผลการวัดไม่เกิดจากคุณลักษณะท่ีต้องการ ขาดคุณสมบัติความเที่ยงตรง ทาให้
ไมส่ ามารถนาผลจากการวดั ไปสรปุ ตดั สินใจไดถ้ ูกต้อง

แนวทางการแก้ไข ผู้สร้างเคร่ืองมือวัดจะต้องศึกษาคุณลักษณะท่ีจะวัดให้
เขา้ ใจแล้วระบพุ ฤติกรรมบ่งช้ีคุณลกั ษณะน้ัน ๆ หากเป็นการสร้างข้อสอบจะต้องกาหนดจุดประสงค์
เชงิ พฤตกิ รรมและเกณฑ์การวัดใหช้ ัดเจน

2. วัดได้ไมค่ รบถ้วน การวดั ทสี่ มบูรณถ์ ูกตอ้ งนอกจากจะวดั ได้ตรงจุดแล้ว จะต้อง
วัดให้ครอบคลุมเนอ้ื หาและคณุ ลักษณะที่ต้องการวัดอย่างครบถ้วน การวัดเพียงบางเนื้อหาและบาง
ลกั ษณะทาใหไ้ ม่สามารถแปลผล สรุปได้ถกู ต้อง

แนวทางการแก้ไข ครูต้องวางแผนการออกข้อสอบให้รอบคอบโดยการ
วิเคราะห์หลักสูตร เพ่ือสร้างตารางจาแนกเนื้อหาและพฤติกรรม เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการออก
ขอ้ สอบ การสรา้ งข้อสอบตามตารางจาแนกเน้ือหาและพฤติกรรมจะได้ข้อสอบที่มีความเท่ียงตรง 2
ประการคือ ความเทยี่ งตรงตามเนอื้ หาและความเท่ยี งตรงตามโครงสรา้ ง

296

3.2 ปัญหาการใช้เครื่องมือไมถ่ กู ต้อง เครื่องมือวัดผลการเรียนมีหลายประเภท ได้แก่
แบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสารวจ การให้ปฏิบัติจริงหาครูเลือก
ใช้เคร่ืองมือไม่เหมาะสมกับคุณลักษณะท่ีต้องการวัด ผลที่ได้จากการวัดย่อมบ่งบอกคุณลักษณะ
ไมถ่ กู ตอ้ ง โดยเฉพาะแบบทดสอบมีทั้งแบบอัตนยั และแบบปรนยั กม็ ีหลายประเภททีใ่ ช้กนั มาก ได้แก่
ถูก – ผดิ จับคู่ เตมิ คา และเลอื กตอบ หากใช้ไม่ถูกวิธอี าจเกิดผลเสียตอ่ การเรียนการสอนได้ ปัจจุบัน
มกี ารวพิ ากษ์วิจารณก์ ันมากเกย่ี วกบั การใชแ้ บบทดสอบปรนยั แบบเลือกตอบว่า แบบทดสอบประเภท
นไ้ี มใ่ หค้ วามเปน็ ธรรมแก่นักเรยี นทเ่ี รียนดีมีความคดิ ริเร่มิ สร้างสรรค์ กล่าวคือ เป็นแบบทดสอบทเ่ี ดาได้
พูดง่าย ๆ คอื เปดิ โอกาสให้เดก็ ออ่ นได้คะแนนจากการเดา และทั้งวิจารณ์กันอีกประการหนึ่งคือการ
ใช้แบบทดสอบปรนยั ทาให้นักเรยี นอ่าน เขียนไมไ่ ด้

ปัญหาทั้งสองข้อน้ีอธิบายได้ด้วยหลักวิชาว่า การเดาจะไม่มีผลเลยถ้าครูสร้าง
ข้อสอบตามหลกั วชิ า ทาใหข้ อ้ สอบที่มีคุณลักษณะของข้อสอบที่ดคี อื มคี วามเท่ียงตรง เชือ่ มั่นได้ และ
มอี านาจจาแนกสงู โดยคนเก่งจะตอบถกู แต่คนออ่ นจะตอบผดิ

ส่วนข้อทีว่ ่าขอ้ สอบปรนยั ทาให้นกั เรยี นอา่ น เขียนไม่ไดน้ ้ัน เปน็ การนาเอาจดุ ประสงค์
การเรยี นกบั จดุ ประสงค์ของการวัดผลมาทาให้สับสนกัน จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นการระบุว่าเม่ือ
สอนจบแล้วนักเรียนจะมกี ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามท่มี ุ่งหวงั ไวอ้ ยา่ งไร ส่วนจุดประสงค์ของการ
วัดน้ันเป็นการระบวุ า่ การวดั ผลนั้นต้องการทราบข้อมูลอะไร เช่น ต้องการทราบวา่ นักเรยี นคนใดเรียน
ดีขนึ้ หรือเลวลง ใครเรยี นเก่ง อ่อน ใครสามารถสอบได้ ตก เป็นต้น จะเหน็ ได้วา่ ปญั หาขา้ งต้นไม่ได้อยู่
ทแ่ี บบทดสอบ แต่อยู่ทก่ี ารใช้แบบทดสอบไมถ่ กู ต้อง

แนวทางการแก้ไข ปัญหาการใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง ก่อนตัดสินใจใช้เคร่ืองมือ
วดั ผล ครคู วรไดศ้ ึกษาลักษณะและรูปแบบของเคร่ืองมือ หลักการใช้เคร่ืองมือ ตลอดจนข้อดีข้อเสีย
ของเครอ่ื งมอื แตล่ ะชนิดให้เข้าใจเสียก่อน และข้อสาคัญที่จะลืมไม่ได้คือ ต้องศึกษาจุดมุ่งหมายของ
การวดั

3.2.1 ขาดคุณลักษณะของเคร่ืองมือท่ีดี ปัญหาครูขาดความรู้และทักษะในการ
สร้างแบบทดสอบ และเคร่ืองมือวัดผลแบบอื่นทาให้ไม่ได้เครื่องมือนั้นไม่มีคุณภาพ เป็นปัญหา
ประเดน็ หน่ึงท่ีพบเห็นไดใ้ นโรงเรียนท่ัวไป ซงึ่ ควรมีการพัฒนาให้มีความรู้และทักษะมากข้ึน แต่มีอีก
สาเหตุหนึ่งท่ีไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ก็เกิดข้ึนได้กับโรงเรียน มหาวิทยาลัยทั่ว ๆ ไป ท่ีมีการสอบ
คัดเลือก และมผี ลประโยชน์ตอบแทนจากการออกข้อสอบ ทาให้ตอ้ งแกป้ ัญหาจากการสอบด้วยหลัก
เศรษฐศาสตร์มากกว่าหลักศึกษาศาสตร์ คือการเวียนกันออกข้อสอบเพ่ือให้ได้ประโยชน์ท่ัวถึงกัน
โดยไม่คานึงว่าใครเหมาะสมมากกว่ากัน เม่ือเป็นเช่นนี้แล้วโอกาสท่ีจะได้ข้อสอบที่มีคุณภาพดีจึง
เปน็ ไปไดย้ าก เพราะการสร้างขอ้ สอบให้มคี ุณภาพดี นอกจากผ้สู ร้างข้อสอบจะตอ้ งร้ลู ักษณะการสอบ
ทีด่ ี รวู้ ธิ ีเขยี นคาถามวา่ จะตอ้ งระวงั ในเร่ืองใดบ้าง รู้ชนิดของคาถามประเภทต่าง ๆ รู้จักรูปแบบของ
คาถามชนิดต่าง ๆ แล้วท่ีสาคัญที่สุดคือจะต้องหัดเขียนและหัดวิจารณ์คาถามบ่อย ๆ รวมทั้งมีการ
ปรบั ปรงุ ขอ้ สอบโดยวธิ วี เิ คราะหข์ อ้ สอบดว้ ย (ชวาล แพรัตกลุ . 2552 : 4)

แนวทางการแก้ไข ประการแรกคือ ผู้สอนต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ
เทคนิคการสร้างแบบทดสอบ ประเภทของแบบทดสอบ รูปแบบของคาถาม การวิเคราะห์ข้อสอบ
หดั เขยี นและวจิ ารณค์ าถามบ่อย ๆ ส่วนปัญหาการเวียนกันออกข้อสอบโดยเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์น้ัน

297

ควรแกท้ ่ีระบบการบริหาร ผู้บริหารควรยึดหลักวิชาการมากกว่าอย่างอ่ืน ควรปลูกฝังคุณธรรมของ
ผทู้ าหนา้ ท่ีประเมนิ ผลท่ีดีใหแ้ ก่ครู อาจารย์ ท่ีทาหนา้ ทอี่ อกข้อสอบใหม้ ากขึน้

4. ปญั หาเกดิ จากบุคลากรทางการศึกษา บคุ ลากรทางการศึกษาที่เกีย่ วกับการวัดผลและ
ประเมนิ ผล มดี งั น้ี

4.1 ปัญหาทเี่ กดิ จากผบู้ รหิ าร ผู้บริหารมีบทบาทสาคัญในการส่งเสริมให้การประเมินผล
บรรลุผลสาเร็จ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และมีบทบาทในการอนุมัติผลการเรียนตามระเบียบ
กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประเมินผลการเรียน บรรยากาศทางการวัดผลในโรงเรียนจะดู
ศักด์ิสิทธ์ิ มีคุณค่าหรือไม่ ข้ึนอยู่กับว่าผู้บริหารให้ความเอาใจใส่ต่อกระบวนการเรียนการสอนด้วย
ปญั หาทางการวัดผลทีเ่ กดิ จากผ้บู ริหาร สรปุ ไดด้ ังน้ี

4.1.1 บริหารโดยไม่ยึดหลักการวัดผล เช่น การหมุนเวียนกันออกข้อสอบเพื่อ
กระจายรายไดใ้ หค้ รู แสดงถึงความบกพร่องต่อหน้าที่ในฐานะผู้มีหน้าที่กาหนดนโยบายการวัดและ
ประเมินผล

4.1.2 ขาดความซือ่ สตั ยต์ ่อวิทยาการวดั ผล ปัญหาการสอบคัดเลอื กเพือ่ ศึกษาตอ่
ในระดับสูงทีเ่ กิดข้นึ บ่อย ๆ ได้แก่ การรับนักศกึ ษาที่ไมผ่ า่ นเกณฑ์หรือไม่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าเรียน
โดยได้รับผลประโยชนห์ รือไมก่ ็ตาม ถือวา่ ไมซ่ ่ือสัตยต์ ่อวิทยาการวดั ผล

4.1.3 ไม่เหน็ ความสาคัญของกระบวนการวัดผลและประเมินผล การที่ผู้บริหาร
ไม่ให้ความสาคัญต่อกระบวนการวัดและประเมินผลในโรงเรียนน้ัน จะทาให้ครูรู้สึกว่าการวัดผล
ประเมนิ ผลไมม่ คี วามสาคญั เช่นกนั กระบวนการวัดผลและประเมนิ ผลในชั้นเรียนเป็นเพียงทาเพื่อให้
ครบกระบวนการเรียนการสอน ตามระเบียบประเมินผลเท่านั้น ผลจากการสอบวัดก็จะไม่มี
ความหมาย

แนวทางการแก้ไข บทบาทของผบู้ รหิ ารที่เก่ียวกับการวัดผลและประเมินผล ต้องมี
คุณธรรมของผทู้ าหน้าทปี่ ระเมนิ ผลวา่ ซ่งึ ผบู้ ริหารมบี ทบาทในการสร้างบรรยากาศทางวชิ าการ สนับสนุน
และกระตุน้ ให้บคุ ลากรในโรงเรียนเห็นความสาคัญของการวัดผลประเมินผล ฉะนั้นหากผู้บริหารได้
พัฒนาตนใหส้ มบทบาทดงั กล่าว ก็จะช่วยแก้ปญั หาดา้ นการวดั ผลประเมนิ ผลได้

4.2 ปญั หาที่เกิดจากตวั ครู ครเู ป็นผสู้ ร้างและใชเ้ ครอื่ งมือวดั ผล เพื่อประเมนิ การเรียน
การสอนโดยตรง ปัญหาสาคัญของการสอบวัดทเี่ ก่ียวขอ้ งกับตวั ครผู ูส้ อน ไดแ้ ก่

4.2.1 ขาดความรแู้ ละเทคนิควธิ กี ารเกีย่ วกับการวดั ผลและประเมินผล ทาให้
เกิดผลกระทบต่อกระบวนการวดั ผลและประเมินผล ดงั นี้

1) เลอื กใชเ้ ครอื่ งมอื วัดผลท่ไี มถ่ กู ต้อง เนอ่ื งจากเคร่ืองมือวัดผลมีหลายชนิด
แตล่ ะชนดิ เหมาะกับคณุ ลักษณะท่จี ะวดั ตา่ งกัน ถา้ ครไู ม่ได้ศกึ ษาถึงชนิดและรูปแบบของเคร่ืองมือใน
แต่ละด้านแลว้ การพิจารณาเลอื กใชเ้ ครื่องมอื เพือ่ การสอบย่อมไม่ถูกต้อง ดังนั้นครูจาเป็นต้องศึกษา
ลกั ษณะและแบบของเครอื่ งมือแตล่ ะชนดิ ให้ดี เพอ่ื จะเลอื กใช้ได้ถกู ตอ้ งตามลักษณะทจี่ ะวดั

2) ขาดความชานาญในการสร้างเคร่ืองมือ ครูผู้สอนจาเป็นต้องมีเทคนิค
และความชานาญในการสร้างเครือ่ งมือแต่ละชนดิ แต่ละรูปแบบ เคร่อื งมอื วัดผลทางการศึกษาตา่ งกับ
เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ เพราะต้องรักษาไว้เป็นความลับ นาไปเปิดเผยไม่ได้ บางครั้งมีปัญหา

298

เก่ียวกับการสรา้ งข้อสอบ กไ็ มอ่ าจจะปรกึ ษาหารือใหใ้ ครชว่ ยได้ ดงั น้นั การสร้างเครอื่ งมือวดั ผลจงึ เปน็
ปญั หาสาคัญยง่ิ สาหรับครผู สู้ อน ถา้ เพียงครูผสู้ อนมขี ้อสอบไวส้ อบหรอื สรา้ งข้นึ มาโดยไมม่ ีการวางแผน
ขอ้ สอบกจ็ ะขาดคุณภาพ ไม่สามารถนาผลจากการวดั ไปสรปุ ตดั สนิ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพได้

แนวทางการแก้ไข ครจู าเปน็ ตอ้ งพฒั นาตนเองให้เปน็ นกั สรา้ งขอ้ สอบที่ดใี หไ้ ด้
ซงึ่ คณุ ลกั ษณะของผูส้ รา้ งข้อสอบทด่ี ี มีดังน้ี (ชวาล แพรตั กลุ . 2520 : 4)

- รูจ้ กั ลกั ษณะของคาถามท่ดี วี า่ ตอ้ งมคี ณุ ลกั ษณะอยา่ งไร
- รูว้ ธิ เี ขียนคาถามวา่ ตอ้ งระวังในเรื่องอะไรบา้ ง
- รู้จักชนิดของคาถามประเภทต่าง ๆ ตงั้ แต่ 1.00 – 6.00
- ร้จู ักรปู แบบของคาถามชนดิ ต่าง ๆ
- หัดเขยี นและหดั วิจารณ์คาถามบอ่ ย ๆ
- ปรับปรุงคาถามโดยวิธีวเิ คราะห์ข้อสอบ
3) ใช้ผลการสอบไมค่ ุม้ ค่า ครูเป็นจานวนไม่น้อยท่ีใช้ผลการสอบไม่คุ้มค่า
คิดแต่ว่าการสอบน้ันเป็นขอ้ บังคับตามระเบยี บการวดั ผล ไม่ได้นามาใช้ประโยชน์เพ่ือปรับปรุงการเรียน
การสอน การสอบไวไ้ มส่ อดคล้องกับการเรยี นการสอน นับว่าเปน็ การสูญเปลา่ ในการวดั
แนวทางการแกไ้ ข ครูจะต้องกาหนดจุดมงุ่ หมายการสอนให้ชัดเจนก่อนสอน
แล้วจึงสอบวดั วา่ การสอนบรรลจุ ดุ ประสงค์การเรียนหรอื ไม่ หากนกั เรยี นคนใดไม่ผา่ นเกณฑ์ที่กาหนด
ไว้ในจุดประสงค์ ให้จัดการสอนซ่อมเสริมและสอบวัดอีกครั้ง หากทาตามแนวน้ีการสอบวัดจะมี
ความหมายมากขนึ้
4) ขาดการวางแผนในการสร้างแบบทดสอบ การวางแผนการสอบเป็น
สงิ่ ทส่ี าคัญและจาเป็นอยา่ งย่งิ สาหรบั การสร้างขอ้ สอบให้มีคุณภาพดี การวางแผนที่ดีผู้สร้างข้อสอบ
จะตอ้ งกาหนดจุดมุง่ หมายของการสอบวัด กาหนดคุณลักษณะและเน้ือหาที่จะวัด กาหนดจานวนข้อ
คาถาม เกณฑก์ ารตรวจใหค้ ะแนนและการแปลความหมายคะแนน ตลอดจนการดาเนนิ การสอบ หาก
วางแผนไวด้ ีปญั หาตา่ ง ๆ กจ็ ะหมดไป
การสอบวัดทีเ่ ป็นอยู่ในปัจจุบนั มกั มปี ญั หาต่าง ๆ มากมายเช่น ข้อสอบถาม
ไม่สอดคล้องกับเรื่องที่นักเรียนได้เรียนมา เร่ืองท่ีเรียนมากถามน้อย ส่วนเรื่องท่ีเรียนน้อยถามมาก
ขอ้ สอบยากงา่ ยเกินไป จานวนข้อสอบกับเวลาไมส่ ัมพนั ธ์กัน ขอ้ สอบไมม่ ีคุณภาพเพราะรีบเร่งในการ
ออกขอ้ สอบ การพมิ พ์ตกหล่น ผิดพลาด การเฉลยขอ้ สอบมปี ญั หา อาจไม่มีข้อถูกหรือถูกมากกว่า 1 ข้อ
เป็นต้น
แนวทางการแก้ไข ผู้ที่มีหน้าท่ีในการออกข้อสอบจะต้องวางแผนให้
รอบคอบทุกขั้นตอน ควรวางแผนในการทางานล่วงหน้า กาหนดเวลาในการออกข้อสอบให้เพียงพอ
ไมร่ ีบเรง่ จนเกินไปจนทาให้ข้อสอบขาดคุณภาพ
5) การแปลผลสอบคลาดเคล่ือน การสอบทุกครั้งจะต้องนาผลสอบหรือ
คะแนนมาแปลความหมายเพื่อตัดสิน การนาผลไปใช้อธิบายหรือเปรียบเทียบความสามารถของ
นักเรียนจะกระทาได้ถูกตอ้ งเพยี งใดขน้ึ อยูก่ บั หลักเกณฑท์ ใี่ ชแ้ ละความสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด
โดยปกติแล้วคะแนนสอบของนกั เรยี นข้นึ อยกู่ บั ความยากงา่ ยของข้อสอบ ถ้าข้อสอบยากคะแนนที่ได้
จากการสอบทม่ี แี นวโน้มที่ต่า ถ้าข้อสอบง่ายผลสอบมีแนวโน้มที่จะได้คะแนนสูง ฉะนั้นการแปลผล

299

การสอบครูควรคานึงถงึ ความยากง่ายของข้อสอบดว้ ย ควรยดึ คะแนนเป็นสาคัญ โดยเฉพาะในการตัดเกรด
หากครูยึดคะแนนสอบเปน็ หลักในการพิจารณา นักเรียนอาจได้เกรดต่ามากหรือสอบตก ถ้าข้อสอบ
ยาก และได้เกรดสูงมากถ้าข้อสอบงา่ ย

แนวทางการแก้ไข ครูควรพิจารณาข้อสอบให้มีคุณภาพมาตรฐาน คือ
ไม่ยากเกินไปและไม่ง่ายเกินไป หากต้องการเปรียบเทียบคะแนนกันระหว่างวิชาควรแปลคะแนน
เหล่าน้นั ให้เป็นคะแนนมาตรฐานเสยี ก่อน

6) ภาระหน้าทีข่ องครมู ีมาก มผี ลทาใหค้ รูไมม่ ีเวลาเพยี งพอสาหรับการวางแผน
การเรียนการสอนและการประเมนิ ผล โดยเฉพาะโรงเรยี นขนาดเลก็ ทห่ี า่ งไกลความเจรญิ บางทคี รอู าจ
ต้องสอนคนเดยี วหลายชั้น หลายวชิ าและยงั ต้องทางานธรุ การหลายอย่าง ภาระหน้าท่ีต่าง ๆ เหล่าน้ี
ยอ่ มเป็นอปุ สรรคต่อการพฒั นางานวดั ผลอย่างย่งิ ท้งั ๆ ที่งานวัดผลและประเมินผลมีบทบาทสาคัญ
ต่อการตรวจสอบคุณภาพการเรยี นการสอน ซง่ึ เป็นหน้าทีข่ องครูอยา่ งหลกี เล่ียงไมไ่ ด้

แนวทางการแกไ้ ข การแก้ปัญหานีไ้ ม่มีทางดไี ปกว่าครูต้องหาวิธีบริหารเวลา
ให้เหมาะสมและศึกษาวิธกี ารทางานจากบคุ คลอนื่ ที่มีผลงานดี มปี ระสทิ ธิภาพในการทางาน

