The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการประชุมวิชาการ

“เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่ผลงาน
ด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา

ครั้งที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anchaleepohn Namtonthong, 2022-08-05 05:06:12

เล่ม Proceeding อัปเดต4-8

โครงการประชุมวิชาการ

“เครือข่ายความร่วมมือเพื่อเผยแพร่ผลงาน
ด้านวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ และอาณาบริเวณศึกษา

ครั้งที่ 1

78

แตว่ ิถชี าวบา้ นเลือกท่จี ะปฏิบตั ดิ ้วยวิธีตกพูด เพราะสิง่ ทไ่ี ด้จากการทีต่ อ้ งจา่ ยเงนิ ไม่ใช่ไดเ้ พยี งแคช่ นิ้ เนือ้ ล้วน ๆ
แต่ยังรวมถึงเนื้อส่วนอื่น ๆ เช่น เนื้อส่วนที่เรียกว่าผ้าขี้ร้ิว ตับ ไส้ เลือด ขี้เพี้ย ที่ชาวบ้านนิยมบริโภคทุกพูด
จะประกอบด้วยชิน้ เน้ือท่ีเหมือนๆกัน

“ผคู้ นไม่ค่อยไดร้ บั ประทานเนื้อวัวเท่าไหร่เป็นเพราะว่าสมยั ก่อนนน้ั ยงั ไม่มีการใช้ตู้เย็นหรือว่ายังไม่มี
ตู้เย็นให้เห็น การที่จะทำเนื้อวัวน้ันต้องนำมาแปรรูปเท่านั้นถึงจะสามารถเก็บไว้กินในระยะเวลาท่ีนาน ๆ และ
อีกเหตุปัจจัยหนึ่งในสมัยนั้น ผู้คนชาวอีสานยังมีความยากจนอยู่การที่จะซื้อหาเนื้อวัวจึงเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้
ยาก”22

อาหารที่มีเนื้อวัวเป็นวัตถุดิบหรืออาหารที่ชาวอีสานนิยมบริโภคที่ใช้เนื้อวัวในการประกอบอาหาร
ก็คือ ลาบก้อย หรือซอยจุ๊ เริ่มที่ซอยจุ๊โดยคำว่า ซอย แปลว่าหั่น ส่วนคำว่า จุ๊ แปลว่า จิ้ม ดังนั้นซอยจุ๊
คอื การนำเน้ือววั ดบิ และเครื่องในววั อย่างตับ สไบนาง และขอบกระด้ง มาหั่นเปน็ ชนิ้ พอดีคำโดยไม่ต้องปรุงรส
แล้วจิ้มกินกับน้ำจิ้มที่เรียกว่าแจ่วขม ที่มีส่วนผสมของดีวัวหรือน้ำที่อยู่ในถุงน้ำดีของวัว เป็นสิ่งสำคัญมาก
ในการทำให้อาหารอร่อยขึ้นด้วยความขมและความหวานปลายที่ชาวอีสานส่วนใหญ่ชื่นชอบ ส่วนลาบก้อย
เนื้อวัว ถือว่าเปน็ เมนเู ดด็ อีกหนึ่งเมนูของชาวอีสาน เป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับชาวบ้าน เวลาที่เรากินลาบดิบ
เราจะได้รสชาติของความหวานจากเนื้อสดๆ หรือถ้าหากใครชื่นชอบการทานลาบดิบแบบขม ๆ
กอ็ าจจะใส่ขเี้ พี้ย หรอื ขีอ้ อ่ น ใส่ดวี ัว เพอื่ เพม่ิ ความขม กลบกล่ินคาวได้ การเลือกซ้ือวัตถุดิบที่เก่ียวกับวัวเพื่อ
ใช้ในการทำลาบวัว ซอยจุ๊ ซกเล็ก กล่าวถึงความเชื่อความลึกล้ำในการบริโภคเนื้อวัวในเชิงสุนทรีย์
จากส่วนต่าง ๆ โดยได้นำความรู้จากปราชญ์ท้องถิ่นหรือผู้รู้ในการประกอบอาหารจากเนื้อวัว23
ก้อยนั้นที่แตกต่างจากลาบคือ การมีรสเปรี้ยวนำจากพืชผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว และสัตว์ที่ให้รสเปรี้ยว
เช่น มดแดง เป็นส่วนประกอบหลัก ในขณะที่ลาบจะไม่เน้นที่รสเปรี้ยวมากนัก จะนัวกลมกล่อมมากกว่า
ถ้าเป็นสัตว์เนื้ออย่างวัวจะเน้นมีรสขมของน้ำเพลี้ยอ่อนหรือน้ำดีสัตว์ชนิดนั้น ๆ เป็นรสนำ และในการเตรียม
งานบุญต่าง ๆในช่วงกลางคืนก่อนที่จะถึงกำหนดงาน จะมีวัฒนธรรมหนึ่งวัฒนธรรมคือ ก้อยดึก จะต้องมีการ
ล้มวัวในช่วงดึก เพื่อจะนำเนื้อมาเตรียมประกอบอาหารเลี้ยงแขกในตอนเช้า และเป็นช่วงเวลาที่แมลงวัน
ไม่ออกมารบกวนในช่วงที่ทำการชำแหละ และได้เนื้อที่สดหวาน โดยที่จะใช้เนื้อและเครื่องในในการทำก้อย
ยิ่งไดเ้ น้อื จากสว่ นทีย่ งั กระดกิ อยู่ถือวา่ ดเี ยยี่ ม เนอื้ และเครือ่ งในหน่ั เป็นชน้ิ แลว้ จะถกู นำมาแชใ่ นน้ำเพี้ยท่ีต้มสุก
แล้ว เพื่อใหม้ ีรสขมและทำใหเ้ นอ้ื รัดตวั และกรอบมากขึ้นจงึ นำมาทำการปรุงรส

“สมัยก่อนคนเหนือกินลาบกันในหน้าเทศกาล ต้องล้มววั ล้มควายแลว้ ทำลาบทีละเยอะๆ ไว้เลีย้ งแขก
ต้องใช้กำลังในการสับเนื้อและตำเครื่องเทศให้กลายเป็นพริกลาบ ผู้ชายเลยได้รับหนา้ ทีใ่ นการปรงุ ลาบซะเปน็
ส่วนใหญ่ ใครรสมือดี ทำลาบอร่อย ก็จะเรียกกันว่านักเลงลาบ ได้รับการยอมรับนับถือในชุมชน ถูกรับเชิญไป
เป็นพ่อครวั ใหญใ่ นงานเทศกาลอยู่เรือ่ ย ๆ เรยี กว่าลาบเป็นอาหารที่เอาไว้กนิ ด้วยกนั ชว่ ยกันทำ”24

22 มะลวิ ัลย์ พลทำ สมั ภาษณโ์ ดย ณัฐวฒุ ิ นากดุ นอก,รา้ นลำชี 2, 20 กุมพาพันธ์ 2565
23 ปกรณ์ คณุ ารกั ษ์. คนกินวัว มุมมองและความเช่ือท่ลี กึ ล้ำของนักบริโภคชาวอสี าน. ธรรมทรรศน์, 6(1)
มีนาคม-มิถุนายน 2548,51-60
24 นางประมวล สัมภาษณ์โดย ณฐั วฒุ ิ นากดุ นอก, รา้ นโอจา๋ , 14 มนี าคม 2565

79

ภายหลังในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2520 จึงมีกลุ่มผู้เลี้ยงวัวบางครอบครัวหรือผู้ชำนาญ
ในด้านการชำแหละเนื้อวัว เริ่มคิดที่จะมีการชำแหละเนื้อวัวจำหน่ายเกิดขึ้นภายในชุมชนหรือหมู่บ้าน
ของตนเอง โดยแบ่งขายเป็นกิโลกรัม เช่น เนื้อวัวส่วนเนื้อขา 1 กิโลกรัม แต่การชำแหละเนื้อวัวขายในช่วงน้ี
ยังเริ่มมีไม่มากนักเป็นเพียงการชำแหละภายในหมู่บ้าน เพราะผู้คนชาวอีสานส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยมีรายได้
จึงจะมีเงินซื้อเนื้อวัวมาบริโภคได้ แต่ในงานบุญหรืองานสำคัญต่าง ๆ ของภาคอีสานนั้น ก็ยังมีการล้มวัวอยู่
เช่นเดิมเพราะชาวอีสานยังมีความเชื่อว่าการมีงานบุญหรืองานสำคัญๆต่าง ๆ นั้นต้องมีการล้มวัวเกิดข้ึน
จึงจะถือว่างานบุญนั้นเป็นงานบุญอย่าสมบูรณ์แบบ และหลังจากชำแหละเนื้อวัวเสร็จแล้วนั้น กลุ่มผู้ชาย
ชาวอีสานจะยึดครัวในการทำลาบก้อย โดยในหนึ่งชุมชนหรือหมู่บ้านจะมีผู้ชำนาญในการทำลาบก้อยที่เป็น
ที่เลื่องชื่อในชุมชนนั้น เป็นผู้ปรุงรสชาติลาบก้อยวัวให้ออกมามีรสชาติที่ดี และจะนิยมบริโภคคู่กับเหล้าต้ม
หรือว่าเหล้าโทของภาคอสี าน

แม้ว่าทางภาครัฐและสาธารณสุขจะมีการรณรงค์ให้บริโภคอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ แต่ชาวอีสาน
ยังมีความเช่ือวา่ การบรโิ ภคเนื้อวัวทดี่ ิบ ๆ จะมรี สชาติท่อี ร่อย หวาน และสด โดยเฉพาะชำแหละเนื้อวัวจะนิยม
บริโภคกันสดๆที่โครงกระดูกของวัว เรียกว่า ก้อยคาโครงหรือลาบคาโครงที่มีเลือดวัวสดๆในโครงกระดูกวัว
ในรายการหม่อมถนัดแดก คุณเสกผู้ดำเนินรายการกล่าวเรื่องราวของก้อยคาโครงว่า สมัยก่อนชาวอีสาน
มีการทำเกษตรกรรมช่วงที่ไหนที่ว่างเว้นจาการทำเกษตรกรรม ผู้ชายออกไปล่าสัตว์ หลังจากล่าสัตว์มาแล้ว
ก็จะล้มเลย แล้วซึ่งในป่าไม่มีจานไม่มีชามกลุ่มผู้ออกไปล่าสัตว์ก็เลยต้องปรุงอาหารคาโครงสัตว์นั้นเลย
จึงกลายเป็นประเพณีก้อยคาโครงที่จะต้องมีในบุญบั้งไฟตามหมู่บ้านตามงานประเพณี มิตรภาพความรัก
ความอบอุ่นที่ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของอาหารการกินมันเป็นการต้อนรับที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด
ของชาวอีสาน 25วัฒนธรรมการบริโภคเนื้อวัวยังคงมีอยู่เรื่อยมา จากการเริ่มมีเขียงเนื้อในหมู่บ้านหรือชุมชน
ผู้คนชาวอีสานสามารถเข้าถึงเนื้อวัว ซื้อหามาบริโภคได้ง่ายขึ้นแล้วนั้น โดยที่ไม่ต้องรอเวลามีงานบุญ
เหมือนเชน่ เดมิ มาก่อน

การมีเขียงเน้อื ววั และโรงเชือดวัวส่กู ารกำเนดิ ธรุ กจิ ร้านลาบก้อยขึ้น ( พ.ศ. 2521-2540 )
หลงั จากผคู้ นชาวอสี านบางพืน้ ท่ีเร่ิมมีการชำแหละเนื้อวัวจำหนา่ ยบ้างแลว้ น้นั ทำให้ผูค้ นมคี วามเข้าถึง

การบริโภคเนื้อวัวที่ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องรองานบุญหรืองานที่สำคัญๆเหมือนดังก่อนมา แต่ทว่าปัจจัย
ของสภาพเศรษฐกิจของภาคอีสานนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผู้ส่วนใหญ่ยังประสบกับปัญหาสภาวะที่ยากจนอยู่
ในช่วงพ.ศ. 2521 เริ่มมีร้านขายเนื้อวัวหรือเขียงวัวที่เป็นเขียงในชุมชนเพิ่มขึ้นเรื่อย ผู้คนที่มีความชำนาญน้ัน
ก็จะไปซื้อวัวบริเวณรอบ ๆ หมู่บ้านใกล้ ๆ ชุมชนที่ตนเองอยู่ หรือเริ่มออกนอกบริเวณชุมชนของตนเอง
เพื่อไปจัดซื้อวัวในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีการเลี้ยงวัวส่วนวัวที่จัดซื้อมาชำแหละจำหน่ายนั้น ในช่วงนี้ยังเป็นวัวพันธ์
พื้นเมืองของชาวอีสาน เป็นวัวที่นิยมเลี้ยงกันมากในภาคอีสานเพราะสามารถหาซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์วัวได้ง่าย
ลักษณะของวัวพื้นเมืองคือมีขนสั้นเกรียนทั่วไปมีลำตัวสีน้ำตาลแกมแดง แต่อาจมีสีแตกต่างกันหลายสี

25 Youtube. ( 2562,13 กรกฎาคม). หม่อมถนดั แดก ก้อยคาโครง Spicy Beef Tartar in Cow Carcass. จาก https://www.youtube.com/watch?v

80

เช่น ดำ แดง น้ำตาล ขาว เหลือง เป็นต้น หน้ายายบอบบาง หน้าผากแคบ ตะโหนกเล็ก เหนียงคอ
และหนงั ใต้ทอ้ งไมม่ ากนกั มรี ูปร่างขนาดเล็ก26 ตามคำบอกเล่าของผู้ชำแหละววั ในงานบญุ ตา่ ง ๆ กลา่ วว่า

“วัวที่ไปหาซื้อมาล้มนั้น เป็นวัวตัวขนาดใหญช่ าวบ้านเล้ียงไว้ จึงไปหาขอซื้อเขามาในราคาตัวละสมัย
นนั้ จะอยใู่ นราคาท่ีไม่แพงมากในปี 2525 ตกราคาตวั ละไม่กีบ่ าท แต่ได้วัวตวั ใหญ่มาก”27

หลังจากซื้อวัวจะนำมาชำแหละเนื้อและสว่ นต่าง ๆ ของววั เพอ่ื มาจำหนา่ ยใหพ้ น่ี ้องชาวบ้านได้บริโภค
แต่อย่างไรก็ดียังมีผู้ที่ชำแหละเนื้อวัวยังไม่มาก เพราะเนื่องด้วยเนื้อวัวมีราคาแต่ไม่แพงมากนัก
ผู้คนพอจะสามารถเข้าถึงหรือซื้อไปบริโภคได้ ราคาที่จำหน่ายในช่วงนี้จะไม่ค่อยแพงมากเท่าไหร่นัก
จากการศึกษาการบริโภคเนื้อวัวของผู้คนชาวอีสาน เขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามบริเวณถนนเส้นลาบก้อย
(ถนนถีนานนท์) ธุรกิจร้านลาบก้อยในปี พ.ศ.2527 ปลาย ๆ เริ่มมีร้านลาบก้อยกำเนิดขึ้นมาเป็นร้านแรก ๆ
ของจงั หวัดมหาสารคาม คือร้านลำชี 1 บริเวณถนนถีนานนท์ ( ปจั จุบนั ร้านตั้งอยู่ตรงข้ามกับบิ๊กซีสาขาจังหวัด
มหาสารคาม ) ภายในร้านจะมีเนื้อวัวจำหน่ายใหผ้ ้คู นได้ซอื้ ไปบริโภค การเปิดร้านช่วงแรก ๆ นนั้ ผู้คนยงั ไม่รู้จัก
ร้านมากเท่าไร เพราะเป็นร้านที่เปดิ ใหม่ ทางร้านได้ปรุงเนื้อวัวกนั สด ๆ ที่หน้าร้าน ผู้คนยังไม่ค่อยนิยมบริโภค
เนื้อวัวที่สุกจะเน้นไปบริโภคเนื้อวัวที่ดิบ ๆ โดยเฉพาะก้อย ซกเล็ก ซอยจุ๊ โดยการบริโภคเนื้อวัวสุก ๆ ดิบ ๆ
ของชาวอีสานนั้น ยังมีผลงานวิจัยหลายแหล่งที่ระบุว่า การบริโภคของสุก ๆ ดิบ ๆ นั้นจะทำให้ผู้คนเสี่ยงต่อ
การเป็นโรคพยาธิใบไม้ได้ง่าย โดยโรคพยาธิใบไม้ในตับเป็นปัญหาที่มีลักษณะแตกต่างจากปัญหาสาธารณสุข
โดยทั่วไป เพราะเป็นโรคที่เป็นปัญหาเฉพาะท้องถิ่น และมีมูลเหตุโดยตรงจากพฤติกรรมการบริโภคของคน
ที่ได้สืบทอดต่อ ๆ กันมาจนกลายเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวพันโดยตรงกับวิถีชีวิต ส่ิงแวดล้อม
ทางสังคม และวัฒนธรรมประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือจำนวนมากเป็นโรคนี้
หรอื มคี วามเส่ยี งตอ่ การเปน็ โรคนี้อย่ตู ลอดเวลา28

จากการนิยมบรโิ ภคลาบกอ้ ยของผู้คนชาวอสี านมคี วามสะดวกมากขน้ึ จงึ มีรา้ นลาบกอ้ ยเกดิ ขน้ึ ตามมา
เร่ือย ๆ แต่ละร้านคัดสรรผู้มาปรงุ ลาบก้อยที่มีความชำนาญ และรสชาติที่ทำให้ผู้คนติดใจ ธุรกิจร้านลาบก้อย
จึงค่อย ๆ ขยายตัวออกไปจากเพียงแค่ร้านลำชี 1 ขยายออกมาเป็นลำชี 2 , ลำชี 3 และร้านอื่น ๆ ตามลำดับ
วัฒนธรรมของการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสานนั้นยังคงอยู่ในทุกยุคเรื่อยมา ที่ชาวอีสานเรียกกันอย่างติดปาก
ว่า “ร้านลาบก้อย” ผู้คนชาวอีสาน และผู้คนท่ีนิยมรับประทานเนื้อวัวจงึ สามารถหาซ้ือมาบรโิ ภคได้สะดวกข้ึน
สามารถบริโภคได้ตลอด 24 ชั่วโมง และแต่ละร้านนั้นจะใช้เนื้อวัวจากการชำแหละเอง ภายหลังร้านจะมีวัว
ที่ทางร้านไปจัดหาซ้ือมาเลี้ยงไวป้ ระมาณ 4-5 วันก่อนการล้มวัว ในช่วงปี พ.ศ. 2530 โรงเชือดหรือโรงฆา่ สัตว์
เริ่มก่อตั้งขึ้นมาให้เห็น ผู้คนชาวอีสานบางส่วนจะเลี้ยงวัวพันธุ์พื้นเมืองไว้เป็นฝูงเพื่อส่งขายให้แก่โรงเชื อด
ผู้ซ้ือจากโรงเชือดจะเดินทางไปติดต่อซื้อ และตกลงราคากนั สว่ นมากจะเปน็ พ่อคา้ รายย่อยหรือพ่อค้าชำแหละ
ท้องถิ่นซึ่งอาจจะรวบรวมวัวไปเลี้ยงไว้ชั่วคราว หรือซื้อแล้วขายต่อให้ผู้ชำแหละขายในท้องถิ่นหรือพ่อค้า

26 ตลาดโค. โคพ้นื เมืองโคอสี าน.เว็บ https://taradko.com/%E0%B8
27 เมธานี เพชรมา สัมภาษณโ์ ดย ณัฐวุฒิ นากดุ นอก,รา้ นลาบกอ้ ย, 16 มีนาคม 2565
28 มหาวทิ ยาลัยมหิดล. 2529. กลวธิ ีพฒั นาบริโภคนิสัยเพื่อควบคมุ โรคพยาธิใบไมต้ บั . กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลยั มหิดล

81

ขายปลีกหรือซื้อขายเป็นแบบต่อรองราคากันว่าตามขนาดของตัววัว และผู้คนที่เลี้ยงจะขายทั้งหมดเป็นแบบ
ขายเหมาเป็นตวั ขายเหมายกฝูงเพ่อื เปน็ การซ้ือไปชำแหละขายหรอื อาจจะสง่ ขายต่อใหโ้ รงเชือดต่ออีกไป

อีกวิธีของการซื้อวัวเพื่อมาชำแหละจะเดินทางไปยังตลาดวัวตลาดควาย ในจังหวัดมหาสารคาม
มีตลาดวัวควาย คือ ตลาดวัวควายอำเภอบรบือ ตลาดวัวควายอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย และตลาดวัวควาย
อำเภอโกสุมพิสัย ซึ่งในตลาดวัวควายจะมีกลุ่มพ่อค้าที่ซื้อขายวัวเดินทางมาขายวัว โดยตลาดวัวควาย
เป็นตลาดทจี่ ัดตั้งโดยกลุ่มผู้คนท่ีมที ุนจะไม่ใช่ตลาดท่ีภาครัฐตั้งให้ ตลาดนนั้ จัดอยู่ในสถานที่กว้างขวางเพียงพอ
ต่อผู้คนที่นำวัวควายมาขายจะมีกำหนดวันเวลาเปิดที่แน่นอน และเป็นประจำ กลุ่มผู้ชายนำวัวที่ตนเลี้ยง
หรือไปซื้อมาเลี้ยงชั่วคร่าวไปยังตลาดนัดซึ่งมีผู้ซื้อมาก ตลาดนัดเป็นผลดีต่อทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย กล่าวคือผู้ซ้ือ
สามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการส่วนผู้ขายก็สามารถเสนอขายให้กับผู้ซื้อโคหลายราย แต่จะมีผลเสียต่อผู้ขาย
อย่างมากถ้าผู้ซื้อตกลงร่วมกันไม่แย่งกันซื้อเจ้าของตลาดนัด บางตลาดเก็บค่าบริการจากผู้ขายเฉพาะ
จำนวนโคที่ขายได้เท่านั้นบางตลาดเก็บค่าบริการจากโคทุกตัวที่นำเข้าตลาด และตัวที่ขายได้ต้องจ่ายมากกว่า
อตั รา และวธิ ีการเก็บค่าบริการขึ้นอย่กู บั เจ้าของตลาด ซึง่ จะติดประกาศให้ทราบการซื้อขายจะเปน็ แบบต่อรอง
ราคา และทั้งหมดเป็นแบบเหมาเป็นตัวผู้ขายอาจเป็นเกษตรกรรายย่อยหรือพ่อค้าท้องถิ่นที่รวบรวมซื้อวั ว
จากเกษตรกรรายย่อยแล้วมาขายในตลาดนัดอีกต่อหนึ่งผู้ซื้อจะเป็นพ่อค้าหลายประเภทอาจเป็นพ่อค้าขาย
ปลีกเนื้อวัวพ่อค้าขายส่ง29การเชือดวัวในโรงเชือดนั้นจะเชือดตามที่มีการสั่งจอง จากผู้ประกอบการเขียงเนื้อ
หรือผู้ประการการธุรกิจร้านลาบก้อยที่ชาวบ้านจะเรียกว่า เชือดเป็นคิว เช่น วันนี้มีการสั่งเชือดวัว 5 ตัว
จะมกี ารเชอื ดจำนวน 5 ตวั ตามท่ีมคี นส่งั จอง แตอ่ ยา่ งไรการเชอื ดวัวของโรงเชือดนั้นมีการเวน้ สำหรบั การเชือด
วัวคือวันพระ เพราะเป็นการเชื่อว่าวันพระจะไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในพทุ ธศาสนาเนื่องด้วยในภาคอสี านนน้ั นับถือพุทธศาสนาจำนวนมาก แตก่ อ่ นวนั พระ 1 วัน จะทำการเชือดวัว
เผื่อไว้ก่อน 1 วัน เพื่อส่งร้านลาบก้อยการที่ธุรกิจร้านขายเนื้อวัวของพ่อค้า และธุรกิจร้านลาบก้อยที่ประสบ
ความสำเร็จและยังคงมีอยู่เพราะการปรับตัวของกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ที่ทำให้ผู้คนชาวอีสานและผู้คนที่นิยม
รบั ประทานเน้ือวัวจงึ สามารถหาซื้อมาบรโิ ภคได้สะดวกขึ้น และไดต้ ลอดเวลา

การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมการบรโิ ภค สังคม เศรษฐกิจ เนื้อวัวเข้าไปมีบทบาทของการเมืองในอีสาน
( พ.ศ. 2541 –2564 )

ในช่วงปี พ.ศ. 2541 วัฒนธรรมการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสานยังคงเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น
คือการนำเนื้อวัวมาปรุงเป็นอาหารประเภทลาบก้อย ซกเล็ก ซอยจุ๊ แบบดิบ ๆ หลังการมีธุรกิจร้านลาบก้อย
เกิดขึ้นและธุรกิจโรงเชือดประสบความสำเร็จที่ยังคงมีอยู่นั้น เพราะวัฒนธรรมของผู้คนชาวอีสานที่ยังมีการ
บรโิ ภคเน้ือววั เรือ่ ย ๆ มา และการบรโิ ภคเนือ้ วัวน้นั ไม่เพยี งแค่ชาวอสี านเท่าน้ันที่ต้องการบริโภคเน้ือวัวแต่ผู้คน
ที่หันมารับประทานเนื้อวัวก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ทว่าโรคที่มากับการบริโภคแบบดิบ ๆ สุก ๆ
ก็ยังคงมีอยู่ในผู้คนภาคอีสานทุกยุคทกุ สมัย คือโรคพยาธิใบไม้ที่อาจจะอยู่กับวัวหรือเน้ือวัว การบริโภคเนื้อวัว

29 สุรชัย สุวรรณลี. การตลาดของโคเน้อื -กระบอื . ภาควิชาสตั ว์ศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

82

แบบดิบ ๆ มีความเสี่ยงเป็นโรคพยาธิตัวตืดได้ หากในเนื้อนั้นมีถุงพยาธิตืดลักษณะคล้ายเม็ดสาคูที่มีตัวอ่อน
พยาธิอยู่ ซึ่งตัวอ่อนจะเติบโตเป็นพยาธิตัวแก่ในลำไส้เล็กของคน รวมทั้งการกินผักสด ผลไม้ หรือน้ำด่ืม
ที่มีไข่พยาธปิ นเปื้อน ไข่พยาธิจะโตเป็นตัวอ่อน สร้างถุงหุ้มตัวเป็นถุงพยาธิติดตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายคน
เช่น สมอง ตา หวั ใจ ปอด และกลา้ มเน้ือ หากอยใู่ นสมองและไขสนั หลัง อาจทำให้มีอาการทางระบบประสาท
ชัก อาจรนุ แรงถงึ ตาย หรืออยูใ่ นตาอาจตาบอดได้30 ดงั ข่าวท่สี ำนักพิมพ์ออกขา่ วว่า ขา่ วหนังสือพิมพ์ทศวรรษ
2550 ประโคมข่าวอีสานมีอัตราชุกโรคและเกิดมะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในโลกแพทย์เผยตัวเลขคนไทย
10 เปอร์เซ็นต์หรือราว 6 ล้านคน ติดพยาธิใบไม้ตับคนไทยติดอันดับเป็นมะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในโลก
และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น แต่ละปีมีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคนี้ทั่วโลกราว 20,000 คน โดย 70%
ของจำนวนนี้เปน็ คนไทย เฉพาะภาคอีสานมอี ุบัติการณ์สูงสุด31

