The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการประชุมวิชาการ

“เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่ผลงาน
ด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา

ครั้งที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anchaleepohn Namtonthong, 2022-08-05 05:06:12

เล่ม Proceeding อัปเดต4-8

โครงการประชุมวิชาการ

“เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่ผลงาน
ด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา

ครั้งที่ 1

228

สามารถใช้เป็นแหล่งในการค้าขายสินค้าทั้งจากประเทศของตนและจากแหล่งอื่น ๆ ทั่วโลกที่อังกฤษ
สามารถนำไปค้าขายเกง็ กำไรตอ่ ไดอ้ ย่างมหาศาล เปน็ ตน้

ถึงแม้ว่าทฤษฎีระบบโลกนั้นจะเปรียบเสมือนแนวคิดที่สามารถเปิดพรมแดนองค์ความรู้ของ
ประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ในแงท่ ี่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวพันกนั
ขององค์ความรู้ทั้งสองที่ได้ถูกนำมาผสานผ่านทฤษฎีระบบโลกตามทรรศนะของวอลเลอร์สไตน
ที่สามารถอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างรัฐในระบบระหว่างประเทศที่ไม่เท่าเทียมกันได้ โดยมีรากฐาน
และมุมมองทางประวัติศาสตร์จากแนวคิดมาร์กซิสต์ซึ่งทฤษฎีระบบโลกนั้นมักถูกนำไปใช้
ในการอธิบายระบบเศรษฐกิจโลกภายใต้กระแสแห่งทุนนิยมโลกาภิวัตน์ อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้
ศึกษาในประเด็นของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศได้อีกด้วยแต่อย่างไรก็ตาม
ด้วยความปกติหรือธรรมชาติของศาสตร์ทางสังคมศาสตร์ที่สามารถมีได้หลากหลายแนวคิด
แนวทาง และหลากหลายคำตอบที่สามารถนำมาปรับใช้ในการอธิบายสังคมโลกได้ซึ่งในที่น้ี
ทฤษฎีระบบโลกก็ได้ถูกท้าทายเช่นกันผ่านข้อถกเถียง และข้อวิพากษ์ของทฤษฎีระบบโลก
ในมุมมองของนักวิชาการทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์รวมไปถึงสาขาวิชาอื่น ๆ อย่างกว้าง
ซึ่งในที่นี้จะขอยกตัวอย่างกรณีวิพากษ์ทฤษฎีระบบโลกของวอลเลอ ร์สไตนโดยนักวิชาการทางด้าน
สงั คมวิทยาอยา่ ง วลิ เลี่ยม โรบนิ สนั (William I. Robinson) ศาสตราจารย์ทางด้านสงั คมวิทยาประจำ
มหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ (The University of California, Santa Barbara: UCSB) ซึ่งวิพากษ์
ทฤษฎีระบบโลกผ่านบทความที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายคือ บทความเรื่อง “Globalization and
the sociology of Immanuel Wallerstein: A critical appraisal” ทีไ่ ดว้ ิพากษว์ า่ ทฤษฎรี ะบบโลก
ของวอลเลอร์สไตนนั้นให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยยึดรัฐเป็นศูนย์กลาง (state centrism) มาก
เกินไปและไม่ได้ให้ความสนใจในประเด็นทางวัฒนธรรมรวมไปถึงโครงสร้างภายในของรัฐที่มีส่วนต่อ
การสรา้ งความไม่เท่าเทยี มระหว่างรัฐเช่นกันรวมถงึ โรบนิ สันยังมองวา่ วอลเลอรส์ ไตนยังไม่ได้พิจารณา
ประเด็นของสภาวะโลกาภิวัตน์ (Globalization) ควบคู่ไปด้วยนอกจากนี้เขายังเสนอว่าทฤษฎีระบบ
โลกควรมีการกลา่ วถึงความสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวข้ามชาติ (transnational social forces)
ต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากระแสโลกาภิวัตน์ซึ่งมีความสำคัญอย่างแนบแน่นกับสถาบันระหว่างประเทศ
ต่าง ๆ เพื่อรักษาและปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกันโดยที่กลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าว
มีความสัมพันธ์ในระดับนอกเขตแดนรัฐชาติซึ่งทฤษฎีระบบโลกนั้นยึดการศึกษาผ่านมุมมองของรัฐ
เป็นศูนย์กลางจึงทำให้ไม่สามารถอธิบายถึงอิทธิพลของกลุ่มดังกล่าวที่มีอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจได้
อย่างรอบด้านนอกจากนี้ยังถูกวิพากษ์อีกว่าวอลเลอร์สไตนให้ความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจมาก
เกินไปจนละเลยประเดน็ ทางสังคมอ่ืน ๆ เช่น วัฒนธรรม เปน็ ต้น

กล่าวโดยสรุปทฤษฎีระบบโลก (World-System Theory) ที่ถูกนำเสนอโดยศาสตราจารย์
อิมมานูเอล วอลเลอร์สไตนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสาย
เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศสำนักมาร์กซิสต์ และเป็นแนวคิดหรือมุมมองทางประวัติศาสตร์

229

เศรษฐกิจท่ียงั คงมอี ิทธิพล และมกั จะถูกหยิบยกข้ึนมาเปน็ กรอบความคิด (frame work) ในการศกึ ษา
ถึงการจัดสรรอำนาจของรัฐในระบบระหว่างประเทศภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ที่มีความไม่เท่าเทียมกันผ่านการจัดแบ่งสถานะของรัฐในระบบโลกออกเป็นรัฐศูนย์กลาง รัฐชายขอบ
และรัฐกึ่งชายขอบโดยได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากมุมมองทางประวัติศาสตร์แบบมาร์กซิสต์
หรือสำนักนีโอ-มาร์กซิสต์ที่ให้ความสำคัญกับการพินิจสังคมผ่านบริบทเศรษฐกิจ และความ
ไม่เท่าเทียมทางชนชั้น เป็นสำคัญซึ่งนอกจะสามารถอธิบายความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ
และชนชั้นนายทุนรวมไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบทุนนิยมแล้วนั้นยังสามารถขย ายขอบเขต
การวเิ คราะห์ไปสู่ระดบั ระหว่างประเทศดังที่ปรากฎในสาระสำคญั ของทฤษฎรี ะบบโลกที่เป็นส่ิงยืนยัน
ได้ว่าองค์ความรู้ทางประวัติศาสตรส์ ามารถนำไปตอ่ ยอดกบั ศาสตรว์ ิชาการแขนงอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน
ดงั่ เช่นกรณขี องการศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศโดยผ่านทฤษฎรี ะบบโลก

บรรณานกุ รมและเอกสารอ้างองิ

เอกสารภาษาไทย

หนงั สือ

จฑุ าทิพ คลา้ ยทับทิม. หลกั ความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศ.พิมพ์ครัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์

มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, 2559.

นรุตม์ เจริญศรี. ทฤษฎีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ. พิมพค์ ร้งั ท่ี 3. เชยี งใหม:่ สำนกั พิมพ์
มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่, 2563.

บูธ, เคน. ความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ: รวมเร่อื งทต่ี ้องรู้. แปลโดย จันจริ า สมบตั ิพนู ศริ ิ. กรงุ ทพฯ:
สยามปริทัศน์, 2559.

อนสุ รณ์ ลิ่มมณี. ทฤษฎีเศรษฐกิจการเมืองยุคปจั จุบนั . พิมพค์ ร้ังท่ี 5. กรงุ เทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวทิ ยาลยั

รามคำแหง, 2543.

อภิชา ชุตพิ งศพ์ สิ ฏิ ฐ์. ประวัติศาสตร์นพิ นธ์ตะวันตก. กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2564.

230

บทความ
เชษฐา พวงหัตถ์. “การพฒั นาท่ีเหลื่อมลำ้ -ใครตกเปน็ เหย่ือ?: ข้อพิจารณาจากมุมมองทางสังคมวิทยา

ระดับโลก.” วารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง ปีที่ 1, ฉบับท่ี 1 : 99-144.
ธโสธร ตทู้ องคำ. “แนวคิด ทฤษฎี ตัวแบบ และแนวทางการศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ: การ

จดั กลมุ่ ทางความคดิ และสาระสำคัญจากแนวคดิ กระแสหลักช่วงครสิ ตศตวรรษที่ 20.”
วารสารรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนาศาสตร์ ปีท่ี 7, ฉบับท่ี 2 (กรกฎาคม-ธนั วาคม 2559):
118-151.

ไพลิน กิตติเสรีชัย. “มหาอำนาจอาหาร.” วารสารสงั คมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์ ปที ี่ 40, ฉบบั ท่ี 2
(กรกฎาคม-ธนั วาคม 2557): 19-37.

ศพิ มิ พ์ ศรบัลลังก.์ “บทสำรวจทฤษฎีความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศเบอ้ื งต้น.” วารสารนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปที ี่ 10, ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2562): 53-75.

เอนกชยั เรอื งรัตนากร. “ปัจจัยท่ีกำหนดประสทิ ธผิ ลของมาตรการลงโทษทางเศรษฐกจิ ของ
สหรัฐอเมรกิ าต่อพม่า (ค.ศ. 1988-2008).” วารสารสาขามนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และ
ศลิ ปะ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ปีท่ี 8, ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2558): 1906-1917.

เอกสารภาษาอังกฤษ
Books

McGLINCHEY, STEPHEN. International Relations. Bristol, England: E-International

Relations Publishing, 2017.

McGLINCHEY, STEPHEN. ROSIE WALTERS and CHRISTIAN SCHEINPFLUG. International

Relations Theory. Bristol, England: E-International Relations Publishing, 2017.

Wallerstein, Immanuel.The modern world-system I: Capitalist agriculture and the

origins of the European world-economy in the sixteenth century, New York:
Academic Pres, 1974.

231

กลมุ่ คนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในอาเจะห์ กบั สิทธิและเสรีภาพท่ถี กู ลืม
(LGBTQ in Aceh and Forgotten Rights and Freedoms)

Akkaradet Yensabai, Rungsuriya Phothong and
Wannachatmongkol Boonsana Students of Southeast Asian

Studies
Faculty of Humanities and Social Sciences, Khon Kaen University, Khon Kaen
40002, Thailand

Abstract

LGBTQ in Aceh, Indonesia the human rights situation of LGBTI people is still a
problem arising from the sanctions-related violence imposed by the Shariah law. This
puts pressure on the livelihood and freedom of LGBTQ people in Aceh, and thus they
can be called marginalized people. This article aims to study the existence of LGBTQ
in Aceh and human rights issues. By using research methods in the form of historical
studies by collecting information from research, journals, articles, and related news
sources. And in the case study of the area of Aceh Province Indonesia. The study found
that the existence of LGBTQ people in Aceh has long been associated with Aceh
society and has complex dynamics in existence. But they have become a group of
people who are not accepted in society. Due to problems contrary to Islamic thought
and the enforcement of Shariah law. which directly affects LGBTQ, becoming a group
of people who have not received equal rights in human rights. and the oppression of
LGBTQ people in Aceh society Indonesia.
Keywords LGBTQ, Aceh, Shariah law, human rights

บทคัดย่อ
กล่มุ คนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในอาเจะห์ ประเทศอินโดนเี ซยี สถานการณท์ างด้าน

สิทธิมนุษยชน ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นประเด็นปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นจากสถานการณ์
ความรุนแรงเกี่ยวกับบทลงโทษที่ เกิดจากข้อบังคับของกฎหมายชารีอะห์ ซึ่งเป็นการกดทับ
ในด้านการดำรงชีวิตและอิสรภาพของกลุ่มคนหลากหลาย ทางเพศในอาเจะห์ จึงเรียกได้ว่ากลุม่ คน
กลุ่มนีจ้ ึงกลายเปน็ บุคคลชายขอบของสังคม บทความนีจ้ งึ เป็นการมุง่ ศึกษาการดำรงอยู่ของกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศในอาเจะห์กับปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน โดยใช้วิธีวิจัยใน รูปแบบของ

232

การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัย วารสาร บทความต่าง ๆ
และแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง และในกรณีศึกษาของพื้นที่จังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ผล
การศึกษาพบว่าเรื่องการดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในอาเจะห์ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคม
อาเจะห์มาอยา่ งช้านานและมีพลวัตที่ ซบั ซ้อนในดา้ นการดำรงอยู่ แต่พวกเขากลายเป็นกลุ่มบุคคลท่ี
ไม่ได้รับการยอมรับในสังคม เนื่องมาจากปัญหาขัด ต่อหลักความคิดทางศาสนาอิสลามและการ
บงั คบั ใชก้ ฎหมายชารอี ะห์ ซง่ึ สง่ ผลกระทบโดยตรงตอ่ กลุ่มคน หลากหลายทางเพศกลายเป็นกลุ่มคน
ที่ยังไม่ได้รับความเท่าเทียมทางด้านสิทธิมนุษยชน และการถูกกดทับของกลุ่ม คนหลากหลายทาง
เพศในสังคมอาเจะห์ประเทศอนิ โดนีเซีย
คำสำคญั กลมุ่ คนหลากหลายทางเพศ, อาเจะห,์ กฎหมายชารอี ะห์, สทิ ธิมนุษยชน

บทนำ

อาเจะห์เป็นจังหวัดหนึ่งทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราทางบริเวณตะวันตกของประเทศ
อินโดนีเซีย ปัจจุบันจังหวัดอาเจะห์เป็นเขตการปกครองพิเศษของประเทศอินโดนีเซีย
จากกระบวนการต่อสู้เพื่อสันติภาพ ระหว่างรัฐบาลกลางอินโดนีเซียกับขบวนการอาเจะห์เสรี
(Gerakan Aceh Merdeka; GAM) อันเนื่องมาจากการ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลกลาง
อินโดนีเซีย เริ่มขึ้นตั้งแต่ในสมัยประธานาธิบดีซูฮาร์โต มีการใช้นโยบาย การปราบปรามที่รุนแรง
กับขบวนการอาเจะห์เสรี (GAM) โดยใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามกับประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน
ภายหลังเมื่ออาเจะห์มีอิสรภาพในการปกครองตนเอง เนื่องจากมีการใช้กฎหมายอาญาอิสลาม
ในรูปแบบ เครื่องมือทางการเมืองในหลายระดับ มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยยุคของสุลต่าน
และสมัยของอาณานิคม เมื่อเข้าสู่ยุค เอกราชอาเจะห์ได้มีการใช้กฎหมายอาญาอิสลามมาใช้
เห็นได้ชัดในระดับรัฐกฎหมายอาญาอิสลามถูกรัฐบาล อินโดนีเซียใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
เพอื่ ลดบทบาท และความชอบธรรมของขบวนการ GAM การทีร่ ัฐบาลมอบ กฎหมายอาญาอิสลามให้
อาเจะห์เป็นเหมือนการยื่นข้อเสนอให้ผู้นำขบวนการ GAM เพื่อยุติการต่อสู้ระหว่าง รัฐบาลกลาง
อินโดนีเซียกับขบวนการอาเจะห์เสรี นำไปสู่พัฒนาการดำเนินการตามกฎหมายอาญา คือกฎหมาย
ชารีอะห์ หรือที่เรียกว่า คานุน จินายัต ในลักษณะการดำเนินการของอิสลามชารีอะห์กะฟะฮ์
ในอาเจะห์ด้วยการนำเอาหลักของศาสนาอิสลามมาเป็นสิ่งที่กำหนดกรอบพื้นฐานทางกฎหมาย
ของผู้คนในอาเจะห์ เป็นสง่ิ ท่สี ะท้อนใหเ้ ห็นถึงการมีอยู่ของกฎหมายชารีอะห์ในระดับภูมิภาคอาเจะห์
ซึ่งกฎหมายนี้ ได้มีการพูดถึงกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งที่ห้ามให้กลุ่มคนเหล่านี้เติบโตได้
ในสงั คมเด็ดขาด เพราะถอื เปน็ สง่ิ ท่ผี ดิ ต่อหลักของศาสนาอสิ ลาม เกี่ยวกบั คา่ นิยมของสังคม

บทความนจ้ี ึงต้องการนำเสนอปญั หาที่สำคัญเป็นผลมาจากการบงั คบั ใช้กฎหมายชารีอะห์ใน
อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของกฎหมายระดับท้องถิ่นที่ถูกบังคับใช้ในอาเจะห์
การบังคับใช้นี้เป็นไป ตามกฎหมายที่บังคับใช้อย่างถูกต้องและเป็นทางการในระบบกฎหมายอาญา

233

ของชาวอินโดนีเซีย ที่ดำเนินการตาม สิทธิพิเศษในพื้นที่ของจังหวัดอาเจะห์ สอดคล้องในงานของ
(อรอนงค์, 2560) ในเรือ่ งกฎหมายชารอี ะห์กับผหู้ ญิงอาเจะห:์ ชายขอบของชายขอบ พูดถึงการบังคับ
ใช้กฎหมายชารีอะห์1และงาน (มูฮัมหมัด อิกบาล, 2563) เรื่อง การพัฒนาการของบทลงโทษนำไปสู่
การปฏิบัติในอาเจะห์การนำบทลงโทษไปใช้เป็นรูปแบบหนึ่งของการนำ กฎหมายอาญาอิสลาม
ชารีอะห์ในอาเจะหม์ าประยุกต์ใช้และข้อบังคับล่าสุดเกี่ยวกับการดำเนินการบทลงโทษต่าง ๆ ได้นำ
ข้อดีและข้อเสียมาสู่ชุมชน ปัจจุบันเรื่องของการลงโทษกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจึงกลายเป็น
ประเด็นท่ี สำคญั ในดา้ นของสิทธิมนุษยชน ทส่ี ะท้อนให้เหน็ ถึงมุมมองต่อกลุม่ คนหลากหลายทางเพศ
ในพืน้ ท่ขี องจงั หวัดอา
เจะห์ประเทศอินโดนีเซียเป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกยอมรับ การที่พวกเขายังถูกกดทับในด้านของการดำรงอยู่
ภายใต้ข้อ กฎหมายและบทลงโทษที่รุนแรงเป็นผลกระทบที่มาจากหลักความคิดทางศาสนา
การดำเนินตามรอยของจารีต ประเพณีที่เป็นแบบแนวคิดอนุรักษนิยม (Conservatism) คือปรัชญา
ทางการเมืองที่ส่งเสริมสถาบันทางสังคมที่มี มาตั้งแต่อดีตในบริบทของวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์ทาง
สังคมของผู้คนในอาเจะห์ จากการมีข้อบังคับใช้กฎหมาย ชารีอะห์เพื่อจะนำไปสู่ความสันติภาพ
แต่กลบั กลายเป็นสิ่งท่ีมาลดทอนทางด้านความเป็นอยู่ของผู้คนท่ีมีมุมมอง ความคิดท่ีแตกต่างออกไป
จากสังคมสว่ นใหญแ่ ละได้กลายเปน็ บุคคลชายขอบของสังคม

ประเด็นปัญหาในเรื่องของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศยังคงเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกัน
อยา่ งมากในเรอื่ ง ของการมอี ยขู่ องชมุ ชนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในอาเจะห์ และถ้าหากมอง
ในเชิงทฤษฎีภววิทยา เป็นสาขา ย่อยของอภิปรัชญา (ontology) เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยภาวะหรือ
ความมอี ยขู่ องสรรพสง่ิ (Being of things) 2 Heidegger กลา่ ววา่ being ฝังรากอยใู่ น ontology จึง
เป็นไปไม่ได้ที่จะตีความ ontology โดยไม่สามารถตอบ คำถามได้ว่า being คืออะไร (Heidegger,
1962) มีขอ้ ถกเถยี งทส่ี ำคัญคือ ภาวะหรือความมีอยู่ของสรรพสง่ิ เป็น อยา่ งไร ภาวะของสรรพสงิ่ (สิ่ง
ที่ต้องการรู้) ในจักรวาลมีอยู่ 2 สภาวะ คือ สภาวะที่ปรากฏ (appearance) เป็น สภาวะที่สามารถ
รบั รู้ได้ดว้ ยสัมผัสท้งั ห้า ได้แก่ รปู รส กลน่ิ เสียง และกายสมั ผสั ในทางวทิ ยาศาสตรย์ อมรับสภาวะนี้
แต่ในทางปรัชญามีสถานะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น และสภาวะที่เป็นจริง (reality) เป็นสภาวะ
นามธรรมอยเู่ บอื้ งหลังหรือเหนอื กว่าสภาวะท่ีปรากฏ (appearance) ไม่บดิ เบือนหรือผันแปรไปตาม
การรบั รขู้ อง บุคคล สามารถรบั รไู้ ด้ด้วยมโนสมั ผัสหรือการใช้จิตสมั ผัส ทฤษฎีนจ้ี งึ เปน็ สง่ิ ท่เี กยี่ วข้อง

1ในตอนแรกกฎหมายชารีอะห์บังคบั ใชเ้ ฉพาะชาวมุสลมิ ในอาเจะห์เท่านัน้ แตใ่ นเดือนกันยายน พ.ศ. 2557 สภาทอ้ งถ่นิ อาเจะห์ได้ ผ่านร่างกฎหมายอาญาอิสลาม
เพ่ือบังคับใช้ในอาเจะห์ โดยเนอ้ื หาสว่ นใหญค่ รอบคลุมกฎหมายอิสลามทใ่ี ช้อยู่ในอาเจะหก์ ่อนหนา้ นัน้ แตป่ ระเดน็ ท่ีถกเถยี งกนั คอื กฎหมายอาญาอสิ ลามนบ้ี ังคบั
ใชก้ ับผทู้ ่ไี ม่ใชม่ สุ ลมิ ด้วยหรอื ไม่ เชน่ ข่าวนที้ ่ีมหี ัวข้อข่าววา่ “กฎหมายชารอี ะห์อาเจะห์ในขณะน้ใี ช้กับคนท่ไี ม่ใชม่ ุสลมิ และ LGBTQ ดว้ ย” มีเน้ือหาโดยสรุปวา่
แมว้ ่าจะไม่ใช่มสุ ลิมแต่หาก
กระทำการละเมดิ กฎหมายอาญาอสิ ลามทบ่ี งั คับใช้ในอาเจะห์จะต้องได้รับโทษตามทกี่ ฎหมายกำหนด
2 อภปิ รชั ญา เป็นปรชั ญาบริสุทธสิ์ าขาหนง่ึ มลี ักษณะเป็นการศกึ ษาคน้ หาความจริงที่สน้ิ สุด เดิมทีเรียกวา่ “ปฐมปรัชญา” (First Philosophy) หรอื ปรัชญา
เร่ิมแรก (Primary Philosophy) ซึ่งเป็นช่อื เรียกผลงานของ อริสโตเติล้ (Aristotle) อกี อย่างหนึ่ง เหตุท่ี เรยี กวิชาอภิปรชั ญานวี้ า่ First Philosophy เนือ่ งจากวา่

234

เป็นวชิ าท่ีเกยี่ วเนื่องดว้ ยหลักพื้นฐานทแี่ ท้จริงของจักรวาลและเป็นวชิ าท่ี ควรศกึ ษาเป็นอันดับแรก สว่ นวชิ าการตา่ ง ๆ ในสมยั แรก ๆ น้นั ก็รวมอยูใ่ นปฐมปรชั ญา
ทง้ั นัน้ เพราะหลกั การของปฐมปรัชญา สามารถใช้อธิบายวชิ าอื่น ๆ ไดท้ กุ วชิ า จึงเปน็ ศาสตรต์ ้นตอแห่งศาสตร์ทงั้ ปวง หรือเป็นศาสตรท์ ่ที ำใหเ้ กิดศาสตรต์ ่าง ๆ

กับการดำรงอยู่ของกลุ่มคน หลากหลายทางเพศในพื้นที่ของจังหวัดอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซีย
เป็นสิ่งที่อธิบายความเป็นอยู่ของกลุ่มคน หลากหลายทางเพศ ว่าเป็นสภาวะที่เป็นจริง (reality)
ของการดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นสภาวะ นามธรรมปรากฏอยู่เบื้องหลังเหนือ
สภาวะที่ปรากฏ (appearance) เพราะกลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นสภาวะ ที่เกิดขึ้นจริงและ
สามารถรับรู้ได้จากสภาวะที่เกิดขึ้นในจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย แต่เนื่องด้วยกรอบทาง
สังคมกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในพ้ืนท่ีของอาเจะห์พวกเขาจึงกลายเป็นสิ่งท่ีถูกสังคมกำหนดให้อยู่
ภายใต้ ขอ้ บังคับ และกลายเป็นส่ิงขดั แย้งต่อสังคมอาเจะหซ์ ึ่งปัญหาเหล่านี้มีมาอย่างช้านานและเป็น
พลวตั ทม่ี ีความ ซบั ซอ้ นทางประวัตศิ าสตร์

ดังนั้นบทความจงึ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการที่จะศึกษาการดำรงอยูข่ องกลุ่มคนหลากหลาย
ทางเพศในอา เจะห์ กับปัญหาทางด้านสิทธิมนุษยชน โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative
research) แบบการศึกษาเชงิ ประวัติศาสตร์ (historical approach) เพื่อช่วยให้เข้าใจในบริบทของ
การประกาศใช้ของกฎหมายชารีอะห์ในพื้นที่ ของจังหวัดอาเจะห์ รวมไปถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศและการทำให้กลายเป็นบุคคลชายขอบ โดยการวิจัยเอกสาร (Documentary
Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลและแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ และมีความเกี่ยวข้อง
อาทิ งานวิจัย วารสาร บทความ และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศไทยและประเทศ อินโดนีเซีย
และแบ่งประเด็นการศึกษา 5 ประเด็นดังน้ี1. กฎหมายชารีอะห์กับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
2. สทิ ธิและการดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ 3. การกลายเปน็ บคุ คลชายชอบของกลุ่มคน
หลากหลายทาง เพศ 4.บทวิเคราะห์และวิพากษ์ และ 5. สรุปและอภปิ รายผล
1. กฎหมายชารีอะหก์ บั กลมุ่ คนหลากหลายทางเพศ

ข้อบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศการบังคับใช้ของกฎหมาย
ชารีอะห์ ในจังหวัด อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ได้เริ่มจากมีการดำเนินการตามกฎหมายอาญา
อิสลามในลักษณะกะฟะฮ์หรือหลักการ บังคับใช้ข้อกฎหมายได้ดำเนินการโดยจังหวัดอาเจะห์ตาม
กฎหมายฉบับที่ 44 พ.ศ. 2542 เกี่ยวกับการดำเนินการ ตามสิทธิพิเศษสำหรับจังหวัดของภูมิภาค
พเิ ศษของอาเจะห์ อาเจะหจ์ ึงมีลักษณะเฉพาะในการปฏิบตั ิตามกฎหมาย อาญาอสิ ลาม 3

235

3อรอนงค์ ทพิ ย์พิมล. กฎหมายชารีอะห์กบั ผู้หญิงอาเจะห์: ชายขอบของชายขอบ. วารสารประวตั ิศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 4(1), 129

ตั้งแต่มีกฎหมายฉบับที่ 44 พ.ศ. 2542 อันนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายอาญาอิสลามที่ใช้
บังคับใน จังหวัดอาเจะห์ โดยการประกาศกฎหมายนี้มีผลการบังคับใช้ในชีวิตประจำวันของผู้คน
ภายในจังหวัดอาเจะห์ใน แทบจะทุก ๆ ด้าน อาทิ การดำเนินชีวิตประจำวนั ทั้งในทางด้านเศรษฐกิจ
การเมือง และสังคม ตลอดไปจนถึงวิถี ชีวิตการดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน ตามประกาศกฎหมายฉบับ
ที่ 44 กฎหมายชารีอะห์ในจงั หวัดอาเจะห์ได้มีการจำกัด การบังคับใช้เพียง 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการ
แต่งกาย ภายใต้กฎหมายฉบับที่ 11 พ.ศ.2545 เกี่ยวกับด้านหลัก ปฏิบัติและสัญลักษณ์ของศาสนา
อิสลาม 2. การบริโภคเครื่องดื่มมึนเมากฎหมายฉบับที่ 12 พ.ศ. 2546 การเล่น การพนันกฎหมาย
ฉบับที่ 13 พ.ศ. 2546 4. การประพฤติผิดทางเพศกฎหมายฉบับที่ 14 พ.ศ. 2546 ข้อที่ 4 หรือ
ข้อสุดทา้ ยนน้ั จะเปน็ สิง่ ท่ีสง่ ผลกระทบตอ่ กลุม่ คนหลากหลายทางเพศมากทีส่ ุด

ซึ่งภายหลังนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายฉบับที่ 18 ในพ.ศ. 2544 ว่าด้วยเอกราชพิเศษ
และกฎหมาย ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2549 ว่าดว้ ยรฐั บาลของอาเจะห์ ในปัจจุบนั ส่งผลให้มีการประกาศใช้
กฎหมายหมายเลข 6 ของ พ.ศ. 2557 หรือที่เรียกว่า คานุน จินายัต เป็นการแก้ไขกฎหมายอาญา
อิสลามครั้งล่าสุดในจังหวัดอาเจะห์ ประเทศ อินโดนีเซีย และมีผลการบังคับใช้ในพื้นที่ของ
จังหวดั อาเจะห์ตั้งแต่ พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา

