The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การวัดผลและประเมินผลการศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การวัดผลและประเมินผลการศึกษา

การวัดผลและประเมินผลการศึกษา

39

1.2.2 สถานการณห์ รือเงอ่ื นไข (Condition) เปน็ ขอ้ ความทแ่ี สดงถึงสถานการณ์
สภาพการทีจ่ ดั หรอื กาหนดใหผ้ เู้ รียน เพอ่ื หวังวา่ ผเู้ รียนจะแสดงพฤตกิ รรมทีค่ าดหวงั ออกมา

ตวั อย่างของจุดมงุ่ หมายเชิงพฤติกรรมทเี่ ปน็ สถานการณ์หรอื เงอ่ื นไข เชน่
- นักเรียนสามารถคานวณโจทย์ปัญหาเศษส่วนได้ถูกต้องด้วยตนเอง จาก
แบบฝกึ หดั ทค่ี รูเขยี นไว้ในกระดานดา
- เมือ่ กาหนดชอื่ สตั วใ์ ห้ 10 ชนิด นักเรียนบอกได้ว่าสัตว์ชนิดใดเป็นสัตว์กิน
เน้อื สัตวช์ นิดใดเป็นสตั วก์ ินพชื
- นกั เรยี นสามารถสรุปความจากนิทานทค่ี รเู ลา่ ได้
- เม่อื กาหนดภาพให้ 1 ภาพ นักเรียนสามารถเขยี นเลา่ เรอ่ื งจากภาพได้
สถานการณ์หรือเงือ่ นไข มลี ักษณะดงั น้ี
1. เป็นขอ้ ความทีเ่ กี่ยวกบั การกาหนดสง่ิ ต่าง ๆ ให้นักเรียนปฏิบัติ เช่น กาหนด
ธาตุให้ 5 ชนิด กาหนดโคลงให้ 1 บท กาหนดของให้ 2 ส่ิง กาหนดให้ใชเ้ คร่ืองมอื ฯลฯ
2. เป็นขอ้ ความท่รี ะบุว่าส่ิงใดบ้างทน่ี ักเรียนทาไมไ่ ด้ เช่น ห้ามเปิดตารางสูตร
ทางเคมี ห้ามเปิดตารางสูตรคูณ ห้ามทดเลขในกระดาษ (คิดในใจ) ห้ามใช้เครื่องคิดเลข ห้ามเปิด
หนังสือ ฯลฯ
3. เป็นข้อความที่ระบุพฤติกรรมที่หวังจะให้เกิด ต้องเกิดในลักษณะใด เช่น
ในห้องเรยี นหรอื ในชวี ติ ประจาวนั ฯลฯ
สถานการณ์หรือเง่ือนไขท่ีจะสร้างขึ้นสาหรับการทดลอง อาจได้มาจาก
เรื่องราวเน้ือหาข้อมูล (เช่น การทดลอง) ฯลฯ ท่ีนักเรียนเคยได้รับระหว่างการเรียนการสอน หรือ
กาหนดข้ึนใหม่ใหม้ คี วามคล้ายคลงึ กนั หรอื แปลกใหม่จากเด็กทีค่ นุ้ เคย ซงึ่ การกาหนดนั้นจะต้องชัดเจน
1.2.3 เกณฑ์ (Criteria) เป็นข้อความที่กาหนดระดับความสามารถข้ันต่าสุด
(Minimum Requirement) ของการแสดงพฤตกิ รรมที่คาดหวงั ของผู้เรยี นว่าจะปฏิบัติได้ในระดับใด
จงึ จะยอมรบั ว่าผู้เรยี นรอบรหู้ รือบรรลุเป้าหมายในการเรียนเร่ืองนั้น ๆ อาจเขียนได้ 3 ลักษณะ คือ
(สมนกึ ภัททยิ ธนี. 2551 : 158 – 160)
1) เกณฑ์เชิงปริมาณ หมายถึง เกณฑ์ที่กาหนดระดับความสามารถของ
ผเู้ รยี นในรปู ของจานวน เชน่ จานวนคา ขอ้ ประโยค คะแนน ร้อยละ ฯลฯ เช่น

- นักเรยี นสามารถเขียนคาศพั ทข์ องผลไมต้ ามรปู ไดถ้ กู ตอ้ ง
- นกั เรียนสามารถบวกเลขสองหลักแบบไมม่ ีตวั ทด จากโจทย์ทีเ่ ขยี นไวบ้ น
กระดานดาได้อย่างน้อยรอ้ ยละ 80
- นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษไดถ้ กู ต้องทั้งหมด
2) เกณฑเ์ ชิงคุณภาพ หมายถงึ เกณฑท์ ี่กาหนดคุณลักษณะท่ีสาคัญของการ
ปฏิบัตบิ างอย่างหรือเรือ่ งราวทีไ่ ม่สามารถระบเุ ปน็ เกณฑเ์ ชิงปรมิ าณได้ เช่น ภายในขอบเขตท่ีกาหนด
ดีมาก ใช้ได้ น้อยที่สดุ เปน็ ต้น เช่น
- นักเรียนสามารถอ่านสักวาไดถ้ ูกต้องตามทานองสกั วา
- นกั เรียนสามารถประพันธ์โคลงสส่ี ุภาพไดอ้ ยา่ งนอ้ ยอยูใ่ นเกณฑ์ใช้ได้

40

3) เกณฑ์เชิงทกั ษะหรือความเร็ว หมายถึง เกณฑ์ที่จากัดเวลาในการปฏิบัติ
เช่น ภายในเวลา...ไม.่ ..เกนิ ...อยา่ งนอ้ ย...เป็นต้น เชน่

- นักเรยี นสามารถวาดภาพได้เสรจ็ ภายใน 20 นาที
- นักเรยี นสามารถคิดคานวณเลขไดไ้ ม่เกิน 20 นาที
- นักเรียนสามารถเขียนคาศัพท์ภาษาอังกฤษเก่ียวกับประวัติศาสตร์ได้

อยา่ งน้อย 20 คา
ตัวอย่างจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ที่สมบูรณ์ คือมีส่วนประกอบครบท้ัง 3 ส่วน

ดงั ตารางที่ 2.3

ตารางที่ 2.3 แสดงจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมทม่ี สี ่วนประกอบครบทั้ง 3 สว่ น

จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม พฤตกิ รรม สถานการณ์ เกณฑ์
ท่คี าดหวัง
1. เมอ่ื กาหนดโจทย์ปญั หาการบวกเลขไม่เกิน กาหนดโจทย์ปัญหา ถกู ต้องอยา่ งนอ้ ย
สองหลักมาให้ 10 ข้อ นกั เรียนสามารถ คานวณ การบวกเลขไมเ่ กิน 6 ข้อ
คานวณหาคาตอบไดถ้ ูกต้องอยา่ งนอ้ ย สองหลักมาให้ 10 ขอ้
6 ข้อ
อา่ นกลอน กาหนดกลอนสกั วาให้ ถกู ตอ้ งตามทานอง
2. เม่อื กาหนดกลอนสกั วา่ มาให้นักเรยี น สักวา สักวา
สามารถอ่านกลอนสกั วาได้ถูกตอ้ งตาม
ทานองสักวา วิ่ง กาหนดระยะใหว้ ิ่ง ไม่เกนิ 40 วนิ าที
200 เมตร
3. เมอ่ื กาหนดระยะใหว้ ิ่ง 200 เมตร นักเรียน
สามารถวิ่งได้ ไม่เกิน 40 นาที

การเขียนจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ควรเขียนให้ครบทั้ง 3 ส่วนประกอบ เพื่อให้ชัดเจน
ไมค่ ลมุ เครอื และงา่ ยตอ่ การประเมนิ ผล อย่างไรก็ตามการเขียนจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม อาจจะไม่
ครบทงั้ 3 ส่วนประกอบก็ได้ อาจมีส่วนประกอบเดียวหรือ 2 ส่วนประกอบได้ เพราะเน้ือหามีความ

ซับซ้อน ยากต่อการกาหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม แต่ส่วนประกอบท่ีสาคัญท่ีสุดท่ีขาดมิได้คือ
พฤตกิ รรมทีค่ าดหวัง การเขียนในลักษณะเช่นน้ีเป็นการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้หรือจุดประสงค์
การเรียนการสอน (พชิ ติ ฤทธิ์จรญู . 2554 : 45)

2. ประเภทของจดุ มุ่งหมายการศกึ ษา
การกาหนดหรือการเขยี นจดุ มงุ่ หมายของการทางานหรือการทากิจกรรมใด ๆ ไว้ก่อน

เป็นการทาให้ทราบแนวทางและวธิ ีการในการดาเนินงานน้นั และทาใหท้ ราบถึงการวัดและประเมินผลได้
ในการด้านการเรียนการสอนนั้นก็เช่นเดียวกันคือ การกาหนดจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนไว้
อย่างชัดเจน จะทาให้การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนเปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และเป็นแนวทาง

ในการวัดผลและประเมินผล

41

การเขียนจุดมุ่งหมายการเรียนการสอน หมายถึง การเขียนข้อความที่แสดงการ
เปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรยี น โดยท่วั ไปแบ่งออกเปน็ 3 ระดับ คอื

2.1 จดุ มุ่งหมายทั่วไป
จุดมุ่งหมายท่ัวไปเป็นจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดคุณลักษณะหรือพฤติกรรมผู้เรียนไว้

อย่างกว้าง การท่จี ะใหผ้ เู้ รยี นมีคุณลกั ษณะหรอื พฤตกิ รรมนต้ี อ้ งใช้เวลานาน เป็นจดุ มุ่งหมายที่กาหนดไว้
ในแผนการศึกษาแห่งชาติ หรือหลักสูตรระดับต่าง ๆ เช่น จุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 กาหนดไว้ 5 ขอ้ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2551 : 3)

1.1 มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย
และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาท่ีตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง

1.2 มคี วามรู้ ความสามารถในการส่อื สาร การคดิ การแกป้ ัญหา การใช้เทคโนโลยี
และมีทกั ษะชีวิต

1.3 มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสขุ นิสยั และรักการออกกาลงั กาย
1.4 มคี วามรักชาติ มีจิตสานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ยดึ ม่ันในวิถีชีวิต
และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
1.5 มจี ิตสานกึ ในการอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภมู ปิ ญั ญาไทย การอนุรกั ษ์และพัฒนา
สง่ิ แวดลอ้ มมจี ติ สาธารณะท่ีมุ่งทาประโยชน์และสร้างสิ่งทดี่ งี ามในสงั คม และอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมอย่าง
มีความสุข
2.2 จุดมงุ่ หมายเฉพาะวิชา
จดุ มุ่งหมายเฉพาะวชิ าเป็นจดุ ม่งุ หมายท่ีกาหนดไว้ในแต่ละรายวิชาหรือสาระการ
เรยี นรู้วา่ ตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนเกดิ คณุ ลักษณะหรอื พฤติกรรมใดโดยเฉพาะเจาะจง แตก่ ย็ งั เปน็ จดุ มงุ่ หมาย
ที่ครอบคลุมลักษณะที่ต้องการไว้อย่างกว้างขวาง จุดมุ่งหมายประเภทน้ีในหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ใช้คาว่า “คุณภาพผู้เรียน” ในที่นี้ขอนาเสนอตัวอย่างกลุ่ม
สาระวิทยาศาสตร์ ซงึ่ กาหนดคุณภาพผู้เรียนเม่ือจบช้ันประถมปีที่ 3 ไว้ด้งนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ.
2551 : 95)
2.2.1 เข้าใจลกั ษณะทั่วไปของสิง่ มีชีวติ และการดารงชวี ิตของส่ิงมีชีวิตที่หลากหลาย
ในส่ิงแวดลอ้ มทอ้ งถ่ิน
2.2.2 เข้าใจลกั ษณะท่ีปรากฏและการเปลีย่ นแปลงของวัสดุรอบตัว แรงในธรรมชาติ
รูปของพลงั งาน
2.2.3 เข้าใจสมบตั ิทางกายภาพของดิน หนิ นา้ อากาศ ดวงอาทิตย์ และดวงดาว
2.2.4 ตงั้ คาถามเกีย่ วกบั สิ่งมชี วี ิต วัสดุ และสงิ่ ของและปรากฏการณ์ต่าง ๆ รอบตัว
สงั เกต สารวจ ตรวจสอบโดยใชเ้ ครอ่ื งมอื อยา่ งงา่ ย และสือ่ สารสิ่งที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรอ่ื ง เขียน หรอื
วาดภาพ
2.2.5 ใชค้ วามรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต การศึกษาหา
ความรู้เพ่ิมเติม ทาโครงงานหรอื ช้นิ งานตามทกี่ าหนดใหห้ รือตามความสนใจ

42

2.2.6 แสดงความกระตือรือร้น สนใจท่ีจะเรียนรู้ และแสดงความซาบซ้ึงต่อ
สิง่ แวดลอ้ มรอบตวั แสดงถงึ ความมเี มตตา ความระมัดระวงั ต่อสงิ่ มชี วี ติ อื่น

2.2.7 ทางานท่ีได้รับมอบหมายด้วยความมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์ จน
เปน็ ผลสาเร็จและทางานร่วมกบั ผู้อน่ื อยา่ งมคี วามสขุ

2.3 จดุ มุ่งหมายการเรยี นรู้
จดุ มุ่งหมายการเรยี นรู้ เป็นจดุ ม่งุ หมายท่บี อกถึงพฤติกรรมท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับ

ผเู้ รยี นภายหลังจากทีผ่ ู้เรยี นไดผ้ า่ นกระบวนการเรียนการสอน ตามแผนการเรยี นรู้ ซ่งึ จดุ มงุ่ หมายการ
เรียนรใู้ นหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 ใช้คาว่า “ตัวชี้วัด” และ “ผลการเรียนรู้”
ซึ่งคาว่า “ตวั ชี้วดั ” ใชก้ บั รายวชิ าพน้ื ฐาน ส่วนคาวา่ “ผลการเรยี นรู้” ใช้กบั รายวชิ าเพ่มิ เตมิ

ตวั ช้วี ดั แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ตัวชี้วัดช้ันปี เป็นจุดมุ่งหมายการเรียนรู้หรือ
เป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละช้ันปี ในระดับการศึกษาภาคบังคับ กล่าวคือ ใช้สาหรับชั้น
ประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และตัวช้ีวัดช่วงชั้น เป็นจุดมุ่งหมายการเรียนรู้หรือ
เปา้ หมายในการเรียนรู้ หรอื เปา้ หมายในการพฒั นาผู้เรียนในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กล่าวคอื ใช้
สาหรบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ถงึ ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 6 ดงั ตัวอยา่ งเชน่

สาระท่ี 3 : ส่ิงแวดล้อมกับกระบวนการดารงชีวิต มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจหน่วย
พนื้ ฐานของสิ่งมชี ีวิต ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของส่ิงมีชีวิตท่ีทางาน
สัมพนั ธ์กัน มกี ระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในการดารงชีวิต
ของตนเองและดูแลส่งิ มชี ีวิต กาหนดตัวชว้ี ดั ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4– 6) (จุดมุ่งหมายการเรียนรู้)
ไว้ 4 ข้อ ดังนี้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2551 : 99)

1. ทดลองและอธิบายการรกั ษาดลุ ยภาพของเซลล์ของส่ิงมชี ีวติ
2. ทดลองและอธิบายกลไกการรักษาดุลยภาพของนา้ ในพชื
3. สืบค้นขอ้ มลู และอธิบายกลไกการควบคุมดลุ ยภาพของน้า แร่ธาตุ และอุณหภูมิ
ของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์อืน่ ๆ และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
4. อธบิ ายเกยี่ วกบั ระบบภมู คิ ้มุ กันของร่างกายและนาความรูไ้ ปใช้ในการดูแลรกั ษา
สขุ ภาพ
จากตวั อย่างจดุ ม่งุ หมายการเรียนรู้ (ตวั ช้ีวัด) จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พ.ศ. 2551 จะพบว่า ตัวช้ีวัดเกือบท้ังหมดมีลักษณะเป็นจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ (ตัวช้ีวัด) ที่วัดและ
สงั เกตไดแ้ ต่มีเพยี งบางข้อทีเ่ ปน็ จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ทวี่ ดั และสงั เกตไม่ได้ ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายการ
เรียนรู้ (ตัวช้ีวัด) เกือบทั้งหมดจะมีลักษณะที่วัดและสังเกตได้ แต่เป็นจุดมุ่งหมายท่ีมีขอบเขตกว้าง
มากกวา่ ทีจ่ ะเกิดขึ้นในการเรียนรู้ครึ่งเดียว ดังนั้น การจัดการเรียนรู้หรือการสร้างหน่วยการเรียนรู้
ตอ้ งมีการสร้างจดุ มงุ่ หมายการเรยี นรใู้ นลกั ษณะทีส่ งั เกตได้ และวดั ได้ และเป็นสงิ่ ที่ตอ้ งการใหเ้ กดิ ขึ้น
ในการเรียนรู้แต่ละคร้ังหรือแต่ละหน่วยการเรียนรู้ หรือแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ขึ้นรองรับ
เพ่ือการบรรลุตามตัวช้ีวัดที่กาหนดไว้ในหลักสูตร ซึ่งเรียกจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ว่า “จุดมุ่งหมาย
เชิงพฤติกรรม” เพอ่ื ใช้เป็นแนวทางในการสอนและการวดั ผลในวิชานนั้ ๆ ได้

43

3. ประโยชน์ของจุดมุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม
3.1 ด้านหลกั สตู ร
3.1.1 การสรา้ งหลกั สูตร โดยท่วั ไปการสร้างหลกั สตู รจะกาหนดจุดประสงค์ท่ัวไป

และจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมขึน้ การสรา้ งจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมจะชว่ ยในการกาหนดจุดประสงค์
ท่ัวไป และสามารถกาหนดขอบเขตเน้ือหาของหลักสตู รด้วย

3.1.2 เป็นแนวทางในการสร้างวัสดุ อุปกรณ์ และส่ือการเรียนการสอนประกอบ
หลักสูตร เช่น ตารา แบบเรียน แผนการสอน เทคนิควิธีการสอน แบบทดสอบ แบบฝึกหัด หรือ
บทเรยี นสาเรจ็ รปู เป็นต้น วา่ ควรจะมลี กั ษณะอยา่ งไร มเี น้ือหามากน้อยเพยี งใด และนาเสนออยา่ งไร

3.2 ด้านการเรยี นการสอน
3.2.1 ครูผูส้ อน การที่ครตู ้ังจดุ มงุ่ หมายเชิงพฤตกิ รรมอย่างชัดเจน กจ็ ะเห็นแนวทาง

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครใู นแต่ละเรื่องวา่ จะสอนอย่างไร เลือกใช้สื่อประกอบอย่างไร
ให้บรรลเุ ปา้ หมายท่วี างไว้ นอกจากน้ยี ังสามารถปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนไดต้ ลอดเวลา เพราะเม่ือ
ครูวัดผลแล้วก็จะทราบได้ทันทีว่า บรรลุหรือไม่บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่กาหนดไว้
ถา้ ยังไม่บรรลผุ ลจะตอ้ งปรบั ปรุงการเรยี นการสอนอยา่ งไร

3.2.2 ตัวผู้เรียน ถ้าผู้เรียนทราบจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมแล้ว ก็จะทาให้ทราบ
จดุ หมายปลายทางของแต่ละคนว่าต้องการให้ตนเองมีความสามารถเพยี งใด และจะปรับปรงุ ตนเองไป
ในทิศทางน้ันไดอ้ ย่างไร และได้มกี ารเตรยี มตัวให้พรอ้ มยงิ่ ข้ึน

3.3. ดา้ นการประเมินผล
จดุ มุง่ หมายเชิงพฤตกิ รรม เก่ียวข้องกับการประเมนิ ผลการเรียนโดยตรงเพราะบง่ บอก

ถึงวธิ ีการ พฤตกิ รรมที่สงั เกตได้และวดั ไดอ้ อกมา ซึ่งจะเป็นแนวทางการประเมนิ ในตวั ด้วยจุดมงุ่ หมาย
เชิงพฤติกรรมทีช่ ัดเจนนน้ั ควรมีสว่ นประกอบครบทัง้ 3 ส่วน ซง่ึ จะทาใหส้ ามารถวดั ผลและประเมนิ ผล
ได้เท่ยี งตรงมากยิ่งขน้ึ นอกจากน้ียงั ช่วยให้สามารถสร้างเครื่องมือวัดผลและประเมินผลครอบคลุม
และตรงตามจุดมุง่ หมายดว้ ย

พฤตกิ รรมและลกั ษณะคากรยิ าทร่ี ะบถุ งึ การแสดงออก

ในการจัดการเรยี นการสอน ผสู้ อนจะต้องร้วู ่าจะสอนให้เกิดพฤตกิ รรมอะไร และทส่ี าคัญครู
จะต้องรู้วา่ จะวัดพฤติกรรมนน้ั ไดอ้ ย่างไร โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้เรียนท่ีปรากฏอยู่ในจุดประสงค์
เชิงพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ผู้สอนจะต้องวัดออกมาให้ได้ ดังน้ัน ขอเสนอลักษณะคากิริยาที่ระบุถึงการ
แสดงออกของพฤตกิ รรมด้านต่าง ๆ เพ่ือเป็นแนวทางในการนาไปใช้เขียนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
และการประเมนิ ผลการเรยี น ดงั ตารางที่ 2.4

44

ตารางที่ 2.4 พฤตกิ รรม คากริยา และคาขยายพฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธิพสิ ยั

