โครงการประชุมวชิ าการ
“เครือขา่ ยความร่วมมอื เพื่อเผยแพร่ผลงาน
ดา้ นวชิ าการสาขาประวตั ิศาสตร์ และอาณาบริเวณศกึ ษา
คร้งั ที่ 1”
ระหวา่ งวันท่ี 6-7 สงิ หาคม 2565
ณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
สาขาเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตศ้ กึ ษา มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น
จัดโดย คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่
ท่ปี รกึ ษา ประธานหลักสตู รเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ศกึ ษา
อ.ดร. จิราธร ชาตศิ ริ ิ เลขานกุ ารหลักสูตรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
อ.ดร. ณัฐหทยั มานาดี
รวบรวมและเรยี บเรียงต้นฉบับ นางสาวกมลทพิ ย์ เช้อื ตาอ่อน
นางสาวศิรลิ กั ษณ์ ช่วยเงิน
นางสาววรรณณิภา ทองหน่อหลา้ นางสาวธญั ชนก โกสา
นางสาวเมวดี คำมูล นางสาวพลอย อินนาราช
นางสาวอวศั ดา เหง่าศิลา นางสาวรตมิ า กา้ นอินทร์
นางสาวอญั ชลีพร นามตน้ ทอง
นางสาวณชั ชา วงศ์วฒั นา
นางสาวชลธิญา มโี ชค
ออกแบบปกและรูปเล่ม
นางสาววทัญญตุ า หอ่ นาค
ประสานงานโรงพิมพ์
นายรงุ่ สุริยา โพธ์ทิ อง
นางสาวทกั ษพร ศรีฤทธิ์
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ สาขาเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตศ้ กึ ษา
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
ก
คำนำ
การสรา้ งองคค์ วามรู้เป็นส่งิ ท่ีมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา
ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการศึกษาค้นคว้าที่มีความเฉพาะด้าน การสร้างสรรค์แนวคิด และการสืบค้นท่ี
หลากหลายมากขึ้น นักศึกษามหาวิทยาลัยเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการสร้างองค์
ความรู้ และนำเสนอผลการศกึ ษารปู แบบใหม่ อาทิบทความวิชาการ โครงงานวชิ าการ รวมไปถึงงานท่ี
มงุ่ สอ่ื ถงึ ความรบั รู้ และความเขา้ ใจต่อบรบิ ทสังคมขณะหน่ึง อาทงิ านนิทรรศการ เปน็ ต้น
คณะมนุษยศาสตร์และสั งคมศ าสตร์สาขาเ อเช ียต ะว ันอ อกเ ฉียงใ ต้ศ ึ ก ษ า
มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้จัดงานโครงการประชุมวิชาการ “เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่
ผลงาน ดา้ นวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ และอาณาบรเิ วณศึกษา ครงั้ ที่ 1” เพือ่ นำเสนอการสร้างองค์
ความรู้ใหม่ เพื่อต่อยอดผลงานการศึกษาด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา
เพื่อสง่ เสริมการศกึ ษาค้นควา้ ในระดับอุดมศึกษาทีน่ ำไปสู่การศึกษาค้นคว้าในอนาคต อกี ทงั้ ยังมุง่ สร้าง
ศักยภาพของนักศึกษาทั้งในมหาวิทยาลัยขอนแก่น และนักศึกษาระดับอุดมศึกษาอื่น ๆ ให้เกิดการ
วางแผนแนวทางการศึกษา แนวคิดในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมไปถงึ ความม่นั ใจในการนำเสนอผลงาน และการแสดงความคดิ เหน็ อย่างมเี หตมุ ีผล
โครงการประชุมวิชาการ “เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่ผลงาน ด้านวิชาการสาขา
ประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา ครั้งที่ 1” ได้รับความร่วมมือจากหลายสถาบันอุดมศึกษา
อันได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์, มหาวิทยาลัยศิลปากร,
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ , มหาวิทยาลัยบูรพา
, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, มหาวิทยาลัยนเรศวร, และ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี รวมเป็น 11 สถาบัน ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น
โดยได้รับการสนับสนุนจากคณบดี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประธานหลักสูตรสาขาเอเชีย
ตะวนั ออกเฉียงใตศ้ กึ ษา และคณาจารยผ์ ู้มอี ุปาการคณุ ทุกทา่ น
ทางคณะผู้จัดทำโครงการ อันได้แก่ ประธานหลักสูตร คณาจารย์ และนักศึกษาคณะ
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น หวังเป็น
อย่างยิ่งว่าโครงการประชุมวิชาการน้ีจะเป็นส่วนหน่ึงในการสรา้ งส่วนสำคัญ เพื่อนำไปสู่การสร้างงาน
วิชาการเพอื่ ต่อยอด และสนับสนุนการสร้างองคค์ วามร้ใู หม่ในการศึกษาทุกระดบั ช้ันในสงั คมต่อไป
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ สาขาเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
ข
สารบัญ
คำนำ หนา้
ก
สารบญั ข
จ
สารประธานหลกั สตู รเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ฉ
รายชือ่ ผเู้ ข้าร่วมโครงการประชมุ วิชาการ ถ
1
กำหนดการโครงการ
20
หัวข้อการนำเสนอบทความวชิ าการ
33
การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพและวิถีชวี ิตของผคู้ นในพน้ื ที่บางขนุ เทียนถึงทศวรรษ
2470 (2398-2479) 50
นายธนกร ศริ สิ ขุ วฒั นา มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ
อำเภอตาคลี ยุคสงครามเยน็ และหลังสงครามเยน็ : การเปลย่ี นแปลงความรับรูเ้ ชงิ พ้นื 71
ที่ ในทางวรรณกรรมและสงั คม พ.ศ.2504 – 2542
นายณฐั พงษ์ สีหาทัพ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ 88
รจู้ ักเสียวสวาดวรรณกรรมชิน้ เอกภาคอีสานและการประยุกต์ใช้ในปจั จุบัน
(ปฐมบท) 95
นายภัทรวุฒิ คุณมาศ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ
พลวัตและผลกระทบของยา่ นสะพานควายจากรถไฟฟ้าสายสุขมุ วทิ 108
ในช่วงทศวรรษ 2500 – 2560 115
นางสาวจุฬาลักษณ์ วงคส์ วัสด์โิ สต มหาวิทยาลยั บรู พา
วฒั นธรรมการบริโภคเนอื้ ววั ของชาวอสี าน สธู่ รุ กจิ ร้านลาบก้อย
( พ.ศ. 2504-2564)
นายณฐั วฒุ ิ นากุดนอก มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
“ศาลหลกั เมอื งอุดรธาน”ี กบั การชว่ งชิงความหมายในพธิ กี รรมและกจิ กรรมการ
ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทศวรรษ 2540–2565
นางสาวณัฎฐธดิ า กัลยา มหาวิทยาลยั มหาสารคาม
การเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกิจของอำเภอตาคลี
จงั หวดั นครสวรรคพ์ .ศ. 2507 – 2519
นางสาวอรปรยี า แกว้ ปรชี า มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค์
ตรอกโรงยาจากซอยค้าฝ่นิ สู่....ถนนคนเดนิ
นางสาววรวลญั ช์ แก้วโต มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
กระแสเกาหลใี นประเทศไทยจากบทบาทรฐั บาลสาธารณรฐั เกาหลี
นายณัชดล โรจน์ธนกาญจน์, นางสาววทัญญตุ า ห่อนาค
และ นางสาวสทุ ธิดา พลพนั ธ์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่
ค
พทุ ธศาสนาในสังคมไทยกา้ วเขา้ สู่ชว่ งขาลง จรงิ หรอื ไม่? 124
: กรณศี ึกษามุมมองของนกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ 145
นางสาวทกั ษพร ศรฤี ทธิ์, นางสาวชลธชิ า ไชยอากร
และนางสาวนนธยิ า โพธิสาร มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ 155
พทุ ธพาณิชยผ์ ่านภาพยนตร์สารคดเี อหปิ สั สโิ ก
นางสาววรดา จนั ทวงค์ และนางสาววรรณณภิ า ทองหน่อหลา้ 165
มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ 180
การเคล่ือนไหวเรยี กรอ้ งความเท่าเทียมทางเพศในระดับมหาวิทยาลยั
นางสาวกัญญาณฐั ทิพย์ทอง และนางสาวเมธาวี พานนนท์ 198
มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 207
สถานภาพสตรบี นเวทนี างงามฟลิ ปิ ปนิ ส์ 216
นายปัญญพฒั น์ ศรบี าง มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ
อทิ ธพิ ลของสหรัฐอเมรกิ าด้านการคมนาคมที่ส่งผลกระทบต่อธรุ กจิ เชิงพาณชิ ย์ 231
ของไทยหลงั สงครามโลกคร้ังที่ 2
นายคฌา เพชรแดง มหาวิทยาลยั บรู พา 242
ว่ายน้ำ: กฬี าอภสิ ิทธิช์ นสงิ คโปรใ์ นยุคอาณานคิ ม 284
นายจิรายทุ ธ สงั ขม์ ุ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ 300
คาสโิ นจีนในลาว 314
นายเอกศรนั ย์ สารทจนี มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ
จากนายทุน แรงงานและชนชน้ั สู่รฐั ศนู ย์กลาง ชายขอบและกงึ่ ชายขอบ: ความ
เชื่อมโยงทางประวัติศาสตรส์ ทู่ ฤษฎีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศสายมารก์ ซสิ ต์
นายธนพงศ์ ตรีสขุ เกษม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
กลุม่ คนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในอาเจะห์ กบั สิทธิและเสรีภาพทีถ่ กู ลมื
นายรุง่ สุรยิ า โพธทิ์ อง และนางสาวภคั จิรา ฟุ้งเหียน
มหาวิทยาลยั ขอนแกน่
หัวข้อการนำเสนอบทความวิชาการ (ออนไลน์)
ระบอบแหง่ ความเชอ่ื ใจ: วัฒนธรรมการเมอื งของระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์
นายดอม รุง่ เรือง จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย
ลกิ อร์ เบเกอรี่ : เรอื่ งเล่า ความทรงจำผ่านรา้ นขนมของเมืองนครศรธี รรมราชนางสาว
กุลธิดา บญุ พันธ์ มหาวิทยาลยั ทกั ษณิ
สถานภาพความรกู้ ารทำแท้งในบริบทสงั คมไทย พ.ศ. 2451 – 2564
นางสาวชตุ ิกาญจน์ วงค์น่มิ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ
ต่ืนจากฝนั ร้าย
: โครงการพัฒนาพืน้ ทหี่ นองใหญ่ตามแนวพระราชดำริ จังหวัดชมุ พร
นางสาวดารารตั น์ ยงั สุข มหาวทิ ยาลัยทักษณิ
จกกโุ บร์สู่การดำเนินชีวิตวิถีชาวมสุ ลมิ : กรณศี ึกษาบ้านลำไพลตก ง
ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา
นางสาวปิยะธดิ า โตะ๊ ขา 331
มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ
พุทธ พราหมณ์ ผี ในพิธกี รรมยางนา : กรณศี ึกษาร่างทรงพ่อตาขุนยาง 349
บ้านคลองเค่ียม ตำบลบางงอน อำเภอพนุ พนิ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นางสาวพมิ พ์ชนก เดชมณี 363
มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ 387
การสรา้ ง “พื้นที”่ และ “ตัวตน” อทุ ยานประวัตศิ าสตร์พระนครศรอี ยุธยา 413
ระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2540
นายกิติชยั กลำ่ อยู่ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา 454
โอกินาวะและปญั หาความขดั แยง้ กบั รฐั บาลญ่ปี นุ่
นางสาวภทั รวรรณ จิตรสวาท 462
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ 472
ความร่วมมอื ระหว่างไทยกบั มาเลเซีย 476
:กรณปี ัญหาพรรคคอมมวิ นิสตม์ ลายา (ค.ศ. 1957-1989) 479
นางสาวศริ ิรตั น์ น้อยชาตรี มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ 482
หวั ข้อการนำเสนอโครงงานวชิ าการ
“กลุ่มบอรด์ เกมศกึ คนชนช้ัน”
นายศภุ วิชญ์ เมน่ หรุม่
นายกันตธ์ ีร์ อรุ าเจรญิ
นายกษิดศิ หมืน่ ภกั ดี
นายจตรุ วชิ ญ์ นอ้ ยนำ้ คำ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
“เกม It seems like Imperialism”
นายศุภศิษฏ์ สทิ ธสิ งิ ห์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร
นทิ รรศการ “Yesterday Once More
เพราะความคิดถึงคือส่งิ ท่ใี คร ๆ ก็เคยเปน็ ”
นายอัครเดช เยน็ สบาย มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่
สารคดี กูย การมีอยู่ของภาษาทถ่ี กู ลมื
นางสาวกชกร ด่านกระโทก มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่
นทิ รรศการ Death Destination จากอย.ู่ .ถึงตาย
นางสาวทศั นียา แก้ววงั ชยั มหาวิทยาลัยขอนแกน่
การจดั ทำพพิ ิธภัณฑ์ออนไลน์
"เครอื่ งมือของรฐั บาลในการโฆษณาการสร้างชาติ พ.ศ. 2474-2505
นายพทิ ยา ผลมาก มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
จ
สารประธานหลักสูตรเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
หลกั สตู รศลิ ปศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ มีปณิธานในการมุ่งผลิตบัณฑิตให้มีความรู้ ความเข้าใจด้านเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในมิตปิ ระวัติศาสตร์ ภาษา สังคม วัฒนธรรม และการพัฒนา โดยเฉพาะด้าน
ประวัติศาสตร์เพื่อการท่องเที่ยว และสารคดีที่ถือเป็นจุดเน้นสำคัญของหลักสูตร ด้วยพื้นฐานความรู้
เชิงบูรณาการ สื่อสารภาษาอังกฤษและภาษา ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพร้อม
สำหรับการทำงานข้ามวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม
และจรรยาบรรณตามหลกั วิชาการ/วิชาชีพ เข้าใจในสถานการณ์ของโลก และสังคมที่มีความแตกตา่ ง
หลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นบัณฑิตท่ีพึงประสงค์ของสังคม และตลาดงาน
ในระดับอาเซียน ตลอดระยะเวลา 4 ปีของการศึกษา หลักสูตร ฯ มุ่งเน้นการส่งเสริมให้นักศึกษา
มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิชาการตลอดจนสามารถประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อผลิตผลงานและชิ้นงาน
ต่าง ๆ ได้ ทั้งในด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และในด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของ
หลกั สูตร
“Showcase โชว์ของ งานประชุมวิชาการ เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่ผลงาน
ด้านวิชาการ สาขาประวัติศาสตร์และอาณาบริเวณศึกษา ครั้งที่ 1” จึงเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะ
สนบั สนนุ และสง่ เสรมิ นกั ศึกษาระดับปริญญาตรีให้มีเวทใี นการแสดงผลงานวชิ าการในรปู แบบต่าง ๆ
โดยไม่จำกัดแค่เพียงบทความวิจัย หรือบทความวิชาการเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงโครงงานในลักษณะ
ประวัติศาสตร์ประยุกต์ และภูมิภาคศึกษาอีกด้วย และเปน็ ทีน่ ่ายินดีท่ีมสี ถาบันตา่ ง ๆ ถึง 11 สถาบัน