การมีอยู่ของกฎหมายอาญาอิสลามหรือกฎหมายชารีอะห์ได้สะท้อนให้เห็นในการมีอยู่ของ
กฎระเบียบทาง กฎหมายระดับภูมิภาค ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญาอิสลาม โดยกฎหมายนี้พูดถึง
การหา้ มไม่ให้ให้ชุมชนกลมุ่ คน หลากหลายทางเพศใชช้ ีวิตในสังคมของศาสนาอสิ ลาม ถึงแม้ว่าสังคม
หรือชุมชนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจะ มีมาอย่างช้านานแต่สังคมยังไม่ให้การยอมรับ
เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดหลักต่อค่านิยมของสังคม อีกทั้งการเพิ่ม เกี่ยวกับข้อบัญญัติในปัจจุบัน
ที่ส่งผลให้มีการบังคับใช้ในอาเจะห์อย่างเป็นทางการและได้มีการกำหนดบทลงโทษที่รุนแรง
ต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ในสังคมอาเจะห์ประเทศอินโดนีเซียจึงมีข้อกำหนดที่เคร่งครัด
สำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศอย่างมากที่เป็นข้อบังคับเพื่อควบคุมพฤติกรรมของกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศซึ่งข้อกำหนดเปรียบเสมือนกฎหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของกลุ่มคน
กลุ่มนี้ที่พวกเขาไม่สามารถขัดต่อ กฎหมายชารีอะห์และข้อบังคับที่สร้างขึ้นในสังคมอาเจะห์
ประเทศอินโดนเี ซยี
2. สิทธิและการดำรงอยูข่ องกล่มุ คนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ)

สิทธิทางด้านการดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศถือได้ว่าเป็นปัญหาที่ขัดต่อหลัก
ความคิดของ ศาสนาอิสลาม ปัญหาเหล่านี้มีมาอย่างช้านานและเป็นพลวัตที่มีความซับซ้อน
ในด้านของประวัติศาสตร์กลุ่มคน หลากหลายทางเพศพวกเขาได้ดำรงอยู่ในทุกยุคสมัยของสังคม
ดังคำอ้างของอัลเลาะห์ในคัมภีร์อัลกุรอ่านที่มีการพูดถึงข้อบัญญัติเรื่อง เกย์เลสเบี้ยน และกะเทย
หรือกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ4แสดงให้เห็นว่าการดำรงอยู่ ของพวกเขามีมาตั้งแต่สมัยอดีต

236

หากแต่ว่าพวกเขาได้กลายเป็นชนกลุ่มนอ้ ยในสังคมที่ยังไม่ได้รับการยอมรบั มากนัก ในด้านสิทธิการ
ดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจึงมีบทบาทน้อยมากในสังคมของชาวมุสลิม ซึ่งกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศพวกเขาเริ่มตระหนักว่าตัวเองนั้นมีแนวโน้มที่แตกต่างกันเมื่อพวกเขายังเด็ก
สถานการณ์น้ี แสดงให้เห็นว่ากลุ่มวัยเรียนเป็นวยั ท่ีอ่อนแอในการเรม่ิ มีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน
ในขณะท่ีการตัดสนิ ใจทจ่ี ะมี
พฤติกรรมเบ่ยี งเบนทางเพศส่วนใหญ่จะเกดิ ขึ้นในวัยผใู้ หญ่ กลา่ วคอื เมื่ออายมุ ากขึ้นพวกเขากลายเป็น
ของกลมุ่ คน หลากหลายทางเพศทีย่ ังคงประสบกับความรุนแรงและการเลือกปฏิบตั ใิ นโอกาสการจา้ ง
งานและท่ีอยู่อาศยั การศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการมากมาย สำหรบั ของกลมุ่ คนหลากหลายทาง
เพศนนั้ การเขา้ ถงึ การทำงานน้นั เปน็ ได้ยาก โดยเฉพาะงานในภาคสว่ นทางราชการ เพราะนายจ้างไม่
มกี ารยอมรับกลมุ่ คนหลากหลายทางเพศ ใน ขณะเดยี วกัน ผทู้ ่ีหางานทำได้ก็มักจะถูกเลือกปฏิบัตเิ ช่น
ถูกดหู มิน่ ถกู รังเกียจ ถกู คกุ คาม หรือแม้แตท่ ำรา้ ย ร่างกาย ในบริบทของการทำงานของกล่มุ คน
หลากหลายทางเพศที่ยังไมเ่ ปิดเผยสถานะของตนเองก็ยงั สามารถใช้ ชีวิตอยู่ในบางสถานการณท์ ่ีไม่มี
การเลือกปฏบิ ัติในปัจจบุ ันกลุ่มคนหลากหลายทางเพศทย่ี อมรับในสถานะของ ตนเองมีแนวโนม้ ทจ่ี ะ
พัฒนาตนเองในสถานการณ์การทำงานที่ไมเ่ ปน็ ไปตามบรรทดั ฐานของสังคมกำหนด เช่น การ เป็น
ผู้ประกอบการอิสระ กล่มุ คนหลากหลายทางเพศมักคาดหวงั วา่ รัฐบาลจะมีการปฏบิ ตั ิกบั พวกเขาที่มี
ความ สมดลุ และยุติธรรมมากขนึ้ พวกเขาเพยี งต้องการรสนิยมทางเพศและพฤตกิ รรมทางเพศทจ่ี ะไม่
เปน็ อปุ สรรคสำหรบั พวกเขาในสังคมในหนา้ ที่การงานและสทิ ธิในดา้ นต่าง ๆ ตามขั้นพ้ืนฐานของสทิ ธิ
มนุษยชน และการยอมรับใน สภาวะความเปน็ จริงเกย่ี วกบั เพศวิถีของพวกเขา

จะเหน็ ไดว้ า่ การทำใหส้ งั คมยอมรับและเห็นวา่ กลมุ่ คนหลากหลายทางเพศไม่ได้ละเมิดหลักของ
กฎหมาย อาญาอิสลามทร่ี ัฐเป็นผ้สู ร้างข้ึนมาเพื่อควบคมุ พฤตกิ รรมการเบย่ี งเบนทางเพศของพวกเขา
ความเชือ่ เพยี งแค่การ ยดึ ตดิ ตามหลกั ศาสนา แสดงถึงบทบาทของศาสนามีความสำคัญมากในสังคม
แทบจะทกุ ดา้ นของการใช้ ชีวติ ประจำวัน การทีส่ งั คมยังคงไมใ่ หก้ ารยอมรับเกยี่ วกบั กลุม่ คน
หลากหลายทางเพศจึงทำใหเ้ กดิ ความวิตกกงั วลวา่ จะผิดต่อหลกั ศาสนาหรือไม่ เชน่ คดี
อาชญากรรมทางเพศ การมเี พศสมั พันธแ์ บบรักร่วมเพศ ทำใหเ้ หน็ ว่าสงั คม ของอาเจะห์ที่ไม่ยอมรับ
การมีอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศมักจะวิพากษ์วจิ ารณ์หรอื แยกแยะการมีอยู่ของ กลมุ่ คน
หลากหลายทางเพศให้เป็น “บคุ คลชายขอบของสังคม” ดงั นน้ั การดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลาย
ทางเพศ จงึ ซ่อนอยู่ในชวี ิตประจำวัน ทีพ่ วกเขาต้องพยายามหลบซอ่ นตนเองจากสังคมท่ีกำหนดพวก
เขาให้อยู่ภายใตก้ รอบท่ีสงั คมต้องการ และกลายเปน็ ส่ิงทท่ี ำให้พวกเขาตอ้ งดำเนนิ ชีวิตภายในตวั ตน
ความเป็นจรงิ ที่ไมส่ ามารถเปิดเผยตอ่ สงั คมและความเปน็ จรงิ ได้

237

4 ตามบัญญตั ิในคัมภีร์อลั กุรอ่าน ระบุไวว้ า่ ความรักรว่ มเพศเป็นสง่ิ ทผ่ี ดิ วิสัยของมนุษย์ในการสมสูท่ างเพศ ทีพ่ ระองค์ทรงสรา้ งเพศ หญงิ เพศชายขน้ึ มาเพื่อการ
สบื พนั ธ์ุ การสมส่กู บั เพศเดยี วกันเปน็ การละทิง้ อกี เพศหนง่ึ ทำให้มนษุ ยส์ ูญพันธซ์ุ ึ่งเป็นการละเมิดและฝ่า ฝนื กฎบญั ญัติของพระเจ้าอย่างรา้ ยแรง

3. การกลายเปน็ บคุ คลชายชอบของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ

กลุ่มคนหลากหลายทางเพศในฐานะชนกลุ่มน้อยหรือการกลายเป็นบุคคลชายขอบ ที่อาศัย
อยู่ในจังหวัดอา เจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ระยะหลังนี้ประเด็นเรื่องกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
กลายเป็นประเด็นร้อนมีหลายฝ่าย ที่ปฏิเสธกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ในขณะเดียวกัน ผู้ปกป้อง
กลุ่มคนหลากหลายทางเพศส่วนใหญ่มาจากนัก เคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนหลากหลาย
ทางเพศ และจากรัฐบาลของประเทศทสี่ นับสนนุ การดำรงอยู่ของ ชุมชนนี้ อธิบายไดว้ า่ ในสภาพชน
กลุ่มน้อยของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศวางตัวเองเป็นคนที่ถูกกดขี่ พวกเขา คาดหวังความสนใจ
และความเคารพ พวกเขากล่าวว่าครอบครัวและสังคมของพวกเขาปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็น
ธรรม5

ในการเป็นอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ โดยคำว่า LGBTQ ย่อมาจากเลสเบี้ยน เกย์
ไบเซ็กชวล และคนข้ามเพศ ซึ่งในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางพื้นท่ีของจังหวัดอาเจะห์
ประเทศอินโดนเี ซยี พวกเขา มักปฏิเสธการมีอย่ขู องกลมุ่ คนหลากหลายทางเพศในสงั คมอย่างรุนแรง
และยังถูกกล่าวหาให้กลายเป็นอาการที่ ผิดปกติทางจิต6 ดังนั้นหากพูดถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
ของพลเมืองชุมชนของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในสังคมอาเจะห์ ประเทศ อินโดนีเซีย
ประเด็นเหล่านี้ยังคงเป็นปญั หาและการปะทะกันทางสังคมมากมาย สิ่งนี้จะย่ิงเป็นปัญหามากขึ้นไป
อีกหากพิจารณาถึงขนบธรรมเนียมในอินโดนีเซียและผู้คนที่ยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา
แบบอนุรกั ษนิยมของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ และผ้ทู ่ีพดู เพื่อสิทธิพื้นฐานของชุมชนของกลุ่มคน
หลากหลาย ทางเพศจึงมักถูกมองว่าเป็นผู้ทำลายศาสนาและเป็นสาเหตุของการลงโทษของพระเจา้
ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่เกลียด ปฏิเสธ กลัว รังเกียจ แม้กระทั่งเมินเฉย และอยู่ห่างจากกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศด้วยเหตผุ ลน้ีจึงส่งผลทำให้การ เป็นอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในสังคม
อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียถูกกดทับในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ในการแสดงออกทางสังคม
และการใช้ชีวิตประจำวัน ปรากฏการณ์นี้พิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับ
คนชาวอินโดนีเซียที่จะจัดให้มีพื้นที่สำหรับการปฏิบัติตามสิทธิของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
ในฐานะสว่ นหน่ึงของพลเมืองชาวอินโดนีเซียและโดยเฉพาะในสังคมของอาเจะห์กลุ่มคนหลากหลาย
ทางเพศได้ประสบปัญหากับความ รุนแรงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมาก
ในชีวิตประจำวันและการดำรงอยู่ในสังคมที่มีข้อบังคับต่อกลุ่มคน เหล่านี้พวกเขาจึงกลายเป็นสิ่ง
ที่สังคมไม่ให้การยอมรับและมองว่าพวกเขาเป็นสิ่งท่ีผิดปกติต่อสังคม ในฐานะการ ดำรงอยู่พวกเขา
จึงกลายเป็นบุคคลชายขอบของสังคมและเป็นเพียงแค่ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ภายในของจังหวัด
อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย

5 Reni. (2018). PEMBERITAAN MEDIA ASING MENGENAI HUKUM CAMBUK GAY DI ACEH. Program Studi Komunikasi Fakultas Ilmu Sosial dan

Ilmu Politik Universitas Teuku Umar Meulaboh. Volume VI, No. 127

238

6 ตามกฎหมายฉบับท่ี 18 ในพ.ศ. 2557 (เพิม่ เตมิ ) วา่ ดว้ ยสขุ ภาพจติ และแนวปฏิบัตใิ นการจำแนกการวนิ ิจฉัยความผิดปกตทิ างจติ เก่ยี วกบั ความหลากหลายทาง
เพศ (LGBTQ) พดู ถงึ กลุ่มคนเลสเบยี้ น เกย์ และคนขา้ มเพศ เปน็ คำท่ีพัฒนาข้ึนในสังคมทไ่ี มเ่ ป็นท่ี ร้จู กั ในด้านจติ เวช ในขณะทีร่ สนยิ มทางเพศรวมถงึ เพศตรงข้าม รักรว่ มเพศ และ
กะเทย การรกั รว่ มเพศเปน็ แนวโนม้ ทจ่ี ะดงึ ดดู เพศเดียวกันทางเพศซึ่งรวมถงึ เลสเบี้ยนและสมชายชาตรี

บทวิเคราะห์และการวิพากษ์

มุมมองแนวคิดทฤษฎีเชื่อมโยงกับทฤษฎีที่ว่าในเรื่องของภววิทยา คือ กลุ่มคนหลากหลาย
ทางเพศเป็น ภาวะของการมีอยู่ในด้านการดำรงและการใช้ชีวิตที่แสดงตัวตนพวกเขาที่อาจจะเป็น
สภาวะนามธรรมอยูเ่ บ้ืองหลัง สภาวะทีป่ รากฏ (appearance) ที่แตกต่างจากเพศชาย และเพศหญิง
ในสังคม เพราะการไม่ได้ถูกยอมรับในตัวตน ถึงการมีอยู่ของพวกเขา ด้วยเหตุผลหลักทางศาสนา
จารีตประเพณี กลุ่มคนหลากหลายทางเพศจึงกลายเป็นชน กลุ่มน้อยหรือบุคคลชายขอบ
ที่ยังหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงและดำรงชีวิตอยู่สภาวะที่ปรากฏ (appearance) เพื่อที่จะไม่ให้ตนเอง
นั้นถูกลงโทษและถูกตีตราว่าเป็นสิ่งที่แปลกปลอมในสังคม อีกทั้งแนวความคิดแบบแนวคิด
อนุรักษนิยม (Conservatism) การดำเนินตามกฎจารีตประเพณีของจังหวัดอาเจะห์เป็นสิ่งที่มา
ควบคุมบรรทัดฐาน ทางสังคมที่มีอยู่ให้กลายเป็นการควบคุมทางศูนย์กลางของชุมชนให้มีอัตลักษณ์
เดียวกัน ทำให้เห็นว่าสิทธิและการ ดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ในพื้นที่ของจังหวัด
อาเจะห์มีการบัญญัติห้ามให้มีพฤติกรรมการรักเพศเดียวกัน มาจากกลุ่มมุสลิมสายอนุรักษนิยมได้
บังคับใช้กฎหมายอาญาอิสลามอยา่ งเข้มงวด โดยพฤติกรรมรักเพศ เดียวของกลุ่มคนหลากหลายทาง
เพศกันถือเป็นสิ่งต้องห้ามอยา่ งเด็ดขาดในสังคมอาเจะห์ เมื่อกฎหมายชารีอะห์ในอาเจะหถ์ ูกใช้อย่าง
เป็นทางการตั้งแต่พ.ศ. 2544 จนกระทั่งในปัจจุบันโดยกฎหมายนี้ได้มีข้อกำหนดและข้อบังคับใช้
กับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศในพื้นที่ของจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ข้อกำหนดหลักของ
กลุ่มคน หลากหลายทางเพศคือ ข้อกำหนดในการประพฤติผิดทางเพศ ซึ่งข้อกำหนดนี้เปรียบเสมอื น
กรอบทางการกระทำ ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศให้อยูภ่ ายใต้สงั คม ลักษณะของข้อกำหนดของ
กฎหมายชารีอะห์ที่มีต่อกลุ่มคน หลากหลายทางเพศ คือห้ามไม่ให้เพศเดียวกันสามารถ
มีความสัมพันธ์กันได้ หรือแม้กระทั่งการมีเพศสัมพันธ์กับ เพศเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่เคร่งครัด
ของกฎหมายชารีอะห์ที่เข้ามาควบคุมความประพฤติของกลุ่มคน หลากหลายทางเพศในการดำเนิน
ชีวิตประจำวัน

สรปุ และอภปิ รายผล

บทความนแี้ สดงให้เห็นถงึ หลักข้อกฎหมายชารีอะห์ท่ีมผี ลต่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ได้
ถูกใช้อย่าง เป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2544 ในลักษณะของกะฟะฮ์หรือข้อบังคับใช้กฎหมายหลังจาก
ที่อาเจะห์ได้เป็นเขตการ ปกครองพิเศษ ตามประกาศกฎหมายฉบับที่ 18 ว่าด้วยเอกราชพิเศษ
และกฎหมายฉบับที่ 11 ว่าด้วยเรื่องรัฐบาล ของอาเจะห์ และการปรับปรุงกฎหมายอาญาอิสลาม

239

ครั้งล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายหมายเลข 6 พ.ศ. 2557 การ ดำเนินบทลงโทษตามหลักของกฎหมาย
สะทอ้ นถงึ การมีอยู่ของกฎหมายอาญาอิสลามในระดบั ภมู ภิ าค และการพดู ถงึ การห้ามมใิ หช้ ุมชนกลุ่ม
คนหลากหลายทางเพศเติบโตได้ในสังคมอาเจะห์อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศเป็นเรื่องที่มีพลวัตซับซ้อนในด้านการดำรงอยู่ ในพื้นที่จังหวัดอาเจะห์
ประเทศ อินโดนีเซีย เป็นบุคคลที่ถูกจำกัดสิทธิในด้านการดำรงอยู่ของโครงสร้างทางสังคม
และการจัดระเบียบทางสังคม ใน เรื่องของบทบาท บรรทัดฐาน การควบคุมทางสังคมที่ทำให้ทุ กคน
อยู่ในกรอบเดียวกัน ซึ่งถ้าหากทำการละเมดิ กฎเกณฑ์ทางสังคมทีไ่ ด้ตั้งไว้กลุ่มคนเหล่านั้นจะถูกมอง
ว่าเป็นสิง่ ทีผ่ ิดแปลกไปในสังคม และไม่ให้การยอมรับใน ฐานะการดำรงอยูข่ องพลเมอื ง จึงทำให้เหน็
ได้ว่ากลุ่มคนหลากหลายทางเพศกลายเป็นบุคคลที่เป็นอันตรายต่อ สังคม ขัดต่อบรรทัดฐาน
การควบคุมของสังคม โดยสงั คมจะดำรงอยู่ได้น้ันจะต้องมบี รรทัดฐาน ค่านิยมท่ีเปน็ ไปในทางเดียวกัน
การปรากฏขึ้นของชุมชนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจึงกลายเป็นภัยความมั่นคงของชาติ ทำให้มี
การกำหนดกฎหมายหรือข้อบัญญัติขึ้นมาเพื่อบังคับใช้กลุ่มคนเหล่านี้ให้อยู่ภายใต้บรรทัดฐานทาง
สังคมด้วยการใช้ขอ้ อ้างทางศาสนามาเป็นสิ่งทกี่ ำหนดพฤติกรรมของคนที่อาศัยในบริเวณพนื้ ท่ีควบคุม
ภายใต้กรอบสังคมที่ใหญ่กว่า ชุมชนที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศต้องการพยายามจะเปิดเผยตัวตน
ของตนเองแต่กลับทำไม่ได้เพราะตนเองเป็น แค่เพียงชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในสังคม
และการทำให้กลายเป็นบุคคลชายขอบของสังคมกลุ่มคนหลากหลายทาง เพศจึงกลายเป็นผู้ที่ถูกกด
ทับในเรือ่ งของสิทธแิ ละเสรีภาพในทกุ ๆ ดา้ นของสงั คมชาวมุสลิม

การอภิปรายผลและข้อค้นพบในการศึกษาครั้งนี้ในเรื่องของการดำรงอยู่ของกลุ่มคน
หลากหลายทางเพศ ในจังหวดั อาเจะห์ ประเทศอินโดนเี ซยี เปน็ สิง่ ทส่ี งั คมให้ความสนใจกนั อย่างมาก
ซงึ่ สอดคล้องกบั งานวจิ ยั 2 ช้ินที่ ยกมาในขา้ งตน้ ท่ไี ดน้ ำเสนอมากอ่ นหนา้ นีใ้ นเรอื่ งกฎหมายชารีอะห์
เป็นสิ่งทีม่ ากำหนดและจำกัดสิทธิเสรภี าพของ กลุ่มคนหลากหลายทางเพศเป็นสิ่งทีอ่ ธบิ ายได้ว่าการ
ดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศขัดต่อกฎระเบียบทาง สังคมที่มีอยู่ รวมไปถึงข้อบังคับ
บทลงโทษต่าง ๆ ที่นำมาซึ่งความหายนะสู่ชุมชนกลุ่มคนหลากหลายทางเพศโดย สามารถมองได้
ดังนี้ ประการแรก กลุ่มคนหลากหลายทางเพศยังไม่ถูกยอมรับในสังคมของอาเจะห์เป็นเพราะขัดตอ่
บรรทัดฐานที่ทางสังคมได้ตั้งไว้ประการที่สอง การดำรงอยู่ของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
เป็นการดำรงอยู่ใน สังคมที่ยังคงหลบซ่อนวิถีชีวิตประจำวัน และไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
ออกมา เพราะค่านิยมและความเชื่อ ของศาสนาอิสลามเป็นสิ่งที่มองว่ากลุ่มคนหลากหลายทางเพศ
เปน็ สิง่ ที่พระเจ้าห้ามไม่ให้มีอยู่ในสงั คม และประการสุดท้ายกลุ่มคนหลากหลายทางเพศยังถูกกดทับ
ในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางสังคมในข้อบังคับ ของกฎหมายชารี อะห์
และการทำใหเ้ ป็นประเดน็ ในเร่อื งสิทธมิ นษุ ยชนเปน็ ส่งิ ยงั ต้องถกเถียงกนั ต่อไปในอนาคต

240

เอกสารอ้างองิ
มนัส เกียรตธิ ารยั และสุพรรณี กาญจนษั ฐติ .ิ (2535). รฐั อาเจะหแ์ ห่งสุมาตรากับลัทธิอาณานคิ ม. วารสาร

ประวตั ิศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 1(1), 26-35
อรอนงค์ ทพิ ย์พมิ ล. (2560). กฎหมายชารีอะห์กบั ผหู้ ญิงอาเจะห:์ ชายขอบของชาย
ขอบ. วารสาร ประวัติศาสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 4(1),
116-131

BBC NEWS INDONESIA. (2560). Banyak LGBT Aceh yang pintar tapi sekarang takut dan pergi.

สืบคน้ เมอื่ วนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2565, จาก https://www.bbc.com/indonesia
BBC NEWS. (2560). "Banyak LGBT Aceh yang pintar tapi sekarang takut dan
pergi" สบื คน้ เม่ือ 4 เมษายน 2565, จาก https://www.bbc.com/indonesia/indonesia-
40024655 BBC NEWS INDONESIA. (2 5 6 0 ) . Banyak LGBT Aceh yang pintar tapi
sekarang takut dan pergi. สบื คน้ เม่อื 4 เมษายน 2565, จาก
https://www.bbc.com/indonesia

Reni. (2561). PEMBERITAAN MEDIA ASING MENGENAI HUKUM CAMBUK GAY DI ACEH.Program

Studi Komunikasi Fakultas Ilmu Sosial dan Ilmu Politik Universitas Teuku Umar

Meulaboh. Volume VI, No. 127

Rrnfid international NGO forum on Indonesian deverlopmant. (2 562) . Opini
ddiskriminasi terhadap LGgBT masih terjadi ai indonessia. สืบคน้ เมื่อวันที่ 9
เมษายน 2565, จาก https://www-infid-org.translate.goog/news/read/opini-diskriminasi-
terhadap-lgbt- masih terjadi-di-indonesia

McLean, Iain; McMillan, Alistair (2009). "Conservatism". Concise Oxford Dictionary of

Politics (3rd ed.). Oxford University Press. "Sometimes [conservatism] has been

outright opposition, based on an existing model of society that is considered right for

all time. It can take a 'reactionary' form, harking back to, and attempting to reconstruct,

forms of society which existed in an earlier period". ISBN 978-0-19-920516-5.

241

กติ ตกิ รรมประกาศ

บทความเร่ือง กลุม่ คนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในอาเจะห์ กบั สิทธิและเสรีภาพท่ีถูก
ลืม สำเร็จลุล่วง ไปไดด้ ว้ ยดเี นอ่ื งด้วยความกรณุ าและความแนะนำจากการเรียนการสอนในรายวชิ า
428311 วธิ ีวจิ ัยสำหรบั เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ จากท่านอาจารย์ มนตช์ ยั ผ่องศริ ิ, อาจารยศ์ ิลปกิจ
ตขี่ ันติกลุ , อาจารย์ ธนนนั ท์ บนุ่ วรรณา และ ท่านอาจารยณ์ ัฐหทยั มานาดี ที่ได้สั่งสอนแนะนำ
แนวทางให้ความรู้ในการเขยี นบทความ จนทำใหบ้ ทความฉบบั นี้ เสร็จสมบูรณไ์ ด้เป็นอย่างดี ทาง
คณะผู้จัดทำบทความขอขอบพระคณุ ทา่ นอาจารย์ทุกท่านเปน็ อยา่ งสงู อีกทั้งที่ขาด ไม่ได้เลยตอ้ ง
ขอขอบคุณคณะเพ่ือนผู้ร่วมจดั ทำบทความในคร้งั น้ีทไ่ี ด้ ต้ังใจ อดทน และช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกัน
ตลอดจนบทความเล่มนี้สำเรจ็ ลลุ ่วงไปได้ด้วยดี

สดุ ท้ายนท้ี างคณะผจู้ ัดทำหวงั เปน็ อย่างยง่ิ ว่า บทความเลม่ นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผูท้ ี่ตอ้ งการ
จะศกึ ษาใน เรื่องของ กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ (LGBTQ) ในอาเจะห์ กับสทิ ธิและเสรีภาพทถ่ี ูกลืม
ไมม่ ากกน็ ้อยหากมี ข้อผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จดั ทำตอ้ งขออภยั มา ณ ท่นี ี้

รงุ่ สรุ ิยา โพธิท์ อง
อัครเดช เย็นสบาย
วรรณฉตั รมงคล วันสะนา

242

รายวชิ า 2204409 สัมมนาประวตั ศิ าสตรไ์ ทย รายงานวิจยั ประวัติศาสตร์ไทย

ระบอบแหง่ ความเชอื่ ใจ: วฒั นธรรมการเมอื งของระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์
(Regime of Trust: Political Culture of the Absolute Monarchy)

ดอม รุง่ เรือง 614007542

บทนำ

ในเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ 2453 กระทรวงยุติธรรมเกิดความระส่ำ
ระส่ายขึ้น กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธ์ิ1 พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และเสนาบดี กระทรวงยุติธรรมเกิดอาการน้อยพระทัยอย่างรุนแรง จากการที่ทรงเข้าพระทัยว่า
“ทูลกระหม่อมไม่ทรง เมตตาพระองค์ท่านเสียแล้ว” พระบิดาของพระองค์ทรงอนุญาตให้มีการเล่น
ละครเสียดสีตัวกรมหลวงราชบุรี เรื่อง ปักษีปกรณัม ต่อหน้าพระพักตร์ ความเข้าใจดังกล่าวซึ่งต่อมา
ถูกพิสูจน์ได้ว่าไม่มีมูล แต่ก็ถึงกับทำให้กรม หลวงราชบุรีทรงกรรแสงเพราะรู้สึกถึงความอัปยศอดสู
กรมหลวงราชบุรี ถึงกับนอนไม่หลับ เดินไปเดินมา ตลอดทั้งคืนวันที่ 30 พฤษภาคม ต่อมาไม่กี่วัน
กรมหลวงราชบุรจี ึงทูลลาออกจากราชการพร้อมกับข้าราชการ กระทรวงยุติธรรม 28 คน ทั้งยังเสดจ็
ออกจากพระนครไปประทับยังศาลเจ้าแถบทุ่งรังสิต ส่งผลให้การทำงาน ของกระทรวงยุติธรรมถึงกบั
ชะงกั ชะงันไป แมว้ า่ จะมกี ารสอบสวนกรณีดังกล่าวและมีคำพิพากษาลงโทษกรม พระนราธปิ ประพนั ธ์
พงศ์ พระอนุชาพระองค์หนึ่งของรัชกาลที่ 5 เจ้าของบทละครรวมถึงมีการสั่งให้ริบและ เผาบทละคร
ดงั กล่าวแล้วกต็ าม2

แต่เรื่องราวก็ยังไม่จบ กรมหลวงราชบุรียังคงน้อยพระทัยและ “เล่นตัว” ต่อไปเพราะการ
ยุแยงของ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระอนุชาอีกพระองค์หนึ่งของรัชกาลที่ 5 และ ขุนหลวง
พระยาไกรสี (เทียม บุนนาค) ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมคนหนึ่ง โดยหวังว่าพระบิดาของพระองค์
จะทรงง้อกรมหลวงราชบุรี แต่ รัชกาลที่ 5 ตัดสินพระทัยที่จะนิ่งเฉยเสีย สุดท้ายกรมหลวงราชบุรีจึง
กลับเข้าพระนครอย่างเงียบ ๆ และ พยายามหาโอกาสเข้าเฝ้า แต่กระนั้นความพยายามเข้าเฝ้าของ
กรมหลวงราชบุรีก็เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะกรมหลวงราชบุรีพยายามเข้าเฝ้าโดยผิดธรรมเนียม
ทำให้ไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

1เพอื่ ความสะดวกและไม่เป็นการสับสน ในบทความนจ้ี ะใชร้ าชทินนามสุดท้ายของแตล่ ะบุคคลตลอดท้งั บทความ
2 ราม วชิราวุธ, ประวัตติ ้นรชั กาลที่ 6, พิมพค์ รัง้ ที่ 7, ศลิ ปวัฒนธรรมฉบับพเิ ศษ (กรงุ เทพฯ: มติชน, 2559), 317-23.