พฤตกิ รรม คากรยิ า คาขยาย

1. ความรู้ความจา

1.1 ความร้ใู นเนือ้ เรอื่ ง

1) ศพั ทแ์ ละนิยาม บอก ระบุ บรรยายเลอื ก ศัพท์ ศัพท์เฉพาะ ความหมาย นยิ าม

คาแปล ตัวอยา่ ง

2) กฎและความจริง บอก ระบุ บรรยาย ช่อื วัน เวลา แหลง่ ทม่ี า บคุ คล

สถานท่ี คณุ สมบัติ ตัวอยา่ ง สตู ร

จานวน ประโยชน์ สทิ ธิ หน้าที่

1.2 ความรูใ้ นวธิ ีดาเนนิ การ รปู แบบ ระเบียบ แบบแผน กฎเกณฑ์

1) ระเบียบแบบแผน บอก ระบุ บรรยาย เลอื ก เครื่องมอื สญั ลกั ษณป์ ระเพณี

2) ลาดับขน้ั และแนวโนม้ บอก ระบุ บรรยาย ลาดบั ขนั้ แนวโนม้ การพฒั นา ความ

ตอ่ เนอื่ ง ความสมั พนั ธ์ อทิ ธพิ ล

3) การจดั ประเภท บอก ระบุ บรรยาย จาแนก ชนิดประเภท พวก แบบ ชดุ สาขา

ใหต้ วั อยา่ ง

4) เกณฑ์ บอก ระบุ บรรยาย เลอื ก เกณฑ์ คุณสมบัตเิ ฉพาะตัว

5) วธิ กี าร บอก ระบุ บรรยาย วิธีการ เทคนิค กระบวนการ

1.3 ความรรู้ วบยอดใน

เนอ้ื เรอ่ื ง

1) หลักวิชาและการขยาย บอก ระบุ บรรยาย หลักการ ขอ้ สรปุ ท่ัวไป คุณสมบัติ

2) ทฤษฎีและโครงสรา้ ง บอก ระบุ บรรยาย ทฤษฎี แนวคดิ พน้ื ฐาน องค์ประกอบ

ความสมั พันธ์ในโครงสรา้ ง

2. ความเข้าใจ

2.1 การแปลความหมาย แปล เปลี่ยนรูป ใชภ้ าษา คา ข้อความ ภาพ สัญลกั ษณ์ ข้อมลู

ตวั เอง ยกตวั อย่าง แผนท่ี ตาราง กราฟ พฤติกรรมการ

เปรยี บเทียบ ถอดความ ทดลอง คติพจน์ สภุ าษติ คาพงั เพย

2.2 การตีความ ตีความหมาย บอก จัดลาดบั เรอ่ื งราว ความสาคัญ จุดสาคญั ของ

จัดเรยี งใหม่ สรปุ ยอ่ อธบิ าย เร่ือง ขอ้ สรปุ วิธีการ ทฤษฎี

แสดงใหเ้ หน็ จาแนก ความหมายรวบยอด

2.3 การขยายความ กะประมาณ พยากรณ์ สรุป ผลทต่ี ามมา ข้อสรุป องคป์ ระกอบ

อ้างอิง ขยาย จาแนก ความนา่ จะเปน็ ความหมาย

ลงสรปุ กาหนด อธิบาย

คาดคะเน บอก

45

ตารางท่ี 2.4 พฤตกิ รรม คากริยา และคาขยายพฤติกรรมดา้ นพุทธพิ สิ ยั (ต่อ)

พฤตกิ รรม คากริ ยิ า คาขยาย
3. การนาไปใช้
ใช้ คานวณ เลือก สร้าง หลกั การ กฎเกณฑ์ ขอ้ สรปุ วธิ ีการ
4. การวเิ คราะห์ เสนอ แกป้ ญั หา ผลติ แสดง ทฤษฎี กระบวนการ ปรากฏการณ์
4.1 ความสาคัญ ปรับปรงุ โครงสรา้ งใหม่ ความสอดคลอ้ ง ขอบเขต หลกั วิชา
4.2 ความสัมพันธ์ เปลย่ี นแปลง อธบิ าย การปฏิบัติ

4.3 หลักการ บง่ จาแนก สกัด ค้นหา ชนิด สง่ิ สาคญั ตน้ ตอ สาเหตุ ผลสรุป
5. การสงั เคราะห์ แยกแยะ เลือก จดุ ประสงค์ สมมตุ ิฐาน องค์ประกอบ
5.1 ข้อความ
บง่ จานวน ค้นหา บอก ความสัมพันธ์ ความสอดคล้อง
5.2 แผนงาน ความแตกตา่ ง บอกความ ข้อขดั แยง้ ระดบั ความสมั พันธ์
คล้ายคลงึ ชนดิ ความสัมพันธ์ องคป์ ระกอบ
5.3 ความสมั พันธ์
บอก คน้ หา แยกแยะ สรปุ โครงสรา้ ง หลกั การ เคา้ โครง
6. การประเมนิ คา่ การเรียงลาดับ
6.1 ใชเ้ กณฑ์ภายใน
เขียน บอก สร้าง แก้ไข โครงสรา้ ง การกระทา แบบแผน
6.2 ใชเ้ กณฑภ์ ายนอก รวบรวม ประกอบขยาย ข้อความ สิ่งสือ่ สารต่าง ๆ
ริเริม่ ผลติ วางโครงสร้าง

เสนอสร้าง ออกแบบ ปรบั ปรงุ
ผลติ สร้างขนึ้ พฒั นา ขยาย แผนงาน จดุ ประสงค์ รายละเอยี ด
ผสมผสานอนุมาน จาแนก เคา้ โครง วิธีปฏบิ ตั ิ แนวทางแก้ไข

แบ่งพวก ค้นหา จดั
อ้างอิง ตอ่ เตมิ พิสจู น์ ความสัมพนั ธ์ ข้อยุติ ข้อสรุป

สมมตฐิ าน วธิ ีการ ทฤษฎี

ความคดิ รวบยอด ปรากฏการณ์ กลุ่ม

เปรียบเทียบ ประเมนิ ความถูกต้อง ความผดิ พลาด

ตดั สนิ ตดั สินใจ โตแ้ ยง้ ขอ้ บกพรอ่ ง ความเชอื่ ถอื ได้

วพิ ากษ์วิจารณ์ ความแมน่ ตรง ครบถ้วน

ความเหมาะสม ความสมเหตสุ มผล

ตัดสิน ประเมนิ โต้แยง้ ความถูกต้อง ความผิดพลาด

ตัดสนิ ใจ ระบุความ ทางเลือก ประโยชน์ ทฤษฎี ข้อสรปุ

สอดคล้อง ระบุเหตุผล เรื่องราว เหตกุ ารณ์ ประสทิ ธิภาพ

เปรียบเทยี บ ระบเุ กณฑ์

ตดั สนิ ช้ีขาด โต้แย้ง พจิ ารณา

46

ตารางที่ 2.5 พฤตกิ รรม ลักษณะพฤติกรรม และคากริยาพฤตกิ รรมด้านจติ พสิ ัย

พฤตกิ รรม ลักษณะพฤตกิ รรม คากริยา
ถาม เลือก บรรยาย
1. การรับรู้ ติดตามบ่งช้ี ตอบใช้
ให้ชื่อ ฟงั
1.1 การรับรู้ - ตง้ั ใจ
ตอบคาถาม ชว่ ยเหลอื
1.2 ความเตม็ ใจท่รี บั รู้ - ตระหนักในความสาคญั ของ สะสม อภิปราย ยนิ ดี
กระทา
การเรียน
ทาเสรจ็ บรรยาย
1.3 การควบคุมหรอื คัดเลอื ก - สนใจรบั ฟงั รบั รเู้ กยี่ วกบั ความ ช้คี วามแตกต่าง อธบิ าย
ติดตาม รเิ รม่ิ ประสาน
ความสนใจ เช่น การฟงั อย่าง ต้องการของผอู้ ืน่ และปญั หา (เชอื่ มโยง) อา่ น ขอรอ้ ง
รายงาน เลือก แบง่ ปัน
ต้ังใจแสดงการรบั รูต้ อ่ การ สังคม ทางาน สาธิต

เรียนรทู้ ีส่ าคัญ มีความไวต่อ - ยอมรบั ความแตกต่างระหวา่ ง

ปญั หาทางสังคม ยอมรับ เชอื้ ชาติ และวัฒนธรรม

เชอื้ ชาตแิ ละวฒั นธรรมท่ี - เข้าร่วมกจิ กรรมของหอ้ งเรียน

ตา่ งกัน รว่ มกจิ กรรม อย่างใกลช้ ิด

การเรยี นในห้องเรยี นอยา่ ง

ใกลช้ ดิ

2. การตอบสนอง

2.1 การโตต้ อบในทางยอมรบั - ทาการบ้านเสรจ็

- เชอ่ื ฟังกฎ ระเบียบของโรงเรียน

2.2 ความพึงพอใจทจี่ ะโต้ตอบ - รว่ มอภิปรายกับเพอื่ นรว่ มห้อง

2.3 ความพึงพอใจกบั การได้ - อาสาสมัครทางานพิเศษ

ตอบ เชน่ ทาการบ้านเสรจ็ - แสดงความสนใจในวิชาท่ีเรียน

ทาตามกฎ หรอื ระเบยี บของ - เข้าชว่ ยเหลอื ผู้อนื่

โรงเรียน รว่ มอภปิ รายใน

ชั้นเรยี น ทาแลป (ปฏิบตั กิ าร)

เสร็จ อาสาสมคั รในงาน

พเิ ศษตา่ ง ๆ มีความยินดี

ทจ่ี ะช่วยเหลอื ผูอ้ ื่น

3. การให้ค่านยิ ม

3.1 การยอมรบั คา่ นยิ ม - แสดงออกมาใหเ้ หน็ ว่ามีความ

เชื่อในกระบวนการ

ประชาธิปไตย

3.2 การชนื่ ชอบในค่านิยมหนง่ึ - ซาบซึ้งในวรรณคดี ศิลปหรือ

มากกว่าคานยิ มอน่ื ดนตรี

47

ตารางที่ 2.5 พฤตกิ รรม ลกั ษณะพฤติกรรม และคากริยาพฤติกรรมดา้ นจติ พสิ ยั (ตอ่ )

พฤตกิ รรม ลกั ษณะพฤติกรรม คากรยิ า

3.3 การยดึ ม่ันในค่านิยมนน้ั - ซาบซ้งึ ในระเบียบวิชา ขดั แยง้ ตระเตรยี ม
ผสม (รวม)
เชน่ แสดงความเชอื่ ใน วิทยาศาสตร์ (หรือวิชาทเี่ รียน) เปรยี บเทียบ ทาเสร็จ
ป้องกนั อธบิ าย สรุป
วิธีการประชาธิปไตย ว่ามบี ทบาทสาคญั ตอ่ บ่งชี้ ขยาย ให้ ลาดับ
จดั ระเบียบ อ้างองิ
ชื่นชอบวรรณคดี (ศลิ ปะดนตร)ี ชีวิตประจาวัน สงั เคราะห์

ทด่ี ี ชืน่ ชอบบทบาทของ - เขา้ รว่ มชุมชน

วทิ ยาศาสตรใ์ นชวี ิต - แสดงให้เห็นว่าต้องการปรบั ปรงุ

ประจาวันแสดงความ สงั คมให้ดขี ึน้

เก่ียวขอ้ ง (หว่ งใย) ตอ่

ความอยดู่ กี นิ ดีของคนอ่ืน

แสดงทศั นะในการแก้ปัญหา

4. การจดั รวบรวม

4.1 การสร้างมโนทศั น์ของ - ตระหนกั ถงึ ความต้องการ

คา่ นยิ ม ความสมดลุ ระหวา่ งเสรภี าพ

และความรบั ผิดชอบในระบอบ

ประชาธปิ ไตย

4.2 การจดั ระบบคา่ นิยม เช่น - ตระหนกั ถึงความสาคญั ของ

ยอมรบั ความจาเปน็ ใน การวางแผนอย่างเป็นระบบใน

ความสมดุลย์ ระหวา่ ง การแก้ปญั หา

อิสรภาพและความ - ยอมรับว่าตนเองตอ้ งมคี วาม

รับผดิ ชอบในระบอบ รับผดิ ชอบ

ประชาธปิ ไตย ยอมรบั - เข้าใจและยอมรบั ใน

ความผดิ ชอบต่อพฤตกิ รรม ความสามารถของตนและ

ของตนเอง สร้างหรือ ขอบเขตของการแสดง

วางแผนชวี ติ อยา่ งกลมกลนื ความสามารถของตน

ระหวา่ งความสามารถ - วางโครงการชีวติ อย่าง

ความสนใจและความเชอื่ กลมกลืนเหมาะสมกับ

ความสามารถ ความสนใจ และ

ความเชื่อของตน

48

ตารางท่ี 2.5 พฤติกรรม ลกั ษณะพฤติกรรม และคากริยาพฤตกิ รรมดา้ นจติ พสิ ัย (ตอ่ )

พฤตกิ รรม ลกั ษณะพฤตกิ รรม คากริยา

5. การพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั จาก แสดง จาแนก เล่น
อิทธพิ ล ฟงั ขยาย
คา่ นยิ ม กระทาหรอื ปฏิบตั ิ
ขอรอ้ ง คาถาม บริการ
5.1 การมีหลกั ยดึ มนั่ ในการ - ระมดั ระวังตนเพอื่ ความ แก้ปญั หา ใช้
ตรวจสอบ
ตดั สินใจ ปลอดภัยในการทางานทกุ คร้งั

5.2 การแสดงลักษณะและ - แสดงออกมาใหเ้ ห็นว่ามคี วาม

คุณสมบตั ิของแต่ละบุคคล เช่อื มน่ั ในตนเองในการทางาน

เชน่ การเล่นอย่างปลอดภัย คนเดียว

แสดงความเชอ่ื ม่นั ในตนเองท่ี - เขา้ ทากิจกรรมกบั กลุ่มดว้ ย

จะทางานอย่างอสิ ระ แสดง ความเตม็ ใจทกุ ครงั้

ความร่วมมอื ในการทางาน - ใช้วธิ ีการวทิ ยาศาสตร์ในการ

กลุ่ม ตง้ั จุดมงุ่ หมายในการ แกป้ ญั หาทุกครง้ั

แก้ปญั หาแสดงถงึ ความสขุ - แสดงออกมาใหเ้ ห็นว่ามวี ินัยใน

นิสยั ท่ดี ี ตนเอง

- ปฏบิ ตั ติ นตามสขุ ลักษณะจน

เป็นนสิ ัย

ตารางท่ี 2.6 พฤตกิ รรม และคากรยิ าพฤติกรรมด้านทักษะพิสัยตามทฤษฎขี องดาเว่ (Dave’)

พฤติกรรม คากรยิ า
1. ขั้นการเลียนแบบ
ทาได้เหมอื นกบั ตัวอยา่ ง ทาไดต้ ามวิธกี าร
เปน็ การปฏิบตั ิโดยกระทาตามแบบอยา่ ง ซง่ึ จากัด เขียนตามตัวอยา่ ง เลียนแบบ ลอกแบบ
อยูใ่ นสถานการณ์เดมิ
2. ข้นั ทาตามคาสั่ง กระทา/ปฏบิ ัต.ิ ..ได้ตามคาสงั่ ทางานตาม
เปน็ การปฏิบตั ิตามคาส่ังโดยไมม่ ีแบบให้ดู มเี พียง เกณฑ์ทก่ี าหนด เขยี นรปู ตามคาแนะนา
คาสั่งใหก้ ระทาโดยเร่มิ ต้นดว้ ยคาชแี้ จง และ ออกแบบไดต้ ามคาช้แี จง นาคาช้แี จงไป
กระทาในสถานการณเ์ ดิม ปฏิบัติ

3. ขั้นทาเพื่อหาความถูกต้อง เขียนได้ถูกตอ้ ง ทาได้อยา่ งเรยี บรอ้ ย
เป็นการปฏิบตั ิโดยไมต่ อ้ งมแี บบอย่าง ไม่มีคาสง่ั วาดได้ถกู ต้อง เตรียมเครื่องมอื ไดเ้ หมาะสม
คาชแี้ จงหรอื คาแนะนาให้กระทา แตผ่ ปู้ ฏบิ ตั จิ ะ รอ้ งเพลงได้ด้วยตนเอง ทดลองทาอยา่ ง
กระทาด้วยตนเองเพอื่ หาความถูกตอ้ ง มีความ ถกู ตอ้ ง ฝึกออกเสียงไดถ้ กู ตอ้ ง ทบทวน
ถกู ตอ้ ง แต่ยงั กระทาในสถานการณเ์ ดิม ท่องจา รอ้ งรา ปฏิบัติซา้ ๆ

49

ตารางที่ 2.6 พฤติกรรม และคากริยาพฤตกิ รรมด้านทกั ษะพิสยั ตามทฤษฎีของดาเว่ (Dave’) (ต่อ)

พฤตกิ รรม คากรยิ า
4. ข้นั ทาอย่างสรา้ งสรรคต์ อ่ เนื่อง
ตกแตง่ ได้สวยงามกวา่ เดมิ เลน่ กฬี าไดด้ ี
เป็นการปฏิบัตทิ ีใ่ ช้ระบบกล้ามเนอ้ื และระบบ กว่าเดิม ทางาน ออกแบบ ประดษิ ฐ์...ฯลฯ
ประสาทหลาย ๆ สว่ นสัมพันธก์ ัน โดยใชค้ วามคดิ ได้ดีกวา่ เดิม พฒั นางานไดอ้ ยา่ งมี
ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ ประสิทธิภาพ รเิ ร่ิมปรบั ปรุงคดิ กระทาใน
รูปแบบใหม่ ปรบั ปรุงทานองเพลง ทา่ ทางรา
5. ขัน้ ทาได้เหมอื นธรรมชาติ การแสดงขึน้ ต้น
เปน็ การกระทาตอบสนองตอ่ สถานการณใ์ หม่
อย่างเปน็ อตั โนมตั ิ โดยทาได้อย่างถกู ตอ้ ง ทางานไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ รอ้ งเพลงได้อยา่ ง
คลอ่ งแคล่ว ว่องไว แม่นยา โดยไมไ่ ด้มีการเตรยี ม ไพเราะ ใช้เครอื่ งมอื ได้อย่างคล่องแคลว่
มากอ่ น ปลอดภยั บอกรายละเอยี ดอยา่ งรวดเรว็
ชดั เจนและถูกตอ้ ง ปฏิบตั งิ านได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ เลน่ ดนตรีไดอ้ ย่างชานาญ
อา่ นออกเสยี งไดถ้ กู ต้องคลอ่ งแคลว่

ตาราง 2.7 พฤติกรรม และคากริยาพฤตกิ รรมดา้ นทกั ษะพสิ ยั ตามทฤษฎีของคิบเบอร์ (Kibler)

พฤติกรรม คากริยา

1. ทักษะในการเคลอื่ นไหวท้งั รา่ งกาย หมายถงึ การ สร้าง เปลีย่ นแปลง ทาความสะอาด
เคล่ือนไหวอย่างไมซ่ บั ซ้อนทางอวัยวะในร่างกาย ประกอบ เชื่อมโยง แก้ไข ออกแบบ ฝึก
1.1 การเคลือ่ นไหวอวยั วะสว่ นบน ติดตาม ชบ้ี ่ง ตอกตะปู ใช้ค้อน ซ่อมแซม
1.2 การเคลื่อนไหวอวยั วะส่วนลา่ ง ผสม ทาสี เลอ่ื ย ลบั คม เย็บ สเกต๊ ซ์ คน
1.3 การเคลอ่ื นไหวอวัยวะท้ังสองส่วน พับ ใช้

2. การเคลือ่ นไหวทีต่ อ้ งการใชป้ ระสาทรวม ๆ กนั เขยี นไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เรียบรอ้ ย วาดรปู

หมายถึง การประสานงานกันระหวา่ งประสาท (แผนท่)ี ฯลฯ ไดถ้ ูกตอ้ ง เตรยี มเครอื่ งมอื ใน
สมั ผสั เชน่ การเหน็ การไดย้ นิ กับการเคล่ือนไหว การปฏบิ ัตอิ ยา่ งรวดเรว็ ถูกต้อง พมิ พ์ดีดได้
ตามตอ้ งการ เช่น การรบั ลูกบอล การเล่นเครือ่ ง อยา่ งรวดเรว็ เยบ็ ผา้ อย่างชานาญ ใชเ้ ลื่อยได้
ดนตรี การเคลอื่ นไหว ระดบั นแ้ี ยกเปน็ อยา่ งปลอดภยั เล่นเปยี โนได้อยา่ งชานาญ
2.1 การเคลื่อนไหวของนวิ้ และมอื ขับรถไดอ้ ยา่ งปลอดภัย ซ่อมแซมมอเตอร์
2.2 การเคลอ่ื นไหวของมือและตา ไฟฟ้าไดอ้ ย่างรวดเร็ว และมปี ระสทิ ธภิ าพ
2.3 การเคลื่อนไหวของมือ ตา และเทา้ คดิ การกระทาใหม่ ๆ เชน่ การรา การลีลาศ
2.4 การเคลื่อนไหวอื่น ๆ ของมือ เทา้ ตา หู แบบใหม่

50

ตารางท่ี 2.7 พฤติกรรม และคากริยาพฤตกิ รรมด้านทักษะพิสยั ตามทฤษฎีของคบิ เบอร์ (Kibler) (ต่อ)

พฤติกรรม คากริยา
แสดงสหี น้าท่าทางทบี่ อกอารมณ์ ทาท่าทาง
3. การส่ือสารโดยใช้ทา่ ทาง หมายถงึ การส่อื สารถงึ ประกอบคาพดู ทาท่าทางแทนภาษาพูด
คนอนื่ รอบ ๆ ตวั เราใชอ้ ยเู่ สมอ โดยท่าทางต่าง ๆ
เช่น การเคลอื่ นไหวรา่ งกาย การใชส้ หี นา้ ภาษาใบ้
3.1 การแสดงสหี น้า
3.2 ทา่ ทาง
3.3 การเคลอื่ นไหวทงั้ ร่างกาย

4. พฤตกิ รรมทางดา้ นภาษา
4.1 การออกเสยี ง
4.2 การออกเสียงและคา
4.3 การเปล่งเสียง
4.4 การประสานเสยี งและท่าทาง

การวัดผลการศกึ ษากค็ อื การวดั พฤติกรรมทางการศกึ ษานน่ั เอง เป็นการตรวจสอบปริมาณ

ของพฤติกรรมและลักษณะของพฤติกรรมอันเป็นผลจากการเรียนการสอน ซึ่งต้องมีพฤติกรรมด้าน
พทุ ธพิ ิสยั จติ พิสยั และทักษะพิสัย ดังนั้น เพอื่ ความสะดวกและถูกตอ้ งของการวดั ผวู้ ดั จงึ ต้องกาหนด
พฤติกรรมที่ต้องการวัดให้ชัดเจน โดยกาหนดให้อยู่ในลักษณะพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตได้ ท้ังนี้

ทาไดโ้ ดยใชค้ ากรยิ าทบ่ี ่งถงึ การกระทาดังตวั อย่างขา้ งตน้ เพ่อื ให้เขา้ ใจงา่ ยจึงขอเปรียบเทียบให้เห็นว่า
ถา้ ตอ้ งการวัดความรู้ ความสามารถใด ควรสังเกตพฤติกรรมลกั ษณะใด ดังตาราง 2.8

ตารางท่ี 2.8 แสดงสิ่งทต่ี ้องการวัดและพฤตกิ รรมทส่ี งั เกตไดข้ องพฤติกรรมดา้ นพุทธพิ สิ ัย จิตพสิ ยั
และทักษะพิสยั

