28
ความตอนหนึ่งจากหนังสือ ตาคลีน้ำตาไม่มีเสียงร้องไห้ผลงานวรรณกรรมเชิงสารคดีของ
นักหนังสือพิมพ์ผู้ ล่วงลับ รงค์วงสวรรค์งานชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในปี 2516 แต่การเข้าไปเก็บข้อมูลของรงค์น้ัน
ได้เข้าไปในช่วงที่ กองทัพอากาศสหรัฐกําลังจะเข้ามาตั้งฐานทัพใหม่อีกครั้ง ในปี 2515 หลังจากกองทัพ
จากกองบิน 4 ตาคลไี ปร่วมหน่ึงปี วรรณกรรมใหภ้ าพตาคลีในฐานะฉากของวิถีชวี ิตท่ีผู้คนทั้งใน และนอกพื้นที่
ต่างต้องการพึ่งพาเงินดอลล่าที่เข้าสู่กระเป๋าพวกเขาผ่านธุรกิจบริการ ไปจนถึงธุรกิจสีเทาอย่างการค้าของ
หนีภาษีและการค้าประเวณีเป็นต้นจากจํานวนของไนต์คลับที่มากกว่าจํานวนวัด แสดงถึงความกระหาย
เงนิ ดอลล่านที้ ําให้ตาคลีถกู มองวา่ เป็นเมืองของ การหาประโยชนอ์ ันฉาบฉวย พวกเขาจึงเฝา้ รอการกลับมาของ
ทหารอเมริกันท่ีจะนําความมั่งคั่งมาสู่พวกเขา ดังนั้นคํากล่าวข้างต้นเป็นคํากล่าวที่ผู้คนทํางานรับจ้างทั่วไปใน
ยุค 2500 มีค่าจ้างเฉลี่ยเพียงชั่วโมงละ 3-4 บาท เท่านั้น ในยุคที่ 1 ดอลลาร์มีค่าเท่ากับ 20 บาท 400,000
ล้านดอลลาร์คิดเปน็ เงนิ ไทยเท่ากบั แปดล้านล้านบาทไทย จํานวนเงนิ มหาศาลเช่นน้จี งึ มากขนานวา่ ในความคิด
ของพวกเขาสามารถสร้างโลกขึ้นมาได้อีกใบเลยทีเดียว6 กล่าวคือมันเป็นเงินจํานวนที่พวกเขาไม่สามรถจิตนา
กาณถึงมูลค่าของมันได้นั้นเอง การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของจี ไอที่หมดไปกับการหาความสุขทําให้เกิดธุรกิจ
บริการเพื่อรองรับเราสะเก็ดเงินที่สะพัดจากสงคราม วิถีชีวิตของชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนจากการทําไร่ทํานา
มาอยู่ในธุรกิจบริการนี้เอง โดยอาชีพยอดนิยมของผู้ชายคือการเป็นสามล้อ ถีบซึ่งพบเห็นได้ที่เมืองตาคลี
อย่างคับคั่ง โดยคิดค่ารับส่งอยู่ที่เที่ยวละ 1–2 ดอลลาร์หรือ 20-40 บาท ซึ่งมากกว่า การทํางานรายชั่วโมง
ถึงสิบเทา่ ด้วยกัน โดยวันหน่งึ น้ัน สามลอ้ ถีบมรี ายไดโ้ ดยเฉลยี่ 1000 ถงึ 3000 บาทต่อเดอื น
ในดา้ นรายได้ของผู้หญงิ ที่มาหากินตามบาร์นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกวา่ รายได้ของผ้หู ญิงในทุก ๆ โดยจะได้
ส่วนแบ่งคนละครึ่งกับบาร์เช่นค่าเครื่องดื่ม 20 บาท ก็จะได้แบ่ง 10 บาท ค่าชั่วโมงนวด 60 บาท ก็จะได้แบ่ง
30 บาท คืน ๆ หน่ึงผหู้ ญงิ เหลา่ นี้จะมีรายได้ประมาณอย่างตํ่าสุด 150 บาทไปจนถงึ 500 บาท รายได้เฉล่ียต่อ
เดือนขั้นตํ่าจะตกอยู่ระหว่าง 3000 ถึง 5000 บาท ดังนั้นจึงไม่เป็นท่ีน่าสงสัยเลยว่าคุณเธอเหล่านี้มีชีวติ ความ
เป็นนอยใู่ ช้จ่ายเงนิ ทองอย่างสรุ ุ่ยสุร่ายมากการทสี่ หรัฐฯ ได้เข้ามาตัง้ ฐานทพั ในขังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย
รวมท้ังที่ตาคลีแม้ว่า ชาวบา้ นทง้ั หลายจะไม่ค่อยมีความรู้สึกยนิ ดยี ินร้ายนักกับหหารต่างชาติเหล่านี้ ยกเว้นแต่
พวกพ่อค้าและคนที่เข้าไป ทํางานหวังได้เงิน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสะดุดใจก็คือความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ของสังคมเดิมและวัฒนธรรมใหม่ที่ เกิดขึ้น สังคมเดิมของตาคคือชนบทอันเงียบสงบทีประชาชนส่วนใหญ่
ยังมฐี านะยากจน สเู่ มอื งทเ่ี ปน็ ด่ังเมืองทองให้ ผ้ตู อ้ งการแสวงหาความก้าวหน้าจากเงินดอลลาร์ความตอนหน่ึง
จากบทสัมภาษณ์ผู้หญิงขายบริการนามว่า พรรณ จากวารสารสังศาสตร์ปริทัศน์ฉบับที่ 8 ปีที่ 10 สิงหาคม
2515 ความวา่
6 รงค์ วงสวรรค.์ (2516). ตาคลนี ้ําตาไม่มเี สียงร้องไห้. หนา้ 11
29
“พรรณ : "ดิฉันเกิดที่ธนบุรีจบการศกึ ษาจากโรงเรยี นพาณิชย์แห่งหน่ึง เดิมดิฉันเป็น ครูสอน
หนังสือเดก็ ที่โรงเรียนแถววงเวียนใหญ่ตอ่ มาได้เปลี่ยนอาชีพไปเป็นแคธเชียร์ อยู่ ในบาร์แห่งหนึ่งแถว
ถนนเพชรเกษร ใครๆ กร็ วู้ ่าหน้าทีแ่ คชเชียรน์ ้นั เงินเดือนนอ้ ย นอ้ ยกว่าผ้หู ญิงพาร์ทเนอรม์ าก ประกอบ
กับเรื่องยุ่งยากในครอบครัวและภาระที่ จะต้องเลี้ยงลูก 3 คนและหลานๆดิฉันจึงได้ตัดสินใจเข้ามา
ทํางานเช่นนี้เพราะเห็นว่ามี รายได้ดีกว่าอาชีพอื่น และไม่ต้องการที่จะเป็นหนีบุญคุณใคร ดิฉัน
ต้องการที่จะพึ่ง ตัวเองก่อนหนา้ ที่จะมาตาคลีดิฉันทาํ างานอยู่ที่บาร์แถวถนนพัฒนพงศ์พวกเพื่อนๆ ก็
นั่นได้รักชวนให้มาทํางานที่นี่ ประกอบกับต้องการที่จะหนีบัญหาบางอย่างทีกรุงเทพ ดิฉันจึงได้
ตดั สินใจมา" ”
จะเห็นได้ว่าการตัดสินในมาเป็นผู้หญิงค้าบริการนั้นแม้จะเป็นทางเลือกที่จะเพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจ
อย่าง รวดเร็วแล้วนั้นในทางสังคมก็แสดงใหเ้ ราเห็นว่า ในยุคนี้ผู้หญิงมีความต้องการที่จะกําหนดชีวิตตัวเองได้
เพราะการ แสวงหางานที่บางครัง้ ได้ผลตอบแทนดีกวา่ ผู้ชาย ทําให้ผู้หญิงในยุคนี้ไม่ได้เป็นเพียงไม้ประดับหรอื
สิ่งที่จะถูกผู้ชาย เก็บไว้แต่ในเรือนอีกแล้ว พวกเธอมีความกล้าคิดกล้าทําอย่างเด็ดเดี่ยวจนน่าเหลือเช่ือ
แต่อย่างไรก็ตามจากบันทึกของรงค์วงสวรรค์ได้เรียกพวกเธอว่าผีเสื้อปีกผุที่เฝ้ารอการกลับมา
ของทหารอเมริกน แสดงถึงลักษณะของสังคม ตาคลีที่พึ่งพาทรัพยากรจากสหรัฐ ดังนั้นเมื่อกองทัพสหรัฐถอน
ทพั ออกไปในชว่ งเวลาหนงึ่ ทําใหต้ าคลซี บเซาลง จากการออกจากพืน้ ทโ่ี ดยฉับพลนั ของประชากรทหาร
การถอนทหารของสหรัฐอเมริกาออกจากประเทศไทยอย่างถาวรใน พ.ศ. 2519 กลับส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อกลุ่มคนที่แสวงหารายได้จากสงคราม โดยเฉพาะชาวบ้าน ชาวนา ชาวไร่ ที่เงินดอลลาทําให้ชีวิต
ของพวก เขาเปลี่ยนไปอย่างยากที่จะกลับไปอยู่ในวิถีชีวิตแบบเดิมได้ประชากรจํานวนหนึ่งจึงหันไปหาโอกาส
จากงานในต่างประเทศ ธุรกิจบาร์และไนต์คลับเริ่มซบเซา และทยอยปิดกิจการลงจนหมดในเวลาไม่กี่ปีต่อมา
แต่ภาพแสงสีของตาคลีกลับยังคงถูกเสนอออกในลักษณะเช่นเดิม จากในวรรณกรรม ผู้หญิงคนน้ันชื่อบุญรอด
ผลงานของ สุภา สิริสิงห ที่ใช้นามปากกา โบตั๋น ที่ตีพิมพ์ในปี 2521 นวนิยายศีลธรรม (Moral Novel) นว
นิยายที่มุ่งเสนอ ประเด็นของศีลธรรม วรรณกรรมแสดงภาพความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตของ ผู้หญิงชาวไทย
และ บ๊อบ ทหาร อเมริกัน โดยมีฉากอยู่ที่ตาคลีแม้บุญรอดเธอจาะไม่ต้องการเป็นผู้หญิงค้าบริการ แต่การที่มี
ทหารอเมริกันเข้าหา เธอในลกั ษณะสังคมเช่นนี้ก็ไม่พ้นทจ่ี ะถูกมองว่าเปน็ เมยี เชา่ นน้ั เพราะ เมยี เช่า ไม่ได้จํากัด
อยู่เพียงผู้หญิงค้าบริการเท่านั้น หากแต่กินความหมายรวมไปถึงผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับทหารสหรัฐด้วย
เพราะพวกเธอเหล่านั้นอาจเป็นเครื่องระบายความเหงาเพียงชั่วคราว หรือแม้จะรักกันโดยสุจริตใจ
แต่การถอนทพั ท่ีตอ้ งมาถึงกไ็ ม่ได้มีอะไรเป็นหลกั ประกนั ระหวา่ งชวี ติ คู่นี้ได้เทา่ ใดนัก
ตาคลียังถูกจดจําและพูดถึงในงานวรรณกรรม ช่างไม้ตาคลีของ สิทธิชัย ธาดานิติที่ถูกตีพิมพ์
ในปี 2521 เช่นกัน ช่างไม้ตาคลีจัดอยู่ในหมวดเรื่องสั้นกึ่งความจริงนั้นเพราะตัวของสิทธิชัยเองเขียนขึ้นมา
จากประสบการณืที่ เคยเข้าไปทํางานเป็นล่ามในฐานทัพสหรัฐหลายแห่งรวมไปถึง กองบิน 4 ตาคลีเช่นกัน
แต่เนื้อเรื่องในหลายตอน กลับแฝงความตลกร้ายที่ยากจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ภาพลักษณะของตาคลีที่ถูกเสนอ
30
นั้นกไ็ ม่ตา่ งจากผลงานของรงค์ วงสรรค์เทา่ ใดนกั อันจะเหน็ ไดจ้ ากความตอนหน่งึ ทแี่ สดงให้เห็นความคิดของตัว
ละครทีเ่ ข้ามาแสวงหาคงามมมง่ั คงั่ ในตาคลี
การแวงหาเงนิ ของผู้คนนี้จึงเปน็ ไปอยา่ งสุดเหวีย่ ง ตา่ งกระโจนลงแหวกวา่ ย อยใู่ น
ทะเล กศุ ลมูลกันอยา่ เพลิดเพลน กวงก็เป็นนหน่งึ ในคนจํานวนนนั้
ถ้าความรัก ความโกรธ ความโลภ และความหลงเป็นวิสัย กวงก็ไม่ปฏิเสธความเป็นปุถุชน ทาง ใดก็
กามไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ถ้าให้ได้มาซึ่งเงินตรา กวงเป็นเอาทุกท่า ฉะนั้นหากใครสักคนทะลึ่ง ยกเอา
ธัมมะอันเป็นโลกบาลซึ่งมีความละอายแก่ใจ และโอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป มา อ้างเพื่อปราม
ความเป็นปุถชุ นของเขา กวงคงได้หัวเราะเยาะจนฟันโยก เพระเกิดมาไม่เคยได้ ยินหรือถึงเคยกแ็ กล้ง
ลืมๆมนั เสีย
เพราะอะไรหรอื ?
ตอบง่ายนิดเดียว....เพราะกวงหิวเงนิ !
แต่ใช่ว่าจะมีกวงคนเดียวเท่านั้น ความหิวเงินมิได้จํากัดกรอบเขตของมันอยู่ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง กลุ่ม
ใดโดยเฉพาะแต่มนั แผซ่ ่านเขา้ ครอบงําผู้คนอย่างกว้างขวางเกินกวา่ จะ ระบไุ ดว้ า่ มีคนกลุ่ม ใดบ้างท่ีไม่
หิวเงนิ เลย กย็ ากเยน็ เหมอื นงมเขม็ ในมหาสมทุ รทเี ดียว
จะเห็นได้ว่างานวรรณกรรมของสิทธิชัยนั้นมิได้ต้องการจะชี้นําศีลธรรมแก่ผู้อ่าน หากแต่แสดงภาพ
ข อ ง ท ั ศ น ค ต ิ ท ี ่ ร า ย ล ้ อ ม ฉ า ก ห ล ั ง อ ย ่ า ง ต า ค ล ี ไ ด ้ อ ย ่ า ง ส อ ด ค ล ้ อ ง ก ั บ ว ร ร ณ ก ร ร ม ข อ ง ร ง ค ์ ท ี ่ ท ั ้ ง คู่
ต่างเคยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสังคมตาคลีในช่วงเวลานั้น ต่างจากงานของ สุภา สิริสงห ที่ยังไม่ปรากฎ
หลักฐานว่าเคยเข้าไปเก็บข้อมูลในพื้นที่หรือไม่อย่างไรก็ดีภายหลังปี 2521 มีเพียงนวนิยายเรื่อง กรงกรรม
(2560) และบุษบาตาคลี (2565) ของ ผู้เขียนนามปากกา จุฬามณีหรือชื่อจริงว่า นิพนธ์เที่ยงธรรม ที่หยิบเอา
เรอื่ งราวของผหู้ ญงิ คา้ บริการในตาคลีมาใชเ้ ปน็ ปมของตัวละครใหเ้ หน็ อยบู่ า้ ง
ตาคลหี ลังการถอนทัพของสหรฐั
“Yankee Go Home” เปน็ หน่งึ ในคาํ ท่นี ักศกึ ษาและผู้เข้ารว่ มประทว้ งการเขา้ มาตง้ั ฐานทัพของสหรัฐ
นยิ มใชก้ นั เพอ่ื รณรงค์ตอ่ ตา้ นการขยายอทิ ธิพลของจักรวรรดินิยมอเมริกา ประชาชนกวา่ 10,000 คนเดินขบวน
ไปประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ผู้นํานักศึกษาเรียกร้องให้สหรัฐทําการถอนทัพออกไปจาก
ประเทศไทย โดยอ้างสาเหตุที่กองทัพสหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการช่วยเหลือเรือสินค้ามายา
เกวชที่ถูกเขมรแดงจับโดยไม่ขออนุญาต เรือมายาเกวชพร้อมลูกเรือ 40 คน ซึ่งรวมถึงกับลูกเรือประมงไทย
อีก 5 คน โดย ปฏิบัติการดังกล่าวจมเรือปืนกัมพูชาได้ 3 ลํา เรือมายาเกวชถูกจับในน่านนํ้าสากลที่ห่างฝั่ง
กัมพูชาถึง 60 ไมล์ทะเล รัฐบาลไทยสนองตอบด้วยการขอให้สหรัฐฯ รัฐบาลไทยได้ขีดเส้นตายว่าสหรัฐฯ
ต้องถอนทหารออกไปให้หมดภายใน 18 เดือน นั้นหมายถึงประชากรของทหารสหรัฐจะหายไปจากพื้นที่ของ
31
ตาคลีในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น ทําให้ปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในพื้นที่นั้นเปลี่ยนไป เม่ือไม่มีทหารสหรัฐแล้ว
ธรุ กจิ บริการ และธรุ กจิ ผิดกฎหมายตา่ ง ตอ้ งปดิ ตวั ลง และย้ายออกจากพน้ื ท่ีไป
แม้ว่าครั้งหนึ่งตาคลีจะเคยเป็นพื้นที่ที่เงินดอลล่าสะพัดแต่ภายหลังการถอนทัพตาคลีกลับไม่สามารถ
ดํารงสถานะความเป็นเมืองหรือจุดหมายปลายทางที่ผู้คนจะแวะเวียนเข้ามาได้เหมือนอย่างเคย
โดยสรุปได้เป็น 3 ปัจจัย ดังนี้ปัจจัยแรกนั้นคือการเข้ามาตั้งฐานทัพของสหรัฐเป็นการเข้ามาเพียงชั่วคราว
และขึ้นอยู่กับทิศทางการเมืองโลก จึงไม่มีความแน่นอนในธุรกิจระยะยาว ปัจจัยที่สองนั้นคือผู้คนที่เข้ามา
ในพื้นที่ต่างเข้ามา เพื่อหาประโยชนอ์ ย่างผิดกฎหมาย แม้จะสร้างรายได้ให้กบั ผู้คนจํานวนมาก แต่เมื่ออิทธิพล
ของกองทัพไทย และกองทัพสหรัฐหมดไปธุรกิจ ผิดกฎหมายเหล่านี้ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ได้ปัจจัยที่สาม
คือกลุ่มประชากรแฝง ที่เข้ามาหาประโยชน์ในพื้นที่นั้นไม่ได้ เข้ามาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
กล่าวคือไม่มีความต้องการในการตั้งถิ่นฐานในตาคลีโดยภาพสะท้อนในวรรณกรรมของรงค์วงศวรรค์
และสิทธิชัย ธาดานิติ ต่างเล่าถึงสภาพบรรยากาศของเมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งผิดกฎหมาย ภรรยาจากบ้านไกล
มาเพื่อหาเงิน หรือการที่สามีนิยมในภรรยาไปค้าบริการเพื่อหารายได้แม้จะถูกเล่าออกมาในเชิงตลกเสียดสี
แต่ก็แสดงให้เห็นถึงภาพของครอบครัวที่ต่างออกไปจากบรรทัดฐานทางสังคมทั่วไป สอดคล้องกับหลั กฐาน
หนงั สอื งานศพของนาวาอากาศตรีนยิ ม ทองนพคณุ ที่เคยประจาํ เป็นนักบินในกองบิน 4 ตาคลใี นช่วงปี 2506
ถึง 2509 โดยคําอาลัยของเพื่อนผู้เสียชีวิตที่เคยปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด ได้กล่าวถึงการแสวงหา
สถานที่ทเี่ หมาะแก่การต้งั ครอบครัว ซง่ึ เมอื่ นาวาอากาศตรีนยิ ม และเพอ่ื นได้ทําการสมรส ทงั้ คู่ได้ย้ายออกจาก
กองบนิ 4 ตาคลี เพ่ือไปราชการทอี่ นื่ แมจ้ ะเปน็ ชายแดนก็ตาม
จากปัจจัยทั้งสามข้อทําให้ตาคลีพบกับความเปลี่ยนแปลงทางอัตลักษณ์ หรือความหมายของพื้นที่
ที่เปลี่ยนไปด้วยเหตุของการสูญเสียกลุ่มผู้คนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่จนได้รับความหมายชุดหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้หายไป การดํารงอยู่ในความหมายเดิมของตาคลีจึงไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร
ให้กับพ้นื ท่อี ีกแล้ว นอกเสียจากการบอกเลา่ ความทรงจํา
ตาคลีในยคุ ไทยเท่ียวไทย
การขยายตัวของเส้นทางคมนาคม อัตราของผู้ถือครองรถยนต์ที่เพิม่ สูงขึ้น และธุรกิจบริการทีเ่ พิ่มข้นึ
เพอ่ื รองรับทหารอเมริกันในชว่ งสงครามเย็นนน้ั ส่งผลในภายหลังการถอนทัพ ในช่วงทศวรรษ 2520 ถงึ 2540
การ ท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้มีการสนับสนุนให้คนไทยท่องเที่ยวในไทยเพื่อกระตุ้นในเกิดการหมุนเวียน
ของเม็ดเงิน ในระบบเศรษฐกิจ ทําให้เกิดกระแสท้องถิ่น-ชาตินิยม อนุรักษ์มรดกของชาติ7 ดังนั้นการดํารงอยู่
ของความหมายเดิมของตาคลีในยุคที่ไม่มีอเมริกันจึงไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับพื้นที่ มิได้ดึงดูดให้เป็น
จุดหมายปลายทางของผู้คนได้อีกต่อไป ดังนั้นตาคลีและพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศจึงต้องสร้างความหมายใหม่
ขึ้นมาให้กับพื้นที่ โดยอยู่ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ไม่ขัดต่อค่านิยมทางสังคม และเชิดชูมรดกของชาติ การสร้าง
7 ภญิ ญพันธ์ุ พจนะลาวัณย์
32
คําขวัญประจําอําเภอที่มีสัมผัสคล้องจองทางภาษา เพื่อให้ติดหูผู้คนและเป็นนิยามโดยสังเขปของพื้นที่
จึงเกิดขึ้น
“ตาํ นานเมืองพระสงั ข์หลวงพ่อดงั สามอาจารยจ์ นั เสนเมืองโบราณ งามตระการถาํ้ เพชรถ้ําทอง”
ความหมายโดยสังเขปใหม่ของตาคลีนี้ไม่หลงเหลือข้อความที่กล่าวถึงความรุ่งเรืองที่ผ่านมาในยุค
สงครามเยน็ แม้แต่คําเดยี ว เปน็ ความเปล่ยี นแปลงที่พลกิ กลบั ด้านของดินแดนคนบาปคนหวิ เงินท่ีเคยเป็นมาจน
ไม่เหลือพื้นที่ความทรงจําของทางการ เพราะเป็นความหมายที่ขัดต่อศลี ธรรมอนั ดี ดังนั้นการสร้างความหมาย
ใหม่นี้จึงหวนกลับไปยังสิ่งที่เก่าแก่กว่านั้น กล่าวคือกลับไปสู่ความหมายที่ได้รับจากวรรณกรรมเรื่องสังข์ทอง
และพระเกจิอาจารย์ทั้งสาม อันได้แก่ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อรุ่งวัด หนองตานวล โดยหลวงพ่อรงุ่
วัดหนองตานวล มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหลวงพ่อเดิม และมีความสําคัญในฐานะผู้ค้นพบ พระแสงศรกําลัง
ราม อันเป็นศิลปวัตถุสมัยทวารวดีที่บริเวณถํ้าในเขาชอนเดื่ออันเป็นที่ตั้งของถํ้าเพชร ถํ้าทองนั่ นเอง
ซึ่งต่อมาได้นําถวาย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธี
ถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยา ดังนั้น การหวนกลับไปยกเอาความหมายเหล่านี้จึงสอดคล้องกลับยุคสมัย
ท่ตี ้องการดงึ ดูดผู้คนจากเปน็ ส่วนหนึง่ ของมรดกของชาติและประวตั ิศาสตร์ชาตไิ ทยน่ันเอง
สรุป
อาจกล่าวได้ว่าพืน้ ท่ีหนึ่งๆ ล้วนได้รบั การความหมายจากการมปี ฏิสัมพันธ์ของผู้คนในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ
ดังการยกกรณีตัวอย่างของอําเภอตาคลีที่ศึกษาผ่านการวิเคราะห์จากงานวรรณกรรมที่ใช้ตาคลีเป็นฉากหลัง
ของกิจกรรมต่าง ๆ แม้ไม่อาจจะข้อความในวรรณกรรมนั้นเป็นจริงเสียทั้งหมดแต่การมองโดยประกอบเข้ากบั
บริบททางประวัติศาสตร์ก็ช่วยให้สามารถหยิบข้อมูลในวรรณกรรมมาเพือ่ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของกิจกรรม
และการเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในแต่ละกลุ่มได้โดยการยกประเด็นของพื้นที่มาอธิบายนั้น ผู้วิจัยต้องการ
เสนอให้เห็นนถึงความต่อเนื่องของประวัติศาสตร์บนพื้นที่ซึ่งถูกแทนด้วยความหมายหนึ่ง ๆ ที่แตกต่างกัน
ตามช่วงเวลา การถูกชําระความหมายใหม่ย่อมมีเหตุที่มาของสูญเสียความหมายเดิมไป ซึ่งในกรณีนี้
คือการถอนทพั ของสหรฐั และการออกจากพ้ืนที่ของประชากรแฝงท่ีทาํ ให้พ้นื ที่ไม่สามารถดาํ รงความหมายเดิม
ไวไ้ ด้
33
เสยี วสวาด: การศกึ ษาภาพสะท้อนสงั คมจากวรรณกรรมและการนำมาประยุกต์ใชใ้ นปจั จุบัน
นายภทั รวุฒิ คุณมาศ รหัสนิสติ ๖๒๑๐๓๐๑๐๒๑๘
คณะสงั คมศาสตร์ สาขาวชิ าประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยศรีนรนิ ทรวิโรฒ
บทนำ
การมุ่งแสวงหาเอกลักษณ์ประจำชาติและการให้ความสนใจศิลปะวัฒนธรรมของชาตินั้นก็เพื่อให้เกิด
ความสำนึกในเอกราชของชาติและความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยมากยิ่งข้ึนi ภาคอีสานเป็น
ภูมิภาคที่มีวัฒนธรรมเป็นของตนเองอย่างโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของชาวอีสาน ได้รับการสืบ
ทอดจากบรรพบุรุษอันเป็นผลมาจากการตั้งภูมิลำเนา ด้วยสาเหตุปัจจัยทางการเมอื งและการสงคราม เป็นตน้
แบ่งย่อยได้ดังนี้ ๑. กลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมจากลุ่มแม่น้ำโขง ๒. กลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมจากเขมร - ส่วย
และ๓. กลุ่มวัฒนธรรมไทยโคราช โดยเฉพาะกลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมจากลุ่มแม่น้ำโขง ดังในช่วงสมัย
กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ การควบคุมหวั เมืองทางอสี านของราชธานีไม่ได้เป็นไปอย่างเคร่งครัด จงึ ทำให้หัวเมือง
ทางอีสานมีความใกล้ชิดกับอาณาจักรล้านช้างส่งผลให้อิทธิพลวัฒนธรรมประเพณีและ ความเชื่อต่าง ๆ
จากทางล้านชา้ งถกู แพร่และถา่ ยทอดมายังภาคอีสานหนึง่ ในนัน้ คือวรรณกรรม
จากการศึกษาวรรณกรรมอีสานโดยทั่วไปพบว่า วรรณกรรมส่วนใหญ่ได้รับการสืบทอดมาจาก
วรรณกรรมที่เจริญรุง่ เรืองในลุ่มแม่น้ำโขงและบางส่วนเกิดจากการรังสรรค์ของนักปราชญ์ท้องถิ่นตามคตนิ ิยม
ความเชื่อและธรรมเนียมii ทำให้เรื่องราวในวรรณกรรมอีสานมีความแตกต่างไปจากวรรณกรรมภาคกลาง
กล่าวคอื โครงสร้างของเรอื่ ง ความคดิ ความเชอื่ มีความแตกต่างกนั ออกไปโดย ความน่าสนใจอยูท่ ่วี รรณกรรม
อีสานได้บันทึกความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณี และอุดมการณ์ทางสังคม ของชาวอีสานไว้อย่างสมบูรณ์
และทำให้เห็นภาพสะท้อนสังคมจากวรรณกรรมนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจนiii วรรณกรรมเสียวสวาดเป็นวรรณคดี
ประเภทคำสอนเรื่องหนึ่งที่มีต้นฉบับมาจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สันนิษฐานว่าถูก
แต่งในสมัยอาณาจักรล้านช้าง และแพร่หลายในภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศไทย
เนื้อหาใน วรรณกรรมนอกจากจะสอดแทรกหลักธรรมทางพุทธศาสนายังมีเรื่องราวเกี่ยวกับ วิถีชีวิต
ความเปน็ อยู่ ความคดิ ความเชอื่ คา่ นยิ มในเร่ืองตา่ ง ๆ ของชาวไทยและชาวลาว ซึ่งมคี ณุ ค่าในการใช้ประโยชน์
ทางการศึกษา และเปน็ องคค์ วามรูท้ างดา้ นมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์iv
วรรณกรรมเสียวสวาดได้รับความสนใจและมีผู้ศึกษาโดยได้สรุปผลการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป
เช่น ระวีวรรณ อินทร์แหยม (๒๕๒๗) ได้สรุปว่า วรรณกรรมเสียวสวาดมีการแต่งด้วยอักขรวิธีเป็นของตนเอง
แตกต่างจากอักษรของไทยภาคกลาง สะท้อนให้เห็นสภาพแท้จริงของสังคมชาวอีสานในสมัยโบราณ
34
ทั้งประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อเรื่องของกฎแห่งกรรมทางพุทธศาสนา สอดคล้องกับนงลักษณ์ ขุนทวี
(๒๕๒๙) ได้สรุปว่า วรรณกรรมเสียวสวาดมีที่มาไม่ปรากฏหลักฐานของผู้แต่งเป็นวรรณกรรมคำสอน
โดยนำนทิ านชาวบ้าน และนิทานชาดกมาเป็นตวั อยา่ ง และขยายกระท้ธู รรม และคดโี ลกได้รับการปรวิ รรตใหม่
เป็นภาษาไทยกลางในเวลาต่อมา แบ่งเป็นเนื้อเรื่องใหญ่เป็นหลัก และประกอบเสริมจากเนื้อเรื่องย่อย
ซึ่งสะท้อนให้เห็นความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต และวิถีราชการมีหลักการคิดหลักในเรื่องปัญญาประเสริฐกว่า
ทรัพย์ และหลักการคิดย่อยตามนิทานที่ปรากฏ ทำให้ทราบถึงโลกทัศน์ และวัฒนธรรมของชาวอีสาน
ด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี และการละเล่นที่มีความสอดกับหลักธรรม
ทางพุทธศาสนาทั้งยังมสี ่วนในการกำหนดบทบาทและมอบ ความบันเทิงในสงั คมอสี าน
ศุภิสรา ก้องเกียรติศักดา (๒๕๖๐) ได้สรุปว่า ความเป็นมาของวรรณกรรมเสียวสวาดสันนิษฐาน
ว่าแต่งโดยนักปราชญ์ชาวลาวระหว่างค.ศ. ๑๖๔๒ - ๑๖๙๓ ตรงกับสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมิกราช
มีเนื้อหาพัฒนามาจากนิทานชาดกจัดเป็นวรรณคดีประเภทคำสอนเพื่อสั่งสอนประชาชน และเป็นแบบเรียน
ภาษาลาว ภาพสะท้อนสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏคือ ด้านการเมืองการปกครองให้เห็นภาพความเป็นจริง
