กลุ่มท่ี 1 กิจกรรมทางเศรษฐกจิ
กล่มุ ท่ี 2 หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อสินคา้
กลุ่มท่ี 3 แหล่งทนุ ในหมู่บ้านและชมุ ชน
- จัดกล่มุ อภิปราย ตามหัวข้อทไ่ี ด้รับมอบหมาย โดยครูจดั แบ่งกลุม่ จากการคดั เลอื กตาม
กลุ่มวันเกิด (กิจกรรมที่ 2) ของผู้เรียน 3 กลมุ่ ให้แต่ละกล่มุ นำเสนอในช้นั เรียน
กลมุ่ ท่ี 1 เขียนสรุปเปน็ “Mind Map เรอ่ื งการเมอื งการปกครองของประเทศไทย”
กลมุ่ ท่ี 2 เขียนสรุปเปน็ “Mind Map เรื่อง อำนาจอธปิ ไตย”
กลมุ่ ท่ี 3 เขียนสรปุ เปน็ “Mind Map เร่อื ง โครงสร้างการบริการราชการแผ่นดินของประเทศ
ไทย”
- ใหแ้ ต่ละกล่มุ นำเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี นและฟังผลงานของทุกกลุ่มพรอ้ มทำการสรุป
เน้อื หาสาระทไ่ี ด้นำเสนอ
- ผสู้ อนและผ้เู รยี นรว่ มกนั สรปุ หลังจากทกุ กล่มุ นำเสนอผลงานกลุ่ม
- ผ้สู อนใหค้ วามรูเ้ พ่มิ เตมิ ในส่วนท่ยี ังไม่สมบูรณ์
- ผสู้ อนเชอ่ื มโยงส่ิงที่ผเู้ รียนนำเสนอกบั เนอื้ หาตามหัวข้อการเรยี นรู้
ขัน้ สรปุ
- รวบรวมใบงาน จัดเกบ็ ในแฟ้มสะสมงาน
งานทม่ี อบหมาย
- มอบใบงานท่ี 1 เรื่อง กจิ กรรมทางเศรษฐกิจ
- มอบใบงานท่ี 2 เรอ่ื ง การมีคณุ ธรรมของผูผ้ ลติ ผบู้ รโิ ภค
- มอบใบงานท่ี 3 เร่อื ง แหล่งทนุ ในหมบู่ า้ นและชุมชน
- สอบใบงานท่ี 4 เร่อื ง การเมอื งการปกครอง
- มอบใบงานท่ี 5 เรือ่ ง การมีส่วนรว่ มทางการเมอื งการปกครองในระดับท้องถ่ินและระดับ
ประเทศ
- ทดสอบหลังเรียน
5. สื่อ/แหลง่ เรยี นรู้
1. หนังสอื เรียน
2. อนิ เตอรเ์ น็ต
3. ใบความรู้
6. การวดั ผลและประเมินผล
การวัดผลตามจุดประสงค์ เครือ่ งมือการวัดผล เกณฑ์การประเมินผล
ความรู้ (Knowledge) แบบทดสอบ ผา่ นการตอบคำถามได้
อธิบายความหมาย ความ 80% ขนึ้ ไป
สำคัญ หลกั การ รูปแบบ
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรัฐกับ
ประชาชนของระบอบ
ประชาธปิ ไตย
ทกั ษะ (Skill) ใบงาน
เข้าใจความหมาย ความสำคญั ผเู้ รียนจับประเด็นสำคญั
ของเศรษฐศาสตร์ เข้าใจในความหมาย ความ
สำคัญของเศรษฐศาสตร์80%
เจตคติ (Attitude) การมีสว่ นรว่ มในการอธบิ าย ขนึ้ ไป
เขา้ ใจ การใชอ้ ำนาจอธิปไตย ความคิดเหน็ ผเู้ รียน 80% ข้นึ ไปมสี ว่ นร่วม
เพ่อื การบริหารงานระหว่างรฐั ในการอธิบายแลกเปลี่ยน
กบั ประชาชน
ลงช่ือ.............................................................ผสู้ อน
(………………………………)
วันท่ี ......เดือน…………….......พ.ศ……………....
ขอ้ เสนอแนะของหัวหนา้ สถานศึกษาหรอื ผู้ทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
..................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอ
(………………….............……………)
วนั ที่ ......เดือน…………….......พ.ศ……………....
บนั ทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้
กศน.ตำบล......................................... กศน.อำเภอ.................................... จงั หวัดระยอง
สปั ดาหท์ ่.ี ...... วนั ท.ี่ .......เดอื น..............................พ.ศ............ รายวชิ า...................................ระดับ..................
1. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
...............................................................................................................................................................................
.......... ...................................................................................................................................................................
2. ปัญหาอุปสรรค
...............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
3. แนวทางการแก้ไข
...............................................................................................................................................................................
.......... ...................................................................................................................................................................
4.สง่ิ ทไ่ี มไ่ ด้ปฏิบตั ติ ามแผนการจัดการเรยี นรู้
...............................................................................................................................................................................
..... ........................................................................................................................................................................
เหตผุ ล
5. การปรับปรุงพัฒนาการเรยี นร้คู ร้ังตอ่ ไป
...............................................................................................................................................................................
.......... ...................................................................................................................................................................
6. ประเดน็ ท่ีนำไปส่กู ารวิจยั ในชั้นเรียน
...............................................................................................................................................................................
.......... ...................................................................................................................................................................
ลงชื่อ.................................................................
(...............................................................)
ตำแหน่ง................................................................
วันท่ี.........เดือน.......................................พ.ศ............
ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหาร
...............................................................................................................................................................................
.......... ...................................................................................................................................................................
ลงชื่อ.................................................................
(...............................................................)
ตำแหน่ง................................................................
วนั ที่.. ......เดือน..................................พ.ศ........
ใบความร้ทู ่ี 1
เรอื่ ง กิจกรรมทางเศรษฐกจิ
การผลิต
การผลติ หมายถึง การทำใหเ้ กดิ มขี น้ึ ตามความต้องการ โดยแรงคนหรือเครอ่ื งจกั ร รวมถงึ วธิ กี ารอืน่ ๆ ทท่ี ำให้
เกิดขน้ึ
ปจั จัยในการผลิตสนิ ค้าและบรกิ าร
ส่ิงที่มคี วามสำคญั ในการผลติ สินค้าและบรกิ าร 4 ประการ ไดแ้ ก่
1. ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถงึ สิง่ ท่มี คี ่าที่เกดิ ข้ึนเองตามธรรมชาติ เชน่ น้ำมนั แรธ่ าตุ ทองคำ น้ำ ป่าไม้และ
สมนุ ไพร เปน็ ต้น
2. ทุน หมายถึง เงนิ หรอื ทรัพยส์ นิ เช่น โรงงาน เคร่ืองจักรและอปุ กรณใ์ นการผลิตทใี่ ชใ้ นการดำเนนิ กิจกรรม
เพ่ือหาผลประโยชน์
3. แรงงาน หมายถงึ ความสามารถและกิจกรรมทคี่ นในวัยทำงานกระทำในการทำงาน เพอ่ื ใหเ้ กิดประโยชน์ใน
ทางเศรษฐกิจ
4. การประกอบการ หมายถึง ความสามารถของผูป้ ระกอบการในการนำทรพั ยากรธรรมชาติ ทนุ และแรงงาน
มารวมกันเพ่อื ผลิตสินคา้ และบริการ โดยไดร้ บั คา่ ตอบแทนเป็นกำไร
ปัจจยั ในการเพิม่ การผลิตสินคา้ และบริการ
สิ่งทที่ ำใหผ้ ู้ประกอบการเพิ่มการผลติ สนิ ค้า และบรกิ ารให้มปี ริมาณมากยง่ิ ข้ึนอยกู่ บั ปจั จัย ไดแ้ ก่
1. ความต้องการขนั้ พ้นื ฐานของมนษุ ย์ หมายถงึ ปจั จัย 4 คอื อาหาร เคร่อื งนุ่งห่ม ยารักษาโรคและทีอ่ ยอู่ าศยั
สิ่งเหล่านเ้ี ป็นส่งิ ท่ีมนุษย์ต้องการในการดำรงชวี ิต
2. การโฆษณาชวนเชือ่ ผูป้ ระกอบการมักใช้สื่อ เชน่ โทรทัศน์ วทิ ยุและหนงั สือพมิ พ์ เป็นตน้ เพื่อทจ่ี ะแนะนำให้
ประชาชนไดร้ จู้ ักสนิ ค้าและบรกิ ารในวงกวา้ งมากขนึ้ เพือ่ กระตนุ้ ให้เกิดการบรโิ ภคสนิ ค้าและบริการเพ่ิมขึ้น
3. ประเพณี เป็นสว่ นที่มีความสำคญั ในการเพ่มิ ผลผลติ เพ่ือตอบสนองความตอ้ งการของบคุ คล เชน่ ประเพณี
เข้าพรรษา ผู้ประกอบการจะเพิ่มผลผลิตเทียนจำนำพรรษาและประเพณีสงกรานต์ ผปู้ ระกอบการจะเพมิ่ การ
ผลติ น้ำอบและแป้ง เปน็ ตน้
4. สภาพสงั คม เนื่องจากสภาพสงั คมท่ผี ้คู นต้องการความสะดวกสบายมากย่งิ ขึ้น ผูป้ ระกอบการจงึ มกี ารเพิม่
การผลติ สนิ ค้าเพ่อื ตอบสนองความต้องการ เชน่ รถยนต์ เครือ่ งปรับอากาศ เครือ่ งซกั ผา้ เตารดี และตเู้ ยน็
เป็นตน้
แรงจงู ใจในการผลติ สินค้า
1. การเพม่ิ ขึ้นของประชากร เมอ่ื ประชากรเพ่มิ ขนึ้ ความตอ้ งการบรโิ ภคสินคา้ และบริการย่อมเพ่มิ ขึ้น ดังนั้น ผู้
ประกอบการยอ่ มตอ้ งผลิตสินคา้ มากขนึ้ เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการ
2. การจดั สรรทรพั ยากร เปน็ การนำทรพั ยากรท่มี ีอยอู่ ยา่ งจำกัดมาทำให้เกิดประโยชนส์ ูงสุดในการผลิตสินค้า
และบรกิ าร
3. การกระจายทรพั ยากร เป็นการนำทรัพยากรจากแหล่งทม่ี อี ย่มู ากไปสูแ่ หลง่ ท่ีมอี ยู่นอ้ ย โดยผปู้ ระกอบการ
ต้องคำนงึ ถงึ ประโยชน์สูงสดุ และเหมาะสมมากท่ีสุด
การใชท้ รพั ยากรในจังหวัดและภูมภิ าคของตน
การทผี่ ูป้ ระกอบการนำทรพั ยากรในพนื้ ทม่ี าใช้ในการผลิตสนิ ค้า เน่ืองมาจากสาเหตุหลายประการดงั น้ี
1. การใช้ทรัพยากรในพนื้ ที่มาผลิตสนิ ค้า ทำใหล้ ดต้นทนุ ในการขนส่ง อีกท้ังประหยัดเวลาอกี ด้วย
2. ทำให้สนิ คา้ มีราคาถกู ลง เนอ่ื งจากต้นทนุ มีราคาต่ำ
3. เกิดอาชีพข้ึนภายในท้องถ่นิ
การบริโภคและการบริการ
การบรโิ ภค หมายถึง การใช้สนิ คา้ และบรกิ ารของประชาชน การบริโภคสามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
1. การบริโภคสนิ ค้าท่ไี ม่คงทน คอื สนิ ค้าที่ใช้แลว้ หมดไป เช่น อาหาร ยารักษาโรค เครอื่ งดื่ม ปากกา ยางลบ
สมดุ และดนิ สอ เปน็ ตน้
2. การบริโภคสินคา้ ที่คงทน คอื สนิ คา้ ที่ใชแ้ ลว้ ยังคงอยู่ เชน่ โตะ๊ เก้าอี้ รถยนต์ เสอื้ กางเกง กระเปา๋ และ
รองเทา้
เปน็ ตน้
หลักเกณฑ์ในการเลือกซือ้ สินค้า
1. ความจำเป็น พจิ ารณาวา่ สนิ คา้ ชนิดนั้นมคี วามจำเปน็ ตอ่ การดำรงชีวติ หรอื ไม่
2. คณุ ภาพ เป็นสิ่งท่ีมคี วามสำคญั อย่างยิ่งในการเลอื กซือ้ สินคา้ โดยเลอื กสนิ ค้าที่มคี ณุ ภาพดี เหมาะสมกับราคา
และปริมาณ
3. ราคา เปน็ สว่ นหนึง่ ในการเลือกซ้อื โดยเฉพาะสนิ ค้าชนดิ เดียวกนั คุณภาพเทา่ กันและปรมิ าณเท่ากนั ดงั นนั้
ราคาจงึ เป็นหลักเกณฑ์ในการพจิ ารณาสินค้าอยา่ งหนึง่
การบริการ หมายถึง การปฏบิ ตั เิ พ่อื ใหค้ วามสะดวกสบายในด้านตา่ ง ๆ เช่น การข้นึ รถโดยสาร การ
ตัดผมและการเลน่ เคร่ืองเล่นในสวนสนุก เปน็ ต้น
ตลาด
ตลาด หมายถงึ สถานท่ีทีเ่ ป็นแหล่งชุมนมุ ของผู้คา้ เพอื่ จำหนา่ ยสินคา้ ประเภทต่าง ๆ ลักษณะของตลาดแบง่
เปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1. ตลาดแข่งขนั สมบรู ณ์ หรอื ตลาดเสรี หมายถงึ ตลาดทม่ี กี ารแขง่ ขนั สูง มผี ซู้ ื้อและผขู้ ายจำนวนมาก ราคาของ
สนิ ค้าเปน็ ไปตามกลไกตลาดและผผู้ ลติ มีอิสระในการ เข้า – ออกในตลาดอย่างเสรี
2. ตลาดแข่งขนั ไม่สมบูรณ์ แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท ดงั นี้ 2.1 ตลาดผกู ขาด คอื ตลาดทมี่ หี น่วยธุรกจิ เดียวใน
การจัดหาสินคา้ ละบรกิ ารในตลาด ไม่มีคู่แข่งทางการตลาดเลย
2.2 ตลาดผ้ขู ายนอ้ ยราย คอื ตลาดทีม่ หี นว่ ยธรุ กจิ เพยี ง 3 – 4 รายในการจำหน่ายสนิ ค้าชนดิ เดยี วกัน
ในตลาด ทำให้สามารถจำหนา่ ยสินค้าไดใ้ นจำนวนมาก เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ น้ำอดั ลม ปนู ซีเมนตแ์ ละเหล็ก