สิ่งทีต่ ้องการวดั พฤติกรรมทส่ี ังเกตได้
ดา้ นพทุ ธพิ ิสยั
รู้ - บอกความหมาย บอกหลกั การ บอกวธิ ี บอกกฎ บอกสถานท่ี เหตกุ ารณ์
เล่า เรยี กช่อื จาแนกตามทเี่ คยเหน็ จัดประเภทตามที่เคยชอบ
รู้จัก
เขา้ ใจ - บอก เลอื ก ชี้ ระบุ พูด
- อธบิ าย เล่าให้ฟังดว้ ยตนเอง เรียงลาดบั ดว้ ยตนเอง สาธติ วาด แปล
นาไปใช้
ให้ความหมาย คาดคะเน อ้าง สรปุ ทานาย ขยายความ ต่อเติม บอกทศั นะ
สรปุ ความ บอกความแตกต่าง
- นาเอา...ไป...เลือก พฒั นา ใช้ จดั เปลีย่ น

51

ตารางท่ี 2.8 แสดงสง่ิ ทีต่ ้องการวดั และพฤติกรรมทสี่ งั เกตได้ของพฤตกิ รรมด้านพุทธพิ สิ ยั จติ พสิ ยั
และทกั ษะพิสยั (ตอ่ )

สง่ิ ทีต่ ้องการวดั พฤติกรรมท่ีสงั เกตได้
วเิ คราะห์ - ชี้ บง่ ส่วนสาคญั วิจารณ์ บอกผลทเ่ี กิดข้นึ จากการเปลย่ี นแปลงท่เี กีย่ วขอ้ ง
เปรียบเทียบ บรรยายเหตผุ ล อธบิ ายความสัมพนั ธ์ บอก
คิดสรา้ งสรรค์ ขอ้ ดขี ้อเสีย บรรยายหลกั การ จัดประเภทตามหลักการ
- เขยี นโครงการ วางแผน วางหลกั การ กาหนดวธิ ี เขียนเรอื่ ง เขียนแบบ ผลติ
ประเมินค่า วางเป้าหมาย
ดา้ นจิตพิสยั - ตัดสินดว้ ยหลักเกณฑ์ พิจารณา เปรียบเทยี บวา่ ดกี ว่า โตแ้ ยง้ ดว้ ยหลักเกณฑ์
สนใจ
- คน้ ควา้ ความรู้เพิ่มเตมิ ด้วยตนเอง ซักถาม อภิปราย เพม่ิ เตมิ เข้าร่วม
ต้ังใจ ในกิจกรรม
เอาใจใส่
รับผดิ ชอบ - มสี มาธิ ทางานด้วยความเต็มใจ
ซาบซงึ้ - กระตือรือร้น ตดิ ตามผลงาน
มีน้าใจเป็นนักกีฬา - ทางานนน้ั และติดตามจนสาเร็จ ตรงตามเวลา มวี นิ ัยในตนเอง
- ชนื่ ชม เอาใจใสจ่ ดจ่อในสง่ิ นัน้
เสยี สละ - ไม่เยาะเยย้ ทับถม ประจานผอู้ ่ืนเมื่อพลั้งพลาด ใหอ้ ภยั อดทน ยอมรบั
เห็นคณุ คา่
ความจรงิ
ศรัทธา - แบง่ ปันส่งิ ของแกผ่ อู้ ่นื แสดงความมีนา้ ใจแกผ่ อู้ ่นื
ดา้ นทกั ษะพิสัย - อา้ งถึง รกั ษาส่งิ นัน้ ๆ ไวใ้ หค้ งอยู่ บอกคณุ คา่ บอกประโยชน์ นาเอาไปใช้
สังเกต
เลยี นแบบ ในดา้ นต่าง ๆ
ทาได้ - อทุ ิศตนในสิ่งนั้น ๆ โดยไม่หวังผล เลียนแบบ ชืน่ ชอบ

ชานาญ - บอกรายละเอียดได้อยา่ งครบถ้วน ชี้บ่งส่วนทผ่ี ิดปกตจิ ากงานนัน้ ๆ
- ทาได้เหมือนกับตัวอยา่ ง ทาได้ถกู วิธี
เกิดทกั ษะ - จบั ดนิ สอ ถอื ลากเสน้ ปฏบิ ตั ิได้อยา่ งถูกตอ้ ง ทางานได้ผลตามเกณฑ์

เขียนรูปได้ถูกตอ้ ง ซ่อมแซม ทาสี เลื่อย ทาความสะอาด ประกอบ ผสม
เยบ็ ลับคม คน พบั ใช้
- ทาได้อย่างถกู ตอ้ งคล่องแคลว่ รวดเรว็ ไมเ่ กดิ ความหนกั ใจในการกระทา
ทาไดแ้ มน่ ยา
- ทางานไดอ้ ย่างอัตโนมัติ ทาไดถ้ ูกต้องคลอ่ งแคล่ว รวดเร็วแมน่ ยา ทางาน
ทเ่ี ส่ียงอันตรายไดอ้ ยา่ งปลอดภัย ซอ่ มแซมมา้ น่ังได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
จบั ดนิ สออยา่ งทะมัดทะแมง พูดชัดถอ้ ยชัดคาถูกต้อง อ่านถกู จังหวะลลี า
เขียนได้ประณีตสวยงามในเวลาจากัด

52

ตารางท่ี 2.8 แสดงสิ่งท่ีต้องการวดั และพฤตกิ รรมทสี่ ังเกตได้ของพฤติกรรมดา้ นพุทธพิ ิสัย จติ พสิ ัย
และทกั ษะพิสยั (ตอ่ )

ส่งิ ทต่ี ้องการวัด พฤติกรรมท่สี ังเกตได้
ชา่ งสงั เกต - บอกรายละเอยี ดไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว บอกส่ิงผิดปกติไดท้ นั ที วิจารณ์สงิ่ ที่

ตระหนกั ใน ไดพ้ บเหน็
ความสาคัญ - บอกความสาคญั กลา่ วถัง บอกผลทเ่ี กดิ ข้ึน นาส่งิ น้นั ไปใช้เกบ็ รกั ษา
เจตคติ
- เลือกเขา้ ร่วม ทาสง่ิ นั้นดว้ ยความเตม็ ใจ บอกแต่แงข่ องสงิ่ นน้ั

พฤตกิ รรมดา้ นพทุ ธพิ สิ ัยแนวใหม่

ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1980 – 1999 เดวิท แครทโวทล์ (David Krathowohl) ซึ่งเป็น
หน่ึงในคณะที่ได้ร่วมสร้างจุดมุ่งหมายการศึกษาเดิม และโลริน แอนเดอร์สัน (Lorin Anderson)
ได้รวบรวมนักจิตวิทยา นักทฤษฎีหลักสูตร นักวิจัยทางด้านการเรียนการสอน และผู้เชี่ยวชาญ

ทางด้านวัดและประเมินผล เพ่ือปรับปรุงจุดมุ่งหมายการศึกษาด้านพุทธิพิสัย ของ บลูม (Revised
Bloom’s Taxonomy) (Anderson and Krathwohl., 2001, Wilson, Leslie O., 2013, Davis R.
Krathwohl, 2002) และผลของการปรบั ปรงุ จุดมงุ่ หมายทางการศึกษาด้านพทุ ธิพสิ ยั ใหมน่ ไี้ ดเ้ กดิ การ

ปรบั เปลี่ยนทสี่ าคญั ทัง้ ในส่วนโครงสรา้ งและคาศัพท์ที่ใช้เป็นช่อื ของกระบวนการทางปัญญา ซ่ึงสามารถ
เปรียบเทยี บกบั จดุ มุ่งหมายฉบบั เดมิ ได้ดงั ตารางท่ี 2.9 (วิทวฒั น์ ขตั ติยะมาน และฉัตรศิริ ปิยะพิมลสทิ ธ.์ิ
2549 : 34 – 42)

ตารางท่ี 2.9 การเปรียบเทยี บกระบวนการทางปัญญาท่ใี ชค้ าศพั ทเ์ ดมิ และคาศัพทใ์ หม่

คาศพั ทเ์ ดมิ คาศพั ท์ใหม่
1. ความรู้ (Knowledge) 1. จา (Remember)
2. ความเขา้ ใจ (Comprehension) 2. เข้าใจ (Understand)
3. การนาไปใช้ (Application) 3. ประยุกตใ์ ช้ (Apply)
4. การวิเคราะห์ (Analysis) 4. วิเคราะห์ (Analyze)
5. การสังเคราะห์ (Synthesis) 5. ประเมินค่า (Evaluate)
6. การประเมินคา่ (Evaluation) 6. คดิ สรา้ งสรรค์ (Create)

ลาดับขัน้ ของกระบวนการทางปัญญาในจุดมุ่งหมายทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยของ บลูม
ปรบั ใหม่ ยงั คงลาดับข้นั 6 ขั้น ซงึ่ สามารถอธบิ ายได้ ดังนี้

53

1. จา (Remember) หมายถงึ ความสามารถในการระลึกได้ แสดงรายการได้ บอกได้ ระบุ
บอกชื่อได้ ตัวอย่างเชน่ นกั เรยี นสามารถบอกความหมายของทฤษฎไี ด้

2. เข้าใจ (Understand) หมายถึงความสามารถในการแปลความหมาย ยกตัวอย่าง สรุป
อา้ งองิ ตวั อย่างเชน่ นักเรียนสามารถอธบิ ายแนวคิดของทฤษฎีได้

3. ประยุกต์ใช้ (Apply) หมายถึงความสามารถในการนาไปใช้ ประยุกต์ใช้ แก้ไขปัญหา
ตวั อย่างเชน่ นักเรยี นสามารถใชค้ วามรู้ในการแก้ไขปญั หาได้

4. วิเคราะห์ (Analyze) หมายถึงความสามารถในการเปรียบเทียบ อธิบายลักษณะการ
จดั การ ตวั อยา่ งเช่น นกั เรยี นสามารถบอกความแตกตา่ งระหว่าง 2 ทฤษฎไี ด้

5. ประเมินค่า (Evaluate) หมายถึงความสามารถในการตรวจสอบ วิจารณ์ ตัดสิน
ตัวอยา่ งเช่น นักเรยี นสามารถตัดสนิ คณุ คา่ ของทฤษฎีได้

6. คดิ สร้างสรรค์ (Create) หมายถึง ความสามารถในการออกแบบ (Design) วางแผน ผลติ
ตัวอยา่ งเช่น นกั เรยี นสามารถนาเสนอทฤษฎใี หม่ท่แี ตกตา่ งไปจากทฤษฎีเดมิ ได้

ภาพที่ 2.7 พฤตกิ รรมด้านพทุ ธพิ สิ ัยแนวใหม่
ทีม่ า : https://sirikanya926.files.wordpress.com/2014/01/blooms_old_new.jpg

1. การเปลีย่ นแปลงในจุดเน้นของจดุ มุ่งหมายการศกึ ษา
1.1 เป้าหมายลาดับแรกของการปรับจุดมุ่งหมายทางการศึกษาคร้ังนี้คือ การนา

จุดมงุ่ หมายไปใชใ้ นการปฏิบัติจริง ซ่ึงหมายความว่า จุดมุ่งหมายทางการศึกษาท่ีได้ปรับปรุงจะเป็น
เคร่ืองมือทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพมากขึน้ สาหรบั การวางแผนหลกั สตู รการจัดการเรียนการสอน และการวัด
และประเมนิ ผลการเรียนรู้

1.2 ต้องการขยายขอบเขตของผทู้ เี่ ก่ยี วข้องใหก้ ว้างข้ึน เนื่องจากจุดมุ่งหมายทางการ
ศึกษาเดิมถกู มองวา่ เป็นเครื่องมอื ท่ใี ชไ้ ด้ในกล่มุ ของผูเ้ รยี นวัยเดก็ เทา่ นน้ั ส่วนจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
ได้ปรับใหม่สามารถนาไปใช้ได้อย่างกว้างขวางมากข้ึนในทุกระดับผู้เรียน เช่น ระดับประถมศึกษา
มธั ยมศกึ ษาหรือสูงกวา่ น้ี

1.3 จะเน้นไปท่ีการอธิบายถึงพฤติกรรมในกระบวนการทางปัญญาแต่ละขั้น ดังที่
ปรากฏในตารางท่ี 2.10 (วทิ วัฒน์ ขัตติยะมาน และฉตั รศริ ิ ปิยะพิมลสทิ ธ์ิ. 2549 : 34 – 42)

54

ตารางท่ี 2.10 คาสาคัญและพฤติกรรมของกระบวนการทางปัญญา 6 ข้ัน

กระบวนการทางปัญญา คาสาคญั พฤติกรรมและผลผลติ
จา (Remember) - สามารถเลา่ เหตุการณห์ รือเร่อื งราวได้
- ระบุ (Indentifying) - บอกไดว้ ่ามีสัตว์อะไรอยใู่ นเรอ่ื งบา้ ง
- จา (Recognizing) ความร้ทู ่ี - เขียนรายการข้อมูลท่ีอยู่ในความทรงจาได้
มีอยใู่ นความจา - ระลึก (Retrieving) - ทอ่ งบทกวีท่ชี ื่นชอบได้

- ระลกึ ได้ (Recalling) - อธิบาย - แสดงความคดิ หลักของขอ้ ความนี้
สามารถเรียกความรู้ทไี่ ด้ - นาเสนอ
เรยี นรไู้ ปนานแล้วกลับมา - แปล - แสดงภาพประกอบความหมายของสิ่งน้ี
- ถอดความ
เข้าใจ (Understand) - ยกตวั อยา่ ง - เลา่ เรอ่ื งราวจากกลุ่มคาทกี่ าหนดให้
- แปลความหมาย - วาดภาพประกอบ
(Interpreting) การเปล่ียน - เขียนสรุปเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน
จากรูปแบบหนึ่งไปอีก - จัดกลมุ่ - ใชต้ ัวอยา่ งท่กี าหนดใหแ้ ล้วสรปุ อ้างองิ ไปยงั
รปู แบบหนึ่ง (Categorizing)
- ยกตวั อย่าง (Exemplifying) หลกั การหรอื ทฤษฎี
การค้นหาตวั อยา่ งของ - จัดหมวดหมู่ - เขียนเรอ่ื งสั้นแสดงลาดบั ขั้นตอนของ
แนวคดิ หรือทฤษฎี (Subsuming)
- จดั ประเภท (Classifying) เหตกุ ารณ์
การจัดสง่ิ ของใหเ้ ขา้ พวก - ยอ่ ความ
โดยเขา้ หลักเกณฑต์ า่ ง ๆ - ลงความเหน็ - เขยี นสรปุ รายงานประจาเดือน
- สรุป
- สรุป (Summarizing) การย่น - เตมิ คา - เขียนเอกสารเกย่ี วกบั หวั ข้อท่ีนา่ สนใจ
ยอ่ หรอื สรปุ จากข้อมูลท่ีมีอยู่ - ทานาย
- การสรุปอา้ งองิ (Inferring) - เปรียบเทียบ - บอกความแตกตา่ งระหว่างจานวนตรรกยะ
การย่นย่อประเดน็ หลกั - จบั คู่ และอตรรกยะด้วยหลักคณิตศาสตร์
- แสดงแผนผัง
- เปรียบเทยี บ (Comparing)
การค้นหาความสอดคล้อง - ดาเนินการให้สาเร็จ
ระหวา่ งสองแนวคดิ
ประยกุ ตใ์ ช้ (Apply) - ใช้
- นาไปใช้ (Executing)
ประยุกต์ใชค้ วามรใู้ นงาน - จาแนก
ประจา - บอกความแตกต่าง
- นาไปใช้ (Implementing) - คดั เลอื ก
ประยุกต์ใชค้ วามรู้ในงานที่ - จดุ เน้น
ไม่ใช่งานประจา
วเิ คราะห์ (Analyze)
- บอกความแตกต่าง
(Differentiating)
เปรยี บเทียบความแตกตา่ ง
ของส่วนต่าง ๆ ของส่ิงที่กาหนด

55

ตารางท่ี 2.10 คาสาคัญและพฤตกิ รรมของกระบวนการทางปญั ญา 6 ขัน้ (ต่อ)

กระบวนการทางปญั ญา คาสาคญั พฤติกรรมและผลผลิต
- สรปุ ความ - สรา้ งตารางนาเสนอข้อมูล
- จัดการ (Organizing) - ประตดิ ประตอ่ - เขียนแผนภาพแสดงความสมั พันธ์ของหลายสิ่ง
กาหนดสถานการณท์ ี่ เรื่องราว
เหมาะสมหรอื หน้าทภ่ี ายใน - หาสง่ิ เหมือน - เขยี นชวี ประวัตขิ องบุคคลทส่ี นใจศึกษา
โครงสรา้ ง
- คุณลักษณะ (Attributing) - คน้ หา - เขียนข้อสอบแนะเพ่ือใหเ้ กดิ การปรับปรงุ
กาหนดจุดที่พบเหตุ ความ - ทดสอบ เปล่ยี นแปลง
ลาเอยี ง คุณคา่ หรือ - ตัดสิน
แนวโน้มของส่ิงที่สนใจศึกษา - ตัดสนิ วิธีการ 2 วธิ ีว่าวิธไี หนชว่ ยแก้ปัญหา
- สมมตุ ฐิ าน ไดด้ ีทส่ี ดุ
ประเมินคา่ (Evaluate)
- ตรวจสอบ (Checking) - ออกแบบ - จากปรากฏการณ์ท่ีเกดิ ข้นึ สามารถตงั้
คน้ หาความไม่สอดคล้อง - ก่อตัง้ สมมตุ ฐิ านได้อย่างไร
หรือความขัดแย้งภายใน - สร้าง
กระบวนการหรือผลผลติ - ออกแบบสร้างบ้านในฝัน
- วิจารณ์ (Critiquing) ค้นหา - เขยี นบทละครโทรทัศน์
ความไมส่ อดคล้องระหว่าง - นาเสนอแนวคดิ ใหม่ ๆ
ผลผลิตและเกณฑภ์ ายนอก - ประดิษฐช์ น้ิ งานทสี่ นใจ
คน้ หาความเหมาะสมของ
กระบวนการทม่ี ีปัญหา (เช่น
ตดั สนิ ว่า 2 วธิ กี ารน้ีวิธกี าร
ใดดที ่สี ุด)

คิดสร้างสรรค์ (Create)
- ทาให้เกดิ ข้ึน (Generating)
การไดท้ างเลือกหรือ
สมมตุ ฐิ านท่ีอยบู่ นพ้ืนฐาน
ของกฎเกณฑห์ รือเหตผุ ล
- วางแผน (Planning) การ
ดาเนินการตามกระบวนการ
จนไดร้ ับผลสาเร็จ
- ผลผลติ (Producing)

2. การปรับเปล่ียนโครงสรา้ ง
พุทธพิ ิสัยแบบเดิมจะวัดมติ ิเดยี ว คอื มิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive process

dimension) ซึ่งเปน็ การวัดต้ังแต่ความรู้ จนถึง การประเมินค่า แต่ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการวัด 2 มิติ
ประกอบด้วย มติ ิทหี่ นง่ึ คือ มิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive process dimension) และมิติ
ท่สี อง คอื มติ ดิ ้านความรู้ (Knowledge dimension) (อนวุ ัติ คณู แก้ว. 2558 : 51 – 53)

56

มติ ดิ ้านความรู้ (Knowledge dimension) ประกอบด้วย
1. ความรู้ด้านข้อเท็จจริง (Factual knowledge) เปน็ ความรู้พืน้ ฐานท่นี ักเรยี นตอ้ งรู้
เพอ่ื นาไปปรับให้เขา้ กับเน้อื หาวิชา หรือการแก้ปญั หา ประกอบดว้ ย

1.1 ความรเู้ กยี่ วกบั คาศัพท์ (Knowledge of terminology)
1.2 ความรู้เกี่ยวกับรายละเอียดและองค์ประกอบ (Knowledge of specific details
and elements)
2. ความรู้ด้านความคิดรวบยอด (Concept knowledge) เป็นความรู้เก่ียวกับ
ความสัมพันธ์ภายในระหว่างองคป์ ระกอบพ้นื ฐานต่าง ๆ กบั โครงสร้างน้ัน (โครงสรา้ งขนาดใหญ่) ที่ทาให้
องค์ประกอบพ้นื ฐานเหล่าน้นั สามารถทางานรว่ มกันได้ ประกอบดว้ ย
2.1 ความรูเ้ กยี่ วกบั การจาแนกประเภทและจาแนกกลุ่ม (Knowledge of classifications
and categories)
2.2 ความรเู้ ก่ยี วกบั หลกั การ และการขยายหลักการ (Knowledge of principles and
generalizations)
2.3 ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี รูปแบบ และโครงสร้าง (Knowledge of theories, models,
and structures)
3. ความร้ดู า้ นกระบวนการ (Procedural knowledge) เป็นความรู้เกี่ยวกับวิธีการที่
จะทาส่ิงใดส่ิงหน่ึง วิธีการแสวงหาความรู้ และเกณฑ์สาหรับการใช้ทักษะ ขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหา
กลวิธแี ละวิธีการ ประกอบด้วย
3.1 ความรู้เกยี่ วกบั ทกั ษะเฉพาะเรื่องและขน้ั ตอนวิธกี ารแก้ปัญหา (Knowledge of
subject-specific skills and algorithms)
3.2 ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและวิธีการเฉพาะเร่ือง (Knowledge of subject specific
techniques and methods)
3.3 ความรู้เก่ียวกับเกณฑ์ในการพิจารณาเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม (Knowledge of
criteria for determining when to us appropriate procedures)
4. ความรดู้ า้ นอภปิ ญั ญา (Metacognitive knowledge) เป็นความรู้เก่ียวกับความรู้
ความสามารถเข้าใจโดยท่ัวไป หรอื เปน็ การสรา้ งความตระหนกั และความรดู้ ว้ ยตนเอง ประกอบด้วย
4.1 ความรูเ้ ชงิ กลยุทธ์ (Strategic knowledge)
4.2 ความรู้เก่ียวกับงานที่เป็นองค์ความรู้ รวมทั้งบริบทที่เหมาะสมและเงื่อนไข
ความรู้ (Knowledge about cognitive tasks, including appropriate contextual and conditional
knowledge)
4.3 ความร้เู กยี่ วกบั ตนเอง (Self – knowledge)

57

3. แนวทางการนามิติดา้ นความรู้และกระบวนการทางปัญญาไปใช้
ผสู้ อนต้องวิเคราะห์จดุ ประสงค์การเรียนร้ใู นวชิ าทสี่ อน แต่ละจุดประสงค์การเรียนรู้ว่า

อยูท่ จ่ี ุดตัดใดของมติ ิดา้ นความรู้ และมิตดิ ้านกระบวนการทางปญั ญา ดังตัวอยา่ ง

กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4

สาระท่ี 1 สงิ่ มีชีวติ กับกระบวนการดารงชวี ติ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจหนว่ ยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่

ของระบบต่าง ๆ ของส่ิงมชี วี ิตทท่ี างานสมั พนั ธก์ นั มกี ระบวนการสบื เสาะหา
ความรู้ ส่ือสารส่งิ ทเ่ี รยี นร้แู ละนาความรูไ้ ปใช้ในการดารงชวี ติ ของตนเอง
ตวั ช้วี ดั ท่ี 1 ทดลองและอธิบายหน้าที่ของท่อลาเลยี ง และปากใบของพืช