ให้ความสนใจในการร่วมสนับสนุนและส่งเสริมนักศึกษา ระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์
และภมู ภิ าคศึกษาให้ได้มีโอกาสในการแสดงความสามารถทางวชิ าการ
ทางผู้จัดงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่า “Showcase โชว์ของ งานประชุมวิชาการ เครือข่ายความ
ร่วมมือ เพื่อเผยแพร่ผลงานด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์และอาณาบริเวณศึกษา ครั้งที่ 1”
จะเป็นจุดเริ่มต้นการเติบโตทางวิชาการของนักศึกษาในสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนช่วยต่อยอด
ใหเ้ กิดความรว่ มมอื ในทางวชิ าการของทงั้ คณาจารย์ และนักศกึ ษาอยา่ งยง่ั ยืน
จิราธร ชาติศิริ
ประธานกรรมการบรหิ ารหลกั สตู รเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
ฉ
รายช่อื ผู้เขา้ รว่ มโครงการประชมุ วชิ าการ
“เครือขา่ ยความรว่ มมือเพ่ือเผยแพร่ผลงานดา้ นวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบริเวณศึกษา คร้ังที่ 1”
ระหวา่ งวนั ที่ 6-7 สิงหาคม 2565
คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตรม์ หาวทิ ยาลัยขอนแก่น
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ หมายเหตุ
ลำดับ ชื่อ-สกุล
1 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยพ์ มิ พ์อมุ า ธญั ธนกุล
2 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ณัฏฐริ า กาญจนศลิ ป์
3 ผู้ช่วยศาสตราจารยว์ ิลุบล กองกล่ิน
4 นายณฐั ภัทร เรอื งพลู
5 นางสาวอรปรยี า แก้วปรีชา
6 นางสาวสวิชญา เจริญพรศิลป์
7 นายณฐั กาญจน์ ก้อยผ่านกิจ
8 นางสาววรวลญั ช์ แกว้ โต
9 นางสาวจันทรรัตน์ ตุ่นติบ๊
เปน็ นักศึกษานำเสนองาน 2 คน คอื
1. นางสาว วรวลญั ช์ แกว้ โต เรอ่ื ง “ตรอกโรงยาจากซอยคา้ ฝ่นิ ส่.ู ...ถนนคนเดนิ ”
2. นางสาวอรปรียา แก้วปรชี า เร่อื ง “การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอำเภอตาคลจี งั หวดั
นครสวรรค์ พ.ศ. 2507 – 2519”
ช
รายชือ่ ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการประชมุ วชิ าการ
“เครือข่ายความรว่ มมอื เพอื่ เผยแพรผ่ ลงานด้านวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบรเิ วณศกึ ษา คร้งั ท่ี 1”
ระหว่างวันที่ 6-7 สิงหาคม 2565
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร หมายเหตุ
ลำดับ ช่ือ-สกุล
1 ผศ.ดร.ณฐั พล อยรู่ ุ่งเรอื งศักดิ์
2 นายศภุ วิชญ์ เม่นหรมุ่
3 นายกนั ตธ์ ีร์ อุราเจริญ
4 นายกษิดิศ หม่นื ภักดี
5 นายจตุรวิชญ์ นอ้ ยนำ้ คำ
6 นายศุภศิษฏ์ สิทธสิ งิ ห์
เป็นนักศึกษานำเสนองาน 5 คน คอื
1. นายศุภวิชญ์ เม่นหรุ่ม, นายกันตธ์ รี ์ อรุ าเจริญ, นายกษิดิศ หมื่นภักดี และนายจตุรวิชญ์ นอ้ ย
นำ้ คำเรือ่ ง “กลุ่มบอร์ดเกมศึกคนชนชนั้ ”
2. นายศุภศิษฏ์ สทิ ธสิ งิ ห์ เรอ่ื ง “เกม It seems like Imperialism”
ซ
รายชอื่ ผู้เข้ารว่ มโครงการประชุมวิชาการ
“เครอื ขา่ ยความรว่ มมือเพ่อื เผยแพร่ผลงานดา้ นวิชาการสาขาประวตั ิศาสตร์
และอาณาบริเวณศกึ ษา คร้ังท่ี 1”
ระหวา่ งวนั ที่ 6-7 สงิ หาคม 2565
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ หมายเหตุ
ลำดับ ช่อื -สกุล
1 ผู้ช่วยศาสตราจารยโ์ ดม ไกรปกรณ์
2 อาจารย์ ดร.จิราพร รว่ มพงษ์พฒั นะ
3 อาจารย์ ดร.ญานนิ ี ไพทยวัฒน์
4 นายธนกร ศริ สิ ุขวัฒนา
5 นายณัฐพงษ์ สหี าทัพ
6 นายปัญญพัฒน์ ศรีบาง
7 นายจิรายุทธ สังขม์ ุ
8 นายเอกศรันย์ สาตรจีน
9 นายภทั รวุฒิ คณุ มาศ
เปน็ นกั ศึกษานำเสนองาน 6 คน คือ
1. นายธนกร ศิริสขุ วฒั นา เรื่อง “การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวิถชี ีวติ ของผู้คนในพ้นื ท่ีบาง
ขนุ เทียนถึงทศวรรษ 2470 (2398-2479)”
2. นายณฐั พงษ์ สีหาทัพ เรื่อง “อำเภอตาคลี ยคุ สงครามเยน็ และหลังสงครามเย็น : การ
เปลี่ยนแปลงความรบั ร้เู ชงิ พน้ื ท่ี ในทางวรรณกรรมและสังคม พ.ศ. 2504 – 2542”
3. นายปัญญพฒั น์ ศรีบาง เร่อื ง “สถานภาพสตรีบนเวทีนางงามฟิลปิ ปินส์”
4. นายจริ ายุทธ สังข์มุ เรื่อง “วา่ ยนำ้ : กีฬาอภสิ ิทธชิ์ นสิงคโปร์ในยุคอาณานคิ ม”
5. นายเอกศรันย์ สารทจีน เรอื่ ง “คาสิโนจีนในลาว”
6. นายภัทรวฒุ ิ คณุ มาศ เรื่อง “รจู้ กั เสียวสวาดวรรณกรรมชนิ้ เอกภาคอสี านและการประยุกต์ใช้
ในปจั จุบนั (ปฐมบท)”
ฌ
รายช่อื ผู้เขา้ รว่ มโครงการประชุมวิชาการ
“เครอื ข่ายความร่วมมอื เพอื่ เผยแพร่ผลงานดา้ นวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบรเิ วณศึกษา ครัง้ ท่ี 1”
ระหว่างวนั ที่ 6-7 สิงหาคม 2565
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ หมายเหตุ
ลำดบั ชอ่ื -สกุล
1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์กรกิต ชุ่มกรานต์
2 อาจารยเ์ รวตั ร หินอ่อน
3 อาจารย์นสิ ารัตน์ ขนั ธโภค
4 นายธนพงศ์ ตรีสขุ เกษม
5 นายพทิ ยา ผลมาก
6 นางสาวศริ ริ ตั น์ นอ้ ยชาตรี
7 นางสาวภทั รวรรณ จิตรสวาท
8 นายปิยนนั ท์ จำปพี ันธ์
เป็นนกั ศึกษานำเสนองาน 5 คน คอื
1. นายธนพงศ์ ตรีสขุ เกษม เร่ือง “จากนายทนุ แรงงานและชนช้นั สูร่ ฐั ศนู ย์กลาง ชายขอบ
และกงึ่ ชายขอบ: ความเช่ือมโยงทางประวัติศาสตร์สทู่ ฤษฎคี วามสมั พันธ์ระหว่างประเทศสาย
มาร์กซสิ ต”์
2. นายพิทยา ผลมาก เรื่อง “การจัดทำพิพธิ ภณั ฑ์ออนไลน์ "เครือ่ งมือของรัฐบาลในการ
โฆษณาการสรา้ งชาติ พ.ศ. 2474-2505”
3. นางสาวศิริรัตน์ น้อยชาตรี เรือ่ ง “ความรว่ มมือระหวา่ งไทยกับมาเลเซีย:กรณีปญั หาพรรค
คอมมวิ นิสตม์ ลายา (ค.ศ. 1957-1989)”
4. นางสาวภทั รวรรณ จิตรสวาท เร่ือง “โอกนิ าวะและปัญหาความขัดแย้งกับรฐั บาลญ่ีปุ่น”
5. นายปยิ นนั ท์ จำปพี นั ธ์ เร่ือง “ความสัมพนั ธไ์ ทย-เวียดนาม: ความเกยี่ วเนอ่ื งส่เู หตุการณ์ 6
ตลุ าคม 1976”
ญ
รายช่อื ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการประชุมวชิ าการ
“เครือขา่ ยความร่วมมือเพอื่ เผยแพร่ผลงานด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์
และอาณาบรเิ วณศกึ ษา คร้งั ท่ี 1”
ระหว่างวนั ที่ 6-7 สงิ หาคม 2565
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั หมายเหตุ
ลำดับ ชื่อ-สกุล
1 อาจารย์ ดร.ธิบดี บัวคำศรี
2 นายดอม รุ่งเรือง
เป็นนกั ศกึ ษานำเสนองาน 1 คน คอื
1. นายดอม รุง่ เรือง เรอ่ื ง “ระบอบแห่งความเชอ่ื ใจ: วฒั นธรรมการเมืองของระบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธริ าชย์”
ฎ
รายช่ือผเู้ ข้าร่วมโครงการประชุมวชิ าการ
“เครือขา่ ยความรว่ มมือเพือ่ เผยแพร่ผลงานดา้ นวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบรเิ วณศึกษา ครัง้ ที่ 1”
ระหว่างวันที่ 6-7 สงิ หาคม 2565
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ หมายเหตุ
ลำดบั ช่อื -สกุล
1 ผศ.ดร.พรชยั นาคสที อง
2 ดร. อนินทร์ พุฒิโชติ
3 นางสาวกลุ ธดิ า บุญพันธ์
4 นางสาวชตุ กิ าญจน์ วงค์น่ิม
5 นางสาวดารารัตน์ ยังสขุ
6 นางสาวปิยะธิดา โตะ๊ ขา
7 นางสาวพมิ พช์ นก เดชมณี
เป็นนกั ศกึ ษานำเสนองาน 5 คน คือ
1. นางสาวกลุ ธิดา บุญพันธ์ เร่ือง “ลกิ อร์ เบเกอรี่ : เร่ืองเล่า ความทรงจำผ่านร้านขนมของเมอื ง
นครศรธี รรมราช”
2. นางสาวชุตกิ าญจน์ วงคน์ ่ิม เรื่อง “สถานภาพความรู้การทำแทง้ ในบริบทสงั คมไทย พ.ศ.
2451 – 2564”
3. นางสาวดารารัตน์ ยังสุข เรื่อง “ตนื่ จากฝันร้าย : โครงการพัฒนาพนื้ ท่ีหนองใหญ่ตามแนว
พระราชดำริ จังหวัดชมุ พร”
4. นางสาวปิยะธิดา โต๊ะขา เร่ือง “จากกโุ บรส์ ู่การดำเนินชวี ติ วิถีชาวมุสลมิ : กรณศี กึ ษาบ้านลำ
ไพลตก ต.ลำไพล อ.เทพา จ.สงขลา”
5. นางสาวพิมพ์ชนก เดชมณี เร่ือง “พุทธ พราหมณ์ ผี ในพธิ ีกรรมยางนา : กรณีศกึ ษาร่างทรง
พ่อตาขนุ ยาง บา้ นคลองเคี่ยม ตำบลบางงอน อำเภอพุนพนิ จงั หวัดสรุ าษฎรธ์ าน”ี
ฏ
รายชอื่ ผเู้ ข้าร่วมโครงการประชุมวชิ าการ
“เครอื ขา่ ยความร่วมมือเพ่อื เผยแพรผ่ ลงานดา้ นวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบรเิ วณศกึ ษา ครง้ั ที่ 1”
ระหว่างวนั ท่ี 6-7 สงิ หาคม 2565
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวทิ ยาลัยบูรพา หมายเหตุ
ลำดับ ชื่อ-สกุล
1 ผศ.ดร.เรอื งวิทย์ ลิ่มปนาท
2 นางสาวจฬุ าลกั ษณ์ วงคส์ วัสดโิ์ สต
3 นายคฌา เพชรแดง
เปน็ นกั ศกึ ษานำเสนองาน 2 คน คอื
1. นางสาวจุฬาลกั ษณ์ วงคส์ วสั ดิโ์ สต เรือ่ ง “พลวัตและผลกระทบของยา่ นสะพานควายจาก
รถไฟฟา้ สายสขุ ุมวทิ ในช่วงทศวรรษ 2500 – 2560”
2. นายคฌา เพชรแดง เร่ือง “อิทธพิ ลของสหรฐั อเมรกิ าดา้ นการคมนาคมที่สง่ ผลกระทบต่อ
ธรุ กิจเชงิ พาณชิ ย์ของไทยหลังสงครามโลกครง้ั ท่ี 2”
ฐ
รายชื่อผเู้ ข้ารว่ มโครงการประชมุ วชิ าการ
“เครอื ขา่ ยความรว่ มมอื เพ่อื เผยแพร่ผลงานด้านวิชาการสาขาประวตั ิศาสตร์
และอาณาบรเิ วณศึกษา ครงั้ ท่ี 1”
ระหวา่ งวนั ที่ 6-7 สงิ หาคม 2565
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หมายเหตุ
ลำดบั ชอื่ -สกุล
1 อ.วิริยา สีบญุ เรอื ง
2 อ.ดร.นราวทิ ย์ ดาวเรอื ง
3 นายณฐั วุฒิ นากุดนอก
4 นางสาวณัฎฐธดิ า กัลยา
เป็นนักศกึ ษานำเสนองาน 2 คน คอื
1. นายณัฐวฒุ ิ นากดุ นอก เร่อื ง “วฒั นธรรมการบริโภคเนื้อววั ของชาวอีสาน สู่ธรุ กิจร้านลาบ
ก้อย ( พ.ศ. 2504-2564 )”
2. นางสาวณัฎฐธดิ า กลั ยา เรอื่ ง “ศาลหลกั เมืองอุดรธาน”ี กบั การชว่ งชงิ ความหมาย
ในพิธกี รรมและกจิ กรรมการท่องเที่ยวทางวฒั นธรรม ทศวรรษ 2540–2565”
ฑ
รายช่อื ผู้เข้าร่วมโครงการประชุมวชิ าการ
“เครอื ข่ายความร่วมมือเพ่อื เผยแพรผ่ ลงานดา้ นวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบรเิ วณศึกษา คร้งั ที่ 1”
ระหว่างวันที่ 6-7 สิงหาคม 2565
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตรม์ หาวทิ ยาลัยขอนแก่น
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยุธยา หมายเหตุ
ลำดบั ช่ือ-สกุล
1 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์เพชรรุ่ง เทียนปว๋ิ โรจน์
2 นายกิติชัย กลำ่ อยู่
เป็นนกั ศึกษานำเสนองาน 1 คน คือ
1. นายกิตชิ ยั กลำ่ อยู่ เรื่อง “การสร้าง “พน้ื ท”ี่ และ “ตวั ตน” อุทยานประวัตศิ าสตร์
พระนครศรอี ยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 2534 – 2540”
ฒ
รายชอ่ื ผูเ้ ข้ารว่ มโครงการประชุมวิชาการ
“เครอื ขา่ ยความร่วมมอื เพ่ือเผยแพร่ผลงานด้านวิชาการสาขาประวตั ศิ าสตร์
และอาณาบรเิ วณศกึ ษา ครั้งท่ี 1”
ระหว่างวันท่ี 6-7 สงิ หาคม 2565
คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแกน่
มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ หมายเหตุ
ลำดับ ชอ่ื -สกุล
1 อาจารย์ ดร. จริ าธร ชาติศิริ
2 อาจารย์ ดร. ณัฐหทยั มานาดี
3 รศ.ดร. ดารารตั น์ เมตตาริกานนท์
4 ผศ.ดร. ธนนันท์ บุ่นวรรณา
5 ผศ.ดร. ศิลปกจิ ตข่ี นั ติกลุ
6 นายณัชดล โรจน์ธนกาญจน์
7 นางสาววทญั ญตุ า หอ่ นาค
8 นางสาวสุทธดิ า พลพนั ธ์
9 นางสาวทักษพร ศรีฤทธิ์
10 นางสาวชลธิชา ไชยอากร
11 นางสาวนนธยิ า โพธิสาร
12 นางสาวภคั จิรา ฟงุ้ เหียน
13 นางสาววรดา จนั ทวงค์
14 นางสาววรรณณภิ า ทองหน่อหลา้
15 นางสาวกญั ญาณฐั ทิพยท์ อง
16 นางสาวเมธาวี พานนนท์
17 นางสาวกชกร ดา่ นกระโทก
18 นางสาวทศั นยี า แกว้ วังชยั
19 นายอคั รเดช เยน็ สบาย
ณ
เป็นนักศึกษานำเสนองาน 15 คน คือ
1. นายณัชดล โรจนธ์ นกาญจน์, นางสาววทญั ญตุ า ห่อนาค และนางสาวสุทธดิ า พลพันธ์ เร่ือง
“กระแสเกาหลีในประเทศไทยจากบทบาทรัฐบาลสาธารณรฐั เกาหลี”
2. นางสาวทักษพร ศรีฤทธิ์, นางสาวชลธชิ า ไชยอากร และนางสาวนนธยิ า โพธิสาร เร่ือง
“พทุ ธศาสนาในสังคมไทยกา้ วเขา้ สู่ชว่ งขาลง จรงิ หรือไม่? : กรณศี ึกษามุมมองของนักศึกษา”
3. นางสาววรดา จนั ทวงศ์ และนางสาววรรณณิภา ทองหน่อหลา้ เร่ือง “พุทธพาณิชย์ผา่ น
ภาพยนตรส์ ารคดเี อหปิ ัสสโิ ก”
4. นางสาวกัญญาณฐั ทิพยท์ อง และนางสาวเมธาวี พานนนท์ เรือ่ ง “การเคลอื่ นไหวเรียกร้อง
ความเทา่ เทียมทางเพศในระดับมหาวทิ ยาลัย”
5. นายรุ่งสุริยา โพธ์ทิ อง และนางสาวภคั จริ า ฟ้งุ เหยี น เรือ่ ง “กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
(LGBTQ) ในอาเจะห์ กบั สทิ ธิและเสรภี าพที่ถูกลมื ”
6. นายอคั รเดช เย็นสบาย นทิ รรศการ “Yesterday Once More เพราะความคดิ ถงึ คือสิ่งท่ีใคร
ๆ กเ็ คยเป็น”
7. นางสาวกชกร ด่านกระโทก สารคดีเร่อื ง “กยู การมีอยู่ของภาษาที่ถูกลมื ”
8. นางสาวทศั นียา แก้ววงั ชยั นิทรรศการ “Death Destination จากอยู่..ถึงตาย”
ด
รายชือ่ ผเู้ ขา้ ร่วมโครงการประชุมวชิ าการ
“เครอื ขา่ ยความรว่ มมอื เพอ่ื เผยแพรผ่ ลงานด้านวิชาการสาขาประวตั ิศาสตร์
และอาณาบรเิ วณศึกษา ครั้งท่ี 1”
ระหว่างวันที่ 6-7 สิงหาคม 2565
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแกน่
มหาวิทยาลยั นเรศวร หมายเหตุ
(ผู้ทรงวิพากษง์ าน)
ลำดบั ชอื่ -สกุล
1 รศ.ดร.วศนิ ปัญญาวุธตระกลู
2 ดร.ชัยพงษ์ สำเนยี ง
3 ผศ.สุพรรณี เกลื่อนกลาด
ต
รายชือ่ ผเู้ ข้าร่วมโครงการประชมุ วชิ าการ
“เครือขา่ ยความร่วมมือเพอื่ เผยแพร่ผลงานดา้ นวิชาการสาขาประวัติศาสตร์
และอาณาบริเวณศึกษา ครง้ั ที่ 1”
ระหว่างวนั ที่ 6-7 สิงหาคม 2565
คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตรม์ หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วทิ ยาเขตปัตตานี
ลำดับ ช่ือ-สกุล หมายเหตุ