เปน็ ต้น
2.3 ตลาดก่งึ แขง่ ขันกึ่งผกู ขาด คือ ตลาดท่ีมผี ู้ขายจำนวนมากแตม่ ีสดั สว่ นในตลาดน้อย เช่น ร้านตัดผม
รา้ นอาหารและร้านบริการซอ่ ม เป็นตน้
ปจั จัยทกี่ ำหนดโครงสร้างทางการตลาด
1. จำนวนผ้ผู ลติ ในตลาด
2. สภาพภูมศิ าสตร์
3. ความสามารถของสินค้าในตลาดทีส่ ามารถใช้ทดแทนกัน มมี ากน้อยเพียงใด
การแขง่ ขนั
การแขง่ ขัน หมายถงึ การต่อสรู้ ะหวา่ งผผู้ ลติ ท่ผี ลติ สินค้าในลักษณะเดียวกัน เพ่อื จำหน่ายใหแ้ กผ่ บู้ ริโภคใน
ปริมาณท่ีมากขน้ึ โดยอาศัยปัจจัยตา่ ง ๆ ได้แก่
1. เทคโนโลยี หมายถึง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่นี ำมาใชใ้ นการผลติ สนิ คา้ เพอ่ื ใหไ้ ดส้ นิ ค้าท่ีมีคณุ ภาพดี
ขน้ึ แต่ราคาถูกลง โดยเทคโนโลยแี บ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ
- เทคโนโลยีทางการเกษตร เปน็ การนำวทิ ยาศาสตร์มาพฒั นางานดา้ นการเกษตร ต้งั แต่วิธีการผลติ เชน่ การ
ไถนา การเก่ยี วข้างและวธิ กี ารรดนำ้ เปน็ ต้น การขยายพันธุ์ คณุ ภาพและปริมาณของผลติ รวมถงึ การใชย้ า
ปราบศัตรพู ืช
- เทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม เปน็ การนำเครือ่ งจกั รมาใชแ้ ทนแรงงานคน เพอื่ ให้
ไดส้ นิ ค้าทีร่ วดเร็ว มปี ริมาณมากและมมี าตรฐานเท่าเทียมกนั ซึง่ ทำใหส้ ินค้ามี ราคาถูกลงและคณุ ภาพดขี ้นึ
2. การเลือกใช้ทรพั ยากรทอ้ งถน่ิ เปน็ การลดตน้ ทุนการผลติ อีกทัง้ ยงั เปน็ การเพิม่ รายได้ใหก้ ับท้องถ่นิ ของตน
เอง เช่น ภาคใต้มีแรบ่ ุกจำนวนมาก ทำให้เกิดโรงงานถลงุ แรแ่ ละการทำโรงงานน้ำปลาใกลก้ ับชายฝ่ังทะเลที่มี
การจบั ปลากนั มาก เปน็ ตน้
ประโยชน์ของการแข่งขนั
1. ทำใหเ้ กดิ สินค้าชนดิ ใหมใ่ นตลาด เพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการของผู้บรโิ ภค
2. ทำใหส้ ินค้ามีราคาถกู ลง แต่คณุ ภาพดขี ึ้น
3. มีสนิ คา้ ให้เลือกมากขึ้น
สถาบนั การเงนิ
สถาบนั การเงิน หมายถึง องค์กรทด่ี ำเนนิ การเกีย่ วกับธุรกิจ การเงินและการให้สินเชอ่ื เปน็ ตวั กลางในการเชอื่ ม
โยงผ้อู อมเงินกับผ้ตู ้องการกูเ้ งิน
หนา้ ทีข่ องสถาบันการเงนิ
ในทีน่ ้ขี อกล่าวถงึ หน้าทขี่ องสถาบันการเงนิ ประเภทธนาคารพาณชิ ย์เท่านั้น สว่ นสถาบนั การเงนิ เฉพาะอย่างก็
จะมหี น้าท่เี ฉพาะขององค์กรแตกต่างกนั ไป
หน้าทหี่ ลกั ของธนาคารพาณชิ ย์ มีดงั น้ี
1. บรกิ ารรบั ฝากเงินสำหรบั ผมู้ เี งินออม โดยผู้ออมเงินจะได้รับดอกเบี้ยตอบแทน บริการรับฝากเงินมีหลาย
ลกั ษณะ ได้แก่ เงนิ ฝากกระแสรายวนั เงนิ ฝากออมทรพั ย์ เงินฝากประจำ
2. บริการสนิ เชื่อ โดยแบง่ ประเภทสนิ เชอื่ ไดด้ ังน้ี
- เงินกทู้ ่ัวไป โดยนำหลักทรัพยห์ รอื เงินฝากมาค้ำประกนั
- เงนิ กู้เบกิ เงินเกินบญั ชี โดยนำหลกั ทรพั ยห์ รือเงนิ ฝากมาทำวงเงนิ คำ้ ประกัน การเบกิ เงินเกินบัญชี
- รับซ้อื ตั๋วเงนิ ท่ีมกี ำหนดระยะเวลา
3. บริการอ่ืน ๆ เช่น
- ให้บรกิ ารในด้านเป็นตัวแทนของลูกค้า เช่นชว่ ยเกบ็ เงินตามเช็ค ต๋ัวเงินและ ตราสารอื่น ๆ ช่วยเกบ็ และจ่าย
เงินประเภทอนื่ ๆ เช่น คา่ เช่า ค่าดอกเบ้ยี คา่ ไฟฟ้า
ค่านำ้ ประปา คา่ ภาษหี รอื คา่ ธรรมเนียมให้แก่หน่วยราชการต่าง ๆ และชว่ ยเปน็
ตวั แทนรัฐบาลในการขายพันธบตั ร ตว๋ั เงินคลัง เปน็ ต้น
- ให้บริการช่วยเหลือด้านการค้าและการชำระเงินระหว่างประเทศ
สหกรณ์
สหกรณ์ หมายถงึ การรวมกลมุ่ กนั ของคณะบคุ คลเพอื่ ดำเนนิ กจิ การต่าง ๆ โดยมีวตั ถุประสงค์ชว่ ยเหลอื ซง่ึ
กนั และกันระหวา่ งสมาชกิ และไดจ้ ดทะเบยี นเป็นสหกรณ์ตามกฎหมาย
หลกั การของสหกรณ์
1. เปดิ รับสมาชกิ ตามความสมคั รใจ เขา้ มาเปน็ สมาชิกดว้ ยความเต็มใจ
2. เปิดรบั สมาชกิ โดยไมจ่ ำกดั เชือ้ ชาติ ศาสนา หรอื ฐานะทางสังคม
3. ดำเนินการตามหลกั ประชาธปิ ไตย คอื สมาชิกมสี ทิ ธิแสดงความคดิ เห็นและมีสทิ ธิออกเสยี ง
4. สหกรณต์ อ้ งจัดสรรผลประโยชนใ์ ห้แก่สมาชิกในรูปของเงินปนั ผลจากหุ้นส่วนทส่ี มาชกิ มีอยู่
5. เจ้าหน้าที่และสมาชิกของสหกรณม์ ีสิทธ์ิในการรับทราบขอ้ มูลท่ีเป็นประโยชน์ ตอ่ การพฒั นากจิ การสหกรณ์
6. เจ้าหนา้ ทแี่ ละสมาชิกสหกรณ์ควรหาความรใู้ หม่ ๆ และแลกเปลี่ยนความรรู้ ะหวา่ งกัน เพ่ือนำมาพฒั นา
กิจการของสหกรณ์
ระเบยี บการจัดตัง้ สหกรณ์
1. กำหนดช่ือและประเภทของสหกรณ์
2. กำหนดวตั ถปุ ระสงค์ของการจดั ตงั้ สหกรณ์
3. ตอ้ งมีคณะบคุ คลตั้งแต่ 10 คนข้นึ ไป
4. ตอ้ งจดทะเบียนจัดตง้ั สหกรณ์ตามพระราชบัญญตั สิ หกรณ์ พ.ศ. 2511
5. ต้องดำเนินการตามหลกั การของสหกรณ์
วธิ ีการจดั ต้งั สหกรณ์โรงเรยี น
1. จดั ประชุมเพือ่ เชิญชวนให้ผู้สนใจเขา้ ร่วมเปน็ สมาชกิ โดยชี้แจงขอ้ ดี ข้อเสยี รวมถึงผลประโยชนใ์ นการเขา้
เป็นสมาชกิ ของสหกรณ์
2. แต่งต้งั คณะบคุ คลเพื่อดำเนนิ การจัดต้งั สหกรณ์
3. กำหนดระเบยี บเก่ยี วกับสมาชิก ราคาหนุ้ เงนิ ปนั ผล และระเบียบข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ
4. เปิดรบั สมัครสมาชิกทสี่ นใจ
5. จัดประชมุ สมาชิกทงั้ หมดเกี่ยวกบั วิธีการดำเนนิ งานของสหกรณ์
วิธีการจดั ต้งั สหกรณข์ ึน้ ในชุมชน
1. ขัน้ เตรียมการ
- สำรวจความพร้อมของบุคลากรภายในชมุ ชน
- จดั หาสถานที่ในการจดั ต้ังสหกรณ์
- แตง่ ต้ังคณะผดู้ ำเนินงานจดั ตัง้ สหกรณ์
- คน้ ควา้ หาความรูเ้ ก่ยี วกบั การดำเนินกจิ การสหกรณแ์ ละหลกั การในการจดั ต้งั
- กำหนดระเบียบ ขอ้ บังคับและกฎเกณฑ์การรับสมาชิก ราคาห้นุ วตั ถุประสงคแ์ ละ
วิธีการดำเนินงานของสหกรณ์
2. ข้ันดำเนนิ การจัดต้งั
- เปดิ รบั สมาชกิ สหกรณ์
- ประชมุ สมาชกิ เพอ่ื แตง่ ตัง้ คณะกรรมการดำเนินงาน
3. ขั้นตอนดำเนินกิจการ
- คณะกรรมการต้องดำเนินกจิ การของสหกรณใ์ ห้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
หลักการและระเบยี บขอ้ บังคับของสหกรณ์
ประโยชนข์ องการจดั ต้งั สหกรณ์
1. สมาชกิ ของสหกรณ์สามารถซอื้ สินค้าไดใ้ นราคาทถ่ี กู ลง
2. การรวมตวั กันทำใหเ้ กิดการช่วยเหลอื ซึง่ กันและกันในหม่สู มาชิก
3. สมาชิกไดร้ ับประโยชน์จากเงินปันผล
4. ส่งเสรมิ ให้เกดิ ความสามคั คขี ้ึนในชมุ ชน
5. เปน็ แหลง่ เงินก้ขู องสมาชกิ
6. ทำใหเ้ กิดการเรียนรกู้ ารดำเนนิ ธรุ กิจในรูปแบบหนึ่ง ซ่ึงสามารถนำไปปรบั ใชใ้ นการทำธรุ กิจรูปแบบอืน่ ได้
ภาษี
ภาษี สถาบนั การเงิน
หมายถงึ เงนิ ท่รี ฐั หรือทอ้ งถนิ่ เรยี กเกบ็ จากบคุ คล เพื่อใช้จ่ายในการบริหารประเทศหรอื ทอ้ งถนิ่ ภาษีถือว่าเปน็
รายไดส้ ำคัญของรฐั ที่นำมาใชจ้ า่ ยด้านตา่ ง ๆ
การเสียภาษจี ะคดิ ตามปภี าษี เร่ิมต้ังแต่ 1 เมษายนปีนี้ – 31 มนี าคมปีถดั ไปของทกุ ปี การหลีกเล่ยี งไม่เสียภาษี
ตอ้ งเสยี ค่าปรับหรอื อาจถูกจำคุกได้ การเสยี ภาษเี ป็นสิ่งควรทำเพราะเงินภาษถี ูกนำไปใชใ้ นการพัฒนาประเทศ
ประโยชนข์ องภาษี
1. ใชใ้ นการพฒั นาประเทศในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น สรา้ งถนน สรา้ งโรงพยาบาล สร้างโรงเรยี นและก่อสรา้ งสิ่งต่าง ๆ
อันเปน็ ประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวม เปน็ ต้น
2. ใช้เปน็ เงินเดอื นข้าราชการประจำและข้าราชการการเมือง ซ่งึ ให้บริการประชาชนในดา้ นต่าง ๆ
ลกั ษณะของการจดั เกบ็ ภาษี
แบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
1. ภาษที างตรง คือ ภาษีทร่ี ฐั เรยี กเก็บโดยตรงจากบคุ คลผ้มู ีรายได้ เชน่ ภาษีเงนิ ได้ เป็นตน้
2. ภาษที างออ้ ม คือ ภาษีทผ่ี ูเ้ สยี ภาษีผลกั ภาระใหผ้ อู้ นื่ จา่ ยแทน เช่น ภาษีมูลคา่ เพิม่ ซง่ึ ผซู้ ื้อสนิ ค้าหรือบริการ
เป็นผ้จู า่ ยแทนผูป้ ระกอบการ เปน็ ตน้
ประเภทของภาษี
1. ภาษีเงนิ ได้ เปน็ ภาษีทเ่ี รยี กเก็บจากบคุ คลทีไ่ ด้รบั เงนิ ทรัพยส์ ินหรอื ประโยชนอ์ ย่างอนื่ ซ่ึงอาจคำนวณเปน็
เงินได้ แบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะ ไดแ้ ก่
- ภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา เป็นภาษีทร่ี ฐั เรียกเกบ็ จากบคุ คลท่มี ีรายได้ เช่น ขา้ ราชการ พนักงานบริษทั และ
พนักงานรฐั วสิ าหกจิ เปน็ ตน้
- ภาษีเงินไดน้ ิติบุคคล เปน็ ภาษที ่ีรฐั เรยี กเกบ็ จากผปู้ ระกอบการที่เปน็ กลุ่มบุคคลหรอื องคก์ ร เช่น บริษัท
หา้ งหุ้นสว่ น เป็นต้น โดยคดิ ภาษีจากกำไรท่ีได้รบั
2. ภาษีบำรุงท้องที่ เป็นภาษีท่ีเจ้าของท่ีดินตอ้ งเสยี เปน็ รายปจี ากราคาปานกลางของทดี่ ินตามท่ีทางราชการได้
กำหนดไว้ เพือ่ ให้เป็นรายไดข้ ององคก์ ารบรหิ ารสว่ นทอ้ งถนิ่ ซึง่ ท่ดี นิ อยู่ในเขตนน้ั
3. ภาษีโรงเรอื นและทดี่ ิน เป็นภาษที ่ีรฐั เรียกเก็บจากผูท้ ีม่ ีกรรมสทิ ธใ์ิ นท่ีดินและโรงเรียนรวมถึงส่งิ ปลูกสรา้ งอ่นื
บนทีด่ ินทใ่ี หเ้ ช่า ประกอบธรุ กิจการค้าหรือผลประโยชน์อน่ื ใดท่ีเจ้าของได้รบั ตอบแทนตอ้ งเสียภาษเี ป็นรายปี
ตามท่ีรัฐกำหนด
4. ภาษมี ูลคา่ เพ่ิม เปน็ การเรยี กเก็บภาษีทางออ้ มท่รี ฐั เรียกเกบ็ จากบคุ คลที่ซื้อสินค้าหรือบรกิ ารโดยจดั เกบ็
เฉพาะมูลคา่ ส่วนทีเ่ พิม่ ข้ึนในแตล่ ะขั้นตอนของการผลติ การจำหนา่ ยหรือการใหบ้ ริการ
5. ภาษีสรรพสามติ เป็นภาษีทีก่ รมสรรพสามติ เรยี กเกบ็ จากสินค้าท่ีผลติ หรอื นำเข้า และการใหบ้ ริการในทาง
ธุรกิจตามท่ีกฎหมายกำหนด เช่น ภาษีสุรา ภาษีบหุ ร่ี ภาษีกจิ การสถานบันเทิง และภาษรี ถยนต์ เปน็ ต้น
ใบงานที่ 1
เร่อื ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ให้ผูเ้ รียนศกึ ษาขอ้ มูลเก่ียวกับการหลกั เศรษฐศาสตร์และตอบคำถามต่อไปน้ี
1. เศรษฐกจิ หมายถึง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................
2. ปัจจัยในการผลิตสนิ คา้ และบรกิ ารมีอะไรบา้ ง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................
3.การบรโิ ภคสินคา้ ที่คงทน หมายถงึ
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
…………………………..………………………………..…………………...………………….............................................................
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................
4. สหกรณ์ หมายถึง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................
5.ประโยชน์ของการจัดต้งั สหกรณ์ ไดแ้ ก่
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...………
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................
ใบงานท่ี 2
เรอื่ ง การมคี ณุ ธรรมของผู้ผลิต ผบู้ รโิ ภค
คำสง่ั ให้ผเู้ รียนสบื คน้ ข้อมูลเกย่ี วกบั การมีคุณธรรมของผูผ้ ลติ ผบู้ ริโภค และนำความรู้ทไ่ี ด้มาอธิบาย
1.ใหบ้ อกชือ่ หน่วยงานของรัฐท่มี ีบทบาทคอยปกป้องคมุ ครองแก่ผู้บรโิ ภคสินคา้ และการบรกิ าร ว่ามีหน่วยงาน
ใดบา้ ง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
2. ให้อธบิ ายถึงผ้ทู เ่ี ก่ียวข้องซ่งึ ต้องมีคณุ ธรรมในการแลกเปล่ยี นสินคา้ และบรกิ าร ว่ามาจากสว่ นใดบา้ ง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
ใบงานที่ 3
เรือ่ ง แหล่งทนุ ในหมบู่ ้านและชุมชน
ใหผ้ ู้เรียนอธบิ ายคำถามดงั ตอ่ ไปนี้
1.แหล่งทนุ ในหมบู่ า้ น หมายถึง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
……….........................…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
2.สหกรณ์ หมายถงึ
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
……….........................…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
3.ใหอ้ ธบิ ายลกั ษณะสำคัญของสหกรณ์มีอะไรบา้ ง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
……….........................…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
4.หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อสนิ คา้ มอี ะไรบา้ ง
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
……….........................…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...
…………………………..………………………………..…………………...…………………..........................…………………………..…
……………………………..…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..
