242
วิธีทา จากขอ้ มลู ท่ีกาหนดให้
คนท่ี คะแนนสอบครงั้ ที่ 1 คะแนนสอบคร้ังท่ี 2 X2 Y2 XY
(X) (Y)
1 12 10 144 100 120
2 11 9 121 81 99
3 13 12 169 144 156
4 15 14 225 196 210
5 16 17 256 289 272
6 12 12 144 144 144
7 14 11 196 121 154
8 18 14 324 196 252
9 13 11 169 121 143
10 15 12 225 144 180
รวม 139 122 1973 1536 1730
จากสูตร r ()()
2 2 2 2
r (10x1730) (139)(122)
(10x1973) (139)2 (10x1536) (122)2
แทนคา่
r 0.78
แสดงว่า แบบทดสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ มีความเชอื่ มัน่ เทา่ กบั 0.78
243
ตวั อยา่ งที่ 7.14 จงหาค่าความเช่อื มั่นของแบบทดสอบวิชาคณิตศาสตรข์ องนกั เรียน
จานวน 10 คน ที่สอบ 2 ครงั้ จากขอ้ มลู ต่อไปนี้
คนท่ี ผลการจัดอันดับครั้งที่ 1 ผลการจัดอันดบั ครง้ั ท่ี 2 D D2
1 1
15 4 1 1
1 1
23 2 2 4
1 1
37 6 0 0
-1 1
49 7 -2 4
-2 4
5 10 9 -1 1
18
61 1 D 2
74 5
86 8
98 10
10 2 3
แทนคา่ 6D2
2 1
1
6x18
102
1
10 1
0.89
แสดงว่า ขอ้ สอบวิชาคณติ ศาสตรม์ คี วามเชื่อมั่น เทา่ กบั 0.89
2.1.2 การหาความเช่ือม่ันด้วยการใช้แบบทดสอบท่ีคล้ายกัน (Equivalent –
forms reliability)
แบบทดสอบทค่ี ลา้ ยกันคือ แบบทดสอบ 2 ฉบับ ทีม่ ีลกั ษณะตอ่ ไปน้เี หมือนกนั
คอื วดั เนอ้ื หาเดยี วกัน จานวนข้อ คา่ สถติ ิตา่ ง ๆ คาชแ้ี จงการสอบ การให้คะแนนและการแปลผล
ข้นั ตอนในการหาความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบท่คี ลา้ ยกนั มดี งั น้ี
1. นาแบบทดสอบท่คี ล้ายกนั 2 ฉบับ ไปสอบกับนกั เรยี นกลุ่มเดยี ว ในเวลา
เดียวกนั หรอื ในเวลาทใ่ี กล้เคียงกนั มากทส่ี ุด
2. หาความสัมพันธ์ของคะแนนจากแบบทดสอบท้ัง 2 ฉบับโดยใช้สัมประสิทธ์
สหสัมพันธ์ของเพยี ร์สนั
3. สรุปความเช่ือมั่นของแบบทดสอบ ถ้ามีค่าสูงแสดงว่าแบบทดสอบที่
คลา้ ยกนั มคี วามเชอ่ื มนั่ อยใู่ นระดบั ดี
244
การหาความเช่ือมั่นด้วยวิธีน้ีมีข้อดี คือ ป้องกันการจาข้อสอบจากสอบคร้ังแรก
แลว้ นาไปตอบในการสอบครั้งท่ีสอง ซ่งึ เป็นการแกป้ ญั หาของการหาความเชอื่ ม่ันด้วยวิธีสอบซ้า แต่มี
ขอ้ จากัด คอื การสรา้ งข้อสอบใหม้ คี วามคลา้ ยกนั น้นั ทาได้ยาก
2.1.3 การหาความเช่อื มั่นแบบแบ่งครงึ่ แบบทดสอบ (Split-half Reliability)
เปน็ การหาความเชอ่ื มัน่ ของความสอดคลอ้ งภายในของแบบทดสอบ วิธีนี้มี
ข้อดีตรงท่ีสามารถปอ้ งกันความคลาดเคลื่อนจากการวัด เช่น ความแตกต่างในเวลาสอบที่เกิดข้ึนกับ
การสอบแบบสอบซา้ เปน็ ตน้ นอกจากนีว้ ธิ ีน้ยี งั เหมาะสาหรับแบบทดสอบทมี่ คี วามยาวมาก ๆ ดว้ ย
ข้นั ตอนในการหาความเชอ่ื มัน่ แบบแบ่งครงึ่ แบบทดสอบ ดงั น้ี
1. แบ่งครึ่งแบบทดสอบ หรือแบ่งเป็นแบบทดสอบฉบับย่อย ๆ เช่น การ
แบง่ ครงึ่ ฉบับ การแบง่ เปน็ ขอ้ คี่ – ขอ้ คู่ เปน็ ตน้
2. ตรวจใหค้ ะแนน โดยแบ่งคะแนนเป็น 2 ชดุ ตามวิธีการแบ่งในขอ้ 1
3. หาความสัมพันธข์ องคะแนนทัง้ 2 ชุด โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ
เพียร์สัน
4. สรุปผลความเช่ือมั่นของแบบทดสอบ ถ้าค่าสัมประสิทธิ์สูง แสดงว่า
แบบทดสอบน้นั มคี วามเชอื่ ม่ันสูง
สาหรับวิธีการแบ่งแบบทดสอบน้ัน มีหลายวิธีท่ีนิยมมากท่ีสุด คือ ข้อคู่ –
ข้อคี่ วิธกี ารแบง่ มดี ังน้ี (สมมติว่าข้อสอบมี 20 ขอ้ ) คอื ข้อคี่ ได้แก่ 1,3,5,7,9,11,13,15,17,19 ฉบับที่
2 คือ ข้อคู่ ได้แก่ 2,4,6,8,10,12,14,16,18,20 โดยฉบับท่ี 1 และฉบับท่ี 2 วัดเนื้อหาเดียวกัน และมี
ความยากง่ายใกลเ้ คียงกนั
ถ้าตอ้ งการแบ่งคร่ึงข้อสอบ โดยฉบับท่ี 1 คือ ข้อ 1 – 10 ฉบับท่ี 2 คือข้อ
11 – 20 ข้อสอบข้อ 1 -10 และข้อสอบ 11 – 20 ต้องวัดเนื้อหาเดียวกัน และยากง่ายใกล้เคียงกัน
แตถ่ ้าข้อสอบ 1 – 10 เป็นข้อสอบเก่ียวกับเศษส่วนท้ังหมด ส่วนข้อ 11 – 20 เป็นข้อสอบเก่ียวกับ
ทศนิยมทัง้ หมด ดงั นนั้ จะแบง่ โดยวิธแี บง่ ครง่ึ ขอ้ สอบไม่ได้
เนอื่ งจากแบบทดสอบท่ีมีจานวนมาก ๆ แนวโนม้ คา่ ความเชื่อม่ันจะสูง การ
แบง่ ครง่ึ ข้อสอบเป็นเพียงแค่หาความเชือ่ มั่นเพียงครงึ่ ฉบบั เทา่ นนั้ จงึ ต้องมีการปรบั แก้คา่ ความเชือ่ มน่ั ใหม่
โดยใช้สตู รของสเปยี ร์แมน บราวน์ (Spearman-Brown) ดังนี้ (Gay. 1990 : 139)
rtt 2rhh
1 rhh
เม่ือ rtt แทน ความเชือ่ มนั่ ของแบบทดสอบทง้ั ฉบบั
rhh แทน ความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบครึง่ ฉบับ
245
ตวั อย่างท่ี 7.15 แบบทดสอบฉบับหนง่ึ มี 50 ขอ้ แบง่ เป็นขอ้ ค่ี – ขอ้ คู่ อยา่ งละ 25 ข้อ
คา่ ความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบคร่ึงฉบบั = 0.80 จงหาความเชอ่ื มั่นทัง้ ฉบบั
แทนคา่ rtt 2rhh
1 rhh
2(.80)
1 (.80)
0.89
แสดงว่า ความเชื่อมัน่ ของแบบทดสอบท้งั ฉบบั เทา่ กบั 0.89
ขอ้ สงั เกต การหาค่าความเช่ือมน่ั แบบแบง่ คร่ึงของแบบทดสอบ จะให้ความเช่ือม่ันสูงกว่า
วิธอี ืน่
2.1.4 การหาความเชอ่ื มน่ั โดยใช้วิธีการของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson
Method)
การหาค่าความเช่ือมั่นวิธีน้ี จะใช้แบบทดสอบฉบับเดียวไปทดสอบกับ
ผสู้ อบครั้งเดียว โดยมกี ารใหค้ ะแนนเป็นระบบ 0 – 1 คอื ตอบถกู ให้ 1 คะแนน ตอบผดิ ให้ 0 คะแนน
สูตรของคูเดอร์-ริชารด์ สัน มี 2 สตู รคอื KR-20 และ KR-21 คือ (Eble and Frisbe. 1986 : 77 – 78)
สตู ร KR-20 : rtt K 1 1 pq
K S2
เมอื่ rtt แทน คา่ ความเชอื่ มน่ั ของแบบทดสอบ
K แทน จานวนข้อสอบ
p แทน สัดส่วนของผทู้ าถูกในขอ้ หนง่ึ ๆ เทา่ กบั จานวน
คนทาถกู หารด้วยจานวนคนสอบทัง้ หมด
q แทน สัดส่วนของผทู้ าผิดในข้อหนงึ่ ๆ หรอื 1 - p
S2 แทน คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบ
สตู ร KR-21 : rtt K 1 1 (k )
K Ks 2
246
เมื่อ rtt แทน ค่าความเช่อื มั่นของแบบทดสอบ
K แทน จานวนข้อสอบ
แทน คะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบ
S2 แทน คะแนนความแปรปรวนของแบบทดสอบ
ข้อสงั เกต สูตร KR-21 จะใหค้ ่าต่ากวา่ ทีค่ วรจะเปน็ ไมเ่ หมาะสาหรบั แบบทดสอบ
ที่มีข้อสอบที่ง่ายมาก ๆ หรือยากมาก ๆ (บุญเรียง ขจรศิลป์. 2543 : 58) และจะใช้ สูตร KR -21
เมอ่ื มคี า่ ความยากในแต่ละข้อ ต้องเท่ากนั (Fraenkel and Wallen. 1993 : 149)
ตัวอยา่ งท่ี 7.16 จงหาความเชอ่ื มนั่ ของแบบทดสอบ โดยใชส้ ูตร KR-20 และ KR-21
จากการนาแบบทดสอบวชิ าคณิตศาสตร์ จานวน 10 ขอ้ ไปทดสอบกบั นกั เรยี น 10 คน ดังน้ี
คน/ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 X X2
1 1 1 1 1 1 1 1 1 0 1 9 81
2 1 1 1 1 1 1 1 0 0 1 8 64
3 1 1 1 1 1 0 1 0 0 1 7 49
4 1 1 1 1 1 0 0 0 0 1 6 36
5 1 1 1 1 1 0 0 0 0 0 5 25
6 1 1 1 1 0 1 0 1 0 0 6 36
7 1 1 1 1 1 0 0 0 1 0 6 36
8 11010000003 9
9 1 1 0 1 0 0 0 0 1 0 4 16
10 1 1 0 0 0 0 0 0 0 1 3 9
รวม 10 10 7 9 6 3 3 2 2 5 57 361
P 1 1 0.7 0.9 0.6 0.3 0.3 0.2 0.2 0.5
q 0 0 0.3 0.1 0.4 0.7 0.7 0.8 0.8 0.5 pq 1.53
pq 0 0 0.21 0.09 0.24 0.21 0.21 0.16 0.16 0.25
วิธีทา pq = 1.53 , = 57, 2 = 361 , = 5.7
คานวณค่า s2 2 ()2
2
s2 (10x361) (57)2 = 3.61
102
247
คานวณหาคา่ ความเชอื่ มนั่ ด้วยสตู ร KR-20
rtt KK 1 1 qp
S2
10 1 1.53
10 1 3.61
0.64
คานวณหาค่าความเชอื่ มั่นด้วยสตู ร KR-21 (ใช้โจทยจ์ ากตวั อยา่ งท่ี 5.13)
rtt K 1 (k )
K 1 Ks 2
10 1 5.7x(10 5.7)
10 1 10x3.61
0.357
2.1.5 การหาความเชอ่ื มั่นด้วยวธิ ีหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค
(Cronbach alpha coefficient)
การหาความเชื่อม่ันของแบบทดสอบอัตนัยท่ีให้คะแนนไม่เป็น 1 กับ 0
แต่อาจจะให้คะแนนข้อละ 5 คะแนน หรือข้อละ 10 คะแนน หรืออาจเป็นอย่างอ่ืน จะใช้สูตรของ
ครอนบาค (Cronbach) หรอื สัมประสทิ ธแ์ิ อลฟา ( - Coefficient) ดังนี้
K 1 si2
K 1 st2
เมือ่ แทน ค่าความเชือ่ มั่นของแบบทดสอบ
K แทน จานวนข้อสอบ
si2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนแตล่ ะข้อ
st2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนทงั้ ฉบับ
248
ตัวอย่างท่ี 7.17 จงหาความเช่ือม่ันของแบบทดสอบแบบอัตนัย จานวน 10 ข้อ ให้
คะแนนเต็มข้อละ 5 คะแนน สอบนกั เรียน 10 คน ไดค้ ะแนนดังผลตาราง
คนท่ี 1 2 3 4 ข้อที่ 7 8 9 10 X2 Y2
56
1 5 5 4 4 5 5 4 5 4 5 44 1936
2 4 5 4 3 4 4 5 5 5 1 40 1600
3 5 3 5 3 3 4 4 2 4 2 35 1225
4 3 2 5 4 2 3 4 3 3 3 32 1024
5 4 2 4 3 4 5 4 4 3 4 37 1369
6 2 3 3 4 2 4 4 3 3 3 31 961
7 3 4 2 2 3 3 5 4 3 4 33 1089
8 5 4 4 4 4 4 3 5 4 5 42 1764
9 4 3 1 3 3 1 4 4 3 4 30 900
10 3 2 3 1 4 5 3 5 3 3 32 1024
38 33 35 31 34 38 40 40 35 32 356 12892
2 145 117 128 104 108 133 155 145 118 105 10.79
st2 1.07 1.34 1.61 0.99 0.93 1.51 0.44 1.11 0.50 1.29
คานวณค่า s2 2 ()2
2
s2 (10x12892) (356)2 = 21.84
10x10
si2 = 1.07 + 1.34 + 1.61 + 0.99 + 0.93 + 1.51 + 0.44 +
1.11 + 0.50 + 1.29
= 10.79
คานวณหาค่าความเชื่อมน่ั
K 1 1 si2
K st2
1010 1 1 10.79
21.84
= 0.562
249
2.2 การหาความเชอื่ ม่นั ของแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์
การหาความเชอ่ื ม่ันของแบบทดสอบองิ เกณฑ์ มหี ลายวิธี ในท่ีนีข้ อเสนอ 2 วธิ ีคอื
2.2.1 ความเชอ่ื ม่ันแบบความสอดคล้องในการตัดสินใจ (Decision consistency
reliability)
เปน็ การหาความเช่ือมั่นโดยนาแบบทดสอบฉบับเดียวทดสอบกับนักเรียน
กลมุ่ เดยี ว แต่สอบ 2 คร้งั หรอื ใชแ้ บบทดสอบคู่ขนานกัน 2 ฉบับ ทดสอบกับนักเรียนกลุ่มเดียวมีวิธี
คานวณ 2 วิธี คือ
1) วธิ ขี องคาร์เวอร์ (Carver method)
ฉบบั ท่ี 1 สอบผ่าน สอบไม่ผา่ น
ฉบับท่ี 2
a b
สอบผา่ น d c
สอบไมผ่ ่าน
สูตรคานวณคาถามความเช่อื มัน่
r a c
N
เม่ือ r แทน คา่ ความเชอ่ื มั่นของแบบทดสอบ
a แทน จานวนคนที่สอบผ่านท้ังฉบบั ท่ี 1 และฉบบั ท่ี 2
b แทน จานวนคนทส่ี อบไมผ่ ่านทงั้ ฉบับที่ 1 และฉบบั ที่ 2
N แทน จานวนคนสอบทัง้ หมด (N = a + b + c + d)
ตวั อย่างที่ 7.18 จงหาคา่ ความเชือ่ มัน่ ของแบบทดสอบ ซงึ่ เป็นแบบทดสอบคขู่ นาน 2 ฉบบั
ฉบบั ละ 10 ข้อ มีผ้เู ข้าสอบ 10 คน ปรากฏดงั ตาราง (ถ้ากาหนดคะแนนจุดตดั 5 คะแนน)
คนท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
ฉบบั ท่ี 1 5 6 7 4 3 9 6 6 8 8
ฉบับที่ 2 4 4 5 4 5 7 7 7 8 9
วิธที า
1. จัดขอ้ มูลลงในตาราง ดงั นี้
ผูส้ อบผา่ นท้งั 2 ฉบบั (a) มี 6 คน คือ คนที่ 3,6,7,8,9 และ 10
ผูส้ อบผ่านฉบบั ท่ี 1 แต่สอบไม่ผ่านฉบบั ที่ 2 (b) มี 2 คน คือ 1 และ 2
ผสู้ อบไมผ่ ่านท้งั 2 ฉบับ (c) มี 1 คน คอื คนที่ 4
ผสู้ อบไมผ่ ่านฉบบั ท่ี 1 แต่สอบผ่านฉบับที่ 2 (d) มี 1 คน คือ คนท่ี 5
250
ฉบบั ท่ี 1 สอบผา่ น สอบไมผ่ า่ น
ฉบบั ที่ 2
6 2
สอบผ่าน 1 1
สอบไม่ผา่ น
2. คานวณหาค่าความเชอื่ มน่ั
r a c
N
6 1 = 0.70
10
ดังนนั้ ค่าความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบองิ เกณฑ์ เทา่ กบั 0.70
2) วิธขี องแฮมเบลิ ตันและโนวิก (Hambleton and Novick method)
การหาความเชื่อมนั่ วิธีน้ี จะนาแบบทดสอบฉบับเดียวกันสอบ 2 ครั้ง
หรอื ใช้แบบทดสอบคู่ขนาน 2 ฉบับ ทดสอบกับนกั เรียนกลุ่มเดียว
ฉบับท่ี 2 (หรอื การสอบครั้งท่ี 2)
ฉบับท่ี 1 สอบผา่ น สอบไมผ่ ่าน
(หรือการสอบคร้ังที่ 1)
สอบผ่าน P11 -
สอบไมผ่ า่ น - P22
P0 = P11 + P22
เมอ่ื P0 แทน ความเชอ่ื ม่นั ของแบบทดสอบ
P11 แทน สัดส่วนของผูร้ อบรทู้ ส่ี อบผ่านทั้ง 2 ครง้ั หรอื 2 ฉบับ
P22 แทน สัดส่วนของผู้ไมร่ อบรทู้ ีส่ อบไมผ่ า่ นท้ัง 2 ครั้ง หรอื 2 ฉบับ