โดยวฒั นธรรมการกินเชน่ นี้ได้ขยายไปสู่บุคคลทตี่ ้องการรับประทานอาหารตามแบบฉบับคนอีสานแท้
ๆ อย่างเป็นวงกว้าง คือ วัฒนธรรมการนิยมบริโภคเนื้อวัวแบบสุก ๆ ดิบๆ นั้นมีการแพร่ออกไปยังภาคกลาง
หรือในกรุงเทพฯ เพราะว่าวัฒนธรรมการบริโภคแบบนี้ไปกับชาวอีสาน เนื่องด้วยชาวอี สานส่วนมาก
จะไปประกอบอาชีพที่กรุงเทพฯ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าความนิยมอีสานในแง่วัฒนธรรมการกิน
กย็ งั พฒั นาต่อมาได้เรื่อย ๆ หรอื แม้กระทั่งการนยิ มบรโิ ภคเน้ือวัวของเหล่ากลุ่มนิสิตกลุ่มหนึ่งของมหาวิทยาลัย
มหาสารคาม ทน่ี ยิ มจะไปเลีย้ งฉลองกนั ท่รี า้ นลาบกอ้ ย จากการบอกเล่าของนสิ ติ คนนกี้ ลา่ ววา่

“ด้วยความที่กลับจากไปเที่ยวร้านเหล้ากับกลุ่มเพื่อน ๆ เวลาเที่ยวเสร็จก็จะพากันมากินก้อยดึกต่อ
และนั่งพดู คุยงานกนั ต่อ”32

ขณะเดียวกัน ในช่วงปี พ.ศ. 2561 ที่มีบริษัทเอกชนที่บริการส่งอาหารถึงบ้านเข้ามาในประเทศไทย
แล้วนั้น ผู้คนยิ่งสามารถเข้าถึงการบริโภคเนื้อวัวได้สะดวกสบายและง่ายมากขึ้น ไม่ต้องเดินทางออกไปหาซื้อ
มาบริโภค จะใช้วิธีการสั่งผ่านแอพพลิเคชั่นที่ทางร้านลาบก้อยเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นแอพพลิเคชั่น Grab ,
Foodpanda, Lineman ที่คอยบริการผู้บริโภคตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการพัฒนาของธุรกิจร้านลาบก้อย
ท่ีตามยคุ ตามสมยั

ในด้านการเมืองนั้นเนื้อวัว หรือร้านลาบก้อยยังเข้าไปมีบทบาทในทางการเมืองในช่วงปีพ.ศ. 2545
ไม่ว่าจะในระดับท้องถิ่นหรืออาจจะมากกว่าระดับนี้โดยการที่ เนื้อวัวเข้าไปมีบทบาททางการเมืองน้ัน
เนื้อวัวจะเป็นหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์ เป็นการฉลองหรือเลี้ยงขอบคุณในวาระที่ผู้ลงสมัครทางการเมืองได้
ตำแหน่ง หรือการซื้อสิทธิ์ขายเสียงโดยใช้เนื้อวัวเป็นสิ่งตอบแทนให้หัวคะแนน ว่าด้วยการซื้อเสียงมีหลายวิธี
แตกต่างกันไปตามภูมิภาค และท้องถิ่น มีทั้งการที่ซื้อผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือซื้อคู่แข่ง โดยการที่ผู้สมัครเสนอ
เง่ือนไขต่าง ๆ แก่คู่แข่งขันเพื่อไม่ให้ลงสมัครแข่งขันกับตน การซื้อบุคคลที่มีอิทธิพลหรือมีความนิยมในหมู่
ชาวบ้านรวมทั้งครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พระ หรือผู้นำชุมชน เพื่อดำเนินการช่วยเหลือให้ผู้มีสิทธิเลือกต้ัง
ในท้องถิ่นนั้น ๆ ลงคะแนนเสียงให้แก่ตน การซื้อด้วยการสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือสิ่งตอบแทน

30 สยามรฐั ออนไลน์.(2563, 26 พฤศจิกายน). เตือน!เมนดู ิบ เส่ยี งพยาธิตัวตืด. สยามรัฐ เว็บ https://siamrath.co.th/
31 “พบคนไทยตดิ พยาธิใบไม้ตบั สูงท่ีสุดในโลก”. กรุงเทพธรุ กิจ. 2551,17 เมษายน: 5
32 สมพงษ์ เทวะเส สัมภาษณ์โดย ณฐั วุฒิ นากุดนอก,ร้านลำชี 1, 15 มีนาคม 2565

83

เป็นการซื้อสทิ ธขิ ายเสยี งโดยฝา่ ยผูซ้ ื้อสิทธิมีเงื่อนไขวา่ จะมอบสิ่งตอบแทนนั้นให้แกผ่ ู้ขายสิทธิภายหลังที่ทราบ
ผลการเลือกตั้งแล้ว33 แต่ส่วนมากในภาคอีสานส่วนมากจะมีหัวคะแนนเป็นผู้ช่วยหาเสยี งอีกด้านหนึ่งของผู้ลง
รับสมัครเลือกตั้งท้องถิ่นหรือระดับที่สูงกว่านี้ ผู้ลงสมัครอาจจะเลี้ยงตอบแทนหัวคะแนนหรือปรึกษาหารือกบั
หัวคะแนนที่ร้านลาบก้อย หรือแม้กระทั่งหลังจากการได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ในบางพื้นท่ี
อาจจะใชเ้ น้ือววั ไปแจกจ่ายตามบ้านท่ีเลือกตนเองแทนคำขอบคณุ หรืออาจจะล้มววั แจกท้ังหมูบ้าน หรือชุมชน
จากคำบอกกลา่ วของผู้ประกอบธุรกจิ ร้านลาบก้อยร้านลำชี 1 กลา่ ววา่

“ในช่วงมีการจัดการเลือกตั้งตอนนั้นปี พ.ศ. 2545 เท่าที่จำได้ มีพวกกลุ่มลงสมัครนายกอบต.เขามา
ประชุมกันที่ร้านบ่อย ๆ หลังจากเขาเดินหาเสียงเสร็จ มาเป็นคณะเลยมาก็จะพากันสั่งพวกลาบ พวกก้อย
ซอยจุ๊ แลว้ กเ็ ขากจ็ ะน่ังคุยงานกนั เกี่ยวกับเลือกต้ังนี่แหละ แต่เราไมร่ ูว้ ่าเขาคยุ เร่ืองอะไรกัน ก็จะมีสั่งเบียร์บ้าง
แตก่ นิ ไม่เยอะ รา้ นกจ็ ะแบ่งโซนให้เขา”34

ในปี พ.ศ. 2556 วัวเริ่มหายากและมีราคาสูง เนื่องจากไม่มีพื้นที่ทำปศุสัตว์และเกษตรกรพากัน
ไปทําการเกษตรมากขึ้น อาทิ ปลูกไร่มัน ไร่อ้อย และยางพารา จึงไม่มีพื้นที่เลี้ยงสัตว์ ขณะที่ราคาเนื้อสัตว์
ยังไม่แพงสูงขึ้นจากราคาวัวตัวละประมาณ 4,000-5,000 บาท แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2556 ราคาสูงตัวละ 1-2
หมื่นบาทจึงต้องปรับราคาขึ้นตามท้องตลาดแตกต่างจากในอดีตมีเงิน 1 แสนสามารถซื้อวัวควายได้เกือบ 20
ตัว แต่ปัจจุบันเงิน 1 แสนบาทซื้อวัวควายได้เพียง 3-4 ตัวเท่านั้น ทําให้โรงเชือดต้องมีการติดต่อซื้อวัว
จากประเทศเพื่อนบ้าน นำมาเชือดตามออเดอร์ที่สั่งเพื่อนำมาขายให้ผู้บริโภคแต่ในช่วงปี พ.ศ. 2564
ราคาของวัวอยู่ตัวละ 2-3 หมื่นบาท จึงส่งผลให้ราคาเนื้อวัวต้องปรับราคาขึ้นกิโลกรัมละ 300 บาท
แต่วัฒนธรรมของการบรโิ ภคของชาวอีสานหรอื ผู้คนต่าง ๆ น้ันยังคงบริโภคอยู่เพยี งแต่ลดการบริโภคลงไป

การพัฒนาของรัฐในแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในอีสานนั้น
ไดท้ ำให้สำนึกเก่ียวกบั ชีวิตทางเศรษฐกิจทั้งในเรื่องการผลิต และการบรโิ ภคของชาวบ้านอีสานเปล่ียนแปลงไป
ด้วยผู้คนชาวอีสานหันมาเลี้ยงวัวในทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อส่งขายให้โรงเชือดซึ่งได้ราคาดีกว่าการเลี้ยงไว้
เพื่อผสมพันธุ์ผู้คนมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว จากการเลี้ยงวัวเพื่อขายให้กับโรงเชือด ตลาดค้าวัว
และร้านขายเนื้อวัวหรือแม้แต่ธุรกิจร้านอาหาร ร้านลาบก้อย ได้ขยายตัวเปิดกิจการขึ้นมาอีกเป็นจำนวนมาก
เพือ่ รองรบั ความต้องการบริโภคเนื้อววั ทเี่ พ่ิมมากขึน้ ทำให้เกดิ การสรา้ งรายได้ให้กับชาวบ้าน เจ้าของกิจการได้
เป็นกอบเป็นกำนั้น แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2563 กรมปศุสัตว์ได้มีการติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศ
และเฝา้ ระวงั โรค รวมถงึ การประกาศชะลอการนำเขา้ โคกระบือจากประเทศพม่า โรคลมั ปสี กินระบาดคร้ังแรก
ในไทย เมื่อปลายเดือน มีนาคม 2564 ได้ตรวจพบโคเนื้อของเกษตรกรรายย่อยซึ่งแสดงอาการที่สงสัยว่าเป็น
โรคลัมปีสกินในอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด กระทั่งแพร่กระจายไปทั่วในทั้งภา คอีสาน35
การรับมือหรือปรับเปลี่ยนของผู้ประกอบการธุรกิจร้านลาบก้อยในช่วงโควิด แม้ระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
หลังจากการระบาดของโควิด 19 และการระบาดของโรคลัมปีสกินที่ระบาดอยู่กับวัวทำให้วัวล้มเจ็บป่วย

33 สถาบันพระปกเกล้า, การซ้อื สิทธิ์ขายเสยี ง. กิจกรรมทางการเมอื งทีเ่ กยี่ วข้องกบั การเลอื กต้ัง.สบื ค้น 19 กมุ ภาพนั ธ์ 2565. เว็บhttp://wiki.kpi.ac.th/index.php?title
34 อนงค์ ตะมา สมั ภาษณ์โดย ณัฐวุฒิ นากุดนอก, ร้านฉลองชัย, 7 มนี าคม 2565
35 สภุ ทั ร คำมงุ คณุ .(2564) .โรคลัมปสี กนิ .ร้อยเร่ืองเมืองไทย. สำนักวิชาการสถานีวทิ ยกุ ระจายเสียงและวทิ ยุโทรทัศนร์ ฐั สภา

84

ที่เป็นส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงมีการมีการชำแหละเนื้อวัวในโรงเชือด เพื่อนำออกมา
จำหน่าย ถึงแม้ยอดการจำหน่ายหรือกำลังการซื้อของประชาชนจะลดน้อยลงแต่เนื้อวัวก็ถือว่า เป็นวัตถุ ดิบ
สำคัญอกี อยา่ งทีข่ าดไม่ไดต้ ามท้องตลาดในปจั จุบัน แต่สำหรบั ครัวเรือนอีสานท่ีไม่มีกำลังเงนิ ซอื้ เนือ้ กินบ่อยครั้ง
นัก การกินอาหารจากเนื้อสัตว์ถือว่าต้องเป็นโอกาสพิเศษ แต่ในแต่ละร้านมีการรับมือการโรคระบาดต่าง ๆ
ที่เข้ามาให้ธุรกิจของตนเองสบื อยู่ต่อไป จากคำกลา่ วของผู้ประกอบการธุรกิจร้านลาบก้อยกลา่ ววา่

“กอ่ นจะได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19 มกี ำไรเดอื นละเกือบ 3 ล้านบาท จากน้ันกำไรลดลงครึ่งต่อ
ครึ่ง ตลาดเขียงเนื้อค่อย ๆ ซบเซากระทั่งเกิดโรคลัมปีสกิน ระบาดในวัว ยิ่งทำให้ลูกค้าไม่กล้ากินเนื้อ
โดยเฉพาะเมนูเนื้อดิบขึ้นชื่อของที่นี่ กำไรจากหลักแสนบาทเหลือหมื่นบาทต่อวันไม่ต่างจากร้านอื่น ๆ ที่
พยายามประคับประคองให้ตัวเองมีรายได้ หากขายเนื้อสดไม่หมดก็แปรรูปขาย ไม่ว่าจะเป็นหม่ำ แหนม และ
เนือ้ แดดเดยี ว หลายร้านเลือกทจี่ ะลดค่าจ้างพนักงาน เพอ่ื ความอยู่รอดเขียงเนื้อหลายร้านทยอยปิดกิจการ แต่
ส่วนใหญ่ยังพยายามประคับประคองตัวเอง แม้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกนานแค่ไหนแหล่งเขียงเนื้อชื่อดังแถบนี้จะ
กลับมาคึกคกั อีก”36

อาจจะกล่าวได้ว่าวัฒนธรรมของการบริโภคเนื้อวัวของชาวอีสานนั้น เปลี่ยนแปลงตามยุคตามสมัย
ของการพัฒนาการบริโภคธุรกิจร้านลาบก้อยมีการปรับตัว และการดำรงอยู่ของธุรกิจร้านลาบก้อยตราบใด
ที่อีสานยังมีการรักษาวัฒนธรรมการบริโภคเช่นนี้ไว้ แต่อย่างไรก็ตามผู้คนชาวอีสานยังคงรักษาขนบประเพณี
วัฒนธรรมสืบไว้ โดยมีเนื้อวัวเข้าไปแทรกอยู่ในทุกงานบุญประเพณีของชาวอีสานเช่นเดิม ถึงแม้เศรษฐกิจ
สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างไรก็ตามคนอีสานนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการพึ่งพาตนเองอย่างสมถะเรียบ
ง่ายด้วยจริยธรรมการกินอย่างเพียงพอและพอเพียงสมควรแก่อัตภาพของการกินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน
ท่สี อดคล้องกับวถิ ีสังคมแบบชาวนากอ่ เกดิ เปน็ อาหารพืน้ ถ่ินท้ังแบบพืน้ บา้ นพืน้ เมือง

สรปุ
จากการศึกษา วัฒนธรรมการบริโภคเนื้อวัวของผู้คนชาวอีสานนั้นกล่าวได้ว่า ผู้คนชาวอีสาน

มักจะมีความนิยมในการบริโภคอาหารสุกๆดิบๆ ไม่ว่าจะเป็นลาบ ซอยจุ๊ หรือก้อยเนื้อสัตว์ แบบสุก ๆ ดิบ ๆ
กัน และในโอกาสพิเศษผู้คนชาวอีสานจะล้มจะชำแหละกันเอง คือการชำแหละวัวหรือการล้มวัวใส่งานบุญ
โดยชาวอีสานส่วนใหญ่นิยมบริโภคเนือ้ ววั มากกว่าเนื้อควายเหมอื นกับทางภาคเหนอื ที่นิยมเน้ือควายมากกว่า
และการบริโภคอาหารในโอกาสพิเศษนั้น นอกจากอาหารต้องดีและมีปริมาณพอเหมาะแก่ผู้มาร่วมงาน
หรือผู้มาเยี่ยมเยือนแล้ว การกินก็ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อสังคมเป็นศูนย์รวมของเหล่าเครือญาติที่มาพบปะกัน
ในวาระโอกาสที่พิเศษ โดยการบริโภคที่บ่งบอกถึงความเป็นอีสานก็คือ ที่มีการปรุงรสชาติด้วยวัตถุดิบที่หาได้
ตามธรรมชาติหรือมักจะมีการบริโภคเนื้อวัวของที่ยังแฝงอยู่ในทุกประเพณี งานบุญ อาจจะมองไปอีกมุม
วา่ เป็นการเพม่ิ ความสามัคคใี นชุมชนของตัวเองไปอกี ทาง

ในช่วงปี 2520 นั้นผู้ชำนาญในด้านการชำแหละเนื้อวัว เริ่มคิดที่จะมีการชำแหละเนื้อวัวจำหน่าย
เกิดขึ้นภายในชุมชนหรือหมู่บ้านของตนเอง แบ่งขายเป็นกิโลกรัมให้ได้ซื้อไปบริโภคในครัวเรือน

36 บุญถิ่น ธุระธรรม สัมภาษณโ์ ดย ณัฐวฒุ ิ นากุดนอก,ร้านลำชี 3, 28 กุมพาพนั ธ์ 2565

85

แม้ว่าทางภาครัฐและสาธารณสุขจะมีการรณรงค์ให้บริโภคอาหารที่สุกๆดิบๆ แต่ชาวอีสานยังมีความเชื่อ
ว่าการบริโภคเนื้อววั ที่ดิบๆจะมีรสชาติที่อร่อย หวาน และสด โดยเฉพาะการชำแหละเนื้อวัวจะนิยมบริโภคกนั
สด ๆ ทำให้ผู้คนมีความเข้าถึงการบริโภคเนื้อวัวที่ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องรองานบุญหรืองานที่สำคัญ ๆ
เหมือนดังก่อนมา แตท่ วา่ ปัจจยั ของสภาพเศรษฐกิจของภาคอสี านนั้นยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ผู้ส่วนใหญ่ยังประสบ
กับปัญหาสภาวะที่ยากจนอยู่การบริโภคก็ยังต้องรองานสำคัญอยู่ จากการนิยมบริโภคลาบก้อยของผู้คนชาว
อีสานมีความสะดวกมากขึ้น ในช่วงปี 2527 จึงมีร้านลาบก้อยเกิดขึ้นตามมาเรื่อย ๆ แต่ละร้านคัดสรร
ผู้มาปรุงลาบก้อยที่มีความชำนาญ ในช่วงต่อมาโรงเชือดหรอื โรงฆ่าสัตว์เริ่มก่อตั้งขึ้นมาให้เห็น ผู้คนชาวอีสาน
บางส่วนหันมาเลี้ยงวัวพันธุ์พื้นเมืองไว้เป็นฝูงเพื่อส่งขายให้แก่โรงเชือด เป็นการสร้างรายได้แก่ผู้คนไปอีกทาง
ซ่ึงได้ราคาดีกว่าการเลี้ยงไว้เพื่อผสมพันธุ์ผู้คนมีรายได้มาจุนเจือครอบครัวจากการเลี้ยงวัวเพื่อขาย
ให้กับโรงเชอื ด ตลาดค้าววั และร้านขายเนื้อวัวหรอื แมแ้ ตธ่ ุรกิจร้านอาหาร

โดยวัฒนธรรมการกินเช่นนี้ได้ขยายไปสู่บุคคลที่ต้องการรับประทานอาหารตามแบบฉ บับคนอีสาน
แท้ๆอย่างเป็นวงกว้าง คือ วัฒนธรรมการนิยมบริโภคเนื้อวัวแบบสุกๆดิบๆนั้นมีการแพร่ออกไปยังภาคกลาง
หรอื ในกรงุ เทพฯ หรอื แมก้ ระทงั่ การปรับเปลยี่ นการจดั จำหน่ายโดยเพิม่ การบริการผ่านแอพพลเิ คช่นั ส่งถึงบ้าน
และเนื้อวัวหรือร้านลาบก้อยยังเข้าไปมีบทบาทในทางการเมื องเนื้อวัวจะเป็นหน้าที่เชื่อมความสัมพันธ์
เป็นการฉลองหรือเลี้ยงขอบคุณในวาระที่ผู้ลงสมัครทางการเมืองได้ตำแหน่ง หรือการซื้อสิทธิ์ขายเสียง
โดยใช้เนื้อวัวเป็นสิ่งตอบแทนให้หัวคะแนน ร้านลาบก้อย ได้ขยายตัวเปิดกิจการขึ้นมาอีกเป็ นจำนวนมาก
เพื่อรองรับความต้องการบรโิ ภคเนื้อวัวที่เพิม่ มากขึ้น ทำให้เกิดการสร้างรายได้ ให้กับชาวบ้านแต่ในแต่ละร้าน
มีการรับมือการโรคระบาดต่าง ๆ ที่เข้ามาให้ธุรกิจของตนเองสืบอยู่ต่อไป แสดงไปถึงการเปลี่ยนแปลง
ในทางวฒั นธรรมการบริโภคเนอ้ื ววั แตม่ ใิ ช่เพียงแค่บรโิ ภคอยา่ งเดียวเท่านน้ั

86

บรรณานุกรม

กมลทิพย์ จา่ งกมล. (2545). อาหาร: การสร้างมาตรฐานในการกนิ กบั อัตลักษณ์ทางชนชนั้
[วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญามหาบัณฑิต]. มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร.1

ชมรมฮกั ต๋ัวเมอื ง สำนักสง่ เสรมิ ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่ ประวตั ิศาสตร์-ท่ีมา จน๊ิ ลาบ จ๊ิ
นควาย-ววั เมนพู ืน้ บ้านของคนล้านนา พร้อมวธิ ีทำ ดัง้ เดมิ แบบสมยั โบราณ.ลา้ นนาคำ
เมอื ง. มตชิ นสดุ สปั ดาห์, มนี าคม 2564

ตลาดโค. โคพ้ืนเมอื งโคอสี าน.จาก https://taradko.com/%E0%B8
ตนภุ ัทร โลหะพงศธร. 60 ปี พ.ศ. 2504 ผใู้ หญล่ ีตีกลองประชุม เพลงลกู ท่งุ ที่ยังคงสะท้อนชีวิตจรงิ

ของคน ชนบท. Culture. จาก https://becommon.co/culture/living
ต๊ิกแสนบุญ. (2562). แนวกินถิ่น“ อสี าน” วิถีชีวิตกบั “ อาหาร” พน้ื บา้ นจากข้าวเหนียว-แมง

แมลง-ปลา. ศิลปวัฒนธรรม
เตชภณ ทองเตมิ .ความเชื่อและทศั นคตดิ า้ นการถวายอาหารแด่พระสงฆ์ของคน เจนเนอรเ์ รช่นั

‘Z’. วารสารวนัมฎองแหรกพุทธศาสตร์ปริทรรศน์, (2564) 1 (8)
นภาพร อตวิ านชิ ยพงศ.์ บทความ คนชนบทอีสานกบั การทามาหากนิ : ความเปลีย่ นแปลงตามยคุ

สมัย. วารสารสังคมวทิ ยามานุษยวทิ ยา.(2557). กรกฎาคม – ธนั วาคม, 33(2)
บทเพลงอีสานบ้านเฮา (Ost. ดอกคนู เสยี งแคน).จาก

https://www.siamzone.com/music/thailyric/16625
ปกรณ์ คณุ ารักษ.์ คนกินววั มมุ มองและความเชอื่ ที่ลึกลำ้ ของนกั บรโิ ภคชาวอีสาน. ธรรมทรรศน์

,6(1) มนี าคม-มิถุนายน 2548, 51-60
แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติฉบับท่ี 1 พ.ศ.2504-2509
พจนุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 . กรุงเทพฯ: นานมีบคุ๊ พับลิเคชันส์ ; 2546
“พบคนไทยตดิ พยาธใิ บไมต้ ับสูงที่สดุ ในโลก”. กรงุ เทพธรุ กิจ.2551,17 เมษายน: 5
ฟรานซสิ ครปิ ส.์ สภาพอสี าน. แปลโดย ตุลจันทร์,พิมพ์ครัง้ ท่ี 2.กรุงเทพฯ.แมค่ ำผาง.2551
มาดเซอ่ คนอสี าน.(2564). อีสานกบั การเปลย่ี นแปลง.จาก https://www.isangate.com/new
มหาวิทยาลยั มหิดล. กลวิธีพัฒนาบรโิ ภคนิสยั เพ่ือควบคมุ โรคพยาธิใบไมต้ บั .(2529).กรุงเทพฯ:

มหาวิทยาลัยมหดิ ล
สถาบันพระปกเกล้า, การซอ้ื สิทธ์ิขายเสียง.กิจกรรมทางการเมืองทเ่ี ก่ียวข้องกับการเลือกตง้ั .จาก

http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title

สถาพร จติ ตปาลพงศ์. การสาํ รวจพยาธภิ ายในของโคและกระบอื ในจังหวัดมหาสารคาม. บทความ
ในหนงั สอื , กรงุ เทพฯ:มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ .( 2534), 381

สยามรัฐออนไลน์.(2563,26 พฤศจิกายน ). เตือน!เมนูดิบ เส่ยี งพยาธิตวั ตดื .สยามรฐั .จาก
https://siamrath.co.th

87

สุภัทร คำมุงคุณ.(2564). โรคลมั ปี สกิน. รอ้ ยเรอ่ื งเมืองไทย. สำนกั วิชาการสถานวี ิทยกุ ระจายเสยี ง
และวทิ ยโุ ทรทศั นร์ ัฐสภา

สุรชยั สุวรรณล.ี การตลาดของโคเนอ้ื -กระบือ.ภาควิชาสัตว์ศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยอบุ ลราชธานี

อาสา คำภา. การเมืองวฒั นธรรมของ “อุดมการณช์ าติพันธุ์ไทย”: ความเปน็ ไทยที่ (เคย) กดทับ
“อาหารเจก๊ ”“อาหารลาว”. วารสารศลิ ปะศาสตรม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ สถาบนั ไทยคดี
ศึกษา มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย. กรกฎาคม-ธนั วาคม 2564,21(2)