1 ผศ.ดร.ภมรี สรุ เกยี รติ (ผทู้ รงวิพากษ์งาน)
2 ผศ.วีระพงศ์ ยศบุญเรือง
ถ
กำหนดการ
โครงการประชุมวิชาการ
“เครือข่ายความร่วมมือเพ่ือเผยแพรผ่ ลงาน
ดา้ นวิชาการสาขาประวัตศิ าสตร์ และอาณาบริเวณศกึ ษา คร้งั ท่ี 1”
ระหวา่ งวันท่ี 6-7 สิงหาคม 2565
ณ คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ สาขาเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
วนั เสาร์ ที่ 6 สิงหาคม 2565
8.30 – 9.00 ลงทะเบยี นรบั เอกสาร ณ ตึกรัตนพิทยา ชน้ั ท่ี 1 คณะมนษุ ยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์
9.00 – 9.30 หวั หนา้ สาขามนษุ ยศาสตร์ฯ ขนึ้ กลา่ วรายงาน
คณบดี หรอื ผ้แู ทน กล่าวเปดิ การประชุมวชิ าการ
9.30 – 9.45 พักรบั ประทานอาหารว่าง
9.45 – 11.45 วิทยากรรองศาสตราจารย์ ดร.เกรยี งไกร เกิดศิริ บรรยายในหัวข้อ
“ประวตั ศิ าสตร์ .. มากกวา่ ท่ีคิด”
11.45 – 12.30 ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมเข้ารว่ มการนำเสนอบทความวิชาการ และนำเสนอโครงงานใน
Panel ตา่ ง ๆ ตามหอ้ งที่จัดเตรยี มไว้ (1)
12.30 – 13.30 พกั รบั ประทานอาหารกลางวนั
13.30 – 14.50 ผูเ้ ข้ารว่ มประชุมเข้าร่วมการนำเสนอบทความวชิ าการและนำเสนอโครงงานใน
Panel ต่าง ๆ ตามหอ้ งท่ีจัดเตรยี มไว้ (2)
14.50 – 15.05 พกั รับประทานอาหารวา่ ง
15.05 – 16.30 ผู้เข้ารว่ มประชุมเข้ารว่ มการนำเสนอบทความวชิ าการและนำเสนอโครงงานใน
Panel ตา่ ง ๆ ตามหอ้ งทจี่ ัดเตรียมไว้ (3)
16.30 – 17.00 กลับมารวมกัน ณ ห้องประชุมหลัก เพ่ือมอบเกียรติบตั ร และกล่าวปิดการ
ประชมุ วิชาการ
17.30 – 19.00 คณาจารยใ์ นหลกั สตู ร ฯ ร่วมรบั ประทานอาหารเย็น กับคณาจารย์ และนักศกึ ษา
จากสถาบนั ตา่ ง ๆ
ท
กำหนดการ
โครงการประชุมวิชาการ
“เครือขา่ ยความร่วมมือเพอื่ เผยแพรผ่ ลงาน
ดา้ นวชิ าการสาขาประวตั ศิ าสตร์ และอาณาบรเิ วณศึกษา คร้งั ที่ 1”
ระหวา่ งวันท่ี 6-7 สิงหาคม 2565
ณ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ สาขาเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
วันอาทติ ย์ ท่ี 7 สงิ หาคม 2565
8.30 ฝ่ายนำเทยี่ วพรอ้ มกนั ท่ีคณะมนษุ ย์ ฯ เพื่อไปรับแขกที่ โรงแรมบายาสิตา เวลา 9.00
9.00 – 12.00 คณาจารย์ในหลักสูตร และนักศกึ ษาที่ไดร้ ับมอบหมายนำคณาจารย์ และนักศึกษา
จากสถาบนั ตา่ ง ๆ ชมเมอื งขอนแก่น
12.00 – 13.00 พักรบั ประทานอาหารเทยี่ งรว่ มกัน
13.00 – 13.30 หวั หน้าสาขามนุษยศาสตร์มอบของท่รี ะลึก และกล่าวปิดงานการประชุมวชิ าการ
1
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและวิถชี ีวิตของผู้คนในพื้นทบี่ างขุนเทียน
ถึงทศวรรษ 2470 (2398-2479)
นายธนกร ศิริสุขวัฒนา
บทคัดยอ่
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายในการสำรวจการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพฃที่มีผลต่อวิถี
ชีวิตของ ชุมชนของพื้นที่ในอำเภอบางขนุ เทียนตัง้ แต่ พ.ศ.2398-2479 ผลการวิจัยพบว่าพ้ืนทีบ่ างขนุ
เทียนมีการ เปลี่ยนแปลงที่สำคัญอยู่สองครั้งคือ 1.)หลังการเซ็น สนธิสัญญาเบาว์ริง ที่ทำให้เกิดการ
ขยายตัวของชุมชนจาก เศรษฐกิจข้าวที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่พ่อค้า ชาวตะวันตกสามารถค้าขาย
ได้อย่างเสรีมากขึ้นส่งผลให้ข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจหลักจนเกิดการแสวงหา และบุกเบิกพื้นที่ว่างเปล่า
เพื่อการทำนา 2.)หลังทศวรรษ 2440 ที่มี การนำเทคโนโลยีคมนาคมใหม่อย่างรถไฟมาใช้ในพื้นท่ี
และกิจการของอำเภอที่ครอบคลุมมากขึ้นส่งผลให้เกิด การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่กายภาพสัมพันธ์
กบั วถิ ชี ีวติ ท่เี ปล่ียนไป
บทที่ 1 บางขุนเทยี นคอื อะไร : ชุมชนริมคลองดา่ น
จุดมุ่งหมายของบทนี้คือความพยายามพาไปทำความรู้จักกับข้อมูลพื้นฐานของชุมชนบางขุน
เทียน โดยประกอบไปดว้ ยความเป็นมาของชุมชน ภูมิประเทศท่ีตั้งทางภมู ิศาสตร์ที่สำคัญ ผู้คนต่าง ๆ
ทไี่ ด้เข้ามาอาศยั ในพ้ืนที่บางขนุ เทยี นท่สี ่งผลใหเ้ กิดการขยายตัวของชุมชน
1.1 แรกเรมิ่ มีชุมชน
บางขุนเทียนเป็นชุมชนโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นชุมชนวิถีชีวิตริมคลองด่าน
ที่เป็นแม่น้ำลำคลองสายประวัตศิ าสตร์1ชุมชนบางขุนเทียนต้ังอยู่รมิ คลองดา่ นที่เป็นเส้นทางคมนาคม
ที่สำคัญดัง ปรากฎในการเดินทางของเรือ ขทิงทอง ในโครงกำสรวลสมุทร เป็นโครงที่แต่งข้ึน
ในสมัยอยุธยาตอนต้นโดย แต่งขึ้นก่อนสมัย แผ่นดินของสมเด็จพระชัยราชาธิราชและอาจอยู่ในสมัย
แผ่นดินของสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ โดยโครงกำสรวลสมุทรนี้นั้นกล่าวถึงการเดินทาง
จากเมืองกรุงศรีอยุธยาทางเรือที่ชื่อ “ขทิงทอง” ที่ ล่องไปตามลำน้ำ เจ้าพระยาสายเก่า
(คลองบางกอกน้อยไปออกคลองบางกอกใหญ่เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาสาย ปัจจุบันเป็นคลองที่ขุดขึ้น
ในสมยั พระชัยราชาธิราช2) ซ่ึงปรากฏช่ือสถานทท่ี ่ีเรอื เดินทางผา่ นไป
1 สจุ ิตต์ วงษเ์ ทศ. (2551). แมน่ ำ้ ลำคลองสายประวตั ิศาสตร.์ หน้า 56.
2 ปิยนาถ บนุ นาค; และคนอ่ืนๆ. (2525). คลองในกรุงเทพฯ : ความเปน็ มา การเปล่ียนแปลง และผลกระทบต่อกรงุ เทพฯ ในรอบ 200 (พ.ศ.2325-2525).
หน้า 13.
2
เสยี ดายหนา้ ชอ้ ยช่ืน บัวทอง กูนา
ศรีเกศเกษรสาว ดอกไม้
มาดลบรรลุนอง ชลเนตร
ชลเนตรชู้ชอ้ ยไห้ ร่วงแรง โรยแรง ฯ
โดยการเดินทางของขทิงทองนั้นได้ผ่านคลองด่านออกไปยังแม่น้ำท่าจีนและออกไปสู่ทะเล
อ่าวไทยต่อไป ส่วนที่ปรากฎในโครงคือย่านที่ชื่อ “นองชลเนตร” หรือย่านนางนองซึ่งมีวัดนางนอง
ตั้งอยู่จากการศึกษาของ น.ณ ปากน้ำ ได้ให้คำอธิบายไว้ว่าวัดนางนองนั้น “ตรงพระวิหารด้านเหนือ
เมื่อยืนตรงพาไลด้านทิศเหนือ แล้วแหงนขึ้นไปบนผนังสูงจนจรดเพดานชายคาของพาไล ซึ่งชำรุดหัก
พังลงมาทำให้เห็นผนังด้านในที่ปิดไว้เจาะเป็นช่องตันรูปอาร์คโค้ง อันเป็นศิลปะสมัยพระนารายณ์
แสดงว่าวัดนี้เดิมย่อมเป็นวัดโบราณมีมาแล้วแต่สมัยอยุธยา แล้วมาปฏิสังขรณ์แบบสร้ างใหม่
ในสมัยรัชกาลที่ 3” ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับวัดใกล้เคียงจำนวนหนึง่ เช่น วัดบางขุนเทียนใน วัดบางขนุ
เทียนนอก วัดบางขุนเทียนกลาง วัดขุนจันทร์ฯลฯ มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันคือ เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่
สมัยอยุธยาและได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าชุมชน
ที่อาศัยอยู่ริมคลองบางขุนเทียนเป็นชุมชนที่มีขนาดพอสมควรเพราะมีวัดอยู่ในพื้นที่มากถึง 22 แห่ง
โดยการสร้างชุมชนในระเทศไทยมักจะมีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ชุมชนชาวบ้านมีความผูกพัน
กบั วดั ท้ังในด้านคติความเช่อื การใชช้ วี ติ ประจำวัน และการทำมาหากิน3
1.2 ภมู ปิ ระเทศ
นอกจากจำนวนของวัดที่มีอยู่มากมายในพื้นที่อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชุมชนริมคลองเหล่านี้
มีผู้คนอาศัยอยู่เยอะเพราะเป็นแหล่งปลูกผลไม้ที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นพื้นที่ดอน และเป็นพื้นท่ี
ในอาณาบริเวณ “สวน ในบางกอก สวนนอกบางช้าง” ปรากฎในบาทหลวงตาชาร์ด (Guy Tachard)
ซึ่งเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้บันทึกไว้ว่า “บางกอกเป็นเมืองสวน
ของประเทศสยามซง่ึ มผี ลไม้รสเยยี่ มอยทู่ ว่ั ราชอาณาจักรมารวมกันอยอู่ ย่างอุดมสมบรู ณ”์
โดยเปน็ ผลมาจากลกั ษณะทางภูมปิ ระเทศของพื้นทีท่ ี่ได้รบั ผล ของความเจริญอุดมสมบูรณ์ใน
พื้นดินจากการที่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณที่เรียกว่าดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เจ้าพระยาหรือ Delta
ซึ่งหมายถึง ดินดอนบริเวณปากซึ่งมีรูปร่างคล้ายพัดด้ามจิ๋ว เกิดจากแม่น้ำและสาขาใหญ่น้อย
ที่กระจายออกตรงปากน้ำพาตะกอนมาทับถมตลอดเวลา ทำให้ท้องพื้นน้ำมีระดับสูงขึ้น กลายเป็น
3 น. ณ ปากน้ำ. (2542). ศลิ ปกรรมในบางกอก. หน้า 220-237.
3
พื้น แผ่นดินแผ่กระจายออกตรงปากน้ำมีบริเวณกว้างต่อเนื่อง เป็นพื้นที่ราบเหมาะแก่การเพาะปลูก
ก่อนจะรา้ งผคู้ นไปจากภัยสงครามพ.ศ. 23104
ภายหลังยคุ ฟืน้ ฟูบา้ นเมืองหลังคราวสงครามเสียกรุงเม่ือ พ.ศ. 2310 ไดม้ ผี ู้คนอพยพกลับเข้า
มาอยู่ในบางขุนเทียนดังปรากฏใน “กลอนเพลงยาวนิราศรบพม่าที่ท่าดินแดง” ของรัชกาลที่ 1
และ“นิราศนรินทร์” คราวที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์เสด็จยกทัพไปปราบพม่า
ที่มาตีเมืองชุมพรและถลางในช่วงสมัย รัชกาลที่ 2 ที่บอกได้ว่ามีผู้คนและชุมชนได้กลับมาตั้งรกราก
อีกครั้งในบางขุนเทียน และพบว่ามีการขยายตัวของชุมชนจากการแสวงหาพื้นที่เพาะปลูกจากการ
ทำนา ทำสวน และค้าขายกับตลาดต่างพื้นที่โดยขยายเพิ่มจาก พื้นที่เดิมที่กระจุกกันอยู่ริมน้ำบริเวณ
วดั หนัง วดั นางนองและวดั ราชโอรส โดยขยายออกจากคนต่างชาติทีอ่ พยพเข้ามาอย่ทู ้ัง ชาวลาว เขมร
มอญ และข่าในพนื้ ทร่ี อบดา้ นจากบรเิ วณเดมิ
รูปที่ 1 ภาพการเส้นางของเรือ
ขทิงทองผา่ นแมน่ ้ำเจ้าพระยา
สายเกา่ (คลองบางกอกนอ้ ย -
บางกอกใหญใ่ นปจั จบุ ัน) โดย
ปรากฏชอ่ื ย่านบางนางนองซงึ่
ก็คอื บางขุนเทียนในรมิ คลอง
ด่าน โดยมมี าตั้งแตส่ มยั อยุธยา
1.3 ช่ือ “บางขุนเทียน” ทม่ี า สุจิตต์ วงษเ์ ทศ. (2563).
กว่า 500 ปกี อ่ น ชุมชน เกา่ แก่
ของกรงุ เทพฯ อยทู่ ่ีไหนบา้ ง ?.
(ออนไลน์).
ในส่วนความหมายของชื่อของบางขุนเทียนนั้นปัจจุบันยังหาข้อสรุปและหลักฐานที่อธิบาย
อยา่ งชัดเจน ไม่ได้วา่ เหตุใดจึงตอ้ งชือ่ บางขนุ เทียนแต่มีคำอธบิ ายที่นา่ สนใจไวว้ ่า
“สมัยกอ่ นนนั้ การเดนิ ทางติดต่อค้าขายกันจะใชท้ างบกและทางน้ำสำหรับทางบกแต่
ก่อนนั้น จะใช้เกวียนเป็นหลักในการเดินทางไกลๆ เล่ากันว่าแต่ก่อนมีกองเกวียนมาจาก
สพุ รรณบุรเี สมอๆ และ ทุกกองเกวยี นจะมผี นู้ ำทำหนา้ ที่อารักขาค้มุ กนั ระจำเรยี กว่า ขนุ กอง
เกวียนที่เดินทางติดต่อสมัยนั้น จะผ่านตามเส้นทางสองพี่น้อง คลองบางไทรใหญ่ คลองพระ
พิมล คลองโยง คลองชัยพฤกษ์ คลอง หนองแขม แล้วมาหยุดรวมกันที่หนึ่งบริเวณริมคลอง
4 สุนทรี อาสะไวย.์ (2537, กันยายน-ธนั วาคม). พฒั นาการของ “ธนบุร”ี ในฐานะสว่ นหนึ่งของดนิ ดอนสามเหล่ียมปากแม่นำ้ เจ้าพระยา. วารสารธรรมศาสตร.์
20(3): 108-109.
4
ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าบางขุนเทียนเป็นประจำ เนี่อ งจากเป็นที่หยุดรวมของกองเกวียนเสมอๆ
ตลอดมา ชาวบ้านจงึ พากันเรยี กวา่ “บางขุนเกวยี น” แต่ ทวา่ การออกเสียงตามสำเนียงแบบ
ชาวบ้านจะเป็น “บางขุนเกียน” แล้วที่สุดเมื่อมีการเขียนเป็นตัวอักษรขึ้นภายหลัง จึงได้
เขียนในลกั ษณะเกิดการเขา้ ใจผิดวา่ ตวั ก ทำไมจงึ ไม่มีหวั ตัวอักษร เพราะ คดิ ว่าน่าจะเป็นตัว
ท มากกว่าคร้ันเมื่อมคี นเตมิ หัวตวั อกั ษร ก จงึ ไดก้ ลายเปน็ “บางขนุ เทียน”5
ซึ่งหากพิจารณาขอ้ ความข้างต้นนับวา่ มีเค้าความน่าจะเป็นที่มากพอสมควร เพราะคำว่าบาง
นั้นจะสัมพันธ์กับพื้นที่ที่ติดริมน้ำ และข้อความข้างต้นทำให้เห็นว่าบางขุนเทียนนั้นมีเส้นทางทางบก
ที่สัมพันธ์ถึงเมือง สุพรรณบุรีได้และเมื่อผสมคำว่า “บาง” และ “ขุนเกวียน(เทียน)” กัน
เป็น “ขุนเกวียน(เทียน)” จะได้หมายถึง บริเวณริมน้ำท่ีมีกลุ่มขุนเกวียน(เทียน)น้ันอยู่ ซ่ึงบริเวณของ
บางขุนเทียนนั้นตั้งอยู่ริมน้ำซึ่งก็คือคลองบางขุน เทียนหรือคลองด่านและอยู่ทางทิศใต้ของด่านเก็บ
ภาษี ที่อยู่บริเวณวัดปากน้ำซ่ึงบางขนุ เทียนอาจเป็นสถานที่ แวะพักของเกวียนกอ่ นเขา้ ด่านเพื่อตรวจ
ตราเข้าเมืองบางกอกหรือจะออกเดินทางไปต่อก็ย่อมได้เช่นกัน อาจเปรียบได้ว่าบางขุนเทียน
ในยุคสมัยก่อนอาจเป็นจุดแวะพักของกองเกวียนเพื่อเดินทางต่อไปเหมือนจุดแวะ พักรถบนทางด่วน
ในปัจจุบันก็ได้เช่นกันอย่างไรก็ตามก็มีอีกคำอธิบายหนึ่งที่พบในเอกสารของวันวลิตหรือฟาน ฟลีต
(Van Vliet) โดยปรากฏในนิทานเรื่อง พระเจา้ อูท่ องไวว้ ่า เป็นโอรสจักรพรรดจิ ีนที่ทำความผดิ ทางเพศ
จึงถูกเนรเทศออกจากเมืองจีนทางทะเลขึ้นบกที่ปัตตานี ได้สร้างเมืองต่าง ๆ หลายเมือง
เช่น เมืองลังกาสุกะ(อยู่ใน ปัตตานี) เมืองสีคร(นครศรีธรรมราช) เมืองกุย(กุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์)
เมอื งพรบิ พร(ี เพรชบรุ ี) เมอื งคองขนุ เทยี น(Chongh Cout Thian) เมอื งบางกอกและสดุ ท้ายที่เมือง
อยุธยา6อย่างไรก็ตามนิทานที่วันวลิตเล่านั้น ออกจะเกินจริงไปบ้างในแง่ของประวัติศาสตร์
แต่ในแง่ของการคมนาคมการเดินทางจากปตั ตานีมากรุงศรอี ยุธยาน้ัน ดูจะเป็นเร่ืองที่นา่ เช่ือถือไดอ้ ยู่
บ้าง จากข้อความข้างต้นแสดงถึงเส้นทางเดินทางจากหัวเมือง ชายทะเลกับลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาน้ัน
จำเป็นต้องใช้เส้นทางข้างต้นซึ่ง บางขุนเทียนนั้นปรากฎในนทิ านในชื่อของ “คองขุนเทียม” โดยที่ต้ัง
ของคองขุมเทียมนั้นอยู่ระหว่างทางไปเมืองพริบพรี(เพรชบุรี)และเมืองบางกอกซึ่งการ เดินทาง
ระหวา่ งสองเมืองนนี้ น้ั จำเป็นต้องผา่ นเส้นทางทางน้ำทเ่ี รียกว่า “คลองด่าน” จากชือ่ คองขุดเทียมของ
วันวลิตนั้นอาจเพี้ยนเป็น “บางขุนเทียน” ได้เช่นกันอย่างไรก็ตามชื่อบางขุนเทียนนั้นยังไม่มีหลักฐาน
ใดช้ชี ดั ได้ วา่ ช่อื น้มี ที ีม่ าจากทใ่ี ดอยา่ งแน่นอน
5 สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ. (2551). แมน่ ้ำลำคลองสายประวัติศาสตร์. หน้า 112.