243

มีพระราชหัตถเลขามายังเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธเกี่ยวกับคดีดังกล่าว พระองค์ทรงบริภาษความผิดของ
กรมหลวงราชบรุ ีเปน็ ข้อต่าง ๆ ถึง 9 ขอ้ กอ่ นท่ีจะลงทา้ ยวา่

“ข้อความตามทกี่ ล่าวมานข้ี อใหพ้ จิ ารณาดูเถิด ความรักกันฉนั พ่อกบั ลูกมีอยู่ทตี่ รงไหน,
ความเหน็ แก่ราชการมีอย่ทู ตี่ รงไหน, ความจงรักภักดฉี ันเจ้ากับข้ามอี ยู่ที่ตรงไหน”3

ความว่นุ วายครั้งน้ีสงบลงเม่ือท้ายท่ีสุดกรมหลวงราชบุรีได้เข้าเฝ้าพระบิดาในวนั ท่ี 28 มถิ นุ ายนและได้
ทรงมี หนังสือกราบบังคมทูลขอพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษให้กรมพระนราธิปเรื่องราวความ
วุน่ วายดงั กลา่ วจึง ได้จบลง4

เหตกุ ารณ์ครั้งนยี้ ่อมสร้างความหนกั ใจให้กับรัชกาลท่ี 5 เปน็ อย่างมาก เพราะในเวลาเดียวกัน
แรงงาน กลุ จี นี ก่อการประท้วงนัดหยุดงาน การ ‘สไตรค’์ ของชาวจีนซ่ึงเปน็ กำลังสำคัญทางเศรษฐกิจ
ทำให้กิจกรรมทาง เศรษฐกิจรวมถึงการคมนาคมของพระนครหยุดชะงักไปด้วย การก่อเรื่องใน
ช่วงเวลาท่ีพระนครกำลังระส่ำระ ส่ายน้ีถือเปน็ ความผดิ ข้อแรกในเก้าข้อของกรมหลวงราชบุรี ทีเดียว5
การก่อเรื่องครั้งนี้ของกรมหลวงราชบุรี ทำให้พระชนมายุของรัชกาลที่ 5 “หรอเข้าไปเป็นอันมาก”6
แม้ว่าคดีดังกล่าวอาจมิใช่เหตุผลสำคัญด้วย พระชนมายุที่มากแล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคตในเดอื นตุลาคมปีเดียวกัน เจ้าฟ้ามหาวชิราวธุ เสด็จขึ้นครองราช
สมบัติเฉลิมพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่องราว ดังกล่าวนำมาจาก ประวัติ
ตน้ รัชกาลท่ี 6 ใหภ้ าพความขัดแยง้ ระหวา่ งรัชกาลท่ี 5 กับกรมหลวงราชบรุ ีไดอ้ ยา่ ง ละเอียดพิสดาร

กุลลดา เกษบุญชู มี้ดได้ให้บริบทความขัดแย้งนี้ไว้อย่างดี เหตุการณ์ดังกล่าวอาจถือว่าเป็น
‘ไคล แมกซ์” ของความขัดแย้งยาวนานระหว่างรัชกาลที่ 5 กับกรมหลวงราชบุรี กล่าวคือกรมหลวง
ราชบุรีเห็นว่า ควรจะมีการแบ่งแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจบริหารให้ชัดเจน ศาลไม่ควรเป็น
เคร่อื งมือหน่ึงของระบอบ สมบูรณาญาสทิ ธิราชยแ์ ต่ควรเป็นอิสระตามหลักการนิตปิ รัชญา แต่รัชกาล
ที่ 5 ทรงไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั เร่ืองดังกลา่ ว เพราะยากจะปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ วิวาทะดงั กลา่ วเรม่ิ ตน้ ตงั้ แต่ช่วงปลาย
ทศวรรษ 2440 แล้ว ก่อนหน้าคดีพญาระกา กรมหลวงราชบุรียังได้แสดงความไม่พอใจต่อประเด็น
ดังกล่าวหลายครั้งกับทั้งข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมที่ ทรงสอนมากับมือรวมถึงในวารสาร
ข่าวศาล ของนักกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กรมหลวงราชบุรีไม่ประสบ ความสำเร็จในวิวาทะนี้จึงทูล
ลาออกจากราชการโดยอ้างปัญหาสุขภาพ แต่รัชกาลที่ 5 ทรงเก็บหนังสือไว้โดย ไม่ได้อนุญาตไป

3 เรอ่ื งเดียวกัน., 364.
4 เรอ่ื งเดียวกัน., 374-76.
5 เร่อื งเดยี วกนั ., 362. “1. เฉพาะจะมากอ่ เหตุประชันเจ๊กท่ีมันคิดประทุษรา้ ยตอ่ แผน่ ดิน, ท่ีกำลังระวงั อยู่
ทกุ หายใจเข้าออก, หนังสอื ข่าวหยอ่ ยอยู่ คืนยังรุ่งวนั ยังค่ำ”
6 เรอื่ งเดยี วกนั .

244

ความสำคัญของคดีพญาระกาในงานของกุลลดาคือการเป็นข้ออ้างสำคัญของกรมหลวงราชบุรี ที่ท้า
ทายระบบศาลแบบจารีตพร้อมกับปกป้องพระเกียรติของกรมหลวงราชบุรีไปพร้อม ๆ กัน ข้อสรุปใน
ประเดน็ ดังกลา่ วของกุลลดาคอื ระบบราชการสมยั ใหมเ่ ป็นภยั คกุ คามตอ่ ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์
เสนาบดแี ละข้าราชการทา้ ทายองค์สมบูรณาญาสิทธิด์ ว้ ยหลักความรสู้ มยั ใหม่พร้อมทั้งแสดงให้เห็นว่า
ตัว เสนาบดีสามารถเก็บเกี่ยวความจงรักภักดีได้อย่างแน่นแฟ้นจากผู้ใต้บังคับบัญชา มากกว่าที่
ข้าราชการจะมีต่อพระมหากษัตริย์7 ข้อเสนอดังกล่าวของกุลลดาช่วยเผยให้เห็นความสำคัญของ
คณุ วฒุ ิหรือหลกั วิชาในระบอบ ราชการ

อย่างไรก็ดี การอ่าน ประวัติต้นรัชกาลที่ 6 อีกครั้งอาจช่วยให้เห็นภาพบางอย่างที่กุลลดา
อาจจะไม่ได้ ให้ความสำคัญมากนัก คดีพญาระกาเป็นเพียงการฉวยโอกาสของกรมหลวงราชบุรี เพียง
เทา่ น้นั หรอื เมื่อกรม หลวงราชบรุ ี เขา้ พระทยั ว่ารชั กาลท่ี 5 ไดท้ รงอา่ นบทละครดังกล่าวแล้วและให้มี
การแสดงต่อหน้าพระพักตร์ กรมหลวงราชบุรีถึงกับร้องไห้ออกมาและนอนไม่หลับ แสดงว่าเรื่อง
ดังกล่าวคงจะสะเทือนอารมณ์ต่อกรมหลวง ราชบุรีเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีความไม่พอพระทัยต่อความ
คิดเห็นของรัชกาลที่ 5 แต่จุดแตกหกั ของวิวาทะในคดี พญาระกาคือการที่ทรงเข้าพระทัยว่าพระบิดา
ของพระองค์ปล่อยใหม้ ีการเลน่ ละครหม่ินเกียรติยศของตน กล่าวอีกอยา่ งหนึ่งคอื กรมหลวงราชบุรีให้
ความสำคญั กับเกียรติยศและความสัมพันธส์ ่วนตัวระหว่างตนกบั รชั กาลที่ 5 ในฐานะพ่อกับลูก ความ
ขัดแย้งในด้านระบบราชการเรื่องหลักวิชาจึงอาจเป็นคำอธิบายที่ไม่ เพียงพอในการอธิบายความ
ขัดแย้งดังกลา่ ว

มิติด้านอารมณ์และการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ส่วนตัวนี้จึงเป็นด้านที่สมควรศึกษา
อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาบริบทของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งก่อตัวขึ้นโดยเริ่มจาก
เครือข่ายเครือพระ ญาติใกล้ชิดกับตัวองค์พระมหากษัตริย์ในการดึงอำนาจออกจากขุนนางตระกูล
บุนนาคมาสู่ตัวพระองค์เอง8 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มต้นจากสภาวะท่ี
พระองค์แทบไม่มีมิตรที่พึ่ง “มีญาติฝ่าย มารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล...ฝ่ายญาติข้างพ่อคือเจ้านาย
ทั้งปวง ก็ตกอยู่ในอำนาจสมเด็จเจ้าพระยา และ ต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทั่วทุกองค์.. .”9
พระองค์ทรงบรรยายสภาวะเมื่อขึ้นครองราชย์ของพระองค์ แก่เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สมเด็จพระบรม
โอรสาธิราชมกุฎราชกุมารในขณะนั้นเพื่อเป็นคำเตือนในฐานะว่าที่ กษัตริย์ (แต่ไม่ได้เป็นกษัตริย์)
นอกจากข้อความดังกล่าวแล้ว ยังได้ทรงสั่งสอนเพิ่มเติมอีก คำสอนข้อหนึ่งคือ “ให้โอบอ้อมอารีต่อ

7 กุลลดา เกษบญุ ชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ : ววิ ฒั นาการรัฐไทย trans. อาทติ ย์ เจยี มรตั ตัญญู, พมิ พค์ รั้งท่ี 1. , สยามพากษ:์ ลำดับท่ี 4 (นนทบุร:ี ฟา้
เดยี วกนั , 2562), 208-19.
8 ดเู พม่ิ เติมเก่ยี วกบั บทบาทขนุ นางตระกลู บนุ นาคในชว่ งต้นจนถึงกลางศตวรรษที่ 19 ไดท้ ่ี David K. Wyatt, "Family Politics in Nineteenth- Century
Thailand," in Studies in Thai History: Collected Articles (Chiang Mai: Silkworm Books, 2005). สว่ นกระบวนการดึงอำนาจสู่ ตัวรัชกาลท่ี 5 น้ัน
สามารถดเู พิ่มเติมได้ที่ กุลลดา เกษบุญชู ม้ดี , ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ : วิวฒั นาการรฐั ไทย บทท่ี 2 ปฐมบทของการสร้าง รัฐสมัยใหม่.
9 ชยั อนนั ต์ สมุทวณชิ และ ขัตตยิ า กรรณสูต, เอกสารการเมืองการปกครองไทย (พ.ศ. 2417-2477), พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. (กรุงเทพฯ: สถาบันสยาม ศึกษา สมาคม
สังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2532), 130.

245

ญาติและมิตรอันสนิท มีน้องเป็นต้น เอาไว้เป็นกำลังให้จงได้”10 ไม่น่าแปลกพระทัยนกที่ รัชกาลที่ 5
จะให้ความไว้วางพระทัยกับพระอนุชาของพระองค์ การปกครองของพระองค์มั่นคงขึ้นมาได้ก็อาศยั
พระอนุชาเปน็ หลักทงั้ ส้นิ คนสำคญั อาทิ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ กรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการ
หรอื กรมพระยาภาณุพันธวุ งศว์ รเดช เปน็ ต้น ทั้งยงั มีพระอนชุ า พระญาตวิ งศอ์ งค์อ่ืน ๆ รวมถึงขุนนาง
ตระกูลใหญ่ที่ได้ทรงชุบเลี้ยงมา ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงไม่อาจสถาปนาขึ้นได้ถ้าปราศจาก
เครือข่ายพระญาติวงศ์ รวมถึงขุนนางคนใกล้ชิดที่ไว้วางพระทัย ทามาร่า ลูส์ชี้ให้เห็นว่าในระบอบ
เช่นนี้ เรื่องส่วนตัวกับกิจการราชการ ไม่อาจแยกจากกันได้ การสร้างความบาดหมางในทางใดทาง
หนึ่งย่อมมีผลกระทบต่อทั้งสองด้านของชีวิต ราชการ11 ตัวอย่าการบริพาษในพระราชหัตเลขาของ
รัชกาลที่ 5 ถึงเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธต่อในคดีพญาระกา แสดงให้เห็นมิติดังกล่าวได้เป็นอย่างดี คน ๆ
หนง่ึ มีบทบาททง้ั ในความสัมพันธ์ส่วนตวั และในระบอบราชการ การกระทบกระเทือนไม่ว่าด้านใดต่าง
ก็จะสง่ ผลต่ออีกด้านหน่งึ อย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้

บทความนี้จึงพยายามอธิบายความขัดแย้งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยใช้กรอบ
ความคิดเรื่อง วัฒนธรรมทางการเมือง (political culture) ในการศึกษา การศึกษาวัฒนธรรมทาง
การเมืองใหค้ วามสำคัญกับ “ค่านิยม ความรสู้ กึ และความเชอ่ื ในการอธิบายพฤติกรรมทางการเมือง”12
ดังนั้นบทความนี้จึงต้องการตั้ง คำถามว่าอะไรคือวัฒนธรรมทางการเมืองระบอบ
สมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ โดยศกึ ษาผา่ นความขัดแยง้ ท่ีเกดิ ขึน้ ระหวา่ งชนช้นั นำ อะไรคือค่านิยมทีช่ นช้ัน
นำในระบอบดังกล่าวยึดถือ อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้ง และการเยียวยาความสัมพันธ์
การตอบคำถามดังกล่าวจะช่วยให้เข้าใจระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ดียิ่งขึ้น บทความนี้ต้องการ
เสนอว่า ความเชื่อใจ (trust) เป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความเชื่อใจนี้
ทำงานทั้งสองทางทั้งฝ่ายเจ้าและฝ่ายข้า ฝ่ายเจ้าต้องการข้าที่ไว้ใจได้ที่เจ้าจะสามารถใช้งานราชการ
ให้ บรรลุจุดประสงค์ได้ตามต้องการ ส่วนฝ่ายข้าก็ปรารถนาจะได้ความไว้วางใจนั้นจากฝ่ายเจ้า
เพื่อตนจะได้วางใจ ในหน้าที่การงานของตนและสามารถทำราชการต่อไปได้ ความเชื่อใจเป็นส่วน
สำคัญอย่างยิ่งที่ส่งเสริมระบบ อุปถัมภ์ในระบบราชการซึ่งจะนำไปสู่การบั่นทอนตัวระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์เองในท้ายที่สุด บทความนี้ จะร้อยเรียงเรื่องราวตั้งแต่การสร้างความเชื่อใจ
และการรักษา ภัยคุกคามต่อความเชื่อใจนั้น และท้ายที่สุดคือ ผลกระทบและการฟื้นฟูสถานภาพ

10 เรอื่ งเดยี วกนั ., 133.
11 Tamara Lynn Loos, Bones around My Neck: The Life and Exile of a Prince Provocateur (Ithaca: Cornell University Press, 2016), 6.
12 Glen Gendzel, "Political Culture: Genealogy of a Concept," review of Self-Rule: A Cultural History of American Democracy, Robert H.
Wiebe; The Emerging Midwest: Upland Southerners and the Political Culture of the Old Northwest, Nicole Etcheson, The Journal of
Interdisciplinary History 28, no. 2 (1997): 247.

246

ในภายหลัง ชื่อส่วนย่อยต่าง ๆ ผู้วิจัยนำมาจากคำปฏิญาณตนในพิธีถวาย สัตย์ปฏิญาณตนต่อหน้า
พระแก้วมรกตของสนั นิบาตลับในสมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว

เมื่อกล่าวถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ช่วงรัชสมัยรัชกาลที่ 5-7 ช่วงเวลาดังกล่าวอาจ
เรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่น่าหลงใหลในการศึกษาสำหรับผู้สนใจประวัติศาสตร์ไทย เพราะในแง่หนึ่ง
คือการพยายามตอบ คำถามว่าเหตุใดสยามจึงไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก คำอธิบายชุดหน่ึง
ซึ่งยังทรงพลังจนถึงปจั จุบันคือ ความปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์นับตัง้ แต่รัชกาลที่ 4 เรื่อยมา
จนถึงรัชกาลที่ 7 ต่างนำประเทศสยามฝ่าภัยคุกคามของชาติจักรวรรดินิยมได้อย่างโชกโชน
แม้จะต้องยอมเสียแขนขาบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ ทั้งยังนำชาติเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่
ทัดเทียมตะวันตก13 งานศึกษาในช่วงทศวรรษ 1960-1970 ที่มีรากฐาน ความคิดดังกล่าวให้ภาพชน
ชั้นนำสยามกับบทบาทในการปฏิรูปด้านต่าง ๆ เพื่อนำความเป็นสมัยใหม่มาสู่สยาม เช่น ด้าน
การศึกษาของเดวิด เค. วัยอาจ (David K. Wyatt)14 หรือด้านการปกครองท้องถิน่ ของเตจ บุนนาค15
เปน็ ต้น

พัฒนาการของสยามในช่วงจักรวรรดินิยมเป็นเช่นนั้นจริงหรือ เบเนดิกต์ แอนเดอร์สันต้ัง
คำถามต่อ ความคิดดังกล่าวและตอบโต้ไดอ้ ย่างรา้ ยกาจในบทความของเขาซ่ึงตีพิมพใ์ นปี 1978 แอน
เดอร์สันชี้ให้เห็นว่า สถานะของสยามอาจไม่ใช่ผู้รอดจากอาณานิคมอย่างที่คิด สยามไม่อาจเทียบได้
กับญี่ปุ่นที่พัฒนาสู่ความเป็น สมัยใหม่ไล่เลี่ยกัน แต่สยามอาจเทียบได้กับผู้แทนกงสุลชาวยุโรปเสีย
มากกว่า ชนชนั้ นำสยามเลือกพัฒนาตาม แบบอาณานคิ มของชาวยโุ รป กษตั รยิ ์ไม่ใช่ผู้นำในการรักษา
เอกราชแต่เปน็ ผู้ธำรงรักษาผลประโยชน์ของชาติ ตะวันตก สำหรบั แอนเดอร์สันแลว้ สยามอาจจะโชค
ร้ายเสียด้วยซ้ำที่ไม่ตกเป็นอาณานิคม16 การท้าทาย ดังกล่าวได้ผลิดอกออกผลมากมาย มีงานจำนวน
มากทต่ี ้ังคำถามตอ่ การพฒั นาสูค่ วามเป็นสมัยใหมแ่ ละสถานะ ของสยามในช่วงเวลาดงั กลา่ ว17

อย่างไรก็ตามจำนวนและประเด็นศึกษาในงานชั้นหลังมีมากเกินกว่าที่บทความนี้จะสามารถ
ทบทวนได้ อย่างครบถ้วน บทความนี้จึงขอเลือกทบทวนงานที่เกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงของ
สถาบันการเมืองการ ปกครองเพียงเท่านั้น วิทยานิพนธ์ของไชยันต์ รัชชกูลใน The Rise and Fall

13 ดูเพิม่ เติม ธงชัย วินิจจะกูล, "สภาวะอาณานคิ มของสยามและกำเนิดประวตั ิศาสตร์ชาติไทย," ใน โฉมหน้าราชาชาตินยิ ม, ธงชัย วนิ ิจจะกลู (นนทบุร:ี ฟ้าเดียวกัน
, 2559).
14 David K. Wyatt, The Politics of Reform in Thailand: Education in the Reign of King Chulalongkorn, Yale Southeast Asia Studies: 4 (New
Haven: Yale University Press, 1969).
15 Tej Bunnag, The Provincial Administration of Siam 1892-1915: The Ministry of the Interior under Prince Damrong Rajanubhab, 1st ed.,
East Asian Historical Monographs (Kuala Lumpur: Oxford University Press, 1977).
16 เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน, "ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา," ใน ศึกษารัฐไทย วพิ ากษไ์ ทยศกึ ษา (นนทบรุ ี: ฟ้าเดียวกนั , 2558).
17 ผู้สนใจสามารถดูรวมบทความทศ่ี ึกษาประเดน็ ดงั กล่าวได้ใน Peter A. Jackson and Rachel Harrison, The Ambiguous Allure of the West: Traces of
the Colonial in Thailand (Hong Kong: Hong Kong University Press, 2010), Book.

247

of the Thai Absolute Monarchy ในปี 1984 พยายามชี้ให้เห็นพัฒนาการของ “รัฐ-ชาติ” สยาม
ในช่วงเวลาศตวรรษท่ี 19 ถึง 20 ไชยันต์วิพากษว์ า่ งานก่อนหน้าถือเอาว่าสยามเปน็ รัฐชาติมาก่อนอยู่
แล้ว แต่ไชยันต์ไม่เห็นเช่นนั้น ไชยันต์เสนอ ว่าการจะทำความเข้าใจกำเนิดของรัฐสยามจะต้อง
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างกรุงเทพและหัวเมืองอื่น ๆ กรุงเทพผนวกหัวเมืองเหล่านั้นเข้ามาได้
อย่างไร การรวมอำนาจเขา้ สกู่ รุงเทพคอื การดึงทรพั ยากร ผลประโยชน์ ทางเศรษฐกจิ ท่อี ยตู่ ามภมู ิภาค
เข้าสู่ศูนยก์ ลาง18 ขณะที่ไชยันต์ให้ความสนใจกับการผนวกดินแดนรอบนอก งานศึกษาอีกชิ้นที่นบั วา่
โดดเด่นและมีชื่อคล้ายกันอย่างน่าสับสนคือ The Rise and Decline of Thai Absolutism โดยกุล
ลดา เกษบุญชู มี้ดในปี 2000 ให้ความสนใจความเปลี่ยนแปลงของรัฐที่ศูนย์กลางมากกว่า กุลลดา
ชี้ให้เหน็ กระบวนการอันยากลำบากและเป็นไปอย่างเชือ่ งช้าของรัชกาลที่ 5 ที่จะสถาปนาอำนาจของ
ตนท่ามกลางความท้าทายของขุนนางตระกูลบุนนาคและกลุ่มสยามเก่า แต่สุดท้าย การสถาปนารัฐ
สมบูรณาญาสิทธิราชยก์ ็ได้บ่มเพาะระบบราชการซงึ่ สดุ ท้ายจะนำมาซ่ึงความลม่ สลายของระบอบเอง19
โดย ภาพรวม จะเห็นได้ว่าคำอธิบายเกี่ยวกับสถาบันการเมืองการปกครองช่วงเวลารัชกาลที่ 5-7 มัก
ให้คำอธิบายใน เชิงสถาบันการเมืองและกระบวนการทางการเมอื งเป็นหลกั

ในส่วนของงานศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับราชสำนัก ทั้งนี้ราชสำนักในที่นี้หมายความเพียงราช
สำนักฝ่าย หน้าหรือส่วนนอกที่ดูแลเก่ียวกับการบรหิ ารราชการแผน่ ดินเท่านั้น ที่ผ่านมาการศึกษามกั
แยกส่วนกันเป็น ลักษณะในแต่ละรัชสมัย โดยพื้นฐานหนึ่งคือการมองแยกกันระหว่างรัชกาลต่าง ๆ
เมอ่ื กษตั รยิ ์แตล่ ะพระองค์ ตา่ งกัน ราชสำนักของพระองค์ย่อมต่างกนั ดว้ ยซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจทาง
การเมืองของรชั กาลนั้น ๆ ราช สำนักรชั กาลท่ี 5 ทรงอาศยั บรรดาพระอนุชาใกลช้ ดิ และขุนนางที่ทรง
ไว้ใจในการบริหารราชการ20 รัชกาลที่ 6 ทรงให้ความสำคัญกับบรรดาชายหนุ่มนายในที่พระองค์ทรง
ชุบเลี้ยงมากกว่า ขณะที่พระญาติที่เคยรับราชการ ในสมัยพระบิดาถูกเบียดขับออกจากตำแหน่ง
สำคญั ทางการเมือง21 สว่ นรชั กาลท่ี 7 เป็นการกลับคนื ใหค้ ลา้ ย

สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงให้พระญาติวงศ์อาวุโสกลับมาดำรงตำแหน่งสำคัญทางราชการเพื่อ
ช่วยเหลอื พระองค์ เพราะพระองคเ์ ปน็ “มา้ ดำ” ที่แทบไมม่ ปี ระสบการณ์ทางการเมือง22บทความนี้จึง
ตา่ งออกไปท่มี องระยะเวลา ท้ังสามรชั กาลเปน็ องคร์ วม กรณีศึกษาจะถกู หยิบยกมาจากทงั้ สามรัชกาล

18 ไชยันต์ รัชชกูล, อาณานิคมสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ : การกอ่ รปู รฐั ไทยสมัยใหม่จากศักดนิ านยิ มรอบนอก, แปลโดย พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์, พมิ พ์ ครง้ั แรก
(กรุงเทพฯ: อ่าน, 2560).
19 กลุ ลดา เกษบญุ ชู ม้ีด, ระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ : ววิ ัฒนาการรัฐไทย.
20 สำหรบั รชั กาลท่ี 5 โปรดดู Wyatt, The Politics of Reform in Thailand: Education in the Reign of King Chulalongkorn.
21 สำหรับรัชกาลที่ 6 โปรดดู Craig J. Reynolds, "Homosociality in Modern Thai Political Culture," review of 'Nai nai' samai ratchakan thi 6 [Men
of the inner palace during the sixth reign], CHANAN YOTHONG, Journal of Southeast Asian Studies 45, no. 2 (2014). Stephen Lyon
Wakeman Greene, Absolute Dreams : Thai Government under Rama Vi, 1910-1925 (White Lotus Press, 1999),).

22 สำหรบั รชั กาลที่ 7 โปรดดู เบนจามิน เอ บัทสัน, อวสานสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ในสยาม, แปลโดย กาญจนา ละอองศรี และคณะ, พิมพ์คร้ังที่ 4., หนังสอื ชุด
ประวตั ิศาสตรร์ ว่ มสมัย: 1 (กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2560

248

เพื่อชี้ให้เห็นลักษณะร่วมกันของ ความขัดแย้งเหล่านั้นอันจะบ่งบอกถึงวัฒนธรรมทางการเมืองของ
ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์

กลุ่มหลักฐานสำคัญที่บทความชิ้นนี้ใช้ศึกษาคืองานประเภทอัตเอกสาร (ego-documents)
เอกสาร ประเภทนี้คือเอกสารที่เผยให้เห็นความคิดความเชื่อ ประสบการณ์ส่วนบุคคล เอกสารที่อาจ
จัดได้วา่ เป็น อัตเอกสาร ไดแ้ ก่ จดหมายส่วนตัว บนั ทึกประจำวนั อัตชีวประวัติ เปน็ ต้น เอกสารเล่านี้
มักบอกเล่าเรื่องราวที่ บุคคลผู้สร้างหลักฐานได้สัมผัส การศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้นัก
ประวัติศาสตร์สามารถทำความเข้าใจวิธีทาง ของบุคคลในการใช้ชีวิต บุคคลยึดโยงตัวเองเข้ากับ
บรรทัดฐานในสังคมอย่างไร สามารถประคับประคองตนเอง ไปในบริบทสถานการณ์ด้วยวิธีการอะไร
อะไรคือความหวัง ความกลัว อารมณ์ของพวกเขาที่มีต่อสิ่งที่ต้อง เผชิญ ซึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ความคิด
ความเชื่ออารมณ์เหล่านี้ก็คือค่านิยมที่พวกเขายึดถือนั่นเอง เหล่านี้คือตัวอย่างคำถามที่นัก
ประวัตศิ าสตร์สามารถศึกษาได้จากการสนทนากับอัตเอกสาร23 สง่ิ สำคญั ท่ีสดุ ในการศกึ ษาอตั เอกสาร
จึงไม่ใช่ความถูกต้องของข้อเท็จจริง ผู้บันทึกอาจจะมีความจำที่ผิดพลาดได้ในการบันทึกข้อเท็จจริง
บางอย่าง เช่น ปีของเหตุการณ์ คำพูดที่บันทึกไว้ ซึ่งข้อมูลเหล่านีอ้ าจจะพอพิสูจนไ์ ดด้ ้วยหลกั ฐานอื่น
ๆ มา ยืนยันได้ แต่การที่ผู้สร้างสร้างหลักฐานเช่นนั้นขึ้นมาก็สะท้อนความคิดบางอย่างได้ ว่าเ ขาให้
ความสำคัญกับ อะไร อะไรคือข้อมูลที่เขาเลือกจะบันทึกหรือไม่บันทึก และเขาอธิบายอย่างไร ด้วย
เหตุนี้ บทความนี้จึงเห็นว่า อัตเอกสารเป็นกลุ่มหลักฐานชั้นดีที่สามารถศึกษาค่านิยมและความเช่ือใน
การอธบิ ายพฤติกรรมทางการเมอื งได้

กลุ่มเอกสารที่จะใชศ้ กึ ษาในบทความนีเ้ กือบท้ังหมดผลิตขึ้นโดยชนชั้นนำสยามหรือผ้ทู ใ่ี กล้ชิด
กับ พระมหากษัตริย์ในราชสำนัก ไม่ว่าจะเปน็ ตวั เจา้ ชีวิต พระเจ้าแผ่นดินเอง พระองค์เจ้าดาวรุ่งแหง่
ราชสำนักแต่ สุดท้ายกลายเป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่อาจกลับมาเหยียบประเทศสยามได้เป็นเวลากว่ายี่สิบปีกับ
เพอ่ื นรักของพระองค์ หรอื พระอนชุ าคู่พระทัย เสนาบดีคนสำคัญที่กลับกลายต้องเป็น “หมาหัวเน่า”
ในรัชกาลถัดมา เป็นต้น กลุ่ม คนเหล่านี้ร่วมสมัยกันและได้ประสบพบเจอกับความขัดแย้งในชีวิตท้ัง
ในทางส่วนตวั และในทางราชการ ชีวติ และความขดั แยง้ พวกเขาในระบอบการเมืองทีส่ ถาปนาข้ึนใหม่
จะเป็นศูนยก์ ลางหลักในบทความน้ี

จมีน้ำใจซ่ือสัตยส์ ุจรติ ทำราชการฉลองพระเดชพระคณุ และป้องกนั รักษาพระองค์: เริ่มต้นรัชสมัย
กับ กำเนิดระบอบแห่งความเชื่อใจ

23ผู้สนใจสามารถดูเพิม่ เติมได้ท่ี Mary Fulbrook and Ulinka Rublack, "In Relation: The ‘Social Self’ and Ego-Documents," German History 28, no.
3 (2010).