ในชีวิตผู้อยู่ใต้การปกครอง ด้านกฎหมายมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตโดยใช้หลักเบญจศีล อุโบสถศีล
และหลักธรรมทางพุทธศาสนามาสอดแทรกในกฎหมาย ด้านการประกอบอาชีพปรากฏอาชีพ ด้านฝีมือ
ประเภทช่าง ค้าขาย และรับราชการในราชสำนัก และด้านความเชื่อในการเชื่อในกฎแห่งกรรม และศีลธรรม
ซึ่งอาจจะสรุปได้ว่าวรรณกรรมเสียวสวาดเป็นวรรณคดีที่ให้ข้อคิด อุทาหรณ์ และคติสอนใจในทางโลก
และทางธรรมแก่บคุ คลหลายระดับและในหลาย ๆ ด้าน โดยมวี ิธีการสอ่ื คำสอนผา่ นนิทาน สามารถวเิ คราะห์ได้
ในมิตกิ ารเมอื ง เศรษฐกิจ และสังคม และวัฒนธรรมไดอ้ ย่างลกึ ซ้ึง
ฉะนนั้ จะเห็นไดว้ า่ วรรณกรรมเสียวสวาดนัน้ มีคณุ ค่าเกี่ยวข้องทางด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
คือ ๑. เป็นหลักฐานเอกสารที่ทำให้ทราบสภาพสังคมที่ถูกสะท้อนออกมาจากวรรณกรรมว่าในยุคน้ัน
ม ี ล ั ก ษ ณ ะ เ ป ็ น อ ย ่ า ง ไ ร ซ ึ ่ ง จ ะ ส า ม า ร ถ น ำ ไ ป ต ่ อ ย อ ด อ ง ค ์ ค ว า ม ร ู ้ ท า ง ป ร ะ ว ั ต ิ ศ า ส ต ร ์ แ ล ะ ส ั ง ค ม ว ิ ท ย า ไ ด้
และ ๒. เป็นสิ่งชี้นำให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบศีลธรรมตามที่สังคมปรารถนาโดยวรรณกรรม
เสียวสวาดไดท้ ำหน้าที่เสมอื นเป็นกลไกควบคุมความสงบของสังคม ทำให้ทราบถึงส่ิงที่เป็นค่านิยมในสังคมนั้น
ๆ ซึ่งจะทำให้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะ และอุปนิสัยของคนในสังคม นั้น ๆ ได้ และอาจคง
ความสบื เน่อื งถงึ ปจั จุบันจงึ จดั ทำบทความน้ขี นึ้ เพือ่ ให้ทราบถึงที่มา และความสำคัญของวรรณกรรมเสียวสวาด
และภาพสะทอ้ นสงั คมจากวรรณกรรมเสียวสวาด และการนำมาประยุกต์ใชใ้ นปจั จุบัน
35
๑. ท่มี าและความสำคัญของวรรณกรรมเสียวสวาด
๑.๑. ภูมหิ ลังของวรรณกรรมในภาคอีสาน
หลักฐานทางโบราณคดีและเอกสารทางประวัติศาสตร์ทางฝั่งลาวv และไทยหลายชิ้นได้ กล่าวถึง
ท้ังยืนยันวา่ ภาคอีสาน และลาวมคี วามสมั พันธใ์ กล้ชิดมีรกราก และบรรพบรุ ุษรว่ มกนั จากปจั จัยทางภูมิศาสตร์
ภูมิรัฐศาสตร์ การเมือง และการสงครามvi เป็นต้น ข้อเท็จจริงที่กล่าวถึงการอพยพโยกย้ายมาสร้างครอบครัว
อย่ใู นถน่ิ เดยี วกนั เกิดจากเหตุการณเ์ มื่อพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ท่กี ลา่ วว่า “ในลาวเกดิ การจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ
กัน ราษฎรชาวเวียงจันทน์ลี้ภัยเข้ามาอาศัยอยู่ทางภาคอีสาน โดยแยกย้ายกันตั้งบ้านเรือนอยู่ตามพื้นท่ี
อุดมสมบูรณ์ มีหัวหน้าปกครองตนเองและขึ้นกับราชอาณาจักรไทย” การที่อีสาน และลาวมีความสัมพันธ์
เช่นน้ี ทำให้เกิดวัฒนธรรมร่วมกันอย่างเช่นวรรณกรรม ซึ่งวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมในอีสาน
ก็ย่อมเป็นที่นิยมในลาวไม่ว่าจะเสียวสวาด สังข์ศิลป์ชัย นางผมหอม โดยเฉพาะเสียวสวาด
เป็นวรรณกรรมอีสานทมี่ ีความแพร่หลายเป็นทนี่ ยิ มจนได้รบั การพมิ พ์ หรอื เผยแพร่เปน็ สำนวนต่าง ๆvii
วรรณกรรมอสี านเกดิ ขึน้ ได้เนอื่ งจากดินแดนในภาคอสี านท่ีมีอารยธรรม และวฒั นธรรมที่เจริญรุ่งเรือง
ดังพบจากหลกั ฐานทางโบราณคดีต้งั แต่ยคุ กอ่ นประวัติศาสตร์ เชน่ แหล่งโบราณคดบี า้ นเชียง อำเภอหนองหาน
จงั หวดั อดุ รธานีviii ผลทำให้เกิดความเจริญในด้านศลิ ปวฒั นธรรม ดงั นั้นเมอื่ มนุษย์มภี าษาใช้ และเร่ิมจดบันทึก
อารยธรรม และวัฒนธรรมที่สั่งสมมาจึงเป็นบ่อเกิดวรรณกรรม และเจริญควบคู่กับวัฒนธรรมเรื่อยมา
ซึ่งจะเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นความคิดความประณีต และสุนทรียะของชาวอีสาน วรรณกรรมอีสานในช่วงยุคตน้
ๆ นั้น นับว่าได้ยากที่จะค้นพบ วรรณกรรมที่ค้นพบมักจะเป็นเรื่องราวของ การเซ่นสรวงบูชาจิตวิญญาณ
และธรรมชาติเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา ภายหลังจากการได้รับอิทธิพลพุทธศาสนาวรรณกรรม
อสี านแตล่ ะเร่ืองนอกจากความไพเราะในอักษรศาสตรย์ ังมีกศุ โลบายทเ่ี ปน็ หลักธรรมทางพทุ ธศาสนาสอดแทรก
และซมึ ซบั ไปสปู่ ระชาชนในสังคมทกุ ชนช้นั โดยผ่านศิลปเชงิ กวีix
วรรณกรรมอีสานมีความเป็นเอกลักษณ์สืบเนื่องจากการปกครองในดินแดนภาคอีสาน มีความเป็น
อิสระในการปกครองกิจการภายในของตัวเอง เจ้าเมืองหรือหัวหน้าหมู่บ้านปกครองลูกบ้าน โดยทางราชธานี
จะได้รับส่วยเป็นการแสดงถึงความยอมรับในอำนาจจากหวั เมืองต่าง ๆ แต่ทางราชธานนี ้ัน ไมไ่ ด้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ในด้านการปกครอง ดังนั้นวัฒนธรรมของราชธานีจึงไม่ได้เข้าไปมีอิทธิพลในทางภาคอีสานx ทำให้อีสาน
มีรูปแบบวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ทั้งความคิด ความเชื่อ และค่านิยมในเรื่องต่าง ๆ มีแหล่งส่งเสริม
วรรณกรรมภาคอีสานผ่านวัดไปสู่ชาวบ้าน ทำให้วรรณกรรมมีความใกล้ชิดประชาชน และมีบทบาทควบคุม
สงั คมโดยเฉพาะวรรณกรรมประเภทคำสอน และวรรณกรรมประเภทนิทานธรรมอย่างเด่นชัด เช่น วรรณกรรม
เรอื่ งฮีตสิบสองคลองสบิ ส่ี วรรณกรรมเสียวสวาดxi
36
เสียวสวาดเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงอย่างมากในบรรดาวรรณกรรมอีสาน มีคุณค่าทางด้าน
อักษรศาสตร์ที่ปรากฏอย่างเป็นสำนวนโวหาร สำนวนคำประพันธ์ในการดำเนินเรื่องมีความงามของภาษา
วรรณศิลป์ และรสวรรณคดีทั้งยังถูกจัดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชนิดลายลักษณ์ อักษรประเภท
วรรณกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ขนบธรรมเนียมประเพณี จริยธรรม คำสอนสติเตือนใจ
ความเชื่อในเรื่องต่าง ๆ ตลอดจนค่านิยมทางภาคอีสานที่สะท้อนผ่านวรรณกรรมชิ้นนี้ได้อย่างดี
จนนำมาสู่ผญาทเ่ี ปน็ คติสอนใจใหช้ าวอสี านพึงระลกึ และปฏิบตั ิจนกลายมาเป็นระเบียบแบบแผนการดำรงชีวิต
สืบมาxii อาจกล่าวได้ว่าวรรณกรรมเสียวสวาดนี้ได้เป็นส่วนที่ได้สร้างผลกระทบในวงกว้างในภาคอีสาน
ในสว่ นของสภาพสงั คมอสี านซึง่ จัดเปน็ คุณคา่ ในประวตั ิศาสตร์สงั คม
๑.๒. ภมู หิ ลงั ของวรรณกรรมเสยี วสวาด
เสียวสวาด มาจากคำว่า เสียว ที่หมายถึง เฉลียว และสวาด ที่หมายถึง ฉลาด ดังนั้นแล้วเสียวสวาด
มาจากคำว่า เฉลียวฉลาด หมายถึง ผู้มีความเฉลียวฉลาดมีสติปัญญาสูง จากวรรณกรรมเร่ืองน้ี ชื่อเรื่องนั้นมา
จากชื่อพระเอกท่ีมชี ือ่ วา่ เสียวสวาด(เฉลียวฉลาด)และมีพีช่ ื่อ สีเสลยี ว (ศรีเฉลียว) กวีบางท่านหรือบางสำนวน
จะเรียกเรื่องนี้ว่า “สีเสลียวเสียวสวาด” บ้างก็เขียนเพียง“เสียวสวาสดิ์”และการเขียนในคำพ้องเสียง
เช่น เสียวสวาท เสียวสวาด ประวัติความเป็นมาของการแต่งเป็นสิ่งที่ยากจะค้นคว้าหาได้ สมัยที่แต่ง
ยากท่จี ะทราบได้ มแี ตเ่ พยี งข้อสันนิษฐาน
วรรณกรรมเสยี วสวาดหรือทช่ี าวอสี านเรยี กว่า ลำเสียวสวาด แต่เดิมสันนิษฐานว่าเป็นเรื่องมุขปาฐะxiii
เป็นนิทานคำสอนท่ีเลา่ สืบต่อกนั มาก่อนจะจดบนั ทึกไว้ การเล่าก็แล้วแตผ่ ู้เล่าจะใส่ความคิดเหน็ เพิม่ เตมิ เข้าไป
ตามปัจเจกบุคคล ผู้ฟังที่ได้ฟังอาจจดบันทึกไว้แล้วเล่าต่อให้ผู้ฟังอีกทอด ๆ ไป ดังนั้นนิทานแต่ละเรื่อง
แม้จะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายแต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ในทำนองเดียวกับ
เสียวสวาด การบันทึกไว้ในสมัยต่อ ๆ มาต่างมีหลายสำนวนแม้มีเนื้อหาเหมือนกัน รายละเอียด
ก็มีความแตกต่างบ้าง การบันทึกนั้นนิยมจารลงบนใบลานมัดรวมกันเป็นผูกมีทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง
จากการสันนิษฐานสมัยที่แต่ง อนาโตล ผู้นำฉบับสำนวนของมหาวีรวงศ์ฉบับบันทึกเป็นอักษรตัวธรรม
มาเรียบเรียงเป็นภาษาฝรั่งเศส พิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่นครปารีสเมื่อ ค.ศ. ๑๙๗๑ สันนิษฐานว่า
เป็นวรรณกรรมที่มีความเก่าแก่ที่สุดมีต้นกำเนิดร่วมสมัยกับวรรณกรรมเก่าแก่ของลาว คือเรื่อง ชาตกะ
และปัญจตันตระ เนื่องจากมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน และท่านเจ้าคุณพระอริยานุวัตร วัดมหาชัย
จังหวัดมหาสารคามที่ได้พบฉบับร้อยกรองและฉบับร้อยกรองได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าแต่งมาได้
ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีกว่าแล้ว โดยจารด้วยอักษรลาวไทยน้อยซึ่งท่านได้ปริวรรตฉบับร้อยแก้ว
เมื่อ ๒๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๙ และฉบับร้อยกรองเมื่อ ๑๐ เมษายน ค.ศ. ๑๙๘๐ จุดมุ่งหมายของการแต่ง
ของวรรณกรรมเสียวสวาดนั้นเพื่อ ๑. เป็นแบบเรียนใช้สั่งสอนบุตรหลาน ๒. เป็นตำราหรือคัมภีร์ใช้ เรียนรู้
37
สำหรับนักปราชญ์และสอนในราชสำนัก เรียกว่าอำมาตย์สอนพระราชา และ ๓. พระสงฆ์ใช้แสดงธรรม
ในเวลาเข้าพรรษาส่งั สอนอบุ าสกอุบากสิกาxiv
๑.๓. เรื่องราวโดยยอ่ ของวรรณกรรมเสยี วสวาดxv
สมัยหนึง่ เม่อื สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ประทบั อยู่ ณ คนั ธกฏุ ิ ทรงมีพระธรรมเทศนาแก่พระอานนท์
และพระสงฆ์สาวกทั้งหลายเรื่องพระปัญญาบารมีว่าเป็นของอันประเสริฐกว่าแก้ว ๗ ประการ หากเกิดแก่ผู้ใด
บุคคลนั้นย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวง ด้วยเดชานุภาพบุญราศี
แห่งปัญญาบารมีเหมือนกับเสียวสวาดในชาติแต่ปางก่อน พระอานนท์จึงทูลอาธารธนาให้พระองคต์ รัสเล่าเรื่อง
อนั มมี าแต่หนหลัง พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ จงึ ทรงนำนทิ านเสียวสวาดมาแสดงxvi
ณ เมืองพาราณสี สองสามีภรรยามีลูกชาย ๒ คน คนพี่ชื่อ
สีเสลียว คนน้องชื่อ เสียวสวาด เมื่อเสียวสวาด อายุ ๑๖ ปี
พ่อแม่แก่เฒ่าลงมากแล้ววันหนึ่งพ่อแม่จึง เรียกลูกทั้งสอง
มาแล้วแบ่งเรือนให้คนละหลัง เสียวสวาดเลือกหลังที่ยัง
ไม่ได้สร้าง สีเสลียวก็พอใจเลือกหลังที่สร้างเสร็จแล้ว
ภาพเปรยี บเทยี บแสดงใหเ้ หน็ : การแสดงพระธรรม พ่อและแม่จึงรู้ทันทีว่าลูกทั้ง ๒ จะต้องไม่ได้อยู่ด้วยกัน
เทศนาของสมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจา้ แก่พระอานนท์ ดังนั้นจึงสั่งสอนลูกทั้ง ๒ ให้อยู่ในโอวาทของตน ต่อมาไม่
และพระสงฆ์สาวก นานพ่อและแม่ก็ถึงแก่ความตาย สองพี่น้องก็อยู่ตามลำพัง
บนั ทกึ ภาพท่ี : วดั บงึ พระอารามหลวง อำเภอเมืองฯ พรอ้ มทงั้ ปฏบิ ัติ ตามคำสั่งสอนของพ่อแม่ทุกประการอย่างมี
จังหวดั นครราชสมี า ความสุข กระทั่งวันหนึ่งพ่อค้าชาวจัมปานำเรือสำเภา
มาจอดที่ท่าบ้านของสองพี่น้อง เสียวสวาดจึงไปทำความรู้จักกับนายเรือสำเภา เมื่อนายสำเภาจะนำเรือกลับ
เมืองจัมปา เสียวสวาดได้ตัดสินใจขอติดตามไปด้วยซึ่งนายสำเภาก็ยินดี ระหว่างทางเสียวสวาดได้ถามนาย
สำเภาหลายอยา่ งเชน่ เม่ือผา่ นหาดกจ็ ะถามวา่ มีหนิ หรือไม่ เมือ่ ผ่านปา่ กจ็ ะถามว่ามไี มห้ รอื ไม่ เมอ่ื ผา่ นบ้านก็จะ
ถามว่ามีคนหรือไม่ เมื่อผ่านเมืองก็จะถามว่ามีกษัตริย์หรือไม่ เมื่อผ่านผู้เฒ่าก็จะถามว่ามีสามขาหรือไม่
และเมอ่ื ผา่ นวดั กจ็ ะถามวา่ มพี ระหรือไม่ จนนายสำเภาคดิ ว่าเสยี วสวาดถามเช่นน้ีเปน็ บา้ นและหา้ มไมใ่ หถ้ ามอีก
เมื่อเรือสำเภาแล่นไปถึงเมืองจัมปาที่เป็นภูมิลำเนาของนายสำเภาลูกสาว และภรรยาของนายสำเภา
ต่างก็มาต้อนรับด้วยความยินดี จากนั้นนายสำเภาจึงเล่าเรื่องที่เสียวสวาดถามตนให้ลูกสาวฟัง ลูกสาวคือ
นางสีไวเป็นคนมีปัญญา และเฉลียวฉลาด จึงได้ตอบพ่อของตนว่าที่เสียวสวาดถามนั้นเป็นปัญหา
แล้วนางก็แก้ปัญหานั้นให้พ่อฟังว่า เสียวสวาดถามว่าหาดนี้มีหินหรือไม่ หินนั้นหมายถึงเพชรนิลจินดาน้ัน
มีหรือไม่ ที่ถามว่าปา่ นม้ี ไี มห้ รือไมค่ ือเขาถามหาไมจ้ วงไมจ้ ันทร์ทีม่ ีราคาแพง ทถ่ี ามวา่ บ้านนี้มคี นหรือไม่ น้ันคือ
เขาหมายถึงคนที่มีวิชาความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ และเป็นคนมีศีลธรรม ที่ถามว่าเมืองนี้มีกษัตริย์หรือไม่น้ัน
38
เขาหมายถึงผู้ปกครองเมืองที่ตั้งมั่นเที่ยงธรรมในทศพิธราชธรรม ที่ถามว่าคนเฒ่ามีสามขาหรือไม่ หมายความ
ว่าที่นั่นมีคนสูงอายุที่ยึดมั่นในพระรัตนตรัยหรือไม่ ส่วนปัญหาสุดท้ายที่ว่าวัดนี้มีพระหรือไม่ หมายถึงพระ
สารีริกธาตเุ จดีย์ ไม้ศรีมหาโพธิ์ และพระพทุ ธรูป
ภาพเปรยี บเทียบแสดงให้เหน็ : วดั ทีม่ พี ระสารรี กิ ธาตุเจดยี ์ ไม้ศรมี หาโพธ์ิ และพระพทุ ธรูป
จากภาพจะพบวา่ วัดมีองค์ประกอบดงั ทเ่ี สียวสวาดถามนายสำเภา และลูกสาวนายสำเภาตอบพอ่ ตน
บันทกึ ภาพท่ี : วดั ราษฎร์บำรุง(ปรก) อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา
เม่อื นายสำเภาฟงั ลกู สาวจบแล้วกเ็ ห็นว่าเสยี วสวาดเปน็ คนดีมีปญั ญาเฉลยี วฉลาด จึงยกลูกสาวของตน
ให้เป็นภรรยาของเสียวสวาด และอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับนายสำเภาอย่างผาสุก เป็นเวลานานถึง ๓ ปี
เมื่อนั้นกล่าวถึงพระยาจัมปานครเจ้าเมืองจัมปาปกครองบ้านเมืองด้วยความอยุติธรรม ปราศจาก
ทศพิธราชธรรม จึงเกิดอาเพศมีเหตุต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายประการ เช่น เทวดาองค์หนึ่งมาบันดาลให้พระองค์
มีพระทัยกริ้วโกรธ แต่บางครั้งก็มีพระทัยหวาดกลัวอันตราย ดังนี้พระองค์จึงให้เสนาอำมาตย์
เกณฑ์คนทั้งหลายมานอนเฝ้ายามท่ีพระราชวังคืนละ ๕๐๐ คน ถ้าใครหลบั ยามจะต้องถูกพระองค์ฆ่าตายหมด
ทุกคืนเป็น และเช่นนี้มาทุกคืน จนกระทั่งถึงคืนวันที่สี่ซึ่งจะเป็นเวรของนายสำเภาไปเข้าเฝ้าที่พระราชวัง
เขารูต้ ัววา่ เปน็ คนื ทเี่ ขาจะต้องตายเป็นแน่จึงเรยี กลกู และภรรยามาสงั่ เสีย
เสียวสวาดอาสาไปอยู่เวรแทนพ่อตาเมือ่ ไดเ้ วลาเสยี วสวาดก็อยู่เวรยามท่ีพระราชวงั และเลือกท่ีนั่งตรง
ทางขึ้นทางลง แล้วนั่งภาวนาคาถาตามที่พ่อแม่ของตนสอนโดยไม่ยอมหลับยอมนอน ดังเช่นคนอื่น ๆ เมื่อถึง
เวลาเที่ยงคืน พระยาจัมปานครก็เสด็จออกมาเพื่อจับคนหลับยามเสียวสวาดได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระ
ยาจัมปานครจงึ ท่องคาถานกแซงแซว เมอ่ื พระยาจัมปานครไดย้ ินก็เสด็จกลับไป พอถงึ ยามสองพระองค์ก็เสด็จ
ออกมาอีกเสียวสวาดก็สวดภาวนาคาถาสังมา เป็นดังนี้ เป็นน่าอยากหัว แท้น้อ พระยาจัมปานครได้ยนิ ก็เสด็จ
กลับไปอีกครั้นจวนสว่างกเ็ สด็จมาอีกเสียวสวาดจึง ภาวนาคาถาว่าเพิงจาแล บ่เพิงจา ลักขณาในใจ ฮู้แล้วอยา่
ใหเ้ ถงิ สอง คราวนี้พระยาจมั ปาได้ยนิ แล้วจึงล้มพระทัยที่จะฆ่าพวกเวรยาม พอดรี ุ่งสว่างพระยาจัมปานครจึงส่ัง
ให้อำมาตย์ไปสืบถามคนที่นั่งภาวนาคาถา ครั้นรู้ว่าเป็นเสียวสวาดพระองค์ตรัสถามความหมายของถ้อยคำ
39
ที่เสียวสวาดกล่าวเมื่อตอนกลางคืนนั้น เสียวสวาดกราบทูลให้พระยาจัมปานครให้ทรงทราบทุกประการด้วย
การนำนิทานมาเล่าเปรียบเทียบพระองค์พอพระทัยมาก จึงแต่งตั้งให้เสียวสวาดเป็นอัครมหาราชบัณฑิต
มีทาสหญิงชายพร้อม ทั้งเงินมากมาย ตั้งแต่นั้นมาเสียวสวาดก็ได้เป็นผู้อบรมสั่งสอนเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย
ให้อยู่ในรีตคือฮีตคลองอันดีงาม รวมทั้งถวายคำแนะนำและแก้ปัญหาต่าง ๆ ถวายพระยาจัมปานคร ทั้งนี้ด้วย
การนำนทิ านตา่ ง ๆ มาเล่า เปรียบเทียบจนพระองคท์ รงปกครองไพร่ฟ้าประชาชนด้วยทศพธิ ราชธรรมตามเดิม
ประชาชนก็มีความสุขถ้วนหน้าต่างขยันหมั่นเพียรเคารพในจารีตประเพณี กฎหมายบ้านเมือง นครจัมปา
ก็มีความเจริญรุ่งเรือง ไม่มขี า้ ศกึ ศัตรูมามุ่งร้ายตา่ งคนต่างอยสู่ ุขสบื มา สำหรับเสียวสวาดก็ได้ทรงภูมิพร้อมด้วย
จตุรพิธพรชยั อันประเสริฐเมื่อตายแล้วก็กลับสสู่ วรรคช์ ้นั ฟ้า
๒. ภาพสะทอ้ นสังคมจากวรรณกรรมเสยี วสวาดและการนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นปจั จบุ นั
๒.๑. ภาพสะท้อนสงั คมจากวรรณกรรมเสียวสวาด
วรรณกรรมเสียวสวาดได้ถกู นำมาวิเคราะห์ในเชงิ สังคม โดยระววี รรณ อินทร์แหยม(๒๕๒๗) นงลักษณ์
ขุนทวี(๒๕๒๙) และศุภิสรา ก้องเกียรติศักดา(๒๕๖๐) ซึ่งจากวรรณกรรมได้สะท้อนสังคมให้เห็นค่านิยม
และวัฒนธรรมที่ปรากฏออกมาจากวรรณกรรมเสียวสวาดผ่านวรรณกรรมพื้นบ้านกับชีวิตชาวอีสาน
เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับสังคมตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่านักเขียนวรรณกรรม
เปรียบเสมือนบุคคลสามคนที่รวมอยู่ในคนเดียวกัน คือ ๑. เป็นนักประพันธ์ ๒. เป็นหน่วยหนึ่งของคนรุ่นนั้น
และ ๓. เป็นพลเมืองของสังคมในฐานะที่นักเขียน ซึ่งย่อมได้รับอิทธิพลจากสังคมสมัยนั้นทาง ด้านค่านิยม
และวฒั นธรรมไมม่ ากก็น้อย โดยไดน้ ำมากำหนดโลกทัศนข์ องนกั เขียนวรรณกรรมxvii
“ค่านิยม” เป็นสิ่งที่บุคคลหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีค่า และควรรักษาแม้ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
แต่ก็ได้รับความนิยมในสิ่งนั้น และเห็นว่ามีค่าแก่การยกย่องค่านิยมในแต่ละสมัยอาจจะไม่เหมือนกัน
ในวรรณกรรมพื้นบ้านผู้แต่งมักจะพยายามแสดงค่านิยมในสังคมของตนที่มีอยู่ในสมัยนั้น โดยอาจจะด้วย
ความตัง้ ใจหรือไม่ก็ตามใหผ้ ู้อ่านเห็นได้เสมอ ซ่งึ ในสมัยต่อมาหรือกระท่ังปัจจุบันค่านิยมนัน้ อาจสูญหายไปแล้ว
และบางอย่างก็คงอาจดำรงอยู่xviii อีกทั้งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม “วัฒนธรรม” เป็นสิ่งแสดงถึงความเจริญ
ของหมู่คณะ ภาวะที่เป็นอยู่ ขนบประเพณี ความเชื่อตลอดจนภาษาของชาติใดชาติหนึ่ง วัฒนธรรมประเพณี
จะทำให้ทราบถึงมรดกของสังคมซึ่งในสังคมนั้น ๆ ประพฤติปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา วรรณกรรมพื้นบ้าน
ย่อมเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรม และประเพณีของชาวบ้านในสังคมนั้น ๆ วรรณกรรม พื้นบ้านกับชีวิตของชาว
อีสาน การที่กลุ่มชนชาวภาคอีสานมีสภาพแวดล้อม และสภาพพื้นฐานสังคม แตกต่างไปจากภูมิภาคอ่ืน
ของประเทศไทยมีอารยธรรม และวัฒนธรรมของตนที่สืบมา และมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการปกครอง
40
ที่มีอิสระ จึงส่งผลต่อค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี ความคิด ความเชื่อ ตลอดจนมีรูปแบบอักษร
จนเปน็ อตั ลกั ษณโ์ ดยเฉพาะของตน
(๑) ค่านิยมของชาวบ้านที่มีต่อสังคมของตนเอง คือการยึดถือและปฏิบัติตามขนบธรรมเนียม
ประเพณีของสังคมที่สืบเนื่องจากระบอบการปกครองบ้านเมืองซึ่งเสมือนเป็นกรอบควบคุมคนในสังคม
ตั้งแตส่ มยั โบราณทัง้ ยังมีระบบความเช่ือดั้งเดิมของชาวอีสานที่ตกทอด และรบั มาจากทางตอนเหนือโดยเฉพาะ
รับอิทธิพลจากจีน ซึ่งมักจะมีแนวโน้มทางด้านวัตถุนิยม หรือความเชื่อในสิ่งที่เคยเห็นคุณ และโทษมาแล้ว
เช่น บิดามารดา บรรพบุรุษผู้ล่วงลับให้ได้รับการยกย่องบูชาจนเกิดเป็นการเซ่นสรวง ทั้งนี้แล้วค่านิยม
ของชาวบ้านที่มีต่อสังคมตนก็มีอีกคือ ความเชื่อในกุศโลบายซึ่งเป็นอุบายในทางที่ดีอย่างการให้ปฏิบัติ
ตามหลักเบญจศีล เบญจธรรม ซึ่งเป็นหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ได้สอดแทรก เพื่อเป็นหลัก
ในแนวทางการประพฤติปฏิบัติตนของชาวอีสาน นำมาสู่ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีของชาวอีสาน
เช่น ฮีตสิบสอง เป็นจารีตประเพณีสิบสองเดือนเพื่อให้สมาชิกในสังคมมีโอกาสร่วมกัน ทำบุญประจำทุก ๆ
เดือน เพื่อให้เข้าใกล้วัดเข้าใกล้กับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเกิดเป็นความสมัครสมานสามัคคี
ในหมู่คณะ อีกทั้งให้ผลในทางอ้อมคือความเสียสละเพื่อสังคมส่วนรวม หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกสังคมรังเกียจ
และลงโทษ และคลองสิบสี่ คือแนวทางปฏิบัติในชีวิตครอบครัวต่อศาสนา และ สำหรับท้าวพระยากษัตริย์
ผ้ปู กครองบ้านเมืองพงึ ยึดถอื xix
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมอีสานได้เล็งเห็นความสำคัญทางจิตใจ จึงมีการแต่งบทกวี
หรือวรรณกรรมพื้นเพื่อสะสมแนวความคิด และคติสอนใจไว้ให้สังคม ซึ่งวรรณกรรมพื้นบ้าน อีสานน้ี
ไดม้ ีอิทธพิ ลในการยึดเหน่ียวจิตใจของชาวอสี านให้ยึดม่ันถือมั่นอย่ใู นศลี ธรรม และความดีงาม และวรรณกรรม
พื้นบ้านส่วนใหญ่ล้วนมาจากวัดทั้งเนื้อหาจะสอดแทรกขนบธรรมเนียมประเพณี ข้อคิด คำผญา และข้อขะลำ
ต่าง ๆ ตามแนวทางพระพุทธศาสนา ฉะนั้นวัดจึงเป็นศูนย์กลางที่รวมจิตใจของชาวบ้านอีสาน
ให้เปน็ น้ำหน่ึงเดยี วกนั เกดิ ความรกั ใครส่ ามคั คี เอ้อื เฟ้อื เผอ่ื แผ่ มีเมตตากรณุ าต่อผู้น้อย ให้ความเคารพตอ่ ผใู้ หญ่
เชื่อฟัง และกตัญญูรู้คุณบุพการี ดังนั้นค่านิยมของชาวอีสานในสมัยตั้งแต่โบราณที่มีต่อสังคม
จึงเป็นไปในทิศทางที่ดีงามอยู่ร่ว มกั นอย่างส งบส ุขซึ่งมักจะพบเห็นได้จากร่องรอยของ อิทธ ิพล ส ังคม
ในวรรณกรรม อาจกล่าวไดว้ ่าวรรณกรรมเปรยี บด่งั กระจกสะท้อนสงั คมxx
(๒). ค่านิยมที่ปรากฏด้านการศึกษา วรรณกรรมเสียวสวาดได้สะทอ้ นสภาพสังคม ชาวอีสานในสมยั
นั้นให้เห็นว่า ชาวอีสานยกย่องการศึกษาว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยยกย่อง
ผู้มีการศึกษาสูง และมีปัญญาเฉลียวฉลาดผู้ที่มีการศึกษาสูง และผู้มีปัญญาจะเป็นที่ยอมรับของสังคม
แม้แต่เจ้าเมืองราชบุตรหรอื เสนาอำมาตย์ทั้งหลายก็ยังใหก้ ารยอมรับนับถือ ดังเช่น เสียวสวาดซึ่งเป็นที่นับถือ
ของคนทั่วไปชาวอีสานสมัยโบราณนั้น ผู้ที่ได้รับการศึกษาส่วนใหญ่คือเด็กชาย ส่วนเด็กหญิงน้ัน
41
มักไม่ค่อยมีโอกาสเรียนหนังสือทั้งนี้เพราะสถานศึกษาส่วนใหญ่เป็นวัดและมีพระเป็นผู้สอน และรองลงมา
ก็คือบ้านมพี อ่ แม่เปน็ ผู้สอน จากวรรณกรรมเสียวสวาดยงั ได้แสดงใหเ้ ห็นประโยชน์ของการศึกษาไวห้ ลากหลาย
ตอนxxi