7) ขาดจรรยาบรรณของนักวัดผล ครูบางคนใช้การสอบเป็นเครื่องมือ
ต่อรองกับนกั เรยี นเพื่อผลประโยชน์บางอยา่ ง เช่น ใหน้ ักเรยี นทางานบางอยา่ งทีไ่ มเ่ ก่ยี วกบั วชิ าทีเ่ รยี น
เพื่อแลกกบั คะแนน ครบู างคนใช้คะแนนเป็นเคร่ืองมือตอบแทนผลประโยชนท์ ่ไี ด้รบั จากนกั เรยี น บางคน
เอาข้อมลู ส่วนตัวของนักเรียนซึ่งเป็นความลับไปเปิดเผย บางคนถือโอกาสแก้แค้นนักเรียนด้วยการ
กดเกรด ฯลณ เหล่าน้ีถอื วา่ เปน็ ลกั ษณะของครูทขี่ าดจรรยาบรรณของนกั วดั ผล

แนวทางการแกไ้ ข ผู้บริหารจะต้องหาวิธีการสร้างจิตสานึกในวิชาชีพการ
วัดผลใหแ้ ก่ครู ชเี้ ห็นถงึ คุณค่าของจรรยาบรรณของนกั วดั ผลตอ่ คณุ ภาพการศกึ ษา

4.3 ปัญหาทเี่ กิดจากตัวผู้เรยี น ผู้เรยี นเปน็ บุคคลทไี่ ดร้ ับผลกระทบจากการสอนโดยตรง
สว่ นมากมกั เปน็ ไปในทางลบมากกวา่ ทางบวก ซึ่งกอ่ ให้เกดิ ปญั หา ดังน้ี

4.3.1 ความวิตกกังวล ปกติแลว้ ไม่วา่ จะเป็นการสอบย่อยหรือสอบรวม หากรู้จะ
ว่ามกี ารสอบแลว้ ผสู้ อบจะเกิดความวิตกกังวลแทบท้ังน้ัน สาเหตุของความวิตกกังวลมีหลายสาเหตุ
ไดแ้ ก่ ความไมพ่ รอ้ มในการสอบ ดหู นงั สอื ไม่ทนั ไม่เข้าใจเร่อื งท่ีสอบ กลัวได้คะแนนไม่ดี บางคนกลัว
สอบตก บางคนกลวั ไมไ่ ด้ A จะดว้ ยสาเหตุใดกต็ ามเม่อื เกดิ ความวติ กกังวลย่อมก่อให้เกิดความเครียด
ไดท้ ้งั นนั้

แนวทางการแก้ไข ควรนัดแนะการสอบให้นักเรียนทราบล่วงหน้า
พอสมควร ใหน้ ักเรียนได้มีเวลาเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ควรสอบแบบจู่โจม ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัด
กอ่ นมกี ารสอบจรงิ มีการโน้มนา้ วและใหก้ าลังใจแก่นักเรียน พยายามทาให้นักเรียนเห็นว่าสอบเป็น
เรอ่ื งธรรมดา คนทม่ี คี วามพรอ้ มย่อมทาขอ้ สอบไดด้ กี ว่าคนที่ไมพ่ รอ้ ม

4.3.2 การทจุ รติ ในการสอบ ส่วนหนึ่งของผู้ทุจริตในการสอบคือ ผู้ที่ไม่พร้อมใน
การสอบแล้วกลวั สอบตกหรือกลัวไดค้ ะแนนตา่ จงึ ตอ้ งใช้วิธีทจุ ริตซ่ึงทาได้หลายวิธี เช่น ลอกคาตอบ
ของเพือ่ น ลอกขอ้ ความเข้าไปในหอ้ งสอบ ถามเพือ่ น ทหี่ นักท่ีสุดคือ การให้อามิสสินจ้างแก่ผู้ที่สามารถ
ชว่ ยตนเองให้สอบได้ อาจเป็นเจา้ หน้าทพ่ี มิ พ์ โรเนียว หรอื แมแ้ ตค่ รูผอู้ อกขอ้ สอบหรือผู้ประมวลผลสอบ
ด้วยคอมพวิ เตอร์ บางคนยอมเสยี เงนิ เป็นจานวนมากเพอ่ื แลกกับข้อสอบ 1 ฉบับ

300

แนวทางการแกไ้ ข ควรชใ้ี ห้นักเรยี นเห็นโทษของการทุจรติ หากพบวา่ มีการ
ทจุ รติ เกดิ ข้ึนควรใหม้ กี ารลงโทษทั้งผู้ให้และผู้รับตามระดับความเข้มของการทุจริต เช่น ให้สอบตก
พกั การเรยี น หรอื ไล่ออกสาหรับนักเรยี น และลงโทษทางวินัยสาหรบั เจา้ หน้าที่หรือครูท่ีร่วมทจุ ริต

4.3.3 ความไม่รอบคอบในการทาข้อสอบ นักเรียนบางคนขาดความละเอียด
รอบคอบในการสอบ เช่น ไมอ่ า่ นคาส่ังให้เข้าใจก่อนสอบ ไม่ระมัดระวังในการตอบอาจใส่คาตอบผิดข้อ
ตอบผดิ วิธี ทาข้อสอบไมค่ รบทกุ ข้อ เปน็ ตน้

แนวทางการแก้ไข ผูค้ ุมสอบควรแนะนาและตักเตอื นให้ผู้เข้าสอบเข้าใจถึง
วิธกี ารตอบ ใชเ้ วลาในการทาข้อสอบให้เหมาะสมกับจานวนข้อสอบ ตอบด้วยความระมัดระวังเพ่ือ
ไมใ่ ห้ตอบผดิ ก็จะช่วยลดปญั หาจากความไมร่ อบคอบในการทาข้อสอบได้

5. ปัญหาด้านการบริหารการวัดและประเมินผล บุคลากรที่ทาหน้าท่ีบริหารการวัด
และประเมินผลในโรงเรียนคือ ผู้บริหารและครูผู้สอน หากบริการไม่ดีจะทาให้เกิดปัญหาได้มาก
ปญั หาที่เกดิ จากการบรหิ าร มดี ังนี้

5.1 ปัญหาเกี่ยวกับการใช้เวลา การดาเนินการสอบแต่ละคร้ังต้องใช้เวลามาก
บางทไี มส่ ามารถสอบพรอ้ มกันทั้งโรงเรียนเหมอื นตอนเรยี นตามปกติได้ เพราะจาเป็นต้องใช้ครูมาทา
หน้าทคี่ ุมสอบ บางโรงเรยี นตอ้ งจัดให้นักเรียนต้องสอบวันเว้นวันสลับกัน ทาให้การสอบต้องยืดเย้ือ
ตอ่ ไป หลงั จากการสอบเสรจ็ ครตู อ้ งใช้เวลาในการตรวจข้อสอบและประเมนิ ผลอกี การสอบปลายภาค
จึงนยิ มใชข้ อ้ สอบปรนัยเพราะสอบสะดวกในการตรวจ ไมเ่ สียเวลามาก แต่หากเป็นโรงเรยี นขนาดเล็ก
ไมมีเคร่ืองอุปกรณ์ในการทาข้อสอบ เช่น เคร่ืองพมิ พ์ เครือ่ งโรเนียว กจ็ ะทาให้เกิดปัญหาในการสอบ
และตรวจใหค้ ะแนนมากข้นึ

5.2 ปัญหาเกี่ยวกับระบบการทดสอบย่อยและการจัดการซ่อมเสริม เน่ืองจาก
ระเบยี บประเมินผลฉบบั ปจั จบุ นั ไดร้ ะบุใหค้ รจู ดั การทดสอบย่อยตลอดภาคเรยี น และจัดการซ่อมเสรมิ
ให้แก่นกั เรยี นที่ไม่ผา่ นเกณฑ์ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ การสอนในระบบท่ีครูสอนประจาวิชาและ
สอนหลายช้ัน นักเรียนที่จะต้องเรียนกับครูหลาย ๆ คน การกาหนดช่วงเวลาให้ครูทาการสอนและ
ซอ่ มเสรมิ หากไม่มกี ารวางแผนใหด้ ีอาจทาใหเ้ กิดความสับสนได้มาก นักเรียนก็คงจะเคร่งเครียดกับ
การสอบและซอ่ มเสริมมาก จนไม่มีความสขุ ในการเรยี น

5.3 ปญั หาการแทรกแซงจากกิจกรรมภายนอก ปกติการสอนแต่ละรายวิชาครู
มักจะทาแนวการสอนไวล้ ว่ งหน้าวา่ สัปดาหไ์ หนสอนเร่ืองอะไร มกี ิจกรรมอะไร จะมีการทดสอบย่อย
เม่ือไร และสอบกี่ครั้ง หรือมีการประเมินผลโดยวิธีอื่นใดอีก โดยครูจะตกลงกับผู้เรียนให้ทราบ
ล่วงหน้าก่อนต้ังแต่ช่ัวโมงแรกของการสอน ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะทาให้การเรียนการสอนและการ
ประเมนิ ผลสมั ฤทธผิ์ ลมากกวา่ สอบโดยไมม่ ีการวางแผน แต่ในความเป็นจริงน้ันอาจมีกิจกรรมอื่น ๆ
ของสถานศกึ ษา หรือหนว่ ยงานต่าง ๆ มาแทรกแซงได้ เช่น ครูติดประชุมด่วน นักเรียนต้องเข้าร่วม
กิจกรรมโรงเรยี นจัด เปน็ ต้น ทาใหไ้ มไ่ ดเ้ รยี นตามแผนที่กาหนดไว้ จงึ กระทบตอ่ การประเมินผลด้วย

301

6. ปญั หาเกิดจากการบันทกึ และรายงานผลการเรียนการสอน การบนั ทกึ และรายงานผล
การเรียนการสอนทง้ั ระดับประถมและมธั ยมศึกษา มีปัญหาคล้ายคลึงกัน ดังน้ี

6.1 ปญั หาการบันทึกข้อมลู ในระเบยี นสะสม ขอ้ มูลทค่ี รูจะต้องบันทึกในสมุดระเบียน
สะสมเปน็ ขอ้ มลู ทลี่ ะเอียดและต้องบันทึกให้เป็นปัจจุบัน ปัญหาท่ีพบคือครูมีภาระท่ีต้องรับผิดชอบ
หลายอยา่ งท้งั งานสอนและงานพิเศษ จงึ ทาให้ไม่สามารถบนั ทึกเปน็ ปัจจบุ นั ได้

6.2 ปญั หาความร่วมมอื ของผู้ปกครอง เม่อื ผ้ปู กครองได้รับสมุดรายงานตัว ผู้ปกครอง
มักไม่เขา้ ใจการบันทกึ ผลการเรยี น และไมท่ ราบว่าจะบันทึกความเห็นกลับไปอย่างไร อาจเป็นเพราะ
ผ้ปู กครองมีการศกึ ษานอ้ ยและไม่ใครม่ เี วลาวา่ ง ต้องประกอบอาชพี หากจะเชิญผู้ปกครองไปประชุม
ชแี้ จงทโี่ รงเรยี นกไ็ ม่ได้รับความร่วมมือเช่นกัน เพราะผู้ปกครองมีภาระหน้าที่ในการประกอบอาชีพ
ไม่สามารถไปประยกุ ตใ์ ช้

6.3 ปญั หาเกยี่ วกบั ผลการเรยี น มักเกดิ ข้นึ กับนกั เรยี นทมี่ ผี ลการเรยี นต่า และมีปัญหา
ด้านความประพฤติมักไม่เต็มใจท่ีจะนาสมุดรายงานตัวไปให้ผู้ปกครองอ่าน และเซ็นรับทราบความ
บกพร่องของตนเอง บางคนอาจปลอมแปลงลายเซน็ ผู้ปกครองเองหรืออาจมีการแก้ไขข้อมลู

แนวทางการแก้ไข ครูควรตระหนักถึงความจาเป็นในการบันทึกข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
และควรมีความรอบคอบในการบันทึกข้อมูลและความเห็นในระเบียนสะสม และสมุดประจาตัว
นักเรียน นอกจากน้ีครูควรหาโอกาสทาความเข้าใจกับผู้ปกครองเก่ียวกับข้อมูลในสมุดประจาตัว
นกั เรยี น และชแ้ี จงใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจยอมรบั ความจรงิ เก่ียวกับผลการเรยี นและความประพฤติของตน
ตามท่คี รไู ดบ้ ันทกึ ในสมดุ ประจาตัวนกั เรียน อกี ท้งั ใหน้ ักเรยี นยอมรับวา่ การนาสมดุ ประจาตวั นักเรียน
ไปให้ผูป้ กครองเซน็ รบั ทราบ และแสดงความคดิ เห็นเป็นหน้าทีข่ องลูกทดี่ ี

การนาผลการวัดผลและประเมินไปใช้ในการพัฒนาทางการศึกษา

การวดั ผลและประเมินผลทางการศกึ ษาจะเกิดประโยชนอ์ ยา่ งมากต่อการจดั การเรียนรแู้ ละ
การพัฒนาหลกั สูตร เม่อื ได้ดาเนนิ การวัดผลและประเมินผลแล้วนาผลทไี่ ด้ไปใช้ใหค้ มุ้ ค่าในด้านต่าง ๆ
เพื่อเป็นประโยชน์ตอ่ ผเู้ รยี น ครู ผูป้ กครอง และผูบ้ รหิ าร ดงั นี้

1. การใช้ผลการวัดเพอ่ื การพฒั นาการเรยี นรู้
การใช้ผลการวัดเพอื่ การพัฒนาการเรยี นรู้ มุ่งในการพัฒนาความสามารถและศักยภาพ

ของผเู้ รียน ในการพฒั นาปรับปรงุ การเรียนรู้ ข้อมูล และคะแนนที่ได้จากการสอบหรือการวัดจะเป็น
ประโยชน์ก็ตอ่ เมือ่ สามารถบอกระดับความสามารถของผู้เรียนและผลสาเร็จของการเรียนการสอน
ดังรายละเอียด ดังน้ี (เมษา นวลศรี, 2556 : 257 – 259)

1.1 ระดับความสามารถของผเู้ รยี น
การนาคะแนนจากการสอบหรือการวัดมาบ่งบอกระดับความสามารถของผู้เรียน

แต่ละคน สามารถดาเนินการได้หลายรูปแบบ ท้ังการจัดอันดับ การจัดกลุ่ม การเทียบร้อยละของ
คะแนนหรอื การใช้ค่าคะแนนเฉลย่ี โดยมีรายละเอยี ด ดังน้ี

1) การจัดอันดับ เปน็ การนาคะแนนมาจดั อนั ดบั จากมากไปหาน้อย หรือจากน้อย
ไปหามาก แล้วให้อันดับที่แสดงตาแหน่ง โดยให้อันดับท่ีหรือใช้วิธีการทางสถิติจัดอันดับเพ่ือบอก

302

ตาแหน่งคะแนน ซึ่งอาจพิจารณาเป็น 100 ส่วน (Percentile) วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดคือ การให้
อันดบั โดยจัดเรียงคะแนน (Ranking) จากมากไปหาน้อย ซง่ึ ในการบอกลาดบั ท่ีโดยการจัดอันดับตาม
คะแนน เป้าหมายเพ่อื ให้เหน็ ลาดับกอ่ นหลัง ผเู้ รยี นสามารถรูล้ าดบั ทขี่ องตนเองในชั้นเรียน ครูผู้สอน
ไดร้ ู้ลาดับความสามารถของผ้เู รียนในช้นั เรยี น

2) การจดั กลุ่ม เปน็ การนาคะแนนที่จัดกลุ่มโดยเทียบตามเกณฑ์ท่ีกาหนดซึ่งนิยม
จัดกลมุ่ เพ่อื ใหอ้ นั ดับเชงิ คุณภาพ เช่น เก่ง – อ่อน ดี – พอใช้ – ปรับปรุง โดยกาหนดกลุ่มตามเกณฑ์
ของชว่ งคะแนนซงึ่ อาจใชค้ ะแนนจากการสอบหรือการวัดโดยตรง หรือร้อยละของคะแนนเต็ม หรือ
คะแนนมาตรฐาน ลกั ษณะการจัดกลมุ่ น้คี ลา้ ยกับการตดั สนิ ผลหรอื ให้ระดบั ผลการเรยี น เชน่ ได้ – ตก
ผา่ น – ไมผ่ ่าน หรือให้ระดับผลการเรียน 1, 2, 3, 4 เป็นต้น แต่ลักษณะการจัดกลุ่มนี้ไม่ใช่นาผลมา
ตดั สิน แตจ่ ะนาผลมาพิจารณาระดับความสามารถ เพ่อื การแก้ไข ปรบั ปรงุ พัฒนาโดยภาพรวม

3) การใชค้ ะแนนร้อยละ เป็นการนาคะแนนท่ีได้มาเทียบเป็นคะแนนร้อยละเพื่อ
อธิบายและจัดกลุ่มความสามารถ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาปรับปรุงและก ารเทียบ
ความสามารถของผู้เรยี น ซ่ึงจะพจิ ารณาระดับความมากน้อยจากรอ้ ยละของคะแนนหรือการจดั กลมุ่ ที่
กาหนดชว่ งคะแนนในแต่ละระดับความสามารถ ในการเปรียบเทยี บกับบุคคลอ่ืนว่าได้คะแนนร้อยละ
เทา่ ไร หรอื อย่ใู นกล่มุ ความสามารถใด

ในการเทียบร้อยละ เป็นความพยายามที่จะทาหน่วยคะแนนให้เท่ากันเพื่อ
ประโยชน์ต่อการเปรยี บเทยี บ แตถ่ า้ พิจารณาตามหลกั การวดั ผลประเมินผลแลว้ สงิ่ ท่ีควรพิจารณาคือ
กรณที ก่ี ารสอบหรือการวดั มคี วามคลาดเคล่อื นเกิดขน้ึ การทาเป็นร้อยละขยายค่าความคลาดเคล่ือน
ใหม้ ากข้นึ นอกจากนนั้ 1% ของแต่ละวิชามีค่าไม่เท่ากัน เน่ืองจากความยากง่ายของข้อสอบต่างกัน
นาหนกั คะแนนและคะแนนเต็มก็ไมเ่ ทา่ กัน

4) การใช้คะแนนเฉลี่ย เป็นการอธิบายลักษณะของข้อมูลคะแนนของกลุ่ม ก็นา
คะแนนการวัดมาเทียบกับคา่ คะแนนเฉลีย่ จะแสดงให้เห็นแตเ่ พียงคะแนนการวดั ทีไ่ ดน้ ้ันสูงหรอื ต่ากวา่
คะแนนเฉลีย่ แตถ่ ้านาคะแนนเฉลี่ยแตล่ ะคนมาพิจารณาเทียบความต่างจากคะแนนเฉลี่ย และนามา
หาค่าเฉล่ียของค่าความต่างของทั้งหมดแล้ว จะเป็นการอธิบายการกระจายของคะแนนที่เรียกว่า
ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation Score) ของคะแนน แต่ถ้าหาความต่างของคะแนน
กบั คะแนนเฉลี่ยว่าเปน็ กีเ่ ทา่ ของความเบ่ียงเบนมาตรฐานแล้ว จะกลายเป็นคะแนนมาตรฐานซี (Z – Score)
ซง่ึ นิยมใชใ้ นการอธิบายค่าคะแนนในรปู คะแนนมาตรฐาน ดังน้นั การใชค้ ่าคะแนนเฉลย่ี ในการอธิบาย
นอกจากจะใช้อธบิ ายค่าคะแนน ระดบั ความสามารถของผเู้ รยี นเป็นรายบุคคล และอธิบายค่าคะแนน
ของกลุ่มแล้ว ยังสามารถใช้อธิบายการกระจายของคะแนนและความสามารถในรูปของคะแนน
มาตรฐานได้ด้วย

5) การใช้คะแนนมาตรฐาน เป็นการใช้คะแนนมาอธิบายเพ่ือการเปรียบเทียบบุคคล
ตอ่ บุคคล หรอื บคุ คลต่อกลุ่ม โดยทาการเทียบใหเ้ ทา่ กนั แต่เนื่องจากคะแนนมาตรฐานซี (Z – Score)
มีค่าเป็นบวกและลบ ในการบอกทิศทางถ้าค่าเป็นบวกแสดงว่าคะแนนมากกว่าค่าคะแนนเฉล่ีย
ถา้ เป็นลบแสดงว่าค่าคะแนนต่ากว่าค่าเฉลี่ย แต่ถ้าเป็นศูนย์ (0) แสดงว่าคะแนนเท่ากับค่าเฉลี่ย ใน
การใชผ้ ลนิยมนาคา่ การกระจายแบบโค้งปกตมิ าเป็นตัวเทียบเน่ืองจากคะแนนมาตรฐาน (Z – Score)
มีคา่ ทง้ั บวกและลบไม่สะดวกตอ่ การนามาใช้ จึงมกี ารแปลงรปู เปน็ คะแนนมาตรฐาน (T – Score)

303

ซ่งึ การแปลงคะแนนทีนั้นจะแปลงจากคะแนนดิบเป็นตาแหน่งคะแนนโดยอาศัย

ความถแี่ ละความถ่ีสะสม เพ่ือการหาตาแหนง่ เปอร์เซ็นไทล์ แลว้ จึงปรับคา่ เป็นคะแนนที ในการใช้ผล

จากคะแนนมาตรฐาน (T – Score) สามารถอธิบายค่าของผู้เรียนแต่ละคนว่าอยู่ในตาแหน่งใด หรือ

เปรยี บเทียบเด่น – ดอ้ ย ในแต่ละรายวิชาได้ และสามารถใชใ้ นการจดั กลุม่ ความสามารถได้โดยอาศัย

