90
1. การสังเกตของครูผู้สอนในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนน้ัน การสังเกต
ของครผู สู้ อนจะทาใหไ้ ดร้ บั ข้อมลู เกย่ี วกบั ความสัมพันธ์เบือ้ งต้นระหว่างผู้เรียนว่าเปน็ อยา่ งไร
2. การรายงานตนเอง เป็นข้อมูลที่ได้จากการกาหนดให้ผู้เรียนได้เขียนบรรยายเพ่ือ
สะท้อนความคิดเห็นและเจตคติของตนเองท่มี ตี ่อเพอื่ น
3. การศึกษาองค์ประกอบของกลุ่ม การทาความรู้จักหรือคุ้นเคยกับผู้เรียนทั้งกลุ่มท้ัง
ทางสังคมและสติปัญญา จะชว่ ยทาให้เห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ของสังคมในกลุ่มผู้เรียนได้มาก
ยิ่งขึน้
2. ข้อดีของสังคมมิติ
ทาให้สามารถรวบรวมข้อมลู ที่เทยี่ งตรงเกีย่ วกบั วตั ถุประสงค์เฉพาะของบุคคลแต่ละคน
ในกลุม่ ของตน ส่งิ เหล่านี้ทาให้ทราบวา่ เพื่อน ๆ มองกันและกนั ในลักษณะใด
3. ข้อเสนอแนะในการทาสงั คมมิติ
1) ควรทาเม่อื ผู้เรียนในกลมุ่ ร้จู กั กันเป็นอย่างดี
2) สถานการณ์หรือคาถาม ที่ใหเ้ ลือกตอ้ งทาใหเ้ กดิ ความร้สู กึ จรงิ จงั เพือ่ ใหเ้ ดก็ พิจารณา
เลือกเพ่ือนทีต่ นพอใจอย่างแท้จรงิ
3) อย่าด่วนสรุปสภาพสงั คมในกลุ่มจากการทาสงั คมมติ ิเพยี งครัง้ เดยี ว ควรทาหลาย ๆ คร้งั
และทาหลาย ๆ สถานการณ์
คาตอบของเดก็ อาจนาทางไปสู่ความจริงเก่ียวกับสังคมในกลุ่มได้บ้าง แต่ควรใช้วิธีการ
อนื่ ๆ เพอ่ื ให้ได้ขอ้ มูลดกี ว่าเดมิ ซ่ึงการสังเกต การสัมภาษณ์ และคาตอบของเด็กควรถูกนามาใช้ใน
บางโอกาสท่เี หมาะสมให้เห็นเปน็ รปู ธรรม เพื่อให้เดก็ เห็นความสาคญั ในการใหข้ ้อมลู แก่ครแู ละจะเกิด
ความรสู้ กึ พงึ พอใจท่ีความต้องการของตนไดร้ ับการตอบสนอง
แบบตรวจสอบรายการ (Ckecklist)
แบบตรวจสอบรายการ เป็นเคร่อื งมือท่ีใช้ในการประเมินพฤติกรรม คุณลักษณะ หรือการ
ปฏิบัติว่าผู้ถูกประเมินมีหรือไม่มี ทาหรือไม่ทา และพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่ทามีความถ่ี (Frequency)
เท่าไหร่ แบบตรวจสอบรายการนิยมใชใ้ นการประเมนิ ดา้ นจติ พิสัย และทักษะพสิ ัย
แบบตรวจสอบรายการเป็นเครื่องมือท่ีใช้วัดพฤติกรรมปฏิบัติงาน โดยมีการบันทึก
พฤติกรรมท่ีสังเกตว่าพฤติกรรมหรือกิจกรรมใดปฏิบัติหรือไม่ แบบตรวจสอบรายการนิยมใช้กับ
กจิ กรรมทม่ี ลี าดบั ขั้นตอนในการปฏิบตั ิ
1. หลักการสรา้ งแบบตรวจสอบรายการ
1.1 กาหนดลกั ษณะของสง่ิ ทตี่ ้องการประเมิน
1.2 นยิ ามปฏิบตั กิ ารของสิง่ ท่ีต้องการประเมนิ
1.3 กาหนดพฤติกรรมที่บง่ ชี้ หรอื แสดงคุณลกั ษณะของส่ิงท่ีตอ้ งการประเมิน
1.4 เขียนขอ้ ความทีแ่ สดงพฤตกิ รรมหรอื คณุ ลักษณะของสง่ิ ทีต่ ้องการประเมิน
1.5 กาหนดวิธีการบันทึกพฤติกรรม หรอื คณุ ลกั ษณะ เป็นความถี่การกระทาว่าม/ี ทาหรอื ไม่
1.6 สรา้ งเกณฑ์ในการใหค้ ะแนน
91
1.7 ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง เหมาะสมของขอ้ ความ วิธีการบันทึกและเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
1.8 การนาไปใชแ้ ละประยุกตใ์ ช้
ตัวอย่างท่ี 3.12 แบบตรวจสอบรายการ “การร่ายราเบอื้ งต้น”
รายการประเมนิ ทาได้ ทาไม่ได้
1. วิธกี าร ................ ................
1.1 การใช้มอื ................ ................
1) จีบคว่า
2) จีบหงาย ................ ................
1.2 การใชล้ าแขน ................ ................
1) ตงั้ วงล่าง ……………. …………….
2) ตงั้ วงกลาง
3) ตง้ั วงบน …………….. ……………..
2. ผลงาน
- แสดงทา่ ราเบอ้ื งตน้ ได้
ที่มา : กองวชิ าการ สานักงานการประถมศึกษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2539 : 91)
2. ขอ้ ดีและขอ้ จากดั
2.1 ข้อดี
1) สรา้ งไดง้ า่ ยและการประเมนิ หรือตอบไมย่ งุ่ ยาก
2) ประเมนิ ได้งา่ ย ไมย่ งุ่ ยาก
3) นาผลไปวิเคราะห์ และแปลผลได้ง่าย
4) สามารถนาไปใชร้ ว่ มกับการสังเกตพฤตกิ รรมต่าง ๆ ไดด้ ี
2.2 ขอ้ จากดั
1) มรี ปู แบบในการตอบแบบเดียว ทาให้ผตู้ อบเบือ่ หนา่ ย
2) ถ้านาไปใช้ประกอบการประเมนิ ผปู้ ระเมินต้องเขา้ ไปสังเกตพฤติกรรมโดยตรง
ของผ้ถู ูกประเมนิ จึงจะไดข้ ้อมลู ทีถ่ กู ตอ้ ง ทาให้เสยี เวลา
3) ต้องประเมนิ ตามรายการทีก่ าหนดเท่านั้น ไมม่ กี ารยืดหย่นุ
มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale)
มาตราส่วนประมาณค่าแตกต่างจากแบบตรวจสอบรายการ กล่าวคือ แบบตรวจสอบ
รายการตอ้ งการทราบว่ามหี รอื ไมม่ ใี นเรือ่ งน้นั แต่มาตราส่วนประมาณค่าต้องการทราบรายละเอียด
ยิง่ ขน้ึ ว่ามีอย่เู พียงใด หรอื มีในระดับใด เพื่อจัดอันดับคุณภาพในการประมาณค่า กระบวนการ ผลิต
และวัดคุณลกั ษณะนสิ ยั หรอื ลักษณะทางจิตวิทยา เช่น ความสนใจ คา่ นิยม การปรับตัว ความคิดเห็น
เปน็ ต้น
92
1. การเขยี นขอ้ ความและการกาหนดรปู แบบของมาตราประมาณค่า
ข้อควรคานึงในการเขียนข้อความและการกาหนดรูปแบบของมาตราส่วนประมาณค่า มี
ดงั น้ี (Hopkins and Antes. 1990 : 84)
1.1 หลีกเลี่ยงการกาหนดคะแนนที่มีความละเอยี ดจนเกินไป หรอื ความหา่ งของคะแนน
นอ้ ยมาก ได้แก่ การกาหนดเป็นทศนยิ ม เชน่ 1, 1.1, 1.2, 1.3 เปน็ ตน้
1.2 หลีกเล่ยี งการกาหนดคะแนนทีห่ า่ งกนั มาก เช่น 1, 5, 10, 15, 20 เป็นต้น เพราะทา
ใหย้ ากในการจาแนก
1.3 ควรใชร้ ะดบั ความเข้มหรือคะแนนทเี่ ปน็ จานวนคู่ เชน่ 4, 6, 8 ระดับ หรอื เห็นด้วย
อย่างยิง่ เห็นดว้ ย ไมเ่ ห็นด้วย ไม่เหน็ ด้วยออย่างย่ิง เป็นต้น เพ่ือหลีกเลี่ยงการเลือกตอบระดับกลาง
หรอื ตวั เลขทอ่ี ยู่ตรงกลาง
1.4 ถ้ามาตราสว่ นประมาณค่าเปน็ แบบเส้นหรือกราฟ ควรให้ผู้ตอบทาเคร่ืองหมายท่ีตรง
เลขนัน้ ๆ ถา้ ใหท้ าเครือ่ งหมายระหวา่ งตัวเลข จะทาให้การแปลผลกากวม เพราะไมร่ วู้ ่าผตู้ อบต้องการ
จะเลอื ก 1 หรือ 2 เช่น
X
1234
1.5 ถา้ เปน็ ตวั เลขควรมคี าอธบิ ายว่า ตัวเลขแตล่ ะตัวแทนความหมายอะไร เช่น
4 แทน เห็นด้วยอย่างยง่ิ
3 แทน เห็นดว้ ย
2 แทน ไม่เห็นด้วย
1 แทน ไมเ่ ห็นด้วยอยา่ งยงิ่
1.6 การกาหนดระดบั ความเขม้ ของความรู้สึกอาจจะใช้เป็นภาษา เป็นประโยค วลี คา
กไ็ ด้แต่ตอ้ งเป็นคาท่มี องเห็นถงึ ความแตกต่างกัน เชน่
ไม่เคย บางครงั้ ทาเปน็ ส่วนใหญ่ เสมอ ๆ
2. หลักการสรา้ งมาตราสว่ นประมาณค่า
2.1 กาหนดลกั ษณะของสิ่งทต่ี ้องการประเมิน
2.2 นยิ ามเชงิ ปฏิบัติการของส่งิ ท่ีตอ้ งการประเมิน
2.3 กาหนดพฤตกิ รรมทบ่ี ง่ ชี้ หรือแสดงคุณลักษณะของสิง่ ทตี่ ้องการประเมิน
2.4 เขียนขอ้ ความทแ่ี สดงพฤติกรรมหรอื คุณลกั ษณะของสงิ่ ท่ตี อ้ งการประเมนิ
2.5 กาหนดรูปแบบของมาตราส่วนประมาณค่า เช่น แบบสังเกต แบบบรรยาย แบบ
กราฟ แบบใชส้ ญั ลกั ษณ์ หรือแบบเรยี งลาดบั
2.6 สรา้ งเกณฑ์ในการใหค้ ะแนน
2.7 ตรวจสอบความถูกตอ้ ง เหมาะสมของข้อความ รูปแบบ และเกณฑก์ ารให้คะแนน
2.8 นาไปทดลองใช้ และปรับปรงุ แก้ไข
93
3. รปู แบบของมาตราส่วนประมาณค่า
มาตราส่วนประมาณคา่ มีรปู แบบหลายรปู แบบ ดงั น้ี
แบบท่ี 1 แบบตัวเลข เป็นการใช้ตัวเลขแทนระดับความคิดเห็น เช่น ความคิดเห็น
เกี่ยวกบั การจดั การเรยี นการสอนในมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงใหม่ ซง่ึ มี 5 ระดับให้ผู้ตอบทาเคร่ืองหมาย
ตรงกับความคิดเหน็ ดังนี้
5 = เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ 4 = เหน็ ด้วย
3 = ไม่แนใ่ จ 2 = ไมเ่ หน็ ดว้ ย
1 = ไม่เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง
รายการ ระดับความคิดเห็น
54321
1. เปดิ โอกาสใหน้ กั ศึกษาเลอื กเรียนไดต้ ามสะดวก
2. มีสอ่ื และเทคโนโลยที ่ีทนั สมัย
3. อาจารย์สอนเข้าใจงา่ ย
4. จัดการเรียนการสอนเนน้ ท้งั ทฤษฎีและปฏบิ ัติ
แบบท่ี 2 แบบบรรยาย คลา้ ยกบั แบบตวั เลข ต่างกันตรงที่ใช้เฉพาะข้อความบอก
ระดบั ความรสู้ กึ เชน่
1. นกั เรยี นดูรายการข่าวจากทีวมี ากน้อยเพียงใด
ก. เปน็ ประจา
ข. คอ่ นขา้ งบอ่ ย
ค. พอประมาณ
ง. นาน ๆ ครง้ั
จ. ไมเ่ คยเลย
2. นกั เรียนรว่ มกจิ กรรมของโรงเรียนมากน้อยเพยี งใด
ก. ทุกครง้ั
ข. เป็นสว่ นใหญ่
ค. แลว้ แตโ่ อกาส
ง. ไม่คอ่ ยรว่ ม
3. นักเรยี นชอบเรียนคณิตศาสตร์มากนอ้ ยเพียงใด
ก. มากทสี่ ุด
ข. มาก
ค. ปานกลาง
ง. น้อย
จ. นอ้ ยทส่ี ดุ
94
แบบที่ 3 แบบกราฟ เป็นการใช้กราฟเส้นตรงแบ่งเขตระดับความรู้สึก ใช้ภาษา
ตัวเลข หรือท้งั ภาษาและตัวเลข ประกอบทก่ี ราฟ เช่น
1. การออกกาลงั กายของนกั เรยี น
เป็นประจา 5 4 3 2 1 ไมเ่ คยเลย
2. จังหวะในการร้องเพลงของนกั เรยี น
ดมี าก 5 4 3 2 1 ไม่ดเี ลย
3. การฟังธรรมะตอนเช้า
เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ 5 4 3 2 1 ไม่เหน็ ด้วยอย่างยง่ิ
แบบที่ 4 แบบใชส้ ญั ลกั ษณ์ เปน็ แบบทใี่ ชส้ ญั ลักษณ์ หรอื รูปภาพ เป็นคาตอบ ซึ่ง
เหมาะสาหรบั เด็กเล็ก เช่น
1. การอ่านหนงั สือ
2. การวาดรูป
3. การเรียนภาษาอังกฤษ
แบบที่ 5 แบบจดั ลาดบั ที่ เปน็ แบบให้ผตู้ อบจัดอันดับที่ หรือการเรียงตามความ
สนใจ เช่น
1. จดั ลาดบั วชิ าที่ชอบมากท่ีสดุ ไปหาน้อยที่สดุ โดยให้ผตู้ อบใส่ตัวเลขตั้งแต่
1 ถึง 5 ซ่งึ 1 หมายถงึ นอ้ ยที่สดุ 5 หมายถึง มากท่ีสดุ
..........กีฬา
..........วิทยาศาสตร์
..........ศิลปะ
..........ภาษาองั กฤษ
..........ดนตรี
95
2. ระบุความสนใจในรายการโทรทัศน์จากมากท่ีสุดไปหาน้อยท่ีสุด โดยให้
ผู้ตอบใสต่ วั เลขต้งั แต่ 1 ถึง 5 ซึ่ง 1 หมายถึง น้อยที่สุด 5 หมายถงึ มากท่ีสุด
..........บันเทิง
..........ละคร
..........กีฬา
..........สารคดี
..........เกมโชว์
..........ข่าว
4. ขอ้ ดแี ละข้อจากดั
4.1 ขอ้ ดี
1) ประเมนิ ได้ละเอยี ดกว่าแบบตรวจสอบรายการ
2) มีรปู แบบทหี่ ลากหลาย ทาให้ผตู้ อบไมเ่ บื่อหน่าย
3) นาผลไปวิเคราะห์ และแปลผลไดง้ า่ ย เพราะมตี วั เลือกให้ตอบ
4.2 ข้อจากัด
1) มีความคลาดเคลื่อนในการประเมิน ความคลาดเคลื่อนในที่นี้เป็นความ
คลาดเคลื่อนท่ีเกิดจากผู้ประเมินนาแบบประเมินซ่ึงเป็นมาตราส่วนประมาณค่าไปประเมิน เช่น นาไป
ประเมินในขณะสงั เกตพฤติกรรมของนักเรียน โดยความคลาดเคลื่อนเกิดข้นึ ได้ 4 กรณี (McIntire and
Miller. 2000 : 340 และ McMillan. 2001 : 226 – 227) ดังน้ี
1.1) เกดิ จากผปู้ ระเมินใหค้ ะแนนในการประเมินท่สี งู กวา่ ความเปน็ จริง
1.2) เกิดจากผู้ประเมินใหค้ ะแนนในการประเมินทนี่ ้อยกว่าความเป็นจริง
1.3) เกิดจากผปู้ ระเมินใหค้ ะแนนในการประเมนิ ตรงกลางเปน็ ส่วนใหญ่ไม่ประเมิน
ในสว่ นทม่ี ากที่สุดหรือน้อยที่สดุ
1.4) เกิดจากผ้ปู ระเมินใชก้ ารตัดสนิ จากองคป์ ระกอบหรอื มติ ิเดยี วไม่พิจารณา
สิ่งอื่นประกอบ เชน่ นกั เรียนคนหนึ่งไดร้ ับการประเมนิ ว่างานที่สง่ นั้นมีคุณภาพตา่ ถงึ แม้ว่าจานวนงาน
ที่ให้ทาน้ันนักเรียนคนนี้จะทาครบตามที่สั่งก็ตาม จะตัดสินใจว่า ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินน้ันเลย
หรือครูมีความช่ืนชมนักเรียนเป็นการส่วนตัวก็จะให้คะแนนนักเรียนคนนั้นสูง โดยไม่พิจารณาถึง
ผลงานท่ที าเลย
2) ผ้ตู อบไมม่ โี อกาสได้แสดงความคดิ เหน็ เพราะตอ้ งตอบตามตวั เลอื กท่กี าหนด
3) ถา้ มีระดบั ความเข้มของความรู้สึก แบ่งเป็นระดบั คี่ คือแบ่งเป็น 3 หรือ 5 หรือ
7 ระดับ ผู้ตอบส่วนใหญ่อาจจะตอบระดับท่ีเป็นกลาง ทาใหไ้ มไ่ ด้ข้อมูลทีแ่ ทจ้ รงิ
96
สรปุ
เครือ่ งมือและวธิ กี ารทใี่ ชใ้ นการวดั และประเมนิ ผลทางการศกึ ษา มีหลายประเภท การวัดผล
ท่ดี ตี อ้ งวดั ไดต้ ามจุดมุ่งหมายทางการศกึ ษาโดยครอบคลมุ พฤติกรรมทางการศึกษาทงั้ 3 ด้าน คือ ดา้ น
พุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ครูผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกใช้เคร่ืองมือวัดและ
ประเมินผลทางการศกึ ษาใหเ้ หมาะสมและสอดคล้องกบั เนอ้ื หาและจุดประสงค์ที่ต้องการวัด ซ่ึงมีอยู่
หลายประเภทที่นยิ มใชก้ ันมากได้แก่ แบบทดสอบ การสังเกต แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ การวัด
สถานการณ์ สงั คมมิติ แบบตรวจสอบรายการ และมาตราส่วนประมาณค่า ซ่ึงเคร่ืองมือและวิธีการ
วัดผลแต่ละประเภทจะเหมาะสมกับส่ิงท่ีต้องการจะวัดแตกต่างกันออกไป ดังนั้นครูผู้สอนจะต้อง
เรียนรลู้ กั ษณะตา่ ง ๆ ของเคร่อื งมือและวธิ ีการวัดผลแตล่ ะประเภท หลักการสร้าง ข้อดีและข้อจากัด
เพือ่ ให้สามารถนาไปใชใ้ นการวัดพฤตกิ รรมทางการศึกษาในแต่ละดา้ นตามจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
และเพือ่ ประโยชนใ์ นการวดั และประเมินผลที่หลากหลาย ที่มคี วามถูกตอ้ งและเหมาะสมย่ิงข้นึ ต่อไป
คาถามท้ายบท
1. ใหพ้ ิจารณาวา่ ปญั หาแต่ละข้อตอ่ ไปนคี้ วรใชเ้ ครอื่ งมอื วัดชนดิ ใด
1.1 ภาพวาดนี้ควรใหค้ ะแนนเทา่ ไร
1.2 สมศักดมิ์ คี วามรูใ้ นหลักการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษามานอ้ ยเพยี งใด
1.3 จะรูไ้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ เขมชาตพิ ูดจรงิ หรือโกหก
1.4 ควรแนะนาให้สมชายไปเรียนตอ่ สาขาใดดี
1.5 อยากรวู้ ่าสมคดิ จะรสู้ ึกอยา่ งไรหากรู้วา่ ตนเองสอบตก
1.6 ในรอบปที ผ่ี า่ นมาสมหมายมผี ลงานเด่น ๆ อะไรบา้ ง
2. ใหน้ กั ศึกษาไปสงั เกตพฤตกิ รรมการใช้บริการสานกั ทะเบยี นและประมวลผลเปน็ เวลา 1 สปั ดาห์
โดยใหส้ รา้ งแบบสังเกตเพ่อื ใช้บันทกึ ขอ้ มูลขณะสังเกตดว้ ย
3. จงระบุขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของเครอื่ งมอื ตอ่ ไปนี้
3.1 แบบสอบถาม
3.2 แบบตรวจสอบรายการ
3.3 มาตราการประมาณค่า
3.4 การสังเกต
3.5 การสมั ภาษณ์
4. จงอธบิ ายรปู แบบและหลกั การสร้างเคร่ืองมือ ต่อไปน้ี
4.1 แบบทดสอบปรนัย
4.2 แบบทดสอบอตั นยั
4.3 แบบวดั เชงิ สถานการณ์
4.4 แบบสอบถาม
4.5 แบบสมั ภาษณ์
5. สงั คมมิติ จะใช้ได้ดีในกรณใี ด อย่างไร จงอธิบาย
97
เอกสารอา้ งอิง
กองวชิ าการ สานกั งานการประถมศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2539). ค่มู ือการสรา้ งเคร่อื งมอื และ
คมู่ อื วดั ภาคปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภา.
ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง. (2546). การวัดและประเมินผลการศึกษา. กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าวจิ ยั และ
จติ วิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ธนวัฒน์ ธติ ิธนานันท.์ (2556). การวัดและประเมินผลการศึกษา. นครราชสีมา : คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า.
บุญชม ศรสี ะอาด, นภิ า ศรีโรจน์ และนุชวนา ทองทวี. (2528). การวัดผลและการประเมินผลทาง
การศึกษา. มหาสารคาม : โรงพมิ พ์ปรดี าการพมิ พ.์
ปรยี า นลิ แกว้ . (2547). การวัดและประเมินผลการศกึ ษา. เชียงใหม่ : คณะครศุ าสตร์ สถาบัน
ราชภัฏเชยี งใหม่.
พชิ ิต ฤทธ์ิจรูญ. (2552). หลกั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้งั ท่ี 5. กรุงเทพฯ : เฮาสอ์ อฟ เคอร์มสิ ท.์
วชั ราภรณ์ จิตรมาศ. (2550). การพฒั นาแบบวัดความฉลาดทางอารมณ์โดยประยุกต์แนวคดิ ทาง
พทุ ธศาสนา. วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการวัดและประเมินผล. กรุงเทพฯ :
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
วาโร เพ็งสวสั ด.์ิ (2551). วธิ ีวิทยาการวจิ ัย. กรงุ เทพฯ : สุวีรยิ สาสน์ .
วริ ัช วรรณรตั น.์ (2539). การวัดและประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพฯ : สานักทดสอบทางการศกึ ษา
และจติ วิทยา มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร.
วิราพร พงศ์อาจารย.์ (2542). การประเมนิ ผลการเรยี น. พิษณุโลก : สถาบันราชภฏั พิบลู สงคาม.
ศราวุธ จ้อนอย่เู กษม. (2556). ครพู ยาบาลกับการเรยี นการสอน. [ออนไลน]์ . แหลง่ ทมี่ า : http://
www.gotoknow.org/posts/13796 [23 พฤศจกิ ายน 2557]
สมนกึ ภทั ทยิ ธนี. (2551). การวดั ผลการศกึ ษา. พิมพค์ รัง้ ท่ี 6. กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพมิ พ์.
สมนึก ภัททิยธน.ี (2558). การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครง้ั ท่ี 10. กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพิมพ.์
สุภางค์ จนั ทวานิช. (2550). การวิจัยเชิงคุณภาพ. พมิ พค์ ร้ังที่ 5. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
เอมอร จังศริ พิ รปกรณ์. (2550). การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พแ์ หง่
จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
Gronlund, Normam E., and Robert L. Linn. (1990). Measurment and Evaluation in
Teaching. (6th ed). New York : Macmillam.
Hopkins, D.C. and Antes, C.R. (1990). Classroom measurement and Evaluation.
Illinois : Publishers, Inc.
McIntrie, Sandra A. and Miller, Leslie A. (2000). Foundation of Psychological Testing.
United State of America. The McGraw-Hill Companies.
McMillan, James H., (2001). Classroom Assessment Principle and Practice for
Effective Instruction. (2rd ed) : Needham Heights : Allyn & Bacon.