(๓). ค่านิยมที่ปรากฏด้านการปกครอง วรรณกรรมเสียวสวาดไดส้ ะทอ้ นภาพสังคมของชาวอีสาน
ในสมยั นัน้ ใหเ้ หน็ ว่า ชาวอีสานในสมยั นั้นนยิ มการปกครองแบบระบบธรรมาธิปไตยหรือ ระบอบประชาธิปไตย
ไม่นิยมการปกครองแบบอัตตาธิปไตยหรือเผด็จการ โดยเห็นว่าผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองน้ัน
ต้องมีทศพิธราชธรรมไพร่ฟ้าประชาชนจึงจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมีความอยู่ดีกินดี หากผู้ปกครองไม่ตั้งอยู่ใน
ทศพธิ ราชธรรมแล้วก็อาจใช้อำนาจในทางทผี่ ิดศลี ธรรมได้ทำให้ประชาชน เดอื ดรอ้ น สว่ นการปกครองระบอบ
ธรรมาธปิ ไตยหรือแบบประชาธิปไตยน้ันเจ้าเมืองหรือผู้ปกครองต้องมีพระทัยกว้างทรงยอมรับฟังความคิดเห็น
ของผ้อู ่ืนบ้าง และทรงยอมรบั นับถอื ผู้มีปัญญาไมห่ ลงในพระราชอำนาจขององคเ์ องxxii
(๔). ค่านิยมที่ปรากฏด้านการนับถือพุทธศาสนา วรรณกรรมเสียวสวาดได้สะท้อนภาพสังคมของ
ชาวอีสานในสมัยนั้นให้เห็นว่าชาวอีสานทุกคนมีชีวิตผูกพันอยู่กับวัด และพระสงฆ์อีกทั้งยึดมั่นในพุทธศาสนา
โดยถือว่าวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านทั้งเน้นให้เห็นว่าการนับถือพุทธศาสนาที่แท้จริง นั้นไม่ได้อยู่
ที่การฟังเทศน์อย่างเดียวหากแต่ต้องรู้จักการปฏิบัติตนด้วยการชำระจิตใจให้สะอาดผ่องแผ้ว
จึงจะเขา้ ถึงรตั นตรัยไดน้ อกจากน้ียงั กล่าวถงึ หลักธรรมทางพุทธศาสนาอย่างมากท่ีไดส้ อดแทรกไว้xxiii
ภาพเปรยี บเทียบแสดงให้เหน็ : การทำบุญในศาสนาพทุ ธ ด้วยการ
ถวายสังฆทานแดพ่ ระภกิ ษสุ งฆ์ เปน็ การแสดงถึงถงึ การ นบั ถอื พทุ ธ
ศาสนา ด้วยการทำนุบำรุงพระสงฆ์สาวก
บันทึกภาพที่ : วดั ราษฎร์บำรุง(ปรก) อำเภอเมืองฯ จงั หวัด
นครราชสมี า
(๕). คา่ นยิ มทปี่ รากฏเกี่ยวกับอำนาจของเงินตรา วรรณกรรมเสยี วสวาดสะท้อนให้เห็นว่าชาวอีสาน
ส่วนหนึง่ ในสมยั นั้นตกอยู่อำนาจของเงินตรา ซง่ึ เงินตราเหลา่ นีส้ ามารถซื้อทุกสงิ่ ได้อยา่ งสารพดั แม้แต่ความผิด
ก็สามารถทำให้เปน็ ถูกได้และเงนิ กส็ ามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างหลากหลาย ดังปรารถนาxxiv
(๖). ค่านิยมที่ปรากฏด้านการเคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่ วรรณกรรมเสียวสวาด
ได้สะท้อนภาพสังคมของชาวอีสานในสมัยนั้นให้เห็นว่า ชาวอีสานในสมัยนั้นส่วนใหญ่มีค่านยม ในการเคารพ
เชื่อฟังพ่อแม่และครูอาจารย์เป็นอย่างยิ่งหากไม่เคารพเชื่อฟังจะถูกตำหนิหรือลงโทษ สังคมสมัยน้ัน
เน้นเรื่องการเคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ หากจะค้านคำของ ผู้ใหญ่ต้องมี
เหตผุ ลxxv
42
(๗). ค่านิยมที่ปรากฏเกี่ยวกับผู้ชาย วรรณกรรมเสียวสวาดได้กล่าวถึงค่านิยมของสังคมเกี่ยวกับ
ผู้ชายไว้หลายประการ เช่น ความประพฤติ หน้าที่ ความรับผิดชอบ การปฏิบัติ และกิริยามารยาท
ลักษณะของผู้ชายที่ดีต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนและอยู่ในโอวาทของพ่อแม่และครูอาจารย์ หน้าที่ความรับผิดชอบ
และการปฏบิ ัติตนของผูช้ ายน้นั ที่มีความสำคัญคือ การศึกษาหาความรู้ เน่อื งจากชาวอีสานยกย่องคนมีปัญญา
และคนเฉลียวฉลาดทั้งนี้ต้องมีความรับผิดชอบในครอบครัว โดยเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีหาเลี้ยงครอบตัว
และส่ังสอนอบรมลูกให้เปน็ คนดีให้มีความรู้มปี ัญญาเฉลียวฉลาด ยดึ มน่ั ในศีลธรรมอันดี มีจิตใจเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่
ฉากสะท้อนท่ีปรากฏให้เห็นถึงสภาพความเป็นอยู่ของสังคม ชาวอีสานในสมัยนั้นว่าเป็นสังคมรวม
คือ พ่อ แม่ ลกู และหลาน จะอยรู่ ่วมกนั แม้ลกู จะแตง่ งานเป็นหลัก เปน็ ฐานแล้วก็ยงั ไมแ่ ยกครอบครัวออกไปอยู่
ต่างหากยังคงอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ระยะเวลาหนึ่งก่อน และส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงจะมาอยู่บ้านฝ่ายชาย
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าลูกชายจะต้องรับหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่ ด้วยความกตัญญูรู้คุณ ผู้ชายผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครวั
จะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมเที่ยงธรรมและไม่หลงใหล ในภรรยาของตนจนเกินไปต้องเป็นคนมีเหตุผล
ชายใดบังเอิญไปได้ภรรยาที่ไม่ดีไม่เที่ยงธรรม หรือเชื่อคำพูดภรรยาจนเกินไปก็อาจทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง
ของตนเกิดความเดอื ดรอ้ นได้xxvi
(๘). ค่านิยมที่ปรากฏเกี่ยวกับผู้หญิง วรรณกรรมเสียวสวาดได้กล่าวถึงค่านิยมของสังคมเกีย่ วกับ
ผู้หญิงไว้หลายประการ เช่น ความประพฤติ กิริยามารยาท การปรนนิบัติเอาใจผู้อื่น ลักษณะของผู้หญิงที่ดี
ผู้หญิงชั่ว และกิริยามารยาท ลักษณะของผู้หญิงที่ดีต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทของพ่อแม่ เช่นเดียวกับผู้ชาย
ต้องมีสัมมาคารวะมีวาจาอ่อนหวานรู้จักปรนนิบัติเอาใจผู้อื่นโดยเฉพาะสามี มีความอดทนมีฝีมือ
ในการทำอาหารรู้จักงานบ้านงานเรือน และเวลานอนภรรยาต้องนอนทีหลังแต่ต้องตื่นก่อนสามี
นอกจากนี้แล้วคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผูห้ ญิงท่ีดีคือต้องซื่อสัตย์และจงรักษ์ภกั ดีต่อสามีจะประพฤตินอกใจ
ไม่ได้หากหญงิ ใดประพฤตติ นนอกใจสามี จะไดข้ ้นึ ช่อื วา่ เป็นหญงิ ชว่ั ไมเ่ ป็นทีพ่ ึงปรารถนาของสามีและสงั คมxxvii
สิ่งปลูกฝังให้ชาวอีสานสมยั โบราณเช่ือถือ และปฏิบัติตามธรรมเนียมจารตี ประเพณี นอกจากจะอยู่ใน
รูปแบบของวรรณกรรม และแทรกด้วยพระธรรมคำสอน ยังมีนักปราชญ์ราชบัณฑิต ครู อาจารย์ พระสงฆ์
และพ่อแม่ ทำหน้าที่เป็นผู้ให้การอบรมสั่งสอนให้ชาวอีสานสมัยโบราณเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม
ตลอดจนมมี โนธรรมทางธรรมชาติส่งผลใหช้ าวอีสานมีการประพฤติปฏิบัติ และยึดเหน่ยี ววตามแนวทางปฏิบัติ
กิจวัตรประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย และรับช่วงกันมาเป็นหลายชั่วอายุ จนเกิดการจดจำ และเข้าใจโดยไม่ต้อง
อธิบาย หรือชี้แจงเหตุผล จากวรรณกรรมเสียวสวาดยังได้กล่าวถึงวัฒนธรรมประเพณี และความเชื่อของชาว
อสี านในสมัยนั้นไวด้ งั น้ี
43
(๑). วัฒนธรรมทางด้านวัตถุธรรมเช่นอาหารการกิน อาหารหลักได้แก่ ข้าวเหนียว ข้าวจี่ ปลาร้า
ลาบ แจ่ว สำหรับข้าวเหนียวนั้นก่อนที่จะนึ่งจะนำมาแช่หรือหม่าไว้ก่อน เมื่อหม่าไว้ประมาณ ๒ ชั่วโมง
จึงจะนำไปนึ่งให้สุกเวลารับประทานก็เอามือปั้นเป็นก้อน ๆ แล้วจิ้มกับปลาร้า ลาบ หรือแจ่ว อาหารอีสาน
ที่นิยมรับประทานที่สะท้อนจากวรรณกรรมและบ่งบอกความนิยมในสมัยนั้นคือ หมากส้ม หมากหวาน
หัวเผือก หัวมัน การแต่งกายถ้าฐานะดีศักดิ์สกุลสูงก็จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอย่างดี โดยเฉพาะผู้หญิงจะแต่ง
อย่างงดงามหม่ สไบอย่างดถี า้ เป็นผหู้ ญิงชาวบ้านจะนุ่งซิน่ xxviii
ภาพเปรียบเทียบแสดงให้เหน็ : การรับประทานขา้ วเหนยี วกับ
อาหารอสี าน จากภาพน้ำพริกผัก ตม้ แซบ่ และหมแู ดดเดียวทอด
บนั ทึกภาพที่ : บ้านของผูเ้ ขยี น
(๒). วัฒนธรรมทางด้านจิตใจได้แก่ การเคารพและเชื่อฟังผู้ใหญ่โดยเฉพาะพ่อแม่ ครูอาจารย์
พระสงฆ์และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้น้อยย่อมเคารพ และเชื่อฟังผู้ใหญ่พรของผู้ใหญ่ ถือเป็นสิ่งดี และ
เป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้น้อย การมีไมตรีจิตต่อผู้อื่นก็เป็นวัฒนธรรมทางจติ ใจอย่างหนึ่งที่ตาม ชนบทถือว่าเป็นสิ่ง
สำคัญที่ประพฤติปฏบิ ัติ และวัฒนธรรมทางด้านจิตใจ อีกหนึง่ ประเภทคือความเชื่อท่ีสะท้อนให้เห็นว่าชาวบ้าน
ในสมัยนั้นยึดมั่น และเชื่อถือประการแรกที่จะพบในวรรณกรรมเสียวสวาด คือความเชื่อในเรื่องฤกษ์ยาม
ของชาวอีสานในสมัยโบราณในเวลาที่จะเดินทางไปไหน ชาวบ้านจะนยิ มดฤู กษ์ยามก่อน และต้องออกเดินทาง
ตามฤกษย์ ามท่ีดีจึงจะถือว่ามีโชคชัยปราศจากอนั ตรายทั้งปวงเม่ือ กระทำการสงิ่ ใดก็ประสบแต่ความสำเร็จxxix
ประการที่สอง คือความเชื่อทางโหราศาสตร์ในวรรณกรรม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องโชคลาง
คนเราจะโชคดหี รอื โชคร้ายขึ้นอยู่กับชะตาชวี ิตของตน และผทู้ ี่จะบอกไดค้ ือ โหร หรือผทู้ ่ีมหี น้าที่ในการทำนาน
โชคชะตาราศี ซ่ึงจะเปน็ ผู้ทำนายเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขน้ึ ในวิถีชีวิตของคนไม่ว่าจะทางรา้ ยหรือทางดีxxx
(๓). ความเช่อื ในเร่ืองผีสางเทวดาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วรรณกรรมเสียวสวาดได้สะท้อนให้เห็น
ถึงความเชื่อเรื่องผีสางเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวอีสานตั้งแต่โบราณซึ่งปรากฏให้เป็นที่ทราบอย่างมาก
โดยความเชือ่ เหล่าน้ยี ังคงปรากฏอยู่เรื่อยมา เร่ืองของเทวดาอารักษ์น้นั ชาวอสี านในสมัย โบราณมีความเช่ือว่า
สามารถบันดาลให้ประสบความสุขหรือสามารถคุ้มกันอันตรายให้แก่ตนได้ และผู้ใด กระทำความดีไว้
แม้ผอู้ ื่นจะไม่เห็นแต่เทวดาอารักษย์ ่อมรู้เห็น และมาช่นื ชมยินดผี ู้ใดกระทำแต่ความดี มศี ีลธรรมมีบุญวาสนาสูง
พระอินทร์ก็จะทรงบันดาลให้ได้รับความสุขความเจริญ สำหรับคนทั้งหลายก็ ทำตามความเชื่อตาแฮก
เป็นพระภูมิเจ้าที่ผู้รักษาไร่นาสามารถบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาลบัลดาลให้ข้าว ปลาอุดมสมบูรณ์
ดังนั้นตาแฮกจึงเป็นที่เคาระสักการะของเหล่าชาวไร่ชาวนา ส่วนความเชื่อในผีนั้น วรรณกรรมเสียวสวาทได้
44
ปรากฏเรื่องผีไว้ ๒ จำพวกคือ พวกที่ ๑ เป็นผีที่ให้คุณมีหน้าที่ปกปักรักษาและ คุ้มภัยให้ได้แก่ ผีเสื้อเมืองทำ
หนา้ ที่รักษาบา้ นเมือง ผีเส้ือนำ้ ทำหนา้ ท่ีรกั ษาแมน่ ้ำลำคลองและผเี สือ้ บกทำ หนา้ ทีร่ กั ษาทว่ั ๆ ไปและพวกที่ ๒
เปน็ ผรี ้ายไมด่ ีใหโ้ ทษxxxi
(ซา้ ย) ภาพเปรียบเทยี บแสดงให้เหน็ :
ศาลหลกั เมืองท่จี ะมกี ารบชู าเสอื้ เมือง ทรงเมอื ง
หลักเมอื ง
บันทึกภาพท:ี่ ศาลหลักเมืองจังหวัดนครราชสมี า
อำเภอเมอื งฯ จงั หวัดนครราชสมี า
(ขวา) ภาพเปรียบเทยี บแสดงให้เหน็ : เทวดา
อารักษ์อย่างศิลปะไทย
บันทกึ ภาพที่: วดั ราษฎร์บำรุง(ปรก) อำเภอเมืองฯ
จงั หวัดนครราชสมี า
(๔). ความเชอ่ื ในเร่อื งกฎแห่งกรรม ในวรรณกรรมเสยี วสวาดไดก้ ล่าวถึงเรื่องความเช่ือของชาวอีสาน
ในสมัยนั้นเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรมว่าชีวิตทั้งหลายที่เกิดมานี้ย่อมหนีจากกรรม และความตายไม่พ้น
แม้จะมั่งมีเงินทองมากก็ไม่สามารถซื้อหนทางหนีจากความตายได้สิ่งที่ประเสรฐที่สุดคือนิพพาน
ผู้ใดเข้าถึงนิพพานย่อมหลุดพ้นจากเวรกรรม และจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้แต่งได้เน้นให้เห็นถึงเรื่องการ
ทำบุญทำทานอย่างมาก และมีความเชื่อว่าผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะมีมากกว่าจำนวนทานที่ทำไป
ดังนั้นผู้ที่ยึดมั่นในคุณธรรมความดี ในศีลธรรม และพุทธศาสนาจะไปจุติในสวรรค์xxxii หรือแม้กระทั่งสามารถ
เขา้ ไปถงึ นิพพานxxxiii ข้อสงั เกตอีกประการหน่ึงคือความเชื่อม่ันในแนวทางศาสนาพุทธทว่ี ่าทำดไี ดด้ ี ทำชว่ั ได้ชั่ว
คือถา้ คนทำช่ัวไปแลว้ จะทำความดีเท่าใดก็ไม่สามารถลบลา้ งความชั่วน้ันให้หมดสิน้ ไปไม่ได้xxxiv
(๕). วัฒนธรรมด้านประเพณีและเคร่ืองดนตรี ด้วยความที่ประเพณีเปน็ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอัน
เกิดขึ้นจากความเชื่อ และความคิดของคน เมื่อคนเชื่อหรือคิดอย่างไรก็จะแสดงออกมาให้เห็น เช่นความเช่ือ
ทางศาสนาทำให้เกิดประเพณีเกีย่ วกับศาสนาหลายประการไม่ว่าจะการบวชเณร การบวชนาค พิธีหดสรง xxxv
และประเพณีการทำบุญทำทาน ประเพณีในภาคอีสานที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเสียวสวาดจะเรียกว่า ฮีต
ซึ่งหมายถึง ฮีตสิบสอง ทั้งนี้ยังมีประเพณีตาแฮก ประเพณีการแต่งงาน ประเพณีเกี่ยวกับการทำศพ xxxvi
ส่วนเครื่องดนตรีได้แก่ กลอง ระฆัง ฆ้อง หิ่ง(ลูกกระพรวน) กระดิ่ง โปงลาง โปง หอยสังข์ กังสดาล แคน ซอ
ขลุย่ และปแี่ ถxxxvii
45
๒.๒. วรรณกรรมเสยี วสวาดกบั การนำมาประยุกตใ์ ช้ในปจั จบุ นั
เพื่อให้เห็นภาพขึ้นจากวรรณกรรมเสียวสวาด จากตอน คำกลอนเตือนลูกเป็นตอนที่ สองสามีภรรยา
ผู้เป็นพ่อแม่สเี สลยี วและเสียวสวาดสงั่ สอนลูกตนโดยยกนิทานมาสั่งสอน ณ ทีน่ ้จี ะยกเร่อื งนิทานนกกะแดบเด้า
ซึ่งเป็นนิทานเรื่องแรกของวรรณกรรมเสียวสวาดมาประกอบ ซึ่งตัวอย่างนี้ได้มาจากเอกสารชั้นต้น
ของวรรณกรรมเสียวสวาดที่ได้รับการปริวรรตโดยท่านเจ้าคุณพระอริยานุวัตร เขมจารีเถระ วัดมหาชัย
จังหวัดมหาสารคาม เมื่อ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยการปริวรรติครั้งนี้ยังคงรักษารูปแบบ ดั้งเดิม
และรกั ษาความหมายเดมิ ในต้นฉบบั ไว้ใหม้ ากทส่ี ดุ ดังนี้
ญิงใด คำกลอนเตือนลกู ได้จาก
อย่าเอา เปน็ หมา้ ยฮ้างสามผวั ม่ิงเมีย
ชายใด เขา้ ฮว่ มเป็นแกว้ สามที
อย่าได้ ทงบวชแลว้ สิกออก มันน้ัน ฯ
เหน็ ว่า ทำสหายเกาะเกย่ี วมอื อยา่ ได้ลว่ งคำสอน น้นั เนอ
เป็นดง่ั สอนเขือไว้ ปางนัน้ แสม่งตาย
อนั หนึ่ง ทุกขะมำ่ เจา้ ตวั หนง่ึ โพธิสัตว์
เปน็ ดังนกกะแดบเดา้ อย่ากรายแดนนี้
พลอยเลา่ ปิตตาสอน หากินกรายเขต
ลอ่ งคำเถ้า ขยมุ ได้บน่ าน
แลว้ จิง ฮงุ้ ลวดแสว่ คำพ่อตนสอน
กจ็ งิ คึดฮ่ำฮู้ ตอ่ เสนาฮุง้
อันนี้ ไขวาจา ยงั กดู ายดอก
กกู ็ มงึ หากหลอนเอาได้ มงึ แท้ฮอ่ มใด
มึงจง บ่งึกบง่ อ้ ทลี นุ แควนมว่ น
อนั นี้ วางกูทอ้ น สอนไว้แมน่ คลอง แท้แลว้
เมื่อนั้น กหู ากลว่ งพอ่ เจ้า ยนิ คำนกกล่าว
เสนาฮงุ้ ขมคอ้ ยข่มแข็ง
กูจัก คึดเคียดเข้ม มากล่าวจาจบ
มึงจกั นกกะแดบนอ้ ย ต่อกสู ันนี้
จาคำเลว็ ฮบ ตามเซงิ ตามซ่าง มงึ ท้อน
กจู กั วางมงึ ให้ พร้อมก็ช่างมงึ หัน้ ท้อน
แตน่ ัน้ ไงแ้ ผน่ ฟา้ แผ่นดนิ บท่ ่อแมต่ นี ขวา
มันก็ ตวั มงึ น้ัน ให้กอยมึงเป้
มนั ก็ เอาทลี นุ บนิ ไปหาเขต
ฮุ้งกว็ างนกน้อย ขไ้ี ถแหง้ แก่นแข็ง
ลงอยู่ก้อน เซ่ินตนแอะแอ่น
แกวง่ ปีกเปอ้ื ง
46
มาเยอ ตบปกี ทา้ หางพรอ้ มแกว่งไกว
กูบ่ เสโนฮ้งุ ตวั หลวงปะเป่ง มาท้อน
เมือ่ นัน้ ไดห้ ยอ่ นย้าน มงึ แท้ท่อใย
เสโนไหม้ โกธาฮ้อนเฮ่ง
ตายเพราะ ปะเป่งเป้อื ง ลงพร้อมบป่ ุน
หลิวหลอบแมง้ มาแตก่ ลางหาว
ก็ไป่ สักกูณาหลบ เข้าในขงเงือ้ ม
เจา้ ก็ เสโนฮุง้ ทง้ั แฮงอกแตก
ตำถกื ก้อน ข้ไี ถแห้งแกน่ แข็ง
โกธาเข้ม ขมแขง็ เคม็ เคียด
ผญาคอบแพ้ คำฮ้ายบ่ดี
พ่อแมน่ ้ี คำปากแควนหนัก เจา้ เฮย
ปานคำสอน แหง่ พทุ โธเปน็ เจ้า
ตองตัดให้ สอนมาในโลก เฮาน้ี
ชักเหตใุ ห้ คนฮู้ชูอ่ ันxxxviii
คำกลอนเตือนลูกนี้ได้กล่าวถึง การที่พ่อผู้ชราได้สั่งเสียสั่งสอนลูกทั้งสองว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
เป็นม่ายมาแล้วสามสามีอย่าได้นำมาร่วมเป็นภรรยาอย่าได้คบเพื่อนที่เป็นผู้ชายที่บวช แล้วสึกออกมาสาม
อุโบสถ ให้ทั้งสองทั้งสีเสลียว และเสียวสวาดอย่าได้จะทำการไม่เชื่อฟังคำสอนของพ่อนั้น จะทำให้ลูกได้รับ
ความลำบากดังได้ยกตัวอย่างนิทานนกกะแดบเด้า(นกกะเด้าลม)กับเหยี่ยวรุ้ง มาประกอบการสั่งสอน
อันว่าด้วยมีนกกะแดบเด้าได้รับคำสั่งสอนจากพ่อของตนว่าอย่าไปหากินไกลถิ่นของตน แต่นกกะแดบเด้าน้ัน
ก็ไม่เชื่อฟัง และออกไปหากินไกลจากถิ่นตน ทำให้เหยี่ยวรุ้งเป็นเหยี่ยวขนาดใหญ่ตัว หนึ่งโฉบเข้าไว้ในอุ้งเล็บ
นกกะแดบเด้าจึงนึกถึงคำพ่อสอนก็เลยกล่าวแก่เหยี่ยวรุ้งว่า ที่แกจับข้ามาได้เช่นนี้ เพราะเป็นการหลอกล่อ
โจมตีถ้าสู้กันดี ๆ แล้วแกไม่สามารถชนะข้าได้หรอก แกจงรีบวางข้าลง ที่ข้าโดนจับได้ก็เพราะข้าไม่ฟังคำส่ัง
สอนของพ่อข้าต่างหาก เหยี่ยวรุ้งได้ฟังดังนั้นจึงรู้สึกเครียดแค้นคำ พูดจาของนกกะแดบเด้านั้นที่กล่าว
อย่างสามหาวจึงกล่าวแก่นกกะแดบเด้านั้นว่า จะวางแกลงตามคำที่ แกกล่าวอ้างครั้งหน้าแกจะไร้ชีวิตว่าแล้ว
ก็ปล่อยนกกะแดบเดา้ ไปxxxix
เมอื่ นกกะแดบเด้าได้รบั การปล่อยตวั และเป็นอิสระ ก็บินไปหาที่อยโู่ ดยลงไปอยู่ในก้อนดินที่ชาวนาไถ
ไว้จนเป็นก้อนแข็งและท้าทายด้วยการสะบัดปีกตบปีกท้านกเหยี่ยวรุ้งโดยกล่าวว่า มาเลยเจ้าเหยี่ยวรุ้ง
ข้าไม่กลัวแกหรอกนกเหยี่ยวรุ้ง นกเหยี่ยวรุ้งได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงบินถลาหา นกกะแดบเด้าแต่นกกะแดบเด้า
ก็สามารถหลบในก้อนดินได้ ด้วยแรงถลาของเหยี่ยวรุ้งจึงปะทะกับก้อนดิน ที่แห้งและแข็งจนตายด้วยเหตุ
แห่งความโกรธ เมื่อพ่อของสีเสลียวและเสียวสวาดเล่านิทานนกกะแดบเด้า กับเหยี่ยวรุ้งจบแล้วก็สั่งสอน
ต่อว่าคำสอนของพอ่ แมน่ ถี้ ึงจะหนักแนน่ เพียงใดกย็ งั น้อยกวา่ คำสอนของพุทธองค์ขอใหจ้ ำไว้ใหด้ ีxl
47
คำสั่งสอนของพ่อของสีเสลียว และเสียวสวาดจากนิทานเรื่องนกกะแดบเด้ากับเหยี่ยวรุ้งให้เห็น
ในเรื่องของการไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่จะได้รับความลำบาก และการสั่งสอนเรื่องการคบหา
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลโดยห้ามคบหากับหญิงม่ายผ่านสามีมาแล้วสามคนมาเป็นภรรยา และผู้ชาย
ที่บวชแล้วสึกมาแล้วสามวัดมาคบเป็นมิตรเพื่อนหากนำมาพิจารณา และเทียบเคียงกับปัจจุบันจากประเด็น
ตวั อยา่ งท่ยี กมาแบ่งไดเ้ ปน็ ๒ เร่อื งมาใช้พจิ ารณา
๑. จากบทกลอนทว่ี ่า ญงิ ใด เปน็ หมา้ ยฮ้างสามผัว ได้จาก
อย่าเอา เขา้ ฮว่ ม เป็นแก้ว ม่งิ เมยี
ชายใด ทงบวชแลว้ สิกออก สามที
อย่าได้ ทำสหายเกาะเกยี่ วมือ มนั นั้น ฯ xli
แสดงถงึ การคบคา้ สมาคมสร้างความสัมพันธไ์ ม่ได้กับหญิงม่ายผ่านสามีมาแล้วสาม คนมาเป็นภรรยา
และผู้ชายที่บวชแล้วสึกมาแล้วสามวัดมาคบเป็นมิตรเพื่อน เข้าทำนองที่ว่า หญิงสามผัวชายสามโบสถ์
อย่าได้คบดังว่าไว้โบราณสุภาษิตคำพังเพยของไทยในวรรณกรรมเสียวเสียวผู้เป็นพ่อของสีเสลียว และเสียว
สวาดได้สั่งสอนเรื่องนี้เช่นกันดังบทกลอนที่ยกมา ปัจจุบันจะพบว่าการสั่งสอนเรื่องนี้ก็ยังคงอยู่
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้คำอธิบายความหมายไว้ว่า เป็นการตำหนิ
และเหยียดหยามหญิง และชายไม่ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะในอดีตตั้งแต่โบราณกาล หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์
เป็นผู้ที่ใครยากจะคบหาหรือคบไม่ได้เสียเลย ซึ่งก็เนื่องจากในสมัยที่กล่าวคำนั้น เมื่อผู้ใดได้เข้าวัดบวชเรียน
เพราะสำนักศึกษาคงมีอยู่ตามวัดนั่นเองจึงเป็นผู้ฉลาดเฉลียว รู้ธรรมะสูงกว่าชาวบ้าน สามัญแต่หากการบวช
บ่อยสึกบอ่ ยยอ่ มทำใหผ้ ูอ้ ืน่ เล็งไปว่าเป็นคนเหลวไหล ส้ินหนทางส้ินคดิ ทจ่ี ะเป็นฆราวาสกจ็ ำเปน็ ต้องผนิ หน้าเข้า
วัดเพื่อลา้ งช่วั หรือจอ้ งโอกาสและช่องทางทจ่ี ะบ่ายหน้าสู่เพศฆราวาสอกี และเปน็ คำคู่กันไปกับ “หญงิ สามผัว”
ก็น่าจะมีความหมายเป็นทำนองเดียวกันว่าหญิงซึ่งมีเหย้าเรือนลูก ผัวไปแล้วและมีอีกและเลิกร้างกันไป
ก็ย่อมจะมีผู้เล็งเห็นว่าหากหญิงดีไหนเลยจะเกิดการเลิกร้าง และได้เสียกันบ่อยอย่างหนึ่งอีกอย่างหนึ่ง
การมีสามีมากกย็ ่อมจะรู้ และชำนาญในเล่ห์ผัวเล่หเ์ มียมากขึ้นพรอ้ มมารยาสาไถยตามส่วนxlii
เมื่อเข้าสู่บริบทปัจจุบันความหมายจะหมายถึงคนที่มีจิตใจโลเล เปลี่ยนใจง่าย การที่จะทำอะไร
ก็มักที่จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาง่าย ๆ โดยที่ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจอะไรเป็นพิเศษว่าจะกระทบกับสิ่งใด
หรือบุคคลใดหรือไม่ คนแบบนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยเพราะว่าไม่มีความ น่าเชื่อถือ
โดยการแต่งงานและการบวชในสมัยก่อนนั้นเป็นการที่จะต้องคิดให้มาก เพราะว่าเราไม่นิยมทำกันบ่อย ๆ
โดยเฉพาะการแต่งงานที่ถ้าผู้หญิงแต่งงานใหม่ถึง ๓ ครั้งนั้นปัญหาน่าจะอยู่ที่ตัวบุคคลแล้วแหละว่าเป็นหญิง
ใจง่าย จิตใจโลเลเปลยี่ นผัวได้ทุกเมือ่ เม่ือมีคนแรก คนทส่ี อง และคนทส่ี าม ส่ี ห้า ตามมา ไม่มีความอดทนหรือ
สนใจสังคมรอบข้างว่าเขาจะคิดอย่างไรคนแบบนี้ควรหลีกหนีให้ไกลxliii ซึ่งก็ยังสามารถมาใช้ในการพิจารณา
48
การสร้างความสมั พันธ์ระหวา่ งบุคคลได้โดยใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือก ทว่าการสร้างความสมั พนั ธ์ปัจจุบันน้ัน
มีความซับซ้อนคนทมี่ ีจติ ใจโลเลน้นั เขาอาจมีเหตุผลของตนซึง่ ต้องพจิ ารณา เป็นกรณี ๆ ไปสุดแลว้ แต่ปัจเจกคน
ทจ่ี ะเลือกปฏิบัติ
๒. คำกลอนเตือนลูก ที่พ่อของสีเสลียว และเสียวสวาดได้ยกนิทานนกกะแดบเด้ากับ เหยี่ยวรุ้ง
มาประกอบนนั้ เพอ่ื ส่ังสอนให้ลกู ทั้งสองมีความเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ และเหน็ ในเรื่องของ การไม่เช่ือฟัง
คำสั่งสอนของพ่อแม่จะได้รับความลำบาก ปัจจุบันคำสอนนี้ก็ยังคงใช้ได้นำมาใช้ในทุก สถาบันครอบครัว
ที่พ่อแม่จะสั่งสอนลูกให้อยู่ในโอวาท พ่อแม่จะสั่งสอนสิ่งดี ๆ ให้แก่ลูก แต่ทว่าในบาง กรณีของบางครอบครัว
คำสั่งสอนของพ่อแม่นั้นที่มีต่อลูกใช่ว่าจะเป็นส่ิงดี ทั้งนี้ก็ต้องบริบทในสังคมนั้น ๆ ไป เพราะในบางสังคมสิ่งดี
อาจไมใ่ ชส่ งิ่ ดีเสมอไป อาจผดิ แผลกไปจากคา่ นิยมในสังคมสำหรบั ประเทศไทยส่วนใหญ่ดว้ ยเป็นสังคมชาวพุทธ
เร่อื งทพี่ ่อแมส่ ัง่ สอนตอ่ ลกู นนั้ จะเปน็ ไปอย่างมีครรลองคลองธรรมตาม หลกั พระพทุ ธศาสนา ท้ังนจ้ี ะมีการห้าม
ปรามการไมเ่ ช่ือฟังและใหเ้ ห็นผลของการไมเ่ ชื่อฟังเปน็ การทำโทษ
กล่าวโดยสรุป การทอี่ ีสานและลาวมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานจงึ ทำให้เกิด และใช้วัฒนธรรม
ร่วมกันดังเช่น วรรณกรรม วรรณกรรมอีสานนั้นเกิดขึ้นจากการที่ภูมิภาคอีสานและลาว มีอารยธรรม
และวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ได้ทำเกิด
การจดบนั ทกึ และสร้างวรรณกรรมข้ึน ก่อนการเขา้ มาของพุทธศาสนาวรรณกรรมมักจะกล่าวถึงความเช่ือทาง
จติ วิญญาณ และธรรมชาติเมอ่ื พทุ ธศาสนาเข้ามามีอิทธิพลเกิดมเี รื่องท่สี อดแทรกหลักธรรม คำสอนของศาสนา
พุทธ จากการปกครองที่เป็นอิสระของอีสานอันห่างไกลจากการควบคุมจากราชธานี ศูนย์กลางส่งผล
ให้มีวัฒนธรรมของตนอย่างความคิด ความเชื่อ และค่านิยมที่ส่งผลต่อวรรณกรรมให้มีความเป็นเอกลักษณ์
วรรณกรรมเสียวสวาดเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของภาคอีสานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ และถูกแต่งไป
ในหลายสำนวน มีคุณค่าทางด้านอักษรศาสตร์และยังสามารถจัดว่าเป็นเอ กสารหลักฐานชั้นต้น
ในทางประวตั ศิ าสตร์ได้
เหตุผลเพราะวรรณกรรมเสยี วสวาดย่อมสะท้อนถงึ สงั คมขณะท่ีผู้เขียนหรือผู้สร้างส่ิงน้ีกำลังประสบอยู่
ทั้งนี้วรรณกรรมเสียวสวาดก็ได้สร้างผลกระทบโดยกว้างแก่สังคมอีสานการเรียนรู้ และทำความเข้าใจ
ในเสยี วสวาดย่อมใหเ้ กิดความเขา้ ใจในสังคมอสี านต้งั แต่อดตี จวบจนปัจจุบนั โดยเร่ืองราวของวรรณกรรมช้ินนี้
เป็นเร่ืองราวของตัวพระเอกเรื่องทช่ี อ่ื เสียวสวาดหรอื เฉลยี วฉลาด และวรรณกรรมเสยี วสวาด ไดถ้ กู นำมาศึกษา
เชิงวิเคราะห์โดยระวีวรรณ อินทร์แหยม นงลักษณ์ ขุนทวี และศุภิสรา ก้องเกียรติศักดา ซึ่งสามารถสรุป
ไปในทิศทางเดยี วกันได้ว่า วรรณกรรมเสียวสวาดทำให้เห็นในมิติสังคม คอื ค่านยิ ม และวฒั นธรรมท่ีแสดงผ่าน
ภาพสะท้อนของสังคมในสมัยนั้นในช่วงของการสร้างและเผแพร่ให้บรรลุไปตามจุดหมายของวรรณกรรม
เสียวสวาด ซึ่งพบภาพสะท้อนได้ดังนี้ ๑. ค่านิยมชาวบ้านที่มีต่อสังคมของตน ได้แก่ จากการปกครองเดิม
49
ที่รับมา และความเชื่อด้านกุศโลบาย ๒. ค่านิยมด้านการศึกษา ๓. ค่านิยมด้านการปกครอง ๔. ค่านิยมด้าน
การนับถือพุทธศาสนา ๕. ค่านิยมด้านอำนาจเงินตรา ๖. ค่านิยมการ เคารพและเชื่อฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่
๗. ค่านิยมเกี่ยวกับผู้ชาย และ ๘. ค่านิยมเกี่ยวกับผู้หญิง และ ปรากฏวัฒนธรรมความเชื่อดังนี้ ๑. วัฒนธรรม
ทางด้านวัตถุธรรมเช่นอาหารการกินอาหารหลัก ๒. วัฒนธรรมทางด้านจิตใจ ๓. ความเชื่อในเร่ืองผีสางเทวดา
อารักษ์และสิ่งศกั ดิ์สิทธิ์ ๔. ความเชื่อใน เรื่องกฎแห่งกรรม และ ๕. วัฒนธรรมด้านประเพณี และเครื่องดนตรี
ค่านิยม และวัฒนธรรมความเชื่อ เหล่านี้ถือเป็นการปลูกฝังให้ชาวอีสานเชื่อถือและปฏิบั ติเป็นกิจวัตร
โดยมหี ลกั ธรรมคำสอนของพทุ ธ ศาสนามาสอดแทรกซึง่ บางส่วนกม็ ีความสืบเนอ่ื งจนถึงปัจจุบัน
ดังท่ไี ด้นำเสนอยกตวั อย่างจากนทิ านนกกะแดบเดา้ กบั เหยี่ยวร้งุ นทิ านเร่อื งแรกจาก วรรณกรรมเสียว
สวาด ได้นำมาจากวรรณกรรมเสียวสวาด เอกสารชั้นต้นที่ได้รับการปริวรรตโดยท่านเจ้าคุณพระอริยานุวัฒน์
ในบทคำกลอนเตือนลูกนิทานเรื่องนี้สอนให้เห็นเรื่องของการไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนพ่อ แม่จะได้รับความลำบาก
และจากบทนี้และนิทานเรื่องนี้เห็นได้ ๒ ประเด็น ให้ได้นำมาพิจารณาในบริบท ปัจจุบัน คือ ๑. การคบค้า
สมาคมสร้างความสัมพันธ์อย่าได้กับหญิงม่ายสามผัวและชายบวชแล้วสึก มาแล้วสามอุโบสถ สอดคล้องกับ
สำนวนสุภาษิตคำพังเพยไทยที่ว่า หญิงสามผัว ชายสามโบสถ์ อย่าได้คบ และ ๒. การเชื่อฟังคำสั่งสอนของพอ่
แมแ่ ละหากไม่เชื่อฟังจะได้รบั ความลำบาก นำมาพิจารณาได้ว่า ประเดน็ ท้ังสองนี้ก็ยงั คงมีและใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทว่าก็ตอ้ งดไู ปตามบรบิ ทของสงั คมน้นั ๆ ดว้ ยเพราะความ เปน็ ปจั เจกบุคคลซึง่ ถอื ว่ามคี วามซับซ้อน อย่างไรก็ดี
ปัจจุบันยังพบว่ายังมีการศึกษาวรรณกรรมเสียวสวาด ที่นับว่ายังไม่มากเท่าที่ควรซึ่งในรายละเอียดของ
วรรณกรรมเสยี วสวาดนั้นยงั มอี กี มากทส่ี ามารถศกึ ษา วิเคราะห์และต่อยอดไดใ้ นหลากหลายมิติ
บรรณานุกรม
50
พลวัตและผลกระทบของย่านสะพานควายจากรถไฟฟา้ สายสุขมุ วิท
ในช่วงทศวรรษ 2500 – 2560
จุฬาลักษณ์ วงค์สวัสด์โิ สต8
กรุงเทพมหานครได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2325 นับว่าเป็น
เมืองที่มีศูนย์กลางการพัฒนาจนทำให้มีการเติบโตเหนือเมืองอื่น ๆ ประกอบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
และการเป็นเมืองหลวงของกรุงเทพมหานครน้ันสง่ ผลให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารกรงุ เทพมหานคร
อย่ตู ลอดเวลา9 จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ มา
เป็นประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
ในทศวรรษ 2470 และมีการขยายตัวของทุนนิยมแห่งรัฐภายใต้การนำของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ผนวกกับการอุบัติขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ล้วนส่งผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสังคม
ของกรุงเทพมหานคร เป็นผลให้กรุงเทพมหานครเปลี่ยนบทบาทจากเมืองท่าที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่าง
ประเทศมาสู่บทบาทของมหานคร และเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้กรุงเทพมหานครมีบทบาท
เพิ่มขึ้นในฐานะเป็นศูนย์กลางการค้าธุรกิจ และการเงิน ถือเป็นจุดกำเนิดของการพัฒนาอุตสาหกรรม
นำโดยรัฐวิสาหกิจ10 กล่าวคือบทบาทของกรุงเทพมหานครในฐานะมหานครที่เชื่อมโยงภายในประเทศ
ประกอบกับในช่วงทศวรรษ 2470 นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อสร้างถนนทางหลวงเชื่อมกรุงเทพทหานคร
และภูมิภาคอื่น ๆ ดังมีประกาศให้ใช้แผนการสร้างถนน 5 ปี (พ.ศ. 2479 – 2484) โดยเชื่อมกรุงเทพมหานคร
และเมืองสำคัญในเขตภูมิภาค อาทิ กรุงเทพฯ – สมุทรปราการ และระยอง รวมทั้งมีการสร้างถนนทางหลวง
เชื่อมจังหวัดต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั่วราชอาณาจักร โดยผ่านแม่น้ำและลำคลอง แต่แผนดังกล่าว
ที่ เสนอการสร้างถนนกลับประสบกับความล่าช้า เนื่องจากประเทศไทยตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
และความไม่สงบของสงครามโลกครั้งท่ี 2 ทำให้ในปี พ.ศ. 2483 กรุงเทพมหานครยังคงไม่มีถนนทางหลวงเชื่อม
ต่างจังหวัด ยกเว้นถนนสายสั้น ๆ ที่เชื่อมจังหวัดนนทบุรี และสมุทรปราการ11 ท้ายที่สุดเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2
ยุตลิ ง รัฐบาลไทยไดเ้ ร่งดำเนนิ การสร้างทางหลวงอย่างตอ่ เนือ่ ง12
ช่วงทศวรรษ 2500 เป็นระยะเวลาที่กรุงเทพมหานครได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยพัฒนาการ
ทางเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานครซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเมืองเอกนครมาเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางสังคม
เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของประเทศ พร้อมดูดซับกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ของประเทศมาสู่ส่วนกลาง
อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ช่วงหลังปี พ.ศ. 2503 กรุงเทพมหานครมีบทบาทต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
8 นสิ ิตปรญิ ญาตรี สาขาประวตั ิศาสตร์ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา
9 สถาบันพระปกเกล้า. (ม.ป.ป.). ประวัต ิและความเป็นมาของกรุงเทพมหานคร . [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2564. จาก
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title =ประวตั ิและความเป็นมาของกรุงเทพมหานคร.
10 พอพันธ์ อุยยานนท์. (2558). ประวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐกจิ 5 ภมู ภิ าคของไทย. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. หนา้ 28.
11 พอพนั ธ์ อยุ ยานนท์. (2564). ประวตั ิศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. หนา้ 153.
12 เรอ่ื งเดยี วกัน. หนา้ 29.
51
ของประเทศไทยแทบทุก ๆ ดา้ น ประกอบกับกลุ่มประชากรที่เคลื่อนย้ายเข้ามาในกรงุ เทพมหานครมีจำนวนที่สูง
จากสถิติในช่วงปี พ.ศ. 2503 – 2533 แสดงให้เห็นว่าลักษณะเด่นของกระบวนความเป็นเมืองของไทย
คือระดับการกระจุกตัวของประชากรในกรุงเทพมหานครที่สูงจากในปี พ.ศ. 2503 มีประชากร 1.8 ล้านคน
เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านคนในปี พ.ศ. 2510 และมากยิ่งขึ้นในปี พ.ศ. 2531 กว่า 6 ล้านคน13 ซึ่งแตกต่าง
จากช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 2503 ที่กรุงเทพมหานครยังอยู่ในฐานะเมืองเอกนครเป็นเพราะการเติบโต
ของกรุงเทพมหานครเจริญเติบโตอย่างช้า ๆ ประกอบกับไม่ได้มีลักษณะเป็นเมืองอุตสาหกรรมสมัยใหม่
จึงไม่อาจดึงดูดประชากรหรือแรงงานให้ย้ายถิ่นจากชนบทเข้ามาได้ ถือได้ว่าในช่วงทศวรรษ 2500
เ ป ็ น ช ่ ว ง ท ี ่ ม ี ก า ร ข ย า ย ต ั ว ข อ ง ก ร ุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร อ ย ่ า ง ร ว ด เ ร ็ ว ภ า ย ใ ต ้ ก า ร ส น ั บ ส น ุ น อ ย ่ า ง เ ต ็ ม ท่ี
ของรัฐบาลจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์14 ที่เริ่มดำเนินการใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 ในปี พ.ศ. 2504
โดยมีการสร้างถนนสายต่าง ๆ ได้แก่ การตัดถนนพหลโยธิน ถนนเพชรเกษม และถนนสุขุมวิท เป็นต้น
นับวา่ เป็นจดุ เปลี่ยน และจุดเรม่ิ ต้นของการพฒั นาเศรษฐกิจก่อนมีการประกาศใช้แผนพฒั นาเศรษฐกิจแห่งชาติ
ฉบับที่ 1 ในปี พ.ศ. 2504 ขณะเดียวกันการสร้างถนนในหลายสายที่เชื่อมกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
กลับมีรัฐบาลอเมริกันเข้ามามีความสำคัญในการเน้นบทบาทการพัฒนาประเทศร่วมกับภาคเอกชน
โดยรัฐบาลจะส่งเสริมการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจโดยเน้นการสร้างถนน ทางหลวงที่มีวัตถุประสงค์
สำคัญทางด้านความมั่นคง และการเมืองซึ่งมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยเป็นอันมาก15 อันเนื่องจากถนน
มีผลต่อการขยายตวั ของตลาดสนิ คา้ และอุตสาหกรรม การเพ่ิมข้นึ ของพชื ไร่ รวมทัง้ การยา้ ยถิน่ ฐานของแรงงาน
เข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพราะฉะนั้นการเกิดขึ้นของถนนและสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก่อให้เกิดการขยายตัว
ของจำนวนประชากรทเี่ พิ่มมากขนึ้ ในกรุงเทพมหานคร
การเจริญเติบโตของกรุงเทพมหานครที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นผลจากการดำเนินนโยบาย
ของภาครัฐอย่างการพัฒนาให้มีการตัดถนนสายประธานดังกล่าวทั้ง 3 สาย รวมทั้งถนนสายย่อยอื่น ๆ
เพื่อเชื่อมโครงข่ายถนนให้ตดิ ต่อกันได้สะดวกย่ิงทำให้ความเจริญขยายตัวออกไปตามเส้นทางสำคัญมากยิ่งข้ึน
ส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากทยอยกันไปอยู่อาศัยตามชานเมืองห่างไกลจากตัวเมืองเดิมออกไป จึงเป็นเหตุทำให้
ศูนย์กลางธุรกิจการค้าหรือย่านพาณิชยกรรมเกิดขึ้นในบริเวณรอบ ๆ กรุงเทพมหานคร ซึ่งย่านพาณิชยกรรม
หลกั ดงั กลา่ วได้ปรากฎขนึ้ อยู่ตามถนนสายหลัก อาทิ ดา้ นเหนอื รวมท้ังตะวนั ออกเฉยี งเหนือคือบริเวณย่านสะพาน
ควายตั้งอยู่บริเวณถนนพหลโยธินตัดกับถนนประดิพัทธ์และถนนสุทธิสาร และด้านตะวันออกคือบริเวณ ย่าน
ตลาดพระโขนงตั้งอยู่ริมถนนถนนสุขุมวิทบริเวณปากซอยสุขุมวิท 71 เป็นต้น16 ดังนั้น “ย่านสะพานควาย17”
คือย่านพาณิชยกรรมในช่วงทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา เนื่องจากย่านสะพานควายเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งทำเลที่ดี
13 พอพันธ์ อุยยานนท์. (2564). ประวตั ิศาสตร์เศรษฐกิจแห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 42.
14 เร่อื งเดียวกัน. หนา้ 43.
15 เรือ่ งเดยี วกนั . หนา้ 158 – 159.
16 ธีวัฒน์ สรอ้ ยมณ.ี (2535). บทบาทย่านพาณิชยกรรมตอ่ ชุมชน: กรณศี ึกษายา่ นสะพานควาย. วิทยานิพนธป์ รญิ ญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบณั ฑติ ภาค
วชิ าการวางแผนภาคและเมอื ง จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . หนา้ 2 – 3.
17 ในอดีต “ย่านสะพานควาย” เปน็ เพยี งพน้ื ที่ทเ่ี รยี กว่า “ทงุ่ ศภุ ราช” ทงุ่ นากว้างใหญ่ไพศาลทางทศิ เหนือของทุ่งพญาไท เมื่อถงึ ช่วงฤดูแลง้ นายฮอ้ ยจากแดนอีสาน
จะนำฝงู ควายมาใหช้ าวนาแห่งทุ่งศุภราชได้จับจองเปน็ เคร่ืองมือในการทำนา และบริเวณจดุ เชอื่ มถนนพหลโยธนิ กับถนนประดิพัทธก์ จะมสี ะพานไม้ทชี่ าวบา้ นสร้างเอาไว้เป็นทาง
สญั จรเพ่ือให้ทัง้ คนและควายได้ใช้เดินทางขา้ มคูคลองกันอย่างสะดวก
52
มีทงั้ จุดเช่อื มต่อได้หลายเสน้ ทางจากจุดสี่แยกสะพานควาย อาทิ ถนนสาลรี ัฐวิภาคไปหว้ ยขวาง ถนนประดิพัทธ์
ไปท่าน้ำนนท์ และถนนพหลโยธินที่ ทิศใต้ไปอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิหรือทิศเหนือไปหมอชิต
นอกจากนี้ย่านสะพานควายเป็นแหล่งบันเทิงครบวงจรของวัยรุ่นยุคนั้นที่มีทั้งห้างเมอร์รี่คิงส์ ห้างศรีศุภราช
และโรงภาพยนตร์ให้เลือกเข้าชมกมาย อาทิ เฉลิมสิน พหลโยธินรามา มงคลรามา นิวยอร์ค และประดิพัทธ์เธีย
เตอร์ กล่าวได้ว่าย่านสะพานควายในช่วงเวลานั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดของโรงภาพยนตร์สแตนด์อโลน
(Stand Alone)18 อีกทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในเวลากลางคืนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร
ทว่าย่านสะพานควายนอกเหนือจากเป็นแหล่งบันเทิงใจแก่วัยร่นุ แล้วน้ัน ผ้คู นในวัยต่าง ๆ ยกใหย้ า่ นสะพานควาย
ถือเป็นย่านการค้าทดแทนได้ เนื่องจากผู้คนสามารถมาเดินทางมาจับจ่ายซื้อสินค้าแบบจบครบในที่เดียว
ได้แก่ จำพวกทองคำ แว่นตา นาฬิกา แทนการไปซื้อถึงเยาวราช หรือซื้อผ้า ซื้อชุดนักเรียน แทนการไปซื้อถึง
พาหุรัด หรือแม้กระทั่งอาหารปรุงสุก อาหารสด และผักผลไม้ต่าง ๆ ในตลาดศรีไทย ตลาดพระพินิจ
และตลาดจอมมาลี ทั้งหมดนี้ล้วนสามารถหาซื้อได้ที่ย่านสะพานควาย เพราะฉะนั้นย่านสะพานควาย
นับว่าเป็นย่านที่ดึงดูดแห่งหนึ่งของทุกคน แต่เมื่อมีการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทที่เปิดให้บริการ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 โดยในพื้นที่ย่านสะพานควายถูกเลือกเป็นที่ตั้งสถานีของรถไฟฟ้า
นับว่าเป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงย่านพาณิชยกรรมของย่านสะพานควาย อาทิ การยุบตัว
ของโรงภาพยนตร์ และการปิดตัวของตลาดสดเป็นผลให้ย่านสะพานควายที่เป็นแหล่งบันเทิงทำเลสุ ดดั้งเดิม
ส่ตู ึกสงู คอนโดมิเนียม และอาคารสำนกั งาน19
ดังนั้น ย่านสะพานควายที่ถือว่าเป็นย่านคลาสสิกผสมผสานแหล่งบันเทิงครบรสทั้งกลางวัน
และกลางคืนต้องแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาด้วยปัจจัยจากการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสุขุมวิท
และปัจจัยจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 จึงเป็นเหตุได้เห็นจากปัจจุบันว่ากลิ่นอายความรุ่งเรือง
ในยา่ นสะพานควายกำลงั ถูกเลอื นเป็นอดีต เนื่องจากมตี กึ สูงต่าง ๆ ขึ้นมาแทนทีโ่ รงภาพยนตร์ หา้ งสรรพสินค้า
ประกอบกับตึกแถวบริเวณติดถนนพหลโยธินกำลังถูกนายทุนกว้านซื้ออาจจะด้วยเหตุผลของเศรษฐกิจ
เป็นผลให้พื้นที่ย่านสะพานควายเปลี่ยนแปลงจากการเกิดขึ้นของเส้นทางรถไฟฟ้า หรือการหมดสัญญา
ของตึกแถวเอง นอกจากนี้กลุ่มร้านค้าและชุมชนในย่านสะพานควายกำลงั ค่อย ๆ หายไปเห็นได้จากคนเก่าแก่
ในพื้นที่ที่ย้ายออกและมีคนใหม่เข้ามาแทน ซึ่งเป็นเพราะนักลงทุนต่างเข้ามาหาซื้อตึกแถวเรื่อย ๆ และสร้างเปน็
คอนโดมิเนียม แต่เมื่อได้ทำการสำรวจย่านสะพานควายในปัจจุบันกลับมีสิ่งหนึ่งที่ผกผันจากที่กล่าวว่าพื้นที่
ยา่ นสะพานควายได้หมดความรุ่งเรืองท่ีมีในอดตี คอื ราคาท่ดี ินทสี่ ูงข้ึนจากเมื่อก่อนเป็นทุ่งนาทุง่ เล้ยี งควายราคาไร่
ละไม่กี่บาทไม่มีใครอยากได้ แต่ปัจจุบันราคาสูงกว่า 1 ล้านบาทต่อตารางวา 20 อาจจะด้วยเหตุผล
ของการมีรถไฟฟ้าตัดผ่านมีโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียลสะพานควาย มีห้างบิ๊กซี และที่สำคัญใกล้สถานีกลางบาง
ซื่อ จึงกลายเป็นว่าย่านสะพานควายในปัจจุบันนั้นถือเป็นย่านอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่จากอิทธิพลรถไฟฟ้า
18 โรงภาพยนตร์แบบสแตนดอ์ โลน (stand alone) หรอื โรงภาพยนตร์เด่ียวทีต่ ง้ั อยโู่ ดด ๆ บนตวั อาคารท่ีใช้เป็นโรงภาพยนตรเ์ พยี งอยา่ งเดยี ว
19 ปณัยกร วรศิลป์มนตรี . (2560). เล่าเรื่อง ‘สะพานควาย ’ ผ่านม ุม ม องเจ้าบ้าน . [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 12 มกราคม 2564. จาก
https://urbancreature.co/saphan-khwai.
20 REIC ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ . (2562). บิ๊กอสังหากวาดเรียบ 6 โรงหนังสะพานควาย. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 12 มกราคม 2564. จาก
https://www.reic.or.th/News/RealEstate/440548.
53
ท ี ่ ผ ั งเม ื องรวมกร ุ งเทพมหานครสน ั บสน ุ นให ้ เป ็ นย ่ านพาณ ิ ช ยกรรม แ ล ะ ย ่ า น อ ย ู ่ อ า ศ ั ย ห น า แ น ่ น ม า ก 21
แต่เมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีตกลิ่นอายความเป็นย่านสะพานควายที่รุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ และเป็นแหล่งรวม
ของผู้คนต่างพื้นที่เข้ามาซื้อขายในตลาดใหญ่แห่งหนึ่งบนถนนพหลโยธิน22 เมื่อมาเทียบกับความเปลี่ยนแปลง
ในปัจจุบนั กลับถูกทำใหเ้ ลอื นหายไปตามกาลเวลา
1. วถิ ชี วี ิตของผูค้ นในยา่ นสะพานควายช่วงกอ่ นพทุ ธศักราช 2540
ภายหลังช่วง พ.ศ. 2475 – 2500 กรุงเทพมหานครขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีการตัดถนน
เพิ่มขึ้นหลายสาย และการขยายตัวเป็นไปตามถนนที่ตัดขึ้นใหม่ อาทิ ด้านเหนือขยายไปตามถนนพหลโยธิน
และด้านทิศตะวันออกขยายไปตามถนนสุขุมวิท เป็นต้น เวลาต่อมาช่วงสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
กรุงเทพมหานครขยายตัวอย่างรวดเร็วหลังจากมีแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504 – 2509)
เป็นเหตุทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นศูนย์กลางในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่ การปกครอง การศึกษา
และเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุให้ประชากรจากส่วนภูมิภาคหลั่งไหลเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เพื่อเข้ามาหา
งานทำหรือเข้าศกึ ษาต่อ ผลที่ตามมาคือศูนย์กลางทางการคา้ ของเมอื งในกรุงเทพมหานครได้ย้ายมาอยู่บริเวณ
สีลม ถนนสุรวงศ์ และถนนสาธร อันเนื่องจากในบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่รวมตัวของธุรกิจการค้าหลาย
ประเภท อาทิ สถาบันการเงินและบริษัทการค้าสำคัญ ๆ ทั้งของคนไทยและต่างประเทศ ส่วนในพื้นท่ี
ย่านการค้าของคนจีนแถบเยาวราชและสำเพ็งยังคงมีความสำคัญทั้งทางด้านการขายส่ง และขายปลีกสินค้า
อุปโภคบริโภคที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีย่านการค้าที่สำคัญอันเป็นย่านการค้าของคนไทย อย่างย่านบางลำพู
เป็นต้น เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลได้ตัดถนนต่าง ๆ ขึ้นหลายสายจึงเป็นเหตุใหเ้ กิดย่านการค้าขึ้นตามทางแยก
ที่ถนนแต่ละสายตัดกัน โดยจะขยายตัวออกไปตามถนนสายต่าง ๆ ที่ตัดขึ้นและได้พัฒนากลายเป็นศูนย์กลาง
ย่อยขึ้น ทำให้การเติบโตของกรุงเทพมหานครกลายเป็นแบบหลายศูนย์กลาง โดยศูนย์กลางย่อยดังกล่าว
ไดแ้ ก่ สะพานควาย พระโขนง และบางแค เปน็ ต้น23
จากที่กล่าวข้างต้น ศูนย์กลางการค้าที่เกิดขึ้น และขยายออกมาจากกรุงเทพมหานครชั้นใน
ได้จากการเริ่มตัดถนนหลายสายในรัชกาลที่ 4 จนกระทั่งในช่วงของสมัยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ. 2475 ได้เกิดถนนพหลโยธินที่มีจุดเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยตัดถนนผ่านเขตพญาไท
จนเกิดเป็นสี่แยกสะพานควายขึ้นมา ซึ่งการเกิดขึ้นนั้นมาจากการบรรจบกันของถนนพหลโยธินที่สร้างข้ึน
ในปี พ.ศ. 2479 กับถนนประดิพัทธ์ โดยบนแนวถนนประดิพัทธ์เต็มไปด้วยการปลูกสร้างบ้านเรือน
ประกอบกับการลงพื้นที่สำรวจในช่วงเวลาปัจจุบันและการรวบรวมข้อมูลของย่านสะพานควาย
ในช่วงก่อนพุทธศักราช 2540 พบว่าย่านสะพานควายถูกแบ่งจากศูนย์กลางย่อยให้อยู่ในกลุ่มศูนย์กลางระดับสูง
21 REIC ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์. (2562). บิ๊กอสังหากวาดเรียบ 6 โรงหนังสะพานควาย. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 12 มกราคม 2564. จาก
https://www.reic.or.th/News/RealEstate/440548.
22 รชั นวี รรณ เวชพฤติ และสุวัฒนา สกุ ใส. (2522). การศกึ ษาขอบเขตการบรกิ ารของศูนย์การคา้ ในกรงุ เทพ ฯ เปรียบเทยี บ
การบริการของตลาดสะพานควาย ตลาดอมรพนั ธ์ และตลาดสะพานใหม่ (รายงานการวิจัย). ม.ป.ท.. หน้า 39.
23 ธีวัฒน์ สร้อยมณี. (2535). บทบาทย่านพาณิชยกรรมต่อชุมชน: กรณีศึกษาย่านสะพานควาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต ภาค
วิชาการวางแผนภาคและเมือง จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . หน้า 15 – 16.