ตัวชี้วัดที่ 2 อธิบายนา้ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ แสง และคลอโรฟีลล์เปน็ ปจั จัยทจ่ี าเปน็
บางประการตอ่ การเจริญเติบโตและการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืช

ตวั ชวี้ ัดท่ี 3 ทดลองและอธิบายการตอบสนองของพชื ตอ่ แสง เสียง และการสมั ผสั

ตัวชวี้ ดั ท่ี 4 อธบิ ายพฤตกิ รรมของสตั ว์ท่ตี อบสนองตอ่ แสง อุณหภูมิ การสมั ผสั และนา
ความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตารางที่ 2.11 แสดงการนาจดุ ประสงค์การเรยี นรไู้ ปใช้ในมติ ิด้านความรู้และมติ ิกระบวนการ
ทางปญั ญา

มิตดิ ้านความรู้ มิติของกระบวนการทางปัญญา (Cognitive process dimension)
(Knowledge dimension) จา เข้าใจ ประยุกตใ์ ช้ วิเคราะห์ ประเมนิ คา่ สรา้ งสรรค์

ความรดู้ า้ นขอ้ เท็จจริง ตวั ชว้ี ัด ตัวชีว้ ดั
(Factual knowledge) ที่ 2 ที่ 4
ตวั ชีว้ ดั
ความรู้ดา้ นความคดิ รวบยอด ที่ 1, 3
(Conceptual knowledge)

ความร้ดู ้านกระบวนการ
(Procedural knowledge)

ความรูด้ า้ นอภปิ ัญญา
(Metacognitive knowledge)

การเขยี นจุดประสงค์การเรียนรู้

การเขยี นจดุ ประสงค์การเรียนรู้ดา้ นพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัยในแต่ละระดับของ
แต่ละด้านทาไดโ้ ดยการนาคากิริยา ลักษณะพฤติกรรม และพฤติกรรมท่สี ังเกตได้ทรี่ ะบุถึงการกระทา

ท่ชี ดั เจนมาเขียน โดยเติมส่วนขยายพฤตกิ รรมตามเนือ้ หา ดงั นี้

58

1. ด้านพทุ ธพิ ิสัย
การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย 6 ระดับ ตามการจาแนก

พฤติกรรมดา้ นพุทธพิ สิ ยั ของบลมู มีหลักสาคัญ ๆ ที่ต้องทาความเข้าใจ ดังตัวอย่างของจุดประสงค์
การเรียนรู้ ดังน้ี

นักเรยี นสามารถ + คากริยา + ส่วนขยายพฤตกิ รรมตามเน้ือหาวชิ า

ตัวอย่างที่ 2.1 กระบวนการเกดิ ดิน
ความเข้าใจ
เนื้อหา อธิบาย
ระดบั พฤตกิ รรม
คากริยา นกั เรียนสามารถอธิบายกระบวนการเกิดดนิ ได้

จุดประสงค์การเรียนรู้

ตวั อยา่ งที่ 2.2 พทุ ธศาสนา
เนื้อหา
ประเมินค่า
ระดับพฤติกรรม วจิ ารณ์
คากรยิ า นักเรยี นสามารถวจิ ารณก์ ารปฏิบัตศิ าสนกิจของสงฆ์
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
วา่ เหมาะสมหรอื ไม่ เพราะอะไร

2. ดา้ นจติ พสิ ัย
การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้วัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย 5 ระดับ ดังตัวอย่างของ

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ดงั น้ี

นักเรยี น + ลกั ษณะพฤตกิ รรม + ส่วนขยายลักษณะพฤตกิ รรม + จนสามารถ + คากริยา +
ส่วนขยายคากรยิ า

ตัวอย่างท่ี 2.3 หนว่ ยของสง่ิ มชี ีวติ
เน้อื หา
การรบั
ระดับพฤตกิ รรม ต้งั ใจฟงั
ลกั ษณะพฤติกรรม บอก
คากริยา
นักเรยี นตง้ั ใจฟงั ครสู อนเรื่องหน่วยของส่ิงมชี วี ิต
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ จนสามารถบอกความหมายเก่ยี วกบั หน่วยของ
สิ่งมีชวี ิตไดถ้ ูกตอ้ ง

59

ตวั อยา่ งที่ 2.4 ระบาดอกบัว
เน้ือหา การให้คา่ นิยม
ระดับพฤติกรรม ซาบซงึ้ ในทา่ รา
ลกั ษณะพฤติกรรม บรรยาย
คากริยา นักเรยี นซาบซงึ้ ในทา่ ราระบาดอกบัวจนสามารถ
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ บรรยายขนั้ ตอนของระบาดอกบัวได้

ตัวอย่างที่ 2.5 เกมว่งิ ผลดั
เนือ้ หา การจัดรวบรวม
ระดบั พฤตกิ รรม ตระหนักถงึ ความสาคญั
ลกั ษณะพฤตกิ รรม ทา
คากรยิ า นักเรยี นตระหนกั เห็นความสาคญั ของเกมวงิ่ ผลัด โดย
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ มีความเชือ่ มนั่ ในตนเอง กล้าแสดงออก และมงุ่ มั่นใน
การทางาน

3. ดา้ นทกั ษะพิสยั
การเขียนจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้วัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย 5 ระดับ ดังตัวอย่างของ

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ดังน้ี

นกั เรียน + คากรยิ า + ส่วนขยายคากรยิ า

ตวั อยา่ งที่ 2.6 การประกอบอาหาร
ขัน้ เลียนแบบ
เน้ือหา ทาไดถ้ กู วธิ ี
ระดับพฤตกิ รรม
คากริยา นักเรยี นสามารถทาการประกอบอาหารเช้าไดถ้ กู ตอ้ ง

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ตัวอย่างที่ 2.7 การอา่ นออกเสยี ง
ข้นั ทาเพ่ือหาความถกู ตอ้ ง
เนอ้ื หา ฝึกอ่านได้ถกู ตอ้ ง
ระดับพฤตกิ รรม
คากริยา นักเรียนสามารถฝึกอา่ นออกเสยี งได้ถกู ตอ้ ง

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

60

สรุป

พฤติกรรมทางการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ด้านคือ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้าน
ทักษะพิสัย ซ่ึงพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยแบ่งระดับพฤติกรรมออกเป็น 6 ระดับคือ ความรู้-ความจา
ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า พฤติกรรมด้านจิตพิสัย
แบง่ ออกเปน็ 5 ระดับคือ การรับรู้ การตอบสนอง การสร้างค่านิยม การจัดระบบค่านิยม และการ
สร้างลกั ษณะนิสัย พฤติกรรมด้านทกั ษะพสิ ัย แบง่ ออกเป็น 5 ระดับคือ การเลียนแบบ ทาตามคาสั่ง
ทาเพื่อหาความถูกตอ้ ง ทาอย่างสร้างสรรคอ์ ย่างต่อเน่อื ง และทาได้เหมือนธรรมชาติ ส่วนพฤติกรรม
ดา้ นทกั ษะพสิ ยั ไดก้ าหนดแนวทางไว้ 3 แนวทางคอื แนวทางที่ 1 ตามแนวทางของดาเว่ (Dave’) คือ
ข้นั การเลียนแบบ ขั้นทาตามคาสง่ั ข้ันทาเพื่อหาความถกู ตอ้ ง ข้ันทาอยา่ งสรา้ งสรรค์ตอ่ เน่อื ง ขั้นทาได้
เหมอื นธรรมชาติ แนวทางท่ี 2 ตามแนวทางของซมึ ซนั (Simpson) คือ การรบั รู้ การตระเตรียม การ
ปฏิบตั ติ ามคาแนะนา การปฏบิ ัติจนเป็นนิสัย การปฏิบัติที่สลับซับซ้อน การปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม
และการริเริมสร้างใหม่ และแนวทางท่ี 3 ตามแนวทางของคิบเบอร์ (Kibler) คือ ทักษะในการ
เคล่ือนไหวท้ังร่างกาย ทักษะการเคลื่อนไหวท่ีต้องใช้ประสาทรวม ๆ กัน ทักษะการสื่อสารโดยใช้
ท่าทาง และทกั ษะพฤติกรรมทางดา้ นภาษา

ในการจัดการเรียนการสอนจะต้องระบุพฤติกรรมที่ต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนโดยต้อง
กาหนดจดุ ประสงค์ในการเรยี นการสอนใหช้ ดั เจน เป็นรูปธรรม สามารถสังเกตได้และวัดได้ เรียกว่า
จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ซึง่ มีองค์ประกอบ 3 ส่วนคอื พฤติกรรมท่คี าดหวัง สถานการณ์ และเกณฑ์
เพือ่ ทราบวา่ รายวชิ านน้ั ๆ ควรจะสอนเนอ้ื หาอะไรและเน้นให้เกิดพฤติกรรมอะไร ดังนั้น ผู้สอนต้อง
เขียนจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ตามพฤติกรรมดา้ นพุทธิพิสยั จติ พสิ ัย และทักษะพสิ ัยในแตล่ ะระดับทาให้
ทราบถงึ พฤตกิ รรมที่แสดงออกมาในแตล่ ะระดับว่ามีการวัดตรงตามคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคห์ รอื ไม่

การวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยแนวใหม่ของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) คือ
การการปรับจุดมุ่งหมายทางการศึกษา การเปล่ียนแปลงในจุดเน้นของจุดมุ่งหมายการศึกษา การ
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพุทธิพิสัยแบบเดิมจะวัดมิติเดียว คือ มิติกระบวนการทางปัญญา (Cognitive
process dimension) ปรับเปลย่ี นเป็นการวัด 2 มิติ ประกอบด้วย มิติท่ีหนึ่ง คือ กระบวนการทาง
ปญั ญา (Cognitive process dimension) และมิตทิ ่ีสอง คือ มติ ิด้านความรู้ (Knowledge dimension)

61

คาถามท้ายบท

1. จงเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมด้านการวเิ คราะหแ์ ละการสงั เคราะห์
2. จงบอกความแตกต่างระหว่างจุดมงุ่ หมาย จุดมงุ่ หมายเฉพาะวิชา และจุดมงุ่ หมายเชงิ พฤติกรรม
3. จงเขยี นจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมทมี่ ีองค์ประกอบครบทงั้ 3 ส่วนมา 3 ขอ้
4. ให้พิจารณาจดุ ประสงค์แตล่ ะข้อตอ่ ไปน้ี แลว้ พิจารณาวา่ เปน็ จดุ ประสงค์ดา้ นพทุ ธพิ สิ ัย ใหเ้ ขียน

“พ” ด้านจิตพสิ ยั ใหเ้ ขียน “จ” และดา้ นทักษะพสิ ัย ใหเ้ ขียน “ท” ดงั ต่อไปน้ี
..............1) มีมารยาทในการฟังและพูด
..............2) สร้างรูปเรขาคณิตโดยไม่ใชว้ งเวียนและไมบ้ รรทดั
..............3) อธบิ ายบทบาทการแสดงละครได้
..............4) บอกชื่ออาชพี ที่มอี ยู่ในชมุ ชนหรอื ในทอ้ งถนิ่
..............5) ตดิ ตามข่าวและการคน้ พบใหม่ ๆ ทางวทิ ยาศาสตร์
..............6) เข้าแถวรับประทานอาหารกลางวนั อย่างเปน็ ระเบียบ
..............7) นาหลกั การท่ีได้จากการเรียนไปประดิษฐ์ของใชท้ ี่บ้าน
..............8) เขยี นคาถามได้สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ที่กาหนดให้
..............9) วรรณภา ลงมือดดั แปลงวธิ กี ารประกอบอาหารให้อร่อยข้ึน
............10) นกั ศึกษาส่งงานอยา่ งพรอ้ มเพรยี งตามเวลาทก่ี าหนดให้
............11) นริศรา มีความซาบซงึ้ ในการปฏบิ ตั ธิ รรม
............12) สมชายสามารถบวกเลข 2 หลกั ได้
............13) รชั ภูมิ อธบิ ายบทบาทการแสดงละครได้
............14) เลน่ เกมดว้ ยความสนกุ สนาน
............15) เกรียงไกรมคี วามกระตอื รือรน้ ทจ่ี ะทางานท่ไี ด้รบั มอบหมาย
............16) สมพรด้นถอยหลังได้ตรงตามแนวเสน้ ตรงทกี่ าหนดใหไ้ ด้อยา่ งรวดเร็ว
............17) ฟงั คาบอกเล่าแล้วสรุปใจความสาคัญได้
............18) สมชยั ปน้ั รปู สัตวจ์ ากคาชีแ้ จงในคู่มอื
............19) ลดั ฟ้าพดู สือ่ ความชดั เจนถกู ต้องคล่องแคล่ว
............20) ฟงั คาแนะนาหรอื คาสง่ั แลว้ ปฏิบัติตามได้

62

5. จงระบุวา่ ขอ้ ความต่อไปน้ี อยู่ในพฤติกรรมใดและระดบั ใด

พุทธิพสิ ยั จิตพสิ ยั ทักษะพสิ ัย
- ความรู้-ความจา - การรบั - เลียนแบบ
- ความเขา้ ใจ - การตอบสนอง - ทาตามคาสงั่

- การนาไปใช้ - การใหค้ า่ นิยม - ทาเพอื่ หาความถูกตอ้ ง
- การวิเคราะห์ - การจดั รวบรวม - ทาอย่างสรา้ งสรรค์ตอ่ เน่อื ง
- การสังเคราะห์ - การพัฒนาลกั ษณะนิสยั จากค่านยิ ม - ทาไดเ้ หมือนธรรมชาติ

- การประเมนิ คา่

พฤตกิ รรม ระดบั พฤตกิ รรม พฤติกรรม

..................... .................................. 1. สมพรไปร่วมงานสังสรรคร์ ่นุ ดว้ ยความเกรงใจเพอ่ื น

..................... .................................. 2. วิภาสามารถบอกสูตรการหาพ้นื ทส่ี ามเหลย่ี มได้

..................... .................................. 3. พรชยั อ่านเรื่องแล้วตคี วามหมายข้อคดิ ท่ีแฝงอยู่ใน

เนอ้ื เร่ืองได้

..................... .................................. 4. สมชายชอบชกั ชวนเพ่อื นไปเลน่ เกมคอมพิวเตอรเ์ สมอ

..................... .................................. 5. พิชยั ถา้ มีเวลาว่างจะไปไหว้พระบรมสารีรกิ ธาตุเสมอ

..................... .................................. 6. ภาวณิ เี ขียนโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้

..................... .................................. 7. สุธาสนิ อี า่ นเนอ้ื เรอ่ื งแลว้ สามารถตัดสนิ ได้วา่ ตวั ละคร

ใดเป็นคนดี คนไมด่ ีตามเนือ้ เรื่องทปี่ รากฏ

..................... .................................. 8. นิธสิ บายใจเมอ่ื ไดป้ ฏิบัตติ ามระเบียบ โดยการไมส่ ูบ

บหุ ร่ี

..................... .................................. 9. เด็กอนบุ าลจบั ดนิ สอเมอ่ื เรมิ่ หัดเขียนหนังสือ

..................... .................................. 10. ศวิ ะได้รับรางวัลประดษิ ฐน์ วัตกรรมใหม่

63

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพช์ ุมชนสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.

ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์. (2554). การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. นครราชสมี า :
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครราชสมี า.

ธนวัฒน์ ธิติธนานนั ท.์ (2556). การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พิมพค์ รัง้ ที่ 3. นครราชสีมา :
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครราชสีมา.

พชิ ติ ฤทธ์ิจรูญ. (2554). หลกั การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพ์ครง้ั ท่ี 7. กรงุ เทพฯ :
เฮาสอ์ อฟ เคอรม์ สิ ท.์

วทิ วฒั น์ ขัตติยะมาน และฉตั รศริ ิ ปยิ ะพิมลสทิ ธ.์ิ (2549). “การปรบั จุดมงุ่ หมายทางการศึกษา
ของบลมู ” วารสารปารชิ าติ. ปที ี่ 18 ฉบับท่ี 2 (ต.ค. 2548 – มี.ค. 2549). หนา้ 34 – 42.

สมนกึ ภัททยิ ธน.ี (2551). การวดั ผลการศกึ ษา. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 6. กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพิมพ.์
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน. (2535). การวดั และประเมนิ ผลทางการศึกษา เลม่ ท่ี 3 – 5.

กรุงเทพฯ : คุรสุ ภาลาดพร้าว.
อนุวตั ิ คณู แก้ว. (2558). การวดั ผลและประเมนิ ผลการศึกษาแนวใหม่. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์

แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
Anderson and Krathwohl. (2001). A Taxonomy for Learning Teaching, and

Assessing : A Revision of Bloom’s Taxonomy of Educational Objectives.
New York : Longman.
Bloom, Benjamin S., and Others. (1968). Taxonomy of Education Objective
Handbook I : Cognitive Domain. New York : David Mc Kay Company.
Dave’.P.H. (1969). Taxonomy of Education Objectives and Achievement Testing in
Development in Education Testing. London University of London Press.
Krathwohl, David R. (2002). A Revision of Bloom’s Taxonomy : An Overview.
[Online] Available HTTP :http://www.psychology.mcmaster.ca/bennett/
psy720/readings/m1/m1r1.pdf.
Krathwohl, David R. and other. (1984). Taxonomy of Educational Objectives.
Handbook H. Affective Domain. New York : David Mckay.
Simpson, E,J. (1966). The Classification of Educational Objectives : Psychomotor
Domain. Urbana, I1 : University of Illinois.
Wilson, Leslie O. (2013). Anderson and Krathwohl – Bloom’s Taxonomy Revised.
[Online] HTTP :http://thesecondprinciple.com/teaching-essentials/beyond-
bloom-cognitive-taxonomy-revised.

บทท่ี 3
เคร่อื งมือและวธิ ีการท่ีใชใ้ นการวดั ผลและประเมนิ ผล

การวัดผลและประเมนิ ผลการศึกษาจาเปน็ ตอ้ งใช้เคร่อื งมือวัดที่หลากหลาย จึงจะทาให้ได้
ข้อมูลทม่ี ีความนา่ เช่อื ถือ เครื่องมอื และวิธีการที่ใช้ในการวัดและประเมินผลแต่ละประเภทมีลกั ษณะท่ี
แตกตา่ งกนั มที ้งั ขอ้ ดีและขอ้ จากัดในการใช้ที่แตกต่างกันด้วย ผู้ใช้ต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ
สร้าง รปู แบบและวิธกี ารใช้เคร่อื งมอื ดงั นัน้ ในบทน้จี ะนาเสนอเครือ่ งมือและวิธีการที่ใช้วัดพฤติกรรม
ท้ังด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ได้แก่ แบบทดสอบ การสังเกต แบบสอบถาม การ
สมั ภาษณ์ แบบวดั สถานการณ์ สังคมมติ ิ แบบตรวจสอบรายการ และมาตราสว่ นประมาณค่า

แบบทดสอบ (Test)

แบบทดสอบ (Test) หมายถึง ชุดของข้อคาถาม สถานการณ์ ปัญหาหรือกลุ่มงานใด ๆ ที่
สรา้ งข้นึ เพือ่ ใชเ้ ปน็ สิง่ เร้าให้ผู้สอบแสดงพฤติกรรมหรอื ปฏกิ ริ ิยาอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ออกมา เพอื่ ให้ผูท้ า
การทดสอบสามารถสงั เกตไดแ้ ละวัดได้ (Grounlund and Linn, 1990 : 57)

1. ประเภทของแบบทดสอบ
แบบทดสอบแบง่ ออกไดห้ ลายประเภทขึน้ อยกู่ ับเกณฑ์ในการจาแนก ดงั น้ี
1.1 แบ่งตามธรรมชาติของสิ่งเรา้ มี 2 ประเภท คือ
1) แบบทดสอบทใี่ ช้ภาษา (Verbal Test) เปน็ แบบทดสอบทใี่ ชภ้ าษาไปเรา้ ให้

ผู้เรยี นตอบสนองออกมา เหมาะสาหรบั คนท่อี า่ นออกเขยี นได้
2) แบบทดสอบท่ไี ม่ใช้ภาษา (Non - Verbal Test) เป็นแบบทดสอบทใ่ี ช้

รปู ภาพ วัสดุอุปกรณ์ หรอื ของจรงิ ไปเรา้ ใหผ้ เู้ รียนตอบสนองออกมา เหมาะสาหรับผู้ทีอ่ า่ นเขียน
หนงั สอื ไมไ่ ด้ มักนยิ มใชก้ ับเดก็ เลก็ ๆ

1.2 แบ่งตามเวลาทใ่ี ช้ มี 2 ประเภท คือ
1) แบบทดสอบจากดั เวลาหรอื ใช้ความเร็วในการตอบ (Speed Test) เป็น

แบบทดสอบ ที่วดั ความถนัดหรอื ทักษะเฉพาะในเรอ่ื งใดเรอื่ งหน่งึ ข้อสอบคอ่ นขา้ งง่ายและมีจานวน
มาก โดยเนน้ ท่คี วามเร็วในการทา เพราะถา้ ใหเ้ วลาเพยี งพอผู้เรยี นจะทาข้อสอบถูกเกอื บหมด

2) แบบทดสอบไม่จากดั เวลาหรือใชค้ วามสามารถ (Power Test) เปน็
แบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้ ความสามารถที่เรยี นมาแล้ว ขอ้ สอบคอ่ นขา้ งยาก และมจี านวนไม่มาก จงึ
ไม่จากัดเวลาตอบ ผเู้ รียนแสดงความสามารถในการตอบไดอ้ ย่างเต็มที่

1.3 แบ่งตามวิธดี าเนนิ การสอบ มี 2 ประเภท คือ
1) แบบทดสอบรายบคุ คล (Individual Test) เป็นแบบทดสอบทีม่ ุ่งวัด

พฤติกรรมทซ่ี บั ซ้อนของผเู้ รยี นแตล่ ะคน เพอื่ ให้เหน็ พฤติกรรมอย่างละเอียดถีถ่ ว้ น โดยพจิ ารณาจาก

66

กระบวนการและผลลพั ธ์ ดังนนั้ การดาเนินการสอบจงึ ค่อนขา้ งยุ่งยาก ท้ังบุคคล เวลา และสถานที่
แบบทดสอบประเภทนเ้ี หมาะกบั เด็กเลก็ และการสอบภาคปฏบิ ตั ิ

2) แบบทดสอบรายกลุ่ม (Group Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดพฤติกรรมโดย
เนน้ ท่ีผลลพั ธ์สุดทา้ ย จงึ สามารถใช้สอบกบั ผเู้ รียนหลาย ๆ คนได้ การดาเนนิ การสอบจงึ ไม่ยุ่งยากมากนัก
แบบทดสอบประเภทนเี้ หมาะกบั การสอบโดยทว่ั ไปในชัน้ เรยี น