249

ยุวกษัตริย์รัชกาลที่ 5 ในวัย 11 ปีขึ้นครองราชย์ท่ามกลางอำนาจมากล้นของยักษ์ใหญ่
ขนุ นางตระกูล บุนนาค กษตั ริย์พระองคน์ ้อยอยู่ในสภาพที่ “เปรียบเหมือนคนทีศ่ ีรษะขาดแลว้ จับเอา
แต่รา่ งกายข้นึ ต้ังไวใ้ นที่ สมมตกิ ษตั รยิ ์…ทงั้ มีศัตรูมุ่งหมายอยูโ่ ดยเปิดเผยรอบข้างท้ังภายในภายนอก...
ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสน สาหัส”24 ในขณะที่อีกฝ่ายมีผู้นำวัยเกษียณ สมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้แก่กล้าไป ด้วยอำนาจบารมีระดับที่ “ถ้าเดินมาในที่ประชุมคนทั้ง
ร้อยก็กลัวทั้งร้อย” และยังฉลาดหลักแหลมเด็ดขาดมาก25 ผู้กล้าวัยแรกรุ่นปะทะกับยักษ์ใหญ่ นี่คือ
ฉากเปิดเรื่องของรัชสมัยอันยาวนานกว่าส่ีสิบสองปีที่หมดเวลา ไปกว่าครึ่งก่อนที่พระองค์จะสามารถ
รวมอำนาจมาอยู่ที่พระองค์ได้ งานของกุลลดาได้ฉายภาพอัน ละเอียดละออของกระบวนการที่ค่อย
เป็นค่อยไปของรัชกาลที่ 5 ในการช่วงชิงอำนาจระหว่างสามก๊ก ได้แก่ สยามหนุ่ม (Young Siam)
สยามอนุรักษนิยมและสยามเก่า26 ขุมกำลังสำคัญของพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ
คณะสยามหนุม่ อนั ประกอบไปด้วยพระราชอนชุ า พระญาตวิ งศ์ ขา้ ราชบริพาร ขุนนางรนุ่ หนุ่ม ท้ังยัง
มีขุนนางตระกูลบุนนาคบางส่วนเข้ามาร่วมด้วย กลุ่มนี้ถือว่าเป็นขุมกำลังของรัชกาลที่ 5 ในการ
วิพากษ์วิจารณ์อีกสองกลุ่มผ่านสื่อที่สำคัญคือ ดรุโณวาท หรือ คำสอนของผู้น้อย ส่วนในทางกลไก
การเมือง รัชกาลที่ 5 ยังได้ตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาราชการในพระองค์ในปี
พ.ศ. 2417 เพื่อผลักดันการปฏิรูปไปในทิศทางที่พระองค์ต้องการ การปฏิรูประยะแรกนี้ยังเป็นไป
อย่างค่อยเป็นค่อย ไปและระแวดระวัง แรงเสียดทานจากหลายฝ่ายนับว่ามีมากอยู่ รัชกาลที่ 5
ประสบความสำเร็จอยู่บ้างในการ เริ่มดึงอำนาจการคลังมาอยู่ในพระองค์จนสามารถเปิดโปงความ
ทุจริตของพระยาอาหารบริรักษ์ ผู้จัดการภาษี ฝิ่นของตระกูลบุนนาค แต่สมเด็จเจ้าพระยาก็ตอบโต้
โดยอาศัยวิกฤติการณ์วังหน้าในปี พ.ศ. 2418 สมเด็จ เจ้าพระยาฯ ใช้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
เป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจกับรัชกาลที่ 5 อย่างไรก็ตาม ความตื่น ตระหนกเกินเหตุของกรม
พระราชวังบวรฯ จนทรงหลบหนีเข้าไปในสถานกงสุลอังกฤษเพราะหวังพึ่งโทมัส น็อกซ์ (Thomas
Knox) กงสุลอังกฤษ ทำให้แผนของสมเด็จเจ้าพระยาไม่สำเร็จเท่าที่ควร ผลลัพธ์ของวิกฤติการณ์
กลายเป็นให้ประโยชน์กับรัชกาลที่ 5 มากกว่า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญถูกลดสถานะพระ
เกียรติยศเปน็ เพียงอุปราชจากพระเจา้ แผน่ ดินองค์ทีส่ อง ถกู จำกดั การมีไพรพ่ ลและการสัง่ สมอาวุธ แต่
ชัยชนะครั้งนี้ก็แลกมาด้วยแผนปฏิรูปของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงักลง พระองค์ตระหนักว่าการ
ปฏิรูปขนานใหญ่นี้ จำเป็นต้องมีแนวร่วมมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งในกลุ่มสยามหนุ่มเองก็เริ่มปรากฎ

24ชัยอนันต์ สมุทวณชิ and ขตั ตยิ า กรรณสตู , เอกสารการเมอื งการปกครองไทย (พ.ศ. 2417-2477), 130-31.
25 มุมมองดังกล่าวมาจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พนู พศิ มยั ดิศกลุ , สงิ่ ที่ข้าพเจ้าพบเห็น (กรุงเทพฯ: มูลนิธิหมอ่ มเจ้าพนู พิศมยั ดศิ กุล และ ชมรมพระนิพนธ์
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 2533), 184-85.
26 ดใู นรายละเอียด บทท่ี 2 ปฐมบทของการสร้างรฐั สมัยใหม่ ใน กลุ ลดา เกษบญุ ชู ม้ีด, ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ : ววิ ัฒนาการรฐั ไทย

250

ความคิดทีก่ ้าวหน้ามากเกินกว่าที่ พระองค์ต้องการ27 รชั กาลท่ี 5 ต้องคอยเวลาหลังจากนั้นอีกราวสิบ
ปเี มื่อสมเด็จเจ้าพระยาฯ ถงึ แก่พิราลัยในปี พ.ศ. 2426 และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคตในปี
พ.ศ. 2428 กลุ่มอำนาจที่ท้าทายรัชกาลที่ 5 จึง ค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลงไปในที่สุด ทั้งหมดนี้คือ
สภาพการณ์ทางการเมืองท่ศี ูนยก์ ลางอำนาจกรุงเทพกอ่ นการ ปฏริ ูปครัง้ ใหญ่ในปี พ.ศ. 2435

ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ต้องขับเคี่ยวกับกลุ่มสยามเก่าและสยามอนุรักษ์นิยม พระองค์ได้
แสวงหา พวกพ้องของพระองค์เองจนรวมกันเป็นกลุ่มฐานอำนาจของพระองค์ได้ แน่นอนว่ากลุ่มนี้
รวบรวมผู้ที่ความคิด ในทำนองเดียวกับพระองค์ แต่นอกจากนี้ก็ยังเหน็ ความพยายามของพระองค์ใน
การสร้างบุคลากรเพือ่ เตรยม เป็นกำลังสำคัญของการปฏิรปู ด้วย การจัดตั้งกรมทหารมหาดเล็กรักษา
พระองค์ในปี พ.ศ. 2413 เป็นหนึ่งใน ความพยายามดังกล่าว กรมนี้เต็มไปด้วยพระญาติวงศ์ ไม่ว่าจะ
เปน็ พระอนชุ า หมอ่ มเจ้า พระราชวงศ์ รวมถงึ บุตรของขนุ นางระดบั สงู ซ่ึงได้รับคำชักชวนให้มาเข้ารับ
ราชการในกรมทหารมหาดเล็ก กรมทหารนี้มีการฝึกวิชา ทหารอย่างตะวันตก มีเงินเดือน ได้รับ
เครื่องแบบและอาวุธที่ทันสมัย พระองค์ยังให้มีการจัดตั้งโรงเรียนเพื่อจัด การศึกษาภาษาไทยด้วย มี
การแต่งแบบเรยี น มลู บทบรรพกิจ โดยพระยาศรีสนุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยางกูร) เพ่ือใช้ในการเรียน
การสอน ผู้เรียนมีทั้งทหารมหาดเล็ก ผู้สังกัดกรมทหารมหาดเล็กหลวง รวมถึงบุตรของผู้ดีที่ ยังไม่ได้
ถวายตัว28 ปถี ดั มา (พ.ศ. 2414) รชั กาลที่ 5 ขณะเสด็จกลบั จากประพาสแหลมมลายูและเกาะชวา ได้
ฝากพระญาติวงศ์ 20 คนไว้ศึกษาที่สิงคโปร์ แต่เมื่อรัชกาลที่ 5 ได้จ้างนายฟรานซิส จอร์จ แปตเตอร์
สัน (Francis George Patterson) มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและได้จัดตั้งโรงเรียนเพื่อสอน
ภาษาองั กฤษในปี พ.ศ. 2415 แลว้ พระญาติเหล่าน้ันกถ็ ูกเรยี กตวั กลับมาดว้ ย แต่มี 3 พระองค์ท่ีเรียน
ได้ดี จงึ ถกู ส่งไปเรียนต่อท่ี ยุโรป ไดแ้ ก่ พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ หมอ่ มเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ และพระยาชัยสุ
รนิ ทร (ม.ร.ว. เทวหนึง่ ศิริวงศ)์ นับเป็นนกั เรียนสยามกลมุ่ แรกทไ่ี ปเรียนต่อยุโรป29

กระน้นั ในภาพรวมแล้ว ความพยายามจัดการศึกษานขี้ องพระองค์ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก
นักเรียน ในโรงเรียนภาษาอังกฤษของพระองค์ลดจาก 50 คน เมื่อแรกตั้งค่อย ๆ ทยอยออกไปด้วย
เหตุผลทั้งเข้ารับ ราชการ ออกบวช จนถึงเพียงออกเพราะเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนเป็นเวลาจนไม่
ปรารถนาจะเรียนอีกต่อไป แต่ในบรรดาคนที่เหลืออยู่นั้น พระอนุชากลุ่มหนึ่งได้กลายเป็นศิษย์รัก
‘favourite pupils’ ของนายแปตเตอร์ สัน ทั้งสี่คนต่างเป็นพระอนุชาที่เป็นกำลังสำคัญของพระองค์
ในเวลาตอ่ มา ไมว่ ่าจะเปน็ กรมพระยาเทวะวงศ์ วโรปการ กรมพระยาภานุพันธวุ งศว์ รเดช กรมพระยา

27 ไม่มีหลักฐานแน่ชดั วา่ สมเด็จเจา้ พระยาได้วางแผนริเรม่ิ วิกฤตนิ ้ีเอง แตส่ มเด็จเจ้าพระยากเ็ ปน็ ผู้ที่ไดร้ ับประโยชนจ์ ากวกิ ฤติการณค์ รั้งน้ี ดเู พิม่ เติม เร่ืองเดียวกนั .,
116-23.
28 สมเด็จฯ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ, ความทรงจำ (พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, 1946), 178-81; กุลลดา เกษบญุ ชู มี้ด, ระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ :
ววิ ฒั นาการรฐั ไทย 136.
29 29 ดำรงราชานภุ าพ, ความทรงจำ, 192-93; พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์, ประวตั ยิ อ่ นายพนั เอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ แตป่ ระสตู ิ พ.ศ. 2392
ถึง 2472 (พระนคร: [ม.ป.พ.], 2472), 4.

251

ดำรงราชานุภาพ และกรมพระยาวชิรญาณวโรรส30 ในบรรดาสี่พระองค์นี้ กรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพจะเป็นลูกศษิ ย์ที่อยู่กับนายแปตเตอร์สนั นานท่ีสุด กรมพระยา ดำรงฯ กลายเปน็ ศษิ ย์ก้นกุฏิติดตัว
นายแปตเตอร์สันไปตามพระนคร ได้รับการสั่งสอนอย่างใกล้ชิด รัชกาลที่ 5 เองก็ปรารถนาจะเรียน
ภาษาอังกฤษด้วย นายแปตเตอร์สันจึงได้มีโอกาสเข้าไปถวายงานสอนภาษาอังกฤษ พระองค์ กรม
ดำรงฯ จึงได้ติดส้อยห้อยตามนายแปตเตอร์สันไป “เป็นมูลเหตุที่เริ่มทรงพระเมตตาเฉพาะตัวมา แต่
นั้น” ทั้งยังได้รู้พระราชอัธยาศัย ตัวรัชกาลที่ 5 เองก็ได้รู้จักนิสัยกรมพระยาดำรงฯ เป็นการส่วน
พระองค์ และมีพระราชดำรัสยกย่องอยู่เสมอภายหลังเมื่อกรมพระยาดำรงฯ ได้เป็นเสนาบดี
กระทรวงมหาดไทยและมี สว่ นสำคญั ในการสถาปนาระบบมณฑลเทศาภิบาลแล้ว ครัง้ หนึ่งทรงตรสั ว่า
ทรงสังเกตเห็นตั้งแต่ยังเด็ก “ว่า เติบใหญ่คงจะได้เป็นคนสำคัญในราชการบ้านเมืองคน ๑ ดังนี้” 31
ในทางส่วนตัวแล้ว กรมพระยาดำรงราชานุ ภาพจึงเป็นน้องชายคนสนิทมากที่สุดคนหนึ่งของ
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั

ส่วนในทางราชการ32 เมื่อกรมพระยาดำรงฯ ได้เติบใหญ่ ก็ได้ทรงเป็นคนสำคัญในราชการ
เมืองอย่าง แท้จริง ในปี พ.ศ. 2435 รัชกาลที่ 5 พยายามเสาะหาผู้ที่เหมาะสมจะมาเป็นเสนาบดี
กระทรวงมหาดไทย คร้นั เม่อื ทรงตัดสินพระทัยได้ก็มีพระบรมราชโองการย้ายกรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพจากกระทรวงธรรมการไปยัง กระทรวงมหาดไทยโดยมิได้ถามความสมัครใจเลย กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพหวาดเกรงว่าความไร้ประสบการณ์ของตนอาจทำให้พลาดพลั้งจนเสื่อมเสียพระ
เกียรติ แต่สุดท้ายแล้ว รัชกาลที่ 5 ทรงชี้ให้เห็นว่าภัย คุกคามรอบทิศจากตะวันตกทำให้ผู้ที่จะมา
รับผิดชอบหนว่ ยงานที่ดูแลหวั เมืองท้ังปวงนั้นต้องมีความสามารถ อย่างยงิ่ คุณสมบัตินี้ทำให้รัชกาลที่
5 ทรงเลือกกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทั้งยังทรงย้ำว่าถ้ากรมพระยาดำรง ราชานุภาพต้องการ
เรียนร้อู ะไร พระองค์ก็ยนิ ดีท่จี ะ “ชี้แจงและอุดหนนุ ทุกอยา่ ง” กรมพระยาดำรงราชานุ ภาพทรงถือว่า
นี่คือการที่รัชกาลที่ 5 “ทรงรับเป็นครู” และถือเป็นหลักกำลังใจจนสิ้นรัชกาล33 จากที่กล่าวมา ท้ัง
ในทางราชการและในทางส่วนตัวจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเป็นท่ไี ว้

30 ดำรงราชานุภาพ, ความทรงจำ, 205-06.
31 เรอื่ งเดียวกนั ., 211-12.
32 ศึกษาเพิ่มเติมถงึ บทบาทของกรมพระยาดำรงราชานภุ าพกบั กระทรวงมหาดไทยไดใ้ น Bunnag, The Provincial Administration of Siam 1892-1915 : The
Ministry of the Interior under Prince Damrong Rajanubhab; จกั รกฤษณ์ นรนิตผิ ดงุ การ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพกับ
กระทรวงมหาดไทย, พมิ พค์ รั้งท่ี 4. (กรุงเทพฯ: สถาบันดำรงราชานภุ าพ, 2556).
33 พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว, พระราชหัตถเลขารัชกาลท่ี 5 ที่เก่ียวกับภารกิจของกระทรวงมหาดไทย เล่มที่ 1 (พระนคร:กระทรวงมหาดไทย,
2513), 53-54.
.

252

วาง พระราชหฤทยั ทง้ั ในทางสว่ นตัวและทางราชการชนิดทีร่ ัชกาลที่ 5 จะตรสั ว่า “ไมม่ ีใครจะไดด้ ังใจ
เหมือนเธอ34

ดาวรุ่งแห่งบรรดาสยามหนุ่มคนหนึ่งที่สมควรได้รับการพิจารณาคือ พระวรวงศ์เธอพระองค์
เจ้าปฤษฎางค์35 หรือพระนามเดิมคือหม่อมเจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็น
พระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว พระองค์เจ้า ปฤษฎางค์นับว่าเป็นรุ่นราวคราวเดียวกับรัชกาลที่ 5 โดยประสูติในปี พ.ศ.
2396 ก่อนรัชกาลที่ 5 เพียง 2 ปี และได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงในรัชกาลที่ 5 พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์นับว่ามีสติปัญญาโดดเด่นตั้งแต่ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์ จนเมื่อไปศึกษาที่
ประเทศอังกฤษแล้ว พระองค์ก็ยังเป็นผู้มีผลการเรียนดีเยี่ยม เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาด้าน
วิศวกรรมศาสตร์จากราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน (King’s College London) ทรง ได้รับรางวัล
ประกาศนียบัตรหลายฉบับจนอดีตนายกรัฐมนตรีแกลดสโตน (William E. Gladstone) กล่าวชม ใน
สนุ ทรพจนง์ านมอบประกาศนียบตั ร เมอื่ สำเรจ็ การศกึ ษา พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้กลับมารับราชการ
ใน รัชกาลที่ 5 จนเป็นที่ไว้วางพระทัยทั้งจากรัชกาลที่ 5 รวมถึงกรมพระยาภานุพันธ์วงศ์วรเดชและ
กรมพระยา เทวะวงศ์วโรปการ พระองค์มีบทบาทในการช่วยรับพระราชวงศ์ต่างประเทศรวมถึงเม่ือ
ทรงกลับไปศึกษาที่ ประเทศอังกฤษ ทรงได้มีโอกาสเป็นล่ามให้กับคณะทูตของเจ้าพระยาภานุวงษม
หาโกษาธบิ ดี (ทว้ ม บุนนาค) พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์จึงมีโอกาสได้เข้าเฝา้ ราชวงศใ์ นยโุ รป เชน่ ราชวงศ์
อังกฤษ หรือราชวงศ์ออสเตรียด้วย36 การได้เห็นโลกภายนอกและใช้ชีวิตเป็นเวลายาวนาน ณ ยุโรป
น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัชกาลที่ 5 ไว้วาง พระทัยที่จะตรัสพระราชดำริทางการเมืองกับพระองค์
เจา้ ปฤษฎางค์ ในครงั้ ปี พ.ศ. 2424 พระองคเ์ จ้า ปฤษฎางคต์ ามเสดจ็ หัวเมืองตะวันออกไปกับรัชกาล
ที่ 5 โดยได้มีโอกาสเฝ้าทลู ละอองธุลีพระบาทในเรือพระทน่ี ่ัง ซึง่ รชั กาลท่ี 5 ได้มกี ระแสพระราชดำริ
เรื่องการเมืองกับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์37 ฉะนั้นจึงอาจนับได้ว่า รัชกาลที่ 5 มีความไว้วางพระทัยใน
พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์เปน็ อยา่ งยง่ิ

ความสำเร็จของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์และความไว้วางพระทัยของรัชกาลที่ 5 น่าจะเป็น
เหตุผลให้พระองค์เจ้าปฤษฎางคไ์ ด้รับเชิญเข้าสูส่ นั นิบาตลบั ที่จัดตั้งขึน้ ในวันอังคารที่ 19 กรกฎาคม
พ.ศ. 2424 สันนิบาตลบั นี้จดั ตั้งข้นึ เพื่อรวมพนั ธมิตรทางการเมืองของรชั กาลท่ี 5 จำนวน 8 คน ซ่ึงมี

34 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั และ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, พระราชหตั ถเลขา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั
พระราชทาน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในเวลาเสด็จพระราชดำเนินประพาสยโุ รป ครงั้ ที่ 2 ใน พ.ศ. 2450 (พระนคร: โรงพมิ พ์
พระจันทร์, 2491), 115.
35 โปรดดูงานที่ศกึ ษาชีวติ ของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ไดอ้ ย่างครบถว้ นตลอดพระชนม์ชพี ได้ที่ Loos, Bones around My Neck: The Life and Exile of a
Prince Provocateur.
36 ปฤษฎางค์, ประวัตยิ อ่ นายพนั เอกพเิ ศษ พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ แตป่ ระสตู ิ พ.ศ. 2392 ถึง 2472, 1-29.
37 เร่อื งเดยี วกัน., 25-26.

253

ทง้ั เจา้ นายและ ขา้ ราชการท่ีใกล้ชดิ พระองค์38 สนั นบิ าตน้ไี ดก้ ระทำพิธใี ห้สัตย์สาบานต่อหน้าพระแก้ว
มรกตโดยมีพราหมณ์แช่ง น้ำและพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ สมาชิกทุกคนร่วมสาบานที่จะเป็นน้ำ
หนึ่งใจเดียวกัน จงรักภักดีต่อพระองค์ ตลอดจนพระราชโอรสของพระองค์ ทั้งได้สาบานจะเห็นแก่
ประโยชน์ทางราชการมากกว่าประโยชน์ส่วนตน หากมีผู้อื่นที่ไม่ใช่รัชกาลที่ 5 หรือพระราชโอรสขึ้น
สืบราชสันตติวงศ์แล้ว สันนิบาตลับนี้ก็จะปฏิเสธที่จะรับ ราชการต่อไป เมื่อจบพิธี ทุกคนลงนามใน
หนังสือแล้วทูลเกล้าฯ ถวาย ในหนังสือ นอกจากจะมีข้อความ ปฏิญาณตนแล้ว ยังมี ‘กฎหมาย’
ประจำสนั นิบาตด้วย ใจความสำคัญคือการรกั ษาคำสัตยซ์ ง่ึ กันและกัน รักษา ความลบั ภายในแม้แต่ลูก
เมียก็ไม่สามารถแพร่งพรายได้39 จงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 5 และพระราชโอรส จากนั้น ในวันเดียวกัน
รัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชหัตถเลขาตอบขอบใจ40 สันนิบาตดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อความมั่นใจของ ตัว
รัชกาลที่ 5 ว่าจะมีผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์และทายาทของพระองค์ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีบันทึกว่า
รัชกาลที่ 5 “ยังมีความหว้าเหว่พระราชหฤทัยด้วยราชการในอนาคต”41 ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนัก
เมื่อพิจารณาบริบท ช่วงปีดังกล่าวซึ่งเป็นช่วงที่พระราชอำนาจของพระองค์ยังไม่มั่นคง ช่วงเวลา
ทศวรรษ 2420 เป็นช่วงเวลาที่ รัชกาลที่ 5 ยินยอมที่จะชะลอแผนการปฏิรูปขนานใหญ่ของพระองค์
ไว้ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระราชโอรสองค์ โตของพระองค์ เพิ่งมีพระชนมายุได้เพียง 3 ชันษา42
ขณะที่สมเด็จเจ้าพระยาฯ (ชว่ ง บุนนาค) กย็ ังคงมีอำนาจ อยู่รวมถงึ กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญด้วย
สถานการณ์เชน่ น้นั ยอ่ มทำให้รชั กาลท่ี 5 ตัดสินพระทยั ที่จะไวว้ าง พระทัยอนาคตของพระองค์กับพระ
ราชโอรสไว้กับบุคคลที่พระองค์ทรงปั้นมากับมือ อันได้แก่พระอนุชาและขุน นางข้าราชการที่ได้รับ

38 ทามาร่าและกลุ ลดาระบุว่ามคี วามสับสนในจำนวนคณะบคุ คลนี้ ว่ามีจำนวนเท่าใด บา้ งระบวุ ่า 4 5 หรอื 8 จนถึง 9 อัตชวี ประวตั ขิ องทั้งพระองค์ เจา้ ปฤษฎางค์
กบั เจา้ พระยาสุรศกั ด์ิมนตรี (เจิม แสง-ชโู ต) ใหไ้ วต้ รงกนั วา่ มสี มาชกิ จำนวน 8 คน ซงึ่ ทามารา่ และกลุ ลดาไมไ่ ดอ้ ้างถึงอัตชีวประวัติ เจ้าพระยาสรุ ศักด์มิ นตรีเม่อื
กล่าวถงึ ประเด็นน้ี อย่างไรก็ตาม ในเอกสารสมุดคำปฏญิ าณซึ่งเก็บไว้ทเ่ี จ้าพระยาสุรศักด์ิมนตรีซ่งึ น่าจะเปน็ ต้นฉบับใน พธิ ดี ังกล่าว ไดร้ ะบไุ ว้ 7 ชื่อพรอ้ มลายพระ
หตั ถ์ อนั ได้แก่ กรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการ เป็นประธาน กรมหม่ืนภูธเรศธำรงศกั ด์ิ กรมพระสวัสดิวดั น วิศษิ ฎ์ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เจ้าพระยาสรุ ศกั ดิ์มนตรี
(เจิม แสง-ชูโต) เจา้ หม่ืนศรสี รรกั ษ์ (เล็ก ประเสริฐศักด)ิ์ และนายเสน่ห์ หุ้มแพร (บุศย์ เพ็ญ กุล) เหตุใดในสมุดท่เี กบ็ ไว้กับเจา้ พระยาสรุ ศักด์ิมนตรรี ะบุไว้ 7 แตใ่ น
อัตชวี ประวตั บิ คุ คลระบุไว้ 8 คงจะตอ้ งการคน้ ควา้ เพมิ่ เติมซึง่ ไม่ใช่ประเดน็ หลกั ของบทความน้ี นอกจากน้ี เอกสารสมุดคำปฏญิ าณยงั ระบตุ อ่ ไปวา่ มกี ารคัดเลอื ก
พระบรมวงศานุวงศ์เพ่ือให้สัตย์ปฏญิ าณในทำนองเดียวกนั ในวนั เดียวกนั อนั ได้แก่ 1. กรมพระยานรศิ รานวุ ัตติวงศ์ 2. กรมหลวงสรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 3. กรมหลวง
พิชิตปรชี ากร 4. กรมพระสมมตอมรพันธ์ 5. กรม ขุนพิทยลาภพฤฒธิ าดา และ 6. พระยาฤทธิรงรณเฉท เท่าท่ีผู้วจิ ัยทราบ ตัวสนั นบิ าตลบั ดังกล่าวยงั ไมม่ กี ารศึกษา
เป็นการเฉพาะ กลุ่มน้มี ปี ฏิสัมพันธ์ อยา่ งไร เหตุใดจึงต้องมกี ารให้สตั ยป์ ฏิญาณสองครง้ั มีคำถามมากมายที่รอการศกึ ษาคน้ ควา้ ต่อไป ซ่ึงน่าจะชว่ ยทำความเข้าใจ
การเมืองชว่ งต้นรชั สมยั รชั กาลท่ี 5 มากขึ้น ดบู ทความเกีย่ วกบั สมุดคำปฏญิ าณดงั กล่าวและสำเนาเอกสารปฏญิ าณฉบับเตม็ พรอ้ มลายมือชื่อได้ท่ี เกษม ศิริสมั พันธ์,
"แกนนำของกลุ่มสยามหนุ่มเมือ่ ต้นรชั กาลที่ 5," ใน จัตุศันสนียาจารย์, วนิ ัย พงศ์ศรีเพียร (กรงุ เทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย กระทรวงวัฒนธรรม,
2547).
39 การรักษาคำสัตย์สาบานและรกั ษาความลบั ในหมคู่ ณะดูจะเป็นคณุ สมบัตสิ ำคัญท่ีพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ให้ความสนพระทยั เป็นอยา่ งย่ิง ดู
คำสาบาน เคานซ์ ลิ ลอร์ออฟสเตต คอื ทป่ี รึกษาราชการแผ่นดนิ ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตตยิ า กรรณสูต, เอกสารการเมือง การปกครองไทย (พ.ศ. 2417-
2477), 28-29.
40 ปฤษฎางค์, ประวัติยอ่ นายพนั เอกพเิ ศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ แต่ประสตู ิ พ.ศ. 2392 ถึง 2472 , 28-29. สามารถดูคำสัตย์ สาบานฉบบั เตม็
และพระราชหัตถเลขาตอบบางสว่ นได้ในอตั ชีวประวตั ขิ องเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี เจา้ พระยา สุรศักด์มิ นตรี, ประวตั ิการของจอม พล เจ้าพระยาสุรศกั ดิ์มนตรี
ภาค 1 ตอนปราบฮอ่ ครั้งท่ี 1 (ม.ป.ท.: ม.ป.พ., 2466), 119-22.
41ประวัตกิ ารของจอมพล เจา้ พระยาสรุ ศักดิ์มนตรี ภาค 1 ตอนปราบฮ่อครั้งที่ 1, 120.
42 จ้าฟ้ามหาวชริ ุณหิศประสตู ิในปี พ.ศ. 2421