54
ซึ่งเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่สุด คือในด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานคร สะท้อนให้เห็นความเป็นศูนย์กลาง
การขยายตัวของย่านอยู่อาศัยกว้างใหญ่ที่ถูกทำให้เกิดสาธารณูปการขนาดใหญ่และย่านการค้าที่ซับซ้อน 24
ทว่าก่อนหน้าที่ความเจริญจะเข้ามานั้น “ย่านสะพานควาย” ถือว่าเป็นเพียงพ้ืนที่ที่เรียกว่า “ทุ่งศุภราช”
ทุ่งนากว้างใหญ่ไพศาล ทางทิศเหนือของทุ่งพญาไท เมื่อถึงช่วงฤดูแล้งนายฮ้อยจากแดนอีสานจะนำฝูงควาย
มาให้ชาวนาแห่งทุ่งศุภราชได้จับจองเป็นเครื่องมือในการทำนา และบริเวณจุดเชื่อมถนนพหลโยธิน
กับถนนประดิพัทธจ์ ะมสี ะพานไม้ทช่ี าวบา้ นสร้างเอาไว้เปน็ ทางสัญจรเพ่ือให้ท้ังคน และควายได้ใช้เดินทางข้าม
คูคลองกันอย่างสะดวก โดยย่านสะพานควายช่วงเวลาต่อมาภายหลังพุทธศักราช 2500 จากการสัมภาษณ์
คนในพื้นที่พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีการประกอบกิจการค้าในย่านสะพานควายหลายประเภท
อาทิ ตลาดสด หาบเร่ และอาคารพาณชิ ยห์ รือตึกแถว ซง่ึ ผ้ทู ม่ี าค้าขายมที ้ังคนในพนื้ ทแ่ี ละคนนอกพืน้ ที่
1.1 การประกอบกิจการการค้ากับวิถีชวี ติ ชุมชนย่านสะพานควาย
การศกึ ษาย่านสะพานควายในปจั จุบัน พบว่าพืน้ ที่ในยา่ นสะพานควายที่ตง้ั อยู่บนถนนพหลโยธิน
มีการประกอบการค้าตลาดสด ได้แก่ ตลาดจอมมาลี ตลาดพระพินิจ และตลาดศรีไทย โดยทั้งสามตลาด
ได้ทำการปิดกิจการเปลี่ยนเป็นซอยขายชุดไทยร้านเจ๊กรุงพร้อมร้านเย็บผา้ พื้นที่ข้างโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล
และพ้ืนท่ขี องบิ๊กซี ตามลำดบั นอกจากการประกอบการค้าตลาดสดแล้วน้ันในย่านสะพานควายมีการประกอบ
การค้าตึกอาคารพาณิชย์ที่เริ่มเลือนหายไปจากการเข้ามาของคอนโดมิเนียม แต่สิ่งที่ยังคงอยู่เฉกเช่นเดิม
คือร้านค้าหาบเร่ที่ขายอยู่บนฟุตบาทตรงติดถนนพหลโยธินและถนนสาลีรัฐวิภาค และจากการศึกษาย่านสะพาน
ควายในคร้ังนี้ได้พจิ ารณาโครงสร้างแตล่ ะตลาดในส่วนของตึกแถว โดยไม่นบั รวมหาบเร่ เนือ่ งจากเป็นกิจกรรม
ที่มีลักษณะที่โดดเด่นประกอบทั้งมีการต่อเนื่องกันในชนิดของสินค้าจึงไม่สามารถจำกัดได้ว่าส่วนใดเป็นของ
ตลาดพระพินิจ ตลาดศรีไทย หรือตลาดจอมมาลี จึงแยกประเภทหาบเร่เป็นอีกส่วนหนึ่ง สำหรับการค้า
ในบริเวณย่านสะพานควายเป็นการศึกษาการประกอบการค้าเฉพาะฝั่งตะวันออกของถนนพหลโยธินเท่านั้น
ซึ่งระบบการสัญจรเส้นทางเชื่อมต่อภายในตลาดและระหว่างตลาด การประกอบกิจกรรมภายในตลาด
และนอกตลาด แบ่งออกได้ 3 ประเภท ดังนี้
การประกอบการค้าประเภทตลาดสด โดยตลาดย่านสะพานควายจัดว่าเป็นตลาดสดท่ีใหญ่ที่สุด
ในเขตพญาไท เนอ่ื งจากมปี ระเภทและบริการสินค้าใหเ้ ลือกเป็นจำนวนมากกวา่ ตลาดสดสนามเป้า ที่ตั้งอยู่ใกล้
ซอยพหลโยธิน 1 ซึ่งเป็นตลาดอันดับ 2 ของเขตพญาไท นอกจากนี้ตลาดย่านสะพานควายได้มีอิทธิพลเหนือ
ตลาดอื่นในขอบเขตของถนนพหลโยธิน อย่างตลาดอมรพันธ์และตลาดสะพานใหม่ และจากการศึกษา
วิทยานิพนธ์ของธีรวัฒน์ สร้อยมณี ทำการศึกษาบทบาทของย่านพาณิชยกรรมต่อชุมชน: กรณีศึกษาย่าน
สะพานควาย ในปี พ.ศ. 2534 พบว่ากลุ่มตลาดย่านสะพานควายที่ประกอบด้วย (1) ตลาดศรีไทย
เป็นตลาดเอกชนที่เปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2510 ลักษณะทางกายภาพประกอบด้วยตลาดที่อยู่ด้านใน
และล้อมรอบด้วยตึกแถว 3 ด้าน ลักษณะการใช้พื้นที่ถัดจากตึกแถวด้านหน้าจะเป็นการให้บริการตัดเย็บ
24 ธีวัฒน์ สร้อยมณี. (2535). บทบาทย่านพาณิชยกรรมต่อชุมชน: กรณีศึกษาย่านสะพานควาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต ภาค
วชิ าการวางแผนภาคและเมอื ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . หนา้ 19.
55
เสื้อผ้าถัดเข้ามาเป็นแผงขายสินค้าชำ ตอนกลางเป็นแผงขายอาหารสำเร็จรูปและประกอบอาหาร
แผงอาหารสดจำพวกเต้าหู้ ลูกชิ้น เลือดหมู ถั่วงอก ด้านท้ายตลาดเป็นแผงขายเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อวัว เนื้อหมู
เนื้อไก่ และสำหรับแผงขายผัดสดผลไม้สดจะอยู่ริมทางเดินข้างขวา (เมื่อหันหน้าเข้าตลาด) ทั้งสองฝ่ัง
ส่วนแผงขายสัตว์น้ำ ทั้งสัตว์น้ำจืดและสัตว์น้ำเค็มจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา จะอยู่ตามริมทางเดินด้านขวา
เช่นเดียวกับแผงผักผลไม้และอยู่ตามทางเดินด้านท้ายตลาด25 (2) ตลาดจอมมาลี มีลักษณะทางกายภาพ
คือการขายสินค้าบริเวณปากทางเข้าตลาด ตัวแผงอยู่ในตลาดเป็นซีเมนต์ที่ก่อสูงขึ้น มีตึกแถวขนาบ
โดยตลาดนี้ประกอบกิจกรรมขนาดเล็กในดประเภทผัก ผลไม้ ดอกไม้ เครื่องปรุง สินค้าชำ อาหาร
เครื่องอุปโภคบริการ และอื่น ๆ ซี่งพื้นที่ของตลาดจอมมาลีขนาดเล็กมากจึงเป็นเหตุให้ผู้คนเข้าซื้ อตลาด
ข้างเคียงมากกว่า26 และ (3) ตลาดพระพินิจ ลักษณะทางกายภาพประกอบด้วยแผงตลาดสด และขนาบด้วย
ตึกแถวท้ังสองขา้ ง27 จากเอกสารที่ศึกษากล่าวว่าตลาดศรีไทยเป็นตลาดใหญท่ ี่สดุ แตก่ ลบั เปน็ เพียงตลาดเดียว
เท่านั้น (พ.ศ. 2534) ที่คงสภาพเป็นตลาดอยู่คงเดิม เนื่องจากพื้นที่ตลาดพระพินิจได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่จอดรถ
ของโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียลเกอื บทงั้ หมด โดยเหลอื ร้านขายอาหารเพยี ง 3 รา้ นเท่านัน้ ทย่ี ังคงประกอบการ
ค้าอยู่ และมีแผงขายหนังสือพิมพ์และนิตยสารจำนวน 1 แผงที่ตั้งอยู่ด้านทางเข้าตลาดบริเวณใกล้กับป้ายรถ
ประจำทาง28 และสำหรับตลาดจอมมาลีได้ถูกรื้อถอนอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมีลักษณะเป็นตลาดร้างไม่มีการประกอบ
การค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ประกอบกับพื้นที่ตลาดเดิมได้ใช้เป็นที่วางของ และที่จอดรถยนต์ และรถจักรยานยนต์
ของตึกแถวโดยรอบ และอาคารพาณชิ ย์บางหอ้ งได้กลายมาเปน็ โรงงานเย็บเส้อื ผ้าสำเร็จรปู ขนาดยอ่ ม29
จากที่กล่าวข้างต้น ศูนย์กลางการค้าของกรุงเทพมหานครที่ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน นอกจาก
ตลาดในย่านสะพานควายยังมีตลาดอมรพันธ์ และตลาดสะพานใหม่ ซึ่งศูนย์กลางการค้าทั้งสามทำหน้าท่ี
คล้ายกัน คือมีตลาดสดเป็นหลัก มีร้านค้าเครื่องอุปโภค และห้างสรรพสินค้า รวมทั้งบริการอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน
จากการสำรวจข้อมูลทั้งในเอกสาร และสัมภาษณ์ผู้ค้าขายริมถนนในพื้นที่ย่านสะพานควาย พบว่า สะพาน
ควายเป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุด โดยขอบเขตการบริการของตลาดในย่านสะพานควายครอบคลุมทุกทิศทาง
ในรูปวงกลม30 และมีอิทธิพลเหนืออาณาเขตของศูนย์การค้าอมรพันธ์และสะพานใหม่ เนื่องจากจำนวนแผง
ที่มีถึง 723 แผง31 ประกอบกับมีจำนวนตลาดที่ตั้งติดกันถึง 4 ตลาด32 จึงเป็นเหตุผลที่สามารถดึงดูด
ทั้งผู้ประกอบการจากพื้นที่ต่าง ๆ และลูกค้าประจำได้จากพื้นที่ไกลได้ เนื่องจาก (1) รัศมีความหนาแน่นอยู่
บริเวณรมิ ถนนพหลโยธินซงึ่ ตรงกับทตี่ ั้งของตลาดในย่านสะพานควายท่ีตง้ั อยรู่ ิมถนนพหลโยธิน (2) จำนวนแผง
25 ธีวัฒน์ สร้อยมณี. (2535). บทบาทย่านพาณิชยกรรมต่อชุมชน: กรณีศึกษาย่านสะพานควาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต ภาค
วชิ าการวางแผนภาคและเมอื ง จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. หนา้ 77 และ 81.
26 เกียรติ จิวะกุล และคณะ. ( 2525). ตลาดในกรุงเทพฯ การขยายตัวและพัฒนาการ. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 14 มกราคม 2564. จาก
http://media.phra.in/672b2d59769713.pdf. หนา้ 145.
27 เรื่องเดยี วกนั . หน้า 143.
28 เรื่องเดียวกัน. หนา้ 77.
29 เรอ่ื งเดยี วกนั . หนา้ 77.
30 รัชนีวรรณ เวชพฤติ และสุวัฒนา สุกใส. (2522). การศึกษาขอบเขตการบริการของศูนย์การค้าในกรุงเทพ ฯ เปรียบเทียบการบริการของตลาดสะพานควาย
ตลาดอมรพนั ธ์ และตลาดสะพานใหม่ (รายงานการวจิ ยั ). ม.ป.ท.. หนา้ 39.
31 เร่ืองเดียวกัน. หน้า 38.
32 จำนวน 4 ตลาด คือตลาดพระพินิจ ตลาดศรีไทย ตลอดจอมมาลี และตลาดสาลีรัฐ โดยการศกึ ษาย่านสะพานควายแคเ่ พียงสามลำดบั แรกเท่าน้ัน อันเน่ืองจาก
พืน้ ท่ขี องสามตลาดแรกอยใู่ นขอบเขตของการศกึ ษา
56
และตลาด ที่มากกว่าทำให้ตลาดย่านสะพานควายมีสินค้ามากชนิดให้เลือกสรร จากการสำรวจความชื่นชอบ
พบว่าในลูกค้าไม่ประจำให้ความสำคัญกับตลาดสะพานควายที่มีสินค้าหลายชนิดมากกว่า 2 ตลาด
อยู่ร้อยละ 27.42 ส่วนลูกค้าประจำให้อยู่ที่ร้อยละ 17.17 เมื่อมาเทียบกับตลาดสะพานใหม่ที่ได้อันดับสอง
โดยลูกค้าไม่ประจำให้อยู่ที่ร้อยละ 20.59 และลูกค้าประจำอยู่ที่ร้อยละ 15.0533 (3) การเดินทางข้ามเขต
หรือจากระยะไกลไม่ใช่ปัญหา เพราะการคมนาคมสะดวกลูกค้าสามารถขึ้นรถโดยสารประจำทางหรือสัญจร
มากเองได้ (4) รสนิยมของลูกค้าบางคนที่คุ้นเคยที่จะเลือกซื้อสินค้าในที่เดิม ๆ หรือกับผู้ค้าคนเดิม
ทำให้อุปสรรคเรื่องที่ตั้งไม่ว่าจะใกล้หรือไกลกลับไม่ใช่อุปสรรคเมื่อผู้ซื้อมีความพึงพอใจ และ (5) ในกรณีของ
ผู้ประกอบการอยา่ งในตลาดศรีไทยส่วนใหญไ่ ด้ใหเ้ หตุผลการเลือกมาค้าขายในย่านสะพานควายวา่ ต้ังทำเลอยู่
ใจกลางเมือง สะดวกในด้านการคมนาคม และอยู่ใกล้ที่พักอาศัย โดยส่วนใหญ่ประกอบการค้ามาเป็น
ระยะเวลาประมาณ 5 – 20 ปี และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ตลาด อาทิ เขตพญาไท เขตจตุจักร
และเขตหว้ ยขวาง เป็นต้น34
การประกอบการค้าประเภทอาคารพาณิชย์หรือตึกแถว โดยการประกอบการค้าประเภทตึกแถว
จะกระจายตัวอยู่ริมถนนพหลโยธิน ถนนประดิพัทธ์ ถนนสาลีรัฐวิภาค และตอนต้นของถนนสุทธิสารวินิจฉัย
โดยการประกอบการค้าประเภทต่าง ๆ ที่โดดเด่น อาทิ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของชำ ร้านขายทอง
ร้านนาฬิกา เป็นต้น ซึ่งในด้านกายภาพของตึกแถวทั้งหมดเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กมีจำนวนช้ัน
ตั้งแต่ 2 – 6 ชั้น นอกจากนี้การประกอบการค้าประเภทตึกแถวตามสี่แยกสะพานควายมีอีกหลายประเภท
อาทิ ร้านนาฬิกา ร้านแว่นตา ร้านถ่ายรูป ร้านขายรองเท้า เป็นต้น โดยลักษณะของตึกแถวแบบทั่ว ๆ ไป
ที่ใช้ประโยชน์เพื่อการค้าและบริการ ส่วนชั้นบนเป็นที่เก็บสินค้าและที่อยู่อาศัยเพราะตึกแถว
ในย่านสะพานควายลว้ นเปิดประกอบการคา้ ขาย และเปน็ ทอ่ี ย่อู าศัยในช้นั บน35
การประกอบการค้าประเภทหาบเร่ โดยหาบเร่เป็นกิจกรรมประเภทเดียวที่ตั้งอยู่บนทางเท้า
ริมถนนพหลโยธิน และถนนสาลีรัฐวิภาค เป็นบริเวณที่ตำรวจเทศกิจห้ามไม่ให้มีการประกอบกิจกรรมการค้า
แตม่ กี ารฝ่าฝนื กันอยู่ตลอดเวลา และมีผู้ประกอบการค้าอยเู่ ปน็ จำนวนมาก ทัง้ น้เี น่ืองจากยา่ นสะพานควายเป็น
จุดศนู ยก์ ลางการสัญจร การประกอบการจงึ เร่ิมตั้งแต่ฟ้าสางจนมืดคำ่ และดว้ ยเหตุที่สองฟากถนนห้ามจอดรถ
จึงเป็นผลให้การซื้อขายต้องใช้เวลารวดเร็วผู้สัญจรจึงซื้อจากหาบเร่ริมถนน36 โดยกิจการส่วนใหญ่ที่ใช้พื้นท่ี
มากท่สี ดุ คือ ผกั ผลไม้ ดอกไม้ รองลงมาคือเครื่องอุปโภค และอาหารหวาน เคร่อื งดม่ื ทีม่ าของผู้ประกอบการ
ส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด โดยมาเช่าบ้านในบริเวณใกล้ ๆ ตลาดคือเขตพญาไท ห้วยขวาง บางเขน
มีเพียงไม่ก่รี ายทมี่ าจากเขตไกล ๆ อาทิ มนี บรุ ี บางกอกน้อย37
33 รชั นีวรรณ เวชพฤติ และสุวฒั นา สกุ ใส. เร่อื งเดยี วกนั . หน้า 42.
34 ธีวัฒน์ สร้อยมณี. (2535). บทบาทย่านพาณิชยกรรมต่อชุมชน: กรณีศึกษาย่านสะพานควาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต ภาค
วิชาการวางแผนภาคและเมอื ง จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. หน้า 90.
35 เร่ืองเดยี วกนั . หนา้ 51 – 52.
36 เรือ่ งเดยี วกนั . หนา้ 46.
37 เรื่องเดียวกัน. หน้า 49.
57
1.2 ทพ่ี ักอาศัยกบั วิถชี ีวติ ชมุ ชนยา่ นสะพานควาย
ย่านสะพานควายจากเดิมที่เป็นทุ่งนาเริ่มมีชาวจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐาน จนกระทั่งมีการสร้างที่อยู่
อาศยั กันมาตั้งแต่ในอดตี การยกตัวอย่างของท่ีพักอาศัยท้ังสองมาจากการลงพ้ืนท่สี ัมภาษณ์ลงุ บัตรเจ้าของร้าน
ชุดไทยได้กล่าวถึงตึกแถวและเรือนปั้นหยาที่เดิมเคยมีอยู่ในพื้นที่ย่านสะพานควาย โดยการนำสถาปัตยกรรม
แบบเรือนปั้นหยา38 มาใช้ในการสร้างบ้านในพื้นที่ย่านสะพานควาย กล่าวคือตั้งแต่ที่มีการเข้ามาตั้งถิ่นฐาน
ของชาวจีนโดยเฉพาะชาวจีนจากบริเวณเยาวราช39 ได้มีการสร้างที่อยู่ในรูปแบบเรือนปั้นหยาด้วย
ทำใหแ้ ต่เดมิ ที่ดนิ แดนบรเิ วณโดยรอบนี้เคยเป็นทุ่งนา และเปน็ แหลง่ ซื้อขายแลกเปลี่ยนควาย ได้เปลี่ยนมาเป็น
แหล่งที่อยู่อาศัยมากขึ้น พร้อมกับการเกิดขึ้นของตลาดเพื่อทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ แต่ยั งคงมีการ
ซื้อขายแลกเปลี่ยนควายและการสร้างบ้านแบบเรือนปั้นหยาอยู่ จนกระทั่งการเติบโตของการสร้างอาคาร
พาณิชย์ที่มาพร้อมกับการตัดถนนที่เพิ่มขึ้นในกรุงเทพมหานครทำให้ความเจริญจากเมืองหลวงเริ่มแผ่ขยาย
ออกไปยังดินแดนโดยรอบ เป็นผลใหก้ ารสร้างบา้ นในรูปแบบเรอื นป้ันหยามีจำนวนน้อยลง จนเลือนหายไปตาม
กาลเวลา และแปรเปลี่ยนเป็นพื้นทีข่ องอาคารพาณิชยแ์ ทน40 โดยอาคารพาณิชย์หรือตึกแถว41 ที่ถูกสร้างจาก
คนจีนมากกว่าคนไทยเป็นส่วนใหญ่ไม่ต่างจากเรือนปั้นหยา ซึ่งเป็นอาคารที่มีความสูง 2 – 3 ชั้นเหล่านี้
ล้วนใช้เป็นแหล่งในการค้าขาย ดังนั้นเมื่อเกิดการตัดผ่านของถนนพหลโยธินในย่านสะพานควาย
เป็นผลให้ความเจริญกระจายออกมาในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นนอก โดยเริ่มจากการเข้ามาของประชากร
ที่มากขึ้น ทำให้ต้องมีการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งอาคารพาณิชย์นั้นคือตัวเลือกที่เข้ามาพร้อมกับถนนด้วยเช่นกัน
โดยตึกแถวในช่วงแรกสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมักจะนิยมสร้างด้วยไม้เช่นเดียวกับ
เรือนในสมัยก่อน แต่ด้วยความที่ตึกแถวสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเจ้าของได้ค่อนข้างหลายรูปแบบ
ทำให้ความนิยมของตึกแถวมีมากขึ้น ซึ่งลุงบัตรกล่าวถึงการมาตึกแถวรุ่นแรกของย่านสะพานควายล้วน
มโี ครงสร้างจากไม้ไผ่ลวก42 จนกระทั่งในช่วงหลังยุคสงครามโลกครั้งท่ี 2 ทต่ี ึกแถวเริ่มเปลยี่ นโครงสร้างจากไม้
มาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมกับที่มีระเบียงออกมายังข้างนอกได้ ทำให้ความแข็งแรงของอาคารพาณิชย์
เหล่านีน้ ้ันมเี พ่ิมขึน้ มาก43
38 เป็นชอื่ เรียกของสถาปัตยกรรมรปู แบบหน่ึง โดยหลงั คาจะมีลักษณะท่ที ุกด้านน้ันจะชนเข้าหากัน โดยไมม่ ีหน้าจว่ั โดยผนังรอบตัวบา้ นจะมลี วดลายต่าง ๆ โดย
เรือนปน้ั หยาในไทยนั้นมักจะเป็นการผสมผสานระหวา่ งบ้านทรงไทยกบั ศิลปะตะวันตก คอื การที่ตวั บา้ นจะเป็นเรอื นไม้ยกสูงท่ีมีความกว้างและยาวท่คี ่อนข้างมากเพื่อใช้ในการ
ระบายอากาศ รวมไปถึงรบั มือกับเหตุการณน์ ้ำท่วม ตามรูปแบบของเรอื นไทยแต่จะมีการมุงหลังคาทท่ี ุกด้านนั้นจะชนกัน พรอ้ มกับการตกแต่งลวดลายรอบผนงั บ้านตามรูปแบบ
ของตะวนั ตก
39 ภมู ิ ภูติมหาตมะ. (2558). จีนย่านตลาดนอ้ ย: ศรทั ธาและเศรษฐกิจการคา้ แห่งจีนสยาม. ฉบบั ภาษาไทย มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศลิ ปะ, 8(2), 2590-
2606.
40 ศูนยส์ ถาปัตยกรรมลา้ นนา. (ม.ป.ป). เรอื นปน้ั หยา. [ออนไลน]์ . สบื คน้ เมื่อ 11 กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก https: //www.lanna-arch.net/art /sculpture_place
/ruen-pun-yah.
41 สง่ิ กอ่ สร้างรูปแบบหนง่ึ ท่มี รี ปู แบบมาจากตะวันตก โดยสถาปัตยกรรมในรปู แบบน้ีมีชอ่ื เรียกวา่ ชิโน-โปรตุกสี ซ่งึ เกดิ จากการที่คนจนี นำศิลปะการสร้างบ้านเรือน
ของโปรตเุ กสไปผสมผสานกบั ความเชอื่ ของจนี โดยศลิ ปะรปู แบบนีไ้ ด้เข้ามาในไทยในช่วงสมัยรัชกาลท่ี 5 ทำใหอ้ าคารพาณิชย์ส่วนใหญใ่ นช่วงแรก ๆ มกั จะอยตู่ ิดกับถนนในเมือง
อาทิ ถนนเจริญกรงุ ถนนบำรุงเมือง หรือถนนเฟอ่ื งนคร เป็นต้น
42 ลุงบตั ร. (2564, 7 กุมภาพันธ)์ . สัมภาษณ์.
43 คมชดั ลกึ . (2556). ววิ ัฒนาการ“ตกึ แถว.” [ออนไลน]์ . สืบคน้ เม่อื 11 กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก https://www.komchadluek. net/kom-lifestyle/159304.
58
1.3 แหล่งรวมความบันเทงิ กบั วถิ ีชีวติ ชุมชนย่านสะพานควาย
ในช่วงทศวรรษ 2500 เป็นต้นมาย่านสะพานควายล้วนเป็นแหล่งบันเทิง และเป็นสถานท่ี
ท่องเที่ยวในเวลากลางคืนแห่งหนึ่งของวัยรุ่นยุคนั้น โดยย่านสะพานควายแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ครบครัน
ทีห่ นงึ่ ของทุกคน เพราะเป็นพน้ื ที่ทม่ี ีท้ังห้างสรรพสินค้า อาทิ หา้ งศรศี ภุ ราช ศรีศุภราชอาเขต และห้างเมอร์ร่ีคิงส์
ที่เปดิ ให้บรกิ ารปี พ.ศ. 2528 เปน็ การเชา่ ทีด่ ินของบริษัทศรีศุภราช44 โดยห้างเมอร์ร่ีคิงสค์ ือแห่งแรกในบริเวณ
สะพานควายที่มาพร้อมกับความทันสมัยหลาย ๆ อย่าง และเป็นอาคารพาณิชย์รูปแบบใหม่คือมีหลายช้ัน
มีบันไดเลื่อน มีการติดเครื่องปรับอากาศทั่วทั้งอาคาร รวมไปถึงการที่สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งด้านอาหาร
เสื้อผ้า และสิ่งอื่น ๆ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเปน็ ห้างสรรพสินค้าท่ีมีครบทุกวงจร ตามสโลแกนของห้างที่กล่าวไวว้ า่
“เมอร์รี่คิงส์ มีทุกสิ่งให้เลือกสรร” ทำให้มีผู้เข้าใช้บริการจำนวนมากในทุก ๆ วัน เพราะความแปลกใหม่
ที่ไม่เคยมีมาก่อนในบริเวณแห่งนี้ นอกจากนี้มีโรงภาพยนตร์ให้เลือกเข้าไปชมมากมาย อาทิ โรงภาพยนตร์
เฉลิมสิน พหลโยธินรามา มงคลรามา นิวยอร์ค และประดิพัทธ์เธียเตอร์ โดยโรงภาพยนตร์ในยุคนั้น
เรียกว่าโรงภาพยนตร์เดี่ยวหรือสแตนด์อโลน ซึ่งในย่านสะพานควายถือว่าเป็นแหล่งของความรุ่งเรือง
ของโรงภาพยนตร์เช่นกัน โดยโรงภาพยนตร์เฉลิมสินถือว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่เก่าแก่ท่ีสุดในย่านนี้ แต่สุดท้าย
เมอื่ เทคโนโลยีพฒั นาและเจริญมากขนึ้ เป็นผลใหธ้ รุ กิจโรงภาพยนตร์เดย่ี วแบบน้ซี บเซาไปตามกาลเวลา
2. รถไฟฟ้าสายสขุ มุ วทิ ทศวรรษ 2540 และผลกระทบทส่ี ่งผลตอ่ ชมุ ชนในย่านสะพานควาย
จากการขยายตัวของเมืองทำให้กรุงเทพมหานครประสบกับปัญหาวกิ ฤตสัญจร คือในปี พ.ศ. 2507
คือ 2 ปีหลังดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
และได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยมาจนถึงสภาวะวิกฤตในปี พ.ศ. 2536 เป็นผลให้ทางภาครัฐร่วมกันเข้าแก้ไข
ปัญหาจราจรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514 โดยรัฐบาลเยอรมันได้ให้ความช่วยเหลือเข้ามาศึกษาสภาพปัญหา
และเสนอแผนแม่บทในการควบคุมการจราจรทางบก จากการศึกษาปัญหาจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร
ในแต่ละห้วงเวลามีความแตกต่างในรายละเอียดของสาเหตุอันเกิดจากปัญหาต่าง ๆ ทำให้เกิดนโยบาย
และแผนงานเพื่อแก้ปัญหาให้ได้ชัดเจน ผลการศึกษาพบว่าปัญหาจราจรสามารถจำแนกได้เป็น 3 ระยะ
คอื (1) ระยะฟักตัวของปญั หา ระยะเรม่ิ ใชแ้ ผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาตฉิ บบั ที่ 1 – 3 (พ.ศ. 2507 – 2519)
มีลักษณะปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่เกิดจากการขาดถนนและพื้นผิวจราจร เพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง
และการคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การแก้ไขส่วนใหญ่
จึงเน้นนโยบาย “เคลื่อนรถมากกว่าเคลื่อนคน”45 คือการสร้างถนนและสะพาน เพื่อเพิ่มศักยภาพคมนาคม
ขนส่ง (2) ระยะเจริญเติบโตของปัญหา ระยะท่ีใช้แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติฉบบั ที่ 4 – 5 (พ.ศ. 2520
– 2529) มีลักษณะปัญหาคล้ายกับในระยะแรก คือกรุงเทพมหานครมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม
และการศึกษาอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการเพิ่มของจำนวนประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร
44 ลงทนุ แมน. (ม.ป.ป). ตำนานเมอร์รคี่ งิ ส์. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 11 กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก https://www.longtunman.com /1944.
45 สพุ ตั รา สภุ าพ. (ม.ป.ป.). พฒั นาการปัญหาจราจรและมาตรการแก้ไขปญั หาจราจรในสามทศวรรษ (ระหว่าง พ.ศ. 2507 - 2539) (รายงานการวจิ ยั ). กรงุ เทพฯ:
สถาบนั ดำรงราชานุภาพ กระทรวงมหาดไทย. หน้า 1.
59
เตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ ไม่ทันกับแผนการพัฒนาเมือง และการแกไ้ ขปัญหาทยี่ ังคงเน้นนโยบาย “เคล่อื นรถมากกว่า
เคลื่อนคน” อย่างการเน้นการลงทุนด้านการสร้างถนนปรับพื้นผิวจราจร เพื่อเพิ่มสมรรถภาพของถนน
และ (3) ระยะวกิ ฤต ระยะเริม่ ใช้แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 6 – 7 (พ.ศ. 2530 – 2539)46
สาเหตุของปัญหาในระยะนีส้ ่วนใหญ่เกิดจากการขยายตัวของเมืองท่ีไม่เปน็ ระบบ ขาดการวางแผนการใช้พื้นที่
ความล้มเหลวในการกระจายความเจริญด้านเศรษฐกิจ และการศึกษายังชนบท และการขาดความจริงใจ
ในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลทำให้เกิดปัญหาที่สั่งสมที่เห็นได้จากการจราจรในระยะนี้ที่มีความรุนแรง
จนเป็นเหตุให้ประเทศเสียโอกาสในการเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน และการธนาคารในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้47 ดังนั้นการแก้ปัญหาในระยะนี้ คือการเปลี่ยนจากเน้น “เคลื่อนรถมากกว่าเคลื่อนคน”
มาเป็น “เคลื่อนคนมากกว่าเคลื่อนรถ” โดยการแก้ไขปัญการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล
ล้วนมีความก้าวหน้าของโครงการที่หลากหลาย ทั้งโครงการระบบโครงข่ายถนน อาทิ การสร้างถนน
สะพาน ทางยกระดับ และระบบทางด่วน เป็นต้น และโครงการระบบขนส่งสาธารณะ อาทิ โครงการรถไฟฟ้า
ขนส่งมวลชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
ทีส่ ามารถเดินทางได้ดว้ ยความรวดเรว็ ปลอดภยั แทนระบบโดยสารประจำทาง
ทั้งนี้ ช่วงก่อนหน้าการเกิดขึ้นของระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนนั้นเป็นผลจากแนวคิดในการพัฒนา
ระบบขนส่งมวลชนทางรางที่เริ่มมีขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 251548 รัฐบาลไทยได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
เยอรมันให้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาศึกษา และวางแผนในการแก้ไขปัญหาจราจร และขนส่งในกรุงเทพมหานคร
ซึ่งได้เสนอแนะให้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการขนส่งสาธารณะเป็นหลัก และเสนอให้มีระบบขนส่งมวลชน
แบบเร็ว (Mass Rapid Transit, MRT) รัฐบาลไดม้ ีการสนับสนุนและผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นแผน
แม่บทฉบับแรกเมื่อปี พ.ศ. 2537 และได้มีการสนับสนุนจัดทำแผนแม่บทอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการรถไฟฟ้า
บีทีเอส สายสุขุมวิทหรือสายสีเขียวเข้ม49 ซึ่งนับว่าเป็นในหนึ่งเส้นทางการเดินรถไฟฟ้าในโครงการแผนแม่บท
ท่จี ดั ทำขึน้ ดงั ที่กล่าวข้างต้น เพราะฉะน้ันการก่อสร้างของรถไฟฟา้ สายสุขุมวิทไดว้ ่ิงใหบ้ ริการตามเส้นทางถนน
เศรษฐกิจท่สี ำคัญ ได้แก่ ถนนสขุ ุมวิท ถนนพหลโยธนิ ถนนสีลม และถนนสาทร ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์
ตามเส้นรถไฟฟ้าวิ่งผ่านพุ่งทะยานขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะสถานีสยาม สีลม อโศก เพลินจิต ทองหล่อ
และอารีย์ เปน็ ตน้ 50 เนื่องจากเปน็ แหลง่ ท่ีมศี ูนย์การค้า หรอื แหล่งอสงั หารมิ ทรพั ย์ขนาดใหญห่ ลายแหง่
46 สพุ ัตรา สุภาพ. (ม.ป.ป.). พัฒนาการปัญหาจราจรและมาตรการแก้ไขปัญหาจราจรในสามทศวรรษ (ระหว่าง พ.ศ. 2507 - 2539) (รายงานการวจิ ยั ). กรุงเทพฯ:
สถาบนั ดำรงราชานภุ าพ กระทรวงมหาดไทย. หนา้ 4.