เกณฑ์ ดงั น้ี

คะแนนมาตรฐานที (T – Score) ความหมาย

ตา่ กว่า T 35 ตา่ กว่า / ออ่ นมาก

T 34 – T 44 ต่า / อ่อน

T 45 – T 54 ปานกลาง / พอใช้

T 55 – T 64 สงู / เก่ง

ตั้งแต่ T 65 ขึน้ ไป สงู มาก / เกง่ มา

1.2 ความสาเรจ็ ของการเรยี นการสอน
เปน็ การแสดงผลการเรยี นรใู้ นภาพรวมสรุป ซ่งึ ถือวา่ เปน็ ผลสรปุ ทเ่ี กดิ จากการเรยี น

การสอน ดังน้ัน ในการนาเสนอหรือใช้ผลการเรียนรู้จึงต้องพิจารณาผลในภาพรวมท้ังหมดของ
กระบวนการจัดการเรียนร้ใู นประเด็นตา่ ง ๆ ดงั น้ี

1) จานวนผู้ผ่านเกณฑ์ เป็นการหาจานวนผ้ทู ่ผี า่ นเกณฑ์ – ไม่ผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนด

ซึง่ อาจพิจารณาจากการผ่านเกณฑข์ ั้นตอ่ ของคะแนน การผ่านเกณฑ์จุดประสงค์การเรียนรู้ หรือผล
การเรยี นรู้ทค่ี าดหวัง จานวนทีไ่ ด้จะสามารถบง่ บอกปรมิ าณมาก – นอ้ ย ของการผา่ น – ไม่ผ่านเกณฑ์
ส่วนใหญ่นิยมสรุปเปน็ รอ้ ยละของจานวนผูผ้ ่าน

2) จานวนผู้ได้ระดับผลการเรียน เป็นการหาจานวนผู้เรียนที่ปรากฏอยู่ในแต่ละ
ระดับผลการเรยี น ข้อมูลลักษณะนี้เป็นการนาระดับผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละรายวิชาหรือกลุ่ม
สาระการเรยี นร้มู าพจิ ารณา เพ่ือบง่ บอกปรมิ าณมากนอ้ ยในแต่ละระดบั ผลการเรยี น

1.3 การเปรียบเทียบค่าเฉลีย่ ของผลการวัด
การใช้ผลในลกั ษณะนี้มุ่งเปรยี บเทยี บผลการวัดของกลมุ่ เพือ่ สรุปความเหมอื น หรอื

ความแตกตา่ งของผลการวดั อันจะเป็นประโยชนต์ อ่ การพจิ ารณาผลสาเร็จของการเรียนการสอน

1) การพัฒนาการของกลุม่ ผู้เรียน เปน็ การเปรียบเทียบผลการวัดก่อนดาเนินการ
กับหลังดาเนินการ หรือกอ่ นเรียนกับหลังเรียน เพ่อื พิจารณาความเหมือน ความแตกต่างของคะแนน
เฉลี่ยทเี่ ป็นผลการวัดของกลุ่มโดยภาพรวมวา่ ผลการจัดการเรยี นรู้มีการพัฒนาขึ้นหรือไม่ อันจะเป็น

ตวั ชว้ี ัดผลสาเรจ็ ของการเรียนการสอน
2) เป็นการเปรยี บเทียบผลการวัดของกลุ่มหน่ึงกับอีกกลุ่มหน่ึง เช่น เปรียบเทียบ

ผลการวดั ระหว่างหอ้ งต่อห้อง กลมุ่ ตอ่ กลุม่ เพ่อื พิจารณาความเหมือน ความแตกต่างของค่าคะแนน

เฉลยี่ โดยรวมของกลุ่มว่าผลการเรยี นรู้ทเี่ กิดขนึ้ มคี วามแตกตา่ งกันหรือไม่ ในกรณีนตี้ อ้ งพจิ ารณาความ
เหมือน ความแตกต่างของกลุม่ กอ่ นดาเนินการหรือไม่กต็ อ้ งพิจารณาว่าก่อนดาเนินการในแต่ละกลุ่ม
นั้น สภาพและลักษณะของกลุ่มน้ันต้องมีความคล้ายคลึงกันหรือไม่แตกต่างกัน แนวทางลักษณะท่ี

นยิ มใช้ในการวจิ ยั และการศกึ ษาคน้ คว้าเพื่อตรวจสอบผลสาเร็จของการจัดกระทา หรือประสิทธิภาพ

304

ของวธิ ีสอน การจัดกิจกรรม หรอื การพฒั นาสอ่ื การเรยี นรู้ โดยจะนาผลการวดั ทเี่ ปน็ ขอ้ มลู หรอื คะแนน
มาใชป้ ระโยชน์ในการบอกระดับความสามารถ จดั กลมุ่ ความสามารถ และเปรียบเทียบผลสาเร็จของ
การจัดกระทาในแต่ละเรือ่ ง

2. การใชผ้ ลการประเมินเพอื่ ปรับปรุงและพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนของครู
ผลการประเมินทไ่ี ดจ้ ากผเู้ รียนก็คอื ตวั ชวี้ ัดทแ่ี สดงถงึ ผลการเรียนของผู้เรียน ซ่ึงเป็นผล

อนั เนือ่ งมาจากการจัดการเรียนการสอนของครนู ัน่ เอง เช่น ถ้าผู้เรียนมีผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีก็
อาจกลา่ วไดว้ ่าเปน็ เพราะครใู ชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารสอนทด่ี ีมปี ระสิทธภิ าพ แตถ่ า้ ผลการเรียนอยใู่ นเกณฑ์ที่ดี
ก็อาจกลา่ วได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิคการสอนที่ไม่เหมาะสม ดังน้ัน ผลการทดสอบจึงเป็นข้อมูล
ย้อนกลับ (Feedback) ให้ผู้สอนพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพ
ย่งิ ข้นึ ตอ่ ไป ดงั ภาพที่ 8.3

ปรบั ปรุงและพัฒนา

การจัดการเรยี น การทดสอบ ผลการทดสอบ
การสอนของครู ผลการสอน ผลการเรียนรู้

ภาพท่ี 9.3 การใชผ้ ลการทดสอบปรบั ปรุงและพฒั นาการจดั การเรยี นการสอนของครู
ทีม่ า : พิชติ ฤทธ์ิจรูญ (2557 : 239)

3. การใช้ผลการประเมินในการวจิ ยั เพอื่ พัฒนาการเรียนรู้
ขณะการจัดการเรียนรู้ ครูต้องพิจารณาและตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาว่าผู้เรียนเกิด

ประสบการณ์การเรยี นรู้ตรงกับเปา้ หมายท่ตี อ้ งการหรือไม่ มปี ญั หาหรืออุปสรรคใดเกิดขนึ้ มาบ้าง และ
ทาการแก้ไขให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น การทาเช่นนี้ถือได้ว่าเป็น
กระบวนการวจิ ยั นัน่ เอง ดังนัน้ การจดั การเรียนรู้ การวิจัย และการปรับปรงุ แกไ้ ข จงึ มคี วามสอดคล้อง
สัมพนั ธก์ ัน ดังภาพท่ี 9.4

ภาพที่ 9.4 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งการจดั การเรียนรู้ การวจิ ยั และการปรบั ปรุงแกไ้ ข
ท่มี า : ราตรี นนั ทสุคนธ์ (2553 : 288)

305

การวิจัยเพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ เป็นการทางานเชิงระบบที่ท้ายทายครู ให้แสดงความสามารถ
ในการกระตุ้นนักเรียน ดว้ ยการจัดการเรียนรทู้ เี่ ริม่ ต้นจากการอยากรู้ และหากกลวิธใี นการหาคาตอบ

แล้วลงสรปุ อยา่ งมีเหตุผล นา่ เช่ือถอื การได้ข้อค้นพบท่ชี ัดเจนจะบ่มนสิ ัยท่ดี ี มเี หตผุ ล และไม่เชอื่ หรือ
หลงงมงายอะไรง่าย ๆ แต่จะสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบข้ึนในสมอง โดยใช้วิธีการสังเกต
จดบันทึก และวิเคราะห์จนได้ข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าเป็นปัญหาหรือความต้องการที่แท้จริง เพื่อนามา

ดาเนินการพฒั นาด้วยกระบวนการการวจิ ยั ดงั นั้น กระบวนการการวิจัยและการจัดการเรียนรู้ จึงไม่
แยกไปจากบทบาทหน้าท่คี รูปฏบิ ัตอิ ยเู่ ป็นประจา ดังภาพที่ 9.5

การจัด ครู การจัดกิจกรรม นักเรยี น ตรวจสอบ แบบทดสอบ
การเรยี นรู้ พฤตกิ รรม สมุดบนั ทึก
การเรยี นรู้ แบบสงั เกต

ฯลฯ

การวิจยั ผู้วจิ ัย การจดั กระทา แหล่งขอ้ มูล ตรวจสอบการ เครือ่ งมือ
เปลยี่ นแปลง การวิจัย
(Treatment)

ภาพท่ี 9.5 ความสัมพนั ธ์การจดั การเรยี นรกู้ บั การวจิ ัย
ท่ีมา : ราตรี นันทสุคนธ์ (2553 : 289)

การให้ความสาคญั กับสภาพการณ์หรอื ปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นต้ังแต่เริม่ วางแผน ออกแบบ และ
ดาเนินการจดั การเรียนรู้ จะทาใหค้ รูเกดิ การคดิ ค้นพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เรยี กว่าเปน็ การจัดการเรยี นรู้
โดยใชก้ ระบวนการวิจัยและหากมผี ลการนาผลทเ่ี กิดขน้ึ ในระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
แบบต่าง ๆ มารวมไวเ้ พ่อื เลอื กใช้ได้ตามความเหมาะสม จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุข
และสนกุ กบั การเรียน อันจะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา

การจัดการเรียนรโู้ ดยใช้กระบวนการวจิ ยั เป็นเคร่อื งมอื ยืนยันว่า ครปู รารถนาใหน้ กั เรียน
ร้จู ักคิดในระดับสูง (Think at a Highly Level) จากการใช้ความรู้ ความคิด และสามารถสร้างองค์
ความรู้ใหม่ขึ้นมาอันแสดงถงึ ความสามารถของครใู นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งสอดคล้อง
กบั เกณฑ์มาตรฐานวชิ าชีพครู ทตี่ ้องการใหค้ รเู ป็นครูมืออาชีพ

4. การใช้ผลการประเมินในการประเมินมาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพ
การศึกษา

ตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ให้ความหมาย
มาตรฐานการศกึ ษาไวว้ ่า หมายถงึ ข้อกาหนดเก่ียวกับลักษณะคุณภาพท่ีพึงประสงค์และมาตรฐานท่ี
ตอ้ งการให้เกิดขนึ้ ในสถานศึกษาทกุ แหง่ และเพอื่ ใชเ้ ป็นหลกั ในการเทียบเคียงสาหรับการส่งเสรมิ และ
กากบั ดแู ล การตรวจสอบ การประเมนิ ผล และการประกันคณุ ภาพของการศึกษา ดงั นั้น ถ้าพิจารณา

306

ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแลว้ การใชผ้ ลการประเมนมาตรฐานต้องมุ่งเน้นในเร่ืองการตรวจสอบ
คณุ ภาพละการสง่ เสริมสนับสนุนให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยต้องตรวจสอบคุณภาพตามมาตรฐาน
การศึกษาทกี่ าหนด ทงั้ มาตรฐานการจดั การศกึ ษาทีก่ าหนดตามจดุ หมายหลกั สตู รและมาตรฐานการเรยี นรู้
ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้

นอกจากนใ้ี นหมวดท่ี 6 วา่ ด้วยมาตรฐานและการประกนั คุณภาพการศกึ ษาได้ระบุสาระ
เกี่ยวกบั การประกันคุณภาพ สรุปได้ว่า การใช้ผลเพื่อการประกันคุณภาพน้ันเป็นการใช้ผลที่ได้จาก
การประเมินเพื่อนาไปสูก่ ารพฒั นาคณุ ภาพและมาตรฐานการศึกษาและการรบั รองคณุ ภาพ โดยระบบ
ประกันคณุ ภาพภายใจเปน็ ส่วนหนง่ึ ของกสถานศกึ ษาและต้นสังกดั ดาเนินการ เพื่อนาไปสู่การพัฒนา
คุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ส่วนการประกันคุณภาพภายนอก เป็นส่วนของสานักงานรับรอง
มาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เพื่อการรับรองคุณภาพและเสนอแนะการ
ปรบั ปรุงแก้ไขให้เปน็ ไปตามมาตรฐานและเกณฑ์กาหนดตอ่ ต้นสงั กัดและสถานศกึ ษาอยา่ งเปน็ ขั้นตอน
ตอ่ ไป

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวการจัดการศึกษาที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติ
การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 คือ การเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสาคญั ให้ผเู้ รียนทุกคนมีความสามารถ
ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ กระบวนการเรียนรู้ กาหนดเป้าหมาย เนื้อหาสาระ และจัด
บรรยากาศให้เอ้ือต่อการเรียนรู้ไว้เป็นเบื้องต้น เพื่อให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมกาหนดจุดมุ่งหมาย
กิจกรรมและวิธีการเรียนรู้ ได้คิด ปฏิบัติและเรียนรู้ด้วยตนเองตามศักยภาพ ความต้องการ ความ
สนใจ และความถนดั ของตนเอง ผู้เรียนสามารถสรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเองในเรอื่ งทีส่ อดคล้องกับการ
ดารงชวี ิต จากแหลง่ เรียนร้ทู หี่ ลากหลาย สามารถเรียนรู้รว่ มกบั ผอู้ นื่ อย่างมคี วามสุข รวมทงั้ มีสว่ นรว่ ม
ในการประเมินผลและพฒั นาการเรียนรูอ้ ย่างต่อเนอื่ ง โดยมีครูเป็นผู้ช่วยช้ีแนะแนวทางการแสวงหา
ความรู้ทถ่ี กู ต้องให้กับผ้เู รียน มีการแลกเปลีย่ นความรแู้ ละประสบการณ์ใหม่ ๆ กระบวนการเรียนรู้ที่
จัดการเรยี นรู้ท่มี งุ่ ประโยชนส์ งู สดุ ในการพฒั นาการเรียนรู้ การจัดการศึกษาจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ตามศกั ยภาพ ในการจัดการเรยี นร้คู รตู อ้ งคานงึ ถงึ มาตรฐานการ
เรยี นรู้ในวิชาทส่ี อน เพ่อื นาหลกั สตู รการเรียนการสอน การวดั ผลและประเมินผลมาจัดการเรียนรู้ให้
สอดคล้องสมั พนั ธ์กันอยา่ งเป็นระบบ (ราตรี นันทสุคนธ,์ 2553 : 289) ดังภาพท่ี 8.6

หลกั สูตร

การเรยี น การจดั การ การวัดผลและ
การสอน เรียนรู้ การประเมินผล

ภาพท่ี 9.6 ความสมั พนั ธ์ระหว่างหลกั สตู ร การจัดการเรยี นการสอน และการวัดผลและการประเมินผล
ทีม่ า : ราตรี นันทสุคนธ์ (2553 : 289)

307

สรุป

การบรหิ ารการสอบเปน็ กลไกท่ชี ่วยให้การดาเนินการสอบมีความเปน็ ระบบ เรียบร้อยและ
มคี วามยุตธิ รรม เพือ่ ใหไ้ ด้ผลการสอบมคี วามถูกต้อง นา่ เชื่อถือ เท่ยี งตรง ซงึ่ ตอ้ งอาศัยหลักการบรหิ าร
การสอบทส่ี าคญั คอื การกาหนดจดุ มุ่งหมายของการสอบให้ชดั เจน มแี ผนการดาเนนิ งาน มแี นวปฏบิ ตั ิ
ในการดาเนนิ การสอบทีเ่ หมาะสม มีการเตรยี มความพร้อมในด้านต่าง ๆ ดาเนินการให้ผู้สอบได้รับการสอบ
จึงตอ้ งมีการวางแผนการสอบ การดาเนนิ การสอบ และนาผลการสอบไปใช้ให้คุ้มค่าครอบคลุม และ
ใช้เปน็ ข้อมลู ขา่ วสารสนเทศสาหรบั ผ้บู ริหารสถานศกึ ษาในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือพัฒนาคุณภาพ
การศึกษา

ปัญหาที่เกี่ยวกับการประเมินผลมีหลายสาเหตุ ได้แก่ ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการจัด
การศกึ ษา การเปล่ยี นแปลงหลักสตู รและระเบยี บการประเมนิ ผล เครอ่ื งมอื วดั ผล บคุ ลากรทางการศกึ ษา
ได้แก่ ผู้บริหาร ครู และนักเรียน ปัญหาจากการบริหารงานวัดผล ประเมินผล และปัญหาจากการ
บนั ทึกและรายงานผลการเรยี นการสอน

การวัดผลและประเมนิ ผลทางการศกึ ษาจะเกดิ ประโยชนอ์ ย่างมากถา้ ครูผ้สู อนและผูบ้ ริหาร
นาผลการประเมนิ ไปใชใ้ นการปรับปรงุ และพัฒนาการเรยี นร้ขู องผูเ้ รียน การจัดการเรียนการสอนของ
ครผู สู้ อน การวิจยั เพ่ือพฒั นาการเรยี นรู้ ตลอดจนการประเมนิ มาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา

คาถามท้ายบท

1. การบรหิ ารการสอบมคี วามสาคญั ตอ่ การสอบอยา่ งไร
2. การบรหิ ารการสอบใหม้ ปี ระสิทธภิ าพควรยึดหลักการอยา่ งไร
3. ในการดาเนินการสอบให้มปี ระสทิ ธิภาพทา่ นคดิ ว่าควรยดึ หลักการทส่ี าคญั อยา่ งไร
4. ใหย้ กตัวอยา่ งพฤติกรรมดาเนนิ การสอบที่ไม่เหมาะสมของผูด้ าเนินการสอบมา 3 รายการ
5. การนาผลการสอบไปใช้จะกอ่ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ใครบา้ ง และเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งไร
6. ถ้าทา่ นได้รบั มอบหมายให้เปน็ ผวู้ างแผนการสอบในสถานศึกษา ทา่ นจะดาเนินการอย่างไร
7. ให้ทา่ นไปสมั ภาษณ์อาจารย์ผสู้ อนในโรงเรียนเก่ียวกบั การทดสอบ การวดั ผล และการประเมนิ ผล

ในโรงเรยี น และปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึน จากน้ันให้นาขอ้ มลู มาอภปิ รายเพื่อเสนอวิธแี กป้ ญั หาใหเ้ หมาะสม
ตามหลกั วชิ า

เอกสารอ้างอิง

ชวาล แพรัตกลุ . (2520). เทคนิคการเขยี นข้อสอบ. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์วฒั นาพานชิ .
ชวาล แพรตั กุล. (2552). เทคนิคการวัดผล. พิมพ์ครัง้ ท่ี 7. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์วิฑรู ย์การปก.
พิชติ ฤทธ์จิ รูญ. (2557). หลักการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา. กรงุ เทพฯ : เฮาส์ ออฟ เคอรม์ ิสท์.
เมษา นวลศรี. (2556). การประเมนิ ผลการเรยี นรู้. ปทมุ ธานี : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏวไลยอลงกรณ์

ในพระบรมราชปู ถมั ภ.์

308

ราตรี นันทสุคนธ์. (2553). หลกั การวดั และประเมินผลการศกึ ษา (ฉบับปรับปรุง). กรงุ เทพฯ :
บริษทั จดุ ทองจากัด.

สน่ัน สิทธิวัง. (2522). “เปรียบเทียบคุณภาพของขอ้ สอบปรนัยแบบเลอื กตอบท่ีครคู ดิ สร้างตัวเลือก
ข้ึนเองกบั ข้อสอบทใ่ี ชต้ ัวเลอื กจากคาตอบของนกั เรยี นในวชิ าเลขคณิต ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่
4 ประถมศึกษาปีท่ี 7 และช้นั มัยธมศึกษาปีท่ี 3”. ในงานวจิ ัยทางการวดั ผลทางการศึกษา
: ภคั รา นิคมานนท์. กรงุ เทพฯ : วิทยาลัยครูจันทรเกษม.

Bott, Paul A. (1996). Testing and Assessment in Occupational and Technical
Education. Boston : Allyn and Bacon.

Grounlund, Norman E. (1981). Measurement and Evaluation in Teaching. (4th ed).
New York : McMillan.

Hopkins, C.D. and Antes. R.L. (1979). Classroom Testing : Construction. Itasca, 11.
F.E. Peacock.

Popham, W.J. (1981). Modern Education Measurement. New Jerse : Prentice – Hall.

บรรณานกุ รม

กรมวชิ าการ. (2545). การประเมินผลการเรยี นตามหลักสตู รการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช
2544. กรงุ เทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.

กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551.
กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมชนสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.

กองวิชาการ สานักงานการประถมศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2539). คูม่ อื การสรา้ งเครือ่ งมือและ
คู่มอื วดั ภาคปฏิบตั ิ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา.