6 แหล่งเดิม. หน้า 36.
5
1.4 เสน้ ทางคลองดา่ น
คลองด่านคือคลองคมนาคมที่มีเส้นทางเชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน
แต่อย่างไรก็ดีชื่อ คลองด่านนั้นมีหลายชื่อด้วยกันไม่ว่าจะเป็น คลองด่าน คลองบางขุนเทียน
คลองสนามชัย คลองมหาชัย คลอง มหาชัยชลมารค คลองพระพุทธเจ้าหลวงหรือชื่อที่ชาวบ้าน
ในท้องที่ที่คลองผ่านก็เรียกต่างกันเช่น ช่วงที่ผ่าน บางขุนเทียนก็เรียกคลองบางขุนเทียน
ช่วงผา่ นแสมดำเรียกคลองแสมดำ ช่วงผา่ นบางกระด่ีเรยี กคลองบาง กระดี่ซ่งึ ในท่นี จี้ ะขอเรียกเส้นทาง
ทั้งหมดนี้ว่า “ระบบเครือข่ายคลองด่าน” โดยชื่อของคลองด่านนั้นมาจากการที่ปากคลองด่าน
ที่เชื่อมต่อกับคลองบางหลวง(บางกอกใหญ่)มีด่านเก็บภาษีอยู่เพื่อเก็บภาษีจากสินค้าต่าง ๆ
ที่จะนำเข้าไปค้าขายทั้งในเมืองบางกอกเอง หรือจะล่องขึ้นเหนือไปต่อยังกรุงศรีอยุธยาก็สามารถได้
เช่นกัน
1.5 ใครอยู่ทบ่ี างขุนเทยี น
ชุมชนจำนวนมากในบางขุนเทียนในช่วงแรกเป็นชุมชนที่อาศัยกันอยู่อย่างหนาแน่นบริเวณ
ริมคลองด่าน เพราะจำเป็นที่ต้องใช้น้ำจากคลองดังกล่าวในการอุปโภค บริโภคในชีวิตประจำวัน
โดยมีตั้งแต่ชาวไทยที่เป็นชุมชนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตลอดริมสองฝั่งคลองทอดยาวไปตลอดแนวคลอง
และชุมชนข้าหลวงเดิมทีอ่ าศัยกระจกุ ตัวอยู่บริเวณวัดราชโอรส วัดหนัง วัดนางนอง โดยวัดราชโอรส
หรือวัดจอมทองนั้นเป็นวัดดังเดิมที่มีมา แต่สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยปรากฎในพงศาวดารระบุว่าเป็น
“เป็นวัดข้าหลวงเดิมได้ทรงกระทำมาตั้งแต่ยังเป็นกรมอยู่” ซ่ึงหมายถึงรัชกาลที่ 3 ในสมัยยังเป็น
กรมหมนื่ เจษฎาบดินทร์ โดยเริ่มปฏสิ งั ขรณว์ ัดราชโอรสเมือ่ พ.ศ. 2360 และเสร็จเม่อื พ.ศ. 2374
ชาวจนี น้ันปรากฎในชมุ ชนบางขนุ เทยี นโดยอาศัยอยู่ ณ บรเิ วณวัดอปั สรสวรรค์ หรอื วัดหมดู ัง
ปรากฏ ใน “นิราศเมืองเพชร” ของสุนทรภู่ว่า “ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก ล้วนบ้านเจ๊กขาย
หมูอยู่อักโข” ซึ่งคนจีนได้เข้ามาอาศัยอยู่และเลี้ยงหมูเพราะคนไทยนั้นไม่ใคร่ที่จะเลี้ยงหมู
เพราะเมื่อเลี้ยงจนโตแล้วจำเป็นต้องเชือดหมู ซึ่งคนไทยนั้นกลัวการฆ่าที่จะเป็นบาป ดังนั้นคนจีนจึง
เขา้ มารบั บทบาทสว่ นนี้ การเลย้ี งหมูนน้ั สร้างกำไรมหาศาลให้กบั คนจีนอย่างมาก นอกจากจะเลี้ยงหมู
แล้วนั้นคนจีนยังทำสวนโดยในสวนของคนจีนนัน้ มีการใชอ้ ุจจาระของหมมู าเป็นปุ๋ยด้วย จึงทำให้สวน
ของคนจีนนั้นเรียกได้ว่ามีคุณภาพดีกว่าสวนของคนไทยเพราะคติของคนจีนที่เน้นการทำมาค้าขาย
ไม่ใช่คนไทยที่ทำสวนเพราะทำมาหากิน สวนของคนจีนนั้นจะมีความเป็น ระเบียบมากกว่าสวนของ
คนไทย โดยปลูกผักกาดหอม ต้นหอม หัวไชเท้า ใบพลู หมากและรวมถึงร่องถั่ว หาก เป็นชาวสวน
คนไทยในย่านบางขุนเทียนมีเรือกสวนหลายขนัดมักจะปลูกพืชชนิดเดียวทั้งขนัด เช่น ลิ้นจี่
สม้ เขียวหวาน ส้มโอ หมาก พลู ฯลฯ ซงึ่ แตกต่างจากคนจีนที่ปลูกผสมกันแต่หากเปน็ ชาวสวนคนไทย
6
ที่มีที่น้อยจะปลูกพืชหลายอย่างคละกันไปเรียกกันว่า “พืชเบญจพรรณ” เช่น ปลูกส้มโอไว้นอกร่อง
สวน แต่ปลกู กล้วยไว้ บนนอกร่องแล้วปลกู มะพร้าวไวร้ อบขนัดสวน7
ชาวลาวกลุ่มหนึ่งได้อพยพเข้ามาในพ.ศ.2335 ซึ่งคือกลุ่มลาวพวนทีถ่ ูกสั่งให้มาอยูท่ ี่บางไสไ่ ก่
โดยปัจจุบันบางไส้ไก่นั้นได้กลายเป็นเพียงคลองไส่ไก่ในท้องที่บางขุนเทียนโดยเป็นชุมชนชาวลาว
ขนาดใหญ่ เพราะว่ามีการตั้งวัดลาวขึ้นเป็นวัดประจำชุมชนโดยปัจจุบันคือวัดเลา8 ซึ่งการตั้งถิ่นฐาน
ของชาวลาวตรงนี้ได้ขยับขยายขอบเขตชุมชนบางขุนเทียนโดยแต่เดิมกระจุกตัวแถว วัดหนัง
วังนางนอง วดั ราชโอรสแตไ่ ด้ขยายลงไปทางใตเ้ พ่ิมข้นึ จนถงึ วัดเลา
ต่อมาในพ.ศ. 2362 รัชกาลที่ 2 ได้โปรดเกล้าให้เจ้าพระยานครราชสีมาและเจ้าอนุวงศ์
เจ้าเมืองเวียง จันทร์ขึ้นไปทำการจับกุม อ้ายสาเกียดโง้ง ที่ทำการกบฏขึ้นในหัวเมืองลาว
และเมื่อจับตัวอ้ายสาเกียดโง้งได้ พร้อมครอบครัวข่าจำนวนมากเป็นเชลยลงมากรุงเทพ
พวกครอบครัวที่ถูกต้อนลงมานั้นถูกจัดให้เป็นนักโทษ เรียกว่า ข่าตะพุ่นหญ้าช้าง ซึ่งเป็นชนชั้น
ล่างสุดของสังคมจึงจำเป็นต้องให้ตั้งบ้านเรือนให้ไกลจากชุมชนทั่วไป โดยโปรดให้พวกเชลยข่านั้น
ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ท่ีทิศตะวันตกของตำบลบางขุนเทยี นซึง่ ก็คือทุง่ บางบอน ซึ่งมีความเป็นอยู่ค่อนขา้ ง
แร้นแค้น และต้องรับผิดชอบโทษในการหาอาหารมาเลี้ยงช้างอีกด้วย แม้จะเป็นที่อยู่ของเชลยศึก
แต่การตั้งชุมชนบางบอนนั้นเป็นการขยายเขตของกรุงเทพออกไปทางทิศตะวันตกอีกด้วย
และในอนาคตพื้นที่ที่ว่างเปล่าเหล่านี้จะมามีความสำคัญเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนในเวลา
ตอ่ มา9
ชาวเขมรได้มาอาศัยรวมกันอยู่บริเวณวัดทุ่ง(ปัจจุบันคือวัดโพธิ์ทอง)โดยตั้งอยู่ที่ริมคลอง
บางปะแก้วต่อคลองลัดขี้เหล็กซึ่งอยู่บริเวณตอนล่างของพื้นที่ตำบลบางมดตั้งวัดเมื่อพ.ศ. 2450
ซึ่งพบว่ามีคนเขมรเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยอยุธยาบ้างรวมถึงพวกที่ถูกต้อนเข้ามาทีหลัง หรือติดตาม
เจ้านายเข้ามากับสมเด็จเจา้ พระยาองคใ์ ด องค์หน่ึงซ่ึงไม่สามารถระบุได้ โดยประกอบอาชีพทำนาเป็น
หลกั 10
โดยคนกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาผูกพันกับพื้นที่บางขุนเทียนนั้นคือชาวมอญโดย ปรากฏว่า
มีชาวมอญอาศัย อยู่ใน 2 พื้นที่คือที่บ้านท่าข้าม และบางกระดี่โดยมอญท่าข้ามนั้นมีวัดท่าข้าม
เป็นศูนย์กลางโดยตั้งอยู่ริมคลอง สนามชัย(คลองด่าน) ตั้งวัดเมื่อพ.ศ. 2375 โดยเป็นคนมอญท่ีอพยพ
7 แหลง่ เดมิ . หน้า 101-113.
8 ฉตั ราภรณ์ พริ ุณรัตน์. (2535). พฒั นาการของบางกอกฝั่งตะวนั ตก พ.ศ. 2325-2369. หน้า 78.
9 แหล่งเดิม. หนา้ 79-80.
10 จิตต์ วงษ์เทศ. (2551). แม่น้ำลำคลองสายประวตั ศิ าสตร.์ หน้า 114-116.
7
มาจากเมืองสมุทรสาคร11 ซึ่งประกอบอาชีพของการทำนาเป็นหลักดังปรากฎในภาพจิตกรรมฝาผนัง
ในวัดท่าข้ามที่เป็นรูปคนมอญเกี่ยวขา้ วควบคู่ไปกับวิถี ชีวิตและความเชื่อของคนมอญ12 ในส่วนของ
มอญบางกระดี่ มีวัดบางกระดี่เป็นศูนย์รวมของชุมชนโดยตั้งวัด เมื่อ พ.ศ.2420 โดยย้ายครอบครัว
มาจากเมืองมหาชัย และคลองสุนัขหอนช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4 โดยมีสาย สัมพันธ์กับคนมอญ
ที่ปากเกร็ด บางไส้ไก่มีการติดต่อ และไปมาหาสู่กันตลอดเวลาทำให้ชุมชนบางกระดี่ขยายใหญ่ข้ึน
โดยชาวมอญบางกระดี่ประกอบอาชีพจำพวกการทำนา การเย็บจาก และการทำฝืนจากต้นโกงกาง
ที่มีมากในริมคลองสนามชัย13 ชุมชนบางขุนเทียนจึงเป็นชุมชนเก่าแก่ที่มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยพบหลักฐาน จากวัดจำนวนมากที่สร้างขึ้นด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมที่เป็นแบบของอยุธยา
ก่อนที่ชุมชนนี้จะร้างผู้คนไปหลัง พ.ศ.2310 หรือเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่ 2 แต่ในเวลาไม่นาน
ก็เริ่มปรากฏชุมชนบางขุนเทียนใหม่ขึ้นมา จากการที่พื้นที่เหล่านี้อุดมสมบูรณ์อย่างมาซึ่งดึงดูดผู้คน
ใหม้ าต้ังถิ่นฐานไมว่ ่าจะเปน็ ชาวไทย ชาวจีน ชาวลาว ชาวข่า ชาวเขมร และชาวมอญตามรูปท่ี
รปู ท่ี 2 แผนทแ่ี สดงชมุ ชนตา่ ง ๆในบางขนุ เทยี นดดั แปลงมาจากแผนท่ีบางขนุ เทียนในหนงั สือบางขนุ เทียน
สว่ นหนึ่งของแผ่นดนิ ไทยและกรุงรตั นโกสินทร์
ที่มา : ขรรคช์ ัย บนุ ปานและสจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ. (2530). บางขนุ เทยี น สว่ นหนงึ่ ของแผน่ ดนิ ไทยและกรุงรัตนโกสินทร.์
กรุงเทพฯ: มดชิ น ไม่ปรากฏเลขหนา้ .
11 สารคด.ี (2554). มอญเมอื งหลวง ภาพสะทอ้ นอตั ลักษณ์ความเปน็ มอญในสังคมเมอื ง. (ออนไลน)์ .
12 วารสารเมอื งโบราณ. (2561). มองมอญวัดท่าขา้ ม. (ออนไลน์).
13 สภุ าพร มากแจ้ง. (2540). การศึกษาวิธีชีวิตชาวมอญบางขุนเทียน “มอญบางกระด”่ี . หน้า 9-18.
8
บทท่ี 2 การเปลย่ี นแปลงคร้ังทห่ี นงึ่
บทนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะแรกของพื้นที่บางขุนเทียนโดยเป็นผลมาจาก
สนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการปลูกข้าวเพื่อการส่งออกเป็นหลัก แทนที่การปลูก
ข้าวเพ่อื บรโิ ภคภายในอยา่ งท่ีเคยเปน็ มา ทำให้ภาครฐั จำเปน็ จอ้ งเขา้ มาจัดการกับพ้ืนท่ีในบางขุนเทียน
ที่สามารถเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ สำคัญได้โดยเริ่มตั้งแต่การก่อตั้งอำเภอบางขุนเทียน และที่ตั้งของ
สำนักงานอำเภอบางขุนเทยี นเม่อื พ.ศ. 2410
2.1 สนธิสัญญาเบาวร์ ิงกับการเปล่ยี นแปลงกรรมสิทธ์ิทด่ี ิน
ภายหลังการเซ็นสนธิสัญญาเบาวริง พ.ศ.2398 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการผลิตข้าว
ของประเทศไปจากแต่เดิมที่เป็นการปลกู ข้าวเพื่อบริโภคกันในครัวเรือนใหก้ ลายเป็นการปลูกข้าวเพอื่
ส่งออก ทำให้จากแต่เดิมนั้นกรรมสิทธิ์การถือครองที่ดินของไทยตั้งแต่โบราณนั้นที่ดินต่าง ๆ
ในแผ่นดินสยามนั้นเป็นของพระเจ้าแผ่นดินโดยพระเจ้าแผ่นดินจะพระราชทานที่ ดินให้เจ้านาย
และขุนนางได้ครอบครองตำแหน่งโดยไม่ต้องเสียค่าที่ดินส่วนประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ในการ
ครอบครองที่ดินใด ๆ นอกจากที่ดินที่เป็นที่อยู่อาศัยทำมาหากินเลี้ยงชีพ และต้องชำระค่าที่ดินตาม
อัตราที่หลวงเรียกเก็บ โดยกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จระบุไว้ว่า “...ในแว่นแคว้น กรุงศรีอยุธยา
มหาดิลกภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมณ์ เป็นที่แห่งพระเจ้าอยู่หัวหากให้ราษฎรทั้งหลายผูเ้ ปน็ ข้าแผ่นดิน
อยู่จะให้เป็นที่ราษฎรหามิได้”และ”ที่นอกเมืองหลวงอันเป็นแว่นแคว้นกรุงศรีอยุธยาใช่ที่ราษฎร
อย่าให้ซื้อขายแก่กัน” ดังนั้นการถือกรรมสิทธิ์ในสมัยก่อนเป็นเพียงการกำหนดเขตที่ดินทำกินของ
ราษฎรเพื่อป้องกัน การรุกล้ำต่อกันเท่านั้น14 ซึ่งตั้งแต่สมัยอยุธยาล่วงมาจนถึงรัชกาลที่ 3 น้ัน
ยังคงยึดถือตามกฎหมายลักาณะ เบ็ดเสร็จจนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 4 “เริ่มมีการประกาศขายฝาก
และจำนำที่สวน ที่นา และมีการออกตราแดง ในเขตจังหวัดกรุงเก่า (พระนครศรีอยุธยาอ่างทอง
ลพบุรสี พุ รรณบุรี) เปน็ หลกั ฐานแสดงว่ามีผู้มีชอื่ เปน็ เจา้ ของ และใช้ในการเกบ็ ภาษีท่นี า”15
ต่อมาเมื่อครั้งถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ในร.ศ.111 (พ.ศ.2435) ได้มีการออกพระราชบัญญัติที่ดิน
ร.ศ.111 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ร.ศ.111 ใจความสำคัญอยู่ที่การจัดการที่ดินทั่วราชอาณาจักร
อย่างเป็นระบบระเบยี บ ด้วยการออกโฉนดต่าง ๆ ให้ราษฎรและการบังคับเกบ็ ภาษีที่ดินจากการออก
พระราชบัญญัติที่ดินร.ศ.111 นั้น ทำให้เกิดการพยายามเข้าไปจัดการกับที่ดินของราษฎรให้ขึ้นอย่ใู น
ระบบของราชการโดยผ่านการออกโฉนดต่าง ๆ ที่ทำการโดยที่ทำการอำเภอนับเป็นความพยายาม
ที่จะจัดการทดี่ นิ ให้เป็นระบบและป้องกันการเกิดเร่ือง ทะเลาะวิวาทท่ีมาจากปัญหาทด่ี นิ ตามแนวทาง
14 สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ. (2551). แม่น้ำลำคลองสายประวตั ิศาสตร์. หนา้ 116-117.