บทที่ 4
เทคนิคการวดั ผลและประเมนิ ผลการศกึ ษา
การวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษาแนวใหม่มีจุดเน้นท่ีการประเมินพัฒนาการจากผู้เรียน
ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย ผู้เรียนเป็นผู้กระทา (Act) มากขึ้น มีส่วนร่วมในการกานดเป้าหมายการ
เรียนรู้ มีการจัดแสดง จัดทาผลงานซ่ึงเป็นหลักฐานการประเมิน มีการประเมินแบบพหุมิติ การ
ประเมนิ บรู ณาการขา้ มวิชา มกั จะมีการประเมนิ หลายครั้งและต่อเนื่อง ดังน้ันการประเมินจึงต้องยึด
หลักการเปรียบเทียบพฤติกรรมผู้เรียนในแต่ละช่วงเวลา ในบททรี้จะนาเสนอเทคนิคการวัดและ
ประเมินผลการศึกษา ได้แก่ การจัดลาดับคุณภาพ (Rank Order) การประเมินจากการปฏิบัติ
(Performance Assessment) การประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) การประเมิน
จากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) และการใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) ซึ่งเป็นการ
ประเมินที่สอดคลอ้ งกับการประเมนิ การเรียนรขู้ องผเู้ รียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551
การจดั ลาดับคณุ ภาพ (Rank Order)
การจัดลาดับคุณภาพจะเน้นการวัดกิจกรรมของผู้เรียนเป็นหลัก ซ่ึงเคร่ืองมือชนิดนี้ใช้
สาหรับจัดอันดบั ของขอ้ มลู หรอื ผลงานต่าง ๆ ของผเู้ รียน แลว้ จึงคดิ ให้คะแนนภายหลังเพื่อการประเมิน
ครไู มค่ วรคิดให้คะแนนทนั ที เพราะอาจจะเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นได้มาก การจัดอนั ดับควรเลือกใช้ใน
2 ลักษณะ (สมนกึ ภัททิยธนี. 2551 : 43 – 48) ดงั นี้
1. ในกรณที ีม่ ผี ลงานหลายช้ินและมีกรรมการวดั ผลคนเดียว
ในการวัดผลบางรายวิชาจะให้คะแนนได้ยาก ลาบาก หรือไม่สมควรจะให้คะแนน
โดยตรง เชน่ เรียงความ จดหมาย คัดไทย ขับร้อง ศิลปะ คหกรรม ฯลฯ หรือผลงานด้านทักษะพิสัย
เช่น การสอบภาคปฏิบัติ (Performance Test) จงึ ควรจัดอนั ดับความสาคัญก่อนให้คะแนน วิธีคิดให้
คะแนนอยา่ งเหมาะสม แบง่ เปน็ 3 แบบ คือ
แบบท่ี 1 การจัดกลุ่มในลักษณะเดียวแล้วจึงให้คะแนนโดยครูกาหนดเกณฑ์ว่าจะ
จาแนกผลงานออกเป็นก่ีกลมุ่ ซึง่ ส่วนมากนิยมจัดกลมุ่ เปน็ จานวนคี่ เช่น 3 กลุ่ม 5 กลุ่ม หรือ 7 กลุ่ม
การแบง่ กลมุ่ นจี้ ะแบ่งตามคุณภาพของผลงาน เรียงจากกลุ่มท่ีมีผลงานดีเย่ียม และถือว่ากลุ่มกลาง
เป็นกลมุ่ ของผลงานท่ีมีคณุ ภาพปานกลาง จากน้ันใหเ้ รมิ่ นาผลงานของนักเรียนแต่ละคนมาพิจารณา
ให้คะแนนจากกลุ่มแรกซ่งึ มีคณุ ภาพดีท่ีสุดวา่ ควรจะให้กค่ี ะแนนโดยยึดคะแนนเต็มเป็นหลัก (อาจจะ
คานงึ ถงึ จานวนนกั เรยี นและผลงานของนักเรยี นรนุ่ ก่อน ๆ ประกอบด้วย จากนั้นจึงให้คะแนนกลุ่มที่
2 ที่ 3 และกลุ่มตอ่ ๆ ไป โดยใหค้ ะแนนลดหลน่ั กนั ไป การให้คะแนนวธิ ีน้ีจะช่วยให้เกดิ ความยุติธรรม
100
แก่ผลงานของนักเรยี นทกุ คน และดีกว่าวิธีเดิมซึ่งตรวจใหค้ ะแนนตามเลขประจาตวั สอบ โดยไม่มกี าร
เปรียบเทยี บผลงานภายในกลุ่มเสียกอ่ น
ข้อเสนอแนะ
1. การคิดให้คะแนนแบบน้ีนับว่าไม่ถูกหลักวัดผลเท่าท่ีควร แต่ให้ผลดีอยู่ข้ันที่ใช้ได้
หากจะยดึ หลักวัดผลจรงิ ๆ จะต้องเรียงผลงานในแตล่ ะกลมุ่ จากที่ดีทีส่ ุดลงมาแล้วนาผลงานกลุ่มมา
เรยี งกันตามคุณภาพ โดยใหม้ ีอันดับท่ตี อ่ กัน จากอนั ดับที่ 1 ในกลุ่มที่ดีที่สดุ ถึงอันดบั สดุ ท้ายของกลุ่ม
ทา้ ย (จะไดอ้ นั ดบั ท่ีเท่ากับจานวนผลงานของนักเรียนทุกคน จากน้ันนาอันดับที่ได้ของผลงานแต่ละ
คนไปแปลงเป็นตาแหนง่ รอ้ ยละ โดยใช้สูตร ดังนี้
ตาแหนง่ ร้อยละของผลงานแตล่ ะคน = (อันดบั ที่ –0.5) x 100
จานวนคนทั้งหมด
เมื่อได้ค่าตาแหน่งร้อยละในผลงานของแต่ละคนแล้ว นาไปเปลี่ยนเป็นคะแนนตามท่ี
ต้องการ โดยเทียบกบั ตารางสาเรจ็ มคี ะแนนเต็มเป็น 100 เรียกว่า บัญชีสาหรับแปลงอันดับคุณภาพ
ให้เป็นคะแนนจากคะแนนเต็ม 100 แต่วิธีการหาตาแหน่งร้อยละ แล้วแปลงให้เป็นคะแนนเช่นนี้
ในการวัดผลการเรียนการสอนมักจะไมไ่ ดน้ ามาใช้ อาจจะเปน็ เพราะไม่เขา้ ใจวธิ ีทาหรืออาจจะเห็นว่า
มกี ระบวนการหลายข้ันตอนหรอื ไมค่ มุ้ แรงงาน ดงั นนั้ ถา้ จดั ผลงานเป็นกล่มุ แล้วคดิ ให้คะแนน ดงั แบบที่ 1
ก็นับวา่ การตรวจใหค้ ะแนนเรยี งตามเลขประจาตัวสอบ (สตู รน้ีสามารถนาไปใช้ได้กบั งานวจิ ยั ที่เกีย่ วกบั
การจดั อันดบั ภาคปฏบิ ตั ิ
ตารางท่ี 4.1 บัญชีสาหรบั แปลงอันดบั คณุ ภาพให้เปน็ คะแนน จากคะแนนเต็ม 100
ตาแหน่งร้อยละ คะแนน ตาแหนง่ รอ้ ยละ คะแนน ตาแหน่งร้อยละ คะแนน
0.09 99 1.42 91 4.38 83
0.20 98 1.68 90 4.92 82
0.32 97 1.96 89 5.51 81
0.45 96 2.28 88 6.14 80
0.61 95 2.63 87 6.18 79
0.78 94 3.01 86 7.55 78
0.97 93 3.43 85 8.33 77
1.18 92 3.89 84 9.17 76
101
ตารางที่ 4.1 บัญชสี าหรบั แปลงอนั ดบั คณุ ภาพให้เป็นคะแนน จากคะแนนเต็ม 100 (ตอ่
ตาแหนง่ รอ้ ยละ คะแนน ตาแหน่งร้อยละ คะแนน ตาแหนง่ รอ้ ยละ คะแนน
10.06 75 50.00 50 89.94 25
11.03 74 52.02 49 90.83 24
12.04 73 54.03 48 91.67 23
13.11 72 56.03 47 92.45 22
14.25 71 58.03 46 93.19 21
15.44 70 59.99 45 93.86 20
16.69 69 61.94 44 94.49 19
18.01 68 63.85 43 95.08 18
19.39 67 65.73 42 95.62 17
20.93 66 67.48 41 96.11 16
22.32 65 63.39 40 96.57 15
23.88 64 71.14 39 96.99 14
25.48 63 72.85 38 97.37 13
27.15 62 74.52 37 97.72 12
28.86 61 75.12 36 98.04 11
30.61 60 77.68 35 98.32 10
32.42 59 79.17 34 98.58 9
34.25 58 80.61 33 98.52 8
36.15 57 81.99 32 99.03 7
38.06 56 83.31 31 99.22 6
40.01 55 84.56 30 99.39 5
41.97 54 85.75 29 99.55 4
43.97 53 86.89 28 96.68 3
45.97 52 87.96 27 99.80 2
47.98 51 88.97 26 99.91 1
100.00 0
ท่ีมา : ปริยา นิลแกว้ (2547 : 114 – 115)
2. ในการจัดอันดับคุณภาพแบบท่ี 1 เป็นการพิจารณาผลงานใน 1 ลักษณะ ถ้าหาก
ครูผ้สู อนจะพจิ ารณาให้คะแนนจากหลาย ๆ ลักษณะพร้อม ๆ กัน ก็ย่อมทาได้ เช่น วิชาคัดไทย จะ
พิจารณาใน 3 ลักษณะ คือ สวยงาม ถกู ตอ้ ง คดั ได้ปริมาณมาก
102
แบบท่ี 2 การจัดกลุ่มในหลาย ๆ ลักษณะแล้วจึงใหค้ ะแนน ในบางคร้ังครูจะวัดผลงาน
ของนักเรยี นจากหลาย ๆ ลกั ษณะ เชน่ การคัดไทย ถา้ จะพจิ ารณาการให้คะแนนจาก 3 ลักษณะ คือ
สวยงาม ถูกต้อง คดั ไดป้ ริมาณมาก ก็ตอ้ งพิจารณาการให้คะแนนเป็น 3 รอบ กล่าวคือ รอบที่ 1 ทา
การจดั อันดับคณุ ภาพแล้วให้คะแนนในแง่ของความสวยงาม (โดยใช้หลักการเช่นเดียวกับแบบที่ 1
ส่วนรอบที่ 2 และที่ 3 ก็ทาเชน่ เดยี วกบั รอบที่ 1 กจ็ ะไดค้ ะแนนเป็น 3 ส่วน ทาการรวมคะแนนทั้ง 3
ส่วนนีเ้ ขา้ ดว้ ยกนั จะเป็นคะแนนการคัดไทยของนักเรียนแต่ละคน โดยคิดท้ัง 3 ลักษณะ จะเห็นว่า
วธิ ีการน้ีเปน็ วธิ ที ีใ่ หค้ ะแนนอย่างละเอียดรอบคอบ และมีความยตุ ิธรรมสงู แต่อย่างไรกต็ าม การจดั ทา
หลายคร้ังตามจานวนลกั ษณะท่ีใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการใหค้ ะแนนอาจจะลา่ ช้าไม่คล่องตวั และมีวิธกี ารใหม่
เปน็ แนวทางเลอื ก คอื แบบท่ี 3
แบบท่ี 3 การพิจารณาให้คะแนนจากหลาย ๆ ลักษณะโดยตรง (ไม่ต้องจัดอันดับ
คุณภาพ โดยกาหนดคะแนนเต็มของแต่ละเนื้อหาขึ้นมา ไม่เกิน 10 คะแนน (ควรเป็น 5 หรือ 10
คะแนน แลว้ นาผลงานของนักเรยี นแตล่ ะคนมาคิดใหค้ ะแนนในแต่ละลักษณะ และคิดคะแนนรวม
ในทกุ ลกั ษณะอีกครั้งหน่งึ กจ็ ะได้คะแนนตามต้องการ เช่น สมมุติใหน้ กั เรียนทาหุน่ นิ้วมอื คนละ 1 ตัว
การให้คะแนนจะแบ่งเปน็ 4 ลักษณะคอื (1) ตวั หนุ่ เรยี บรอ้ ย (2) สวยงาม (3) ประหยดั ค่าใช้จ่าย และ
(4) ใชไ้ ด้สะดวก แบบฟอรม์ การคิดคะแนนดงั ตารางท่ี 4.2
ตารางที่ 4.2 แสดงผลการใหค้ ะแนนโดยตรงทุกลักษณะของครผู สู้ อน
เลขท่ี ชอ่ื เรียบร้อย สวยงาม ประหยัด ใชไ้ ดส้ ะดวก รวมคะแนน
(5) (5) (5) (5) (20)
1 วีระชยั
2 ธีระพงศ์ 4 5 3 4 16
3 ปกรณ์ 2 3 5 2 12
3 4 4 2 13
2. ใช้ในกรณีที่มผี ลงานหลายชน้ิ และมกี รรมการวัดผลหลายคน
ผลงานบางอย่างนอกจากมีหลาย ๆ ชิ้นแล้ว ยังมีผู้จัดอันดับคุณภาพหลายคนหรือที่
เรยี กวา่ คณะกรรมการตัดสนิ เช่น มีผลงาน 6 ชิ้น มีกรรมการร่วมตัดสิน 10 คน หากตัดสินโดยให้
กรรมการลงคะแนนลับ หรือใช้วิธียกมือ แล้วทาการนับความถ่ีเพื่อตัดสินว่าผลงานช้ินใดได้รับความนิยม
เป็นอันดับ 1 หรือ 2 หรือ 3 วิธีการเช่นน้ีถือว่าเป็นการตัดสินท่ีไม่ละเอียด อาจจะมีปัญหาตามมา
เช่น ผลงานหลายชิ้นมีความถี่เท่ากันแสดงว่ามีคุณภาพเท่ากัน แต่ในการสังเกตของคนท่ัว ๆ ไป
มีคุณภาพไม่เท่ากันหรือผลงานท่ีมีอันดับติดกัน แต่ความถ่ีต่างกันเพียง 1 เสียง ผลงานท่ีมีความถ่ี
มากกว่าอาจจะมีคุณภาพดอ้ ยกว่าผลงานทีม่ คี วามถ่นี อ้ ยกว่ากไ็ ด้
เพื่อที่จะแก้ปัญหาการตัดสินผลงานแบบนี้ ซ่ึงมีวิธีการใหม่โดยใช้วิธีการจัดอันดับ
คุณภาพกอ่ นการให้คะแนน มลี าดับขนั้ ดงั นี้
ขน้ั ที่ 1 สมมตผิ ลงานทั้ง 6 ชิ้นดงั กลา่ วเป็นวาดภาพ และให้กรรมการทั้ง 10 คน ตัดสิน
ว่าภาพใดสวยงามเป็นอันดับ 1, 2, 3, 4, 5, 6 ก็ให้กรรมการแต่ละคนจัดอันดับความสวยงามของ
103
ภาพเหล่านี้ แต่ในความเป็นจริงให้กรรมการแต่ละคนจัดเพียง 3 หรือ 4 อันดับแรก ก็พอไม่
จาเปน็ ตอ้ งจัดท้งั 6 อนั ดับให้เปลอื งแรงงานและเสยี เวลา นอกจากนี้กรรมการอาจจะสับสนหรือตัดสิน
ลาบากในอันดับหลัง ๆ เพื่อให้กรรมการสะดวกในการจัดอันดับ จึงควรจัดแบบฟอร์มให้กรรมการ
แต่ละคนจัดอันดับท่ีต้องการ เช่น ให้ 4 อันดับแรก ดังตัวอย่างตารางที่ 4.3 (ถ้ามีกรรมการ 10 คน
จะมแี บบฟอร์ม 10 ชดุ
ตารางท่ี 4.3 แสดงผลการจดั อันดบั ของกรรมการเปน็ รายบคุ คล
ชือ่ ภาพ ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2 ภาพท่ี 3 ภาพท่ี 4 ภาพที่ 5 ภาพท่ี 6
ลักษณะ 4
3-1-2
ความสวยงาม
ลงชอ่ื ...................................................กรรมการ
(...................................................
ขนั้ ที่ 2 นาแบบฟอรม์ ทกี่ รรมการแต่ละคนได้จดั อนั ดบั ที่ 1 – 4 (ในขน้ั ที่ 1) ตามความ
สวยงาม มาหาความถี่ ดงั ตวั อย่างในตารางที่ 4.4
ตารางท่ี 4.4 แสดงผลการจัดอนั ดบั ในรปู ของความถี่
ความสวยงาม อนั ดับที่ 1 อนั ดบั ที่ 2 อันดบั ที่ 3 อันดบั ท่ี 4
ลักษณะ (f) (f) (f) (f)
// / / -
ภาพท่ี 1
/ // / //
ภาพที่ 2 // - //// /
ภาพที่ 3 /// / - -
ภาพท่ี 4
/ // / -
ภาพท่ี 5 - / // -
ภาพท่ี 6
ขั้นที่ 3 หาคะแนนรวมโดยใช้วิธีกาหนดค่าน้าหนักคะแนน (Weight) กล่าวคือนาค่า
น้าหนักคะแนนในแต่ละอันดับที่กาหนดข้ึนซ่ึงมีค่ามากน้อยลดหลั่นกันไป คูณกับความถี่ในแต่ละ
อันดบั โดยยดึ หลักงา่ ย ๆ วา่ อันดับที่ 1 คณู ด้วย 4 คะแนน อนั ดบั ที่ 2, 3 และ 4 คณู ดว้ ย 3, 2 และ 1
ตามลาดบั ดงั ตัวอย่างตารางท่ี 4.5
104
ตารางที่ 4.5 แสดงนา้ หนักคะแนนและผลการตัดสิน
ความถี่ x คะแนน x4 x3 x2 x1 รวม ผลการ
คะแนน ตดั สิน
ช่อื ภาพ 2x4 = 8 1x3 = 3 1x2 = 2 0x1 = 0 (อันดบั ที่
ภาพที่ 1 1x4 = 4 2x3 = 6 1x2 = 2 2x1 = 2 13
ภาพที่ 2 2x4 = 8 0x3 = 0 4x2 = 8 1x1 = 1 14 4
ภาพที่ 3 3x4 = 12 2x3 = 6 0x2 = 0 1x1 = 1 17 3
ภาพท่ี 4 1x4 = 4 2x3 = 6 1x2 = 2 0x1 = 0 19
ภาพท่ี 5 0x4 = 0 1x3 = 3 2x2 = 4 0x1 = 0 12 2
ภาพที่ 6 7 1
5
6
เมื่อรวมคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทาการตัดสินผลการจัดอันดับ ภาพใดได้คะแนนรวม
สงู สุดก็ได้รับการตัดสินเป็นอันดับที่ 1 และภาพใดได้คะแนนรวมต่าสุดก็ได้รับการตัดสินเป็นอันดับ
สุดท้าย คอื อันดับที่ 6 (สามารถตัดสนิ ไดท้ กุ อนั ดบั
ข้อเสนอแนะ
ก. ถ้าผลงานที่จะนามาจัดอันดับคุณภาพมีหลายลักษณะ เช่น ภาพวาดดังกล่าวหาก
ตอ้ งการตัดสนิ ใน 3 ลักษณะ ไดแ้ ก่ ความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์ และความกลมกลืนของภาพ
การตัดสินผลกท็ าทลี ะลักษณะ โดยแตล่ ะลกั ษณะทาเปน็ 3 ขน้ั ส่วนแบบฟอร์มในขั้นที่ 1 จะเปล่ยี นใหม่
ดงั ตัวอยา่ งตารางท่ี 4.6
ตารางท่ี 4.6 แสดงแบบฟอรม์ การจดั ตั้งอนั ดบั คณุ ภาพเม่อื มหี ลายลกั ษณะ
ชื่อภาพ ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพท่ี 4 ภาพท่ี 5 ภาพที่ 6
ลักษณะ
ความสวยงาม
ความคดิ สรา้ งสรรค์
ความกลมกลนื ของภาพ
ลงชอ่ื ...................................................กรรมการ
(...................................................
