The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยาศาสตร์กายภาพ1-ม.5

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธัญญาดล อุปชิตกุล, 2020-05-19 12:39:59

วิทยาศาสตร์กายภาพ1-ม.5

วิทยาศาสตร์กายภาพ1-ม.5

แผนการจดั การเรยี นรู้
รายวิชา ว311104 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ 1

ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563

นางคุณากร คาสุข
ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ

กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรียนโคกโพธิไ์ ชยศึกษา อาเภอโคกโพธ์ไิ ชย

จังหวัดขอนแก่น
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 25

สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

บนั ทึกขอ้ ความ

ส่วนราชการ โรงเรียน โคกโพธิไ์ ชยศกึ ษา
ท่ี วนั ท่ี 15 พฤษภาคม 2563
เรือ่ ง ขออนุมตั ใิ ช้แผนการจดั การเรียนรู้

เรยี น ผอู้ านวยการโรงเรยี นโคกโพธ์ไิ ชยศึกษา

ตามท่ีขา้ พเจา้ นางคณุ ากร คาสุข ตาแหน่ง ครู กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ได้รับมอบหมายใหป้ ฏิบัติงานสอนในระดับช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 รายวชิ า ว3 1104 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ1
จานวน 1.0 หน่วยกติ ในภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563

ขา้ พเจา้ จงึ ได้วเิ คราะห์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชี้วัด คาอธบิ ายรายวชิ า โครงสรา้ งรายวิชา
หนว่ ยการจัดการเรยี นรู้ เพื่อจดั ทาแผนการจดั การเรยี นรู้ ซง่ึ สอดคล้องกบั หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียน
โคกโพธิ์ไชยศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ดังนั้นจึงขออนุมัตใิ ช้แผนการจัดการเรียนรดู้ งั กลา่ ว เพอื่ ใชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนให้เกดิ
ประสิทธิภาพสูงสุด และเพื่อพัฒนาคณุ ภาพผู้เรยี นให้บรรลุเปาู หมายของหลกั สูตรฯ ตอ่ ไป

จึงเรยี นมาเพอ่ื โปรดพจิ ารณาอนมุ ัติ

ลงชือ่

(นางคุณากร คาสขุ )
ตาแหนง่ ครู

ความเหน็ หัวหน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้ ความเห็นรองผอู้ านวยการ
 อนุมตั ิ  ไมอ่ นุมตั ิ
 อนุมัติ  ไมอ่ นุมตั ิ
ลงชือ่ ............................................................
ลงชอื่ ................................................................

(นางดารณี พงษส์ บาย) (นางพรพริ ุณ แจ้งใจ)
หัวหนา้ กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ผ้ชู ่วย ผ้อู านวยการกลมุ่ งานบริหารวชิ าการ

ความเหน็ ผอู้ านวยการ

 อนุมัติ  ไม่อนุมัติ

ลงช่ือ
(นางลดั ดา ผาพนั ธ์)

ผู้อานวยการโรงเรียนโคกโพธไิ์ ชยศกึ ษา

คานา

แผนการจดั การเรยี นร้รู ายวิชา ว31104 วิทยาศาสตร์กายภาพ 1 ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 กลุม่ สาระ
การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.
2560) เล่มนี้ จดั ทาขึ้นเพอ่ื ใช้เปน็ แนวทางในการจัดการเรียนรู้ สอนที่ใหผ้ เู้ รียนเป็นผู้ทากจิ กรรมการเรียนรู้
ด้วยตนเอง เป็นวิธสี อนท่ฝี ึกใหผ้ ้เู รยี นรจู้ ักค้นคว้าหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางความคดิ หาเหตุผล จะ
คน้ พบความรหู้ รือแนวทางในการแก้ไขปญั หาทีถ่ กู ต้องด้วยตนเอง โดยผูส้ อนตั้งปัญหาประเภทกระตนุ้ ให้
นกั เรียนใชค้ วามคดิ หาวธิ ีแก้ปญั หาทถ่ี กู ต้องด้วยตนเองและสามารถนาการแก้ปญั หานั้นมาใช้ประโยชน์
กิจกรรมทพี่ ัฒนาข้นึ มีความสอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ รายวิชา ว31104 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 1 ชัน้
มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เพอื่ ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดตอ่ การเรียนรู้ของนักเรียนอันส่งผลต่อการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นของนกั เรยี น และเจตคตทิ ด่ี ตี ่อวิชาวทิ ยาศาสตร์