1.4 แบง่ ตามวิธกี ารตอบ มี 3 ประเภท คอื
1) แบบทดสอบปากเปล่า (Oral Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วิธีการถาม – ตอบ

ตัวต่อตวั ระหวา่ งครแู ละผู้เรยี น สามารถใชไ้ ดท้ ง้ั เดก็ เล็กทอ่ี า่ นเขียนไม่ไดไ้ ปจนถึงผู้ใหญ่
2) แบบทดสอบเขียนตอบ (Paper – Pencil Test) เป็นแบบทดสอบท่ีให้ผู้เรียน

เขยี นตอบ ทงั้ ที่เป็นแบบปรนยั และอตั นัย แบบทดสอบประเภทนี้นยิ มแพร่หลายมากท่สี ุด
3) แบบทดสอบภาคปฏิบัติจริง (Performance Test) เป็นแบบทดสอบที่ให้

ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงตามสถานการณ์ที่ครูกาหนด เพื่อตรวจสอบขั้นตอนและผลลัพธ์การปฏิบั ติ
เหมาะกบั วิชาที่เน้นการปฏิบตั ิ

1.5 แบ่งตามลกั ษณะทม่ี าของการตอบ มี 2 ประเภท คอื
1) แบบทดสอบกาหนดคาตอบให้เลือก (Selected – response Test) เป็น

แบบทดสอบ ทก่ี าหนดคาตอบไวใ้ หผ้ ้เู รยี นเลอื กตอบ ซงึ่ มหี ลายรปู แบบ เช่น ถกู – ผดิ แบบจับคู่ แบบ
เลือกตอบ เป็นต้น

2) แบบทดสอบกาหนดคาตอบข้ึนมาเอง (Supply – response Test) เป็น
แบบทดสอบท่ีกาหนดคาถามให้แล้วให้ผเู้ รียนหาคาตอบด้วยตนเอง ได้แก่ แบบเติมคา แบบตอบส้ัน
แบบกาหนดขอบเขตคาตอบ แบบไมก่ าหนดขอบเขตของคาตอบ

1.6 แบง่ ตามการใหค้ ะแนน มี 2 ประเภท คอื
1) แบบทดสอบปรนัย (Objective Test) เป็นแบบทดสอบท่ีกาหนดคาตอบไว้

ชัดเจน การตรวจใหค้ ะแนนไดผ้ ลตรงกัน ได้แก่ แบบถูก – ผดิ แบบจับคู่ และแบบเลอื กตอบ
2) แบบทดสอบอตั นยั (Subjective Test) เป็นแบบทดสอบทไี่ ม่ได้กาหนดคาตอบไว้

การตรวจจงึ ไมม่ กี ฎเกณฑท์ ชี่ ัดเจน คะแนนท่ีได้จึงขึน้ อยู่กบั ผตู้ รวจแต่ละคน นอกจากน้ียงั มปี ัจจัยอยา่ งอนื่
อาจสง่ ผลต่อคะแนน เชน่ การร้จู กั เป็นการส่วนตวั ของผู้เรยี นกับครู อารมณ์ของครู ลายมือของผู้สอบ
เป็นตน้

1.7 แบง่ ตามความเปน็ มาตรฐานของแบบทดสอบ มี 2 ประเภท คือ
1) แบบทดสอบท่คี รสู รา้ งข้ึน (Teacher – Made Test) เปน็ แบบสอบท่คี รสู ร้างขึ้น

ใชท้ ดสอบกบั ผู้เรยี นในห้องเรียน ดังนนั้ กระบวนการสร้างและหาคุณภาพอาจจะไม่สมบรู ณ์
2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Subjective Test) เปน็ แบบทดสอบท่ีมีกระบวนการ

สร้างและหาคุณภาพที่สมบูรณ์ รวมถึงวิธีการตรวจ การให้คะแนน และการบริหารการสอบท่ีเป็น
มาตรฐาน มกี ารหาเกณฑป์ กติวสิ ัย (Norm) เพอ่ื ใช้เปรียบเทยี บความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนกับ
ผเู้ รียนทง้ั หมด

67

1.8 แบง่ ตามการแปลความหมายของคะแนน มี 2 ประเภท คือ
1) แบบทดสอบองิ กล่มุ (Norm – Reference Test) เปน็ แบบทดสอบทสี่ รา้ งข้ึน

เพือ่ นาคะแนนผสู้ อบไปเปรยี บเทยี บกบั กลมุ่ ผ้สู อบ แล้วจาแนกวา่ มีความสามารถอยู่ในระดับใดของกลุ่ม
การเปรียบเทียบภายในกลมุ่ จงึ เปน็ การเปรียบเทียบเชิงสัมพันธ์ (Relative)

2) แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion – Reference Test) เป็นแบบทดสอบท่ี
สร้างขึ้นเพื่อตรวจสอบความรอบรู้ของผู้เรียน เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้า การ
เปรยี บเทียบลักษณะนี้จงึ เป็นลักษณะเชงิ สัมบรู ณ์ (Absolute)

1.9 แบ่งตามพฤติกรรมทมี่ ุง่ วดั มี 4 ประเภท คือ
1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (Achievement Test) เป็นแบบทดสอบ

ท่มี ุง่ วดั ความรู้ ความสามารถในส่งิ ทไ่ี ดเ้ รียนมาแล้ว
2) แบบทดสอบวัดความถนัด (Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดเพ่ือ

พยากรณ์หรือทานายความสามารถในอนาคตของผ้เู รียน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื
2.1) แบบทดสอบวัดความถนัดทางการเรียน (Scholastic Aptitude Test)

เปน็ แบบทดสอบที่ใชว้ ัดความสามารถดา้ นวิชาการตา่ ง ๆ โดยจะสามารถทานายได้ว่าผู้เรียนจะเรียน
ตอ่ สาขาใดจงึ จะประสบความสาเร็จ เชน่ ความถนดั ทางภาษา ความถนัดทางคณติ ศาสตร์ เป็นต้น

2.2) แบบทดสอบวัดความถนัดเฉพาะอย่างหรือความถนัดพิเศษ (Specific
Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความสามารถเฉพาะอย่าง ความถนัดทางช่าง ความถนัด
ทางเครอ่ื งกล เปน็ ต้น

3) แบบทดสอบวัดเจตคติ (Attitude Test) เป็นแบบทดสอบท่ีใช้วัดความรู้สึก
ของผเู้ รยี นต่อสิง่ ท่เี รยี นว่าเป็นไปในเชิงบวกหรือเชิงลบ

4) แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดคุณลักษณะ
ของผู้เรียนว่าเด่น – ดอ้ ย อยา่ งไร ควรจะส่งเสรมิ และปรับปรงุ อย่างไร

1.10 แบ่งตามลกั ษณะและโอกาสในการใช้ มี 2 ประเภท คอื
1) แบบทดสอบย่อย (Formative Test) เปน็ แบบทดสอบท่ใี ชว้ ดั และประเมินผล

ระหว่างจดั การเรียนการสอนหรือสอนแต่ละหนว่ ยเสรจ็ สนิ้ แล้ว วตั ถปุ ระสงคข์ องการทดสอบย่อย คือ
วนิ จิ ฉัยผ้เู รียนและปรับปรงุ การเรียนการสอน

2) แบบทดสอบรวม (Summative Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดและประเมินผล
ปลายภาคเรยี นหรอื ปลายปีการศึกษาเมอื่ จบเน้อื หาแตล่ ะรายวิชาแล้ว วัตถปุ ระสงค์ของการทดสอบรวม
คือ ตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจของผู้เรยี นวา่ มีมากน้อยเพยี งใดและนาผลทีไ่ ด้ไปตัดสนิ ผลการเรยี น

แบบทดสอบแต่ละประเภทดังกลา่ วขา้ งต้น มแี บบทดสอบหลายประเภททเี่ ปน็ แบบทดสอบ
ชุดเดียวกัน เพียงแต่เกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนกประเภท และการเรียกช่ือต่างกันเท่าน้ัน สาหรับการ
สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นมที ้ังแบบอัตนัยและปรนยั นั้น จะกลา่ วไว้ในบทที่ 4

68

การสังเกต (Observation)

การสงั เกต (Observation) หมายถงึ การใช้ประสาทสมั ผสั ทง้ั 5 ในการพจิ ารณาปรากฏการณ์
ตา่ ง ๆ ทีต่ อ้ งการศกึ ษา โดยการเฝ้าดูและตดิ ตามอยา่ งใกลช้ ิดของผูส้ ังเกต เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นปฐม
ภูมิ (Primary Data) และมีความน่าเชื่อถอื

1. ลกั ษณะทวั่ ไป
เปน็ การเฝา้ ติดตามดูหรอื ฟัง ซึ่งต้องอาศัยตาและหู เป็นเคร่ืองมือสาหรับในการสังเกต

นั้นจะต้องมีจุดมุ่งหมายว่าจะดูหรือฟังส่ิงใดเป็นเร่ือง ๆ ไป และส่วนใหญ่มักจะมีการบันทึกไว้เป็น
หลักฐานเพื่อกันลืม การสงั เกตเปน็ วธิ กี ารวัดผลทคี่ รสู ามารถใช้ได้ตลอดเวลาทท่ี าการสอนและใชไ้ ด้กับ
นักเรียนทุกระดับช้ัน นอกจากนี้ยังใช้ควบคู่กับการวัดผลอื่น ๆ เช่น การซักถามหรือการสัมภาษณ์
เป็นต้น

โอกาสทีค่ รจู ะใชก้ ารสงั เกตในการเรียนการสอน เชน่
- สังเกตนักเรียนในขณะทาการสอนเพอื่ ดคู วามสนใจ ความต้งั ใจ ความขยัน หมน่ั เพยี ร
- สงั เกตขณะทีท่ ากิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน เพ่ือดูความสนใจ
ความรว่ มมอื ความรบั ผิดชอบ ตลอดจนความเปน็ ผนู้ าของนักเรียน
- สงั เกตผลงานตา่ ง ๆ เชน่ แบบฝกึ หัด รายงาน ผลงานที่นักเรียนผลิตหรือทาข้ึนเพื่อดู
คุณภาพของงาน ความคิดรเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ ตลอดจนความรบั ผดิ ชอบในการทางาน
- สงั เกตเก่ยี วกับความประพฤติ ลักษณะนิสัย และการปรบั ตัวของนักเรียน เพื่อดูสภาพ
อารมณ์ สังคมของนักเรียน ว่าใครเด่น – ด้อยในด้านใด มีปัญหาอะไรบ้าง จะได้แนวทางแก้ไขให้
เหมาะสมตอ่ ไป

2. ประเภทของการสงั เกต
การสงั เกต สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท ดงั น้ี (สมนึก ภทั ทิยธน.ี 2558 : 34 – 36) ดงั นี้
2.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participant Observation) หมายถึง การสังเกตท่ีผู้

สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ หรือคลุกคลีอยู่ในหมู่ของผู้ที่เราต้องการสังเกต ซึ่งลักษณะ
เช่นน้ีทาให้ได้รายละเอียดหรือข้อมูลท่ีแน่นอน ถูกต้อง ชัดเจน เช่น การเข้าไปร่วมสังเกตในฐานะ
นักเรยี น ฐานะครูใหม่ ฐานะครฝู กึ สอน เพื่อทราบพฤติกรรมการเรียนการสอนของนักเรียน เป็นต้น
ซง่ึ การเขา้ ไปมสี ่วนร่วมนน้ั ต้องเข้ารว่ มกลุ่มในระยะเวลาช่วงหนงึ่ เพ่ือให้เขาไม่รู้สึกว่าเป็นคนแปลกหน้า
ของกลุ่ม จึงจะทาให้การสังเกตบังเกิดผลตามความเป็นจริง การสังเกตแบบน้ีผู้สังเกตจะไม่สามารถ
จดบันทกึ รายละเอยี ดเกี่ยวกับสิ่งท่ีต้องการสังเกตได้ทันที และต้องใช้เวลาในการสังเกตนาน อีกทั้ง
อาจเกิดความลาเอียงตามกล่มุ ที่เราเข้าไปมสี ว่ นร่วมได้

2.2 การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non - Participant Observation) หมายถึง การ
สงั เกตที่ผู้สงั เกตไม่ไดเ้ ข้าไปมีส่วนร่วมในกจิ กรรมต่าง ๆ แตค่ อยเฝา้ ดอู ยูห่ า่ ง ๆ การสังเกตแบบน้ีอาจ
ใหผ้ ถู้ กู สังเกตร้ตู วั หรือไม่ให้ผูถ้ กู สงั เกตรตู้ วั กไ็ ด้ การสังเกตแบบไม่ให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว เช่น การสังเกต
พฤติกรรมของนกั เรียนในขณะรับประทานอาหาร การสังเกตแบบท่ีผู้ถูกสังเกตรู้ตัวเช่น การสังเกต

69

นกั ศกึ ษาท่ีออกฝึกงานหรือฝึกสอน แต่การสังเกตท่ีให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว อาจทาให้ได้ข้อมูลไม่ตรงกับ
สภาพความเป็นจริง เพราะผู้ถูกสงั เกตอาจจะซอ่ นเรน้ พฤตกิ รรมดงั กล่าวในขณะท่ีถูกสังเกตแต่เรา ก็
สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยการสังเกตซา้ หรือสมั ภาษณ์จากผทู้ ีเ่ ก่ียวข้องใกล้ชิด การสงั เกต
แบบไม่มีส่วนร่วมนี้จะช่วยกาจัดความลาเอียงของผู้สังเกตได้ และสามารถจดบันทึกรายละเอียดท่ี
สงั เกตได้ในทันที

3. หลักการสงั เกต
การสังเกตเปน็ วิธีที่อาศัยความสามารถและความเชี่ยวชาญของบุคคลเป็นหลัก ดังนั้น

เพ่ือให้การสงั เกตได้ข้อมลู ทถี่ กู ต้องตามความเปน็ จริง ผู้สงั เกตควรยดึ หลักการสงั เกตท่ีดี ดังน้ี
3.1 กาหนดจุดมุง่ หมายของการสังเกต และวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะสังเกตอะไร แล้ว

วเิ คราะหส์ ง่ิ ท่จี ะสังเกตออกมาเป็นพฤตกิ รรมแบบย่อย ๆ ว่ามีพฤติกรรมอะไรบ้างทีจ่ ะสงั เกต เช่น
จดุ มุ่งหมาย : เพื่อสงั เกตพฤตกิ รรมการรว่ มงานและเขา้ กบั เพ่อื น ๆ ได้
พฤตกิ รรมยอ่ ย : 1. ไม่ทะเลาะกบั เพอื่ น ๆ ในการเล่น การทางาน การเรยี น
2. ไม่เป็นทร่ี งั เกียจของเพอ่ื น ๆ จนทาให้ไมม่ ีใครชอบเข้ากลุม่
3. ช่วยงานของกล่มุ อยา่ งตงั้ ใจไมเ่ ก่ยี งกัน

3.2 ควรสงั เกตโดยทผ่ี ู้ถกู สังเกตไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะถ้าผู้ถูกสังเกตรู้ตัวล่วงหน้าว่าจะถูก
สงั เกตในเรอ่ื งใด ก็จะระมัดระวงั ตัวทาให้พฤติกรรมทแ่ี สดงออกมาไม่เป็นไปตามปกติ ทาให้สง่ิ ทีส่ ังเกต
ได้นน้ั คลาดเคลื่อนไปจากสภาพท่ีเปน็ จริง

3.3 ควรสงั เกตในขณะท่ีมีความพรอ้ ม มคี วามสนใจ มสี ภาพจิตใจและร่างกายปกติ เพื่อ
ใหผ้ ลการสังเกตเชื่อมน่ั ได้ และถกู ตอ้ ง

3.4 ควรระวงั อยา่ ใหเ้ กดิ ความลาเอยี งในขณะทส่ี งั เกต โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ความลาเอยี งที่
เกิดขึน้ โดยไมต่ ง้ั ใจ เชน่ ความประทับใจตอ่ นกั เรียนบางคน ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของบิดา –
มารดาของนักเรียน เปน็ ตน้

3.5 ควรสงั เกตซา้ หลาย ๆ ครัง้ และในสถานการณต์ ่าง ๆ กัน เพื่อเปน็ การตรวจสอบผลการ
สังเกตว่าถูกต้องคงท่เี พียงใด ก่อนทีจ่ ะสรปุ ในเรอ่ื งราวนัน้ ๆ

3.6 ควรมีการบันทึกการสงั เกตเพ่ือกันการลืม ซ่ึงการบันทึกการสังเกตน้ันอาจใช้แบบ
บนั ทกึ แบบตา่ ง ๆ ช่วยทาใหก้ ารบนั ทกึ ได้สะดวกรวดเร็ว และเปน็ ระบบเดยี วกัน

แบบบันทึกการสังเกตทีใ่ ชก้ ันท่ัว ๆ ไป ไดแ้ ก่
- แบบตรวจสอบรายการ
- แบบมาตราสว่ นประมาณคา่
- แบบบรรยายพฤตกิ รรมหรอื ทาระเบยี นพฤติกรรม

70

4. ตัวอย่างแบบบนั ทึกการสงั เกต
4.1 แบบบนั ทกึ การสงั เกตท่ีใช้แบบตรวจสอบรายการ

ตวั อยา่ งท่ี 3.1 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการสอนของครู

รายการพฤติกรรม มี ไมม่ ี

1. การนาเขา้ สบู่ ทเรยี น………………………………………………………… ..................... .....................

2. สอนทเี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั ...................................................... ..................... .....................

3. ใชส้ ื่อประกอบการสอน............................................................. ..................... .....................

4. ผ้เู รยี นมสี ว่ นรว่ มการเรยี น........................................................ ..................... ....................

5. การวดั ประเมินผลหลงั เรียน...................................................... ..................... .....................

ฯลฯ

4.2 แบบบันทึกการสังเกตทใ่ี ช้แบบมาตราส่วนประมาณค่า

ตวั อยา่ งท่ี 3.2 แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

ชือ่ – สกุล การมีส่วนร่วมแสดง การรบั ฟังความ ความรบั ผิดชอบต่อ รวม
ความคิดเห็น คิดเห็นของผู้อ่นื งานทไ่ี ด้รบั คะแนน
1. มอบหมาย
2. 3210 3210
3. 3210
4.
5.

หมายเหตุ : 3 หมายถงึ มีพฤติกรรมนั้นมาก
2 หมายถงึ มีพฤติกรรมน้นั ปานกลาง

1 หมายถงึ มพี ฤติกรรมนั้นนอ้ ย
0 หมายถึง ไมม่ พี ฤตกิ รรมนั้นเลย

เกณฑ์การแปลความหมาย

ให้คะแนน 0 – 3 พฤตกิ รรมการทางานอยใู่ นระดบั ปรบั ปรงุ
ให้คะแนน 4 – 6 พฤติกรรมการทางานอยูใ่ นระดบั ปานกลาง
ให้คะแนน 7 – 9 พฤติกรรมการทางานอยู่ในระดบั ดี

71

4.3 แบบบนั ทึกการสงั เกตทใ่ี ชแ้ บบบรรยายพฤตกิ รรมหรอื ทาระเบยี นพฤติกรรม
ตวั อยา่ งท่ี 3.3 แบบบรรยายพฤตกิ รรมหรือทาระเบยี นพฤตกิ รรม

ชือ่ : เด็กชายอินทนนท์ ไพรสวุ รรณ
ชัน้
วนั ที่ : ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นวัดขว่ งสงิ ห์ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่
สถานท่ี : 20 กุมภาพนั ธ์ 2553
ผู้สงั เกต : โรงเรยี นวัดข่วงสงิ ห์ ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่
เหตุการณ์
: ครูนวพรรณ สุขใจ
การแปลความ : ในระหวา่ งพกั เท่ียงเพื่อรบั ประทานอาหารกลางวนั เด็กชายอนิ ทนนท์

ไพรสุวรรณ ชกตอ่ ยกับเด็กชายสุวทิ ย์ กอ่ นทจี่ ะเข้าแถวไปรบั ประทาน

อาหาร เมอื่ เรยี กมาซักถาม เด็กชายอินทนนท์กล่าววา่ “สวุ ิทย์ล้อผมวา่
ไอเ้ ตยี้ ครับ...ผมจงึ ชกหนา้ เขา”
: อินทนนทไ์ ม่พอใจทม่ี ีคนล้อเลียนเกีย่ วกบั รูปร่างของตน และเปน็ คนขีโ้ มโห

โกรธง่าย

ตวั อยา่ งแบบบนั ทกึ การสงั เกตท่เี ปน็ แบบสอบถาม

ตวั อยา่ งที่ 3.4 แบบประเมนิ ทกั ษะการพดู

พฤติกรรมบ่งช้ี ระดบั คุณภาพ
321

1. จงั หวะการพูด
2. น้าเสยี ง

3. การออกเสยี ง
4. ท่าทางประกอบ
5. เวลาทใี่ ช้

เกณฑ์ระดับคณุ ภาพ
3 หมายถึง ดีมาก 2 หมายถึง พอใช้ 1 หมายถึง ควรปรบั ปรงุ

72

ตัวอยา่ งแบบบันทึกการสงั เกตทเี่ ป็นตรวจสอบรายการ

ตวั อย่างท่ี 3.5 การขยายพันธต์ุ ้นดอกเข็มโดยการตอนกง่ิ

รายการ ผลการสงั เกต

ขน้ั เตรยี ม ( ) ใช่ ( ) ไม่ใช่
1. ตน้ พันธดุ์ ิกเข็ม ( ) ใช่ ( ) ไมใ่ ช่
( ) ใช่ ( ) ไมใ่ ช่
2. มดี ตอนก่งิ ( ) ใช่ ( ) ไมใ่ ช่
3. พลาสตกิ ( ) ใช่ ( ) ไม่ใช่
4. กาบมะพรา้ วแช่นา้
ผลการสงั เกต
5. ฮอรโ์ มนเรง่ ราก ( ) ใช่ ( ) ไมใ่ ช่
รายการ ( ) ใช่ ( ) ไม่ใช่
( ) ใช่ ( ) ไมใ่ ช่
6. นา้
7. เชือก ( ) ทาถกู ต้อง ( ) ทาถกู ไมต่ ้อง
( ) ทาถูกตอ้ ง ( ) ทาถูกไม่ต้อง
8. ดินเหนียว ( ) ทาถูกต้อง ( ) ทาถูกไม่ตอ้ ง
ข้นั ปฏิบัติ ( ) ทาถูกตอ้ ง ( ) ทาถูกไม่ตอ้ ง

9. การเลอื กกงิ่ พันธ์

10. การควั่นเปลอื ก
11. การพอกดนิ เหนยี ว

12. การหอ่ และมดั

5. ข้อดแี ละข้อเสีย

5.1 ขอ้ ดี
1) เปน็ การที่ใชไ้ ด้กับนกั เรียนทกุ ระดบั ช้ัน
2) เปน็ การท่ีใช้ได้สะดวกและใช้ได้ตลอดเวลา