ข. ถา้ ตอ้ งการตดั สินผลรวมทกุ ลักษณะ ก็ให้นาคะแนนรวมในแต่ละลักษณะมารวมกัน
แลว้ ตัดสนิ ผลจากคะแนนรวมสูงสุดลงมา (สามารถตัดสนิ ได้ทุกอันดับเช่นเดียวกัน ส่วนแบบฟอร์มที่
ใชจ้ ะเปน็ ดังตารางท่ี 4.7
105
ตารางท่ี 4.7 แสดงแบบฟอรม์ การตัดสินรวมทกุ ลักษณะ
ชอ่ื ภาพ ความสวยงาม ความคดิ ความ คะแนนรวม ผลการตัดสิน
สร้างสรรค์ กลมกลอื น (อนั ดบั ที่
ลักษณะ 13 ของภาพ
ภาพท่ี 1 14
ภาพที่ 2 17
ภาพท่ี 3 19
ภาพที่ 4 12
ภาพที่ 5 7
ภาพท่ี 6
การประเมินจากการปฏบิ ตั ิ (Performance Assessment)
1. ความหมายของการประเมนิ จากการปฏิบตั ิ
การประเมินจากการปฏบิ ตั ิ (Performance Assessment) เป็นการประเมินที่ต้องการ
ให้ผู้เรียนแสดงความรู้ ความสามารถ และทักษะด้วยการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหน่ึง หรือหลาย ๆ
ภาระงาน ภายใตส้ ภาพการณ์และเงอื่ นไชที่สอดคล้องกับสภาพจริง เช่น ใหเ้ ขียนเรื่อง พูด ดาเนินการ
ทดลอง ซอ่ มอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นต้น (Gronlund, N.E. 2004 : 2) โดยพิจารณาจากกระบวนการทางาน
และคณุ ภาพของงาน เกณฑก์ ารประเมนิ ทส่ี ร้างขึ้นจากมติ คิ วามสาคัญ (Rubric) ของคุณลักษณะด้าน
ต่าง ๆ ของผลงานนนั้ (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2548 : 20)
ดังนั้น การประเมินจากการปฏิบัติ (Performance Assessment) หมายถึง วิธีการ
ประเมินงานหรือกิจกรรมที่ครูผสู้ อนมอบหมายใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ตั งิ านเพือ่ ใหท้ ราบถึงผลการพัฒนาของ
ผ้เู รยี น การประเมินจากการปฏิบตั ิน้ี ครผู สู้ อนจะตอ้ งเตรยี มส่งิ สาคัญ 2 ประการ คือ
1. ภาระงาน (Tasks) หรือกิจกรรมท่ีจะให้ผู้เรียนปฏิบัติ เช่น การทาโครงการ
โครงงาน การสารวจ การนาเสนอ การสร้างแบบจาลอง การท่องปากเปล่า การสาธิต การทดลอง
วทิ ยาศาสตร์ การจดั นทิ รรศการ การแสดงละคร เปน็ ตน้
2. เกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubrics) เป็นส่วนท่ีครูผู้สอนต้องนามาใช้
ประกอบการพิจารณาผลงานจากการปฏบิ ้ติ หรือการแสดงออกของผู้เรียน แล้วประเมินค่าออกเป็น
คะแนนตามกฏเกณฑ์การใหค้ ะแนนที่สร้างขนึ้
2. ลักษณะของงานท่ีใหน้ กั เรยี นปฏิบตั ิ
งานที่ใหน้ ักเรยี นปฏิบัติ ควรมีลกั ษณะดังน้ี (McMillan. 2001 : 210 – 215)
1. เป็นงานที่ตอ้ งใช้ทักษะขัน้ สูง หรือทักษะท่สี าคญั ในการดาเนนิ งานนน้ั
2. เปน็ งานตามสภาพจรงิ (Autentic task)
3. โครงสรา้ งของงานเพื่อประเมินเปา้ หมายการเรยี นรทู้ หี่ ลากหลาย
106
4. โครงสร้างของงานเพอ่ื ใหผ้ สู้ อนสามารถช่วยเหลอื ให้นกั เรยี นประสบความสาเรจ็
5. เปน็ สงิ่ ที่นักเรียนสามารถปฏบิ ัติได้
6. เปน็ งานท่สี ามารถทา/ปฏบิ ตั ไิ ดห้ ลายวิธี
7. งานท่ใี ห้ทาควรจะมคี วามชัดเจนวา่ ให้ทาอะไร
8. เป็นงานทที่ ้าทายและเรา้ ใจนักเรียน
9. มเี กณฑ์การใหค้ ะแนนอย่างชัดเจน
10. ตอ้ งระบุเงื่อนไขความสาเร็จของงานอยา่ งชัดเจน
กรมวิชาการ (2544 : 67 – 68) ได้เสนอชนิดของงาน (Performance task) หรือกิจกรรม
ท่ใี ห้นักเรียนได้ปฏิบตั ิ จาแนกได้เปน็ 12 ประเภท ดงั น้ี
1. งานที่ให้เปรียบเทียบกัน (Comparison task) เป็นงานท่ีให้นักเรียนเปรียบเทียบ
สถานที่ คน หรือส่งิ ของตัง้ แต่ 2 สง่ิ หรอื มากกว่า เช่น เปรียบเทียบความแตกต่างของการใช้ปุ๋ยหมัก
และปุ๋ยเคมี เปรยี บเทียบตัวเอกของเรอ่ื ง 2 เร่อื งทน่ี กั เรียนได้อา่ นจากหนงั สอื อ่านนอกเวลา เปน็ ต้น
2. งานทใ่ี หจ้ าแนก (Classification task) เปน็ งานทใี่ หน้ กั เรยี นจาแนกประเภทคน
สถานที่หรอื สง่ิ ของ เชน่ ใหน้ ักเรยี นจัดกลุม่ ของสัตวต์ ามถนิ่ ท่อี ยู่ จัดกลมุ่ ของพืชใบเลีย้ งเด่ยี ว เป็นต้น
3. งานการจดั วางตาแหน่ง (Position support task) เป็นงานท่ใี ห้นักเรยี นจัดวาง
ตาแหนง่ ของบุคคล หรอื การออกคาสัง่ แลว้ ใหเ้ หตผุ ลเพอ่ื ปกป้องตาแหนง่ น้ัน เช่น ให้นักเรียนจัดวาง
ตาแหน่งของเพื่อนตามลาดับความรับผิดชอบ (พร้อมเหตุผลประกอบความเหมาะสมของคนใน
ตาแหน่งนั้น ๆ จัดเรียงลาดับของหัวหน้าพรรคการเมืองท่ีจะเป็นนายกรัฐมนตรี (พร้อมเหตุผล
ประกอบ
4. งานการนาไปใช้ (Application task) เป็นงานที่ให้นักเรียนนาความรู้ไปใช้ใน
สถานการณ์ใหม่ เช่น ให้นักเรียนเขียนเร่ืองสั้นโดยให้นักเรียนอ่านเร่ืองส้ันหลาย ๆ เร่ือง ให้หา
ประเด็นทเ่ี ปน็ ตวั รว่ มของเร่ืองน้นั แล้วนาความรไู้ ปใชเ้ ขยี นเร่ืองสั้นด้วยตนเอง เป็นต้น
5. งานจากการวิเคราะห์ (Analyzing perspective task) เป็นงานท่ีให้นักเรียน
วิเคราะห์มุมมองท่ีต่างกัน 2 – 3 มุมมอง แล้วให้นักเรียนเลือกมุมมองเพ่ือแสดงความคิดเห็น
สนับสนนุ เชน่ ใหน้ กั เรยี นวิเคราะห์มุมมองของการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมกับสาเหตุของการ
ทาลายปา่ ของเมืองไทย เปน็ ตน้
6. งานการตัดสนิ ใจ (Discision making task) เปน็ งานท่ีให้นักเรียนบอกองคป์ ระกอบ
หรือปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการตัดสินใจ เช่น ให้นักเรียนบอกถึงปัจจัยท่ีทาให้นักเรียนเลือกการ
ทดสอบความหวานของลาไย โดยใชห้ ลักการออสโมซสิ เป็นต้น
7. งานมุมมองทางด้านประวัติศาสตร์ (Historical perspective task) เป็นงานที่
ใหน้ กั เรียนได้พจิ ารณาทฤษฎีอนื่ ๆ เพ่อื นามาตอบคาถามพน้ื ฐานดา้ นประวัติศาสตร์ เช่น ให้นักเรียน
พิจารณาทฤษฎีท่จี ะอธิบายวา่ ทาไมไดโนเสาร์จงึ สูญพนั ธุ์ เปน็ ต้น
8. งานพยากรณ์ (Predictive task) เปน็ งานทีใ่ ห้นกั เรยี นพยากรณ์ว่าอะไรเกิดข้ึน
ในอนาคต เช่น ให้นักเรยี นทายว่าถา้ โยนเหรยี ญ 10 ครง้ั จะออกหัวหรือกอ้ ยมากกวา่ กัน เป็นตน้
107
9. งานแก้ปัญหา (Problem solving task) เป็นงานที่ให้นักเรียนหาวิธีการ
แกป้ ญั หา เช่น ใหน้ ักเรยี นออกแบบผังวงจรไฟฟา้ ในห้อง ซึ่งมีหลอดไฟ 3 หลอด พัดลมติดเพดาน 1 ตัว
เปน็ ตน้
10. งานทดลอง (Experimental task) เป็นงานท่ีให้นักเรียนทดลองเพ่ือทดสอบ
สมมติฐานที่ได้คาดคะเนไว้ เช่น ให้นักเรียนทดลอง เพ่ือพิสูจน์ว่าพืชเติบโตได้ดีในที่มืดห รือท่ีมี
แสงแดด เปน็ ต้น
11. งานคิดคน้ (Invention task) เป็นงานท่ใี ห้นักเรยี นสร้างสง่ิ ใหม่ขึน้ หรอื คน้ คว้า
สิ่งใหม่ เช่น ใหน้ ักเรยี นสรา้ งครีมกนั แดดจากสมุนไพร สร้างเครื่องบินเล็กจากวัสดุที่หาได้ในท้องถ่ิน
และมีราคาถูก เปน็ ตน้
12. งานค้นหาข้อบกพร่อง (Error identification task) เป็นงานทใี่ ห้นักเรียนระบุ
ข้อบกพร่องหรอื ขอ้ ผดิ พลาด เชน่ ให้ตารวจเลา่ การปฏิบัตงิ านของเขาใหน้ ักเรยี นฟงั และให้นกั เรียนได้
ดูการปฏิบัตงานของตาราจากโทรทัศน์ แล้วให้หาดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่ตารวจปฏิบัติในโทรทัศน์ที่ไม่
เหมือนกับสงิ่ ท่ตี ารวจจรงิ ๆ ปฏิบตั ิ (ท่ีเล่ามา เป็นต้น
นอกจากนี้ McMillan (2001 : 210 – 215; อ้างถึงใน ทิวัตถ์ มณีโชติ. 2557 :
Online) งานท่ใี ห้นกั เรียนปฏิบตั ิ ควรมีลกั ษณะดงั น้ี
1. บรู ณาการระหว่างเนอ้ื หากบั ทักษะท่ีสาคญั (Essential Skills)
2. เปน็ งานทม่ี ีอยู่จริง (Authentic)
3. สามารถประเมินผลการเรียนรู้ได้หลายด้าน (To Assess Multiple Learning
Targets)
4. สามารถชว่ ยให้นักเรยี นทาไดส้ าเรจ็ (Can Help Students Succeed)
5. เปน็ งานทีม่ คี วามยดื หย่นุ (Feasible)
6. สามารถทาไดห้ ลายวิธี (Multiple Solutions)
7. มคี วามชดั เจน (Clear)
8. เปน็ งานทที่ า้ ทายและเรา้ ใจใหน้ กั เรียนทา (Be Challenging and Stimulating
to Students)
9. มเี กณฑใ์ นการใหค้ ะแนน (Scoring Criteria) ทชี่ ดั เจน
10. ระบุเงื่อนไขความสาเร็จของงานอยา่ งชัดเจน (Constraints for Completing
the Task)
สรปุ ได้ว่า งานท่ใี หน้ ักเรยี นไดป้ ฏบิ ตั คิ วรเก่ียวข้องกบั ชีวติ ประจาวัน ครอบคลุมวัตถุประสงค์
การเรียนรหู้ ลายอยา่ ง นักเรียนสามารถปฏิบัติได้ เป็นงานที่ท้าทาย มีเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน
นอกจากนี้ต้องมีความหลากหลาย เป็นงานท่ีนักเรียนต้องใช้ความรู้ ความคิดทักษะต่าง ๆ ในการ
ทางานน้ัน ได้ปฏิบัติจริงและมีความเหมาะสมกับระดับความสามารถของนกั เรยี นดว้ ย
108
3. การทดสอบภาคปฏิบตั ิ (Type of Performance Test)
การทดสอบภาคปฏบิ ัติ เป็นการวดั ทกั ษะความสามารถของคน โดยการวัดจะเน้นวิธกี าร
(Process) และผลผลติ (Product) โดยการวดั มี 5 ลักษณะ ดังน้ี
3.1 การปฏิบตั ิงานโดยข้อเขียน (Paper and Pencil Performance)
การทดสอบภาคปฏิบัติในลักษณะนี้ จะแตกต่างจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น โดยการทดสอบภาคปฏบิ ตั ิเน้นในการประยกุ ต์ความรู้และทักษะท่ีเรียนมาประยุกต์กับ
สถานการณ์ใหม่ ลกั ษณะของการทดสอบนั้นจะให้นกั เรียนไดม้ กี ารวางแผนเสนอโครงการ แต่ยังไม่ได้
ปฏิบัติจริง ตัวอยา่ งงานท่ใี หท้ า เชน่ จงสร้างแบบบ้านประหยดั พลงั งาน จงสร้างแผนท่ีการท่องเท่ียว
ในหมู่บา้ นของตนเอง จงเขียนแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) สาหรับการประเมินการอ่านของ
ตนเอง เป็นตน้ การประเมนิ ควรใช้ประเภทแยกเปน็ ดา้ น ๆ (Trait – analysis) โดยพจิ ารณาองค์ประกอบ
ต่าง ๆ เช่น ความรอบรู้เก่ียวกับงานความคิดสร้างสรรค์ แผนการดาเนินการ (กระบวนการและ
ยุทธวธิ ี และการส่งงานตรงเวลา เป็นต้น
3.2 การระบชุ อ่ื และกระบวนการปฏิบัติ (Idendification Test)
เป็นการทดสอบที่ให้ระบุช่ือ เคร่ืองมือหรือช้ินส่วนของอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้ง
ระบุหน้าที่ของส่ิงเหลา่ นีด้ ้วย รวมทง้ั วัดความสามารถในการใช้และเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับ
งาน เชน่ ให้ฟังเสยี งดนตรแี ล้วตอบวา่ เป็นเครื่องดนตรีประเภทใด และเป็นเสียงโน้ตตัวใด ถ้าหลอด
ไฟฟา้ (ฟลูออเรสเซนต์ ไมต่ ิด มีสาเหตุมาจากอะไร และให้ระบุถึงเคร่ืองมือ วัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้ใน
การซอ่ มแซมด้วย ให้บอกถงึ กระบวนการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ เป็นต้น เกณฑ์การให้คะแนน
ควรเปน็ 0 – 1 คือ ตอบถูกหรือปฏบิ ตั ิได้ ได้ 1 คะแนน แตถ่ า้ ตอบผิดหรือปฏบิ ตั ผิ ดิ ได้ 0 คะแนน
3.3 การสรา้ งสถานการณจ์ าลอง (Simulated Performance)
เนื่องจากไม่สามารถท่ีจะนาผู้เรียนไปทดสอบภาคปฏิบัติกับสถานการณ์จริงได้
เพราะอาจจะมีอันตราย มีเวลาจากัด มีเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์จากัด เป็นต้น จาเป็นต้องกาหนด
สถานการณ์ขึ้นมาให้คล้ายคลึงกับสภาพความเป็นจริงมากท่ีสุด เช่น การฝึกขับรถยนต์จากจอภาพ
การฝึกขบั เคร่อื งบินจากคอมพิวเตอร์ สาหรับการประเมินฝึกทักษะจากสถานการณ์จาลองน้ัน ควร
ประเมินท้ังกระบวนการ (Process) และผลงาน (Product) โดยประเมินจากการเตรียมอุปกรณ์ (ถ้า
ผู้สอบตอ้ งเตรียมมาเอง กระบวนการทางานท้งั การใชแ้ ละการเก็บเคร่ืองมือได้ถูกท่ใี นขณะปฏบิ ตั งิ าน
ผลงานเสร็จและเป็นไปตามท่ีกาหนดหรือไม่ และการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานกลุ่ม การ
จดั เกบ็ บารงุ รักษา และทาความสะอาดเครือ่ งมือและสถานที่ปฏิบัตงิ าน
3.4 การกาหนดงาน (Work Sample)
เปน็ การทดสอบการปฏบิ ตั ิจากตัวอยา่ งงานหรอื สถานการณจ์ รงิ ทคี่ รูตอ้ งคอยกากบั
ดูแล เช่น การขับรถบนถนนโดยมีครูนั่งประกบ การให้ผู้เรียนสร้างเก้าอี้ 1 ตัว โดยใช้วัสดุอุปกรณ์
ตามท่กี าหนดและสรา้ งตามขนาดทกี่ าหนดให้ การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ การปฏิบัติงานในวิชาชีพ
ขัน้ ตน้ เช่น งานประดิษฐ์ งานเกษตร งานบ้าน เป็นต้น ในการประเมนิ ผลนั้น ควรประเมินทั้งกระบวนการ
(Process) และผลงาน (Product) รวมท้ัง การจัดเตรยี มอุปกรณ์และลกั ษณะนิสัยการทางานดว้ ย
109
3.5 การทดสอบจากสถานการณ์จริง (Authentic Performance)
เป็นการใหผ้ ู้เรยี นไดป้ ฏิบตั งิ านจากสภาพจรงิ หรือคล้ายจริงมากทส่ี ุด เพอื่ ตอ้ งการ
ให้ผเู้ รยี นได้มที ักษะในการปฏิบัติให้เกิดการเรียนรู้ที่ย่ังยืน และสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
สามารถพัฒนาชีวิตของตนเองได้ และนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวันได้ โดยสิ่งท่ีควรเน้นคือ การไดม้ ีโอกาส
เลือกแนวทางปฏิบัติด้วยตนเอง ผู้เรียนมีการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการปฏิบัติงาน โดยอาจจะนา
ความรมู้ าใช้โดยตรง หรือปรับปรุงบ้างเล็กน้อย หรือปรับแต่งและพัฒนาทั้งระบบ การประเมินการ
ปฏิบัติงานจากสภาพจริง ควรประเมินกระบวนการทางาน ผลงาน และลักษณะนิสัย ตลอดจน
คณุ ธรรมในการปฏบิ ตั ิงาน
4. หลกั การทดสอบภาคปฏิบตั ิ มแี นวปฏบิ ตั ดิ ังนี้ (พชิ ติ ฤทธิ์จรูญ. 2554 : 78
4.1 เคร่ืองมอื วดั ควรสรา้ งอยา่ งละเอยี ด โดยกาหนดขน้ั ตอนของการปฏบิ ตั ิงาน
กิจกรรมในแตล่ ะข้ันตอน รายการปฏบิ ัตใิ นแตล่ ะขั้นตอน
4.2 ใชว้ ิธกี ารสงั เกตควบคูไ่ ปกบั การประเมินการปฏิบัตงิ าน โดยบนั ทกึ ลงในแบบบนั ทกึ
การสงั เกต เช่น แบบตรวจสอบรายการ หรอื มาตราส่วนประมาณคา่
4.3 เนื้อหาสาระของงานทจ่ี ะใหผ้ ู้เรียนปฏิบัตคิ วรสอดคล้องกบั สภาพความเปน็ จรงิ
4.4 จานวนและพฤตกิ รรมทจ่ี ะสอบวดั ตอ้ งมเี พียงพอทีจ่ ะเปน็ ตวั แทนทักษะตามที่
กาหนดในจดุ ประสงค์การเรียนรู้
4.5 สง่ิ ทีจ่ ะสอบวัดต้องสามารถสงั เกตได้โดยตรง และกาหนดเงอ่ื นไขการวัดอย่าง
ชดั เจน
5. การสรา้ งเคร่ืองมอื ทดสอบภาคปฏิบตั ิ ขัน้ ตอนในการสร้างการทดสอบภาคปฏบิ ตั ิ มี
ดังน้ี (สวุ มิ ล ว่องวานิช. 2546 : 233 – 235
5.1 วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ท่วี ดั ทักษะภาคปฏบิ ตั ิ เพื่อกาหนดพฤติกรรมทบี่ ง่ ช้ี
ทกั ษะการปฏบิ ตั ิ
5.2 การเลอื กรปู แบบเครอื่ งมอื ท่ีเหมาะสม หากพฤตกิ รรมทม่ี งุ่ วัดเป็นลาดับข้ันตอนก็
อาจจะใช้แบบตรวจสอบรายการ หากพฤตกิ รรมทมี่ งุ่ วัดเน้นคุณภาพของการปฏิบัตอิ าจใชม้ าตราสว่ น
ประมาณคา่
5.3 การสรา้ งข้อรายการพฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการวดั โดยแยกออกเป็น 2 สว่ น คอื สว่ นท่ี
เกี่ยวกับกระบวนการทางานและผลงาน (ปริมาณ คุณภาพ ความคิดสรา้ งสรรค์
5.4 การกาหนดเกณฑ์การให้คะแนนในการปฏิบตั ิงานและเกณฑก์ ารประเมิน โดย
อาจจะใชเ้ กณฑท์ ่กี าหนดแบบรวมหรอื แยกสว่ นได้
5.5 การตรวจสอบคุณภาพดา้ นความเทย่ี งตรงหรอื ความตรง (Validity) และความ
เชื่อมั่นหรอื ความเทยี่ ง (Reliablity)
1) ความเท่ียงตรงหรือความตรง (Validity)
- ความเทยี่ งตรงเชงิ เนือ้ หา ใช้พิจารณาจากผเู้ ช่ียวชาญในงาน/สาขาทใี่ หป้ ฏบิ ตั ิ
โดยพจิ ารณาความสอดคล้องระหวา่ งเนอื้ หากบั คณุ ลักษณะท่ีมงุ่ วัด
110
- ความเที่ยงตรงตามสภาพ เพ่ือดูวา่ เครอื่ งมอื ทส่ี รา้ งขึ้นสามารถวดั ไดต้ รงกบั
ความสามารถในการปฏิบตั ิของผเู้ รยี นในปจั จบุ นั หรอื ไม่ ใช้การพิจารณาโดยการยดึ เกณฑเ์ ปน็ ตัวเทียบ
โดยอาจใชเ้ ครอ่ื งมือทมี่ ีคณุ ภาพมาตรฐาน ผลการจดั อนั ดบั คณุ ภาพงานจากผเู้ ชี่ยวชาญ หรอื ผลจาก
การประเมินผลจากผเู้ ชี่ยวชาญเปน็ เกณฑ์ แลว้ หาความสมั พนั ธ์ระหว่างผลที่ไดจ้ ากการวดั ดว้ ย
เครอ่ื งมอื ทส่ี ร้างข้นึ กบั ผลที่จากเกณฑ์
2) ความเช่อื มนั่ หรือความเที่ยง (Reliablity)
- กรณผี ูป้ ระเมินคนเดยี ว ควรวัดซ้า 2 ครง้ั เพื่อดูความคงที่ของพฤติกรรม
ดงั นน้ั วิธีหาความเชื่อม่ันโดยวธิ ีสอบซา้ จะเหมาะสมท่สี ุด นน่ั คอื การให้ผปู้ ระเมินทาการสังเกต
พฤติกรรมเดมิ 2 ครง้ั เพอื่ ตรวจสอบความสอดคลอ้ งของการประเมนิ คร้ังท่ี 2 โดยใชส้ มั ประสทิ ธิ์
สหสัมพนั ธ์แบบเพียรส์ ัน ท่เี รยี กว่า ความคงทีภ่ ายในตัวผ้ปู ระเมนิ
- กรณีผปู้ ระเมินหลายคน เปน็ การหาความเชอ่ื มั่นระหว่างผปู้ ระเมนิ โดย
สังเกตพฤติกรรมครง้ั เดียว แลว้ หาความสอดคลอ้ งของผ้ปู ระเมิน กรณผี ูป้ ระเมนิ 2 คน หาโดยวธิ ีใช้
สมั ประสิทธส์ิ หสมั พันธแ์ บบเพยี ร์สนั ถ้าผปู้ ระเมนิ มากกวา่ 2 คน ใชก้ ารวิเคราะห์ความแปรปรวน
ถา้ เคร่อื งมอื มีความเช่อื ม่นั ผลการวเิ คราะห์ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์จะสูง
และผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนจะไมแ่ ตกต่างกัน
5.6 ปรับปรงุ แก้ไขและจดั พมิ พ์เปน็ ฉบบั สมบรู ณ์
6. เครื่องมอื ท่ีใช้
6.1 ตวั อย่างท่ี 3.1 การทดสอบการปฏบิ ัติงานจรงิ (ทิวตั ถ์ มณโี ชต.ิ 2557. : Online)
แบบทดสอบภาคปฏิบัติ
ใหน้ กั เรยี นทาความสะอาดหอ้ งเรียนในบริเวณท่ีกาหนด โดยเลือกใช้อุปกรณ์ได้ตามความ
เหมาะสม ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที
ครหู รอื ผกู้ าหนดการสอบต้องเตรียมพน้ื ที่ ที่ให้นักเรยี นทาความสะอาดท่ีมีพนื้ ทเี่ ท่า ๆ กนั มี
ความสกปรกพอ ๆ กัน และเตรียมอุปกรณใ์ หค้ รบรวมทง้ั อปุ กรณ์ท่ีให้นักเรยี นเลือกใช้ตามเกณฑ์การ
ให้คะแนนทุกระดับ
การเ ืลอกใ ้ช ุอปกร ์ณ 111
ขั้นตอนการทา
การใ ้ชเวลาแบบบันทกึ คะแนนการวดั ภาคปฏิบัติ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ .................................................. มาตรฐานการเรียนรู.้ .........................................
การทาความสะอาดและตัวบ่งช้ี ขอ้ .....................................................................ระดบั ชั้น...........................................................
การเก็บรักษา ุอปกร ์ณ
หัวขอ้ ประเมิน
ผลงาน
รวมชือ่ – สกุล
ส ุรปผลการประเ ิมน1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
8.
9.
10.