ตัวอย่างท่ี 7.19 จงหาความเช่ือม่ันของแบบทดสอบ จากการนาแบบทดสอบไปสอบ
นักเรยี น 40 คน จานวน 2 ครั้ง ปรากฏวา่ ผสู้ อบผ่านทงั้ สองคร้ังมี 25 คน ผทู้ สี่ อบไมผ่ ่านทง้ั สองคร้งั
มี 4 คน
วิธที า จากสตู ร P0 = P11 + P22
11 25 = 0.63
40
22 4 = 0.10
40
251
แทนค่า P0 = 0.63 + 0.10 = 0.73
ดงั นัน้ แบบทดสอบฉบบั น้ีมคี า่ ความเช่อื มัน่ เทา่ กบั 0.73
2.2.2 ความเชื่อมั่นแบบทดสอบ จากการทดสอบเพียงครั้งเดียวตามวิธีของ
โลเวตต์ (Lovett method)
เปน็ การหาความเชื่อมน่ั โดยใช้แบบทดสอบฉบับเดยี ว ทดสอบนักเรียนครั้ง
เดยี ว แล้วคานวณหาค่าความเชื่อมั่น จากสูตรต่อไปนี้ (เพลินพศิ ธรรมรตั น.์ 2542 : 174)
r 1 (k ki i2
1)(i C)2
เม่อื r แทน ค่าความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบ
k แทน จานวนขอ้ สอบของแบบทดสอบ
i แทน คะแนนสอบของนักเรียนแตล่ ะคน
C แทน คะแนนจุดตัด
ตัวอย่างที่ 7.20 จงหาความเชื่อมั่นของแบบทดสอบฉบับหนึ่ง จานวน 10 ข้อ นาไป
ทดสอบกับนักเรียน 10 คน ปรากฏผลดังตาราง (คะแนนจุดตัดหรือคะแนนการสอบผ่านต้ังแต่ 5
คะแนนขน้ึ ไป)
วธิ ีทา
นักเรยี น คะแนน (X1) i2 X1 – C (X1 – C)2
8
1 6 64 39
2 9 36
3 4 81 11
4 5 16
5 6 25 4 16
6 3 36
7 5 9 -1 1
8 25
9 2 4 00
10 2 4
รวม 50 300 11
-2 4
00
-3 9
-3 9
50
252
จากสตู ร r 1 (k ki i2 )2
1)(i C
1 10(50) 300
(10 1)(50)
1 0.44
0.56
ดงั น้นั แบบทดสอบฉบบั นม้ี คี า่ ความเชื่อมัน่ เทา่ กบั 0.56
ข้อควรจา : การหาคณุ ภาพของแบบทดสอบ
การทดสอบ ความเทยี่ งตรง ความยาก อานาจจาแนก ความเช่ือมน่ั
เชงิ เนอ้ื หา r H L (ตัวถูก)
p HL - สอบซา้
แบบองิ กลมุ่ IOC 2N N - ใชแ้ บบทดสอบ
คล้ายกนั
แบบองิ เกณฑ์ IOC ดชั นคี วามไว r L H (ตวั ลวง) - แบง่ ครง่ึ ขอ้ สอบ
ของข้อสอบ - KR-20 , KR-21
N - วธิ ขี อง Carver
- วธิ ขี อง
วธิ ีของ Brennan Hambleton
และ Novick
- วิธขี อง Lovett
การวเิ คราะหข์ อ้ สอบแบบอตั นัย
ขอ้ สอบแบบอัตนยั เป็นขอ้ สอบทม่ี กี ารตรวจและการให้คะแนนไม่ใช่ 0 – 1 เหมือนข้อสอบ
แบบปรนัยเลอื กตอบ และการให้คะแนนแต่ละข้อไม่เท่ากัน รูปแบบการวเิ คราะห์จะแตกต่างจาก 0 –
1 ผลการวิเคราะหข์ ้อสอบแบบอตั นยั จะบ่งชีข้ ้อมูลท่ีสาคญั 3 ประการ เชน่ เดยี วกับการวิเคราะหแ์ บบ
0 – 1 ไดแ้ ก่ (ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ. 2539 : 199)
1. ค่าดชั นคี วามยากของขอ้ สอบแตล่ ะข้อ (Index of Difficulty)
2. ค่าดัชนีอานาจจาแนกของขอ้ สอบแตล่ ะข้อ (Index of Discrimination)
3. คา่ ความเช่อื มนั่ ของขอ้ สอบทัง้ ฉบับ (Reliability)
การวเิ คราะห์ขอ้ สอบแบบอตั นัยเป็นการวเิ คราะห์ข้อสอบทมี่ วี ธิ กี ารใหค้ ะแนนท่ีไมใ่ ช่ 0 – 1
มวี ธิ ีการหลากหลายวธิ ี ดังน้ี
253
1. วิธกี ารวิเคราะห์ของเดรก (Drack) เป็นวธิ กี ารท่ีใช้สดั สว่ นของคะแนนท่ีสอบได้จริงกับ
คะแนนเต็มที่เป็นไปได้ท้ังในกลุ่มสูงและกลุ่มต่า มีสูตรการคานวณและขั้นตอนการดาเนินการดังน้ี
(ศริ ิชัย กาญจนวาสี. 2544 อ้างถงึ ใน สมชาย วรกิจเกษมสกุล. 2553)
1.1 สูตรการคานวณค่าความยากและอานาจจาแนก
ค่าความยาก (p) หาได้จากสูตร
P = PH PL
2
คา่ อานาจจาแนก (r) หาไดจ้ ากสูตร
R = PH - PL
เม่อื P แทน ดชั นคี า่ ความยาก (Index of Difficulty)
R แทน ดชั นคี า่ อานาจจาแนก (Index of Discrimination)
PH = H แทน สัดสว่ นของคะแนนที่ไดต้ ่อคะแนนทีเ่ ป็นไปได้
TH ในกลุม่ สูง
H แทน คะแนนรวมรายขอ้ ของผ้สู อบทกุ คนในกลุม่ สูง
TH แทน คะแนนเต็มรวมรายข้อของผสู้ อบทกุ คนในกลุ่มสูง
L
PL = TL แทน สัดส่วนของคะแนนท่ีไดต้ อ่ คะแนนทเ่ี ปน็ ไปได้
ในกลุ่มต่า
L แทน คะแนนรวมรายขอ้ ของผสู้ อบทุกคนในกลุ่มต่า
TL แทน คะแนนเตม็ รวมรายข้อของผู้สอบทุกคนในกลมุ่ ต่า
1.2 ขน้ั ตอนการหาค่าความยากและคา่ อานาจจาแนกของข้อสอบแบบอตั นยั
1. ตรวจใหค้ ะนนและจดั เรยี งลาดบั คะแนนจากสงู สดุ ไปหาต่าสุด เพอ่ื จาแนกผู้สอบ
สอบออกเป็นกลุม่ สูงและกลุม่ ต่า
2. แบง่ ผูส้ อบออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มสูง และกลุ่มต่า กลุ่มละ 25% ส่วนกลุ่มกลาง
จะมีจานวน 50%
3. รวมคะแนนรายข้อของผู้เข้าสอบทุกคนในกลุ่ม H และกลุ่ม L แล้วรวม
คะแนนเต็มรายข้อทีเ่ ปน็ ไปไดข้ องผเู้ ข้าสอบแต่ละคนในกลุม่ TH และกลมุ่ TL
4. คานวณสดั ส่วนของคะแนนทไ่ี ดต้ อ่ คะแนนทเ่ี ป็นไปได้ในแตล่ ะกลุ่ม
PH = H และ PL = L
TH TL
5. การแปลความหมายค่าความยากและค่าอานาจจาแนกใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ
ขอ้ สอบปรนยั
254
ตัวอย่างท่ี 7.21 ผูเ้ รยี น 20 คน สอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ ด้วยข้อสอบอัตนยั จานวน 5 ข้อ
คะแนนเต็มขอ้ ละ 10 คะแนน ผสู้ อนตรวจข้อสอบแล้วเรียงคะแนนจากน้อยไปหามากหรือมากไปหา
น้อย แล้วแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มสูงและกลุ่มต่าละ 25% ดังน้ันจะมีคนอยู่ในกลุ่มสูงและกลุ่มต่า
กลุ่มละ 5 คน คะแนนผลการสอบของแต่ละกลมุ่ ปรากฏดงั ตารางท่ี 7.6 ซึง่ คา่ ความยากและค่าอานาจ
จาแนกทค่ี านวณได้ ดังตารางท่ี 7.7
ตารางท่ี 7.6 แสดงคะแนนข้อสอบอตั นยั จาแนกกลุ่มสงู และกลุ่มต่า โดยใชเ้ ทคนคิ 25%
ข้อที่ คะแนน 1 ผูต้ อบกลุม่ สงู 5 1 ผู้ตอบกลุ่มต่า 5
เตม็ 234 234
1 10 10 9 10 6 9 8 2 5 2 6
2 10 8 8 10 6 9 4 4 4 4 2
3 10 8 8 10 8 8 8 5 2 3 4
4 10 6 7 10 4 6 6 3 3 2 3
5 10 8 6 8 4 5 6 2 6 1 4
รวม 50 40 38 48 28 37 32 16 20 12 19
ตารางที่ 7.7 แสดงผลการวเิ คราะหค์ า่ ความยากและคา่ อานาจจาแนก ดว้ ยวิธีการวเิ คราะห์ของเดรก
(Drack)
ข้อที่ คะแนน ผตู้ อบกลมุ่ สูง ผ้ตู อบกลมุ่ ต่า PH PL P R การแปล
เตม็ H TH L TL ความหมาย
1 10 44 50 23 50 0.80 0.64 0.72 0.16 คอ่ นข้างงา่ ย
อานาจจาแนก
ตา่
2 10 41 50 18 50 0.76 0.32 0.54 0.44 ปานกลาง
อานาจจาแนก
สงู มาก
3 10 42 50 22 50 0.96 0.40 0.68 0.56 ค่อนข้างง่าย
อานาจจาแนก
สงู มาก
4 10 33 50 17 50 0.56 0.24 0.40 0.32 ปานกลาง
อานาจจาแนก
สูง
5 10 31 50 19 50 0.74 0.38 0.56 0.36 ปานกลาง
อานาจจาแนก
สงู
255
2. วธิ กี ารวิเคราะห์วิทนีย์และซาเบอร์ (Whitney and Sabers, อ้างอิงใน ล้วน สายยศ
และอังคณา สายยศ. 2539 : 200 – 201) เป็นการแบ่งกลุ่มผู้สอบออกเป็นกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน
โดยใชเ้ ทคนิค 25% ของผู้สอบทงั้ หมด มีสตู รการคานวณ ดังน้ี
สูตรการคานวณคา่ ความยากและอานาจจาแนก
คา่ ความยาก (P) หาไดจ้ ากสูตร
P = SU SL 2NXmin
2NXmax Xmin
คา่ อานาจจาแนก (D) หาไดจ้ ากสูตร
D = SU SL
NXmax Xmin
เมือ่ P แทน ดัชนคี า่ ความยาก (Index of Difficulty)
D แทน ดชั นคี ่าอานาจจาแนก (Index of Discrimination)
SU แทน ผลรวมของคะแนนกล่มุ สงู
SL แทน ผลรวมของคะแนนกลมุ่ ต่า
N แทน จานวนผู้เขา้ สอบกล่มุ สูงหรือกลมุ่ ตา่
Xmax แทน คะแนนทีผ่ ู้สอบทาไดส้ ูงสุด
Xmin แทน คะแนนทผ่ี สู้ อบทาไดต้ า่ สดุ
ขน้ั ตอนการดาเนนิ การ
1. จากคะแนนผู้เขา้ สอบ 40 คน ทาข้อสอบอัตนยั 1 ขอ้ มีคะแนนเตม็ 8 คะแนน
เมือ่ ตรวจคาตอบและนับความถี่ของผเู้ ขา้ สอบ จาแนกกลมุ่ สงู และกลุม่ ต่า โดยใชเ้ ทคนิค 25% ได้กลุ่ม
ละ 10 คน ดงั ตารางที่ 7.8
2. คานวณหาผลรวมของคะแนนแต่ละกลมุ่ SU และ SL
256
ตารางที่ 7.8 ผลการตรวจคาตอบและนบั ความถข่ี องผเู้ ขา้ สอบ จาแนกกลุ่มสูงและกลมุ่ ตา่
คะแนน (X) กล่มุ สูง กลุม่ ตา่
จานวน (f) คะแนนรวม (fx) จานวน (f) คะแนนรวม (fx)
8
7 3 24 00
6 2 14 00
5 2 12 16
4 15 15
3 14 3 12
2 13 4 12
1 00 00
0 00 11
รวม 00 00
10 SU = 62 10 SL =36
วิธที า
จากสูตรคา่ ความยาก (P)
P = SU SL 2NXmin
2NXmax Xmin
P = 62 36 (2x10x1)
2(10)(8 1)
P = 78 = 0.56
140
จากสตู รค่าอานาจจาแนก (D)
D = SU SL
NXmax Xmin
D = 62 - 36
10(8 -1)
26
D = 70 = 0.37
แบบทดสอบอตั นยั ข้อนม้ี คี ่าความยากปานกลาง เทา่ กับ 0.56 และมีค่าอานาจจาแนกดี
เท่ากบั 0.37
257
ความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการวัด (Standard error of measurement) ใช้
สัญลกั ษณ์ SEmeas
ความคลาดเคลอื่ นมาตรฐานในการวดั หมายถึง ค่าคะแนนท่แี ตกต่างหรือคลาดเคลื่อนไป
จากคะแนนจริงของผู้สอบ ซ่ึงในการสอบแต่ละครั้งความคลาดเคล่ือนของการวัดจะไม่เท่ากัน ท้ังน้ี
จะขนึ้ อยกู่ ับความเชื่อม่นั (Reliability) ของข้อสอบชุดนั้น ๆ (rtt) โดยทั่วไป ในการตัดสินผลคะแนน
ของผู้สอบ หากจะวดั ได้แนน่ อน (True Score) จะต้องให้ผู้สอบทาการสอบข้อสอบนั้นหลาย ๆ ครั้ง
เพื่อใหท้ ราบคะแนนเฉล่ียท่ไี ด้ แต่ในทางปฏบิ ัตไิ มส่ ามารถกระทาเช่นน้ันได้ จึงมักใช้การคานวณทาง
สถิติมาหาค่าความคลาดเคล่อื นแทน เพือ่ ให้การแปลผลการสอบของผสู้ อบมีความเท่ยี งธรรมมากขน้ึ
วธิ ีการหาความคลาดเคลอ่ื นมาตรฐานในการวัด หาได้จากสตู ร
SEmeas = S.D. 1 rtt
เม่ือ SEmeas แทน ความคลาดเคลอื่ นมาตรฐานในการวัด
S.D. แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
rtt แทน ค่าความเชื่อมั่น
การนาไปใช้
การนาค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการวดั มาช่วยในการแปลความหมายคะแนน เช่น
จากการตรวจแบบทดสอบวชิ าคณติ ศาสตร์ เด็กชายทศพรไดค้ ะแนน 50 คะแนน แต่ในการวัดคร้ังน้ี
เราคานวณค่าความคลาดเคล่ือนมาตรฐานในการวัดได้ 3 หมายความว่า ความสามารถจริง (True
Score) ของเดก็ ชายทศพร อาจมากกว่า 50 หรือน้อยกว่า 50 กไ็ ด้ นน่ั คือ
คะแนนจรงิ ของเดก็ ชายทศพร = 50 – 3 หรือ 50 + 3
หมายถึงมีคะแนนจรงิ อยใู่ นชว่ ง 47 ถึง 53
คา่ ความคลาดเคลือ่ นมาตรฐานนม้ี ีความสัมพันธ์กบั ความเชอ่ื มั่นของแบบทดสอบ เน่ืองจาก
การสอบมีความ Error เสมอ ดังนั้นหากคะแนนของนักเรียน A คือ 70 ในคะแนนเต็ม 100 คะนน
คะแนนจริงของนักเรียนคนนี้อาจมากกว่าหรือน้อยกว่า 70 คะแนนก็ได้ อันเนื่องมาจากความ
คลาดเคล่ือนของการวัด โดยมีค่าคะแนนไปทางลบหรือบวกจาก 70 ซ่ึงเป็น (Central value) โดย
กระโดดออกไปช่วงละ 1 SEm ช่วงดงั กล่าวเรียกว่า Confidence Band
Score 70
-1SEm +1SEm
-2SEm +2SEm
Confidence Band
258
Confidence Band จะกว้างหรือแคบขึ้นอยู่กับค่า Reliability (rtt) ค่า rtt สูง หมายความว่า
ค่าความคลาดเคลื่อนของการวัด (SEm) ต่า และในทางกลับกันหากค่า rtt ต่า หมายความว่า ค่า
ความคลาดเคลื่อนของการวัด (SEm) สูง การกาหนด Confidence Band ให้ใช้หลักการของพ้ืนท่ี
ใต้โค้งปกติ คือ พื้นที่ใต้โค้งปกติ ~68% อยู่ระหว่าง Mean ±1SD., ~95% อยู่ระหว่าง Mean ± 2SD.,
~99% อยู่ระหว่าง Mean ±3SD. ดังภาพที่ 5.1
ภาพท่ี 7.1 พน้ื ที่ใต้โคง้ ปกติ (Normal curve)
ทีม่ า : นภา หลมิ รตั น.์ (2551 : 4)
ในตัวนักเรียน A ทสี่ อบได้ 70 คะแนน หากค่า SEm ของข้อสอบชุดนี้มี 3 คะแนนจริงของ
นกั เรียนรายนี้จะมีโอกาสเป็นช่วงคะแนน (Band score) ดังตารางที่ 7.9
ตารางที่ 7.9 การแปลผลของชว่ งคะแนน (Band score)
ผลสอบ SEm ประมาณการ ชว่ งคะแนน ความหมาย
เป็นช่วง
70 3 ±1SEm 67 - 73 มคี วามม่นั ใจ 68% วา่ คะแนนจริงจะอยูร่ ะหว่าง
67 – 73 คะแนน หรืออีกนัยหน่ึง คือ หากให้
นักเรียนสอบ 100 คร้ัง จะได้คะแนนตกอยู่
ในชว่ ง 67 – 73 = 68 คร้ัง
70 3 ±2SEm 64 - 76 มคี วามมั่นใจ 95% ว่าคะแนนจรงิ จะอยรู่ ะหว่าง
64 – 76 คะแนน หรืออีกนัยหน่ึง คือ หากให้
นักเรียนสอบ 100 คร้ัง จะได้คะแนนตกอยู่
ในชว่ ง 64 – 76 = 95 ครัง้
70 3 ±3SEm 61 - 79 มคี วามม่นั ใจ 99% ว่าคะแนนจริงจะอยู่ระหว่าง
61 - 79คะแนน หรืออีกนัยหนึ่ง คือ หากให้