อสี านร้อยแปด, นายฮอ้ ย ภาษาอสี าน. แกไ้ ขครง้ั ลา่ สดุ 2564.พจนานุกรมภาษาอีสาน.จาก
https://esan108.com/dict/viewYoutube. (2562,13 กรกฎาคม). หม่อมถนัดแดก ก้อย
คาโครง Spicy Beef Tartar in Cow Carcass. จาก
https://www.youtube.com/watch?v

88

“ศาลหลักเมืองอุดรธาน”ี กบั การชว่ งชิงความหมาย
ในพิธกี รรมและกิจกรรมการท่องเทีย่ วทางวฒั นธรรม ทศวรรษ 2540–2565

ณฎั ฐธดิ า กลั ยา และนราวิทย์ ดาวเรอื ง
Nattathida Kanlaya and Narawit Daoraeung

บทคัดยอ่
บทความนี้ต้องการอธิบายถึงการช่วงชิงความหมายในพิธีกรรมและกิจกรรมทางวัฒนธรรม

ที่เกี่ยวข้องกับศาลหลักเมืองอุดรธานี โดยใช้วิธีการศึกษาแบบประวัติศาสตร์บอกเล่าของกลุ่มคน
ในพื้นที่เทศบาลเมืองอุดรธานีรวมทั้งการศึกษาจากเอกสารและงานวิจัย จากการศึกษาพบว่า
“ศาลหลกั เมืองอุดรธานี” ตง้ั ขน้ึ เม่อื ปี 2502 สัญญะทีซ่ อ่ นอยู่ภายใต้การตั้งศาลหลักเมืองอุดรธานีน้ัน
คือ การแสดงให้เห็นถึงความเป็นศูนย์กลางของเมืองอุดรธานีในห้วงเวลานั้น ขณะเดียวกัน
ยังหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นอยู่และความสงบร่มเย็นของประชาชน
ในคราวเดยี วกนั

ตอ่ มาชว่ งหลงั ปี 254 ศาลหลักเมืองอุดรธานีไดร้ ับการบูรณะซ่อมแชมเนื่องจากเกิดการชำรุด
ห ล ั ง ก า ร บ ูร ณะ ช ่อ ม แ ช ม ส ำ เร ็จ ศ าล ห ล ั ก เม ื อ งอ ุ ด รธ า นี ถ ูก เ ช ื ่อ ม โ ย งแ ล ะ ส ัม พ ั นธ ์ ก ับส ถาบัน
พระมหากษัตรอย่างแนบแน่น โดยเฉพาะการจัดงานเฉลิมฉลองศาลหลักเมือง
ในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์สมบัติครบ 50 ปี
การเชื่อมโยง กับรัฐส่วนกลางและสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้เกิดพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับรัฐ
และสถาบันพระมหากษัตรรวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ที่ทำให้กลุ่มคน
หลายกลุ่มเข้ามามบี ทบาทเพอ่ื ช่วงชงิ ความหมายในพธิ กี รรม และกิจกรรมการทอ่ งเท่ยี วทางวัฒนธรรม
อย่างซบั ซ้อน

คำสำคญั : ศาลหลักเมอื งอุดรธานี, การช่วงชงิ ความหมาย, กิจกรรมการท่องเท่ยี ว

89

บทนำ
ศาลหลักเมืองเป็นปูชนียสถานที่สำคัญประจำเมือง ก่อนมีการก่อตั้งเมืองจึงมักพบว่า

มีประเพณีดั้งเดิมที่เรียกว่า “การฝังเสาหลักเมือง” ตามฤกษ์ยามที่ได้ทำการคำนวณไว้แล้ว
โดยโหราจารย์ตามประเพณีพราหมณ์ ความสำคัญของการตั้งหลักเมืองคือการเชื่อว่าหลักเมือง
มีอิทธิพลต่อบ้านเมืองเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการอำนวยความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง
รวมถึงความเปน็ อยู่ และความสงบร่มเย็นของประชาชนที่อาศัยอยูใ่ นบ้านเมืองน้ัน จึงเป็นเหตุให้ผู้คน
ตระหนักถึงบทบาทและความสำคัญของเสาหลักเมืองดังกล่าว เสาหลักเมืองสร้างขึ้น
เพ่ือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง มักทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์เมื่อทำพิธียกเสาขึ้นแสดงว่าจะดำเนินการสร้าง
เมืองบริเวณนั้นแน่นอน1 เช่นเดียวกับการตั้งเมืองอุดรธานีของกรมหลวงประจักษ์ฯในปี พ.ศ. 2436
ที่ปรากฏให้เห็นการพัฒนาที่ทำให้เกิดส่วนราชการ เช่น ศาลาว่าการเมือง ค่ายทหาร และสถานที่
ราชการต่างๆ พร้อมนี้กรมหลวงประจักษ์ได้ก่อสร้างวัด “มัชฌิมาวาส” เพื่อให้เป็นพระอารามหลวง
คู่บ้านคู่เมืองและเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองอุดรธานีในห้วงเวลานั้น การสร้างศาลาว่าการเมือง
สถานที่ราชการและวัดมัชฌิมาวาส ทำไห้กลุ่มคนอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณรอบ ๆ
สถานท่รี าชการ เมอื งอุดรธานจี ึงเริ่มขยายตวั นบั ตัง้ แต่นนั้ เป็นตน้ มา2

ในห้วงเวลาที่เมืองอุดรธานีพัฒนามาตามลำดับข้างต้นนั้น นอกจากวัดมัชฌิมาวาส
จะมีบทบาท และความสำคัญในฐานะที่เป็นพระอารามหลวงคู่บ้านคู่เมืองรวมทั้งการเป็นศูนย์รวม
จิตใจของชาวเมืองอุดรธานี ทว่ายังปรากฏให้เห็นการก่อตั้งศาลหลักเมืองอุดรธานีในปี พ.ศ 2502
ที่มีความสำคัญในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง เป็นศูนย์รวมทางด้านความเชื่อ
และศนู ยร์ วมทางดา้ นจติ ใจของชาวจังหวัดอุดรธานี อย่างไรกต็ ามศาลหลักเมืองอดุ รธานีเกิดการชำรุด
ทรุดโทรมขนาดหนัก ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ชมรม
สโมสร ฯลฯ ได้ดำเนินการระดมทุนเพื่อนำมาใช้ในการบูรณะซ่อมแซมศาลหลักเมืองอุดรธานีหลังเดิม
ให้ดู มีความยิ่งใหญ่อลังการมากขึ้นกว่าเดิม3 โดยการผสมผสานระหว่างความเชื่อท้องถิ่นกับความรู้
สมัยใหม่ทางสถาปนิก ทำให้ปฏิบัติการในการก่อสร้างที่ตกผลึกจากความรู้ และความสามารถ
เช่น การจัดแบ่งพื้นที่และองค์ประกอบอื่นๆภายในอาคาร การใช้วัสดุที่สวยงาน และทันสมัย
การจัดสวนที่สวยงาน ซึ่งนำมาสู่คุณค่าทางด้านสายตาและทางด้านจิตใจที่ไม่สามารถประเมินค่า
ได้ด้วยตัวงบประมาณ ทั้งนี้ภายหลังจากการบูรณะซ่อมแซมศาลหลักเมืองอุดรธานีสำเร็จลง
มีการจัดงานเฉลิมฉลองที่เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตรอย่างยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีพิธีกรรม

1 ศึกษาเพมิ่ เติมใน ชลธิรา สัตยาวฒั นา.(2533). ใจบา้ นใจเมอื งและใจคน: ปญั หาการสืบสาวกำเนิดและเอกลกั ษณ์ไทย. กรุงเทพฯ : ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์
2 รายละเอียดเพ่มิ เติมใน https://www.facebook.com/921316664572773/posts/1495648383806262/
สืบคน้ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2565 และ ประวัติมหาดไทยส่วนภมู ิภาคจังหวดั อดุ รธานี. (2528).
กรุงเทพมหานคร: อมรินทร์การพิมพ์
3 หนงั สอื พิมพ์

90

และกิจกรรมทางวัฒนธรรม ที่ได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัด
งานเฉลิมฉลอง พิธีกรรมและกิจกรรมทางวัฒนธรรมดังกล่าวได้ทำให้กลุ่มคนหลายกลุ่มเข้ามา
มีบทบาทในการจดั งานอยา่ งมีนยั ยะสำคัญ

จากบริบทของศาลหลักเมืองอดุ รธานีท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ ทำใหผ้ ูศ้ กึ ษามีความสนใจในประเด็น
ที่เกี่ยวข้องกับการช่วงชิงความหมายในพิธีกรรมและกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มคน
หน่วยงานและองคก์ รที่เขา้ มาเกีย่ วขอ้ ง โดยจะกลา่ วอย่างละเอียดในบทความต่อไป

ศาลหลกั เมืองอดุ รธานี: บริบทและความสำคญั
จากการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมของศาลหลักเมืองอุดรธานี พบว่าศาลหลักเมืองอุดรธานี

นั้นมิได้ก่อสร้างขึ้นพร้อมกับการตั้งเมืองอุดรธานีของกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทว่ามีการก่อสร้าง
ศาลหลักเมืองขึ้นมาภายหลัง ดังนั้นเพื่อให้เห็นบริบทและพัฒนาการของศาลหลักเมืองอุดรธานี
ผเู้ ขียนจึงขอนำเสนออยา่ งละเอียดผา่ นมติ เิ วลาทางประวตั ิศาสตร์ดงั น้ี

ศาลหลกั เมืองอดุ รธาน:ี พิธกี รรม กิจกรรมการท่องเที่ยวทางวฒั นธรรมและความสัมพันธ์กบั รฐั
หลังการสร้างศาลหลักเมืองขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.2502 ดังได้กล่าวไว้อย่างละเอียดแล้วน้ัน

พบว่ามีการประกอบพิธีกรรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ในช่วงเวลาของการ
จัดงานเฉลิมฉลองศาลหลกั เมืองอุดรธานี กิจกรรมดงั กล่าวนอกจากจะแสดงใหเ้ หน็ ถึงความเช่อื ดั้งเดิม
ของผู้คนทอี่ าศัยอยู่ในชุมชนเมืองอุดรธานี ในลกั ษณะการผสมผสานความเชื่อเร่ือง ผี พราหมณ์ พุทธ
ยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับสถาบันกษัตรและอำนาจรัฐส่วนกลาง ที่กลายเป็นประเพณีประดิษฐ์
เพอ่ื สง่ เสริมการท่องเทยี่ วทางวฒั นธรรมของชาวจงั หวดั อดุ รธานี ดงั รายละเอียดต่อไปนี้

“ศาลหลกั เมืองอดุ รธานี”กบั การชว่ งชิงความหมายในพธิ กี รรมและกิจกรรมทอ่ งเทีย่ วทาง
วฒั นธรรมช่วงหลังปี พ.ศ. 2540–2565

การช่วงชิงและให้ความหมายในพิธีกรรมการบวงสรวงศาลหลักเมืองในเขตพื้นที่จังหวัด
อุดรธานนี น้ั ไดเ้ ร่มิ ตน้ ขนึ้ ในปี พ.ศ. 2542 เป็นตน้ มา เปน็ การนำเสนอภาพประวตั ศิ าสตร์เมอื งอดุ รธานี
ในวาระสำคัญของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวโรกาสของการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 ส่งผลให้เกิดประเพณี “การรำบวงสรวงศาลหลักเมือง”
ที่แสดงถึงการตอกย้ำความสัมพันธ์กับอำนาจรัฐส่วนกลางและสถาบันกษัตริย์กับอำนาจท้องถ่ิน
ทั้งนี้ท้องถิ่นเองต่างก็สยบยอมต่ออำนาจรัฐส่วนกลางและอำนาจสถาบันกษัตริย์ที่เข้ามา
ซึ่งชุมชนทอ้ งถิ่นได้แสดงออกผา่ นบริบทพิธีกรรมการรำบวงสรวงศาลหลักเมืองอุดรธานีที่มีการจัดขน้ึ

91

ในทุกวันที่ 29 มกราคม เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้ต่างมีเครือข่าย
ทางสังคมที่มีกลุ่มคนต่างๆ ได้ช่วงชิงและให้ความหมายในเขตพื้นที่เกี่ยวกับพิธีกรรมการรำบวงสรวง
ท้งั นช้ี าวอดุ รธานตี ่างก็ไดแ้ สดงออกจนเปน็ อัตลักษณข์ องเมอื ง

กลุม่ นางรำ
ลักษณะสำคัญของกลุ่มน้ีมีทั้งประชาชนชาวอุดรธานี และจากรัฐราชการท่ีมีการส่งเจ้าหน้าที่
เข้ามาร่วมในงานรำบวงสรวง กลุ่มนี้จะทำหน้าที่เป็นนางรำมักแต่งตัวด้วยเสื้อแขนกระบอกสีแสด
ผ้าถุงพื้นเมืองที่เป็นผ้าหมี่ขิด มีการประดับพวงมาลัยที่แขนซ้าย พาดสไบย้อมคราม
และทัดดอกทองกวาวที่เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด ทั้งนี้ เครื่องแบบการแต่งกายของกลุ่มนางรำเอง
ต่างได้แสดงถึงอำนาจของส่วนกลางที่สถาปนาเหนือท้องถิ่น เพราะหากย้อนกลับไปศึกษา
ประวัติศาสตร์เมืองเมื่อครั้งที่กรมหลวงประจักษ์ฯ ยกทัพเข้ามายังบ้านเดื่อหมากแข้ง
ได้พบดอกทองกวาวจำนวนมากจึงมีการใช้ดอกทองกวาวเป็นดอกไม้ประจำจงั หวัด อกี ทงั้ บทเพลงที่ใช้
ในการรำบวงสรวงหลักเมืองเป็นบทเพลงเดียวกันทีใ่ ช้ในการรำบวงสรวงกรมหลวงประจักษ์ฯท่ีจัดข้ึน
วันที่ 18 มกราคมของทุกปีเพื่อน้อมรำลึกการก่อตั้งเมืองอุดรฯ ทั้งนี้บทเพลงที่ใช้ในการรำบวงสรวง
ศาลหลักเมืองมีขึ้นมาหนึ่งบทเพลงเท่านั้นที่เป็นหมอลำมีเนื้อหาบวงสรวงศาลหลักเมือง
และเครือข่ายนางรำนี้ส่วนมากเป็นนักเรียน นักศึกษา ประชาชน มักชักชวนกันมารำส่วนมากมัก
ชักชวนกันจากความสัมพันธ์ใกล้ตัว และเจ้าหน้าที่จากรัฐราชการที่ส่งเข้ามาร่วมงานจากแต่ละ
หน่วยงาน มาเป็นอาสาสมัครในการรำ โดยก่อนวันการรำบวงสรวงมักปรากฏภาพการซ้อมรำกัน
ตามสถานที่สำคัญๆ ของเมือง อาทิ ลานทุ่งศรีเมือง ลานสนามกีฬาเวชสุวรรณ เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้
มีความเชื่อว่าการรำบวงสรวงศาลหลัดเมืองทำให้เกิดความเป็นสิริ มงคลแก่ชีวิตผู้ที่เป็นจิตอาสา
ในการรำบวงสรวง กลมุ่ นเ้ี ปน็ กลุม่ ทม่ี คี วามสำคญั ทท่ี ำใหเ้ กิดภาพอัตลักษณ์ของเมอื งอดุ รฯ
รฐั ราชการ
ลักษณะของกลุ่มนี้มักเป็นเจ้าหน้าที่ในรัฐราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฯลฯ ซึ่งได้เข้า
ร่วมในการทำพธิ กี ารบวงสรวงศาลหลักเมอื งน้ันมีกจิ กรรมหลายอยา่ ง ไมว่ ่าจะเปน็ พธิ ีกรรมทางศาสนา
พิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พิธีมอบทุนการศึกษา เหล่านี้ทำใหมีรัฐราชการมาเข้าร่วม ซึ่งจากการ
สัมภาษณ์จะพบว่ามีหน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานภาคเอกชน ได้มีการเจ้าหน้าที่เข้ามา
เพื่อร่วมงานในพิธีกรรมบวงสรวงเหล่านี้ ทั้งนี้เมื่อมีการจัดกิจกรรมระดับจังหวัดก็มักมีงบประมาณ
จากรฐั สว่ นกลางเข้ามาสนับสนุนงานกจิ กรรมในจุดนี้ดว้ ย ซงึ่ จะพบวา่ กลุม่ เหลา่ น้ีตา่ งก็ได้ผลประโยชน์
จากการเข้าร่วมงาน โดยเฉพาะในเรื่องชื่อเสยี งที่ไดเ้ ข้าร่วมกิจกรรมการรำบวงสรวง สามารถเป็นหน้า
เปน็ ตาใหท้ างหน่วยงานของตนได้

92

นักการเมอื งท้องถ่ิน
กลุม่ นักการเมืองท้องถ่ินนี้เป็นในระดับจังหวดั อาทิ ผูว้ ่าราชการ รองผวู้ ่าราชการ รวมถงึ สภา
ผู้แทนราษฎร ที่มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานรำบวงสรวง ซึ่งส่วนมากมักมาร่วมเป็นเกียรติในพิธี
ซึ่งทางจังหวัดก็จะมีการทำหนังสือเรียนเชิญนักการเมืองระดับจังหวัดเหล่าน้ี มาร่วมเป็นเกียรติในพิธี
กลุ่มนักการเมืองนี้ต่างก็ได้ผลประโยชน์ในเรื่องของชื่อเสียง และเป็นฐานเสียงของตนเองในการเข้าสู่
ตำแหน่งเวทีทางการเมืองเพื่อที่จะทำหน้าที่ด้านการบริหารและกำหนดนโยบายต่าง ๆ ในระดับ
ท้องถิ่น ส่งผลการให้ความหมายในพื้นที่พธิ ีกรรมนี้กลายเป็น “พื้นที่ทางการเมือง” มีการต่อสู้ต่อรอง
เพอ่ื การได้มาซ่ึงคะแนนเสียงที่สนับสนนุ ตน
มลู นธิ ทิ ำนบุ ำรุงศาลหลกั เมืองอุดรธานี
มูลนิธิกลุ่มนี้ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2542 ขึ้นพร้อมกับการตั้งหลักเมืองหลังใหม่
กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทำการดูแลศาลหลักเมืองอุดรธานีโดยตรง โดยเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อ ความศรัทธา
ทแ่ี สดงออกผ่านบริบทการทำงานเพ่ือรบั ใช้องค์ศาลหลักเมือง โดยไดค้ ่าตอบแทนจากการท่ีประชาชน
ผู้ศรัทธามาบริจาค โดยเงินบริจาคนี้ได้ทั้งจากการที่ประชาชนมาบูชาดอกไม้ ธูป เทียนบริเวณที่ไหว้
โดยเงินส่วนหนึ่งก็จะถูกเก็บเข้ามูลนธิ ิ ส่วนหนึ่งถูกแบง่ เพื่อเปน็ ทุนการศึกษาแก่นกั เรียนที่ได้รับเลือก
เพื่อมอบทุน ในวันพิธีงานบวงสรวงของทุกปี กลุ่มนี้เมื่อมีการจัดงานพิธีกรรมการรำบวงสรวงก็จะได้
ผลประโยชนใ์ นเรอ่ื งของช่อื เสียงอย่าง และเป็นหนา้ เป็นตาของทางมลู นธิ อิ ยา่ งเขม้ ขน้
กลมุ่ ผูน้ ำทางศาสนา
ลักษณะสำคัญของกลุ่มนี้คือการเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนาในช่วงเช้า ซึ่งในพิธีทาง
ศาสนานี้ มีทั้งพิธีทางพุทธและทางพราหมณ์ โดยตอนเช้าจะมีการสวดมนต์และทำบุญตักบาตร
ในตอนเช้า ซึ่งสว่ นมากผู้ท่ีทำบุญตั้งบาตรในพิธีเช้าจะเป็นนักการเมืองท้องถ่ิน และหัวหน้ารัฐราชการ
ต่าง ๆ และเมื่อมีการทำบุญตักบาตรเสร็จ ก็จะมีการทำพิธีบวงสรวงโดยมีผู้ทำคือพราหมณ์ประจำ
เมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งกลุ่มผู้นำทางศาสนานี้ เมื่อมีการทำพิธีทางศาสนา
เสร็จกจ็ ะมีค่าตอบแทนใสซ่ องในฐานะเป็นผ้นู ำทางศาสนาในพิธกี รรมดังกล่าว

บทส่งทา้ ย
ความเชื่อเรื่องศาลหลักเมืองอุดรธานี จากการศึกษาแล้วพบว่าชาวเมืองอุดรธานี

ต่างก็สยบยอมต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้มีการต่อสู้ต่อรองกับอำนาจรัฐ
ส่วนกลางและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ที่เข้ามาสถาปนาเหนือการเมืองท้องถิ่นของชาวอุดรธานี
ที่แสดงออกผ่านบริบทพิธีกรรม ในพิธีการรำบวงสรวงศาลหลักเมือง ซึ่งโดยเฉพาะย่างยิ่งในวาระ
สำคัญแห่งชาติในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 ที่ได้เป็นการ

93

ตอกย้ำความสัมพันธ์ของอำนาจรัฐส่วนกลางกับชุมชนท้องถิ่นเมืองอุดรธานี ส่งผลการเกิดประเพณี
ประดิษฐ์ของชาวอุดรธานี และเกิดปฏิบัติการช่วงชิงและนิยามความหมายในเขตพื้นที่พิธีกรรม
เกี่ยวกับการบวงสรวงศาลหลักเมือง โดยมีกลุ่มต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อตอบสนองและแสดงตัวตนของ
กลุ่มตน แต่ทว่าการช่วงชิงและนิยามความหมายของกลุ่มต่างๆ ไม่ได้มีผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกันจน
เกิดความขัดแย้ง แต่เปน็ การลงตัวในผลประโยชน์ของกลุ่มตา่ งๆ จึงไมป่ รากฏความขัดแย้งทีร่ ุนแรงจน
นำมาสูก่ ารเบยี ดเบยี นกันในพิธีกรรมบวงสรวงศาลหลักเมืองอดุ รธานดี ังกลา่ วข้างตน้

บรรณานกุ รม
กุลลินี มุทธากลนิ และ อภิโชติ ชมพล. (ม.ป.ป.). อุตสาหกรรมวฒั นธรรมภายใต้ความ

ศรทั ธาจนนำไปสูก่ ารเป็นสนิ คา้ กรณีศกึ ษาการรำหมบู่ วงสรวง. ม.ป.ท.
เติม วภิ าคย์พจนกจิ . (2546). เมอื งอุดรธานี ใน ประวตั ศิ าสตร์อสี าน. หน้า 207 – 219.

พมิ พ์ครงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
นยิ ม วงศ์พงษค์ ำ และ บตุ รดา คนชม. (2560). อิทธพิ ลเชิงชา่ งท่ีมีตอ่ รูปแบบการสร้าง

ศาลหลกั เมอื งในภาคอีสาน. วรสารศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 9 (2).
ประวตั ิมหาดไทยส่วนภมู ภิ าคจังหวดั อุดรธานี. (2528). กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การ

พมิ พ์.
สวรรค์ ตั้งตรงสิทธกิ ลุ และคณะ. (2560). หลกั บ้านหลักเมอื งไทย – ลาวลุม่ นำ้ โขง :

กรณศี กึ ษาพน้ื ท่ศี ลิ ปวัฒนธรรมรว่ มภูมภิ าคของนครหลวงเวียงจนั ทร์และหนองคาย. ม.ป.ท.
สำนักงานจงั หวดั อุดรธานี. (2559). บรรยายสรปุ ปี 2559 จังหวดั อดุ รธานี เมืองแหง่ โอกาส

สำหรับทุกคน The city of opportunity for all. ม.ป.ท.
สำนกั งานวฒั นธรรมจงั หวัดอุดรธานี. (ม.ป.ป.). ประเพณรี ำบวงสรวง กรมหลวงประจักษ์

ศลิ ปาคม [แบบจดั ทำรายการเบอ้ื งตน้ มรดกภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม]. [ออนไลน์]. ได้จาก
https://www.m-culture.go.th/udonthani/ewt_dl_link.php?nid=1089 [สืบค้นเมื่อ
20 พฤษภาคม 2565.

อดีตวันวาน อดุ รธาน.ี ( 26 พฤศจิกายน 2560). ภาพศาลหลักเมืองหรือเจา้ พอ่ หลักเมือง (หลังเดิม)
[Facebook]. สบื คน้ จาก
https://www.facebook.com/921316664572773/posts/1495648383806262/.

อรุณโรจน์ กลน่ิ ฟงุ้ . (2552). หลกั เมือง หลักบ้าน “เสา” พุทธ พราหมณ์ ผี (วิทยานิพนธป์ ริญญา
มหาบณั ฑติ ). กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.

94

สัมภาษณ์
กฤษณา คุณปุระ. (31 พฤษภาคม 2565). สัมภาษณ์. ประธานกอ่ สรา้ งศาลหลักเมืองอดุ รธานี.

ประนอม ล่ำสัน. ( 22 มกราคม 2565). สัมภาษณ.์ เจ้าหน้าทผี่ ู้ดแู ลศาลหลกั เมืองอดุ รธานี.