…………………...…………………..........................…………………………..………………………………..…………………...…………
ใบความรทู้ ี่ 2
เรอ่ื ง การเมืองการปกครอง
ความหมายความสำคญั ของการเมืองการปกครอง
ความเปน็ มาของรฐั ธรรมนญู
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสดุ หรือเปน็ กฎหมายหลกั ของประเทศทีอ่ อกโดยฝา่ ยนติ ิบัญญัติ คอื รฐั สภาอัน
ประกอบด้วยตัวแทนของประชาชน ดงั นน้ั รัฐธรรมนูญจึงเปน็ กฎหมายท่ปี ระชาชนสว่ นใหญ่ใหค้ วามเหน็ ชอบ
ความสำคัญ
รัฐธรรมนูญเปน็ กฎหมายหลกั ที่สำคญั ท่สี ดุ เป็นเสมอื นกฎหมายหรือกติกาทปี่ ระชาชนในสงั คมยอมรับใหเ้ ป็น
หลักในการปกครองและการบรหิ ารประเทศ ซ่ึงการออกกฎหมายใด ๆ ยอ่ มต้องดำเนนิ การภายในกรอบของ
บทบญั ญัตใิ นรฐั ธรรมนญู กฎหมายใดทีข่ ดั แยง้ ต่อรัฐธรรมนูญจะไม่สามารถใชบ้ งั คับได้
สาเหตทุ ่ีมีรัฐธรรมนูญในประเทศไทย
สาเหตุท่ีสำคัญมาจากการทีป่ ระเทศไทยเกดิ การเปลยี่ นแปลงทางการปกครองจากระบอบ
สมบรู ณาญาสิทธริ าชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึง่ เร่ิมมแี นวคิดมาต้ังแต่รชั กาลที่ 6 โดยกล่มุ บคุ คลที่เรียก
ตนเองวา่ “คณะราษฎร” ประกอบด้วย ขา้ ราชการ ทหาร พลเรือน ได้เขา้ ยดึ อำนาจการปกครอง พระบาท
สมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หัวจงึ ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรา่ งรฐั ธรรมนูญการปกครองแผน่ ดนิ ฉบบั ชวั่ คราวท่ี
คณะราษฎร์ไดเ้ ตรยี มไว้ นับว่าเปน็ รฐั ธรรมนญู ฉบบั แรกของไทย เม่ือวันท่ี 10 ธันวาคม 2475 ถือไดว้ ่าประเทศ
ไทยมีการเปลยี่ นแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธริ าชยม์ าเปน็ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
นับแต่นน้ั มา จนถึงปจั จุบนั ไดม้ กี ารเปลย่ี นแปลงแก้ไขและประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู การปกครองหลายฉบบั เพ่อื ให้
เหมาะสม สอดคลอ้ งกบั สภาวการณบ์ ้านเมืองทผี่ ันแปรเปลยี่ นในแตล่ ะยคุ สมัย โดยมสี าระสำคญั เหมอื นกัน คือ
ยดึ มั่นในหลักการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ จะมเี น้ือหาแตกต่างกันก็
เพ่อื ให้เหมาะสมกบั สภาวการณข์ องบ้านเมืองในขณะนัน้ ประเทศไทยมีรฐั ธรรมนญู มาแลว้ จำนวน 18 ฉบบั
และปัจจุบันใช้รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550
หลกั การสำคญั ของรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2550
รฐั ธรรมนญู ฉบบั ปจั จุบันมหี ลกั การและเจตนารมณ์ที่จะธำรงรักษาไวซ้ ง่ึ เอกราชและความม่ันคงของชาติ
เทดิ ทนู พระมหากษัตรยิ ์ ซึง่ หลักการสำคญั ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้ระบไุ ว้ในหมวด 1 บททั่วไป สรปุ ได้
ดังนี้
ประเทศไทยเป็นราชอาณาจกั รอนั หน่งึ อนั เดยี ว จะแบง่ แยกมไิ ดม้ ีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระ
มหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ อำนาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ศักดิศ์ รีความเปน็ มนษุ ย์ สิทธิ เสรภี าพ และ
ความเสมอภาพของบคุ คลต้องได้รับความคุ้มครองประชาชนชาวไทยทุกคนไม่แยกเพศ ศาสนาและย่อมไดร้ บั
ความค้มุ ครองเท่าเทยี มกัน
โครงสร้างของรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2550 แบ่งโครงสรา้ งออกเปน็ 105 หมวด และมีบทเฉพาะกาล
สรุปสาระสำคญั แตล่ ะหมวดดังน้ี
หมวด 1 บททวั่ ไป
ประเทศไทย เปน็ ราชอาณาจักรอันหนึ่งอนั เดยี วจะแบ่งแยกมไิ ด้ มีการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อนั มีพระ
มหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข พระมหากษตั รยิ ์ทรงใช้อำนาจทางรัฐสภา คณะรฐั มนตรีและศาล
หมวด 2 พระมหากษัตริย์
ทรงอยใู่ นฐานะอันเป็นทีเ่ คารพผู้ใดจะละเมดิ มไิ ด้ ทรงเลือกและแต่งตั้งประธานองคมนตรีและองคมนตรีไม่เกิน
18 คน
หมวด 3 สทิ ธแิ ละเสรีภาพของชนชาวไทย
การใชอ้ ำนาจโดยองคก์ รของรฐั ตอ้ งคำนงึ ถงึ ศักด์ิศรคี วามเป็นมนษุ ย์ สทิ ธแิ ละเสรีภาพของบุคคล ทงั้
ด้านการประกอบอาชพี การส่ือสาร การแสดงความคดิ เหน็ ความเปน็ ธรรมด้านการศึกษา การสาธารณสขุ และ
สวัสดกิ ารของรฐั เสรภี าพในการชมุ ชนท่ีไม่ละเมิดสิทธผิ ู้อน่ื และกฎหมาย
หมวด 4 หน้าทีข่ องชนชาวไทย
บคุ คลมหี น้าท่ีพิทกั ษร์ กั ษาชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ แ์ ละการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหา
กษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข และมหี นา้ ทีป่ อ้ งกนั รักษาผลประโยชน์ของชาติ ปฏิบัตติ ามกฎหมายโดยเฉพาะหนา้ ทไ่ี ป
ใช้สิทธเิ ลือกตั้ง
หมวด 5 แนวนโยบายพ้ืนฐานแหง่ รฐั
เน้นใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วม การกระจายอำนาจ การดำเนนิ งาน มุง่ เน้นการพัฒนาคณุ ภาพ คุณธรรม มี
ประสทิ ธิภาพ โปรง่ ใสใหค้ วามคุ้มครองและพฒั นาเดก็ เยาวชน ส่งเสริมความรรู้ ักสามัคคี
หมวด 6 รฐั สภา
รัฐสภามหี นา้ ทบ่ี ญั ญตั กิ ฎหมายและควบคมุ การปฏิบัติงานของฝ่ายบรหิ าร ประกอบดว้ ย 2 สภา คอื สภา
ผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวฒุ ิสภา (ส.ว.)
หมวด 7 การมสี ว่ นร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน
ประชาชนมผี ู้มีสทิ ธเิ ลือกตง้ั มีสทิ ธิเข้าช่ือรอ้ งขอต่อวฒุ ิสภาใหถ้ อดถอนบคุ คลออกจากตำแหน่งไดเ้ พราะมีสทิ ธิ
ออกเสียงประชามติ
หมวด 8 การเงิน การคลงั และงบประมาณ
เพอ่ื กำหนดหลกั เกณฑ์เกย่ี วกับการจัดหารายได้ การกำหนดรายจ่าย การก่อหนห้ี รอื การดำเนินการทผ่ี ูกพนั
ทรพั ย์สนิ ของรฐั หลักเกณฑก์ ารกำหนดวงเงนิ สำรองจา่ ย เพือ่ กรณฉี กุ เฉินหรือจำเปน็ ซง่ึ เป็นกรอบในการกำกับ
การใช้จา่ ยเงินตามแนวทางการรกั ษาวนิ ยั การเงนิ การคลงั และรกั ษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกิจอย่างย่งั ยืนและ
เปน็ แนวทางในการจัดทำงบประมาณรายจา่ ยของแผ่นดนิ
หมวด 9 คณะรัฐมนตรี
รฐั ธรรมนญู กำหนดใหม้ ีนายกรฐั มนตรี 1 คน และมีรฐั มนตรีอน่ื อกี ไมเ่ กิน 35 คน โดยไดร้ ับการแตง่ ตง้ั จากพระ
มหากษตั รยิ ์
หมวด 10 ศาล
กำหนดใหศ้ าลหรอื อำนาจตลุ าการแบ่งเปน็
ทั่วไป
ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลยุตธิ รรม
ศาลปกครอง
ศาลทหาร
หมวด 11 องค์กรตามรัฐธรรมนญู
กำหนดใหม้ อี งค์กรท่จี ะดำเนนิ การตรวจสอบ ตดิ ตามการทำงานของบคุ คล คณะบุคคลและหนว่ ยงาน ท้ังภาค
รัฐและเอกชน ดังนี้
1. องคก์ รอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู ประกอบด้วย คณะกรรมการการเลอื กตง้ั ผตู้ รวจการแผ่นดนิ คณะกรรมการ
ปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ และคณะกรรมการตรวจเงนิ แผ่นดนิ
2. องค์กรอันตามรฐั ธรรมนูญ ประกอบด้วย องคก์ รอัยการ คณะกรรมการสทิ ธิมนุษยชนแหง่ ชาตแิ ละสภาที่
ปรกึ ษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หมวด 12 การตรวจสอบการใช้อำนาจรฐั
กำหนดใหม้ กี ารตรวจสอบขา้ ราชการประจำและขา้ ราชการการเมอื ง
หมวด 13 จรยิ ธรรมของผูด้ ำรงตำแหนง่ ทางการเมอื งและเจ้าหน้าทขี่ องรัฐ
การพจิ ารณา สรรหา แต่งต้งั บุคคลเข้าสตู่ ำแหน่งตอ้ งเปน็ ไปตามระบบคณุ ธรรมและคำนงึ ถึงพฤติกรรมทาง
จรยิ ธรรมดว้ ย
หมวด 14 การปกครองสว่ นท้องถิน่
ให้ความเป็นอสิ ระแกอ่ งคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน มสี ภาท้องถ่ินในการบริหารงานเน้นการกระจายอำนาจ
ใหก้ ารสนับสนนุ กำหนดนโยบายการบริหาร
หมวด 15 การแกไ้ ขเพม่ิ เติมรัฐธรรมนญู
มกี ารแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ได้ แตห่ า้ มแกไ้ ขทม่ี ีผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย อันมีพระมหา
กษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ หรอื เปลยี่ นแปลงรปู ของรัฐ
โครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดนิ
การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ เปน็ อำนาจหน้าที่ของรัฐบาล (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตร)ี แบ่งออกเปน็
การบรหิ ารราชการส่วนกลาง ได้แก่ การกำกับดูแลสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง
การบริหารราชการส่วนภมู ภิ าค ได้แก่ จงั หวัดและอำเภอ โดยจงั หวดั และอำเภอรับคำสัง่ จากสว่ นกลาง คือ
กระทรวง ทบวง กรม ไปปฏิบัติ การบรหิ ารราชการสว่ นทอ้ งถ่นิ ไดแ้ ก่ การปกครองสว่ นท้องถนิ่ ของไทยตาม
พระราชบัญญัติระเบยี บบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำแนกเปน็ องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั เทศบาล
องคก์ ารบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร เมอื งพทั ยา
แนวคดิ เร่ืองการปกครองส่วนท้องถน่ิ
เจตนารมณข์ องรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2540 ประการหนึง่ คอื มุ่งหวังทีจ่ ะปรบั ปรงุ
โครงสร้างทางการเมอื งการปกครองให้พฒั นาสงั คมไทยไปสสู่ ังคมประชาธปิ ไตยอยา่ งแท้จริง สาระสำคัญของ
การปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ บญั ญตั ไิ วใ้ นหมวด 9 ของรฐั ธรรมนูญฉบบั ปจั จบุ ัน ในมาตรา 282 โดยอา้ งถงึ มาตรา 1
เปน็ กรอบในการกำหนดอำนาจหน้าทว่ี า่ รัฐจะตอ้ งให้ความเปน็ อสิ ระแกท่ ้องถน่ิ ตามหลักแหลง่ การปกครองตน
เองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น
การปกครองทอ้ งถิ่นจำแนกออก ดังนี้
1. องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั จัดตง้ั ข้ึนโดยพระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหารราชการสว่ นจงั หวดั โดยกำหนดให้
จดั ตั้งขน้ึ ทุกจังหวัด (ยกเว้น กรุงเทพมหานคร) ปจั จุบนั ประเทศไทยมอี งค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั 76 แห่ง (76
จังหวัด)
อำนาจหนา้ ท่ขี ององค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั มีหนา้ ท่ดี งั นี้ คือ รักษาความสงบ
เรียบรอ้ ยจัดการเรอ่ื งการศกึ ษา บำรุงศาสนา สง่ เสริมวัฒนธรรม
ดูแลกจิ การสาธารณูปโภคในจงั หวดั ใหไ้ ดร้ บั ความสะดวกดำเนินการป้องกันโรค บำบัดโรค โดยจดั ต้งั สถาน
พยาบาลของทอ้ งถนิ่ และบำรงุ ให้ตอ่ เนือ่ งจัดดูแลระบบคมนาคมทางนำ้ ทางบก จดั ระบบระบายน้ำใหด้ ี
โครงสร้างองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ประชาชนในทอ้ งถ่นิ เลือกต้ังสมาชกิ สภาองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ทกุ 4 ปี ผูท้ ่ีได้รบั การเลอื กตง้ั เป็นสมาชกิ
สภาองค์การบริหารส่วนจงั หวดั หรือ (ส.จ.) ทำหนา้ ท่ใี นสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยลงมตเิ ลือก
ประธานสภาองค์การบรหิ ารส่วนจังหวดั และนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัด
แผนผงั แสดงโครงสรา้ งองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั
โครงสรา้ งองค์การบริหารส่วนจงั หวดั
ประชาชน นายกองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัด
สภาองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวดั รองนายก อบจ.