254

การศกึ ษาตามแผนของพระองค์ นคี่ อื ภารกิจอันย่ิงใหญ่ทร่ี ัชกาลท่ี 5 ฝากฝงั ไว้กบั คณะ สนั นบิ าตนีซ้ ่ึงมี
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นสมาชิก

ต่อมาพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ยงั ได้เขา้ ดำรงตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตประจำกรุงปารีสดว้ ย
ซึ่งถือว่า เป็นชาวสยามคนแรก ความดีความชอบต่าง ๆ ทำให้พระองค์รับพระราชทานสถาปนาเป็น
"พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า" ในขณะที่เป็นเอกอัครราชทูตนั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงมีบทบาท
สำคัญในการเจรจาตกลงใน หนังสือสัญญาเกี่ยวกับสรุ ากับนานาประเทศจนผลการเจรจาเป็นที่น่าพงึ
พอใจของฝ่ายสยาม43 เมื่อมองในทาง ราชการก็นับได้ว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นผลผลิตที่พึง
ประสงค์อย่างยิ่งตามนโยบายการให้การศึกษาแก่ชน ชั้นสูงของรัชกาลที่ 5 พระองค์เจ้าปฤษฎางค์
สามารถร่ำเรียนจนสำเร็จวิชาแบบตะวันตกและได้นำความรู้ กลับมารับราชการในพระองค์ พระองค์
เจา้ ปฤษฎางคท์ รงย้ำอย่เู สมอวา่ รชั กาลที่ 5 เป็นเสมือนบดิ าท่ีให้ “เกิด ใหม”่ จากความไวว้ างพระราช
หฤทัยในตัวพระองค์เจ้าปฤษฎางค์44 อย่างไรก็ตาม ชะตาของพระองค์เจ้า ปฤษฎางค์จะได้พลิกผัน
กลบั ตาลปัตรดังจะได้อภิปรายต่อไปขา้ งหน้า
ส่วนสำคัญในการดึงอำนาจจากมือขุนนางตระกูลบุนนาคมายังรัชกาลที่ 5 คือการสร้างคนของ
พระองคเ์ องเพ่ือส่ังสมขมุ กำลังอำนาจของพระองค์ คนกล่มุ นไ้ี ม่วา่ จะเปน็ พระอนชุ าก็ดี บุตรขุนนางก็ดี
ส่วนใหญ่ ยังหนุ่มและใกล้ชิดกับพระองค์ พระอนุชาอาจจะได้เปรียบอยู่บ้างที่มีโอกาสใกล้ชิดกับ
พระองค์อยู่แล้ว แต่ก็ มิใช่ว่าพืน้ ที่รอบกษัตริย์จะจำกดั เฉพาะพระญาติใกล้ชิด บุตรขุนนางหรือแมแ้ ต่
เชื้อพระวงศ์ชั้นที่ห่างออกไป เช่น หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ ก็สามารถเข้าสู่เครือข่ายทางการเมืองใกล้ชิด
ของรัชกาลที่ 5 ได้เช่นกัน บุคคลวงนอก อาจไต่เต้าได้ผ่านองค์กรหรือกระบวนการที่รัชกาลที่ 5
สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นกรมทหารมหาดเล็กหรือการส่ง เขา้ เรยี นภาษาอังกฤษ การประสบความสำเร็จ
ในสิ่งเหล่านย้ี ่อมเปน็ ท่ีพอพระทัยของพระองค์ท่ีต้องการผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถมาช่วยงานราชการ
ของพระองค์ พระองค์ยังให้ความไว้วางพระทัยคนกลุ่มเหล่านี้ในทาง ส่วนตัวด้วย ในขณะเดียวกัน
คนกลุ่มนีท้ ี่จงรกั ภักดีต่อพระองค์ก็วางใจว่าตนจะได้รับการโปรดปรานและได้ เจริญก้าวหน้าในหนา้ ท่ี
การงานด้วย

ลกั ษณะทพี่ ระมหากษัตริยส์ รา้ งเครือข่ายคนใกลช้ ดิ ในระบบราชการ ทั้งก่อนและเมื่อเสด็จขึ้น
ครองราชย์เป็นลักษณะที่พบได้ในทั้งสามรัชกาล กรณีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รชั กาลท่ี 6 พระองคจ์ ะไม่ต้องประสบปัญหาขนุ นางใหญ่เช่นตระกลู บนุ นาคเช่นพระบิดาของพระองค์

___________________________

43 ปฤษฎางค์, ประวัติย่อนายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ แต่ประสูติ พ.ศ. 2392 ถึง 2472 , 30-42. สำหรับบทบาทของ
พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ในการเจรจาแกไ้ ขสญั ญาสุรานั้น ดเู พ่ิมเติมท่ี พอใจ ถมยา, "บทบาทของพระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ : ศึกษากรณกี ารเจรจาตกลง
ในหนังสอื สัญญาเกยี่ วกับสุรากบั นานาประเทศ พ.ศ. 2424-2429" (จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, 2529).
44 ปฤษฎางค,์ ประวัตยิ อ่ นายพันเอกพเิ ศษ พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ แต่ประสตู ิ พ.ศ. 2392 ถงึ 2472, 43. พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ทรง
มีความคดิ เรือ่ งที่รชั กาลที่ 5 ทรงเปน็ ผใู้ ห้กำเนิดใหม่เสมือนบิดามารดานี้มานานมากแลว้ อยา่ งน้อยกต็ งั้ แตใ่ นจดหมายลาออกจากราชการที่เขียนขึ้น
ในปี พ.ศ. 2433 ดู หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเรือ่ งพระองคเ์ จ้าปฤษฎางคข์ อกราบถวายบงั คมลาไปอยู่เมืองเซี่ยงไฮก้ ่อน

255

ภยั คกุ คามจากชาติ ตะวนั ตกในขณะนั้นก็มิไดค้ ุกคามถึงบรู ณภาพทางดนิ แดน รวมถึงระบอบ
การปกครองระบอบราชการก็ถือว่า สถาปนาขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว (แม้ว่าจะเริ่มเห็นรอยร้าวที่เริ่มปริ
แตกบ้างแล้วก็ตาม เช่นในคดีพญาระกา)45 พระองค์เองก็นับได้ว่าถูกเตรียมการให้เป็นกษัตริย์ก่อนท่ี
พระบิดาจะสวรรคตถึงเกือบยี่สิบปี ทรงได้รับการ สถาปนาเป็นมกุฎราชกุมารในปี พ.ศ. 2437 ทั้งยัง
ทรงมีเวลาได้ฝึกหัดทำราชการกับพระบิดาอีกราว 7 ปี และ ได้เคยสำเร็จราชการแทนเมื่อพระบิดา
เสด็จประพาสยุโรป แต่รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ทรงเป็นสยามมกุฎราชกุมารก็ ไม่สามารถเข้ากันได้ดีนักกับ
บรรดาเสด็จอา เสด็จลุงรวมถึงพระเชษฐาและพระอนุชาของพระองค์ บุคคลกลุ่ม ที่ว่านี้คือผู้ที่กุม
ตำแหนง่ สำคัญทางราชการและการทหารเกือบท้ังหมด46 ใน ประวัตติ ้นรชั กาลที่ 6 ซ่ึงโดยตวั เอกสาร
เองก็นับว่าน่าสนใจ พระราชนิพนธ์คำนำขึ้นต้นด้วยการทีท่ รงเผยว่า “เขียนไวใ้ ห้เจ้าพระยารามราฆพ
(หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ ณ กรุงเทพ)47 แต่รายละเอียดภายในเล่มช่วงปลายรัชกาลพระบิดาและต้น
รัชกาลของ พระองค์ก็เผยให้เห็นความไม่ลงรอยระหว่างพระองค์กับพระญาติจากพระโอษฐ์ของ
พระองค์เอง พระองค์แสดง ความไม่พอพระทัยของพระองค์ต่อบรรดาญาติพี่น้องหลายต่อหลายหน
เช่น เจา้ ฟ้าจักรพงษ์ภวู นาถกรมหลวงพิษณโุ ลกประชานาถ หรือ น้องชายเล็ก รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นว่า
เป็น “ผที่เห็นแก่ตัวและเอาเปรียบฉันปานใด”ทั้งยังเป็นผู้ที่มีโมหะสติ เมื่อมีพระญาติคนสำคัญองค์
หนึ่งตั้งท่าทีจะคัดค้านการตั้งเจ้าฟ้าจักรพงษ์เปน็ รัชทายาท เจ้าฟ้าจักรพงษ์ทรงเขยี นใจจดหมายฉบับ
หนึ่งถึงรัชกาลที่ 6 ความตอนหนึ่งว่า “ถ้าการมียุ่งอยู่ต่อไปเช่นนี้น่า กลัวจะถึงต้องต่อยปาก…...(ข้อ
ความถูกตัดออกในฉบับพิมพ์-ผู้วิจัย) คราว ๑”48 นอกจากนิสัยส่วนตัวแล้ว ความหวาดระแวงชิงดีกัน
ระหว่างพี่น้องก็คงทำความรำคาญแก่พระองค์ไม่น้อย เมื่อวันสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้ตรัสเสนอให้ยกเลิกธรรมเนียมการนำ ทหารมา
ล้อมพระราชวังเมื่อกษัตริย์จะสวรรคต รัชกาลที่ 6 จึงทรงถามว่ากรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ผู้
บัญชาการทหาร จะแย่งชิงราชสมบัติพระองค์หรือ กรมหลวงราชบุรีตอบแต่เพียงว่า “เขาคงไม่โง่
พอที่จะทำเช่นนนั้ ตรง ๆ ดอก” หลังจากนนั้ กรมหลวงนครไชยศรีซ่ึงเหน็ เหตุการณด์ งั กล่าวก็ได้มาถาม
รชั กาลที่ 6 เรื่องที่ ทรงสนทนากบั กรมหลวงราชบรุ ี รัชกาลที่ 6 กท็ รงตอบปดั ไปแต่กรมหลวงนครไชย
ศรกี ็พูดขึน้ มาอย่างยืดยาว แสดงความจงรักภักดขี องตนพรอ้ มกับบริพาษกรมหลวงราชบรุ ี

___________________________

45 ดูสถานภาพระบบราชการเมื่อเริ่มรัชสมัยได้ที่ Chapter 1 The Thai Government System and its Personnel at the Beginning of the
Sixth Reign ใน Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925.
46 เรือ่ งเดยี วกัน., 18-24.
47 ราม วชริ าวธุ , ประวตั ติ น้ รัชกาลท่ี 6, 5.
48 ชื่อของพระญาติพระองคน์ น้ั ถกู เซน็ เซอร์ในฉบบั พิมพ์ แต่เข้าใจวา่ หมายถึงกรมพระสวัสดิวัดนวศิ ิษฎ์ เพราะทรงบนั ทึกต่อไปว่า สมเด็จพระศรีพัช
รนิ ทราบรมราชนิ ีนาถทรงกร้ิว ““หญิงอาภา” ว่าเปน็ ผชู้ กั ใหผ้ วั วนุ่ ตา่ ง ๆ” หญงิ อาภานา่ จะหมายถึงพระองค์เจ้าอาภาภรรณี พระชายาในกรมพระ
สวัสดิวัดนวิศิษฎ์ เรือ่ งเดยี วกัน., 157-58.

256

ท้ายทีส่ ุด รัชกาลที่ 6 ในฐานะกษตั ริย์องค์ใหม่ “ตอ้ งพูดไกลเ่ กล่ียเสียขนานโตจึ่งได้เปนอันระงับความ
ลงได้, หาไม่ ท่านพี่ชายทั้ง ๒ องค์นั้นอาจจะถึงวางมวย กันขึ้นได้”49 กษัตริย์มือใหม่ต้องแสดง ‘ปาง
หา้ มญาต’ิ มิใหพ้ ่นี ้องของพระองค์เปิดสนามมวยประเดิมรัชสมัยถึง สองครา

ส่วนข้างเสดจ็ ลุงเสด็จอาชั้นผู้ใหญ่ ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นคำวิจารณ์ของพระองค์ เมื่อคราวรัชกาล
ที่ 5 ประชวรหนัก เสด็จอาพระองค์หนึ่ง “ช่างมีแก่ใจออกไปเล่นลครได้เมื่อรู้แล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวมี
พระอาการหนกั ถึงปานน้ัน แตร่ าษฎรพลเมืองยังมคี วามคดิ มากกว่า. เพราะไดท้ ราบว่าในคนื วนั ที่ 22
นนั้ แทบจะไม่มคี นไปดูละครของ......เลย (ขอ้ ความทีเ่ ว้นทัง้ สองถูกตัดออกในฉบบั พิมพ์-ผ้วู ิจยั )”50 อีก
ครัง้ หนงึ่ เป็นปญั หาท่ดี จู ะเล็กน้อย แตก่ ลบั ต้องโตเ้ ถยี งกันในหมู่เช้ือพระวงศ์กันยกใหญ่ นั่นคือจะเรียก
ตำแหน่งพระองค์ว่าเป็น “พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว” ได้หรือไม่ ในคืนวันสวรรคต เจ้านายรุ่น
ใหม่ เช่น กรมหลวงนครไชยศรีเห็นว่าควรเรียกเช่นนั้น แต่เจ้านายรุ่นเก่า เช่น กรมพระยาเทวะวงษ์ว
โรปการ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ เห็นว่ายังไม่สามารถเรียกพระองค์ ได้จนกว่าจะผ่านพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษก ลงท้ายจึงประนีประนอมด้วยการเรียกเป็นภาษาไทยว่า “สมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช ผู้
ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน” แต่ภาษาอังกฤษคือ “His Majesty the King” ความ ต่างกันในสอง
ภาษาน้ีย่อมเปน็ ทสี่ ังเกตท้ังในชาวไทยและชาวต่างประเทศท่ีรภู้ าษาไทย จนกระท่ังการประชุม พิเศษ
ในอีกสองวันถัดมา (25 ตุลาคม) เรื่องดังกล่าวจึงคลี่คลายโดยการเรียกพระองค์ว่า “สมเด็จพระ
เจา้ อยหู่ ัว” จากการท่ีกรมพระยาเทววงษ์วโรปการไปค้นตำราเก่ามา การโตเ้ ถียงนี้ รชั กาลที่ 6 ทรงนึก
ในใจว่า “เร่ืองนั้นมันเกิดย่งุ กันข้ึนเพราะท่านพวกผู้ใหญ่ “รู้มากยากนาน” เทา่ นั้นแท้ ๆ การท่ีพลาดก็
เพราะมิได้ ไตร่ตรองสอบสวนกันเสียให้ได้ความถ่องแท้”51 ประสบการณ์อันมากมายและความรู้อัน
เต็มเปี่ยมของพระญาติ ชั้นผู้ใหญ่กลายอุปสรรคขัดขวางทำให้เรื่องใหญ่เกินกว่าที่ควรจะเป็นในทัศนะ
ของรัชกาลที่ 6 จากทไ่ี ด้อา่ น
ประวัติต้นรัชกาลที่ 6 ซึ่งได้ทรงเรียบเรียงเมื่อปลายรัชกาลนั้น ก็คงจะเห็นได้ว่ารัชกาลที่ 6 มิได้มี
ทัศนคติที่ดีนัก ต่อพระญาติวงศ์ ทั้งพระอนุชาที่ผ่านการศึกษาแบบตะวันตกเช่นพระองค์เอง หรือ
เสด็จลุงเสด็จอาที่มี ประสบการณ์รับราชการมาอย่างโชกโชน แต่กระนั้น พระองค์ก็มิได้บาดหมาง
อย่างเปิดเผยกับพระญาติวงศ์ หากเป็นกิจการราชการ พระองค์ก็ยังคงสามารถร่วมงานได้ถึงจะไม่ลง
รอยนกั หรอื ในยามสโมสรสงั สรรคก์ ็รว่ มโต๊ะกนั สนทนาเรือ่ งความรู้ตา่ ง ๆ ได้เปน็ ปกต5ิ 2 เพยี งแต่พระ
ญาติวงศ์จะไม่ใช่กลุ่มคนที่ทรงไว้วางพระทัยมาก เท่ากับเด็กหนุ่มในการดูแลของพระองค์ที่ทรงชุบ
เลยี้ งมาตั้งแต่ยงั ทรงเปน็ พระบรมโอรสาธิราช

___________________________

49 เรือ่ งเดียวกนั ., 36-37.
50 เร่ืองเดียวกนั ., 37. บุคคลดงั กล่าวนา่ จะหมายถึงกรมพระนราธปิ ประพันธพ์ งศ์ เจา้ ของโรงละครปรีดาลัย
51 เร่อื งเดยี วกัน., 58-65.

257

ราชสำนักรัชกาลที่ 6 เป็นที่สนใจของสาธารณชนมาตั้งแต่รัชกาลของพระองค์เอง การห้อม
ล้อมตัวเอง ไปด้วยชายหนุ่มของพระองค์ทำให้เกิดคำถามที่ตามมามากมายทั้งประสิทธิภาพในการ
บริหารราชการแผ่นดนิ การใชจ้ ่ายพระราชทรัพย์ไปกับคนเหล่าน้ัน รวมถงึ เพศสภาพของพระองค์เอง
รชั สมัยของพระองค์ถูกถากถาง จากทงั้ คนในและคนนอกราชสำนกั เบเนดกิ ต์ แอนเดอร์สนั เสนอไว้ว่า
การจะเข้าใจรัชสมัยของพระองค์ได้ ต้อง เข้าใจเพศสภาพของพระองค์ที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน53
บทความน้ีไม่สามารถพิสูจน์รสนิยมทางเพศของ พระองค์ได้วา่ พระองค์ทรงรักเพศเดียวกันหรือไม่ แต่
ก็ไม่อาจปฏิเสธสายสัมพันธ์และความไว้วางพระทัยอย่าง ลึกซึ้งของพระองค์ต่อชายหนุ่มที่รายล้อม
พระองคไ์ ด้

รัชกาลที่ 6 ให้ความไว้วางใจกับนายในชายหนุม่ ผู้รับใชพ้ ระองคฝ์ ่ายในมากกว่าพระญาติวงศ์
ของ พระองค์อย่างเด่นชัด ประวัติต้นรัชกาลที่ 6 เองก็เขียนขึ้นให้เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวง
เฟื้อ พึ่งบุญ) “ผู้ ที่ได้เคยเป็นผู้รับใช้สอยและเปนมิตรที่ไว้วางใจของฉันมาตั้งญี่สิบกว่าปีแล้ว”54 การ
เปิดเผยความคิดความทรง จำของพระองค์ซึ่งจากตัวอย่างที่ได้คัดมาที่ไม่สวยงามมากนักก็ย่อมบอก
ความไว้วางใจของพระองค์ท่ีมตี อ่ เจา้ พระยารามราฆพ เจา้ พระยารามราฆพนบั ได้วา่ เป็นผู้ท่ีทรงไว้วาง
พระราชหฤทัยแทบจะมากที่สุดในบรรดา ชายหนุ่มของพระองค์ พระยารามราฆพได้ถวายการรับใช้
ปรนนิบัติพระองค์อย่างดียิ่ง เสียสละเวลาส่วนตัวของ ตนในการถวายงาน ในพระราชหัตถเลขาของ
รัชกาลที่ 6 พระราชทานแก่เจ้าพระยารามราฆพได้กล่าวชื่นชม อย่างยิ่ง เจ้าพระยารามราฆพ “เปน
อุปถากอันถูกใจ หาผู้ใดจะเสมอเหมือนได้โดยยาก ยังไม่เคยได้กระทำการ อันใดซึ่งจะทำให้ข้า
เดือดร้อนลำบากใจเพราะเจ้าเลย...เจ้าได้ตั้งอยู่ในโอวาทของข้าประหนึ่งว่าข้าเปนบิดา แท้จริง” 55
เจา้ พระยารามราฆพยังมหี น้าที่มากกว่าแคฝ่ า่ ยในของพระเจ้าอยหู่ วั โดยไดร้ บั ตำแหนง่ ในทาง ราชการ
ด้วย เจ้าพระยารามราฆพได้รับยศทหารพลเอกในกองทัพบกและพลเรือเอกในกองทัพเรือ รวมถึงยัง
ได้รับตำแหน่งเป็นองคมนตรี ที่ปรึกษาในพระองค์56 อิทธิพลและอำนาจของเจ้าพระยารามราฆพนั้น
มากเสีย จนถูกนำไปเปรียบว่าเป็น ‘รัสปูติน’57 นักบวชจอมฉาวโฉ่ในราชสำนักซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่ง
ราชวงศ์โรมานอฟ ผู้ ถูกกล่าวหาว่าคอยบงการพระเจ้าซาร์อยู่เบื้องหลังและนำไปสู่การล่มสลายของ
ราชวงศใ์ นท่ีสดุ

___________________________

52 Greene, Absolute Dreams : Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 24; พูนพศิ มยั ดศิ กลุ , พระราชวงศจ์ ักรี สมเด็จพระ เจา้ อยูห่ วั รัชกาลที่ 6
(ส่งิ ทข่ี ้าพเจ้าพบเหน็ สมัยรชั กาลท่ี 6) (กรงุ เทพฯ: มติชน, 2561), 150-52.
53 เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน, "ศึกษารัฐไทย วพิ ากษไ์ ทยศกึ ษา," 23, n.24; Reynolds, "Homosociality in Modern Thai Political Culture."
54 ราม วชิราวุธ, ประวตั ติ น้ รชั กาลที่ 6, 5.
55 ทรี่ ะลกึ ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก พลเรือเอก เจา้ พระยารามราฆพ (ม.ล. เฟ้ือ พงึ่ บุญ) 26 ธันวาคม พทุ ธศักราช 2510, (พระนคร: โรง พิมพ์ธนาคาร
กรุงเทพ, 2510).
56 เรือ่ งเดียวกัน.
57 Greene, Absolute Dreams : Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 10.

258

การขึ้นสู่อำนาจของเจ้าพระยารามราฆพก็นับว่าน่าสนใจยิ่ง สกุลพึ่งบุญเป็นเชื้อสายของ
หม่อมไกรสร หรืออดีตกรมหลวงรักษ์รณเรศ กรมหลวงรักษ์รณเรศถูกตัดสินประหารชีวิต
ถอดบรรดาศักดิ์จากการที่สมคบ คิดแย่งชิงราชบัลลังก์จากภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ หม่อมไกรสรยังมี
พฤติกรรมทางเพศแบบรักเพศเดียวกันด้วย58 ราช สกุลพึ่งบุญจึงนับได้ว่ามีประวัติไม่สง่างามอย่างย่งิ
แต่ความเจริญก้าวหน้าของเจ้าพระยารามราฆพก็ตอกย้ำว่า บุคคลสามารถเลื่อนชั้นทางสังคมได้หาก
พระองค์ได้ไว้วางพระราชหฤทัยแล้ว ในทางหนึ่งอาจจะมองว่า หม่อมหลวงเฟื้อได้ “เกิดใหม่”
แบบเดียวกบั ทพ่ี ระองค์เจ้าปฤษฎางค์สัมผัสก็ได้ ทัง้ นน้ี ายในสว่ นใหญ่มไิ ดท้ ำ ราชการบริหารบ้านเมือง
นอกเหนือจากในกระทรวงวงั หรือกรมทหารมหาดเลก็ 59 แตน่ ายในก็นบั วา่ ยงั มี บทบาททางออ้ มในการ
บริหารราชการ กล่าวคือ รัชกาลที่ 6 ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในราชสำนักฝ่ายในกับ มหาดเล็กของ
พระองค์ ทั้งหากมีราชการใดจะทูลเกล้าฯ พระองค์ ก็ต้องผ่านเจ้าพระยารามราฆพก่อน 60
ดังนั้น ในทางหนึ่ง นายในจึงถือเป็นผู้มีบทบาทต่อการรับรู้ความเป็นไปภายนอกของรัชกาลที่ 6 และ
พระองคก์ ็มักจะ ตัดสนิ พระทยั ไปตามนายในของพระองค์61

แต่นอกจากเดก็ หนุ่มที่อยใู่ นราชสำนักฝ่ายในแล้ว รชั กาลที่ 6 ก็ยงั ทรงมผี ูท้ ีท่ รงไว้วางพระราช
หฤทัยที่ อยู่ฝ่ายนอกด้วย นั่นคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) กรณีของเจ้าพระยายมราชนับว่า
นา่ สนใจอยา่ งยงิ่ ตรงที่ ทรงเปน็ คนสนทิ ของรชั กาลท่ี 6 เปน็ ชายวยั กลางคนอายุเกือบ 50 ปี ท่ามกลาง
คนสนิทคนอื่น ๆ ที่เป็นเด็กหนุ่ม แต่กระนั้นก็นับได้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าทรงไว้วาง
พระทัยอย่างยิ่ง รัชกาลที่ 6 ยกให้เจ้าพระยายม ราช “1. ทรงชุบเลี้ยงฉันสหายและฉันเข้าใจในราช
สกลุ 2. ทรงยกย่องฉันปราชญแ์ ละอาจารย์ 3. ทรงใชส้ อย และยกยอ่ งฉนั เสนาบดแี ละมขุ มนตร”ี 62 ทง้ั
สองคนมคี วามใกลช้ ิดกนั ยาวนานตั้งแต่สมยั รัชกาลท่ี 6 ยังเปน็ สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชศึกษาอยู่ที่
ประเทศอังกฤษ เจ้าพระยายมราชได้เป็นผู้ถวายพระอักษรทั้งยัง พยาบาลพระองค์ในยามที่ประชวร
ดว้ ย63 จงึ ถือได้วา่ เจา้ พระยายมราชเป็นทัง้ ครูและพระสหายทรี่ ชั กาลท่ี 6 ให้ การนับถอื อย่างย่งิ

___________________________

58 ชานันท์ ยอดหงษ์, นายใน สมัยรชั กาลที่ 6, พิมพ์ครง้ั ที่ 1. (กรงุ เทพฯ: มติชน, 2556), 60.
59 Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 75; ชานนั ท์ ยอดหงษ์, นายใน สมัยรชั กาลที่ 6, 28.
60 Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 78.

61 F.O. 371/1473, 6 March 1912. อ้างถึงใน Scot Barme, Luang Wichit Wathakan and the Creation of a Thai Identity (Singapore:
Institute of Southeast Asian Studies, 1993), 23.

62 ประวัติมหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม), พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช ณ
โรงพยาบาล เจา้ พระยายมราช จงั หวดั สุพรรณบุรี วนั ท่ี 20 มกราคม 2500 (ม.ป.พ.: โรงพิมพไ์ ทยเขษม, 2499), 62.
63 เรอ่ื งเดยี วกนั ., 61-62.