นักเรียนสอบ 100 ครั้ง จะได้คะแนนตกอยู่
ในช่วง 61 – 79 = 99 ครั้ง
259
ดงั นัน้ เพื่อใหเ้ กิดความเปน็ ธรรมแก่ผู้เรียนหากคา่ rtt ของชุดขอ้ สอบต่า Error สูง ครูควรให้
Confidence Band กว้าง และหากค่า rtt ของชุดข้อสอบสูง Error ต่า ก็ไม่จาเป็นต้องให้ Confidence
Band กวา้ ง
สรปุ
เครื่องมือวัดผลที่มีคุณภาพจะช่วยให้การวัดและประเมินผลมีความถูกต้องน่าเชื่อถือได้
จะต้องคานงึ ถึงความเท่ยี งตรง ความเช่ือมั่น ความยาก อานาจจาแนก และความเป็นปรนัย การจะ
ตรวจสอบว่าเคร่ืองมือชนิดหน่ึงจะมีคุณลักษณะดีหรือไม่นั้น จาเป็นต้องวิเคราะห์ข้อสอบหรือข้อ
คาถามเป็นรายข้อเพื่อดูความยาก อานาจจาแนก และความเป็นปรนัย ส่วนการวิเคราะห์คุณภาพ
แบบทดสอบทั้งฉบับนัน้ เพอื่ ดคู วามเที่ยงตรงและความเช่อื มน่ั
เคร่ืองมอื มีหลากหลายชนดิ และมีบางชนดิ จาเปน็ ต้องตรวจสอบคุณภาพทงั้ 5 ประการ แต่
เครอื่ งมือบางชนดิ อาจตรวจคณุ ภาพเพยี งบางประการ แลว้ แต่คุณลักษณะของเครอื่ งมือ ประเภทของ
การประเมินทตี่ า่ งกนั เชน่ การประเมนิ ผลแบบองิ กลมุ่ กบั อิงเกณฑ์ และลกั ษณะของข้อสอบที่ต่างกัน
เช่น แบบปรนัยกับแบบอัตนัย การวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบก็แตกต่างกันด้วย ซึ่งในปัจจุบันมี
โปรแกรมสาเร็จรปู หลายรูปแบบ ชว่ ยให้การคานวณถูกตอ้ ง สะดวกและรวดเรว็ ยงิ่ ขน้ึ
ความเทย่ี งตรงเปน็ การหาว่าแบบทดสอบน้ันวัดในสิ่งท่ีต้องการวัดหรือไม่ วิธีการหาความ
เทยี่ งตรง นยิ มหาคา่ ความตรงเชิงเนอ้ื หาโดยจะให้ผู้เช่ียวชาญพิจารณาว่าข้อสอบแต่ละข้อวัดเน้ือหา
หรือจดุ ประสงค์การเรยี นรู้มากนอ้ ยเพยี งใด แล้วนาไปหาค่า IOC การหาค่า IOC นี้ใช้ได้ท้ังแบบทดสอบ
องิ กลมุ่ และอิงเกณฑ์ ส่วนการหาค่าความเทีย่ งตรงเชงิ โครงสร้าง แบบทดสอบแบบอิงกลุ่มจะหาโดย
การหาค่าสัมประสทิ ธ์สิ หสัมพนั ธข์ องระหวา่ งแบบทดสอบทคี่ รสู รา้ งขน้ึ กับแบบทดสอบมาตรฐานที่วดั
ในเรอ่ื งเดยี วกนั และหาโดยการเปรียบเทยี บกบั กลมุ่ ทม่ี ีลกั ษณะที่ตอ้ งการวดั อยา่ งเด่นชดั สาหรับการ
หาคา่ ความเทย่ี งตรงเชงิ โครงสรา้ งแบบอิงเกณฑ์ จะใชว้ ิธขี องคาร์เวอร์ (Carver) และหาคา่ สหสัมพนั ธ์
แบบฟี (Phi-correlation)
การหาคา่ ความยากของแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม หาโดยการหาสัดส่วนของผู้ท่ีตอบถูกใน
ข้อน้นั เทียบกับคนสอบทัง้ หมด สาหรบั การหาคา่ อานาจจาแนกเปน็ การหาประสิทธิภาพของข้อสอบ
ในการจาแนกนักเรียน การพิจารณาข้อสอบท่ีใช้ได้ คือข้อสอบท่ีมีค่าความยาก 0.20 – 0.80 และ
ค่าอานาจจาแนก ต้ังแต่ .20 ข้ึนไป ส่วนการหาค่าความยากและค่าอานาจจาแนกของแบบทดสอบ
แบบอิงเกณฑ์ มีวิธีการหาไดแ้ ก่ การหาดัชนีความไวของข้อสอบด้วยวิธขี องแบรนนอน
สาหรับการหาความเช่อื ม่นั ของแบบทดสอบอิงกลุ่ม มีหลายวิธี เช่น แบบสอบซา้ แบบทดสอบ
ที่คล้ายกัน แบบแบ่งครึ่ง วิธีการของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (KR-20 และ KR-21) และวิธีหาสัมประสิทธิ์
แอลฟาของครอนบาค ( - Coefficient) สว่ นแบบองิ เกณฑ์ จะใชว้ ิธีของคาร์เวอร์ และของแฮมเบิลตัน
และโนวิก และวธิ ขี องโลเวตต์
260
คาถามทา้ ยบท
1. การวิเคราะหข์ อ้ สอบเป็นรายขอ้ แบบองิ กลมุ่ : จงหาค่าความยากงา่ ยของข้อสอบรายวชิ า
วทิ ยาศาสตร์ พร้อมทง้ั แปลความหมาย และสรปุ ขอ้ สอบแต่ละข้อ พร้อมทง้ั เขยี นกราฟคัดเลอื ก
ข้อคาถาม แล้วสรปุ ว่าขอ้ คาถามแต่ละขอ้ เป็นขอ้ คาถามทใ่ี ชไ้ ด้หรือไม่
จานวนคน จานวนคน ผลการพจิ ารณา
คา่ p ค่า r
ขอ้ ตวั เลือก ในกลุ่มสูง ในกลุ่มต่า p r
(20 คน) (20 คน)
1ก 6 5
(ข) 5 9
ค4 4
ง5 2
2ก 1 4
ข2 5
(ค) 16 4
ง1 7
3 (ก) 20 17
ข0 2
ค0 1
ง0 0
2. การวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายขอ้ แบบองิ เกณฑ์ : จานวนผตู้ อบถูกของกล่มุ กอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
(20 คน) จงหาค่าความไวของข้อสอบ (S)
ขอ้ Pre Post S ความหมาย สรุปผล
1 13 2
26 2
35 19
40 20
52 18
6 10 10
74 17
8 15 10
99 11
10 1 16
261
2.1 ข้อสอบขอ้ ใดบา้ งทใ่ี ช้ได้ ข้อสอบขอ้ ใดดที สี่ ุด และข้อสอบข้อใดควรปรบั ปรงุ
3. แบบทดสอบชุดหนง่ึ จานวน 5 ขอ้ นาไปทดสอบกบั นักเรยี น 20 คน ใช้เกณฑต์ ดั สนิ 80% จานวน
ผ้ผู า่ นเกณฑ์ 12 คน ไมผ่ า่ นเกณฑ์ 8 คน จงคานวณค่า B
ข้อ U L U/N1 L/N2 B ความหมาย สรุปผล
16 4
26 2
3 11 3
46
5 12 7
4
3.1 ขอ้ ใดทีม่ คี ุณภาพ และข้อใดไม่มคี ณุ ภาพ ทา่ นใช้เกณฑใ์ ดในการตดั สนิ
4. จงหาความเที่ยงโดยการแบง่ ครงึ่ ในการตรวจ (Split-half) โดยมกี ารตรวจคะแนน ดงั นี้
คนที่ คะแนน คะแนน X2 Y2 XY
ครั้งท่ี 1 (X) ครง้ั ที่ 2 (Y)
13 5
25 4
31 2
45 6
52 3
รวม
262
5. แบบทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ของนกั เรยี นจานวน 10 คน โดยใช้ขอ้ สอบ 5 ขอ้ แบบทดสอบชนดิ
เลือกตอบ ได้คะแนนดังตาราง จงคานวณหาค่าความเชอื่ ม่นั โดยใชส้ ตู ร KR20 และ KR21
ขอ้ / 1 2 3 4 5 X X2
คนที่
11 1 1 0 0
21 1 1 1 0
31 1 1 1 1
41 1 0 1 0
51 1 0 1 1
61 0 0 1 0
70 0 0 0 0
81 0 0 0 0
91 0 0 0 0
10 1 1 1 0 0
รวม
P
q
pq
6. แบบทดสอบวชิ าภาษาองั กฤษ มีจานวน 50 ข้อ ใหค้ ะแนนระบบ 0 – 1 และใช้คะแนนจุดตัดท่ี
80% นาไปทดสอบกบั นกั เรียนจานวน 15 คน สองครง้ั หลังเรยี นเรื่องนีจ้ บแลว้ ผลปรากฏดังตาราง
จงหาความเชอื่ มั่นของแบบทดสอบฉบับนี้ โดยใชส้ ูตรของคารเ์ วอร์
สอบ นักเรียนคนท่ี
ครัง้ ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15
1 28 15 47 39 34 47 40 43 42 20 8 49 41 29 45
2 30 10 40 41 29 45 28 48 44 20 16 50 43 35 42
7. แบบทดสอบชดุ หนง่ึ มจี านวน 60 ขอ้ เมอ่ื นาไปทดลองใชไ้ ดค้ ่าเฉลย่ี 40 มีค่าสว่ นเบย่ี งเบน
มาตรฐาน เท่ากับ 5 จงหาความเทีย่ งแบบ KR21 และความเบีย่ งเบนมาตรฐานในการวัด (SEm)
263
เอกสารอา้ งองิ
ธนวัฒน์ ธติ ิธนานนท.์ (2556). การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. นครราชสมี า :
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า.
นภา หลิมรตั น.์ (2551). “Grading”. แหลง่ ข้อมลู ดา้ นแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
สงขลา : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร.์
บญุ เรยี ง ขจรศลิ ป.์ (2543). การวเิ คราะห์และแปลความหมายขอ้ มลู ในการวิจยั โดยใชโ้ ปรแกรม
สาเรจ็ รปู SPSS for Windows. กรงุ เทพฯ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
พชิ ติ ฤทธิ์จรูญ. (2544). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2. กรงุ เพทฯ : เฮาส์
ออฟ เคอรม์ สิ ท.์
พิตร ทองช้ัน. (2524). หลักการวดั ผล. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พโ์ อเดียนสโตร.์
เพลินพิศ ธรรมรัตน.์ (2542). การประเมนิ ผลการเรียน. สกลนคร : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ
สกลนคร.
ภคั รา นคิ มานนท์. (2540). การประเมนิ ผลการเรียน. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : อักษรราการพมิ พ์.
ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. (2539). เทคนิคการวัดผลการเรียนรู้. กรงุ เทพฯ : ชมรมเด็ก.
วิเชียร เกตสุ ิงห์. (2515). หลกั การสรา้ งและวิเคราะห์ขอ้ สอบ. กรุงเทพฯ : มงคลการพิมพ์.
สมชาย วรกิจเกษมกลุ . (2553). การวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. พมิ พ์คร้ังท่ี 2. อดุ รธานี :
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี.
Eble, Robert L. and Frisbie, David A. (1986). Essentials of Education Measurement.
(4th ed) : New Jersy. Prectice. Hall, Inc.
Fraenkel Jack R. and Wallen Norman E. (1993). How to Design and Evaluate
Research in Education. (2nd ed) : Singapore McGraw-Hill, Inc.
Gay L.R. (1990). Educational Research Competencies for Analysis and Application.
(3rd ed) Macmillan Republic of Singapore.
บทที่ 8
คะแนน การตดั เกรด และการแปลความหมายของคะแนน
การวดั ผลและประเมนิ ผลการศึกษา ไมว่ า่ จะใชเ้ คร่ืองมือชนดิ ใดกบั พฤตกิ รรมดา้ นพุทธิพิสัย
จติ พิสยั และทกั ษะพิสัย สว่ นใหญ่ผลท่ีได้จะออกมาในรูปของตัวเลข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวัดด้าน
พทุ ธพิ สิ ยั ของผู้เรยี น ซ่ึงใช้แบบทดสอบในการวัด ตัวเลขท่ีได้เรียกว่า คะแนน (Score) แต่เนื่องจาก
คะแนนท่ีได้จากการวัดแต่ละคร้ังยังมีความไม่สมบูรณ์หรือเพียงพอที่จะให้ความหมายหรือสะท้อน
ความสามารถ ทักษะหรอื คุณลกั ษณะของผทู้ ่ไี ดร้ บั จากการวัด ดังน้นั ผู้สอนจึงจาเปน็ ตอ้ งมคี วามรแู้ ละ
ความเข้าใจเกีย่ วกบั คะแนน การแปลความหมายคะแนน และใหร้ ะดบั คะแนน เพ่ือลดความคลาดเคลื่อน
ที่จะเกิดขน้ึ
ความหมายและประเภทของคะแนน
คะแนน (Score) หมายถงึ ตัวเลขที่ใช้แทนปริมาณความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน
หรือการปฏิบัตงิ านอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งของผูเ้ รียน ซง่ึ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1. คะแนนดบิ (Raw Score) เปน็ คะแนนทเ่ี กดิ จากการสอบโดยตรงหรือการวดั ไม่สามารถ
ตีความหมายให้แน่ชัดว่ามีสภาพการเรียนรู้มากน้อยเท่าไร จึงจัดได้ว่าคะแนนดิบเป็นตัวเลขที่ไม่มี
ความหมายในตัวเอง ถ้านาไปใช้ในการประเมินผล เช่น นุกุล สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 30 คะแนน
แม้จะเอาไปเทยี บกบั คะแนนเตม็ ก็ใหค้ วามหมายไมช่ ัดเจน (เพราะคะแนนที่ไดอ้ ยู่ในมาตราอันตรภาค
ซ่งึ มเี ฉพาะศนู ยส์ มมติ)
2. คะแนนแปลงรูป (Derived Score) เป็นคะแนนท่ีปรับเปลี่ยนจากคะแนนดิบให้เป็น
คะแนนทมี่ ีความหมายดีขึ้นกว่าเดิม คือ ทาให้สามารถบอกสภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนแน่ชัดขึ้นว่า
ผ้เู รยี นเรยี นเก่งหรอื อ่อนในวิชาใด เพียงใด คะแนนแปลงรปู นี้ไดแ้ ก่ คะแนนเปอร์เซน็ ต์ คะแนนอนั ดับที่
คะแนนมาตรฐาน และคะแนนมาตรฐานเกา้ เป็นตน้
2.1 คะนนเปอร์เซน็ ต์ (รอ้ ยละ) ไดแ้ ก่ การนาคะแนนที่สอบได้ไปเทียบกับคะแนนเต็ม
ในรูปของร้อยละ เช่น สอบได้ 35 คะแนนเต็ม 40 แสดงว่า ถ้าเต็ม 100 คะแนน จะสอบได้ 87.5
คะแนน เรียกวา่ รอ้ ยละ 87.5 หรอื 87.5%
2.2 คะแนนอันดับท่ี ได้แก่ การนาคะแนนที่สอบได้ไปกาหนดตาแหน่งของผู้สอนโดย
เรยี งคะแนนท่ีไดจ้ ากจานวนคนทั้งหมด แล้วมุ่งพิจารณาอันดับท่ีได้เป็นสาคัญ เช่น สอบได้ 20 คะแนน
เมือ่ เรียงคะแนนแล้วอยู่ในอนั ท่ี 9 จากคนเข้าสอบท้ังหมด 30 คน จึงคิดเทียบอันดับที่ได้น้ันจากคน
เขา้ สอบท้งั หมดเป็นร้อยละ เรยี กวา่ ตาแหนง่ ร้อยละหรอื ตาแหนง่ เปอร์เซ็นไทล์ วธิ นี ้ชี ใ้ี หเ้ ห็นความสาคัญ
แกอ่ ันดบั ทีส่ อบไดม้ ากกวา่ คะแนนทสี่ อบได้
266
2.3 คะแนนมาตรฐาน ได้แก่ การนาคะแนนดบิ ทไ่ี ดไ้ ปเทยี บกับคะแนนเฉล่ีย ( ) ของ
กลุ่ม โดยพิจารณาว่ามากกว่าหรือน้อยกว่าคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มเท่าไร คะแนนมาตรฐานท่ีนิยมใช้
ไดแ้ ก่ คะแนนมาตรฐาน Z และคะแนนมาตรฐาน T
2.4 คะแนนมาตรฐานเก้า (Stanine) ไดแ้ ก่ การนาคะแนนดบิ ท่ีได้ไปเทียบกับคะแนน
ในกลมุ่ เมอ่ื แบ่งผู้สอบท้งั หมดออกเป็น 9 กลมุ่ ตามอัตราสว่ นร้อยละของการแจกแจงของโค้งปกติท่ี
กาหนดไว้คงที่
ธรรมชาตขิ องคะแนนดิบ
คะแนนดิบมีลักษณะตามธรรมชาติ ดังน้ี (พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2553 : 199 – 200, สมนึก
ภทั ทิยธนี. 2558 : 265 – 266)