3) เปน็ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งปฐมภูมิโดยตรง จึงได้รายละเอียดต่าง ๆ
อยา่ งชดั เจนและลึกซ้งึ

4) ใชไ้ ดก้ บั บุคคลประเภทท่ีพูดไมไ่ ด้ เขียนไม่ได้ ไมม่ เี วลา หรือผูท้ ีไ่ ม่ให้ความร่วมมือ

5) สามารถเกบ็ ข้อมลู ทเี่ ป็นความลบั ความละอายของผทู้ ่ไี ม่เต็มใจตอบได้
6) สามารถใชเ้ ครื่องมืออยา่ งอนื่ ร่วมได้ด้วย เช่น แบบบันทึกรายการ แบบสอบถาม
7) สรา้ งง่ายและใชส้ ะดวก

8) สามารถนาไปวัดพฤตกิ รรมหรือใช้ประกอบการสงั เกตพฤติกรรมไดอ้ ยา่ งละเอยี ด
5.2 ข้อเสีย

1) ถา้ ผู้สังเกตไม่ต้งั ใจจริง อาจได้ขอ้ มูลทผี่ ิดพลาด

2) ความลาเอยี งหรือความพอใจ ไม่พอใจเปน็ สว่ นตัว มกั ทาใหก้ ารแปลผลคลาดเคลอื่ น

73

3) พฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนเพียงคร้ังเดียว เป็นเพียงตัวอย่าง (Sample) หนึ่งเท่านั้น
การนาไปแปลผลอาจคลาดเคล่ือนได้

4) บางคร้ังตอ้ งใชเ้ วลานานและคา่ ใช้จ่ายมากจนกว่าพฤตกิ รรมทต่ี ้องการจะเกิดขึน้
5) ถ้าผู้ถูกสังเกตรู้ตัวจะเกิดความระมัดระวังและปฏิบัติตนผิดไปจากเดิม ทาให้
ข้อมูลท่ไี ดไ้ มเ่ ท่ียงตรง
6) พฤตกิ รรมท่กี าหนดในรายการตอ้ งชัดเจน ไม่เชน่ น้ันอาจทาให้สื่อความหมายได้ไม่
ตรงกัน
7) ผูท้ าการตรวจสอบไดม้ โี อกาสได้รับรู้ ได้เห็น หรือเก่ียวข้องคลุกคลีกับผู้เรียน ผล
การประเมินจงึ จะเช่ือถอื ไดถ้ กู ตอ้ ง

แบบสอบถาม (Questionnaire)

แบบสอบถาม (Questionnaire) หมายถงึ ชดุ ของขอ้ คาถามวดั พฤติกรรมตา่ ง ๆ ของบคุ คล
ตามทต่ี ้องการ เช่น ความสนใจ เจตคติ คา่ นยิ ม ฯลฯ โดยจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบและเป็นระบบ
แลว้ สง่ ไปให้ผ้ตู อบตอบคาถามด้วยตนเอง แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวัดจิตพิสัยท่ีนิยมใช้มากที่สุด
เน่อื งจากสรา้ งงา่ ยและสามารถเก็บรวบรวมข้อมลู ไดส้ ะดวกรวดเรว็ และทันเหตุการณ์ปัจจุบันที่ต้องการ
ใชผ้ ลการวเิ คราะหข์ ้อมูล

1. ลกั ษณะทว่ั ไป
การใชแ้ บบสอบถาม เป็นการนาชุดของคาถามทส่ี ร้างขึ้นเพื่อรวบรวมขอ้ มูลเก่ียวกับบุคคล

ในด้านตา่ ง ๆ เชน่ ความคิดเห็น ความร้สู กึ ทา่ ที เจตคติ ฯลฯ ไปใหบ้ คุ คลน้ัน ๆ ตอบลงในแบบฟอร์ม
ทส่ี ร้างขึ้น ซ่งึ อาจจะเปน็ การกรอกข้อความรปู ภาพ หรอื สัญลกั ษณ์กไ็ ด้

แบบสอบถาม เปน็ เคร่ืองมอื ทนี่ ิยมใชใ้ นการหาข้อมูลเก่ียวกับตัวบุคคลอย่างแพร่หลาย
เนอ่ื งจากเปน็ เครอื่ งมอื ทช่ี ่วยใหไ้ ด้ข้อมลู ในเวลาอนั รวดเรว็ และยังสามารถสง่ แบบสอบถามไปให้บุคคล
ต่าง ๆ ท่ีต้องการข้อมูลจากเขาได้ไมว่ า่ บุคคลเหล่าน้นั จะอยู่หา่ งไกลเพียงใด หรือแม้แต่ไม่เคยรู้จักกัน
หรอื เห็นหน้ากันมากอ่ นเลยก็ตาม

การสร้างและใช้แบบสอบถามอาจจะง่าย แต่การสร้างแบบสอบถามที่ดีและใช้อย่าง
เหมาะสมนนั้ ทาไดย้ าก ตอ้ งอาศยั ความรูแ้ ละประสบการณ์ เพราะการสรา้ งแบบสอบถามท่ดี ี ต้องอาศัย
การกาหนดจุดมงุ่ หมายที่จาเพาะและชัดเจน ข้อความท่ีใช้ต้องเป็นภาษาที่ดี และเข้าใจง่าย รูปแบบ
ของแบบสอบถามต้องนา่ สนใจ บุคคลท่ีจะตอบแบบสอบถามต้องได้รับการตรวจสอบว่ามีคุณสมบัติ
เหมาะสมที่จะตอบ เพ่ือใหไ้ ดข้ ้อมลู ท่ีมีความถกู ต้องและเช่ือถือได้

74

2. ประเภทของแบบสอบถาม

แบบสอบถามนยิ มใช้คาถามมี 2 ประเภท คอื (บุญชม ศรสี ะอาด, นิภา ศรีไพโรจน์ และ

นุชวนา ทองทวี. 2528 : 15 – 19)

2.1 คาถามแบบปลายเปิด (Opened Form)

เปน็ ข้อคาถามใหผ้ ูต้ อบแสดงความคดิ เห็นอยา่ งเต็มที่ ลกั ษณะคาถามจะต้ังไว้กว้าง ๆ

และเว้นท่สี าหรบั ใหผ้ ้ตู อบได้แสดงความเหน็ อย่างเพียงพอ

คาถามปลายเปิดนี้ คาตอบทไ่ี ดจ้ ะแน่นอนและสมบูรณ์กว่าคาตอบที่จากัดวงให้ตอบ

แตค่ าตอบทีไ่ ดก้ ลบั มามกั จะกระจายทาให้ยากต่อการวเิ คราะหเ์ พอื่ นามาสรปุ ผล เช่น

- ทา่ นคิดวา่ ทางโรงเรียนควรปรบั ปรงุ งานในดา้ นตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้อยา่ งไรบ้าง

1) ด้านการเรียนการสอน.....................................................................................

................................................................................................................................................................

................................................................................................................................................................

2) ด้านการบรหิ าร..................................................................................................

............................................................................................................................. ...................................

................................................................................................................................................................

3) ด้านการบริการและสวสั ดกิ าร............................................................................

............................................................................................................................. ...................................

................................................................................................................................................................

2.2 คาถามปลายปิด (Closed Form) เป็นข้อคาถามให้ผู้ตอบเลือกตอบตาม

ความรู้สึกและความคิดเห็นของตนเอง โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบแสดงความคิดเห็น คาตอบท่ี

กาหนดให้อาจเปน็ ใช่ – ไม่ใช่, เห็นด้วย – ไม่เห็นด้วย หรือให้ทาเคร่ืองหมายในคาตอบท่ีจัดไว้ให้ที่

เห็นวา่ ถูกต้องที่สดุ คาถามประเภทน้ี แบ่งออกเป็นหลายลักษณะ เชน่

1) แบบทใ่ี หผ้ ตู้ อบเลอื กคาตอบท่ีเหน็ วา่ ถกู ตอ้ งเพยี งคาตอบเดยี ว

- เพศ

( ) ชาย ( ) หญิง

- ทา่ นกาลังศึกษาอยชู่ ั้นปที เี่ ทา่ ไร

( ) ปีที่ 1 ( ) ปีท่ี 2 ( ) ปที ี่ 3

( ) ปที ่ี 4 ( ) ปีท่ี 5

ในกรณที ่ีผ้สู รา้ งคาถามไมแ่ น่ใจว่าจะสรา้ งตัวเลอื กไดค้ รอบคลมุ คาตอบที่

อาจจะเปน็ ไปได้ทัง้ หมด อาจจะมีตัวเลือกแบบปกติอีกหนึ่งข้อสาหรับให้ผู้ตอบเขียนตอบที่เพิ่มเติม

ถา้ ตัวเลือกท่ีกาหนดใหน้ ้นั ยังไม่ตรงกับที่ตอ้ งการ เช่น

- ทา่ นนับถอื ศาสนาใด

( ) ศาสนาพุทธ ( ) ศาสนาครสิ ต์

( ) ศาสนาอสิ ลาม ( ) ศาสนาฮนิ ดู

( ) อนื่ ๆ (โปรดระบุ)........................................................

75

2) แบบทใี่ หผ้ ้ตู อบเลือกคาตอบไดห้ ลายคาตอบในแต่ละขอ้

เป็นคาถามที่แต่ละข้อตอบได้มากกว่าหนึ่งคาตอบ ทั้งนี้อาจจะมีตัวเลือกแบบ

ปลายปิดอกี หนง่ึ ขอ้ รวมอย่ดู ้วยก็ได้ เช่น

- หนงั สือพมิ พ์รายวันอะไรบ้าง ท่ีทา่ นอ่านเป็นประจา

( ) ไทยรัฐ ( ) เดลนิ วิ ส์

( ) ขา่ วสด ( ) สยามรัฐ

( ) มติชน ( ) บา้ นเมือง

( ) แนวหน้า ( ) ไทยโพสต์

( ) อ่นื ๆ (โปรดระบ)ุ .............................................

3) แบบทใ่ี หผ้ ูต้ อบจดั ลาดบั ความสาคญั

เปน็ คาถามที่ให้ผตู้ อบจัดลาดับความสาคัญของตัวเลือกที่กาหนดให้ จากท่ีสาคัญ

มากไปหานอ้ ย เรียงลาดับ โดยใส่หมายเลขตรงอันดับท่เี ปน็ จรงิ เชน่

- ท่านชอบอ่านหนงั สอื ประเภทใดมากที่สดุ และรองลงมาตามลาดับ (โปรดใส่

เลข 1, 2, 3 ลงในชอ่ งหนา้ ประเภทของหนงั สอื ทที่ า่ นชอบอา่ นมากน้อยตามลาดับ โดยเลข 1 หมายถึง

ชอบมากทส่ี ดุ )

( ) หนงั สือนวนยิ าย ( ) หนังสอื สารคดี

( ) หนงั สอื พมิ พร์ ายวนั ( ) หนังสือตาราวิชาการ

( ) อืน่ ๆ (โปรดระบ)ุ .............................................

4) แบบที่ใหผ้ ตู้ อบเติมคาสั้น ๆ ลงในช่องวา่ ง

- อาย.ุ ................ปี

- เกรดเฉลยี่ .............

3. โครงสรา้ งของแบบสอบถาม

แบบสอบถามแต่ละฉบับ ประกอบดว้ ยสว่ นสาคัญ 3 ส่วน ดังนี้
3.1 คาชแ้ี จงหรือจดุ มุ่งหมายของแบบสอบถาม

เป็นตอนแรกท่จี ะกล่าวถงึ จดุ มุง่ หมายของการสรา้ งแบบสอบถาม การนาผลไป

ใชป้ ระโยชน์ พร้อมทั้งคาแนะนาต่าง ๆ ในการตอบ ควรแสดงข้อความหรือคาม่ันสญั ญาท่ที าให้ผู้ตอบ
มคี วามมนั่ ใจวา่ ขอ้ มูลท่จี ะตอบน้ันจะไม่ถูกนาไปเปิดเผยและไม่มผี ลกระทบต่อผ้ตู อบ

3.2 ข้อมูลทวั่ ไปเกย่ี วกับสภาพผ้ตู อบแบบสอบถาม

เป็นส่วนทส่ี องทจ่ี ะถามเกี่ยวกับรายละเอียดส่วนตัวของบุคคล เช่น เพศ อายุ
สถานภาพ วฒุ กิ ารศกึ ษา ตาแหน่ง รายได้ เป็นต้น การทีจ่ ะถามข้อมลู สว่ นตวั ของบุคคลว่ามีอะไรบ้าง
ข้นึ อยกู่ ับจดุ ม่งุ หมายในการสร้าง

3.3 ขอ้ มลู เก่ียวกบั เร่อื งที่ถาม
เป็นหัวใจของแบบสอบถาม เนื่องจากเป็นตอนที่สอบถามในประเด็นต่าง ๆ

ตามทีต่ อ้ งการ โดยให้ผ้ตู อบตอบหรือแสดงความคิดเหน็

76

4. วธิ ีการสรา้ ง
4.1 ศึกษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั สิ่งทต่ี ้องการวัด

วิเคราะห์และสงั เคราะหเ์ น้ือหา เพ่ือนาไปกาหนดเป็นกรอบแนวคดิ ที่ชัดเจน
4.2 กาหนดนิยามศัพท์เฉพาะให้กบั สงิ่ ทตี่ ้องการวัดเพื่อเป็นกรอบในการสร้าง

แบบสอบถาม
4.3 กาหนดรูปแบบของแบบสอบถามวา่ จะสร้างโดยยดึ แนวคดิ ทฤษฎขี องใคร เชน่

ใช้วธิ ขี องลเิ คริ ์ท (Likert Scale) วิธขี องเทอร์สโตน (Turnstone) วธิ ีของออสกดู (Osgood) เปน็ ต้น ทั้งน้ี
การกาหนดรูปแบบคาถามแบบใดน้ัน จะต้องคานึงถึงความเหมาะสมของสิ่งท่ีต้องการวัด เพ่ือจะได้
ขอ้ มลู จากการตอบท่ีตรงกบั วตั ถุประสงค์ของการศกึ ษาด้วย

4.4 สร้างข้อคาถามตามรูปแบบที่กาหนดไว้ในข้อ 2 – 3 ข้อคาถามควรสร้าง
มากกว่าทต่ี อ้ งการจรงิ 3 หรือ 4 เท่า

4.5 นาแบบสอบถามไปใหผ้ ู้เชย่ี วชาญพจิ ารณาความสอดคล้องระหวา่ งเน้ือหาหรือ
ทฤษฎกี บั ข้อคาถามทสี่ รา้ งข้นึ แล้วนามาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Consistency : IOC)
โดยใช้สูตร

IOC  R


เมอ่ื IOC แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งเน้อื หาหรอื ทฤษฎกี บั ข้อความ
R แทน ผลรวมความคดิ เหน็ ของผ้เู ช่ียวชาญ
N แทน จานวนผเู้ ชีย่ วชาญ

หมายเหตุ : เกณฑ์การพจิ ารณาค่า IOC มคี ่า ≥ 0.50 ขน้ึ ไป
4.6 ปรับปรุงแก้ไชข้อคาถามที่ยังไม่สอดคล้องกับเน้ือหาหรือทฤษฎีของส่ิงท่ี
ตอ้ งการวดั
4.7 นาไปทดลองใช้ (Try – Out) กับกลุ่มท่ีมีลักษณะเหมือนกลุ่มตัวอย่าง ควรมี
จานวนมากพอ (30 คนขนึ้ ไป)
4.8 วิเคราะหห์ าคุณภาพรายข้อ และคณุ ภาพท้ังฉบับ

1) คณุ ภาพรายขอ้ ท่ีนยิ มหาคือวิธีกลุ่มรู้ชัด (สูตรและวิธีการคานวณจะอยู่
ในบทที่ 7) และวิธีหาความสัมพันธ์ ดังนั้นในที่น้ีจะกล่าวเฉพาะวิธีการหาความสัมพันธ์ ท่ีเรียกว่า
สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยใช้วิธีการหา
สัมประสิทธ์สิ หสมั พันธอ์ ย่างง่ายของเพียรส์ นั

77

  

2  2 2  2
  rxy 

เม่อื rxy แทน ค่าอานาจจาแนกรายข้อ

X แทน คา่ คะแนนรายขอ้
Y แทน ค่าคะแนนรวมท้ังฉบับของขอ้ ทเ่ี หลือ
N แทน จานวนผูเ้ ขา้ สอบ

วธิ ีการนี้อาศัยหลักการที่ว่าข้อคาถามแต่ละข้อในแบบสอบถามหรือแบบวัด
ควรวัดในเรื่องเดียวกัน ดังนัน้ คะแนนรวมจากการตอบรายข้อจึงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับคะแนน
รวมท้งั ฉบบั ถา้ คะแนนรวมจากการตอบรายข้อมีความสัมพันธ์ทางบวกกับคะแนนรวมอย่างมีนัยสาคัญ
แสดงว่าคาถามข้อนั้นมีอานาจจาแนก ในทานองเดียวกันถ้าคะแนนจากการตอบรายข้อไม่มี
ความสมั พันธห์ รอื สมั พันธ์เชงิ ลบกบั คะแนนรวมทั้งฉบบั แสดงว่าข้อคาถามน้นั ไมม่ อี านาจจาแนก

2) คุณภาพท้ังฉบับ โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟ่า ( - Coefficient)
ของครอนบาค (สตู รและวิธีการคานวณอยใู่ นบทท่ี 7)

4.9 ปรับปรงุ แก้ไขและจดั พมิ พเ์ ป็นฉบบั สมบรู ณ์
4.10 นาไปใชส้ อบถามกับกลมุ่ ตวั อย่างท่ีต้องการศกึ ษาจรงิ

5. รูปแบบของแบบสอบถาม
รูปแบบของแบบสอบถามที่นิยมใช้มีอยู่ 2 ชนิด คือ วิธีการของลิเคิร์ท (Likert

Scale) และวิธีการของออสกูด (Osgood) ดงั นี้
5.1 วิธกี ารของลิเคริ ์ท (Likert Scale)
มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น Sigma Scale. Likert type Scale, Mothod of

Summated Rating, Posteriori Approach สร้างขน้ึ ในปี 1932 โดย Rensis Likert เป็นมาตรวัดที่
ประกอบด้วยชุดข้อคาถามที่มจี ุดมุ่งหมายเพอื่ วัดความคดิ เหน็ ของบุคคลต่อเรื่องนั้น ๆ มีลักษณะการ
ถามวา่ เหน็ ดว้ ยกบั เร่ืองนน้ั ๆ หรือข้อความน้นั หรือไม่ มากน้อยเพียงใด มาตรวัดแบบลิเคิร์ท มาจาก
ความเชื่อพ้ืนฐานว่า “เชาวน์ปัญญาของคนเราจะมีการแจกแจงเป็นโค้งปกติ” ดังนั้น จึงใช้หน่วย
สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานเปน็ เกณฑใ์ นการประมาณความเขม้ ของเจตคติ

หลกั การสรา้ งข้อคาถาม ณฏั ฐภรณ์ หลาวทอง (2546) ไดก้ ลา่ วถึงข้อความที่
คัดเลอื กมาเป็นขอ้ คาถามในมาตราวดั ควรมีลกั ษณะดงั น้ี

1. ไมค่ วรเปน็ ขอ้ คาถามท่ยี าวเกินไป
2. มีความชดั เจนในข้อคาถาม ตรงประเด็น ตคี วามไดง้ า่ ย
3. เป็นข้อคาถามที่ถามในเชิงความคิดเห็น ความเชื่อและความรู้สึก ไม่ควร
เปน็ ขอ้ คาถามทีเ่ ปน็ ข้อเทจ็ จรงิ และเป็นปจั จุบัน

78

4. เป็นขอ้ คาถามทีม่ ีความคดิ สมบูรณ์เพยี งความคดิ เดียว
5. หลีกเลย่ี งข้อความทค่ี นส่วนใหญเ่ ห็นด้วยหรือไมเ่ ห็นดว้ ย

6. ควรประกอบด้วยขอ้ ความทางบวก (Positive Item) และทางลบ (Negative
Item) คละกนั อย่างละคร่ึงหรอื ใกลเ้ คยี งกนั

7. หลีกเล่ียงการใช้คาปฏิเสธ “ไม่” ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้คาที่มีความหมาย

คลา้ ยกันแทน
8. กาหนดระดับ (Scale) ของการตอบสนองในแต่ละข้อ ซึ่งมี 5 ระดับ

แบบต่อเน่ือง (Arbitrary Weighting Method) คือ เห็นด้วยอย่างย่ิง (Strongly Agree) เห็นด้วย

(Agree) ไมแ่ น่ใจ (An certain) ไมเ่ หน็ ด้วย (Disagree) และไม่เห็นดว้ ยอยา่ งยงิ่ (Strongly Disagree)
9. ควรมีจานวนไม่น้อยกว่า 20 ข้อ การให้คะแนนรายข้อ นอกจากจะ

เรยี งลาดับความเข้มของคุณลักษณะที่มุ่งวัดในเชิงบวกจากมากไปหาน้อยเป็น 5 4 3 2 1 แล้วหรือ

เปล่ยี นเป็น 4 3 2 1 0 หรือ 2 1 0 -1 -2 ก็ไดผ้ ลจะไม่แตกตา่ งกัน

ตวั อยา่ งท่ี 3.6 แบบสอบถามความคิดเห็นหรอื ความรสู้ ึกทม่ี ีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนกั เรยี น
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2

ระดับความคดิ เห็น

ขอ้ ความ เห็นดว้ ย เหน็ ด้วย เหน็ ดว้ ย ไม่เหน็ ไมเ่ ห็น
มากท่สี ดุ ปานกลาง ดว้ ยมาก ดัวยมาก
1. วิทยาศาสตรเ์ รยี นแล้วสนกุ
2. วิทยาศาสตร์เป็นสงิ่ ทน่ี ่าเบ่ือ ทส่ี ดุ
3. วทิ ยาศาสตร์เป็นวิชาท่ีทันสมัย
4. วิทยาศาสตร์เป็นวิชาท่ียาก
5. วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวชิ าทน่ี ่าสนใจ

5.2 วิธีการของออสกดู (Osgood)
Charies Osgood ได้พัฒนาแบบสอบถามจาแนกความหมายของคา

(Semantic Differential Scale) ขน้ึ ในปี 1957 โดยการใช้คาคุณศัพท์เป็นสิ่งเร้าเพ่ือให้ผู้ตอบแสดง
ความคดิ รวบยอดของส่งิ ตา่ ง ๆ ออกมา ซง่ึ ความคิดรวบยอดของสง่ิ ตา่ ง ๆ ประกอบไปดว้ ย 3 ด้านคือ