95

การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอำเภอตาคลจี ังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2507 – 2519

นางสาวอรปรยี า แกว้ ปรีชา 62112832009

บทนํา

อำเภอตาคลีเป็นอำเภอหนึ่งตั้งอยู่ทางใต้สุดของจังหวัดนครสวรรค์ เดิมเป็นเขตท้องท่ี
ของ อําเภอพยุหะคีรีทั้งหมด ก่อนที่จะขอจัดตั้งเป็นกิ่งอําเภอโดยการปกครองบางส่วนออกจาก
อําเภอพยุหะครี ี และยกฐานะเป็นอําเภอในวนั ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2480 ช่ืออําเภอมีที่มาจากลานตีคลี
สถานที่แห่งหน่ึงในบทละครเร่ืองสังข์ทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เป็นอาํ เภอท่มี ปี ระชากรมากท่ีสุดเปน็ อนั ดับ 2 ของจังหวัดนครสวรรค์ รองจากอําเภอเมืองนครสวรรค์
อาํ เภอตาคลตี ง้ั อย่ทู างทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ของจงั หวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง
ดังต่อไปนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับอําเภอพยุหะคีรี และอําเภอตากฟ้าทิศตะวันออก ติดต่อกับอําเภอตาก
ฟ้า อําเภอหนองม่วง และอําเภอบ้านหมี่ (จังหวัดลพบุรี) ทิศใต้ ติดต่อกับอําเภอบ้านหมี่ (จังหวัด
ลพบุร)ี อาํ เภออนิ ทร์บุรี (จังหวดั สิงหบ์ ุรี) และอาํ เภอสรรพยา (จงั หวดั ชัยนาท) ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกับ
อําเภอสรรพยา อาํ เภอเมอื งชยั นาท และอาํ เภอมโนรมย์ (จงั หวัดชัยนาท)1

ในอดีตอำเภอตาคลีมีผู้คนอาศัยอยู่ไม่มาก พื้นที่เป็นที่ราบเชิงเขาล้อมรอบ จนเมื่อถึงสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสร้างรถไฟสายเหนือ ผ่านพื้นที่ของตาคลีในช่วงสมยั
น้ัน ประชาชนจึงได้อพยพมาตงั้ บ้านเรอื นอยู่กันมากขนึ้ โดยประชาชนส่วนใหญแ่ ล้วท่ีอพยพมานั้นเป็น
ช า ว จ ี น ท ี ่ เ ข ้ า ม า ต ั ้ ง ถ ิ ่ น ฐ า น ท ํ า ก า ร ค ้ า ข า ย จ า ก ก า ร ท ี ่ ป ร ะ ช า ช น เ ข ้ า ม า ต ั ้ ง ถ ิ ่ น ฐ า น ม า ก ขึ้ น
กระทรวงมหาดไทยจึงได้ดําเนินการก่อสร้างที่ว่าการกิ่งอําเภอ บริเวณใกล้กับสถานีรถไฟบ้านตาคลี
และย้ายที่ว่าการกิ่งอําเภอมาอยู่บริเวณหลังเขาตาคลี ต่อมาในปีพ.ศ.2480 กระทรวงมหาดไทย
ไดย้ กฐานะขนึ้ เป็นอาํ เภอ

ต่อมาในปีพ.ศ.2495 รัฐบาลได้ตดั ถนนพหลโยธินผา่ นท้องทีข่ องอาํ เภอตาคลี ทาํ ให้อําเภอตาคลี
เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมทั้งทางรถยนต์และทางรถไฟ และเป็นจุดศูนย์กลางทางด้านการค้า
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจ และสังคมในอําเภอตาคลีจะเกิดขึ้น
ในช่วงการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาในอําเภอตาคลี พ.ศ. 2507 โดยก่อนที่ทหารอเมริกาจะเข้ามาตั้งฐาน
ทัพในอําเภอตาคลีนั้น พื้นที่แห่งนี้ถูกก่อตั้งโดยกองทัพญี่ปุ่น ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่สอง
ซึ่งกองกําลังญี่ปุ่นได้มีการติดต่อกับกองทัพอากาศไทยเพื่อหาพื้นที่ในการจัดตั้งฐานทัพ

1 สภาวัฒนธรรมจังหวัดนครสวรรค์, เอกลกั ษณ์ท้องถ่ินอำเภอตาคลีจังหวัดนครสวรรค์,(ม.ป.ท : ม.ป.ป ), หนา้ 19.

96

ในที่สุดได้เลือกของ ตาคลี ในการจัดตั้งสนามบินและดําเนินการสร้างกองบินที่ 4 ภายหลังสงคราม
จึงตกอยู่ในความดูแลของกองทัพอากาศ เนื่องจากว่าที่ตั้งอยู่กึ่งกลางประเทศเหมาะแก่การใช้กําลัง
ทางอากาศ ประกอบกับมีความสะดวกในการคมนาคมทั้งทางบกและทางอากาศ จึงได้พัฒนา
สนามบินตาคลใี หก้ ลายเป็นฐานบนิ หลักของกองทพั อากาศ2

ด้วยความเหมาะสมทางด้านภูมิศาสตรข์ องอำเภอตาคลี เนื่องจากเป็นจุดยทุ ธศาสตร์ที่สาํ คัญ
ที่มีรัศมีปฏิบัติการครอบถึงเป้าหมายในสงครามเวียดนาม ดังนั้นในช่วงพ.ศ. 2507 อําเภอตาคลี
จึงกลายเป็น 1 ใน 8 ของการจัดตั้งฐานทัพของอเมริกาในประเทศไทย โดยกองทัพของอเมริกา
ได้ทํา การจัดตั้งฐานทัพ ในพื้นที่อําเภอ เนื่องจากอเมริกาได้พิจารณาภูมิศาสตร์สนามบินแห่งนี้
พบว่าเป็น หนึ่งในยุทธภูมิที่เหมาะสมในการจัดต้ังฐานทัพ ทหารอเมริกาจึงเข้ามาประจําการท่ีอําเภอ
ตาคลีเป็นจํานวน 1,500 คน และใช้ฐานบินตาคลีเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการขนส่งทางอากาศ
ระหวา่ งไทยกับอเมริกา3

การเข้ามาของทหารอเมริกาทำให้เกิดกิจการด้านการบริการต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น
ร้านอาหาร คลับบาร์ต่าง ๆ รวมถึงกิจการโรงแรมเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนที่เข้ามา
ทํางานในอําเภอตาคลี จากการเกิดขึ้นของกิจการต่าง ๆ ส่งผลให้ประชาชนมีการประกอบอาชีพ
ที่ หลากหลายมากขึ้น เช่น แม่บ้าน ยาม กุ๊ก บาร์เทนเดอร์ สามล้อรับจ้าง และเมียเช่าอาชีพ
ของผู้หญิงบางประเภทที่เรียกว่า “เมียเช่า” อันเป็นที่มาของนวนิยายเรื่อง ผู้หญิงคนนั้นชื่อบุญรอด
ซึ่งอาชีพเมียเช่าก็ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้เป็นจํานวนมากให้กับกลุ่มสตรีที่ต้องการหาเงิน
อําเภอตาคลี ในยุคนี้ถือได้ว่าเป็นยุคที่มีความเฟื่องฟู และเป็นยุคทองของชาวบ้านรวมถึงบรรดากลุ่ม
นายทุนทตี่ อ้ งการแสวงหารายได้ และผลกําไรจากการเขา้ มาของทหารอเมรกิ าอกี หลากหลายกลุ่ม

บทความ เรอ่ื ง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอําเภอตาคลีจังหวดั นครสวรรค์ พ.ศ. 2507
– 2519 ได้รวบรวมวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ เรื่องฐานะทางเศรษฐกิจของนิคมสร้างตนเองตาคลี
จังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ.2508 ของ กัลยา ทีปิรัช วิทยานิพนธ์เรื่องนี้เป็นการอธิบายถึงการมีความมุ่ง
หมายเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของสมาชิกนิคม ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของเกษตรกร
ที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ จากการสํารวจสัมภาษณ์ และค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ทราบถึง
ฐานะ และความเป็นอยขู่ องสมาชกิ นคิ มแห่งน้ีอย่างแท้จรงิ

อำเภอตาคลี ของ รุ่งนภา จําปาแก้ว และศิริลักษณ์ ปิ่นทอง ได้อธิบายเกี่ยวกับอําเภอตาคลี
ว่าคําว่าตาคลี มาจากคําว่า ตีคลี และได้มีตํานานเมืองพระสงฆ์เล่าขานต่อกันมา

2 2 สมพงษอ์ ินทรชติ ,การพัฒนางานซ่อมบํารงุ ระดบั ฝงู บนิ ของฝ่ายการช่างฝงู บนิ 401กองบิน4อำเภอตาคลี จงั หวดั นครสวรรค์, วทิ ยานพิ นธศ์ ิลปะศาสตร์
มหาบณั ฑิต สาขาวชิ ายุทธศาสตรก์ ารพฒั นา มหาวิทยาลยั ราชภัฏเทพ สตรี, 2552, หน้า 10.
3 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครสวรรค์.(ออนไลน)์ ,เขา้ ถึงจาก: https://district.cdd.go.th/takhli/about-us/.เมื่อวนั ท่ี 27 ตลุ าคม 2564

97

ว ่ า ค ร ั ้ ง ห น ึ ่ ง ไ ด ้ ม ี ส ั ง ข ์ ท อ ง ก ั บ พ ร ะ อ ิ น ท ร ์ ไ ด ้ เ ด ิ น ท า ง ไ ป ต ี ค ล ี ก ั น บ น ย อ ด บ น ย อ ด เ ข า ต า ค ลี
และยังอธิบายถึงที่ตั้งและอาณาเขต สภาพทางด้านภูมิประเทศและภูมิอากาศของอําเภอตาคลี
รวมไปถึงการการตง้ั ถนิ่ ฐานของชุมชนอีกดว้ ย

สงครามเวียดนาม : สงครามกับความจริงของรัฐไทย ของ พวงทอง ภวัครพันธ์
ไดท้ ําการอธิบายเก่ียวกับบทบาทสงั คมไทยในสงครามเวียดนาม ช่วงนัน้ ไทยกลวั การขยายคอมมิวนิสต์
อย่างมาก สหรัฐอเมริกาก็กลัวการการไม่ให้ความร่วมมือกับเวียดนามใต้ กลัวว่าเวียดนามเหนือ
จะแผ่อิทธิพลคอมมิวนิสต์เข้าไปในอินโดจีนเลย ทําให้รัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริการ่วมมือกัน
เพื่อป้องกันคอมมิวนิสต์ รัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกาได้ทําการช่วยเหลือกัน โดยฝ่ายไทยช่วยทําการ
ช่วยเหลอื ให้สหรฐั อเมรกิ าเข้ามาตัง้ ฐานทัพที่ไทย ส่วนสหรฐั อเมรกิ านั้นได้ช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจ
ของไทย โดยได้มีการจัดตั้งฐานทัพทางการบินในประเทศไทยจํานวน 8 แห่งซึ่งอําเภอตาคลีเป็นหน่ึง
ในฐานทัพอากาศของหรัฐอเมรกิ าในเวลานนั้ ดว้ ย

จากการทบทวนวรรณกรรมทำให้พบว่าอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีความน่าสนใจใน
พฒั นาการของเมือง และโดยเฉพาะในช่วงการจัดต้งั ฐานทัพอเมรกิ าในชว่ งสงครามเวียดนามที่นํามาสู่
การเปล่ียนแปลงภายในอาํ เภอเป็นอยา่ งมาก บทความ เรื่อง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ของอําเภอ
ตาคลีจังหวัดนครสวรรค์ พ.ศ. 2507 – 2519 มีวัตถุประสงค์การศึกษาเพื่อศึกษาถึงการเปล่ียนแปลง
ทางเศรษฐกจิ ของอำเภอตาคลแี ละผลกระทบจากการเขา้ มาของทหารอเมริกาท่ีมผี ลกระทบต่ออำเภอ
ตาคลีเป็นสำคญั

สภาพเศรษฐกจิ ของตาคลีกอ่ นพ.ศ. 2507

ด้วยพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณข์ องทรัพยากรในอำเภอตาคลี ซึ่งเหมาะแก่การทําการเกษตร
เนื่องจากมีสภาพดินที่ดีสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนคือ ส่วนที่ราบลูกฟูกเหมาะแก่การเพาะปลูก
พืชไร่ ได้แก่ เขตเทศบาลตําบลช่องแค และบางส่วนของตําบลตาคลีส่วนในเขตที่ราบ และที่ราบลุ่ม
บางส่วนส่วนใหญ่อยู่ทางด้านทิศเหนือ ทิศตะวันตก และทิศใต้ ของอําเภอ เขตตําบลหนองโพ
ตําบลหัวหวาย ตําบลหนองหม้อ ตําบลจันเสน ตําบลสร้อยทอง ตําบลพรหมนิมิต ตําบลห้วยหอม
และ ตําบลตาคลี พื้นที่ส่วนนี้อยู่ในเขตชลประทาน เหมาะแก่การทํานาข้าว ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์
โดยพชื เศรษฐกจิ ท่สี าํ คญั ของอําเภอตาคลี ไดแ้ ก่ ข้าว อ้อย ขา้ วโพด ขา้ วฟ่าง งา4

4 สภาวฒั นธรรมจังหวัดนครสวรรค์,เอกลักษณท์ ้องถ่ินอําเภอตาคลจี ังหวัดนครสวรรค์,(ม.ป.ท:ม.ป.ป),หนา้ 8.

98

เศรษฐกิจของอำเภอตาคลีก่อนการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาส่วนใหญ่อยู่บนพื้นฐานทางด้าน
เกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งในขณะนั้นก่อนจะมีการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาในอําเภอตาคลี การคมนาคม
ยังไมค่ อ่ ยสะดวกนัก มเี พียงเส้นทางรถไฟตัดผ่าน จึงยังไม่ใช่ศูนย์รวมในการรับซื้อสินค้า ทําให้ในสมัย
น้ันอาํ เภอตากฟ้ากลายเป็นศูนย์รวมในการรบั ซ้ือสินค้า มพี ่อค้าคนกลางรบั ซื้อสินคา้ มาขาย เนื่องจาก
มีถนนพหลโยธินตัดผ่าน ลพบุรี โคกสําโรง ตากฟ้า จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2495 ทางรัฐบาลได้ตัดถนน
เปน็ ทางผ่านข้นึ ไปทางเหนือ ประกอบกับความสะดวกของการคมนาคมทง้ั ทาง รถยนต์ และทางรถไฟ
จึงทําให้มีประชาชนเข้ามาตั้งถ่ินฐานมากขึ้น ทาํ ใหอ้ ําเภอตาคลีกลายเปน็ ศูนย์ รวมในการรับซ้ือสินค้า
แทนอำเภอตากฟ้า5 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มีการประกอบอาชีพด้าน เกษตรกรรมเป็นหลัก
เชน่ ทาํ สวนผลไม้ นอ้ ยหนา่ ละมุด มะพรา้ ว และการประกอบอาชีพคา้ ขาย

เห็นได้ว่าสภาพเศรษฐกิจในอำเภอตาคลกี ่อนการจัดต้ังฐานทพั อเมริกา ประชาชนส่วนใหญ่
อยู่บนพื้นฐานทางด ้าน เกษตร กรร มเป็ นหลั กเนื ่องด้ วย ควา มเหมา ะสมของ ทรั พยา กรธรร มช า ติ
ประชาชนจึงมีการประกอบอาชพี ด้านเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ภายหลังที่ทหารอเมริกาได้เขา้ มาตัง้
ฐานทัพในอําเภอตาคลี ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ละท้ิง
จากอาชพี เดิมเพ่ือมาทาํ งานใหแ้ กท่ หารอเมรกิ า เนอ่ื งจากไดค้ ่าตอบแทนสูงกวา่ อาชีพเดิม

การเขา้ มาของทหารอเมริกาในตาคลี

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เริ่มมีภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ที่พยายามแทรกซึม
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทําลายความมั่นคงภายในประเทศ ในช่วงที่คอมมิวนิสต์
กําลัง ครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใตด้ ูเหมอื นว่าทฤษฎีโดมิโนกําลังจะเป็นจริง และสหรัฐอเมรกิ า
ซ่ึงเป็นประเทศมหาอํานาจใหมซ่ ง่ึ เป็นผูน้ ําโลกเสรีประชาธปิ ไตย และต้องการที่จะป้องกนั การขยายตัว
ของลัทธิคอมมวิ นสิ ตใ์ นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการแทรกแซงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อรักษาความสมดุลของระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย

สหรัฐอเมริกาเห็นถึงความสำคัญของประเทศไทยในการต่อตา้ นการขยายตัวของคอมมิวนิสต์
เมื่อเวียดนามเหนือยกกองกําลังทหารคอมมิวนิสต์บุกเวียดนามใต้ ซึ่งในขณะน้ันเวียดนามใต้ตกอยู่
ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจทําสงครามกับเวียดนามเหนือ
เพื่อ ยับยั้งการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าสู่ภูมิภาคอินโดจีน นับว่าเป็นการเกิดสงคราม
เวียดนามอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ.2506 สงครามเวียดนามส่งผลให้ตาคลี กลายเป็นอําเภอหน่ึง

5 อ้างแล้ว,หน้า 12ใ

99

ที่มีความสําคัญทางด้านความมั่นคง เนื่องจากว่ารัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และรัฐบาลสมัย
จอมพลถนอม กิตติขจร ต่างก็มีนโยบายให้ความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาในการต่อต้านการขยายตัว
ของคอมมิวนสิ ต์ท่มี กี าํ ลังรุนแรงในภูมิภาคอินโดจนี อยา่ งตอ่ เน่ือง6

การทําสงครามในเวียดนามครั้งนี้ทางสหรัฐอเมริกาได้ขอใช้พื้นที่สนามบินหลายแห่ง
ในประเทศไทย เพื่อใช้ในการเป็นที่พักของกองกําลังทหาร ลําเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นฐานทัพ
เพื่อ โจรกรรมข้อมูลฝ่ายตรงข้าม และเป็นฐานบินเพื่อทิ้งระเบิดในเวียดนาม โดยใช้ท่าอากาศยาน
ของไทย 8 แห่ง ในการเป็นฐานทัพของอเมริกาในสงครามเวียดนาม คือ 1) กองบินขับไล่ลาดตระเวน
ทาง ยุทธวิธีที่ 432 หรือ “ฐานบินอุดรธานี” ตั้งอยู่ในจังหวัดอุดรธานี 2) กองปฏิบัติการพิเศษที่ 56
หรือ “ฐานบินนครพนม” ตั้งอยู่ในจังหวัดนครพนม 3) กองบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 8 หรือ “ฐานบิน
อุบลราชธานี” ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี 4) กองบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 388 หรือ “ฐานบินโคราช”
ตั้งอยู่ในจังหวัดนครราชสีมา 5) กองบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ที่ 307 หรือ “ฐานบิน อู่ ตะเภา”
ตงั้ อยใู่ นจังหวดั ระยอง 6) โรสการเ์ ดน็ หรอื “ฐานบินน้ำพอง” ตัง้ อยูใ่ นจังหวดั ขอนแกน่ 7) กองบิน 6
ของกองทัพอากาศไทย (ฐานบินดอนเมืองในปัจจุบัน) และ 8) กองบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 355
หรือ “ฐาน บนิ ตาคล”ี ตัง้ อย่ใู นจังหวัดนครสวรรค์

อำเภอตาคลีได้กลายเป็น 1 ใน 8 ในการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาที่กองบินที่ 4 กองพลบินที่ 3
โดยเริม่ มกี ารสรา้ งลานบินและบ้านพักทําให้มีแรงงานคนไทยอพยพเข้ามาทาํ งานก่อสร้างราว 10,000
คน7 และทหารอเมริกันได้เริ่มเข้ามาประจําการประมาณ 1,500 คน โดยสนามบินตาคลีแห่งน้ี
มี บทบาทสําคญั ในการใช้กําลังทางอากาศ เป็นหนว่ ยขับไล่ของกองทพั อากาศอเมริกา และสนับสนุน
กําลังทางภาคพื้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งกําลังบํารุง การบินเพื่อทําลายเป้าหมายที่อยู่ในอากาศ
ในการ ปราบปรามการขยายตัวของลทั ธิคอมมวิ นสิ ต์

สภาพทางด้านภูมิศาสตร์และภูมิประเทศที่เหมาะสมของอำเภอตาคลีเป็นที่ราบเชิงเขา
ล้อมรอบ ประกอบกับความเหมาะสมทางด้านยุทธศาสตร์มีที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศความ
สะดวกในการคมนาคมทั้งทางบกและทางรถไฟความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์นี้ อเมริกาจึงมาใช้เป็น
ฐานปฏิบัติการเมื่อปี พ.ศ. 2507 ซึ่งทําให้ในยุคของสงครามเวียดนาม อเมริกาสามารถสานต่อ
โดยใช้ ประโยชน์จากการจัดตั้งสนามบินที่ญี่ปุ่นได้ริเริ่มไว้ในอําเภอตาคลี การแทรกแซงของอเมริกา
ใน สงครามเวียดนามนั้นเป็นเหตุให้ไทยเลือกเป็นพันมิตรอํานวยความสะดวกให้กับอเมริกา

6 พวงทอง รุ่งสวัสดทิ รัพย์ ภวคั รพนั ธ์, สงครามเวียดนาม : สงครามความจริงกบั รฐั ไทย, หน้า 18.
7 อา้ งแล้ว,หน้า 32.

100

โดยให้ความ ร่วมมือในการจัดหาที่ตั้งฐานทัพให้แก่สหรัฐอเมริกาในการต่อต้านการขยายตัว
ของคอมมวิ นิสต์ โดยมี ตาคลีเปน็ 1 ในฐานปฏิบัติการสนับสนุนครง้ั นั้น

ความเปล่ยี นแปลงทางด้านเศรษฐกจิ ในอาํ เภอตาคลี พ.ศ. 2507-2515

หลังจากมีการเข้ามาของกองทัพอเมริกา หรือทหารจีไอนั้นมาพร้อมกับกําลังในการใช้จ่าย
อย่างมาก ทําให้เกิดการอพยพเข้ามาหาอาชีพของคนหลายกลุ่มเพื่อเข้ามาทํางานให้แก่ทหารอเมริกา
ซึ่งเห็นได้จากการเกิดขึ้นของร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารสเต็กลุงหนวด ซึ่งร้านนี้แสดงให้เห็น
ถึงกลุ่มคนคือทหารอเมริกา และร้านลาบพรอีสาน ที่แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองการอพยพเข้ามา
ของคนภาคอีสาน ซึ่งการเปิดบริการของร้านอาหารที่หลากหลายกลุ่มเหล่านี้สามารถแสดงให้เห็นถึง
การตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มคนที่เขา้ มาทํางานในอําเภอตาคลไี ด้ ทั้งนี้การเข้ามาของกลุม่
คนในช่วงการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาทําให้มีการขยายตัวของชุมชนมากขน้ึ มกี ารรวมตัวกันบริเวณหน้า
กองบินตั้งแตบ่ ริเวณถนนพหลโยธินไปจนถึงสะพานเบ่ียง จากเดมิ ทีต่ ัวชุมชนกระจุกตวั อยู่เพียงบริเวณ
ตลาดตาคลเี ปน็ สว่ นใหญ่8

การขยายตัวของจำนวนประชากร

การทำสงครามในเวียดนามครั้งนี้ทางสหรัฐอเมริกาได้ขอใช้พื้นที่สนามบินหลายแห่ง
ใน ประเทศไทย เพื่อใช้ในการเป็นที่พักของกองกําลังทหาร ลําเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ เ ป็นฐานทัพ
เพื่อโจรกรรมข้อมูลฝ่ายตรงข้าม และเป็นฐานบินเพื่อทิ้งระเบิดในเวียดนาม โดยได้เลือกใช้สนามบิน
ตาคลีในการจัดตั้งฐานทัพอเมริกา โดยกําหนดชื่อว่า กองบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 355 ซึ่งการเข้ามา
ของทหารอเมริกาจํานวน 1,500 คน ส่งผลให้เกิดธุรกิจต่าง ๆ ขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของ
กลุ่มคนต่างถิ่นมีการขยายตัวของชุมชน จากการสํารวจพบว่าในปีพ.ศ. 2514 มีจำนวนประชากร
ถึง 113,984 คน9 เราจะเห็นถึงการเพ่ิมข้ึนของจำนวนประชากร และการเกิดขึ้นของธรุ กิจการบริการ
ต่าง ๆ ใน อำเภอตาคลีในช่วงที่มีการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาในอําเภอตาคลี จะเห็นได้ว่าการเข้ามาต้ัง
ฐานทัพของทหารอเมริกา ในอําเภอตาคลีส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชนอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของประชากร และการเกิดขึ้นของธุรกิจการบริการ ล้วนที่จะตอบสนอง
ของกลมุ่ คนทเี่ ข้ามาในอาํ เภอตาคลที ้ังสิ้น

8 วีรประวตั ิ วงศพ์ วั พันธ์ุ, ตาคลี : ขยะสงคราม, สงั คมศาสตรป์ รทิ ัศน์, 10(8), (สงิ หาคม,2515), หน้า 32.
9 อ้างแล้ว,หน้า 45.