47 เรื่องเดียวกนั . หน้า 1.
48 Teamgroup. (ม.ป.ป.). โครงการศึกษาปรับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 1 ธันวาคม
2564. จาก https://www.bangkoktransitmap.com/planning/m-map/M-MAP-Report-Chapter3. pdf. หน้า 3 - 1.
49 เปิดให้บรกิ ารในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 เหตุจากกรุงเทพมหานครได้ตัดสินใจดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร โดยบริษัทระบบขนสง่
มวลชนกรงุ เทพ จำกัด (มหาชน) หรอื บที เี อส (BTS) เปน็ ผไู้ ด้รับสัมปทาน 30 ปใี หด้ ำเนินการกอ่ สรา้ งและประกอบการเดินรถไฟฟ้าในปี พ.ศ. 2535 นบั เปน็ รถไฟฟา้ ลอยฟ้า 2 สาย
แรกของประเทศไทย คือสายสุขุมวทิ (สเี ขยี วเข้ม) และสายสลี ม (สเี ขยี วออ่ น)
50 Maibat. (ม.ป.ป.). เส้นทางรถไฟฟ้ากับโอกาสใหม่แห่งการลงทุน. [ออนไลน์]. สบื ค้นเมอื่ 16 กรกฎาคม 2565. จาก https://www. krungsri.com/th/krungsri-the-
coach/loan/mortgages/the-metro-route-with-opportunity-for-investment.
60
2.1 การเลือกพนื้ ทสี่ รา้ งรางรถไฟฟา้ สายสขุ มุ วทิ ผา่ นย่านสะพานควาย
ย่านสะพานควายที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของถนนพหลโยธิน และได้ถูกเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของที่ต้ัง
สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งใช้เป็นที่ขึ้นลงของผู้โดยสาร เนื่องจากบริษัทบีทีเอสผู้ได้รับสัมปทานในการดูแล
รถไฟฟ้าได้ทำการศึกษาหาความเหมาะสมของเส้นทางการวงิ่ ของขบวนรถไฟฟ้า ซง่ึ ย่านสะพานควายเป็นพ้ืนที่
เชื่อมต่อจากหมอชิต และการเลือกเส้นทางตัดรางในยุคนั้นล้วนเน้นเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่นมาก
อย่างถนนพหลโยธิน ถนนพญาไท ถนนเพลินจิต และถนนสุขุมวิท เป็นต้น51 อนึ่งเมื่อตามแนวถนนพหลโยธนิ
และถนนสุขุมวิทที่เป็นเส้นทางมีปริมาณการเดินทางสูงและมีปัญหาการจราจรติดขัดมาก จึงเป็ นเหตุให้
โครงข่ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (สุขุมวิท) ที่ให้บริการรองรับพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นและแหล่งธุรกิจย่าน
สุขุมวิท เชื่อมโยงไปยังศูนย์ชุมชนและพาณิชยกรรมโดยรอบซึ่งมีอัตราการเติบสูง อย่างพื้นที่เขตจตุจักร
เป็นต้น52 ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันสะพายควาย จากการวิเคราะห์ของผู้ศึกษาเล็งเห็นว่าปัจจัยอื่นนอกเหนือ
ประเด็นพื้นที่ของย่านสะพายควายที่ตั้งอยู่พื้นที่ถนนพหลโยธิน คือย่านสะพานควายมีเป็นย่านพาณิชยกรรม
ศูนย์รวมทั้งการค้าขายประเภทต่าง ๆ อาทิ ตลาดสดจำนวน 4 ตลาด ห้างสรรพสินค้า ขายตามตึกแถว
และหาบเร่ และมีแหล่งบันเทิงอย่างโรงภาพยนต์ให้เลือกสรรถึง 4 – 5 โรง นอกจากนี้ยังมีการคมนาคม
ที่สะดวกเนื่องจากบริเวณสี่แยกสะพานควายเป็นดั่งจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อในการเดินทางไปในพื้นที่ต่าง ๆ
โดยขนส่งสาธารณะ จึงเปน็ สาเหตุของการเลอื กตง้ั สถานขี ้นึ ลงที่ย่านสะพานควาย
2.2 ผลกระทบจากการกอ่ สรา้ งรางรถไฟฟา้ สายสขุ ุมวิทยา่ นสะพานควาย
เนือ่ งจากการเข้ามาสร้างทง้ั สถานีและรางตัดของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทตรงพื้นที่ย่านสะพานควาย
เป็นผลให้พื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการก่อสร้าง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจที่ถูกกลืนกินพื้นที่ค้าขาย
ด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปแล้วเกิดการสร้างตึกต่าง ๆ ขึ้นมาพร้อมกับการสร้างรางรถไฟฟ้า ทั้งสองด้านนี้
ถอื ว่าเปน็ ผลกระทบทมี่ ีผลกบั ประชาชนในพ้นื ทีแ่ ถบนน้ั มากทส่ี ุด
ด้านเศรษฐกิจ เมื่อการแก้ไขปัญหาทางด้านการจราจรที่ติดขัดทำให้เกิดการเสนอให้สร้าง
รถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเส้นทางที่สร้างตัดผ่านถนนพหลโยธิน พ่อค้าแม่ค้าขายของตามแผงลอย
ที่อยู่บนถนนซึ่งเดิมพื้นที่ที่ให้จอดรถสำหรับลูกค้าอาจไม่เพียงพอมากเท่าไหร่ ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา
ไมค่ ่อยแวะเวยี นมาซ้ือของ เน่ืองจากพ้นื ท่อี าจไปกนิ พ้ืนท่ีบนถนนและอาจทำใหร้ ถตดิ ส่งผลใหพ้ ่อค้าแม่ค้าบาง
คนอาจขายของไม่ได้ นอกจากนี้การที่รถไฟฟ้าตัดรางพาดผ่านย่านสะพานควายเป็นผลให้เกิดการเข้ามา
ของนายทุนหรือนักพัฒนาที่ดินที่เข้ามากว้างซื้อที่ดินเพื่อนำไปพัฒนาให้เกิดเป็นโครงการในอนาคต จะเห็นได้
จากตึกแถวริมถนนพหลโยธินในย่านสะพานควายท่ีตดิ กับทางเข้าออกของสถานีรถไฟฟ้าได้ถูกทำเป็นโครงการ
คอนโดมิเนียม และโรงแรม จึงทำให้ผู้ประกอบการตามตึกแถวต่างต้องย้ายไปค้าขายที่อื่นจากการเข้า มาซื้อ
ทีด่ นิ ของนายทุน
51 วันวิสข์ เนียมปาน. (2564, 21 กมุ ภาพันธ์). แฟนพนั ธแ์ุ ท้รถไฟไทย. สมั ภาษณ.์
52 Teamgroup. (ม.ป.ป.). โครงการศึกษาปรับแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรงุ เทพมหานครและปริมณฑล. [ออนไลน์]. สบื คน้ เมือ่ 15 ธันวาคม
2565. จาก https://www.bangkoktransitmap.com/planning/m-map/M-MAP-Report-Chapter3. pdf. หน้า 5 - 6 .
61
ด้านสิ่งแวดล้อม ในช่วงของการก่อสร้างรางรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทย่านสะพานควาย
ได้ส่งผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนละแวกนั้นเป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของมลพิษทางอากาศ
ที่เกิดขึ้นขณะทีก่ ำลังกอ่ สร้าง อาทิ มีฝุ่นละอองเป็นจำนวนมากลอยเตม็ อากาศ เมื่อประชาชนในละแวกน้นั สดู
ดมเข้าไปอาจทำให้สภาพของปอดมีปัญหาตามมารวมถึงเรื่องสุขภาพต่าง ๆ รวมถึงบริเวณตลาดที่ตั้ง
ทางด้านหน้าอาจได้รับผลกระทบ อาทิ อาหาร ผัก เนื้อสัตว์ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่นำมาขายได้ รับการปนเปื้อน
จากฝุ่นละออง ซึ่งในบางครั้งเกิดละอองน้ำที่มาจากการก่อสร้างรางรถไฟฟ้าข้างบนตกลงมาสู่ที่พื้น
นอกจากนี้มีการเกิดมลพิษทางเสียง อาทิ การขุด เจาะ หรือตอกเสา เพื่อสร้างฐานรองรับรางรถไฟฟ้าสาย
สขุ มุ วิทอาจมีเสียงดังรบกวนประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในละแวกนั้นจนทำให้เกดิ ความรำคาญ นอกจากจะมีเหล่ามลพิษ
ต่าง ๆ แล้วสภาพแวดล้อมในย่านสะพานควายได้เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเมื่อมีการขอสัมปทานได้สำเร็จ
และดำเนินการสรา้ ง โดยเหลา่ นายทุนใหม่ ๆ ต้องคอยกวา้ นซื้อพืน้ ท่ีละแวกนัน้ เพื่อท่ีจะไดส้ ร้างแหล่งที่พักอาศัย
รปู แบบคอนโดมิเนยี มข้ึนตามการสร้างรถไฟฟ้าสายน้ี เพ่ืออำนวยความสะดวกต่อประชาชนที่อยากจะมาอาศัย
อยู่ แต่ทว่าพื้นที่เดิม ที่เป็นแหล่งธรรมชาติหรือแหล่งระบบนิเวศต่าง ๆ อาจถูกทำลายไปจนไม่เหลือ
ความเป็นเค้าโครงเดิมของย่านสะพานควาย
3. การเปลยี่ นแปลงของย่านสะพานควายหลังพทุ ธศักราช 2540 ทสี่ ง่ ผลต่อวถิ ีชวี ติ คนในพ้นื ที่
จุดเริ่มต้นของย่านสะพานควายมาจากการอยู่อาศัยของผู้คนที่หลั่งไหลจากพื้นที่ต่าง ๆ
โดยส่วนมากผู้บุกเบิกพื้นที่ย่านสะพานควายจะเป็นคนจีน จนกระทั่งผู้คนเหล่านี้ได้พัฒนาให้สะพานควาย
กลายเป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญของคนไทยเชื้อสายจีนที่มาตั้งรกรากบริเวณนี้ สังเกตได้จากร้านค้า
ร้านอาหาร โรงแรม ที่ต่างเปิดให้บริการมานานมากกว่า 10 ปี ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านไปพื้นที่ย่านสะพาน
ควายเกิดการเปลี่ยนแปลง สองฝั่งข้างทางของย่านนี้ไม่ว่าจะเป็นบริเวณถนนประดิพัทธ์หรือทางฝั่งถนน
สุทธิสาร (อินทามระ) ต่างอัดแน่นไปด้วย53 ย่านการค้าสมัยใหม่ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของย่านสะพานควาย
ไม่ได้มีแค่ปัจจัยของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเพียงอย่างเดียว แต่จากการลงพื้นที่สัมภาษณ์คนในพื้นที่ได้กล่าวถึง
ช่วงภาวะเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ส่งผลให้ย่านสะพานควายแปรเปลี่ยนไปไม่รุ่งเรืองดังอดีต
แม้ว่าจะมีการเข้ามาของกลุ่มนายทุนที่เข้ามาพัฒนาพื้นที่ให้มีความทันสมัย เห็นได้จากการตึกสูง
อยา่ งคอนโดมเิ นียมทีเ่ ริ่มเกิดข้นึ ในช่วงหลงั ทศวรรษ 2540
3.1 ภาวะเศรษฐกจิ ภายหลังพุทธศักราช 2540
หลังจากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 ระบบเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะล้มละลาย
เนื่องจากทุนสำรองระหว่างประเทศไม่พอเพียงในการชําระคืนหน้ีต่างประเทศ ธุรกิจที่อาศัยเงินกู้ตา่ งประเทศ
ในการลงทุนและประกอบกิจการเผชิญภาวะการขาดทุนอย่างมาก อันเป็นผลจากเงินบาทมีค่าตกตํ่าลงอย่างมาก
ภายหลังจากที่รัฐบาลปล่อยให้เงินบาทมีค่าลอยตัว ธุรกิจน้อยใหญ่พากันล้มละลาย ด้านหนึ่งเนื่องจากไม่มี
ทรพั ยากรการเงินหล่อเล้ียงธุรกิจ อนั เป็นผลจากการทธ่ี นาคารพาณชิ ย์และสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเช่ือ
53 THANSETTAKIJ. (2564). “สะพานควาย” ทำเลรองสู่ทำเลทอง “กิน เที่ยว อยู่” ครบเครื่องเรื่องไลฟ์สไตล์. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2564. จาก
https://www.thansettakij.com/content/business/343225.
62
ดว้ ยเกรงวา่ ปญั หา NPLs54 พอกพนู มากขน้ึ อกี ด้านหนึง่ เน่ืองจากประชาชนขาดอำนาจซื้อ อันเป็นเหตุให้ธุรกิจ
น้อยใหญ่ไม่สามารถค้าขายสินคา้ และบริการท่ีผลิตได้55 แม้ว่าผลพวงของวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540
จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมาก แต่ในเวลาต่อมาในบริเวณย่านสะพานควายได้มีการเกิดขึ้น
ของธรุ กิจการค้าอยา่ งห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (Big C) โดยตง้ั แตป่ ลายปี พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา ธุรกิจการค้า
ปลีกค้าส่งของไทยมีการพัฒนาก้าวหน้าตามลำดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการนำวิทยาการจัดการและนวัตกรรม
ทางธุรกิจมาดำเนินธุรกิจคา้ ปลีกมากขึ้นกว่าสมัยก่อนจนกลายเป็นการค้ายุคใหม่ ผนวกกับการที่ธรุ กิจค้าปลกี
ค้าส่งของไทยมีผู้ประกอบการเข้ามาประกอบธุรกิจนี้มากขึ้น ทำให้มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงตลอดมา
ธุรกิจค้าปลีกได้พัฒนาเปลี่ยนจากร้านค้าเล็ก ๆ มาเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนการดำเนินงานสูงกว่ารูป
แบบเดิมมีการบริหารงานที่เป็นระบบมากขึ้นในการดำเนินการธุรกิจค้าปลีกแนวใหม่มีการเปลี่ยนแปลงแนว
ทางการดำเนินธุรกิจแบบด้ังเดมิ นมี้ ีช่ือเรยี กวา่ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ รปู แบบรา้ นคา้ ปลีกสมัยใหมร่ ูปแบบแรกที่
เข้ามาในประเทศไทย คือ ห้างสรรพสินค้าซึ่งถูกบันทึกขึ้นอย่างเป็นทางการ พ.ศ. 2500 ต่อมาได้มีการเปิด
ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้น56 การเปิดร้านค้าปลีกสมัยใหม่ประเภทต่าง ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
รวมถึงบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ที่ต้องการขยายสาขาเข้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในขณะนั้น ประกอบกับผลพวงของ
วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 ได้ทำให้เกิดห้างบิ๊กซีในย่านสะพานควายขึ้นในปี พ.ศ. 2546 เนื่องจาก
ในช่วงวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 ที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเจ้าของตลาด
ศรีไทย เนื่องจากเจ้าของตลาดศรีไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสภาวะดังกล่าวจนไม่สามารถที่จะดำเนิน
กจิ การตอ่ ไปได้ จงึ จำเปน็ ตอ้ งขายพน้ื ทบี่ รเิ วณตลาดศรีไทยให้กบั นายทนุ ที่จะมาทำการสร้างหา้ งบิ๊กซี
จากการลงสำรวจในพื้นที่ย่านสะพานควาย พบว่า คนในพื้นที่ย่านสะพานควายได้ทำค้าขายกัน
อยู่ที่ตลาดศรีไทยมาเป็นระยะเวลานาน ถือได้ว่าเป็นแหล่งทำมาหากนิ ทีส่ ำคญั มากของพวกเขา มีพ่อค้าแม่ค้า
ทั้งจากนอกเขตพื้นที่ และในพื้นที่ใกล้เคียงย่านสะพานควายมาทำการค้าขายในตลาดศรีไทย ซึ่งในช่วงน้ัน
มีเจ๊เม้งคนที่เคยทำการค้าขายอยู่ในตลาดศรีไทยได้ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อตลาดศรีไทยมีการประกาศปิดตลาด
เขาได้ไปขอพน้ื ที่ทโี่ ล่งว่างกับเจ้าของศุภราชอาเขตเพ่ือใช้เป็นตลาดแห่งใหม่ในการทำการค้าขาย พื้นท่ีโล่งว่างนั้น
จึงกลายเป็นตลาดศรีศุภราชในปัจจุบัน ซึ่งตลาดศรีศภุ ราชในปัจจุบันเป็นตลาดที่พอ่ ค้าแม่ค้าจากตลาดศรีไทย
ยา้ ยมาจากท่ีได้ไปทำการลงพ้ืนท่ีพบวา่ รูปแบบตลาดของตลาดศรีศภุ ราชมีความแตกต่างไปจากตลาดศรีไทยอยู่มาก
แม่ค้าในตลาดให้สัมภาษณ์ว่า ตลาดศรีศุภราชเป็นตลาดที่คับแคบ และสกปรก เนื่องจากเจ้าของที่ต้องการ
เลียนแบบจากตลาด อตก. ซึ่งมันไม่ตอบโจทย์กับคนที่เขาเคยอยู่ตลาดศรีไทย เพราะตลาดศรีไทยเป็นพื้นท่ี
กว้างกวา้ ง และปลอดโปร่ง ตอบโจทยต์ ่อการค้าขายมากกว่า เจ๊เมง้ ยังใหส้ ัมภาษณ์อีกว่าราคาค่าเช่าไม่ได้แพงมาก
แต่พอบิ๊กซีเข้ามาแทนที่ตลาดศรีไทย ได้ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าไม่มีพื้นที่ที่จะทำการค้าขายต่อ ต้องย้ายไปหา
แหล่งการค้าแห่งใหม่ อาทิ การเช่าตึก ซื้อตึกเพื่อเปิดร้านบ้าง ยกตัวอย่าง ร้านขายชุดนักเรียนโดยเจ๊เม้ง
ที่เมื่อก่อนท่านเคยขายของอยู่ในตลาดศรีไทย แต่เมื่อมีการเข้ามากว้านซื้อพื้นที่ต ลาดของนายทุนใหญ่
54 NPLs หมายถงึ เงินกู้ท่ีไม่ก่อให้เกิดรายได้
55 ร ั งส ร ร ค ์ ธ น ะ พ ร พ ั น ธ ุ ์. ( 2 5 4 4 ) . เศรษฐ กิ จไ ทย หล ั งวิ กฤต ิ กา รณ ์ ป ี 2540 . [อ อ น ไล น ์ ]. ส ื บ ค ้ น เ ม ื่ อ 3 ก ุ ม ภา พ ั น ธ ์ 2 5 6 4 .
จากhttp://www.rangsun.econ.tu.ac.th/data/03/03-01-03-เศรษฐกจิ ไทยหลังวกิ ฤติการณ์%202540.pdf.
56 จริยา จริ าธวิ ัฒน์. (2552). นานาทศั นะ. วารสารนักบรหิ าร, 29(3).
63
ทำให้พวกผู้ค้าขายต้องย้ายออกมาขายที่ตลาดศรีศุภราชแทน โดยเวลาผ่านไปไม่กี่ปีเจ๊เม้งเจ้าของร้านขายชุด
นักเรียนได้ย้ายเข้ามาอาศัยในตึกพาณิชย์ของเพื่อนเพื่อเปิดขายเสื้อผ้าต่อ หรือบางคนอาจจะหาที่ทำการ
ค้าขายบริเวณใกล้เคียงได้แต่ราคาสูงกว่าที่เคยอยู่ในตลาด57 ทั้งนี้ในช่วงระหว่างที่มีการกว้านซื้อที่ดิน
เพื่อมาสร้างแหล่งอสังหาริมทรัพย์ ได้มีการเข้ามาสร้างรางรถไฟฟ้าที่สร้างตัดรางถนนพหลโยธินเกิดขึ้น
ซึ่งส่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจกับเหล่าพ่อค้าแม่ค้าเป็นอย่างมาก นอกจากจะมีกรณีแบบเจ๊เม้งเจ้าของร้าน
ขายชุดนักเรียนแล้ว ยังคงมีท่านอื่น ๆ ที่ขายของตามแผงลอยที่อยู่บนถนนซึ่งเดิมไม่มีพื้นที่ให้จอดรถ
ให้กับลูกค้า ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผา่ นมาไม่ค่อยแวะเวยี นมาซื้อของ บางคนอาจขายของไม่ได้ ทำให้พ่อค้าแม่ค้า
เดือดร้อนเป็นอย่างมาก แม้จะมีการสร้างรางรถไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนละแวกนั้น
แต่กลับส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจในย่านสะพานควายจากเดิมเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงคนที่ขายหาบเร่
บรเิ วณฟตุ บาท เขาได้รับผลกระทบเช่นกัน
4. สรปุ การเปลย่ี นแปลงของย่านสะพานควาย
ผลของการศึกษาพื้นที่ย่านสะพานควายนั้น เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญกับกรุงเทพมหานคร 2 ด้าน
ในดา้ นแรกเป็นย่านพาณิชยกรรมที่สำคัญแหง่ หน่ึงบนถนนพหลโยธิน และด้านทีส่ องคือเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการ
สัญจรที่สำคัญของเมืองเนื่องจากพื้นที่ค้าขายของย่านสะพานควาย อาทิ ตลาด ตึกแถว และหาบเร่ ล้วนเป็น
จุดเด่นของย่านสะพานควายที่ตัง้ อยู่ในบริเวณโครงข่ายของถนนหลกั ที่สามารถเช่ือมโยงไปสู่พื้นท่ีสำคัญอื่น ๆ
ของเมืองได้ ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ถนนสาลีรัฐวิภาค และถนนประดิพัทธ์ แต่เนื่องจากระบบขนส่งขนาดใหญ่
อย่างระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (BTS) ได้พาดผ่านเข้ามาและนำผู้ใช้บริการจำนวนมากเข้ามา
ถึงพื้นที่ เป็นผลให้กลายเป็นพื้นที่เปลี่ยนถ่ายการสัญจรที่สำคัญสำหรับในพื้นที่อื่นอย่างย่านตลาดพระโขนง
และตลาดอ่อนนุช58 แต่กลับไม่ได้ผลต่อย่านสะพานควายซึ่งอาจจะเพราะทำเลที่ตัง้ ของสถานีเข้าออกที่ให้เข้า
ใช้บริการนั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นทำเลใกล้จุดตัดแยกใหญ่กับถนนหลักทั้งสามเส้น ได้แก่ ถนนพหลโยธิน
ถนนประดิพัทธิ์ และถนนสาลีรัฐวิภาค โดยในย่านนี้นับว่ามีที่ดินแปลงขนาดเล็กถึงกลางทีจ่ ะพัฒนาเป็นโครงการ
ประกอบกับพื้นท่โี ดยรอบเป็นชุมชนเก่าแก่ท่ีอยู่มานานและส่วนใหญ่จะเป็นแปลงเล็ก ๆ จำนวนหลายแปลงเป็นผล
ให้การซื้อที่ดินรวมเป็นแปลงใหญ่จึงทำได้ยาก59 จึงอาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยหลักที่กล่าวได้ว่าการเข้ามา
ของรถไฟฟ้าสายสุขุมวทิ ในช่วงทศวรรษ 2540 เปน็ ต้นมาในยา่ นสะพานควาย เมอื่ เทยี บกบั พน้ื ท่ีอ่นื ที่อยู่ในเขต
ที่ถูกพาดผ่านของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทและจัดอยู่ในประเภทที่ดินพาณิชยกรรมเช่นเดียวกับย่านสะพานควาย
อาทิ เขตราชเทวีอย่างสถานีสยามและสถานีชิดลม เป็นต้น พบว่าย่านสะพานควายซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลง
ในด้านพื้นที่แต่ในทางกลับกันกับพื้นที่ย่านพาณิชยกรรมอื่น เนื่องจากสะพานควายได้ขาดความคึกคัก
57 เจ๊เม้ง. (2564, 7 กุมภาพนั ธ)์ . สมั ภาษณ.์
58 นเรศ ทองงามขำ. (2549). แนวทางการพัฒนาพ้นื ที่ย่านตลาดพระโขนงและตลาดอ่อนนุช กรุงเทพมหานคร. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาสถาปตั ยกรรมมหาบัณฑิต
สาขาวชิ าการออกแบบและชมุ ชนเมือง จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. หนา้ 3.
59 ศศิกาญจน์ บาลไธสง. (2560). การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการบนที่ดิน ย่านสะพานควาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต
ธุรกิจอสังหารมิ ทรพั ย์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. หน้า 12.
64
ทั้งการเดินทางของผู้คนเข้าไปจบั จา่ ย ประกอบกับการเกิดศูนย์การค้าขนาดใหญแ่ บบครบวงจรและการเกิดตึก
สงู ทง้ั ตึกสำนักงานหรือคอนโดมิเนยี มทมี่ ีไม่มากเทา่ เปน็ ต้น
จากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าย่านสะพานควายถือว่าเป็นย่านคลาสสิคผสมผสาน
แหล่งบันเทิงครบรสทั้งกลางวันและกลางคืนต้องแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาจากปัจจัยหลักของงานศึกษา
พลวัตและผลกระทบของย่านสะพานควาย คอื ปัจจยั จากการเกิดขึน้ ของรถไฟฟา้ บีทเี อส สายสขุ ุมวิท เนอื่ งจาก
การเมื่อถูกให้เป็นพื้นที่ที่จะต้องตัดรางรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทผ่านแล้วนั้น ผลที่ตามมาคือกลุ่มนายทุนหรื อ
นกั พฒั นาท่ดี นิ จะเข้ามากวา้ นซ้ือท่ีดนิ ในทำเลใกล้กับทางเข้าออกของสถานหี รือพื้นท่ีใกล้ ๆ สถานีท่ีตั้งบนถนน
พหลโยธนิ นอกจากนีก้ ารเปลีย่ นแปลงของย่านสะพานควายแหล่งของย่านศูนยก์ ารค้าท่ีได้รับความนยิ มบนพ้ืนท่ี
ถนนพหลโยธิน เพราะมีการค้าทง้ั ในตลาดสดขนาดใหญ่ อาคารพาณิชย์ และหาบเร่ ซึ่งเปน็ การคา้ ขายที่มีสินค้า
ให้เลือกสรรหลากหลาย อาทิ อาหารสด อาหารปรุงสุก ผักผลไม้ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และทองคำ เป็นต้น
แต่กลับต้องเลือนหายไปจากปัจจัยรองลงมาคือปัจจัยจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นเหตุให้ตลาดใหญ่
ของยา่ นสะพานควายอย่างตลาดศรไี ทยต้องปิดตวั ลงดว้ ยสภาพเศรษฐกิจทป่ี ระสบกับเจา้ ของธุรกิจ
กล่าวคือจากการวิเคราะห์ปัจจัยแรก เห็นว่าผลของการเข้ามาของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท (สายสีเขียวเข้ม)
ในย่านสะพานควายถือว่ามีอิทธิพลหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในย่านสะพานควายดังที่ได้กล่าวถึงใน
ข้างต้นถึงพื้นที่ที่อาจจะเป็นมีทำเลไม่ดีเท่าย่านอื่นที่ถูกตั้งเป็นสถานีรถไฟฟ้า แต่จะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง
ของพื้นที่ริมฝั่งถนนพหลโยธินที่ตั้งติดหรืออยู่บริเวณใกล้กับทางเข้าออกสถานีสะพานควายว่ามีการเปลี่ยนไป
ของตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์ไปเป็นตึกสูงคอนโดมิเนียม ซึ่งจากการศึกษาผลงานเรื่องผลกระทบ
ของคุณลักษณะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อราคาคอนโดมิเนียมใน TOD influence zone ของธีรวัฒน์ เสรีอรุโณ
พบว่าสถานีสะพานควายจัดอยู่ในกลุ่มสถานีทั่วไป60 ของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท โดยส่วนที่อยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลาง
ของเมือง มีคุณลักษณะของกลุ่มสถานีนี้แบ่งได้ 3 ด้าน คือด้านคมนาคมมีสถานีสะพานควายจะมีจำนวนของ
ผู้โดยสารเข้าใช้บริการจำนวนน้อยกว่าสถนีอื่น เนื่องจากสถานีในกลุ่มนี้ไม่มีจุดเ ปลี่ยนถ่ายของระบบขนส่ง
มวลชน แต่กลุ่มสถานีทั่วไปอย่างสะพานควายกลับมีจำนวนของสายรถประจำทางที่มากทำให้สถานีในกลุ่มน้ี
เป็นสถานที ส่ี ่งผคู้ นเขา้ สู่เมือง ดา้ นการเชื่อมโยงของสถานสี ะพานควายนนั้ มรี ะยะจากสถานีถึงท่ีอยู่อาศัยที่ใกล้
โ ด ย ส ถ า น ี ม ี ท า ง แ ย ก จ ำ น ว น ม า ก เ น ื ่ อ ง จ า ก เ ป็ น บ ร ิ เ ว ณ ท ี ่ อ ย ู ่ ไ ก ล จ า ก ศ ู น ย ์ ก ล า ง ข อ ง เ ม ื อ ง ห ร ื อ บ ร ิ เ ว ณ
ที่เป็นย่านพาณิชยกรรมทำให้ในบริเวณนี้มีการเดินทางด้วยรถยนต์มากกว่าบริเวณของสถานีอ่ืน
และด้านการพัฒนามีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ส่วนของสถานีสะพานควาย ซึ่งจะใช้ประโยชน์ที่ดินประเภท
ที่อยู่อาศัยรวมไปถึงความหลากหลายของการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทพาณิชยกรรมแต่มีการใช้ประโยชน์
60 เกิดจากการจัดกลุ่มของสถานีขนส่งมวลชน โดยการวิเคราะหข์ ้อมูลการพัฒนาพนื้ ทโ่ี ดยรอบสถานีขนส่งมวลชนท่ีแบ่งออกเปน็ 3 ดา้ นคือปัจจัยดา้ นการเดินทาง ปัจจัย
การเชือ่ มโยง และปจั จยั การพัฒนา ภายในบริเวณสถานรี ถไฟฟ้าสายสุขมุ วิทท่ไี ด้เก็บรวบรวมทั้งสนิ้ 17 สถานี ซงึ่ จะจัดกลมุ่ แบ่งออกเปน็ 3 กลมุ่ โดยการใชโ้ ปรแกรม SPSS เพื่อ
จำแนกกล่มุ ของคณุ ลกั ษณะ ดงั น้ี
สถานใี นกลุ่มท่ี 1 หรอื กล่มุ สถานีศูนย์กลาง มีจำนวน 4 สถานี คือ สถานีอนุสาวรียช์ ัยสมรภมู ิ สถานหี มอชิต สถานอี โศก และสถานีสยาม
สถานีในกลมุ่ ที่ 2 หรือกลมุ่ สถานที ั่วไป มีจำนวน 8 สถานี คือ สถานเี อกมัย สถานนี านา สถานีทองหล่อ สถานรี าชเทวี สถานีอารีย์ สถานพี ระโขนง สถานีสะพาน
ควาย และสถานีสนามเปา้
สถานใี นกลมุ่ ท่ี 3 หรือกลุ่มสถานยี ่านพาณิชยกรรม มีจำนวน 5 สถานี คือ สถานอี อ่ นนชุ สถานีพร้อมพงศ์ สถานชี ดิ ลม สถานีเพลินจิต และสถานีพญาไท
65
ที่ดินแบบผสมน้อยที่สุด61 เนื่องจากปัจจัยของสถานีที่ตั้งมีผลต่อราคาของคอนโดมิเนียมทั้งผู้พัฒนาที่จด
ทะเ บ ี ย น อย ู ่ ใน ต ล า ด ห ล ั กทร ั พย ์ แ ล ะผ ู ้ พั ฒ น า ที ่ ไม่ ได ้ จดทะเบ ี ยนอย ู ่ ในตลาดหล ั กทร ั พย ์ มี มากเหมื อนกั น
เนื่องจากในบริเวณสถานีทั่วไป อย่างสถานีสะพานควาย เป็นบริเวณที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภท
ที่อยู่อาศัยสูง หรือเป็นบริเวณที่มีคนอยู่อาศัยจำนวนมากและเป็นสถานีจุดเริ่มต้นที่ผู้ใช้บริการใช้
ดังนั้นจากการศึกษางานดังกล่าวประกอบกับการลงพื้นที่สำรวจการเปลี่ยนของย่านสะพานควายผ่านคำบอก
เล่าของชาวบ้านท่เี คยเปน็ ผู้ประกอบการขายของอยู่ในตลาดศรีไทยและปัจจบุ ันยงั คงค้าขายอยู่ในตึกแถวพ้ืนท่ี
ยา่ นสะพานควาย พบว่าผลของการเกดิ ข้ึนของรถไฟฟ้าในพืน้ ทีต่ า่ ง ๆ ทำใหม้ ีกลมุ่ นายทนุ หรือนักพฒั นาท่ดี ินเข้า
มาในพื้นที่ย่านสะพานควาย และได้กว้านซื้อที่ดินต่าง ๆ แถบสะพานควายเพื่อมาก่อสร้าง ได้แก่ ศูนย์การค้า
และคอนโดมิเนียม เป็นต้น เป็นผลให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่อดีตนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป เห็นได้จาก
โรงภาพยนตร์โดยรอบบริเวณถนนพหลโยธนิ และถนนประดิพัทธ์ที่ตัง้ อยู่ในย่านสะพานควายหรือแม้แต่ตึกแถว
หลาย ๆ จุดท่ีถือเป็นย่านการค้าทดแทน อาทิ ร้านทอง ร้านเสื้อผ้า ร้านนาฬิกาอย่างร้านของเฮียง้วน
หรือนายกิติศักดิ์ เลียงสุนทรสิทธ์ ผู้สืบเชื้อสายช่างซ่อมนาฬิกาจากรุ่นคุณพ่อ ได้เล่าให้กับทางนักข่าว TCIJ
ว่าตนย้ายมาเปิดร้านที่สะพานควายเมื่อปี พ.ศ. 2524 จากที่ตนเคยไปเปิดร้านแถวแยกพระปะแดงแต่บริเวณ
ดังกล่าวเป็นย่านชานเมืองยังไม่มีความศิวิไลซ์มากนัก เมื่อย้ายมาที่สะพานควายกลายเป็นว่าย่านนี้เป็นย่าน
ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเป็นแหล่งจำหน่ายจำนาฬิการองจากเยาวราชได้ เนื่องจากเมื่อก่อนนั้นมีร้าน นาฬิกา
ในย่านนี้เกือบ 30 ร้าน62 ถ้าตามความเป็นจริงแล้วร้านค้าในข้างต้นถ้าจะซื้อขายควรที่จะไปในแหล่งของย่าน
นั้นอย่างพาหุรัดหรือเยาวราช รวมไปถึงตลาดสำคัญของย่านสะพานควายที่ทำให้ย่านสะพานควาย
เปรียบเสมือนย่านศูนย์กลางการค้าขายย่านหนึ่งในเขตพญาไทบนถนนพหลโยธิน ได้แก่ ตลาดศรีไทย
ตลาดจอมมาลี และตลาดพระพินิจ ซึ่งตลาดเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของผู้คน
ในย่านสะพานควายนน้ั ยังคงอยู่ พรอ้ มกับทำให้เศรษฐกจิ การคา้ ขายนั้นดำเนนิ ไปได้อยา่ งดี
จากการสัมภาษณ์ทั้งหมด 4 ร้าน ได้แก่ ร้านขายพวกมาลัยหาบเร่ ร้านข้ายกล้วยทับ
และร้านขายชุดไทยของลุงบัตร (ร้านลูกแก้ว) ทางฝั่งบิ๊กซี และร้านขายเสื้อนักเรียนเจ๊เม้ง ทางฝั่งโรงภาพยนตร์
พหลโยธินรามา ต่างมีความเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจย่านสะพานควายในอดีตเมื่อช่วงที่มีตลาดศรีไทยนั้นดีมาก
ผู้คนต่างมาเดินซื้อของกันมามายราวกับเป็นตลาดคนเดิน เนื่องจากตลาดศรีไทยนั้นขายของหลากหลาย
และขายตลอดทั้งวันในพื้นที่ด้านหลังของตลาด โดยในช่วงเช้าจะขายสินค้าบริเวณด้านใน โดยจะจำหน่าย
ให้แก่ลูกค้าประจำ และในตอนบ่ายนำมาขายบริเวณปากทางเข้าตลาดเพื่อบริการแก่ลูกค้าจรทั่วไป 63
ประกอบกับมีเซ็นทรัลฯ ลาดพร้าวมาเปิดยิ่งส่งผลให้ผู้คนต่างมาแวะเวียนซื้อของที่ย่านสะพานควาย
และเดินทางต่อไปที่เซ็นทรัลฯ ลาดพร้าวได้อย่างสะดวกเพราะมีเส้นทางที่รถโดยสารประจำทาง
61 ธีรวัฒน์ เสรอี รุโณ. (2560). ผลกระทบของคุณลักษณะสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อราคาคอนโดมิเนียมใน TOD influence zone. วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาวิทยาศาสตร์
มหาบัณฑิต ธรุ กิจอสงั หาริมทรพั ย์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. หน้า 69.