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนและการประเมนิ
1. หวั ขอ้ การประเมนิ พจิ ารณาจาก
1.1 การเลอื กใชอ้ ปุ กรณ์
1.2 ข้นั ตอนการทาความสะอาด
1.3 การใชเ้ วลา
1.4 การทาความสะอาดและการเกบ็ รกั ษาอุปกรณ์
1.5 ผลงาน
112
2. เกณฑก์ ารให้คะแนน
ผู้ประเมินสงั เกตการณ์ปฏิบตั ขิ องผถู้ กู ประเมิน แล้วให้คะแนนแตล่ ะหวั ขอ้ เป็น
3 ระดบั ดังน้ี
รายการประเมนิ ระดับ 3 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ระดับ 1
การเลือกใช้อุปกรณ์ ระดับ 2 เลอื กใช้ไม่ครบ 2 อยา่ ง หรือ
- เลอื กใช้อปุ กรณ์ไดค้ รบและ ครบไมเ่ หมาะสม 2 อย่างขึ้นไป
ข้ันตอนการทา เหมาะสม เลอื กใช้ไมค่ รบ 1 อยา่ ง หรอื
ความสะอาด - อปุ กรณค์ รบ คอื ไมก้ วาด ครบไม่เหมาะสม 1 อย่าง ทาไมค่ รบ 1 ขัน้ ตอน หรือ
ภาชนะใส่นา้ และผา้ ข้ีร้ิว ครบแตไ่ ม่ถูกตอ้ ง 2 ข้นั ตอน
การใชเ้ วลา ทาครบแต่ไมถ่ ูกตอ้ ง 1
การทาความสะอาด สาหรบั ความเหมาะสม ขน้ั ตอน ใชเ้ วลามากกวา่ 13 นาที
และการเกบ็ รกั ษา พจิ ารณาจาก การทาความสะอาดและเกบ็
อปุ กรณ์ ใชเ้ วลา 11-13 นาที รกั ษาอปุ กรณ์ไม่ครบ 1
- ไมก้ วาด พิจารณา การทาความสะอาดและเก็บ รายการ หรอื ครบแต่ไม่
ควบค่กู บั พ้นื ที่ทที่ าความ รักษาอปุ กรณค์ รบแตไ่ ม่ ถูกตอ้ ง 2 รายการ
สะอาด เช่น พื้นไมใ้ ชไ้ ม้ ถูกตอ้ ง 1 รายการ
กวาดชนดิ อ่อน พื้นปูนใช้ไม้
กวาดชนดิ อ่อน หรือไม้กวาด
ทางมะพรา้ วทัง้ นี้ให้พิจารณา
ถึงคุณภาพของไม้กวาดด้วย
- ภาชนะใสน่ ้า
เหมาะสม (เช่น ถงั น้า
กะละมงั ขนาดไม่ใหญ่หรอื
เล็กเกินไป ไมร่ ั่ว
- ผา้ ข้ีรวิ้ นมุ่ ซบั น้าได้ดี
สะอาด ไมเ่ ป่อื ยย่ยุ
- กวาด โดยคานึงถงึ ทศิ ทางลม
- ถูเปน็ ช่อง ไม่ถเู ปน็ ทางยาว
คานงึ ถึงทศิ ทาง และมกี าร
ทาความสะอาดผ้าข้รี ้ิวอยู่
เสมอ ผา้ ไมเ่ ปยี กจนเกินไป
- กวาดหรอื ถูซ้า กรณีหรอื
บริเวณท่ีไม่สะอาด
ใชเ้ วลาไมเ่ กิน 10 นาที
การทาความสะอาดและเก็บ
รกั ษาอุปกรณค์ รบและ
ถูกตอ้ ง ดงั นี้ เก็บไม้กวาดใน
ที่เก็บและถูกวธิ ี ผา้ ขร้ี ้ิวซัก
จนสะอาด บิดใหแ้ ห้ง และ
ตากบนราว ภาชนะล้างและ
คว่าไว้ในท่ีเหมาะสม
113
รายการประเมนิ เกณฑก์ ารให้คะแนน
ผลงาน
ระดบั 3 ระดบั 2 ระดบั 1
สะอาด แหง้ และปราศจาก สะอาด และปราศจากฝุ่น มีฝุ่นหรือเศษขยะมากกวา่
ฝนุ่ และเศษขยะ
และเศษขยะ แตเ่ ปยี ก หรือ 1 จดุ
สะอาดและแห้ง แต่มีฝั่นหรือ
เศษขยะมากกว่า 1 จดุ
3. เกณฑก์ ารประเมนิ 13 – 15 คะแนน
10 – 12 คะแนน
ระดับดี ได้คะแนนรวม 10 คะแนน
ระดบั พอใช้ ไดค้ ะแนนรวม
ระดับปรบั ปรงุ ได้คะแนนรวมไมถ่ ึง
7. เกณฑใ์ นการประเมินงานภาคปฏิบตั ิ (Criteria for performance tasks)
เกณฑใ์ นการประเมนิ งานภาคปฏบิ ตั ิ มดี งั น้ี (McMillan, 2001 : 211) ดังนี้
7.1 มีความสาคัญ (Essential) งานที่ให้ปฏิบัติต้องมีอยู่ในหลักสูตร และมีความสาคัญ
ตอ่ การเรียนรู้
7.2 สอดคล้องกับสภาพจริง (Authentic) ผลงานที่ได้ต้องสามารถนาไปใช้ในชีวิต
ประจาวันได้ ใช้กระบวนการปฏบิ ัติท่เี หมาะสม และนักเรียนพอใจกบั งาน้นั ด้วย
7.3 มคี ณุ ค่า (Rich) เป็นงานทีม่ ีคุณค่า สามารถนาไปใช้หรือแกป้ ัญหาอื่น ๆ ได้ด้วยและ
มีประโยชน์หลายอย่าง
7.4 นา่ สนใจ (Engaging) เปน็ งานทีผ่ ู้เรียนอยากทา และร้สู ึกชืน่ ชมงานนัน้
7.5 ไดป้ ฏิบัติจรงิ (Active) เปน็ งานทนี่ ักเรียนเป็นผู้ปฏิบัติ นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับ
คนอน่ื ค้นหาวธิ ีการสรา้ และใช้ความสามารถเป็นอยา่ งมาก
7.6 มีความเป็นไปได้ (Feasible) งานต้องสามารถทาเสร็จในเวลาที่กาหนด นักเรียน
สามารถทาได้ และมคี วามปลอดภัย
7.7 ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ (Equitable) เป็นผลงานท่ีนักเรียนต้องใช้ความคิดที่
หลากหลาย ส่งเสริมให้นักเรียนรกั การทางาน
7.8 ใชค้ วามสามารถที่หลากหลาย เป็นงานที่สามารถปฏิบัติได้หลายวิธี และนักเรียน
สามารถสร้างผลงานได้หลายวิธี และทกุ คนสามารถปฏิบัตไิ ด้
8. ประโยชน์ของการประเมินจากการปฏบิ ตั ิ
การประเมินจากการปฎิบตั มิ ีประโยชน์มากกวา่ การประเมนิ แบบอนื่ ๆ อย่หู ลายประการ
สรุปไดด้ ังนี้ (Nitko, 2004 อา้ งอิงใน สัมพนั ธ์ พนั ธ์พุ ฤกษ์ และคณะ, 2558 : 71)
8.1 ภาระงานการปฏิบตั ิ (Performance task) ทาให้เปา้ หมายของการเรียนรู้ท่ซี ับซ้อน
มีความชดั เจน จากการท่คี รูแจ้งเป้าหมายของการเรียนรู้ และร่วมกบั ผูป้ กครองกาหนดเป้าหมายของ
การเรียนร้ทู ี่ชัดเจนจากตัวอย่างจริง
114
8.2 ภาระงานการปฏิบัติประเมินว่าผู้เรียนสามารถทาอะไรได้จากการใช้ความรู้และ
ทักษะในการแกป้ ญั หา และนาไปสู่การใช้ในชวี ติ ประจาวัน
8.3 การประเมินการปฏิบัติสอดคล้องกับทฤษฎีการจัดการเรียนรู้แนวใหม่ (Modern
theory) เนน้ ใหผ้ ู้เรยี นใชค้ วามรูเ้ พ่มิ เดมิ เพือ่ สร้างความรู้ใหม่ มีกิจกรรมการสารวจ การสืบค้น และ
สร้างประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความหมายผ่านภาระงานท่ีมีลักษณะเป็นกิจกรรมท่ีเรียกว่า
กระบวนการเรยี นรแู้ บบสรา้ งความรู้ใหม่ด้วนตนเอง (Constructivist approach to learning) การ
ประเมินการปฏิบัตสิ ว่ นใหญ่ส่งเสรมผูเ้ รียนด้วยกิจกรรมเกย่ี วขอ้ งกบภาระงานทซี่ ับซอ้ น จาเป็นต้องมี
การสารวจและสบื ค้น
8.4 ภาระงานการปฏิบัติต้องบูรณาการความรู้ ความสามารถและทักษะ ภาระงานท่ี
ซบั ซอ้ นอาจตอ้ งใช้ระยะเวลานานและมักจะต้องใช้ทักษะและความสามารถท่ีหลากหลาย เช่น การ
ประเมินแฟ้มสะสมงาน โครงงาน และรายงานการวิจัย เป็นต้น ซ่ึงผู้เรียนต้องใช้ความรู้ และ
ความสามารถจากหลายกลุม่ สาระการเรียนรู้
8.5 การประเมนิ จากการปฏบิ ัตเิ ช่ือมโยงกับกิจกรรม มีการสืบค้น เพ่ือให้ผู้เรียนแสดง
ความสามารถ แตไ่ มเ่ กี่ยวขอ้ งโดยตรงกับการสอนที่ครูเปน็ ศูนย์กลางหรอื สอนแบบบรรยาย
8.6 ภาระงานการปฏิบัติขยายกระบวนการประเมินผเู้ รยี นให้ผเู้ รยี นมวี ิธีการสะทอ้ นส่งิ ที่
เรยี นรูไ้ ดอ้ ยา่ งหลากหลาย ซึง่ ชว่ ยเพิ่มความตรง (Validity) ของการประเมนิ ผเู้ รยี น
8.7 ผสู้ อนสามารถประเมนิ กระบวนการแก้ปัญหาหรือกระบวนการผลิตผลงานท่ีผู้เรียนใช้
เพอ่ื ทาให้ผลงานมคี วามสมบูรณ์ เกณฑก์ ารให้คะแนนแบบรบู ริค (Rubric) ท่ีดีช่วยให้ครูสามารถเก็บ
ข้อมลู เกี่ยวกบั คณุ ภาพของกระบวนการ และยุทธวิธีที่ผู้เรียนใช้ได้เช่นเดียวกับการประเมินคุณภาพ
ของผลงาน
9. ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี
9.1 ขอ้ ดี
1 วัดทักษะและความสามารถในการปฏบิ ตั ิงานบางอย่างไม่อาจสอบวัดด้วยวธิ กี าร
อื่นหรือถ้าใช้วิธีการอื่นแล้วจะทาให้ผลการวัดเกิดความคลาดเคล่ือน เช่น แบบทดสอบเขียนตอบ
แบบทดสอบเลอื กตอบ เปน็ ตน้
2 วดั ความสามารถในการนาสง่ิ ท่ีไดเ้ รียนรไู้ ปประยุกตใ์ ชไ้ ด้เปน็ อยา่ งดี
9.2 ขอ้ เสีย
1 สรา้ งขอ้ สอบและเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนท่มี คี ุณภาพยาก
2 ใชเ้ วลาในการดาเนนิ การสอบมาก เน่อื งจากไม่สามารถสอบได้พร้อม ๆ กันท้ังช้ัน
โดยปกติจะสอบได้ทีละคนหรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 2 – 3 คน ซึ่งต้องใช้เวลานานมากกว่าจะ
ครบทกุ คน
3 สิน้ เปลอื งวสั ดุ และอุปกรณจ์ านวนมาก เน่อื งจากต้องทดสอบเป็นรายบคุ คล
4 ถ้าเกณฑ์การประเมินไม่ชัดเจน จะตรวจให้คะแนนยากมาก และผู้ประเมินหรือ
ผู้ตรวจมีความลาเอียง จะทาใหค้ ะแนนท่ไี ดข้ าดความเทย่ี งตรงและความนา่ เชอ่ื ถือ
115
การวดั ผลแบบนี้มกั ใชว้ ดั ในวิชาทม่ี กี ารปฏบิ ัติ เชน่ พลศกึ ษา เกษตร คหกรรม หัตถศึกษา
ศลิ ปศกึ ษา ดนตรี นาฏศิลป์ ในวชิ าวทิ ยาศาสตรท์ มี่ ีการทดลองในห้องปฏบิ ัตกิ าร เปน็ ตน้
การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) เปน็ การประเมินแนวใหม่ (Athernative
Assessment) เป็นการเปลยี่ นแปลงจากการใช้แบบทดสอบอย่างเดียวมาเป็นการใช้เคร่ืองมืออย่าง
หลากหลาย เช่น การสังเกต การสมั ภาษณ์ การสอบถาม การทางานกลมุ่ การตรวจผลงาน การสร้าง
แฟม้ สะสมงาน และการทดสอบ เป็นตน้ แนวทางการวัดและประเมินด้วยวิธีการท่ีหลากหลายนี้ จะ
ชว่ ยใหค้ รไู ด้สารสนเทศของนักเรียนรอบด้าน โดยคานึงถึงคุณค่าของสิ่งท่ีผู้เรียนรู้มากกว่าได้เรียนรู้
อะไร
การประเมนิ ตามสภาพจริง เป็นกระบวนการวดั ผลและสงั เกตผลอย่างเปน็ ระบบ เป็นวิธีการ
ประเมินผลความสามารถทางด้านตา่ ง ๆ ของผ้เู รียน โดยมงุ่ ประเมนิ จากผลงานที่ปฏิบัติจริงต้องมีผล
สัมพันธ์กับพฤติกรรมและการปฏิบัติจริงในชีวิตประจาวันของผู้เรียน (เอกรินทร์ ส่ีมหาศาล และ
สปุ รารถนา ยกุ ตะนนั ท.์ 2546 : 12
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ หมายถงึ กระบวนการสงั เกต การบันทกึ การรวบรวมขอ้ มลู จาก
เอกสาร วิธีการทางาน และผลงานที่ผู้เรียนปฏิบัติจริง เพ่ือสะท้อนหรือตัดสินความรู้ ความสามารถ
ทกั ษะและคุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด น่าพอใจหรือไม่ มีความสาเร็จอยู่ใน
ระดบั ใด
1. หลักการของการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
1.1 เปน็ การประเมินความก้าวหนา้ และการแสดงออกของนักเรียนแตล่ ะคนบนรากฐาน
ของทฤษฎีทางพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ โดยใช้เคร่ืองมอื ประเมินท่หี ลากหลาย
1.2 การประเมินตามสภาพจริง จะต้องมีรากฐานบนพัฒนาการและการเรียนรู้ทาง
สตปิ ัญญาทีห่ ลากหลาย
1.3 หลกั สูตรสถานศึกษา ตอ้ งใหค้ วามสาคัญต่อการประเมินจากสภาพจริง คือ หลักสูตร
ต้องพัฒนามาจากบริบทที่มีรากฐานทางวัฒนธรรมท่ีนักเรียนอาศัยอยู่ และที่ต้องเรียนรู้ให้ทันกับ
กระแสการเปลยี่ นแปลงของโลก
1.4 การเรยี นการสอน การประเมนิ จะต้องหลอมรวมกนั และการประเมินต้องประเมิน
ตอ่ เนอื่ งตลอดเวลาทที่ าการเรียนการสอน โดยผ้เู รียนมสี ว่ นรว่ ม
1.5 การเรยี นการสอน การประเมินเนน้ การปฏบิ ัติจริง ในสภาพที่สอดคล้องหรือใกล้เคียง
กับธรรมชาติความเป็นจริงของการดาเนินชวี ิต และควรเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รยี นได้คิดงานดว้ ยตนเอง
1.6 การเรยี นการสอนจะตอ้ งเปน็ ไปเพือ่ พัฒนาศกั ยภาพใหเ้ ต็มท่สี งู สดุ ตามสภาพท่ีเป็น
จริงของแต่ละบคุ คล (กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2544 : 27)
116
สรุปได้ว่า หลกั การประเมนิ ตามสภาพจริงเน้นการประเมินเพ่ือพัฒนานักเรียนให้เต็มตาม
ศกั ยภาพของตนเอง การเรียนการสอน และการประเมนิ ตอ้ งเก่ียวเนื่องกันและเน้นการปฏิบัติจริงใน
สภาพท่ใี กล้เคยี งหรือสภาพทเี่ ปน็ จรงิ ในชีวติ ประจาวนั เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ด้วยตนเอง
2. ลักษณะสาคญั ของการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
การประเมินตามสภาพจริง มีลักษณะสาคัญ ดงั นี้ (สวุ ทิ ย์ มลู คา. 2543 : 15
2.1 การประเมินตามสภาพจริง เป็นการประเมินท่ีกระทาไปพร้อม ๆ กับการจัดการ
เรยี นการสอนและการเรียนรู้ของผเู้ รียน เป็นการประเมนิ ทต่ี อ้ งทาอย่างต่อเนื่องเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน
ในขณะเดยี วกัน น่ันคือ หากจัดสภาพการเรียนรู้การสอนตามสภาพแท้จริงได้ (Authentic Learning)
ก็จะสามารถประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ได้
2.2 เปน็ การประเมินท่ยี ดึ พฤตกิ รรมการแสดงออกของผเู้ รียนท่ีแสดงออกมาจริง ๆ ซึ่งเป็น
การเนน้ ทผี่ ู้เรียนเปน็ สาคญั
2.3 เน้นการพัฒนาผเู้ รียนอย่างเด่นชดั และเน้นการพฒั นาจุดเดน่ ของผู้เรียน
2.4 เน้นการประเมนิ ตนเองของผเู้ รยี น
2.5 ต้งั อยบู่ นพืน้ ฐานของสถานการณท์ ี่เป็นชีวิตจรงิ รวมทั้งการเชอื่ มโยงการเรยี นรู้
2.6 ใช้ข้อมูลท่ีหลากหลาย มีการเกบ็ ข้อมลู ระหว่างการปฏิบัติในทุกด้าน ทั้งท่ีโรงเรียน
บ้าน และชมุ ชนอย่างต่อเนอื่ ง เชน่ แฟ้มสะสมงานของผู้เรียน ผลงาน โครงงาน รายงานหนังสอื ที่ผลิต
ช้ินงาน การทดสอบ แบบบันทึกแสดงความรู้สึก ความคิดเห็น ข้อมูลจากการสังเกต บันทึกการ
สมั ภาษณ์ หลักฐานการรว่ มกจิ รรมตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
2.7 เน้นคุณภาพของผลงานที่ผู้เรียนสร้างขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการ ความรู้
ความสามารถหลาย ๆ ด้านของผเู้ รียน
2.8 เน้นการวัดความสามารถในการคิดระดับสูง เป็นทักษะการคิดที่ซับซ้อน เช่น การ
วเิ คราะห์ การสังเคราะห์
2.9 ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์เชิงบวก มีการช่ืนชม ส่งเสริมและอานวยความสะดวกในการ
เรียนรูข้ องผู้เรยี นและผเู้ รียนได้เรียนอย่างมคี วามสขุ
2.10 เน้นใหเ้ พอ่ื น กลุ่มเพอ่ื น ครู ผปู้ กครอง มีส่วนร่วมในการประเมนิ ผู้เรียน
3. ลักษณะของงานตามสภาพจริง
งานท่ใี ห้ผเู้ รยี นไดป้ ฏิบัตนิ ัน้ ต้องมลี กั ษณะ ดงั ตอ่ ไปน้ี (Wiggins, 1998 : 22 – 24)
3.1 เปน็ งานทเ่ี กิดข้นึ ในชวี ติ จรงิ (Realistic) ท่ีผู้เรยี นต้องใช้ความรแู้ ละความสามารถใน
การปฏิบัตงิ านนั้น
3.2 เป็นงานที่ต้องใช้การตัดสินและสร้างนวัตกรรม (Judge and Innovation) โดย
ผูเ้ รยี นต้องใช้ความรแู้ ละทักษะขน้ั สงู ท่ีจะสร้างหรอื แกป้ ญั หางานนั้น ๆ ต้องมีการวางแผน และหาวิธี
แก้ปญั หามากกว่างานปกติ
3.3 ผเู้ รียนต้องปฏบิ ัตจิ รงิ (Do the Subject) มากกวา่ การท่องจา หรือการอธบิ ายลกั ษณะ
ของงาน
117
3.4 ถา้ เป็นสถานการณจ์ าลองทใ่ี ห้ปฏิบัติ ต้องกระทาในสถานปฏิบัติงาน (Workplace)
ในสถานที่เหมอื นจริง
3.5 เป็นงานท่ีซับซ้อน (Complex task) ที่ผเู้ รียนต้องใช้ความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงาน
เปน็ อย่างมาก
ดังนั้น งานตามสภาพจรงิ นั้นต้องมีในชีวิตจริง ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะข้ันสูงใน
การปฏิบตั งิ าน มีโอกาสปฏบิ ตั จิ รงิ และยงั ไดร้ ับคาแนะนาเพอื่ ปรับปรงุ ผลงานดว้ ย
ตวั อย่างการประเมินงานตามสภาพจรงิ เรื่อง ปรมิ าตร
ท่ีผ่านมาการประเมนิ ความร้เู ก่ียวกับปรมิ าตร ในรายวิชาคณติ ศาสตร์ ลกั ษณะของโจทย์
ทถ่ี ามจะมลี ักษณะ ดังนี้
การประเมินผลแบบเดมิ
ส่วนใหญ่ในการประเมินแบบเดิม นิยมใช้การกาหนดโจทย์แล้วให้นักเรียนหา
คาตอบโดยการคิด ไม่ค่อยมกี ารปฏบิ ัติ โจทยค์ าถาม เชน่
1. จงหาพนื้ ท่ีผิวของทรงกระบอกท่มี ีรัศมียาว 8 ซม. และสงู 16 ซม.
2. จงหาปริมาตรของทรงกระบอกทีม่ เี สน้ ผ่าศนู ยก์ ลางยาว 5 นวิ้ และสูง 14 นว้ิ
3. จงหาปริมาตรของกรวยที่มเี สน้ ผา่ ศูนยก์ ลางยาว 18 ซม. และสงู 24 ซม.