101

อาชีพเกดิ ใหม่

ในช่วงที่ทหารอเมริกาได้หลั่งไหลเข้ามาตั้งฐานทัพในอำเภอตาคลีก็มีการเข้ามาของกลุ่มทุน
หลากหลายกลุ่ม เช่น คุณจํานง สายสุวรรณ หรือ เจ๊วินนี่ ได้ทุ่มทุนสร้างหมูบ่ ้านเพื่อให้ทหารอเมริกา
ได้มาเช่า ช่ือหมบู่ ้านวินนี่ ซ่งึ ในชว่ งเวลานน้ั มีรายได้จากการเขา้ มาของทหารอเมรกิ าในการมาเช่าบ้าน
เพื่อพักอาศัยเป็นจํานวนมากภายหลังจากทหารอเมรกิ าได้ถอนทัพก็ได้ปิดตัวลง และถูกปรับปรุงใหม่
หลังกลุ่มทุนรถสามล้อเมื่อเห็นว่าทหารอเมริกาเข้ามาในอําเภอตาคลี จึงได้มีการบรรทุกรถสามล้อ
เขา้ มาในอําเภอตาคลีเปน็ จาํ นวนหลายรอ้ ยคันเพ่ือให้เช่าในราคาวนั ละ 10 บาท10

ข้อมูลจากตํานานสามล้อคันสุดท้ายในอำเภอตาคลี จ.นครสวรรค์ ของนายสุนทร
ว่อง ธัญญากร มีชื่อเล่นว่าลุงพึง อายุ 79 ปี ได้ประกอบอาชีพถีบสามล้อมานานกว่า 50 ปี
อยู่ในเขตพื้นที่ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ลุงพึงได้เล่าว่าตนเองนั้นถีบสามล้อมาตั้งแต่อายุ 15 ปี
มีลูก 4 คน ลูก 3 คนมี ครอบครัวแยกย้ายกันไปอยู่ จึงอาศัยอยู่กับลูกอีกคนที่บ้าน ได้ขี่สามล้อเลี้ยง
ชีพมาตั้งแต่สมัยฝรั่งยังไม่เข้ามาอยู่ที่ตาคลี ได้เที่ยวละ 1-2 บาท จะถีบไปส่งที่ว่าการอําเภอ
โรงพยาบาล ตลาดศรีเทพ ตลาด บนวงเวียน หากมีลูกค้าเยอะวันหนึ่งได้มากถึง 200-300 บาท
เพราะเมื่อก่อนมีประจําทางน้อยคัน ถือว่าอาชีพถีบสามล้อสามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ดี
ในช่วงเวลานั้น พอเวลาต่อมาในสมัยที่ฝรั่งเข้ามาอยู่ ในอําเภอตาคลีอาชีพถีบสามล้อ ก็เริ่มมีจํานวน
เพิ่มขึน้ เพราะฝรัง่ จา่ ยเป็นเงนิ ดอลลาร์

สามล้อในยุคนั้นบางคนถึงกับไม่ค่อยรับลูกค้าที่เป็นชาวตลาด จะรับแต่พวกฝรั่งจีไออย่าง
เดียวเมื่อรับฝรั่งไปส่งถึงจุดหมาย ฝรั่งก็ถามว่า How many (เท่าไร) สามล้อก็ชูสองนิ้ว (หมายถึง 2
บาท แต่ฝรั่งจ่าย 2 ดอลลาร์) และมายุคฝรั่งสุดท้ายฝรั่งจีไอย้ายมาจากโคราช สามล้อตาคลีขี่รับฝร่ัง
เช่นเคย ฝรั่งเที่ยวน้ีไม่เหมือนทุกรุ่น เพราะฝรั่งชุดนี้พูดไทยได้ ถามว่าเท่าไร พอสามล้อชู 2 น้ิว
ฝรั่งก็จ่าย 2 บาท เป็นเรื่องราวในอดีตของสามล้อตาคลีที่ผ่านมา ช่วงที่ฝรั่งเข้ามาอยู่ที่ตาคลี
ลุงพึง บอกเป็นช่วงที่มีรายได้ดีมากแต่มาปัจจุบันอาชีพถีบสามล้อนับวันจะหมดไป เพราะคนถีบสาม
ล้อรุ่นเก่าๆ ล้มหายตายจากกันไปหลายคน ประกอบสมัยนี้มีรถยนต์ รถจักรยานยนต์ส่วนตัวกันมาก
ขึ้น ทําให้อาชีพถีบสามล้อหายไปเกือบหมดจนเหลือตนอยู่คันเดียว แต่ก็ทนถีบสามล้อไปรับส่งลูกค้า
ได้เที่ยวละ 20 บาท แต่ก็ไม่ค่อยมีลูกค้ามาใช้บริการเท่าไร บางวันได้วันละ 100-200 บาท
ในเวลาต่อมาจึงยอม ปลดเกษียณอาชีพสามล้อและร่างกายของลุงพึงไม่ค่อยไหว ปวดเข่า
เพราะมีอายุมากขน้ึ เลยต้องหยดุ อาชพี สามล้อและได้ไปใช้ชีวิตกบั ครอบครวั 11

10 อ้างแล้ว,หน้า 46.
11 ไทยรัฐออนไลน์, ปิดตํานาน "สามลอ้ ลุงพึง" คนั สุดท้ายในตาคลี จากยุคทองสวู่ ันไร้ลูกคา้ , เขา้ ถึงจาก : https://www.thairath.co.th/news/local/1925581
เมอ่ื วันที่ 27 ตุลาคม 2564

102

มีการเกิดร้านอาหารขึ้นมากมายเช่นร้านสเต็กลุงหนวด ซึ่งเดิมเจ้าของร้าน
เป็นกุ๊กอยู่ในค่าย ทหารอเมริกาในอําเภอตาคลี อีกทั้งร้านข้าวต้มมานิตย์ ร้านลาบพรอีสาน ถือได้ว่า
เป็นร้านที่เป็นที่ นิยมมากในช่วงเวลานั้น ตั้งอยู่บริเวณหน้าอําเภอตาคลี การเกิดขึ้นของร้านลาบ
พรอีสาน สะท้อนให้เห็นถึงการเข้ามาของกลุ่มคนอีสานที่เข้ามาทํางานในอําเภอตาคลี ซึ่งการเกิดขึ้น
ของร้านอาหารเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงการตอบสนองความต้องการของกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาทํางาน
ในอาํ เภอตาคลีในช่วงเวลาการจัดต้ังฐานทพั อากาศของอเมริกา

นอกจากนีย้ งั มีธรุ กจิ การบริการ เช่น รา้ น Frontier เป็นร้านอาบอบนวด ถือได้วา่ ไดร้ ับความ
นิยมมากในช่วงเวลานั้น นอกจากนั้นยังมีการเกิดขึ้นของกิจการสถานบันเทิงอีกมากมาย อาทิ
ร้าน Takhlivilla ร้านนี้ด้านหน้าจะเป็นสถานเริงรมย์ ส่วนด้านหลังจะเป็นบ้านเช่า และร้าน Suzies
ร้าน Welcome รวมถึงร้าน Starlight ที่เป็นสถานเริงรมย์ ตลอดจนบาร์ที่ถือได้ว่าเป็นภาพสะท้อน
ถึงกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาในอําเภอตาคลีได้ดีอีกแห่งหนึ่ง คือ บาร์บลูสกาย12 ร้านรุ่งฤดีบาร์
รา้ นบารบ์ ้านไรส่ ภุ ารส ร้านอาหารบวั หลวง และโรงหนงั ทีเ่ กิดข้ึนในชว่ งเวลาการจัดตั้งฐานทัพอเมริกา
เพิ่มอีก 4 ที่คือโรงหนังรุ่งนภา โรงหนังวัฒนา โรงหนังตาคลีราม่า และไม่ทราบชื่ออีกหนึ่ งที่
จากเดิมโรงหนังในอาํ เภอตาคลี 1 ท่ี คอื โรงหนงั ศรเี ทพ ดงั นน้ั ในชว่ งเวลานี้อาํ เภอตาคลีมีโรงหนังรวม
ทั้งสิ้น 5 โรงด้วยกัน ได้แก่ โรงหนังรุ่งนภา โรงหนังวัฒนา โรงหนังตาคลีราม่า โรงหนังศรีเทพ
และไมท่ ราบชอ่ื อีกหนึ่ง โรงหนังท้งั 5 นี้ ถอื ไดว้ ่าเปน็ ทนี่ ยิ มมากในช่วงท่ีทหารอเมริกาได้เข้ามาต้ังฐาน
ทัพในอำเภอตาคลี13

นอกจากนั้นยังมีการเกิดขึน้ ของกิจการโรงแรม อันได้แก่ โรงแรมฉัตรชัย โรงแรมมิตรสัมพนั ธ์
ทั้งนี้การเกิดขึ้นของกลุ่มธุรกิจบริการสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในอําเภอตาคลี
ช่วงที่ทหารอเมริกาได้เข้ามาจัดตั้งฐานทพั การเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของทหารอเมริกา
จะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของธุรกิจบริการต่าง ๆ ส่งผลให้ชาวตาคลีมีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย
และยังอธิบายความเฟื่องฟูทางเศรษฐกิจและสังคมของอําเภอตาคลี ในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี
อกี ด้วย14

จากธุรกิจบริการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ประชาชนมีการประกอบอาชีพที่หลากหลาย
อัน ได้แก่ แม่บ้าน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนภาคอีสานและภาคเหนือมีทั้งกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุ
ที่อพยพเข้ามาทํางาน โดยจะเข้าไปทําความสะอาด ซักผ้า ในที่พักของทหารอเมริกา

12 วรี ประวัติ วงศ์พวั พันธ์ุ, ตาคลี : ขยะสงคราม, สังคมศาสตร์ปรทิ ัศน์, 10(8), (สิงหาคม,2515), หน้า 49-50.
13 อา้ งแลว้ ,หน้าเดียวกัน
14 อา้ งแลว้ ,หน้าเดียวกนั

103

โดยทหารอเมริกา เรียกที่พัก นี้ว่า Hood ได้รับเงินเดือน ๆ ละประมาณ 6,000-8,000 บาท15
สว่ นกกุ๊ บาเทนเดอรส์ ว่ นใหญจ่ ะเป็นชาวตาคลีทีเ่ ข้าไปทํางาน มที ้งั ผหู้ ญิง และผชู้ าย ไดร้ บั เงินเดอื น ๆ
ละประมาณ 3,000-4,000 บาท และนอกจากนั้นอาชีพที่ถือได้ว่าสร้างรายได้ให้แก่ชาวบา้ นมากที่สุด
คือ สามล้อถีบ โดยอาชีพสามล้อถีบส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณหน้าสถานเริงรมย์ และบริเวณตลาดตาคลี
ซึ่งให้การบริการแก่กลุ่ม ทหารอเมริกา และประชาชนที่เข้าไปทํางานตามแหล่งสถานเริงรมย์
ทันทีที่ได้ข่าวการมาของทหารอเมริกา นายทุนกิจการสามล้อได้ขนสามล้อใส่รถบรรทุกมาตาคลี
หลายร้อยคัน เพื่อให้เช่าในอัตราวันละ 10 บาท ปรากฏว่ามีชาวบ้านหันมาทําอาชีพนี้จํานวนมาก
รายไดเ้ ฉล่ยี จะตกวันละ 20-30 บาท16

อาชีพของ “เมียเชา่ ” อาชพี นกี้ ส็ ร้างรายไดเ้ ปน็ จาํ นวนมาก และเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยม
ในกลุ่มผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ประกอบอาชีพนี้จะเป็นสาวหม้าย โดยผู้หญิงที่จะเข้าไปทํางาน
หากินในบาร์จะต้องมีบัตรสีชมพู ที่เรียกว่า วี.ดี.การ์ด ที่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงเหล่านี้ได้รับการตรวจ
รักษาโรคมาแล้วทุกอาทิตย์ หากผู้หญิงคนไหนเกิดเป็นโรคขึ้นมาจะถูกยึดบัตร วี.ดี.การ์ด ทันที
และต้องหยุดพักรักษาตัวจนกว่าจะหาย ในการทําบัตร วี.ดี.การ์ด จะต้องเสียเงินรายละ 50 บาท17
นอกจากบัตร ว.ี ด.ี การด์ แล้วจะต้องมีบัตรสีฟ้า ซงึ่ เป็นบตั รข้ึนทะเบียนประวตั ิทตี่ ํารวจออกให้อีกด้วย
ในส่วนของรายได้ผู้หญิงที่มาทําตามบาร์จะแบ่งคนละครึ่งกับบาร์ เช่น ค่าเครื่องดื่ม 20 บาท
ก็จะได้แบ่ง 10 บาท ค่าชั่วโมงนวด 60 บาท ก็จะได้แบ่ง 30 บาท คืน ๆ หนึ่ง ผู้หญิงเหล่าน้ี
จะมี รายได้ประมาณ 150 – 500 บาท รายได้เฉลี่ยตอ่ เดือน 3,000-5,000 บาท นอกจากน้ยี งั มีบริษัท
ใหญ่ ๆ หลายบริษัทเข้าไปดําเนินกิจการรับเหมาในด้านการขนส่งให้กับทหารอเมริกัน เช่น บริษัท
ทราน เอเชีย ตลอดจนกระทั่งบริษัทรับเหมาเทขยะของทหารอเมริกัน แทบไม่น่าเชื่อว่า
บริษัทรับเหมาเทขยะนี้มีรายได้เป็นจํานวนมหาศาล โดยที่บริษัทนี้มีหน้าที่เพียงกําจัดขยะให้หมดไป
เทา่ นัน้ เอง18

การที่สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาต้ังฐานทัพในอำเภอตาคลีนั้น แม้ว่าชาวบ้านจะไม่ค่อยยินดีมาก
นัก ยกเว้นพ่อค้า และคนที่เข้าไปทํางานหาเงิน แต่สิ่งหนึ่งที่หน้าสะดุดใจก็คือความเปลี่ยนแปลง
อย่างเห็นได้ชัดของสังคมเดิม และสังคมใหม่ที่เกิดขึ้น สังคมเดิมของตาคลีคือชนบทที่เงียบสงบ
ประชาชน ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน มีอาชีพในการทํานา ทําไร่ แต่วันหนึ่งเมื่อทหารอเมริกาหลั่งไหล
เข้ามา มีการเกิดขึ้นของบาร์ และธุรกิจการบริการต่าง ๆ ชาวบ้านจํานวนมากละทิ้งอาชีพดั้งเดิม

15 อา้ งแลว้ ,หน้าเดียวกัน
16 อา้ งแลว้ ,หน้าเดยี วกนั
17 อ้างแลว้ ,หน้าเดยี วกัน
18 รงั สรรค์ ธนะพรพนั ธ.ุ์ (2516, พฤษภาคม). การถอนฐานทพั อเมริกานกับเศรษฐกิจไทย. สังคมศาสตร์ปริทศั น์, 11(5),หน้าท2ี่ 2.

104

ของตนเข้าไปสมัครงาน เนื่องจากมีรายได้ที่ดีกว่า การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้น เพราะหาเงินได้ง่าย
โดยเฉพาะนายทนุ ถือวา่ ไดร้ บั ผลประโยชน์มากจากการเขา้ มาของทหารอเมริกา

ภายหลังที่ทหารอเมริกาได้ถอนทัพออกจากประเทศไทยรวมถึงถอนทัพออกจากอำเภอตา
คลี ส่งผลให้ประชาชนในอําเภอตาคลีมีรายได้ลดลง เศรษฐกิจเริ่มซบเซาลง ธุรกิจบริการต่าง ๆ
ประสบปัญหาขาดทุน และในที่สุดต้องปิดกิจการลง นอกจากจะส่งผลกระด้านเศรษฐกิจแล้ว
ปัญหาด้านสังคมตามมาคือ ปัญหาของลูกเช่าที่เกิดจากกรณีเมียเช่า19 ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ
และสังคมในอําเภอตาคลีภายหลังการถอนฐานทัพของอเมริกา นับว่าได้นําความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
มาสอู่ าํ เภอตาคลอี ยา่ งมาก

ผลกระทบจากการถอนกาํ ลังของทหารอเมรกิ าต่อเศรษฐกิจตาคลี

การถอนฐานทัพอเมริกาออกจากสนามบินตาคลสี ่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ และสังคมต่อ
อำเภอตาคลีเป็นอย่างมาก หลงั จากสหรฐั อเมริกาถอนกําลงั เมื่อพุทธศักราช 2519 สง่ ผลให้ประชาชน
มีรายได้ลดลงรวมไปถึงกิจการบันเทิง และธุรกิจการบริการประสบปัญหาขาดทุน และปิดตัวลง
ซ่ึงบรรดานายทนุ ตา่ งก็คาดหวังจะแสวงหากําไรจากทหารอเมรกิ า มเี ล่มหน่งึ วิทยานิพนธ์เรื่อง กิจการ
สถานบนั เทงิ ในกรงุ เทพมหานคร พ.ศ. 2488-2545 ทเ่ี ขียนโดยยุวรี โชคสวนทรัพย์ ได้อธบิ ายถึงความ
เปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกจิ หลังจากการถอนฐานทัพของอเมรกิ าในอําเภอตาคลี ดงั นี้

“ ผูท้ ี่เดอื ดร้อนและกระทบกระเทือนจากการถอนทหารน้ีคือ นายทหารช้นั ประทวนยศอย่าง
สูงถึงจ่า ซึ่งไปเช่าซื้อผ่อนส่งรถเก๋งมาทําแท็กซี่ขับรับจี.ไอ.จากแคมป์เข้ามาตลาดเที่ยวละ 1
ดอลล่าร์ เมื่อจีไอถอนตัวไป การหากินก็ลําบากค่าซื้อรถก็ยังผ่อนไม่หมดจึงเป็นเรื่องหนักใจ
กันมาก อาจถูกยึดรถคืนก็ได้ รถที่นายชั้นประทวนซื้อผ่อนมาวิ่งหากินที่ตาคลีมีทั้งหมด 40
คัน สําหรับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำซึ่งเคยเฟื่องฟูผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ฝืดมากบรรดา
พ่อค้าที่ลงทุนสร้างบาร์ไนต์คลับรับจี.ไอ. ต่างได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน เช่น บาร์ฟ็อก
ของ นายวิชยั แซต่ ้งั ลงทนุ 280,000 บาท บอกหมดตัวไม่รู้จะทาํ ยงั ไง บาร์แพนเอมของนาย
มะยม เอย่ี มรอด ลงทนุ ไปประมาณ 1 ล้านบาท ยงั ปิดอยู่ บาร์ชิคาโกข้ องนายศรีชา ตาฆวัฒน์
ลงทุนไป 400,000 บาท เมื่อจีไอถอนทหารออกต้องทุบทิ้งกลับไปทําพืชไร่แต่รอดตัว
เพราะไร่ยงั มี ราคาดี บาร์กรังปรีซ์ก็ทุบทง้ิ ไปแล้ว”20

19 อ้างแล้ว,หน้า51
20 ยวรุ ี โชคสวนทรัพย.์ (2554).กจิ การสถานบนั เทงิ ในกรุงเทพมหานครพ.ศ.2488–2545.วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาอักษรศาสตร์มหาบณั ฑติ สาขาวิชําประวตศิ าสตร์
ศึกษามหาวทิ ยาลัยศิลปากร. หน้า 96.

105

จากประโยคทย่ี กมาข้างต้นเราจะเหน็ ว่าการลงทุนกับทหาร จี.ไอ. นนั้ มคี วามผลตอบแทนสูง
แต่เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนทัพออกไปจากอําเภอตาคลีก็ทําให้เศรษฐกิจของอําเภอตาคลีเปลี่ยนแปลง
อย่างมากเช่นกัน นอกจากปัญหาทางด้านเศรษฐกิจปัญหาที่ตามมาอีกประการหนึ่งคือปัญหา
ด้านสงั คมกรณขี องเมียเชา่ ซึง่ กลายมาเป็นปัญหาทางสงั คมภายในอําเภอตาคลีอีกด้วย21

ในด้านสังคมภายหลังการถอนฐานทัพของอเมริกาจากอำเภอตาคลี สภาพทางสังคม
ภายในอําเภอตาคลีได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย สถานเริงรมย์ต่างปิดกิจการลง เศรษฐกิจที่ดีก็เร่ิม
ถดถอยลง การปรับตวั เขา้ สูส่ ภาพสังคมเดิมทําได้ยาก เพราะความเคยชินในอดตี ท่ผี า่ นมา ส่งผลให้เกิด
ปญั หา ตา่ ง ๆ ตามมา อาทิเช่น ปัญหาของการว่างงาน ผู้คนส่วนใหญท่ ่เี คยทํางานให้แก่ทหารอเมริกา
สว่ นใหญม่ าจากผู้ท่ีประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซ่ึงเข้ามาทาํ งานให้แก่ทหารอเมริกา และปรากฏว่าได้
ค่าตอบแทนสูง หลังจากที่อเมริกาถอนกําลังผู้คนเหล่านี้บางส่วนก็ไม่สามารถกลับไปประกอบอาชีพ
เดิมได้ ส่วนสตรีบางประเภทที่ประกอบอาชีพเมียเช่า แม้บางส่วนจะมีโอกาสได้ไปประกอบอาชีพ
บริการด้านอื่น ๆ แต่บางส่วนก็ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ เนื่องจากไม่มีความรู้ที่จะนําไป
ประกอบอาชีพ และปัญหาที่สําคัญอีกประการหนึ่งคือ ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน หรือเรียกว่า ลูกเช่า
ที่เกิดจากพ่อ และแม่ที่ไม่ได้แต่งงานกัน เมื่อพ่อที่เป็นชาวอเมริกากลับประเทศ และไม่ส่งค่าเลี้ยงดู
มาให้ จงึ เปน็ ภาระของฝา่ ยหญิงซ่ึงมีฐานะยากจน เดก็ เหลา่ นจ้ี ึงไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาเพื่อท่ีจะนํา
ความรู้ไปประกอบอาชีพได้

ลูกเช่าที่อำเภอตาคลีนี้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 คน ในช่วงวัยเด็กเป็นปัญหาภายในสังคม
ของอําเภอตาคลีมาก ทั้งนเี้ พราะครอบครวั ยากจนเป็นสว่ นใหญ่ และเข้ากบั เดก็ อื่น ๆ ไม่ได้ ทําให้เป็น
บุคคลที่สังคมรังเกียจ และมองว่าเป็นเด็กเกเร โดยเฉพาะเด็กลูกครึ่งผิวดํา ซึ่งปัญหานี้ได้นําไปสู่
การก่อตง้ั มลู นิธิเพื่อช่วยเหลือเด็กลูกครึ่ง คอื มลู นธิ เิ พิร์ล เอส บัค กอ่ ต้งั โดย เพิรล์ เอส บัค (Pearl S.
Buck) นักประพันธ์รางวัลโนเบล ชาวอเมริกัน เมื่อพ.ศ. 2507 มีสํานักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฟิลาเดเฟีย
มลรัฐเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา และได้ก่อตั้งสาขาในประเทศไทยเมื่อปีพ.ศ. 2511 จํานวน 7 แห่ง
คือ กรุงเทพมหานคร, อุดรธานี, โคราช, อุบลราชธานี, สัตหีบ, นครพนม และตาคลี โดยให้ความ
ช่วยเหลอื แกเ่ ด็กลกู ครึ่ง ไทย-อเมรกิ ัน ตามปณธิ านของเพิรล์ เอส บคั 22

จากการที่ทหารอเมริกาถอนทัพออกจากสนามบินตาคลีจะเห็นได้ว่าส่งผลกระทบ
ต่อการ เปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมภายในอําเภอตาคลีอย่างมาก กลุ่มนายทุนประสบ
ปัญหา ขาดทุนโดยเห็นได้จากการทยอยปิดกิจการลงของสถานเริงรมย์ต่าง ๆ และกิจการบ้านเช่า
ดังตัวอย่างของหมู่บ้านวินนี่ ภายหลังที่ทหารถอนกําลังออกไป นายทุนไม่มีทุนหรือรายได้ไม่คุ้มกับท่ี

21 รงั สรรค์ ธนะพรพนั ธ์ุ. (2516, พฤษภาคม). การถอนฐานทพั อเมรกิ ันกบั เศรษฐกิจไทย. สังคมศาสตรป์ รทิ ศั น์, 11 (5), 11.
22 ฉลองรัฐ เพช็ รไพฑรู ย์, ประวตั ศาสตรก์ องบิน 4, แผนกธรุ การกองบังคับการกองบนิ 4 กองบนิ ท่ี 4กองพลบินที่ 3, (2558), หน้า 4.

106

ลงทุน จงึ ได้ถกู ธนาคารยึดกิจการ นอกจากนัน้ เกิดการว่างงานของประชากรบางสว่ นก็ได้มีการย้ายถ่ิน
ฐานกลับภูมิลําเนาเดิม กลับไปประกอบอาชีพเดิมของตน นอกจากจะส่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ
แลว้ ยังส่งผลกระทบในด้านสงั คมก็คือปัญหาของลูกเช่าซ่ึงในชว่ งเวลานั้นลูกเชา่ จะไม่ได้รับการยอมรับ
จากสงั คมเด็กเหลา่ นี้ถูกทอดทง้ิ จากมารดา

สรุป

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เริ่มมีภัยคุกคามจากมิวนิสต์เกิดขึ้น สหรัฐอเมริกา
เป็น ประเทศมหาอํานาจทางเสรีประชาธิปไตยและต้องการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
เอเชีย ตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อแทรกแซงรักษาสมดุลของระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เมื่อปี พ.ศ. 2506 นับว่าเป็นการเกิดสงครามเวียดนามอย่างเป็นทางการ และสงครามเวียดนาม
ส่งผลใหต้ าคลี กลายเป็นเมืองท่ีมคี วามเจริญทางดา้ นเศรษฐกจิ

การทำสงครามเวียดนามครั้งนี้ทางสหรัฐอเมริกาได้ทำการขอใช้พื้นที่สนามบินหลายแห่ง
ในประเทศไทย และอําเภอตาคลีได้กลายเป็น 1 ใน 8 ในการจัดตั้งฐานทัพอเมริกาที่กองบินที่ 4
กองพล บนิ ที่ 3 โดยเร่มิ มกี ารสร้างลานบนิ และบ้านพักเม่อื ปี พ.ศ. 2507

จากการเข้ามาของทหารอเมริกาส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ
ทำให้ เศรษฐกิจของอำเภอตาคลีมคี วามเจริญเติบโตมากขนึ้ เดิมทีแต่กอ่ นรูปแบบเศรษฐกิจอยู่บนฐาน
เกษตรกรรม พอกลุ่มทหารอเมริกาเข้ามาตั้งถิ่นฐานการทําสงครามเลยเกิดอาชีพใหม่ ๆ เกิดข้ึน
ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คลับบาร์ต่าง ๆ กิจการเหล่านี่ส่งผลต่อประชาชน ทําให้มีการประกอบอาชีพ
มีความหลากหลายมากขึ้น แต่เมื่อกลุ่มทหารอเมริกาได้ถอนกําลังกับประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2519
เศรษฐกิจใน อาํ เภอตาคลกี ็ซบเซาลง คลบั บารร์ ้าง ไม่มีผู้คน ไมม่ ีนกั ทอ่ งเทีย่ วบ้างคนกลบั ไปภูมิลําเนา
เดิมของตน เพราะอยทู่ ่ีอาํ เภอตาคลีกไ็ ม่มรี ายได้ รายได้ลดลง ซึง่ สง่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของอําเภอ
ตาคลีเปน็ อยา่ งมากเลยทีเดียว

ในปัจจุบันตาคลีคงเหลือไว้แต่เพียงร่องรอยของการจัดตั้งฐานทัพของอเมริกาในภาพ
ของการ คงอยู่ของฐานปฏิบัติการกองบินที่ 4 กองพลบินที่ 3 สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สูญสลายไปตาม
กาลเวลา คงมีเพียงเรื่องเล่าแต่หนหลังจากรุ่นสูร่ ุ่นที่ถ่ายทอดถึงความรุง่ เรืองทางเศรษฐกิจทีค่ รั้งหน่ึง
ถูกกลา่ วขานในฐานะฐานปฏิบัติการทางอากาศของฐานทัพอเมรกิ าในยุคสงครามเย็น

107

บรรณานกุ รม
สมพงษ์ อนิ ทรชิต, การพัฒนางานซอ่ มบํารุงระดับฝูงบินของฝา่ ยการชา่ งฝูงบนิ 401 กองบิน 4 อําเภอ