1. ด้านการประเมิน (Evaluation Factor) เป็นองค์ประกอบที่แสดงออกถึง

คุณคา่ หรอื คณุ ภาพ เชน่ สะอาด – สกปรก, ดี – เลว, หอม – เหมน็ , หวาน – เปรย้ี ว
2. ด้านศักยภาพ (Potential Factor) เป็นองค์ประกอบท่ีแสดงออกถึงวิธี

กิริยาอาการ เชน่ เลก็ – ใหญ่, แขง็ แรง – อ่อนแอ, หนัก – เบา, ลกึ – ต้ืน

3. ด้านกิจกรรม (Activity Factor) เป็นองค์ประกอบท่ีแสดงออกถึงกิริยา
อาการ เชน่ เร็ว – ช้า, รอ้ น – เยน็ , บาง – หนา, อ่อน – แขง็

79

ลักษณะโดยทั่วไปของแบบสอบถามจาแนกความหมายของคาคือ มี
คาคุณศพั ท์ขวั้ ตรงข้ามกันอยู่หลายคู่ต่อเป้าหมายของการวัดนั้นว่าใกล้เคียงกับคาคุณศัพท์ด้านหน่ึง

ดา้ นใดมากกว่ากัน โดยมกี ารให้คะแนน 2 แบบคอื คะแนนแบบบวกและคะแนนแบบลบ โดยช่วงการ
ให้น้าหนกั คะแนนแบง่ ออกเป็น 7 ช่วง ดงั ตัวอย่างที่ 3.7

ตัวอย่างท่ี 3.7 แบบสอบถามวดั เจตคตติ อ่ วิชาภาษาอังกฤษ

มีประโยชน์ 3 2 1 0 -1 -2 -3 ไรป้ ระโยชน์

สนกุ 3 2 1 0 -1 -2 -3 น่าเบื่อ

เกลียด -1 -2 -3 0 3 2 1 ชอบ

การแปลความหมายของแต่ละข้อ เหมือนวิธีการของลิเคิร์ท และในการแปล
ความหมายของความคิดเห็นต่อสง่ิ ตา่ ง ๆ จะรวมคะแนนทุกขอ้ ท่วี ัดในเรอ่ื งเดยี วกนั แลว้ หาค่าเฉลีย่ ซึง่
จะไดร้ ะดับความคิดเหน็ ของคนกลมุ่ นั้นทมี่ ตี ่อสง่ิ ทศ่ี ึกษา

6. ขอ้ ดแี ละข้อเสยี
6.1 ขอ้ ดี
1) เปน็ เครอ่ื งมือทีส่ ะดวก ประหยัด โดยเฉพาะเม่อื เทยี บกบั การสมั ภาษณ์

2) สามารถเกบ็ รวบรวมข้อมูลได้เรว็ และได้จานวนมาก
3) ในการตอบแบบสอบถาม ผู้ตอบจะพอใจมากกวา่ การสัมภาษณ์ โดยเฉพาะ
ข้อมูลบางอย่าง ผตู้ อบจะไมต่ อบถ้าไปสัมภาษณ์

4) งา่ ยตอ่ การนาขอ้ มลู ไปวเิ คราะห์ โดยเฉพาะสรุปผลได้ดีกวา่ วธิ ีอื่น เพราะ
ผูต้ อบแบบสอบถามจะตอบเปน็ แบบฟอรม์ เดยี วกัน

5) ผู้ตอบมีเวลาในการตอบอย่างเพียงพอท่ีจะหาคาตอบที่ตนแน่ใจจริง ๆ

ข้อมูลจึงอาจถกู ต้องมากกว่าการสัมภาษณ์
6) แบบสอบถามเม่ือไปถึงมือผู้ตอบในเวลาใกล้เคียงกัน ทาให้ได้รับข้อมูล

เกย่ี วกับความคิดเห็นจากผู้ตอบ ซึ่งคิดในเวลาใกล้เคียงกัน ความถูกต้องของข้อมูลจึงมีมากข้ึนกว่า

วธิ อี นื่ เพราะผตู้ อบแบบสอบถามจะตอบเป็นแบบฟอร์มเดยี วกนั
6.2 ข้อเสีย
1) ผู้ตอบจะตอ้ งเป็นผู้ท่อี ่านหนงั สืออก และเขยี นไดเ้ ท่านั้น

2) ผู้ตอบอาจจะไม่เข้าใจ ทาแบบขอไปทีเพ่ือให้เสร็จ ๆ ไป ทาให้ข้อมูล
ไดม้ าไม่มีประโยชน์

3) มักจะได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาน้อย ทาให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย

มากขน้ึ

80

4) ใชเ้ วลาเตรยี มการโดยเฉพาะถา้ ทาให้เป็นแบบสอบถามที่ดีจะใช้เวลาใน
การสร้างนาน

5) คาตอบบางคาถามอาจไม่รัดกุม ทาให้ผู้ตอบไม่เข้าใจตรงกับผู้สร้าง
แบบสอบถาม ทาใหไ้ ดข้ อ้ มูลผดิ พลาดจากความต้องการ

6) ถามไดจ้ ากดั เน่อื งจากถา้ ถามมากเกนิ ไป ผ้ตู อบจะเกดิ ความเบือ่ หน่าย
7) บางคนเบ่อื ตอบ เพราะได้รับแบบสอบถามบ่อย ๆ อาจทาให้ได้คาตอบ
ไมต่ รงตามจดุ มุง่ หมาย
8) แบบสอบถามท่ีได้รบั คืนมานนั้ ผวู้ ิจัยไมท่ ราบวา่ ใครเป็นผตู้ อบแบบสอบถาม
(จากการวิจัยพบว่า ประมาณ 10% ของแบบสอบถามที่ได้รับคืนเป็นแบบที่ตอบโดยผู้อื่น (ศราวุธ
จ้อนอยเู่ กษม. 2556 : Online)

การสมั ภาษณ์ (Interview)

การสัมภาษณ์ (Interview) หมายถึง การสนทนาหรือพูดคุยโต้ตอบกันอย่างมีจุดหมาย
ระหวา่ งผู้สัมภาษณ์ (Interviewee) และผู้ถูกสัมภาษณ์ (Interviewer) การสัมภาษณ์นอกจากจะได้
ขอ้ มูลตามท่ตี อ้ งการศกึ ษาแลว้ ยงั ไดท้ ราบขอ้ มูลดา้ นอื่น ๆ ของผู้ถกู สมั ภาษณ์ เช่น บคุ ลิกภาพ ท่วงที
วาจา อปุ นิสัย อารมณ์ ทัศนคติ ปฏภิ าณไหวพริบ เปน็ ต้น

1. ลกั ษณะทว่ั ไป
การสัมภาษณห์ รืการซักถาม เปน็ วิธกี ารวัดผลวิธหี น่ึงท่ีครนู ิยมใช้ในการดาเนินการสอน

ในชัน้ เรยี น วธิ ีการนีใ้ ชไ้ ด้ตง้ั แต่เดก็ เลก็ จนถงึ เด็กโต เช่น
- ในกรณีท่ีเป็นเด็กเล็กยังอ่าน เขียนไม่ได้ การซักถามด้วยคาพูด สามารถวัดความรู้

ความคดิ ของนกั เรยี นแทนการใช้แบบทดสอบได้ วธิ ีนี้อาจจะเรียกว่า เปน็ การสอบปากเปล่าก็ได้
- สาหรบั เด็กโตอาจใชก้ ารสมั ภาษณว์ ดั ผลการเรยี นของนกั เรียนในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น

ในห้องเรยี น โดยถามเป็นกลมุ่ หรือถามทงั้ หอ้ ง หรอื ถามเป็นรายบคุ คลขณะทาการสอน เพอ่ื ตรวจสอบ
ทบทวน ปะติดปะต่อเร่อื งราวทีส่ อนไปแลว้ เพือ่ เป็นแนวทางในการสอนต่อไป คาถามที่ถามอาจเป็น
คาถามส้นั ๆ เกยี่ วกบั เนือ้ หาท่ีเดก็ เรียนไปหรอื อาจถามปญั หาข้อขัดแย้งต่าง ๆ ท่ีเด็กมีอยู่เพื่อให้เกิด
ความเขา้ ใจท่ถี กู ต้อง ระหว่างครกู บั นกั เรียน

นอกจากนีย้ งั ใชใ้ นกรณีทตี่ ้องการทราบรายละเอยี ดลกึ ซ้ึงบางประการทไี่ ม่อาจวัดได้โดย
ใช้แบบทดสอบ เช่น ความหนักแน่นของน้าเสียงท่ีตอบและถ้าอยากทราบรายละเอียดต่อไปอาจ
ซกั ถามได้ โดยทีแ่ บบทดสอบทาไม่ได้ เชน่ ถา้ นักเรียนสงสยั หรือไมเ่ ข้าใจในเรอ่ื งท่ีเรียน ก็อาจใช้การ
ซักถามถึงสาเหตุท่ีทาให้นักเรียนสงสัยหรือไม่เข้าใจได้ หรือซักถามเพ่ือหาข้อมูลเกี่ยวกับความรู้สึก
ความตอ้ งการทอี่ ยู่ภายใน เพื่อหาทางชว่ ยเหลอื ในดา้ นการปรบั ตวั ของนักเรยี น

81

2. ประเภทของการสมั ภาษณ์
การสมั ภาษณแ์ บ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1 การสัมภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง (Structured Interview) เปน็ การสมั ภาษณ์ตาม

แบบสัมภาษณ์ทีก่ าหนดไว้ล่วงหน้าแลว้ เป็นแนวในการถาม กล่าวคือ ผู้สัมภาษณ์จะสัมภาษณ์ ผู้ถูก
สัมภาษณเ์ หมอื นกนั หมดทกุ คน การสัมภาษณแ์ บบนไี้ ม่คอ่ ยมีความยืดหยุ่น เพราะต้องถามตามแบบ
สัมภาษณ์ แตก่ ม็ ขี ้อดคี ือ จดั หมวดหมู่ข้อมูลได้งา่ ยและสะดวกในการวเิ คราะหข์ ้อมลู

2.2 การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Interview) เป็นการ
สัมภาษณ์ท่ีไม่ใช้แบบสัมภาษณ์ แต่จะต้องกาหนดแนวในการถามเอาไว้อย่างกว้าง ๆ การถามก็ไม่
จาเป็นต้องถามเหมือนกันหมดทุกคน แต่ผู้สัมภาษณ์จะต้องใช้เทคนิคและความสามารถเฉพาะตัว
เพ่ือใหไ้ ด้มาซง่ึ คาตอบจากผู้ถกู สัมภาษณ์ตามจดุ หมายท่ีต้องการศึกษา การสัมภาษณ์วิธีน้ีอาจให้ผู้ถูก
สัมภาษณแ์ สดงความรสู้ ึกหรอื ความคิดเห็นออกมาโดยอิสระ จะต้องมีความชานาญในการสัมภาษณ์
มากเป็นพเิ ศษ

ในทางปฏบิ ตั ิมักใชท้ ง้ั สองวธิ ีดังกลา่ วควบคู่กนั ไป เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมูลท่สี มบรู ณ์ทส่ี ดุ แต่
ทง้ั นขี้ นึ้ อยูก่ ับจุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์

3. หลกั การสมั ภาษณ์
การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่อาศัยความสามารถและความเชี่ยวชาญของบุคคลเป็นหลัก

ดังนั้นเพ่ือให้การสัมภาษณ์ได้ข้อมูลท่ีถูกต้องตรงความเป็นจริง ประกอบไปด้วย 3 ประการ คือ
(สุภางค์ จันทวานิช. 2550 : 82 – 84 ; สมนกึ ภัททิยธนี. 2551 : 35 – 36 ; พิชิต ฤทธ์ิจรูญ. 2552 :
75 – 76)

3.1 ก่อนสมั ภาษณ์
1) ทาความเข้าใจในสาระสาคัญและคาถามแต่ละขอ้ ว่ามจี ุดหมายอย่างไร เพื่อช่วย

ใหก้ ารสมั ภาษณ์อยู่ในขอบเขตที่ต้องการ
2) เตรียมอปุ กรณ์ทจ่ี าเปน็ เชน่ สมดุ บันทึก หรือเทปบันทกึ เสียง กลอ้ งถา่ ยรูป
3) ตดิ ต่อผถู้ ูกสมั ภาษณโ์ ดยการนดั หมายไวล้ ว่ งหน้า

3.2 ระหวา่ งสัมภาษณ์
1) กอ่ นเร่ิมสมั ภาษณ์ จะตอ้ งแนะนาตัวเอง และบอกจดุ มงุ่ หมายของการสัมภาษณ์

ใหช้ ดั เจน อาจมีการสนทนาเร่ืองทีผ่ ู้ถกู สัมภาษณ์สนใจ เพอ่ื สร้างความคุ้นเคยก่อน และหากต้องการ
บนั ทกึ หรือใช้เครื่องบนั ทึกเทป ควรขออนญุ าตผ้ถู ูกสัมภาษณ์กอ่ น

2) ควรถามทีละคาถาม หากผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่เข้าใจก็อธิบายคาถามหรืออาจต้ัง
คาถามใหม่ และควรใชเ้ วลาผู้ถกู สมั ภาษณ์ ไม่ควรเร่งรดั คาตอบ

3) ควรหลกี เลีย่ งคาถามทเ่ี ปน็ การช้ีแนะคาตอบ
4) ไม่ชแ้ี นะคาตอบหรือวิพากษว์ จิ ารณค์ าตอบในลักษณะสงั่ สอนผู้ถูกสัมภาษณ์
5) ผู้สัมภาษณ์จะต้องใช้ไหวพริบสังเกตผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วยว่า ณ เวลาน้ัน เต็มใจ
หรือลาบากใจทจ่ี ะตอบหรอื ไม่

82

6) ไมค่ วรเร่งรัดหรอื คาดคนั้ คาตอบจากผถู้ ูกสมั ภาษณ์ ควรใหอ้ ิสระในการตอบ แต่ตอ้ ง
ใหผ้ ถู้ ูกสมั ภาษณเ์ ข้าใจวา่ คาตอบท่เี ปน็ จรงิ คอื คาตอบท่ผี ้สู มั ภาษณ์ต้องการ

7) คาตอบบางคาตอบผู้ถูกสัมภาษณ์อาจจะไม่เต็มใจท่ีจะตอบตามความจริง เช่น
เร่อื งสว่ นตัว เรอ่ื งทีผ่ ถู้ กู สัมภาษณร์ ู้สกึ น่าละอาย เป็นปมด้อยหรอื เป็นจุดอ่อน เร่ืองท่ีคิดว่าตอบไปแล้ว
ตนเองจะเสยี ประโยชน์หรอื เป็นการทดสอบความรู้ ผู้สัมภาษณจ์ ะต้องระวังอย่าให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เกิด

ความรสู้ ึกดงั กลา่ ว เพราะอาจจะไดข้ ้อมลู ท่ีไม่ตรงกบั ความเปน็ จริง
8) กรณยี ังไมไ่ ดค้ าตอบทชี่ ัดเจนหรือเปน็ ท่พี อใจ เม่ือจบการสัมภาษณ์แล้ว อาจจะ

ยอ้ นถามกลบั มาถามในเชงิ ทบทวนคาถามแบบน้ี คาตอบแบบนใ้ี ชห่ รอื ไม่

9) เมื่อสัมภาษณ์เสร็จสิ้นแล้ว ควรกล่าวขอบคุณผู้ถูกสัมภาษณ์ท่ีให้ความร่วมมือ
เป็นอย่างดี

3.3 หลงั การสัมภาษณ์

1) ควรบันทึกทันทีหลังการสัมภาษณ์เสร็จแล้ว (กรณีท่ีบันทึกเทป ควรถอดเทป
ทันท)ี เพ่ือป้องกันการลมื

2) ควรบนั ทึกเฉพาะเน้อื หาจากการสัมภาษณ์เท่าน้ัน ไม่ควรใส่ความคิดเห็นของผู้

สัมภาษณ์ลงไปด้วย
3) ในการสัมภาษณถ์ า้ ไมไ่ ดค้ าตอบในคาถามใด ผู้สมั ภาษณค์ วรจะบนั ทกึ เหตุผลไวด้ ้วย
4) ตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมลู ในแบบสมั ภาษณ์กอ่ นการวิเคราะห์ผล

4. เครื่องมือที่ใช้ในการสมั ภาษณ์
เปน็ แบบสมั ภาษณ์ ดงั ตวั อย่างท่ี 3.8

ตวั อย่างท่ี 3.8 แบบสัมภาษณ์การเข้าค่ายคณุ ธรรมจริยธรรมของนกั ศกึ ษาปที ี่ 1 คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงใหม่

ตอนที่ 1 ขอ้ มูลทวั่ ไปของผู้ถกู สัมภาษณ์

1. เพศ ( ) ชาย ( ) หญงิ

2. อาย.ุ ..........ปี

3. สาขาวชิ าทเ่ี รียน....................................

ตอนที่ 2 คาถามเก่ยี วกบั การเขา้ รว่ มกิจกรรมคา่ ยคณุ ธรรมจริยธรรม

1. สถานทจ่ี ดั กจิ กรรมเหมาะสมเพียงใด

( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) นอ้ ย

2. รปู แบบการจดั กจิ กรรมในครง้ั นเ้ี หมาะสมเพยี งใด

( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย

3. ท่านได้รบั ความรู้หรือประโยชนจ์ ากการเขา้ ร่วมกิจกรรมมากนอ้ ยเพียงใด

( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย

4. ท่านคิดวา่ การจัดกจิ กรรมครง้ั น้คี วรปรับปรงุ แกไ้ ขอยา่ งไร

..........................................................................................................................................

................................................................................................................... .......................

83

5. ท่านคดิ ว่าควรมกี ารจดั กจิ กรรมอย่างนี้อกี หรือไม่ เพราะเหตใุ ด
....................................................................................................... ..................................
..........................................................................................................................................

6. ทา่ นคิดว่าถ้ามีการจัดกจิ กรรมลกั ษณะน้ีอีกควรเพ่มิ อะไรบา้ ง
........................................................................................................................................
.......................................................................................................................................

5. ข้อดีและข้อเสยี
5.1 ขอ้ ดี
1) การสัมภาษณ์ใช้ได้กับทุกคนทุกวัย ทุกเพศ และทุกระดับการศึกษา เพราะไม่

คานงึ ถงึ การอ่านออกเขียนได้
2) ให้ขอ้ มลู ทลี่ ะเอยี ด โดยเฉพาะกรณที ส่ี งั เกตไมเ่ หน็ อาจจะได้ข้อมูลเพ่ิมเติมจาก

การสัมภาษณ์
3) สามารถปรับคาถามให้ยืดหยุ่นได้ ทาให้สามารถซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ หรือ

คาตอบทีย่ ังไมช่ ัดเจนได้
4) สามารถใชก้ ารสัมภาษณเ์ ปน็ เคร่อื งตรวจสอบการวัดผลอืน่ ๆ

5.2 ข้อเสีย
1) การสมั ภาษณ์แต่ละครัง้ ต้องใช้เวลา แรงงาน และงบประมาณมาก
2) ตอ้ งใชผ้ ทู้ ม่ี ีความรคู้ วามสามารถในการสมั ภาษณเ์ ป็นอยา่ งมาก เพ่ือให้ได้ข้อมูล

เพราะผู้ถกู สัมภาษณม์ กั จะระวังตวั นึกวา่ เป็นเรอื่ งของราชการ
3) ถ้าไม่เตรียมคาถามล่วงหน้า จะมีความยุ่งยากในเรื่องการสรุปและแปล

ความหมายขอ้ มูลท่ไี ด้

แบบวดั สถานการณ์ (Situation Form)

เนอ่ื งจากการวัดตามลกั ษณะของลเิ คิรท์ มปี ญั หาในเร่ืองของการบดิ เบอื นคาตอบของผู้ตอบ
โดยพยายามปิดบงั ส่วนเสยี ของตัวเอง และอาจจะแสดงออกมาเฉพาะลกั ษณะที่ดี ทาใหผ้ ูต้ อบไม่แสดง
ลกั ษณะทแ่ี ทจ้ ริงของตนเองออกมา ไม่สามารถแกไ้ ขไดโ้ ดยตรง แบบวัดเชิงสถานการณ์จึงเป็นวิธีการวัด
อย่างหนึ่งที่จะสามารถทาให้ได้ผลการวัดที่ถูกต้องสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น มีผู้ให้ความหมายการวัดเชิง
สถานการณด์ ังน้ี

พชิ ติ ฤทธจิ์ รญู (2552) ให้ความหมายวา่ เป็นการจาลองสถานการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ข้ึน
เพ่อื ใหบ้ คุ คลแสดงความรู้สึกว่าตนเองจะกระทา หรอื มีความเหน็ อย่างไรต่อสถานการณท์ ีก่ าหนดขึ้น

ธนวัฒน์ ธติ ิธนานันท์ (2556 : 90) กล่าวว่า การวัดสถานการณ์ เป็นการจาลองหรือสร้าง
เร่ืองราวต่าง ๆ ข้ึน อาจอยู่ในรูปข้อความหรือภาพ แล้วเขียนคาถามเกี่ยวกับข้อความหรือภาพนั้น
เพ่ือให้ผู้สอบอ่านหรือพิจารณาดูก่อนว่าถ้าตนเองอยู่ในสถานการณ์น้ันมีความรู้สึกนึกคิด อารมณ์
กระทาหรือตัดสินใจอยา่ งไร

84

จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า การวัดสถานการณ์ หมายถึง การสร้างสถานการณ์
จาลองเรือ่ งราวต่าง ๆ ข้ึนอาจอยู่ในรูปของรูปภาพหรือข้อความ แล้วเขียนคาถามเกี่ยวกับข้อความ
หรอื ภาพน้ัน เพ่ือใหผ้ ูส้ อบอ่านหรือพจิ ารณาดกู อ่ นวา่ ถา้ ตนเองอย่ใู นสถานการณน์ ้ันมีความรู้สึกนึกคิด
อารมณ์ กระทาหรือตัดสนิ ใจอยา่ งไร

1. ลักษณะท่วั ไป
เปน็ แบบทดสอบวัดทกี่ าหนดเรือ่ งราว หรอื สถานการณส์ มมตุ ใิ หน้ ักเรียนอ่านแล้ว แสดง

ความรูส้ กึ ความคดิ เหตผุ ล โดยการเขียนตอบ หรือเลือกคาตอบจากตัวเลือกท่กี าหนดให้

2. สว่ นประกอบของแบบวดั สถานการณ์
แบบวัดสถานการณ์มสี ่วนประกอบ 3 สว่ นคอื (วิราพร พงศอ์ าจารย.์ 2542 : 116) ดังน้ี
2.1 สว่ นทเี่ ปน็ เรอื่ งราวหรือสถานการณท์ ก่ี าหนดเปน็ สว่ นท่ีให้บุคคลอ่านพิจารณา ซึ่งมกั

เป็นขอ้ ความ รูปภาพ หรือบทสนทนา
2.2 ส่วนทีเ่ ป็นคาถาม เป็นส่วนของคาถามซง่ึ จะถามเกีย่ วกบั ความคดิ เหน็ หรือความรู้สกึ