1. คะแนนดิบไม่มีความหมายในตัวเอง น่ันคือ ไม่สามารถบอกได้ว่าใครเก่งอ่อนมากน้อย
เพียงใด เชน่ นายเทวกร สอบได้ 20 คะแนน
2. คะแนนดิบของแต่ละวิชาจะนามารวมกันหรือเปรยี บเทยี บกันไมไ่ ด้ เพราะค่าของคะแนน
แต่ละวชิ ามขี นาดไม่เท่ากัน เช่น นายเทวกร สอบวชิ าวทิ ยาศาสตร์ได้ 30 คะแนน จากคะแนนเต็ม 50
คะแนน และสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้ 25 คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน จะสรุปว่าเทวกรเก่ง
วิชาวิทยาศาสตร์มากกวา่ คณิตศาสตรไ์ มไ่ ด้
3. การพยายามแปลงคะแนนดิบให้อยู่ในรูปร้อยละเพื่อนามาเปรียบเทียบกันหรือรวมกัน
ไมไ่ ด้ช่วยใหค้ ะแนนมคี วามหมายมากขึน้ เน่อื งจากเปน็ การขยายขึ้นแบบอตั ราส่วนคงทใ่ี นลกั ษณะของ
เส้นตรง คะแนนดิบในสภาพจริงมีลักษณะตรงขา้ ม กล่าวคอื อตั ราการใหค้ ะแนนทเ่ี พ่มิ ขน้ึ จากข้อสอบ
ไม่คงท่ีเพราะข้อสอบอาจจะมีท้ังง่ายและยาก การเพ่ิมคะแนนจาก 15 คะแนนเป็น 20 คะแนน มี
อัตราการเพมิ่ ไมม่ ากเทา่ กบั การได้คะแนนจาก 35 คะแนนเป็น 40 คะแนน เพราะ 5 คะแนนท่ีเพิ่ม
จาก 15 ยอ่ มงา่ ยกวา่ 5 คะแนนท่เี พ่ิมจาก 35 คะแนน ทง้ั น้ีเพราะความสามารถของมนษุ ย์ไมส่ ามารถ
ขยายในรูปเสน้ ตรงได้
4. คะแนนดบิ จะมากหรอื น้อยขึ้นอยกู่ บั ความยากง่ายของข้อสอบ หากข้อสอบง่ายคะแนน
ของผู้เข้าสอบจะมาก และถา้ ขอ้ สอบยากคะแนนจะนอ้ ย
5. คะแนนดบิ ไมไ่ ดเ้ ป็นตัวเลขทแ่ี สดงปรมิ าณความร้แู ตอ่ ย่างใด เชน่ นายเทวกรสอบได้ 10
คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน จะบอกว่านายเทวกรมีความสามารถปานกลางหรือคร่ึงหน่ึง
ไม่ได้ เพราะความรูใ้ นแตล่ ะวชิ านัน้ หาขอบเขตไม่ได้ และการสอบแตล่ ะครั้งเป็นเพียงการสุ่มตัวอย่าง
ความรู้ส่วนหนึ่งของแต่ละวิชาออกมาเท่านั้น ดังน้ัน สรุปได้แต่เพียงว่า นายเทวกรสอบได้คะแนน
คร่ึงหนึง่ ของคะแนนเตม็ ในการสอบครัง้ นีเ้ ท่าน้ัน
267
แนวคดิ เกยี่ วกบั คะแนนมาตรฐาน
คะแนนมาตรฐาน เปน็ คะแนนแปลงรปู จากคะแนนดิบ มคี วามหมายในตวั เอง สามารถบอก
ได้ว่า ใครเก่ง ใครอ่อน และสามารถนามารวมกันและเปรียบเทียบกันได้ แนวคิดเกี่ยวกับคะแนน
มาตรฐานมี 2 ประการคอื (สมนึก ภทั ทิยธนี. 2558 : 266)
1. คะแนนมาตรฐาน เป็นคะแนนแปลงรูปมาจากคะแนนดิบ ตามแนวการวัดและประเมินผล
แบบองิ กลมุ่ เพือ่ ใหม้ ีความหมายในตวั เอง ชดั เจนมากยิง่ ขน้ึ เพราะคะแนนมาตรฐานมจี ุดเปรยี บเทียบ
ความเกง่ อ่อนหรอื มหี นว่ ยเทา่ กนั จงึ มีผลทาให้สามารถนาคะแนนมาตรฐานมาบวก ลบกันได้
2. การเปรียบเทยี บคะแนนมาตรฐานจะใช้คา่ เฉล่ียของกลมุ่ เป็นหลกั กลา่ วคอื ถ้ามีนกั เรยี น
สอบคนเดยี วกไ็ มส่ ามารถบอกไดว้ า่ เขาเก่งหรืออ่อน เพราะความเก่งหรอื อ่อนต้องอาศัยการเปรียบเทียบ
กบั นักเรียนคนอืน่ ๆ ในกลมุ่ และจะไม่นามาเปรยี บเทียบคะแนนของนักเรียนทุกคน เพราะจะทาให้
ยุ่งยากสับสน แต่จะใช้คะแนนเฉลีย่ ของกลุ่ม ซึ่งถอื วา่ เปน็ คะแนนทเ่ี ป็นตัวแทนของกลุ่มที่ใช้เป็นหลัก
ในการเปรียบเทียบ โดยถือว่า ถ้านักเรียนคนใดสอบได้คะแนนมากกว่าค่าเฉล่ียของกลุ่มถือว่าเก่ง
ถา้ นักเรยี นคนใดสอบได้คะแนนต่ากว่าคา่ เฉลย่ี ถือว่าอ่อน และถา้ นักเรยี นคนใดสอบได้คะแนนเท่ากับ
ค่าเฉลี่ยถอื วา่ มคี วามสามารถปานกลาง
คะแนนมาตรฐาน Z และ T
คะแนนมาตรฐาน (Standard Scores) เปน็ คะแนนที่เปลย่ี นรูปจากคะแนนดิบ ซ่ึงมีหน่วย
ไม่เท่ากันให้เป็นคะแนนท่ีมีหน่วยเท่ากัน สามารถนามาเปรียบเทียบกันได้อย่างมีความหมาย การ
เปลย่ี นรูปนี้ยึดเอากลุ่มผู้เรียนเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบ และนิยมใช้จุดกลาง หรือค่าเฉล่ียของ
คะแนนสอบเป็นหลักในการเปรยี บเทยี บ คะแนนมาตรฐานทน่ี ิยมใช้กนั มากทส่ี ุดคือ Z – Scores และ
T - Scores
1. คะแนนมาตรฐาน Z
คะแนนมาตรฐาน Z (Z – Scores) เป็นคะแนนมาตรฐาน ที่เกิดจากการนาคะแนนดิบ
ของแตล่ ะคนมาเปรียบเทยี บกับคะแนนเฉลี่ยของกลุ่มว่าแตกต่างกันเพียงใด แล้วคิดเทียบเป็นกี่เท่า
ของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนกลุ่มน้ัน คะแนนมาตรฐาน Z มีค่าเฉล่ียเท่ากับ 0 และมี
ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเป็น 1 นั่นคือ หน่ึงหน่วยของคะแนนมาตรฐาน จะมีระยะเท่ากับความ
เบ่ยี งเบนมาตรฐาน (บรรดล สขุ ปิติ. 2542 : 15)
268
ภาพท่ี 8.1 คะแนนมาตรฐานซี (Z-Score) ในโค้งปกติ
ทมี่ า : บรรดล สขุ ปติ ิ (2542 : 15)
คะแนนมาตรฐาน Z จะมีคุณสมบัติประการหน่ึงคือ ในแต่ละช่วง 1 หน่วยคะแนน
มาตรฐาน จะแบ่งพ้นื ท่ีใตโ้ คง้ ออกเปน็ สัดส่วนคือ
คา่ Z จาก 0 ถึง +1 พืน้ ท่ีใตโ้ คง้ สว่ นนนั้ จะมีประมาณ 34% ของพื้นท่ที งั้ หมด
ค่า Z จาก +1 ถงึ +2 หรือ -1 ถึง -2 พนื้ ที่ใต้โค้งส่วนน้ันจะมีประมาณ 14% ของ
พื้นทีท่ ัง้ หมด
ค่า Z จาก +2 ถึง +3 หรือ -2 ถึง -3 พื้นท่ีใต้โค้งส่วนนั้นจะมีประมาณ 2% ของ
พนื้ ทีท่ ้ังหมด
จากคุณสมบตั ดิ งั กล่าว มปี ระโยชน์ในการแปลความหมายของคะแนนมาตรฐาน Z จะ
เห็นไดว้ ่าจาก -3 ถงึ 0 หรอื 0 ถงึ +3 มพี นื้ ทใ่ี ต้โค้ง 50% ฉะน้นั นกั เรียนคนใดได้คะแนนมาตรฐาน Z
เป็น 0 ก็มีความหมายว่า นักเรียนคนนั้นมีความสามารถสูงกว่าคนอ่ืน 50 คนใน 100 คน และใน
ทานองเดียวกนั นักเรยี นคนใดได้คะแนนมาตรฐาน Z ดงั นี้
Z = +1 จะมีความสามารถสงู กวา่ คนอนื่ 84 คนใน 100 คน
Z = -1 จะมคี วามสามารถสงู กว่าคนอ่นื 16 คนใน 100 คน
Z = -2 จะมีความสามารถสงู กวา่ คนอื่น 2 คนใน 100 คน
คะแนนมาตรฐาน Z หมายถึง ผลตา่ งระหว่างคะแนนดิบกับคะแนนเฉล่ียในส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน เขียนเปน็ สตู รไดด้ ังนี้
S.D.
เมอื่ Z แทน คะแนนมาตรฐาน Z
X แทน คะแนนดบิ
แทน คะแนนเฉลีย่
S.D. แทน ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน
269
ตัวอย่างที่ 8.1 การคานวณคะแนนมาตรฐาน Z จากคะแนนดิบของนักเรียนกลุ่มหนึง่
ซงึ่ มคี ะแนนเฉล่ียเป็น 30 และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานเปน็ 4.5
คะแนนดบิ การคานวณ คะแนนมาตรฐาน Z
42 42 30 +2.66
Z 4.5 = + 2.66
39 +2.00
Z 39 30 = +2.00
30 4.5 0.00
23 30 30 -1.55
Z 4.5 = 0.00
19 -2.44
Z 23 30 = -1.55
4.5
19 30
Z 4.5 = -2.44
1.1 ลักษณะของคะแนนมาตรฐาน Z
1.1.1 คา่ เฉลีย่ เทา่ กบั 0 และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 1
1.1.2 มคี า่ เป็นบวกและลบ ถ้าคะแนนเปน็ ลบแสดงว่าตา่ กวา่ คะแนนเฉลี่ย และถ้า
เป็นบวกแสดงว่าสงู กว่าค่าเฉลีย่
1.1.3 ปกตจิ ะมคี า่ เฉล่ยี อยรู่ ะหว่าง +3 ถงึ -3
1.1.4 ลกั ษณะการกระจายหรอื การแจกแจงเหมอื นกับการกระจายหรือการแจกแจง
ของคะแนนดิบ
1.2 ประโยชน์ของคะแนนมาตรฐาน Z
1.2.1 เป็นคะแนนที่มีความหมายในตัวเอง สามารถบอกได้ว่านักเรียนแต่ละคน
มคี วามสามารถระดับใด สูงกว่าคนอื่นมากน้อยเพียงใด เช่น คะแนนมาตรฐาน Z เป็น +2 แสดงว่า
มีความสามารถในระดับสูง (เทยี บกับคา่ เฉล่ยี ) และสูงกว่าคนอ่นื 98 คน ใน 100 คน
1.2.2 สามารถนามาเปรียบเทยี บกันได้ระหว่างวิชาหรือระหว่างนักเรียนแต่ละคน
ในกลุ่มเดียวกันได้ เช่น นักเรียนคนหนึ่งได้คะแนนวิชาภาษาไทย เป็นคะแนนมาตรฐาน Z เป็น
+1.00 ในวิชาคณิตศาสตร์ ได้คะแนนมาตรฐาน Z เป็น +1.92 และในวิชาวิทยาศาสตร์ได้คะแนน
มาตรฐาน Z เป็น -0.54 แสดงว่านักเรียนคนนีม้ ีความสามารถในวิชาคณิตศาสตรส์ ูงกว่าวชิ าภาษาไทย
และวิชาวทิ ยาศาสตร์ และความสามารถในวชิ าภาษาไทยสูงกว่าวิชาวิทยาศาสตร์ ในทานองเดียวกัน
ระหวา่ งนักเรยี นแตล่ ะคนกส็ ามารถนาคะแนนมาตรฐาน Z มาเปรียบเทยี บกันได้อยา่ งมีความหมาย
1.2.3 เป็นคะแนนที่สามารถนามารวมกนั ไดห้ รอื ลบกนั ไดต้ ามหลักของคณิตศาสตร์
เพราะเมอ่ื แปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐาน Z ก็คือ การทาให้คะแนนมีหน่วยเท่ากันแม้ว่าจะ
เป็นคะแนนดบิ จากวชิ าท่ีแตกต่างกนั แต่เมอื่ แปลงเป็นคะแนนมาตราเดียวกัน จึงสามารถนามาบวก
หรือลบกนั ได้ตามหลักคณิตศาสตร์
270
2. คะแนนมาตรฐาน T (T - Scores)
เน่ืองจากคะแนนมาตรฐาน Z ซึ่งมีค่าเฉล่ียของคะแนนมาตรฐานเป็น 0 เป็นไปได้ท้ัง
ค่าบวกและค่าลบ ทาให้ยุ่งยากในการแปลความหมาย และการเข้าใจผิดโดยเฉพาะเม่ือได้คะแนน
มาตรฐาน Z เป็นลบหรือ 0 จึงได้มีการนาคะแนนมาตรฐาน Z มาแปลงให้เป็นคะแนนมาตรฐาน T
โดยการปรบั ขยายขนาดของคะแนน โดยการเอา 10 เข้ามาคูณกับคะแนนมาตรฐาน Z แล้วบวกด้วย
50 เพ่อื ไม่ใหม้ ีค่าติดลบ ซึ่งเขียนเปน็ สตู รไดด้ ังน้ี
T = 10Z + 50
เม่ือ T แทน คะแนนมาตรฐาน T
Z แทน คะแนนมาตรฐาน Z
จากสตู รดงั กล่าว ทาให้คะแนนมาตรฐาน T มคี า่ เป็นบวกเสมอ โดยมีค่าเฉลี่ยเทา่ กับ 50
และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 10 และมีการกระจายหรือการแจกแจงเหมือนคะแนนดิบทุก
ประการ
ตัวอย่างท่ี 8.2 บพิตร สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนมาตรฐาน Z เท่ากับ 0.5
ถ้าเปลยี่ นเป็นคะแนนมาตรฐาน T จะได้เทา่ ไร
สูตร T = 10Z + 50
แทนคา่ ในสูตร T = 10(0.5) + 50
T = 55
บพติ รจะได้คะแนนมาตรฐาน T เท่ากับ 55 แสดงว่าบพิตรมีความสามารถมากกว่า
คา่ เฉล่ียของกลมุ่
ตวั อย่างที่ 8.3 ในการสอบกลางภาค พภิ พและพิศาล ทาคะแนนได้ดังตาราง
จงเปรยี บเทยี บความสามารถของนกั เรียนทั้ง 2 คน
ตารางท่ี 8.1 การเปรียบเทยี บความสามารถในการสอบกลางภาคของพภิ พและพิศาล จากคะแนนดบิ
วชิ า วทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ รวม
พภิ พ 40 40 30 36 146
147
พิศาล 30 36 42 39
35 38 38 37
S.D. 4 2 4 4
271
จากข้อมูล จะเห็นได้ว่า เม่ือพิจารณาจากคะแนนดิบ พิศาลจะได้คะแนนรวม
มากกว่า 1 คะแนน แตก่ ารพิจารณาจากคะแนนดิบจากวิชา ซึ่งมีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานแตกต่างกัน
ไม่สามารถเปรยี บเทียบกนั ได้ ดงั นั้นในการเปรียบเทียบว่าใครมีความสามารถมากกว่ากันต้องแปลง
คะแนนดบิ ทกุ วิชาของแต่ละคนใหเ้ ป็นคะแนนมาตรฐาน ดังตารางที่ 8.2
ตารางท่ี 8.2 การเปรียบเทียบความสามารถในการสอบกลางภาคของพภิ พและพิศาล จากการแปลง
คะแนนดิบ
วิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ รวม
0
พภิ พ 1.25 1 -2 -0.25 -0.25
พศิ าล -1.25 -1 1 0.5
จากคะแนนรวม คะแนนมาตรฐาน Z จะเห็นได้ว่า พิภพได้คะแนนมากกว่าพิศาล
ดงั นัน้ ถ้าเปรยี บเทยี บโดยพิจารณาจากคะแนนดิบ อาจเกิดข้อผิดพลาด จึงควรแปลงคะแนนดิบให้
เปน็ คะแนนมาตรฐานกอ่ น แลว้ จงึ เปรยี บเทยี บความสามารถ
การเปรยี บเทยี บคะแนนมาตรฐาน Z และคะแนนมาตรฐาน T ดงั ภาพที่ 7.2
ภาพท่ี 8.2 คะแนนมาตรฐาน Z คะแนนมาตรฐาน T และพนื้ ท่ใี ต้โคง้
ท่ีมา : ราตรี นันทสคุ นธ์ (2553 : 275)
การแปลงคะแนนให้เป็นคะแนนมาตรฐาน T ต้องแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนน
มาตรฐาน Z กอ่ น แลว้ จงึ เปล่ยี นให้เป็นคะแนนมาตรฐาน T ซงึ่ วธิ กี ารแปลงคะแนนลักษณะน้ีเรียกว่า
การแปลงเชิงเสน้ ตรง (Linear Transformation) น่นั คือ ใชว้ ธิ ีเพิม่ ค่าหน่วยข้นึ ด้วยจานวนคงที่ โดยใช้
272
หลักการของสมการเส้นตรง ลักษณะของคะแนนมาตรฐาน T ที่ได้จึงมีลักษณะเหมือนกับคะแนน
มาตรฐาน Z กล่าวคือ เม่ือนาคะแนนดิบ และคะแนนดิบท่ีแปลงรูปเป็นคะแนนมาตรฐาน Z และ
คะแนนมาตรฐาน T ไปเขยี นกราฟ จะมลี กั ษณะการกระจายหรอื โคง้ การแจกแจงความถี่ที่เหมือนกัน
ทกุ ประการ (ธนวฒั น์ ธติ ธิ นานนั ท.์ 2556 : 161) ดังภาพที่ 8.3
ภาพท่ี 8.3 โคง้ การแจกแจงความถี่ของคะแนนดบิ คะแนนมาตรฐาน Z และคะแนนมาตรฐาน T
ท่ีมา : ธนวฒั น์ ธติ ธิ นานนั ท์ (2556 : 161)
คะแนน T – ปกติ
การแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐาน Z และคะแนนมาตรฐาน T ที่กล่าวมาแล้ว
เป็นคะแนนทไี่ ดจ้ ากการแปลงคะแนนดิบในเชงิ เสน้ ตรง (Liner Transformation) ซึ่งการกระจายของ
คะแนนยงั มีลักษณะเหมอื นการกระจายของคะแนนดิบทุกประการ ทาให้คะแนนมาตรฐานที่ไดไ้ มส่ ามารถ
เปรียบเทียบกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงไม่นิยมแปลงด้วยวิธีนี้ วิธีแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนน
มาตรฐานท่ีถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดคือ การแปลงโดยอาศัยพ้ืนท่ีใต้โค้งปกติ (Area Transformation)
โดยการปรับการกระจายของคะแนนดิบให้เปน็ การกระจายแบบโค้งปกติ (Normal Curve) จากการ
นาเอาตาแหนง่ เปอร์เซ็นต์ไทล์ (Percentile) ของโค้งนั้น ๆ ไปเปรียบเทียบตาแหน่งเปอร์เซ็นต์ไทล์
ของโค้งปกติ เมื่อปรับโค้งแล้วลาดับท่ีของคะแนนจะไม่เปลี่ยนแปลง (จะเปล่ียนแปลงเฉพาะช่วง
คะแนนเท่านัน้ ) และคะแนนมาตรฐานท่ีได้จะมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ ไม่ว่าคะแนนดิบจะมีการ
แจกแจงแบบใดกต็ าม คะแนนมาตรฐานตามวธิ กี ารนี้เรียกวา่ “คะแนนมาตรฐานปกติ T (Normalized
T – Score)” (สมนึก ภทั ทิยธนี. 2558 : 269, อวยพร เรืองตระกูล. มปป. : 92)
1. คณุ สมบตั ิของโค้งปกติ
การแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนมาตรฐาน T ไมต่ อ้ งคานวณค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐานของกลุ่ม แต่จะคานวณโดยอาศัยพื้นท่ีใต้โค้งปกติเป็นหลัก โดยถือว่าพ้ืนท่ีใต้โค้งปกติ
ดังกล่าวจะใช้แทนจานวนคนในกลุ่ม โค้งปกติมีคุณสมบัติที่สาคัญ ดังน้ี (สมนึก ภัททิยธนี. 2558 :
270, ศิริชยั กาญจนวาสี. 2550 : 97, สชุ าดา บวรกิติวงศ.์ 2548 : 160)
273
1.1 เปน็ รปู โค้งแบบระฆงั ควา่ (Bell-Shaped Curve) โดยสว่ นสูงของโค้งจะอยู่กบั ความ
แปรปรวน ถา้ ข้อมลู มคี วามแปรปรวนนอ้ ย โคง้ จะสูงและฐานแคบ ถ้ามคี วามแปรปรวนมากโค้งจะต่า
และฐานกวา้ งข้ึน
1.2 โค้งมีลักษณะสมมาตร (Symmetric Curve) ถ้าแบ่งคร่ึงโค้งตามแนวตั้งท่ี Z = 0
หรอื T = 50 ส่วนโค้งคร่ึงซา้ ยกบั คร่ึงขวาจะซอ้ นทับกันสนทิ
1.3 ค่าเฉล่ีย มธั ยฐาน และฐานนยิ ม จะมคี า่ เท่ากนั และอยตู่ รงจดุ กึง่ กลางของโค้ง
1.4 จุดสงู สดุ ของโค้งจะมีเพียงจุดเดียว คอื จดุ ที่อย่ตู รงกลางของยอดโคง้
1.5 ปลายโคง้ ทงั้ สองข้างจะค่อยลดต่าลง แต่ไม่จรดแกนนอน ไม่ว่าหางของโค้งจะยาว
เท่าไรก็ตาม
1.6 พื้นที่ใต้โค้งท่ีอยู่ตั้งแต่ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ±1 จากค่าเฉล่ียเท่ากับ 68.26%
ตั้งแต่ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ±2 จากค่าเฉลี่ย มีพ้ืนที่เท่ากับ 95.44% และต้ังแต่ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน ±3 จากคา่ เฉลย่ี มีค่าเท่ากับ 99.74%
1.7 โคง้ ปกติที่ใชก้ นั อยทู่ ัว่ ไป มีชอื่ ว่า Standard Normal Distribution ซ่ึงมีคุณสมบัติ
ทสี่ าคญั คอื ค่าเฉลย่ี มีคา่ เท่ากบั 0 และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน มคี ่าเทา่ กบั 1
ภาพท่ี 8.4 การแจกแจงของพ้นื ที่ใต้โคง้ ปกติ
ทม่ี า : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/b/bb/Normal_distribution _
and_scales.gif
2. การแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนน T ปกติ มีลาดบั ขั้น ดงั นี้
2.1 เรยี งลาดบั คะแนนจากมากไปหาน้อย
2.2 แจกแจงความถ่ี (f) ของคะแนนดบิ ท้งั หมด
2.3 หาความถส่ี ะสม (cf) จากคะแนนต่าสดุ ไปถึงคะแนนสงู สดุ
274
2.4 หาค่าความถีส่ ะสมถงึ จดุ ก่ึงกลางของชัน้ (cfL 1 f) โดยนาค่า cf ไปรวมกับคร่ึงหนึ่ง
2
ของ f ในบรรทัดถดั ข้นึ ไป
12.5 หาตาแหนง่ เปอรเ์ ซ็นตไ์ ทล์ (Percentile Rank : PR) โดยคานวณจาก
2
100 (cfL f)
N
2.6 นาคา่ เปอรเ์ ซน็ ต์ไทลท์ ่ีได้ไปเปรยี บเทียบกบั ตาราง T ปกติ
ตวั อย่างที่ 8.4 ผลการสอบของนกั เรียน 49 คน ได้คะแนนดงั น้ี
1 1
คะแนน (X) f cf (cfL 2 f) 100 (cfL 2 f) T – ปกติ
N
69
32 3 49 47.5 96.90 64
62
31 2 46 45 91.80 60
58
30 2 44 43 87.72 55
53
29 1 42 41.5 84.66 52
50
28 5 41 38.5 78.54 47
44
27 3 36 34.5 70.38 41
39
26 4 33 31 63.24 35
27
25 3 29 27.5 56.10
24 4 26 24 48.96
23 6 22 19 38.76
22 5 16 13.5 27.34
21 3 11 9.5 19.38
20 3 8 6.5 13.26
17 4 5 3 6.12
15 1 1 0.5 1.02
ตารางท่ี 8.3 เทยี บตาแหนง่ เปอร์เซ็นต์ไทลเ์ ป็นคะแนน T – ปกติ
T0123456789
1 0.003 0.004 0.007 0.011 0.016 0.023 0.034 0.048 0.069 0.097
2 0.13 0.19 0.26 0.035 0.47 0.62 0.82 1.07 1.39 1.79
3 2.285 2.87 3.59 4.46 5.48 6.66 8.08 9.68 11.51 13.57
4 15.87 18.41 21.19 24.20 27.43 30.85 34.46 38.21 42.07 46.02
5 50.00 53.98 57.93 61.79 65.54 69.15 72.57 75.80 78.81 81.59
6 84.13 86.43 88.49 90.32 91.92 93.32 94.52 65.54 96.41 97.13
7 97.72 98.21 98.61 98.93 99.18 99.38 99.53 99.65 99.74 99.81
8 99.865 99.903 99.931 99.952 99.966 99.977 99.984 99.989 99.993 99.995
หมายเหตุ : T ตามแนวตั้งแสดงหลักสบิ ตามแนวนอนแสดงหลกั หนว่ ย
275
ตารางท่ี 8.4 คะแนน Normalized T – Score และพ้ืนทีใ่ ตโ้ คง้ ปกติ
คะแนน T % คะแนน T % คะแนน T %
ที่อยใู่ ตโ้ คง้ ปกติ ทอ่ี ยใู่ ตโ้ คง้ ปกติ ที่อย่ใู ต้โคง้ ปกติ
70
10 .0032 40 15.87 71 97.72
18.41 72 98.21
11 .0048 41 21.19 73 98.61
74
12 .007 42 24.20 75 98.93
27.73 76 99.18
13 .011 43 30.85 77 99.38
78
14 .016 44 34.46 79 99.53
38.21 80 99.65
15 .023 45 42.07 81 99.74
82
16 .034 46 46.02 83 99.81
50.00 84 99.865
17 .048 47 53.98 85 99.903
86
18 .069 48 57.93 87 99.931
61.97 88 99.952
19 .097 49 65.54 89 99.966
90
20 .13 50 69.15 99.977
72.57 99.984
21 .19 51 75.80 99.9890
22 .26 52 78.81 99.9928
81.59 99.9952
23 .35 53 84.13 99.9968
24 .47 54 86.43
88.49
25 .62 55 90.32
26 .82 56 91.92
93.32
27 1.07 57 94.52
28 1.39 58 95.54
96.41
29 1.79 59 97.13
30 2.28 60
31 2.87 61
32 3.59 62
33 4.46 63
34 5.48 64
35 6.68 65
36 8.08 66
37 9.68 67
38 11.51 68
39 13.57 69
ที่มา : ราตรี นันทสคุ นธ์ (2553 : 273 – 274)
276
3. ประโยชน์ของคะแนน T – ปกติ
3.1 กรณีมีการสอบวิชาเดียว แต่คะแนนแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ คะแนนภาคทฤษฎี
และคะแนนภาคปฏิบตั ิ ก็ควรแปลงคะแนนดิบแต่ละส่วนให้เป็นคะแนน T ปกติ แล้วจึงนามารวมกัน
จะได้เปน็ 2T แมจ้ ะกาหนดน้าหนักคะแนนไม่เท่ากันก็ตาม เช่น ต้องการน้าหนักคะแนนภาคปฏิบัติ
เปน็ 1.5 เท่าของคะแนนภาคทฤษฎี ก็จะไดค้ ะแนนรวมเปน็ 1.5T + T = 2.5 T เป็นต้น
3.2 กรณีทม่ี ีการสอบต้งั แต่ 2 วชิ าข้ึนไป ถ้าผู้สอนตอ้ งการรวมคะแนนของวิชาเหล่าน้ัน
ก็ต้องแปลงคะแนนดบิ ของแต่ละวิชาให้เป็นคะแนนปกติ T แล้วจงึ นาคะแนน T ปกติของแต่ละวิชามา
รวมกัน จะทาใหเ้ กดิ ความยุตธิ รรมกบั ผู้เรียนมากข้ึน
3.3 นาไปใช้ในการทาเกณฑ์ปกติ (Norms) ได้
3.4 คะแนน T – ปกติ สามารถนาไปใช้ตัดสินให้ระดบั ผลการเรียน (ตัดเกรด) ในระดับ
อิงกล่มุ วชิ าใด ๆ ได้อย่างยุติธรรม
3.5 เกณฑ์การแปลความหมายของคะแนน T – ปกติ สามารถแปลได้ดังนี้ (สมนึก
ภทั ทยิ ธนี. 2558 : 274)
T ≥ 65 แปลว่า สงู มาก
T = 55 – 64 แปลว่า สูง
T = 45 – 54 แปลว่า พอใช้
T = 50 แปลวา่ ปานกลาง
T = 35 – 44 แปลวา่ ต่า
T ≤ 34 แปลว่า ควรไดร้ บั การปรบั ปรุง
การตดั เกรด
เปน็ การสรุปผลการเรยี นข้นั สุดทา้ ย โดยกาหนดระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียน
วา่ ผา่ น – ไมผ่ า่ น หรือ เกง่ – ออ่ น ระดบั ใด การตัดเกรดจึงเป็นการประเมินผลจากการสอบและการวัด
ด้วยเครือ่ งมอื ชนิดต่าง ๆ ในวิชาน้นั เพอ่ื สรปุ ผลออกมาเปน็ ระดับผลการเรยี น (เกรด) ซึ่งผ้สู อนจะตอ้ ง
พิจารณาอย่างรอบคอบ ความถูกต้องและเหมาะสมของการให้เกรดต้องคานึงถึงองค์ประกอบ 3
ประการ คือ (สมนึก ภัททิยธน.ี 2558 : 284)
1. ผลการวัด (Measurement) การวัดท่ีดีจะต้องให้ผลการวัดท่ีถูกต้องแม่นยา เที่ยงตรง
ครอบคลมุ และเชือ่ ถอื ได้
2. เกณฑ์การพิจารณา (Criteria) ต้องมีความเหมาะสมท่ีจะใช้เป็นหลักเปรียบเทียบหรือ
เปน็ คุณลักษณะท่ตี ้ังไว้เป็นเปา้ หมาย หรือมุ่งหวังท่ีจะให้เกิดแก่ผู้เรียนและใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินชี้ขาด
เกี่ยวกับระดับความสามารถของผเู้ รยี น
3. วจิ ารณญาณและคณุ ธรรม (Value Judgment) เนอื่ งจากผลการวดั ทไ่ี ด้เป็นเพียงข้อมูล
ส่วนหนึ่งเก่ยี วกบั ตัวนักเรยี น การประเมนิ ท่ีเที่ยงตรงจาเป็นต้องอาศัยดุลยพินิจของครูผู้สอนอย่างถี่
ถ้วนรอบคอบ โดยพยายามให้ความเป็นธรรม ขจัดความลาเอียงหรืออคติส่วนตัวออกไป และควร
คานึงถงึ ความเปลยี่ นแปลงงอกงามของนกั เรยี นในดา้ นอน่ื ๆ ประกอบดว้ ย
277
โดยทวั่ ไปการตดั เกรดหรือการใหร้ ะดบั คะแนน นิยมให้ 2 ลักษณะคือ ตัวอักษร เช่น A, B,
C, D หรือ P (Pass), U (Unsatisfied) หรือ ก, ข, ค, ง และตัวเลข เช่น 0, 1, 2, 3, 4 การตัดเกรด
จาแนกได้ 2 ประเภทคอื
1. การตดั เกรดแบบอิงกลุ่ม
วิธีการนี้จะนาคะแนนท่ีเกิดจากผลการเรียนของนักเรียนแต่ละคนไปเปรียบเทียบกับ
คะแนนของกลมุ่ ในวิชาเดยี วกนั ดังนั้นการประเมินแบบนี้ ส่วนมากจะรายงานออกมาในรูปอันดับที่
(Rank) หรือตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ (Percentile Rank) หรือในรูปเกรด A, B, C, D หรือ E เกรดใน
การประเมินแบบนีจ้ ะให้ความสาคญั ในลักษณะท่ีบ่งบอกว่าเขาเก่งกว่าคนอื่นเท่าไร ไม่สามารถบอก
ได้วา่ เกรด A น้นั มีความรใู้ นเรอ่ื งใดบา้ ง จานวนเท่าใด การให้เกรดในระบบน้ีมีหลายแบบ แต่ในที่นี้ขอเสนอ
เพียง 3 แบบ ดังนี้
1.1 การใหค้ ะแนนจากการจัดกล่มุ ตามธรรมชาติ หลักการสาคัญ คือ นาคะแนนดบิ มา
จัดเรยี ง แลว้ พจิ ารณาจากช่องว่างของคะแนน (GAP) โดยนาช่องว่างดังกล่าวเป็นจุดแบ่งของแต่ละ
ระดับคะแนน ดังตวั อย่างท่ี 8.5
ตัวอยา่ งท่ี 8.5 คะแนนสอบวิชาวทิ ยาศาสตร์ เมอื่ เรยี งลาดบั และแจกแจงความถ่ี
ไดด้ งั นี้
คะแนน ความถ่ี ระดับคะแนน
80 1 ชอ่ งวา่ ง A
78 2
77 2 B
76 2 ชอ่ งวา่ ง
74 2
73 3
72 3 C
71 2
70 2 ชอ่ งวา่ ง
68 2
67 2 D
66 2 ช่องวา่ ง
64 1 E
63 1
จากตวั อย่างจะเหน็ ว่ามชี อ่ งวา่ งในแตล่ ะชว่ งคะแนน จึงนาชอ่ งว่าน้ันเป็นจุดแบง่ แตล่ ะ
ระดับคะแนน วธิ นี ้เี หมาะสาหรับผู้เรียนไม่มาก ซ่ึงไม่มีหลักการมากนัก ข้ึนอยู่กับดุลยพินิจของผู้ให้
ระดบั ผลการเรยี น
278
1.2 การใช้เปอร์เซ็นต์ตามการแจกแจงของโค้งปกติ ซึ่งมีหลักการสาคัญ คือ การ
กาหนดเปอรเ์ ซ็นตใ์ นแตล่ ะระดับคะแนนข้นึ อยู่กบั ดุลยพินจิ ของครูผ้สู อน และใช้ในกรณีท่ีมีผู้เข้าสอบ
จานวนมาก คะแนนมกั จะมกี ารกระจายในรปู โค้งปกติ ดังภาพที่ 7.5
ภาพท่ี 8.5 การแบง่ กลมุ่ ใหเ้ กรดตามการแจกแจงปกติ
ทม่ี า : ราตรี นันทสุคนธ์ (2553 : 280)
ดงั น้นั ผู้สอนตอ้ งกาหนดจานวนเกรดหรือระดับคะแนนกอ่ น แลว้ เรียงอันดบั ท่ี
(Rank) ของการสอบตามคะแนนจากมากไปน้อย ดังตัวอยา่ งที่ 7.6 (ผูส้ อบจานวน 70 คน)
1) กรณีตดั เกรด 3 เกรด 16
100
เกรด A ต้องการ 16% มจี านวน 11 คน x70 11.2
เกรด B ต้องการ 68% มจี านวน 48 คน
เกรด C ต้องการ 16% มีจานวน 11 คน
2) กรณตี ดั เกรด 4 เกรด
เกรด A ต้องการ 16% มีจานวน 11 คน
เกรด B ต้องการ 34% มีจานวน 24 คน
เกรด C ตอ้ งการ 34% มจี านวน 24 คน
เกรด D ต้องการ 16% มีจานวน 11 คน