259

ราชสำนักของรัชกาลที่ 6 ได้กลายเป็นภาพที่ไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่งสำหรับรัชกาลที่ 7
พระองค์จึง ทรงยกเลิกกิจกรรมนายในทั้งหมด พระองค์ยังมองว่าเกียรติยศของสถาบันกษัตริย์ตกต่ำ
ลงอย่างถึงที่สุดชนิดที่ ไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงเป็น
“ม้าดำ” ที่ไม่มีใครคาดมาก่อนว่าจะได้ราชสมบัติ พระองค์จึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการตั้ง
อภิรัฐมนตรีสภาขึ้นเพื่อให้คำปรึกษาราชการแก่พระองค์ โดยดึงเอาเสนาบดีคนสำคัญที่มีบทบาท
มาตงั้ แตส่ มัยพระบดิ าของพระองค์ ซง่ึ ผลตอบรบั ในระยะแรกกเ็ ปน็ ไปในทางที่ดี
สามารถเรียกความเชื่อถือกลับมายังสถาบันกษัตริย์ได้64 พระราชวงศ์ที่จะกลายมาเป็นอภิรัฐมนตรี
ได้รับความไว้วางใจจากรัชกาลที่ 7 ตั้งแต่ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 เม่ือ
พระอนุชา ทยอยส้ินพระชนม์จนเหลือเพยี งเจ้าฟ้าประชาธปิ กเปน็ องคร์ ชั ทายาท พระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าก็เริ่มให้ เจ้าฟ้าประชาธิปกเข้ามาฝึกหัดราชการแผ่นดิน ในการฝึกนั้นเอง เจ้าฟ้าประชาธิ
ปกจึงได้รับความช่วยเหลือจาก พระญาติที่มีประสบการณ์ทำราชการอย่างโชกโชน ทั้งกรมพระ
นครสวรรค์วรพินิต กรมพระยาดำรงราชานุ ภาพ เป็นต้น เจ้าฟ้าประชาธิปกมักจะเสด็จมาวังวรดิศ
ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพอยู่บ่อยคร้ัง จนได้รับ การชักชวนให้เล่นกอล์ฟจนทรงติด ทำให้
ความสัมพันธ์ระหวา่ งกรมพระยาดำรงราชานุภาพกับเจ้าฟ้า ประชาธปิ กเปน็ ไปดว้ ยดี65

ส่วนกรมพระนครสวรรค์วรพินิต กรมพระนครสวรรค์วรพินิตเป็นผู้ที่ได้รับความนับถืออย่าง
กว้างขวาง มีอำนาจในทางการเมืองอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการทหารเรือด้วย อำนาจบารมีของ
พระองค์ทำให้มีผู้ที่หวัง จะให้พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แทน รวมถึงยังมีข่าวลือว่าทรงวางแผนคิด
กบฏตลอดรัชกาลที่ 666 แต่กระนั้น กรมพระนครสวรรค์วรพินิตก็มิได้แสดงออกว่าทรงปรารถนาใน
ราชสมบัติเลย มีเรื่องเล่าที่ตอกย้ำการแสดง ความภักดีของกรมพระนครสวรรค์เมื่อคราวรัชกาลที่ 6
เสด็จสวรรคตถงึ 2 แบบ แบบหนึ่ง ภายหลังรัชกาลท่ี 6 สวรรคต ทป่ี ระชมุ เจา้ นายและขุนนางระดับสูง
ตกลงทลู เชิญเจา้ ฟ้าประชาธิปกเสด็จขึน้ ครองราชยแ์ ล้ว กรม พระนครสวรรค์ได้คุกเข่าลง ถวายบังคม
3 ครั้ง ตรัสยอมเป็นข้าพร้อมที่จะฉลองพระเดชพระคุณในทางราชการทุกอย่าง เพียงแต่ขอให้
พระปกเกล้าฯ ทรงเลกิ คิดวา่ ทรงเป็นขบถเสียที “เพราะได้รับหนา้ ท่นี ้ีมา 15 ปีแลว้ เบอื่ เตม็ ท”ี 67

_________________________
64 บัทสนั , อวสานสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ในสยาม, 382.
65 พนู พิศมยั ดศิ กุล, สิง่ ทข่ี า้ พเจ้าพบเหน็ : รวมเลม่ , พมิ พค์ ร้งั ที่ 5. (กรุงเทพฯ: มติชน, 2557), 31.
66 บัทสนั , อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม, 38-39; Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 103.
67 หม่อมเจ้า ประสงค์สม บรพิ ัตร, บนั ทกึ ความทรงจำบางเรื่อง ของ หมอ่ มเจ้าหญิงประสงค์สม บริพตั ร ในสมเด็จเจ้าฟา้ กรมพระนครสวรรคว์ รพินิต, พิมพ์ในงาน
เมรุ ณ สุสานหลวง วัดเทพศริ นิ ทราวาส วนั ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 (พระนคร: โรงพมิ พ์พระจนั ทร์, 2499), 35

260

อีกฉบับหนึ่งออกไปในทางจริงจังมากกว่า ก่อนรัชกาลที่6 สวรรคต กรมพระนครสวรรค์เชิญเจ้าฟ้า
ประชาธปิ กไปท่ีมุมหนงึ่ ของพระทนี่ ัง่ อมรินทรวนิ ิจฉัยแล้วถามวา่ “จะให้…(ข้อความที่เว้นถกู ตดั ออกใน
ฉบับ พิมพ์-ผู้วิจัย) มีอำนาจเพียงไร” เจ้าฟ้าประชาธิปกก็ตอบว่า “ไม่ได้คิดว่าจะให้อำนาจ หรือให้
เกยี่ วขอ้ งกับ การเมอื งอย่างไรเลย” กรมพระนครสวรรค์กถ็ ามย้ำอีกครั้ง เจา้ ฟ้าประชาธิปกก็ยืนยันว่า
แน่ กรมพระ นครสวรรค์จึงตรัส “ถ้าเช่นนั้นก็ยอมเป็นข้า” พร้อมกับทรุดพระองค์ลงหมอบกราบ68
เรื่องเล่าทั้งสองอาจจะตอ้ งรอการพิสจู น์ด้วยหลักฐานอ่ืนเพิ่มเติม แต่ก็แสดงให้เห็นความพยายามของ
กรมพระนครสวรรค์ฯ ที่แสดง ตนให้เป็นที่ที่กษัตริย์พระองค์ใหม่สามารถวางพระทัยได้
พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ ฯ เอง ภายหลงั ทีไ่ ด้มพี ระ ราชบนั ทกึ เรื่อง Problem of Siam ถงึ พระยา
กัลยาณไมตรี (ดร. ฟรานซิส บี แซร์; Dr. Francis B. Sayres) ก็ ระบุว่าเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ ทรง
ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากกรมพระนครสวรรค์69 มิพักยังต้องพิจารณาว่า กรมพระนครสวรรค์ยัง
ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการพระนครแทนเมื่อเกิดการปฏิวัติขึ้นด้วย ดังนั้นกรม พระ
นครสวรรค์พนิ ติ จึงนา่ จะเปน็ พระเชษฐาทีท่ รงไว้วางพระทัยอย่างแน่นอน

จะเห็นไดว้ า่ การเปลยี่ นผ่านรัชสมัยในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยเ์ ป็นกระบวนการที่แฝงไป
ด้วย ความไมแ่ น่นอนทางการเมือง กษัตริยท์ ้งั สามพระองค์เมื่อเสดจ็ ข้นึ ครองราชย์ต่างก็พยายามสร้าง
สรา้ งเครอื ข่าย ทางการเมืองของตนท่ีไวใ้ จได้เพื่อความมัน่ คงในอำนาจและความสะดวกในการบริหาร
ราชการของตน บริบท ทางการเมืองราชสำนักขณะนั้นประกอบกับพระราชนยิ มส่วนพระองค์เป็นสิ่งที่
จะกำหนดเครือข่ายของ พระองค์ ว่าจะมีลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างไร ขณะเดียวกัน บุคคลที่ราย
ล้อมศูนย์กลางก็ต้องพยายามปรับ เข้าหากษัตริย์องค์ใหม่เพื่อให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยด้วย เหตุใด
กษัตริย์จึงต้องการคนไว้วางพระราชหฤทัย มากถึงเพียงนั้น ทั้งสามพระองค์ดูจะเห็นตรงกันว่าใน
ระบอบนี้ พระมหากษตั ริย์เปน็ ผ้รู ับภาระรบั ผิดชอบทัง้ หมด

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว: “แตต่ อ้ งขอช้แี จงใหเ้ ขา้ ใจอกี วา่ การทเี่ ราทำอย่ใู น
ตำแหนง่ เอกเสกคิวตีฟคอเวอนเมนต์น้ี ถ้าจะเปรียบกบั คอเวอนเมนตอ์ ังกฤษ ก็เหมือนหนึง่
เป็นปรีเมียเองในตัว…ปรเี มยี อังกฤษต้องรกู้ ารคดิ การท่ีสำคญั ทุกสิ่งทกุ อยา่ ง เวน้ ไวแ้ ตก่ าร
เล็กน้อย...แตส่ ่วนเราตอ้ งร้กู ารตัง้ แต่ใหญ่ลงไปจนเลก็ ทุกสิ่งทกุ อย่าง ต้องทำเองสั่งเอง ทุกส่ิง
ตลอดจนถอ้ ยความเลก็ น้อย”70

___________________________

68 พนู พิศมัย ดิศกุล, สง่ิ ที่ขา้ พเจา้ พบเห็น: รวมเล่ม, 36-37. บุคคลที่ถูกเซ็นเซอรช์ อ่ื ออกน่าจะหมายถึงกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ เพราะกรมพระ สวัสดิฯ เป็นพระ
ญาตวิ งศ์ชน้ั ผูใ้ หญ่ทัง้ ยังเป็นพ่อตาของพระองค์ แตก่ ลับไมไ่ ด้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสำคญั ทางการเมอื งอนั ใดเลยตลอด รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้า
เจา้ อย่หู วั
69 บทั สนั , อวสานสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ในสยาม, 382.
70 ชยั อนันต์ สมทุ วณชิ และ ขตั ตยิ า กรรณสตู , เอกสารการเมืองการปกครองไทย (พ.ศ. 2417-2477), 78.

261

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว: “...นอกจากนค้ี วามรสู้ กึ วา่ ต้องรบั ภาระในการ
ปกครองอยู่คนเดยี วเปนภาระทห่ี นกั กวา่ พระเจา้ แผน่ ดนิ ท่มี ีปารล์ ยี ์เมนตเ์ ปนที่ปรกึ ษานั้นเปน
อันมาก เพราะถ้าทำอะไรพลาดพล้งั ไป ใคร ๆ ก็ตอ้ งซัดฉนั คนเดียวท้งั นัน้ และฉันจะซัดใคร
ตอ่ ไปอกี กไ็ ม่ได้เลย”71

พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว: “…การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ดขี นึ้ อยู่
กับคุณสมบัตขิ องพระเจา้ แผน่ ดิน เป็นความจรงิ ทโี่ ชครา้ ยวา่ ไมว่ า่ ทุก ราชวงศ์จะหลกั แหลมสกั
เทา่ ใดก็ยอ่ มเส่ือมไปในไม่ชา้ และภัยจากการมพี ระเจ้าแผน่ ดนิ ทไี่ มด่ ีเกอื บจะเปน็ ส่งิ ท่ีแน่นนอน
ในวนั ใดวนั หน่งึ ”72

พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตระหนักถึงความเปราะบางของระบอบที่ทุกอย่างโคจรอยู่รอบตัว
พระองค์ ดงั นัน้ จึงไม่น่าแปลกใจท่ีเมื่อในทางปฏิบตั ิพระองค์เองจะไม่มีทางรู้เห็นทุกอย่างและวินิจฉัย
ดว้ ยตนเองอยู่แล้ว ความ จำเปน็ ของการมีผู้ที่ไวว้ างพระราชหฤทัยได้ก็ย่อมทวีขนึ้ อย่างหลีกเล่ียงไม่ได้
การได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย ทำให้บุคคลเจริญเติบโตในทางราชการอย่างยิ่ง เพราะเป็นผู้ช่วย
แบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ออกมา ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับความสัมพันธ์ในทางราชการจึง
แยกไม่ออกจากกันในระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ แต่ การรักษาสถานะผทู้ ี่ทรงไวว้ างพระราชหฤทัย
นอี้ าจจะไมไ่ ด้ตรงไปตรงมาเสมอไป

จคิดช่วยป้องกัน แลอุดหนุนซึ่งกันและกัน: การเมืองและภัยต่อการรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจใน
ระบอบแหง่ ความเชื่อใจ

การขึ้นไปสู่ความเป็นผู้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันยาวนาน
ระหว่างเจ้า กับข้าในระบอบราชการ การตั้งใจทำงานทำราชการอย่างดี แม้จะผิดพลาดบ้าง อาจจะ
เพียงพอที่จะรักษา ความเชื่อใจของเจ้านาย แต่ถ้าความผิดพลาดนั้นพาดพิงถึงองค์พระมหากษัตริย์
เมอื่ ไหร่ ความผดิ ทางราชการ เลก็ น้อยกอ็ าจกลายเป็นความผดิ อุกฉกรรจ์ได้ทนั ที

___________________________

71 ราม วชิราวุธ, ประวตั ิต้นรัชกาลท่ี 6, 55.
72 ภาคผนวก ค ประชาธิปไตยในสยาม ใน บัทสัน, อวสานสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ในสยาม, 402-07.

262

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นผู้ที่รู้ซึ้งถึงความผิดข้อนี้ดี ความเฉลียวฉลาดของพระองค์เจ้า
ปฤษฎางคไ์ ด้ ดึงดูดความไว้วางพระทัยและทำให้พระองค์ได้ก้าวเข้าสู่วงโคจรใกล้ชิดของรัชกาลที่ 5
ได้รับความไว้วางใจให้ เป็นองค์รักษ์พิทักษ์พระองค์และพระราชโอรส อย่างไรก็ตามชะตาชีวิตของ
พระองค์จะพลิกผันชนดิ ที่ทำให้ พระองค์ไม่ได้เหยียบแผ่นดินสยามอีกเลยตลอดครึ่งหลังของรัชกาลที่
5 และเมื่อกลับมา พระองค์ก็กลายเป็น เจ้านายตกอับ ต้องคอยอาศัยผู้อื่นหาเลี้ยงชีพตนเอง จน
สิ้นพระชนม์ 2 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง อะไร คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ต้อง
พลิกผันจนต้องเร่ร่อนตกอับ คำถามดังกล่าวยังไม่มีนัก ประวัติศาสตร์คนใดที่ตอบได้ชัดเจน73 ไม่มี
หลักฐานใดที่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา อัตชีวประวัติของพระองค์เจ้า ปฤษฎางค์ก็ตัดเนื้อหาส่วนที่
พระองค์ตัดสินใจลี้ภัยออกไป เรียกแต่เพียงว่าเป็น “อุบัติเหตุ” จดหมายต่าง ๆ ทั้ง โดยพระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ รัชกาลที่ 5 ก็ไม่ให้รายละเอียดไว้ แต่น้ำหนักความผิดนั้นคงร้ายแรงมากทีเดียว แม้ เม่ือ
สนิ้ พระชนม์ไปแล้ว ความผิดกย็ งั คงติดตวั พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ถึงข้ันที่มีผทู้ เี่ สนอให้ไม่ได้ฌาปนกิจใน
เมรุ หลวงเลย แต่เคราะห์ดีที่ในท้ายที่สุดก็ยังทรงได้ฌาปนกิจในพระเมรุหลวง เพราะถือว่าได้รับ
พระราชทานอภัย โทษจากรัชกาลท่ี 6 แล้ว74 แมว้ ่าอาจจะช้ชี ัดอบุ ัตเิ หตุของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ลง
ไปไม่ได้ แต่ก็พอมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นการ สั่งสมกันของความผิดที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์กระทำ
ความผิดแรกเริ่มเลยคือการหักหลังความเชื่อใจของ รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2428 อังกฤษสามารถ
ผนวกดนิ แดนพม่าเข้ามาอยู่ใตก้ ารปกครองได้ทัง้ หมดภายหลัง สงครามองั กฤษ-พมา่ ครั้งที่ 3 พระองค์
เจ้าปฤษฎางค์ขณะท่ีอยู่ท่ีกรุงปารสี เป็นผู้หน่ึงทคี่ อยแปลและรวบรวม ข่าวสารถวายรชั กาลท่ี 5 ทำให้
รัชกาลที่ 5 มีพระราชหตั ถเลขาสว่ นตวั (ไปรเวท) ถามความคดิ เห็นของพระองค์ เจา้ ปฤษฎางค์ ในขั้น
แรก พระองค์เจ้าปฤษฎางค์อ้างว่าตนไม่มีประสบการณ์และความรู้ แต่รัชกาลที่ 5 ก็ทรง ย้ำว่าอย่า
กลัวที่จะแสดงความเห็น ปรากฏว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์กลับนำพระราชหัตถเลขาไปให้บรรดา
เจ้านายและข้าราชการในสถานทตู ทั้งกรุงลอนดอนและปารีส

__________________________

73 บุญพิสิฐ ศรีหงศ์น่าจะเปน็ ผูท้ ี่ได้สืบสวนเรื่องราวและประวัติศาสตร์นพิ นธ์ของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้อย่างละเอียดลออที่สุด โปรดดู บุญพิสฐิ
ศรหี งส,์ "สัมพนั ธภาพระหว่างพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั และพระองค์เจ้าปฤษฎางค์จากหลักฐานช้นั ตน้ ส่คู ำถามต่อนักวิชาการและ
นกั เขียนประวตั ิศาสตร์-รัฐศาสตร์," รฐั ศาสตร์สาร ปีท่ี 32 ฉบบั ท่ี 3 no. (ก.ย.-ธ.ค. 2554) (2554).
74 สาส์นสมเด็จ เล่ม 10 พ.ศ. 2479 (ตุลาคม-มีนาคม), (ม.ป.พ.: มูลนิธิสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์, มูลนิธิสมเด็จฯ กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพ และองคก์ ารค้าของสกสค., 2550), 309, 12.

263

รวบรวมความคิดเห็นแล้วร่างความเห็นของพวก ตนเสนอ เอกสารดังกล่าวเป็นที่รู้จักในนาม
คำกราบบังคมทูลความเหน็ จดั การเปลี่ยนแปลงระเบียบราชการ แผน่ ดนิ ร.ศ. 103 จากนน้ั รัชกาลที่ 5
กไ็ ดม้ พี ระราชดำรัสตอบ75 เรื่องดังกลา่ วนีท้ ำให้พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ รูส้ ึกผิดในภายหลังเป็นอย่างย่ิง
แต่พระองค์เพ่ิงจะรสู้ กึ โทษก็เมอ่ื สายไปแลว้ 76 แนน่ อนวา่ การนำข้อความที่

พระองค์ประสงค์จะสนทนากับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นการส่วนตัวน่าจะนำมาซึ่งความไม่
พอใจของพระองค์ เปน็ แน่ แต่ความไมพ่ อใจน้ีน่าจะย่งิ ทวมี ากข้นึ กวา่ การหักหลังทว่ั ไปเม่ือพิจารณาว่า
ก่อนหน้านี้ พระองค์เจ้า ปฤษฎางค์ได้ให้สัตย์สาบานในสันนิบาตลับ ข้อที่ 2 ในกฎของสันนิบาต
ดงั กลา่ ว ระบวุ า่

“หา้ มมิให้ผู้ทรี่ ่วมความสัตยต์ ่อกนั นี้ พูดการส่งิ หน่ึงสงิ่ ใดทเี่ ปน็ การในพระองคข์ อง
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ซง่ึ ทรงตงั้ พระราชหฤไทย จะไมอ่ ยากให้ความน้ัน ๆ
แพร่พรายไปย ข้าพเจ้าทงั้ หลายจะไมเ่ อาความนนั้ ๆ ไปพูดกบั ผหู้ นงึ่ ผู้ใด ฤๅบตุ รพรรญาของตวั เอง
เป็นอนั ขาด เว้นไวแ้ ตเ่ พอ่ื นซงึ่ เปนผูร้ ว่ มความสตั ย์ตอ่ กนั เทา่ นน้ั ”77

แม้ว่าจะหาข้อมูลหลักฐานยืนยันไม่ได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีปฏิกิริยา
อย่างไรต่อคำ กราบบังคมทูลดังกล่าว แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว พระองค์ไม่น่าพอพระทัยนักเห็น
ได้จากการที่ทรงเรียก บรรดาบุคคลที่ได้ลงนามถวายกลับสยามด้วยเหตุผลเร่ือง “การส่วนตัวทั้งน้นั ”
ในขั้นแรกพระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ พยายามประวิงเวลาไว้โดยอ้างราชการเจรจาสัญญาสุราท่ีจะลงนาม
แล้วเสร็จ จนเมื่อแล้วเสร็จจึงเสด็จกลับ78 ในบรรดาผู้ลงชื่อในเอกสารคำกราบบังคมทูลนั้น หลาย
พระองค์คือเจ้านายผู้ที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณในสันนิบาตลับ ต่อหน้าพระแก้วมรกตเมื่อ 4 ปีก่อน แต่ก็มี
ข้าราชการชั้นกลางจนถึงชั้นผู้น้อยหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในสันนิบาต และได้เห็นพระราชหัตถเลขา
ดังกลา่ ว ดงั นัน้ ถงึ แม้หนา้ ที่สนั นิบาตลบั อาจจะไมจ่ ำเปน็ อกี ต่อไปดว้ ยการทวิ งคตของกรมพระราชวัง
บวรวไิ ชยชาญในปีเดียวกนั แลว้

___________________________
75 ปฤษฎางค์, ประวตั ยิ ่อนายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ แต่ประสูติ พ.ศ. 2392 ถึง 2472, 47-49. อา่ นเอกสาร
ฉบับเต็ม และพระราชดำรัสตอบได้ที่ ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูต, เอกสารการเมืองการปกครองไทย (พ.ศ. 2417-
2477), 47-81.
76 ปฤษฎางค์, ประวัตยิ ่อนายพันเอกพเิ ศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ แต่ประสูติ พ.ศ. 2392 ถงึ 2472, 60.
77 เกษม ศิริสัมพนั ธ์, "แกนนำของกลุ่มสยามหนุ่มเมื่อตน้ รชั กาลที่ 5," 91.
78 ปฤษฎางค์, ประวัติย่อนายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ แต่ประสูติ พ.ศ. 2392 ถึง 2472, 50-53. มี
นักวิชาการบางสว่ นที่ เห็นต่างไปว่า รัชกาลท่ี 5 ทรงต้องการให้เจา้ นายที่มหี วั กา้ วหนา้ เสนอการปฏิรปู กลับมาช่วยพระองค์ จงึ ทรงเรยี ก
กลับ ดเู พิม่ เตมิ Loos, Bones around My Neck : The Life and Exile of a Prince Provocateur, 48-49.

264

แต่ความคดิ เร่ืองการรักษาความลับในสมาชิกสันนบิ าตน้ีก็ นา่ จะยังคงอยู่ ซึ่งพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้
ละเมดิ กฎข้อดงั กล่าวไป

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เดินทางกลับสยามในปี พ.ศ. 2429 นักประวัติศาสตร์หลายคนมองว่า
การเป็น หวั เรย่ี วหวั แรงในการร่างคำกราบบังคมทูลเมอื่ ปกี ลายเป็นปัจจยั หลักทผ่ี ลักดันให้พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ต้องลี้ ภัย แต่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ยังคงอยู่ในสยามไปอีก 5 ปีหลังเดินทางกลับ
นอกจากน้ี เจา้ นายองค์อน่ื ๆ เชน่ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ กรมพระสวสั ดิวัดวิศษิ ฏ์ ก็ยงั คงไดร้ บั ตำแหน่ง
ราชการสูงต่อไป ดังนั้นคำอธิบายที่ให้คำ กราบบังคมทูลเป็นจุดแตกหักจึงไม่น่าจะเป็นไปได้79
พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ได้รับหนา้ ที่เปน็ จางวาง กรมไปรษณยี ์โทรเลข ไดเ้ ป็นกรรมการโรงพยาบาล ศิริ
ราชที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นและได้รับบทบาทในการริเริ่มจัดตั้ง กรมโยธาธิการ จึงนับได้ว่ายังมีหน้าที่ในทาง
ราชการอยู่ แตด่ เู หมือนในเชงิ ความสัมพันธส์ ่วนตวั แล้ว รชั กาลท่ี 5 “ไมท่ รงไว้วางพระราชหฤๅไทยเสีย
แลว้ ”80

ในปี พ.ศ. 2430 เกิด ‘อุบัติเหตุ’81 ขึ้น อุบัติเหตุนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตตกต่ำของ
พระองค์เจ้า ปฤษฎางค์ เดิมทีรัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานบ้านให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ แต่เมื่อเกิด
‘อบุ ตั ิเหต’ุ ขึ้น บา้ น ดงั กล่าวกถ็ กู รบิ ไป พระองค์เจา้ ปฤษฎางคจ์ งึ ตอ้ งอยใู่ นแพอยา่ งอัตคัด82 อุบัติเหตุ
ของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์มี สองเหตุการณ์หลักตามจดหมายที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เขียนขึ้นเพ่ือ
ทูลเกล้าฯ ถวายกรมพระยาภานุพัณธ์วงศ์ วรเดชและกรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการในขณะที่กำลังจะ
ลี้ภัยในปี พ.ศ. 2433

___________________________

79 Bones around My Neck: The Life and Exile of a Prince Provocateur, 50-51.

80 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเร่ืองพระองคเ์ จา้ ปฤษฎางคข์ อกราบถวายบงั คมลาไปอยู่เมอื งเซ่ียงไฮ้กอ่ น แผน่ 4
81 คำว่า ‘อุบัติเหต’ุ เปน็ คำที่พระองคเ์ จ้าปฤษฎางคเ์ รียกเหตุการณ์ทท่ี ำให้รัชกาลท่ี 5 พิโรธ คำว่าอบุ ัตเิ หตุปรากฏเฉพาะในอัตชีวประวัติ ประวัติย่อ
ของพระองคท์ ีเ่ ขียนขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2466 เท่านั้นและในอัตชีวประวัติ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็ไมไ่ ด้กล่าวถึงรายละเอียดใด ๆ เลยที่ป รากฏใน
หลักฐานอื่น ๆ ในช่วงเวลาทีเ่ ร่ืองราวเกิดขึ้น เป็นไปได้หรือไม่ที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จะตัดสินพระทยั ไมเ่ ล่ารายละเอียดในอัตชีวประ วตั พิ ระองค์
และแทนทดี่ ้วยคำวา่ ‘อบุ ัติเหตุ’ เพยี งอยา่ งเดยี ว เพราะพระองค์ไมต่ ้องการฟ้นื รายละเอยี ดทท่ี ำให้พระองคต์ ้องขัดแย้งกบั รัชกาลท่ี 5 ผู้ให้ชีวิตใหม่
ของพระองค์ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาข้อเขียนพระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ในฐานะอัตชีวประวัติ พระองค์เจ้าปฤษฎางคใ์ นวัย 72 ปี กำลังเขียนเพื่ อ
ส่อื สารไปยังคนในขณะนน้ั ท่ไี มร่ ้จู ักพระองค์แล้ว หากพระองค์ไมท่ รงพระนพิ นธเ์ อง “ก็จะมผี อู้ วดร้อู วดดีประดษิ ฐ์เปนเรือ่ งข้ึนสำหรับจงู จมูกคนที่จะ
เกดิ มาใหม่ไม่รูเ้ ดียงสา ให้ดำเนนิ ตามรอยตนี ววั ตีนควายไป” ดังนัน้ ในแงห่ น่ึงพระองคพ์ ยายามจะสร้างความทรงจำบางอยา่ งเก่ยี วกับพระองค์ให้กับ
สาธารณชนในช่วงเวลาที่มีน้อยคนที่จะรู้รายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วปล่อยให้รายละเอียดของอุบัติเหตุ จมหายไปกับกระแสกาลเวลาใน กอง
เอกสารจดหมายเหตุ
82 ปฤษฎางค,์ ประวัตยิ ่อนายพันเอกพเิ ศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ แตป่ ระสูติ พ.ศ. 2392 ถึง 2472, 62-63. พระองค์เจ้าปฤษฎางค์
ระบุว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นในขณะที่กรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการเสด็จไปในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ซึ่งการ
เสดจ็ ดังกล่าวของกรมพระยาเทวะวงษว์ โรปการเกดิ ข้ึนในปี พ.ศ. 2430

265

กรณีแรกคือกรณีหม่อมเจ้า ปาน ลดาวัลย์ เรื่องราวโดยย่อคือพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ไปติดหนี้พระ
อรรคชายาเธอ หม่อมเจ้าสาย (สาย ลดาวลั ย์)83 แตแ่ ทนท่ีพระองค์เจ้าปฤษฎางค์จะชำระหน้ีคืนพร้อม
ดอกเบย้ี กลับวางแผนให้หม่อมเจ้าปาน พี่นอ้ ง ต่างมารดาของหม่อมเจา้ สาย เข้ามารับราชการกับตน
ซึ่งขณะนั้น หม่อมเจ้าปานรับราชการอยู่ใต้กรมพระสวัสดิวัดวิศิษฏ์อยู่แล้ว แผนของพระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์สำเร็จหรือไม่ไม่ชัดเจน แต่ผลลัพธ์หน่ึงของเหตุการณ์ทำ ให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็ถูกตัด
เงินเดอื นจากเดิมท่ไี ด้ 2 ช่งั รายละเอยี ดอยใู่ นพระราชหตั ถเลขาของรัชกาลที่ 5 ซึ่งเขยี นขึน้ ในวันที่ 24
พฤษภาคม พ.ศ. 2430 ระบุว่าพระองค์เจา้ ปฤษฎางค์แอบอา้ งว่ารชั กาลท่ี 5 เป็นผู้ส่ัง ให้ย้ายหม่อมเจ้า
ปานมารับราชการกับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ทั้งรัชกาลที่ 5 ยังสงสัยว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ โกหก
พระองค์เรื่องรู้จักหม่อมเจ้าปาน รัชกาลที่ 5 ทรงเขียนว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์บอกรัชกาลที่ 5 ว่า
รู้จัก คุ้นเคยกับหม่อมเจ้าปานดี แต่กลับไปบอกกรมพระสวัสดิวัดวิศิษฏ์ว่าไม่รู้จักมักคุ้นกับหม่อมเจ้า
ปาน ภายในพระ ราชหัตถเลขาจะเห็นได้ว่ารัชกาลที่ 5 น่าจะพิโรธกรณีดังกล่าวต่อพระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์อยา่ งมาก ทรงขนึ้ ต้นใน ย่อหนา้ แรก ๆ วา่

“ซึ่งเธอว่าเงินรายน้ี ฉันได้ให้เปนทาน เพอื่ จะใหเ้ ปนคำยกยองแลใหส้ งสารน้นั ฉนั ไมไ่ ด้ตัง้ ใจจะ
ให้เปนทานเชน่ ทว่ี ่านั้นเลย ได้ใหเ้ พราะมคี วามรกั แลสงสารว่าได้ค้นุ เคยเล่นมาด้วยกนั แต่ก่อน
อย่างหนึ่ง เพราะหมายว่าจะได้ใช้การงานอย่างหนึ่งเทา่ นัน้ กเ็ ป็นความจรงิ อย่วู า่ เงินรายน้ีถ้า
ฉันคิดจะใหเ้ ธอต่อไปอีกก็ใหไ้ ด้ ฉันเหน็ วา่ เปนการจำเปนที่ฉนั จะต้องพดู เสียให้ปรากฏชัด
เพราะฉนั เคยถูกทา่ นพวกท่มี ีสตปิ ัญญาเปน็ มนษุ ยแ์ ทม้ ิใชว่ ัว ได้ดูถูกฉันมามากนักแล้ว

ในตอนทา้ ยพระองค์ยังบรพิ าษอกี วา่

“คนที่บา้ ๆ ฟุ้ง หวั เราะ ฉนั ไมก่ ลัวนกั ดอก คำทพ่ี ูดน้ีเปน็ พยานใหเ้ ห็นว่า เธอมคี วามคดิ เหน็ อยู่
เสมอว่า ฉันเปนคนชัว่ ชา้ ทกุ ประการดังน้ี

เพราะฉนน้ั การทฉี่ ันจะยอมให้เงินเดือนเก่า ซึ่งฉนั ใหด้ ว้ ยความรักความคุ้นเคยกนั อย่างไรได้
ด้วยเหน็ กนั ไมเ่ ปนผ้เู ปนคนอยา่ งน้ี จะรักอะไรกันลงฅอ สว่ นราชการทฉ่ี ันอา้ งว่า หมายจะไดใ้ ช้
อีกอยา่ งหน่ึงนัน้ บดั นเ้ี ธอกไ็ ด้รับการในตำแหนง่ ไดถ้ งึ ปลี ะ 50 ชง่ั ก็เปนสนิ้ เฃตรกันแลว้ ยงั อยู่
แตจ่ ะให้เพราะรักกัน เมอื่ ความรกั กันมีไม่ได้แลว้ ฉนั กไ็ ม่ให้ ได้ส่งั ใหค้ ลังงดเสียแลว้ ”84

___________________________

83 ต่อมาไดร้ ับการสถาปนาเป็นพระวมิ าดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลพี ิรมย์ กรมพระสทุ ธาสินีนาฏ
84 หจช. ร.5 ค.4.1ค/13 ขอพระราชทานที่ตึกภูมนิเทศเป็นโรงหมอนอก อ้างถึงใน พีรศรี โพวาทอง, ""อุบัติเหตุ" ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ปฤษฎางค์,"
ศลิ ปวฒั นธรรม ปีท่ี 35 ฉบบั ที่ 8, เดอื นมิถนุ ายน 2557 (2557): 125-28.