ปลัด อบจ. (แตง่ ต้งั )
ส่วนอำนวยการ ส่วนแผนงาน ส่วนกจิ การ อบจ. สว่ นการคลงั ส่วนช่าง
และงบประมาณ
2. เทศบาล เปน็ องค์กรที่จดั ตง้ั ข้ึนโดยพระราชบัญญตั ิเทศบาล พ.ศ. 2496 เทศบาลแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท
คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมอื ง และเทศบาลนคร โดยใช้เกณฑจ์ ำนวนประชากรและรายไดข้ องท้องถนิ่ เป็น
องคป์ ระกอบสำคญั ในการแบง่ ประเภทของเทศบาล
อำนาจหนา้ ทีข่ องเทศบาล คือ เทศบาลมอี ำนาจหน้าทโ่ี ดยรวมดังน้ี
ดแู ลความสงบเรยี บร้อยของประชาชนดูแลความสะอาดของถนน ทีส่ าธารณะ ระบบการจัดเกบ็ ขยะ
จัดใหม้ สี วนสาธารณะสง่ิ แวดลอ้ มท่สี ะอาด สวยงามเป็นทพ่ี ักผ่อนป้องกนั ภัยจากอัคคีภยั และจัดเคร่อื งมอื ระงบั
ภยั จัดระบบการศกึ ษาในเขตเทศบาลปอ้ งกันและระวงั โรคตดิ ตอ่
โครงสรา้ งของเทศบาล
เทศบาลแบ่งออกเป็น 3 ระบบ คือ เทศบาลตำบล เทศบาลเมืองและเทศบาลนคร แตล่ ะองคก์ รประกอบดว้ ย สภา
เทศบาล มาจากการเลือกต้ังของประชาชน (ทำหน้าท่ฝี า่ ยนติ บิ ัญญัต)ิ สภาเทศบาลจะเลอื กสมาชกิ เป็นคณะ
เทศมนตรี (ทำหนา้ ทีฝ่ า่ ยบริหารของเทศบาล) ประกอบด้วยนายกเทศมนตรีและเทศมนตรี จำนวนสมาชิกสภา
เทศบาลและคณะเทศมนตรีจะแตกต่างกันตามประเภทของเทศบาล คือ
เทศบาลตำบล ประกอบด้วย
สภาเทศบาล 12 คน คณะเทศมนตรี มี นายกเทศมนตรี 1 คน เทศมนตรี 2 คน
เทศบาลเมอื ง ประกอบด้วยสภาเทศบาล 18 คน คณะเทศมนตรี มี นายกเทศมนตรี 1 คน เทศมนตรี 2 – 3 คน
เทศบาลนคร ประกอบด้วยสภาเทศบาล 24 คน คณะเทศมนตรี มี นายกเทศมนตรี 1 คน เทศมนตรีไมเ่ กนิ 4 คน
โครงสร้างของระเบยี บบริหารราชการกรงุ เทพมหานคร
ประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เลือกต้ังผวู้ ่าราชการกรุงเทพมหานคร บรหิ ารกจิ การในกรงุ เทพมหานคร มวี าระ
การดำรงตำแหน่ง 4 ปี
ประชาชนเลอื กต้ังสมาชกิ กรุงเทพมหานคร (ฝ่ายนิตบิ ัญญัต)ิ กำหนดใหป้ ระชาชนในแต่ละเขตปกครอง เลือก
สมาชิกสภาเขต (ส.ก.) ไดเ้ ขตละ 1 คน ปัจจุบันกรงุ เทพมหานคร มี 50 เขตปกครอง
ประชาชนเลือกตัง้ สมาชิกสภาเขต (ส.ข.) เป็นฝา่ ยนิตบิ ญั ญัตขิ องเขต (จำนวน ส.ข. คำนวณตามเกณฑ์ราษฎร)
แตล่ ะเขตมี ส.ข. อย่างน้อยเขตละ 7 คน เขตใดมีราษฎรเกนิ หนึง่ แสนคน ให้มี ส.ข. ไดเ้ พิ่มอีก 1 คน เศษของแสน
ถา้ เกนิ ห้าหมืน่ ให้นับเป็นหน่งึ แสนคน เศษของแสนถา้ เกนิ ห้าหม่ืนให้นบั เปน็ หน่ึงแสนคน
กรงุ เทพมหานคร
ผวู้ ่าราชการกรุงเทพมหานคร สภากรุงเทพมหานคร
(ฝา่ ยบริหาร) วาระ 4 ปี (ฝ่ายนิติบัญญตั ิ) วาระ 4 ปี
รองผวู้ ่าราชการกรงุ เทพมหานคร วาระ 4 ปี
ปลัดกรงุ เทพมหานคร (มาจากแต่งตงั้ ) ประชาชนเลอื กตง้ั
สนง.เขต ผอู้ ำนวยการเขต ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
(ปลัด กทม.แต่งตง้ั ) (ฝา่ ยบรหิ าร) วาระ 4 ปี
5. เมืองพทั ยา
เมืองพัทยาเปน็ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ รูปแบบพเิ ศษ จัดต้ังขึ้นตามพระราชบัญญัตริ ะเบยี บบริหาราชการเมืองพทั ยา
พ.ศ. 2521 สาเหตทุ ีม่ กี ารปรับปรงุ การปกครองท้องถ่ินเมอื งพัทยาจากรปู แบบเดิม คือ สขุ าภบิ าล นาเกลอื จงั หวัดชลบรุ ี
เปน็ เมอื งท่องเทีย่ วท่ีมรี ายได้และเศรษฐกิจอยู่ในระดับดี จึงใช้รูปแบบการจดั การเมอื ง (City Manager System) ซ่ึงเปน็
ระบบนักบริหารมืออาชีพเพื่อความคล่องตัวในการบริหาร ต่อมามีพระราชบญั ญัตริ ะเบียบบรหิ ารราชการเมอื งพทั ยา พ.
ศ. 2542 มาใช้แทนพระราชบญั ญัตฉิ บบั เดมิ อำนาจหน้าท่ีของเมอื งพัทยา รกั ษาความสะอาดเรียบรอ้ ย วางผงั เมืองและ
ควบคุมการกอ่ สรา้ งจดั สิง่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ จัดการจราจรควบคุมและส่งเสรมิ การทอ่ งเที่ยวจดั ใหม้ นี ำ้
สะอาดใชค้ วบคมุ ระเบยี บตลาด ทา่ เทียบเรอื ท่ีจอดรถ
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอำนาจนติ บิ ญั ญตั ิ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ
ระบบการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบนั
ประเทศไทยเปล่ยี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธริ าชยเ์ ปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย ตั้งแตว่ นั ท่ี 24
มถิ ุนายน 2475 เปน็ ต้นมา นับเป็นการส้ินสุดการปกครองระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยแ์ ละเรมิ่ ตน้ การปกครองระบอบ
ประชาธปิ ไตย ระบบรฐั สภาอันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุข มีรฐั ธรรมนญู เปน็ กฎหมายสงู สดุ รูปแบบของรัฐเป็นรฐั
เดยี่ ว มอี ำนาจอธปิ ไตยหรอื อำนาจสงู สดุ ในการปกครองรฐั เป็นของประชาชน พระมหากษัตริยท์ รงใช้อำนาจอธิปไตย
แทนปวงชน โดยทรงใช้อำนาจนติ ิบัญญตั ิผ่านทางรฐั สภา ทรงใชอ้ ำนาจบรหิ ารผา่ นทางคณะรฐั มนตรแี ละทรงใช้อำนาจ
ตุลาการผ่านทางศาล
โครงสรา้ งการเมอื งการปกครองของไทย
แผนภมู ิแสดงโครงสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
รัฐธรรมนูญ
พระมหากษตั ริย์
(ทรงใชอ้ ำนาจอธิปไตยแทนปวงชน)
อำนาจอธิปไตย
นิติบญั ญตั ิ (รัฐสภา) บริหาร ตุลาการ
(คณะรัฐมนตรี) (ศาล)
ส.ส. ส.ว. นายก รัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ศาลรัฐธรรมนูญ
สมาชิกสภา วฒุ ิสภา (1 คน) (ไม่เกิน 35 คน) ศาลยตุ ิธรรม
ผแู้ ทนราษฎร ศาลปกครอง
ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลทหาร
อำนาจอธปิ ไตย หมายถึง อำนาจสงู สุดในการปกครองประเทศโดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้เปน็ อำนาจของปวง
ชนชาวไทย ซึง่ สอดคลอ้ งกบั หลักการของระบอบประชาธิปไตยท่ถี ือว่า ประชาชนเปน็ เจ้าของประเทศ
ดงั นัน้ อำนาจอธปิ ไตยจึงเป็นเครื่องชี้ถึงความเป็นประชาธปิ ไตยและความเปน็ เอกราชของชาติ เพราะประเทศท่ีมี
เอกราชและเปน็ อสิ ระไมอ่ ยูภ่ ายใตก้ ารปกครองของรฐั อื่นเท่านั้น จงึ จะใช้อำนาจอธปิ ไตยได้โดยสมบรู ณ์
อำนาจอธปิ ไตย แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ไดแ้ ก่ อำนาจนิตบิ ัญญัติ (รฐั สภา) อำนาจบริหาร (คณะรัฐมนตรี) และอำนาจ
ตุลาการ (ศาล) โดยรฐั ธรรมนูญบัญญตั ิใหพ้ ระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ผู้ทรงใชอ้ ำนาจอธปิ ไตยท้งั สามแทนปวงชนชาวไทย โดย
ผา่ นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรแี ละศาลตามลำดบั
ทงั้ นี้ สถาบนั ทงั้ สามดงั กล่าวตา่ งมีอำนาจเปน็ อิสระตอ่ กนั แตม่ ีความสัมพนั ธ์ซึง่ กนั และกนั สามารถตรวจสอบและ
ถว่ งดุลการใช้อำนาจของอกี ฝ่ายหนึง่ ได้ อำนาจอธปิ ไตยทัง้ 3 มดี ังนี้
1. อำนาจนิตบิ ญั ญัติ คือ อำนาจในการตรากฎหมายใช้บงั คับแก่พลเมืองของประเทศ โดยรฐั สภาเป็นผทู้ ำหน้าที่ทีโ่ ดย
ตรง พระมหากษตั ริย์จะทรงใช้อำนาจนติ บิ ัญญตั ิผา่ นทางรัฐสภา โดยทรงลงพระปรมาภไิ ธยในร่างพระราชบญั ญตั ทิ ี่
ผา่ นการพิจารณาจากรัฐสภาแล้วเปน็ ผลให้กฎหมายฉบับนน้ั มีผลใช้บังคบั โดยสมบูรณ์
2. อำนาจบริหาร คือ อำนาจในการบงั คับใชก้ ฎหมาย บรหิ ารและจัดการปกครองบ้านเมืองใหเ้ ปน็ ระเบยี บเรียบร้อย
เพอ่ื ใหเ้ กิดความเจรญิ ก้างหนา้ และความผาสุกของประชาชน ผู้ทำหน้าทด่ี า้ นบรหิ ารโดยตรง คอื รัฐบาลหรือ
คณะรัฐมนตรี พระมหากษตั ริย์จะทรงใช้อำนาจบรหิ ารผ่านทางคณะรฐั มนตรี เช่น ทรงลงพระปรมาภิไธยแตง่ ตั้ง
ข้าราชการระดบั สูงให้ปฏิบัตหิ น้าท่ี เช่น ปลัดกระทรวงและอธบิ ดีกรมต่าง ๆ เป็นต้น
2. อำนาจตลุ าการ คือ อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดใี ห้เปน็ ไปตามกฎหมาย โดยศาลเปน็ ผู้ใชอ้ ำนาจหรอื
ปฏบิ ัติหนา้ ทน่ี โี้ ดยตรง พระมหากษัตรยิ ์จะทรงใช้อำนาจตลุ าการผา่ นทางศาล เชน่ ทรงลงพระปรมาภไิ ธย
แตง่ ตั้ง ประธานศาลฎีกาและผ้พู ิพากษาให้ปฏิบตั ิหนา้ ที่ เปน็ ตน้
เรอ่ื งที่ 4
การมสี ่วนรว่ มทางการเมืองการปกครองในระดับทอ้ งถิ่นและระดบั ประเทศ
ในสงั คมประชาธิปไตย ถอื ว่าอำนาจอธิปไตย ซ่ึงเปน็ อำนาจสงู สุดในการปกครองรัฐ เปน็ ของประชาชน ประชาชนจึง
บทบาทในการมีสว่ นรว่ มกำหนดแนวทางการปกครองรัฐเพอ่ื ประโยชน์แกป่ วงชน สนองความต้องการของปวงชน
ฉะนน้ั การมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองการปกครองจงึ เป็นหัวใจของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
รปู แบบการมีสว่ นร่วมทางการเมอื ง
การมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองการปกครอง หมายถึง การท่ปี ระชาชนในฐานะเป็นเจา้ ของประเทศมีสว่ นในการกำหนด
นโยบายหรอื กำหนดการตดั สนิ ใจของรฐั บาลในการดำเนนิ งานของรัฐเพือ่ ประโยชนแ์ ก่ประชาชน
การมีส่วนรว่ มทางการเมืองการปกครองของไทยมีหลายรูปแบบ เชน่ การแสดงความคิดเห็นของประชาชนผา่ นสือ่ ตา่ ง
ๆ เช่น หนงั สือพมิ พ์ วิทยุการจัดอภปิ รายทางการเมืองเพือ่ หาขอ้ มลู หรอื ข้อสรุปการลงคะแนนเสยี งเลอื กต้งั ตัวแทน
ระดับท้องถิน่ ระดับจังหวัดและระดับประเทศ การสมัครเป็นสมาชกิ พรรคการเมือง การสมัครรับเลอื กตง้ั เปน็ สมาชิก
สภาทอ้ งถ่นิ หรอื สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร การชุมนมุ โดยสงบและปราศจากอาวุธเพอื่ เรียกรอ้ งผลประโยชนใ์ หก้ ับกลมุ่
พรรคการเมอื ง หมายถึง กลุ่มบคุ คลท่มี อี ุดมการณท์ างการเมืองหรอื มีเจตนารมณ์ในการพัฒนาเศรษฐกจิ สงั คมและ
การเมอื งแนวเดียวกนั มารวมตัวกัน เพ่ือนำแนวคิดทางการเมอื ง เศรษฐกิจ สังคมเป็นหลักในการบรหิ ารประเทศ
โดยสมัครรบั เลือกตัง้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร โดยมุ่งหวงั จะเป็นรฐั บาลหรอื เป็นฝา่ ยค้านเพอื่ เขา้ ไปทำหนา้ ทคี่ วบคมุ
การทำงานของรฐั บาล การเลือกตง้ั เปน็ สทิ ธแิ ละหน้าทขี่ องประชาชนชาวไทย การเลอื กต้งั เปน็ การมีสว่ นรว่ มทางการ
เมืองท่ีสำคญั รปู แบบหนึ่งประโยชน์ของการเลอื กตัง้ การเลือกต้งั เป็นวธิ ีการเปลยี่ นอำนาจ ทำให้มีการหมุนเวยี น
ผลดั เปล่ียนอำนาจตามวธิ ีการหรือกระบวนการทก่ี ำหนดไว้ในรัฐธรรมนญู โดยประชาชน
บทบาทหนา้ ที่ ความรบั ผดิ ชอบของตนเองในฐานะพลเมืองดขี องทอ้ งถนิ่ และประเทศชาติ
การดำเนินชวี ติ ตามวถิ ีทางประชาธิปไตย เชน่ การเคารพความคิดเห็นของกนั และกนั ยอมรับความคิดเหน็ ของสมาชิก
สว่ นใหญ่และแสดงความคิดเหน็ ทส่ี ร้างสรรค์ เพ่ือหาทางเลือกทด่ี ที ่สี ุดท่จี ะพัฒนาสงั คมให้เจริญกา้ วหนา้ และอำนวย
ความผาสุกใหแ้ กส่ มาชิกสว่ นใหญ่ รวมท้งั สมาชกิ จะดำรงชีวติ อยู่ร่วมกนั อย่างสันติสุข ถงึ แม้จะมคี วามขดั แยง้ กนั ก็
สามารถหาขอ้ ยุติไดด้ ้วยการใช้เหตุผลตดั สนิ ใจกับปญั หานนั้ โดยไมม่ ีการใชก้ ำลังเขา้ แกไ้ ขปญั หา ดงั น้ัน ตวั เราจงึ ต้อง