3) กรณตี ดั เกรด 5 เกรด
เกรด A ต้องการ 10% มจี านวน 7 คน
เกรด B ต้องการ 20% มจี านวน 14 คน
เกรด C ต้องการ 40% มจี านวน 28 คน
เกรด D ตอ้ งการ 20% มจี านวน 14 คน
เกรด E ตอ้ งการ 10% มจี านวน 7 คน
279
1.3 การใช้คะแนน T –ปกติ (Normalized T-Score) เป็นการตัดเกรดที่นาเอาผล
การเรยี นรู้มาเปรียบเทียบกนั โดยใช้หลกั การแจกแจงคะแนนให้อยู่ในรูปโค้งปกติ (Normal Curve)
มขี ้นั ตอน ดงั น้ี
ตัวอยา่ งที่ 8.6 ใช้ข้อมลู การแปลงคะแนนดิบเป็นคะแนน T – ปกติ
คะแนน ความถี่ ความถ่ีสะสม (cfL 1 f) 100 (cfL 1 f) T – ปกติ
(X) (f) (cf) 2 N 2
72
71 1 40 39.5 98.75 72
70
69 1 39 38.5 96.25 68
68
67 2 38 37 92.50 64
66
3 36 34.5 86.25 60
65
64 6 33 30 75.00 57
63
62 2 27 26 65.00 54
61
60 4 25 23 57.50 52
59
58 4 21 19 47.50 49
57 4 17 15 37.50 47
2 13 12 30.00 45
3 11 9.5 23.75 43
1 8 7.5 18.75 41
3 7 5.5 13.75 39
2 4 3 7.50 35
1 2 1.5 3.75 32
1 1 0.5 1.25 28
การแปลงคะแนนดิบให้เปน็ คะแนน T –ปกติ มีลาดบั ดงั น้ี
1) เรียงลาดบั คะแนนจากมากไปหาน้อย
2) แจกแจงความถี่ (f) จากคะแนนต่าสดุ ไปถงึ คะแนนสูงสดุ
3) หาความถี่สะสม (cf) จากคะแนนตา่ สดุ ไปถงึ คะแนนสงู สดุ
1 f)
4) หาค่าความถ่ีสะสมถึงจุดก่ึงกลางของชั้น (cfL 2 โดยนาค่า cf ไปรวมกับ
ครง่ึ หนึง่ ของ f ในบรรทัดถัดข้นึ ไป
100 1 5) หาตาแหนง่ เปอรเ์ ซน็ ตไ์ ทล์ (Percentile Rank : PR) โดยคานวณจาก
N 2
(cfL f)
6) นาค่าเปอร์เซ็นต์ไทล์ท่ีได้ไปเปรียบเทียบกับตาราง T ปกติ (ตารางท่ี 8.3 – 8.4
หนา้ 274 – 275)
280
วธิ ีการใชค้ ะแนน T –ปกติ (Normalized T-Score) มขี ้ันตอน ดงั น้ี
1) แปลงคะแนนดบิ ให้เปน็ คะแนน T – ปกติ
2) กาหนดจานวนเกรด (2, 3, 4 หรอื 5)
3) หาช่วงกวา้ งคะแนน T – ปกติ โดยใช้สตู ร
ชว่ งคะแนน (พสิ ัย) = คะแนน T – ปกติ สูงสุด - คะแนน T – ปกติ ตา่ สุด
4) หาความกว้างของแต่ละชว่ งเกรด (อนั ตรภาคช้ัน : i) โดยเอาชว่ งกวา้ งคะแนนหาร
ดว้ ยจานวนเกรด ดงั นี้ ชว่ งกวา้ งของคะแนน
จานวนเกรด
ความกว้างของชว่ งเกรด =
5) ใชค้ ะแนนมาตรฐานปกติ T50 เป็นจดุ หลักในการแบ่งเกรดออกเปน็ ส่วน ๆ
5.1) กรณเี ป็นเลขคู่ เช่น 2, 4 เกรด ให้แบ่งช่วงของเกรดจากคะแนน T50 เป็นตน้ ไป
5.2) กรณเี ปน็ เลขค่ี เชน่ 3, 5 เกรด ให้แบ่งช่วงเกรด โดยให้เกรดกึ่งกลางคร่อม
คะแนน T50 (เกรดที่อยกู่ ลางจงึ มคี ่าเท่ากบั ชว่ งของเกรดหาร 2 แล้วนาไปบวกกับคะแนน T50 แล้ว
จงึ หาชว่ งตอ่ ไปทง้ั ข้ึนและลง)
ตัวอย่างที่ 8.7 จากตัวอย่างท่ี 8.6 ถ้าให้ระดับผลการเรียน 4 ระดับ และ 5
ระดบั จะมีนักเรยี นสอบไดแ้ ตล่ ะระดบั ก่ีคน
ก. กรณี 4 เกรด
1. หาช่วงกว้างคะแนน (72 – 28 = 44)
44
2. หาความกวา้ งของเกรด 4 = 11
3. ให้เอาคะแนน T – ปกติ (T50) เป็นจดุ หลักในการพจิ ารณา นาค่าความ
กวา้ งของเกรดมาลบหรอื บวก ตามกรณี แล้วให้ระดบั คะแนน ดงั น้ี
ระดบั เกรด ชว่ งคะแนน T- ปกติ จานวนคน
A ตั้งแต่ 62 ข้นึ ไป 4
B 50 – 61 15
C 39 – 49 17
D ต้ังแต่ 38 ลงมา 4
ข. กรณี 5 เกรด
1. หาชว่ งกวา้ งคะแนน (72 – 28 = 44)
44
2. หาความกวา้ งของเกรด 5 = 8.8 = 9
3. ให้เอาคะแนน T – ปกติ (T50) เป็นจุดหลักในการพิจารณา นาค่าความ
กวา้ งของเกรดมาลบหรือบวก ตามกรณี แลว้ ให้ระดบั คะแนน ดงั นี้
281
ระดับเกรด ช่วงคะแนน T- ปกติ จานวนคน
A ต้งั แต่ 64 ขึ้นไป 4
B 55 - 63 9
C 46 – 54 14
D 37 – 45 9
E ตั้งแต่ 36 ลงมา 4
2. การตัดเกรดแบบองิ เกณฑ์
การตดั เกรดแบบอิงเกณฑ์ เป็นการนาคะแนนทไ่ี ดจ้ ากผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละคน
ไปเปรยี บเทียบกับเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้า การใช้วิธีนี้นิยมใช้ 2 ประเภทคือ (สมนึก ภัททิยธนี.
2558 : 298)
2.1 การตัดสินให้ผ่าน – ไม่ผ่าน หลักการคือ กาหนดเกณฑ์ข้ันต่าในรูปคะแนนหรือ
เปอร์เซ็นต์ ผลท่ีจากการประเมินวิธีน้ีจะมีเพียงค่าเดียวคือ ผ่านหรือไม่ผ่าน ดังนั้นผู้สอนจะต้อง
กาหนดเกณฑ์ความสามารถขน้ั ตา่ (Minimum Passing Level : MPL) ขึน้ มาว่า ผเู้ รยี นแต่ละคนต้อง
มีความสามารถอย่างไร แลว้ จึงตรวจสอบว่าใครผา่ นหรอื ไมผ่ า่ นเกณฑ์ทกี่ าหนดไว้
2.2 การใชผ้ ลทีค่ าดหวงั หรือเกณฑ์ทคี่ งที่ หลักการคอื กาหนดเกณฑโ์ ดยใช้คะแนนดิบ
หรือเปอรเ์ ซน็ ตข์ ้ึนมาก่อน เช่น
2.2.1 กรณี 5 เกรด
80% ข้ึนไป ไดเ้ กรด A
70% - 79% ไดเ้ กรด B
60% - 69% ได้เกรด C
50% - 59% ไดเ้ กรด D
ตา่ กว่า 50% ไดเ้ กรด E
2.2.1 กรณี 8 เกรด
80% ข้ึนไป ไดเ้ กรด A
75% - 79% ไดเ้ กรด B+
70% - 74% ไดเ้ กรด B
65% - 69% ได้เกรด C+
60% - 64% ไดเ้ กรด C
55% - 59% ไดเ้ กรด D+
50% - 54% ได้เกรด D
ตา่ กว่า 50% ไดเ้ กรด F
การตดั เกรดโดยวธิ ีน้ีมีจุดอ่อนตรงที่ว่า คะแนนหรือเปอร์เซ็นต์ที่ผู้เรียนได้จะขึ้นอยู่กับ
ความยากงา่ ยของขอ้ สอบ โดยผู้สอนอาจจะไมไ่ ด้ใช้วจิ ารณญาณมาเกย่ี วของด้วย เช่น ถา้ ผู้สอนสงั เกต
พบวา่ ผเู้ รียนกลุ่มนเ้ี กง่ แต่ขอ้ สอบยากเกนิ ไป ผู้เรยี นกลุ่มนอ้ี าจจะไมไ่ ดเ้ กรด A หรือถ้าผู้สอนรู้สึกว่า
282
ผู้เรียนอีกกลุ่มหนึ่งอ่อน แต่ข้อสอบง่าย ผู้เรียนมีโอกาสได้คะแนนสูงและอาจจะได้เกรด A ซึ่งไม่
สอดคล้องกับการประเมินของผูส้ อน
การผสมผสานระหวา่ งการตดั เกรดแบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์ ในทางปฏิบัติเราสามารถ
ตดั เกรดไดท้ ัง้ แบบอิงกลุ่มและอิงเกณฑ์ โดยการกาหนดเกณฑ์ความสามารถข้ันต่าของผลการเรียน
(อิงเกณฑ)์ แลว้ นาคะแนนของผู้เรยี นท้งั กลมุ่ มาเปรียบเทียบกนั (องิ กลุ่ม)
3. ขอ้ ควรคานงึ ในการตัดเกรด
การให้เกรดที่มีความยุติธรรม เท่ียงตรง และเชื่อถือได้ มีข้อควรคานึงถึง ดังน้ี (พิชิต
ฤทธิ์จรญู . 2553 : 222)
3.1 ควรแจง้ ให้ผเู้ รียนทราบลว่ งหนา้ ถึงกระบวนการตดั เกรดต้งั แตเ่ ร่ิมเรยี น การตดั เกรด
จะรวมถงึ งานอะไรบา้ ง แต่ละงานมีนา้ หนกั ของคะแนนเทา่ ใด ตัดเกรดระบบอิงกลุ่มหรืออิงเกณฑ์ แต่ละ
เกรดมชี ่วงคะแนนเทา่ ใด
3.2 การตดั เกรดควรตงั้ อยู่บนพ้นื ฐานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน อันเป็นผลมา
จากกระบวนการจดั การเรียนการสอนอยา่ งเดยี วเทา่ น้ัน ไมม่ อี งค์ประกอบอน่ื ๆ เข้ามาแทรกซอ้ น
3.3 การตัดเกรดควรใช้วธิ กี ารประเมินตามสภาพจริงและมีกระบวนการวัดท่นี า่ เช่อื ถือ
3.4 การรวมน้าหนักคะแนนเพื่อใช้ในการตัดเกรดในกรณีท่ีมีคะแนนหลายชุด ควรใช้
เทคนคิ ในการกาหนดคะแนน
3.5 ควรเลอื กระบบตัดเกรดให้เหมาะสมกับลักษณะของการจดั การเรยี นการสอน กรณี
เป็นการเรียนเพือ่ รอบรู้ ควรเลือกใชร้ ะบบองิ เกณฑ์ (การจดั การเรยี นการสอนในหองเรียนที่ตัดสินให้ตก
ควรใช้เกณฑส์ มบรู ณ์)
3.6 กรณีเกิดความสงสัยเก่ียวกับความยุติธรรมในการตัดเกรด ควรทบทวนจุดตัดของ
แตล่ ะเกรด และควรทบทวนตรวจสอบหลักฐานของผลการวัดทีเ่ กี่ยวกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ
ผู้เรียนท้ังหมด
3.7 ผู้สอนต้องใช้คุณธรรมในการพิจารณาเหตุผลและความเหมาะสมในการตัดเกรด
เชน่ ผลการสอบของผเู้ รยี นโดยสว่ นรวม คะแนนสงู สุดตา่ สดุ และการกระจายคะแนนของกลุ่มผู้เรียน
เปน็ ต้น
กรณที คี่ ะแนนของกลุ่มมีการกระจายมากควรพิจารณาตัดเกรดให้มีจานวนเกรด
หลายระดบั ถ้าคะแนนของกล่มุ มกี ารกระจายนอ้ ย ควรพิจารณาตดั เกรดใหม้ ีจานวนเกรดนอ้ ยลง
3.8 กรณีท่ใี หเ้ กรดไม่ถึง 5 ระดับ สิง่ ทคี่ วรพจิ ารณาคอื ระดับคะแนนต่าสุดและคะแนน
สงู สดุ ควรเปน็ กรดอะไร ผู้สอนอาจต้องพิจารณาคะแนนสูงสุดและคะแนนต่าสุดของผู้เรียนกลุ่มน้ัน
ถ้าคะแนนสงู สุดของกลุ่มเปน็ ท่ีน่าพอใจก็อาจจะให้เกรด A แล้วลดหลั่นลงมาเป็น B และ C อาจจะ
ไมม่ เี กรด D หรอื E หากคะแนนต่าสดุ มคี า่ ไมต่ า่ มาก
3.9 ผู้สอนควรเป็นผู้ตัดเกรดด้วยตนเอง เพราะเป็นผู้ที่รู้จักผู้เรียนแต่ละคนมากท่ีสุด
ซ่งึ จะทาให้การตดั เกรดมคี วามเท่ยี งตรงและยตุ ธิ รรม
283
สรปุ
คะแนนดิบเป็นคะแนนที่ไม่มคี วามหมายใด ๆ จะมีความหมายก็ต่อเม่ือนาไปแปลงให้เป็น
คะแนนอย่างอ่นื เพ่อื ใหม้ ีความหมายดขี ึน้ และสามารถแปลความหมายได้
คะแนนมาตรฐาน Z เป็นผลจากการแปลงคะแนนดบิ ให้เป็นคะแนนมาตรฐาน เรียกว่า การแปลง
เชงิ เส้นตรง ซึ่งเปน็ คะแนนพ้นื ฐานของคะแนนมาตรฐานอ่ืน ๆ เช่น คะแนน T-ปกติ ซ่ึงเป็นลักษณะ
ของระบบอิงกลุ่ม ส่วนคะแนน T-ปกติ เป็นคะแนนท่ีแปลงจากตาแหน่งเปอร์เซ็นต์ไทล์ โดยมีการ
ปรับใหค้ ะแนนดบิ เข้าส่โู คง้ ปกติ จะช่วยใหก้ ารรวมคะแนนมคี วามยุตธิ รรม
การนาคะแนนดิบของหลาย ๆ วิชามารวมกันแล้วจัดอันดับ ลักษณะเช่นนี้ย่อมเกิดความ
ผิดพลาด เพราะแต่ละวิชามีลักษณะแตกต่างกัน มีความยากง่ายไม่เท่ากัน จึงไม่ควรเปล่ียนให้เป็น
คะแนน T-ปกติ ทุกรายวิชา แล้วจึงนาคะแนนมารวมกนั ซงึ่ เป็นลกั ษณะของระบบอิงกลุม่
การตดั เกรด แบ่งเป็น 2 ระบบ คือ การองิ กลุ่มและอิงเกณฑ์ การตัดเกรดในระบบอิงกลุ่ม
จะยดึ คะแนน T-ปกติ เป็นหลัก นับว่าเปน็ การประเมนิ ผลทใี่ ห้ความยุตธิ รรม และค่อนข้างเป็นวิธีการ
ทางวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นเรือ่ งสถิติ แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการตดั เกรดมหี ลายวิธี ผู้ประเมินต้องเลือกใช้
ตามความเหมาะสม และต้องใชค้ ุณธรรมควบคูก่ ันดว้ ย สาหรบั การประเมินผลในระหว่างเรียนควรใช้
ระบบองิ เกณฑ์ สว่ นปลายภาคเรียนควรใชร้ ะบบองิ กลุ่ม จึงจะช่วยให้ทราบผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
คาถามทา้ ยบท
1. จากการสอบวิชาคณติ ศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ โดยมคี ะแนนเต็ม 40 คะแนนเทา่ กนั ของนกั เรยี น
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า วิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนเฉลยี่ 33 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 3.5 วชิ า
วทิ ยาศาสตรม์ คี ะแนนเฉลีย่ 28 สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน 4 คะแนนตอ่ ไปนี้เปน็ คะแนนของนักเรียน
3 คน
นักเรียนคนที่ 1 2 3
วิชาคณติ ศาสตร์ 35 30 33
วิชาวิทยาศาสตร์ 35 28 26
จงตอบคาถามต่อไปน้ี
1.1 จงแปลงคะแนนของนักเรียนทัง้ 3 คน ทงั้ 2 วิชาให้เปน็ คะแนนมาตรฐาน Z และคะแนน
มาตรฐาน T
1.2 จากข้อ 1.1 นกั เรยี นคนที่ 1 เกง่ ทง้ั สองวชิ าน้ีเทา่ กนั หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
1.3 จากขอ้ 1.1 จงแปลความหมายของคะแนนมาตรฐาน Z ของนักเรยี นคนท่ี 2
284
2. จงแปลงคะแนนดิบของนักเรียนต่อไปนีใ้ ห้เป็นคะแนน T – ปกติ
40 30 31 32 45 50 43 47 33 28
26 20 25 31 39 46 38 35 49 21
22 30 26 20 25 28 35 34 42 45
22 29 23 39 49 50 36 28 48 24
3. จากข้อ 2 จงตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
3.1 ถ้าตดั เกรดเป็น 4 ระดบั จะมจี านวนนักเรียนไดเ้ กรดแตล่ ะระดบั จานวนกคี่ น
3.2 ถ้าตดั เกรดเปน็ 5 ระดบั จะมจี านวนนกั เรยี นไดเ้ กรดแต่ละระดับจานวนก่คี น
เอกสารอา้ งอิง
ธนวัฒน์ ธิติธนานันท์. (2556). การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พิมพค์ ร้งั ที่ 3. นครราชสีมา :
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสมี า.
บรรดล สุขปิต.ิ (2542). ทฤษฎกี ารวดั และการทดสอบ. นครปฐม : สถาบันราชภัฏนครปฐม.
พิชติ ฤทธ์ิจรูญ. (2553). หลักการวัดและประเมินผลการศกึ ษา. พิมพค์ รั้งท่ี 6. กรงุ เทพฯ : เฮาส์
ออฟ เคอรม์ ิสท์.
ราตรี นนั ทสุคนธ.์ (2553). หลักการวดั และประเมินผลการศึกษา (ฉบับปรับปรุง). กรงุ เทพฯ :
บรษิ ัทจดุ ทองจากดั .