การประเมินตามสภาพจริง
การประเมนิ ตามสภาพจรงิ ควรใหน้ กั เรยี นไดป้ ฏิบตั จิ รงิ โดยการกาหนดสถานการณ์
ตัวอยา่ งสถานการณ์
“ในเทศกาลวันปีใหมข่ องทุก ๆ ปี จะมีการซ้ือของขวัญให้กับพ่อแม่ คนรัก เพื่อน
พ่นี ้อง ญาติสนทิ ฯลฯ ดงั นัน้ เราจะพบวา่ หา้ งสรรพสนิ ค้าหรือร้านค้าใหญ่ ๆ ในหมู่บ้านเราต้องมีการ
หอ่ ของขวญั เช่น เส้อื ผา้ ของชารว่ ย ไดอารี่ ปากกา ผ้าเชด็ ตวั ฯลฯ โดยใสข่ องเหลา่ น้ันในกลอ่ งขนาด
ตา่ ง ๆ ซ่งึ พบว่าต้องสูญเสียกระดาษหอ่ ของขวญั เป็นจานวนมากในแต่ละปี เพราะไม่ได้มีการวางแผน
ท่ีดี บางรครั้งตอ้ งทง้ิ กระดาษห่อของขวัญไปโดยไมจ่ าเปน็ ”
ดงั น้ัน ขอใหน้ ักเรยี นหาวิธีการทจี่ ะหอ่ ของขวญั ต่อไปนี้
1. เสอื้ เชิต้ แขนยาว 2. เส้ือเชต้ิ แขนสน้ั
3. กางเกงขายาว 4. ผ้าเช็ดตัวขนาดใหญ่
5. ชุดวอร์ม 6. ไดอารี่
7. ปากกา
ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ การห่อของขวัญท่ีจะทาให้ประหยัดกระดาษห่อของขวัญมาก
ท่ีสุด โดยกระดาษห่อของขวัญ 1 แผ่น มีความกว้าง 90 ซม. ยาว 300 ซม. ราคาแผ่นละ 30 บาท
นกั เรยี นจะหอ่ โดยใสก่ ล่องเปน็ ของขวัญ หรือจะมว้ นของขวญั เหล่าน้นั กไ็ ด้ แต่ตอ้ งไมท่ าให้ยบั และเสีย
รูปทรง
118
ใหน้ กั เรียนระบ/ุ เขียน รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี
1. ขนาดของกลอ่ งทจี่ ะหอ่ ของขวญั ดังกล่าว
2. จานวนกระดาษหอ่ ของขวัญ
3. ราคากระดาษทใี่ ช้ห่อของขวัญทั้งหมด
จะเหน็ ไดว้ า่ การประมินแบบเดมิ ผู้เรียนจะหาคาตอบโดยการแทนค่าจากสูตร ผู้เรียนก็
จะได้แต่คาตอบว่ารูปทรงน้ัน ๆ มีพ้ืนที่ผิวและปริมาตรเท่าใด ไม่รู้ว่าจะนามาใช้ประโยชน์ใน
ชีวิตประจาวันไดอ้ ย่างไร และกิจกรรมไม่น่าสนใจ ส่วนการประเมินตามสภาพจริง จะพบว่า ผู้เรียน
ตอ้ งใช้ความรู้และทกั ษะข้ันสูงในการหาคาตอบ เปน็ สิง่ ท่ที ้าทาย นา่ สนใจ ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง มีการ
วางแผน บางครง้ั ต้องลองผดิ ลองถกู กอ่ นและนาไปใชใ้ นชีวติ จรงิ ได้ มองเหน็ ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับ
4. ขัน้ ตอนในการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
การประเมินตามสภาพจรงิ มีข้นั ตอน (ส. วาสนา ประวาลพฤกษ,์ 2544 : 1)
4.1 กาหนดจดุ ประสงคแ์ ละเปา้ หมายในการประเมิน ต้องสอดคล้องกับสาระมาตรฐาน
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และสะทอ้ นพฒั นาการด้วย
4.2 กาหนดขอบเขตในการประเมิน ตอ้ งพจิ ารณาเป้าหมายท่ีต้องการให้เกิดกับผู้เรียน
เช่น ความรู้ ทกั ษะและกระบวนการ ความรู้สึก คณุ ลกั ษณะ เป็นตน้
4.3 กาหนดผ้ปู ระเมิน โดยพิจารณาผูป้ ระเมินวา่ จะมใี ครบา้ ง เช่น นักเรียนประเมินตนเอง
เพือ่ นนักเรียน ครูประจาชน้ั ผ้ปู กครองหรือผ้ทู เ่ี กยี่ วข้อง เปน็ ตน้
4.4 เลือกใช้เทคนคิ และเคร่อื งมือในการประเมิน ควรมีความหลากหลายและเหมาะสม
กบั วัตถุประสงค์ วิธีการประเมิน เช่น การทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การบันทึกพฤติกรรม
แบบสารวจความคดิ เหน็ บนั ทกึ จากผทู้ ี่เกยี่ วขอ้ ง แฟ้มสะสมงาน ฯลฯ
4.5 กาหนดเวลาและสถานที่ที่จะประเมิน เช่น ประเมินระหว่างนักเรียนทากิจกรรม
ระหว่างทางานกลุ่ม/โครงการ วันใดวันหนึ่งของสปั ดาห์ เวลาวา่ ง/พกั กลางวนั ฯลฯ
4.6 วิเคราะห์ผลและวธิ กี ารจัดการข้อมลู การประเมนิ เปน็ การนาข้อมูลจากการประเมิน
มาวเิ คราะห์ โดยกาหนดส่ิงท่จี ะวิเคราะห์ เช่น กระบวนการทางาน เอกสารจากแฟ้มสะสมงาน ฯลฯ
รวมทง้ั ระบุวธิ กี ารบันทึกขอ้ มลู และวิธีการวิเคราะห์ขอ้ มูล
4.7 กาหนดเกณฑ์ในการประเมิน เปน็ การกาหนดรายละเอียดในการให้คะแนนผลงาน
ว่าผู้เรียนทาอะไรได้สาเร็จ หรือว่ามีระดับความสาเร็จในระดับใด คือ มีผลงานเป็นอย่างไร การให้
คะแนนอาจจะใหเ้ ป็นภาพรวม หรือแยกเป็นรายได้ ให้สอดคล้องกบั งานและจุดประสงค์การเรยี นรู้
5. ทักษะทค่ี วรประเมนิ ในการประเมนิ ตามสภาพจริง
สมศักด์ิ ภ่วู ภิ าดาวรรธน์ (2544 : 104) ได้จาแนกทักษะที่ควรประเมินในการประเมิน
ตามสภาพจริงไว้ 5 ดา้ น ดงั นี้
5.1 ทักษะดา้ นความรู้ (Knowledge Skill)
1) มคี วามรใู้ นวชิ าท่เี รียน
2) สามารถใชค้ วามรู้ภาคทฤษฎสี ูก่ ารปฏิบตั ิ
119
3) สามารถระบุ วดั จัดระบบ และสื่อความรไู้ ดท้ ั้งการพดู – การเขียน
4) มีความซาบซึ้งในทกั ษะที่จะเป็นในการวิจัย
5.2 ทักษะดา้ นความคดิ (Thinking Skills)
1) สามารถคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ
2) สามารถคดิ อยา่ งอิสระ
3) สามารถคิดอย่างสรา้ งสรรค์และจนิ ตนาการ
4) สามารถตดั สินใจได้ด้วยตนเอง
5) สามารถประเมินตนเองตามความเปน็ จริง
6) สามารถหาวิธแี กป้ ญั หาได้
5.3 ทักษะสว่ นบุคคล (Personal Skills)
1) สามารถและตอ้ งการเรียนร้อู ย่างต่อเน่ือง
2) สามารถวางแผนและสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายทงั้ เร่อื งส่วนตวั และวิชาชีพ
3) สามารถทางานร่วมกับบคุ คลอื่น
5.4 คุณลกั ษณะสว่ นบุคคล (Personal Attibutes)
1) มีความอดทนและซื่อสตั ย์
2) ร้จู กั รับผิดชอบตอ่ ตนเองและผู้อนื่
5.5 ทักษะภาคปฏิบัติ (Practical Skills)
1) สามารถรวบรวม สมั พันธ์ แสดง วิเคราะห์ และรายงานผลการศึกษาได้
2) สามารถประยุกตผ์ ลการทดลองสสู่ ถานการณใ์ หมไ่ ด้
3) สามารถทดสอบสมมติฐานการทดลองได้
6. แนวทางการนาวธิ ีการประเมินตามสภาพจริงไปใช้ในการเรียนการสอน
การนาวิธีการประเมินตามสภาพจริงไปใช้ในการเรียนการสอน ควรดาเนินการตาม
แนวทาง ดังนี้
6.1 การเร่มิ ตน้ อยา่ งชา้ ๆ จะนาไปสู่ความเข้าใจและการยอมรับ โดยสิ่งสาคัญ สิ่งแรก
คือ ครูตอ้ งเรยี นรูเ้ กยี่ วกบั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ จนเกิดความเข้าใจและชดั เจน จึงเร่มิ ต้นประเมนิ
6.2 เร่ิมต้นจัดทาแฟม้ สะสมงานและเริ่มการประเมินตามสภาพจริงในเนื้อหาสาระท่ีมี
ความม่ันใจ (การประเมินตามสภาพจริงสามารถใช้ได้กับทุกวิชาและใช้ได้ตลอดเวลา เพ่ือพัฒนา
ความรคู้ วามสามารถของนักเรียนในทกุ ด้าน โดยครคู วรจะต้องเร่ิมต้นในวิชาที่ตนเองถนัด มั่นใจและ
สบายใจ
6.3 พฒั นาความสามารถในการใช้เครื่องมือและวิธีการในการวัดผลให้มีความชานาญ
เชน่ การสงั เกต การสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม การตรวจสอบรายการ การปฏบิ ัติจรงิ เป็นตน้ เพราะการ
ประเมนิ ตามสภาพจรงิ ตอ้ งใชเ้ ครือ่ งมือและวธิ ีการทสี่ อดคล้องกบั สภาพที่แทจ้ รงิ ของพฤตกิ รรมทจี่ ะวัด
และบางทอี าจต้องใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกนั ในการวัด
6.4 นากระบวนการประเมินตามสภาพจรงิ ไปใช้อย่างเป็นรปู ธรรมคอ่ ย ๆ เปน็ คอ่ ย ๆ ไป
ท่านจะสามารถประเมนิ ตามสภาพจรงิ ไดด้ ขี น้ึ เรอ่ื ย ๆ
120
7. ข้อสงั เกตบางประการของการประเมินตามสภาพจรงิ
การประเมินตามสภาพจริงยังมลี กั ษณะบางประการทเ่ี ป็นลกั ษณะสาคญั เฉพาะของการ
ประเมินตามสภาพจรงิ
7.1 การประเมินตาสภาพจรงิ เป็นการประเมินการปฏบิ ัตงิ านหรอื กจิ กรรมอยา่ งใดอย่างหนงึ่
โดยงานหรอื กจิ กรรมทมี่ อบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติ จะเป็นงานหรือสถานการณ์ที่เป็นจริง (Real life)
หรือใกล้เคียงกบั ชีวิตจริง จงึ เป็นงานท่มี สี ถานการณ์ซับซ้อน (Complexity) และเป็นองค์รวม (Holistic)
มากกว่างานปฏบิ ตั ิในกจิ กรรมการเรยี นทั่วไป
7.2 วิธีการประเมินตามสภาพจริงไม่มีความแตกต่างจากการประเมินจากการปฏิบัติ
(Performance Assessment) แต่อาจมีความยุ่งยากในการประเมินมากกว่า เน่ืองจากเป็น
สถานการณจ์ ริง หรอื ตอ้ งจดั สถานการณใ์ ห้ใกล้จริง แตจ่ ะเกิดประโยชน์กับผู้เรียนมากกว่า เพราะจะ
ทาให้ทราบความสามารถที่แทจ้ รงิ ของผู้เรียน วา่ มีจดุ เด่นและข้อบกพรอ่ งในเร่อื งใด อันจะนาไปสู่การ
แกไ้ ขปญั หาท่ีตรงประเดน็ ทสี่ ุด
7.3 การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน เป็นการประเมินที่ช่วยส่งเสริมให้กระบวน การ
ประเมินตามสภาพจรงิ มีความสมบรู ณ์ สะทอ้ นศกั ยภาพทีแ่ ท้จรงิ ของผเู้ รยี นมากขนึ้ โดยการให้ผู้เรยี น
ได้เกบ็ รวบรวม (Collect) ผลงานจากการปฏบิ ัตจิ ริง ทง้ั ในชนั้ เรยี น หรอื ในชีวิตจรงิ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการ
เรยี นร้ตู ่าง ๆ มาจดั แสดงอย่างเปน็ ระบบ (Organized) โดยมจี ุดประสงคเ์ พ่ือสะทอ้ นใหเ้ หน็ (reflect)
ความพยายาม เจตคติ แรงจูงใจ พัฒนาการ และความสัมฤทธิ์ผล (Achievement) ของการเรียนรู้
ของผู้เรียน การวางแผนดาเนินการประเมินด้วยแฟ้มผลงานที่สมบูรณ์ จะช่วยผู้สอนให้สามารถ
ประเมินจากแฟ้มสะสมงานแทนการประเมินจากการปฏิบตั ิจริงได้
8. แนวทางการให้คะแนนการประเมนิ ตามสภาพจริง
แนวทางการให้คะแนนแบบรูบริค (Rubric) เป็นเครื่องมือที่มักใช้ในการประเมินการ
ปฏิบัตงิ าน (คาว่า “รบู รคิ ” มาจากภาษาลาตินว่า Rubriaterra) หมายถงึ การทาเครอ่ื งหมายสีแดงไว้
บนสิง่ ท่ีสาคญั จึงมีการนาการให้คะแนนแบบรูบริคมาใช้กับการประเมินตามสภาพจริง เพราะการ
ประเมินตามสภาพจริงเปน็ วธิ ีการประเมินผลความสามารถทางด้านตา่ ง ๆ ของผู้เรยี นโดยมุ่งประเมิน
จากผลงานท่ปี ฏิบัตติ ามสภาพจริง (สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาต.ิ 2542 : 117 – 118
การใหค้ ะแนนแบบรูบริคเป็นการให้คะแนนท่ีต้องกาหนดมาตราวัดข้ึนมาก่อน โดยใน
แต่ละรายการของมาตราวัดจะบรรยายความสามารถในการแสดงออกของแต่ละระดับของมาตราวัด
อย่างชดั เจน ซ่งึ จะทาให้ทราบได้ว่านักเรยี นไดเ้ รียนรอู้ ะไรหรือสามารถทาอะไรได้มากนอ้ ยเพยี งใด
การกาหนดมาตราวดั การใหค้ ะแนนแบบรบู รคิ มี 3 แบบ คอื
1. การให้คะแนนแบบองค์รวม คือ การให้คะแนนชิ้นงานหรือผลการปฏิบัติงานโดยครู
จากภาพรวมของชิน้ งานหรือผลการปฏิบัติงานว่าเป็นอย่างไร แล้วเขียนอธิบายคุณภาพของช้ินงาน
หรือผลการปฏิบัตงิ านนน้ั ๆ ซง่ึ มีการใหค้ ะแนนในหลายวชิ า เชน่ วิธีแบ่งงานตามคุณภาพ วิธีกาหนด
เป็นระดบั ความผิดพลาด และวธิ ีกาหนดระดับและเขียนคาอธิบาย
2. การให้คะแนนแบบแยกสว่ น คอื การให้คะแนนช้ินงานหรือผลการปฏิบัติงานโดยให้
คะแนนแยกตามองค์ประกอบของการเกดิ ช้ินงานหรือผลการปฏบิ ัติงาน
121
3. การใหค้ ะแนนแบบผสมผสาน คอื การใหค้ ะแนนชิ้นงานหรอื ผลการปฏบิ ตั งิ านโดยนา
จดุ เดน่ ของการให้คะแนนแบบองค์รวมและการใหค้ ะแนนแบบแยกส่วนมารวมกัน การให้คะแนนแบบน้ี
จะให้คะแนนในส่วนทเี่ ป็นองคร์ วมกอ่ น แล้วจงึ อธบิ ายจดุ เดน่ จดุ ด้อยของแต่ละส่วนยอ่ ย
ในท่ีน้ขี อนาเสนอมาตรวดั คะแนนแบบรูบริคท่ีมีลักษณะการให้คะแนนแบบองค์รวม
แบบวธิ กี าหนดเปน็ ระดับและเขยี นคาอธิบาย ดังตวั อยา่ ง
- เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบรบู รคิ ในเรื่องการทางานรว่ มกับผู้อื่น (มาตรวัด 3 ระดับ
ระดับคะแนน 3 ระดบั คะแนน 2 ระดับคะแนน 1
สามารถวางแผนการทางาน สามารถวางแผนการทางาน สามารถวางแผนการทางาน
ร่วมกนั แบง่ งานกนั รบั ผิดชอบ ร่วมกนั แต่ในการทางานยงั ไม่ รว่ มกนั และไมค่ ่อยมกี ารรับฟงั
และแสดงความคดิ เหน็ ร่วมกนั ค่อยมีการรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จาก ความคดิ เหน็ จากผอู้ นื่
ผ้อู น่ื
- เกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบรบู ริคในเรื่องการเลา่ เรอ่ื ง (มาตรวัด 4 ระดบั
ระดับคะแนน 3 ระดบั คะแนน 2 ระดับคะแนน 1 ระดบั คะแนน 0
เล่าเร่อื งตามลาดับ เล่าเรื่องตามลาดบั เล่าเร่อื งตามลาดบั ไม่สามารถเลา่ เร่อื ง
เหตุการณไ์ ด้อยา่ งต่อเน่ือง เหตุการณไ์ ด้อย่างตอ่ เนื่อง เหตกุ ารณโ์ ดยครูคอย ตามลาดบั เหตุการณ์ได้
และตลอดเรื่องด้วยตนเอง แต่เลา่ ไดไ้ มจ่ บเนอ่ื งหรือมี ชว่ ยเหลอื เช่นใช้การถาม
เสยี งทเ่ี ล่าดงั ชดั เจน บางตอนขาดหายไป เสียง นา มีความสบั สนในลาดับ
ถูกต้องตามหลกั ภาษา ทีเ่ ลา่ ดงั ชดั เจน ถูกต้อง เหตกุ ารณท์ ีเ่ ล่า เสียงดัง
และมีทา่ ทางทีเ่ หมาะสม ตามหลักภาษา ชดั เจนพอสมควร
ประกอบการเล่า
จะเหน็ ไดว้ า่ การให้คะแนนแบบรูบริคอาจมีการกาหนดคะแนนได้ต้ังแต่ 3 ระดับ
แตท่ ่ีนยิ มมักจะกาหนดมาตรวัดคะแนนไม่เกนิ 5 ระดับ ซ่งึ อาจเริม่ จากระดบั 0 – 4 หรือ 1 – 5 ก็ได้
9. ขอ้ ดีและข้อเสยี
พชิ ติ ฤทธิ์จรญู (2552 : 88 กลา่ วถงึ ข้อดีและข้อเสียของการประเมนิ ตามสภาพจริง ดังน้ี
9.1 ข้อดี
1 เป็นการวัดท่พี ยายามทาใหค้ ุณลกั ษณะหรอื พฤติกรรมที่วัดเป็นรูปธรรมมากข้ึน
โดยใช้วิธีการประเมนิ หลายรปู แบบ ประเมินอยา่ งตอ่ เน่อื งตลอดเวลา และตามสภาพท่ีเป็นจริง
2 ดาเนนิ การประเมินโดยไมแ่ ยกออกจากการเรียนการสอน การเรียนรู้ และการ
ประเมนิ จะดาเนินไปพร้อม ๆ กัน ไมม่ ีการดาเนนิ การประเมินอยา่ งเป็นทางการ เช่น การสอบ ซึ่งจะ
ทาใหผ้ เู้ รยี นไมร่ ้สู กึ เครียด ดังน้ันผู้เรยี นจะปฏิบัติงานได้อย่างเตม็ ความสามารถ และสบายใจ
3 ส่งเสรมิ การเรยี นรตู้ ามความแตกตา่ งของผูเ้ รยี นอยา่ งแท้จริง และส่งผลต่อการ
พฒั นาคณุ ภาพการสอนของครู
122
4 นักเรยี นไดป้ ระเมนิ ผลงานของตนเองและเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ อีกทั้งยังส่งเสริม
ใหเ้ พื่อน ครู ผปู้ กครองมสี ว่ นร่วมในการประเมินผู้เรยี น
9.2 ข้อเสยี
1 ความเขา้ ใจของครูเปน็ ส่ิงสาคัญ รวมทงั้ การยอมรับ และปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม
การประเมิน ไม่เชน่ นน้ั ครูอาจไม่ประสบความสาเรจ็ ในการประเมินตามสภาพจริง
2 ครูมีภาระงานเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องดาเนินการประเมินอย่างต่อเน่ืองต้อง
บรู ณาการความรู้ ต้องวางแผนจดั กิจกรรมการเรียนการสอนและการวางแผนการประเมนิ ไปพรอ้ มกบั
ครูตอ้ งตรวจงานมากขึ้น หากครูไม่พรอ้ มและปรับตัวไม่ได้ อาจทาให้ครูกลับไปใช้การวัดประเมินผล
แบบเดมิ
การประเมนิ จากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment)
1. ความหมายของการประเมินจากแฟม้ สะสมงาน
การประเมนิ จากแฟ้มสะสมงาน เป็นเทคนิควิธีการหนึ่งที่ใช้ในการวัดความสามารถใน
การปฏบิ ัตติ ามสภาพจริง ซ่ึงวิกกิ้น (Wiggins, 1998 : 190) ได้กลา่ ววา่ แฟม้ สะสมงานมลี กั ษณะหลาย
อยา่ งเชน่ เป็นการสะสมผลงานท่ีดีที่สุดของนักเรียน ครูเป็นผู้เลือกผลงานที่นักเรียนสนใจผลงานท่ี
สะสมนั้นต้องเป็นผลงานของนักเรียน มีการเลือกผลงานท่ีสะสม โดยงานท่ีรวบรวมนั้นต้องเป็น
ตัวอยา่ งของงานที่คดั สรรแล้ว มีเกณฑใ์ นการคัดเลือกและทาอยา่ งต่อเน่อื ง มีปฏิทินหรือตารางในการ
สะสมงาน ตลอดจนควรใหผ้ ูป้ กครองมสี ่วนรว่ มดว้ ย (Popham, 1999 : 185 – 187)
สมศกั ดิ์ สินธุระเวชญ์ (2545 : 22) ได้อธิบายว่า แฟ้มสะสมงานเป็นการเก็บรวบรวม
และสร้างเอกสารเกี่ยวกับผลงานของผเู้ รยี นทีบ่ ง่ บอกถงึ ความสาเรจ็ เชิงสมรรถนะเฉพาะดา้ นท่ีได้มีการ
คัดสรรมาแล้ว ซึ่งจะแสดงให้เห็นความสามารถ จุดเด่น จุดด้อย ความสาเร็จ และพัฒนาการของ
ผูเ้ รยี น เป็นส่ิงทบี่ ่งบอกใหท้ ราบว่าผู้เรยี นอยตู่ รงไหน ชน้ั ไหนและกาลังพัฒนาไปในทศิ ทางใด เปน็ การ
เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดแ้ สดงออกดว้ ยตนเอง รูจ้ ักและเข้าใจหลักเกณฑข์ องผลงานท่ีดีเปน็ อย่างไร
สาหรับการประเมินด้วยแฟ้มสะสมงานตามหลักสูตรใหม่ จะเร่ิมจากการที่ผู้เรียนได้เก็บ
รวบรวม (Collect) ผลงานจากการปฏบิ ัตจิ รงิ ท้งั ในช้นั เรียนหรอื ในชีวิตจริงทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การเรยี นรตู้ าม
สาระการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ (Organized) ท้ังน้ีโดยมีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนให้เห็น (Reflect)
ความพยายาม เจตคติ แรงจูงใจ พัฒนาการและผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ (Achievement) ของผู้เรียน
การวางแผนดาเนนิ การประเมนิ ด้วยแฟม้ ผลงานทีส่ มบรู ณ์ จะชว่ ยใหผ้ สู้ อนสามารถประเมินจากแฟ้ม
สะสมงานแทนการประเมินจากการปฏิบัติจริงได้ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2544 : 16)
การประเมินดว้ ยแฟม้ สะสมงานเปน็ การประเมนิ ทีม่ ีพนื้ ฐาจากการสะสมผลงานของนักเรียนในรอบปี
หรือรอบภาคเรียน ซ่ึงเป็นวิธีการประเมินท่ีดีท่ีสุดวิธีหน่ึง ท่ีแสดงให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์และความ
พยายามในการพัฒนาของนกั เรียน (Kubiszyn and Borich, 2000 : 181)
สรุปได้ว่า แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) หมายถึง การเก็บรวบรวมชิ้นงานของผู้เรียนเพื่อ
สะท้อนความกา้ วหน้าและความสาเร็จของผู้เรยี น เปน็ แหล่งรวบรวมข้อมูลท่ีใช้เก็บผลงานดีเด่นของ
นกั เรียนท้งั ในเชงิ ปริมาณและเชิงคณุ ภาพอย่างต่อเน่ือง ในระยะเวลาที่กาหนด อันจะเป็นประโยชน์
123
ต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้เรยี น และใช้เป็นเครือ่ งมอื ของครูผสู้ อนในการประเมินผลตามสภาพจริง
ซึง่ ประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ประการคือ การสะสม การจดั ระบบข้อมลู และการสะท้อนผลงานหรือ
ผลการเรียนร้ขู องนกั เรยี น
2. วัตถุประสงค์ของการประเมนิ จากแฟ้มสะสมงาน
แฟม้ สะสมผลงานมีวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญ คือ เก็บรวบรวมการทางานของผู้เรียน เพ่ือ
บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความพยายาม ความกา้ วหน้าในการทางานหรือผลสมั ฤทธิ์ของงาน การเก็บ
รวบรวมน้ีจะตอ้ งรวมถึงการคัดเลือกเนอ้ื หา โดยมีแนวทางในการคดั เลือก มเี กณฑใ์ นการตดั สินคุณค่า
และร่องรอยหลักฐานในการสะท้อนตนเอง (Ward, A.W., Murry-Ward, M, 1999 : 193) หากจะ
กล่าวโดยละเอียด การประเมินจากแฟ้มสะสมงานมีวัตถุประสงค์สาคัญ ดังนี้ (ราตรี นันทสุคนธ์,
2553 : 61)