266

ข้อความในพระราชหัตถเลขาแสดงให้เห็นว่าความสำคัญคือการที่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ทรยศต่อ
ความ ไว้ใจของพระองค์ ทำให้พระองค์ขาดความรักต่อพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พระองค์สงสัยว่า
พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ไดโ้ กหกพระองค์อีกดว้ ย ดังนนั้ เม่ือคำนงึ ถงึ ว่าพระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์เคยเป็นผู้
ทีท่ รงไวว้ างพระทัย อยา่ งย่งิ ให้เป็นผู้อยู่ในสันนิบาตลบั ไม่วา่ ข้อเทจ็ จรงิ จะเป็นอย่างไรก็ตาม พระองค์
เจ้าปฤษฎางคก์ ไ็ ดท้ ำลาย ความไวว้ างพระทัยนั้นลงไปโดยส้ินเชงิ

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ไม่ได้ให้รายละเอียดกับแผนของพระองค์เรื่องพระองค์เจ้าปานใน
จดหมายเมื่อ คราวกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ แต่พระองค์ได้ระบุในจดหมายว่ารัชกาลที่ 5 มี
พระราชดำรัสว่า “เขาเลี้ยงสุนัขยังดีกว่าทรงชุบเลี้ยงข้าพเจ้า (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์-ผู้วิจัย) เพราะ
มันยังมีความกตัญญูต่อนาย”85 ผนวกเข้ากับพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 ก็ทำให้พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ทุกข์โทมนัสเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ยังย้ำว่าได้ “ข้าพระพุทธเจ้า
ได้รับราชการแต่เดิมมา โดยความไว้วางพระราช หฤๅไทย เปนนี่ให้ข้าพระพุทธเจ้ามีความปิติยินดี มี
นำ้ ใจฉลองพระเดชพระคุณเปนล้นเกล้า” อีกด้วย แต่เพราะ มคี นเพ็ดทลู รัชกาลที่ 5 ทำให้พระองค์ไม่
ทราบความจริงที่เกิดขึ้น86 จะเห็นจากคำพูดได้ว่าคุณค่าที่ทั้งสองให้ ตรงกันคือการที่เจ้าให้ความ
ไว้วางใจกับตัวข้า หากเจ้ารู้สึกว่าถูกทรยศหักหลังไม่สามารถเชื่อใจได้แล้ว ข้าก็จะ กลายเป็นคน
อกตัญญูไปซึ่งมีค่าต่ำกว่าสุนัขเสียอีก เมื่อพิจารณาในด้านความผิดทางราชการแล้ว ก็ไม่น่าจะถือ ว่า
ใหญ่หลวงเพราะเป็นเรื่องแค่การย้ายข้าราชการจากหน่วยหนึ่งไปอีกหน่วยหนึ่ง แต่สิ่งที่ผิดคือการท่ี
เข้าไป เกี่ยวข้องกับการอ้างพระเจ้าอยู่หัว ทั้งยังทำให้พระองค์ไม่ไว้วางพระราชหฤทัยทำให้โทษต่อ
การกระทำดังกล่าว ทวคี วามรุนแรงยิ่งขึ้น

กรณีของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ยังทำให้เห็นการทำงานของข่าวลือและการทรยศหักหลังใน
ราชสำนัก ไดด้ ีย่งิ ราชสำนกั สยามเป็นพืน้ ที่การเมืองที่อันตราย หากไมร่ ะวังก็อาจถูกแทงข้างหลัง ถูก
เพ็ดทูลความเท็จใส่ ร้ายป้ายสี บิดเบือนสารอย่างหนึ่งให้กลายเป็นอีกอย่างหนึ่งเพื่อสนองความ
ต้องการของผ้ใู ห้รา้ ยได้ จนผูท้ ถ่ี ูกใส่ ความตอ้ งตกอับโชคชะตาเปน็ หมาหวั เนา่ หรือถึงแกช่ ีวติ อันท่ีจริง
แล้ว กระบวนการข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีไม่ใช่ ปรากฎการณ์ใหม่ของราชสำนักสยามเลย กระบวนการ
ดังกล่าวรู้จักในนาม “บัตรสนเท่ห์” เมื่อคราว รัชกาลที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ ก็มีหนังสือที่ “กามา
คาบทิ้งไว้” ฟ้องว่ากรมขุนกษัตรานุชิตหรือเจา้ ฟ้าเหม็น พระราชโอรสในพระเจ้าตากสิน สมคบคิดก่อ
การกบฏขึ้น รัชกาลที่ 2 จึงให้พระองค์เจ้าทับ (รัชกาลที่ 3 ใน เวลาต่อมา) ทำการสืบสวนเรื่องราว
พบว่าเป็นเร่อื งจริง ทำใหเ้ จา้ ฟ้าเหม็น พระโอรสและพรรคพวกถกู จดั การ ประหารชีวติ ทง้ั หมด87

___________________________

85 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเรอ่ื งพระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์ขอกราบถวายบังคมลาไปอยเู่ มอื งเซยี่ งไฮก้ ่อน แผ่น 5
86 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเรื่องพระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ขอกราบถวายบงั คมลาไปอยเู่ มืองเซ่ียงไฮก้ ่อน แผ่น 3
87 สมเด็จฯ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพ, พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทรร์ ัชกาลที่ 2, ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, สมเด็จพระศรพี ัชรินทราบรมราชินี นาถทรงพระ
กรณุ าโปรดเกล้าฯ ให้พมิ พแ์ จกในงานศพ ม.ร.ว แปว้ มาลากลุ ณ กรุงเทพฯ (พระนคร: โรงพิมพไ์ ทย, 2459), 33-34.

267

ทั้งนี้ไม่ปรากฎว่าครั้งนั้นใครเป็นกาที่คาบบัตรสนเท่ห์มาทิ้งไว้ เมื่อต้นรัชกาลที่ 5 ก็มีกา อีกตัวคาบ
หนังสือทิ้งให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญว่าจะถูกลอบปลงพระชนม์ทำให้พระองค์หวาดระแวงเอา
ทหารมาล้อมวังหน้า ประเด็นดังกล่าวได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤติการณ์วังหน้าดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
ฉะนั้นจะเห็น ได้ว่า การสร้างข่าวลือผ่านบัตรสนเท่ห์เป็นอาวุธทางการเมืองที่ร้ายกาจอยู่มาก อาจทำ
ให้ชะตาชีวิตถึงฆาตก็ได้ แต่เหตุการณ์ทำนองนี้ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ดูจะลดความหนักโทษลงไป
พอสมควร ไม่ได้มีเจ้านายช้ันสูงผู้ใดท่ี ตอ้ งโทษประหารเพราะกบฏอีก แตก่ ระนัน้ กระบวนการใส่ร้าย
ป้ายสีบดิ สารจนถึงบตั รสนเท่ห์ก็ยังทำงานอยู่ ตลอดท้งั สามรชั กาล

ในประเด็นข่าวลือซุบซิบนินทานั้น มีคำอย่างน้อยสามคำที่เกี่ยวโยงกันคือ การซุบซิบนินทา
(gossip) ข่าวลือ (rumor) และเรื่องอื้อฉาว (scandal) คำทั้งสามคำมีความหมายใกล้เคียงกันแต่ไม่
เหมือนกันเสียทเี ดียว จุดร่วมคือเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวบางอยา่ งที่ผู้ส่งสารตอ้ งการให้ผู้รับสารรูว้ า่
จริงและเปน็ เรอ่ื งเกย่ี วกบั บุคคล ท่สี าม ประเด็นดงั กล่าวไดร้ ับความสนใจอย่างยิ่งในหมู่นักสังคมวิทยา
และมานุษยวิทยา มีความพยายามที่จะ แยกความเหมือนหรือต่างระหว่างทั้งสามคำ88 อย่างไรก็ตาม
บทความนี้จะทำตามคำแนะนำของ Luis White เธอมองว่าการพยายามแบ่งประเภทนี้ไม่สำคัญ
เท่ากับการทำความเข้าใจว่าเรื่องราวเหล่านั้นมีความหมาย อย่างไรกับผู้ที่สื่อสารและรับสารมัน
ปรากฎการณ์ทั้งสามถูกผลิตและปรากฏซ้ำอย่างไร นักประวัติศาสตร์ จะต้องพยายามทำความเข้าใจ
บริบทของข่าวลือนั้น ๆ ไวท์เสนอว่าข่าวลือคำนินทาเป็นสิ่งที่ช่วยบ่งบอก ขอบเขตของความ
แน่นแฟ้นและความสัมพันธ์ในชุมชนหนึ่ง ๆ ได้89 ดังนั้น ข่าวลือ การซุบซิบนินทาจึงเป็น ประเด็นท่ี
นา่ สนใจอยา่ งย่ิงในระบอบท่กี อ่ ขึน้ จากความสัมพนั ธ์อันใกลช้ ิดท่ีไว้เนื้อเชอื่ ใจซ่งึ กันและกัน

ในเวลาไม่ถึงเดือนหลังจากคดีหม่อมเจ้าปาน พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็กลายเป็นที่เพ่งเล็งอีก
ครั้งจาก ข่าวลือคบชู้กับคุณหญิงศรี คุณหญิงศรีเป็นภรรยาของพระยาสุนทรสงคราม (จัน แสง-ชูโต)
คุณหญิงศรีจึงเป็น พี่สะใภ้ของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีด้วย แต่พระยาสุนทรสงครามได้ถึงแก่กรรมไป
ตั้งแต่ช่วงที่พระองค์เจ้า ปฤษฎางค์ยังอยู่ยุโรปแล้ว คุณหญิงศรีจึงเป็นแม่หม้ายและคงจะเข้ามาอยู่ใน
ความดูแลของเจ้าพระยาสรุ ศักดิ์ มนตรี ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2430 เจ้าพระยาสุรศักดิม์ นตรีไดร้ ับ
พระบรมราชโองการใหไ้ ปปราบจนี ฮอ่ ครง้ั ที่ 2 ทม่ี ารุกรานแถบหวั เมอื งลาว90

___________________________

88 Sally Engle Merry, "10 - Rethinking Gossip and Scandal," in Toward a General Theory of Social Control, Donald Black (Orlando: Academic
Press, 1984). ให้ภาพรวมงานทศ่ี กึ ษาทางสังคมศาสตร์ได้เปน็ อยา่ งดี
89 “Historicizing Rumor and Gossip” ใน Luise White, Speaking with Vampires: Rumor and History in Colonial Africa (Berkeley: University of
California Press, 2000), 56-86.
90 ดรู ายละเอียดท่ี เจ้าพระยา สุรศกั ดิม์ นตรี, ประวัติการของจอมพล เจ้าพระยาสรุ ศกั ดมิ์ นตรี ภาค 2 (ม.ป.ท.: ม.ป.พ., 2466), ปกรณ์ 2 วา่ ดว้ ย ตอนที่เป็นแม่ทัพ
ปราบฮ่อคร้งั ท่ี 2.

268

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เห็นเป็นโอกาสในการจะพยายามกู้ความไว้วางพระราชหฤทัยอีกครั้ง จึงเขียน
จดหมายทูลเกล้าฯ รชั กาลท่ี 5 เพื่อให้ตนได้ไปช่วยราชการนด้ี ้วย ทงั้ ยงั ขอให้ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี
ซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท ช่วยทูลรัชกาลที่ 5 ให้ตนไปด้วย แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์จึงต้องอยู่ในพระนครต่อไป เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีจึงได้ฝากคุณหญิงศรีและครอบครัว
ให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ดูแล91 ทำให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์มีโอกาสได้ใกล้ชิดคุณหญิงศรี แต่การ
กลับ กลายเป็นว่าเกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์คบชู้กับคณุ หญิงศรี ไม่ว่าทั้งคู่จะทำ
อย่างไรด้วยกัน ก็ถูกมองว่าคบชู้กันหมด แม้จะเข้าวัดก็ถูกมองว่าไปเกี้ยวพาราสีกัน แต่พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ก็ยืนยันว่า คุณหญิงศรีเป็นเพียงเพื่อนของตน ข่าวลือที่แพร่สะพัดนี้คงไปเข้าพระกรรณ
รัชกาลท่ี 5 ทำใหพ้ ระองค์มีพระ บรมราชโองการเรียกตวั คุณหญิงศรีเข้ารบั ราชการฝ่ายในแต่คุณหญิง
ศรีไม่ยอม เหตทุ ่ไี ม่ยอมน้นั เปน็ ไปได้ว่า คณุ หญงิ ศรีไดร้ ับรู้เร่ืองราวภายในฝา่ ยในจากญาติของตนที่ได้
ถวายตัวเข้าไป ทั้งคุณหญิงศรีเองก็เคยมีความคิดเห็นไปในทางที่ไม่เห็นด้วยกับธรรมเนียมผัวเดียว
หลายเมยี ดว้ ย ต่อมาเมอ่ื เจา้ พระยาสรุ ศักดิ์มนตรีกลบั จาก ปราบฮ่อ พระองค์เจา้ ปฤษฎางค์คาดหวังว่า
จะช่วยให้ตนพ้นมลทินได้ แต่พระยาสุรศักดิ์มนตรีพอได้มาทราบ เรื่องราวต่าง ๆ กลับพยายาม
เกลี้ยกล่อมคุณหญิงศรีให้เข้าวัง พระยาสุรศักดิ์มนตรีเข้าใจว่า“ถ้าขัดขืนอยู่แล้ว จะภาตัวแกแล
ข้าพระพุทธเจ้า (พระองค์เจ้าปฤษฎางค์-ผู้วิจัย) ฉิบหายแลเกินอันตรายทำลายล้างชาต ตระกูล ของ
แก จนถึงชีวิตแกแลข้าพระพุทธเจ้า” แต่คุณหญิงศรีก็ยังดื้อดึงไม่ยอมถวายตัว ซ้ำร้ายเจ้าพระยา
สรุ ศักดิ์ มนตรยี งั เกิดทะเลากบั คุณหญงิ เรอ่ื งมรดก ซึ่งพระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์มองว่าเรื่องจริง ๆ ทท่ี ำให้
ทั้งสองทะเลาะ กันก็คือตัวพระองคเ์ จ้าปฤษฎางคเ์ องที่ถกู กลา่ วหาวา่ คบชู้กบั คณุ หญงิ ศรี การทะเลาะ
วิวาทยังผลให้เจ้าพระยา สุรศักดิ์มนตรีเลือกที่จะขับไล่คุณหญิงศรีออกจากบ้านและตัดมิตรกับ
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ทั้งยังมีร่องรอยว่า เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีคงจะไปเพ็ดทูลให้ร้ายพระองคเ์ จา้
ปฤษฎางค์อีก พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จึงเรียก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีว่าเป็น “งูพิศม์” พร้อมกับ
ประณามวา่ เปน็ คนเลวที่เสียสตั ย์ได้เพ่ือรักษาชีวติ ตนเองให้ รอด92 การตดั สนิ ใจดงั กล่าวของพระยาสุร
ศักดิ์มนตรีอาจเข้าใจได้เพราะพระยาสุรศักดิ์มนตรีกำลังเข้าไป เกี่ยวข้องกับผู้ที่ตกเป็นประเด็นทาง
สังคมอย่างรุนแรง ฝ่ายหนึ่งก็เป็นเจ้าที่รัชกาลที่ 5 พิโรธอย่างยิ่งมาก่อน อีก ฝ่ายก็เป็นหญิงที่ฝ่าฝืน
พระบรมราชโองการ เขา้ ทำนองหญิงก็รา้ ย ชายก็ชัว่ ไม่วา่ ขอ้ เท็จจริงในความสัมพันธ์ ระหว่างท้ังสอง
จะเป็นอย่างไร แต่เจ้าพระยาสรุ ศกั ดิ์มนตรีก็เลือกทีจ่ ะชิงสละเรือเอาตัวรอดไว้ก่อนหักหลังเพื่อนสนิท
รว่ มสาบานและพส่ี ะใภ้
___________________________

91 Loos, Bones around My Neck: The Life and Exile of a Prince Provocateur, 61-62.

92 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเร่ืองพระองค์เจา้ ปฤษฎางค์ขอกราบถวายบังคมลาไปอยเู่ มืองเซี่ยงไฮก้ ่อน แผ่น 12-15

269

มิฉะนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าจะถูกติดร่างแหไปท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวของทั้งสองคน จนหมด
อนาคตแบบเดียวกบั พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ไปก็ได้ นอกจากเจา้ พระยาสุรศักดิ์มนตรีแล้ว พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ยังกลา่ วหาวา่ เจ้านายองค์อื่น ๆ ทพ่ี ระองคไ์ ด้เคยรว่ มงานดว้ ยหรือได้ร่วมลงนามในคำกราบ
บังคมทลู ก็ทรยศพระองค์ เชน่ กรมพระยาเทวะวงษว์ โรปการ ได้นำจดหมายทโี่ ตต้ อบกนั เป็นไปรเวท
มีข้อวิจารณ์เรื่องประเพณีผัวเดียวหลายเมียโดยพระองค์เจ้า ปฤษฎางค์ไปให้รัชกาลที่ 5
ทอดพระเนตร กรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดารายงานบทสนทนาที่สนทนากันอย่าง เป็นส่วนตัว
วิพากษ์วิจารณ์ราชสำนักกลับไปยังพระเจ้าอยู่หัวโดยแสร้งว่าตนเป็นพวกเดียวกันในวงสนทนา เป็น
ต้น93 ข้อกล่าวหาที่รุนแรงน้ีคงยากจะพิสูจน์ความเทจ็ จริงได้แต่ก็แสดงให้เห็นอีกวิถีทางของการทำให้
เป็นที่ไว้ วางพระราชหฤทัย นั่นคือคอยเป็นพระเนตรพระกรรณคอยสอดส่องคำวิพากษ์วิจารณ์แล้ว
รายงานไปยงั พระองค์ ทำใหพ้ ระองค์ตระหนักว่าใครบา้ งท่ีอาจเป็นศัตรูกบั พระองค์ สดุ ทา้ ยแลว้ ด้วย
สถานการณ์ที่ไม่มีทีท่า จะดีขึ้นรวมถึงความหวาดระแวงภัยต่อชีวิตพระองค์และอาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ
อีก ทำให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ตัดสินใจลี้ภัยและใช้ชีวิตระหกระเห่เร่ร่อนอีก 20 ปีในที่สุด
การบิดเบือนข้อเทจ็ จรงิ อาจนับไดว้ ่าเปน็ ลกั ษณะสำคัญข้อหนงึ่ ของขา่ วลือและการเพ็ดทูล เพราะในแง่
หนึ่ง ข่าวลือคือการสร้างภาพให้บุคคลคนหนึ่งเป็นไปตามภาพที่ข่าวลือนั้นสร้างขึ้น ปรากฎการณ์ท้ัง
สองนี้ปก คลุมทั่วทั้งราชสำนักไม่ว่าใกล้หรือไกล หากมีช่องให้สามารถแทรกได้ กลไกนี้ก็สามารถ
ทำงานได้ เดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2457 (ตามปฏิทินเก่า) กรมพระยาดำรงราชานุภาพถวายหนังสอื ลา
พักราชการเป็นเวลา 6 เดือนอ้าง สาเหตุว่ามาจากอาการป่วย จากนั้นเจ็ดเดือนก็ทูลลาออกจาก
ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นการ สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งที่ทรงรับมายาวนานกว่ายี่สิบ
สามปี คำอธบิ ายของนกั วิชาการก่อน ๆ ไมไ่ ดใ้ ห้ รายละเอยี ดเหตุการณ์น้ีมากนัก โดยระบุสาเหตุหลัก
คือความขดั แย้งกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าไมว่ ่าจะ เปน็ ประเดน็ เฉพาะหน้าเร่ืองการเกณฑ์คน
เข้ากองเสือป่าหรือเรื่องการเรี่ยไรเงินซื้อเรือหลวงพระร่วง รวมถึง สาเหตุระยะยาวเรื่องความไม่ลง
รอยจากความต่างรุ่นระหว่างคนทั้งสองคนอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระ มงกุฏเกล้าเองก็พยายามจะ
ปรับเปลี่ยนคณะเสนาบดีด้วยการแตง่ ตั้งคนฝา่ ยพระองค์แทนท่ีพระญาตวิ งศ์94 ดงั น้ันจะเห็นได้ว่ากรม
พระยาดำรงราชานุภาพในสมัยรัชกาลที่ 6 ไม่ได้เป็นผู้ที่กษัตริย์โปรดปรานใกล้ชิดแล้ว กษัตริย์
พระองค์ใหม่พอพระทัยมากกว่าที่จะไว้วางพระราชหฤทัยในนายในและข้าราชการของพระองค์
มากกว่าพระญาติวงศ์ แต่เสนาบดีพระญาติวงศ์ในตำแหนง่ ต่าง ๆ ก็เป็นพระราชมรดกทีพ่ ระบิดาของ
พระองค์ ทิง้ ไว้ให้พระองค์ด้วย

___________________________

92 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเรื่องพระองคเ์ จา้ ปฤษฎางคข์ อกราบถวายบังคมลาไปอยู่เมืองเซย่ี งไฮ้ก่อน แผน่ 12-15
93 Prince Pritsdang, "Notes on Siamese Administration by Prince Pritsdang," in Two Views of Siam on the Eve of the Chakri Reformation,
Nigel Brailey (Arran, Scotland: Kiscadale Pub., 1989), 71-72.
94 Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 91-95; Bunnag, The Provincial Administration of Siam 1892-1915
: The Ministry of the Interior under Prince Damrong Rajanubhab, 242-45.

270

ในระยะแรกของการขึ้นครองราชย์ยังทรงคงไว้เช่นเดิมอยู่ แต่เมื่อกรมพระยาดำรงราชานุ ภาพทูล
ลาออกจากราชการ รัชกาลที่ 6 ก็เริ่มปรับเปลี่ยนหลาย ๆ อย่างในกระทรวงของพระองค์ เป้าหมาย
หลักคือการลดอำนาจกระทรวงมหาดไทย พระองค์กระจายกรม เช่น กรมตำรวจภูธร กรมสรรพากร
นอก กรม ราชทัณฑ์ ไปยังกระทรวงอื่น ๆ ทั้งยังทรงแต่งตั้งเสนาดีคนใหม่คือ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ
ศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) แทนท่ีพระยามหาอำมาตยาธิบดี (เส็ง วิริยศริ )ิ ซงึ่ เปน็ คนสนทิ ของกรมพระยา
ดำรงราชานภุ าพ แต่ทัง้ น้พี ระยาสุรสหี ก์ ็ไม่ได้เป็นผ้ทู ่ีพระองค์สนิทสนมมากนัก แต่เปน็ ไปได้ว่า รัชกาล
ที่ 6 มองว่าพระยาสุรสีห์ ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานหรือจะขยายอิทธิพลของตนมากนัก
นอกจากนี้ การปรับย้ายกรมทำให้ กระทรวงนครบาลมีอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยกระทรวงนคร
บาลได้กรมตำรวจภูธรและกรมราชทัณฑ์ไปอยู่ ในความดูแล ซึ่งเสนาบดีกระทรวงนครบาลคือ
เจ้าพระยายมราช พระอาจารยข์ องพระองค์95

หมอ่ มเจา้ หญงิ พนู พิศมยั ได้เติมรายละเอยี ดชนวนเหตุท่กี รมพระยาดำรงราชานภุ าพลาออกให้
ชัดเจน ยิ่งขึ้น ช่วงเดือนพฤศจิกายนก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับอยู่
พระราชวังบางปะ อิน ซึ่งกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ประทับอยู่เพื่อฟังราชการด้วย กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพมกั จะเขา้ เฝา้ ช่วงเย็นพร้อมกับกรมหลวงสรรพสาตรศภุ กิจ วันหนึ่งก่อนเข้าเฝ้า กรม
พระยาดำรงราชานุภาพเห็นกรมหลวง สรรพสาตรศุภกิจกำลังเขียนตราราชนาวีสมาคมอยู่ กรมพระ
ยาดำรงราชานุภาพกท็ รงไต่ถามว่ากรมหลวง สรรพสาตรศุภกิจกำลังทำอะไร เมื่อตอบไป กรมพระยา
ดำรงราชานุภาพก็ตรัสตอบพร้อมความเห็นว่า “เงินไม่ใช่จำนวนน้อย หวังว่าเจ้าพระยาอภัยราชาจะ
ได้คิดรอบคอบแล้ว” ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น96 จนกระทั่ง วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2457 ตาม
ปฏิทินเก่า ราชนาวีสมาคมก็ออกนิตยสารสมุทรสารฉบับปฐมฤกษ์ขึ้นมา ประกาศอันหนึ่งในนิตยสาร
ชื่อหัวข้อ แจ้งความราชนาวีสมาคม แก่สมุหเทศาภิบาล แลผู้ว่าราชการเมือง เนื้อหามีว่า ราชนาวี
สมาคมได้ทราบวา่ มีโทรเลขคำสั่งจากกระทรวงมหาดไทยให้มณฑลเทศาภบิ าลช่วยเรี่ยไร เงนิ ราชนาวี
สมาคมจงึ ชแ้ี จงวา่ คำสงั่ นี้ ทางสมาคมไม่ได้มสี ่วนเกยี่ วข้องเลย ทั้งได้ทลู ถามไปยังพระบาทสมเด็จ พระ
มงกุฎเกล้าว่ามีพระบรมราชโองการหรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่มี “กรรมการจึงเห็นชัดว่า
กระทรวงมหาดไทยได้ ย่นื มือเขา้ มาชว่ ยโดยท่ีกรรมการมไิ ดป้ รารถนา”97

__________________________

95 Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 95-101.

96 พนู พศิ มัย ดิศกุล, พระราชวงศจ์ ักรี สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั รชั กาลที่ 6 (ส่ิงท่ีข้าพเจ้าพบเหน็ สมัยรัชกาลท่ี 6) 64-66.
97 "แจ้งความราชนาวีสมาคม แก่สมุหเทศาภิบาล แลผู้ว่าราชการเมือง," สมุทสาร2457. หม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัยไดค้ ัดเน้ือหาประกาศ
ดังกล่าวมาใส่ ใน สง่ิ ทีข่ า้ พเจ้าพบบเหน็ เช่นเดียวกนั

271

การณ์ดังกล่าวนี้ทำให้กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสื่อมเสีย พระเกียรติยศอย่างมากทำให้พระองค์
ตัดสินพระทัยที่จะลาออก ภายหลังหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัยได้ตรัสถาม ทั้งน้ำตากับเสด็จพ่อของ
หมอ่ มเจ้าหญิงว่าเกดิ อะไรขึน้ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพตรสั ตอบวา่ “เพือ่ นเราเผาเรือน พ่อพูดกับ
เสด็จลุงวา่ หวังใจว่าจะคิดรอบคอบแล้วเท่านั้น แต่เขาว่าท่านไปทูลว่าพ่อว่าทำอย่างไรเสียก็ ไม่ได้เงิน
เท่าจำนวนที่กะ และถ้าไม่เล่นกับมหาดไทยก็ไม่มีวันละที่จะได้!”98 เป็นอันว่าสุดท้ายแล้วพี่น้อง (ต่าง
แม่) ก็หักหลังเผาเรือนกันเสียเอง หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยบันทึกต่อไปถงึ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกจิ
ว่า “พอ เสด็จพ่อออกแล้ว เสด็จลุงก็หลุดออกมาจากราชสำนักด้วย”99 จากข้อความต่อมาเห็นได้ว่า
การเพ็ดทูลของกรม หลวงสรรพสาตรศุภกิจจะเป็นไปเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าพอ
พระทยั แตผ่ ลกลบั กลายเปน็ ว่าตวั กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจกถ็ ูกผลักออกไปดว้ ย

การเพด็ ทลู ท้ังสองครัง้ ที่กล่าวไปมผี ลทางการเมืองอย่างชดั เจนเพราะทำให้คนถูกผลักออกจากวงโคจร
รอบพระมหากษตั รยิ ด์ ว้ ยการใส่ความเทจ็ เพื่อความพอพระทยั การกระทำนีน้ า่ จะช่วยดงึ ตนเองให้เป็น
ที่โปรดมากยิ่งขึ้น แต่ก็มีกรณีที่ใส่ความเท็จยุแยงตะแคงรั่วเพื่อประโยชน์ส่วนตนเช่นกัน ในคดีพญา
ระกา พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าบนั ทึกไวว้ า่ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมเปน็ ต้นไฟ ในการ
ก่อคดีดงั กลา่ ว เพราะ เป็นคนทย่ี ุแยงต้ังแตส่ ง่ บทละครปักษีปกรณัมไปให้กรมหลวงราชบุรี ท้งั ยังทำให้
กรมหลวงราชบุรี เข้าพระทัย ผิดว่าพระบิดาได้ทอดพระเนตรบทละครดังกล่าวจึงถือว่าสิ้นความ
เมตตาแก่กรมหลวงราชบุรี เสียแล้ว โดยกรม หลวงประจักษ์ฯ น่าจะทราบความได้จากหม่อมเจ้าไศล
ทอง บุตรของตนซึ่งเป็นมหาดเล็กรับใช้รัชกาลที่ 5 จน เมื่อกรมหลวงราชบุรี เสด็จออกไปประทับที่
รังสิตแล้ว กรมหลวงประจกั ษ์ฯ ก็ยงั คอยยุยงใหเ้ รือ่ งบานปลายไป อีกสาเหตทุ ก่ี รมหลวงประจักษ์ฯ ทำ
ไปก็เพียงเพื่อแก้แค้นกรมพระนราธิปฯ เพราะเคยถูกหัวเราะเยาะขบขัน จากการที่เข้าใจพระราช
กระแสรชั กาลท่ี 5 ผิดขณะทอดพระเนตรละครกรมพระนราธิปฯ ผลสดุ ท้าย การที่กรมหลวงประจักษ์
ฯ พยายามแก้แค้นกรมพระนราธิปฯ ก็กลับทำให้ตนเองและลูกถูกบัพพาชนียกรรมออกจาก ราช
สำนักฝ่ายใน100 ดังนั้นการยุแยงก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดอันตรายย้อนกลับเข้าสู่ตัวผู้ก่อเหตุได้
เช่นเดยี วกัน

___________________________

98 พูนพศิ มยั ดศิ กุล, พระราชวงศจ์ ักรี สมเด็จพระเจ้าอย่หู ัวรัชกาลท่ี 6 (สิ่งทขี่ า้ พเจา้ พบเห็น สมยั รัชกาลที่ 6) 67-73.
99 เรอ่ื งเดยี วกนั ., 73.
100 ราม วชิราวุธ, ประวัติต้นรัชกาลที่ 6, 340-43, 72-73. กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีพระราชกรณียกิจสำคัญในการยแุ ยงตะแคง รั่วหลายต่อ
หลายครั้ง ดูเพิ่มเติม ปกรณ์ 26 ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏและวิวาทกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม (พระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมหลวงประจักษ์
ศลิ ปาคมในเวลาเดี๋ยวน้ี ใน สรุ ศักด์ิมนตรี, ประวัติการของจอมพล เจา้ พระยาสุรศักด์ิมนตรี ภาค 1 ตอนปราบฮ่อคร้ังท่ี 1.