15 กรมทดี่ ิน. (2562). ความเป็นมาของการออกโฉนดท่ีดิน. (ออนไลน์).
9
แบบตะวันตกมีการรังวัดที่ดินและแจกโฉนดตราจองต่าง ๆ ให้ ราษฎรถือเป็นหลักฐานยืนยันอย่าง
ถูกตอ้ ง
ต่อมาร.ศ.120 (พ.ศ.2444) มีการออกโฉนดแบบใหม่ทำเป็นหนังสือรับรองกรรมสิทธิ์
เพราะจากการ บุกเบิกขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวมากขึ้นอันเนื่องมาจากการขุดคลองต่าง ๆ ทำให้
มีการจบั จองทด่ี ิน และข้อววิ าทมากขน้ึ เพราะการออกหนังสือซ้ำซ้อนจึงออกพระราชบัญญัตทิ ดี่ ิน ร.ศ.
120
1.ใบเหยียบย่ำ หนังสือกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานออกให้แก่ผู้ก่อสร้างหักร้างถางพงจับจองที่ดิน
ว่างเปล่าแต่ เป็นใบอนุญาตช่ัวคราวมอี ายุการถือครอง 1 ปี
2.ตราจอง ใบอนุญาตให้เป็นสิทธิ์แต่มีข้อสัญญาว่า ผู้ถือตราจองต้องเข้าไปทำประโยชน์ภายใน 3 ปี
มิฉะน้นั ที่ดนิ นน้ั จะต้องหลดุ คนื เปน็ ของหลวง
3.ตราแดง หนังสือกรรมสิทธิ์ถาวรในการถือครองที่ดิน มีศักดิ์สูงกว่าตราจองและใบเหยียบย่ำ
ผู้ถือโฉนดจะทำประโยชนใ์ นท่ดี นิ หรอื ไมท่ ำก็หวงห้ามทีด่ ินไวไ้ ด้แตก่ ารทำนามีการถือครอง 9 ป1ี 6
2.2 การต้ังอำเภอบางขนุ เทียน
เอกสารของสำนักงานเขตบางขุนเทียนอธิบายไวว้ า่ “อำเภอบางขุนเทยี น เปน็ อำเภอท่ีเก่าแก่
สันนิษฐานว่าก่อตั้งเมื่อในปี พ.ศ.2410 เดิมขึ้นอยู่กับจังหวัดธนบุรี...”17 สถานที่ตั้งของอาคารทำการ
ของอำเภอนั้นเล่ากันว่าใช้เรือต่อกันเป็นที่ทำการจอดอยู่บริเวณปากคลองหวั กระบือ ต่อมาได้ขึ้นจาก
เรือมาอยู่บน บกเรียกว่า “อำเภอหัวกระบือ” ต่อมาพ.ศ. 2437 ได้ย้ายมาสร้างอาคารที่ทำการ
อยู่สามแยกบางขุนเทียน และ ได้ย้ายที่ทำการไปยังข้างวัดราชโอรสใน พ.ศ. 2452 เพราะรถไฟ
สายท่าจีนได้มาสร้างทางรถไฟจากธนบุรีถึง สมุทรสาคร และมีสถานีสำคัญตัดผ่านที่วัดราชโอรส
และเพื่อเป็นการสะดวกต่อประชาชนผู้มาติดต่อใช้บริการ เนื่องจากประชาชนเริ่มอาศั ยรถไฟ
ในการเดินทางไปมาหาสู่และวัดราชโอรสยังตั้งอยู่ริมคลองด่านซึ่งประชาชน ที่ยังนิยมใช้การเดินทาง
ทางเรอื ยงั สามารถมาตดิ ต่อขอรับใช้บรกิ ารได้18
16 จติ ต์ วงษ์เทศ. (2551). แม่นำ้ ลำคลองสายประวัติศาสตร์. หนา้ 117-118.
17 สำนกั งานเขตบางขุนเทียน. (2561). ข้อมูลประกอบการพิจารณาความเหมาะสม ในการกำหนดกิจกรรม เพื่อพัฒนา พน้ื ทีเ่ ขตบางขุนเทียน. หนา้ 1.
18 อำพัน รงุ่ วรรธนวงศ์. (2526). การศกึ ษาเพ่อื ประกอบการวางแผนการใชท้ ีด่ นิ ในพนื้ ที่ชานเมือง ทางดา้ นตะวันตกของ กรงุ เทพมหานคร : กรณีศึกษาเขต
บางขุนเทียน. หน้า 32.
10
2.3 การออกโฉนดที่ดินภายใตอ้ ำเภอบางขนุ เทียน
หน้าที่ของที่ทำการอำเภอบางขุนเทียนเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานการปกครองโดย
รับผิดชอบหน้าที่ หลายประการแต่ในบทนี้นั้นมุ่งเน้นไปที่การจัดการที่ดินโดยเฉพาะการออกโฉนด
ที่ดินตาม พระราชบัญญัติออก ตราจองชั่วคราว ร. ศ.121 (พ.ศ.2445) ซึ่งเริ่มต้นจากพระราชกิจจา
นุเบกษาว่าด้วยเรื่อง ประกาศให้ใช้ พระราชบัญญัติออกตราจองชั่วคราวในท้องที่อำเภอบางขุน
เทยี น แขวงกรุงเทพฯ โดยมีเจ้าพระยาเทเวศรว์ งษ์วิวัฒน์ เสนาบดีกระทรวงเกษตราธิการ รับพระราช
โองการตามความในพระราชบญั ญตั ิออกตราจอง ชัว่ คราว ร. ศ.121 (พ.ศ.2445) มาตรา 2
“เม่อื จะทรงพระกรณุ าโปรกเกลา้ ใหใ้ ช้พระราชบญั ญัติน้นั ในทอ้ งที่ตำบลใดเมื่อใด จะได้
ประกาศใน หนังสอื ราชกจิ จานเุ บกษาเปนสำคัญน้นั บดั นที้ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯใหใ้ ช้
พระราชบัญญัตินั้นในแขวงอำเภอ เมอื งบางขนุ เทียน แขวงกรุงเทพฯ ตง้ั แต่บัดน้สี บื ไป”19
จากราชกิจจานุเบกษาดังกล่าวทำให้รู้ว่าเกิดการจัดการกับที่ดินที่รกร้างโดยการออกโฉนด
ตราจองให้ ราษฎรที่เข้าไปทำนาหรือทำสวนในอำเภอบางขุนเทียนที่เป็นผลมาจากความต้องการข้าว
จำนวนมากหลังข้าว เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ทำให้จำเป็นต้องจัดการที่ดินให้เป็นระบบระเบียบ
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อพิพาทความ ขัดแย้งจากปัญหากรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดินที่จะส่งผลต่อผลผลิต
ที่ออกมาได้ เช่นเรื่องราวในร.ศ.119(พ.ศ. 2443) เรื่องที่นาตำบลบางบอนของสมเด็จพระสุดารัตน์
โดยมเี รอ่ื งนน้ั อยวู่ ่า เมอ่ื วันที่ 25 มิถุนายน ร.ศ.119
“อำแดงเปรม ข้าหลวงเดิมในสมเด็จพระบรมมหยั ยิกาเธอในพระบรมโกษได้กราบทูลสมเดจ็
พระเจา้ น้อง ยาเธอเจ้าฟา้ ภาณุรังษีสวา่ งวงษ์ กรมพระภาณุพันธวุ งษวรเดช สมยั พระบรมยังอยู่ให้ดูแล
ที่นา ๗๐ ไร่โดยเก็บ ผลประโยชน์ค่าเช่า แต่ ๗๐ ไร่ไม่พอเลี้ยงชีพ จึงขอเพิ่มโดยพระพิพิธสาลีจัด
ขา้ หลวงไปกบั หม่อมเจ้าดำรงวัดท่นี า พระราชทานให้ ๑๒๐ ไรท่ ่ใี กล้เคยี งที่นาเดมิ และเมื่อสมเด็จพระ
บรมมหัยยิกาเธอสวรรคตแล้ว หม่อมเจ้าดำรงทำ เรื่องกราบทูลสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้า
จาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ก็มิว่าประการใดปล่อยให้หาเลี้ยง ชีพต่อไป ครั้งสิ้นพระบารมี
เมอ่ื ๒ มถิ ุนายน ๑๑๙ มหี มายขนุ ศรสี ังหารกรมการอำเภอศีศะกระบือไปเรยี กผ้เู ชา่ นาซึ่ง ข้าให้เช่าทำ
นาแจ้งว่า หมื่นรองยิสารกำนันว่าความต่างหลวงจำนงปลัดกรมฟ้องให้เร่งค่าเช่านาพระราชทานคร้ัง
ข้า เก็บมานานแลมิให้ข้าเก็บคา่ เช่าต่อไปและจะเอาทนี่ าเดมิ ๗๐ ไรเ่ ป็นท่นี าหลวงอกี ดว้ ย”
19 ประกาศใหใ้ ชพ้ ระราชบญั ญตั อิ อกตราจองช่วั คราวในท้องทอ่ี ำเภอบางขุนเทยี น แขวงกรุงเทพฯ. (121, 8 กุมภาพันธ์) ). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 19. หนา้ 897.
11
“เห็นว่าการรักษาแต่เดิมนั้นหละ ๆ หลวม ๆ จึงสั่งท่านเล็กไปว่าที่รายใดราษฎรมีสลักสำคัญ
ถงึ จะรกุ มากก็ ไมเ่ ปน็ ไรปลอ่ ยให้ทำไปอย่าวา่ ความเลย สว่ นที่เหลอื อยู่มากน้อยให้พระคลังข้างที่คิดว่า
ออกโฉนดตราแดงเปน็ หลกั ฐานและมอบให้กรมพระคลังขา้ งทด่ี ูแลต่อไป”20
กรณีพิพาทเร่ืองที่ดินนี้เกดิ จากความหละหลวมของการจัดการที่ดินแมจ้ ะมีการออกทำโฉนด
ต่าง ๆ ให้ราษฎรเก็บไวแ้ ต่ในกรณขี ้างต้นอำแดงเปรมอ้างวา่ ตน้ ไดร้ ับพระราชทานที่ดินนั้นจากสมเดจ็
พระบรมมหัยยิกา เธอมอบให้สมัยพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่เป็นการมอบให้ด้วยวาจาไม่มีหลัก
ฐานรองรับ และเม่ือมีความต้องการที่ดินมากขึ้นจึงเกิดเหตุกระทบกระทั่งมากขึ้น ทั้งกรณีจาก
ชาวบ้านด้วยกันเอง หรือแม้แต่ชาวบ้านกับทางราชการที่มักจะมีการกระทบกระทั่งเรื่องที่ดิน
จากความไมช่ ดั เจนในกรรมสิทธ์ิท่ดี ิน
ภายหลงั การดำเนินการของอำเภอบางขุนเทียนท่ีมีอยา่ งต่อเน่ืองในเร่ืองการจดั การออกโฉนด
ทีด่ ิน ให้กบั ราษฎรโดยพบหลกั ฐานคอื การออกราชกิจจานุเบกษาเรือ่ งการออกโฉนดหรือตราจองท่ีดิน
ต่าง ๆ ในพื้นที่ บางขุนเทียน เช่น ประกาศบอกกำหนดหมายเขตต์ที่ดินในตำบลบางขุนเทียน
แขวงกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ร.ศ.121 (พ.ศ.2445)21 ที่มีจุดมุ่งหมายคือ ข้าหลวงเกษตร์
ออกตราจองชั่วคราวในที่ดิน อำเภอบางขุนเทียน โดยให้ราษฎรที่มีประสงค์จะขอการหวงห้ามที่ดิน
ทย่ี งั ไม่มสี ่ิงสำคญั เดิมมา หรอื ก็คอื ให้ ราษฎรท่ีประสงคจ์ ะขอพ้ืนทีใ่ นอำเภอบางขุนเทียนท่ีตนต้องการ
ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตน โดยให้ไปติดต่อที่ ข้าหลวงตามวันและเวลาที่นัดหมาย
โดยราชกจิ จานุเบกษาทม่ี เี น้อื หาแบบเดียวกนั น้ีพบไดท้ ว่ั ไป และมีจำนวนมากพอสมควรจงึ ทำให้ผู้วิจัย
มองว่านี้คือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพื้นที่จากแต่เดิมที่เป็นพื้นที่รกร้าง ว่างเปล่า เป็นป่ารก
ได้กลายมาเป็นพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น และเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่ค้ำยันด้วยอำนาจของรัฐ
ซ่งึ สรา้ งความมัน่ คงใหก้ บั ท่ีอยู่อาศยั และที่ทำมาหากินใหก้ ับผ้คู น
ภายหลังการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้ข้าวกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และเกิดการ
ส่งเสริมให้ เกิดพื้นที่ปลูกข้าวจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ โดยพื้นที่บุกเบิกใหม่ทีส่ ำคัญ
อย่างทุ่งรังสิตจน นำไปสู่โครงการชลประทานขนาดใหญ่อย่างทุ่งรังสิตในพ.ศ. 2433
แต่ในบางขุนเทียนเองนัน้ มีลำคลองน้อยใหญ่จำนวนมากซ่ึงมีศักยภาพมากพอในการเลี้ยงผลผลติ ข้าว
ทำให้เกิดการบุกเบิกพื้นที่ตอนในมากขึ้นจาก แต่เดิมที่ชุมชนหมู่บ้านนั้นมักอยู่ติดริมน้ำด้วยเหตุผล
ทั้งการใช้ประโยชน์จากน้ำ รวมถึงการคมนาคม แต่เนื่องจากความต้องการข้าวจำนวนมากประกอบ
กับกฎหมายที่ดินแบบใหม่ที่ทำให้เกิดการแปรรูปพื้นดินว่างเปล่าตอนใน ที่อยู่ลึกเข้าไปให้กลายเป็น
ที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ แม้ว่าจะเป็นดินแดนตอนในแต่ชาวบ้านนั้นก็มีการปรับตัวใน สิ่งแวดล้อมใหม่
20 หอจดหมายเหตแุ ห่งชาต.ิ ร.5 กษ 3.2/4 ท่นี าตำบลบางบอนของสมเด็จพระสุดารัตย์ (27มิ.ย.-ธ.ค. 119).
21 ประกาศบอกกำหนดหมายเขตต์ท่ีดนิ ในตำบลบางขุนเทียน แขวงกรุงเทพ ฯ. (121, 8 มีนาคม). ราชกจิ จานเุ บกษา. เล่ม 19. หน้า 989.
12
ตั้งแต่การขุดคลองขนาดเล็กที่รู้จักในชื่อคลองไส้ไก่ที่เป็นภูมิปัญญาในการลำเลียงน้ำจากคลอง
เส้นใหญ่ให้เข้ามาถึงบริเวณเพาะปลูกของตน รวมถึงการรวมกลุ่มกันเพื่อขุดคลองเชื่อมพื้นที่เก่า
และใหม่ให้เชื่อมต่อกันโดยเป็นการร่วมมือกันทั้งของชาวบ้านและอำเภอ โดยอำเภอมักจะมีโครงการ
ขุดลอกคูคลองรวมถึงการขุดคลองเพื่อเป็นการสนับสนุนการเพาะปลูกของชาวบ้านด้วยเช่นกัน ฯลฯ
จะเห็นได้ถึงการเปล่ยี นแปลงของพืน้ ที่ทางกายภาพทม่ี ีสว่ นสำคัญต่อการเปลย่ี นวิถชี วี ิตด้วยเช่นกนั
บทที่ 3 การเปลี่ยนแปลงครัง้ ท่สี อง
การเปลี่ยนแปลงในระลอกที่สองนี้นั้นเป็นผลมาจากการเปิดรับวิทยาการ และเทคโนโลยี
แบบตะวันตก ซึ่งในบริบทของประเทศนั้นเป็นช่วงของการปฏิรูปประเทศอย่างต่อเนื่องซึ่งภายหลัง
การเปิดรับเทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น เทคโนโลยีที่สำคัญที่ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว
อย่างเทคโนโลยีระบบราง หรือการเกิดขึ้นของรางรถไฟที่จะมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงท่ี
เกิดขนึ้ รวมถึงวธิ คี ิดและการปกครองแบบตะวนั ตกท่ีมีระบบระเบียบมากข้นึ กว่าเดิมได้ถูกนำมาใช้ด้วย
เชน่ กนั เพ่อื ผลประโยชนข์ องการปกครอง ซง่ึ ความ เปลี่ยนแปลงทั้งสองอย่างนัน้ มผี ลอย่างมากเช่นกนั
3.1 รถไฟสายปากคลอง-มหาชัย พ.ศ.2444
ภายหลังการกอ่ สร้างทางสายบางกอกน้อย-เพชรบุรใี น พ.ศ. 2442 ท่มี ผี ลตอบรบั ท่ีดีมากจาก
การ ลงทุนสร้างทางรถไฟสายแรกไปแล้วนั้นในเวลาต่อมาคือ พ.ศ. 2444 ได้มีการก่อสร้างทางรถไฟ
สายปากคลองมหาชัย โดยมีสถานีตั้งต้นอยู่ที่สถานีปากคลองสานใกล้ป้อมปิดปัจจนึกและสถานี
ปลายทางที่สถานีมหาชัย เมืองสมุทรสาครระยะทางรวม 33.1 กิโลเมตรซึ่งบริษัทที่ได้รับการทำ
สัมปทานรถไฟสายนี้นั้นคือ “บริษัท รถไฟท่า จีนทุน จำกัด” หรือ “บริษัท ท่าจีนเรลเวกัมปนีลิมิ
เต็ดทุนจำกดั ” ซงึ่ มชี าวต่างชาติ 11 คนไดร้ ว่ มหุน้ ขอตง้ั พระบรมราชานุญาตตง้ั บรษิ ทั โดยมี 1.พระยา
พิพัฒโกษา (เซเลสติโน ซาเวียร์ หรือ C.M. Xavier) 2.มิสเตอร์อี เอม เกนซ์ 3.มิสเตอร์บีบีซี เกช์ 4.