2.1 เพอ่ื พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุผลการเรียนตามวัตถุประสงค์และมาตรฐานการเรียนรู้
ตามหลกั สูตร
2.2 เพอ่ื สง่ เสรมิ การเรียนรู้ทีเ่ น้นผเู้ รียนเป็นสาคัญ ดว้ ยการปฏบิ ัตจิ รงิ ทาใหน้ กั เรยี นเกิด
นิสัยรกั การทางาน
2.3 เพื่อส่งเสริมการเรียนรตู้ ามสภาพจริง (Authentic Learning) และประเมินผลการ
เรยี นร้ตู ามสภาพจริง (Authenic Assessment) ของผู้เรียนเป็นรายบุคคลแทนการให้ข้อสอบตัดสิน
ผลเพยี งอย่างเดียว
2.4 เพื่อส่งเสรมิ กระบวนการเรยี นร้ทู ่ผี ูเ้ รยี นเป็นคนสรา้ งองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง
2.5 เพ่ือส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ระหว่าง
ครูผูส้ อน ผ้เู รียน และผู้ปกครอง
2.6 เพ่อื ฝึกฝนใหผ้ ูเ้ รียนมีทักษะในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์
ขอ้ มูล คัดเลือกขอ้ มลู และนาเสนอขอ้ มลู ความรไู้ ด้อยา่ งเปน็ ระบบ
2.7 เพ่อื กระต้นุ ผูเ้ รียนให้เกิดความภมู ใิ จ ความสาเร็จของตนเองและมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
ในการเรียนรู้ตลอดชวี ติ ทัง้ ในระบบ นอกระบบและอัธยาศยั
3. ประเภทของการประเมินจากแฟ้มสะสมงาน
แฟม้ สะสมงานสามารถจาแนกประเภทได้ดังน้ี (บูรชัย ศิริมหาสาคร, 2545 : 2 – 5 ;
สวุ ิทย์ มูลคา, 2543 : 28)
1. แฟ้มสะสมงานส่วนบคุ คล (Personal Portfolio) เปน็ แฟ้มทแี่ สดงถึงบคุ ลกิ ภาพ
ส่วนตวั ของแต่ละคน ทาใหร้ จู้ กั ความสามารถเจา้ ของแฟม้ เพื่อใชป้ ระโยชน์ในการแนะแนวการศึกษา
เชน่ ความสนใจ พรสวรรค์ กีฬา งานอดเิ รก สัตว์เลีย้ ง การทอ่ งเท่ียว และการร่วมกิจกรรมกับชุมชน
เปน็ ตน้
2. แฟ้มสะสมงานเชิงวิชาชีพ (Professional Portfolio) เป็นแฟ้มท่ีแสดงผลงาน
เก่ียวกับความรคู้ วามสามารถของบคุ คล เพอื่ ใช้ในการสมัครเข้าศึกษาต่อ หรือสมัครเข้าทางาน หรือ
ของเลอ่ื นตาแหน่งให้สูงข้นึ
124
3. แฟม้ สะสมงานเชงิ วิชาการ (Academic Portfolio) หรือแฟ้มสะสมงานสาหรับ
นักเรยี น (Student Portfolio) เป็นแฟ้มทแ่ี สดงถงึ ความรคู้ วามสามารถในการเรยี นร้ขู องนกั เรียนตาม
หลักสตู รเพื่อใชเ้ ปน็ หลักฐานในการประเมินผลการเรียน เช่น แฟ้มสะสมงานเพ่ือใช้ประเมินผลการ
ผา่ นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ แฟ้มสะสมงานเพอ่ื ใช้ประกอบการประเมินผลปลายภาค/ปลายปี เป็นตน้
4. แฟ้มสะสมงานสาหรับโครงการ (Project Portfolio) เป็นแฟ้มที่แสดงถึงความ
พยายามในการทางานตามโครงการจนประสบความสาเร็จ ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษารายบุคคล
จงึ มีลกั ษณะคลา้ ยภาพยนตร์ สารคดี เชน่ แฟม้ โครงงานวิทยาศาสตร์ ในแฟ้มประกอบด้วยภาพของ
วัสดุอปุ กรณท์ ่ใี ช้และแสดงข้นั ตอนต่าง ๆ ในการดาเนินงานจนได้ผลผลติ ทต่ี อ้ งการ เปน็ ตน้
นอกจากนี้ คัดนางค์ มณีศรี (2548 : 23 – 24) ได้แบ่งประเภทของแฟ้มสะสมงาน
ออกเปน็ 2 ประเภท คือ
1. แฟม้ สะสมงานกระบวนการ (Process Portfolio) เป็นแฟ้มสะสมงานเพ่ือเป็น
เครื่องมือวัดความก้าวหน้าทางการเรียน แสดงผลงานของนักเรียนตั้งแต่เริ่มเรียน ในช่วงเร่ิมเรียน
นกั เรียนควรตอบคาถาม เชน่ ทาไมนกั เรยี นจงึ เริม่ ตน้ ที่ระดบั น้นั นักเรยี นคาดหวังว่าจะกา้ วหน้าไปใน
ทิศทางใด นักเรยี นวางแผนที่จะไปในทิศทางนั้นอย่างไร และเม่ือใด เม่ือนักเรียนเรียนต่อไปเร่ือย ๆ
ครจู ะค่อย ๆ สะสมหลักฐานท่แี สดงถงึ ความกา้ วหน้าของนักเรยี นไปเรื่อย ๆ เมือ่ นักเรียนทางานเสร็จ
หลักฐานชน้ิ สุดท้ายกจ็ ะเกบ็ ไวใ้ นแฟ้มสะสมงาน เมือ่ นักเรยี นเรยี นรู้เรอื่ งใดเร่อื งหนึง่ หรือทางานชิ้นใด
ชน้ิ หนงึ่ สาเรจ็ นกั เรยี นจาเป็นต้องสรุปวิธีการที่ทาให้นักเรียนได้เรียนรู้สาเร็จ แม้แต่งานที่ไม่เสร็จก็
อาจจะเกบ็ ไวใ้ นแฟม้ สะสมงานได้ เพอ่ื เปน็ การระบวุ า่ มปี ญั หาดา้ นใด จากน้ันนกั เรยี นก็จะพิจารณาว่า
ทาไมเรอ่ื งนั้นจึงเปน็ ปัญหา และจะสามารถแก้ปัญหาน้ันอยา่ งไร
2. แฟม้ สะสมงานผลผลิต (Product Portfolio) เปน็ การแสดงผลงานของนักเรยี น
ตอนปลายปกี ารศกึ ษาหรือเมื่อจบโปรแกรม แฟ้มสะสมงานผลผลิตแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ
การเรยี นร้ขู องนักเรียน งานทเ่ี ลอื กเก็บในแฟ้มสะสมงานควรเป็นผลงานทนี่ ักเรียนเต็มใจให้ผู้อ่ืนได้รู้เห็น
และเปน็ งานท่สี ะทอ้ นความสาเรจ็ ของนักเรียนในการเรียนตามหลกั สูตร
4. ลักษณะสาคญั ของการประมินจากแฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงานของผู้เรียนอาจมีได้หลายรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่โดยท่ัวไปมีลักษณะ ที่
สาคญั ดงั นี้ (สมนกึ ภทั ทยิ ธานี. 2551 : 57 – 58, พิชติ ฤทธ์จิ รญู . 2552 : 89
1. เป็นการสะสมผลงานท่สี าคัญของผู้เรียนแต่ละคน ซ่ึงผู้เรียนแต่ละคนจะจัดทา
แฟ้มสะสมงานของตนเอง ผู้สอนเป็นผู้ช่วยให้คาแนะนาผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันกาหนดเป้าหมาย
และกาหนดว่าจะมสี ิ่งใดบ้างทจี่ ะบรรจใุ นแฟม้ สะสมงานของผเู้ รียน และยงั ร่วมกันพิจารณาตรวจทาน
ส่ิงที่จะบรรจใุ นแฟม้ สะสมงานนัน้
2. เนน้ ผลงานเป็นสาคญั แฟ้มสะสมงานจะมสี ่วนของผลงานทเ่ี ปน็ ตวั อยา่ งงานของ
ผเู้ รยี นมากกวา่ ส่ิงอ่ืน ซ่ึงสอดคล้องกับเป้าหมายสาคัญของการสอนในทุกวิชาท่ีควรเน้นผลงานของ
ผ้เู รยี น เชน่ วชิ าภาษาไทยด้านการเขยี นจดุ มุ่งหมายของการสอนคอื ผูเ้ รียนสามารถเขียนเรียงความ
กวนี ิพนธ์ หรอื การเขียนเพอื่ ส่ือสารอืน่ ๆ เปน็ ตน้ หลังจากเรยี นเสร็จผเู้ รียนจะเลือกผลงานของตนเข้า
125
บรรจุในแฟม้ สะสมงาน ในการพิจารณาตรวจทานแฟม้ สะสมงาน โดยปกติครูจะไม่เห็นกระบวนการ
ท่ใี ช้ในการผลติ ผลงานโดยตรง เม่ือต้องพิจารณากระบวนการก็จะอาศัยการอ้างอิง ดังน้ันถ้าจะวัด
ทักษะด้านกระบวนการ (ซ่ึงในบางกรณีเป็นส่ิงสาคัญยิ่งกว่าผลงาน ก็ควรต้องอาศัยวิธีการอื่น เช่น
การสงั เกตกระบวนการ
3. บง่ ช้จี ุดแข็งของผู้เรียนมากกว่าจุดอ่อน การวัดผลแบบเดิมส่วนใหญ่เน้นความ
ผิดพลาดของผเู้ รยี นมากกวา่ สมั ฤทธิ์ผล มกี ารอภปิ รายถึงคาตอบท่ีตอบผิด แฟ้มสะสมงานจะเน้นจุด
แขง็ ของผเู้ รียนมากกวา่ จดุ อ่อน ผเู้ รยี นจะตอ้ งเสนอตัวอยา่ งผลงานทด่ี ที ่ีสดุ การอภิปรายผลงานก็จะ
เพ่งไปท่ีมีความสัมฤทธ์ิผลอะไรบ้าง มจี ุดใดทีจ่ ะต้องพัฒนาตอ่ ไป จงึ มลี กั ษณะท่เี ป็นทางบวก เป็นการ
เสริมสร้าง (Construction) ในการเรียนรู้ อาจมีการกลา่ วถึงข้อบกพร่องทส่ี าคัญเชน่ กัน โดยไมใ่ ช้เพ่อื
ชี้การด้อยประสิทธิภาพของผู้เรียน แต่เพื่อพิจารณาว่าจะทาอย่างไรในการเรียนการสอนเพื่อแก้
จุดบกพร่องน้นั
4. เอ้ือต่อการสื่อสารผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนต่อบุคคลอ่ืน ผู้เรียนสามารถใช้แฟ้ม
สะสมงานแสดงต่อผูป้ กครอง เพ่ือนเรียน ผูบ้ ริหาร และบุคคลอนื่ ได้วา่ ตนไดบ้ รรลผุ ลสัมฤทธ์ิอะไรบ้าง
เปน็ เคร่อื งมอื ท่ีมปี ระสทิ ธิภาพในการนาไปใชอ้ ภปิ รายถงึ ความก้าวหนา้ ของผ้เู รียน เพราะประกอบด้วย
ตวั อยา่ งของส่งิ ท่ีผเู้ รียนสามารถทาได้
5. เนน้ ผู้เรียนเป็นศนู ย์กลาง การที่ผู้เรียนเป็นเจ้าของแฟ้มสะสมงาน เป็นผู้เลือก
ชน้ิ งานในแต่ละชนดิ ทีจ่ ะบรรจลุ งในแฟ้มสะสมงาน ฯลฯ จึงเป็นกระบวนการวัดผลท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
ศูนย์กลาง (Student Center) มากกว่าผู้สอนเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) เป็นการวัดผล ท่ี
ผเู้ รียนเป็นผรู้ ว่ มในกระบวนการวัดผลอยา่ งจรงิ จัง
นอกจากน้ี สมศกั ด์ิ ภูว่ ิภาดาวรรธน์ (2544 : 112) ได้กาหนดลักษณะของแฟ้มสะสมงาน
ไว้ดังนี้
1. เป็นการแสดงผลงานตามความสามารถของแต่ละบุคคล นักเรียนจะเลือก
ผลงานและจดั เตรียมทาแฟ้มสะสมผลงานดว้ ยตนเอง โดยต้องสร้างสรรค์แฟ้มสะสมงานเพื่อแสดงให้
เห็นความหลากหลาย และคณุ ภาพของงานท่ตี นทาขน้ึ
2. เป็นความรว่ มมือกันในการทางานระหว่างครู และนกั เรียน ซึ่งต้องช่วยกันกาหนด
เกณฑ์ วิธกี าร และรปู แบบการประเมนิ ผลแฟ้มสะสมผลงาน
3. เปน็ วธิ กี ารทยี่ ดึ ผูเ้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง ซง่ึ ต้องยึดเป้าหมาย ความต้องการ ความ
สนใจ และความสาเร็จของผูเ้ รยี นแตล่ ะคนเปน็ หลกั ผูเ้ รยี นตอ้ งรับผดิ ชอบในการเก็บรวบรวมผลงาน
นาเสนอผลงาน และประเมนิ ผลงานของตนเอง
4. อนุญาตให้ครูเปรียบเสมือนผู้วิจัย กล่าวคือ ครูต้องสัมพันธ์วิธีสอน และการ
ประเมนิ ผลเข้าดว้ ยกนั และควบคมุ การสอน ครสู ามารถทดลองและนาผลการทดลองไปแลกเปล่ียน
กบั ผ้เู ก่ยี วขอ้ งอน่ื ๆ ได้อย่างกวา้ งขวาง
5. ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นรู้จกั รบั ผิดชอบ และประเมนิ ผลงานของตนเอง ผเู้ รยี นตอ้ งเก็บ
สะสมผลงานและเลือกผลงานเพื่อจดั ทาแฟม้ สะสมงานของตน
126
5. ส่วนประกอบของการประเมินจากแฟม้ สะสมงาน
แฟม้ สะสมงานเปน็ สอ่ื ทีแ่ สดงถงึ ศักยภาพและสะท้อนถึงความคิดเห็นของผู้เรียน แฟ้ม
สะสมงานเป็นทง้ั กระบวนการเรยี นการสอนและการประเมนิ ผล รวมทง้ั เปน็ เครอื่ งมือทช่ี ว่ ยใหน้ ักเรยี น
สามารถควบคุมการเรียนรูข้ องตนเอง ลกั ษณะของส่งิ ที่เก็บสะสมงานของนักเรียนอาจจะแตกต่างกัน
ออกไป ข้นึ อยู่กับลักษณะงานและวัสดุท่ีใช้ห่อหุ้มให้เหมาะสมกับขนาดและปริมาณชิ้นงาน รวมท้ัง
ขนาดของหอ้ งเรียนที่เอื้ออานวยให้เก็บงานของนักเรียนให้เพียงพอที่เป็นการส่งเสริมการเรียนการ
สอนให้กับบุคลากรและเพื่อพัฒนาผู้เรียนได้ ดังน้ันที่เก็บงานจึงอาจจะเป็นแฟ้มสมุดหรือกล่อง
กระดาษกไ็ ด้ แฟ้มผลงานของนกั เรยี นมหี นา้ ท่ีในการแสดง หรือนาเสนอผลงานท่ีสอดคล้องกับความ
เปน็ จรงิ ตามธรรมชาตใิ นการเรยี นการสอน ซง่ึ ในทางปฏบิ ตั ิไม่สามารถนาผลงานทกุ ชิ้นมาเก็บได้ ต้อง
มีเกณฑ์ในการคดั เลือกผลงานมาไว้ในแฟ้ม เช่น งานยอดเย่ียม งานชิ้นเอก งานแสดงความก้าวหน้า
งานแสดงถงึ ความสมบรู ณ์ เปน็ ต้น
สว่ นประกอบของการประเมนิ จากแฟม้ สะสมงาน ประกอบดว้ ย 3 สว่ น ดงั นี้
ส่วนท่ี 1 ส่วนนา ประกอบด้วย ปก ประวัติผู้ทา รายการจุดประสงค์การเรียนรู้
แผนการศึกษาสว่ นบคุ คล สารบัญชน้ิ งาน ตวั บง่ ช้ปี ระกอบงาน รายการเอาออกและนาเข้าชน้ิ งาน
ส่วนที่ 2 สว่ นบรรจหุ ลักฐานช้ินงานทส่ี ร้างข้ึนจากการเรียนการสอน การสะท้อนความ
คิดเหน็ แสดงประวัตขิ องงาน จานวนหนงั สือท่ีอา่ น เวลาท่ีใช้ในการทางาน คะแนนจากการสอบ แบบ
สารวจรายการของครู บันทึกความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั งานหรอื วิชาทเ่ี รยี น
สว่ นที่ 3 ส่วนบรรจเุ กณฑ์การตัดสินใจแฟ้มสะสมงาน และข้อมูลการประเมินของครู
เพือ่ น และผู้ปกครอง รวมท้ังหลักฐานการประเมินตนเองของนักเรียน แผนการและแนวคิดในการ
ประชมุ แฟม้ สะสมงาน
สาหรับส่ิงที่เก็บรวบรวมในแฟ้มสะสมงานส่วนที่ 2 ส่วนบรรจุหลักฐานช้ินงานอาจ
ประกอบดว้ ย สิง่ ตอ่ ไปนี้
1. ผลงานต่าง ๆ ซ่ึงเปน็ ผลงานภาคปฏิบัติในวิชาที่เรียน รวมท้ังผลการตรวจงาน
ซ่งึ ครูผู้สอนได้ทาการสังเกตและใหค้ าแนะนาในการปรับพฤติกรรมและผลงานด้วยการตรวจให้คะแนน
ไม่ควรเป็นเพียงการกากบาทสีแดงในส่ิงท่ีผิด หรือไม่ควรประพฤติเท่านั้น ควรให้คาช้ีแจง แนะนา
ยกย่อง ชมเชย เพอื่ เปน็ การปรบั พฤติกรรมใหเ้ หมาะสมยิ่งข้นึ ผลงานเหล่านี้อาจจะได้แก่ คาประพนั ธ์
ภาพวาด เรื่องส้ัน เรียงความ รายงานหรืออาจจะเป็นโครงการ (Project) ต่าง ๆ ซึ่งเป็นงานเดี่ยว
หรืองานกลุ่มกไ็ ด้ ในบางกรณีอาจใช้ภาพถ่ายแทนได้ เชน่ ภาพถา่ ยแปลงผกั ท่ปี ลกู ไว้ เป็นต้น
2. ผลการทดสอบ โดยเฉพาะการทดสอบที่ให้นักเรียนเขียนคาตอบเอง เพื่อ
สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของตนเอง ในลักษณะของแบบวัดการปฏิบัติงานจริง ซ่ึงจะจาลองสภาพ
ปัญหาให้นักเรียนวางแผนดาเนินการพิจารณาปรับปรุงการดาเนินงานจนบรรลุสาเร็จ โดยเน้น
พฤติกรรมกระบวนการคิด และการแก้ปัญหาผลการทดสอบเหล่าน้ีควรมีการเฉลยและตรวจให้
คะแนน โดยกาหนดแนวคาตอบไวเ้ ป็นเกณฑ์ท่ีเรียกว่า Rubric
3. การเขียนบันทึกรายวัน (Journal) นักเรียนจะเขียนในช่วงเวลาใดก็ได้ แต่ให้
เป็นไปตามธรรมชาติหรือความต้องการของตนเอง โดยมีรายละเอียดเก่ียวกับความรู้ความเข้าใจใน
127
เร่อื งทเี่ รียน ความรสู้ ึกตอ่ กิจกรรมน้ัน การประเมินตนเอง ท้ังน้ีจะสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิด
และเจตคตขิ องนักเรยี น
4. การประเมินตนเอง (Self – Assessment) นักเรียนประเมินคะแนนพฤติกรร
และงานของตนเองลงในแบบฟอร์มท่อี อกแบบไว้ ขอ้ มูลที่กรอกอาจเป็นข้อมลู เก่ยี วกับการเรียนรู้ของ
นักเรยี นและพฤตกิ รรมซ่ึงเด่นชัดเกี่ยวกับเรื่องน้ัน ๆ ซึ่งนักเรียนสามารถใช้ข้อเสนอแนะของตนเอง
เพือ่ ปรบั ปรงุ งานของตนเอง
5. การประเมินงานโดยเพ่ือนร่วมชั้น (Peer Assessment) และการให้ผู้เรียน
ประเมินกิจกรรมกลุ่ม (Group Assessment) การประเมนิ ทัง้ 2 แบบ แตกต่างกันที่การประเมินงาน
โดยเพ่ือนร่วมช้ันอาจจกระทาโดยใครก็ได้ในชั้นเรียนท่ีครูผู้สอนเป็นผู้มอบหมายให้สังเกตพฤติกรรม
ของเพ่ือนซ่ึงเป็นผู้เสนองาน ส่วนการประเมินกิจกรรมกลุ่มนั้น ต้องกระทาโดยสมาชิกในกลุ่มเพ่ือ
ประเมินเพือ่ นและการทางานในกลมุ่ ของตน ทัง้ นกี้ ารประเมนิ ผลท้ัง 2 แบบ เปน็ การช่วยครูผู้สอนใน
การสังเกตพฤตกิ รรมและกจิ กรรมท่ีเกิดข้ึนในช้ันเรียน เป็นการยืนยันความสอดคล้องผลการสังเกต
จากครูผสู้ อนและนักเรียนคนอืน่ ๆ
6. การสังเกต (Observation) เปน็ ส่วนสาคัญของการประเมนิ ผลในปจั จุบันที่เน้น
การประเมินในสภาพความเปน็ จรงิ เป็นการพิจารณาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยประสาทสัมผัส
ของผ้สู งั เกต และบนั ทึกขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ีได้จากการสังเกตนั้น ๆ เพื่อนาไปสู่การแปลผล และหาข้อสรุป
โดยทัว่ ไปข้นั ตอนการสังเกตจะเรม่ิ จากการกาหนดจดุ ม่งุ หมายวา่ จะสังเกตคุณลักษณะใด ของใคร ใช้
วิธีการบันทึกแบบใด แล้วนาผลการสังเกตนั้นมาอธิบายเพื่อหาสมมติฐานและนาไปสู่การตัดสินใจ
ตอ่ ไป
7. การประชุมร่วมกัน (Conference) การประชุมนี้อาจเป็นทางการหรือไม่เป็น
ทางการก็ได้ ครผู สู้ อนจะใชก้ ารประชุมน้ที บทวนวเิ คราะห์การเรียนของนกั เรยี น และใชใ้ นการประชุม
วางแผนในการดาเนินการเรยี นข้นั ต่อไป การประชุมรว่ มกนั จะเป็นอกี ส่วนหนงึ่ ของการประเมิน
6. กระบวนการในการประเมินจากแฟม้ สะสมงาน
กระบวนการในการประเมินจากแฟ้มสะสมงานมี 10 ข้ันตอน (สมนึก นนธิจันทร์,
2544 : 106 – 126; คัดนางค์ มณีศรี, 2548 : 26 – 37; สมศักด์ิ สินธุระเวชญ์, 2545 : 23 – 24)
ดังนี้
ขัน้ ตอนที่ 1 การวางแผนจัดทาแฟ้มสะสมงาน
ขัน้ ตอนนี้นบั วา่ มีความสาคัญมากในขัน้ ตอนหนึ่ง เพราะหากวา่ ผสู้ อนไม่มกี ารวางแผน
ลว่ งหนา้ ไว้อย่างเป็นระบบและชดั เจนแล้ว จะเปน็ การยากในการจะดาเนินการในข้ันต่อไป เพราะทั้ง
ครูผู้สอนและผู้เรียนจะไม่รู้ว่าตอนไหนจะต้องเก็บช้ินงา จะเก็บอะไรบ้าง เก็บผลงานจานวนเท่าไร
เก็บมาแล้วจะดาเนินการอย่างไร ประเมินผลเมื่อไหร่ และจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการประเมิน
ขั้นตอนนี้ทั้งครูผ้สู อนและผูเ้ รยี นจึงตอ้ งมกี ารวางแผนและเตรยี มตัวไปพรอ้ ม ๆ กนั
128
ข้ันตอท่ี 2 การเก็บรวบรวมผลงาน/ชน้ิ งาน
การเกบ็ รวบรวมผลงานหรือชนิ้ งานทเี่ กิดข้นึ ในขณะท่ีมกี ิจกรรมการเรียนการสอน
หรือการวางแผนการปฏบิ ตั ิงานของผ้เู รยี น ซงึ่ จะเป็นการแสดงออกถึงความพยายาม ความก้าวหน้า
และผลสมั ฤทธิใ์ นวิชาหน่ึง ๆ ในข้นั น้จี ะดาเนินการไปตามแผนการสอนที่ได้วางแผนไว้อย่างดี ตามที่
ระบไุ ว้ในหวั ขอ้ การวัดและประเมนิ ผลในแผนการสอน ขั้นตอนน้ีครูผู้สอนควรให้ผู้เรียนเก็บรวบรวม
ผลงานหรอื ชน้ิ งานทั้งหมดไว้ในแฟ้มสะสมงาน
ข้ันตอนที่ 3 การคัดเลอื กชน้ิ งานหรือหลักฐาน
การคัดเลอื กช้ินงานหรือหลกั ฐานที่จะเก็บในแฟ้มสะสมงาน ผู้เรียนและครูผู้สอน
ควรเลือกสิง่ ทีจ่ ะเกบ็ ในแฟม้ สะสมงานที่ตรงตามเป้าหมาย การคดั เลือกชน้ิ งานจะกระทาภายหลังจาก
รวบรวมช้ินงานต่าง ๆ ไปสักระยะหน่ึงจะพบว่ามีจานวนช้ินงานเพ่ิมมากขึ้น การพิจารณาคัดเลือก
ชิน้ งานท่แี สดงถึงความสามารถของผเู้ รียนตามจดุ ประสงคข์ องการประเมนิ จะชว่ ยลดจานวนชิน้ งานลง
ผลงานที่คัดเลอื กน้ันต้องเป็นผลงานทีด่ ีท่ีสุด ครอบคลุมเนื้อหา วัตถุประสงค์ โดยปกติแล้วการคัดเลือก
ชน้ิ งาน ครูผ้สู อนควรไดม้ กี ารวางแผนไวล้ ว่ งหน้าว่าจะคดั เลอื กผลงานประเภทใด ในหลกั การคัดเลือก
ช้ินงาน ผู้คัดเลือกควรเป็นผู้เรียนโดยตรงท่ีต้องพิจารณาช้ินงานทุกช้ินอย่างรอบคอบ ในการช่วย
ผู้เรียนเลอื กผลงาน ครคู วรให้ความสนใจเลอื กผลงานท่ีแสดงถึงพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียน คือ
ก่อนการเรยี นรู้ และหลกั การเรยี นรู้ หากต้องการวดั ผลเปรยี บเทยี บกบั ผ้เู รยี นคนอ่ืน ๆ ผู้เรียนทุกคน
ควรได้รับมอบหมายให้ทางานอย่างเดียวกัน ในข้ันนี้จะพัฒนากระบวนการตัดสินใจเพ่ือคัดเลือก
ชน้ิ งานใดให้อยใู่ นแฟม้ และจะเป็นการกระตุ้นให้ครูผู้สอนได้สารวจ ตรวจสอบชิ้นงานให้สอดคล้อง
กบั เกณฑ์ แต่ถา้ ในกรณที คี่ รูผูส้ อนไมไ่ ดส้ ร้างเกณฑไ์ วล้ ว่ งหนา้ กจ็ ะมกี ารอธิบายถงึ เกณฑ์ และแนวทาง
ของการคัดเลอื กชน้ิ งาน ซ่ึงครูผูส้ อนมกั จะเขยี นแนวทางและเกณฑแบบเฉพาะเจาะจงเพ่ือให้ผู้เรียน
ไดต้ ดั สนิ ใจเลือกงาน อนั เป็นส่วนสาคญั ของการพจิ ารณาแฟ้มสะสมงานอย่างฉลาด
ขน้ั ตอนท่ี 4 การจดั ระบบของแฟม้ สะสมงาน
ในขั้นตอนนี้เป็นข้ันตอนท่ีตอ่ เนอ่ื งจากการคดั เลอื กผลงาน คือ เม่ือผู้เรียนได้เลือก
ผลงานทีต่ นเองประทับใจมากที่สุดทจ่ี ะนาไปประเมนิ ตามกิจกรรมต่าง ๆ ซึง่ อาจมหี ลายชนิ้ งาน ในแต่ละ