62 อุบลวรรณ กระปุกทอง. (2556). ท่ีนี่สะพานควาย…’เฮยี ง้วน กิติศกั ด์ิ’ ผูน้ ่ังมองเวลาและความเปลย่ี นแปลง. [ออนไลน์]. สืบคน้ เมอ่ื 3 กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก
https://www.tcijthai.com/news/2013/03/scoop/2896.
63 ธวี ฒั น์ สร้อยมณี. (2535). บทบาทยา่ นพาณิชยกรรมตอ่ ชมุ ชน: กรณีศึกษาย่านสะพานควาย. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑิต
ภาควิชาการวางแผนภาคและเมอื ง จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. หน้า 47.
66
ผ่านสะพานควายไปที่ห้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 มีห้างเมอรี่คิงได้มาเปิดให้บริการบริเวณหวั มุมสี่แยกสะพาน
ควาย ยิ่งเพิ่มความคึกคักให้มีผู้คนสัญจรมาซื้อและเดินเที่ยวในย่านสะพานควายมากขึ้น จนกระท่ังในทศวรรษ
2550 เป็นต้นไปที่รถไฟฟ้าเข้ามามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเพราะรถไฟฟ้ากลายเป็นปัจจัยสำคัญ
ในการเดินทางในกรุงเทพมหานครเนื่องจากมีการขยายเส้นทางที่ครอบคลุมหลายพื้นที่จนกลายเป็นว่าวิถีชีวิต
ของคนเมืองทำให้รถไฟฟ้านั้นกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเดินทาง จึงเป็นสาเหตุของการเข้ามาพัฒนาพื้นท่ี
ของนายทุนในการเปลี่ยนตึกแถวริมทางถนนพหลโยธินให้เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งตั้งติดกับทางเข้าออกของสถานี
ได้แก่ ไอดีโอ มิกซ์ พหลโยธิน เปิดให้เข้าอยู่ในปีพ.ศ. 2553 ตั้งอยู่ที่ทางออก 4 ของรถไฟฟ้า, คอนโดออนิกซ์
พหลโยธิน เปิดให้เข้าอยู่ในปี พ.ศ. 2556 ตั้งติดถนนพหลโยธินใกล้ทางออก 1 ของรถไฟฟ้า,
คอนโด The Editor เปิดให้เข้าอยู่ในปี พ.ศ. 2558 ตั้งอยู่ที่ทางออก 3 ของรถไฟฟ้า, คอนโด The Signature
by Urbano เปดิ ให้เข้าอยู่ในปี พ.ศ. 2559 ตงั้ อยทู่ ีท่ างออก 1 ของรถไฟฟา้ และคอนโดไอดีโอควิ สะพานควายท่ี
เคยมีโครงการจะเปิดทำการก่อสร้างในช่วงปี พ.ศ. 2563 ซึ่งเดิมเคยเป็นพื้นที่ของโรงภาพยนตร์มงคลรามา
แต่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่โล่งที่ยังไม่ถูกพัฒนาต่อเป็นคอนโดมิเนียมจากปัญหาเศรษฐกิจในช่วงปี พ.ศ. 2561
เป็นผลให้คนเข้ามาจองห้องไม่ถึงร้อยละ 20 ทำให้คอนโดคอนโดไอดีโอคิวสะพานควายอาจจะถูกพักการทำ
โครงการไปแลว้ นอกจากทกี่ ลา่ วมาการเปลีย่ นแปลงของทางกายภาพของพ้ืนทยี่ ่านสะพานควายอาจจะมีอีกหน่ึง
สาเหตุคือตึกแถวหรืออาคาพาณชิ ยใ์ นย่านสะพานควายเมื่อหมดสญั ญาทำใหเ้ กิดการขายต่อและปรับเปลี่ยนพื้นท่ี
ใหมไ่ ดเ้ ชน่ กนั
ส่วนของปัจจัยที่สองได้วิเคราะห์ว่ามีผลรองลงมาจากปัจจัยของการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิท
คือภาวะวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 เป็นผลให้ผู้ประกอบการในตลาดย่านสะพานควายต้องหา
ทำเลค้าขายใหม่ เน่ืองจากปญั หาเศรษฐกิจจากวกิ ฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 จากการสัมภาษณ์ผู้ท่ีเคย
ขายของในตลาดศรีไทยอย่างลุงบัตรและเจ๊เม้ง พบว่าการสิ้นสุดของตลาดศรีไทยเกิดจากการต่อสู้กับปัญหา
เศรษฐกิจในชว่ งหลังปี พ.ศ. 2540 ของเจ้าของที่ดินที่ไม่ไหวจึงประกาศให้แมค่ ้าพ่อค้าในตลาดศรีไทยได้ทราบ
ว่าจะมีการต่อสัญญาครั้งสุดท้ายอีก 3 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 – 2545 แล้วหลังจากนั้นจะทำการขายที่ดิน
ของตลาดศรีไทย โดยผู้ที่เข้ามาซื้อที่ดินทำการค้าต่อคือห้างบิ๊กซีที่เปิดให้บริการในปี พ .ศ. 2546
ทั้งที่ในช่วงแรกอาจจะเป็นเครือเซ็นทรัลฯ ที่อาจจะมาเปิดแต่กลายเป็นบิ๊กซีมาเปิดแทน เนื่องจากพื้นท่ี
ใกล้เคยี งมเี ซ็นทรัลฯ ลาดพร้าวแลว้ โดยเจเ๊ ม้งไดเ้ ล่าว่าเม่ือทราบว่าทางเจ้าของตลาดจะไม่ต่อสัญญาตลาดแล้ว
พ่อค้าแม่ค้าในตลาดต่างเริ่มพากันหาทำเลการขายใหม่ที่พร้อมจะย้ายครั้นเมื่อหมดสัญญากับที่ตลาดศรีไทย
โดยในกรณขี องเจ๊เม้งได้ทำนามบัตรแจกลกู ค้าประจำพร้อมกับบอกกลา่ วล่วงหน้าถงึ การปดิ ตวั ของตลาดศรีไทย
และการย้ายทำเลที่ตั้งไปขายในซอยออนิกซ์ของแสนสิริ (ในปัจจุบันเป็นคอนโดออนิกซ์ สะพานควาย)
นอกจากการย้ายไปค้าขายทีใ่ หม่แล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงของเจ๊เมง้ หรือพอ่ ค้าแมข่ ายบางส่วนคือการปรบั ตัวของ
ช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปโดยเจ๊เม้งจากที่แต่ก่อนขายของเพื่อตอบสนองวิถีชุมชน อาทิ ขายผ้าถุง เสื้อคอกระเช้า
กางเกงแพร เสื้อกลา้ ม และกางเกงหรู ดู ขาย ตงั้ แตต่ ัวละ 3 – 5 บาท ตอ้ งเร่มิ ปรับตวั เปลี่ยนมาขายเสอ้ื นักเรียน
แทน เนื่องจากมีการพูดคุยกันระหวา่ งเจเ๊ ม้งกบั เพ่ือนร่วมอาชีพท่ีทำการค้าขาย อยา่ งลุงบัตรร้านลูกแก้วท่ีขาย
ชุดไทยเหมือนกันว่าใครจะขายสิ่งใดเพื่อที่จะได้ไม่มีการแย่งลูกค้ากัน จึงทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการขายชุด
67
นักเรียนของเจ๊เม้งและชุดไทยของลุงบัตรมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้พ่อค้าแม่ค้าบางส่วนเคยขายของสด
หรืออาหารในตลาดศรีไทยได้ย้ายไปขายของที่ตลาดศรีศุภราชแทนเนื่องจากในช่วงแรกที่จะเริ่มย้ายนั้นมีการ
พูดคุยกันว่าจะยา้ ยไปขายกันแถวอินทามระซึ่งแถวน้ันมีตลาดสดอยู่ แต่ทำเลท่ีตั้งของตลาดตรงนั้นไม่ดีเหมือนแถว
ย่านสะพานควายเพราะถนนคับแคบมีอยู่เพียงแค่สองเลนแล้วมีเสาไฟฟ้าที่ทำให้ขยายพื้นที่ต่อไม่ได้และความเช่ือ
ฮวงจุ้ยของตลาดตรงอินทามระนั้นไม่ดีเท่าพื้นที่ย่านสะพานควายจากคำบอกเล่าของเจ๊เม้ง ในส่วนของตลาดอื่น
อย่างตลาดจอมมาลีได้เปลี่ยนไปเกือบไม่เป็นตลาดการค้า แต่เป็นแผงที่เก็บสินค้า อาทิ เข่งและลัง เป็นต้น
ส่วนนี้อยู่ด้านและตรงกลาง ส่วนสุดท้ายเป็นโรงลิเก ซึ่งความซบเซาของตลาดเนื่องมาจากเป็นตลาดเล็ก
ไม่มีสินค้าและบริการที่พอเพียงคนจึงหันเหไปใช้บริการจากตลาดใกล้เคียงแทน และตลาดพระพินิจได้
เปลยี่ นเป็นพืน้ ท่ีของโรงพยาบาลเปาโลเมโมเรยี ลแทน
สุดท้ายกลิ่นอายความรุ่งเรืองในช่วงสมัยหนึ่งของย่านสะพานควายกลับต้องเลือนหายตามกาลเวลา
ที่แปรเปลี่ยนไปจากภัยทางเศรษฐกิจและความทันสมัยของเทคโนโลยีอย่างระบบรถไฟฟ้าที่เข้ามาเพื่อแก้ไข
ปัญหาจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพมหานครเพราะความเจริญที่เกิดขึ้นจากนโ ยบายของภาครัฐที่ริเริ่มให้มีการ
สร้างถนนจนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของประชากรเข้ามาในกรุงเทพมหานคร ซึ่งย่านสะพานควาย
นับเป็นหนึ่งในพื้นที่ชานเมืองในอดีตที่มีกลุ่มคนจีนเข้ามาบุกเบิกเปลี่ยนทุ่งนาเป็นย่านการค้าที่เจริญรุ่งเรือง
จนกระทั่งสิ่งเหล่านีไ้ ด้ทำให้ย่านสะพานควายแหล่งแห่งการค้าและความบนั เทงิ ต้องเลือนลางหายไปไมเ่ ปน็ ดงั
ในอดตี
68
บรรณานกุ รม
หนังสอื
พอพันธ์ อยุ ยานนท.์ (2558). ประวัตศิ าสตร์เศรษฐกิจ 5 ภูมิภาคของไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
พอพนั ธ์ อุยยานนท.์ (2564). ประวตั ิศาสตรเ์ ศรษฐกจิ แห่งประเทศไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
รายงานวิจยั
รัชนวี รรณ เวชพฤติ และสวุ ัฒนา สุกใส. (2522). การศกึ ษาขอบเขตการบริการของศนู ย์การค้าใน
กรงุ เทพ ฯ เปรียบเทียบการบรกิ ารของตลาดสะพานควาย ตลาดอมรพันธ์ และตลาด
สะพานใหม่ (รายงานการวิจยั ). ม.ป.ท.
สุพตั รา สภุ าพ. (ม.ป.ป.). พัฒนาการปัญหาจราจรและมาตรการแก้ไขปญั หาจราจรในสามทศวรรษ
(ระหวา่ ง พ.ศ. 2507 - 2539) (รายงานการวิจยั ). กรงุ เทพฯ: สถาบันดำรงราชานุภาพ
กระทรวงมหาดไทย.
วารสาร
จรยิ า จิราธวิ ัฒน์. (2552). นานาทศั นะ. วารสารนักบรหิ าร. 29(3).
ภูมิ ภูติมหาตมะ. (2558). จีนย่านตลาดน้อย: ศรัทธาและเศรษฐกจิ การค้าแหง่ จนี สยาม. ฉบบั
ภาษาไทย มนษุ ยศาสตร์ สงั คมศาสตร์ และศิลปะ, 8(2), 2590-2606.
วทิ ยานพิ นธ์
กาญจน์ บาลไธสง. (2560). การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการบนทีด่ ิน ย่านสะพานควาย.
วิทยานพิ นธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบณั ฑติ ธรุ กิจอสงั หารมิ ทรพั ย์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
ธีวฒั น์ สรอ้ ยมณ.ี (2535). บทบาทยา่ นพาณิชยกรรมต่อชมุ ชน: กรณีศึกษาย่านสะพานควาย.
วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาการวางแผนภาคและเมืองมหาบัณฑติ ภาควิชาการวางแผนภาคและเมอื ง
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ธีรวฒั น์ เสรีอรโุ ณ. (2560). ผลกระทบของคุณลกั ษณะสถานรี ถไฟฟ้าบีทีเอสตอ่ ราคาคอนโดมิเนียมใน
TOD influence zone. วิทยานพิ นธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบณั ฑติ ธรุ กจิ
อสังหารมิ ทรัพย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
69
นเรศ ทองงามขำ. (2549). แนวทางการพัฒนาพื้นที่ยา่ นตลาดพระโขนงและตลาดอ่อนนุช
กรุงเทพมหานคร. วทิ ยานิพนธ์ปริญญาสถาปตั ยกรรมมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการออกแบบและชุมชน
เมือง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
สอ่ื อิเล็กทรอนิกส์
เกยี รติ จิวะกลุ และคณะ. (2525). ตลาดในกรงุ เทพฯ การขยายตัวและพัฒนาการ. [ออนไลน์].
สืบคน้ เมื่อ 14 มกราคม 2564. จาก http://media.phra.in/672b2d59769713.pdf.
คมชัดลกึ . (2556). ววิ ัฒนาการ“ตึกแถว.” [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ 11 กมุ ภาพนั ธ์ 2564.
จาก https://www.komchadluek. net/kom-lifestyle/159304.
สถาบนั พระปกเกล้า. (ม.ป.ป.). ประวัตแิ ละความเป็นมาของกรงุ เทพมหานคร. [ออนไลน์]. สืบค้น
เม่อื 13 มกราคม 2564. จาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title =ประวัตแิ ละ
ความเป็นมาของกรงุ เทพมหานคร.
ปณัยกร วรศลิ ป์มนตรี. (2560). เลา่ เร่อื ง ‘สะพานควาย’ ผ่านมุมมองเจ้าบา้ น. [ออนไลน]์ . สืบคน้
เมอื่ 12 มกราคม 2564. จาก https://urbancreature.co/saphan-khwai.
รงั สรรค์ ธนะพรพันธ์.ุ (2544). เศรษฐกิจไทยหลงั วิกฤติการณ์ ปี 2540. [ออนไลน]์ . สบื ค้นเมอ่ื 3
กมุ ภาพันธ์ 2564. จาก http://www.rangsun.econ.tu.ac.th/data/03/03-01-03-
เศรษฐกิจไทยหลังวกิ ฤติการณ์%202540.pdf.
ลงทนุ แมน. (ม.ป.ป). ตำนานเมอร์รคี่ งิ ส.์ [ออนไลน์]. สบื ค้นเม่อื 11 กุมภาพนั ธ์ 2564.
จาก https://www.longtunman.com /1944.
ศูนย์สถาปตั ยกรรมล้านนา. (ม.ป.ป). เรือนป้ันหยา. [ออนไลน์]. สืบค้นเม่ือ 11 กุมภาพันธ์ 2564.
จาก https://www.lanna-arch.net/art /sculpture_place /ruen-pun-yah.
สถาบนั พระปกเกล้า. (ม.ป.ป.). ประวัตแิ ละความเปน็ มาของกรุงเทพมหานคร. [ออนไลน์]. สืบคน้
เมอื่ 13 มกราคม 2564. จาก http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title =ประวัตแิ ละ
ความเปน็ มาของกรงุ เทพมหานคร.
อบุ ลวรรณ กระปุกทอง. (2556). ทน่ี ี่สะพานควาย…’เฮียง้วน กิติศักด์ิ’ ผูน้ ่งั มองเวลาและความ
เปล่ียนแปลง. [ออนไลน์]. สบื คน้ เมือ่ 3 กุมภาพันธ์ 2564. จาก
https://www.tcijthai.com/news/ 2013/03/scoop/2896.
Maibat. (ม.ป.ป.). เสน้ ทางรถไฟฟ้ากับโอกาสใหมแ่ หง่ การลงทุน. [ออนไลน์]. สบื ค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม
2565. จาก https://www.krungsri.com/th/krungsri-the-coach/loan/mortgages/the-metro-
route-with-opportunity-for-investment.
70
REIC ศนู ย์ข้อมลู อสังหาริมทรัพย์. (2562). บิ๊กอสังหากวาดเรียบ 6 โรงหนงั สะพานควาย. [ออนไลน์].
สบื คน้ เมื่อ 12 มกราคม 2564. จาก
https://www.reic.or.th/News/RealEstate/440548
Teamgroup. (ม.ป.ป.). โครงการศกึ ษาปรับแผนแม่บทระบบขนสง่ มวลชนทางรางในเขต
กรงุ เทพมหานคร และปริมณฑล. [ออนไลน์]. สบื คน้ เมื่อ 1 มกราคม 2564. จาก
https://www.bangkoktransitmap.com /planning/m-map/M-MAP-Report-
Chapter3. pdf. หนา้ 3-1.
THANSETTAKIJ. (2564). “สะพานควาย” ทำเลรองสู่ทำเลทอง “กิน เที่ยว อยู่” ครบเครอ่ื งเร่ืองไลฟ์
สไตล์. [ออนไลน์]. สืบคน้ เม่ือ 3 กุมภาพนั ธ์ 2564. จาก
https://www.thansettakij.com/content/business/ 343225.
สัมภาษณ์
เจเ๊ มง้ . (2564, 7 กุมภาพนั ธ)์ . สัมภาษณ์.
ลงุ บตั ร. (2564, 7 กุมภาพันธ์). สมั ภาษณ์.
วันวสิ ข์ เนยี มปาน. (2564, 21 กุมภาพนั ธ์). แฟนพนั ธ์ุแท้รถไฟไทย. สัมภาษณ์.