มิสเตอร์ซี เกรมเมอร์ 5.หมอแอสดอยเซอร์ 6.มิสเตอร์เอช แดมโฮม 7.มสิ เตอรซ์ ี เอส ยอช 8.มสิ เตอร์
เอ ซี โฮนซ์ 9.มิสเตอร์เย แมคไค 10.มิสเตอรเ์ ยแมนอแิ วน และ 11.มเิ ตอร์ซี แซนเดอรเ์ รโกฮี22
ทางรถไฟสายท่าจีน คือชื่อที่ประชาชนทั่วไปเรียกทางรถไฟสายปากคลองสาน – มหาชัย
ที่เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ.2444 และเมื่อแล้วเสร็จนั้นรัชกาลที่ 5 ได้ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร(พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกล้าเจ้าอยู่หัว) เสด็จแทนพระงองค์ไปทรงเปิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ.2447 ดังปรากฏ
ในพระราชกิจจานุเบกษาเรื่อง “การเปิดรถไฟ สายท่าจีน” ลงวันที่ 8 มกราคม ร.ศ.123 (พ.ศ.2447)
22 วลั ลี นวลหอม. (2554). พฒั นาการของบางกอกฝ่งั ตะวันตก พ.ศ.2398 – 2488. หน้า 106.
13
อย่างไรก็ดีทางรถไฟสายท่าจีนนั้นเปิดให้บริการแก่ ประชาชนทั่วไปเดินทางได้เมื่อวันที่ 4 มกราคม
พ.ศ. 2447 ตอ่ มาทางรถไฟสายน้ีประสบความสำเร็จอย่างมาก จงึ จดั ต้ังบริษัทรถไฟแมก่ ลองจำกัดข้ึน
อีกหนึ่งบริษัทเพื่อขยายทางรถไฟจากมหาชัย(ท่าจีน)ไปยังแม่กลอง ระยะทาง 33.8 กิโลเมตร
โดยได้รับสัมปทานเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2448 มีผู้ถือหุ้น 15 คนคือ 1.พระเจ้า น้องยาเธอกรม
ขุนสมมตอมรพันธุ์ 2.สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต และขุนนางคือ
3.พระยาพิพัฒโกษา 4.พระยาบำเรอภักดิ์ 5.พระยานรฤทธิ์ราชหัช 6.พระยาบริบูรณ์โกษากร
7.พระยาไวยวุฒิ วิเศษฤทธิ์ และชาวตะวันตกอีก 8 คนคือ 8.มิสเตอร์บี.บี.ซี กินช์ 9.มิสเตอร์อี. กินช์
10.มิสเตอร์ซี. กราเมอร์ 11.มิสเตอร์ซี. แอช ยอรย์ 12.มิสเตอร์เย. แมกคาย 13.มิสเตอร์แมกอิเวน
14.มสิ เตอร์ซี. แซนเดอรสกี 15. มสิ เตอร์เย. โรเบิดเซน ตอ่ มาทัง้ สองบริษัทซ่ึงก็คือ บริษัทรถไฟท่าจีน
ทุนจำกัด และ บริษทั รถไฟแม่กลองทุน จำกดั ไดม้ ีการเข้าร่วมกันเปน็ บริษัทเดยี วในช่ือ “บริษัทรถไฟ
แม่กลองทนุ จำกดั ” เมือ่ วนั ท่ี 12 กรกฎาคม พ.ศ. 245023
การก่อสร้างทางรถไฟสายปากคลองสาน-มหาชัยนั้นเป็นทางรถไฟที่เป็นเส้นทางขนส่งใหม่
แทนเส้นทางเดิมอย่างคลองด่านหากพิจารณาเส้นทางรถไฟดี ๆ แล้วนั้นเส้นทางรถไฟนั้นทอดขนาด
ผ่านไปกับคลอง ด่าน คลองมหาชัยซึ่งเป็นการเปล่ยี นแปลงวธิ ีการเดนิ ทางของผู้คนจากการขนส่งด้วย
เส้นทางเรือผ่านคลองด่าน และคลองมหาชัยเป็นทางรถไฟแทน แต่อย่างไรก็ดีเส้นทางรถไฟนั้น
ส่งผลโดยตรงกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในช่วงเส้นทางที่รถไฟผ่านไปเท่านั้น ส่วนผู้คนที่อาศัยลึกเข้าไปห่าง
จากเส้นทางรถไฟนั้นยังคงมีวิถีชีวิตผูกพันกับสายน้ำและเรือเช่นดังเดิม ในส่วนของชมุ ชนที่อยู่รมิ ทาง
รถไฟน้นั มีการตอบสนองตา่ งกนั ไป บางชุมชนสามารถ ใช้ประโยชนจ์ ากทางรถไฟดงั กลา่ วไดเ้ ชน่ ชุมชน
รอบสถานีรถไฟได้ผลประโยชน์จากการเดินทางได้สะดวกขึ้นแต่บางชุมชนที่ไม่ได้ผลประโยชน์บ้าง
เลือกที่จะขายที่ดินที่ติดบริเวณรางรถไฟโดยปรากฏตั้งแต่ ร.ศ. 129-131 (พ.ศ.2453 - 2455)
โดยเริ่มตั้งแต่อำแดงเกด นายซ้อน ได้มีความประสงค์ต้องการขายที่ดินบางบอนฝั่งใต้ ให้แก่บริษัท
รถไฟสายท่าจีนราคาไร่ละ 45 บาท24 นายอินได้มีความประสงค์ต้องการขายที่ดินบางบอนฝั่งใต้
ใหแ้ กบ่ รษิ ัทรถไฟสายท่าจนี ราคาไรล่ ะ 45 บาท25 อำแดงแหนได้มีความประสงคต์ ้องการขายที่ดินบาง
บอนฝั่ง ใต้ให้แก่บริษัทรถไฟสายท่าจีนราคาไร่ละ 45 บาท26 และนายแซ่ได้มีความประสงค์ต้องการ
ขายที่ดินบางบอน ให้แกบ่ รษิ ัทรถไฟสายทา่ จีนราคาไรล่ ะ 45 บาท27
23 ประกาศพระราชทานอำนาจพิเศษแก่บริษัทรถไฟแม่กลองทุนจำกัด. (127, 17 ตลุ าคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 25. หน้า 792.
24 ประกาศใหท้ ราบทวั่ กนั . (129, 27 พฤศจิกายน). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ 27. หน้า 2008.
25 ประกาศให้ทราบทว่ั กนั . (129, 4 ธนั วาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 27. หน้า 2041.
26 ประกาศให้ทราบทวั่ กัน. (130, 13 สิงหาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เลม่ 28. หน้า 950.
27 ประกาศให้ทราบทว่ั กนั . (131, 26 พฤษภาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 29. หน้า 504.
14
การเปดิ เส้นทางการเดนิ ทางรถไฟสายท่าจีนนั้นไดก้ ่อนใหเ้ กิดความเปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกิจ
กับพื้นที่ บางขุนเทียนที่รถไฟผ่านเป็นอย่างมากโดยเฉพาะด้านการค้า เพราะทำให้การขนสง่ สนิ ค้าได้
รวดเร็วมากกว่า เส้นทางเดิมทำให้ผลผลิตทางการเกษตรและสินค้าจำพวกอาหารทะเลจากแม่กลอง
ทา่ จนี น้นั เข้ามาค้าขายใน ตลาดตา่ ง ๆ ได้รวดเร็วมากขึ้นและสะดวกมากขน้ึ
นอกจากการขนส่งและการเดินทางที่สะดวกขึ้นเพราะทางรถไฟแล้วนั้นการมาถึงของราง
รถไฟทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำในบางขุนเทียนกล่าวคือ แต่เดิมนั้นชุมชนชาวบ้านใน
บางขุนเทียนมักพายเรือ มาค้าขายบริเวรหน้าวัดราชโอรสโดยเรียกว่าตลาดหน้าแพหรือตลาดน้ำวัด
จอมทอง ตั้งอยู่ท่าริมน้ำของวัดราช โอรสต่อมาเมื่อมีการสร้างทางรถไฟสายท่าจีนแล้วนั้นปรากฏว่า
บริเวณวัดราชโอรสซึง่ มสี ถานีรถไฟสถานี จอมทองอยู่ดว้ ยน้นั ทำให้เกิดการเดนิ ทางเพื่อมาคา้ ขายอย่าง
หนาแน่นจนทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้งเพราะ “เป็นเส้นทางคดโค้งมาก ทางราชการจึงไม่จอด
สถานจี อมทองแตเ่ ลยไปจอดสถานีวัดไทรแทน เปน็ เหตุให้ ตลาดน้ำย้ายไปอย่ทู ีว่ ดั ไทร”28
3.2 กิจการของอำเภอทเ่ี ปลี่ยนไป
แรกเริ่มเดมิ ทีนน้ั หน้าทขี่ องอำเภอบางขุนเทียนมเี พยี งกิจการในการป้องกนั เหตุดว่ นเหตุร้ายท่ี
เกิดใน พนื้ ที่ท่ีรบั ผิดชอบและการเกบ็ ภาษปี ระเภทต่าง ๆ ท่ไี ดร้ บั มอบหมายแต่ต่อมาเมื่อชุมชนในบาง
ขุนเทียนได้ขยายออกไปยังพื้นที่ข้างเคียงมากขึ้นทำให้อาณาเขตในการรับผิดชอบต้องขยายกว้างข้ึน
ทำให้บางครั้งพื้นที่บางส่วนที่มีความกันดารและไม่สะดวกต่อการตรวจตราของเจ้าพนักงานอำเภอ
มกั ถกู ย้ายไปขนึ้ ตรงกับพืน้ ที่ใกลเ้ คยี ง เชน่ อำเภอเมอื ง สมุทรสาคร ท่ไี ด้รับพื้นทบี่ างส่วนไปอย่ภู ายใต้
การดูแลระยะเวลาหนึ่ง รวมถึงหน้าที่ใหม่ของอำเภอคือการพยายามสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูล
เกยี่ วกับสำมะโนครัวของประชาชนในพนื้ ที่ด้วย
การสำรวจสำมะโนครัวประชากรนั้นเป็นอีกหนึ่งกิจการหนึ่งของอำเภอโดยเป็นนโยบายจาก
รัฐบาลใน การสำรวจและบันทึกสำมะโนครวั เพ่อื ประโยชน์ในการปกครองท้องท่ีเพราะด้วยอำเภอบาง
ขุนเทียนนั้นเป็น พื้นที่ชายแดนกรุงเทพ(ธนบุรี)ที่อยู่ติดกับสมทรสาครและอยู่ห่างไกลจากอำนาจ
ส่วนกลางแม้ว่ามีที่ทำการ อำเภอคอยตรวจตราแต่มักขาดแคลนปัญหาด้านกำลังพลและทุนทรัพย์
งบประมาณอยา่ งสมำ่ เสมอในกรณีของบางขนุ เทยี นนนั้ มคี นนอกเข้าออกในท้องท่ีตลอดเวลาดังน้ันจะ
เป็นการยากหากไม่สามารถระบุได้ว่าคน ๆ นี้เป็นคนในท้องที่บางขุนเทยี นหรือต่างพื้นที่ หากเป็นคน
ต่างพื้นที่จะมีการลงบันทึกไว้เช่นชื่อ ธุระ และรู้จักใครใน ท้องที่นี้หรือไม่เพื่อเป็นการติดตามตัว
หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเช่น กรณีที่ถึงช่วงเวลาการเข้าเกณฑ์ทหารนั้น มักปรากฏว่าพบทหาร
ที่หนีออกมาจากกรมกองเสมอโดยมักจะหนีมายังอำเภอบางขุนเทียนที่เป็นอำเภอที่ ค่อนข้าง
28 สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ. (2551). แมน่ ำ้ ลำคลองสายประวัติศาสตร์. หนา้ 124.
15
จะหา่ งไกล มีบา้ งทห่ี นมี าบวชในวดั ต่าง ๆ นอกจากหนีมาบวชแล้วยงั มีการหนีมาเพ่ือกบดานในป่าลึก
ที่มีอยู่มากมายในอำเภอนี้นอกจากจะมีทหารหลบหนีมาแล้วนั้นยังพบว่ามีนักโทษหลบหนีมาด้วย
เช่นกัน29 ดังนั้นการสำรวจสำมะโนครัวจงึ เป็นเรื่องสำคัญทีอ่ ำเภอพยายามทำมาตั้งแต่ช่วงพ.ศ. 2450
แต่แล้วเสร็จครั้ง แรกในพ.ศ. 2465 โดยพบรายละเอียดสำคัญในรายงานประจำอำเภอประจำเดือน
เมษายน ของพ.ศ.2465 พบวา่ มคี นอยู่ 3 เช้ือชาตใิ นท้องที่อำเภอบางขุนเทียนคือ 1.คนไทย 2.คนจีน
3.แขกเทศ(อินเดีย) โดยแบ่งได้ ดังนี้30
ปัญหาช่วงแรกคือ วิธีการสำรวจสำมะโนครัวช่วงแรกไม่ประสบผลสำเรจ็ มากนั้นเพราะใช้วิธี
ให้ ผู้ใหญ่บ้านไปซักถามตามลกู บา้ นของตน ซึ่งมักมีเหตกุ ารณท์ ี่ลูกบ้านไม่อยู่บ้างก็ไมใ่ ห้ความรว่ มมือ
สุดท้าย วิธีการที่ทำให้การสำรวจสำมะโนครัวประชากรของอำเภอสำเร็จคือ การขนานนามสกุล
ให้ราษฎรเพราะการที่ราษฎรได้รับนามสกุลต้องผ่านการรับรองจากระทรวงนครบาลโดยอำเภอ
เปน็ ผปู้ ระสานงานโดยเร่ิมตน้ เมื่อ พ.ศ. 2456 ทางอำเภอมีหมายแจง้ ความไปยงั กระทรวงนครบาลว่า
“เรื่องจีนช่างไม้ทำห้องสำหรับขนานนามสกุลเสร็จแล้ว ตามที่ได้โปรดให้จีนช่างไม้ไปทำห้องสำหรับ
ขนานนามสกุลทวี่ า่ การอำเภอบางขนุ เทียนน้นั บัดนี้จีนชา่ งไม้ทำการหอ้ งน้ีเสร็จแล้วแล้ว”31
ทำให้ตั้งแต่พ.ศ.2456 เป็นต้นมาทำให้ราษฎรต้องมีนามสกุลเพื่อสอดคล้องกับนโยบายของ
รัฐบาลว่า ด้วยพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ.2456 ซึ่งเกิดมาจาก “ทรงพระราชดำริเห็นว่า
สมควรจะมีบัญญัติวิธกี ารจดทะเบียนคนเกิดคนตายแลทำงานสมรสใหเ้ ปนการมั่นคงชัดเจนสืบไป”32
ซึ่งนายอำเภออย่างรองอำมาตย์ตรีหลวงโลกบาลก็ได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุล “นนทะเปารยะ”
โดยมชี ่อื วา่ ชว่ ง นนทะเปารยะ33 นอกจากประโยชน์ของการสำรวจสำมะโนครัวประชากรของอำเภอ
แล้วยังพบว่าเริ่มมีการประกอบอาชีพที่หลากหลายขึ้นจากแต่เดิมท่ีมเี พียงชาวไร่ ชาวสวน แต่ปรากฏ
พบอาชีพ รับจ้าง,ค้าขาย มากข้ึนดว้ ยเช่นกัน
29 หอจดหมายเหตุแห่งชาต.ิ กน(ล) 1.1/32 ก.17 เอกสารเย็บเลม่ กระทรวงนครบาล รายงานประจำเดือน แผนกธรุ การ, หน้า222.
30 หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ. แหล่งเดิม, หน้า 25
31 หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ. ร.6 น.9/4 เอกสารกระทรวงนครบาล รชั กาลท่ี 6 กรมอำเภอ การสรา้ งบูรณะสงิ่ ตา่ ง เรอ่ื งจนี ชา่ งไมท้ ำห้องสำหรบั ขนานนามสกลุ
เสรจ็ แลว้ 5 กมุ ภาพันธ์ุ 2456.
32 พระราชบญั ญัตขิ นานนามสกลุ พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖. (2455, 30 มีนาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เลม่ 29. หน้า 283.
16
บทที่ 4 สรปุ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับพื้นที่บางขุนเทียนตั้งแต่อดีตนั้นเกิดการที่มีมนุษย์เป็นผู้กระทำ
เพือ่ เปน็ การปรบั สภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวติ ของมนุษยโ์ ดยการเปลี่ยนแปลงท่ีสำคัญ
ได้แบ่งออกเป็น สองช่วงคือ การเปลี่ยนแปลงครั้งแรก เป็นผลมาจากการเซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริง
ทำให้พื้นทีภ่ าคกลางทัว่ ประเทศไทยนั้นเกดิ การขยายตัวของการค้าข้าวและการส่งเสริมการปลกู ข้าว
เพื่อส่งออกมากขึ้นในส่วนของบาง ขุนเทียนเองก็ตอบรับต่อความต้องการนี้อย่างดี เพราะมีพื้นที่ว่าง
เป็นป่ารกจำนวนมากที่รอการบุกเบิก จนกระทั่งพ.ศ.2410 เกิดการก่อตั้งอำเภอบางขุนเทียนขึ้น
โดยมีบทบาทอย่างมากในการเขา้ ไปจัดการทด่ี ินให้ เปน็ ระบบระเบียบมากย่ิงขึ้นทั้งผา่ นการออกโฉนด
ท่ีดนิ ท่ีสอดรับการพระราชบัญญัติทีด่ ิน ร.ศ. 111 และ ชดั เจนยิง่ ขนึ้ ในพระราชบญั ญัติที่ดิน ร.ศ. 120
เพื่อให้เป็นที่ชัดเจนและเพื่อไม่ให้มีปัญหาด้านคดีความจากการ ออกโฉนดซ้ำซ้อน หากเกิดคดีความ
ขึ้นจะส่งผลต่อการเพาะปลูกเพื่อป้อนสู่ตลาดต่อไปซึ่งมีส่วนนี้ส่งผลต่อการ ขยายชุมชนออกไปรวมถงึ
วถิ ีชีวติ ท่ีเปลี่ยนจากการเพาะปลูกเพื่อครัวเรือนในพื้นที่ขนาดเล็กมาเปน็ การ เพาะปลูกในพื้นที่จำนวน
มากเพื่อส่งออกเสียแทน
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง หลังพ.ศ.2440 เริ่มมีการคมนาคมแบบใหม่อย่างรถไฟมาใช้
ในพื้นที่ในพ.ศ. 2444 คือการก่อสร้างทางรถไฟสายท่าจีน ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อวิถีชวี ติ และเศรษฐกจิ
ของชุมชนในบางขุนเทียนที่อยู่ใกล้ชิดกับเส้นทางรถไฟทั้งการนำสินค้า ขนขึ้นรถไฟแทนการเดินเรือ
เพราะเส้นทางรถไฟสายนี้นั้นเป็นเส้น ขนาดไปกับเส้นทางคลองด่านเดิมที่ถูกใช้มาอย่างยาวนาน
แต่อย่างไรก็ดีชุมชนทีอ่ ยู่ลึกลงไปและไม่ได้ใกล้ชิดกับรถไฟนั้นยังคงใชช้ ีวติ สมั พันธ์กับคลองด่านต่อไป
รวมถึงการมาของรถไฟได้เปลี่ยนวิถีชีวิตบางส่วนเช่นตลาดน้ำ จากแต่เดิมนั้นค้าขายอยู่ริมคลองด่าน
หน้าวัดจอมทองกอ่ นจะปรับเปลย่ี นไปขายหน้าวัดไทรเพราะรถไฟน้ันไม่ จอดบรเิ วณสถานวี ดั จอมทอง
แต่เลยไปจอดสถานีต่อไปอย่างสถานีวัดไทร ตลาดน้ำหน้าแพ จึงย้ายไปเป็นตลาด น้ำวัดไทรเพราะ
การมรี ถไฟผ่านทำใหม้ ีผคู้ นเดินทางมากขึ้นเท่ากับมีกำลงั ซื้อไดม้ ากข้ึน
รวมถึงกิจการของอำเภอที่มีมากขึ้นโดยกิจการเด่น ๆ ที่น่าสนใจในช่วงระยะเวลานี้นั้น
คือการสำรวจข้อมูลประชากรในพื้นที่ผ่านข้อมูลสำมะโนครัวประชากรที่สำเร็จเพราะสอดรับ
กับพระราชบัญญัติขนาน นามสกุล พ.ศ. 2456 การสำรวจครั้งนี้ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนา
เมอื งที่ตามมาเช่น การก่อตงั้ เทศบาล นครกรุงธนบรุ พี .ศ.2479 ซึ่งได้เลง็ เห็นถึงจำนวนประชากรที่มีอยู่
มากในพื้นที่ตำบลบางขุนเทียนจึงได้นำตำบลบางขุนเทียนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเทศบาล รวมถึง
มีผลต่อการพัฒนาที่ตามมาทำให้พื้นทีต่ ำบลบางขุนเทียน กลายเป็นพื้นทีเ่ มืองสมัยใหมไ่ ด้รวดเรว็ กว่า
พื้นทอ่ี ่นื รอบ ๆ ซ่ึงส่งผลตอ่ วิถีชีวติ ดัง้ เดิมอย่างชาวสวนท่เี ปลี่ยนไป
17
เอกสารอา้ งอิง
เอกสารชนั้ ต้น
สำนกั หอจดหมายเหตุแห่งชาติเอกสารกระทรวงเกษตร
หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ. ร.5 กษ 3.2/4 ท่ีนาตำบลบางบอนของสมเด็จพระสุดารตั ย์ (27ม.ิ ย.-ธ.ค.