คดั นาง มณีศรี. (2548). แฟ้มสะสมงาน : การวัดผลยคุ ใหม่. กรงุ เทพฯ : เอก๊ ซเปอรเ์ นท็ บคุ ส.์
ชวาล แพรัตกลุ . (2518). เทคนิคการวดั ผล. พมิ พ์ครงั้ ที่ 6. กรงุ เทพฯ : วฒั นาพานชิ .
ชวาล แพรตั กุล. (2520). เทคนิคการเขยี นขอ้ สอบ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์วฒั นาพานชิ .
ชวาล แพรัตกลุ . (2552). เทคนคิ การวัดผล. พิมพค์ ร้ังที่ 7. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พว์ ิฑรู ยก์ ารปก.
ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง. (2546). “การประเมนิ จติ พสิ ัย”. ใน สุวมิ ล วอ่ งวาณิช. การประเมนิ ผล

การเรยี นรแู้ นวใหม่. (196 – 199). กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง. (2546). การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ภาควิชาวิจัยและ

จติ วทิ ยาการศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ดวงกมล ไตรวจิ ิตรกุล. (มปป.) การวัดและประเมินผลการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ภาควิชาวจิ ยั และ

จิตวทิ ยาการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ทวิ ตั ถ์ มณีโชติ. (2557). การประเมนิ จากการปฏบิ ัติ. [ออนไลน]์ . แหลง่ ทม่ี า :

http;//ird.rmuti.ac.th/newweb/fmanager/files/3Tiwat.doc. [15 ตุลาคม 2557].
ธนวัฒน์ ธิตนิ านันท.์ (2554). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครง้ั ที่ 2. นครราชสมี า :

คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า.
ธนวัฒน์ ธติ นิ านนั ท.์ (2556). การวดั ผลและประเมินผลการศึกษา. พิมพค์ รง้ั ที่ 3. นครราชสีมา :

คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสมี า.
นภา หลิมรตั น.์ (2551). “Grading”. แหล่งข้อมลู ดา้ นแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

สงขลา : คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร.์
บรรดล สขุ ปิต.ิ (2542). ทฤษฎกี ารวดั และการทดสอบ. นครปฐม : สถาบันราชภัฏนครปฐม.
บญุ ชม ศรสี ะอาด, นิภา ศรโี รจน์ และนุชวนา ทองทว.ี (2528). การวดั ผลและการประเมนิ ผลทาง

การศึกษา. มหาสารคาม : โรงพมิ พ์ปรดี าการพมิ พ์.
บุญธรรม กิจปรดี าบรสิ ทุ ธ์ิ. (2535). คู่มอื การวดั และประเมินผลการเรียนการสอน. พิมพค์ ร้ังท่ี 2.

กรุงเทพฯ : สามเจริญพานิช.
บุญเรียง ขจรศลิ ป.์ (2543). การวเิ คราะห์และแปลความหมายข้อมลู ในการวจิ ยั โดยใชโ้ ปรแกรม

สาเรจ็ รปู SPSS for Windows. กรงุ เทพฯ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์

310

บุญศรี พรหมมาพันธ์ุ และนวลเสน่ห์ วงศเ์ ชิดธรรม. (2545). “แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน”
ในประมวลสาระชุดวชิ าการพฒั นาเคร่อื งมอื สาหรับการประเมนิ การศึกษา หน่วยที่ 5.
นนทบรุ ี : บณั ฑิตวิทยาลัย สาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช.

บรู ชยั ศิรมิ หาสาคร. (2545). แนวคิดทฤษฎีของแฟ้มผลงานครู. กรงุ เทพฯ : บุ๊คพอยท.์
ปรียา นลิ แกว้ . (2547). การวัดและประเมินผลการศึกษา. เชยี งใหม่ : คณะครศุ าสตร์ สถาบนั

ราชภัฏเชียงใหม่.
พชิ ติ ฤทธจิ์ รูญ. (2544). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรุงเพทฯ : เฮาส์

ออฟ เคอรม์ สิ ท์.
พชิ ิต ฤทธิ์จรูญ. (2552). หลักการวดั และประเมินผลการศกึ ษา. พมิ พค์ รั้งท่ี 5. กรุงเทพฯ : เฮาส์ออฟ เคอรม์ สิ ท.์
พิชติ ฤทธจ์ิ รูญ. (2553). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งท่ี 6. กรุงเทพฯ : เฮ้าส์

ออฟ เคอรม์ สิ ท.์
พิชติ ฤทธิ์จรญู . (2554). หลักการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7. กรงุ เทพฯ : เฮาส์

ออฟ เคอรม์ ิสท.์
พิชิต ฤทธ์จิ รญู . (2557). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศึกษา. กรงุ เทพฯ : เฮาส์ ออฟ เคอรม์ สิ ท.์
พิตร ทองชั้น. (2524). หลักการวดั ผล. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พโ์ อเดยี นสโตร.์
พิมพ์พนั ธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข.(2549). ทกั ษะ 5C เพอื่ พฒั นาหน่วยการเรยี นร้แู ละ

การจัดการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
เพลนิ พศิ ธรรมรัตน.์ (2542). การประเมินผลการเรียน. สกลนคร : คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั
สกลนคร.
ภัทรา นคิ มานนท.์ (2537). การประเมินผลและการสรา้ งแบบทดสอบ. พมิ พ์ครงั้ ที่ 8. กรุงเทพฯ :
ทพิ ยว์ ิสทุ ธก์ิ ารพมิ พ.์
ภัครา นิคมานนท์. (2540). การประเมินผลการเรียน. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : อกั ษรราการพมิ พ์.
เมษา นวลศร.ี (2556). การประเมนิ ผลการเรียนรู้. ปทมุ ธานี : มหาวิทยาลยั ราชภฏั วไลยอลงกรณ์
ในพระบรมราชูปถัมภ์.
เยาวดี รางชัยกุล วบิ ูลย์ศร.ี (2553). การวดั ผลและการสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์. กรงุ เทพฯ :
สานกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
เยาวดี วิบูลย์ศรี. (2551). การวดั ผลและการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ. กรุงเทพฯ :
สานกั พิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
ราตรี นันทสคุ นธ.์ (2551). หลักการวดั และประเมนิ ผลการศึกษา (ฉบับปรับปรงุ ). กรุงเทพฯ :
บรษิ ัทจุดทองจากดั .
ราตรี นนั ทสุคนธ์. (2553). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา (ฉบับปรับปรงุ ). กรงุ เทพฯ :
บริษัทจุดทองจากัด.
ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ. (2539). เทคนิคการวัดผลการเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ : ชมรมรักเดก็ .
วนิดา เดชตานนท.์ (2540). การประเมินผลการเรยี น. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 3. นครราชสมี า :
ภาควชิ าวจิ ัยการศึกษา คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏนครราชสมี า.

311

วชั ราภรณ์ จติ รมาศ. (2550). การพฒั นาแบบวดั ความฉลาดทางอารมณโ์ ดยประยุกต์แนวคดิ ทาง
พุทธศาสนา. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาดุษฎีบณั ฑติ สาขาการวดั และประเมนิ ผล. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

วาโร เพ็งสวสั ด์ิ. (2551). วธิ ีวิทยาการวจิ ยั . กรุงเทพฯ : สุวีริยสาส์น.
วิชาการ, กรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2544). เอกสารหมายเลข 6 : การออกแบบการพัฒนา

เครื่องมอื ประเมินสภาพจริง การประชมุ อบรมเชิงปฏิบตั กิ ารพฒั นาเครือ่ งมือประเมนิ
การศกึ ษา ตามหลักสูตรการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544. 26 – 30 พฤศจิกายน
2544 ณ โรงแรมอมรนิ ทรล์ ากนู จงั หวดั พิษณโุ ลก.
วเิ ชยี ร เกตสุ ิงห.์ (2515). หลักการสร้างและวเิ คราะหข์ ้อสอบ. กรุงเทพฯ : มงคลการพมิ พ์.
วทิ วฒั น์ ขตั ตยิ ะมาน และฉัตรศริ ิ ปยิ ะพมิ ลสทิ ธ.ิ์ (2549). “การปรบั จดุ มงุ่ หมายทางการศกึ ษา
ของบลมู ” วารสารปารชิ าติ. ปที ่ี 18 ฉบบั ท่ี 2 (ต.ค. 2548 – ม.ี ค. 2549). หน้า 34 – 42.
วริ ชั วรรณรัตน.์ (2539). การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. กรุงเทพฯ : สานกั ทดสอบทางการศกึ ษา
และจติ วทิ ยา มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร.
วิราพร พงศ์อาจารย.์ (2542). การประเมินผลการเรียน. พษิ ณุโลก : สถาบันราชภฏั พิบลู สงคาม.
ศราวุธ จอ้ นอยู่เกษม. (2556). ครพู ยาบาลกับการเรียนการสอน. [ออนไลน]์ . แหล่งทมี่ า : http://
www.gotoknow.org/posts/13796 [23 พฤศจกิ ายน 2557]
ศิรชิ ยั กาญจนวาส.ี (2548). ทฤษฎีการทดสอบแบบด้ังเดมิ (Classical Test Theory). พิมพ์คร้งั ที่ 5.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
ศิรชิ ยั กาญจนวาส.ี (2550). สถิตปิ ระยกุ ตส์ าหรบั การวิจยั . พิมพค์ ร้งั ที่ 5. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์
แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ส. วาสนา ประวาลพฤกษ์. (2544). คมู่ ือการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ าร เพือ่ พัฒนาบุคลากรทาง
การศึกษาเรอื่ งหลักการและเทคนิคการประเมนิ ทางการศึกษา. กรงุ เทพฯ : บริษทั เดอะ
มาสเตอร์กรุป๊ แมเนจเม้นท์ จากดั .
สนน่ั สทิ ธิวัง. (2522). “เปรียบเทียบคณุ ภาพของขอ้ สอบปรนยั แบบเลอื กตอบท่ีครูคิดสรา้ งตัวเลือก
ข้นึ เองกบั ข้อสอบทใี่ ช้ตัวเลอื กจากคาตอบของนกั เรยี นในวชิ าเลขคณิต ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่
4 ประถมศกึ ษาปที ี่ 7 และชน้ั มัยธมศกึ ษาปที ี่ 3”. ในงานวจิ ัยทางการวดั ผลทางการศกึ ษา
: ภคั รา นิคมานนท์. กรุงเทพฯ : วทิ ยาลยั ครูจนั ทรเกษม.
สมชาย วรกิจเกษมกลุ . (2553). การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พมิ พค์ รัง้ ที่ 2. อดุ รธานี :
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอุดรธานี.
สมนกึ นนธจิ ันทร.์ (2544). การเรียนการสอนการวัดและประเมนิ ผลจกสภาพจรงิ ของผเู้ รยี น
โดยใชพ้ อร์ตโฟริโอ. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
สมนกึ ภัททยิ ธนี. (2551). การวดั ผลการศกึ ษา. พิมพ์คร้ังที่ 6. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพมิ พ์.
สมนกึ ภทั ทิยธน.ี (2558). การวัดผลการศกึ ษา. พิมพค์ รง้ั ท่ี 10. กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพิมพ.์
สมศกั ดิ์ ภ่วู ิภาดาวรรธน์. (2544). การยดึ ผ้เู รียนเป็นศูนยก์ ลางและการประเมินตามสภาพจรงิ .
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพแ์ สงศิลป์.

312

สมศักด์ิ ภ่วู ิภาดาวรรธน์. (2545). การยดึ ผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลางและการประเมนิ ตามสภาพจริง.
พิมพค์ ร้ังที่ 3. เชียงใหม่ : THE KNOWLEDGE CENTER.

สมศักดิ์ สินธุระเวชญ.์ (2545). การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
สัมพันธ์ พันธ์ุพฤกษ์ และคณะ. (2558). ทักษะการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ : ทฤษฎีสกู่ ารปฏบิ ัติ.

กรุงเทพฯ : สถาบนั ทดสอบทางการศกึ ษาแหง่ ชาติ (องคก์ ารมหาชน).
สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2542). แนวทางการประเมินตามสภาพท่ีแทจ้ รงิ .

กรุงเทพฯ : โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว.
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน, กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2554). แนวปฏบิ ตั กิ ารวัดและ

ประเมนิ ผลการเรียนรู้ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทยจากดั .
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. (2535). การวัดและประเมินผลทางการศึกษา เลม่ ที่ 3 – 5.
กรุงเทพฯ : คุรสุ ภาลาดพร้าว.
สชุ าดา บวรกติ วิ งศ.์ (2548). สถิติประยุกตท์ างพฤติกรรมศาสตร์. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์
แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
สภุ างค์ จนั ทวานิช. (2550). การวิจัยเชิงคุณภาพ. พมิ พ์คร้งั ที่ 5. กรุงเทพฯ : สานักพมิ พ์
แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
สวุ ทิ ย์ มูลคา. (2543). แฟ้มสะสมงาน. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ.์
สวุ มิ ล วอ่ งวานชิ . (2546). การประเมนิ ปฏบิ ตั งิ าน : การประเมินผลการเรียนรู้. ในสวุ ิมล วอ่ งวานชิ .
(บรรณาธิการ). การประเมินผลการเรียนรแู้ นวใหม่. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั .
อนุวตั ิ คูณแก้ว. (2558). การวัดผลและการประเมินผลการศกึ ษาแนวใหม่. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์
แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
อวยพร เรอื งตระกลู . (มปป.). สถิตปิ ระยุกตท์ างพฤตกิ รรมศาสตร์ 1. กรงุ เทพฯ : ภาควิชาวิจัยและ
จิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
อทุ ุมพร จามรมาน. (2530). การวัดและประเมินผลการเรยี นการสอนระดบั อุดมศึกษา. กรุงเทพฯ :
ฟันนพ่ี ับลซิ ซง่ิ .
เอกรินทร์ สมี่ หาศาล และสปุ รารถนา ยุกตะนนั ท์. (2546). กระบวนการวดั ผลและประเมินผลตาม
หลักสตู รการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรงุ เทพฯ : บคุ๊ พอยท.์
เอมอร จงั ศริ ิพรปกรณ์. (2550). การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์
แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
Airasian W. Peter. (1997). Classroom Assessment. 3nd ed. New York : McGraw - Hill Inc.
Anderson and Krathwohl. (2001). A Taxonomy for Learning Teaching, and
Assessing : A Revision of Bloom’s Taxonomy of Educational Objectives.
New York : Longman.
Bloom, Benjamin S., and Others. (1968). Taxonomy of Education Objective
Handbook I : Cognitive Domain. New York : David Mc Kay Company.

313

Bloom, Benjamin S., J. Thomas Hasting and George F. Madaus. (1971). Handbook on
Formative and Summative Evaluation of Student Learning. New York :
McGraw – Hill Inc.

Bott, Paul A. (1996). Testing and Assessment in Occupational and Technical
Education. Boston : Allyn and Bacon.

Chase, C.I. (1987). Measurement for Education Evaluation. 2nd ed. Philippines :
Addison – Wesley Publishing Company. Inc.

Dave’.P.H. (1969). Taxonomy of Education Objectives and Achievement Testing in
Development in Education Testing. London University of London Press.

Eble, Robert L. and Frisbie, David A. (1986). Essentials of Education Measurement.
(4th ed) : New Jersy. Prectice. Hall, Inc.

Fraenkel Jack R. and Wallen Norman E. (1993). How to Design and Evaluate
Research in Education. (2nd ed) : Singapore McGraw-Hill, Inc.

Gay L.R. (1990). Educational Research Competencies for Analysis and Application.
(3rd ed) Macmillan Republic of Singapore.

Gronlund, N.E. (2004). Assessmemt of Student Achievment. (2ed). Editions USA :
Person Education, Inc.

Gronlund, Normam E., and Robert L. Linn. (1990). Measurment and Evaluation in
Teaching. (6th ed). New York : Macmillam.

Gronlund, Norman E. (1976). Measurement and Evaluation in Teaching. 3rd ed.
New York : Mcmilang.

Gronlund, Norman E. (1993). How to Mark Achievement Test and Assessment.
(5 th ed). Boston : Allyn and Bacon.

Grounlund, Norman E. (1981). Measurement and Evaluation in Teaching. (4th ed).
New York : McMillan.

Hopkins, C.D. and Antes. R.L. (1979). Classroom Testing : Construction. Itasca, 11.
F.E. Peacock.

Hopkins, D.C. and Antes, C.R. (1990). Classroom measurement and Evaluation.
Illinois : Publishers, Inc.

Krathwohl, David R. (2002). A Revision of Bloom’s Taxonomy : An Overview.
[Online] Available HTTP :http://www.psychology.mcmaster.ca/bennett/
psy720/readings/m1/m1r1.pdf.

Krathwohl, David R. and other. (1984). Taxonomy of Educational Objectives.
Handbook H. Affective Domain. New York : David Mckay.

Kubiszyn, Tom and Borich, Gary. (2000). Educational Testing and Measurement :
Classroom Application and Practice. (6th ed) : Newyork John Wiley & Sons. Inc.

314

McIntrie, Sandra A. and Miller, Leslie A. (2000). Foundation of Psychological Testing.
United State of America. The McGraw-Hill Companies.

McMillan, James H., (2001). Classroom Assessment Principle and Practice for
Effective Instruction. (2rd ed) : Needham Heights : Allyn & Bacon.

Nitko, A.J. (2004). Educational Assessment of Students. New Jersey : Prentice Hall.
Popham, W. James. (1999). Classroom Assessment : What Teachers Need to Know.

(2nd ed) : Allyn and Bacon.
Popham, W.J. (1981). Modern Education Measurement. New Jerse : Prentice – Hall.
Puckett, Margaret B. and Black, Janet K. (2000). Authentic Assessment of the Young

Child : Celebrating Development and Learning. New Jersey : Prentic –
Hall, Inc.
Sax, Gilbert. (1989). Principles of Educational and Psychological Measurement and
Evaluation. 3rd ed. United Stats : Wadsworth Publishing Company Inc.
Simpson, E,J. (1966). The Classification of Educational Objectives : Psychomotor
Domain. Urbana, I1 : University of Illinois.
Ward, A.W. & Mildreed Murry – Ward. (1999). Assessment in the Classroom. Wadsworth
Publishing Company.
Wiersam, W and Jure, S. G. (1990). Educational Measurement and Testing. 2nd ed.
Massachusetts : A Division of Simom & Schuster. Inc.
Wiggins, Grant. (1998). Educative Assessment : Designing Assessment to Inform
and Improve Student Performance. San Francisco : Jossey – Bass Publishers.
Wiggins, Grant. (2000). Education Assessment Designing Assessments to Inform and
Improve Student Perfomance. United States of America : Jossey – Bass Inc.
Wilson, Leslie O. (2013). Anderson and Krathwohl – Bloom’s Taxonomy Revised.
[Online] HTTP :http://thesecondprinciple.com/teaching-essentials/beyond-
bloom-cognitive-taxonomy-revised.