ตาคลี จงั หวัดนครสวรรค์, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชายุทธศาสตร์ การ
พฒั นามหาวิทยาลัย ราชภัฏเทพสตรี,2552
พวงทอง รุง่ สวสั ดิทรัพย์ ภวคั รพันธ,์ สงครามเวียดนาม : สงครามความจรงิ กบั รฐั ไทย,
(กรงุ เทพมหานคร : โครงการจัดพิมพค์ บไฟ, 2549)
สภาวฒั นธรรมจังหวดั นครสวรรค์, เอกลกั ษณ์ทอ้ งถ่ิน อาํ เภอตาคลจี งั หวดั นครสวรรค์, (ม.ป.ท :
ม.ป.ป )
วีรประวัติ วงศพ์ ัวพนั ธ,์ุ ตาคลี : ขยะสงคราม, สงั คมศาสตรป์ รทิ ศั น์, 10(8), (สิงหาคม,2515)
ยวุ รี โชคสวนทรพั ย.์ (2554). กจิ การสถานบนั เทงิ ในกรงุ เทพมหานคร พ.ศ. 2488 – 2545.
วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบณั ฑิต สาขาวิชาประวตั ิศาสตร์ศึกษา มหาวทิ ยาลยั
ศลิ ปากร.
รังสรรค์ ธนะพรพนั ธ์ุ. (2516, พฤษภาคม). การถอนฐานทพั อเมรกิ นั กบั เศรษฐกจิ ไทย. สงั คมศาสตร์
ปรทิ ัศน์, 11 (5),
ฉลองรฐั เพช็ รไพฑูรย์, ประวตั ศิ าสตร์กองบิน 4, แผนกธุรการกองบงั คบั การกองบนิ 4 กองบนิ ท่ี 4
กองพลบนิ ท่ี 3, (2558),
ไทยรัฐออนไลน,์ ปิดตาํ นาน "สามล้อลงุ พงึ " คันสดุ ท้ายในตาคลี จากยุคทองสวู่ นั ไร้ลูกคา้ , เขา้ ถึงจาก :
https://www.thairath.co.th/news/local/1925581 เมือ่ วนั ท่ี 27 ตุลาคม 2564

108

ตรอกโรงยาจากซอยคา้ ฝิน่ สถู่ นนคนเดิน

วรวลัญช์ แกว้ โต, ณัฏฐิรา กาญจนศิลป์

สาขาประวตั ศิ าสตร์ คณะมนษุ ยฃ์ ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค์

บทคัดย่อ
ถนนคนเดินตรอกโรงยาเป็นตลาดวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด
อุทัยธานี เพราะบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวอุทัยธานีผ่านการค้า และสินค้าต่าง ๆ มากมาย
และยังแสดงให้เห็นบทบาทของพ่อค้าชาวจีน การมีอยู่ของโรงยาฝิ่น และการเปลี่ยนแปลงของวิถี
การคา้ ของอทุ ยั ธานอี ีกด้วย

คำสำคัญ: อทุ ัยธานี ถนนคนเดนิ โรงยาฝนิ่

1. บทนำ
จังหวัดอุทัยธานีตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภาคกลาง มีลักษณะเป็นเมืองปิด เนื่องจากไม่อยู่

บนเสน้ ทางสายหลกั จึงไม่ใชท่ างผา่ นท่ีผคู้ นจะแวะเข้ามาเพือ่ ท่องเท่ยี ว อทุ ยั ธานจี งึ เป็นสถานทส่ี ำหรับ
ผู้ที่ตั้งใจมาจริง ๆ จังหวัดจึงมีนโยบายพัฒนาให้เป็นจังหวัดท่องเที่ยวเนื่องจากอุทัยธานี
มสี ถานทีท่ ่องเที่ยวหลากหลาย ไม่วา่ จะเป็นวัด ตลาด และสถานท่ีท่องเท่ียวทางธรรมชาติ เปน็ ต้น

สถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมมาก เช่น หุบป่าตาด วัดจันทราราม (วัดท่าซุง) แก่นมะกรูด
ตลาดสะแกกรัง อีกทั้งยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง หลวงพ่อพุทธมงคล
วัดสังกัสรัตนคีรี หลวงปูเ่ คลือบ วัดหนองกระดี่ เป็นต้น นอกจากนี้อุทัยธานยี ังมีประเพณที ี่สำคัญและ
มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากคือ ประเพณีตักบาตรเทโว ซึ่งจะจัดขึ้นหลังจากวันออกพรรษา 1 วัน
ซึ่งในวันนั้นจะมีการจัดโต๊ะหมู่งาช้างซึ่งเป็นการเชิญชวนนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูป และยังมีการ
เดนิ ขบวนของแตล่ ะอำเภอในงานตักบาตรเทโวอีกด้วย

ถนนคนเดินตรอกโรงยา จัดได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดอุทัยธานี
เพราะเป็นตลาดอนุรักษ์วัฒนธรรมที่สำคัญ เปิดถนนคนเดินในวันเสาร์ ชาวบ้านจะเปิดบ้าน
เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังมีสินค้าที่เป็นของเด่นดั้งเดิมของชุมชนจำหน่าย ทั้งอาหารท้องถ่ิน
สินค้าพื้นเมือง จนถึงสินค้าทำมือของผู้ค้ารุ่นใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์แปลกใหม่
สว่ นตรอกโรงยาซ่ึงเป็นที่ต้ังของถนนคนเดนิ ก็สามารถเที่ยวชมได้ทุกวัน นกั ท่องเท่ียวจะได้เห็นวิถีชีวิต
ของชาวบ้านในชุมชน พร้อมชมรา้ นค้าเก่าแก่ท่ียงั คงเปิดใหบ้ ริการมาจนถึงปัจจบุ ันไดอ้ ีกด้วย (นพรัตน์
ทรงสายขลชัย, 2563) ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องราวของจังหวัดอุทัยธานีก็สามารถศึกษาเรื่องราวผ่าน
ตลาดถนนคนเดินได้ เพราะก่อนที่จะเป็นถนนคนเดินตรอกโรงยา สถานที่แห่งนี้ในสมัยก่อนเคยเป็น
ตรอกโรงยาฝ่ินของชาวจีนมาก่อน เน่ืองจากอุทัยธานเี คยเป็นตลาดค้าขา้ วทส่ี ำคัญ มแี มน่ ำ้ เปน็ เสน้ ทาง
คมนาคมสายหลักจึงทำให้มีคนจีนเข้ามาค้าข้าวมากมาย นอกจากคนจีนจะเอาข้าวมาขายแล้ว
ยงั มกี ารนำฝิ่นเขา้ มาขายใหก้ บั คนอทุ ยั เลยทำให้ตรอกแห่งหนงึ่ ในตอนนัน้ กลายเป็นโรงยาฝิ่นนน่ั เอง

109

2. อุทัยธานใี นฐานะเมอื งทา่ ค้าขา้ ว
อทุ ยั ธานใี นอดตี ตง้ั อยู่ที่ตำบลอทุ ยั เก่า ปัจจุบนั อยใู่ นอำเภอหนองฉาง เม่ือการค้าข้าวภายหลัง

สนธิสัญญาเบาว์ริงเติบโตขึ้นอย่างมาก ชาวจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อมาเป็นพ่อค้าข้าว
โดยตั้งชุมชนบริเวณบ้านสะแกกรัง ริมแม่น้ำสะแกกรัง มียุ้งฉางเพื่อค้าขายข้าว ชาวบ้านจะนำ
ข้าวเปลือกขึ้นเกวียนมาขายที่บ้านสะแกกรัง ต่อมาบ้านสะแกกรังจึงถูกยกขึ้นเป็นเมืองอุทัยธานี
แทนเมืองเดิม ทำให้ชุมชนแห่งนี้กลายเป็นตัวเมืองใหญ่ที่รู้จักกันในนามซิเกี่ยกั้ง หรือสะแกกรัง
(คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั , 2544)

ศาลาตีเกวียน
ศาลาตีเกวียนเป็นชื่อเรียกที่พักรวมเกวียนที่ชาวบ้านจะบรรทุกข้าวเปลือกมาขาย

และเป็นที่พักรวมของพ่อค้าซื้อข้าวเพื่อตีราคา และตกลงราคาซื้อขายข้าวเปลือกที่บรรทุกเกวียนมา
ขายในอดีต

อุทัยธานีมีศาลาตีเกวียนเพราะว่าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนชาวนา
จะนำขา้ วเปลือกไปขายท่าในแต่ละหมูบ่ ้านจะนัดกันไปขายขา้ วพร้อมกนั ท่ีตลาดสะแกกรัง โดยจะเอา
ขา้ วเปลอื กน้ันไปขายโดยใสเ่ กวยี นไปขายครอบครัวละ 1 เลม่ เกวยี น

บรรยากาศกาศการซื้อข้าวของชาวอุทัยธานีนั้นจะเริ่มตั้งแต่การออกเดินทาง
แต่ละหมู่บ้านจะรู้ระยะทางของตนว่าจะออกเดินทางในเวลาใดจึงจะถึงศาลาตีเวียนก่อนค่ำ
ที่ศาลาตีเกวียนนั้นมีบริเวณเป็นลานกว้าง เป็นที่สาธารณะประมาณ 10 ไร่ เข้าพักได้ประมาณ 100
เกวียน ถ้าวันไหนเกวียนมากกก็จะอาศัยที่เอกชนซึ่งเอกชนยินดีให้อาศัย เพราะรายได้จากการขาย
เครือ่ งอปุ โภคบรโิ ภคจำเปน็ เช่นอาหาร

ในรุ่งเช้านั้นเหล่าบรรดาพ่อค้าทั้งหลายนั้นจะข้าวนำไปทำการค้าที่เมืองท่าตรงแม่น้ำ
สะแกกรังเพื่อที่จะนำขึ้นเรือไปขายต่อที่บางกอกหรือกรุงเทพฯในปัจจุบัน โดยก่อนที่จะนำไปขายน้นั
ผทู้ น่ี ำขา้ วมาขายท่ีศาลาตีเกวียนน้จี ะต้องทำข้อตกลงเกยี่ วกับราคาให้เรียบร้อยจึงสามารถนำไปขายได้

เมื่อตกลงราคากันได้แล้วผู้ซื้อได้มอบตั๋วราคาข้าวของท่าเทข้าวให้กับผู้ขายนำเกวียนไป
ยังท่าเทข้าวนั้น ๆ ในท่าเทข้าวในแต่ละท่านั้นจะมีคนงานอยู่ 3 ประเภท คือ คนงานตวงข้าวที่ซื้อ
คนงานตวงข้าวสำหรับบรรทุกลงเรือของพ่อค้าที่มาจากบางกอก คนงานหามข้าวแบกข้าวขึ้นฉาง
ส่วนใหญน่ ัน้ จะเป็นคนงานจีน

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผู้นำรถเข้ามาทำให้เกิดความสะดวกในการค้าขายข้าว
เพราะไม่ต้องทงิ้ ข้าวคา้ งคืนจึงนยิ มจ้างรถเหล่านี้มาใชใ้ นการขนข้าวมากกว่าใช้เกวียน (คณะกรรมการ
อำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั , 2544)

110

3. ภมู หิ ลังของตรอกโรงยา
ตรอกโรงยามีความสัมพันธ์กับชุมชนชาวจีนบ้านสะแกกรัง ของชาวจังหวัดอุทัยธานี

ชุมชนชาวจีนบ้านสะแกกรังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนชาวจีนที่เคยอยู่ในเขตเมืองชัยนาทมาก่อน
ตงั้ แต่สมยั รตั นโกสินทร์และขยายครอบครวั ไปต้ังหลักแหล่งตามหมู่บ้านมากข้ึนอย่างหนาแน่นในสมัย
รัชกาลที่ 3 มีความเจริญในด้านการค้าโดยเรือสำเภา คนจีนส่วนใหญ่เข้ามาทำการค้าขาย ทำนา
เพาะปลูก ต้ังยงุ้ ฉาง และถลงุ แร่

บ้านสะแกกรังถูกตัดเป็นเขตเมืองอทุ ัยธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2391 บ้านสะแกกรังจงึ ถกู ยกข้ึนเป็น
ตัวเมืองอุทัยธานี ชุมชนแห่งนี้กลายเป็นชุมชนหลักเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ซิเกี๋ยกั้ง หรือสะแกกรังน่ัน
นั่นเอง

บ้านสะแกกรังมีการสร้างบ้านเรือนแบบจีนหลายแห่ง มีศาลเจ้าหลักเมืองเป็นศูนย์กลาง
ของชาวจีนท่นี ่ี ศาลหลักเมอื งน้สี ร้างขนึ้ เมื่อ พ.ศ. 2408-2409 หลงั จากมีการแตง่ ต้ังจางวางอำเภอจีน
แล้ว ปัจจุบันเป็นที่เคารพนับถือของชาวจันในชุมชนริมแม่นำ้ สะแกกรงั ใน พ.ศ. 2478 บ้านเรือนราย
ล้อมศาลเจ้าหลักเมืองถูกไฟไหม้เกือบหมด แต่ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่เคยถูกไฟไหม้เป็นที่น่าอัศจรรย์
ทั้งนี้เทพเจ้าที่ประดิษฐานประจำศาลเจ้าหลักเมืองสร้างขึ้นโดยนำลักษณะของพระสยามเทวาธิราช
มาดัดแปลงเป็นเทวดาถือดาบและเอยี งตัวคล้ายกำลงั จะก้าวเดนิ

ชาวจีนแห่งบ้านสะแกกรังเป็นพ่อค้าและนักเดินทางขึ้นเพื่อซื้อขายไม้สักสินค้า
และข้าวเปลือก กับเมืองต่าง ๆ จนไปถึงเจ้าของธุรกิจโรงสีข้าว เพื่อรับซื้อข้าวเปลือกและส่งออก
ขา้ วสาร เป็นทีร่ ูจ้ ักกันทัว่ ไป ปจั จบุ นั ยังคงรกั ษาเอกลกั ษณ์ และวิถีชวี ติ เรียบง่ายเชน่ เดิม ยงั คงสามารถ
พบเหน็ เรอื นแถวไม้ท่คี งอนรุ ักษไ์ ว้ เชน่ ทีต่ รอกโรงยา (กรมการทอ่ งเท่ยี วแห่งประเทศไทย. 2554)

ในอดีตบนถนนคนเดินตรอกโรงยาแหง่ นี้ เคยเป็นที่อยูอ่ าศัยและแหลง่ ทำมาหากินแหล่งใหญ่
ของชาวจีนท่ไี ดอ้ พยพเข้ามาตงั้ รกรากอยใู่ นถิ่นฐานของจังหวัดอุทัยธานี ซ่ึงมหี ลายฐานะทางเศรษฐกิจ
ไม่ว่า จะเป็นเถ้าแก่เจ้าร้าน ไปจนถึงชนชั้นกรรมกร แต่ทุกคนในชุมชนแห่งก็อยู่ร่ว มกันได้สงบสุข
และชว่ ยเหลือจนุ เจอื กันมา (oporshady. 2556)

ตรอกโรงยาเดิมนั้นแต่เดิมเคยเป็นโรงยาฝิ่นที่เคยถูกต้องตามกฎหมายในสมัยของจอมพลป.
พิบูลสงคราม การเสพฝิ่นนั้นส่วนใหญ่จะเป็นของกรรมกรชาวจีนนั่นเอง โดยการเสพฝิ่นน้ัน
จะทำให้ผ่อนคลาย แตก่ ็ส่งผลให้คนท่ีเสพนัน้ ติดฝ่นิ กันเป็นอยา่ งมาก ต่อมาในสมยั จอมสฤษฎ์ ธนรัตน์
ได้มองเห็นว่าการเสพฝิ่นทำใหเ้ สียเวลางานที่ทำอยู่ในช่วงนัน้ เม่ือเห็นว่าการสูบฝิน่ มอมเมาประชาชน
เป็นสิ่งเสพติดทำให้ประชาชนเสียเงินกับยาเสพติดเป็นจำนวนมาก และเป็นการทำลายเศรษฐกิจ
ของประเทศ จึงได้มีการประกาศยกเลิกโรงยาฝิ่นกันทั่วประเทศว่าให้การสูบฝิ่นเป็นการผิดกฎหมาย
โรงฝิ่นจึงได้ปิดตัวลงใน พ.ศ. 2500

ตรอกโรงยาไม่ใชเ่ ป็นแค่โรงยาฝ่ินเท่าน้นั แตย่ ังเปน็ ศูนยร์ วมอาหารของคนอทุ ยั ธานีเลยก็ว่าได้
เช่น ข้าวมันไก่ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีบซาลาเปา น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ เป็นต้น เป็นแหล่งบันเทิงสถาน
ทพ่ี กั ผ่อนมีโรงแรมเป็นที่พกั สำหรบั คนต่างถิน่ ในพน้ื ท่ใี กลเ้ คียงหลายแหง่ ด้วยกนั

111

ในช่วงเย็นชาวตลาดจะมารวมกลุ่มกันจิบน้ำชาพูดคุยปรึกษางาน เล่นดนตรีตาม
ความสามารถของแต่ละคนที่จีนบันเทิง จากการที่ได้รวมกลุมพุดคุยกันจนได้เกิดเป็นสมาคมอุทัย
สงเคราะห์ขึ้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือผูกทุกข์ได้ยากของคนในชุมชน และก่อตั้งคณะดนตรีล่อโก๊
วขึน้ เพ่อื ออกงานตา่ ง ๆ ในจงั หวัดอุทยั ธานี เชน่ งานแหเ่ จ้า งานแต่งงาน งานศพ คณะล่อโกว๊ โปวเจ่ง
เป็นของชาวจงั หวดั อทุ ัยธานที ีไ่ ดส้ ืบทอดกันมาจนถงึ ปัจจุบนั

4. ตรอกโรงยา
ถนนคนเดินตรอกโรงยาได้เริ่มจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นการ

รวมตัวนำเอาสินค้าที่อยู่ในจังหวัดอุทัยธานีและให้ชาวจังหวัดอุทัยธานีทำการค้าขายสินค้า
เพื่อเป็นการจัดตั้งสถานที่ท่องเที่ยวใหม่และเป็นการอนุรักษ์และนำเสนอความเป็นมาของโรงยาฝิ่น
ในจงั หวัดอทุ ยั ธานี และยังเป็นการสรา้ งอาชีพให้กับชาวอุทยั ธานอี กี ดว้ ย

เพื่อเป็นการอนุรักษ์ความเป็นอัตลักษณ์ของชาวจังหวัดอุทัยธานี และการประชาสัมพันธ์
จังหวัดอุทัยธานีให้เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป เพราะเป็นเมืองเล็ก ๆ สงบ เรียบง่ายตามวิถี
ชาวอุทัยธานีมาอย่างยาวนาน ทางคณะกรรมการจึงได้มีมติร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาตรอกโรงยา
ให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตชาวอุทัยธานี โดยได้รวบรวมประวัติความเป็นมาของเมืองอุทัยธานี
รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ในอดีตที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมประเพณีของชาวอุทัยธานี จัดแสดงให้
ประชาชนทั่วไป เข้ามาสัมผัสเรียนรู้มีการทำอาหาร ขนม แบบโบราณที่หารับประทานได้ยาก
มาจัดจำหน่ายให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เลือกซื้อ เลือกชิมและสิ่งสำคัญ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว
เชิงอนุรักษ์ รักษาความเป็นอัตลักษณ์ ไม่ให้ความเจริญเข้ามาครอบงำจนทำให้เมืองเปลี่ยนแ ปลง
รวดเร็วเกินไปเหมือนกับหลาย ๆ แห่งจนไม่เหลือความเป็นตัวตนของเมือง ขาดความรักษ์บ้านเกิด
ความเอื้ออาทรดูแล ช่วยเหลือของคนในชุมชนและผู้มาเยือน โดยที่ถนนคนเดินตรอกโรงยาแห่งนี้
ได้มีข้อกำหนดไว้ว่า พอ่ คา้ แม่ค้าในถนนคนเดินท้ังหมดต้องเป็นคนอุทยั ธานีเท่านัน้ เพื่อเป็นการรักษา
สิทธิประโยชน์เพือ่ ชาวอุทยั ธานี

“ถนนคนเดินตรอกโรงยา” เป็นถนนคนเดินเล็ก ๆ ที่มีระยะทางเพียง 150 เมตรเท่าน้ัน
สองข้างทางเรียงรายด้วยบ้านไม้โบราณที่ยังคงสภาพเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ถนนหนทางถูกจับจอง
เป็นพื้นที่ตั้งของร้านรวงต่าง ๆ ตั้งแต่ร้านแบกับดิน แผงลอย ไปจนถึงร้านค้าขนาดใหญ่ที่ยึดเอา
บริเวณชั้นล่างของบ้านเปิดเป็นร้านขายของ ซึ่งเราขอบอกไว้ก่อนเลยว่าหากใครคิดจะมาเดินเล่น
ทถ่ี นนคนเดินตรอกโรงยาคงต้องเตรียมพน้ื ทใ่ี นกระเพาะไว้ให้พร้อม เพราะมองไปทางใดก็มีแต่ของน่า
กินทั้งนั้น ขนาดแค่เริ่มต้นเดินได้ยังไม่ถึง 10 นาที หมูสะเต๊ะ 4 ไม้ ไข่นกกระทา 1 กล่อง
และขนมสัมปันนีอกี กล่องก็ลงไปอยู่ในท้องเราเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว นอกจากนยี้ งั มีอาหาร และขนมอีก
มากมาย เชน่ ขนมถังแตกเจ้าแรกของเมืองอทุ ยั ขา้ วเกรยี บปากหม้อ ขนมเบอ้ื งญวน ลกู ชิน้ ปลากราย
รวมถึงของว่างโบราณอย่าง ปลาแนม ก็ยังมีให้เราได้ทานกัน ส่วนของที่ระลึกต่าง ๆ ก็มีให้เราเลือก
เยอะแยะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของกินเลย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดสกรีนลายเก๋ ๆ พวงกุญแจ

112

กระเป๋า หนังสือเก่า ไปจนถึงของจิปาถะท่ัวไป รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ ของเก่าเก็บ ของโบราณ ของ
สะสมกม็ นี ำมาวางขายใหเ้ ราไดจ้ ับจ่ายใชส้ อยกันอยา่ งจใุ จ (theTripPacker, 2556)

ถนนคนเดินกลางเมืองอุทัยธานียังคงทิ้งร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองในอดีตผ่านบ้านไม้
เก่าแก่ ที่ได้ถูกปรับปรุงกลายเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมถึงร้านขายของที่ระลึก
จนทำให้ตรอกโรงยาท่ีเคยเงียบเหงากลบั มาคกึ คักอีกครง้ั ท่สี ำคญั พ่อค้าแม่คา้ ท่มี าขายของท่ีตรอกโรง
ยานั้นจะต้องเป็นคนจังหวัดอุทัยธานีเท่านั้น โดยที่นี่จะไม่เปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ที่เคยเป็นมา
เพื่อให้ลูกหลานรวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพื่อเรียนรู้และสัมผัสกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของ
ชุมชน

ถนนคนเดินตรอกโรงยาแห่งนี้เปิดทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 4 โมงเย็น ไปจนถึง 2 ทุ่ม
ตั้งอย่ใู จกลางเมืองอุทัยธานี ไมไ่ กลจากตลาดสดริมน้ำสะแกกรัง สภาพแวดล้อมเตม็ ไปดว้ ยบรรยากาศ
ของบ้านเรือนไม้สุดคลาสสกิ ซึ่งในทุกวันเสารจ์ ะคึกคักด้วยนกั ท่องเที่ยวท่ีเดนิ จับจา่ ยซื้อหาของกินมา
นั่งกิน และซื้อกลับไปกิน ซึ่งมีทั้งอาหารคาว หวาน ขนมโบราณ ของฝาก ของที่ระลึก ของพื้นบ้าน
และของโบราณต่าง ๆ มากมาย เช่น ของกินขึ้นชื่นที่ใครมาเป็นต้องสะดุดกันตั้งแต่ปากทาง
อย่างร้านหมูสะเตะ๊ เจ้าดัง หรือหมูสะเต๊ะคุณอ้อ หรือที่เรียกกันวา่ หมูสะเต๊ะ 100 คิว ที่ใครเข้ามาซื้อ
เป็นต้องฉงนกับบัตรคิว และผู้คนท่ีนัง่ รอรบั หมูสะเต๊ะกันแบบใจจดใจจอ่ ด้วยเพราะหมูสะเตะ๊ เนื้อนมุ่
ที่ย่างสดใหม่จากเตา กินพร้อมน้ำจิ้มสูตรเด็ดของร้าน พร้อมอาจาด หากใครพลาดวันเสาร์นี้ก็ต้องรอ
ไปกินอีกทีในวันเสาร์หน้า เพราะร้านหมูสะเต๊ะร้านนี้ไม่มีหน้าร้าน และเปิดขายเพียงแค่ทุกวันเสาร์
ที่ถนนคนเดินตรอกโรงยาแห่งนี้ เท่านั้น ซึ่งทางร้านจะมีหมูสะเต๊ะไว้รองรับลูกค้าครั้งละประมาณ
8,000-9,000 ไม้ ซึ่งเรียกได้ว่าขายดี และขายหมดกันทุกสัปดาห์ ด้านขนมอาหารกินเล่นแบบโบราณ
อย่าง ขนมผกั กาด ในราคา 20 บาท ซ่ึงร้านต้งั อยู่ใกล้กบั ร้านหมสู ะเต๊ะ ซึ่งเปน็ อีกหน่งึ รา้ นขนมกินเล่น
ท่ีใครมาเป็นต้องแวะซ้ือไปลอง ด้วยเนื้อของแปง้ ท่ีนุม่ และน้ำจม้ิ รสดี ทำใหม้ ีรสชาติทีเ่ ขา้ กนั รวมไปถึง
เมนูกับข้าว ซึ่งมีทั้งเมนูพื้นบ้าน อย่างแกงบอน ปลาต้มเค็ม และอื่น ๆ ให้ได้เลือกซื้อหากันเยอะมาก
รวมไปถึงอาหารแห้ง อย่างปลาเกลือ ปลาเค็ม ปลาย่าง ที่ถูกแปรรูปมาให้ได้เลือกซื้อกินกันแบบสด
ใหม่อีกเช่นกัน ส่วนเอกลักษณ์สำคัญไม่แพ้ของกิน อย่าง บ้านนกเขา ซึ่งเป็นบ้านที่สะสมภาพเก่า
อุทัยธานี และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งของใช้และสิ่งของที่ส่วนใหญ่ทุกคนเคยใช้กันในอดีต
ซึง่ เจ้าของบ้านคือ นายปราโมช เลาหวรรณธนะ อายุ 58 ปี ไดร้ วบรวมสงิ่ ของสะสมเหล่านี้ซึ่งสืบทอด
กันมาตั้งแต่สมัยที่ตนเองยังอยู่กับอากง รวมทั้งที่ได้จากการสะสมต่าง ๆ โดยได้นำสิ่งของมาจัดแสดง
ให้ทุกคนได้ชื่นชมและสมั ผสั ทั้งยังให้เยาวชนไดศ้ ึกษาเรียนรู้ อันเป็นการปลุกจิตสำนึกในการอนุรักษ์
โดยจัดแสง สี บรรยากาศทั้งภายใน ภายนอกร้าน ให้เข้ากับบรรยากาศยิ่งขึ้น โดยที่บริเวณหน้าร้าน
จะจดั ใหเ้ ป็นมมุ ถา่ ยภาพแบบย้อนยุค รวมท้ังมที ่ีนั่งสำหรับพัก อีกดว้ ย

113

5. บทสรุป
ตลาดถนนคนเดินตรอกโรงยาเริ่มมาจากตลาดท่าค้าข้าวของจังหวัดอุทัยธานีอยู่ท่ี

บ้านสะแกกรังซึ่งเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจึงทำให้ท่าข้าวของจังหวัดน้ัน
สว่ นใหญ่ จะเปน็ ชาวจีนท่เี ปน็ เจ้าของโรงสีขา้ ว และยงั เปน็ การเกดิ โรงยาฝน่ิ ในจังหวดั ขึน้ อกี ด้วย

ถนนคนเดินตรอกโรงยานั้นก่อนที่จะมาเป็นถนนในปัจจุบันนั้นคือโรงยาฝิ่นที่ชาวจีนที่เป็น
แรงงานนั้นมาเสพกันอย่างมากมาย และยังเป็นตลาดโต้รุ่งอีกด้วย โดยโรงยาฝิ่นนั้นได้ถูกปิดตัวลงใน
พ.ศ. 2500 ต่อมาใน พ.ศ. 2553 ได้มีการนำตรอกโรงยาแห่งน้ีมาจดั ตัง้ ให้กลายเป็นถนนคนเดินตรอก
โรงยาในปัจจุบันเพื่อที่จะสร้างสถานที่ท่องเที่ยว และเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
มากมายในจังหวัดอุทยั ธานี และยงั เปน็ การใหน้ ักทอ่ งเที่ยวได้รจู้ ักกับจังหวดั อุทยั มากข้ึน

เอกสารอ้างอิง
หนงั สือ
คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลมิ พระเกยี รติพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั . (2544). วฒั นธรรม พัฒนาการ
ทางประวัตศิ าสตร์ เอกลักษณแ์ ละภูมิปญั ญา จังหวดั อุทัยธานี, กรุงเทพฯ : คณะกรรมการ
อำนวยการจดั งานเฉลิมพระเกยี รติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว.
การท่องเทย่ี วแหง่ ประเทศไทย. (2556). ทรพั ยากรการทอ่ งเทยี่ วชดุ ภาคเหนือ อุทยั ธานี, กรงุ เทพฯ : การ
ทอ่ งเทีย่ วแห่งประเทศไทย.