119).
สำนักหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติเอกสารกระทรวงนครบาล
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.6 น.9/4 เรอื่ งจนี ช่างไม้ทำห้องสำหรับขนานนามสกลุ เสร็จแลว้ 5 กุมภา
พันธุ์ 2456.
หอจดหมายเหตุแห่งชาต.ิ ร.6 น.47 4.5/1 เร่อื ง นามสกลุ จงั หวัดธนบรุ ี บางขนุ เทยี น พ.ศ.2458.
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาตเิ อกสารเยบ็ เลม่ เอกสารกระทรวงนครบาล
หอจดหมายเหตแุ ห่งชาต.ิ กน(ล) 1.1/32 ก.17 เอกสารเย็บเล่ม กระทรวงนครบาล รายงาน
ประจำเดือน แผนกธรุ การ.
ราชกิจจานเุ บกษา
ประกาศบอกกำหนดหมายเขตตท์ ี่ดินในตำบลบางขนุ เทยี น แขวงกรงุ เทพฯ. (121, 8 มีนาคม).
ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 19. หน้า 979.
ประกาศพระราชทานอำนาจพเิ ศษแก่บริษทั รถไฟแม่กลองทนุ จำกัด. (127, 17 ตลุ าคม).
ราชกจิ จานุเบกษา. เลม่ 25. หนา้ 792.
ประกาศให้ใช้พระราชบญั ญัติออกตราจองชัว่ คราวในท้องที่อำเภอบางขนุ เทยี น แขวงกรงุ เทพฯ. (121,
8 กมุ ภาพันธ์)). ราชกจิ จานเุ บกษา. เล่ม 19. หนา้ 897.
ประกาศให้ทราบทัว่ กนั . (129, 27 พฤศจิกายน). ราชกจิ จานเุ บกษา. เล่ม 27. หน้า 2008.
ประกาศให้ทราบทั่วกัน. (129, 4 ธนั วาคม). ราชกจิ จานุเบกษา. เลม่ 27. หนา้ 2041.
ประกาศให้ทราบทวั่ กนั . (130, 13 สงิ หาคม). ราชกจิ จานเุ บกษา. เลม่ 28. หนา้ 950.
ประกาศให้ทราบทัว่ กนั . (131, 26 พฤษภาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 29. หนา้ 504.
18
พระราชบญั ญัติขนานนามสกุล พระพุทธศักราช ๒๔๕๖. (2455, 30 มนี าคม). ราชกิจจานเุ บกษา.
เล่ม 29. หนา้ 283.
หนงั สอื
ขรรคช์ ัย บุนปาน; และ สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ. (2530). บางขนุ เทียน สว่ นหนึง่ ของแผ่นดนิ ไทยและ กรุง
รัตนโกสนิ ทร์. กรุงเทพฯ: มติชน.
น. ณ ปากน้ำ. (2542). ศลิ ปกรรมในบางกอก. กรุงเทพฯ: เลิฟแอนด์ลิพเพรส.
ปยิ นาถ บุนนาค; และคนอนื่ ๆ. (2525). คลองในกรงุ เทพฯ : ความเป็นมา การเปลี่ยนแปลง และ
ผลกระทบ ตอ่ กรุงเทพฯในรอบ 200 (พ.ศ.2325-2525). กรงุ เทพฯ: ฝ่ายวจิ ยั จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั .
สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ. (2551). แม่นำ้ ลำคลองสายประวตั ิศาสตร์. พิมพ์ครงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: เรือนแก้วการ
พิมพ์. สุภาพร มากแจ้ง . (2540). การศึกษาวถิ ีชีวิตของมอญบางขนุ เทยี น "มอญบางกระดี"่ .
กรงุ เทพฯ: สถาบันราชภฏั ธนบุร.ี
สำนักงานเขตบางขนุ เทยี น. (2561). ข้อมลู ประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการกำหนด
กจิ กรรมเพือ่ พัฒนาพื้นทเ่ี ขตบางขนุ เทียน. กรุงเทพฯ: สำนกั งานเขตบางขุนเทยี น.
วทิ ยานิพนธ์
ฉตั ราภรณ์ พริ ุณรัตน.์ (2535). พัฒนาการของบางกอกฝั่งตะวนั ตก พ.ศ. 2325-2369. วิทยานิพนธ์
อ.ม. (ประวตั ิศาสตรศ์ ึกษา). กรงุ เทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
วัลลี นวลหอม. (2554). พฒั นาการของบางกอกฝั่งตะวนั ตก พ.ศ.2398 – 2488. วทิ ยานพิ นธ์ อ.ม.
(ประวตั ิศาสตร์ศึกษา). กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
อำพนั รงุ่ วรรธนวงศ.์ (2526). การศึกษาเพื่อประกอบการวางแผนการใช้ท่ีดินในพ้นื ที่ชานเมอื ง
ทางดา้ น ตะวนั ตกของกรุงเทพมหานคร : กรณศี ึกษา เขตบางขนุ เทยี น. วทิ ยานพิ นธ์ ผ.ม.
(การวางผงั เมือง) กรงุ เทพฯ: บัณฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
19
บทความ
สุนทรี อาสะไวย์. (2537, กันยายน-ธนั วาคม). พัฒนาการของ “ธนบรุ ี” ในฐานะส่วนหนึ่งของดนิ ดอน
สามเหลี่ยมปากแมน่ ำ้ เจ้าพระยา. วารสารธรรมศาสตร์. 20(3): 108-134.
แหล่งข้อมูลอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
กรมที่ดิน. (2562). ความเป็นมาของการออกโฉนดทด่ี นิ . สบื คน้ เมือ่ 7 ธันวาคม 2564, จาก
https://www.dol.go.th/Pages/
วารสารเมอื งโบราณ. (2561). มองมอญวดั ท่าข้าม. สืบค้นเมอื่ 22 ตุลาคม 2564, จาก
http://www.muangboranjournal.com/post/talk_Thakham
สจุ ิตต์ วงษ์เทศ. (2563). กวา่ 500 ปกี อ่ น ชุมชนเก่าแก่ของกรุงเทพฯ อยทู่ ไ่ี หนบ้าง?. สบื ค้นเมอื่ 7
ธนั วาคม 2564, จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_34222
สารคดี. (2554). มอญเมืองหลวง ภาพสะท้อนอตั ลักษณค์ วามเปน็ มอญในสังคมเมือง. สืบค้นเม่อื
22 ตลุ าคม 2564, จาก https://www.sarakadee.com/2011/04/19/morn-in-
bangkok/
20
อำเภอตาคลี ชว่ งสงครามเย็นและหลงั สงครามเยน็ : การเปล่ียนแปลงความรบั รู้ เชงิ
พ้ืนที่ ในทางวรรณกรรมและสงั คม พ.ศ.2504 – 2542
ณฐั พงษ์ สีหาทัพ
นสิ ิตภาควชิ าประวัตศิ าสตร์/ คณะสงั คมศาสตร์/ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวโิ รฒ
_________________________________________________________________________
บทคดั ย่อ
บทความนี้ม่งุ ศกึ ษาประวัตศิ าสตร์เชิงพื้นที่ของอำเภอตาคลีตง้ั แต่พ.ศ.2504 เป็นปีท่ีมีการ
ตั้งฐานทัพของ สหรัฐอเมริกาในพื้นที่อำเภอตาคลีจนกระทั้งมีการถอนทัพออกไปจากประเทศ
ไปใน พ.ศ.2519 ประชากรที่จำนวน มากที่เป็นผู้ให้ความหมายกับพื้นที่หายไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้พื้นที่นั้นไม่สามารถคงความหมายเดิมไว้ได้ความหมายจึงถูกลดทอนลง จนถึงปีทศวรรษ
2540 ท่ีความหมายเปลยี่ นไปสกู่ ารท่องเทย่ี วในประเทศ
21
บทนํา
ตาคลีนั้นเป็นอำเภอที่มีอายุเพียง 100 ปีนับตั้งแต่การแยกตัวจากจากอำเภอพยุหะคีรี
จังหวัดนครสวรรค์ ในพ.ศ.2465 เป็นอายุที่ไม่มากนัก หากเทียบกับอายุของการตั้งถิ่นฐานของ
มนุษย์ในพื้นที่ในพื้นที่นครสวรรค์พบ หลักฐานเป็นร่องรอยอารยธรรมย้อนกลับไปถึง 2500 ปี
มาแล้ว ณ ตำบลจันเสน ซึ่งอยู่ในอำเภอตาคลีนั้นเอง แต่ ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ตาคลีได้พบกับ
ความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย และได้มีความสำคัญในบริบทโลกอย่างที่ ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในยุคสงครามเย็น จากการเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการตั้งฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ช่วงเวลา
เพยี ง 15 ปแี หง่ ความรุ่งเรือง (2504-2519) ตาคลไี ดซ้ บเซาลงจากการถอนทหารของสหรัฐอเมริกา
ออกไปจากประเทศไทยอย่างถาวร
โดยใชการอบการวจิ ยั ตามทฤษฎีวิธวี ิทยารว่ มสมัยในการศึกษาวรรณกรรม.
พนื้ ท่ี และ สถานที่ คอื ศพั ทน์ ยิ ามสองคําที่มคี วามหมายใกล้เคียงกันจนบางกรณีสามารถ
ใช้แทนกนั ได้ อย่างไม่รสู้ กึ ถึงความแตกต่าง แต่ในมุมมองของนักภูมิศาสตรช์ าวเวยี ดนาม อี ฝู ถวน
( Yi Fu Tuan) ได้ตีพิมพ์ หนังสือที่ช ื่อว่ า Space and Place: The Perspective of
Experience ในปี 1977 เป็นการเสนอ และ จําแนก ความแตกต่างระหว่าง “พื้นที่”
และ “สถานท”ี่ ออกจากกนั
โดย ถวน อธิบายว่า พื้นที่ (space) นั้นมีความเป็นนามธรรม ในความรับรู้นั้นไม่สามารถ
หาขอบเขต ตายตวั ทัง้ มนี ยั ของความว่างเปลา่ กนิ พื้นทคี่ วามรับรู้ออกไปอย่างไม่คงตัว ตรงกันข้าม
กับ สถานที่ (place) ที่มีความเฉพาะเจาะจง มีข้อบ่งชี้ชัดเจนถึงขอบเขตในการรับรู้มีความคงท่ี
และมีความหมายในตัว อันเป็นภาวะที่สื่อถึงความมีเสถียรภาพ ดังนั้นแล้วองค์ประกอบนี้จึงทำให้
สถานที่ นั้นมีความเป็นรูปธรรมมากกว่า พื้นที่ยกตัวอย่าง เช่น เมื่อเอ่ยถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ใน
ทัศนของนาย A และนายBจะพบว่ามีความรับรู้ที่แตกต่างกัน นาย A อาจจะนึกถึงพื้นที่ทางตอน
เหนือของแม่น้ำ ในขณะที่นาย B นึกไปถึงพื้นที่ปากแม่น้ำ ทั้งสองคําตอบนี้ไม่มีถูก และผิด
เพราะนั้นคือสภาวะปกติของพื้นที่ ที่มีอาณาเขตในการรับรู้กว้างออกไปอย่างไม่ชัดเจน ในทาง
กลับกันหากเรามีข้อบ่งชี้ชัดลงไป เช่น พื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ณ หลักกิโลเมตรที่ 0 จะเห็นได้ว่าเมื่อเรากล่าวเช่นนี้ สภาวะที่แผ่ออกของพื้นที่นั้นถูกตีกรอบ
ให้หดเล็กลงจนเหลอื เพยี งหนว่ ยหนึง่ มจี ดุ รว่ มของความรับร้ทู ่ชี ดั เจน
กล่าวโดยสรุปคือ สถานที่นั้นคือพื้นที่ที่ถูกมอบคุณค่าและความหมายให้โดยมนุษย์
น้ันเอง อย่างท่กี าร สรา้ งอนุสาวรยี ์ประชาธิปไตยน้นั สรา้ งความหมายขนึ้ มาบนพื้นท่ถี นนราชดำเนิน
ที่เดิมทีเป็นเพียงพื้นที่ระหว่างสอง สถานที่สำคัญอย่าง พระบรมหาราชวังอันเป็นศูนย์กลาง
การปกครอง กับพระราชวังดุสิต ให้กลายเป็นสถานที่อัน ทรงความหมาย และถูกมอบคุณค่า
ให้มีนัยของความเป็นศูนย์กลางใหม่จากการตั้งให้เป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ นั้นเอง ดังนั้น แม้จะมี
การจําแนกความแตกต่างระหวา่ ง พ้นื ท่ี และสถานท่อี อกจากกนั แต่สภาวะทง้ั สองน้ันจาํ ต้อง
22
พึ่งพาอาศัยกันอย่างขาดไปเสียมิได้ นิยามโดยสังเขปจากข้อเสนอของ ถวน จึงเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่มอบ
ความหมายให้กับพ้นื ท่ีหนึ่งๆ ผ่านปฏิสัมพันธจ์ นเกิดเป็นสถานทขี่ น้ึ มา 1
ข้อเสนอของ ถวน นั้นมิเพียงแต่เปิดมุมมองใหม่ให้การศึกษาภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลกว้าง
ออกไป ยังศาสตร์แขนงอื่นอย่าง ภาษาศาสตร์ และสังคมศาสตร์อีกด้วย ในปี 1980 มิแช็ล เดอ แชร์โต
(Michel de Certeau) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสผู้ผลิต ผลงานเชิงจิตวิทยา และประวัติศาสตร์ได้ตีพิมพ์งาน
เขียน The Practice of Everyday Lifeเพ่อื เข้ามารว่ มถกเถียงในประเด็นท่ีถวน ไดเ้ สนอเอาไว้โดยเดอแชร์โต
เห็นด้วยกับ การจําแนก ความแตกต่างของศัพท์นิยามทั้งสอง ซึ่งในความเห็นของ เดอ แชร์โต มองว่าเสริมว่า
ในมิติของความเป็นสถานที่นั้น มีนัยของการจัดวาง การเป็นเจ้าของ ซึ่งแสดงออกถึงความคงที่ และมี
เสถียรภาพแต่ในทางกลับกันแล้ว ความเป็น พื้นที่ ที่มีความไม่แน่นอนนี้เอง แสดงถึงภาวะการณ์เคลื่อนไหวที่
สามารถท้าทายความเป็นสถานทีไ่ ด้เช่นกัน เดอ แชร์โต ได้เพิ่มมิติด้านการเมืองเข้าไปในการวิเคราะห์ของเขา
เดอ แชร์โต นั้นมองว่า การนิยามสถานที่ก็เป็นการ เปิดออกสู่พื้นที่ใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยกลับไปยัง
ตัวอย่างเดิม เมื่อเพิ่มประเด็นทางการเมืองเข้าไป การสร้าง อนุสาวรีย์ประชิปไตยขึ้นจงึ เป็น การสร้างสถานที่
อันบรรจเุ อาอดุ มการทางการเมือง ผา่ นสถาปตั ยกรรมรปู แบบเฉพาะที่ ชาตรี ประกติ นนทการณ์ ไดใ้ หค้ าํ นิยาม
ไวว้ ่า สถาปัตยกรรมคณะราษฎร1 เพอื่ ขับเน้นสญั ญะของ อุดมการณ์ประชาธิปไตยซึง่ ตั้งอยูโ่ ดยท้าทายสถานที่
สำคัญในระบบสมบรู ณายาสทิ ธิราช ซึง่ เป็นปฏบิ ัติการของ อัตบุคคลในประวัตศิ าสตร(์ historical subjects)2
“เดอ แชรโ์ ตเสนอว่าการจําแนกระหวา่ งพื้นท่กี บั สถานทีเ่ ป็นความแตกตา่ งของการ สร้างขอ้ กาหนดใน
เรื่องเล่า กล่าวคือ หากเรากาหนดเรื่องเล่าจากวัตถุ (objects) ซึ่งในตอนท้ายจะถูกลดทอนลงจนกลายเป็น
สภาพของการดํารงอยู่ ณ ที่หนึ่ง (being-there) ราวกับวัตถุนั้นกลายเป็นสิ่งไร้ชีวิต เช่นนั้นจะถือเป็นกฎแห่ง
สถานที่ (the law of a “place”) แต่หากเรากาหนดเรื่องเล่าจากปฏิบัติการ (operations) จะเป็นการบ่งชี้
ถึง พื้นท่ี โดย การเนน้ ถึงปฏิบตั ิการ ของอัตบุคคลในทางประวตั ศิ าสตร์ (historical subjects)”
สรุเดช โชตอิ ุดมพันธ์. (2561)
ดังนั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยจึงเป็นสถานที่ส่วนรวม เปิดกว้างในการตีความ