การจดั ทาแผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ า ว31104 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ 1 ช้นั มธั ยมศึกษา ปที ่ี 5
โดยใชก้ ารสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ชุดนี้ได้จดั ทาตรงหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช
2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560) โดยนาเสนอเน้ือหาแบ่งเปน็ 2 ตอน คอื

ตอนท่ี 1 บทนา เปน็ ส่วนทน่ี าเสนอการวิเคราะหห์ ลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ โรงเรยี นโคกโพธไิ์ ชยศึกษา จังหวดั ขอนแก่น ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)

ตอนที่2 หนว่ ยการเรยี นรู้ ได้เสนอแนวทางการจดั การเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ จานวน 12 แผน
รวม 40 ช่ัวโมง ส่วนรปู แบบแผนการจัดการเรียนรแู้ ตล่ ะแผนมอี งคป์ ระกอบครบถ้วนตามแนวทางการจดั ทา
แผนการจัดการเรียนรู้ของสถานศกึ ษา

ผูจ้ ัดทาหวังเปน็ อย่างยิง่ ว่า แผนการจัดการเรยี นรูร้ ายวิชา ว 31104 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ 1 เรอ่ื ง
พนั ธะเคมี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เล่มน้จี ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การนาไปประยุกต์ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ให้
เหมาะสมและสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของนักเรียนต่อไป

คณุ ากร คาสขุ

สารบญั

ตอนที่ 1 บทนา 1

วเิ คราะห์หลกั สตู รสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนโคกโพธไิ์ ชยศกึ ษา

จังหวดั ขอนแกน่ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2560 6

ตอนท่ี 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ 25

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 องคป์ ระกอบในอากาศ 26

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2 องค์ประกอบภายในอะตอม 42

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3 สัญลักษณนวิ เคลียร์ 58

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 4 ตารางธาตุ 71

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 5 การใชป้ ระโยชน์จากอากาศและมลพิษทางอากาศ 82

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 6 พันธะโคเวเลนต์ 104

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 7 การเปล่ยี นสถานะของน้าและความมีข้ัว 114

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 8 สารประกอบไอออนกิ 124

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 9 สตู รเอมพิรคิ ัล 136

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 การเปล่ียนสถานะของสารประกอบไอออนิก 145

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 11 การละลายแบบแตกตัว 153

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 12 การละลายแบบไม่แตกตวั 162

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 13 ไขมันและนา้ มนั 169

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 14 คารโ์ บไฮเดรต 179

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 15 สมบัตทิ างกายภาพของมอนอเมอรแ์ ละพอลิเมอร์ 192

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 16 โปรตีน 203

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 17 วติ ามินและเกลอื แร่ 213

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 18 ข้อมลู โภชนาการบนฉลากอาหาร 224

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 19 พอลิเมอรส์ ังเคราะห์ 234

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 20 ฉลากผลติ ภัณฑพ์ ลาสตกิ กบั การใช้งาน 261

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 21 การเปล่ียนแปลงของพอลเิ มอรเ์ มอื่ ไดร้ บั ความร้อน 265

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 22 สมการเคมี 281

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 23 อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี 292

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 24 ปจั จัยทม่ี ผี ลต่ออตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี 304

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 25 ปจั จัยทีม่ ีผลตอ่ อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมใี นชวี ิตประจาวนั 318

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 26 ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ 328

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 27 สารกัมมนั ตรงั สี 339

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 28 ครึ่งชีวิต 350
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 29 ประโยชนแ์ ละโทษของสารกัมมนั ตรังสี 358

1

ตอนที่ 1

บทนา

2

การออกแบบการจัดการเรียนรู้แบบองิ มาตรฐานการเรยี นรู้
ตามหลกั สูตรแกนกลางข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)

รายวชิ า ว31104 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5

1. ประมวลรายวิชา
2. ตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร-ตวั ชี้วดั
3. คาอธิบายรายวชิ า
4. โครงสร้างรายวชิ า
5. หนว่ ยการเรียนรู้
6. แผนการจัดการเรยี นรู้
7. ใบงาน/ใบกจิ กรรม/ผลงาน/เอกสารประกอบการสอน
8. บนั ทกึ หลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

3

ประมวลรายวชิ า

รหัสวิชา ว31104
จานวนหน่วยการเรยี น 1.0 หน่วยกิต
ช่อื วิชา วทิ ยาศาสตร์กายภาพ1
ระดบั ช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
ภาคเรยี นที่ 1
ปกี ารศกึ ษา 2563
จานวนคาบต่อสัปดาห์ 2 คาบ/สปั ดาห์
เวลาเรียน 40 คาบ/ภาคเรียน
ชื่อครผู สู้ อน นางคณุ ากร คาสุข