รบั รบู้ ทบาทและหนา้ ท่ขี องตนเองในฐานะพลเมืองที่ดี การเปน็ สมาชิกในชุมชน จึงมีบทบาทและหนา้ ที่ ดงั น้ี
มีความรกั และภมู ิใจในชมุ ชนทอ้ งถิน่ ของตนเองดว้ ยการชว่ ยรักษาและพัฒนาชมุ ชนและท้องถ่ินของตนใหม้ สี ภาพ
แวดลอ้ มทสี่ วยงาม สะอาด นา่ อยู่อาศยั และไร้มลพิษตา่ ง ๆเคารพและปฏิบัตติ ามขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรม
และระเบียบข้อบงั คบั กฎหมายของชุมชน ประเทศชาตจิ ะทำให้สมาชิกของชุมชนอยรู่ ว่ มกนั อย่างสงบสุขรกั ษา
สาธารณสมบัติของชุมชนไวใ้ ห้คงอยูแ่ ละใชท้ รัพยากรของชุมชนอยา่ งประหยดั เพือ่ ประโยชน์ร่วมกัน ซ่งึ จะทำให้
สมาชกิ ของชุมชนไดร้ บั ประโยชน์จากสาธารณสมบัตนิ น้ั ๆ อย่างเตม็ ท่แี ละยาวนานเสียสละประโยชน์สว่ นตนเพือ่
ประโยชน์ส่วนรวม เช่น เสยี ภาษีหรอื คา่ ธรรมเนียมทกุ ชนิดทช่ี ุมชนหรือประเทศชาติกำหนด เพือ่ ชมุ ชน ประเทศชาติ
จะได้นำเงินเหล่านั้นไปใช้บำรงุ รกั ษาและพฒั นาชมุ ชนให้เจรญิ ก้าวหนา้ ต่อไปสนบั สนุนนโยบายของทางราชการที่
ตอ้ งการรกั ษาและพัฒนาชุมชนใหเ้ จรญิ ก้าวหน้า รวมทงั้ ร่วมมือกบั ทางราชการปอ้ งกันมใิ ห้ใครมาทำลายสภาพ
แวดล้อมทดี่ ีของชมุ ชนบทบาทและหน้าที่ต่าง ๆ ของเราทป่ี ฏิบัติต่อชมุ ชนและประเทศชาติ จะก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อ
ตนเองดว้ ย อาทิ ถ้าเราเคารพสทิ ธิของกนั และกนั และเคารพกฎหมาย สมาชกิ ในชุมชนนน้ั กจ็ ะอยูร่ ่วมกนั อย่างสันติ
เราเองกย็ ่อมจะได้รับประโยชน์อย่างมาก
คุณธรรมของการเปน็ พลเมอื งดใี นสงั คมประชาธปิ ไตยในระดบั กลมุ่ สงั คม ทอ้ งถิ่นและประเทศชาติ
1. การเห็นแกป่ ระโยชน์ส่วนรวม เพราะสงั คมประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ได้ และสามารถพัฒนาให้มีความเจริญกา้ วหน้า
ไดอ้ ย่างมาก ถา้ สมาชิกในสังคมเห็นแกป่ ระโยชนส์ ่วนรวมและยอมเสยี สละ ประโยชนส์ ว่ นตนเพอื่ ประโยชน์ส่วนรวม
เสมอ
2. การรับฟังความคิดเหน็ ของกันและกนั และเคารพในมตขิ องเสียงสว่ นมาก สมาชกิ ในสงั คมประชาธปิ ไตยมกั จะมีค
วามคดิ เห็นในปัญหาต่าง ๆ ของสงั คมและแนวทางแกไ้ ขปญั หานัน้ แตกต่างกนั จงึ จำเปน็ ตอ้ งใชเ้ สียงขา้ งมาก หาข้อยุติ
เก่ียวกับแนวทางในการแกไ้ ขปัญหานน้ั ๆ แตท่ ั้งนเี้ สียงส่วนมากก็จะตอ้ งเคารพความคดิ เหน็ ของเสยี งสว่ นนอ้ ย และจะ
ต้องไมถ่ ือว่าเสียงสว่ นน้อยเปน็ ฝา่ ยผดิ จงึ จะทำให้สงั คมประชาธปิ ไตยโดยดำรงอยไู่ ดอ้ ย่างสนั ติ
3. การมรี ะเบียบวินยั และรบั ผดิ ชอบหน้าท่ี ถา้ สมาชิกในสังคมประชาธิปไตยโดยยึดมั่นในระเบียบวนิ ัย ควบคุมตนเอง
ได้ ไมล่ ะเมดิ สิทธิของผูอ้ น่ื และต้ังใจปฏิบตั ิหนา้ ทขี่ องตนใหด้ ีท่สี ุดเทา่ ทจ่ี ะดไี ด้ สงั คมประชาธิปไตยน้นั กจ็ ะมีแตค่ วาม
สงบสุขและเจริญก้าวหน้า
4. ความซอ่ื สตั ยส์ ุจริต ถา้ สมาชิกในสังคมประชาธปิ ไตยทกุ คนยึดมน่ั ในความซ่อื สตั ยส์ ุจรติ เช่น ไมล่ ักทรพั ย์ ไม่
เบียดเบยี นทรพั ยส์ นิ ของผอู้ น่ื มาเป็นของตน หรือถา้ ข้าราชการก็ปฏบิ ัตหิ น้าท่ี
ดว้ ยความซือ่ สัตย์สจุ รติ ไมเ่ ห็นแกอ่ ามิสสนิ จา้ ง ไมท่ ำการคอรัปชนั่ สังคมนน้ั จะมสี ันตสิ ขุ และเจริญกา้ วหนา้ ขึ้นเรือ่ ย ๆ
ใบงานที่ 4
เร่ือง การเมอื งการปกครองของไทย
ให้ผู้เรียนรวบรวมขอ้ มูล ชือ่ ของหัวหน้าฝา่ ยปกครอง สถานที่ทำงานของบุคคลเหลา่ น้ันในเขตพื้นทีท่ ผ่ี เู้ รยี นอาศยั อยู่
ตง้ั แต่ระดับจงั หวดั อำเภอ ตำบล หมู่บา้ นเพอื่ จะไดร้ จู้ กั และสามารถตดิ ตอ่ กับบคุ คลเหลา่ นนั้ ไดถ้ ูกตอ้ งตามบทบาท
หนา้ ที่
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
ใบงานที่ 5
เร่ือง การมสี ่วนร่วมทางการเมอื งการปกครองในระดับท้องถนิ่ และระดบั ประเทศ
ให้ผูเ้ รยี นสืบคน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกับการมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งการปกครองในระดับทอ้ งถิ่นและระดบั ประเทศแลว้ นำความ
รู้ทไี่ ด้มาอธิบาย
1.การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง หมายถึง
.........................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
2.จงบอกรปู แบบของการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื งว่ามีรปู แบบใดบ้าง
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
3.ใหผ้ ้เู รยี นอธิบายลกั ษณะการแสดงกจิ กรรมที่ใช้ความรนุ แรงในการแสดงออกถงึ การมีส่วนรว่ มทางการเมอื ง ดงั น้ี
3.1.การประท้วง
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
3.2.การลอบทำร้ายบคุ คลสำคญั ทางการเมือง
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
4.ใหอ้ ธิบายปญั หาการมสี ่วนรว่ มทางการเมืองของประชาชนตามท่ีเขา้ ใจพอสังเขป
4.1.ปัญหาความตนื่ ตัวทางการเมอื ง
4.2.ปัญหาวฒั นธรรมทางการเมืองและการศกึ ษา
4.3.ปญั หาจากบทบาทของพรรคการเมือง
แบบทดสอบก่อนเรยี น
เรื่อง การเมืองการปกครองประเทศไทย
1. การปกครองโดยใชเ้ สยี งสว่ นใหญ่จดั เปน็ การปกครองรปู แบบใด
ก. การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ข. การปกครองระบบคอมมิวนสิ ต์
ค. การปกครองแบบสหพันธรัฐ ง. การปกครองแบบสงั คมนยิ ม
2. อำนาจอธปิ ไตยแบ่งออกไดก้ ส่ี ว่ น
ก. 2 สว่ น ข. 3 สว่ น
ค. 4 สว่ น ง. 5 ส่วน
3. ขอ้ ใดท่ไี ม่จดั ว่าเปน็ อำนาจอธิปไตย
ก. อำนาจนิตบิ ญั ญัติ ข. อำนาจบรหิ าร
ค. อำนาจศาล ง. อำนาจตุลาการ
4. องคก์ ารบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นการกระจายอำนาจการบรหิ ารราชการแบบใด
ก. การบรหิ ารราชการส่วนท้องถนิ่ ข. การบริหารราชการส่วนกลาง
ค. การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ง. การบรหิ ารราชการส่วนจังหวัด
5. กรุงเทพมหานคร จดั การบรหิ ารราชการแบบใด
ก. การบริหารราชการสว่ นท้องถ่ิน ข. การบริหารราชการส่วนกลาง
ค. การบรหิ ารราชการสว่ นภูมิภาค ง. การบริหารราชการรปู แบบพิเศษ
6. ขอ้ ใดไม่จัดว่าเป็นการจัดระเบยี บบรหิ ารราชการส่วนภูมิภาค
ก. จงั หวดั ข. อำเภอ
ค. ตำบล ง. ไม่มีขอ้ ใดถูก
7. สำนกั นายกรฐั มนตรีมีฐานะใดในการบริหารราชการส่วนกลาง
ก. นิติบุคคล ข. กรม
ค. กระทรวง ง. สำนกั
8. การจัดตง้ั ยบุ ยกเลิก หนว่ ยงานของสำนกั นายกรัฐมนตรี จะออกกฎหมายในข้อใด
ก. ประกาศ ข. กฎกระทรวง
ค. พระราชบัญญตั ิ ง. ถกุ ทุกข้อ
9. หน่วยงานใดที่จดั การปกครองโดยการบรหิ ารราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ รปู แบบพิเศษ
ก. องค์การบรหิ ารส่วนตำบล ข. องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั
ค. เมืองพัทยา ง. เทศบาลตำบล
10. การใช้อำนาจในการปกครองประเทศไทยอยู่ภายใตก้ รอบทกี่ ำหนดไว้ของส่งิ ใด
ก. กฎหมาย ข. รฐั ธรรมนูญ
ค. ความตอ้ งการของรัฐ ง. ความต้องการของประชาชน
1.ก 2 .ข เฉลย คำตอบแบบทดสอบก่อนเรียน
เรอื่ ง การเมอื งการปกครองประเทศไทย
3.ค 4. ก 5. ง 6. ค 7. ง 8. ค 9. ค 10. ข
แบบทดสอบหลังเรยี น
เร่อื ง การเมอื งการปกครองประเทศไทย
1. อำนาจอธปิ ไตยแบ่งออกได้กส่ี ่วน
ก. 2 สว่ น ข. 3 สว่ น
ค. 4 ส่วน ง. 5 ส่วน
2. ข้อใดที่ไม่จดั ว่าเป็นอำนาจอธิปไตย
ก. อำนาจนิติบัญญตั ิ ข. อำนาจบริหาร
ค. อำนาจศาล ง. อำนาจตลุ าการ
3. การปกครองโดยใชเ้ สยี งส่วนใหญจ่ ัดเป็นการปกครองรปู แบบใด
ก. การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย ข. การปกครองระบบคอมมวิ นสิ ต์
ค. การปกครองแบบสหพนั ธรฐั ง. การปกครองแบบสังคมนิยม
4. ข้อใดไม่จัดว่าเปน็ การจดั ระเบยี บบริหารราชการส่วนภูมภิ าค
ก. จงั หวดั ข. อำเภอ
ค. ตำบล ง. ไม่มขี อ้ ใดถูก
5. องค์การบรหิ ารสว่ นตำบล (อบต.) เปน็ การกระจายอำนาจการบรหิ ารราชการแบบใด
ก. การบรหิ ารราชการสว่ นท้องถน่ิ ข. การบริหารราชการสว่ นกลาง
ค. การบริหารราชการสว่ นภูมิภาค ง. การบรหิ ารราชการสว่ นจงั หวัด
6. หน่วยงานใดทีจ่ ัดการปกครองโดยการบรหิ ารราชการส่วนทอ้ งถนิ่ รปู แบบพเิ ศษ
ก. องคก์ ารบริหารสว่ นตำบล ข. องค์การบริหารสว่ นจงั หวดั
ค. เมืองพัทยา ง. เทศบาลตำบล
7. การใชอ้ ำนาจในการปกครองประเทศไทยอยู่ภายใต้กรอบทกี่ ำหนดไวข้ องสิ่งใด
ก. กฎหมาย ข. รฐั ธรรมนญู
ค. ความต้องการของรัฐ ง. ความตอ้ งการของประชาชน
8. กรงุ เทพมหานคร จัดการบรหิ ารราชการแบบใด
ก. การบรหิ ารราชการส่วนท้องถน่ิ ข. การบรหิ ารราชการส่วนกลาง
ค. การบรหิ ารราชการส่วนภูมภิ าค ง. การบรหิ ารราชการรูปแบบพิเศษ
9. สำนักนายกรฐั มนตรมี ีฐานะใดในการบรหิ ารราชการส่วนกลาง
ก. นติ ิบคุ คล ข. กรม
ค. กระทรวง ง. สำนัก
10.การจัดต้ัง ยบุ ยกเลกิ หน่วยงานของสำนกั นายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม จะออกกฎหมายในข้อใด
ก. ประกาศ ข. กฎกระทรวง
ค. พระราชบัญญัติ ง. ถกุ ทุกขอ้
เฉลยคำตอบแบบทดสอบหลังเรยี น
เร่ือง การเมืองการปกครองประเทศไทย
1.ข 2 .ค 3.ก 4. ค 5. ก 6. ค 7.ข 8. ง 9. ง 10. ค
เฉลยใบงานท่ี 1
เร่ือง ภูมิศาสตร์กายภาพประเทศไทย
ความสำคัญทางภมู ิศาสตร์กายภาพประเทศไทย
1 ให้อธบิ ายความหมายของคำวา่ “ภมู ศิ าสตรก์ ายภาพ”
ตอบ ภูมศิ าสตร์ายภาพ หมายถงึ การศึกษาลกั ษณะต่างๆบนผวิ โลก อันเกิดจากการเปลย่ี นแปลงทางธรรมชาติ ได้แก่
ลักษณะภูมิประเทศ ภมู ิอากาศ ทรพั ยากรธรรมชาติ
2 ใหอ้ ธบิ าย “ลกั ษณะทางกายภาพกบั การดำรงชีวิตของคนในภมู ิภาคตา่ งๆของประเทศไทย”
ตอบ ลักษณะทางกายภาพจะมคี วามแตกต่างกันออกไปในแต่ละภาค
1.ภาคเหนือ สว่ นใหญ่เปน็ เทอื กเขสงู สลบั ซับซ้อน พ้นื ทร่ี ะหวา่ งหุบเขาเปน็ ทรี่ าบแคบๆและมนี ้ำไหลผา่ น จึง
เหมาะตอ่ การตง้ั ถ่ินฐานและทำการเกษตร แตก่ ารคมนาคมไม่สะดวกทำใหช้ ุมชนภาคเหนือพฒั นาคอ่ นขา้ งอิสระ สรา้ ง
สงั คมข้นึ มาตามแนวคดิ ตามความเช่ือของตนเอง ชุมชน และหมูบ่ ้าน เรียบงา่ ย ใฝ่สันติ ช่วยเหลือแบง่ ปนั ไม่
เอาเปรยี บกนั มีการรว่ มมอื จัดการระบบนเิ วศระหวา่ งชมุ ชน มีความเช่อื ผแี ห่งธรรมชาติ เช่นผีขุนน้ำ ผฝี าย ผเี หมือง
ชาวบ้านจงึ ละเว้นการทำลายตน้ ไม้และส่ิงแวดลอ้ ม
2.ภาคใต้ พืน้ ทเี่ ปน็ คาบสมทุ ร ทำให้บางพ้นื ทีเ่ ปน็ เมืองทา่ เป็นศูนยก์ ลางในการแลกเปลยี่ น ภาคใตใ้ ชเ้ ส้นทาง
ทางทะเลตดิ ตอ่ กบั โลกภายนอกทำใหช้ มุ ชนมคี วามสมั พันธ์ใกลช้ ิดกัน มีการตดิ ตอ่ พึง่ พาอาศยั แลกเปล่ียนผลผลิตกนั
เชน่ ผลไม้ ของป่า สมุนไพร ขา้ ว เกลือ กะปิ ก้งุ แห้ง ปลา เป็นตน้
3.ภาคกลาง พนื้ ทีเ่ ปน็ ทร่ี าบลุ่มใกลแ้ ม่น้ำ จงึ นิยมสร้างบ้านใต้ถนุ สงู ประชาชนมีวถิ ีชวี ติ สัมพันธ์กับนำ้ และมี