จาก หลากหลายแนวคิดที่ทับซ้อน ณ สถานที่หนึ่ง กลายเป็นพรมแดนทางความคิดที่พร่าเลือน เต็มไปด้วยนยั
แห่งความ ไม่เสถียร เกิดเป็นพื้นที่ทางการเมืองทีเ่ คลื่อนไหว และท้าทายในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่นนี้เองที่
แสดงอีกหนึ่ง ข้อเสนอของ เดอ แชร์โต ว่าแต่ละภาวะระหว่าง “พื้นที่” กับ “สถานที่” นั้นแฝงไปด้วยนัย
ทางการเมือง และ สามารถเกดิ ภาวะทงั้ สองสลับกนั ไปมาได้เสมอตามบรบิ ทของเวลา
1
1
2
23
เนอ้ื หา
กรุงรัตนโกสนิ ทรใ์ น พ.ศ. 2325 ความสำคัญของพ้นื ทีเ่ มืองนครสวรรคย์ ังคงทำหน้าท่ีเป็นแหล่งรองรับ
สินค้าจากภาคเหนือลงมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาสู่เกาะรัตนโกสินทร์ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่
จากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อให้เกิดการค้าแบบทุนนิยม
เสรีและความต้องการอันมหาศาลของชาติผู้ล่าอาณานิคม ในการเติมเครื่องจักรที่มี่วันอิ่มของอุตสาหกรรม
ในโลกทุนนิยม ทรัพยากรจำนวนมากถูกนักเดินทางชาวต่างชาติเข้ามาสํารวจ และนำออกไปขาย
โดยนครสวรรค์ได้กลาย มาเป็นศูนยก์ ลางการแลกเปล่ียนสินค้าระหวา่ งภาคเหนือและภาคกลาง สินค้าจาํ พวก
ข้าวและไม้สักมารวมอยู่ที่ปากนํ้าโพ เพื่อที่จะทําการส่งต่อไปยังกรุงเทพฯ แต่จํานวนไม้สักที่ไปถึงยังกรุงเทพ
กลับได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องจากการยัดยอก หรือเก็บค่าผ่านทางตามระบบศกั ดินาสยาม3 ที่การปกครอง
ยังไม่ได้มีการรวมศูนย์อํานาจ รายได้ของบรรดาขุนนางจึงมาดจากการเก็บเอาสินทรัพย์มีค่าตามต้องการก่อน
ส่งไปยังราชสํานักปลายทาง อําเภอตาคคลีเองนั้นก็มีรายได้จากการลักลอบค้าไม้สักเช่นกัน เพราะแม้ว่า
นครสวรรค์จะถูกจัดอยู่ในภาคเหนือแต่ความ สูงจากระดับนํ้าทะเลกลับไม่เพียงพอต่อการเป็นสภาพแวดล้อม
ที่ต้นสักจะเจริญเติบได้ซึ่งจะต้องมีความสูงจาก ระดับนํ้าทะเล 500 เมตรขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นอําเภอตาคลี
ที่อยู่ทางตอนใต้สุดของจังหวัดนครสวรรค์ติดกับจังหวัด ชัยนาท สิงห์บุรีและ ลพบุรีจึงไม่เหมาะกับการเพาะ
ต้นสัก แต่มีลักษณะทางภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับกับภูเขาที่มีหินปูนอยู่มาก โดยตัวอําเภอตาคลีนั้นตั้งอยู่
ในที่ราบระหว่างหุบเขาตาคลี (ต่อมาถูกเรียกว่าเขาเรดาร์) ทางทิศ ตะวันตก กับ ภูเขารอยเสือ
ทางทิศตะวันออก และหุบเขาชอนเดื่อ ทางทิศเหนือ สภาพเนื้อดินเป็นดินสีดํา และสี แดงบางแห่งจึงเหมาะ
แก่การเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจอย่าง อ้อย ข้าว และข้าวโพด พร้อมป่าไม้เบ็ญจพรรณที่กระจายอยู่ตามภูเขา
พึ่งพาแหล่งนํ้าจากบึง ภายหลังการรวบอํานาจของระบบสบูรณาญาสิทธิราชในสมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าฯ ทําให้มีการบังใช้อํานาจในการตรวจสอบจํานวนสินค้าโดยเฉพาะไม้สักมากขึ้น ส่ งผลให้
การทํากาํ ไรจากการลักลอบค้าไมส้ ักน้ันทาํ ไดย้ ากข้นึ ตาคลีจงึ หนั มาพึ่งพาการขุดเหมืองหินปนู คุณภาพดีที่อุดม
อ ย ู ่ เ ฉ พ า ะ ต า ม ภ ู เ ข า น ้ อ ย ใ ห ญ ่ ใ น อ ํ า เ ภ อ ต า ค ล ี ( หิ น ป ู น ต รง น ี ้ เอ ง ท ี ่ จ ะ น ํ า ม า ร ้ าง ร ะ บ บ ส า ธ า ร ณ ูปโ ภ ค
ในอําเภอตาคลีอําเภอชัยนาท และจังหวัดนครสวรรค์ในเวลาต่อมา) เพื่อลําเลียงหินปูนที่มีนํ้าหนักมาก
จงึ มีการสรา้ งทางรถไฟขนานไปกับภเู ขาที่มีการทําเหมืองหินปนู ตามแผนทใ่ี นรปู ท่ี 1.4
3 Amnuayvit Thitibordin. (2016). Control and Prosperity: The Teak Business in Siam 1880s–1932. P.187
24
ภาพที่
1.1 แผนทร่ี ะวาง L708 แสดงพ้นื ท่ที างรถไฟที่พาดผา่ นหุบเขาในอาํ เภอคาตลี
25
แยกตัวเปน็ อําเภอ
เดิมทีนั้นอําเภอตาคลีเป็นส่วนหนึ่งของอําเภอพยุหคีรีทางตอนใต้สุดของจังหวัดนครสวรรค์
กอ่ นทีจ่ ะไดร้ ับ การแยกตวั ออกมาใน พ.ศ.2468 ในประกาศราชกจิ จานุเบกษา โดยที่มาของช่ืออําเภอตาคลีน้ัน
เพี้ยนมาจาก “ตี- คลี” การละเล่นบนหลังม้าจากวรรณคดีเรื่องสังทอง พระราชนิพนในพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยที่มาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งของตัวอําเภอที่ลานกว้างระหว่างหุบเขา
หรือในบางแหล่งข้อมูลให้เหตุผลว่าเป็น ยอดเขาที่เป็นลานกว้าง ซึ่งทั้งสองเหตุผลนั้นเชื่อมโยงไปยังลักษณ ะ
ของลานตีคลีที่ในฉากวรรณคดีตอนที่ พระสังค์ตี คลีกับพระอินทร์จึงพอสันิฐานได้ว่าการเรียกลักษณพื้นที่
ดังกล่าวอาจจะมีมาก่อนการแยกตัวเป็นอําเภอ แต่ก็หลังจากพระราชนิพนธ์ในยุคของพระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลัยแต่มิได้มีกาให้ขอบเขตพื้นที่อย่างเจาะจง ดังนั้นแล้วเมื่อ พ.ศ. 2468 ตาคลีที่ได้รับ
การแบ่งขอบเขตจึงได้รับความหมายพร้อมกับพื้นที่ที่แน่นอนกลายเป็น สถานที่Place ที่ได้รับความหมาย
จากลักษณะพืน้ ท่ใี นวรรณกรรมที่เชอ่ื มโยงมาสู่พืน้ ท่ที างกายภาพ
การเข้ามาของสหรฐั อเมริกา
ความเจริญวัฒนาในแนวคิดประชาธิปไตยของคณะราษฎรได้เดินทางผ่านความขัดแย้งกัน
ระหว่าง คณะราษฎรสายพลเรือน และสายทหาร การห้ำหั่นกันของทั้งสองฝ่ายทําให้ความเป็นปึกแผ่นของ
คณะราษฎรเปราะบาง จนกระทั่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ต้องสูญเสียความนิยมไปจากทั้งคนในประเทศ และชาติฝ่ายสัมพันธ์มิตร์ไป จากเมื่อครั้งที่รัฐบาล
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เลือกเข้าข้างฝ่ายอักษะ ทําให้ภาพหลังการปฏิวัติ พ.ศ. 2490
จอมพล ป. พบิ ลู สงครามจาํ ต้องเสียเสยี เสียข้างมากใหก้ ับกลมุ่ อนรุ กั ษนิยม หรอื แมก้ ระทัง่ สายทหารดว้ ยกันเอง
อํานาจก็ตกไปอยู่ที่นายทหารผู้อ่อนอาวุโสกว่าอย่างสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ผู้มีความคิดไปในทางอนุรักษนิยมกว่า
เพราะทหารในชุดนน้ี ้นั มิได้มีประสบการณ์ร่วมกปั ประชาธปิ ไตยนอ้ ยกวา่ 4
พ.ศ.2500 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สูญเสียอํานาจให้กับนายทหารอ่อนอาวุโสกว่า การขึ้นมาของ
จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์เป็นช่วงเวลาไทยได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา ในภาวะสงครามเย็น
ที่มีคอมมิวนิสตเ์ ปน็ ภัยคุกคามสําคัญในมุมมองฝ่ายอนุรักษ์นิยม การรุกคืบทางอดุ มการณ์ที่จะปลดแอกสังคม
ออกจากการครอบงําของชนชั้นนายทุน และสร้างสังคมใหม่ภายใต้ระบบเศษฐกิจสังคมนิยม
ในบริบทสังคมไทยซึ่งอยู่ในภูมิภาคเดียวกันกับ สงครามในเวียดนาม การสนับสนุนของสหรัฐจึงเป็นไปเพ่ือ
พัฒนาประเทศด้อยพัฒนาอย่างไทย เพื่อมิให้การรุกคืบ ของคอมมิวนิสต์เป็นไปตามทฤษฎีโดมิโน ดั้งน้ัน
สาระสําคัญของการพัฒนาจําเป็นไปเพื่อแย่งชิงผู้คนเป็นหลักเมื่อ จอมพล สฤษดิ์ รับการสนับสนุนจาก
สหรัฐอเมริกาการพัฒนาจึงเป็นนโยบายที่ต้องเกิดขึ้นตามมาด้วย ทศวรรษที่ 2500 จึงมีชื่อในทางวิชาการ
อีกชื่อหนึ่งว่า “ยุคพัฒนา” เป็นยุคแห่งการพัฒนาไม่ว่าจะในทางกายภาพ เช่น ระบบสาธารณูประโภค
และตัดถนนมากมาย อาธิถนนมิตรภาพ และคลองอนุศาสนนันท์ เป็นคลองที่ขุดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2500
4 ชาญวิทย์ เกษตรสริ .ิ (2562). ประวตั กิ ารเมอื งไทย พ.ศ.2475-2500. หนา้ 382
26
เพื่อเชื่อมระหว่างแม่นํ้าเจ้าพระยา และ แม่นํ้าป่าสัก ลักษณะทางภูมิประเทศเอื้อประโยชน์ให้ประชากร
ใน พนื้ ที่ล่มุ เชงิ เขาต่าง ๆ ในอาํ เภอตาคลซี ึ่งมกั ประสบปญั หาขาดแคลนน้าํ ในหนา้ แลง้
21 มีนาคม พ.ศ.2503 นายยูอเล็กซิส จอห์นสัน เอกอัครราชทูตสหรัฐประจําประเทศไทย ได้เข้าร่วม
พิธีเปิดฐานทัพอากาศ นครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานีโดยจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ณ ฐานทัพ
อากาศ จงั หวัดนครราชสีมา และเปิดฐานทพั นครพนม อ่ตู ะเภา และตาคลปี ถี ัดมา เพื่อเป็นฐานใหแ้ ก่เคร่ืองบิน
ชนิด บี.52 และ แฟนทอม เอฟ 4 ในการบินเข้าไปปฏิบัติการทางทหารในเวียดนามเหนือ การเข้ามาของ
ทหารอเมริกันนับหมื่น นาย ที่นอกจากจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แล้ว ส่วนหนึ่งของทหารจีไอที่เข้ามาเพื่ออาศัย
ประเทศไทยเป็นที่พักคอยก่อนที่จะถูกส่งตัวไปรบในภาคสนามที่เวียดนาม เรียกว่าโครงการ R&R Service
(Rest and Recreation Service) เพื่อให้กลุ่มทหารเหล่านี้ได้ผ่อนคลายก่อนไปรบ ทหารในกลุ่มนี้มักมาเป็น
ผลัดระยะสั้น แต่ละผลัดประจําอยู่เพียงไม่กี่สัปดาห์ โดยรัฐบาลสหรัฐจะให้เบี้ยเลี้ยงมาจํานวน หน่ึง
เพ่อื การพักผ่อน โดยทหารเหลา่ นี้ใชจ้ ่ายถงึ ร้อยละ 49 ของจํานวนเงินท้งั หมดไปกับการเท่ยี วบาร์ และโสเภณี
บันทึกของ จํานง เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตนายอําเภอตาคลีช่วง พ.ศ.2500 ได้แสดงให้เห็นถึง
การเพิ่มขึ้น ของผู้คนในอําเภอตาคลีกลังจากาการเข้ามาตั้งฐานทัพของสหรัฐไว้ในบท ตาคลีเมืองโตเร็ว
ในหนังสือ 32 ปีชีวิต นักปกครอง ว่าปัจจัยที่ดึกดูดผู้คนมาตาคลีน้ันมดี ้วยกัน 4 ปัจจัย5 หนึ่งคือการเข้ามาเป็น
คนงานไร่ข้าโพดและทํานา สองคือการคมานาคมทางรถไฟทําใหการขนส่งปูนนั้นสะดวกทําให้มีผู้คนเข้ามา
สมัครเป็นคนงานเหมืองหินปูนเพิ่มขึ้น ปัจจัยที่สามคือการเข้ามาทํางานในบริษัทชลประทานซีเมนต์
ในการทําโครงสร้างพื้นฐานปัจจัยที่สี่นั้นคือ กองบินท่ี4 อันเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ที่นําพาเงินดอลลาร์
จํานวนมหาศาลมาสู่ท้องถิ่น ถึงขนาดมีการใช้เงิน ดอลลาร์ในการแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงินบาท อันนําพา
ประชากรจํานวนมากเข้าสู่พื้นที่ตาคลี ทั้งจํานวนทหาร อเมริกันเอง และประชากรแฝงที่เข้ามาเพื่อหารายได้
จากค่าเงินดอลล่าท่สี งู กวา่ เงนิ บาท
เงินดอลลาร์จํานวนมากสะพัดเข้าสู่พื้นที่ใกล้ฐานทัพอากาศ เช่นเดียวกันกับการเพิ่มขึ้นของโสเภณี
ที่ใน พ.ศ.2503 ก็ได้มีการออกกฎหมายให้การค้าบริการทางเพศนั้นมีความผิดอาญา แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง
การผันตัว ของสตรีชาวบ้านให้มาเป็นโสเภณีได้เมื่อมีการเปิดฐานทัพเพิ่มขึ้น รายงานของ New York Time
ปี2511 รายงาน ว่ามีจํานวนของทหารจีไอในไทยไม่ตํ่ากว่า 46,000 คน ราวกับเป็นสัญญาณให้ผู้คนออกไป
แสวงหาโอกาส
5 จํานง เทพหสั ดนิ ณ อยุธยา. 32 ปีแหง่ ชวี ติ นักปกครอง หน้า.209
27
ตารางแสดงจํานวนประชากรและสถานทใ่ี นอาํ เภอตาคลีจากเอสารเจ้าหน้าที่อําเภอ พ.ศ.2515
เนอ้ื ที่ท้ังหมด 598,750 ไร่
จาํ นวนประชากร 113,984 คน
จํานวนหลงั คาเรอื น 2,346 หลงั คาเรอื น
จาํ นวนหมู่บา้ น 90 หมู่
จํานวนตําบล 8 ตาํ บล
จาํ นวนสถานีอนามัย 1 แหง่
จํานวนโรงเรยี น 89 แหง่
จํานวนนกั เรยี น 19,655 คน
จาํ นวนวัด 44 วัด
จํานวนบารแ์ ละไนต์คลับ >46 แหง่
จํานวนทหารอเมริกัน >5000 คน (โดยประมาณ)
““มนั เปน็ สงครามท่ีแพงทีส่ ดุ ในประวัตศิ าสตร์”
นักธรุ กิจอาบอบนวดพูดมาจากหลังกระป๋องเบยี ร์แน่นอนมัน
เองก็ถูกขโมยออกมาจากคา่ ยมาขายกันกระปอ๋ งละ 10 สลึง ลาเกอร์
เบียรอ์ นั จดื ชดื ราวกบั นา้ํ บดู แลว้ เขากย็ ักไหล่ “ผมอ่านพบจากเอกสาร
ของฝ่ายอเมริกนั ด้วยความตกใจว่า รฐั บาลอเมรกิ ันใชเ้ งนิ ในสงครามอิน
โดจนี แล้วไมน่ ้อยกว่า ส่ีแสนล้านดอลลาร์”
การบินข้ึนทาํ งานแตล่ ะคร้งั ของเครื่อง บ.ี 52 สนิ้ เปลอื งราว
820,000 บาท แฟนทอม เอฟ 4 ราว 170,000 บาท
คนที่ทาํ งานตลอดชีวิตไม่เคยจับเงินหม่นื ย่อมคิดว่าเป็น
สงครามของเศรษฐีอย่างแทจ้ ริง และช่วยไม่ได้ถา้ คนพื้นเมืองในทุกแห่ง
หนทท่ี หารอเมริกนั ไปถงึ จะพากันคิดวา่ อเมริกันทกุ คนรํา่ รวย แล้วหา
โอกาสตกั ตวงผลประโยชนจ์ ากอเมริกันเหล่านน้ั ”