ชน้ิ งานทีไ่ ดร้ บั การคดั เลอื กควรระบุวันทผี่ ลงานช้ินน้ีสาเร็จ คาอธิบายลักษณะงาน และความคิดเห็น
เกี่ยวกับผลงานทเี่ ก็บ ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งรวบรวมจดั ระบของแฟม้ สะสมผลงานแล้วยังเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นได้
ตกแต่งเพิ่มเติมสีสันในแฟ้มสะสมงานให้ดีข้ึน ซึ่งผู้เรียนจะสามารถกระทาได้โดยอิสระ ตามความ
เหมาะสมและความพึงพอใจของแตล่ ะบคุ คล ซึ่งการตกแต่งและการจัดระบบของแฟ้มสะสมงานจะ
เป็นการถ่ายทอดบุคลิกภาพของผู้เรียนที่ครูผู้สอนจะสามารถสังเกตได้ ทานายถึงคุณลักษณะนิสัย
ทกั ษะ และความสามารถพิเศษ
ขนั้ ตอนที่ 5 การแสดงความคิดเห็นหรอื ความร้สู กึ ต่อผลงาน
การแสดงความคิดเหน็ หรอื ความรู้สกึ ตอ่ ผลงาน นกั การศึกษาบางทา่ นเรยี กข้นั นีว้ ่า
ขน้ั สะท้อนข้อมลู ยอ้ นกลบั เป็นการแสดงความคิดเหน็ หรือความรู้สึกของผู้เรียนต่อผลงานของตนเอง
ซ่งึ เปน็ ข้นั ตอนทีต่ ่อเนอื่ งจากการเลือกชิ้นงาน เมื่อผู้เรยี นไดต้ ดั สินใจในการเลือกและเลือกชิ้นงานที่ดี
ท่สี ุดหรือมคี วามหมายที่ดที สี่ ุดตอ่ ผเู้ รยี นแล้ว ข้ันตอนนี้ผู้เรียนจะได้คิดย้อนกลับถึงเร่ืองเก่ียวกับการ
ปฏบิ ัติงานหรือการเรยี นของตน โดยการเลอื กแสดงออกดว้ ยการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับผลงาน หรือ
129
อาจจะเปน็ กระบวนการระหวา่ งการทางาน และหลังการทางานจากชิ้นงานท่ีเลือก นับได้ว่าเป็นส่ิงที่
คณุ คา่ อย่างย่ิงทจ่ี ะชว่ ยให้ผูเ้ รียนได้พฒั นากระบวนการคิดของตนเองให้สูงขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการ
สง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนไดม้ ีการตดิ ตามผลงานหรือเรอ่ื งอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับผลงานของตนไปเร่ือย ๆ การ
สะทอ้ นความคดิ เหน็ ต่อชิน้ งานเปน็ การใหผ้ เู้ รยี นได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนรู้ของตน ซ่ึง
เป็นการพัฒนาอภิปัญญาของผู้เรียน เป้าหมายของอภิปัญญา คือการท่ีผู้เรียนได้พัฒนาตนเองเต็ม
ศกั ยภาพ ถงึ แม้วา่ ภาพท่ีสะท้อนในชั้นเรม่ิ ตน้ อาจจะดจู ากดั และผิวเผิน แตก่ ารใหผ้ ูเ้ รยี นสะท้อนภาพ
การเรียนรู้ของตนเองไปเร่ือย ๆ จะนาไปสู่ความเข้าใจท่ีลึกซ้ึง มีการประเมินผลการทางานและ
วางแผนพฒั นางานหรือปรับเปลี่ยนความคิดยุทธวิธีการทางานให้ดียิ่งข้ึน ซึ่งการแสดงความคิดเห็น
หรือความรู้สึกต่อผลงานจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ประเมินผลงานของตนเองอย่างไม่เป็น
ทางการอีกทางหน่ึงดว้ ย การสะท้อนความคิดเห็น ครูผู้สอนต้องเข้าใจการสะท้อนความคิดเห็นและ
การเปน็ ผู้สะทอ้ นความคดิ เห็น เพ่ือจะชแี้ นะแกผ่ อู้ ่นื ผู้เรียนต้องเขา้ ใจวา่ การสะทอ้ นความคิดเหน็ ไมใ่ ช่
การสรุป แต่เป็นกิจกรรมการเขียนเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างจริงจัง การสะท้อนเป็นการ
วิเคราะห์และสงั เคราะหค์ วามรู้ ทกั ษะและทศั นคติไปพร้อม ๆ กับท่ผี ู้เรยี นพฒั นาตนเอง การสะท้อน
ความคิดเห็นตอ้ งตอบคาถามต่อไปนี้
1. ทาไมงานช้นิ นจ้ี ึงเป็นงานท่ดี ที ่ีสุดของผู้เรียน
2. ผ้เู รียนทางานนใ้ี ห้สาเรจ็ ได้อยา่ งไร
3. ถ้าต้องทางานอย่างนอ้ี ีกครั้ง ผ้เู รียนจะทาอะไรให้แตกตา่ งไปจากเดมิ
4. จากจดุ นผ้ี เู้ รียนจะไปทางไหน
ข้นั ตอนท่ี 6 การตรวจสอบความสามารถของตนเอง
การประเมินผลงานจากแฟ้มสะสมงานได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบ
ความสามารถของตนเองทงั้ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับชิ้นงานตา่ ง ๆ ตลอดจนคุณลักษณะต่าง ๆ ของผู้เรียน เช่น
ลกั ษณะนสิ ยั ในการทางาน ทักษะในการทางาน ทักษะทางสังคม ตลอดความสามารถในการจัดการ
ส่ิงทต่ี รวจสอบในข้ันตอนนี้เป็นการตรวจสอบท้ังจุดประสงค์การเรียนรู้และคุณลักษณะส่วนตัวของ
ผเู้ รียน
การตรวจสอบความสามารถของตนเอง คอื การให้ผเู้ รยี นวเิ คราะห์จดุ เด่นจดุ ดอ้ ยใน
การทางานหรอื เกยี่ วกบั ผลงานของตนเอง หากผูเ้ รียนต้องการทจ่ี ะพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ด้วยการวเิ คราะห์ การสังเคราะหแ์ ละการประเมนิ ผล ผเู้ รยี นตอ้ งทบทวนงานและวิเคราะห์ถึงจุดแข็ง
และสง่ิ ท่ีเป็นปญั หาหรือกังวล หรือส่งิ ท่ีเขาทายงั ไมเ่ สร็จ สิง่ สาคัญของการวิเคราะห์จะต้องวิเคราะห์
ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ด้าน ซึ่งอาจเป็นด้านเนื้อหา กระบวนการและทักษะทางสังคม ผู้เรียนที่มี
ความสามารถดี จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถทกุ ดา้ น และมคี วามสานึกอยู่เสมอว่าต้องการพัฒนา
ใหด้ ยี ิ่ง ๆ ขึน้
ข้นั ตอนท่ี 7 การประเมินคา่ ของแฟ้มสะสมงาน
แฟม้ สะสมงานเป็นแนวทางหนงึ่ ในการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งแตกต่าง
ไปจากวิธีการแบบเดิม การประเมนิ ผลจากแฟม้ สะสมงานจึงเป็นเร่ืองที่เป็นปัญหาและมีการถกเถียง
กนั มาตลอดว่าจะได้เกรดหรือไม่ได้เกรด สิ่งสาคัญท่ีต้องคานึงในการประเมินผลคือการพิจารณาถึง
วัตถปุ ระสงค์ของแฟม้ สะสมงานเป็นหลัก ถ้าจดุ ประสงคข์ องแฟม้ สะสมงานจดั ทาเพื่อสะท้อนช้ินงาน
130
ท่ดี ที่ ่ีสดุ ของผเู้ รยี น เพือ่ ที่จะสร้างกระบวนการหรอื ผลผลิต หรือเพ่ือทจี่ ะตามดูพัฒนาการของผู้เรียน
อย่างไม่เป็นทางการ จึงไม่จาเป็นท่ีจะต้องได้รับการประเมินผล แต่หากแฟ้มสะสมงานทั้งหมดมี
ความจาเปน็ ที่จะตอ้ งได้รบั การประเมินก็ขนึ้ อยู่กบั เกณฑ์ท่ไี ด้กาหนดไว้ลว่ งหน้าแล้ว
ขนั้ ตอนท่ี 8 การแลกเปลย่ี นประสบการณ์เก่ียวกับผลงาน
ข้ันตอนการแลกเปลย่ี นประสบการณ์เก่ยี วกบั ผลงาน จะเป็นข้ันตอนที่มวี ัตถุประสงค์
เพื่อใหผ้ ้เู รียนไดม้ ีโอกาสรบั ฟงั ความคิดเห็นและข้อคดิ จากผทู้ เี่ ก่ยี วข้องโดยเฉพาะจากเพื่อน ผ้ปู กครอง
และครูคนอนื่ ๆ ข้ันตอนนจี้ งึ กล่าวไดว้ า่ เป็นข้ันตอนการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ นักวิชาการ
เรยี กขน้ั ตอนนวี้ ่า ขัน้ สร้างความสัมพันธ์ วิธีการแลกเปล่ียนประสบการณ์เก่ียวกับผลงานต่าง ๆ นั้น
สามารถกระทาไดห้ ลายรปู แบบ เช่น การสนทนาตัวตอ่ ตวั ระหวา่ งผเู้ รยี นและผทู้ ่เี กยี่ วข้อง การสังเกต
แฟม้ สะสมงานให้ผเู้ กีย่ วข้องเสนอแนะ และการจัดประชุมแฟ้มสะสมงาน เปน็ ต้น
ข้นั ตอนท่ี 9 การปรบั เปล่ยี นผลงาน
การปรบั เปลีย่ นช้นิ งานหรือผลงานจะเกิดขึ้นอยู่เสมอกับตัวผู้เรียน เน่ืองจากการ
ประเมินจากแฟ้มสะสมงานต้องการให้ผเู้ รียนไดแ้ สดงผลงานหรอื หลกั ฐานชนิ้ งานทดี่ ที ีส่ ุดในการแสดง
ความสามารถของเขา ดังนั้น หลังจากการเลือกชิ้นงานผ่านไประยะหนึ่ง ผู้เรียนก็จะได้สร้างช้ินงาน
เพิ่มเติมข้ึน พอถึงขั้นนี้ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปรับเปล่ียนชิ้นงานหรือหลักฐาน โดยการเลือก
ช้นิ งานท่ดี กี วา่ เดิมมาเกบ็ ไว้ในแฟม้ สะสมงาน ซึ่งการปรับเปล่ียนชิ้นงานแต่ละครั้งจะมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้แฟ้มสะสมงานมีชิ้นงานที่ดี ทันสมัย น่าสนใจ และตรงตามวัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายท่ี
ตอ้ งการประเมนิ ใหม้ ากทสี่ ุด ในการปรบั เปลี่ยนชนิ้ งานครูผสู้ อนและผเู้ รียนควรจัดทาแผนปรบั เปลย่ี น
ผลงานที่กาหนดไว้ให้แนน่ อน
ขนั้ ตอนท่ี 10 การจัดนิทรรศการแสดงผลงานของผู้เรียน
การจัดนิทรรศการแสดงผลงานของผู้เรียน จะทาให้การจัดทาแฟ้มสะสมงานมี
ชีวิตชวี าเปน็ การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถที่มีอยู่ เช่น การนาเสนอและการสื่อสารให้
ผ้ชู มรู้ถงึ ความสามารถพิเศษ หรือตระหนกั ถงึ ความรู้สกึ นกึ คิดของผู้เรยี น นิทรรศการผลงานเป็นสิ่งที่
แสดงถงึ ความสามารถ ความรู้ ความคดิ ทักษะต่าง ๆ อย่างลึกซ้ึงในสถานท่ีที่เป็นจริงตามธรรมชาติ
ในการจดั นทิ รรศการแสดงผลงานของผู้เรียน ครูผู้สอนควรเป็นผูก้ ระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนมีบทบาทหลกั ในการ
จัดนิทรรศการ ท้งั กระบวนการเริม่ ต้นตงั้ แต่การวางแผน การจัดสถานที่ การเชิญผู้ท่ีเก่ียวข้องเข้าชม
นทิ รรศการ การประชาสมั พันธ์ การจดั นิทรรศการตา่ ง ๆ ตลอดจนถึงการประเมนิ ผลการจดั นิทรรศการ
131
ตัวอย่าง แบบประเมินคณุ ภาพช้ินงาน
ชอ่ื ..................................................สกลุ .........................................รหัส .............................
วชิ า ...........................................................................ชน้ั .....................................................
ประจาภาคเรียนท.่ี ........ปกี ารศึกษา............ช้นิ งานท่ี........เรอ่ื ง..............................................
รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ ควรปรับปรุง
(4) (1)
1. ความพยายามในการคน้ คว้า ดี พอใช้
2. คุณภาพการนาเสนอ (3) (2)
3. ความสนใจต่อชน้ิ งาน
ผปู้ ระเมนิ ..............................................
(..............................................
วนั ท่.ี ........เดอื น...............พ.ศ. ..............
ตารางที่ 4.8 ตัวอย่างเกณฑ์การประเมนิ ช้ินงาน
รายการ คุณภาพ
ประเมิน
1. ความพยายามใน ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรงุ
การคน้ คว้า (4) (1)
การค้นคว้าตรงตาม (3) (2)
2. คณุ ภาพการ วตั ถปุ ระสงคม์ ี การคน้ ควา้ ไม่ตรง
นาเสนอ แหล่งอ้างอิงครบ 1. การคน้ คว้า การคน้ ควา้ ตรงตาม ตามวัตถปุ ระสงค์
สมบรู ณ์ ไมม่ ีแหลง่ อ้างองิ
ตรงตาม วัตถุประสงค์
เนื้อหาสื่อ 1. เน้ือหาสื่อ
ความหมายชัดเจน วตั ถุประสงค์ บางสว่ นมีแหลง่ ความหมาย
สมบรู ณถ์ ูกต้อง ใช้ ไม่ชัดเจน
ภาษาได้ถูกตอ้ ง 2. มีแหล่งอ้างองิ อ้างอิงบางส่วน ไมส่ มบูรณ์
เหมาะสม สะอาด
เปน็ ระเบยี บ บางส่วน 2. ใช้ภาษา
เรียบร้อย ไม่เหมาะสม
1. เน้อื หาสอ่ื 1. เนอื้ หาสือ่
3. สะอาดเปน็
ความหมาย ความหมาย ระเบียบ
เรียบรอ้ ย
ชัดเจน สมบูรณ์ ชัดเจน สมบรู ณ์
ถกู ตอ้ ง บางสว่ น
2. ใช้ภาษาได้ 2. ใชภ้ าษาได้
ถูกต้องบางส่วน ถูกตอ้ งบางสว่ น
3. สะอาดเป็น 3. สะอาดเปน็
ระเบยี บ ระเบยี บ
เรยี บรอ้ ย เรียบร้อย
132
ตารางท่ี 4.8 ตวั อย่างเกณฑ์การประเมนิ ชิน้ งาน (ต่อ
รายการ ดมี าก คุณภาพ ควรปรบั ปรงุ
ประเมิน (4) (1)
ดี พอใช้
(3) (2) 1. ไมม่ คี วามคดิ
สร้างสรรค์
3. ความสนใจต่อ มคี วามคดิ 1. มีความคดิ 1. มคี วามคิด
2. ไมม่ ีความ
ชิ้นงาน สร้างสรรค์ มีความ สรา้ งสรรค์ สรา้ งสรรค์ รบั ผิดชอบและ
ตรงต่อเวลา
รับผดิ ชอบและ 2. มคี วาม บางสว่ น
ตรงต่อเวลา รบั ผิดชอบแต่ 2. มีความ
ไมต่ รงตอ่ เวลา รบั ผิดชอบแต่
ไมต่ รงต่อเวลา
ทมี่ า : ราตรี นันทสุคนธ์ (2553 : 68 – 70)
จะเห็นได้วา่ การประเมนิ จากแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) รวมถงึ การประเมิน
ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) นิยมใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) เพ่ืออธิบายความ
ผลสัมฤทธิผ์ ลของผู้เรยี น โดยมกี ารระบุเกณฑ์ (Criteria) ประเมนิ ชิ้นงานและคณุ ภาพ (Quality) ของ
ชิ้นงานในแต่ละเกณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น เกณฑ์การประเมินช้ินงานเขียน ได้แก่ จุดประสงค์ของการ
เขียน การจัดเนื้อหา การให้รายละเอียด การใช้ภาษา เป็นต้น นอกจากน้ันยังต้องมีเกณฑ์เป็นการ
อธิบายระดับคุณภาพของช้ินงาน (Degree of Quality) อีกส่วนหน่ึง เรียงลาดับจากยอดเย่ียม
(Excellent) ไปจนถึงไม่ดี (Poor) ในแต่ละเกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) คือ แนวทางการให้
คะแนนทีต่ อ้ งกาหนดมาตรวดั (Scale) และรายการของคณุ ลกั ษณะทบ่ี รรยายถงึ ความสามารถในการ
แสดงออก หรือคุณลักษณะแต่ละจุดในมาตรวัดได้อย่างชัดเจน เพราะฉะน้ันการกาหนดเกณฑ์การ
ประเมิน (Rubrics Score) ก็คือ การตอบคาถามวา่ นกั เรียนทาอะไดส้ าเรจ็ หรือวา่ มีความสาเร็จในขัน้
ต่าง ๆ เทา่ ใด หรือผลงานเป็นอย่างไร มีคุณภาพอยู่ในระดับใดน่นั เอง ดังตารางที่ 4.9
ตารางที่ 4.9 ตัวอย่างเกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics Score) แฟม้ สะสมงาน
รายการ คุณภาพ
ประเมนิ
ยอดเยย่ี ม ดี พอใช้ ควรปรบั ปรุง
1. อธบิ ายเหตผุ ลใน (4) (1)
การเลอื กชิ้นงาน (3) (2)
แสดงออกถงึ การ แสดงออกถึงการ
พัฒนาการและ แสดงออกถงึ การ แสดงออกถึงการ พฒั นาการและ
ความก้าวหน้าใน ความกา้ วหน้าใน
การเรียนรอู้ ย่าง พฒั นาการและ พฒั นาการและ การเรียนรู้น้อย
มากและสะท้อน และไม่สะทอ้ นเร่อื ง
เจตคตทิ ีด่ ตี อ่ การ ความกา้ วหน้าใน ความกา้ วหน้าใน เจตคติ
เรียนรู้
การเรยี นรู้ การเรียนรู้
พอสมควรและ พอสมควร แตไ่ ม่
สะทอ้ นเจตคติท่ดี ี สะท้อนเรื่องเจตคติ
ตอ่ การเรยี นรู้
133
ตารางที่ 4.9 ตัวอย่างเกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score) แฟม้ สะสมงาน (ตอ่
รายการ ยอดเย่ียม คุณภาพ ควรปรบั ปรงุ
ประเมนิ (4) (1)
ดี พอใช้
(3) (2)
2. ความครอบคลุม ชน้ิ งานครอบคลมุ ช้นิ งานครอบคลมุ ชิ้นงานไม่ ชนิ้ งานไม่
ของเน้ือหา เน้อื หาของรายวิชา เนือ้ หาของรายวชิ า ครอบคลุมเน้ือหา ครอบคลุมเน้ือหา
และมีความ แต่ไมม่ คี วาม ของรายวิชาแตม่ ี ของรายวิชาและไม่
หลากหลาย หลากหลาย ความหลากหลาย มีความหลากหลาย
3. ความเป็นระบบ การจัดเรียง การจดั เรยี ง การจัดเรียง การจดั เรียง
และมีระเบียบ สว่ นประกอบของ ส่วนประกอบของ สว่ นประกอบของ ส่วนประกอบของป
แฟ้มไว้เป็นระบบ แฟม้ ไว้อย่างเป็น แฟม้ ไม่เปน็ ระบ แฟม้ ไม่เป็นระบบ
ครบถ้วนและเปน็ ระบบครบถว้ รและ และเป็นระเบียบ ครบถว้ นและไม่เป็น
ระเบยี บเรยี บร้อย เป็นระเบยี บ เรียบรอ้ ยพอสมควร ระเบยี บเรยี บรอ้ ย
เรียบร้อยพอสมควร
4. ความเพียรพยายาม แสดงออกถงึ ความ แสดงออกถึงความ แสดงออกถึงความ แสดงออกถงึ ความ
เพยี รพยายามและ เพยี รพยายามและ เพยี รพยายามและ เพียรพยายามและ
ความต้งั ใจในการ ความตง้ั ใจในการ ความตงั้ ใจ ความต้ังใจน้อย
ทางานอยา่ งมาก ทางานอย่างมาก พอสมควร
ทีส่ ดุ
5. ความคดิ สร้างสรรค์ ช้ินงานและรูปเลม่ ชน้ิ งานและรปู เล่ม ชิ้นงานและรูปเล่ม ชิน้ งานและรูปเล่ม
แสดงออกถึงความ แสดงออกถงึ ความ ธรรมดา และไม่ ไมน่ ่าสนใจ และไม่
แปลกใหม่สวยงาม สวยงามและ แปลกใหม่ แปลกใหม่
และนา่ สนใจอยา่ ง น่าสนใจ
มาก
6. ความชดั เจนและ แผน่ สรุปเขียนได้ แผ่นสรกุ เขียนได้ แผน่ สรปุ เขยี นได้ แผน่ สรุปเขยี นใหม่
ความสมบรู ณ์ของ เข้าใจง่าย ชัดเจน เข้าใจง่าย มีความ เข้าใจยาก ขาด คอ่ ยเข้าใจรปู แบบ
แผน่ สรุป สมบรู ณม์ ากท้งั ชดั เจนสมบรู ณ์ ความชดั เจน และสาระไม่
รูปแบบและสาระ พอสมควรทง้ั สมบรู ณบ์ าง สมบรู ณ์
รูปแบบและสาระ ประเด็น
ทม่ี า : สมศกั ด์ิ ภู่วภิ าดาวรรธน์ (2545 : 150 – 151)
7. ขอ้ ดีและข้อเสีย
7.1 ข้อดี
1 ช่วยให้เห็นพฒั นาการของผลงาน เห็นจุดแข็งและจดุ ทค่ี วรปรบั ปรุง
2 นกั เรียนไดเ้ รียนรวู้ ธิ ีการคดั สรรผลงาน ประเมนิ ผลงาน
3 นกั เรียนได้ฝกึ ประเมนิ ตนเอง
4 นกั เรยี นมกี าลังใจ มแี รงจงู ใจ ทาการพัฒนาตนเอง แข่งขันกับตนเอง
5 ส่งเสรมิ นกั เรยี นให้เกดิ ความภาคภูมิใจ มคี วามเชอื่ มัน่ ในตนเอง
134
6 เปน็ ส่วนสาคญั ในการส่งเสรมิ ความก้าวหนา้ ของการเรยี นรู้ จงึ เปน็ สว่ นที่เสริมใน
ส่วนกิจกรรมการเรยี นกบั การประเมินผล
7 เปน็ การประเมินทคี่ รอบคลุม และสรา้ งสรรค์
8 กระตุน้ ให้จดั ดาเนินการเรยี นการสอนทเี่ น้นภาคปฏบิ ัตใิ หม้ ากขน้ึ
9 สง่ เสรมิ ให้ผ้เู รียนทุกคนประสบความสาเร็จในการเรียนร้ไู ดม้ ากขึน้
10 ผู้ปกครองไดเ้ หน็ หลกั ฐานความกา้ วหน้าของลกู ของตน
7.2 ข้อเสยี
1 ใช้เวลามาก เพราะนอกจากจะใช้เวลาในการจัดทาแฟ้มสะสมงานแล้ว ยังใช้
เวลาในการพิจารณาตรวจทาน ซง่ึ โดยท่ัวไปครูผสู้ อนจะพจิ ารณาตรวจทานคนเดยี ว จากนัน้ พบผูเ้ รยี น
แต่ละคนทาการอภิปรายแฟม้ สะสมงานของเขา
2 ยังไมแ่ น่ใจในดา้ นความเชอ่ื ม่ันของการประเมินผลด้วยวธิ นี ี้
เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics Score)
1. ความหมายของเกณฑ์การประเมิน
นักการศกึ ษาได้ให้ความหมายของคาว่า เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics ไว้ดังนี้
ราตรี นนั ทสุคนธ์ (2553 : 71) ไดใ้ หค้ วามหมาย Rubrics หมายถึง เครื่องมือท่ีประกอบด้วย
คุณลักษณะแต่ละระดับค่าคะแนนของช้ินงาน หรือกระบวนการปฏิบัติ เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ
ตัดสนิ ช้ินงานหรอื กระบวนการปฏบิ ัตงิ านนนั้ ๆ
สมศกั ดิ์ ภูว่ ิภาดาวรรธน์ (2545 : 137) ได้ให้ความหมาย Rubrics หมายถึง เครื่องมือ
ในการใหค้ ะแนนทีม่ ีการระบเุ กณฑ์การประเมินช้นิ งานและคุณภาพของชนิ้ งานในแต่ละเกณฑ์
พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2549 : 129) ได้ให้ความหมาย Rubrics
หมายถงึ เกณฑ์ท่ีตอ้ งกาหนดรายละเอยี ดอยา่ งชดั เจนสาหรับทุกตวั บ่งชี้
Grant Wiggins (2000) ได้ใหค้ วามหมาย Rubrics หมายถึง แนวทางในการให้คะแนน
ของการประเมนิ แบบอตั นยั ซง่ึ เป็นการกาหนดกฏเกณฑ์ของการประเมินกระบวนการปฏิบัติงาน มี
การอธิบายคณุ ลกั ษณะของกระบวนการการปฏบิ ัตงิ าน ณ จดุ ตา่ ง ๆ รวมทง้ั สามารถระบคุ ุณภาพของ
การปฏบิ ัติงาน ณ จดุ นน้ั ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย
Norman Gronlund (2004) ได้ให้ความหมาย Rubrics หมายถึง ชุดของการอธิบาย
คุณลกั ษณะของระดับคะแนนตา่ ง ๆ ของกระบวนการปฏิบตั ิงานท่ีใชส้ าหรบั ตัดสนิ การปฏิบัตงิ านหรือ
ช้นิ งาน
สรปุ ไดว้ ่า เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics หมายถงึ เครอื่ งมอื ที่มแี นวทางในการใหค้ ะแนน