ประเพณเี ก่ียวข้องกบั นำ้ เชน่ ประเพณีแข่งเรอื ภาคกลางเป็นภาคท่มี ีการอุตสาหกรรมมากทสี่ ดุ ในประเทศ
4.ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ เป็นภาคทีม่ พี ้นื ทใ่ี หญท่ ีส่ ุด แตส่ ภาพแวดล้อมไมค่ ่อยอดุ มสมบูรณ์ จึงไม่เอ้อื ต่อ
การประกอบอาชพี โดยเฉพาะฤดแู ล้งจะขาดแคลนน้ำเพือ่ อุปโภคบริโภค และมีปญั หาดินเค็ม ประชาชนพยายามปรบั
ตัวใหเ้ ข้ากบั สภาพแวดล้อม โดยประกอบอาชพี เกษตรกรรม เลย้ี งสตั ว์ ปลกู ขา้ วไวบ้ รโิ ภคในครวั เรอื น หรอื ปลกู พืชทน
แล้ง เช่น ข้าวโพด มนั สำปะหลงั ออ้ ย ปอ เปน็ ตน้ ที่อยอู่ าศยั จะปลกู บ้านใต้ถนุ สูงเพอ่ื ใหล้ มพดั ผ่าน และมพี ้นื ท่ใี นการ
ทำกิจกรรมต่างๆ
5.ภาคตะวันออก พืน้ ท่สี ว่ นใหญเ่ ป็นเนนิ เขาสลบั กบั ทสี่ งู ซึง่ ลาดเอยี งลงสู่อา่ วไทยมที ่ีราบลุม่ แมน่ ำ้ ทรี่ าบ
ชายฝงั่ มีภูมอิ ากาศร้อนและฝนตกชกุ ทำใหเ้ หมาะแกก่ ารประกอบอาชีพประมง ทำเหมืองแร่รัตนชาติ
6.ภาคตะวนั ตก เป็นภเู ขา ซึ่งเปน็ แหล่งทรพั ยากรธรรมชาติ เชน่ แร่ธาตุ ป่าไม้ และตน้ นำ้ ลำธาร จึงไม่เหมาะ
กับอาชีพเกษตรกรรม แตม่ กี ารสรา้ งเขอ่ื นในเขตภูเขาและระบบชลประทานไดท้ ่ัวถึงทำให้ประชาชนสามารถใช้นำ้ ใน
ระบบชลประทานชว่ ยไดม้ าก แต่ผลผลิตทีไ่ ด้ในแต่ละปีไม่มากนกั พชื สำคญั เช่น ขา้ ว อ้อย สบั ปะรดและมนั สำปะหลัง
3 ให้บอกทต่ี ง้ั และอาณาเขตตดิ ต่อของภมู ภิ าคประเทศไทยว่ามีลักษณะอย่างไร
ตอบ - ทต่ี ง้ั ประเทศไทยอยูใ่ นซกี โลกเหนอื ฝงั่ ตะวันออก อยใู่ นแหลมทองระหวา่ งละตจิ ูดที่ 5องศา 37 ลิปดาเหนือ
กบั 20 องศา 22ลิปดาเหนอื และลองจจิ ูด 97 องศา 22ลปิ ดาตะวันออก กบั 105 องศา37 ลิปดาตะวันออก
ประเทศไทยมีเนอ้ื ท่ี 513,115 ตารางกโิ ลเมตร ตัง้ อยบู่ นคาบสมทุ รอินโดจนี อยูท่ ศิ ตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชีย
เน้อื ที่ใหญอ่ นั ดับ 3 ของเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ รปู รา่ งยาวมากกว่ากวา้ ง
อาณาเขตติดต่อ
1.อาณาเขตตดิ ตอ่ กับเมียนมาร์(พมา่ ) ในภาคเหนือ ภาคตะวนั ตก ภาคใต้ 10 จงั หวดั ระนอง ชมุ พร ประจวบคีรีขันธ์
เพชรบุรี ราชบรุ ี กาญจนบรุ ี ตาก แม่ฮอ่ งสอน เชยี งใหมแ่ ละเชยี งราย
2. อาณาเขตติดต่อกบั ประเทศลาว ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม 12 จงั หวัด คอื จังหวัดเชียงราย
พะเยา นา่ น อุตรดิตถ์ พษิ ณโุ ลก เลย หนองคายบงึ กาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอบุ ลราชธานี มแี มน่ ำ้
โขงเป็นเส้นก้นั พรมแดนทางน้ำ ส่วนทางบกมที วิ เขาหลวงพระบางก้นั ทางตอนบนและทวิ เขาพนมดงรักบางส่วนก้ัน
เขตแดนตอนลา่ ง
3.อาณาเขตติดตอ่ กบั ประเทศกมั พชู า ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคตะวันออก รวม 7 จงั หวัด คือ อบุ ลราชธานี
ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรรี ัมย์ สระแกว้ จันทบรุ ี ตราด
4.อาณาเขตตดิ ต่อกบั มาเลเซีย ในภาคใต้ 4 จงั หวดั คือ จงั หวดั สตลู สงขลา ยะลา และนราธวาส มีเทือกเขาสันกาลา
ครี แี ละแมน่ ำ้ โก-ลก จงั หวัดนาราธวิ าสเปน็ เส้นกน้ั แดน
5.อาณาเขตทางทะเล ตดิ ต่อกบั ทะเลด้านอา่ วไทยและดา้ นทะเลอันดามันรวมเป็นระยะทาง 2,705 กโิ ลเมตร
5.1.ด้านทะเลอ่าวไทย มี 18 จงั หวดั มี ภาคกลาง 4 จังหวดั คือ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร
และสมทุ รสงคราม ภาคตะวนั ออก มี 5 จังหวัด คอื ฉะเชิงเทรา ระยอง ชลบุรี จนั ทบรุ ี ตราด
ภาคตะวันตก 2 จงั หวัด คือ จงั หวัดประจวบครี ีขันธ์ เพชรบรุ ี ภาคใต้ 7 จังหวดั คอื จงั หวัดชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี
นครศรีธรรมราช พทั ลงุ สงขลา ปัตตานีและนราธิวาส
5.2ด้านทะเลอนั ดามัน มี 6 จงั หวัด อยใู่ นภาคใต้ คือ จังหวดั ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรงั และสตลู
4. ใหเ้ ขยี นภูมภิ าคประเทศไทยตามทส่ี ภาวจิ ัยแห่งชาตไิ ดแ้ บ่งเป็น 6 ภูมภิ าค มลี กั ษณะสณั ฐานเป็นอย่างไร
ตอบ 1.ภาคเหนอื ลกั ษณะภูมปิ ระเทศเป็นทิวเขาสลับหุบเขา เปน็ แนวเหนอื ใต้ เป็นภาคทีม่ ภี เู ขามากกว่าภาคอ่ืนๆ
เช่น ทวิ เขาหลวงพระบาง ทิวเขาผปี นั นำ้ ทิวเขาแดนลาว ทิวเขาถนนธงชยั ทม่ี ียอดเขาสงู สดุ ในประเทศไทย คือ ดอย
อนิ ทนนท์ สงู 2,565 เมตร เป็นต้นกำเนิดแมน่ ำ้ ปงิ วงั ยม นา่ น หบุ เขามที ัง้ ทรี่ าบแคบๆและที่กวา้ งใหญ่ซ่งึ จะมี
ประชากรอย่หู นาแน่น ภาคเหนือมี 9 จงั หวัด คือ จงั หวดั เชยี งราย แมฮ่ ่องสอน พะเยา เชียงใหมน่ ่าน ลำพนู ลำปาง
แพร่ และอุตรดิตถ์
2.ภาคกลาง เป็นทรี่ าบต่ำหรอื ทรี่ าบลุม่ ตอนบนเป็นท่รี าบดอน ตอนลา่ งเป็นทรี่ าบลมุ่ มคี วามอดุ มสมบูรณม์ าก
เปน็ อขู่ ้าวอู่น้ำของไทย คอื ทร่ี าบเจ้าพระยา มแี ม่น้ำสายสำคัญคือ แมน่ ้ำเจา้ พระยา เกดิ จากการไหลมาบรรจบของ ปงิ
วงั ยม น่าน ทีป่ ากนำ้ โพ จังหวดั นครสวรรค์ ท่ีแยกออกไปมแี ม่น้ำสพุ รรณบุรี แม่นำ้ ท่าจนี แม่นำ้ น้อย แมน่ ้ำลพบรุ ี
ภาคกลางมี 22 จังหวัด คือ สุโขทยั พิษณุโลก กำแพงเพชร พจิ ิตร เพชรบูรณ(์ กลางตอนบน)นครสวรรค์ ชยั นาท
ลพบรุ ี สงิ ห์บุรี อา่ งทอง สระบุรี สพุ รรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครนายก ปทุมธานี นนทบรุ ี กรุงเทพมหานคร
สมทุ รปราการ สมุทรสาคร สมทุ รสงคราม
3.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปน็ ที่ราบสูง มที ิวเขาและแมน่ ้ำแบ่งเขตจากภาคอ่นื ๆ พนื้ ทภี่ าคน้คี ล้ายกระทะ
หงาย สูงดา้ นตะวันตกและค่อยๆลาดไปทางตะวนั ออก มภี ูเขายอดปา้ น เชน่ ภเู รอื ภกู ระดึง แม่น้ำสำคญั คือ แมน่ ำ้ ชี
แมน่ ้ำมูล ภาคนี้มี 20 จังหวัดคอื จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม ขอนแกน่ กาฬสนิ ธ์ุ
มกุ ดาหาร ชนั ภูมิ มหาสารคาม รอ้ ยเอด็ ยโสธร นครราชสมี า บรุ ีรมั ย์ สุรนิ ทร์ ศรีสะเกษ อบุ ลราชธานี อำนาจเจรญิ
และหนองบัวลำภู
4.ภาคตะวันออก มเี นอ้ื ทน่ี อ้ ยที่สดุ เปน็ ทิวเขา ทรี่ าบลุ่ม และทร่ี าบชายฝ่ัง ทิวเขาสำคญั คือ ทวิ เขาบรรทัด
ทิวเขาสันกำแพง ทร่ี าบล่มุ แมน่ ้ำ ได้แก่ ท่รี าบล่มุ แม่นำ้ ปราจนี บรุ ี ท่ีราบแมน่ ้ำบางปะกง สว่ นทร่ี าบชายฝัง่ ทะเลมี
บรเิ วณแคบๆแต่บางแหง่ มีชายหาดสวยงาม เช่น บางแสน พัทยา และมเี กาะจำนวนมาก ท่ีใหญส่ ดุ คือ เกาะชา้ ง รอง
ลงมาคือ เกาะกูด ภาคน้มี ี 7 จังหวัดคอื จงั หวดั ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบรุ ี ระยอง จันทบุรี ตราด และสระแกว้
5.ภาคตะวนั ตก เป็นทิวเขา ทีร่ าบเชิงเขา ท่รี าบระหวา่ งหบุ เขาคล้ายภาคเหนอื แตกต่างจากภาคเหนอื คอื มี
บริเวณทตี่ ดิ กับทะเล ทิวเขาสำคัญคือ ถนนธงชัย ทวิ เขาตะเนาศรี ทร่ี าบลุ่มแมน่ ำ้ มีไมม่ ากนกั ท่ขี นาดใหญ่คือ ที่ราบ
ล่มุ แมน่ ้ำกลอง แมน่ ้ำปิง แมน่ ำ้ เพชรบรุ ี ทรี่ าบชายฝั่งทะเลส่วนใหญ่เป็นหาดโคลน หรอื หาดทรายปนโคลนเช่น หาด
ชะอำ อา่ วมะนาว อ่าวประจวบครี ีขนั ธ์ มที ่รี าบเชิงเขาตอ่ เนอื่ งกับท่รี าบภาคกลาง เทือกเขาเป็นแหลง่ กำเนิดของ
แมน่ ้ำแควนอ้ ย(แมน่ ำ้ ไทรโยค)แม่นำ้ แควใหญ(่ ศรีสวัสด)ิ์ ซ่ึงไหลมาบรรจบกันเป็นแมน่ ำ้ แม่กลอง ระหวา่ งแนวเขามีช่อง
ทางตดิ ตอ่ พม่า ท่สี ำคัญคอื ดา่ นแม่ละเมา จังหวดั ตาก ดา่ นเจดีย์สามองค์ จงั หวดั กาญจนบรุ ี ภาคนมี้ ี 5 จงั หวัด คือ
จงั หวดั ตาก กาญจนบุรี ราชบรุ ี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์
6.ภาคใต้ เป็นคาบสมุทรยื่นลงไปในทะเล มที ิวเขาเป็นสันตรงกลาง มีที่ราบรมิ ฝัง่ ทะเลด้านตะวนั ออกและด้าน
ตะวนั ตก ทีร่ าบดา้ นตะวนั ออกจะกวา้ งกวา่ ด้านตะวันตก พืน้ ทีแ่ บ่งเป็น 3 สว่ น คือ บริเวณทิวเขา ที่ราบชายฝง่ั อา่ ว
ไทย ท่ีราบฝง่ั ทะเลอันดามนั ทิวเขาสนั กาลาครี กี นั้ พรมแดนไทยกับมาเลเซีย ทีร่ าบชายฝงั่ อ่าวไทยเปน็ ท่รี าบคอ่ นข้าง
ใหญ่ตอ่ เน่ืองไปตลอดตัง้ แตจ่ งั หวดั ชุมพรจนถงึ นราธวิ าส ชายฝั่งดา้ นอ่าวไทยมีแนวคอ่ นข้างเรยี บตรง มีทั้งหาดโคลน
และหาดทราย ทสี่ วยงามอย่ทู หี่ าดสมิหรา จงั หวัดสงขลา ทร่ี าบชายฝ่ังทะเลอนั ดามันเป็นท่รี าบแคบๆ บางแห่งมภี เู ขา
ชายฝัง่ ทำใหเ้ กิดหน้าผาชนั ตามแนวชายฝงั่ ทะเล ชายฝ่ังเหวา้ แหวง่ มีอ่าวและเกาะมากมาย เช่น เกาะภูเกต็ เกาะตะรุ
เตา แม่น้ำสายสำคัญคือ แมน่ ำ้ ตาปี สายยาวท่ีสดุ ไหลลงสู่อ่าวไทย และแม่น้ำโก-ลก ภาคใตม้ ี 14 จังหวัด คือ ชุมพร
สุราษฎรธ์ านี นครศรีธรรมราช พทั ลุง สงขลา ปตั ตานี ยะลา นราธวิ าส ระนอง พงั งา กระบี่ ภเู ก็ต ตรังและสตลู
เฉลยใบงานท่ี 2
เรอ่ื ง การใชข้ อ้ มลู ภมู ิศาสตร์กายภาพชมุ ชน ทอ้ งถิ่นในการดำรงชวี ิต
ใหอ้ ธิบายความหมายและความสำคญั ลักษณะข้อมูลในระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์
1.จงบอกทต่ี งั้ ของอาณาเขตประเทศไทย
ตอบ ทีต่ ้ังประเทศไทยอยู่ในซกี โลกเหนอื ฝ่ังตะวนั ออก อยู่ในแหลมทองระหว่างละติจดู ที่ 5องศา 37 ลิปดาเหนือ กับ
20 องศา 22ลิปดาเหนือ และลองจจิ ูด 97 องศา 22ลปิ ดาตะวันออก กบั 105 องศา37 ลิปดาตะวันออก ประเทศ
ไทยมเี นอ้ื ที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร ท่ีต้งั จะใชก้ ำหนดเปน็ พกิ ดั ทางภมู ิศาสตร์ในแผนท่ีในรปู ของตวั เลขเชงิ รหัสท่ถี กู
กำหนดค่าขึ้นเพื่อบอกตำแหนง่ ของสถานท่ีตา่ งๆ ใชจ้ ดุ ตัดของเส้นสมมติ ละติจูด และลองจจิ ดู มคี า่ เป็นองศา ลปิ ดา
และฟิลิปดา เพ่ืองา่ ยตอ่ การจัดเก็บขอ้ มลู ทป่ี รากฏบนผวิ โลก
2.ใหอ้ ธบิ ายอาณาเขตติดตอ่ กับประเทศไทยว่ามปี ระเทศใดบ้าง ลกั ษณะเป็นอยา่ งไร
ตอบ ทศิ เหนอื ติดต่อประเทศสหภาพพม่า และ ประเทศลาว ดินแดนเหนอื สดุ ของประเทศคอื อำเภอแม่สาย
จังหวัดเชยี งราย ลกั ษณะภมู ิประเทศเป็นทิวเขาสลบั หบุ เขาเปน็ ภาคทมี่ ีภเู ขามากกวา่ ภาคอนื่
ทศิ ใต้ ติดต่อประเทศมาเลเซีย ใต้สดุ คือ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นคาบสมทุ รยื่นลงไปในทะเล มที ิว
เขาเปน็ สันตรงกลางมีท่ีราบริมฝง่ั ทะเลด้านตะวนั ออกและดา้ นตะวันตก ชายฝ่งั ด้านอ่าวไทยมีแนวคอ่ นข้างเรยี บตรง
ทีร่ าบชายฝงั่ ทะเลอันดามนั เปน็ ทรี่ าบแคบๆมีภูเขาชายฝัง่ ทำใหเ้ กิดหน้าผาชันตามแนวชายฝั่งทะเล
ทิศตะวันออก ติดต่อประเทศลาวและกมั พชู า ตะวนั ออกสดุ คือ ตำบลโพธกิ์ ลาง อำเภอโขงเจยี ม จงั หวดั
อบุ ลราชธานี
ทิศตะวนั ตกติดตอ่ ประเทศสหภาพพมา่ ตะวนั ตกสุดคอื ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแมฮ่ อ่ งสอน
เป็นทิวเขา ท่ีราบเชงิ เขา
3.ใหอ้ ธิบายลักษณะภูมอิ ากาศของไทยแบบเคิปเปน 6 ภูมภิ าค