272

ตัวอย่างที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่าความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นสิ่งท่ีรักษาได้ยากอย่างยิง่ ไม่ว่าจะทั้งพระเจา้
แผน่ ดนิ ไวว้ างพระราชหฤทยั ในตัวขา้ หรอื ข้าจะวางใจในตัวพระเจ้าแผน่ ดนิ ในการทำราชการ อปุ สรรค
สำคัญ คือบรรยากาศทางการเมืองในราชสำนัก เมื่อพื้นที่เครือข่ายกษัตริย์ไม่สามารถเปิดกว้างให้ทุก
คนได้ จึงเกิดการ แก่งแย่งชิงดีทรยศหักหลังกันแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสาบานหรือพี่น้องท้องเดียวกันก็
ตาม สิ่งสำคัญคือการก่อ ความเสียหายต่อความไว้เนื้อเชื่อใจส่วนบุคคล จากนั้นความเสียหายอื่น ๆ
เช่นในทางราชการก็จะตามมา ประสิทธิภาพในการทำราชการจึงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่รับประกันความ
เจริญก้าวหน้าของบุคคลแตเ่ ป็น ไปตาม พระราชหฤทัยของเจ้านายดว้ ย

ปรากฎการณ์ท่ีคล้ายกันนี้ยังปรากฏในระดับข้าราชการชน้ั กลางดว้ ย พระยาสัจจาภิรมย์อุดม
ราชภักดี ไดเ้ ล่าไวใ้ นอตั ชีวประวัติ เล่าให้ลูกฟัง ของตน พระยาสัจจาภริ มยเ์ ขา้ รบั ราชการโดยการฝาก
ตัวจากอาของพระ ยาสัจจาภิรมย์และได้เข้าไปรับราชการใกล้ชิดกับกรมขุนมรุพงษ์ศิริพัฒน์ พระ
อนุชาองค์หนึ่งของรัชกาลที่ 5 และเป็นเทศาภิบาลมณฑลปราจีนบุรี พระยาสัจจาภิรมย์ได้รับใช้จน
สามารถถอื ตนได้ว่าเปน็ ท่ีโปรดปราน แต่ น่ันก็ไมไ่ ดท้ ำให้หน้าท่ีการงานพระยาสจั จาภิรมย์ม่ันคงเสมอ
ไป ราวปี พ.ศ. 2450 เมื่อยังเป็นนายอำเภอ บางคล้า เมืองนครนายก พระยาสัจจาภิรมย์ไมย่ อมผ่อน
ปรนให้จีนไขบุ๋น เจ้าของโรงต้มกลั่นสรุ าได้ทำผิด ระเบียบราชการเล็ก ๆ น้อย ๆ ไขบุ๋นจึงไปฟ้องกรม
ขุนมรุพงษ์ ข้อหาสำคัญคือพระยาสัจจาภิรมย์ต้มเหล้าเถ่ือน และข้อหารองอื่น ๆ อีก ทำให้กรมขุนมรุ
พงษ์ไม่พอพระทัยและสั่งย้ายพระยาสัจจาภิรมย์ไปยังอำเภอที่เปลี่ยว ทั้งยังถูกลดเงินเดือนอีก เพื่อน
ฝูงก็ไม่มาคบคา้ สมาคม จนมารู้ทีหลังว่ากรมขนุ มรุพงษ์กริ้วตนเองและถ้ากรมขนุ มรุพงษ์กริ้วผ้ใู ดแล้ว
ผู้อื่นกจ็ ะไม่มาคบค้าสมาคมเพราะเกรงจะถูกกรวิ้ ไปด้วยและก็คงจะหมดหวังในทาง ราชการ จนเมื่อมี
ผู้ทูลความจริงให้กรมขุนมรุพงษ์ทราบ หน้าที่การงานของพระยาสัจจาภิรมย์จึงกลับมาเป็น ปรกติ
ภายหลงั เอง กรมขนุ มรุพงษ์ก็เรียกพระยาสัจจาภิรมย์อย่างสนิทสนมโดยตั้งฉายาใหว้ า่ “ฮกหลง” จาก
การทีไ่ ด้ชว่ ยพระองค์ในกิจการส่วนตวั 101 เร่ืองเล่าของพระยาสัจจาภิรมย์ทเ่ี กดิ ข้ึนในมณฑลปราจีนบุรี
มีความ คล้ายคลึงกันกับกรณีอื่น ๆ ที่เกิดในกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการปกครอง ความพึงพอใจของ
เจ้านายระดับบน สามารถชี้ชะตาของข้าระดับล่างได้ กรมขุนมรุพงษ์กลายเป็นเสมือนกษัตริย์ใน
มณฑลเทศาภบิ าลที่พระองค์ ปกครอง อย่างไรก็ตาม เมือ่ กรมขุนมรุพงษ์กลับเข้ามายงั กรุงเทพฯ กรม
ขุนมรุพงษ์ก็เปลี่ยนสถานะเป็นข้าของ กษัตริย์ ในตอนที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพลาออกจาก
ราชการ กรมขุนมรุพงษ์ได้ไปเยี่ยมกรมพระยาดำรงรา ชานุภาพที่วัง เมื่อเห็นหน้าหม่อมเจ้าหญิงพูน
พิศมยั กรมขุนมรพุ งษก์ ร็ ีบตรสั ขนึ้ ว่า “อาว์เปลา่ นาหญงิ พนู ,อาว์ ไมไ่ ด้เพท็ ได้ทลู เก่ียวขอ้ งอะไรดว้ ย” 102

___________________________

101 พระยา สัจจาภริ มย์อดุ มราชภักดี (สรวง ศรีเพญ็ ), เล่าใหล้ กู ฟัง, พิมพค์ ร้งั ที่ 1 (กรงุ เทพฯ: มตชิ น, 2557), 60-65,69-70.
102 พนู พิศมัย ดิศกุล, พระราชวงศจ์ ักรี สมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั รัชกาลท่ี 6 (สง่ิ ท่ีขา้ พเจา้ พบเหน็ สมยั รัชกาลที่ 6) 73.

273

การรีบแก้ตัวของกรมขุนมรุพงษ์แสดงให้เห็นว่าบรรยากาศดังกล่าวใน ครอบครัวกรมพระยาดำรงรา
ชานุภาพมีความหวาดระแวง กลัวว่าจะมีญาติพี่น้องมา “เผาเรือน” อีก ส่วนกรมขุนมรุพงษ์เอง
ก็ตระหนักว่าการเพ็ดทูลเป็นอาวุธทางการเมืองที่ร้ายกาจ สามารถทำลายความสัมพันธ์ทั้งใน
ทางสว่ นตวั และในทางราชการได้

ในส่วนนี้จะเห็นพลังของข่าวลือการซุบซิบนินทาและการเพ็ดทูลในฐานะพลังทางการเมือง
ที่สามารถ ผลักไสขับไล่คนออกจากความไว้วางใจได้ ทั้งสองสิ่งนี้ที่ดูคล้ายกันไมส่ ามารถแยกออกจาก
กันได้ในระบบที่ สมาชิกสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เมื่อพิจารณาลักษณะการเกิดขึ้นและแพร่กระจายน้ี
จะพบลักษณะร่วมที่ น่าสนใจคือ ผู้ถูกกล่าวหามกั เป็นผู้ท่ีมีทีท่าจะไม่เป็นท่ีโปรดปรานหรือไว้วางพระ
ราชหฤทัยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็น จุดอ่อนให้คนอื่น ๆ สามารถสร้างข่าวลือใส่ร้ายป้ายสีได้
จากน้ันเรือ่ งราวข่าวลือกจ็ ะไปเขา้ สู่พระกรรณผ่านการ เพ็ดทูลโดยอาจจะเป็นไปได้ท้ังผู้ที่สร้างข่าวลือ
นั้นหรือผู้อื่นที่หวังผลประโยชน์ทางการเมืองในเวลาเดียวกัน เมื่อ เจ้าเชื่อก็มักจะมีบทลงโทษต่าง ๆ
ตามวิถีระบบราชการตามมา ทั้งการลดเงินเดือน ย้ายตำแหน่ง หรือริบ บำเหน็จที่เคยให้
การเสียความสัมพนั ธจ์ ึงมีผลรา้ ยทง้ั ในทางส่วนตัวและในทางราชการ

จงบันดาลให้พินาศอันตรายด้วยไภยทุกประการ: ผลกระทบและการฟื้นฟูสถานภาพและ
สมั พนั ธภาพใน ระบอบแห่งความเชอื่ ใจ

เมือ่ ตวั เจา้ ขาดความไว้วางใจในข้าแลว้ ข้ายอ่ มไดร้ ับผลกระทบทั้งในเชิงความสัมพันธ์ส่วนตัว
และใน ราชการ แต่ผลกระทบดังกล่าวไปไกลกว่านั้นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงตัวข้าผู้เดียวที่ได้รับ
ผลกระทบแต่ตัวคนรอบ ข้าง ครอบครัวก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วยทั้งในเชิงหน้าท่ี
และความสัมพนั ธส์ ว่ นตัว

ผลกระทบสำคัญประการแรกคือผู้ที่ไม่เป็นที่ไว้วางพระทัยจะต้องเสียเพื่อนฝูงไป คนไม่กล้า
คบหา ในทางการเมอื งก็ถอื ว่าตายทง้ั เปน็ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ถึงกับตัดพ้อในจดหมายวา่ ทรง “หมด
เพื่อนหมดฝูง หมดความดีความโฮปทุกอย่าง”103 อุปลักษณ์ของความเหม็นเน่าไม่ว่าจะเป็นตัวสก๊ัง
หรือหมาหัวเน่าถูกดึง ขึ้นมาใช้ เพื่อเน้นย้ำว่าคนที่ไม่ทรงโปรดแล้วกลายเป็นคนที่เหม็นเน่า ไม่ควรมี
ใครเข้าใกล้เพราะจะพลอยเหม็น ไปด้วย104 คนหนึ่งที่เข้าไปใกล้กับความเหม็นเน่าจนพลอยเหม็นไป
ด้วยคือเจา้ พระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเย นทรโยธนิ )

__________________________
103 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเรือ่ งพระองคเ์ จ้าปฤษฎางคข์ อกราบถวายบังคมลาไปอยู่เมอื งเซ่ียงไฮก้ ่อน แผ่นที่ 9
104 พูนพิศมัย ดิศกุล, พระราชวงศ์จักรี สมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวรัชกาลที่ 6 (สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น สมัยรัชกาลที่ 6) 231; สัจจาภิรมยอ์ ุดม
ราชภักดี (สรวง ศรเี พญ็ ), เล่าใหล้ ูกฟงั , 61.

274

ในปี พ.ศ. 2460 เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินขณะเป็นพระยาเทพอรชุนสมุหราชองค์รักษ์ได้เดินทางไป
พบกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่บ้านแปง บางปะอินการไปพบกรมพระยาดำรงราชานุภาพนี้ถูก
รายงานส่ง ต่อไปเข้าพระกรรณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เดือนถัดมาหลังการไปพบ
เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธินก็ถูกย้ายจากสมุหราชองครักษ์ไปเป็นจเรทัพบกและการปนื เลก็ ปืนกล ส่วน
ตำแหนง่ สมหุ ราชองครักษก์ ต็ ก เปน็ ของเจา้ พระยารามราฆพ มหาดเลก็ คนโปรดของพระองค์105

ความตกอับของบุคคลไม่เป็นที่โปรดปรานได้เป็นพลังผลักดันให้ผู้ที่ตกอับดึงตนเองออกมา
ด้วย แทบ ทุกกรณีของความขัดแย้งมักลงท้ายด้วยการเอาตัวเองออกห่างจากเจ้า พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ทรงลี้ภัยเป็น ‘โปลิติกัลเรฟยี’ นอกราชอาณาจักรเป็นเวลา 20 ปีจนเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จ
สวรรคต106 พระองค์จึงกลับมายัง สยาม กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เสด็จออกไปประทับที่ศาลเจ้า
องครักษ์ ปลายคลองรังสิต107 ส่วนกรมพระยา ดำรงราชานุภาพกับครอบครัวก็กลายเป็น ‘เทพจร
เร่ร่อน’ ไปอยู่ตามหวั เมืองบา้ งจนไปปักหลกั ท่ีบา้ นแปง้ บาง ปะอนิ 108 คนเหลา่ นท้ี ี่ไม่เปน็ ทโ่ี ปรดปราน
เสียแล้วได้ทำการเนรเทศตนเองออกห่างจากศูนย์กลางอำนาจไป การ เนรเทศตนเองอาจเรียกได้ว่า
เป็นกระบวนการหนึ่งในการที่จะหลีกหนีความผิดที่ตนเองกระทำ อยู่ห่างจาก ความพิโรธของเจ้า
แม้ว่าการรักษาระยะทางกับราชสำนักจะสำคัญ “เขาบอกว่าราชสำนักไกลไม่ได้ ถ้าไปไกลก็ หลุดไป
เลย”109 แตก่ ารออกห่างนัน้ ยงั อาจถอื ได้วา่ เปน็ การออกห่างออกจากการเมืองราชสำนกั ที่ปั่นป่วนและ
ยากจะไว้เนื้อเชื่อใจ ไปแสวงหาความสงบสุข สงบสติอารมณ์ตนเองได้ในปัจจุบัน ทั้งยังอาจวางแผน
อนาคตของ ตนที่อาจจะหาโอกาสดึงตนเองกลับเขา้ มาใหม่ ต่อรองกับสถานะและสัมพันธภาพตนเอง
อีกครั้งด้วยก็ ได้110 อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้มีเครื่องรับประกันว่าจะได้กลับมาเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทยั
อีกเสมอไป

โจทย์สำคัญของผู้ที่ตกที่นั่งลำบากคือจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ของตนกับเจ้าได้อย่างไร การฟื้นฟู
ความสัมพันธ์ย่อมหมายถึงจะได้ฟื้นฟูสถานภาพทางราชการของตนเองได้ แรกที พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ย้ำ ตลอดจดหมายที่ทูลลาออกจากราชการ หวังว่าเมื่อตนได้พิสูจนค์ วามซ่ือสัตย์จริงใจของ
ตนได้ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ก็คงจะมีพระเมตตาและพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ก็จะ
กลับมาเป็นทไี่ วว้ างพระราช หฤทยั อกี ครั้งหนึง่ 111 แต่ดูเหมือนวา่ เม่ือตกท่นี ่ังลำบากเพราะลมปากของ
ผู้อื่นแล้ว การจะฟื้นฟูได้ก็ต้องพึ่งพา ลมปากของผู้อื่นเช่นเดียวกัน พระองค์เจ้าปฤษฎางค์พยายามใช้
สายสมั พนั ธข์ องตนเองกบั เจ้านายคนอ่นื ๆ รวมถึงเจ้าพระยาสรุ ศกั ดิ์มนตรใี นการท่จี ะให้พระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานอภัยโทษ หากกรมพระยาเทวะวงษ์วโร ปการทรงอยู่ในสยามขณะที่เกิดอุบัติเหตุของ
พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ขึ้น “กค็ งจะได้ทรงดับเหตปุ ัดเปา่ มิให้เกิด เช้ือเพลงิ ใหม้ข้ึนลุกลามไปถึง ได้รับ
ผลร้ายแรง จนถึงถูกสาบประณามอย่างแรง”112 ทั้งเมื่อขณะทูลลาออกจากราชการ พระองค์เจ้า
ปฤษฎางค์ในเดิมทีก็เพียงตั้งใจประวิงเวลาอยู่นอกราชอาณาจักรเท่านั้น โดยหวังว่าบรรดา จดหมาย

275

และโทรเลขตา่ ง ๆ ทีท่ รงฝากใหก้ บั กรมพระยาภาณุพันธว์ งศว์ รเดชกับกรมพระยาเทววะวงษว์ โรปการ
จะช่วยผลักดันให้ทั้งสองพระอนุชาคลายความพิโรธของพระเชษฐาลง113 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าทั้งสอง
พระองค์จะ ตอบกลับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์หรือทำให้ความพิโรธของพระเชษฐาคลายลงแต่อย่างใด
เป็นไปได้ว่าพระองค์ เจ้าปฤษฎางค์คงจะเหม็นเน่าเสียจนทั้งสองพระองค์ก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าใกล้เสีย
แลว้

ในอีกกรณีหนึ่ง พระยาสัจจาภิรมย์โชคดีที่มีผู้ช่วยแก้ความให้ หม่อมเจ้าบุตรารัตนานพ
นวรัตน นายอำเภอบางคล้าคนใหม่แทนที่พระยาสัจจาภิรมย์ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและทูลความ
จริงแก่กรมขุนมรุ พงษ์ ทำให้กรมขุนมรุพงษ์คลายความพิโรธลง นับว่าพระยาสัจจาภิรมย์โชคดีที่มีผู้
แก้ต่างให้โดยที่ตนเองไม่ได้ วิ่งเต้นเอง แต่นอกจากนี้ อีกปัจจัยที่ต้องพิจารณาร่วมด้วยคือน้ำหนัก
ความผิด นำ้ หนักความผิดของพระองค์เจ้า ปฤษฎางคต์ ้องนับไดว้ ่าหนักข้อและสาหสั กว่าหลายเท่าท้ัง
ยังกระทบความสัมพันธ์ส่วนตัวถึงรัชกาลที่ 5 ด้วย แต่ความผิดหลักของพระยาสัจจาภิรมย์ยังไม่
กระทบถึงความสัมพนั ธ์สว่ นตวั มากนัก นับว่ายังไม่เหม็นเน่ามาก จนไม่มใี ครกล้าท่จี ะแกต้ ่างแทนให้

บริบทที่เปลี่ยนแปลงไปก็อาจทำให้บุคคลนั้นสถานภาพดีขึ้นก็ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าจะ
กลับเป็นที่ โปรดปรานเสมอไป เมื่อกรมพระยาเทวะวงษ์วโรปการสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2466 กรม
พระยาดำรงราชานุ ภาพก็ได้รับเชิญให้เข้ารับราชการอีกครั้งเพราะไม่มีเสนาบดีผู้ใหญ่ในที่ประชุม
เสนาบดีแลว้ เม่อื กรมพระยา ดำรงราชานภุ าพตอบรบั พระเจา้ อย่หู วั รัชกาลท่ี 6 ก็ถงึ กับตบพระเพลา
(หน้าตกั ) ว่า “อย่างน้ีซิ ท่านจงึ ควร เปน็ ผใู้ หญ”่ มีความคาดหวังในหมู่ผู้คนวา่ กรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพจะได้รับตำแหนง่ เสนาบดีกระทรวงการ ต่างประเทศแต่กลายเป็นว่ากรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ไดร้ บั ตำแหน่งเสนาบดกี ระทรวงมุรธาธรแทน ส่วน ตำแหนง่ เสนาบดกี ระทรวงต่างประเทศตกเป็นของ
กรมหมน่ื เทววงศ์วโรทัย พระโอรสของกรมพระยาเทวะ วงษ์วโรปการ ทา่ มกลางความไม่ไว้วางใจของ
ทูตต่างประเทศ “just a kid จะเป็นเสนาบดีอย่างไรได้” แต่การ กลับมาของกรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพในฐานะเสนาบดีช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทูตต่างประเทศจากชื่อเสียง ของพระองค์ในหมู่ชาว
ต่างประเทศ ทั้งพระองค์ยังให้คำมั่นสัญญาที่จะช่วยสนับสนุนกรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย114 เรื่องกรม
พระยาดำรงราชานุภาพแสดงให้เห็นว่าอยา่ งน้อย ผลงานท่กี ระทำไว้ ชื่อเสยี งและสถานะแต่เดิมก็ช่วย
เปน็ สง่ิ ที่ดึงดูดให้พระองคก์ ลบั ไปยังราชสำนกั ได้

โดยภาพรวมแลว้ เม่ือเกิดเหตุการณ์ข้ึนจนคนคนหนึ่งตกจากการเป็นผู้ที่ไวว้ างพระราชหฤทัย
แลว้ สง่ิ ที่ พอชว่ ยพยุงอย่ไู ดก้ ็คือเครอื ขา่ ยความสัมพนั ธ์ สถานะและความดคี วามชอบท่เี คยมีมา ปจั จัย
เหล่านี้ช่วย ประคองให้ผลที่ตามมาไม่ตกระกำลำบากเกินไป แต่ทั้งนี้ก็จำเป็นต้องช่างน้ำหนักกับ
ความผิดทไ่ี ด้กระทำด้วย

276

ในบรรดากรณีที่ได้อภิปราย พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ดูจะผิดร้ายแรงที่สุดจนกลบความดี
ความชอบที่เคยทำมา มิหนำซ้ำเครือข่ายความสัมพันธ์ของพระองค์ก็ทอดทิ้งพระองค์ สถานะของ
พระองค์ก็ไม่มั่นคง พระองค์ขาด พระญาติที่จะช่วยเหลอื ให้การพึ่งพาได้ ท้ายที่สุดแล้วทำให้ตกระกำ
ลำบากท่สี ดุ ในทกุ กรณี ในท่ีสดุ แล้ว อาจ กล่าวไดว้ ่าหากพลาดไมเ่ ปน็ ที่ไวว้ างพระราชหฤทัยแล้วก็ยาก
ที่จะคืนสสู่ ถานะดังเดมิ ได้

___________________________

105 Greene, Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 95.

106 หจช. กต.6.26/2 พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ แผ่นท่ี 10
107 ราม วชริ าวุธ, ประวัตติ ้นรชั กาลท่ี 6, 18.
108 พูนพศิ มัย ดศิ กุล, พระราชวงศ์จกั รี สมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 6 (สง่ิ ทข่ี ้าพเจา้ พบเห็น สมัยรัชกาลท่ี 6) 70-71.
109 เรอ่ื งเดยี วกัน., 135.
110 Ronit Ricci, "Introduction: Exile in Colonial Asia: Kings, Convicts, Commemoration," in Exile in Colonial Asia, Ronit

Ricci, Kings, Convicts, Commemoration (Honolulu: University of Hawai'i Press, 2016), 5-6.

111 หจช. ร.5 บ.3/4 ไปรเวตเรอื่ งพระองค์เจา้ ปฤษฎางคข์ อกราบถวายบังคมลาไปอยู่เมอื งเซี่ยงไฮ้ก่อน
112 ปฤษฎางค์, ประวตั ิยอ่ นายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จ้าปฤษฎางค์ แต่ประสูติ พ.ศ. 2392 ถึง 2472, 63.
113 เร่ืองเดยี วกัน.
114 พูนพิศมัย ดิศกุล, พระราชวงศ์จักรี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 (สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น สมัยรัชกาลที่ 6) 165-66; Greene,
Absolute Dreams: Thai Government under Rama Vi, 1910-1925, 154-56.

115 กลุ ลดา เกษบญุ ชู มดี้ , ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวฒั นาการรัฐไทย และดูเพม่ิ เตมิ ไดท้ ่ี นครินทร์ เมฆไตรรตั น์, การปฏิวัตสิ ยาม
พ.ศ.2475 (กรงุ เทพฯ: ฟ้าเดยี วกัน, 2553).
116 ดู ประกาศของคณะราษฎรฉบบั ท่ี 1 ในชัยอนันต์ สมทุ วณชิ และ ขตั ตยิ า กรรณสูต, เอกสารการเมอื งการปกครองไทย (พ.ศ. 2417-
2477),209-11

อภิปรายบทสรุป

งานศึกษาการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มุ่งชี้ให้เห็นว่าความไม่พอใจในระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ส่วนหนึ่งมาจากความไม่พอใจระบบอุปถัมภ์ ความย้อนแย้งของระบอบท่ี
เหมือนจะเปิด โอกาสให้คนสามารถเลื่อนชนชั้นทางสังคมได้แต่สุดท้ายก็ถูกปิดกั้นด้วยการให้
ความสำคัญกบั ชาตวิ ฒุ ิ มากกว่า115 ในประกาศคณะราษฎรก็ประณามกษัตริยท์ ่ีทรงเป็นใจกลางของ
ระบบอุปถัมภ์ดังกล่าวว่า “ทรง แต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณงามความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่
สำคัญ ๆ ไม่ทรงฟงั เสียงราษฎร ปล่อยให้ ขา้ ราชการใช้อำนาจหน้าท่ีในทางสุจริต”116 มุมมองดังกล่าว
อาศัยหลักฐานและการศึกษาจากเบื้องล่างสู่เบื้อง บน (หรือจากข้าสู่เจ้า) บทความนี้จึงมุ่งไปอีกทาง
หนึ่งโดยศึกษาจากเบื้องบนสู่เบ้ืองล่าง (เจ้าสู่ข้า) ศึกษาการ ทำงานของความไว้เนื้อเชื่อใจซ่ึงเป็นสิ่งที่
คำ้ จุนระบอบอุปถัมภ์ในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชยเ์ อาไว้และกดั กร่อนไปในเวลาเดียวกัน

277

จากการศึกษาอาจสรุปความสัมพันธ์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ดังแผนภูมิที่ 1
ระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบที่ก่อขึ้นจากความสัมพันธ์ส่วนตัวและเป็นสิ่งที่ตอบสนอง
ต่อบริบทของยุค สมัย แต่การดึงอำนาจมาสู่ตัวพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางก็กลายเป็นการย่ิงตอก
ย้ำความสำคัญของกษัตริย์ ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ตามแผนภูมิมรา 1 กษัตริย์ต้องการบุคคลที่ไว้
วางพระราชหฤทัย ในทางการเมือง ผู้ที่ ไว้วางพระราชหฤทัยก็จะเป็นเครือข่ายที่สร้างความมั่นคง
ทางการเมืองให้กับพระองค์ ทั้งยังปฏิบัติหน้าที่ ราชการเป็นตัวแทนพระองค์ได้ และในทางส่วนตัว
คนเหลา่ นี้ก็ทำให้ทรงสามารถสบายพระทัยได้ เป็นท่ีพ่งึ ท่ามกลางภาระงานอันใหญ่หลวงของพระเจ้า
แผน่ ดิน ความไวเ้ น้อื เช่อื ใจจึงมีความสำคัญอย่างย่ิงในระบอบน้ี ขณะเดียวกนั ความสัมพันธ์นี้ก็จะขาด
ข้าไม่ได้ ฝ่ายข้าเองก็ปรารถนาจะเป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย เพราะ นั่นหมายความว่าตนจะ
ได้รับโอกาสในทางราชการและบำเหนจ็ รางวัลตา่ ง ๆ อย่างไรกด็ ี ความสัมพนั ธน์ กี้ อ็ าจ ถกู ทำลายลงได้
ผ่านกลไกของการเพ็ดทูลข่าวลือ สร้างความเท็จเสื่อมเสียให้กับฝ่ายข้า เพราะเจ้าไม่ได้มีข้าเพียง
คนเดยี ว

แผนภมู ทิ ี่ 1 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเจ้ากับขา้

แผนภมู ิท่ี 2 จำลอง “วงโคจร” ราชสำนกั


Click to View FlipBook Version