วิทยานพิ นธ์
นพรตั น์ ทรงสายชลชัย. (2564), การพฒั นาแนวทางการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมในพ้นื ทีจ่ งั หวัดอุทยั ธานี,

หลักสูตรปริญญาปรัชญาดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวชิ าการจดั การทอ่ งเท่ียวและโรงแรม : มหาวทิ ยาลยั
พะเยา.

วจิ ยั
วิไลวรรณ ศริ ิอำไพ. (2556). ปัจจัยท่ีมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมการซือ้ สนิ คา้ ของนักท่องเท่ียว ตลาดโบราณบ้าน

สะแกกรัง (ถนนคนเดนิ ตรอกโรงยา) จงั หวัดอุทัยธานี, คณะบริหารธุรกิจ :มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลธญั บรุ .ี

บทความ
นพรตั น์ ทรงสายชลชยั , และคณะ. (2565), แนวทางพฒั นาการทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จงั หวัดอทุ ยั ธานี,

วารสารวชิ าการมหาวิทยาลยั การกีฬาแหง่ ชาติ, 14 (1) 115-131.

114

เวบ็ ไซต์
theTripPacker, (2556). ถนนคนเดินตรอกโรงยา ตรอกเก่าเลา่ เรอ่ื งเมืองอทุ ัย, สบื ค้นเมื่อ 20

กรกฎาคม 2565,จาก https://www.thetrippacker.com/th/review

ผูจ้ ดั การออนไลน์. (2563). ถนนสน้ั ตำนานยาว! ยอ้ นรอยประวัตศิ าสตรถ์ นนตรอกโรงยาจากดง
ขายฝิ่นส่แู หลง่ เศรษฐกิจเมืองอุทัย, สืบค้นเมอ่ื 28 กรกฎาคม 2565, จาก

https://mgronline.com/local/detail/9630000025949

115

กระแสเกาหลใี นประเทศไทยจากบทบาทรัฐบาลสาธารณรฐั เกาหลี

________________________________

นายณัชดล โรจน์ธนกาญจน์ Nadchadon Rojtanakarn
นางสาววทัญญุตา ห่อนาค Wathanyuta Hornark
นางสาวสทุ ธดิ า พลพนั ธ์ Sutthida Phonphan

บทคัดยอ่

บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทของรัฐบาลเกาหลีใต้
ที่มีการเสริมสร้างและสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศเผยแพร่วัฒนธรรมข้ามชาติ
เข้ามายังประเทศโดยมีเรียกว่า กระแสเกาหลีหรือฮันรยู ความสำเร็จเหล่านี้เริ่มล้วนมาจากนโยบาย
ด้านการส่งเสริมการส่งออกกระแสเกาหลี โดยประเทศไทยจากการที่เปิดรับวัฒนธรรมอย่างเสรี
ทำให้รับอิทธิพลกระแสเกาหลีมากเป็นอับดับต้นๆของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเหตุ
ให้วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือเพื่อศึกษาบทบาทการแพร่กระจาย “กระแสเกาหลี” ของรัฐบาล
สาธารณรฐั เกาหลีในประเทศไทย และศกึ ษาว่ารฐั บาลเกาหลีใต้มีการใชก้ ลยทุ ธ์หรือแผนยุทธศาสตร์ใด
โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเอกสารเป็นหลักจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจาก บทความ เว็บไซต์ วิจัย
วิทยานิพนธ์ทมี่ ีทงั้ ภาษาไทย องั กฤษทีม่ กี ารพูดถงึ การเผยแพร่กระแสเกาหลีของรฐั บาลเกาหลใี ต้

ผลการวิจัยพบว่าประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลจากกระแสเกาหลีนั้นเกิดการร่วมมือระหว่าง
ภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด รองลงมาคือความร่วมมือทางการลงทุนระหว่างประเทศกับภาคเอกชน
ที่ทำให้กระแสเกาหลีเข้ามายังประเทศไทยในรูปแบบของ ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ คอนเสิร์ตซ่ึง
สามารถแทรกซึมและเป็นเหตุชาวไทยจำนวนมากซึมซับและสามารถเข้าถึงกระแสเกาหลีได้โดยง่าย
ท้ายที่สุดคือการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ภูมิหลังของประเทศไทยและประเทศเกาหลีนั้น
มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ทำให้รัฐบาลต้องการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับชาวไทยเพื่อให้ทั้งสอง
ประเทศสามารถเข้าถึงกระแสเกาหลีได้มากยิ่งขึ้นและเปิดใจรับวัฒนธรรม โดยทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
เป็นผลมาจากรัฐบาลเกาหลีใตแ้ สดงบทบาทในฐานะผู้สนับสนนุ การเผยแพร่กระแสวัฒนธรรมเกาหลี
ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมส่ือบนั เทิงมบี ทบาทสำคัญในฐานะผผู้ ลติ และผ้เู ผยแพร่ผลิตภัณฑ์ด้านความ
บันเทงิ และวฒั นธรรมความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมส่อื บันเทิง

คำสำคญั : กระแสเกาหลี, วฒั นธรรมสมยั นิยม, รัฐบาลเกาหลีใต้

116

บทนำ

กระแสเกาหลเี ปน็ วัฒนธรรมสมัยนิยมท่ีไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งมากในทศวรรษที่ 2000 เปน็ ต้น
มาโดยหมายถึงการแพร่ของวัฒนธรรมบันเทิงร่วมสมัยของเกาหลีใต้ไปทั่วโลกผ่านสินค้าทาง
วัฒนธรรมซึ่งได้แก่ เพลง, ละครโทรทัศน์, ภาพยนตร์ ถูกสร้างขึ้นในประเทศ เมื่อกลางปี 1999
เรยี กว่าฮนั รยูหรือฮันลวิ โดยเกิดจากการทลี่ ะครโทรทัศนข์ องประเทศเกาหลีใต้ได้นำไปฉายยังประเทศ
จีนทำให้คำนี้ถูกสร้างขึ้นมา (ไพบูลย์ ปีตะเสนและจิราพร จันจุฬา, 2019) กระแสเกาหลีเริ่มต้น
จากละครโทรทัศน์ที่ออกอากาศจนได้รับความนิยมจากประชาคมโลกแต่ก่อนที่จะได้รับความนิยมใน
ระดับโลกนั้นภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอีกหนึ่งภูมิภ าคที่รัฐบาลเกาหลีได้ให้ความสำคัญ
เนือ่ งจากเป็นตลาดหลักทส่ี ามารถนำสินคา้ จากกระแสเกาหลเี ขา้ มาเผยแพร่ได้ (DAL YONG JIN and
TAE-JIN YOON, 2017) ทำให้การขยายตัวอย่างรวดเร็วของกระแสเกาหลีนั้นได้เข้าสู่ประเทศไทย
อย่างเป็นทางการ

ประเทศไทยมีแนวคิดที่เปิดกว้างในเรื่องวัฒนธรรมทำให้กระแสเกาหลีเข้ามายังประเทศไทย
และเป็นที่ยอมรับได้โดยง่าย ในปัจจุบันกระแสเกาหลีนั้นได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย
ถือเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค โดยที่มานั้นเริ่มจากละครโทรทัศน์ที่ถูกนำเข้ามาฉายในประเทศ
ผ่านฟรีทีวี อย่างเรื่อง เรื่อง Autumn in my heart (รักนี้ชั่วนิรันดร์) ที่ออกอากาศทางช่อง ITV
(ป ั จ จ ุ บ ั นค ื อ THAI PBS) ใ น ป ี 2000 ซ ึ ่ ง ถ ื อ ว ่า เป ็น ละ ค ร โ ท รทั ศ น์ แ รก ท ี่ เข ้ ามาฉาย
และประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศ ทำให้กระแสตอบรับกระแสเกาหลีของคนไทยนั้น
อยูใ่ นทางบวก เป็นเหตุให้สถานีโทรทัศน์ในประเทศไทยมนี โยบายนำเอาละครโทรทัศน์เข้ามาฉายมาก
ยิ่งขึ้น โดยมีทั้งละครโทรทัศน์ที่เข้าถึงทั้งกลุ่มวัยรุ่นอย่าง Full house (สะดุดรักที่พักใจ), Princess
hour (รักวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา) และละครโทรทัศน์ที่ตอบโจทย์กับกลุ่มวัยผู้ใหญ่อย่าง Jewel in
the Palace (แดจังกึม) (Siri, 2020) เป็นสาเหตุให้คนไทยหันมาสนใจวัฒนธรรมสมัยนิยมจากกระแส
เกาหลีมากยิ่งขึ้น จึงเกิดการนำเข้าสินค้าจากกระแสเกาหลีเพิ่มเติมอย่าง รายการวาไรตี้ ภาพยนต์
นอกจากสื่อบันเทงิ ที่สามารถรรับชมได้ฟรแี ล้วคนไทยยังได้รับอทิ ธิพลจากศิลปินเกาหลีใต้ โดยอิงจาก
สถิติการมาจัดแสดงคอนเสิร์ต หรือแฟนมีตติงของศิลปินเกาหลีใต้นั้นพบว่าเฉลี่ยจะมีการจัดแสดง
คอนเสิร์ตจากศิลปินมากกว่า 50 ครั้งต่อปี เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ากระแสเกาหลีจากสื่อบันเทิงนั้น
ประสบความสำเร็จอย่างมาก และส่งอิทธิพลต่อคนในการรับวัฒนธรรมสมัยนิยม (Mangozero,
2019) โดยทั้งหมดนั้นมาจากรัฐบาลสาธรณรัฐเกาหลีใต้ในการบริหารจัดการกำหนดนโยบาย
ที่ทำให้กระแสเกาหลีสามารถแพร่กระจายมายังประเทศไทยจนได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
และมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง ถือเป็นการถ่ายทอดความเป็นเกาหลีใต้ออกสู่สากลและส่งเสริมเศรษฐกิจ
ของประเทศไปในตัว

117

วิธีวิจยั

การวจิ ัยเรือ่ งบทบาทรัฐบาลเกาหลใี ตจ้ ากกระแสเกาหลีในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้กรณีศึกษา
ประเทศไทยจะมีการใช้วิธีวจิ ยั การวิจยั เอกสารเปน็ หลัก เนือ่ งจากการวิจัยฉบบั นม้ี ุ่งเนน้ ไปที่การค้นหา
ข้อเท็จจริงหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ปรากฏในปัจจุบัน โดยเอกสารเหล่านั้นมาจากวิจัย บทความ
รายงาน วิทยานิพนธ์ โดยเอกสารเหล่านี้ต้องมีความจริง ความถูกต้อง ความน่าเชื่อถือ โดยผู้ทำวิจัย
สามารถวเิ คราะหถ์ ึงปรากฏการณ์ คา่ นิยมและนำเสนอการศึกษาในเชิงวิเคราะห์และสงั เคราะห์

วตั ถุประสงค์

เพื่อศึกษาบทบาทการแพร่กระจาย “กระแสเกาหลี” ของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีใน
ประเทศไทย

ผลการวจิ ยั

บทบาทของรัฐบาลเกาหลีใต้ในการแพร่กระจายกระแสเกาหลีมายังประเทศไทยนั้นเป็น
บทบาทเดียวกันกับการส่งออกกระแสเกาหลีไปทั่วโลก โดยมีนโยบายด้านการส่งเสริม และส่งออก
ที่เน้นเนื้อหาวัฒนธรรมเพื่อถ่ายทอดความเป็นเกาหลีใต้ออกสู่สายตาประชาคมโลกเนื่องจากรัฐบาล
มองเหน็ ถงึ การสร้างความสำเรจ็ จากสินค้าวัฒนธรรมกระแสเกาหลีจึงได้เร่ิมการเขยี นแผนยุทธศาสตร์
พฒั นาวัฒนธรรม 10 ปี (Ten-year Master Plan for Cultural Development) เพ่อื พัฒนาส่ือทาง
วัฒนธรรมผนวกกับช่วงที่อินเตอร์เน็ตเจริญเติบโตขึ้นทำให้รัฐบาลมีแนวคิดในการแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมข้ามชาติทำให้การขยายตัวของกระแสเกาหลีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลเกาหลีใต้จึง
ส่งเสริมบทบาทโดยการหันมาพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากการจัดตั้งองค์กร
ขึ้นมา องค์กรหลัก ๆ ที่ส่งผลต่อการแพร่กระแสเกาหลีมายังประเทศไทยนั้นประกอบด้วย สำนักงาน
ส่งเสริมเนื้อหาและวัฒนธรรมแห่งเกาหลี (Korean Culture and Content Agency: KOCCA) มี
หน้าที่ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมเนื้อหาและวัฒนธรรมของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา
กลยุทธ์ในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระความเป็นเกาหลีใต้ ทั้งวัฒนธรรมและประเพณี ให้เผยแพร่ไปยัง
ประเทศต่างๆ (นันทิพา บุษปวรรธนะ และนาวิน วงศ์สมบุญ, 2020) ทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพล
ในการเผยแพรก่ ระแสเกาหลจี ากรฐั บาลเกาหลใี ต้ ซึง่ ในการเผยแพรก่ ระแสเกาหลีจากประเทศไทยนั้น
กม็ ีผลมาจากการกอ่ ต้งั อีกหน่ึงองค์กรทีส่ นับสนนุ ส่งเสริมคือ The Korea Cultural Centre (KCC) ซง่ึ
มีการก่อตั้งมากกว่า 41 สาขา ใน 31 ประเทศทั่วโลกซึ่งประเทศไทยก่อต้ังขึน้ ในปี 2013 โดยใชช้ ่อื วา่
Korean Cultural Center in Thailand จึงเกิดการร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริ มวัฒนธรรม
และสำนักงานศลิ ปวัฒนธรรมรว่ มสมัยอีกด้วย จากการจดั ต้ัง Korean Cultural Center in Thailand
ก็ถือเป็นการเปิดเสรีให้กระแสเกาหลีเข้ามาสู่ประเทศไทยได้อย่างง่ายมากยิ่งขึ้น และมูลนิธิ
เพื่อการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศ (Korean Foundation for International
Culture Exchange) ทำหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผ่านการแลกเปลี่ยน

118

ทางวัฒนธรรม โดยดำเนินการศึกษาวิจัยตลาดด้านวัฒนธรรม วิเคราะห์ และรายงานความคืบหน้า
กระแสเกาหลี และการแลกเปล่ียนทางวฒั นธรรมระหว่างประเทศตา่ ง ๆ ทวั่ โลกทำใหร้ ฐั บาลเกาหลีใต้
มกี ารใช้หลักการตลาดเชิงวฒั นธรรมกบั ประเทศไทยเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อผบู้ ริโภคส่งผลให้ประเทศ
ไทยนั้นมีมุมมองต่อกระแสเกาหลีอยู่ในเชิงบวกเป็นเหตุให้กระแสเกาหลีได้รับความนิยมอย่างเต็ม
รูปแบบในประเทศไทย จนตัวเลขมูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมบันเทิงอยู่ที่ 200 ล้านดอลลาห์
สหรัฐซึ่งมีประเทศไทยเป็นส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 4.5% หรือ 9,636,000 ดอลลาร์สหรัฐ (กิตติธัช
ออไอศรู ย์,2561)

รัฐบาลเกาหลีใต้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการเผยแพร่กระแสเกาหลีผ่านทางละคร
โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ซีรี่ย์ และบทเพลงที่สร้างศิลปนิ และผลงานเพลง ผ่านการก่อตัง้ องค์กรที่ส่งเสริม
และเผยแพร่วัฒนธรรมประจำชาติที่ผลิตเนื้อหาที่สร้างภาพลักษณ์ให้ผู้คนเข้าถึงได้ จากการร่วมมือ
ระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้และรัฐบาลไทยก็ทำให้กระแสเกาหลีได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีใต้ประจำ
ประเทศไทยน้ันสองหนว่ ยงานที่มีส่วนสำคญั ในการงานท่ีแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์และความสัมพันธ์
อันดีงามระหว่างทั้งสองประเทศไทยเมื่อผนวกกับหลักการตลาดเชิงวัฒนธรรมแล้วนั้นทำให้รูปแบบ
ความร่วมมอื ระหว่างรฐั นนั้ เป็นการจัดงานสานสมั พันธ์เกาหลีใต้ - ไทย อย่างคอนเสริ ต์ Seoul Prime
Concert in Bangkok ที่ซึ่งเป็นกิจกรรมครบรอบ 10 ปี ความสัมพันธ์เมืองพี่เมืองน้อง กรุงโซล
กับกรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศน้ี
หรืองาน Annyeong Thailand, Sawasdee Korea 2019 ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือ
ของกระทรวงวัฒนธรรมแห่งประเทศไทยและ Korea Foundation for International Culture
Exchange (KOFICE) ซงึ่ เป็นหน่วยงานทจ่ี ัดการแลกเปลี่ยนวฒั นธรรม ทงั้ สองงานงั้นจดั อยู่ในรูปแบบ
คอนเสริ ต์ ท่มี กี ารเชญิ ศิลปินช่ือดังจากประเทศเกาหลีใต้ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเข้ามาจัดงาน
แสดงโดยไม่เสียค่าเข้าชม ทำให้ชาวไทยสามารถเข้าถึงกระแสเกาหลีในทางด้านอุตสาหกรรมเพลง
ไดอ้ ย่างงา่ ยขึ้นจากการรว่ มมอื ของภาครัฐทง้ั สองประเทศ

ความร่วมมือระหวา่ งภาครัฐและเอกชนก็เป็นอีกหน่ึงบทบาทท่ีสำคัญโดยกระทรวงวัฒนธรรม
ของประเทศไทยเกาหลีใต้นั้นได้มองเห็นถงึ การทำตลาดเชิงรุกทำให้รัฐบาลเกาหลมี องเห็นถึงการเชญิ
ผู้จัดชาวเกาหลีใต้มาพบปะกับผู้ซื้อชาวต่างชาติผ่านกาประชุม โดยร่วมกับสมาคมการค้าระหว่าง
ประเทศของเกาหลีใต้ในการถือการค้าเสรีที่ทำให้มีผู้ซื้อมากกว่า 50 รายจากทั่วเอเชียเข้ามาติดต่อ
ทางธุรกิจกับกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อนำเนื้อหาหรือคอนเทนต์สื่อเข้าไปเผยแพร่ในประเทศของตน
(นันทิพา บุษปวรรธนะ และนาวิน วงศ์สมบุญ, 2020) เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เอเจนซ่ี
และสถานีโทรทัศน์จากประเทศไทยเข้ามาซื้อลิขสิทธิ์สื่อบันเทิงอาทิ ภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์
คอนเสิร์ตเข้ามาในประเทศไทยทำให้จุดกระแสเกาหลีให้เกิดขึ้น จากนโยบายการค้าเสรีส่งผลให้
กระแสเกาหลีเริ่มเป็นที่รู้จักและมีการแพร่หลายในไทย อย่างในปี 2000 ได้มีการซื้อลิขสิทธิ์หนัง

119

เกาหลีใต้ เรื่อง ลิขิตแห่งดวงดาว (Wish upon a star) มาออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์
กองทัพบก (กิตติธัช ออไอศูรย์, 2561) หลังจากที่หนังเกาหลีใต้เรื่องนี้จบลงทำให้กระแสเกาหลี
ในประเทศไทยมีความโด่งดังเพิ่มขึ้น ในปี 2004 ที่สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ได้นำเรื่อง
Full House มาฉาย ซ่งึ เรือ่ งน้ีประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ไมแ่ พ้เร่ือง แดจงั กมึ จอมนางแห่งวัง
หลวง (Jewel in the palace) จากสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในทางด้านคอนเสิร์ตนั้น
อิงจากสถิติการจัดคอนเสิร์ตภายในประเทศไทยในพบว่าในปี 2018 มีการจัดคอนเสิร์ต และแฟนมีต
ติงรวมกวา่ 128 คร้ัง รวมไปถงึ อีเวนทต์ า่ งๆจากการเป็นพรีเซนเตอร์ของศลิ ปนิ เกาหลีอย่าง Est Cola,
Ais เป็นต้น นับว่าเป็นการเปิดการค้าเสรีที่ทำให้กระแสเกาหลีเข้ามากระทบต่อการดำรงชีวิตของคน
ไทยมากยง่ิ ขึ้น (Mangozero, 2019)

ความนยิ มของกระแสเกาหลีที่เพิ่มอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยส่งผลให้ชวี ิตประจำวนั ของคน
ไทยเริ่มมีการปรับเปลี่ยนมากยิ่งขึ้นจากการรับชมสื่อบันเทิง เพลงก็จะทำให้มีความต้องการ
ใ น ก า ร เ ร ี ย น ภ า ษ า เ ก า ห ล ี ม า ก ย ิ ่ ง ข ึ ้ น ผ น ว ก ก ั บ ร ั ฐ บ า ล เ ก า ห ล ี ใ ต ้ ม ี ก า ร ส ร ้ า ง ค ว า ม ส ั ม พ ั น ธ์
และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องจึงเป็นที่มาของการจัดทุนการศึกษา
เพราะรัฐบาลมองเห็นว่าการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็สามารถทำให้ผู้คนสามารถยอมรับในวัฒนธรรม
เกาหลไี ด้เปรียบเหมือนการให้คนไทยสามารถเข้าถงึ กระแสเกาหลไี ด้มากย่ิงขึ้น จากการเปิดใจยอมรับ
ในวัฒนธรรมใหม่ ๆ จงึ มกี ารมอบทนุ ใหน้ ักเรียนไทยเพ่ือเรยี นต่อในระดับปริญญาตรี ในระดับปริญญา
โท – เอก รวมกันราว ๆ 40 ทุนต่อปี โดยในปี 2021 ทางรัฐบาลเกาหลีใต้ได้มีการมอบทุนการศึกษา
ให้แก่ประเทศไทยทั้งหมดจำนวน 41 ทุน โดยการสมัครทุนการศึกษานี้ ผู้สมัคร และบิดามารดา
ต้องไม่มีสัญชาติเกาหลี ยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยเกาหลีที่เปิดรับทุนนี้ก็ เช่น ทุนการศึกษาเพ่ือ
นักศึกษาแลกเปลี่ยนที่มีผลการเรียนดี (Scholarship for international exchange students of
excellence) จากรัฐบาลเกาหลีใต้ (Highskill, 2021) และทุก ๆ ปี สถานทูตเกาหลีใต้ประจำ
ประเทศไทยและกระทรวงวัฒนธรรรมของไทยจะร่วมกัน จัดงานเทศกาลมิตรภาพระหว่างไทย
และเกาหลีใต้ (Thailand – Korea Friendship Festival) โดยรัฐบาลเกาหลีใต้ได้ยกย่องให้ประเทศ
ไทยเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่กระแสเกาหลีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อแลกเปลี่ยน
วัฒนธรรมของคนเกาหลีใต้ให้กับคนทั่วไปซึ่งก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นเดียวกันที่ทำให้คนไทยถูกดึงดูด
เข้าสู่กระแสเกาหลีมากยิ่งขึ้น จึงนับได้ว่าการมอบทุนการศึกษาจากรัฐบาลเกาหลีใต้นัน้ ก็เปน็ อีกหนึง่
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยจะสามารถเปิดใจยอมรับวัฒนธรรมสมัยนิยมจากกระแสเกาหลีได้
ซง่ึ รวมไปถงึ การจดั งานเทศกาลมิตรภาพระหว่างไทยและเกาหลีใต้ด้วยเชน่ เดียวกัน ถือว่าเป็นอีกหน่ึง
บทบาททส่ี ำคญั จากรัฐบาลเกาหลีใตใ้ นการเผยแพร่กระแสเกาหลมี ายังประเทศไทย

120

สรุปผลการศกึ ษา

ความนิยมของกระแสเกาหลีในประเทศไทยนั้นมาจากบทบาทของรัฐบาลเกาหลีใต้
ที่มีการมุ่งเน้นการส่งออกเพื่อแพร่วัฒนธรรมสมัยนิยมจากอุตสาหกรรมบันเทิงโดยเป็นความร่วมมือ
จากรัฐบาลจากหน่วยงานต่างๆ ซง่ึ อยภู่ ายใตก้ ารบรหิ ารจดั การของรฐั บาลที่มีสว่ นในการออกนโยบาย
และแผนยุทธศาสตร์ที่พร้อมที่จะส่งออกกระแสเกาหลีไปยังประเทศต่างๆ ไม่เพียงแต่ประเทศไทย
ผนวกกับสื่อบันเทิงเป็นสิ่งที่มีผลต่อการสร้างอิทธิพลให้กับผู้คนหมู่มากเป็นเหตุให้กระแสเกาหลี
แพร่ได้งา่ ยในประเทศไทยเนอื่ งจากการเปิดกวา้ งรบั วัฒนธรรมจากต่างชาติ