ตอบ ภมู อิ ากาศเป็นแบบร้อนช้นื จำแนกเขตภูมิอากาศยอ่ ยของไทยตามวธิ กี ารเคิปเปนไดด้ ังน้ี
1.ภมู อิ ากาศแบบทงุ่ หญ้าเมืองรอ้ น หรือ ทุง่ หญา้ สะวนั นา
-ลกั ษณะเดน่ ชดั ฤดฝู นสน้ั ฤดูแลง้ ยาวนาน
-มีฝนประมาณ 4 เดือน ปรมิ าณฝนปานกลาง
-พืชพรรณธรรมชาติ เปน็ ท่งุ หญา้ เมอื งร้อน หรือท่งุ หญ้าสลับปา่ ไม้
2.ภูมิอากาศแบบปา่ มรสมุ หรอื มรสมุ เขตรอ้ น
-ลกั ษณะเด่นชัด ฤดฝู นยาว ฤดูแลง้ สนั้
-ฝนตกหนักเกอื บตลอดปี
-พืชพรรณธรรมชาติ เปน็ ป่าดงดิบและป่าไม้ผลัดใบเมืองร้อน
ประเทศไทยมี 3 ฤดู ไดแ้ ก่ ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูรอ้ น แต่ละฤดขู นึ้ กบั อทิ ธพิ ลลมมรสุมของทวีปเอเชียและอิทธิพล
จากแสงอาทิตย์
1.ฤดูฝน เร่ิมกลางเดอื น พฤษภาคม ถึงกลางเดือน พฤศจิกายน มลี มมรสมุ ตะวันตกเฉยี งใตจ้ ากมหาสมุทร
อินเดยี เข้าสปู่ ระเทศไทยนำฝนตกที่ภาคใต้ แบง่ เปน็ 2 ชว่ ง คือ ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉยี งใต้และลมมรสุมตะวนั ออกเฉยี ง
เหนือ จะนำฝนมาตกทง้ั 2 ชว่ ง
2.ฤดหู นาว เรมิ่ กลางเดอื น พฤศจกิ ายน ถึงเดอื น กุมภาพันธ์ เป็นลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะหนาวมาก
ทางภาคเหนอื ตอนบน เชน่ ทจ่ี งั หวัดเชียงราย และภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ที่จังหวดั เลย
3.ฤดรู ้อน เริ่มกลางเดอื น กมุ ภาพันธ์ ถงึ เดือน พฤษภาคม เปน็ ชว่ งทีพ่ ระอาทิตย์มาตงั้ ฉากทป่ี ระเทศไทย
อากาศร้อนและมี “ลมตะเภา”พัดส่ฝู งั่ เป็นลมประจำถ่นิ พดั สลับกับ “ลมว่าว” ฤดูรอ้ นมีการเลน่ วา่ วและแข่งขันวา่ วกนั
มาก คนจงึ มกั เขา้ ใจผิดวา่ “ลมตะเภา” เป็น “ลมวา่ ว” ซึง่ แท้จริงลมว่าวจะพดั ออกสู่อา่ วไทยในชว่ งฤดูหนาว
ประเทศไทยตัง้ อยู่ในเขตรอ้ นใกลเ้ ส้นศนู ย์สตู ร ทำใหภ้ มู ิอากาศมีลักษณะเป็นแบบรอ้ นชน้ื หรอื แบบสะวนั นา
ตามวิธีเคิปเปน ท่แี บง่ เปน็ 6 ภูมภิ าค ดงั น้ี
1.ภาคเหนอื มีอากาศรอ้ นชน้ื ฤดูร้อน รอ้ นมาก ฤดูหนาว หนาวมากว่าภาคอืน่ เพราะอย่ไู กลจากทะเลและ
มหาสมทุ ร แตเ่ นอื่ งจากเป็นภูเขาเม่ือมลี มมรสมุ ตะวันตกเฉียงใต้พัดจากอ่าวเบงกอล และมหาสมุทรอินเดียมาปะทะทวิ
เขา ทำใหม้ ฝี นตกชกุ สง่ ผลให้มปี ่าไม้มากและพืน้ ดินชมุ่ ชื้น
2.ภาคกลาง อากาศแบบฝนเมืองรอ้ น (แบบสะวนั นา) รับอิทธพิ ลลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ พัดอากาศชนื้ จาก
ทะเลมหาสมุทรสู่แผน่ ดนิ ในฤดฝู น และลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื พัดเอาความหนาวเยน็ จากไซบีเรียลงมาในฤดู
หนาว ฤดูรน้ และหนาวมีอุณหภมู ิเฉล่ียไมต่ า่ งกนั นัก
3.ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื อากาศแบบฝนเมอื งรอ้ นเฉพาะฤดู หรือร้อนชน้ื สลบั แลง้ ในฤดรู ้อน ร้อนจัด
ฤดหู นาว อากาศหนาวจดั ฤดฝู นมฝี นตกชุก แต่พื้นผิวดินไม่ซบั นำ้ ฝน ทำใหน้ ำ้ ทว่ มเป็นประจำทุกปี มีน้ำเฉพาะฤดฝู น
เมอ่ื ฤดูรอ้ นนำ้ จะแหง้ หมด ภาคนีจ้ งึ มีปญั หาเร่อื งขาดแคลนนำ้ และดินขาดความอุดมสมบูรณ์ พืน้ ทีบ่ างแห่งใช้
ประโยชน์ด้านการเกษตรไมไ่ ดเ้ ต็มทซ่ี ่งึ ครอบคลุมพ้นื ทถ่ี ึง 5 จงั หวัด คอื ร้อยเอด็ สุรินทร์ มหาสารคาม ยโสธร และ
ศรีสะเกษ ปจั จบุ นั รฐั บาลไดพ้ ยายามปรับปรุงพนื้ ท่ีใหด้ ีข้ึน
4.ภาคตะวันออก เป็นแบบทุ่งหญา้ เมอื งรอ้ น และมรสมุ เมอื งร้อน อุณหภูมแิ ตล่ ะฤดูไมต่ ่างกนั มากนกั เปน็
ภาคที่มฝี นตกชุก ได้รบั อทิ ธิพลจากลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้พดั ผ่านอา่ วไทยนำความชุ่มชืน้ มาส่แู ผ่นดนิ
5.ภาคตะวนั ตก อากาศแบบฝนเมอื งร้อน แม้จะมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
พัดผ่าน แตม่ เี ทอื กเขาถนนธงชัยและตะนาวศรกี ั้นขวางลม เขตนจ้ี ึงมปี รมิ าณนำ้ ฝนตกน้อย จงั หวัดทฝ่ี นตกนอ้ ยสุด คอื
จังหวดั ตาก แหง้ แลง้ ที่สุดของไทย
6.ภาคใต้ แบบฝนเมืองร้อน และมรสมุ เมืองรอ้ น ภาคใตเ้ ป็นคาบสมุทร ไดร้ บั อิทธพิ ลจากลมมรสมุ ตะวันตก
เฉยี งใต้ และลมมรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือ ทำใหม้ ีอากาศดีทส่ี ดุ ไม่ร้อน ไมห่ นาวมาก
4.ให้อธิบายสญั ลักษณ์หรอื เครือ่ งหมายรายละเอียดของส่งิ ตา่ งๆบนผวิ โลกท่แี สดงลงบนแผนท่ี มีก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง
ตอบ สัญลกั ษณข์ องสิ่งตา่ งๆบนผิวโลกที่แสดงลงบนแผนทม่ี ี 5 ประเภท
1.แหล่งนำ้ เชน่ ลำธาร แม่น้ำ หนอง บึง ท่ีลุม่ ชายฝงั่
2.ส่งิ ที่มนุษยส์ ร้างขนึ้ เชน่ ถนน ทางรถไฟ อาคาร ฯลฯ
3.ลักษณะพ้ืนที่สงู ๆต่ำๆ เช่น เขา ภูเขา
4.พืชพรรณ เชน่ ป่าไม้ สวน ไร่นา
5.สิ่งท่ีกำหนดขนึ้ เป็นพเิ ศษ เช่น แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ
การแสดงสัญลักษณใ์ นแผนท่มี ี 3 ลักษณะ คอื แบบจดุ แบบเส้น และแบบรปู รา่ งหรอื พน้ื ท่ี
แบบจดุ (Point) จะมีตำแหน่งที่ต้ังเฉพาะเจาะจง หรอื เพยี งอยา่ งเดียว เชน่ หมุดหลกั เขต บ่อนำ้ จดุ ชมววิ
จดุ ความสงู อาคาร ตกึ สิ่งกอ่ สร้าง
แบบเส้น (Arc) เปน็ การวางตัวไปตามทางระหว่างจดุ 2 จดุ เช่น ลำน้ำ ถนน โครงข่ายสาธารณปู โภค
เสน้ ช้ันความสงู
แบบพ้ืนทหี่ รอื รูปรา่ ง (Polygon) มพี ้นื ทเ่ี ดียวกนั ถูกล้อมรอบดว้ ยเสน้ แสดงขอบเขต เช่น เขตตำบล อำเภอ
จังหวดั ขอบเขตอุทยานแหง่ ชาติ เขตน้ำทว่ ม
เฉลยใบงานที่ 3
เร่ือง ทรพั ยากรธรรมชาติในชมุ ชน และการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ใหอ้ ธบิ ายรายละเอียดเกีย่ วกับทรัพยากรธรรมชาตใิ นชมุ ชน และการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดังน้ี
1.ให้อธิบายลกั ษณะของดิน มกี ล่ี ักษณะ และการใช้ประโยชนจ์ ากดนิ
ตอบ ลกั ษณะของดนิ มี 3 ชนิด คอื
1. ดินเหนียว เมื่อเปยี กมคี วามยืดหยุ่น อาจป้นั เปน็ ก้อนหรอื คลึงเปน็ เสน้ ยาวได้ เหนยี วเหนะหนะตดิ มอื
เปน็ ดินท่มี ีการมีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี และอากาศไมด่ ี แต่สามารถอ้มุ น้ำไดด้ ี สามารถจับยดึ และ
แลกเปลย่ี นธาตุอาหารพชื ไดส้ ูง เหมาะใชท้ ำนาปลกู ข้าว เพราะเก็บนำ้ ได้นาน
2. ดินทราย มกี ารระบายน้ำและอากาศดมี าก ความสามารถอ้มุ นำ้ ได้ต่ำความอดุ มสมบรู ณต์ ่ำ จบั ยดึ ธาตุ
อาหารพืชได้นอ้ ย ดนิ ทรายจึงขาดทั้งอาหารและนำ้
3. ดินร่วน มีเน้ือดนิ คอ่ นข้างละเอยี ดนุ่มมอื ยืดหยุ่นได้บา้ ง มีการระบายน้ำได้ดีปานกลาง แต่เปน็ เนอ้ื ดินที่
เหมาะสำหรับการเพาะปลกู ในธรรมชาตมิ ักไมค่ ่อยพบ แต่จะมดี ินทมี่ เี นอ้ื ดินใกลเ้ คียงกันมากกวา่
ประโยชนข์ องดนิ
1.มปี ระโยชนต์ อ่ การเกษตรกรรม ดนิ เปน็ ตน้ กำเนิดของการเกษตรกรรม เป็นแหลง่ ผลิตอาหารของ
มนษุ ย์
2.มปี ระโยชน์ในการเล้ียงสัตว์ ดินเปน็ แหล่งอาหารสตั ว์ท้ังพวกพชื และหญา้ ที่ขึน้ ตลอด เปน็ ทอี่ ยู่
อาศยั ของสตั ว์บางชนิด
3.เป็นแหลง่ ท่อี ยอู่ าศยั แผน่ ดินเปน็ ท่ีตั้งของบ้านเมอื ง บา้ นเรือน
4. เปน็ แหล่งเกบ็ กักนำ้ ทำให้มนี ้ำใช้ตลอดปี
2.ให้บอกประเภทของป่าไมใ้ นประเทศไทย มกี ่ีประเภท ก่ีชนดิ อะไรบา้ ง
ตอบ ป่าไมม้ ี 2 ประเภท คือ
1.ป่าไมผ่ ลัดใบ มี 30%ของเนือ้ ทปี่ า่ ท้งั ประเทศ จำแนกย่อยเปน็ 4 ชนิด
1.1.ปา่ ดบิ เมืองรอ้ นประกอบดว้ ยเทอื กเขาสลบั ซับซ้อน ป่าไมห้ นาแนน่ อยใู่ นเขตพ้ืนท่ี 4 จังหวัด คอื
นครราชสมี า นครนายก สระบุรแี ละปราจนี บุรี เป็นอุทยานแหง่ ชาติแห่งแรกของไทย คอื อทุ ยานแหง่ ชาติเขาใหญ่
อากาศเย็นสบายเฉลีย่ ตลอดปี 23 องศาเซลเซส
1.2.ปา่ สน พบในระดับความสงู จากน้ำทะเล 1,400 เมตร ไมท้ ่ีพบเป็นสนสามใบ พชื พนื้ ล่างเป็นพวกหญ้า
ตา่ งๆ ดอกไม้ดิน
1.3.ป่าพรุพน้ื ท่ีมนี ำ้ ท่วมขงั อยูใ่ นพื้นทีช่ ุ่มน้ำทะเลน้อย ระบบนิเวศมคี วามหลากหลาย เชน่ บึงนำ้ จดื ปา่ พรุ
เสม็ด ดงแขม
1.4.ปา่ ชายหาดจะมแี นวปะการงั ทีส่ มบรู ณ์มาก ท้ังนำ้ ตืน้ และน้ำลึก บนบกมีสภาพป่าท่สี มบรู ณท์ ้ังปา่ ดบิ ปา่
ชายหาดและปา่ ชายเลน
2.ปา่ ผลัดใบ
ปา่ เบญจพรรณ ในเขตอุทยานแหง่ ชาตเิ ข่อื นศรนี ครินทร์ พื้นท่ีบรเิ วณค่อนขา้ งราบถึงเนนิ เขา บางพืน้ ท่ีพบไมไ้ ผ่เปน็
กลมุ่ หนาแนน่ มไี ม้ยืนต้นแทรกประปราย พบมากตอนกลางติดชายฝ่งั อ่างเกบ็ นำ้ มพี ันธไ์ มเ้ ช่น แดง มะค่าโมง ประดู่
รกฟา้ มะกอกป่า ปา่ เบญจพรรณ มี 3 ชนดิ ไดแ้ ก่ ปา่ เบญพรรณ ปา่ ดบิ แล้ง ปา่ เต็งรงั มสี ัตวป์ า่ อาศัยอยู่ ประเภท
ลิงกงั พญากระรอกดำ เมน่ ใหญ่แผงคอสั้น นกเขาเปลา้ ธรรมดา นกโพระดกธรรมดา นกแอ่นฟ้าหงอน เต่าเหลอื ง
ตะกวด จง้ิ เหลนภเู ขาเกล็ดเรยี บ
3.ให้อธบิ ายปัญหาของทรัพยากรนำ้ และการอนุรักษน์ ้ำ
ตอบ ปญั หาสำคัญทเี่ กิดขนึ้
1.ปัญหามนี ำ้ น้อยเกินไป เน่ืองจากตดั ไมท้ ำลายปา่ ทำให้ปริมาณน้ำฝนน้อยลง เกิดความแห้งแล้งการเพาะ
ปลูกและเลย้ี งสตั วม์ ีปัญหาไปด้วย
2.ปญั หามีนำ้ มากเกินไปเนอ่ื งจากตดั ไมม้ ากเกนิ ไป เกิดนำ้ ท่วม น้ำป่าไหลหลาก น้ำไหลบา่ ในฤดฝู น สร้าง
ความเสยี หายแก่ชวี ิตและทรพั ยส์ ิน
3.ปญั หาน้ำเสยี เป็นปัญหาใหม่ในปจั จุบนั มีการทิ้งขยะ สิง่ ปฏิกูลสู่แมน่ ้ำลำคลอง นำ้ เสยี จากโรงงาน
อุตสาหกรรม นำ้ ฝนพดั พาสารพิษจากการเกษตรกรรมซง่ึ นำ้ เสียทเ่ี กิดข้นึ สง่ ผลตอ่ สุขภาพอนามัย เปน็ อันตรายตอ่ สตั ว์
นำ้ และมนษุ ย์ สง่ กล่นิ เหมน็ รบกวน ใชป้ ระโยชนจ์ ากแหล่งน้ำในการอุปโภคบริโภค การเกษตรกรรมและอตุ สาหกรรม
ไมไ่ ด้
การอนุรักษน์ ำ้
1. ใช้นำ้ อยา่ งประหยัด
2. มีการสงวนนำ้ ไว้ใชใ้ นบางฤดกู าล เช่นจดั ทำระบบชลประทาน
3. การพฒั นาแหลง่ น้ำในพ้นื ทข่ี าดแคลนน้ำ
4. ปอ้ งกนั น้ำเสีย ควรมีการบำบัดนำ้ เสียจากโรงงานอุตสาหกรรม มกี ารขจดั สารพษิ ก่อนปล่อยลงสู่แมน่ ้ำ
5. การนำนำ้ เสียกลับมาใช้ เช่นน้ำที่ใชใ้ นกิจกรรมหนึง่ อาจนำกลับมาใชใ้ นอกี กจิ กรรมหนึง่ ได้ เชน่ นำ้ ลา้ ง
ภาชนะอาหารนำมารดตน้ ไม้
4. ปจั จุบนั ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤติการณท์ รพั ยากรธรรมชาติอย่างไร บอกมา 3 ขอ้
ตอบ 1.การนำทรัพยากรธรรมชาติมาใชม้ ากเกินไปโดยไม่มีการสร้างการทดแทนกจ็ ะทำใหเ้ กิดความสูญเสีย หรือ
ถกู ทำลายได้ เช่น การตดั ถนนเพื่อใชใ้ นการคมนาคม หรือการสร้างเข่ือนกกั เกบ็ น้ำจะตอ้ งใชเ้ น้ือท่ีบริเวณ พ้ืนดิน
จำนวนมหาศาล ทำใหพ้ ้ืนดินที่เป็นป่ าไมถ้ กู โค่นทำลายลง ทำใหป้ ่ าไมล้ ดลงพ้ืนที่ป่ าถกู ทำลายทำใหส้ ภาพอากาศท่ี
ชุ่มช้ืนอุดมสมบูรณ์ เกิดความแหง้ แลง้ ฤดูกาลผนั แปรหรือฝนตกไม่ตอ้ งตามฤดูการ หรือตกนอ้ ย
2.การใช้พน้ื ดินเพื่อการเพาะปลกู มากขน้ึ มีการทำลายป่าเพือ่ การเพาะปลูก เป็นการทำลายแหล่งต้นนำ้ ลำธาร