1. หลักการและจดุ มงุ่ หมายของหลักสูตรการศึกษาขน้ั พื้นฐาน 2551
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรยี นทกุ คนซึง่ เปน็ กาลงั ของชาตใิ ห้เป็นมนษุ ย์ทมี่ ี

ความสมดลุ ท้งั ด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม มจี ิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มน่ั ในการ
ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ มคี วามรู้และทกั ษะพ้นื ฐาน รวมทั้ง

เจตคตทิ ี่จาเป็นตอ่ การศกึ ษา การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวติ โดยม่งุ เน้นผ้เู รียนเปน็ สาคญั บนพื้นฐาน
ความเช่อื วา่ ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ

2. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน มุ่งให้ผู้เรยี นเกดิ สมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ดงั นี้
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มวี ฒั นธรรมในการใช้

ภาษาถ่ายทอดความคดิ ความรู้ความเขา้ ใจ ความรสู้ ึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปล่ยี นข้อมลู ข่าวสาร
และประสบการณอ์ ันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาตอ่ รองเพอื่ ขจัดและ
ลดปญั หาความขดั แยง้ ตา่ ง ๆ การเลอื กรับหรือไมร่ บั ข้อมลู ข่าวสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถกู ตอ้ ง ตลอดจน
การเลอื กใช้วิธกี ารสือ่ สาร ที่มีประสิทธภิ าพโดยคานงึ ถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม

2) ความสามารถในการคดิ เปน็ ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคดิ สังเคราะห์ การคิด

อย่างสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ เพ่อื นาไปสกู่ ารสรา้ งองคค์ วามรู้หรือสารสนเทศ
เพือ่ การตดั สินใจเกี่ยวกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา เป็นความสามารถในการแกป้ ญั หาและอุปสรรคตา่ งๆ ท่ี
เผชญิ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพนื้ ฐานของหลกั เหตุผล คณุ ธรรมและขอ้ มูลสารสนเทศ เข้าใจความสมั พันธ์
และการเปล่ยี นแปลงของเหตุการณต์ ่างๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามร้มู าใชใ้ นการปูองกันและ
แกไ้ ขปญั หา และมกี ารตดั สินใจทม่ี ีประสิทธภิ าพโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ ตอ่ ตนเอง สังคมและ
สงิ่ แวดลอ้ ม

4

4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ เปน็ ความสามารถในการนากระบวนการตา่ งๆ ไปใชใ้ น
การดาเนนิ ชวี ติ ประจาวนั การเรียนร้ดู ้วยตนเอง การเรียนรูอ้ ย่างต่อเน่อื ง การทางาน และการอยูร่ ว่ มกนั ใน
สังคม
ดว้ ยการสร้างเสริมความสมั พนั ธ์อันดีระหวา่ งบุคคลการจัดการปญั หาและความขดั แย้งตา่ งๆ อย่างเหมาะสม
การปรบั ตัวให้ทนั กับการเปลย่ี นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรจู้ กั หลกี เล่ียงพฤตกิ รรมไม่พึง
ประสงค์ท่ีสง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผู้อ่นื

5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี ปน็ ความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี า้ นต่างๆ

และมที กั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพฒั นาตนเองและสงั คม ในดา้ นการเรียนรู้ การสื่อสาร การทางาน
การแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถกู ตอ้ ง เหมาะสม และมคี ุณธรรม

3. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผ้เู รียนให้มีคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เพือ่ ใหส้ ามารถ

อยรู่ ่วมกับผู้อนื่ ในสงั คมได้อยา่ งมคี วามสุข ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก กาหนดคณุ ลักษณะอันพงึ
ประสงค์ 8 ประการ ดังน้ี

1) รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2) ซอ่ื สัตย์สจุ รติ
3) มีวนิ ยั
4) ใฝุเรยี นรู้
5) อยู่อย่างพอเพียง
6) มงุ่ มั่นในการทางาน
7) รกั ความเป็นไทย
8) มจี ิตสาธารณะ

4. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ในการศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์ จาเปน็ ต้องใช้ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อนาไปสู่การค้นหา