บทบาทของรัฐบาลเกาหลีใต้และประเทศไทยนั้นก็มีความร่วมมือกันจากกระทรวงต่าง ๆ
ภายในประเทศโดยประเทศไทยนั้นประเทศไทยจะมุ่งเน้นไปที่ทูตสัมพันธไมตรีในการจัดงานต่าง ๆ
จากการร่วมมือของกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศไทยองค์กรของประเทศเกาหลีใต้ในการจัดงาน
ในรูปแบบต่างๆ โดยในประเทศจะเน้นไปที่รูปแบบของคอนเสิร์ตทำให้ศิลปินที่เข้ามาทำการแสดง
จนได้รับความนิยมทำให้กระแสเกาหลียังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากบทาทของ
ภาครัฐทั้งสองประเทศแล้วนั้น การร่วมมือกับภาคเอกชนกับรัฐบาลเกาหลีใต้ก็มีผลอย่างมากโดยเร่ิม
จากนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศเกาหลีใต้ที่มีการเปิดค้าเสรีให้ภาคเอกชนเข้ามา
ติดต่อทางธุรกิจกับกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทยก็มีการร่วมมือในการจัดคอนเสิร์ตที่ได้รับ
ความร่วมมือกับกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศเกาหลีใต้ที่นำศิลปินเข้ามาทำการแสดง
ภายในประเทศไทย และการซ้ือลิขสทิ ธภ์ิ าพยนตร์ ละครโทรทัศน์ รายการช้ันนำเข้าไปฉายทางช่องฟรี
ทวี ภี ายในประเทศ ก็ทำใหช้ าวไทยเข้าถงึ กระแสเกาหลีจนได้รับความนยิ มเกิดขึน้ วฒั นธรรมทีแ่ ตกต่าง
กันระหว่างประเทศไทยและประเทศเกาหลีก็ไม่มีผลต่อการแพร่กระแสเกาหลีจากรัฐบาลเกาหลีใต้
เ น ื ่ อ ง จ า ก ม ี ก า ร จ ั ด ต ั ้ ง Korean Cultural Center in Thailand ภ า ย ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเกิดขึ้น รวมถึงการจัดงานแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นประจำทุกปี
ก็ทำให้ดึงดูดคนไทยให้เข้าสู่กระแสเกาหลีมากยิ่งขึ้นรวมถึงเปิดใจต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมของเกาหลี
มากยิ่งขึ้น รวมถึงการมอบทุนการศึกษานักเรียนแลกเปลี่ยนไปศึกษายังประเทศเกาหลีก็จะทำให้
การเปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆและเปิดทางให้กระแสเกาหลีเข้ามาเผยแพร่ความนิยมอย่างต่อเนื่อง
ในประเทศไทยมากยงิ่ ข้นึ ดงั นั้นจงึ กล่าวได้วา่ ความสำเร็จจากการแพร่กระแสเกาหลมี ายังประเทศไทย
นั้นล้วนมาจากบทบาทของรัฐบาลเกาหลีใต้ที่มีการบริหารจัดงานทางด้านนโยบายจนประสบ
ความสำเร็จ

อภปิ รายผลการศึกษา

ความสำเร็จของกระแสเกาหลีนั้นมาจากรัฐบาลเกาหลีใต้มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบาย
และวางแผนโดยสิง่ หนึ่งท่ีมองเห็นไดช้ ัดคือ อตุ สาหกรรมบันเทงิ เปน็ หนึ่งตวั แปรสำคญั ท่ีรัฐบาลเกาหลี
ใต้นำมาใช้ในการแพร่กระแสเกาหลีเพราะเป็นสื่อบันเทิงที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้คน

121

ได้งา่ ยจนสามารถสร้างความนยิ มได้ผนวกกับบทบาทของรฐั บาลเกาหลใี ต้ในการสนับสนนุ การเผยแพร่
กระแสเกาหลี ในทางด้านการสนับสนุนงบประมาณต่าง ๆ จัดตั้งองค์กรก็ทำให้กระแสเกาหลีประสบ
ความสำเร็จอย่างมากถือเป็นการพลิกโฉมประเทศเกาหลีใต้ที่มีความยากจนในอดีตสู่ประเทศ
ที่ประชาคมโลกยอมรับ การได้รับความร่วมมือจากหน่วยงายภใต้การกำกับดูแลของรัฐที่มีการสร้าง
แผนงานเพื่อรองรับนโยบายกระแสเกาหลี อาจจะไมเ่ พียงความรว่ มมือกับภาคเอกชน อาจจะเป็นส่ิงที่
ทำใหป้ ระสบความสำเร็จในการแพรม่ ากกว่าเน่ืองจากความรว่ มมือของภาครฐั ท้ังสองประเทศน้ันส่วน
ใหญ่มุ่งเน้นไปที่เพียงงานสมั พันธไมตรีทางการทูตเท่านั้นทำใหอ้ าจจะเข้าไม่ถึงประชาชนทกุ ภาคส่วน
ในการได้ซึมซับกระแสเกาหลี แต่ในทางกลับกันการร่วมมือระหว่างรัฐบาลเกาหลีใต้กับภาคเอกชน
อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำใหก้ ระแสเกาหลีสามารถเข้าถึงประชาชนชาวไทยไดม้ ากกว่า เนื่องจากเป็นการ
สนองนโยบายจากกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศเกาหลีในการนำส่ือบันเทิงเข้ามายังประเทศไทยทั้ง
ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รายการวาไรตี้ บทเพลงจึงถือว่าเป็นการแพร่กระแสเกาหลีในรูปแบบวง
กว้างคือสามารถเข้าถึงทุกคนได้อย่างง่ายทำให้มุมมองต่อวัฒนธรรมสมัยนิยมข องคนไทยต่อประเทศ
เกาหลีใต้นั้นเปลี่ยนไปจึงถือเป็นการเปิดโอกาสที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเกิดขึ้นนั่นเอง
กระแสเกาหลีไม่เพียงแต่ทำให้ผู้รับได้รับความบันเทิงเท่านั้นแต่เมื่อมองเป็นมุมกว้างแล้วน้ัน
เป็นกระแสเกาหลีมีการเกี่ยวกับทุกภาคส่วนอย่างคาดไม่ถึงทั้งการทูต เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
จึงถือว่าประเทศเกาหลีประสบความสำเร็จจากการกำหนดเป้าหมายในการแพร่กระแสเกาหลี
มายังประเทศไทย

ข้อเสนอแนะ

บทความวิจัยชิ้นนี้นั้นเป็นการนำเสนอให้เห็นถึงงบทบาทของรัฐบาลเกาหลี ใต้ในการแพร่
กระแสเกาหลี ซึ่งมีการแสดงให้เห็นถึงนโยบาย การจัดตั้งกระทรวงที่ทำให้กระแสเกาหลี
ประสบความสำเร็จแต่นโยบายส่วนใหญ่ที่นำมานั้นเป็นนโยบายที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 2000
ซึ่งอาจจะไม่สอดคล้องต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หากรัฐบาลต้องการที่จะรักษาความนิยมของกระแส
เกาหลีไว้อย่างต่อเนื่องนั้น รัฐบาลควรที่จะมีการพัฒนานโยบายอย่างต่อเนื่องเหตุเพราะในทุกวันนี้
อินเตอร์เน็ตเข้ามามีผลอย่างมากกับการดำรงชีวิตของผู้คน หากรัฐบาลสามารถประยุกต์ใช้ในส่วนนี้
กับการแพร่กระแสเกาหลีก็จะสามารถทำให้ความนิยมของกระแสเกาหลีจะสามารถคงความนิยม
หรือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้และบทความวิจัยฉบับนี้สามารถนำไปต่อยอดการศึกษาต่อใน
เรือ่ งการเปรียบเทียบบทบาทของรฐั บาลเกาหลีใต้ในพฒั นาอตุ สาหกรรมบันเทงิ กบั บทบาทของรัฐบาล
ประเทศไทยเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงวฒั นธรรมประเทศไทยในการนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนา
อุตสาหกรรมบนั เทงิ

122

เอกสารอ้างองิ

DAL YONG JIN and TAE-JIN YOON. (2017). The Korean Wave: Retrospect and
Prospect. Introduction. International Journal of Communication, 11, 2241-
2249.

Mango zero. (2019). สถติ ิการมาไทยของศลิ ปนิ เกาหลีในรอบ 5 ป.ี เรยี กใชเ้ ม่อื 7 กุมภาพันธ์
2022 จาก https://www.mangozero.com/statics-k-pop-thai/

Siri. (4 มกราคม 2020). กระแส "ความคลงั่ ไคลเ้ กาหลี" ในไทย. เรียกใช้เม่ือ 7 กุมภาพันธ์ 2022 จาก
https://rb.gy/leqfif

กติ ตธิ ชั ออไอศรู ย.์ (2561). “ประเทศไทย” ตลาดสำคญั ของอตุ สาหกรรมบันเทิงเกาหลจี รงิ หรอื ?
เรยี กใช้เมือ่ 7 กมุ ภาพนั ธ์ 2022. จาก https://www.songsue.co/673/

นันทพิ า บุษปวรรธนะ และนาวิน วงศ์สมบญุ . (2020). ความสำเรจ็ ในการเผยแพรก่ ระแสวฒั นธรรม
เกาหลี (Korean Wave): บทบาทของรัฐบาลและอุตสาหกรรมส่ือบันเทิง: The
Success of Korean Wave Distribution: The Roles of Goverment and
Entertainment Sectors. คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎร์ธานี

123

กติ ตกิ รรมประกาศ

บทความวิจัยฉบับนี้ประสบความสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจาก
ผศ.ดร.ศิลปกิจ ตี่ขันติกุล อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัยที่กรุณาให้คำแนะนำ ตรวจสอบข้อบกพร่อง รวมถึง
การหาเอกสารแนะนำเพื่อช่วยเหลือแก่ผู้วิจัย ตลอดจนให้คำปรึกษาซึ่งเป็นผลประโยชน์ในการวิจัย
จนบทความวิจัยเล่มนี้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนไปได้ด้วยดี รวมถึงอาจารย์ท่านอื่นอันได้แก่ ผศ.ดร.
ธนนันท์ วุ่นวรรณา ดร.มนต์ชัย ผ่องศิริ และ ดร.ณัฐหทัย มานาดี ที่ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้
และคำแนะนำท่ีเป็นประโยชนต์ ่องานวิจยั เล่มนี้

ขอขอบคุณผู้เขียนเอกสาร หนังสือ บทความต่าง ๆ สำหรับข้อมูลในการศึกษาค้นคว้า
และนำมาอ้างอิงในวิจยั ครั้งนี้ ขอขอบคุณเพื่อนนักศกึ ษาหลกั สูตรศิลปศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาเอเชยี
ตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่คอยให้คำแนะนำ สนับสนุนและให้กำลังใจ สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ
คณะผู้จัดทำวิจัย ที่ร่วมค้นคว้า ศึกษาด้วยกันมาโดยตลอด อย่างไม่ย่อท้อจนทำให้การบทความวิจัย
ครงั้ น้ีสำเรจ็ ลลุ ่วงไปไดด้ ้วยดี

อนึ่ง ผู้วิจัยหวังว่า บทความวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย จึงขอมอบส่วนดีทั้งหมดนี้
ให้แก่เหล่าคณาจารย์ ที่ได้มอบการช่วยเหลือจนทำให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น คณะผู้วิจัยขอน้อมรับผิดเพียงผู้เดยี ว และยินดีที่จะรบั
ฟงั คำแนะนำจากทกุ ทา่ นทไ่ี ดเ้ ขา้ มาศกึ ษา เพื่อเป็นประโยชน์ในการพฒั นางานวจิ ัยต่อไป

คณะผ้จู ัดทำ

นางสาว วทัญญตุ า หอ่ นาค

นางสาว สุทธิดา พลพนั ธ์

นายณชั ดล โรจนธ์ นกาญจน์

124

พทุ ธศาสนาในสงั คมไทยก้าวเขา้ ส่ชู ว่ งขาลง จริงหรอื ไม่? :

กรณีศึกษามุมมองของนกั ศกึ ษามหาวิทยาลัยขอนแก่น

ช่ือผวู้ จิ ัย นางสาวทกั ษพร ศรฤี ทธ์ิ Email: [email protected]

นางสาวชลธิชา ไชยอากร Email: [email protected]

นางสาวนนธิยา โพธิสาร Email: [email protected]

สาขาวชิ า/คณะ/มหาวทิ ยาลัย หลกั สตู รเอเชียตะวันออกเฉียงใตศ้ กึ ษา

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่

บทคดั ย่อ

พุทธศาสนาถือเป็นศาสนาประจำชาติของสังคมไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จากปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงต่อการเข้ามาของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตในศตวรรษที่ 21
จึงส่งผลต่อมุมมองของผู้คนในสังคมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนผู้ที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี
และอินเทอร์เน็ตได้มากที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานวิจัยครั้งนี้จึงมุ่งศึกษามุมมองของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีต่อพุทธศาสนา โดยเป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ( Quantitative
Research) ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วย
วธิ กี ารสมั ภาษณแ์ บบเชงิ ลึก (In-Dept Interview) ผลการศึกษาพบวา่ นักศึกษามหาวิทยาลยั ขอนแก่น
ที่ตอบแบบสอบถามจำนวน 100 คน จากทุกคณะยังคงให้ความสำคญั ตอ่ พุทธศาสนาผ่านการปลูกฝงั
จากครอบครัว ร้อยละ 86.0 ผ่านการปฏิบัติกจิ กรรมทางศาสนา ร้อยละ 99.0 และผ่านการเรียนการ
สอนที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในสถานศึกษา ร้อยละ 98.0 ให้นักศึกษาเกิดการรับรู้ และเข้าใจ
ในหลักธรรมทางพุทธศาสนา สามารถนำหลักธรรมคำสอนมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้
ร้อยละ 80.0 ข่าวสารเกี่ยวกับพุทธศาสนาบนสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ ก็ยังส่งผลให้นักศึกษาเข้าถึง
พุทธศาสนาได้มากขึ้น ร้อยละ 89.0 และมองว่าพุทธศาสนาเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อสังคมไทย
ร้อยละ 83.0 ก่อให้เกิดแนวโน้มที่ดีต่อการนับถือพุทธศาสนาของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น
ที่เป็นไปในเชิงบวก โดยการที่นักศึกษาจะยังคงนับถือพุทธศาสนาต่อไป ร้อยละ 85.0 เพราะมอง
ว่าพุทธศาสนายังคงมีผลต่อการดำเนินชีวิตให้สามารถดำเนินต่อไปได้อย่างถูกต้อง ร้อยละ 70.0
รวมถึงผู้ให้สัมภาษณ์แบบเชิงลึกจำนวน 15 คนก็ยังคงให้ความสำคัญกับพุทธศาสนา มีมุมมองที่เห็น

125

ด้วยต่อพุทธศาสนาและหลักธรรมทางพุทธศาสนาในเชิงบวก และมีแนวโน้มที่ดีต่อการนับถือพุทธ
ศาสนาตอ่ ไปเช่นเดยี วกัน

คำสำคญั : มุมมอง, พุทธศาสนา, นกั ศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น

บทนำ

จากการที่สังคมไทยในปัจจุบันได้เข้าสู่ยุคการสื่อสารโดยโทรคมนาคมและดิจิทัล
หรือยุคเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ทำให้ผู้คนในสังคมมีช่องทางในการเข้าถึงพุทธศาสนาได้มากขึ้น
กว่าแต่ก่อนผ่านทางอินเทอร์เน็ตถึงแม้จะไม่ได้เดินทางไปปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาที่วัดก็ตาม
ประกอบกับการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้วิถีชีวิตของผู้คนใน
สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เกิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ที่ผู้คนต้องรักษาระยะห่าง
ทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งรวมไปถึงการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาตามวัดด้วยเช่นกัน
(workpointTODAY, 2563) จากแต่เดิมที่ผู้คนในสังคมมีความคิดว่าการทำบุญตักบาตร
หรือการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาที่วัดจะส่งผลให้ตนเองสามารถเข้าถึงพุทธศาสนา และหลักธรรม
คำสอนต่าง ๆ ได้เท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป การเข้าถึงพุทธศาสนาของผู้คน
ในสังคมไทยก็ได้เปลี่ยนแปลงตามไปเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การรับฟังธรรมเทศนาผ่านทางยูทูป
(YouTube) หรือเฟซบุก๊ (Facebook) และการเรียนรหู้ ลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาผ่านบทความ
หรือเวบ็ ไซต์ออนไลน์ (Website online) เป็นตน้ ซง่ึ ดเู หมอื นวา่ จะเป็นผลดีตอ่ สังคมไทยในการเข้าถึง
พุทธศาสนาในด้านบวกมากกว่าแต่กอ่ น แต่ในขณะเดียวกนั อิทธพิ ลของอินเทอร์เน็ตก็ทำใหส้ ังคมไทย
เข้าถึงพุทธศาสนาในด้านลบมากขึ้นเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การได้รับรู้ข่าวสารของพระสงฆ์การเสพ
ยาเสพติด เช่น การกระทำอนาจาร การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการเล่นการพนันภายในวัด
ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เป็นต้น จนเห็นได้ชัดว่า อิทธิพลของเทคโนโลยี และอินเทอร์เ น็ต
เป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของพุทธศาสนาในสังคมไทยจนส่งผลให้พุทธศาสนา
จำเป็นต้องหาช่องทาง และวิธีการเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21 ได้ โดยสิ่งสำคัญ
ที่สุด คือ ผู้คนจะสามารถเข้าใจ และนำหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนามาปรับใช้ให้เข้ากับ
ชีวิตประจำวันได้มากน้อยเพียงใด โดยกลุ่มชนในสังคมที่มีแนวโน้มที่จะคล้อยตามไปกับกระแสสังคม
ทม่ี าพร้อมกบั ส่ือสงั คมออนไลนใ์ นอตั ราสูง คอื “กลุ่มเยาวชน นักศึกษา”

ด้วยเหตุผลข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อเป็นการค้นหา
ข้อมูลว่านักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในฐานะกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อการมีมุมมอง
ที่ไม่ดีเกี่ยวกับพุทธศาสนา เนื่องจากการดำรงชีวิตกำลังเปลี่ยนไปด้วยสภาพสังคมในศตวรรษที่ 21

126

ทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่สำคัญในการสืบสานค่านิยม ตลอดจนเผยแผ่พุทธศาสนาไปยังคนรุ่นต่อไป
ในอนาคต การวิจัยครั้งนี้จึงเป็นการพยายามที่จะศึกษาว่านักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นมีมุมมอง
ต่อพุทธศาสนาอย่างไร ผลการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจ และรับมือกับ
ปรากฏการณ์ทางสังคมที่อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักศึกษา ซึ่งเป็นเยาวชนท่ีจะช่วยอนุรักษ์
และสืบสานประเพณีท่ีดีตอ่ ไป

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย

เพ่อื ศกึ ษามมุ มองของนกั ศกึ ษามหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ท่มี ตี ่อพุทธศาสนา

ขอบเขตการวิจยั

ขอบเขตประชากร: นักศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ปกี ารศึกษา 2564 (ชน้ั
ปีที่ 1 – 4 / สัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 15 คน / ตอบแบบสอบถาม Google form จำนวน 100 คน
จากทั้งหมดจำนวน 20 คณะ ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จำนวน 30 คน คณะ
วิทยาศาสตร์ จำนวน 7 คน คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี จำนวน 7 คน คณะนิติศาสตร์ จำนวน 6
คน คณะเกษตรศาสตร์ 6 คน คณะเทคนิคการแพทย์ จำนวน 4 คน คณะสาธารณสุขศาสตร์ จำนวน
4 คน คณะศึกษาศาสตร์ จำนวน 4 คน คณะเทคโนโลยี จำนวน 3 คน คณะวิศวกรรมศาสตร์ จำนวน
3 คน คณะพยาบาลศาสตร์ จำนวน 3 คน คณะแพทยศาสตร์ จำนวน 3 คน คณะเภสชั ศาสตร์ จำนวน
3 คน คณะสัตวแพทยศาสตร์ จำนวน 3 คน คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ จำนวน 3 คน คณะเศรษฐศาสตร์
จำนวน 3 คน วิทยาลัยนานาชาติ จำนวน 3 คน คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จำนวน 2 คน คณะทันต
แพทยศาสตร์ จำนวน 2 คน และวทิ ยาลยั การปกครองทอ้ งถน่ิ จำนวน 2 คน)

ขอบเขตเนื้อหา: มุมมองนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ความสำคัญของ
พุทธศาสนา 2. มุมมองทว่ั ไปตอ่ พทุ ธศาสนา และ 3. แนวโน้มในการนบั ถือพทุ ธศาสนา

ระเบียบวธิ ีวิจยั

งานศึกษาเรื่อง มุมมองของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นต่อพุทธศาสนา ใช้วิธีวิจัยแบบ
ผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) มีรูปแบบเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ
(Survey Research) โดยการใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวม
ขอ้ มูล โดยสำรวจทัศนคติ

จากแบบสอบถาม และการสังเกตในแบบสอบถามที่ได้บรรจุคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับข้อมูล
เบื้องต้นของกลุ่มตัวอย่าง เช่น ระดับชั้นปีการศึกษา คณะที่ศึกษา ความสำคัญของพุทธศาสนาต่อ
นักศึกษา โดยใช้แบบสอบถามจำนวน 100 คน จากทั้งหมด 20 คณะ และการวิจัยเชิงคุณภาพ

127

(Qualitative Research) เป็นข้อมูลสนับสนุนโดยการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก (In-Dept Interview)
เพอื่ ให้งานวจิ ัยสมบรู ณย์ ่ิงขนึ้ จำนวน 15 คน จากทั้งหมด 10 คณะในปกี ารศึกษา 2564

1. ภูมิหลังของพุทธศาสนาในสงั คมไทย และนักศึกษามหาวิทยาลยั ขอนแก่น

ในช่วงหลังพระพุทธปรินิพพาน พุทธศาสนาเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยการที่พระเจ้า
อโศกมหาราชจักรพรรดิอินเดียแห่งราชวงศ์โมริยะ ได้สั่งให้ทำการสังคายนาครั้งที่ 3 เพื่อชำระ
พระพุทธศาสนาให้บริสุทธ์ิ หลังทำสังคายนาเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าอโศกได้ส่งสมณทูตไปเผยแผ่
พระพุทธศาสนาในดินแดนต่าง ๆ ซึ่งมีไทยรวมอยู่ด้วย (พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ, พระมหาภิรัฐ
กรณ์อํสุมาลี และ พระครูสิริปัญญาภรณ์ (ตัณโห), 2562, น. 420-423) จากการเข้าเผยแผ่
พระพุทธศาสนาในครั้งนี้ ก็ทำให้เกิดความรุ่งเรืองทางศาสนาในแต่ละยุคสมัย โดยกษัตริย์ได้
ให้ความสำคัญ และรบั เอาพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงมกี ารทำนบุ ำรุงและส่งเสริมพุทธ
ศาสนาอย่างจริงจัง รัฐไทยได้เริ่มนำเอาพุทธศาสนามาวางรากฐานในการปฏิรูปสังคม
ตั้งแต่ในรัชกาลที่ 4 เช่น มีการก่อตั้งคณะสงฆ์คณะปฏิรูปที่เรียกว่าคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
และมีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (เด่นพงษ์ แสนคำ
และอัครยา สังขจันทร์, 2563, น. 141-170) ต่อมาพุทธศาสนาในสังคมไทยก่อนการปฏิรูปคณะสงฆ์
ในสมัยรัชกาลท่ี 5 มชี ื่อเรยี กวา่ “พทุ ธแบบชุมชน” (สกุล อน้ มา, 2558, น. 2-18) อา้ งถงึ (นิธิ เอียวศรี
วงศ,์ 2554, น. 92-95) จากนน้ั ลกั ษณะของศาสนาพุทธทเ่ี ปน็ ของชมุ ชนเริม่ ลดลง และแทนทดี่ ว้ ยพุทธ
ศาสนาที่มีลักษณะอันหนึ่งอันเดียวกัน มีการออกพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2445
ซึ่งการเผยแผ่พุทธศาสนาในสมัยเก่ามีวิธีการ คือ การพูด การทำตัวอย่างให้ดู การเขียนเล่าเรื่องราว
จากพระภิกษุสงฆ์ หรอื อุบาสก อุบาสิกา (เมธี เชษฐว์ ิสุต, 2562, น. 522-530)

เมื่อถึงยุคการสื่อสารโดยโทรคมนาคมและดิจิทัล มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทางดาวเทียม
และอินเทอร์เน็ต ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์
ฉกุ เฉิน พ.ศ. 2548 เพอื่ ควบคุมสถานการณ์การแพรร่ ะบาดไวรัสโควดิ -19 ถอื ไดว้ ่าเป็นช่วงเวลาท่ีผู้คน
ในสังคมต้องปรับตัวเพื่อดำรงชีวิตอยู่กับสถานการณ์ในตอนนี้ การรักษาระยะห่างทางสังคม (Social
Distancing) ถูกนำมาใช้ในการปรับตัวของพระสงฆ์ และพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าบทบาทของพุทธ
ศาสนาไดม้ กี ารปรบั เปลยี่ นใหม่ พระสงฆเ์ ริ่มปรับตัวในการใช้สือ่ สังคมออนไลน์มากข้ึน ยกตวั อย่างเชน่
ในการฟังเทศน์ การสอนหนังสือ (องศาเหนือ, 2563) ดังนั้น จึงถือได้ว่ายุคเทคโนโลยีดิจิทัล
เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนของพุทธศาสนาโดยที่การเผยแผ่หลักธรรมคำสอน
ของพระพุทธเจา้ ซ่ึงทำใหเ้ กิดช่องทางการเผยแผ่ผา่ นอนิ เทอร์เน็ตมากขึ้น ข่าวตา่ ง ๆ ถูกนำเสนอผ่าน
ทางสื่อสังคมออนไลน์ ยกตัวอย่างเช่น เฟซบุ๊ก(Facebook), ทวิตเตอร์ (Twitter), ยูทูบ (YouTube),


Click to View FlipBook Version