ทม่ี ตี อ่ สถานการณน์ ั้น ๆ
2.3 ส่วนทเ่ี ปน็ คาตอบ โดยมากมกั เปน็ คาตอบท่ไี ด้เตรียมไวแ้ ล้ว จานวน 4 – 5 ตัวเลือก

ซ่งึ คาตอบมักจะเปน็ คาตอบท่ีจะสะทอ้ นถงึ ระดบั จติ พสิ ยั ของนักเรียนในเรอื่ งน้ัน ๆ หรือบางทกี ็ตอบใน
ลักษณะการเขยี นแบบบรรยายแสดงความคดิ เห็นต่อเร่อื งนั้น ๆ

3. หลักการสรา้ งแบบวดั สถานการณ์
3.1 การสรา้ งสถานการณ์ควรเป็นปจั จุบนั และมลี ักษณะคล้ายคลึงกับสถานการณ์ท่ีพบ

ในชีวิตประจาวนั
3.2 สถานการณท์ ีก่ าหนดขึ้น มรี ูปแบบให้เลอื กหลายชนดิ อาจจะใชข้ ้อความ คาพูด คา

สนทนา บทประพันธ์ บทความ รูปประโยค จดหมาย ประกาศข่าว โฆษณาหรือรูปภาพแสดงการ
ทดลอง หรอื เปน็ ตารางตัวเลขสถติ หิ รอื กราฟเกี่ยวกับสง่ิ หนึ่งสง่ิ ใดกไ็ ด้ เพยี งแต่ควรเป็นสถานการณท์ มี่ ี
ความหมาย มแี งม่ มุ ใหค้ ิดพจิ ารณา และควรเป็นสถานการณท์ ีร่ ดั กมุ ไมย่ ืดยาวเกนิ จาเป็น เพื่อนาไปใช้
เป็นหลักในการตอบคาถาม

3.3 การถามควรถามแง่มมุ ทตี่ อ้ งคดิ และพจิ ารณา ไมค่ วรถามตรงสถานการณ์ท่ีกาหนด
หรือถามนอกสถานการณจ์ นเปน็ เรอื่ งทัว่ ไป ซ่ึงสามารถตอบได้โดยไม่ตอ้ งใชส้ ถานการณ์ที่ใหม้ า แตค่ วร
ถามใหเ้ กย่ี วพันหรอื อา้ งองิ เรือ่ ง สถานการณห์ รือพาดพงิ เรอื่ งราวน้ัน

3.4 การเขียนตัวเลือกของข้อสอบประเภทนี้ ควรให้คาที่ข้อความพาดพิงถึง พยายาม
หลีกเลี่ยงการใชต้ วั เลือกทีม่ ีคาตรงกับคาในขอ้ ความ แต่ถ้าจาเปน็ หรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรให้มีหลาย
ๆ ตวั ทใี่ ช้คาในขอ้ ความเพื่อใหด้ คู ลา้ ย ๆ กัน

3.5 สถานการณท์ ีใ่ ชถ้ ามจะตอ้ งไม่ลาเอยี งตอ่ ผสู้ อบกลุ่มใดโดยเฉพาะ

85

4. ขัน้ ตอนการสร้างแบบวดั สถานการณ์
4.1 กาหนดเนอื้ หา คณุ ลกั ษณะ พฤติกรรม ค่านยิ ม คณุ ธรรม จริยธรรม เจตคติ ท่ี

ตอ้ งการวดั หรอื ตรวจสอบใหช้ ัดเจน
4.2 เลือกขอ้ ความหรอื สถานการณ์ท่ีมีความเหมาะสมกับระดับความสามารถของ

ผ้เู รยี น
4.3 เขียนสถานการณ์และคาถาม โดยต้องถามตรงตามใจความในเน้ือหา หรือ

พฤตกิ รรมตามสถานการณ์นั้น
4.4 ทบทวนสถานการณ์ วา่ มีความเพยี งพอ และขอ้ คาถามเหมาะสม
4.5 นาไปทดลองใชแ้ ละปรับปรงุ แก้ไขหลังจากการทดลองใช้

5. การเขยี นสถานการณแ์ ละการเขียนคา
การเขียนสถานการณแ์ ละการเขยี นคาถาม มีดงั น้ี (เอมอร จงั ศริ พิ รปกรณ์. 2550)
5.1 การเขยี นสถานการณ์ ควรเลือกสถานการณท์ ีม่ ีความเป็นไปได้ และเกิดขน้ึ ไดจ้ ริงกบั

กลุ่มคนท่ีจะวัด ควรเขียนสถานการณท์ ไ่ี มร่ ุนแรงเกินไป หรือสร้างความเครียดมากให้กับผู้ตอบ เช่น
สถานการณ์ที่มีคนใกลช้ ิดตาย และสาระที่สาคัญในสถานการณ์จะต้องเพียงพอที่จะทาให้ผู้ตัดสินใจ
เลอื กในทางทีเ่ หมาะสม

5.2 การเขียนคาถาม ไม่ควรถามตรง ๆ แต่ควรถามเร่ืองทเ่ี กีย่ วพันกับสถานการณ์ และ
ไม่สามารถตอบไดถ้ า้ ไม่มีสถานการณ์กาหนด ควรเลือกคาถามทเี่ ปน็ ตัวแทนท่ีดีของเน้ือหาที่ต้องการถาม
ไมค่ วรถามเร่ืองปลีกย่อยทีไ่ ม่มคี วามสาคัญ และคาถามท่ีใชม้ ี 3 ลักษณะคือ ถามให้ประเมินสถานการณ์
เพ่ือตัดสินว่า ควร – ไม่ควร, ดี – ไม่ดี ถามให้การระบุแนวทางท่ีตนเองจะปฏิบัติ ถ้าเป็นบุคคลใน
สถานการณน์ ั้น และถามใหป้ ระเมินสถานการณ์และถามใหป้ ฏิบตั ิ

ตัวอย่างขอ้ สอบสถานการณ์
คาถามใหเ้ ลอื กปฏบิ ตั ิ : ถา้ ทา่ นมาไม่ทนั เวลาเรียนในคาบแรกท่ีผู้สอนเร่ิมกิจกรรม
การเรยี นการสอนแล้วครึง่ ช่วั โมง เพราะทา่ นต่นื สาย ทา่ นจะทาอย่างไร (เอมอร จงั ศริ ิพรปกรณ์. 2550)

1. เข้าเรียนตามปกติ แลว้ ให้เหตผุ ลทแ่ี ท้จรงิ ท่ีมาสายกับครูผสู้ อน
2. เข้าเรียนตามปกติ แลว้ ให้เหตผุ ลทท่ี าให้ครผู ู้สอนไมโ่ กรธ
3. ไม่เขา้ เรยี นเพราะจะทาให้ผูส้ อนเสยี ความรสู้ ึก
4. ไมเ่ ขา้ เรยี นเพราะการขาดเรยี นไมม่ ีผลตอ่ การใหค้ ะแนน
คาถามเพ่อื ประเมินสถานการณ์ : นายปกรณ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายปริญญา ได้พูด
กับนายปริญญาว่า “ปริญญา พรุ่งนี้เราไปปลูกต้นไม้ร่วมกับทางตาบลไหม” นักเรียนเห็นด้วยกับ
คาตอบของนายปรญิ ญาในข้อใด (วริ ัช วรรณรตั น์. 2539)
1. ไปซิ ไปช่วยทางการหนอ่ ย
2. ถ้าวา่ งกจ็ ะไป ฉันเองก็ชอบปลูกต้นไม้เหมอื นกัน
3. ไปซิ ฉนั จะปลูกให้มากเลย บ้านเราจะได้ไมแ่ ห้งแลง้
4. ไปซิ ฉนั จะชวนพอ่ แม่ และน้อง ๆ ทบี่ า้ นไปด้วย

86

คาถามให้เลอื กปฏิบัตแิ ละประเมินสถานการณ์ : ทา่ นมเี พื่อนหลายคนใส่เส้ือผ้าท่ีมี

ย่หี อ้ ดัง สวยงามและราคาแพง (วัชราภรณ์ จติ รมาศ. 2550)

มอี ารมณค์ วามรสู้ ึกอย่างไร คดิ อย่างไร จะทาอยา่ งไร

ก. น้อยใจ ก. เพอ่ื นใสก่ ด็ ดู ี ก. ทาตนตามปกติของเรา

ข. เฉย ๆ ข. ท่ีเรามีอยนู่ กี้ ด็ ีแล้ว ข. แสดงความช่นื ชมเพ่อื น

ค. อยากได้ ค. ทาไมเราไม่มบี ้างนะ ค. เก็บเงนิ ซอื้ เพื่อให้มเี หมือนเพ่ือน

ง. หมั่นใส้ ง. เพ่ือนฟมุ่ เฟอื ย ง. พยายามไม่สงุ สงิ กบั เพื่อนคนน้ี

6. ขอ้ ดแี ละข้อเสยี
6.1 ขอ้ ดี
1) แบบวัดสถานการณ์สร้างได้ยากกว่าแบบทดสอบชนิดอื่น จึงเป็นแบบทดสอบท่ีมี

คุณคา่ และมคี ณุ ภาพดกี วา่ แบบทดสอบชนิดอืน่ ๆ
2) สร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เข้าสอบทุกคน เพราะได้อ่านสถานการณ์เดียวกัน

ทัง้ หมดไมม่ ีใครไดเ้ ปรยี บหรือเสยี เปรยี บกัน

3) สามารถวดั ความรูข้ น้ั สูงทงั้ พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย และดา้ นจติ พิสยั
4) เร้าใจผตู้ อบให้ตดิ ตาม เพราะได้อ่านเร่ืองราวและไดค้ ดิ มากกวา่ แบบทดสอบ
ประเภทอื่น ๆ

5) เปน็ แบบทดสอบท่ไี ม่มีคาตอบถกู หรอื ผดิ ตายตวั จงึ ทาใหผ้ ้สู อบไมเ่ ครียดในการตอบ
6.2 ขอ้ เสยี

1) แบบวดั สถานการณส์ รา้ งได้ยากกว่าแบบทดสอบชนิดอ่นื ทง้ั สถานการณ์ คาถาม

และตวั เลือก
2) สถานการณ์หน่งึ ๆ ควรออกข้อสอบประมาณ 3 – 4 ข้อ จึงจะถือว่าคุ้มค่ากับ

การสรา้ งสถานการณ์

3) การเขยี นคาชแี้ จงต้องระวงั เปน็ พเิ ศษ และตอ้ งช้ีแจงให้ผู้สอบใช้สถานการณ์น้ัน
เปน็ หลักในการตอบแมว้ า่ จะผิดแปลกจากความเป็นจรงิ ก็ตาม

4) การกาหนดเกณฑใ์ นการให้คะแนนค่อนข้างทาไดย้ าก

5) ถา้ ออกขอ้ สอบสถานการณ์มากจนเกินไป ผสู้ อบตอ้ งอ่านสถานการณม์ ากจนเกดิ
ความเหน่อื ยหล้าและเบื่อหน่วยในการตอบ

สงั คมมิติ (Sociometry)

สังคมมิติ (Sociometry) เป็นการเก็บข้อมูลเก่ียวกับสถานะของเด็กท่ีศึกษาในกลุ่มเพื่อน
และศกึ ษาความสมั พันธ์ของสมาชิกในกล่มุ กอ่ นท่ีจะทาสงั คมมติ จิ ะตอ้ งปลอ่ ยให้เด็กได้ทาความรูจ้ ักกนั
สกั ระยะหน่งึ แลว้ จงึ จะกาหนดสถานการณเ์ พ่อื ทาสงั คมมติ ิ (วาโร เพ็งสวสั ด์.ิ 2551 : 223 – 225)

สังคมมติ ิ เป็นเครอ่ื งมือทใ่ี ชเ้ พอื่ พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างคนภายในกลุ่ม สภาพสังคม
ในกลุม่ บุคลิก ความสามารถ พฤตกิ รรมของคนภายในกลุ่ม โดยยึดหลักการว่าการอยู่ร่วมกันในกลุ่ม

87

เพอ่ื น ชัน้ เรียนเดียวกนั ทางานด้วยกนั เด็ก ๆ จะแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาโดยไมแ่ สแสรง้ เปน็
ธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างย่ิง พฤติกรรมทางด้านความสัมพันธ์ภายในกลุ่ม การมีปฏิกริยาต่อเพื่อนฝูง
ความรู้สึก เจตคติต่อเพื่อนคนใดคนหนึ่ง แววการแสดงออกซึ่งความสามารถ เพ่ือน ๆ ท่ีอยู่ในกลุ่ม
เดียวกันหรือช้ันเรียนเดียวกันจะเป็นผู้สังเกตเห็นได้มากกว่าครูผู้สอน เพราะในบางครั้งลักษณะ
พฤติกรรมบางอย่าง ผเู้ รยี นจะไมย่ อมแสดงออกมาให้ครเู หน็ ดงั น้ัน การรายงานข้อมูลต่างจากเพื่อน
ในกลุ่ม (Pear Report) จึงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสาหรับครูผู้สอน ซ่ึงจะช่วยให้เข้าใจ
พัฒนาการของเด็กทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม ความสามารถ หรือคุณลักษณะบาง
ประการไดด้ ียิง่ ข้นึ รวมท้งั การเหน็ ภาพของสงั คมในกลมุ่ ไดช้ ดั เจนอันจะนาไปสกู่ ารแก้ไข ปรบั ปรงุ หรอื
ส่งเสรมิ พฒั นาการของเด็กและสงั คมในห้องเรยี นใหส้ มบรู ณ์ยงิ่ ข้ึน (ปรยิ า นลิ แกว้ . 2547 : 98 – 99)

1. วธิ ีการทาสังคมมิติ
วิธีการทจ่ี ะได้ข้อมูลจากเพ่ือนในกลมุ่ หรอื ในสังคมห้องเรียนทาไดโ้ ดย
1.1 วิธีการต้ังคาถาม “ใครเอ่ย” (Guess who) วิธีการน้ีครูจะกาหนดคา

บรรยายลกั ษณะพฤติกรรมในรปู คาถาม “ใครเอ่ย” และใหผ้ เู้ รยี นระบชุ ือ่ เพ่ือในช้ันเรียนของตน หรือ
เพือ่ นในกลมุ่ ของตนซง่ึ มีลกั ษณะตามคาบรรยายนั้น ๆ เช่น

- ใครเอย่ ทีม่ นี ้าใจช่วยเหลือเพ่ือนเสมอ
- ใครเอ่ยทเี่ หมาะสมจะเปน็ ผนู้ ากลุ่มของเรา
- ใครเอย่ มักจะทาให้เพื่อนหัวเราะมากทส่ี ุด
- ใครเอ่ยทส่ี มควรจะเปน็ ตวั แทนของหอ้ งไปแข่งขนั ตอบปญั หาในงานวนั วิทยาศาสตร์
ฯลฯ
ลักษณะคาถามท่ีควรใช้เป็นคาถามในทางบวกมากกว่าคาถามในทางลบ เพราะ
คาถามในทางบวกจะไมท่ าใหผ้ ตู้ อบลาบากใจในการตอบ เป็นการแนะให้มองเพื่อนร่วมกลุ่มในทางท่ดี ี
สร้างความเป็นมติ ร สว่ นการวเิ คราะห์คาตอยทาได้อย่างง่าย โดยการนับจานวนความถ่ีจากรายชื่อที่
เปน็ คาตอยจากเพอ่ื น ๆ วา่ เป็นคนมลี กั ษณะพฤติกรรมตามคาบรรยาย ท้งั นีก้ ารตอบควรเขียนตอบลง
ในบัตร และคาตอบนคี้ รจู ะตอ้ งรกั ษาไวเ้ ปน็ ความลับ
1.2. วิธีการสรา้ งภาพสังคม (Sociogram) มีลาดบั ขน้ั ดงั นี้

1.2.1 ตั้งเป้าหมายท่ีต้องการจะศึกษาสภาพสังคมในด้านใดด้านหน่ึง และ
สรา้ งสถานการณห์ รอื คาถามให้สอดคลอ้ งกับเป้าหมายที่ต้องการศกึ ษา เพื่อให้สถานการณ์หรอื คาถาม
เป็นตัวเร้าให้ผู้เรียนแต่ละคนแสดงออกมา โดยเลือกเพ่ือนในกลุ่มสังคมนั้น ๆ ที่มีคุณสมบัติหรือ
ลักษณะพฤติกรรมตามสถานการณ์หรือคาถามน้นั ๆ เชน่

เป้าหมาย ตอ้ งการศกึ ษาลกั ษณะการจับกลมุ่ ทางานในห้องเรยี น
สถานการณ์ ในการทางานวิชานีเ้ ป็นงานกลมุ่ ต้องการแบ่งเปน็ กลุ่มละ

3 คน ทา่ นต้องการจะเลือกใครมารว่ มกลุม่ ทางานของทา่ น
1.2.2 จากสถานการณน์ ามาเขียนเปน็ คาถาลงในบัตรคาถาม เพื่อความสะดวกใน
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดงั ตวั อยา่ งท่ี 3.9

88

ตัวอยา่ งที่ 3.9 ให้นกั เรียนแตล่ ะคนเขียนชือ่ เพื่อนท่ีอยากทากิจกรรมกลมุ่ ดว้ ย เรยี งตามลาดับ
ความชอบมา 2 คน ลงในกระดาษแลว้ นามาสง่ ครู

ช่อื นักเรยี น.........................................ผเู้ ลือก
ช่ือเพือ่ นทอ่ี ยากทากจิ กรรมกลมุ่ ด้วย

อนั ดบั ท่ี 1...................................
อนั ดับท่ี 2..................................

บัตรคาถามน้ีมจี านวนเทา่ กบั จานวนนกั เรยี นในหอ้ งเรยี นนนั้ ๆ

1.2.3 เก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยแจกบัตรคาถามท่ีเตรียมไว้ให้กับผู้เรียนทุกคนใน

ห้องใหอ้ า่ นคาถามแล้วตอบในเวลาอนั สั้น หลังจากอธบิ ายวิธกี ารตอบจนเขา้ ใจ
1.2.4 นาขอ้ มูลทไ่ี ดม้ าสร้างตารางสังคมมติ ิ (Sociometry) โดยกรอกข้อมูลลง

ในตาราง ดังตวั อย่างท่ี 3.10

ตัวอยา่ งท่ี 3.10 ตารางแสดงการเลือกเพือ่ นที่อยากทากิจกรรมกลมุ่ ดว้ ย

ผู้ได้รบั เลอื ก 1. สมศรี
2. ิวหค
ผ้เู ลือก 3. ไพ ูฑรย์
4. ีวรชา ิต
1. เด็กหญงิ สมศรี 5. จินตนา
2. เด็กชายวหิ ค
3. เด็กชายไพฑูรย์ 12- -
4. เดก็ ชายวรี ชาติ
5. เด็กหญงิ จนิ ตนา 1 2--
เลอื กอนั ดับแรก
เลือกอันดับสอง 12 --

รวมถกู เลอื กทง้ั หมด 1- - 2

21- -

32- - -

112 - 1

432 - 1

1.2.5 สรา้ งภาพสังคมสมั พันธ์ (Sociogram) โดยนาข้อมูลจากตารางสังคมมิติ
มากาหนดสัญลักษณ์และสร้างภาพสังคมสมั พนั ธ์ใหเ้ ห็นชดั เจน ดังน้ี

89

สมศรี วิทยา

จนิ ตนา

ไพฑูรย์ วีรชาติ

แทน เดก็ ชาย
แทน เดก็ หญิง
แทน การเลือกอนั ดบั 1
แทน การเลือกอนั ดบั 2
แทน การเลือกซึ่งกันและกนั อนั ดบั 1
แทน การเลือกซ่งึ กนั และกนั อนั ดบั 2

ภาพท่ี 3.1 แผนผงั สังคมมิติแสดงการเลอื กเพื่อนในการทากิจกรรมกลมุ่

1.2.6 แปลความหมายจากภาพสังคมสัมพันธ์ โดยภาพสังคมสัมพันธ์ที่ได้จะ
สะทอ้ นใหเ้ หน็ โครงสรา้ งของสังคมในกลมุ่ หอ้ งเรียนดา้ นการจับกลมุ่ ทางานดังน้ี

1) ผู้ท่ีได้รับเลือกจากเพื่อนมากท่ีสุดจากตารางท่ีมีคะแนนรวมสูงสุดคือ
เด็กหญิงสมศรี

2) ผทู้ ่เี ลอื กซง่ึ กันไดแ้ ก่
2.1) เลอื กซง่ึ กันและกนั อันดบั 1 คือ เด็กหญิงสมศรี กับ เด็กชายวิหค
2.2) เลอื กซง่ึ กนั และกันอันดบั 2 คือ เด็กชายไพฑรู ย์ กบั เดก็ ชายวิหค
2.3) เลือกซี่งกันและกันต่างอันดับ มี 1 คู่ คือ เด็กชายไพฑูรย์ เลือก

เดก็ หญิงสมศรี อันดบั 1 แต่ เด็กหญงิ สมศรี เลอื ก เดก็ ชายไพฑรู ย์ อันดบั 2
3) ลักษณะโครงสรา้ งของกลุ่มจากแผนผังสังคมมติ มิ ีการแบ่งเป็นกลุ่มย่อย

และสมาชิกมีความสมั พันธก์ ันภายในกล่มุ อยา่ งทัว่ ถึง
4) ผู้ถูกทอดท้ิงหรือผู้ที่ไม่ได้รับเลือกจากสมาชิกคนอ่ืนเลย แต่เขาเลือก

สมาชกิ คนอ่นื จากตารางและแผนผงั สงั คมมติ ิ ไดแ้ ก่ เดก็ ชายวรี ชาติ
5) ผแู้ ยกตัวเองตามลาพังอยา่ งโดดเดยี่ วโดยไม่ยอมเลอื กใคร และไม่มีใคร

เลือกเขาเลย จากแผนผงั สงั คมมติ ไิ ม่ปรากฏสมาชกิ ท่อี ยใู่ นสภาพเช่นนี้

ผลสรุปจากการทาสงั คมมติ ิแต่ละคร้ังไม่ควรนามาเปิดเผย แต่จะเป็นแนวคิดสาหรับครูใน
การจดั กลุ่มทากิจกรรม เลือกกลุ่มบุคคลเพ่ือทากิจกรรม จัดที่นั่งในห้องเรียน เป็นต้น เพื่อส่งเสริม
พัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเดก็ ได้เปน็ อยา่ งดี ดังนน้ั ครผู สู้ อนควรใช้วธิ กี ารอ่นื ๆ ประกอบการทาสังคมมิติ
เพอ่ื ให้ได้ขอ้ มลู มาสนบั สนนุ ผลท่ีได้จากการทาสังคมมิติ อย่างเชน่


Click to View FlipBook Version