71
วฒั นธรรมการบรโิ ภคเนือ้ วัวของชาวอสี าน สู่ธุรกิจรา้ นลาบก้อย ( พ.ศ. 2504 -2564 )
( Isan people's beef consumption culture to the Laab Koi business 1961-2021 )
ณัฐวฒุ ิ นากดุ นอก และวิรยิ า สบี ุญเรอื ง
บทคัดย่อ
การศึกษาเรื่องวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสาน สู่ธุรกิจร้านลาบก้อย พ.ศ.2504-2564
มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลงการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสาน และนำมาเปรียบเทียบ
ความเปลี่ยนแปลง มีการพัฒนา การปรับตัว และการดำรงอยู่ของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง กับวัฒนธรรมการบริโภค
ของชาวอีสาน ได้ทำการศึกษาและอ้างอิงตามงานเขียนของ ฟรานซิส คริปส์ ในหนังสือสภาพอีสาน
การที่จะได้บริโภคเนื้อวัวของชาวอีสานในช่วงปี 2504 นั้นตามที่ ฟรานซิส คริปส์ ได้เขียนไว้ดังความว่า
“อยากกินเนื้อวัวไหม” แก้วร้องถามปรากฏวา่ ไม่ใช่เน้ืออย่างเดียว แต่ทว่า ขา เขา ไส้ในและอื่น ๆ ครบพร้อม
ทุกส่วน ชาวบ้าน หิ้ว หาม แบก ถือ กันเข้ามาคนละไม้ละมือ”1 ผลการศึกษาพบว่าในช่วงแรกน้ัน
ถึงการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสาน ยังไม่มีการจัดจำหน่ายเนื้อวัวจะบริโภคกันในเฉพาะประเพณีหรืองานบุญ
ทสี่ ำคัญ ๆ ในหม่บู า้ นเพียงเทา่ นน้ั จนกระทัง่ พ.ศ.2520 วัฒนธรรมการบรโิ ภคเนอื้ วัวไดเ้ ปล่ยี นแปลงไปจากท่ีได้
บริโภคแค่เพียงในงานบุญ กลับกลายเป็นผู้คนชาวอีสานมีความต้องการในการบริโภคเนื้อวัวที่นอกเหนือ
จากงานบุญ วัฒนธรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในครั้งนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
และการเมืองอีกด้วย เนื้อวัวเข้าได้ไปมบี ทบาทมากยิ่งขึน้ ในทางเศรษฐกิจนัน้ ผูค้ นชาวอีสานต่างหันมาเล้ยี งวัว
เพื่อส่งขายให้โรงเชือด เปิดร้านขายเนื้อวัว เปิดธุรกิจร้านลาบก้อยที่ใช้เนื้อวัวเป็นวัตถุดิบหลัก
จึงทำให้ชาวอีสานหรือผู้คนที่นิยมบริโภคเนือ้ วัว สามารถหาซ้ือเนือ้ ววั มาบริโภคได้ง่ายขึ้น และเนื้อวัวยังเข้าไป
มบี ทบาทในทางการเมืองไม่วา่ จะในระดบั ท้องถ่นิ หรอื อาจจะมากกวา่ ระดับนี้ต่อไป
บทนำ
ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นพื้นที่ที่เป็นแหล่งร่องรอยอารยะธรรมโบราณ
ประชากรที่อาศัยอยู่ส่วนมากเป็นคนไทยอีสาน(ลาว) ซึ่งมีคตินิยมผูกแน่นอยู่กับประเพณีโบราณ
และมีการรักษาสืบเนื่องต่อกันมา จึงทำให้พื้นที่ราบสูงแห่งนี้เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรม
ประเพณีที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ชาวอีสานสมัยก่อนมีวิถีชีวิตแบบอยู่กับธรรมชาติ ผู้คนพึ่งพาอาศั ยกัน
เป็นภาคที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกินที่มีความเป็นอัตลักษณ์ฉพาะตัว
ว่าด้วยชีวิตของมนุษย์นั้นมีปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตอยู่ 4 ประการ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ยารักษาโรค และท่อี ยอู่ าศยั แตห่ ากพจิ ารณาให้ถงึ ทสี่ ุดแล้วกลา่ วไดว้ า่ อาหารเปน็ ปัจจัยพ้นื ฐานท่ีมีความจำเป็น
1 ฟรานซสิ ครปิ ส.์ สภาพอีสาน.แปลโดย ตลุ จนั ทร์,พมิ พค์ รั้งที่ 2.กรงุ เทพฯ.แม่คำผาง.2551
72
และสำคัญที่สุด เป็นเบื้องต้นในสภาวะปกติ ขณะเดียวกันอาหารก็เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่เฉพาะแต่กับ
มนุษยเ์ ท่าน้นั หากแต่มีความสำคัญกับส่ิงมชี ีวติ ทุกชนิดเลยทเี ดียว2 เช่นตามเน้ือเพลงที่มีการแต่งข้ึนเกี่ยวกับวิถี
ชีวิตของชาวอีสาน ดังตัวอย่างเนือ้ เพลงที่ยกมา “ธรรมชาติแห่งบ้านนาฝนตกมามีของกิน ฝนแล้งแห้งแผน่ ดิน
ห้วยบึงหนองแห้งเหือดหาย”3 ด้วยการบริโภคที่บ่งบอกถึงความเป็นอีสานที่มีการปรุงรสชาติด้วยวัตถุดิบ
ที่หาไดต้ ามธรรมชาติหรือมกั จะมีการบรโิ ภคเน้อื ววั ของทย่ี ังแฝงอยู่ในทุกประเพณี งานบุญ
วัฒนธรรมการบริโภคคนอีสานในช่วง พ.ศ. 2504 คนอีสานส่วนใหญ่มักจะชอบบริโภคเนื้อวัวเหตุ
เพราะคนอีสานนั้นมีการเลี้ยงวัวเป็นจำนวนมาก เพื่อไว้ซื้อขาย แลกเปลี่ยน และวัวเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่
หากนำไปใช้ในการบริโภคนั้น วัวตัวหนึ่งก็สามารถแบ่งกันกินได้ทั้งหมู่บ้าน โดยปกติของคนอีสานในช่วงน้ี
จะมีโอกาสได้กินเนื้อสัตว์หรือเนื้อวัวในช่วงงานบุญหรืองานใหญ่ๆที่สำคัญเท่านั้น เช่น งานแต่งงาน งานบุญ
บ้าน งานประเพณีในชุมชน โดยจะมีการล้มวัวมาเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารเพื่อเลี้ยงแขกในงาน
อาหารทน่ี ิยมทำเล้ียงแขกเปน็ อาหารโอชารส อีกทงั้ หากนิ ได้ยาก
ในช่วงปี พ. ศ. 2521 วัฒนธรรมการบริโภคของคนอีสานได้เปลี่ยนแปลงไป กล่าวได้คือคนอีสาน
ต้องการ การบริโภคเนื้อสัตว์หรือเนื้อวัวที่เพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องรอเฉพาะงานบุญในชุมชนเท่านั้น
ในช่วงนี้เริ่มมีการตั้งโรงเชือดวัวที่มีการชำแหละเนื้อวัว เพื่อส่งไปขายยังร้านค้าต่าง ๆ รวมไปถึงการเปิดขาย
ที่หน้าโรงเชือดวัวด้วย จากการตั้งโรงเชือด เพื่อส่งขายให้ร้านค้าท่ีจำหน่ายเนื้อสัตว์ นำไปสู่การประกอบธุรกจิ
ร้านอาหาร ที่ชาวอีสานเรียกกันอย่างติดปากว่า “ร้านลาบก้อย” ผู้คนชาวอีสาน และผู้คนที่นิยมรับประทาน
เนอ้ื วัวจงึ สามารถหาซอื้ มาบริโภคไดส้ ะดวกข้ึน
ในช่วงปี พ.ศ. 2541 เนื้อวัวได้เข้าไปมีบทบาททางวัฒนธรรมการบรโิ ภค ทางเศรษฐกิจ และการเมือง
ในสว่ นของวัฒนธรรมการบรโิ ภคเน้ือวัวน้ันไม่เพยี งแค่คนอีสานเท่านัน้ ทีต่ ้องการบรโิ ภคเน้ือวัว แต่ผู้คนท่ีหันมา
รับประทานเนื้อวัวก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยวัฒนธรรมการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสาน
ทีเ่ ปน็ เอกลักษณโ์ ดดเด่นเลยคือการนำเนื้อวัวมาปรุงเปน็ อาหารประเภทลาบก้อย ซอยจุ๊ แบบดิบ ๆ วัฒนธรรม
การกินเช่นนี้ได้ขยายไปสู่บุคคลที่ต้องการรับประทานอาหารตามแบบฉบับคนอีสานแท้ๆอย่างเป็นวงกว้าง
ในทางด้านเศรษฐกิจผู้คนชาวอีสานหันมาเลี้ยงวัว เพื่อส่งขายให้โรงเชือดซึ่งได้ราคาดีกว่าการเลี้ยงไว้
เพื่อผสมพันธุ์ ร้านขายเนื้อวัวหรือแม้แต่ธุรกิจร้านอาหาร ร้านลาบก้อย ได้ขยายตัวเปิดกิจการขึ้นมาอีก
เป็นจำนวนมากเพือ่ รองรับความต้องการบริโภคเนื้อวัวทีเ่ พิ่มมากขึน้ ทำให้เกิดการสร้างรายได้ ให้กับชาวบ้าน
เจ้าของกิจการได้เป็นกอบเป็นกำ นอกจากนั้นแล้วเนื้อวัวยังเข้าไปมีบทบาทในทางการเมืองไม่ว่าจะในระดับ
ทอ้ งถิ่นหรืออาจจะมากกว่าระดับนีโ้ ดยการที่ เนอื้ ววั เขา้ ไปมบี ทบาททางการเมืองนั้น เนอ้ื วัวจะเปน็ หน้าท่ีเช่ือม
ความสัมพันธ์ เป็นการฉลองหรือเลี้ยงขอบคุณในวาระที่ผู้ลงสมัครทางการเมืองได้ตำแหน่ง หรือการซื้อสิทธ์ิ
ขายเสียงโดยใช้เนื้อวัวเป็นสิ่งตอบแทนให้หัวคะแนน ถึงแม้ว่าตอนนี้ระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
หลังจากการระบาดของโควิดที่เป็นส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงมีการมีการชำแหละเนื้อวัวใน
โรงเชอื ด เพ่อื นำออกมาจำหนา่ ย ถงึ แมย้ อดการจำหนา่ ยหรือกำลังการซื้อของประชาชนจะลดน้อยลงแต่เน้ือวัว
2 กมลทพิ ย์ จ่างกมล. (2545). อาหาร: การสรา้ งมาตรฐานในการกินกบั อัตลักษณท์ างชนชนั้ [วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบัณฑติ ].มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.1
3 บทเพลงอสี านบา้ นเฮา (Ost. ดอกคนู เสยี งแคน) เว็บ : https://www.siamzone.com/music/thailyric/16625
73
ก็ถอื ว่าเปน็ วตั ถดุ ิบสำคญั อกี อย่างทข่ี าดไม่ไดต้ ามท้องตลาดในปัจจุบนั แตส่ ำหรบั ครวั เรือนอีสานทไ่ี มม่ ีกำลงั เงิน
ซือ้ เนือ้ กินบ่อยครง้ั นกั การกินอาหารจากเน้ือสัตวถ์ ือวา่ ต้องเปน็ โอกาสพิเศษ แตอ่ ย่างไรก็ตามคนอสี านน้ันต้ังอยู่
บนพื้นฐานแห่งการพึ่งพาตนเองอย่างสมถะเรียบง่ายด้วยจริยธรรมการกินอย่างเพียงพอและพอเพียงสมควร
แก่อัตภาพของการกินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกินที่สอดคล้องกับวิถีสังคมแบบชาวนาก่อเกิด เป็นอาหารพื้นถ่ิน
ทั้งแบบพื้นบ้านพื้นเมือง พื้นเมือง ดังนั้นผู้เขียนจึงสนใจที่จะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมการบรโิ ภคเนอื้
วัวของชาวอีสาน มีความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการบริโภคมากน้อยเพียงใด ทั้งทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม
การเมืองในอสี าน เนอื้ วัวจงึ เข้าไปมบี ทบาทในการพฒั นา การปรบั ตวั และการดำรงอยู่ของธุรกจิ รา้ นลาบกอ้ ย
ภมู หิ ลัง : สภาพความเปน็ อย่ขู องชาวอสี าน
สภาพความเป็นอยู่ของชาวอีสานนั้น จะมีวิถีชีวิตของความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย มีศิลปวัฒนธรรม
ประเพณี อาหาร การดำรงชพี ที่แตกต่างออกไปจากภาคอ่ืน ๆ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม
ท้งั หมดล้วนเป็นวิถชี วี ิตแห่งชาวอีสาน แต่เดิมนนั้ ชาวอีสานได้มีการดำเนินชีวิตแบบสังคมชนบท โดยเป็นสังคม
ที่พึ่งพาซึ่งกันและกัน มีการเรียนรู้ และมีการปรับตัวเองเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ผู้คนชาวอีสาน
ใช้ชีวติ ตามท้องไรท่ ้องนาอยู่กับธรรมชาติ พึ่งพาธรรมชาติ ในการดำรงชวี ติ มปี ระเพณีวฒั นธรรมท่ีสืบทอดกัน
มาอย่างมีเอกลักษณ์และเสน่ห์ในตนเอง มีการปรับตัวในการดำรงชีวิตให้สอดคล้อง กับสภาพแวดล้อม
ที่เป็นแหล่งน้ำและป่ารวมกับความเชื่อในผีหรือจิตวิญญาณ จนกลายเป็นวัฒนธรรมของผู้คนที่อยู่รวมกัน
ในภาคอีสานทีม่ คี วามเฉพาะตัวเกิดขนึ้ มา
ในการสร้างบ้านเรือนของชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณมักจะเลือกทำเล
ที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่น้ำสำคัญ ๆ ไหลผ่านเช่นแม่น้ำโขงแม่น้ำมูลแม่น้ำชี ฯลฯ รวมทั้งอาศัย
อยู่ตามริมหนองบึงถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่บนโลกหรือเนินสูง ดังนั้นชื่อหมู่บ้านในภาคอีสาน
จึงมักขึ้นต้นด้วยคำว่า "โคก โนนหนอง”เป็นส่วนใหญ่ลักษณะของหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
หรือภาคอีสานนั้นมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และชาวอีสานส่วนใหญ่นั้นมีรากฐานมาจากความเชื่อของศาสนา
พทุ ธทถ่ี กู ปรบั ใหเ้ ข้ากับจารีตประเพณพี ้ืนบา้ น และยังให้ความนับถือกับผู้ท่ีเป็นความเช่ือด้ังเดิม เช่น ความเช่ือ
เกี่ยวกับเรื่องภูติผีวิญญาณต่าง ๆ ชาวอีสานนั้นยังคงยึดมั่นอยู่ในจารีตประเพณีที่เรียกว่า ฮีตบ้านคองเมือง4
หรือฮีต12คอง14 ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนช่วยเหลือเกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ดำรงชีวิตด้วยความพอเพียงร่วมกัน
ทำกิจกรรมให้กับสังคมและหมู่บ้านของตนตาม ฮีต 12 คอง14 เป็นประเพณีที่สำคัญในรอบ 12 เดือน
มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอาชีพเกษตรกรรม การทำนาและเรื่องปากท้องของชุมชนเป็นส่วนใหญ่5 โดยภาพจำของ
อีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอดีต คือ ดินแดนที่เป็นสัญลักษณ์ของความแห้งแล้ง และยากจน
ดังคำกล่าวท่ปี รากฏในเพลงเพ่อื ชวี ติ เพลงหนึ่งทวี่ า่ “ บนฟา้ บ่มีนำ้ ในดินมี แต่ทราย” ในดา้ นการทำมาหากิน6
4 ฮีตบ้านคองเมือง หมายถึง เป็นแนวทางหลกั หรอื ปฏิบตั ิของบา้ นเมือง กำหนดขนึ้ มาเพอ่ื ใหค้ นในหมบู่ ้านในเมอื งปฏิบัติตอ่ กนั
5 มาดเซอ่ คนอีสาน.(2564). อสี านกับการเปล่ียนแปลง.สบื ค้น 14 กมุ ภาพันธ์ 2565, เวบ็ https://www.isangate.com/new
6 นภาพร อติวานิชยพงศ์.(2557). คนชนบทอสี านกบั การทาํ มาหากินความเปล่ียนแปลงตามยุคสมยั .วารสารสังคมวทิ ยามานษุ ยวิทยา, 33 (2), 109
74
ผู้คนชาวอีสานกบั การบริโภค
ทว่าผู้คนชาวอีสานนั้นทำไม ผู้คนชาวอีสานถึงมักจะมีความนิยมในการบริโภคอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ
ไมว่ า่ จะเปน็ ลาบ ซอยจุ๊ หรอื ก้อยเน้อื สัตว์ชนิดต่าง ๆ แบบดิบ ๆ กนั หรือการบริโภคปลารา้ ท่ีเป็นอาหารขึ้นชื่อ
ของภาคอีสาน เพราะเนื่องด้วยในบริบทของภาคอีสาน ครั้งที่ยังไม่เจริญรุ่งเรือง ทั้งการเดินทาง
การติดต่อสื่อสาร การรับเอาวัฒนธรรมท่ีหลัง่ ไหลมาจากดนิ แดนอื่นเข้ามาผสมผสานกันมากมายอย่างทกุ วันน้ี
เช่น การรับประทานอาหารทะเลของญ่ีปุ่นที่รับประทานแบบดิบ ๆ แบบอย่างซาซิมิ7 หรือการรบั ประทานเน้ือ
ของชาติตะวันตกทร่ี ับประทานแบบสุก ๆ ดบิ ๆ ที่เรยี กวา่ Rare หรือ Medium Rare
แต่ยังมีการเปรียบเทียนชนชั้นของอาหารลาวหรืออาหารอีสานไว้ว่าที่ไม่ได้ถูกยกย่องในวัฒนธรรม
ชนชั้นสูงไทยในสมัยก่อน แตกต่างจากอาหารจีนสิ่งนี้ยิ่งถูกสำทับมากขึ้นโดย “อุดมการณ์ชาติพันธุ์ไทย”
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่พยายามกดทับวัฒนธรรมกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ไม่ไทย และถึงแม้ในราชสำนักฝา่ ยใน
จะมีบันทึกกล่าวถึงการใช้วัตถุดิบประเภท ปลาร้า ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของอาหารลาว เช่นเมนู หลนปลาร้า
ซึ่งกล่าวกันว่าในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็ทรงโปรด หากแต่เมนูประเภทหลนที่ใช้วัตถุดิบสำคัญ คือกะทิก็ห่างไกล
จากอาหารลาวที่คนลาว (ผู้คนในดินแดนภาคอีสานและล้านนา) บริโภคในชีวิตประจำวัน อาหารลาวแต่เดิม
จะไม่มีการปรุงด้วยกะทิเหมือนภูมิภาคอื่นด้วยเหตุที่คนลาวคนอีสานกินข้าวเหนียวซึ่งให้พลังงานมากเป็นทุน
อกี ทง้ั ยงั ไม่มอี าหารประเภทผดั และทอดดว้ ย8
สง่ิ ทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมการกนิ ของชาวอสี านท่เี หน็ ได้เด่นชัดที่สุดคือ ชาวอสี านส่วนใหญ่น้ัน
ไม่นิยมใส่กะทิในอาหาร ไม่นิยมใช้วิธีการทอด หรือไม่นิยมการใช้เครื่องปรุงที่มีเครื่องเทศสลับซับซ้อนหาก
แต่ชาวอสี านนัน้ เนน้ การหมก แกง คว่ั และปงิ้ เปน็ หลกั และจะนยิ มการบรโิ ภคก้อยลาบ โดยวธิ กี ารปรุงอาหาร
จะใช้เกลือ และน้ำปลาแดกแทนการใช้น้ำปลา มีปลาแดกเป็นตัวยืนพื้นคอยเสริมรสชาติความอร่อย
อยู่ในทุกเมนูอาหารส่วนใหญ่ และการจัดสำรับกับข้าวของคนอีสานมีวัฒนธรรมคล้ายๆ กับภาคใกล้เคียง
กับภาคเหนือและภาคกลาง การจัดชุดอาหารรับแขกบ้านแขกเมืองก็เป็นชุด ๆ เหมือนภาคเหนือใส่พาข้าว
หรือถาดข้าวสำหรับพาข้าว9 ธรรมดาชาวอีสานจะนั่งล้อมวงเสื่อกินกับพื้น ส่วนพาข้าวที่ใช้สำหรับรับแขก
ก็จัดใส่ขันโตกไม้หวายหรือเป็นขันโตกอลูมิเนียมคล้ายกับภาคเหนือ การจัดอาหารเย็นรับแขกบ้านแขกเมือง
เรียกว่า งานพาข้าวแลง ลักษณะก็จะคล้ายกัน คือมีข้าวเหนียวใส่กระติ๊บปั้นกินพร้อมกับหยิบอาหารต่าง ๆ
ด้วยมือ ใส่ปากกับข้าวที่เป็นน้ำจะมีช้อน ตักเพื่อชุดน้ำได้กับข้าวพื้น ๆ อาหารพื้นเมืองมีลักษณะแตกต่างกัน
ออกไป10 ซึ่งเป็นที่สอดคล้องกับธรรมชาติและทรัพยากรอาหารที่มีอยู่ในภาคอีสาน เป็นที่นำไปสู่การเลือก
วิธีการปรุงอาหารให้เหมาะสมกับชนิดของวัตถุดิบ และเป็นที่ถูกปากพร้อมความพึงพอใจของแขก
หรือผู้รับประทานอาหาร สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการกลั่นกรองภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ
โดยการเลือกสรรอาหารท่มี ีประโยชน์และให้เข้ากบั วิถีชวี ิตของชาวอีสานจากการบรโิ ภค
7 ซาซิมิ หมายถงึ การกนิ เน้ือสัตว์ดิบไม่ผา่ นการปรุงใดๆ ท้ังสน้ิ
8 อาสา คำภา.(2561). การเมืองวฒั นธรรมของ“อุดมการณ์ชาติพนั ธไ์ุ ทย”:ความเปน็ ไทยที่ (เคย) กดทบั “อาหารเจ๊ก”“อาหารลาว”.วารสารศลิ ปศาสตร์มหาวทิ ยาลยั ธรรม
ศาสตร,22 (2),13
9 พาข้าวหมายถึง สำรับอาหาร, ถาดใสอ่ าหารในภาษาอีสาน
10 ติก๊ แสนบญุ .(2562). แนวกนิ ถิน่ “อีสาน” วถิ ีชีวิตกับ“อาหาร” พนื้ บา้ นจากขา้ วเหนียว-แมงแมลง-ปลา.ศลิ ปวัฒนธรรม
75
อาหารของชาวอีสานที่จะนำไปถวายพระได้นั้นต้องเป็นอาหารที่ดีที่สุด เท่าที่ชาวบ้านจะจัดหาได้
ตามฐานะของตนเพราะมีความเชื่อว่าถ้านำอาหารที่ดีไปถวายพระจะได้บุญถ้านำอาหารที่ไม่ดีไปถวาย
จะได้บาปตายไปตกนรก ไม่ว่าคนรวยมีฐานะหรือคนจนเพียงใดก็ตามก็จะคัดเลือกอาหารที่ดีที่สุดของตนที่มี
ที่หามาได้นำไปที่ดีจึงเป็นการถวายพระก่อน และพระสงฆ์เป็นบุคคลที่ชาวบ้านให้ความเคารพกราบไหว้
ตอ้ งถวายอาหารท่ีดีจึงสมควรอาหารทชี่ าวบา้ นเห็นว่าเป็นอาหารพเิ ศษ11 คือตอ้ งเป็นอาหารที่ปรุงจากเน้ือสัตว์
หรือจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ หรือจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนประเภทต่าง ๆ และจะต้องมีขนมจีน
ขนมหวานต่าง ๆเป็นต้น เหลือจากการถวายพระก็จะนำมาจัดเลีย้ งผู้มาร่วมงานให้ไดร้ ับประทานอาหารพิเศษ
มื้อนี้ ร่วมกันโดยไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นใดเสมอกันเพราะใจทุกคนที่มาร่วมงานบุญนี้ต่างเป็นมงคล
โดยการบริโภคของชาวอีสานในครั้งอดีตที่ผ่านมา อาจจะแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การบริโภคแบบปกติ
ประจำวันในครอบครัวของตนเอง และ การบริโภคในวาระสำคัญหรือโอกาสพิเศษ (เช่น งานบุญ ประเพณี )
ซึ่งมคี วามแตกตา่ งกัน ดังนี้
1.การบริโภคแบบปกตใิ นประจำวันของผ้คู นชาวอสี าน เป็นการบริโภคกันเป็นปกตใิ นครอบครัวตา่ ง ๆ
โดยจะการบริโภคตามที่หามาได้จากแหล่งอาหารที่เป็นธรรมชาติ ในป่า ในนา ในไร่ ห้วยหนอง คลองบึง
ถ้าพวกพืชก็จะเป็นทั้งที่ขุดหามาได้จากดินหรือจากการปลูกไว้ตามหัวไร่ปลายนา รั้วบ้าน เช่น พืชผักชนิด
ตา่ ง ๆ เห็ดที่หาได้จากป่า หนอ่ ไม้ ผลไมท้ ่ีนยิ มปลูกหน้าบ้าน (มะม่วง มะยม ฯลฯ) เป็นต้น ถ้าเป็นอาหารแบบ
เน้อื สตั วใ์ นธรรมชาติกเ็ ช่น ปลา ก้งุ หอย กบ ฮวก เขยี ด ทีห่ าไดจ้ ากในห้วย หนอง แม่นำ้ หรือสตั ว์บกอยา่ ง นก
หนู ฯลฯ ที่มีมาก เมื่อได้มาก็แบ่งปันกันในหมู่บ้านเพื่อการบริโภค ถ้ามีมากจนเหลือกินก็อาจจะมีการถนอม
อาหาร เช่น การตากแห้ง การทำดองเค็ม ดองเปรี้ยว การนำมาทำไส้กรอก หม่ำ ปลาแดก ฯลฯ เพื่อเก็บไว้
บรโิ ภคยามขาดแคลนในฤดทู ี่ไมม่ ีส่งิ น้นั ๆ คือ ฤดแู ลง้ โดยชาวอีสานจะอยู่กนั มสี ุขตามอตั ภาพเรอ่ื ยมา12
2.การบริโภคในโอกาสพิเศษนั้น ชาวอีสานจะตระเตรียมอาหารที่พิเศษที่สุด และดีดีที่สุด
เพื่อให้ผู้มาร่วมงานบุญ ในวาระพิเศษ หรือผู้เดินทางมาเยี่ยมเยือนให้ได้พึงพอใจ อย่างเช่นเช่น การจัดหา
อาหารเพื่อการบริโภคในงานบุญประเพณีต่าง ๆ ซึ่งชาวอีสานนัน้ จะมีพิธกี รรมท่ีต้องปฏิบตั ิในงาน แล้วอาหาร
ที่จัดว่าเป็นสิ่งพิเศษในโอกาสสำคัญ ก็จะเป็นเนื้อสัตว์ใหญ่ คือ เนื้อวัว ซึ่งในการทำอาหารบริโภคกัน
ในครัวเรือนปกติจะไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์เหล่านี้อย่างในปัจจุบันที่มีให้เห็น ในโอกาสพิเศษผู้คนชาวอีสานจะล้ม
และชำแหละกันเอง คือการชำแหละ วัว หรือการล้มวัวใส่งานบุญ โดยชาวอีสานส่วนใหญ่นิยมบริโภคเนื้อวัว
มากกวา่ เน้ือควาย เหมือนกบั ทางภาคเหนือท่ีนยิ มเน้ือควายมากกว่า ถึงกบั มคี ำกลา่ วว่า "ควายไม่มีโรคคือลาบ
อันประเสริฐ13" และคำจากการให้สัมภาษณ์ว่า “ การบริโภคอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีความสด รสอร่อย ให้
กำลังดีต่อร่างกาย และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นลูกผู้ชาย อาหารที่ผ่านการปรุงให้สุกๆ เป็นอาหารสำหรบั
เด็กและผู้หญิงที่เขารับประทานกันเท่านั้น”14 การบริโภคอาหารในโอกาสพิเศษ นอกจากอาหารต้องดีและมี
11 เตชภณ ทองเติม.(2564). ความเชื่อและทัศนคตดิ ้านการถวายอาหารแดพ่ ระสงฆข์ องคน เจนเนอร์เรชั่น‘Z’. วารสารวนมั ฎองแหรกพุทธศาสตรป์ ริทรรศน์, 1 (8)
12 มาดเซ่อ คนอสี าน. (2564). วฒั นธรรมอีสานกับการเปลี่ยนแปลง. สบื ค้น 17 กมุ ภาพันธ์ 2565, เว็บ https://www.isangate.com/new
13 ชมรมฮักต๋วั เมอื ง สำนกั ส่งเสรมิ ศิลปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั เชียงใหม่.ประวตั ศิ าสตร์-ทีม่ า จิ๊นลาบ จ๊นิ ควาย-ววั เมนูพืน้ บ้านของคนล้านนา พรอ้ มวิธที ำ ด้ังเดมิ แบบสมัย
โบราณ.ล้านนาคำเมอื ง.มติชนสุดสัปดาห์,ฉบบั วนั ที่ 19 - 25 มีนาคม 2564
14 สมั ภาษณโ์ ดย ณัฐวฒุ ิ นากุดนอก, ร้านลำชี 2, 20 กุมพาพนั ธ์ 2565
76
ปรมิ าณพอเหมาะแกผ่ ู้มาร่วมงานหรือผู้มาเยี่ยมเยือนแล้ว การกินก็ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคมเป็นศูนย์รวมของ
เหล่าเครือญาติ และเพื่อนบ้าน ผู้สนิทสนมคุ้นเคยทั้งบ้านใกล้ บ้านไกล ที่มารับประทานอาหารร่วมกัน
ในโอกาสงานบุญประเพณี ได้รวมญาติพี่น้องใกล้ไกล เพราะสมัยก่อนการเดินทางลำบากใช้เวลาหลายวัน
การท่จี ะได้พบปะญาตพิ ่นี อ้ งน้นั จึงตอ้ งมพี ิเศษ ทีต่ อ้ งรองานบญุ หรอื ในโอกาสสำคญั ๆ เทา่ นน้ั
การบริโภคเน้ือวัวกอ่ นจะมโี รงเชอื ดววั กับเขยี งเนือ้ ววั (พ.ศ. 2504-2520)
ผู้คนชาวอีสานมีการเลี้ยงสัตว์แบบพื้นเมืองเป็นเวลามานานมากแล้ว ส่วนมากจะมีการเลี้ยงวัว
กับควายพันธุ์พื้นเมืองเป็นฝูงเล็ก ๆ อยู่ตามครอบครัว ปล่อยให้กินหญ้าตามท้องไร่ท้องนา โดยที่วัวควายน้ัน
เป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อชุมชนชาวอีสานอย่างมากที่สุด ทั้งในสถานะของปัจจัยเป็นผู้ผลิต คือ วัวควายจะมี
หน้าที่ใช้แรงงานในการลากคันไถและคราดไถนาในช่วงของฤดูการทำนา มูลของวัวควายจากข่ายขับถ่าย
ออกมาเป็นปุ๋ยคอกหรือเป็นยานพาหนะ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง คือ การเทียมเกวียน15
และววั ยงั เปน็ อาหารสำหรับชาวอีสาน ถอื วา่ เป็นอาหารอันโอชารส ที่หาบริโภคกันไดย้ ากต้องรอมีโอกาสพิเศษ
เท่านนั้ จงึ จะได้บรโิ ภค ส่วนควายน้ันชาวอสี านไมน่ ยิ มบรโิ ภคเพราะเน้อื ของควายมีกล่ินสาบกว่าเนื้อวัว
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ ฉบับที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2504 ที่ว่าด้วยการเน้นเฉพาะดา้ นเศรษฐกิจ
เป็นสำคญั โดยเฉพาะการลงทนุ ใน ส่ิงก่อสร้างขัน้ พื้นฐานในรูปแบบของระบบคมนาคมและ ขนสง่ ระบบเข่ือน
เพื่อการชลประทานและพลังงานไฟฟ้า สาธารณูปการ ฯลฯ รัฐทุ่มเททรัพยากรเข้าไปเพื่อการปูพื้นฐาน
ให้มีการลงทุนในด้านเอกชนเป็นหลัก16 รัฐบาลในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ดำรงตำแหน่งเป็น
นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้น ‘น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ
บำรุงความสะอาด’ โดยมุ่งปรบั ปรุงพนื้ ท่แี ละสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ครอบคลมุ ท่ัวประเทศ หวังกระจาย
ความเจริญและอาชีพไปสู่ชนบท เพราะก่อนหน้านั้น ความเป็นอยู่ของผู้คนชาวอีสานนั้น ค่อนข้างช้า
และลา้ หลงั ผู้คนส่วนใหญป่ ระกอบอาชพี เกษตรกรรม ทำการเพาะปลกู เพ่ืออยู่เพ่ือกินท้ังทีน่ ำ้ ประปาและไฟฟ้า
ยังไม่สามารถเข้ามาถึง การพัฒนาจึงเป็นสิ่งใหม่ที่คนชนบทตื่นตัวสนใจด้วยความคิดความอ่านที่เข้าใจบ้าง
ไม่เขา้ ใจบา้ ง
ผู้คนชาวอีสานนั้นเริ่มมีการตื่นตัวที่จะปลูกพืช เพื่อการค้าขายให้ได้เงินมาใช้ในครัวเรือนมากข้ึน
ภายหลังที่ประกาศใช้นั้นผู้คนมีการแผ้วถางป่าโคก ป่าดอน เพื่อใช้ในการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น การปลูกปอ
ปลูกข้าวโพด และปลูกมันสำปะหลังขึ้น โดยมีตลาดที่มีความต้องการในพืชเหล่านี้ขึ้นดังนั้นภาคอีสาน
จึงได้ประสบปัญหากับการถูกบุกรุกป่าไม้จากการถางป่าไม้เพื่อการทำพืชไร่มากขึ้น ในช่วงถัดมาภาคอีสาน
ได้มีการพัฒนาระบบชลประทานขึ้น โดยพัฒนาระบบชลประทานแบบอ่างเก็บน้ำถูกสร้างขึ้น แต่ยังคง
ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้คนอีกเป็นจำนวนมาก เพราะยังมีพื้นที่อยู่อีกจำนวนมากที่อยู่นอกเขต
ชลประทานทำให้ผู้คนขาดแคลนน้ำมาก แต่ทว่าในภาคอีสานนั้นมีพื้นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์จากแร่ธาตุ
อย่างมาก ไม่มีน้ำหลากแบบที่ราบลุ่มเหมือนภาคกลางทำให้พื้นดินของอีสานขาดแร่ธาตุอาหารที่สำคัญ
15 เทียมเกวียน หมายถงึ เอาสัตวพ์ าหนะผกู เข้ากับยานพาหนะทีเ่ ปน็ เกวยี น
16 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาตฉิ บับที่ 1 พ.ศ.2504-2509
77
ผู้คนได้รับผลตอบแทนจากการทำการเกษตรที่เป็นพืชต่าง ๆ แบบตกต่ำมาก แต่อย่างไรก็ตามภาคอีสานนั้น
จงึ เหมาะสมกับการเลีย้ งวัวพันธุ์พ้นื เมืองของอีสาน และเน่ืองด้วยนโยบายการเล้ียงวัวท่ีรฐั บาล ได้เน้นการผลิต
เพื่อการบริโภค และทำให้ การขยายพันธุ์ของวัวได้ดีในสภาพแวดล้อมของชนบทอีสาน วัวพื้นเมือง
มีคุณลักษณะที่โดดเด่น เหมาะสมกับสภาพการเลี้ยงดูของเกษตรกร และสภาพท้องถิ่น มีการปรับตัวเข้า
กับสภาพแวดล้อมได้อยา่ งเหมาะสม17
การเลี้ยงวัวควายนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสังคมเป็นมูลมัง18 สำหรับชาวอีสาน หรือผู้คนเวลา
แต่งงานมีเหย้ามีเรือนแยกครอบครัวออกไปเป็นของตนเองของลูกหลาน วัวควายยังสามารถเป็นสินค้า
ที่สามารถขายสร้างรายได้เพื่อจุนเจือให้กับครอบครัวนั้น ๆ ได้บ้างในยามจำเป็น และการขายวัวขายควาย
ให้กับคนในท้องถิ่นนั้นเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็เลี้ยงวัวควาย ไว้ใช้งานในครัวเรือน
เหมอื นกนั ตลาดวัวควายในขณะนน้ั จงึ อยู่ในท้องถิ่นภาคกลาง ซ่งึ ต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนาน รอนแรม
หลายเดือน เดินทางจากสุดขอบของภาคอีสานผ่านโคราช(นครราชสีมา) ข้ามภูเขาดงพญาไฟ(ดงพญาเ ย็น)
ไปสู่ที่ราบลมุ่ ภาคกลางทางอยุธยา กอ่ นเขา้ สเู่ มืองหลวงดงั นนั้ การจะนำวัวควายไปขาย จงึ ต้องอาศัยการรวมตัว
เดินทางกันเป็นหมู่คณะเพื่อความปลอดภัย และจากการเดินทางในลักษณะนี้เอง ได้บ่มเพาะประสบการณ์
ให้กับกลุ่มชาวบ้านที่นำวัว ควายไปค้าขาย มีผู้นำกลุ่มในการเดินทางไปค้าโดยมีนายฮ้อยเป็นหัวหน้ากลุ่ม
ในการเดินทางไปขายวัวควาย19
วฒั นธรรมการบริโภคเนือ้ วัว
การบริโภคที่บ่งบอกถึงความเป็นอีสานที่มีการปรุงรสชาติด้วยวัตถุดิบที่หาได้ตามธรรมชาติ
หรือมักจะมีการบริโภคเนื้อวัวของที่ยังแฝงอยู่ในทุกประเพณี งานบุญ และการที่จะได้บริโภคเนื้อวัว
ของชาวอีสานในช่วงพ.ศ. 2504 นั้น การจะจะได้บริโภคเนื้อวัวหากไม่ใช่งานบุญใหญ่พิเศษก็อาจเป็นโอกาส
พิเศษที่อยากจะให้มีการเฉลิมฉลองครึกครื้นบ้าง แต่วัวอาจมีราคาแพงเกินกำลังของตน ก็ต้องมีการป่าว
ประกาศหาผู้ร่วมแบง่ สันปันสว่ น จากคำบอกเลา่ ว่า
“การที่จะได้บริโภคเนื้อวัวในสมัยก่อนนั้น คือ ต้องรอแบบโอกาสพิเศษจริงๆ หรือว่างานบุญใหญ่ๆ
เป็นงานประเพณีที่สำคัญต่อชุมชน ในการจัดหาเนื้อวัวผู้นำชุมชนหรือว่าตัวแทนหรือผู้ที่มีประสบการณ์ด้าน
การชำแหละเนอ้ื ววั จะเดินทางไปซือ้ ววั จากสถานทใี่ กล้เคียงเพื่อนำมาชำแหละใชใ้ นงานบญุ ”20
ผู้คนชาวอีสานเรียกกันง่ายๆ ว่า “ตกพูด”21 พูดเนื้อวัวจะถูกเจาะร้อยด้วยตอก หวาย หรือเครือไม้
เพื่อสะดวกในการถือหิ้วกลับบ้านเพื่อให้อาหารพิเศษนี้มีไปถึงหลาย ๆ ครอบครัวได้ ในความเป็นจริง
คณะกรรมการหมู่บ้านหรือผู้ที่มีความสามารถในการชำแหละนั้น จะชำแหละวัวให้เรียบร้อย แล้วนำเครื่องชัง่
มาเป็นเกณฑ์ ตรวจค่าน้ำหนักกำหนดราคาเนื้อวัว และอาจจะบวกค่าแรงและเวลาไปด้วยก็น่าจะได้
17 ตนภุ ัทร โลหะพงศธร. 60 ปี พ.ศ. 2504 ผูใ้ หญ่ลีตกี ลองประชมุ เพลงลูกทงุ่ ทยี่ ังคงสะทอ้ นชีวิตจริงของคนชนบท. Culture เว็บhttps://becommon.co/culture/living
18 มูลมัง หมายถงึ สมบัติ
19 อสี านร้อยแปด, นายฮอ้ ย ภาษาอสี าน.แกไ้ ขครง้ั ลา่ สดุ 2564.พจนานุกรมภาษาอสี าน.สบื คน้ 28 กมุ ภาพันธ์ 2565.เวบ็ https://esan108.com/dict/view
20 มะลวิ ลั ย์ พลทำ สมั ภาษณโ์ ดย ณัฐวุฒิ นากุดนอก,รา้ นลำชี 2, 20 กมุ พาพันธ์ 2565
21 ตกพูด หมายถงึ แบง่ ของเปน็ สว่ นๆเพอื่ แบ่งปนั กนั