3.การใชส้ ารเคมใี นการเพาะปลกู เกนิ ความจำเปน็ ทำให้ดนิ ทอ่ี ุดมสมบรู ณ์เสอ่ื มสภาพเม่อื ทรพั ยากรเส่ือมลง สภาพ
ส่ิงแวดล้อมก็เส่อื มไปด้วย
เฉลยใบงานที่ 4
เร่ือง การเมอื งการปกครองของไทย
ให้ผูเ้ รียนรวบรวมขอ้ มูล ชื่อของหัวหน้าฝ่ายปกครอง สถานทีท่ ำงานของบุคคลเหล่านัน้ ในเขตพืน้ ทท่ี ่ผี ้เู รยี นอาศัยอยู่
ตั้งแตร่ ะดับจงั หวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้านเพอ่ื จะได้รูจ้ ักและสามารถติดต่อกับบุคคลเหลา่ นน้ั ไดถ้ ูกตอ้ งตามบทบาท
หน้าที่
( ข้ึนอยู่กบั ข้อมูลของผเู้ รยี นแต่ละเขตพืน้ ทีท่ อ่ี ยอู่ าศยั )
เฉลยใบงานท่ี 5
เรื่อง การมีสว่ นร่วมทางการเมืองการปกครองในระดบั ท้องถิน่ และระดบั ประเทศ
ให้ผู้เรียนสบื ค้นขอ้ มลู เก่ยี วกับการมีส่วนรว่ มทางการเมืองการปกครองในระดับท้องถนิ่ และระดบั ประเทศแลว้ นำความ
ร้ทู ี่ไดม้ าอธิบาย
1.การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถงึ
ตอบ การมสี ่วนร่วมทางการเมือง หมายถงึ การกระทำใดๆท่ีเกดิ โดยความเต็มใจ ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จ จะมกี าร
จัดการอย่างไร เป็นระเบียบหรอื ไม่ และจะเกิดต่อเน่อื งหรือเป็นครง้ั คราว จะใชว้ ิธีท่ถี กู ต้องตามกฎหมายหรือไมถ่ กู
กฎหมายเพือ่ ผลในการมีอทิ ธพิ ลตอ่ การเลือกนโยบายของรฐั หรือตอ่ การบรหิ ารงานของรฐั หรือต่อการเลอื กผู้นำทาง
การเมอื งของรฐั บาลทั้งในระดบั ทอ้ งถิ่นหรือระดับชาติ
2.จงบอกรปู แบบของการมสี ่วนร่วมทางการเมืองวา่ มรี ูปแบบใดบา้ ง
ตอบ รูปแบบของการมีส่วนร่วมทางการเมอื ง มี 5 ประการ ดงั นี้
1.การออกเสียงเลอื กต้งั
2.การรณรงค์หาเสยี ง
3.การเข้าร่วมกิจกรรมของกลมุ่
4.การกระทำทเ่ี ปน็ เอกเทศต่อปัญหาทางการเมืองและสังคม
5.กจิ กรรมทใี่ ช้ความรุนแรงและอาจทำผิดกฎหมาย
3.ให้ผเู้ รียนอธบิ ายลักษณะการแสดงกิจกรรมท่ใี ชค้ วามรุนแรงในการแสดงออกถงึ การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง ดังน้ี
3.1.การประทว้ ง
ตอบ การประท้วง คือการมีสว่ นรว่ มทางการเมืองที่ใช้ความรุนแรงและกระทำเปน็ กลุ่มโดยหาวิธกี ารตา่ งๆทง้ั ถูก
กฎหมายและไม่ถูกกฎหมายท่จี ะกระต้นุ ใหฝ้ า่ ยตรงข้ามเห็นด้วยกับความคดิ เหน็ หรอื นโยบายทก่ี ลุ่มผู้ประทว้ งกำหนด
3.2.การลอบทำรา้ ยบคุ คลสำคญั ทางการเมือง
ตอบ การลอบทำรา้ ยบุคคลสำคัญทางการเมอื ง เปน็ การกระทำท่ผี ดิ กฎหมายและมีโทษทางอาญา ไมว่ ่าการกระทำ
นน้ั จะมีความรนุ แรงมากหรอื นอ้ ยก็ตาม เชน่ การด่าวา่ นักการเมอื ง การทำร้ายรา่ งกายดว้ ยการชกต่อย หรือ การลอบ
สังหารถึงแกช่ วี ติ กบั นักการเมืองและหัวคะแนนทกุ ครงั้ ท่ีมกี ารหาสียงเลอื กตั้ง
4.ใหอ้ ธบิ ายปัญหาการมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งของประชาชนตามทเ่ี ข้าใจพอสงั เขป
4.1.ปัญหาความตืน่ ตวั ทางการเมือง
ตอบ การมสี ่วนร่วมทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตยน้นั จะตอ้ งเป็นแบบสมคั รใจไม่ใชแ่ บบปลกุ ระดม ซง่ึ การมี
สว่ นร่วมแบบเสรหี รอื สมัครใจจะมีขน้ึ ได้เมอื่ ประชาชนได้ตระหนกั และมีสำนึกทางการเมืองหรือความตน่ื ตวั ทางการ
เมอื งเสยี กอ่ น ทำให้มกี ารแสดงออกถงึ แนวความคดิ เห็นที่จะเปน็ ไปตามแนวนโยบายของใคร หรือพรรคการเมอื งใด
นำสกู่ ารออกมามสี ่วนร่วมทางการเมืองได้
4.2.ปญั หาวัฒนธรรมทางการเมอื งและการศกึ ษา
ตอบ วัฒนธรรมทางการเมอื งของคนไท โดยทัว่ ไปยังมคี วามเชื่อว่าการเมือง หรือการบริหารประเทศเปน็ เร่อื งของคน
กล่มุ น้อยบางกลุ่มเท่านน้ั และคนไทยยังเห็นว่าการเมืองเป็นเรอื่ งของผลประโยชน์อยา่ งชัดแจ้งเกินไป การเมืองเป็น
เรอ่ื งของความ สกปรก หรือการกระทำทีไ่ มส่ จุ รติ มีการแอบแฝงผลประโยชน์ ทำให้คนไทยขาดศรทั ธาหรอื ความ
กระตือรอื รน้ ที่จะเข้ามามสี ่วนร่วมทางการเมือง ถ้าเขา้ มากจ็ ะมวี ตั ถุประสงค์อยา่ งอ่นื เช่นแลกเปลย่ี นกบั เงินทอง หรือ
การช่วยเหลือในรปู แบบตา่ งๆ ไม่ไดม้ ีจิตสำนกึ ทางการเมือง
4.3.ปัญหาจากบทบาทของพรรคการเมือง
ตอบ ประชาชนมสี ว่ นรว่ มทางการเมืองน้อยอกี อยา่ งขาดองคก์ รหรอื สถาบันทางการเมอื งทค่ี อยกระต้นุ ให้ ประชาชน
มคี วามกระตือรอื ร้นทางการเมอื งอยเู่ สมอและเป็นกลมุ่ กอ้ น ทส่ี ำคัญคือ ระบบพรรคการเมือง ปจั จบุ ันองค์กรอ่อนแอ
ขาดความเป็นสถาบันท่ีต่อเน่ือง คือพรรคการเมอื งไทยขาดองคก์ รที่พอจะเผชิญกับความรบั ผิดชอบท่ีเพม่ิ ขึ้นอย่าง
รวดเร็ว พรรคการเมืองไทยตัง้ ข้นึ จากการรวมตวั สมาชิกท่ีสนบั สนนุ ผูน้ ำทางการเมอื งคนใดคนหนงึ่ มสี าขาพรรค
มากมายซึ่งบางแหง่ มรี ูปแบบทเ่ี ปน็ ทางการแตไ่ มม่ บี ทบาทอะไรทจ่ี ะนำสู่การพัฒนาประเทศชาติ
แผนการจัดการเรยี นรรู้ ายวิชา พัฒนาอาชีพใหม้ อี ยมู่ ีกิน (อช11003) ระดับชัน้ ประถมศึกษา
หนว่ ยที่ 3 การจัดทำแผนพฒั นาการผลิตหรอื การบรกิ าร
แผนพบกล่มุ จำนวน 3 ชวั่ โมง
ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองระยอง
1.มาตรฐานการเรียนรู้
มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในการพัฒนาอาชีพให้มีผลิตภณั ฑห์ รืองานบรกิ าร สรา้ งรายไดพ้ อเพยี งตอ่ การ
ดำรงชวี ติ
2.เนอ้ื หาตามหลกั สูตร
เรือ่ งที่ 1 การกำหนดคุณภาพผลผลิตหรือการบริการ
เรือ่ งท่ี 2 การวิเคราะห์ทนุ ปัจจัยการผลติ หรอื การบรกิ าร
เร่อื งท่ี 3การกำหนดเป้าหมายการผลติ หรอื การบรกิ าร
เรอ่ื งที่ 4 การกำหนดแผนกจิ กรรมการผลิตหรือการบรกิ าร
เรอ่ื งท่ี 5 การพัฒนาระบบการผลิตหรือการบรกิ าร
3. ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวัง (ตัวชี้วดั )
1. อธิบายการกำหนดคุณภาพผลผลิตหรอื การบริการ
2. วเิ คราะห์ท ุนปจั จัยการผลติ หรือการบรกิ าร
3. กำหนดเปา้ หมายการผลิตหรอื การบรกิ าร
4. กำหนดแผนกิจกรรมการผลิต
5. พฒั นาระบบการผลิตหรอื การบรกิ าร
4. กระบวนการจัดการเรียนรูแ้ ละกิจกรรมเพิ่มเติม
ขน้ั นำ
1. ครูอธิบายการกำหนดทนุ การผลติ หรือการบริการเบ้อื งต้นและใหน้ ักศกึ ษาทำความ
เข้าใจเนือ้ หา
ขัน้ สอน / การเรยี นร้ดู ้วยตนเอง
1. ให้ผูเ้ รียนศึกษาการวิเคราะหท์ ุนปจั จยั การผลติ หรอื การบรกิ ารจากเนื้อหาส่ือหนงั สอื
ประกอบ
2. แบ่งกลมุ่ ผู้เรยี นใหศ้ ึกษาการกำหนดเปา้ หมายการผลติ หรือการบริการเก่ียวกบั ธรุ กิจ
3. ให้ผูเ้ รยี นกำหนดแผนกจิ กรรมการผลิตโดยแตล่ ะกล่มุ อาจกำหนดกิจกรรมการผลิต
แต่ละธรุ กจิ ท่ีมคี วามแตกตา่ งกนั โดยร่วมกันแสดงความคิดเหน็ และรว่ มสรปุ เนื้อหา
4. ศึกษาการพัฒนาระบบการผลติ หรือการบรกิ ารของธรุ กิจภายในชมุ ชนทเ่ี หน็ ได้ชัดโดยให้
แต่ละกลุม่ ยกตวั อย่างไม่ซ้ำประเภทธรุ กิจเดียวกนั แลว้ สง่ ตวั แทนออกมานำเสนอ
ข้นั สรุป
1. ผู้สอนร่วมสรุปเนื้อหาทา้ ยช่ัวโมงเรียน
2. ผเู้ รียนสรปุ รว่ มกนั
5. สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้
1.หนังสือเรยี นรายวิชาพัฒนาอาชพี ใหม้ อี ยู่มีกนิ อช11003
2.แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี น
3.แบบทดสอบย่อยการเรียนรู้ดว้ ยตวั เอง
4.ห้องสมุดประชาชน
5.อนิ เทอร์เนต็
6.การวัดผลและประเมนิ ผล
การวัดผลตามจดุ ประสงค์ เคร่อื งมอื การวดั ผล เกณฑ์การประเมินผล
ความรู้ (Knowledge) แบบทดสอบ ผ่านการตอบคำถามได้
อธิบายเรื่องการจดั ทำแผน 80% ขน้ึ ไป
พฒั นาการผลติ หรอื การบริการ
ทกั ษะ (Skill) หนงั สอื เรียนวิชาพฒั นาอาชีพ ผ้เู รียนจับประเดน็ สำคญั
ในการจดั ทำแผน พฒั นาการ ให้มอี ยูม่ ีกิน อช 11003 เข้าใจในการจดั ทำแผน
ผลิตหรอื การบริการ ในการนำ พัฒนาการผลติ หรอื การ
เสนอ บริการ 80% ข้ึนไป
เจตคติ (Attitude) การมสี ว่ นรว่ มในการอธิบาย ผเู้ รียน 80% ขน้ึ ไปมีส่วนร่วม
มคี วามรู้สกึ เจตคตทิ ่ดี ีตอ่ ใน ความคิดเห็น ในการอธบิ ายแลกเปลย่ี น
การจดั ทำแผนพัฒนาการผลติ ความคดิ เห็น
หรือการบริการแบบมเี หตุผล
ลงชือ่ .................................................................
(...............................................................)
ตำแหน่ง............................................................
วนั ท่.ี ........เดอื น.......................................พ.ศ............
ความคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะของผบู้ รหิ าร
...........................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................
ลงชอื่ .................................................................
(...............................................................)
ตำแหน่ง...........................................................
วนั ท.่ี ........เดือน.......................................พ.ศ............
ใบงานที่ 1
การกำหนดคุณภาพผลผลติ หรือการบรกิ าร
คำสั่ง ให้ผูเ้ รียนเขียนบรรยายขอ้ มูลเกยี่ วกบั การกำหนดคณุ ภาพผลผลิตหรอื บริการ ในงานอาชพี ท่ผี เู้ รียน
ดำเนนิ การเองหรอื อาชีพท่ีสนใจท่ีผลติ หรือการบริการนั้นมีการดำเนินงานท่ีมคี ณุ ภาพเปน็ อยา่ งไร
1. ลักษณะงานอาชพี …………………………………………………………………………………………………………………………..
2. ประเภทของผลผลิตหรอื การบริการ………………………………………………………………………………………………....
3. ชอื่ เจาของธรุ กจิ ……………………………………………………………………………………………………………………………..
4. ท่ตี ้งั ของธรุ กิจ…………………………………………………………………………………………………………………………………
5. คณุ ภาพของการผลิตหรอื การบรกิ ารทป่ี รากฏ ไดแ ก…………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงานที่ 2
การกำหนดเปา้ หมายการผลิตหรือการบรกิ าร
คำสั่ง เมื่อผ้เู รียนผา่ นการเรยี นเกีย่ วกบั การกำหนดคุณภาพการผลิตหรอื การบรกิ าร ใหว้ ิเคราะห์ทุนท่จี ะ
ใช้กำหนดเปา้ หมายการผลิตหรือการบริการในอาชีพ ทผ่ี ู้เรยี นดำเนินการเอง หรืออาชพี ที่สนใจ วา่ มี
รายละเอยี ดและกำหนดเป้าหมายการผลิตหรอื การบริการอยา่ งไร
1.ลกั ษณะงานอาชพี …………………………………….……………………………………………………………………………………
2. ประเภทของผลผลิตหรอื การบรกิ าร………………………………………………………………………………….………………
3. ช่ือเจาของธรุ กิจ……………………………………………………………………………………………………………………..………
4. ทต่ี ัง้ ของธรุ กิจ…………………………………………………………………………………………………………………………………
5. เป้าหมายการผลิตหรือการบริการ………………………………………………………………………….…………………………
6. เหตผุ ลในการกำหนดเปา้ หมายการผลิตหรือการบริการ เพราะ.....................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
กศน.ตำบลทับมำ อำเภอเมืองระยอง จงั หวดั ระยอง