ศริ ชิ ยั กาญจนวาส.ี (2550). สถติ ิประยุกต์สาหรบั การวิจยั . พมิ พค์ รงั้ ที่ 5. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมนึก ภทั ทิยธน.ี (2558). การวัดผลการศึกษา. พมิ พ์คร้ังท่ี 10. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพมิ พ.์
สุชาดา บวรกติ ิวงศ์. (2548). สถิตปิ ระยกุ ตท์ างพฤติกรรมศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แห่ง
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
อวยพร เรืองตระกลู . (มปป.). สถติ ิประยุกต์ทางพฤตกิ รรมศาสตร์ 1. กรงุ เทพฯ : ภาควิชาวิจยั และ
จิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
บทที่ 9
การบริหารการสอบ และปญั หาท่เี กย่ี วข้องกับการวัดผลและประเมนิ ผล
การบริหารการสอบ เปน็ กระบวนการทส่ี าคญั ในการวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี น ผลการสอบ
จะมีความถูกต้อง เท่ียงตรงและน่าเช่ือถือได้มากน้อยเพียงใด นอกจากจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของ
แบบทดสอบแลว้ การบริหารการสอบนับว่าเป็นสิ่งท่ีสาคัญในการทาให้การสอบมีประสิทธิภาพ ซ่ึง
ผลการสอบจะมีประสิทธภิ าพน่าเชือ่ ถอื เพียงใดขนึ้ อยูก่ ับบคุ ลากรทที่ าหน้าที่เกี่ยวกับการประเมินผล
เปน็ สาคญั ผ้บู รหิ ารและผสู้ อนควรศึกษาขอบข่ายงาน ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบเก่ียวกับการ
วดั และประเมินผล การวางแผนเพอื่ พัฒนางานดา้ นการวดั ผลทด่ี ีจะนาไปสกู่ ารพฒั นาคุณภาพการศึกษา
ให้ดีข้ึน การบริหารการสอบและปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับการวัดผลและประเมินผล มีแนวทางในการ
ปฏบิ ตั ิ ดังน้ี
ความสาคัญของการบรหิ ารการสอบ
การบรหิ ารการสอบเปน็ กระบวนการทางานทเี่ กย่ี วกบั การวางแผนการสอบ การดาเนินการสอบ
และการนาผลการสอบไปใช้สาหรบั การประเมินผลการเรียนและรายงานผลการเรียนต่อผู้เกี่ยวข้อง
การบรหิ ารการสอบจึงมีความสาคัญ ดังนี้
1. ทาให้การดาเนินการสอบมีความเป็นระบบเป็นไปตามแผนการสอบและบรรลุตาม
วตั ถปุ ระสงคท์ ี่กาหนดไว้
2. ช่วยทาให้ได้ผลการสอบมีความถูกตอ้ ง เท่ยี งตรงและเช่ือถือได้ ทาให้เกิดความมั่นใจใน
การนาผลการสอบไปใชใ้ นการประเมนิ ผลการเรียนมากยงิ่ ข้ึน
3. ทาให้บคุ ลากรที่เก่ียวข้องท้ังผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และผู้สอบได้มี
การเตรียมความพรอ้ มในการดาเนนิ การสอบตามบทบาทหนา้ ทีข่ องแต่ละบคุ คล
4. ทาให้มีการนาผลการสอบไปใชป้ ระโยชนอ์ ย่างคุม้ คา่ ทั้งในด้านการปรับปรุงและพัฒนา
ผู้เรียน ผ้สู อน และผบู้ ริหารสถานศึกษา ตลอดจนการรายงานผลการเรยี นตอ่ ผ้ปู กครอง
5. ช่วยสนับสนนุ สง่ เสริมใหผ้ ้สู อบได้แสดงความสามารถและพัฒนาตนเองเต็มศักยภาพ
หลกั การและกระบวนการบริหารการสอบ
ในการบริหารการสอบท่ีจะทาให้ได้ผลการสอบที่มีความถูกต้อง เช่ือถือได้ และป้องกัน
ความคลาดเคล่ือนทอี่ าจเกิดขึ้นจากการดาเนนิ การสอบ จงึ ควรใช้หลักการบรหิ ารการสอบ ดังตอ่ ไปนี้
1. มีจุดมุ่งหมาย โดยกาหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้ชัดเจนเพื่อเป็นทิศทางในการ
ดาเนินการสอบใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ
2. มีแผนการดาเนินงาน โดยมีการวางแผนการสอบอย่างรอบคอบว่าจะสอบอะไร สอบ
อย่างไร สอบทใี่ ด และใครเป็นผูร้ บั ผดิ ชอบ
286
3. มแี นวปฏบิ ัติ โดยกาหนดแนวปฏบิ ัตใิ นการดาเนนิ การสอบทชี่ ดั เจนและแจง้ ใหบ้ คุ ลากรที่
เกยี่ วขอ้ งทราบ
4. มกี ารเตรยี มความพรอ้ ม โดยดาเนนิ การใหอ้ าจารยแ์ ละบคุ ลากรท่ีเกยี่ วข้องกับการสอบมี
ความพรอ้ มในการจัดทาแบบทดสอบ จดั เตรยี มวสั ดุ อปุ กรณใ์ นการสอบ สถานทีส่ อบ และการดาเนนิ
การสอบ
5. มีความสะดวก โดยดาเนินการเอ้ืออานวยให้ผู้เข้าสอบได้รับความสะดวกสูงสุดมีการ
รบกวนน้อยท่สี ดุ เพ่ือใหผ้ เู้ ข้าสอบได้ใช้ความรคู้ วามสามารถในการทาแบบทดสอบอยา่ งเต็มท่ี
6. มีความยตุ ธิ รรม โดยดาเนินการให้ผเู้ ขา้ สอบได้รบั ความยตุ ธิ รรมเสมอกันทัง้ ในเรื่องการแจก
และการเกบ็ แบบทดสอบ การชแ้ี จงข้อสอบ การใชเ้ วลาในการสอบและการกากับการสอบ
7. มปี ระสิทธผิ ล โดยมีการกากับดูแลให้การดาเนินการสอบเป็นไปตามแผนการสอบและ
แนวปฏิบัตใิ นการสอบอย่างเคร่งครัดจนบรรลจุ ดุ ม่งุ หมายของการสอบ
สาหรับกระบวนการบรหิ ารการสอบประกอบด้วยการดาเนนิ งาน 3 ขน้ั ตอน ซึง่ มคี วามสมั พนั ธ์กัน
ต่อเน่อื งคือ การเตรียมการก่อนสอบ การดาเนินการสอบ และการนาผลการสอบไปใช้ ดงั ภาพที่ 8.1
การเตรยี มการก่อนสอบ
การนาผลการสอบไปใช้ การดาเนินการสอบ
ภาพที่ 9.1 กระบวนการบริหารการสอบ
การเตรียมการกอ่ นสอบ
การวางแผนก่อนดาเนินการสอบมีผลต่อประสิทธิผลของการสอบอย่างมาก หากมีการ
วางแผนท่ดี ี รอบคอบ กจ็ ะทาให้การสอบเปน็ ไปด้วยความเรียบรอ้ ย ผลจากการสอบสามารถนาไปใช้
ไดอ้ ย่างถกู ต้อง กอ่ นดาเนินการสอบควรมกี ารวางแผนในเรื่องต่อไปนี้
1. กาหนดแผนการสอบ
ก่อนมีการสอบทุกคร้ังผู้ที่มีหน้าท่ีดาเนินการสอบ ซ่ึงได้แก่ ผู้สอน และผู้บริหารควร
ไดก้ าหนดตารางสอบให้เรยี บร้อยแล้วประกาศใหน้ ักเรยี นทราบล่วงหน้าถงึ วัน เวลา วิชาและสถานทส่ี อบ
เพ่ือนักเรียนจะได้เตรียมตัวให้พร้อมก่อนท่ีจะมีการสอบจริง ไม่ควรสอบโดยท่ีนักเรียนไม่ทราบ
ลว่ งหน้ามาก่อน เพราะจะทาใหน้ ักเรยี นตนื่ เตน้ อาจเปน็ ผลเสียตอ่ คะแนนสอบได้
จานวนวันที่ใช้ในการสอบแต่ละคร้ังไม่ควรมากหรือน้อยเกินไป การใช้เวลาสอบนาน
เกนิ ไปกอ่ ใหเ้ กิดความอดึ อัดใจและทาใหเ้ กดิ ความเบอื่ หนา่ ยแก่ผสู้ อบได้ การสอบวันละหลาย ๆ วิชา
ก็มผี ลทาใหผ้ ู้สอบเกดิ ความเม่อื ยล้าได้ โดยเฉพาะนักเรยี นระดับประถมศึกษาและอนุบาล ซึ่งมีความ
อดทนทางสรรี ะนอ้ ยกวา่ นกั เรยี นระดบั สูง
287
การกาหนดเวลาทีใ่ ช้ในการสอบแตล่ ะรายวชิ าควรมีความเหมาะสมกับระดับความยากง่าย
ของข้อสอบดว้ ย ผู้ออกข้อสอบควรเป็นผกู้ าหนดเวลาสอบในแต่ละรายวชิ าเองโดยถือเกณฑว์ า่ นักเรยี น
สว่ นใหญ่ประมาณ 95% ทาขอ้ สอบนัน้ เสร็จ สาหรับข้อสอบแบบเลือกตอบโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา
1 นาที หรือมากกว่า 1 นาที สาหรับการทาข้อสอบแบบเลือกตอบ 1 ข้อ และใช้เวลาครึ่งนาทีหรือ
มากกว่าน้ัน สาหรบั ตอบขอ้ สอบถูก – ผดิ 1 ข้อ (Hopkins, C.D. and Antes, R.L., 1979 : 49)
การเพมิ่ เวลาการทดสอบใหม้ ากขน้ึ ไมม่ ีผลทาให้ความสามารถในการสอบของนักเรียน
เพม่ิ ไปจากเดิม ฉะนน้ั ในการสอบครคู วรกาหนดเวลาสอบแตล่ ะรายวิชาให้พอเหมาะกบั ความสามารถ
ของนักเรยี น ไม่ควรให้เวลามากเกนิ ไป (สนนั่ มณวี ัง. 2522 : 1)
2. สถานที่สอบ
สถานที่ที่ใช้ในการสอบ ควรเป็นห้องที่มีอากาศปลอดโปร่งไม่มืดทึบ ร้อนอบอ้าวหรือ
มเี สยี งและกลนิ่ รบกวน เชน่ หอ้ งท่ีอยู่ใกล้ห้องส้วม ข้างทางเดินหรือใกล้ถนน ซึ่งจะทาให้ผู้สอบเกิด
ความเครยี ดเพราะถกู รบกวน แตถ่ า้ จาเป็นจริง ๆ กค็ วรหาวิธีป้องกัน เช่น อาจติดป้าย “กาลังทดสอบ”
หรือ “หา้ มสง่ เสยี งดัง” ท่ีหน้าห้องสอบ เป็นต้น จากการศึกษาของ อิงเกิลและตีอามิโก (Popham,
W.J., 1981 : 358) พบว่า นักเรียนที่ทาแบบทดสอบมาตรฐานในห้องประชุมท่ีมีแสงสว่างน้อย
ทาคะแนนสอบได้พอ ๆ กับนักเรียนชั้นต่ากว่า ซึ่งสอบในห้องที่มีอากาศปลอดโปร่ง แสดงว่า
บรรยากาศของห้องสอบสามารถส่งผลทั้งในทางดีและทางเสียต่อการสอบได้ การจัดบรรยากาศใน
หอ้ งสอบจึงตอ้ งมีความสาคัญต่อการสอบดว้ ยประการหน่งึ
3. การจดั ห้องสอบ
การจัดห้องสอบควรมีโต๊ะและเกา้ อี้ใหเ้ พยี งพอกับจานวนผู้สอบ โดยเว้นระยะให้ห่างกัน
พอสมควรและควรใช้โตะ๊ เดยี่ วมากกวา่ โต๊ะคู่
ในการสอบแต่ละกลุ่มควรมีผู้สอบไม่มากเกินไป จานวนผู้สอบในห้องหนึ่ง ๆ ควรมี
ประมาณ 30 – 40 คน โดยมีผ้ดู าเนินการสอบหรือผู้คมุ สอบและผูช้ ่วยอีก 1 คน และอาจมีผู้คุมสอบ
เพม่ิ ข้ึนอีก 1 คนตอ่ ผสู้ อบทเี่ พ่ิมขน้ึ ทุก ๆ 20 – 25 คน สาหรับห้องทม่ี ีขนาดใหญ่
ควรจัดเรียงลาดับท่ีน่ังของผู้สอบตามเลขที่ในบัญชีเรียกชื่อให้ติดต่อกัน โดยเรียงจาก
หนา้ ไปหลงั แลว้ ยอ้ นกบั มาข้างหน้าใหม่ดังตัวอย่างแผนผังการจัดที่น่ังสอบ ทั้งน้ีเพ่ือความสะดวกใน
การแจกและเก็บขอ้ สอบ ตลอดจนการกากบั ควบคุมการสอบให้มีประสทิ ธภิ าพ การจดั ทีน่ ่ังสอบ อาจ
จดั ตามแผนผังดังตัวอย่าง ต่อไปนี้
288
ภาพท่ี 9.2 แผนผังทน่ี ่งั สอบ จานวนผเู้ ข้าสอบจานวน 35 คน
4. การเตรยี มอุปกรณ์การสอบ
อปุ กรณท์ ่ีจาเป็นในการสอบคือ แบบทดสอบและกระดาษคาตอบควรเตรียมให้เรียบร้อย
ก่อนถึงวันสอบจริง แบบทดสอบท่ีจะใช้ในการสอบแต่ละคร้ังอาจสร้างขึ้นใหม่หรือเลือกมาจาก
ธนาคารข้อสอบได้ตามความเหมาะสมและตรงตามวตั ถุประสงคข์ องการสอบนนั้
การเลือกประเภทของแบบทดสอบควรคานงึ ถงึ ธรรมชาตแิ ตล่ ะเน้ือหาวชิ าด้วยว่าเหมาะสม
กับแบบทดสอบประเภทใด อตั นยั หรอื ปรนัย แบบถกู – ผดิ เติมคา จบั คู่หรือเลือกตอบ เม่ือตัดสินใจ
เลือกประเภทแบบทดสอบได้แลว้ จงึ ลงมอื สรา้ งหรอื เลือกแบบทดสอบมาจากธนาคารข้อสอบ
กระดาษคาตอบทใี่ ช้ต้องมีลกั ษณะสอดคลอ้ งกับประเภทของแบบทดสอบ การสอบระดับ
อนุบาลและระดับประถมศกึ ษา อาจใหน้ กั เรียนตอบในแบบทดสอบ เพราะนกั เรยี นยังมีความสามารถ
ในการอา่ นระดบั ต่า อาจเกิดการสับสนในการตอบได้ สาหรับนักเรยี นระดบั สูงข้นึ ควรใช้กระดาษคาตอบ
แยกต่างหากจะทาให้สะดวกในการตรวจใหค้ ะแนน
การตรวจใหค้ ะแนนตอ้ งวางแผนไว้ล่วงหน้าจะตรวจโดยใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ หรือใช้
คนตรวจ ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ตรวจจาเปน็ ต้องใช้ดินสอบดา (2B) ตอบหรือไม่ ถ้าจาเปน็ ตอ้ งใช้ก็ควรแจ้ง
ให้ผ้สู อบเตรียมดินสอบไว้ใหพ้ ร้อม
แบบทดสอบและกระดาษคาตอบควรพมิ พห์ มายเลขใหต้ รงกนั ทุกฉบับ เพื่อความสะดวก
และเป็นระเบียบเรยี บร้อยในการแจกและเก็บ อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ใดใช้แบบทดสอบ
ฉบบั ใด เมอื่ มีปญั หาในการทาขอ้ สอบขนึ้ จะได้ติดตามแกไ้ ขได้
อปุ กรณ์การทดสอบทุกชนิด แบบทดสอบ กระดาษคาตอบ และอุปกรณ์ที่จาเป็นควร
เตรยี มไวใ้ ห้มีจานวนมากกว่าจานวนผู้สอบ 5 - 10% เพื่อสารองไวใ้ ชใ้ นกรณีที่มีปัญหา เช่น กระดาษ
คาตอบขาด แบบทดสอบพมิ พไ์ ม่ชัดหรอื ไม่สมบูรณ์ เปน็ ต้น
289
5. การเตรยี มผู้ดาเนนิ การสอบหรอื ผูก้ ากบั การสอบ
ควรจัดเตรยี มผดู้ าเนินการสอบให้ครบตามจานวนที่ต้องการ ผู้ดาเนินการสอบควรเป็น
ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น มีความรู้และซ่ือสัตย์ต่อวิทยาการวัดผล มีความยุติธรรม มีคุณธรรม
มคี วามรบั ผิดชอบสงู เขา้ ใจในบทบาทและหน้าท่ขี องตนเองขณะที่ทาหนา้ ทีใ่ นห้องสอบ
กอ่ นถงึ วันสอบผู้ดาเนินการสอบจาเป็นต้องทราบถึงหน้าท่ีที่ต้องปฏิบัติในการสอบว่า
ต้องปฏิบัติอย่าไร จึงจะทาให้การสอบดาเนินไปด้วยดี ทางโรงเรียนอาจจัดทาคู่มือซึ่งมีแนวปฏิบัติ
ท่ีชัดเจนสาหรับแจกผดู้ าเนนิ การสอบได้ศกึ ษาทุกคน หรอื อาจมีการประชมุ ชแี้ จงขอ้ มลู และแนวปฏบิ ัติ
ท่ีควรทราบกอ่ นถึงวันสอบ
จากขอบข่ายในขนั้ กอ่ นการดาเนนิ การสอบ จะเหน็ ได้ว่าภาระงานดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ
บุคคลหลายฝ่าย ตง้ั แตผ่ บู้ ริหารซง่ึ มหี น้าท่ีในการกาหนดแผนการสอบ เกณฑ์ในการเลือกสถานท่ีสอบ
และบุคลากรทีท่ าหน้าทีเ่ ก่ียวกบั การสร้างแบบทดสอบ การดาเนินการสอบ ตลอดจนทาหน้าที่ตรวจ
ขอ้ สอบและประเมินผล
การจัดเตรยี มแบบทดสอบเปน็ ภาระหนา้ ท่ขี องครผู สู้ อนโดยตรง ซ่งึ จะต้องดาเนินการให้
เสร็จส้ินก่อนถึงวันสอบ ภาระดังกล่าวได้แก่ การสร้างแบบทดสอบ พร้อมทั้งทดลองตอบ เฉลยให้