ภาคผนวก

316

317

การวดั และประเมินผลการศึกษาตามหลักสตู รการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน
พทุ ธศักราช 2551 และในศตวรรษที่ 21

การวดั และประเมนิ ผลเรียนรตู้ ามหลกั สตู รการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 เป็นการ
ตรวจสอบผลการเรยี นรู้และพัฒนาการด้านตา่ ง ๆ ของผเู้ รียนตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตวั ชวี้ ัดของ
หลกั สูตร นาผลไปปรับปรุงพฒั นาการจัดการเรยี นรูแ้ ละใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการตัดสินผลการเรียนรู้

ส่วนการวัดและประเมินผลแห่งศตวรรษที่ 21 เน้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง
(Authentic Assessment) การประเมินจะไม่เป็นเพียงแต่การทดสอบเท่าน้ัน แต่ยังมีการสังเกต
ผ้เู รียน ดแู ลการทางานของผู้เรียน และประเมินไปถึงมุมของผู้เรียนด้วย การประเมินเพ่ือสนับสนุน
การเรียนการสอนในช้ันเรียน ใช้การประเมินเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้เชื่อมการเรียนการสอนกับ
หลกั สตู ร และเพอื่ ใชใ้ นการตดั สินผลว่าการเกิดการเรียนรบู้ รรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ การวัดและ
ประเมนิ ผลในศตวรรษที่ 21จะเน้นการประเมนิ เปน็ กลุ่มดว้ ยวธิ กี ารท่หี ลากหลายและตอ่ เนอ่ื ง

หลักการดาเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พทุ ธศักราช 2551

การวัดและประเมินผลการเรียนร้ตู ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 เป็นกระบวนการเกบ็ รวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรยี นรู้ และพฒั นาการด้านต่าง ๆ ของ
ผู้เรียนตามมาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชีว้ ัดของหลกั สูตร นาผลไปปรับปรุงการพัฒนาการจัดการเรียนรู้
และใชเ้ ปน็ ข้อมูลสาหรบั การตดั สินผลการเรียน สถานศึกษาต้องมกี ระบวนการท่เี ปน็ ระบบ เพ่ือใหก้ าร
ดาเนนิ การวดั และประเมินผลการเรยี นรเู้ ปน็ ไปอยา่ งมีคณุ ภาพและประสทิ ธิภาพ และให้ผลการประเมิน
ที่ตรงตามความร้คู วามสามารถทแี่ ท้จรงิ ของผู้เรยี น ถูกต้องตามหลักการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
รวมท้งั สามารถรองรับการประกนั คณุ ภาพภายในและภายนอกตามระบบประกันคณุ ภาพการศกึ ษาได้
สถานศึกษาจงึ ควรกาหนดหลกั การวัดและประเมินผลการเรยี นเพอื่ เปน็ แนวทางในการตดั สนิ ใจเกีย่ วกับ
การวัดและประเมินผลการเรียนรตู้ ามหลกั สตู รสถานศึกษา ดงั นี้ (สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา.
2552 : 9)

1. สถานศกึ ษาเป็นผ้รู บั ผดิ ชอบการวดั และประเมินผลการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น โดยเปิดโอกาส
ให้ผ้ทู ่เี กี่ยวขอ้ งมสี ่วนร่วม

2. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มจี ุดม่งุ หมายเพื่อพฒั นาผู้เรียนและตัดสินผลการเรียน
3. การวัดและประเมินผลการเรียนรูต้ อ้ งสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้วี ัด
ตามกล่มุ สาระการเรยี นรู้ทีก่ าหนดในหลักสตู รสถานศกึ ษา และจัดใหม้ ีการประเมนิ การอ่าน คิดวิเคราะห์
และเขียนคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ตลอดจนกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน
4. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้เป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการจดั การเรียนการสอนตอ้ ง
ดาเนินการด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลาย เพ่อื ให้สามารถวดั และประเมินผลผเู้ รยี นได้อย่างรอบด้าน
ทัง้ ด้านความรู้ ความคดิ กระบวนการ พฤตกิ รรมและเจตคติ เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด ธรรมชาติวิชา
และระดบั ช้ันของผูเ้ รียน โดยต้งั อยู่บนพื้นฐานของความเทยี่ งตรง ยุติธรรมและเช่ือถอื ได้

318

5. การประเมินผู้เรียนพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกต
พฤติกรรมการเรียนรู้ การรว่ มกิจกรรม และการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตาม

ความเหมาะสมของแต่ระดบั และรูปแบบการศกึ ษา
6. เปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นและผู้มสี ว่ นเก่ยี วข้องตรวจสอบผลการประเมนิ ผลการเรียนรู้
7. ใหม้ กี ารเทียบโอนผลการเรียนระหวา่ งสถานศกึ ษาและระหวา่ งรปู แบบการศึกษาตา่ ง ๆ

8. ให้สถานศกึ ษาจัดทาและออกเอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา เพ่ือเป็นหลักฐานการประเมินผล
การเรยี นรู้ รายงานผลการเรยี น แสดงวฒุ ิการศกึ ษาและรบั รองผลการเรียนของผเู้ รยี น

องค์ประกอบของการวดั และและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดจุดหมาย สมรรถนะ

สาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบ
ทิศทางในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการ
แข่งขนั ในเวทรี ะดบั โลก กาหนดใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รยี นรตู้ ามมาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวัดท่ีกาหนดในสาระ

การเรยี นรู้ 8 กลุ่มสาระ มีความสามารถในการอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขยี น มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์
และเข้ารว่ มกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น

องค์ประกอบของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้มีความสมั พันธ์ ดังภาพที่ 1

การเรียนรู้ การอ่าน
8 กลมุ่ สาระ คดิ วิเคราะห์ และเรยี น

คุณภาพผู้เรยี น

คณุ ลักษณะ กจิ กรรม
อนั พงึ ประสงค์ พัฒนาผเู้ รยี น

ภาพท่ี 1 แสดงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
ที่มา : สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา (2552 : 11)

1. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรยี นรู้
ผู้สอนวดั และประเมินผลการเรียนรเู้ ป็นรายวิชาตามตัวช้ีวัดในรายวิชาพื้นฐาน และตาม

ผลการเรยี นร้ใู นรายวิชาเพิม่ เตมิ ตามที่กาหนดในหนว่ ยการเรยี นรู้ ผสู้ อนในวิธกี ารทหี่ ลากหลายจาก
แหล่งข้อมลู หลาย ๆ แหลง่ เพอื่ ให้ได้ผลการประเมินทสี่ ะท้อนความรู้ความสามารถทแ่ี ท้จรงิ ของผู้เรยี น
โดยวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้อย่างต่อเนือ่ งไปพร้อมกับการจัดการเรยี นการสอน สงั เกตพัฒนาการ
และความประพฤติของผเู้ รยี น สงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี น การรว่ มกจิ กรรม ผสู้ อนควรเนน้ การประเมนิ

319

ตามสภาพจริง เชน่ การประเมินการปฏบิ ตั งิ าน การประเมินจากโครงงาน หรอื การประเมนิ จากแฟม้
สะสมงาน ฯลฯ ควบคไู่ ปกบั การทดสอบแบบตา่ ง ๆ อย่างสมดลุ ต้องให้ความสาคญั กบั การประเมนิ
ระหวา่ งเรียนมากกว่าการประเมนิ ปลายปี/ปลายภาค และใชเ้ ปน็ ข้อมลู เพือ่ ประเมนิ การเลอ่ื นชัน้ เรียน
และการจบการศกึ ษาระดบั ตา่ ง ๆ

การวดั และประเมินผลการเรียนรตู้ ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังภาพท่ี 2

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย คณติ ศาสตร์

กลุ่มสาระการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้
ภาษาตา่ งประเทศ ด้วยวิธกี ารทหี่ ลากหลาย วทิ ยาศาสตร์

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ บรู ณาการในการเรียนการสอน กลมุ่ สาระการเรียนรู้
การงานอาชพี และ สังคมศึกษา ศาสนา

เทคโนโลยี และวฒั นธรรม

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้
ศลิ ปะ สุขศกึ ษาและพลศึกษา

ภาพที่ 2 แสดงการวัดและประเมินผลการเรียนรรู้ ายกลมุ่ สาระการเรียนรู้
ทมี่ า : สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา (2552 : 11)

2. การประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียน
การประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขียน เป็นการประเมินศักยภาพของผู้เรียนใน

การอ่านหนังสือ เอกสารและส่ือต่าง ๆ เพื่อหาความรู้ เพ่ิมพูนประสบการณ์ ความสุนทรียะและ
ประยุกต์ใช้ แล้วนาเนื้อหาสาระที่อ่านมาคิดวิเคราะห์นาไปสู่การแสดงความคิดเห็น การสังเคราะห์
สร้างสรรค์ การแก้ปัญหาในเร่ืองต่าง ๆ และถ่ายทอดความคิดนั้นด้วยการเขียนท่ีมีสานวนภาษา
ถกู ต้อง มเี หตุผลและลาดับขั้นตอนในการนาเสนอ สามารถสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้อย่างชัดเจน
ตามระดับความสามารถในแตล่ ะระดับชน้ั

320

กรณีผู้เรียนมีความบกพร่องในกระบวนการด้านการเห็นหรือท่ีเกี่ยวข้องทาให้เป็น
อปุ สรรคต่อการอา่ น สถานศกึ ษาสามารถปรบั วิธกี ารประเมนิ ให้เหมาะสมกับผ้เู รียนลมุ่ เปา้ หมายนนั้

การประเมนิ การอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขยี น สถานศึกษาต้องดาเนินการอย่างต่อเน่ือง
และสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผู้เรียนและประเมินการ
เล่อื นชนั้ ตลอดจนการจบการศึกษาระดับต่าง ๆ

การอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขียน เปน็ กระบวนการทตี่ ่อเนอื่ ง ดังภาพที่ 3

อ่าน (รบั สาร) หนังสอื เอกสาร โทรทศั น์ อินเทอร์เน็ต สื่อต่าง ๆ ฯลฯ
แลว้ สรปุ เป็นความรู้ความเข้าใจของตนเอง

คิดวเิ คราะห์ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ หาเหตผุ ล แกป้ ญั หา และ
สรา้ งสรรค์

เขยี น (ส่ือสาร) ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ส่ือสารให้ผู้อ่นื เขา้ ใจ

ภาพท่ี 3 แสดงการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี น
ทม่ี า : สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2552 : 12)

3. การประเมินคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
การประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เป็นการประเมนิ คณุ ลกั ษณะทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ ขึ้นกบั

ผเู้ รยี นอันเป็นคุณลักษณะทสี่ ังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสานึก สามารถอยู่
ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก หลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 คุณลักษณะ ในการ
ประเมินให้ประเมินแต่ละคุณลักษณะ แล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุกฝ่ายและ
แหล่งข้อมูลหลายแหลง่ เพือ่ ให้ไดข้ อ้ มูลนามาสู่การสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อ
ประเมนิ การเล่ือนช้นั และการจบการศกึ ษาระดับต่าง ๆ

การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 ดังภาพที่ 94

321

มจี ติ รักชาติ
สาธารณะ ศาสน์
กษตั ริย์
รกั ความ ซอื่ สตั ย์
เปน็ ไทย คุณลักษณะ สุจริต
อนั พงึ ประสงค์
มงุ่ มั่น มีวนิ ัย
ในการ
ทางาน อยู่อยา่ ง ใฝ่
พอเพยี ง เรียนรู้

ภาพที่ 4 แสดงการประเมินคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
ทม่ี า : สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2552 : 12)

4. การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
การประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน เป็นการประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมและผลงานของ

ผู้เรียน และเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ในแต่ละกิจกรรม และใช้เป็นข้อมูล
ประเมินการเลอ่ื นชน้ั เรียนและการจบการศกึ ษาระดบั ตา่ ง ๆ ดงั ภาพท่ี 5

กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนกั เรยี น
- ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด
กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น ผู้บาเพญ็ ประโยชนแ์ ละ

กจิ กรรมเพอื่ สังคมและ นักศึกษาวิชาทหาร
สาธารณประโยชน์
- ชุมนมุ /ชมรม

ภาพที่ 5 แสดงการประเมินกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น
ทีม่ า : สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2552 : 13)

322

จดุ มุ่งหมายของการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้

การวดั และประเมินผลการเรียนรูข้ องผูเ้ รียนต้องอยู่บนจุดมุง่ หมายพ้ืนฐาน 2 ประการ ดังนี้
(สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. 2552 : 2)

1. การวัดและประเมินผลเพ่ือพัฒนาผู้เรียน (Formative Assessment) เป็นการเก็บ
รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับผลการเรียนและการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่าง
ตอ่ เน่อื ง บันทกึ วเิ คราะห์ แปลความหมายขอ้ มูล แลว้ นามาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการ
เรียนรู้ของผเู้ รยี นและการสอนของครู การวดั และประเมนิ ผลกับการสอนจึงเป็นเรื่องท่ีสัมพันธ์กัน ที่
เกดิ ขน้ึ ในหอ้ งเรยี นทกุ วนั เปน็ การประเมนิ เพอื่ ใหร้ ้จู ดุ เดน่ จุดทต่ี ้องการปรับปรงุ จงึ เป็นข้อมูลเพื่อใช้
ในการพัฒนาในการเก็บข้อมลู ผ้สู อนตอ้ งใชว้ ธิ กี ารและเคร่ืองมอื การประเมินท่ีหลากหลาย เช่น การ
สงั เกต การซกั ถาม การระดมความคิดเห็นเพือ่ ใหไ้ ดม้ ติข้อสรปุ ของประเดน็ ทีก่ าหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน
การใช้ภาระงานท่เี นน้ การปฏิบัติ การประเมนิ ความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพื่อน
ประเมินเพอื่ น และการใช้เกณฑก์ ารให้คะแนน (Rubrics) สิ่งสาคัญทส่ี ดุ ในการประเมินเพอื่ พฒั นา คือ
การให้ข้อมลู ยอ้ นกลับแกผ่ ู้เรียนในลักษณะคาแนะนาท่ีเช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทาให้การ
เรียนรพู้ อกพูน แกไ้ ขความคิดความเขา้ ใจเดิมที่ไมถ่ ูกตอ้ ง ตลอดจนการให้ผเู้ รียนสามารถต้ังเป้าหมาย
และพัฒนาตนได้

2. การวดั และประเมนิ ผลเพ่ือตดั สนิ ผลการเรยี น (Summative Assessment) เปน็ การ
ประเมินสรุปผลการเรียนรู้ เมือ่ จบหน่วยการเรยี น จบรายวิชาเพ่ือตัดสินให้คะแนน หรือให้ระดับผล
การเรยี น ให้การรับรองความรู้ความสามารถของผเู้ รยี นว่าผ่านรายวชิ าหรอื ไม่ ควรได้รับการเลื่อนช้ัน
หรอื ไม่ หรอื สามารถจบหลกั สูตรหรอื ไม่ ในการประเมนิ เพือ่ ตัดสนิ ผลการเรียนท่ดี ีต้องให้โอกาสผู้เรยี น
แสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการท่ีหลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพ้ืนฐานของเกณฑ์การ
ปฏิบตั มิ ากกวา่ ใชเ้ ปรียบเทียบระหวา่ งผู้เรยี น

การกากับดแู ลคุณภาพการศกึ ษา

การจดั การศกึ ษาในปัจจบุ ันนอกจากให้ท่ัวถึงแล้วยังมุ่งเน้นคุณภาพด้วย ผู้ปกครอง สังคม
และรฐั ตอ้ งการเห็นหลกั ฐานอันเป็นผลมาจากการจัดการศึกษา นั่นคือ คุณภาพของผู้เรียนท่ีเป็นไป
ตามมาตรฐานของหลักสตู ร หนว่ ยงานทร่ี บั ผดิ ชอบนบั ตง้ั แต่สถานศึกษา ตน้ สังกดั หนว่ ยงานระดบั ชาติ
ที่ไดร้ บั มอบหมาย จงึ มบี ทบาทหนา้ ท่ใี นการตรวจสอบคุณภาพผู้เรยี นตามความคาดหวังของหลักสูตร
ดังน้ัน หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กาหนดให้มีการวัดและประเมินผลการ
เรยี นรู้ ใน 4 ระดับ ได้แก่

1. การประเมินระดับชั้นเรยี น
เป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดาเนินการเพื่อ

พัฒนาผู้เรียนและตัดสินผลการเรียนในรายวิชา/กิจกรรมท่ีตนสอน ในการประเมินเพื่อการพัฒนา
ผู้สอนประเมินผลการเรยี นรูต้ ามตัวชีว้ ดั ที่กาหนดเป็นเป้าหมายในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ด้วยวิธีการ
ตา่ ง ๆ เชน่ การซกั ถาม การสงั เกต การตรวจการบ้าน การแสดงออกในการปฏิบัติผลงานการแสดง

323

กิริยาอาการต่าง ๆ ของผู้เรียนตลอดเวลาที่จัดกิจกรรม เพื่อดูว่าบรรลุตัวช้ีวัดหรือมีแนวโน้มว่าจะ
บรรลตุ ัวชี้วัดเพยี งใดแลว้ แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งเปน็ ระยะ ๆ อยา่ งต่อเนอ่ื ง

การประเมนิ เพ่ือตดั สนิ เปน็ การตรวจสอบ ณ จุดท่ีกาหนด แล้วตัดสินว่าผู้เรียนผลอันเกิด
จากการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนหรอื ไม่ และมากนอ้ ยเพียงใด ท้ังนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บ
คะแนนของหนว่ ยการเรยี นรู้ หรือของการประเมนิ ผลกลางภาค หรอื ปลายภาคตามรปู แบบการประเมิน
ท่สี ถานศกึ ษากาหนด ผลการประเมนิ นอกจากจะใหเ้ ป็นคะแนนหรอื ระดับผลการเรียนแก่ผู้เรียนแล้ว
ต้องนามาเป็นขอ้ มลู ใชป้ รับปรุงการเรียนการสอนต่อไปอกี ดว้ ย

2. การประเมนิ ระดับสถานศึกษา
เป็นการตรวจสอบผลการเรยี นของผูเ้ รียนเป็นรายป/ี รายภาค ผลการประเมินการอา่ น

คดิ วิเคราะห์ และเขียนคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์และกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน การอนุมตั ผิ ลการเรียน
การตัดสนิ การเล่อื นชัน้ เรียน และเปน็ การประเมินเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เก่ยี วกับการจัดการศกึ ษาของ
สถานศึกษาว่าสง่ ผลตอ่ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี นตามเป้าหมายหรอื ไม่ ผเู้ รยี นมสี ่งิ ทต่ี ้องได้รบั การพฒั นาใน
ด้านใด รวมทง้ั สามารถนาผลการเรยี นของผู้เรยี นในสถานศกึ ษาเปรยี บเทียบกับเกณฑร์ ะดบั ชาติและ
ระดบั เขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ผลการประเมินระดับสถานศกึ ษาจะเปน็ ขอ้ มลู และสารสนเทศเพ่อื การ
ปรับปรงุ นโยบาย หลกั สตู ร โครงการ หรือวธิ ีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพือ่ การจดั ทา
แผนพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษาตามแนวทางการประเมินคณุ ภาพการศกึ ษาและการ
รายงานผลการจดั การศกึ ษาต่อคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน ผปู้ กครองและชมุ ชน

3. การประเมนิ ระดับเขตพน้ื ที่การศึกษา
เป็นการประเมนิ คุณภาพผู้เรยี นในระดับเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาตามมาตรฐานการเรยี นรูข้ อง

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนา
คณุ ภาพการศึกษาของเขตพ้นื ที่การศกึ ษา ตามภาระความรบั ผิดชอบ สามารถดาเนนิ การโดยประเมิน
คุณภาพของผู้เรียนด้วยวิธีการและเคร่ืองมือท่ีเป็นมาตรฐานซ่ึงจัดทาและดา เนินการโดยเขตพ้ืนท่ี
การศกึ ษา หรือด้วยความรว่ มมอื กับหน่วยงานต้นสังกัด/หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง นอกจากนี้ยังสามารถ
ดาเนินการไดด้ ว้ ยการตรวจสอบข้อมูลจากการประเมนิ ระดับสถานศกึ ษาในเขตพนื้ ท่ีการศึกษา

4. การประเมินระดับชาติ
เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร

แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 3 ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 และชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการ
ประเมิน ผลจากการประเมนิ ใชเ้ ป็นข้อมูลในการเทียบเคยี งคุณภาพการศึกษาในระดบั ตา่ ง ๆ

ข้อมลู การประเมนิ ในระดับตา่ ง ๆ ขา้ งต้น เป็นประโยชนต์ ่อสถานศกึ ษาในการตรวจสอบ
ทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องขัดระบบดูแล
ชว่ ยเหลือ ปรับปรุงแกไ้ ข สง่ เสริม สนับสนนุ เพอ่ื ให้ผเู้ รียนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศกั ยภาพบนพนื้ ฐานความ
แตกต่างระหว่างบคุ คล

324

การจดั ทาระเบียบว่าดว้ ยการวัดและประเมินผลการศกึ ษาของสถานศึกษา

ระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาเป็นกรอบภาระงานและ
แนวปฏบิ ตั ิด้านการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกับการเรียนรู้เป็นกระบวนการ
เดียวกัน สาระของระเบยี บดงั กล่าวกาหนดบนพ้ืนฐานของนโยบายด้านการเรียนการสอนและการวัด
และประเมนิ ผลการเรียนรตู้ ามหลกั สตู รสถานศกึ ษา หลักการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักวิชา
หลักเกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช
2551 กฎระเบียบทเ่ี กี่ยวข้องและแนวปฏบิ ัตทิ ่ีสถานศกึ ษากาหนดเพ่มิ เตมิ อนั จะสะท้อนคุณภาพและ
มาตรฐานการปฏบิ ัตงิ านของสถานศกึ ษาท่ีจะชว่ ยสรา้ งความม่นั ใจในกระบวนการดาเนินงานและสร้าง
ความเช่ือมน่ั แกส่ ังคม ซงึ่ จะสง่ ผลต่อการพัฒนาผู้เรียนใหม้ คี ณุ ภาพตามเป้าหมายการจัดการศกึ ษาของ
สถานศกึ ษา

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดว่า การวัดและ
ประเมินผลการเรียนรูเ้ ปน็ กระบวนการพัฒนาปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียน และตัดสินว่าผู้เรียนมี
ความรู้ ทักษะความสามารถ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ อนั เป็นผลมาจากการเรยี นการสอนบรรลุตาม
มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชวี้ ัดในระดับใด สามารถท่จี ะได้รับการเล่ือนช้ัน หรือจบการศึกษาได้หรือไม่
สถานศึกษาในฐานผู้รบั ผดิ ชอบจดั การศึกษา จะต้องทาระเบยี บวา่ ด้วยการวัดและประเมินผลการเรยี น
ของสถานศึกษาใหส้ อดคลอ้ งและเปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์และแนวปฏิบัติทเ่ี ป็นข้อกาหนดของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 โดยควรมีสาระตอ่ ไปนี้เป็นอยา่ งนอ้ ย

1. หลักการดาเนนิ การวัดและประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา
2. การตัดสนิ ผลการเรยี น
3. การให้ระดบั ผลการเรียน
4. การรายงานผลการเรยี น
5. เกณฑ์การจบการศึกษา
6. เอกสารหลกั ฐานการศึกษา
7. การเทียบโอนผลการเรยี น

การจัดระบบงานวัดและประเมินผลการเรียน

การจัดระบบงานวดั และประเมนิ ผลการเรียนของสถานศึกษา ครอบคลุมงาน 2 สว่ นไดแ้ ก่
งานวัดผล มีหน้าท่ีรับผิดชอบการดาเนินงานวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ให้คาปรึกษา
เกย่ี วกบั การวัดและประเมินผลการเรยี นร้กู บั ผู้สอนและผู้เรยี น ตลอดจนดาเนนิ การเกี่ยวกับการสร้าง
เสรมิ ความเขม้ แข็งในเทคนิควธิ ีการวัดและประเมินผลการเรียนรูใ้ ห้บคุ ลากรของสถานศกึ ษา
งานทะเบียน มีหน้าที่รับผิดชอบด้านเอกสารหลักฐานการศึกษา เอกสารการประเมินผล
การจัดทา จดั เกบ็ และการออกเอกสารหลักฐานการศึกษาอยา่ งเป็นระบบ
ภาระงานวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีความเก่ียวข้องกับฝ่ายต่าง ๆ ในสถานศึกษา
นับตั้งแต่ระดับนโยบายในการกาหนดนโยบายการวัดผล การจัดทาระเบียบว่าด้วยการวัดและ