ทีป่ ระกอบดว้ ยเกณฑ์ดา้ นตา่ ง ๆ เพ่ือใช้ประเมินค่าผลการปฏบิ ตั ิของผเู้ รยี นในภาระงานหรือช้ินงานที่
ความซบั ซ้อน ซึง่ เกณฑ์ คือ สงิ่ สาคญั ทผ่ี ู้เรียนควรรู้และปฏบิ ตั ิได้
เกณฑ์การประเมิน (Rubrics นับเป็นนวัตกรรมการประเมินผลการเรียนรู้ท่ีสาคัญ
เน่ืองจากมีการกาหนดเกณฑ์การให้คะแนนไว้ค่อนข้างชัดเจน ทาให้ผู้ประเมินแต่ละคนสามารถให้
คะแนนไดต้ รงกนั หรือสอดคลอ้ งกนั มาก จึงมคี วามเป็นปรนยั สูงในการตรวจใหค้ ะแนน นอกจากน้ี ผล
135
ของการประเมินจากเกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics จะเปน็ ข้อมูลย้อนกลับที่มีประโยชน์มากสาหรับผู้
ประเมินและผูถ้ กู ประเมนิ ซึง่ เป็นการสง่ เสริมการใช้ประโยชน์ของผลการประเมิน เพื่อการปรับปรุง
และพัฒนาการ แตป่ ญั หาสาคญั ของเกณฑ์การประเมนิ (Rubrics คอื การสร้างเกณฑ์ที่เหมาะสม ซ่ึง
เป็นปัจจยั หลักของคณุ ภาพด้านความตรง (Validity) ของการประเมนิ ทคี่ รูผู้สอนพงึ ตระหนัก
2. ความสาคัญของเกณฑ์การประเมนิ
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ทั้งในด้านความรู้ เจคตคิ และทักษะ
กระบวนการ เพ่ือความเป็นปรนยั ในการใหค้ ะแนน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics จึงมคี วามสาคัญดงั น้ี
(ราตรี นันธสคุ นธ์, 2553 : 71 – 72)
2.1 เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics เปน็ เครือ่ งมือทส่ี ามารถใช้ได้ท้ังกับการสอนและการ
ประเมนิ ซึ่งสามารถใช้เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics เพ่อื พฒั นาหรอื ปรบั ปรุงการปฏิบตั งิ านของผู้เรยี นได้
และช่วยครูผู้สอนสามารถตงั้ ความคาดหวงั กับการปฏบิ ตั ิงานของผเู้ รยี นไดอ้ ย่างชัดเจน นอกจากนี้ยัง
สามารถแสดงให้ผเู้ รยี นเห็นได้อยา่ งชัดเจนว่าทาอย่างไรจึงจะปฏิบัติงานได้ตามความคาดหวังที่ต้ังไว้
ผลเช่นน้ีชว่ ยให้มกี ารพฒั นาหรือปรับปรุงคุณภาพของช้ินงานและการเรียนรู้ของผู้เรียนควบคู่กันไป
ดงั นั้นสรปุ ได้ว่า การใช้เกณฑ์การประเมินจะช่วยให้ความหมายของคาว่า “คุณภาพ” ให้ชัดเจนข้ึน
ครผู สู้ อนสามารถชี้แจงใหผ้ ู้เรยี นวา่ ตนเองควรปฏิบัติอย่างไรเพอื่ จะไดผ้ ลตามทีต่ นเองคาดหวงั
2.2 เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics เปน็ เคร่ืองมือทีม่ ปี ระโยชน์ในการชว่ ยเหลือผเู้ รียนให้
เปน็ ผู้ท่สี ามารถตดั สนิ คุณภาพของชน้ิ งานอยา่ งมีเหตุผล ทั้งงานของตนเองและของผู้อ่ืน ผู้เรียนจะรู้
ข้อผดิ พลาดของตนเองและผู้อื่น การทาเชน่ นบ้ี ่อย ๆ ช่วยให้ผเู้ รียนเกิดความรับผดิ ชอบในงานของตน
มากยิ่งขน้ึ
2.3 เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics เป็นเครื่องมือทีช่ ่วยลดเวลาท่คี รใู ช้ในการประเมินผล
งานของผ้เู รียนลงได้ เพราะโดยปกตคิ รูมกั ประเมนิ งานหรือกระบวนการปฏิบัตงิ านของผู้เรียนทลี ะช้ิน
หรือทลี ะคน แตถ่ ้าใชเ้ กณฑ์การประเมินในการประเมินงานแล้ว ผู้เรียนจะสามารถประเมินงานหรือ
กระบวนการปฏิบตั ิงานของตนเองและของเพอื่ น ๆ ได้ นอกจากนีเ้ กณฑ์การประเมินยังช่วยใหผ้ ้เู รียนได้
ขอ้ มลู ยอ้ นกลับเกย่ี วกบั จุดเดน่ หรือส่ิงที่ควรปรับปรุงแก้ไข ชิ้นงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานของ
ตนเองไดอ้ กี ด้วย
2.4 เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics มีลักษณะยืดหยุ่นที่สามารถทาให้ครูสอนผู้เรียนท่ีมี
ความหลากหลายแตกตา่ งกนั ได้เป็นอย่างดี ครูสามารถขยายระดับการให้คะแนนตามระดับสติปัญญา
ของผ้เู รยี นได้
2.5 เกณฑ์การประเมิน (Rubrics ใช้ได้ง่าย อธบิ ายได้ง่าย ทาใหผ้ ูเ้ รยี นทราบว่าได้เรียนรู้
อะไร และครูสามารถใชใ้ นการอธิบายให้ผ้ปู กครองเข้าใจได้งา่ ย รวมทั้งผู้ปกครองสามารถทราบได้ว่า
ลูกหลานของตนเองควรปฏิบตั อิ ยา่ งไรบา้ งจึงจะประสบผลสาเรจ็
2.6 เกณฑ์การประเมิน (Rubrics สามารถตรวจสอบผลงาน หรอื ผลการปฏบิ ตั งิ านของ
ผเู้ รียนได้ และสามารถตรวจสอบไดต้ ามสภาพทแี่ ท้จริงของผู้เรยี น
136
3. ประเภทของเกณฑก์ ารประเมนิ
การสร้างเกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics ตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งคะแนนกับจุดมงุ่ หมาย
การประเมนิ ตอ้ งมีความชดั เจนเปน็ รปู ธรรม ซง่ึ เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
3.1 การสรา้ งเกณฑ์การประเมนิ โดยแยกองค์ประกอบ (Analytic Rubrics)
เปน็ การกาหนดเกณฑโ์ ดยจาแนกสิง่ ต่าง ๆ ทตี่ ้องการประเมินออกเป็นประเด็น ๆ
การใหค้ ะแนนจะให้ตามระดบั คุณภาพของแตล่ ะประเด็นที่กาหนดไว้ แล้วนาคะแนนจากการประเมิน
ประเดน็ ทั้งหมดมารวมกันอีกครงั้ ซง่ึ เป็นรปู แบบกลางทค่ี รผู สู้ อนสามารถนาไปปรับใช้กับวิชาตา่ ง ๆ ได้
ดังตวั อยา่ งในตารางท่ี 4.10
ตารางที่ 4.10 ตวั อยา่ งเกณฑก์ ารประเมินแบบแยกประเด็นสาหรบั การประเมินการเขยี นเรื่อง
เกณฑ์ 4 ระดับการประเมนิ 0
321
ชอื่ เรือ่ ง น่าสนใจ น่าสนใจ ทวั่ ๆ ไป ไมเ่ กย่ี วข้อง ไม่มีข้อมลู
ทันสมยั แต่ไมท่ นั สมยั ไม่น่าสนใจ กับสาระท่เี รยี น เพียงพอตอ่
เหมาะสมกบั สอดคลอ้ งกับ ไมส่ อดคล้อง การตัดสินใจ
เน้ือเรื่อง เนื้อหา กบั เนือ้ หา
เนื้อหา ข้อมลู ถูกต้อง ขอ้ มลู ถูกตอ้ ง มขี อ้ มูลท่ผี ดิ บา้ ง ขอ้ มูลส่วนใหญ่ ไม่มขี ้อมลู
สมบรู ณ์ ตรงประเด็น แต่ และยังไม่ ไม่ถูกต้องและ เพียงพอต่อ
ตรงประเดน็ ขาดรายละเอยี ด สมบูรณ์ ขาดหาย การตัดสิน
การลาดับใจความ ใจความชัดเจน ใจความสบั สน ใจความไม่ ไมต่ อ่ เนื่อง ไมม่ ีข้อมลู
ลาดบั เหตกุ ารณ์ บ้างแตย่ ัง ชดั เจนขาด ขาดความ เพียงพอตอ่
สมเหตุสมผล สามารถเข้าใจ ความสมเหตุ สมเหตสุ มผล การตัดสิน
ได้ ขาดความ สมผล
สมเหตุสมผล
ไปบ้าง
หลกั เกณฑ์ทาง ประโยคสมบูรณ์ เขยี นประโยคได้ เขยี นประโยคได้ เขยี นประโยค ไมม่ ีข้อมลู
ภาษา ถูกต้องตามหลัก สมบูรณ์แตผ่ ดิ สมบูรณ์บ้าง ผดิ หลกั เกณฑ์ เพยี งพอตอ่
ภาษา ส่ือ หลกั ทางภาษา ไมส่ มบูรณ์บ้าง ทางภาษา สือ่ การตัดสนิ
ความหมาย สอื่ ความได้ ผดิ หลักเกณฑ์ ความไม่ได้
ได้ชดั เจน ทางภาษามาก
สื่อความไม่ชดั
ทีม่ า : สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ (2554 : 90)
3.2 การกาหนดเกณฑ์การประเมินโดยภาพรวม (Holistic Rubric) เป็นการให้
คะแนนโดยพิจารณาผลงานของผเู้ รยี นในภาพรวมว่า มีคุณภาพสอดคล้องกบั เกณฑ์ในระดับใดบ้าง ซงึ่
จะมคี าอธบิ ายคณุ ภาพของงานประกอบการใหค้ ะแนน และตดั สนิ ระดับคะแนน ดังตัวอย่างในตาราง
ท่ี 4.11
137
ตารางท่ี 4.11 ตัวอยา่ งเกณฑก์ ารประเมินแบบภาพรวมสาหรบั การประเมนิ การเขียนเรียงความ
คะแนน เกณฑ์
5 เขยี นบทนาและสรปุ ได้ดี ทาใหง้ านเขียนมคี วามสัมพนั ธ์กนั หัวขอ้ เรอ่ื งมรี ายละเอียด
สนบั สนนุ อย่างชดั เจน การผกู เร่ืองเปน็ ลาดบั ขั้นตอน รูปประโยคถกู ตอ้ ง มีสะกดคาผิด
บ้างเล็กน้อย
3 มีบทนา บทสรุป เนื้อหาสอดคล้องกบั หัวขอ้ เรือ่ ง รายละเอียดสนบั สนุนนอ้ ย เนื้อหา
บางส่วนไม่ชดั เจน การผกู เร่ืองเปน็ ลาดบั รูปประโยคถกู ต้อง มสี ะกดคาผดิ อยบู่ า้ ง
สานวนภาษาสละสลวยบางแห่ง
1 ไมม่ ีบทนาและ/หรือบทสรปุ เนอ้ื หาออ้ มคอ้ มไม่ตรงประเดน็ นัก มีรายละเอียด
สนบั สนุนนอ้ ย และไมส่ มเหตสุ มผล เขยี นสะกดคาผดิ มาก
ท่ีมา : สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน, กระทรวงศกึ ษาธิการ (2554 : 90)
การสร้างเกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) เป็นสิ่งที่ยาก แต่การใช้เป็นสิ่งท่ีง่ายเมื่อครู
สรา้ งเกณฑ์การประเมินแต่ละชุดขึ้นมาแล้ว ครูควรมีการสาเนาแจกให้นักเรียนเพ่ือให้นักเรียนได้ใช้
เพ่ือการประมนิ ตนเอง ผลการประเมนิ ตนเองของนกั เรียนไม่ควรนามาใช้เพ่ือการตัดสินผลการเรียน
แตจ่ ะนามาใช้เพ่อื การปรบั ปรุงและพฒั นาตนเอง ท้งั นเ้ี พราะทีใ่ หน้ ักเรยี นมาประเมนิ ตนเองแล้วไม่นา
ผลมาเป็นการตดั สินผลการเรียน เป็นการฝึกคุณธรรมด้านความซื่อสัตย์ต่อการประเมินผลงานของ
ตนเองได้อีกด้วย นอกจากให้นักเรียนประเมินช้ินงานของตนเองแล้ว ครูควรให้เพ่ือนได้ช่วยกัน
ประเมนิ เพอื่ น หรือทาการประเมินช้นิ งานซึง่ กันและกัน เป้าหมายของการประเมิน เพ่ือให้ทุกคนได้
ปรับปรุงและพัฒนาผลงานของตนเอง และทราบถึงจุดเด่น – จุดด้อยท่ีตนเองควรปรับปรุง การ
ประเมินผลการเรียนเพ่ือพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ืองก็จะบังเกิดผลสอดคล้องตามพระราชบัญญัติ
การศกึ ษาแห่งชาติ พทุ ธศกั ราช 2542
4. ขนั้ ตอนการสรา้ งเกณฑ์การประเมนิ
การสร้างเกณฑ์ในการประเมินหรือแนวทางการให้คะแนนนั้นถือว่าเป็นส่ิงสาคัญเป็น
อยา่ งมาก เพราะจะทาให้การประเมินครอบคลุม พร้อมทั้งการให้คะแนนมีความยุติธรรม การสร้าง
เกณฑ์การประเมิน มีดังน้ี (McMillan, 2001 : 224 – 228)
4.1 ต้องแน่ใจวา่ เกณฑ์การใหค้ ะแนนไดเ้ น้นประเดน็ สาคัญของงาน
4.2 มคี วามสอดคล้องระหว่างระดับคะแนนกับจุดมุง่ หมายของการประเมิน ถา้ จุดมุ่งหมาย
ของการประเมนิ กว้างและตอ้ งใช้การตดั สินทกุ ๆ ส่วนของช้นิ งาน ควรจะใชก้ ารประเมนิ แบบภาพรวม
แต่ถา้ การประเมินต้องการสะท้อนกลับให้เหน็ ความแตกต่างของประเด็นต่าง ๆ ของงาน ควรใช้การ
ประเมินแบบแยกเปน็ รายด้าน
4.3 ข้อความทใ่ี ช้อธิบายในแตล่ ะระดบั คะแนน ต้องเป็นขอ้ ความทส่ี ามารถประเมินหรือ
สังเกตได้
138
4.4 ควรใหน้ กั เรียน ผูป้ กครอง และผ้เู ชย่ี วชาญไดร้ ่วมกนั สร้างเกณฑ์ การเปิดโอกาสให้
นักเรยี นได้ร่วมสร้างเกณฑ์การปฏิบัตงิ านนัน้ ๆ จะเปน็ การกระตุ้นนักเรยี นใหส้ นใจที่จะทางานและจะ
ทาใหน้ กั เรียนนาไปเป็นแนวทางในการปฏิบัตงิ านนั้น ๆ
4.5 คุณลกั ษณะ หรือสง่ิ ท่จี ะวดั ควรนิยามให้ชดั เจน
4.6 แสดงขนั้ ตอนหรือลาดับข้ันที่เหมาะสมของคะนนในแต่ละระดับ เพ่ือให้เกิดความ
คลาดเคล่ือนน้อยที่สุด เช่น หลีกเล่ียงการให้คะแนนท่ีสูงเกินไป การให้คะแนนที่ต่าเกินไป การให้
คะแนนส่วนใหญอ่ ยตู่ รงกลาง และการให้คะแนนที่เกดิ จากความพงึ พอใจเป็นการสว่ นตัวของครทู ม่ี ตี ่อ
นักเรียนน้ัน ๆ
4.7 ระบบของการให้คะแนนต้องมีความเป็นไปได้ คือ การให้คะแนนนิยมแบ่งระดับ
คะแนนเป็น 3 – 8 ระดับ ดังนั้น ในแตล่ ะระดบั คะแนนต้องมคี วามชัดเจนและแยกจากกนั ได้
สรุปไดว้ า่ การสรา้ งเกณฑ์การให้คะแนนต้องคานึงถึงงานที่ให้ทา ต้องมีความสาคัญ มี
ความสอดคล้องระหวา่ งคะแนนกับจดุ มุ่งหมายของการประเมิน เกณฑ์ท่ีสร้างต้องเป็นรปู ธรรม มีความ
ชัดเจน เหมาะสมกับระดับชั้น และควรให้นักเรียนและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการสร้างเกณฑ์การ
ประเมนิ
5. ลักษณะของเกณฑ์การประเมนิ ทด่ี ี
เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) เป็นชดุ คะแนนท่ีใช้เป็นแนวทางการประเมินผลงานของ
ผเู้ รียน ลักษณะทีด่ ีของเกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics) มดี งั นี้ (Wiggins, 1998 : 184)
1. มีความเกี่ยวขอ้ งกับจุดมุ่งหมาย หรือเป้าหมายท่ัวไป (General goals) กล่าวคือ
เก่ียวขอ้ งกบั งานทีท่ า
2. จาแนกการปฏิบตั ิไดอ้ ย่างเทยี่ งตรง (Performances validity)
3. ในแต่ละ Rubric จะไมม่ ีการรวมเกณฑ์การให้คะแนน
4. วิเคราะห์งานไดอ้ ยา่ งละเอียด
5. ภาษาท่ีใชอ้ ธิบายคุณลกั ษณะงาน จาแนกคณุ ภาพของงานได้ถูกต้อง
6. สามารถตัดสนิ งานได้ถกู ต้อง
7. อธบิ ายอย่างชัดเจนในแตล่ ะระดบั ของคะแนน และมีความตรงในการให้คะแนนใน
ตัวของมนั เอง
8. ตัดสินใหค้ ะแนนจากผลงานทปี่ ฏบิ ัติมากกว่ากระบวนการ รูปแบบเนื้อหา หรือ
ความต้งั ใจในการทางาน
นอกจากนี้ วกิ ก้ิน (Wiggins, 1998 : 184 – 185) ได้นาเสนอคุณลักษณะของ Rubrics
วา่ ตอ้ งมลี กั ษณะ ดงั นี้
1. คะแนนต้องมีลักษณะต่อเนื่อง (Continuous) คือ ให้คะแนนเป็นจานวนเต็ม
เชน่ ใหค้ ะแนนเปน็ 5 4 3 2 และ 1 คะแนนแตล่ ะคะแนนมีความห่างเท่ากัน
2. มีความสอดคลอ้ งกัน (Parallel) คะแนนแตล่ ะระดับแสดงถึงความลดหล่ันของ
คณุ ภาพงาน
139
3. มีความเกี่ยวเน่อื งกัน (Coherent) ในแต่ละระดับของการใหค้ ะแนน
4. น้าหนักการให้คะแนนในแต่ละระดับมีความเหมาะสม (Aptly weighted) มี
เหตผุ ล (not arbitrary) น้าหนกั ของคะแนนในแต่ละระดบั สามารถอา้ งอิงไปยงั ระดับอื่น ๆ ได้
5. มีความเท่ียงตรง (Validity) คะแนนในแต่ละระดับ แสดงถึงคุณภาพของการ
ปฏิบตั ิ เปน็ ส่งิ สะทอ้ นถงึ คณุ ภาพของงาน ไมไ่ ด้เนน้ ถึงปรมิ าณ แต่เป็นเกณฑ์ตามสภาพจริง (Authentic
criteria)
6. เชื่อถือได้ (Reliable) มีความคงเส้นคงวาในการให้คะแนน ถึงแม้ใครจะเป็นผู้
ประเมนิ และจะประเมินในช่วงเวลาใดกต็ าม
6. ประโยชน์ของเกณฑ์การประเมนิ
เกณฑก์ ารประเมิน (Rurics) มปี ระโยชนอ์ ย่างมากในการประเมนิ ดงั น้ี (Weiner & Cohen,
1997)
6.1 ชว่ ยให้ความคาดหวังของครทู ีม่ ตี ่อผลงานของนกั เรยี นบรรลผุ ลสาเรจ็ ไดโ้ ดยนกั เรยี น
จะเกดิ ความเขา้ ใจ และสามารถใชเ้ กณฑก์ ารประเมิน (Rurics) ต่อการประเมินและพัฒนาชนิ้ งานของตน
6.2 ช่วยให้ครูเกิดความกระจ่างชัดย่ิงขึ้นว่า ต้องการให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือ
พฒั นาการอะไรบา้ ง
6.3 ชว่ ยให้นักเรียนสามารถระบุคุณลกั ษณะจากงานทเ่ี ปน็ ตัวอย่างได้ โดยใช้เกณฑ์การ
ประเมิน (Rurics)
6.4 ช่วยให้นกั เรยี นสามารถควบคุมตนเองในการปฏิบตั งิ านเพือ่ ไปสคู่ วามสาเรจ็ ได้
6.5 เปน็ เครือ่ งมอื ที่เช่ือมโยงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของ
นักเรยี นได้เปน็ อย่างดี
6.6 ชว่ ยให้บุคคลท่เี ก่ยี วขอ้ ง เช่น ผู้ปกครอง ผูส้ นบั สนุน ผ้นู เิ ทศ ได้เกิดความเข้าใจเกณฑ์
ในการตดั สินงานนกั เรียนทค่ี รใู ช้
6.7 ช่วยในการให้เหตุผลประกอบการใหเ้ กรดนกั เรยี นได้
6.8 ช่วยเพมิ่ คณุ ภาพผลงานของนกั เรยี น
เกณฑ์การประเมิน (Rurics) นอกจากจะใช้เพ่ือประเมินชิ้นงาน ภาระงานแลว้ ยังสามารถใช้
เป็นเครื่องมือในการสอนไดอ้ ยา่ งดี โดยใหผ้ ้เู รยี นได้รบั ทราบวา่ ครผู สู้ อนคาดหวังอะไรบา้ งจากชิ้นงานที่
มอบหมาย หรือให้ผ้เู รยี นร่วมกันในการสรา้ งเกณฑท์ ่จี ะทาให้เกิดการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบ ท้ังน้ี
เกณฑ์การประเมนิ จะใหภ้ าพชดั เจนมากกว่าคาสั่งของครผู ้สู อน และหากมีตัวอย่างชิ้นงานประกอบให้
ผ้เู รยี นได้ช่วยกันพิจารณา อภปิ รายโดยใช้เกณฑท์ ่รี ว่ มกนั สร้างขึ้น จะยง่ิ ทาใหผ้ เู้ รียนสามารถแยกแยะ
ได้ว่าชิน้ งานทมี่ คี ุณภาพเป็นอย่างไร นอกจากนีเ้ กณฑ์การประเมินยังใช้เป็นเครื่องมือส่ือสารระหว่าง
ครูผู้สอนกบั ผ้ปู กครอง และผเู้ รยี นกบั ผู้ปกครอง การมีภาพความคาดหวงั ทีช่ ัดเจนจะช่วยใหค้ รูผสู้ อน
สามารถใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เรียน และเป็นประเด็นสาหรับพูดคุยเพ่ือการพัฒนา
ผเู้ รยี นไดด้ ยี ่ิงข้นึ
140
สรปุ
เทคนิคการวัดและประเมินผลการศึกษา เป็นส่ิงท่ีสาคัญท่ีสุดในจุดมุ่งหมายการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อพัฒนา
ผเู้ รียน และตัดสินผูเ้ รยี น มีเทคนคิ การวัดและประเมนิ ผลทป่ี ระกอบดว้ ย การจดั ลาดับคณุ ภาพ (Rank
Order) เป็นการจัดอันดับของข้อมูลหรือผลงานต่าง ๆ ของผู้เรียน การประเมินจากการปฏิบัติ
(Performance Assessment) เป็นการประเมินท่ีต้องให้ผู้เรียนแสดงความสามารถด้านความรู้
และทักษะ ดว้ ยการปฏบิ ัติงานอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขทีส่ อดคลอ้ งกับสภาพ
จริง โดยพิจารณาจากกระบวนการทางานและคุณภาพของงาน การประเมินตามสภาพจริง
(Authentic Assessment) จะเปน็ ตวั บง่ ช้ีความสามารถทีแ่ ทจ้ รงิ ของผเู้ รียนได้ดีที่สุด การประเมิน
ตามสภาพจรงิ จะไม่เนน้ การประเมนิ ทกั ษะพนื้ ฐาน แต่จะเน้นการประเมินทักษะการคิดท่ีซับซ้อนใน
การทางาน และการประเมนิ สภาพจริงตอ้ งใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายและจะต้องสอดคล้องกับ
ชวี ิตจรงิ โดยอาจใชเ้ รื่องราว เหตกุ ารณต์ ามสภาพจริง หรอื คลา้ ยจริงท่ีประสบในชีวิตประจาวัน การ
ประเมนิ จากแฟม้ สะสมงาน (Portfolio Assessment) เป็นการเกบ็ รวบรวมการทางานของผู้เรียน
เพือ่ บอกเลา่ เรอื่ งราวเกย่ี วกบั ความพยายามในการทางาน ความกา้ วหนา้ ในการทางานหรอื ผลสัมฤทธ์ิ
ของงาน การเก็บรวบรวมนี้จะต้องรวมถงึ การคดั เลอื กเนอื้ หา โดยมีแนวทางในการคัดเลือก มเี กณฑ์ใน
การตดั สินคุณค่า และร่องรอยหลักฐานในการสะทอ้ นตนเอง ท้งั นีเ้ ทคนคิ การวดั และประเมินผลจะใช้
ใชเ้ กณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) เป็นเครือ่ งมอื ในการให้คะแนน ซึง่ ประกอบด้วยเกณฑ์ด้านตา่ ง ๆ ที่
ใช้พิจารณาชิ้นงานหรือการปฏิบัติงาน ส่วนเกณฑ์การให้คะแนนทาได้ 2 รูปแบบคือ เกณฑ์การให้
คะแนนแบบภาพรวม และเกณฑ์การใหค้ ะแนนแบบแยกเป็นรายได้
คาถามทา้ ยบท
1. จงอธิบายความหมายของการประเมินผลการเรยี นรู้ ดงั ตอ่ ไปนี้
1.1 การจัดลาดบั คุณภาพ (Rank Order)
1.2 การประเมนิ จากการปฏิบตั ิ (Performance Assessment)
1.3 การประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment)
1.4 การประเมนิ จากแฟม้ สะสมงาน (Portfolio Assessment)
2. การประเมนิ จากการปฏบิ ัติ (Performance Assessment) และการประเมนิ ตามสภาพจรงิ
(Authentic Assessment) มคี วามเกี่ยวขอ้ งสมั พันธ์กนั อย่างไร
3. จงยกตัวอยา่ งเคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการประเมนิ จากการปฏบิ ัติ (Performance Assessment) พร้อมทงั้
อธบิ ายการนาไปใช้อยา่ งชัดเจน
4. การประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment) มีความสาคญั ต่อผูเ้ รียนอยา่ งไร จงให้
เหตผุ ล
5. แฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) มีประโยชน์ต่อผู้เรยี นและครผู สู้ อนอยา่ งไร