เรียบร้อยเพอ่ื จะไดท้ ราบวา่ มปี ญั หาอะไรบ้าง เชน่ ไมม่ ขี ้อถูกหรือถูกมากกว่า 1 ข้อ มีข้อสอบซ้าหรือไม่
เป็นตน้
การพิมพ์ โรเนียว เรียง เย็บ ควรเป็นหน้าที่ของผู้สอนซ่ึงเป็นผู้ออกข้อสอบโดยตรง
เพราะข้อสอบถือเปน็ ความลบั ทางราชการ จงึ ไม่ควรให้ผอู้ น่ื หรือเจ้าหน้าท่ที า แต่โดยท่ัวไปแล้วมักจะ
พบวา่ เจ้าหน้าทฝ่ี ่ายธรุ การเปน็ ผพู้ ิมพ์ เพราะผสู้ อนพิมพไ์ ม่เปน็ หรอื ไม่ชานาญ หากพิมพ์เองอาจทาให้
ผดิ พลาดมากย่งิ ขน้ึ และอาจชา้ ไมท่ นั การ ในกรณีท่ีให้เจ้าหน้าที่พิมพ์ผู้สอนควรดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อ
ปอ้ งกนั ขอ้ สอบรัว่ ไหลได้
ก่อนโรเนียว ควรตรวจทานต้นฉบับอยา่ งรอบคอบระมัดระวงั เพื่อป้องกันการผิดพลาด
ซ่ึงมักจะไปแก้ไขในห้องสอบทาให้ผู้สอบเสียสมาธิ และเสียเวลาในการสอบ หากพบข้อผิดพลาด
หลงั จากโรเนียวแลว้ ควรแกไ้ ขให้เรยี บรอ้ ยกอ่ นนาไปใช้สอบ
การเรยี งกระดาษขอ้ สอบควรเรียงอยา่ งระมดั ระวงั อย่าใหม้ ีการเรียงสลับหน้า ขาดตกหล่น
ไปบางหน้าหรอื เรยี งกลับหัว เพราะจะทาให้ผู้สอบเสียผลประโยชน์ อาจทาให้ผลสอบคลาดเคล่ือน
จากความเปน็ จรงิ ได้
ส่วนการเตรียมตัวผู้ดาเนินการสอบ ผู้บริหารควรมีการประชุมชี้แจง หรือจัดทาคู่มือ
เกีย่ วกับแนวปฏิบัติในการสอบ ตั้งแต่กาหนดวันสอบ การดาเนินการสอบ การตรวจเอกสารต่าง ๆ
เก่ียวกับผสู้ อบ และการปฏบิ ัตติ นของผู้ดาเนินการสอบให้ผู้ดาเนินการสอบทราบอย่างชัดเจนก่อนถึง
วนั สอบ ในท่ีนจ้ี ะขอแนะนาลกั ษณะพฤติกรรมของผู้ดาเนินการสอบทด่ี ี ดงั น้ี
พฤติกรรมของผดู้ าเนินการสอบท่ีดี
1. หลีกเลีย่ งการใช้คาพดู หรือท่าทางที่จะทาให้ผู้สอบเกิดความกังวลใจ เช่น ขู่ว่า
ข้อสอบยาก ขวู่ า่ จะกาหวั กระดาษ เป็นต้น
2. ไม่พูดอะไรที่ไมจ่ าเป็นกอ่ นสอบและขณะสอบ ซึ่งจะทาให้เสียเวลาในการสอบ
ตัวอย่างเชน่ พูดถงึ รายงานท่ีมอบหมายให้นักเรียนทาตอนสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน หรือทวงให้
290
นักเรียนส่งงานทีม่ อบหมายให้ แก้ไขข้อสอบหลังจากท่ีนักเรียนได้ลงมือทาข้อสอบแล้ว และคุยหรือ
สนทนากับผู้สอบด้วยเสียงทดี่ งั
3. การเตือนเมือ่ มีการทุจรติ เกิดขน้ึ ควรกระทาอย่างนุ่มนวล
4. ไมบ่ อกใบ้หรือแนะข้อสอบแก่นกั เรียน พยายามไม่เผลอตอบหรอื อธบิ ายข้อสอบ
เมื่อนักเรยี นพยายามถามเพือ่ ลว้ งหาคาตอบ
5. ถ้าเป็นการดาเนินการสอบแบบทดสอบมาตรฐาน ควรปฏิบัติตามคู่มือดาเนิน
การสอบอย่างเครง่ ครัด เพราะผลจากการดาเนนิ การสอบจะเกยี่ วข้องกบั การแปลความหมายคะแนนดว้ ย
การไม่ปฏบิ ตั ิตามคู่มือดาเนินการสอบอาจทาให้คะแนนสอบคลาดเคล่ือนได้ หรืออาจทาให้การสอบ
แต่ละหอ้ งไดเ้ ปรยี บหรอื เสยี เปรียบกนั ได้
พฤติกรรมที่ผู้ดาเนินการสอบไม่ควรกระทา ได้แก่ ไม่เดินไปมาในห้องสอบ
ตลอดเวลา ไมด่ ูนาฬิกาบ่อย ๆ และไม่ยนื ดเู ดก็ ทาข้อสอบอย่างใกล้ชิด
พฤตกิ รรมท่ีผ้ดู าเนนิ การสอบควรกระทา ไดแ้ ก่ คอยสังเกตห่าง ๆ ขณะสอบ
เพอื่ คอยช่วยเหลอื เมอื่ มปี ญั หาเกดิ ขน้ึ เตอื นเวลาให้ผูส้ อบทราบเมอื่ ถึงเวลาพอสมควร เช่น ตอนครึ่งเวลา
กบั ตอนใกล้ ๆ จะหมดเวลา สร้างบรรยากาศที่ดใี นหอ้ งสอบ และพยายามช่วยลดความตงึ เครียดและ
ความวิตกกังวลของผู้สอบ
การดาเนนิ การสอบ
การดาเนนิ การสอบมีหลกั สาคญั ของผดู้ าเนินการสอบต้องคานึงเป็นอย่างยิ่งคือ จะต้องให้
ผสู้ อบทกุ คนมโี อกาสแสดงความสามารถด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ีต้องการจะวัดอย่างเท่าเทียมกัน
โดยจะต้องจดั สภาพการสอบใหผ้ ูส้ อบมีความสะดวกสบายพอสมควร สร้างบรรยากาศและเจตคติที่ดี
ต่อการสอบ ให้คาชี้แจงแนะนาการตอบแบบทดสอบอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ควบคุมดูแลการสอบ
อย่างท่ัวถงึ และขจัดส่ิงต่าง ๆ ที่จะมารบกวนสมาธิในการสอบ ทาให้ผู้สอบมีความวิตกกังวล ซึ่งจะมี
ผลต่อคะแนนการสอบ เพราะถ้าผู้สอบมีความวิตกกังวลในขณะการสอบแล้ว ก็จะตอบข้อสอบได้
คะแนนไม่ดี (Groulund. 1981 : 249) ดงั นั้น ในการดาเนินการสอบจึงต้องพยายามดาเนินการอย่าง
ยุติธรรมและเกิดประโยชนส์ งู สุดตอ่ ผูค้ ุมสอบ ซ่งึ มแี นวปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
1. การดาเนินการกอ่ นเริ่มสอบ
1.1 ตรวจสอบความเรียบร้อยท่ัว ๆ ไปของห้องสอบ ท่ีน่ังสอบ แผนผังท่ีน่ังสอบ และ
อปุ กรณ์ในการสอบ
1.2 ให้ผู้เขา้ หอ้ งสอบกอ่ นเวลาสอบ 15 นาที โดยใหน้ ั่งตามแผนผังทีน่ ่ังสอบ
1.3 สร้างบรรยากาศและแรงจูงใจในการสอบ โดยผู้ดาเนนิ การสอบควรพูดกระตุ้นจูงใจ
ให้ผู้สอบเหน็ คุณประโยชน์ของการสอบ มีความตั้งใจในการตอบข้อสอบอย่างเต็มความสามารถ ให้
กาลังใจผู้สอบ ไมข่ ่มขู่ พูดหรือกระทาสิ่งใด ๆ ทจี่ ะทาใหผ้ ูส้ อบวิตกกังวล ตึงเครยี ดหรอื ขวญั เสยี
1.4 แจกแบบทดสอบและอุปกรณใ์ นการสอบใหผ้ ู้สอบ
1.5 ใหผ้ สู้ อบเขียนชอ่ื รายการตา่ ง ๆ ลงในกระดาษคาตอบให้ครบถ้วนตามทีก่ าหนดไว้
291
1.6 ใหค้ าชแ้ี จงในการสอบ โดยชแ้ี จงเฉพาะสาระที่ปรากฏในคาชี้แจงของแบบทดสอบ
เท่านัน้ และควรให้โอกาสผู้สอบได้ซักถามข้อสงสัยต่าง ๆ จนเข้าใจก่อนที่จะลงมือตอบข้อสอบ แต่
พงึ ระวังในการตอบขอ้ ซกั ถามไม่ให้เป็นการชีแ้ นะหรือบอกใบค้ าตอบ
2. การดาเนินการขณะสอบ
2.1 ต้องปอ้ งกันหรอื ขจัดสงิ่ ตา่ ง ๆ ท่ีจะมารบกวนสมาธใิ นการสอบของผู้สอบโดยเฉพาะ
เร่ืองเกยี่ วกับเสียงต่าง ๆ เช่น ไม่เดินพลุกพล่าน เสียงดัง ไม่คุยเสียงดัง หลีกเลี่ยงการประกาศจาก
เครอื่ งขยายเสียง และให้ปิดเครือ่ งมอื ส่อื สารทุกชนดิ
2.2 ควบคมุ ดแู ลการสอบอย่างทั่วถึง โดยในช่วงเริ่มต้นของการสอบ ผู้ดาเนินการสอบ
อาจเดินตรวจดคู วามเรียบรอ้ ยทวั่ ๆ ไปกอ่ น แลว้ จงึ มายนื กากับการสอบในที่สามารถมองเห็นผู้สอบ
ไดอ้ ย่างทั่วถงึ ไมค่ วรเดนิ ไปมาเพราะจะเป็นการรบกวนสมาธขิ องผู้สอบ
2.3 ต้องควบคุมเวลาสอบให้เป็นไปตามตารางที่กาหนดไว้ โดยไม่ให้ผู้สอบลงมือทา
ขอ้ สอบก่อน
เวลาหรือเกนิ เวลา การเตือนเวลาควรเตอื น 2 ครัง้ คอื เมอ่ื หมดเวลาคร่ึงเวลา และ
ก่อนจะหมดเวลาอกี ประมาณ 3 หรือ 5 นาที การเตือนเม่ือหมดคร่ึงเวลาก็เพื่อให้ผู้สอบได้พิจารณา
การทาข้อสอบท่ีผา่ นมาวา่ เหมาะสมกับเวลาหรอื ไม่ จะไดป้ รบั เปลยี่ นใหเ้ หมาะสมกบั เวลาทเี่ หลอื ส่วน
การเตอื นก่อนหมดเวลาสอบเพ่อื ใหผ้ ู้สอบไดต้ รวจทานความเรยี บร้อยกอ่ นส่งกระดาษคาตอบ
2.4 ตอ้ งควบคุมดูแลไมใ่ หเ้ กดิ การทจุ รติ ในการสอบ โดยการปอ้ งกันไว้ล่วงหน้าด้วยการ
จัดท่ีนั่งสอบให้ห่างกันที่ผู้สอบไม่สามารถดูคาตอบหรือบอกข้อสอบกันได้ และในขณะผู้สอบ
ดาเนินการสอบก็ต้องสังเกตพฤติกรรมการสอบให้ทั่วถึงและต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้โอกาสในการทุจริต
(Bott. 1996 : 180) ได้ให้ข้อคิดว่า “วิธีท่ีดีที่สุดในการป้องกันการทุจริตในการสอบก็คือ การขจัด
โอกาสที่จะทาให้เกิดการทุจริต” ในกรณีท่ีมีการทุจริต ควรดาเนินการอย่างละมุนละม่อม ไม่ควร
เอะอะโวยวายใหข้ วญั เสีย และเสยี สมาธกิ นั ทัง้ ห้อง
2.5 ถ้ามผี สู้ อบยกมือถามระหว่างสอบ ผู้ดาเนินการสอบควรเดินไปหาโดยไม่ให้รบกวน
ผู้สอบคนอ่ืน ๆ แล้วจงึ พิจารณาว่าควรจะตอบคาถามหรือไม่ ซ่ึงโดยปกติจะไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เกีย่ วกับข้อสอบ หากเหน็ ว่าจาเป็นต้องตอบคาถามน้นั จะต้องระมดั ระวงั ไม่ให้เป็นการชี้แนะเก่ียวกับ
การตอบขอ้ สอบ และไมเ่ ปน็ ธรรมกับผสู้ อบคนอ่นื ๆ
2.6 ผู้ดาเนินการสอบต้องปฏิบัติหน้าท่ีความรับผิดชอบ มีความยุติธรรมบริสุทธ์ิใจ
ไมล่ าเอยี ง โดยใหโ้ อกาสผู้สอบได้แสดงความสามารถในการตอบข้อสอบอยา่ งเท่าเทยี มกนั
3. การดาเนนิ การเมอ่ื หมดเวลาสอบ
3.1 สง่ั ให้ผสู้ อบวางดินสอหรอื ปากกา หยุดทาแบบทดสอบทันที ไม่ควรให้โอกาสผู้สอบ
บางคนทาขอ้ สอบต่อไป แมจ้ ะใชเ้ วลาเพยี ง 1 – 2 นาที เพราะจะเปน็ การไมย่ ุตธิ รรมกับผสู้ อบคนอ่นื ๆ
3.2 เกบ็ รวบรวมกระดาษคาตอบและแบบทดสอบคนื ตรวจนับใหค้ รบถ้วนและจัดเรียง
กระดาษคาตอบตามลาดบั เลขทข่ี องผูส้ อบ
292
การนาผลการสอบไปใช้
การทดสอบจะเกิดประโยชน์อย่างมากต่อการจัดการเรียนการสอน ถ้าหากว่าหลังจาก
ดาเนนิ การสอบและตรวจให้คะแนนเรียบร้อยแล้ว ได้มีการนาผลการสอบไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อ
ผู้บริหาร ครู นักเรียน และผูป้ กครอง ดงั ตอ่ ไปนี้
1. การใช้ผลการทดสอบพัฒนาผู้เรียน ครูผู้สอนสามารถนาผลการทดสอบไปใช้พัฒนา
ผูเ้ รียนได้ใน 3 ลักษณะ ได้แก่
1.1 การวินจิ ฉยั ผู้เรียน (Diagnosis) เป็นการใช้ผลการทดสอบหรือการประเมินผลก่อน
การเรยี นการสอน เพอื่ ตรวจสอบความร้พู ื้นฐานของผู้เรยี นวา่ ยังมขี ้อบกพร่องในเรื่องใด ครูผู้สอนจะ
ได้จัดการสอนซอ่ มเสริมความรู้พื้นฐานให้มีความพร้อมที่จะเรียนรูต้ อ่ ไป
1.2 การปรบั ปรุงการเรยี นรู้ เป็นการใชผ้ ลการทดสอบหรือการประเมนิ ผลระหวา่ งเรียน
(Formative Evaluation) เพื่อตรวจสอบว่าผูเ้ รียนมคี วามรูค้ วามสามารถตามจุดประสงค์การเรียนรู้
หรอื ไม่ หากพบว่าผเู้ รยี นยังไมผ่ ่านจดุ ประสงค์การเรยี นรหู้ รอื ยังมขี ้อบกพร่องในเร่อื งใด ครูผู้สอนก็จะได้
ปรบั ปรงุ แก้ไขโดยการจดั การสอนซ่อมเสริมใหผ้ ้เู รียนมคี วามรู้ความสามารถตามจุดประสงค์การเรยี นรู้
ท่กี าหนดไว้
1.3 การตัดสนิ ผลการเรียน เป็นการใชผ้ ลการทดสอบหรอื การประเมนิ ผลรวม (Summative
Evaluation) หลังจากส้ินสุดการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา เพ่ือตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถในรายวิชานั้นเพียงใด แล้วพิจารณาตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ท่ีกาหนดว่าผู้เรียน
แต่ละคนจะไดร้ ะดบั ผลการเรียนใด
2. การใช้ผลการทดสอบปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เม่ือครู
จดั การเรยี นการสอนแต่ละรายวชิ า และไดม้ กี ารทดสอบแลว้ ผลการทดสอบก็คือตัวทช่ี แ้ี สดงผลการเรยี น
ของผ้เู รยี น ซงึ่ เป็นผลอนั เน่อื งมาจากการสอนของครนู ัน่ เอง ถ้าผลการเรียนหรือผลการทดสอบอยู่ใน
เกณฑ์ไมด่ กี ็อาจกลา่ วได้ว่าเป็นเพราะครูใช้เทคนิควิธีการสอนไม่เหมาะสม ดังนั้นผลการทดสอบจะ
เปน็ ข้อมลู ย้อนกลบั (Feedback) ให้ครูพิจารณาทบทวนปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนให้มี
ประสิทธิภาพย่ิงข้ึน
3. การใช้ผลการทดสอบรายงานผู้ปกครอง การรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครองทราบ
เป็นการแสดงถึงความรบั ผดิ ชอบ (Accountability) ตอ่ การจดั การศึกษาของโรงเรยี นหรอื การจัดการเรยี น
การสอนของครวู ่าได้จัดการศึกษาเพอื่ พัฒนาผเู้ รยี นไดผ้ ลเป็นอยา่ งไร และจะทาใหผ้ ู้ปกครองไดร้ ว่ มมือ
ในการปรับปรงุ แกไ้ ขหรือพัฒนาผู้เรียนด้วย โดยท่ัวไปโรงเรียนจะรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครอง
เป็นระยะ ๆ โดยใชส้ มุดรายงานประจาตัวผเู้ รยี น เพ่ือใหผ้ ปู้ กครองได้ทราบถึงผลการประเมนิ การผา่ น
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และผลการสอบปลายภาคหรอื ปลายปี
4. การใช้ผลการทดสอบเป็นข้อมูลสารสนเทศผู้บริหาร ผู้บริหารโรงเรียนจาเป็นต้องมี
ข้อมูลสารสนเทศ (Information) สาหรับประกอบการตัดสินใจในการบริหารงาน จึงจะทาให้การ
บริหารงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ผลการทดสอบของแต่ละรายวิชาหรือโดยภาพรวมทั้ง
โรงเรียนถือวา่ เป็นข้อมลู สารสนเทศทสี่ าคัญเกย่ี วกบั การเรียนการสอนท่ีผู้บริหารสามารถจะนามาเป็น
ขอ้ มลู ประกอบการตัดสินใจในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของแต่ละรายวิชา