325

ประเมินผลการเรียนของสถานศกึ ษา เพือ่ ใหบ้ คุ ลากรทุกฝา่ ยท่เี กีย่ วข้องถอื ปฏบิ ัติ และยงั เกีย่ วขอ้ งกบั
ผู้เรียนทุกคนต้ังแต่เข้าเรียนจนจบการศึกษาและออกจากสถานศึกษา จึงจาเป็นท่ีสถานศึกษาต้อง
วเิ คราะหภ์ าระงาน กาหนดกระบวนการทางานและผู้รับผิดชอบแต่ละข้ันตอนอย่างชัดเจนเหมาะสม
ดังภาพท่ี 9.6 นาเสนอการบริหารการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของสถานศึกษาท่ีกาหนดข้ึน โดย
นานโยบายการจัดการเรยี นการสอนและการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตลอดจนหลักการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาวิเคราะห์ภาระงานตารางท่ี 1
แสดงถงึ การมอบหมายภารกจิ เกย่ี วกับการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นร้ใู ห้แก่บุคลากรฝ่ายต่าง ๆ ของ
สถานศกึ ษารบั ผิดชอบ

326

ผูเ้ รยี น ภารกิจ

คณะกรรมการบรหิ ารหลักสตู ร จดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษาและระเบียบ
และงานวชิ าการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน ว่าด้วยการวดั และประเมินผลการเรียน

ของสถานศึกษา

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ใหค้ วามเหน็ ชอบหลักสูตรสถานศกึ ษา ระบบการ
และระเบียบว่าดว้ ยการวดั และ ประกนั คณุ ภาพ
คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียน
ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา ของสถานศกึ ษา
- ผู้แทน/ผู้ไดร้ บั ผดิ ชอบ
- คณะอนุกรรมการกลุ่มสาระการเรียนรู้ การเทียบโอน
และกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น ผลการศกึ ษา
- คณะกรรมการพัฒนาและประเมินการ
อา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น - จัดการเรียนรูแ้ ละดาเนนิ การวดั และ
- คณะกรรมการพฒั นาและประเมนิ ประเมินผลตามระเบยี บว่าดว้ ยการวดั
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (ร.ร.ขนาด และประเมินผลการเรียนของ
เล็กอาจเปน็ คณะกรรมการชดุ เดยี วกนั ) สถานศึกษา
- ให้ความเหน็ ชอบ/ตัดสินผลการ
คณะกรรมการบริหารหลักสูตร ประเมนิ รายปี/รายภาคตามแตก่ รณี
และงานวชิ าการสถานศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน
ให้ความเหน็ ชอบผลการประเมนิ
ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
- อนุมตั ผิ ลการประเมนิ รายปี/รายภาค
- ตัดสนิ และอนุมัติการเลอ่ื นชนั้
ซา้ รายวิชา/ซ้าชนั้ การจบการศกึ ษา

- ครวู ัดผล จัดทาเอกสารหลักฐานการศึกษา
- นายทะเบยี น

- ครทู ป่ี รึกษา - รายงานผลตอ่ ผู้เกยี่ วขอ้ ง
- ครูแนะแนว - นาขอ้ มูลไปใช้วางแผน/พฒั นา

- คณะกรรมการทไี่ ดร้ บั มอบหมาย

ภาพท่ี 6 แสดงการบริหารการวดั และประเมนิ ผลการเรียนของสถานศึกษา
ที่มา : สานกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา (2552 : 5)

327

ตารางท่ี 1 แสดงภารกจิ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ของบคุ ลการฝา่ ยต่าง ๆ

ผ้ปู ฏิบัติ บทบาทหนา้ ท่ใี นการดาเนินงานการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
1. คณะกรรมการการศกึ ษา
1.1 ใหค้ วามเห็นชอบหลักสูตรสถานศึกษาและระเบียบการวดั และประเมนิ ผล
ข้นั พน้ื ฐาน การเรยี นสถานศกึ ษา

2. คณะกรรมการบริหาร 1.2 ให้ความเห็นชอบต่อเกณฑแ์ ละแนวปฏบิ ตั ใิ นการวดั และประเมนิ ผล
หลกั สูตรและงานวิชาการ - การเรียนร้ตู ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ทัง้ 8 กลมุ่
สถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน - ความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน
- คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของสถานศกึ ษา
3. คณะอนกุ รรมการกลุ่ม - กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น
สาระการเรยี นรแู้ ละ
กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน 1.3 ให้ความเหน็ ชอบกระบวนการและวิธีการสอนซ่อมเสริม การแก้ไขผลการเรียน
และอนื่ ๆ
4. คณะกรรมการพัฒนา
และประเมินการอ่าน 1.4 กากบั ติดตามการดาเนนิ การจดั การเรยี นการสอนตามกลุ่มสาระการเรยี นรู้
คิดวเิ คราะห์ และเขยี น การพฒั นาความสามารถดา้ นการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น การพัฒนา
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคแ์ ละการจัดกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น

1.5 กากับ ติดตามการวัดและประเมนิ ผล และการตัดสนิ ผลการเรยี น

2.1 กาหนดระเบียบวา่ ดว้ ยการวดั และประเมินผลการเรียนของสถานศกึ ษา
2.2 กาหนดแผนการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรตู้ ามหลักสตู รแกนกลางและสาระ

เพม่ิ เตมิ ของรายวชิ าต่าง ๆ ในแต่ละกลุม่ สาระการเรียนรู้ โดยวิเคราะห์จาก
มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ช้ีวดั ของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ และจดั ทารายวิชาพร้อม
เกณฑ์การประเมนิ
2.3 กาหนดสิง่ ทต่ี ้องการประเมินในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขียน คุณลักษณะ
อนั พงึ ประสงค์กิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น พร้อมเกณฑก์ ารประเมินและแนวทาง
การพฒั นาและสง่ เสรมิ ผู้เรียน
2.4 กาหนดการทบทวนการพฒั นาสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
2.5 ใหข้ อ้ เสนอแนะ ขอ้ หารือเกี่ยวกบั วิธกี ารเทียบโอนผลการเรยี น ใหเ้ ป็นไปตาม
หลกั การและแนวทางการเทียบโอนผลการเรยี นของกระทรวงศกึ ษาธิการ

3.1 กาหนดแนวทางการจัดการเรียนรขู้ องกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ การจัด
กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น พรอ้ มแนวทางการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้

3.2 สนบั สนุนการจัดการเรยี นรู้ การจดั กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น การวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้

3.3 พจิ ารณาให้ความเห็นชอบผลการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ สาระการ
เรยี นรู้รายปี/รายภาคและกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น

4.1 กาหนดแนวทางในการพฒั นา การประเมิน การปรับปรงุ แก้ไข และการตัดสนิ
ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี นของผูเ้ รยี น

4.2 ดาเนนิ การประเมนิ ความสามารถในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น
4.3 ตดั สนิ ผลการพัฒนาความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขยี นของ

ผูเ้ รยี นรายปี/รายภาคและการจบการศึกษาแต่ละระดับ

328

ตารางท่ี 1 แสดงภารกจิ การวัดและประเมินผลการเรียนร้ขู องบุคลการฝ่ายต่าง ๆ (ต่อ)

ผู้ปฏิบตั ิ บทบาทหนา้ ท่ใี นการดาเนินงานการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
5. คณะกรรมการพฒั นา
5.1 กาหนดแนวทางการพฒั นาและการประเมนิ เกณฑ์การประเมิน และแนวทาง
และประเมนิ คณุ ลักษณะ การปรับปรุงแก้ไขคุณลักษณะอันพึงประสงค์
อันพึงประสงค์ของ
สถานศกึ ษา 5.2 พจิ ารณาตดั สินผลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์รายปี/รายภาคและ
6. คณะกรรมการเทียบ การจบการศกึ ษาแตล่ ะระดับชนั้
โอนผลการเรยี น
5.3 จัดระบบการปรบั ปรุงแกไ้ ขคุณลักษณะอันพงึ ประสงคด์ ว้ ยวิธกี ารอนั เหมาะสม
7. ผบู้ ริหารสถานศึกษา และสง่ ต่อข้อมลู เพอื่ การพัฒนาอย่างต่อเนอื่ ง

8. ผ้สู อน 6.1 จัดทาสาระ เครื่องมือ และวิธีการเทยี บโอนใหเ้ ปน็ ไปตามแนวปฏบิ ตั ิเกย่ี วกบั
การเทียบโอนผลการเรียนเข้าสู่การศึกษาในระบบระดับการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน
9. ครูวดั ผล
6.2 ดาเนินการเทยี บโอนผลการเรียนให้กบั ผูเ้ รียนท่ีร้องขอ
63 ประมวลผลและตดั สนิ ผลการเทยี บโอน
6.4 เสนอผลการเทียบโอนต่อคณะกรรมการบริหารหลักสตู รและวชิ าการของ

สถานศึกษาเพ่อื ให้ความเห็นชอบ และเสนอผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาตดั สินอนุมัติ
การเทียบโอน

7.1 เป็นเลขานกุ ารคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
7.2 เป็นประธานคณะกรรมการบรหิ ารหลักสูตรและวชิ าการของสถานศกึ ษา
7.3 อนุมตั ผิ ลการประเมินการเรียนรายป/ี รายภาค และตดั สนิ อนุมตั ิการเล่ือน

ช้ันเรยี น การซ้าชน้ั การจบการศกึ ษา
7.4 ให้คาแนะนา ขอ้ ปรึกษาหารอื เกีย่ วกับการดาเนินงานแก่บุคลากรใน

สถานศึกษา
7.5 กากบั ตดิ ตามใหก้ ารดาเนินการวัดและประเมนิ ผลการเรียนร้บู รรลุเป้าหมาย
7.6 นาผลการประเมนิ ไปจัดทารายงานผลการดาเนินงาน กาหนดนโยบายและ

วางแผนพัฒนาการจดั การศึกษา

8.1 จดั ทาหน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ แผนการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ในรายวชิ าหรอื กิจกรรมท่รี บั ผดิ ชอบ

8.2 วดั และประเมินผลระหว่างเรียนควบคู่กับการจัดกิจกรรมการเรยี นรูต้ ามแผนท่ี
กาหนดพร้อมกับปรับปรุงแก้ไขผูเ้ รียนท่ีมขี ้อบกพรอ่ ง

8.3 ประเมินตัดสนิ ผลการเรียนรขู้ องผเู้ รยี นในรายวชิ าทสี่ อน หรอื กิจกรรมท่ี
รบั ผดิ ชอบเมื่อสิ้นสดุ การเรียนรายปี/รายภาค ส่งหัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้
หรอื กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

8.4 ตรวจสอบสมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
8.5 นาผลการประเมนิ ไปวิเคราะห์เพ่อื พัฒนาการจัดการเรียนการสอน

9.1 ส่งเสริมพฒั นาระบบและเทคนคิ วิธกี ารประเมินผลการเรียนรูด้ ้านต่าง ๆ แกค่ รู
และบุคลากรของสถานศกึ ษา

9.2 ใหค้ าปรึกษา ตดิ ตาม กากบั การวัดและประเมินผลการเรียนรขู้ องสถานศึกษา
9.3 ตรวจสอบ กลั่นกรอง ปรบั ปรงุ คุณภาพของวธิ ีการ เครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผล

การเรียนรูข้ องสถานศึกษา
9.4 ปฏบิ ัติงานร่วมกับนายทะเบยี นในการรวบรวม ตรวจสอบ และประมวลผลการ

ประเมินผลการเรียนรูข้ องผเู้ รียน

329

ตารางท่ี 1 แสดงภารกจิ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ของบุคลการฝ่ายต่าง ๆ (ตอ่ )

ผ้ปู ฏิบตั ิ บทบาทหนา้ ท่ีในการดาเนนิ งานการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้
10. นายทะเบียน
10.1 ปฏิบตั ิงานร่วมกบั ครวู ัดผลในการรวบรวม ตรวจสอบ และบนั ทกึ ผลการ
ประมวลขอ้ มูล ผลการเรียนของผเู้ รียนแต่ละคน

10.2 ตรวจสอบและสรุปขอ้ มูลผลการเรยี นของผเู้ รยี นรายบุคคลแตล่ ะชน้ั ปี และ
เมอ่ื จบการศึกษาเพื่อเสนอรายชื่อผู้มคี ุณสมบัติครบตามเกณฑ์ ให้
คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รและวิชาการของสถานศึกษาให้ความเหน็ ชอบ
และเสนอใหผ้ ู้บรหิ ารสถานศึกษาตดั สินและอนุมตั ผิ ลการเลือ่ นชน้ั เรียน และ
จบการศึกษาแต่ละระดับ

10.3 จดั ทาเอกสารหลักฐานการศึกษา

หมายเหตุ 1. กรณีโรงเรียนขนาดเล็กทแ่ี ตง่ ตงั้ คณะกรรมการเพียงชุดเดยี ว คณะกรรมการน้ันตอ้ ง
ปฏิบตั ติ ามบทบาทและภารกจิ ขอ้ 2 – 6 ให้ครบถ้วน

2. ใหค้ ณะกรรมการประกันคุณภาพของสถานศกึ ษา มีหน้าทก่ี ากับ ตดิ ตาม สนบั สนนุ ให้

เปน็ ไปตามระเบียบการวดั และประเมนิ ผลการเรียน

เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้

1. ระดบั ประถมศกึ ษา
1.1 การตดั สินผลการเรยี น
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 กาหนดหลักเกณฑก์ าร

วัดและประเมินผลการเรยี นรู้ เพอื่ ตัดสินผลการเรียนของผเู้ รยี น ดังน้ี
1) ผเู้ รียนต้องมีเวลาเรียนไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นทง้ั หมด
2) ผเู้ รยี นต้องได้รบั การประเมนิ ทกุ ตวั ช้ีวัดและผ่านตามเกณฑท์ ีส่ ถานศึกษากาหนด
3) ผู้เรยี นต้องไดร้ ับการตดั สนิ ผลการเรยี นทกุ รายวิชา
4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมีผลการประเมินที่ผ่านตามเกณฑ์ท่ี

สถานศึกษากาหนดในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรม
พัฒนาผู้เรียน

การตัดสินผลการเรียน ตัดสินเป็นรายวิชา โดยใช้ผลการประเมินระหว่างปีและ
ปลายปีตามสัดส่วนสถานศึกษากาหนด ทุกรายวิชาต้องได้รับการตัดสินให้ผลการเรียนตามแนว
ทางการให้ระดบั ผลการเรยี นตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนดและผูเ้ รยี นตอ้ งผา่ นทกุ รายวิชาพน้ื ฐาน

1.2 การใหร้ ะดบั ผลการเรียน
การตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา สถานศึกษาสามารถให้ระดับผล

การเรียนระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนเป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ และ
ระบบทใ่ี ชค้ าสาคัญสะท้อนมาตรฐาน การตัดสินผลการเรียนในระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานใช้ระบบ
ผ่านและไม่ผ่าน โดยกาหนดเกณฑ์การตัดสินผ่านและรายวิชาท่ีร้อยละ 50 จากน้ันจึงให้ระดับผล
การเรยี นท่ีผา่ นเป็นระบบต่าง ๆ ตามทีส่ ถานศกึ ษากาหนด

330

กรณีที่สถานศกึ ษาให้ระดบั ผลการเรยี นดว้ ยระบบตา่ ง ๆ สามารถเทยี บกนั ได้ ดงั น้ี

ระบบตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบรอ้ ยละ ระบบที่ใช้คาสาคัญสะทอ้ นมาตรฐาน
5 ระดบั 4 ระดับ 2 ระดับ
4 A 80 – 100 ดีเยยี่ ม ดเี ยย่ี ม
3.5 B+ 75 – 79
3 B 70 - 74 ดี ดี
2.5 C+ 65 – 69 พอใช้ ผา่ น
2 C 60 – 64
1.5 D+ 55 – 59 ผ่าน ผา่ น
1 D 50 – 54
0 F 0 – 49 ไม่ผา่ น ไม่ผ่าน ไมผ่ า่ น

การประเมินการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์นั้น

ใหผ้ ลการประเมนิ เป็นผา่ นและไม่ผา่ น กรณีที่ผา่ นให้ระดับผลการประเมินเป็นดีเยีย่ ม ดี และผ่าน
1. ในการสรุปผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เพ่ือการเลื่อนช้ัน

และจบการศกึ ษา กาหนดเกณฑ์การตัดสนิ เป็น 4 ระดับ และความหมายของแตล่ ะระดบั ดงั น้ี

ดเี ยี่ยม หมายถงึ มีผลงานที่แสดงถงึ ความสามารถในการอ่าน คิด
วิเคราะห์ และเขียนทมี่ ีคณุ ภาพดีเลิศอยเู่ สมอ

ดี หมายถึง มผี ลงานทแ่ี สดงถึงความสามารถในการอ่าน

คดิ วเิ คราะห์ และเขยี นที่มคี ุณภาพเป็นที่ยอมรับ
ผา่ น หมายถงึ มีผลงานท่แี สดงถึงความสามารถในการอ่าน

คดิ วเิ คราะห์ และเขียนที่มีคณุ ภาพเป็นทย่ี อมรบั

แตย่ งั มีขอ้ บกพรอ่ งบางประการ
ไมผ่ า่ น หมายถงึ ไม่มผี ลงานท่แี สดงถึงความสามารถในการอา่ น

คิดวเิ คราะห์ และเขยี น หรอื ถา้ มผี ลงาน ผลงานนนั้ ยงั มี

ข้อบกพรอ่ งทต่ี อ้ งไดร้ บั การปรบั ปรุงแก้ไขหลายประการ
2. ในการสรปุ ผลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคร์ วมทุกคณุ ลักษณะเพอื่
การเล่ือนชนั้ และจบการศกึ ษา กาหนดเกณฑก์ ารตดั สินเปน็ ระดบั และความหมายของแตล่ ะระดับ

ดังนี้
ดีเย่ยี ม หมายถงึ ผเู้ รยี นปฏิบตั ติ ามคุณลกั ษณะจนเปน็ นสิ ัย และนาไปใช้
ในชวี ิตประจาวนั เพ่ือประโยชนส์ ุขของตนเองและสงั คม

โดยพจิ ารณาจากผลการประเมนิ ระดับดเี ย่ียม จานวน
5 – 8 คณุ ลักษณะ และไมม่ คี ณุ ลกั ษณะใดได้ ผลการ
ประเมนิ ต่ากวา่ ระดบั ดี

331

ดี หมายถึง ผู้เรียนมคี ณุ ลกั ษณะในการปฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์ เพ่ือให้
เปน็ การยอมรับของสงั คม โดยพจิ ารณาจาก
1. ไดผ้ ลการประเมินระดับดเี ยี่ยม จานวน 1 – 4
คุณลกั ษณะ และไมม่ คี ณุ ลักษณะใดได้ผลการ
ประเมินตา่ กวา่ ระดบั ดี หรอื
2. ไดผ้ ลการประเมินระดับดเี ยีย่ ม จานวน 4
คณุ ลักษณะ และไมม่ ีคุณลกั ษณะใดไดผ้ ลการ
ประเมินต่ากวา่ ระดบั ผ่าน หรือ
3. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดี จานวน 5 – 8 คณุ ลักษณะ
และไมม่ ีคณุ ลกั ษณะใดได้ผลการประเมนิ ตา่ กว่า
ระดับผา่ น

ผ่าน หมายถงึ ผเู้ รยี นรบั รู้และปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑแ์ ละเงอื่ นไขท่ี
สถานศกึ ษากาหนดโดยพจิ ารณาจาก
1. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ผา่ น จานวน 5 – 8
คุณลักษณะ และไมม่ คี ณุ ลกั ษณะใดไดผ้ ลการ
ประเมินตา่ กวา่ ระดับผ่านหรือ
2. ได้ผลการประเมนิ ระดับดี จานวน 4 คุณลกั ษณะ และ
ไมม่ คี ุณลกั ษณะใดไดผ้ ลการประเมินตา่ กวา่ ระดบั ผา่ น

ไม่ผา่ น หมายถงึ ผ้เู รยี นรบั รแู้ ละปฏบิ ัติไดไ้ ม่ครบตามกฎเกณฑแ์ ละ
เงื่อนไขทสี่ ถานศึกษากาหนด โดยพิจารณาจาผลการ
ประเมนิ ระดับไมผ่ า่ น ตง้ั แต่ 1 คณุ ลกั ษณะ

การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม
การปฏิบัตกิ จิ กรรม และผลงานของผเู้ รยี นตามเกณฑท์ ่สี ถานศกึ ษากาหนด และให้ผลการประเมินเปน็
ผ่านและไม่ผา่ น

กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น มี 3 ลักษณะ คอื
1) กิจกรรมแนะแนว
2) กิจกรรมนักเรยี น ซง่ึ ประกอบด้วย
(1) กิจกรรมลกู เสอื เนตรนารี ยุวกาชาด และผู้บาเพ็ญประโยชน์ โดยผ้เู รยี น

เลือกอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง 1 กิจกรรม
(2) กจิ กรรมชมุ นมุ หรอื ชมรมอกี 1 กจิ กรรม

3) กิจกรรมเพือ่ สงั คมและสาธารณประโยชน์
ใหใ้ ช้ตัวอักษรแสดงผลการประเมิน ดังนี้
“ผ” หมายถงึ ผู้เรยี นมีเวลาเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติกิจกรรม

และมผี ลงานตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากาหนด

332

“มผ” หมายถึง ผเู้ รียนมีเวลาเขา้ ร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรียน ปฏิบัติกจิ กรรม
และมผี ลงานไมเ่ ป็นไปตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด

ในกรณที ่ีผเู้ รยี นไดผ้ ลของกิจกรรมเปน็ “มผ” สถานศึกษาต้องจัดซ่อมเสริมให้
ผเู้ รียนทากจิ กรรมในสว่ นท่ผี ู้เรียนไมไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มหรือไมไ่ ดท้ าจนครบถ้วน แล้วจึงเปลี่ยนผลจาก “มผ”
เป็น “ผ” ได้ ทั้งนี้ต้องดาเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีการศึกษานั้น ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ใน
ดลุ พินจิ ของสถานศกึ ษา

1.3 การเลอื่ นช้นั
เมื่อสิ้นปีการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับการเล่ือนช้ัน เมื่อมีคุณสมบัติตามเกณฑ์

ดงั ต่อไปน้ี
1) ผู้เรียนมีเวลาเรียนตลอดปีการศึกษาไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน

ทงั้ หมด
2) ผูเ้ รยี นมีผลการประเมินผ่านทกุ รายวิชาพืน้ ฐาน
3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน คุณลักษณะอันพึง

ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี นผา่ นตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากาหนด
ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถ

พฒั นาและสอนซ่อมเสรมิ ได้ ใหอ้ ยใู่ นดุลพินจิ ของสถานศกึ ษาทจี่ ะผอ่ นผนั ให้เลอ่ื นขัน้ ได้
กรณที ี่ผูเ้ รยี นมีหลกั ฐานการเรยี นรูท้ ่ีแสดงว่ามีความสามารถดีเลิศ สถานศกึ ษาอาจ

ใหโ้ อกาสผู้เรียนเลอื่ นช้นั กลางปีการศึกษา โดยสถานศึกษาแต่งต้ังคณะกรรมการ ประกอบด้วย ฝ่าย
วิชาการของสถานศกึ ษาและผูแ้ ทนของเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาหรอื ต้นสงั กัด ประเมินผเู้ รียนและตรวจสอบ
คุณสมบัติใหค้ รบถว้ นตามเงอ่ื นไขทง้ั 3 ประการ ตอ่ ไปนี้

1) มีผลการเรยี นในปีการศกึ ษาท่ผี า่ นมาและมผี ลการเรียนระหว่างปีท่ีกาลังศึกษา
อย่ใู นเกณฑ์ดเี ย่ียม

2) มีวฒุ ิภาวะเหมาะสมที่จะเรยี นในชนั้ ทีส่ ูงขึ้น
3) ผ่านการประเมินผลความรู้ความสามารถทุกรายวิชาของชั้นปีท่ีเรียนปัจจุบัน
และความรูค้ วามสามารถทุกรายวิชาในภาคเรยี นแรกของชน้ั ปีทีจ่ ะเล่อื นชน้ั
การอนมุ ัติให้เลือ่ นชั้นกลางปีการศึกษาไปเรียนช้ันสูงข้ึนได้ 1 ระดับช้นั นี้ ต้องได้รับ
การยินยอมจากผู้เรียน และผู้ปกครองและต้องดาเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนเปิดภาคเรียนที่ 2 ของปี
การศกึ ษาน้ัน
กรณที ี่พบว่ามีผเู้ รียนกล่มุ พิเศษประเภทต่าง ๆ มีปัญหาในการเรียนรู้ ให้สถานศึกษา
ดาเนินงานร่วมกับสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา/ศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัด/ศูนย์การศึกษาพิเศษ
เขตการศกึ ษา/หน่วยงานต้นสงั กดั โรงเรยี นเฉพาะความพกิ าร หาแนวทางการแกไ้ ขและพฒั นา
1.4 การเรียนซ้าช้ัน
ผเู้ รยี นทไ่ี ม่ผ่านรายวชิ าจานวนมากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนใน
ระดับชน้ั ท่ีสูงขนึ้ สถานศึกษาอาจตงั้ คณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้าช้ันได้ ท้ังน้ี ให้คานึงถึงวุฒิภาวะ
และความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็นสาคัญ

333

ผ้เู รยี นท่ีไมม่ ีคุณสมบตั ิตามเกณฑ์การเล่อื นช้ัน สถานศกึ ษาควรให้เรียนซ้าช้ัน ทั้งท่ี
สถานศึกษาอาจใชด้ ุลพินจิ ให้เล่ือนช้ันได้ หากพิจารณาว่าผู้เรียนมคี ุณสมบัตขิ ้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปน้ี

1) มีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 อันเนื่องจากสาเหตุจาเป็นหรือเหตุสุดวิสัย แต่มี
คุณสมบัตติ ามเกณฑก์ ารเล่ือนชั้นในขอ้ อื่น ๆ ครบถว้ น

2) ผเู้ รียนมผี ลการประเมนิ ผา่ นมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดไม่ถึงเกณฑ์ตามท่ี
สถานศึกษากาหนดในแต่ละรายวิชา แต่เห็นว่าสามารถสอนซ่อมเสริมได้ในปีการศึกษาน้ัน และมี
คุณสมบัติตามเกณฑก์ ารเลอ่ื นชั้นในขอ้ อน่ื ๆ ครบถ้วน

3) ผ้เู รยี นมผี ลการประเมินรายวชิ าในกลุ่มสาระภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรมอยูใ่ นระดบั ผ่าน

ก่อนทจี่ ะใหผ้ ู้เรียนเรียนซ้าชัน้ สถานศึกษาควรแจ้งให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบ
เหตุผลของการเรียนซา้ ชนั้

1.5 การสอนซอ่ มเสรมิ
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดใหส้ ถานศึกษา

จดั สอนซอ่ มเสรมิ เพ่ือพัฒนาการเรยี นร้ขู องผู้เรียนเต็มตามศักยภาพ
การสอนซ่อมเสริม เป็นการสอนเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง กรณีที่ผู้เรียนมีความรู้

ทักษะ กระบวนการ หรอื เจตคต/ิ คุณลักษณะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด สถานศึกษา
ต้องจัดสอนซ่อมเสริมเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากการสอนปกติ เพ่ือพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถ
บรรลตุ ามมาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้วี ดั ท่ีกาหนดไว้ เปน็ การใหโ้ อกาสแก่ผเู้ รยี นไดเ้ รียนและพัฒนาโดย
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ทหี่ ลากหลายและตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างบุคคล

1.6 เกณฑก์ ารจบระดับประถมศึกษา
1) ผู้เรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานและรายวชิ า/กิจกรรมเพมิ่ เติม ตามโครงสร้างเวลาเรียนท่ี

หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานกาหนด
2) ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินรายวิชาพื้นฐานผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่

สถานศกึ ษากาหนด
3) ผู้เรยี นมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี นในระดับผ่านเกณฑก์ าร

ประเมินตามทส่ี ถานศึกษากาหนด
4) ผู้เรียนมผี ลการประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคใ์ นระดับผา่ นเกณฑ์การประเมิน

ตามที่สถานศกึ ษากาหนด
5) ผูเ้ รยี นเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี นและมผี ลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมิน

ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด
2. ระดับมธั ยมศกึ ษา
2.1 การตดั สนิ ผลการเรียน
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดลกั ษณะการวัด

และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เพ่ือตัดสนิ ผลการเรยี นของผเู้ รียน ดังน้ี
1) ตดั สนิ ผลการเรยี นเป็นรายวิชา ผู้เรยี นตอ้ งมเี วลาเรยี นตลอดภาคเรยี นไม่นอ้ ยกวา่

ร้อยละ 80 ของเวลาเรยี นท้งั หมดในรายวิชานั้น ๆ

334

2) ผู้เรียนตอ้ งไดร้ บั การประเมนิ ตวั ชวี้ ัดและผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด
3) ผเู้ รยี นตอ้ งได้รบั การตดั สินผลการเรียนทุกรายวิชา

4) ผูเ้ รยี นต้องได้รบั การประเมนิ และมผี ลการประเมนิ ผ่านตามเกณฑท์ ่สี ถานศึกษา
กาหนดในการอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน

5) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมผี ลการประเมนิ ผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา

กาหนดในการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี น คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน
กรณตี ัดสินผลการเรยี น ตัดสินเป็นรายวิชา โดยใชผ้ ลการประเมินระหว่างภาคและ

ปลายภาคตามสัดส่วนทีส่ ถานศกึ ษากาหนด ทกุ รายวิชาตอ้ งได้รบั การตดั สนิ และให้ระดับผลการเรียน

ทง้ั น้ี ผู้เรยี นต้องผ่านทกุ รายวิชาพ้นื ฐาน
2.2 การใหร้ ะดับผลการเรียน
การตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชาของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ให้ใช้

ตัวเลขแสดงระดบั ผลการเรยี นเปน็ 8 ระดบั
การตัดสนิ ผลการเรียนในระดับการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานใช้ระบบผ่านและไม่ผ่าน โดย

กาหนดเกณฑก์ ารตดั สินผ่านแต่ละรายวชิ าท่ีร้อยละ 50 จากน้นั จงึ ใหร้ ะดบั ผลการเรียนที่ผา่ น สาหรับ

ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น และตอนปลายใชต้ วั เลขแสดงระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดับ แนวการให้
ระดับผลการเรียน 8 ระดบั และความหมายของแตล่ ะระดบั ดงั นี้

ระดับผลการเรียน ความหมาย ชอ่ งคะแนนเป็นรอ้ ยละ
4 ดเี ยย่ี ม 80 - 100
3.5 ดมี าก 75 – 79
3 ดี 70 – 74
2.5 คอ่ นข้างดี 65 – 69
2 ปานกลาง 60 – 64
1.5 พอใช้ 55 – 59
1 50 – 54
0 ผ่านเกณฑ์ขัน้ ตา่ 0 – 49
ตา่ กวา่ เกณฑ์

ในกรณีทไ่ี มส่ ามารถให้ระดับผลการเรียนเป็น 8 ระดับได้ให้ใช้อักษรระบุเง่ือนไข
ของผลการเรียน ดังน้ี

“มส” หมายถึง ผเู้ รียนไมม่ ีสทิ ธิเข้ารับการวดั ผลปลายภาคเรยี น เนือ่ งจากผเู้ รียนมี
เวลาเรียนไม่ถงึ รอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นในแตล่ ะรายวิชา และไม่ไดร้ บั การผอ่ นผนั ใหเ้ ขา้ รบั การวดั ผล
ปลายภาคเรยี น

“ร” หมายถึง รอการตัดสินและยังตัดสินผลการเรียนไม่ได้ เน่ืองจากผู้เรียนไม่มี
ข้อมูลผลการเรียนรายวิชานั้นครบถ้วน ได้แก่ ไม่ได้วัดผลระหว่างภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไม่ได้
ส่งงานท่มี อบหมายใหท้ า ซงึ่ งานนนั้ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของการตดั สนิ ผลการเรยี นหรือมีเหตุผลสุดวิสัยท่ีทาให้

ประเมินผลการเรยี นไม่ได้

335

การประเมนิ การอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขียน และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์น้ัน
ให้ผลการประเมินเปน็ ผา่ นและไม่ผ่าน กรณีทผ่ี า่ นให้ระดับผลการประเมินผ่านและไม่ผ่าน กรณีท่ี
ผา่ นใหร้ ะดบั ผลการประเมนิ เป็นดเี ย่ียม ดี และผา่ น

1. ในการสรุปผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน เพื่อการเลื่อนชั้น
และจบการศกึ ษากาหนดเกณฑ์การตดั สินเปน็ 4 ระดบั และความหมายของแต่ละระดบั ดงั นี้

ดเี ย่ียม หมายถงึ มีผลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอ่าน
คิดวิเคราะห์ และเขียนท่ีมีคุณภาพดีเลศิ อยเู่ สมอ

ดี หมายถึง มีผลงานท่ีแสดงถึงความสามารถในการอ่าน
คดิ วิเคราะห์ และเขยี นที่มคี ณุ ภาพเป็นที่ยอมรบั

ผา่ น หมายถงึ มีผลงานท่ีแสดงถงึ ความสามารถในการอา่ น
คิดวเิ คราะห์ และเขยี นท่ีมีคุณภาพเปน็ ทยี่ อมรับ แต่ยังมี
ขอ้ บกพรอ่ งบางประการ

ไมผ่ ่าน หมายถึง ไม่มผี ลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอ่าน
คิดวเิ คราะห์ และเขยี น หรือถ้ามผี ลงาน ผลงานนน้ั ยงั มี
ข้อบกพรอ่ งท่ตี อ้ งได้รบั การปรบั ปรุงแกไ้ ขหลายประการ

2. ในการสรุปผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์รวมทุกคุณลักษณะเพ่ือ
การเลือ่ นช้ันและจบการศึกษา กาหนดเกณฑก์ ารตดั สนิ เป็น 4 ระดบั และความหมายของแต่ละระดับ
ดังน้ี

ดเี ย่ียม หมายถงึ ผูเ้ รยี นปฏบิ ตั ติ นตามคุณลกั ษณะจนเป็นนสิ ยั และ
นาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน เพอ่ื ประโยชนส์ ขุ ของตนเอง
และสงั คม โดยพิจารณาจากผลการประเมนิ ระดบั ดเี ย่ยี ม
จานวน 5 – 8 คณุ ลกั ษณะ และไม่มีคณุ ลกั ษณะใด
ไดผ้ ลการประเมนิ ต่ากว่าระดบั ดี

ดี หมายถึง ผูเ้ รยี นมคี ณุ ลกั ษณะในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ เพอ่ื ให้
เป็นการยอมรับของสงั คม โดยพจิ ารณาจาก
1. ได้ผลการประเมินระดบั ดเี ยย่ี ม จานวน 1 – 4
คณุ ลักษณะ และไม่มีคุณลกั ษณะใดได้ผลการ
ประเมินตา่ กว่าระดบั ดี หรือ
2. ไดผ้ ลการประเมินระดับดเี ย่ียม จานวน 4
คุณลกั ษณะ และไม่มคี ณุ ลักษณะใดได้ผลการ
ประเมนิ ตา่ กว่าระดับผ่าน หรอื
3. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดี จานวน 5 – 8 คุณลกั ษณะ
และไม่มีคณุ ลักษณะใดไดผ้ ลการประเมินต่ากว่า
ระดับผ่าน

336

ผา่ น หมายถึง ผู้เรียนรบั รู้และปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑแ์ ละเงอื่ นไขที่
สถานศึกษากาหนดโดยพจิ ารณาจาก
1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับผา่ น จานวน 5 – 8
คณุ ลักษณะ และไมม่ ีคณุ สมบตั ใิ ดได้ผลการประเมิน
ตา่ กว่าระดับผา่ น หรอื
2. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ผ่าน จานวน 4 คณุ ลกั ษณะ
และไมม่ คี ณุ สมบตั ใิ ดไดผ้ ลการประเมนิ ตา่ กว่าระดบั
ผา่ น

ไมผ่ า่ น หมายถงึ ผเู้ รียนรบั รแู้ ละปฏิบตั ไิ ด้ไม่ครบตามกฎเกณฑแ์ ละ
เง่อื นไขทสี่ ถานศกึ ษากาหนด โดยพิจารณาจากผล
การประเมนิ ระดบั ไมผ่ า่ น ตั้งแต่ 1 คุณลกั ษณะ

การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพจิ ารณาทัง้ เวลาการเข้าร่วมกิจกรรม
การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผเู้ รียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด และให้ผลการประเมิน
ผ่านและไม่ผา่ น

กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี นมี 3 ลักษณะ คือ
1) กจิ กรรมแนะแนว
2) กจิ กรรมนกั เรยี น ซ่ึงประกอบด้วย

(1) กจิ กรรมลกู เสือ เนตรนารี ยวุ กาชาด ผู้บาเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชา
ทหาร โดยผู้เรียนเลือกอย่างใดอยา่ งหนงึ่

(2) กจิ กรรมชมุ นุมหรือชมรม
3) กิจกรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์

ให้ใช้ตัวอกั ษรแสดงผลการประเมิน ดงั นี้
“ผ” หมายถงึ ผู้เรยี นมเี วลาเข้ารว่ มกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน ปฏิบัติ

กจิ กรรมและมีผลงานตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากาหนด
“มผ” หมายถงึ ผู้เรยี นมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น ปฏิบตั ิ

กจิ กรรมและมีผลงานไมเ่ ป็นไปตามเกณฑท์ ส่ี ถานศกึ ษา
กาหนด
2.3 การเปลีย่ นผลการเรยี น
2.3.1 การเปล่ยี นผลการเรยี น “0”
สถานศึกษาจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมในมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัดที่
ผู้เรียนสอบไม่ผ่านก่อน แล้วจึงสอบแก้ตัวได้ไม่เกิน 2 คร้ัง ถ้าผู้เรียนไม่ดาเนินการสอบแก้ตัวตาม
ระยะเวลาท่สี ถานศึกษากาหนดใหอ้ ยใู่ นดลุ ยพินิจของสถานศึกษาท่ีจะพิจารณาขยายเวลาออกไปอีก
2 ภาคเรยี น สาหรับภาคเรยี นที่ 2 ต้องดาเนนิ การให้เสรจ็ สนิ้ ภายในปกี ารศึกษานั้น
ถา้ สอบแกต้ ัว 2 คร้ังแล้ว ยังได้ระดับผลการเรียน “0” อีก ให้สถานศึกษา
แต่งตง้ั คณะกรรมการดาเนนิ การเกี่ยวกับการเปลย่ี นผลการเรียนของผเู้ รียน โดยปฏิบตั ิ ดังน้ี

337

1) ถา้ เปน็ รายวชิ าพืน้ ฐาน ให้เรยี นซ้ารายวชิ านัน้
2) ถ้าเป็นรายวิชาเพิ่มเติม ใหเ้ รยี นซ้าหรอื เปลย่ี นรายวชิ าเรยี นใหม่ ท้งั น้ี ให้
อยู่ในดลุ ยพนิ ิจของสถานศึกษา
ในกรณีท่เี ปลยี่ นรายวิชาเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียน
วา่ เรยี นแทนรายวิชาใด
2.3.2 การเปลี่ยนผลการเรียน “ร”
การเปลย่ี นผลการเรยี น “ร” ให้ดาเนนิ การ ดงั นี้
ให้ผู้เรียนดาเนินการแก้ไข “ร” ตามสาเหตุ เม่อื ผเู้ รียนแก้ไขปญั หาเสร็จแล้ว
ให้ไดร้ ะดับผลการเรียนตามปกติ (ตั้งแต่ 0 – 4)
ถา้ ผเู้ รยี นไม่ดาเนนิ การแก้ไข “ร” กรณที ี่สง่ งานไม่ครบ แต่มีผลการประเมิน
ระหวา่ งภาคเรยี นและปลายภาค ใหผ้ ู้สอนนาข้อมลู ท่ีมอี ยตู่ ัดสนิ ผลการเรียน ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัย ให้
อยู่ในดลุ พินิจของสถานศกึ ษาทจ่ี ะขยายเวลาแก้ “ร” ออกไปอีกไมเ่ กิน 1 ภาคเรียน สาหรับภาคเรียน
ท่ี 2 ต้องดาเนนิ การใหเ้ สรจ็ ส้ินภายในปกี ารศึกษานน้ั เมอ่ื พน้ กาหนดนีแ้ ลว้ ใหเ้ รียนซ้า หากผลการเรียน
เป็น “0” ใหด้ าเนนิ การแกไ้ ขตามหลักเกณฑ์
2.3.3 การเปลย่ี นผลการเรียน “มส”
การเปลีย่ นผลการเรียน “มส” มี 2 กรณี ดังนี้
1) กรณผี ้เู รยี นได้ผลการเรยี น “มส” เพราะมีเวลาเรยี นไม่ถึงร้อยละ 80 แต่
มเี วลาเรยี นไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 60 ของเวลาเรยี นในรายวิชานั้น ให้สถานศึกษาจดั ใหเ้ รยี นเพิ่มเติมโดย
ใช้ช่ัวโมงสอนซ่อมเสริม หรือใช้เวลาว่าง หรือใชว้ ันหยุด หรือมอบหมายงานใหท้ า จนมเี วลาเรียนครบ
ตามท่กี าหนดไว้สาหรบั รายวชิ านั้น แล้วจึงใหว้ ดั ผลปลายภาคเป็นกรณีพิเศษ ผลการแก้ “มส” ให้ได้
ระดับผลการเรียนไม่เกิน “1” การแก้ “มส” กรณีน้ีให้กระทาให้สาเร็จภายในปีการศึกษาน้ัน ถ้า
ผ้เู รยี นไม่มาดาเนินการแก้ “มส” ออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียน แต่เม่ือพ้นกาหนดนี้แล้ว ให้ปฏิบัติ
ดงั นี้

(1) ถ้าเปน็ รายวิชาพนื้ ฐานใหเ้ รยี นซ้ารายวชิ านั้น
(2) ถา้ เปน็ รายวิชาเพ่ิมเติมใหอ้ ยู่ในดุลยพนิ จิ ของสถานศึกษา ให้เรียนซ้า
หรอื เปลี่ยนรายวชิ าเรยี นใหม่
2) กรณีผู้เรยี นไดผ้ ลการเรยี น “มส” เพราะมเี วลาเรียนนอ้ ยกว่าร้อยละ 60
ของเวลาเรียนทัง้ หมด ใหส้ ถานศกึ ษาดาเนนิ การ ดงั นี้
(1) ถ้าเป็นรายวิชาพืน้ ฐาน ใหเ้ รยี นซ้ารายวชิ าน้นั
(2) ถ้าเปน็ รายวชิ าเพิ่มเตมิ ใหอ้ ยูใ่ นดลุ พินิจของสถานศึกษา ให้เรียนซ้า
หรอื เปลย่ี นรายวชิ าใหม่
ในกรณีท่เี ปลยี่ นรายวชิ าเรียนใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรียน
วา่ เรยี นแทนรายวชิ าใด
กรณีเรียนซา้ รายวิชา ผู้เรยี นทไี่ ดร้ ับการสอนซอ่ มเสริมและสอบแก้ตัว 2 คร้ัง
แล้วไมผ่ ่านเกณฑ์การประเมนิ ใหเ้ รยี นซ้ารายวชิ าน้ัน ทงั้ นใี้ ห้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาในการจัด

338

เรียนซ้าในชว่ งใดช่วงหนงึ่ ทส่ี ถานศึกษาเหน็ ว่าเหมาะสม เชน่ พักกลางวนั วนั หยุด ชวั่ โมงว่างหลงั เลิกเรียน
ภาคฤดูร้อน เป็นตน้

ในกรณีภาคเรียนท่ี 2 หากผู้เรียนยังมีผลการเรียน “0” “ร” “มส” ให้
ดาเนินการใหเ้ สร็จสน้ิ กอ่ นเปดิ เรยี นปกี ารศกึ ษาถดั ไป สถานศึกษาอาจเปดิ การเรยี นการสอนในภาคฤดูรอ้ น
เพ่ือแก้ไขผลการเรียนของผู้เรียนได้ ทั้งนห้ี ากสถานศกึ ษาใดไม่สามารถดาเนนิ การเปดิ สอนภาคฤดูร้อนได้
ใหส้ านกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา/ตน้ สงั กดั เปน็ ผพู้ จิ ารณาประสานงานให้มกี ารดาเนินการเรยี นการสอน
ในภาคฤดรู ้อนเพื่อแก้ไขผลการเรียนของผ้เู รียน

2.3.4 การเปลี่ยนผล “มผ”
กรณีทผ่ี ู้เรียนไดผ้ ล “มส” สถานศกึ ษาต้องจัดซ่อมเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นทากจิ กรรม

ในสว่ นที่ผู้เรียนไม่ได้เข้าร่วมหรือไม่ได้ทาจนครบถ้วน แล้วจึงเปล่ียนผลจาก “มผ” เป็น “ผ” ได้ ทั้งน้ี
ดาเนนิ การให้เสร็จสิ้นภายในภาคเรียนนนั้ ๆ ยกเวน้ มเี หตุสุดวิสยั ใหอ้ ยใู่ นดุลพนิ ิจของสถานศกึ ษาท่ีจะ
พจิ ารณาขยายเวลาออกไปอีกไม่เกิน 1 ภาคเรียน สาหรับภาคเรียนท่ี 2 ต้องดาเนินการให้เสร็จสิ้น
ภายในปีการศกึ ษาน้นั

2.4 การเลอ่ื นชนั้
เม่ือสิ้นปีการศึกษา ผู้เรียนจะได้รับการเล่ือนช้ัน เมื่อมีคุณสมบัติตามเกณฑ์

ดงั ต่อไปน้ี
2.4.1 รายวชิ าพนื้ ฐานและรายวิชาเพ่มิ เตมิ ได้รับการตดั สนิ ผลการเรยี นผ่านตาม

เกณฑท์ ี่สถานศึกษากาหนด
2.4.2 ผเู้ รยี นตอ้ งได้รับการประเมินมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษา

กาหนดในการอา่ น คิดวเิ คราะห์ และเขียน คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์และกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน
2.4.3 ระดับผลการเรยี นเฉลยี่ ในปีการศกึ ษานน้ั ควรไดไ้ มต่ ่ากว่า 1.00

ทงั้ น้ี รายวิชาใดทีไ่ ม่ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ สถานศึกษาสามารถซ่อมเสริมผู้เรียน
ให้ได้รับการแก้ไขในภาคเรียนถัดไป ท้ังนี้สาหรับภาคเรียนท่ี 2 ต้องดาเนินการให้เสร็จส้ินภายในปี
การศกึ ษานัน้

2.5 การสอนซอ่ มเสรมิ
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 กาหนดใหส้ ถานศึกษา

จดั สอนซอ่ มเสริมเพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ของผเู้ รียนเตม็ ตามศกั ยภาพ
การสอนซ่อมเสรมิ เปน็ การสอนเพอื่ แก้ไขขอ้ บกพร่อง กรณีที่ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ

กระบวนการหรือเจตคต/ิ คณุ ลักษณะ ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด สถานศึกษาต้องจัด
สอนซอ่ มเสริมเปน็ กรณพี ิเศษนอกเหนือไปจากการสอนตามปกติ เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนสามารถบรรลุ
ตามมาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วัดทกี่ าหนดไว้ เปน็ การให้โอกาสแกผ่ ู้เรยี นไดเ้ รียนรู้และพัฒนา โดยจัด
กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ห่ี ลากหลายและตอบสนองความแตกต่างระหวา่ งบุคคล

การสอนซอ่ มเสริมสามารถดาเนินการไดใ้ นกรณี ดังตอ่ ไปนี้
1) ผูเ้ รยี นมีความรู้/ทักษะพ้ืนฐานไม่เพียงพอที่จะศึกษาในแต่ละรายวิชาน้ัน ควร
จัดการสอนซอ่ มเสริมปรับความร้/ู ทักษะพื้นฐาน

339

2) ผู้เรียนไมส่ ามารถแสดงความรู้ ทักษะ กระบวนการ หรือเจตคติ/คุณลักษณะที่
กาหนดไวต้ ามมาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชีว้ ดั ในการประเมนิ ผลระหว่างเรียน

3) ผูเ้ รยี นทไ่ี ด้ระดบั ผลการเรยี น “0” ให้จดั การสอนซ่อมเสรมิ ก่อนสอบแกต้ วั
4) กรณีผูเ้ รยี นมผี ลการเรยี นไมผ่ ่าน สามารถจัดสอนซ่อมเสริมในภาคฤดูร้อนเพื่อ
แกไ้ ขผลการเรยี น ทงั้ นใี้ ห้อยู่ในดุลยพนิ ิจของสถานศึกษา
2.6 การเรียนซา้ ชน้ั
ผ้เู รียนที่ไมผ่ า่ นรายวิชาจานวนมากและมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนใน
ระดบั ช้นั ที่สงู ขน้ึ สถานศกึ ษาอาจตั้งคณะกรรมการพจิ ารณาให้เรียนซ้าชน้ั ได้ ใหค้ านงึ ถงึ วฒุ ภิ าวะและ
ความรคู้ วามสามารถของผูเ้ รียนเป็นสาคัญ การเรียนซา้ ชน้ั มี 2 ลกั ษณะคอื
1) ผ้เู รยี นมีระดบั ผลการเรยี นเฉลยี่ ในปกี ารศึกษานั้นต่ากว่า 1.00 และมแี นวโน้มว่า
จะเป็นปญั หาการเรยี นในระดบั ช้นั ท่ีสงู ขน้ึ
2) ผเู้ รียนมีผลการเรียน 0, ร, มส. เกนิ ครง่ึ หนึง่ ของรายวชิ าท่ีลงทะเบยี นเรียนในปี
การศกึ ษานนั้
ทั้งน้ี หากเกิดลักษณะใดลักษณะหนึ่ง หรือท้ัง 2 ลักษณะ ให้สถานศึกษาแต่งต้ัง
คณะกรรมการพิจารณา หากเห็นวา่ ไม่มีเหตผุ ลอนั สมควรกใ็ ห้ซ้าชั้น โดยยกเลิกผลการเรียนเดิมและ
ให้ใชผ้ ลการเรยี นใหมแ่ ทน หากพิจารณาแล้วไม่ต้องเรียนซ้าช้ัน ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาใน
การแกไ้ ขผลการเรียน
2.7 เกณฑก์ ารจบระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาตอนตน้
1) ผู้เรยี นเรียนรายวิชาพืน้ ฐานและเพ่ิมเติมไม่เกิน 81 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา
พื้นฐาน 66 หนว่ ยกิต และรายวิชาเพ่มิ เติมที่สถานศึกษากาหนด
2) ผู้เรยี นตอ้ งไดห้ นว่ ยกิตลอดหลกั สูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชา
พ้นื ฐาน 66 หนว่ ยกิต และรายวชิ าเพม่ิ เตมิ ไม่น้อยกวา่ 11 หน่วยกิต
3) ผูเ้ รยี นมผี ลการประเมนิ การอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขยี นในระดับผ่านเกณฑ์การ
ประเมินตามสถานศกึ ษากาหนด
4) ผเู้ รียนผลการประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมิน
ตามที่สถานศึกษากาหนด
5) ผ้เู รียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมิน
ตามทีส่ ถานศึกษากาหนด
2.8 เกณฑก์ ารจบระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 81 หน่วยกิต โดยเป็น
รายวิชาพื้นฐาน 41 หนว่ ยกิต และรายวิชาเพม่ิ เตมิ ตามทสี่ ถานศึกษากาหนด
2) ผู้เรยี นต้องได้หน่วยกิตตลอดหลกั สูตรไมน่ อ้ ยกวา่ 77 หนว่ ยกิต โดยเป็นรายวชิ า
พืน้ ฐาน 41 หนว่ ยกิต และรายวิชาเพ่ิมเติมไมน่ ้อยกว่า 76 หน่วยกติ
3) ผู้เรยี นมีผลการประเมินการอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี นในระดบั ผา่ นเกณฑ์การ
ประเมนิ ตามสถานศึกษากาหนด

340

4) ผูเ้ รียนมีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคใ์ นระดบั ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ
ตามที่สถานศึกษากาหนด

5) ผเู้ รยี นเข้าร่วมกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี นและมีผลการประเมินผา่ นเกณฑ์การประเมิน
ตามที่สถานศึกษากาหนด

การเทยี บโอนผลการเรยี น

สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรียนจากสถานศึกษาได้ในกรณีต่าง ๆ
ไดแ้ ก่ การยา้ ยสถานศกึ ษา การเปลี่ยนรปู แบบการศึกษา การยา้ ยหลกั สตู ร การออกกลางคนั และการ
ขอกลบั เขา้ รบั การศึกษาตอ่ การศึกษาจากต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากน้ียัง
สามารถเทียบโอนความรู้ ทักษะประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรู้อ่ืน ๆ เช่น สถานประกอบการ
สถาบนั ทางศาสนา สถาบันการฝกึ อบรมอาชีพการจัดการศกึ ษาโดยครอบครัว เป็นตน้

การเทียบโอนผลการเรียนควรดาเนินการในช่วงก่อนเปิดภาคเรียน หรือต้นภาคเรียนท่ี
สถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนเป็นผู้เรียน ทั้งนี้ ผู้เรียนท่ีได้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษา
ตอ่ เนอื่ งในสถานศกึ ษาที่รบั เทียบโอนอยา่ งน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศึกษาท่ีรับการเทียบโอนควร
กาหนดรายวิชา จานวนหน่วยกิตที่จะรับเทียบโอนตามความเหมาะสมการพิจารณาการเทียบโอน
สามารถดาเนนิ การ ดงั น้ี

1. พจิ ารณาจากหลักฐานการศกึ ษาและเอกสารอืน่ ๆ ท่ใี ห้ขอ้ มูลแสดงความรคู้ วามสามารถ
ของผู้เรยี น

2. พิจารณาจากความรคู้ วามสามารถของผู้เรียน โดยการทดสอบดว้ ยวิธีการต่าง ๆ ท้ังภาค
ความรแู้ ละภาคปฏิบัติ

3. พจิ ารณาจากความสามารถและการปฏบิ ัตใิ นสภาพจรงิ
การเทียบโอนผลการเรียนให้ดาเนินการในรูปของคณะกรรมการการเทียบโอนจานวน
ไม่น้อยกวา่ 3 คน แต่ไม่ควรเกนิ 5 คน โดยมีแนวทางในการเทยี บโอน ดงั น้ี
1) กรณีผู้ขอเทียบโอนมีผลการเรียนมาจากหลักสูตรอ่ืนให้นารายวิชาหรือหน่วยกิตท่ีมี
มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้วี ัด/ผลการเรียนรู้/จดุ ประสงค/์ เน้อื หาทีส่ อดคลอ้ งกันไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 60
มาเทียบโอนผลการเรยี น และพิจารณาให้ระดบั ผลการเรยี นใหส้ อดคล้องกบั หลกั สตู รทีร่ ับเทยี บโอน
2) กรณกี ารเทียบโอนความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ ให้พิจารณาจากเอกสารหลักฐาน
(ถ้ามี) โดยให้มีการประเมินด้วยเคร่ืองมือท่ีหลากหลาย และให้ระดับผลการเรียนให้สอดคล้องกับ
หลักสูตรท่ีรบั เทียบโอน
3) กรณีการเทียบโอนนักเรียนท่ีเข้าโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศ ให้ดาเนินการตาม
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการเรอ่ื งหลกั การและแนวปฏิบัติการเทียบชั้นการศึกษาสาหรับนักเรียนที่
เข้ารว่ มโครงการแลกเปล่ียน
วิธีการเทยี บโอนผลการเรียนให้เปน็ ไปตามหลักการและแนวทางการเทียบโอนผลการเรียน
ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เร่ืองการเทียบโอนผลการเรียนการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และ
การศึกษาระดบั อดุ มศึกษา ระดบั ต่ากวา่ ปรญิ ญา ประกาศ ณ วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2540 และแนว

341

ปฏิบัติท่ีเก่ียวกับการเทียบโอนผลการเรียนเข้าสู่การศึกษาในระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึง
จดั ทาโดยสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน (สงิ หาคม 2549)

เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา

หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดเอกสารหลักฐานการศึกษาท่ี
สถานศึกษาจะต้องดาเนนิ การเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาท่ีกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
และเอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาท่ีสถานศกึ ษากาหนด

1. เอกสารหลักฐานการศกึ ษาทีก่ ระทรวงศึกษาธิการกาหนด
1.1 ระเบยี นแสดงผลการเรียน (ปพ.1)
เป็นเอกสารสาหรับบันทึกข้อมูลผลการเรียนของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลาง

การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ไดแ้ ก่ ผลการเรยี นตามกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ผลการประเมิน
การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และผลการประเมิน
กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น สถานศกึ ษาจะต้องจดั ทาและออกเอกสารนี้ให้ผเู้ รียนเป็นรายบุคคล เมอ่ื ผเู้ รียน
จบการศึกษาแต่ละระดับหรอื เม่อื ผู้เรยี นออกจากสถานศกึ ษาในทกุ กรณเี พอื่ ใช้แสดงผลการเรียนตาม
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551

1.2 ประกาศนยี บตั ร (ปพ.2)
เปน็ เอกสารแสดงวฒุ ิการศึกษาทีม่ อบใหแ้ ก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับและผู้สาเร็จ

การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 เพื่อรบั รองศักดิ์
และสิทธิ์ของผู้สาเร็จการศกึ ษาตามวฒุ ิแห่งประกาศนยี บัตร

1.3 แบบรายงานผ้สู าเรจ็ การศึกษา (ปพ.3)
เปน็ เอกสารสาหรับอนุมตั จิ บการศกึ ษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน

ของผ้เู รยี นในแตล่ ะร่นุ การศกึ ษา โดยบนั ทกึ รายชอ่ื และข้อมูลทางการศึกษาของผู้จบการศึกษาระดับ
ประถมศึกษา (ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6) ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) และผู้จบ
การศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน (ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6) ใช้เป็นเอกสารสาหรับตัดสินและอนุมัติผลการเรียนให้
ผูเ้ รียนสาเร็จการศกึ ษา และใช้ในการตรวจสอบยืนยัน และรับรองความสาเร็จและวุฒิการศึกษาของ
ผู้สาเรจ็ การศกึ ษาแต่ละคนตลอดไป

2. เอกสารหลักฐานการศึกษาท่สี ถานศึกษากาหนด
เปน็ เอกสารทีส่ ถานศกึ ษาจดั ทาขึน้ เพื่อบนั ทกึ พัฒนาการ ผลการเรียนรู้ และขอ้ มลู สาคญั

เก่ียวกบั ผเู้ รียน เช่น แบบบันทกึ ผลการเรียนประจารายวชิ า แบบรายงานประจาตวั นักเรียน ระเบียน
สะสม ใบรับรองผลการเรยี น และเอกสารอ่นื ๆ ตามวัตถปุ ระสงคข์ องการนาเอกสารไปใช้

2.1 แบบบันทึกผลการเรยี นประจารายวิชา
เป็นเอกสารท่สี ถานศึกษาจดั ทาข้นึ เพ่ือใหผ้ สู อนใช้บนั ทกึ ขอ้ มูลการวัดและประเมินผล

การเรียนตามแผนการจดั การเรยี นการสอนและประเมนิ ผลการเรียน และใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณา
ตดั สินผลการเรียนแตล่ ะรายวชิ า เอกสารนค้ี วรจัดทาเพ่ือบนั ทกึ ขอ้ มูลของผู้เรียนเป็นรายหอ้ ง เอกสาร
บนั ทึกผลการเรยี นประจารายวิชานาไปใชป้ ระโยชน์ ดังนี้

342

1) ใชเ้ ป็นเอกสารเพือ่ การดาเนินงานของผู้สอนแตล่ ะคนในการวัดและประเมินผล
การเรยี นของผูเ้ รียนแต่ละรายวชิ า รายหอ้ ง

2) ใช้เปน็ หลกั ฐานสาหรบั ตรวจสอบ รายงาน และรับรองขอ้ มูลเกย่ี วกับการวดั และ
ประเมินผลการเรยี น

3) เปน็ เอกสารทีผ่ บู้ รหิ ารสถานศึกษาใชใ้ นการอนุมตั ผิ ลการเรียนประจาภาคเรยี น/
ปกี ารศกึ ษา

2.2 แบบรายงานประจาตวั นักเรยี น
เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจดั ทาขึน้ เพ่อื บนั ทกึ ข้อมลู การประเมนิ ผลการเรียนรู้ และ

พฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ ของผู้เรียนแตล่ ะคนตามเกณฑ์การตัดสินการผา่ นระดับชน้ั ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน รวมทั้งขอ้ มลู ดา้ นตา่ ง ๆ ของผู้เรียนทั้งท่ีบ้านและโรงเรียน เป็นเอกสารรายบุคคล
สาหรับส่ือสารให้ผปู้ กครองของผเู้ รยี นแตล่ ะคนไดร้ ับทราบผลการเรยี นและพัฒนาการด้านตา่ ง ๆ ของ
ผู้เรยี น และรว่ มมือในการพฒั นาผู้เรยี นอย่างตอ่ เน่อื ง

2.3 ใบรบั รองผลการเรยี น
เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทาข้ึนเพื่อรับรองสถานภาพความเป็นผู้เรียนใน

สถานศึกษาท่กี าลังศึกษาอยู่หรอื รบั รองผลการเรียน หรือวุฒิของผ้เู รยี นเป็นการช่ัวคราวตามที่ผู้เรียน
รอ้ งขอ ทงั้ กรณีทผ่ี เู้ รยี นกาลงั ศึกษาอยูใ่ นโรงเรียนหรือเมือ่ จบการศกึ ษาไปแลว้ แต่กาลงั รอรับหลกั ฐาน
การศึกษา ระเบียนแสดงผลการเรยี น เปน็ ต้น ใบรับรองผลการเรยี นมอี ายุการใชง้ านชัว่ คราว โดยปกติ
ประมาณ 30 วัน ซง่ึ ผูเ้ รียนสามารถนาไปใช้เป็นหลักฐานแสดงคุณสมบัติของผู้เรียนในการสมัครเข้า
ศึกษาต่อ สมัครเข้าทางานหรือเมื่อมีกรณีอ่ืนใดท่ีผู้เรียนแสดงคุณสมบัติเกี่ยวกับวุฒิความรู้ หรือ
สถานภาพการเปน็ ผเู้ รียนของตน

2.4 ระเบียนสะสม
เปน็ เอกสารท่สี ถานศกึ ษาจดั ทาข้ึนเพื่อบันทกึ ข้อมลู เกีย่ วกบั พัฒนาการของผู้เรียน

ในด้านต่าง ๆ เป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงระยะเวลาการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน 12 ปี ระเบยี นสะสมใหข้ อ้ มลู ท่เี ป็นประโยชนใ์ นการแนะแนวทางการศึกษา และ
การประกอบอาชพี ของผเู้ รยี น การพัฒนาปรับปรุงบุคลกิ ภาพ การปรับตัวของผเู้ รียน และผลการเรยี น
ตลอดจนรายงานกระบวนการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนระหว่างสถานศึกษากับบ้าน และใช้เป็น
หลกั ฐานในการตรวจสอสบคณุ สมบัติของผู้เรียนตามความเหมาะสม

การศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 (21st Century Education)

แนวทางการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ได้พัฒนาจากความร่วมมือของนักศึกษา นักวิจัย
องคก์ รท่ีเกีย่ วขอ้ งและนกั ธรุ กจิ โดยกาหนดแนวทางการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนท่ี 1 เป็นผลทีเ่ กิดกับนักเรียน (Student Outcomes) และส่วนที่ 2 ระบบสนับสนุน (Support
Systems) (Partnership for 21 st Century Learning, 2009)


Click to View FlipBook Version