ความรู้ จากการสารวจตรวจสอบ หรือจากการทดลอง ทักษะกระยวนการทางวทิ ยาศาสตร์มที ั้งหมด 13
ทักษะ ดังนี้

1) การสงั เกต

2) การวัด
3) การจาแนก
4) การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมติ ิกบั มิติ และมิติกับเวลา
5) การคานวณ
6) การจัดกระทาและสอ่ื ความหมายข้อมูล
7) การลงความเหน็ จากขอ้ มลู
8) การพยากรณ์

5

9) การตัง้ สมมติฐาน
10) การกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร
11) การกาหนดและควบคุมตวั แปร
12) การทดลอง
13) การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ
5. ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21
การเรยี นรใู้ นปัจจบุ นั เป็นการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 ที่ต้องก้าวใหท้ ันตอ่ การเปลีย่ นแปลงของโลก ซ่งึ
ต้องอาศยั ทกั ษะตา่ งๆ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้ ดงั น้ี
1) ทักษะการเรยี นรูแ้ ละนวตั กรรม
2) ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
3) ทกั ษะชีวิตและการทางาน

6. การบูรณาการ
1. หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 3 หว่ ง 2 เงอื่ นไข 4 มติ ิ

2. งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น 5 องคป์ ระกอบและ 3 สาระ
3. โรงเรยี นมาตรฐานสากล
4. อาเซียน

5. STEM
6. PLC

6. อตั ราสว่ นคะแนน = 70 : 30 คะแนน
คะแนนเกบ็ ระหว่างภาค : คะแนนปลายภาค = 25 คะแนน
= 20 คะแนน
คะแนนเกบ็ กอ่ นสอบกลางภาค = 25 คะแนน
คะแนนสอบกลางภาค = 30 คะแนน
คะแนนเก็บกอ่ นสอบปลายภาค = 100
คะแนนสอบปลายภาค

รวม

ตารางวิเครา

รายวชิ า 31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1
ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5
เวลา 40

มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่
ธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย

ตัวชว้ี ดั รูอ้ ะไร (สาระการเรยี นรู้) พุทธพิสยั (K)
1. องคป์ ระกอบในอากาศ 1. บอกช่อื และปรมิ าณ
ว 2.1 ม.5/1 ระบวุ า่ สารเป็นธาตหุ รอื
สารประกอบ และอยใู่ นรูปอะตอม 1. องคป์ ระกอบภายใน แกส๊ ตา่ ง ๆ ในอาก
โมเลกุล หรอื ไอออนจากสูตรเคมี อะตอม 2. ระบวุ า่ สารเปน็ ธาต

ว 2.1 ม.5/2 เปรยี บเทียบความเหมือน สารประกอบ และ
และความแตกต่างของแบบจาลอง รูปอะตอม โมเลกุล
อะตอมของโบรก์ บั แบบจาลองอะตอม ไอออนจากสตู รเค
แบบกลุ่มหมอก 1. ระบจุ านวนเวเลนซ
ว 2.1 ม.5/3 ระบจุ านวนโปรตอน อิเลก็ ตรอนจากแบ
นวิ ตรอน อิเลก็ ตรอนของอะตอมและ อะตอมของโบรข์ อ
ไอออนท่ีเกิดจากอะตอมเดียว กาหนดให้ได้
2. ระบจุ านวนโปรตอน
นวิ ตรอน และอิเล
ของอะตอม และไ
เกดิ จากอะตอมเด

6

าะห์หลกั สูตร

กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช่วั โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

างสมบตั ขิ องสสารกับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค หลักและ
ย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี

ทาอะไร จติ พิสัย (A) สมรรถนะ
) ทกั ษะพิสัย (P) 1. ใฝเุ รยี นรูแ้ ละ
ณของ 1. สามารถจัดกระทาและสือ่ 1. ความสามารถในการ
กาศได้ ความหมายของข้อมลู ท่ี เป็นผู้มคี วาม ส่ือสาร (อ่าน ฟงั พูด
ตหุ รอื ศึกษาค้นควา้ ได้ มงุ่ มั่นในการ เขยี น)
ะอยใู่ น ทางาน
ล หรือ 2. ความสามารถในการคิด
คมีได้ (สงั เกต วิเคราะห์ จัด
ซ์ 1. เขยี นเปรียบเทียบความ กลุ่ม สรุป)
บบจาลอง เหมือนและความแตกต่าง
องธาตทุ ี่ ของแบบจาลองอะตอม 3. ความสามารถในการ
แก้ปัญหา (แสวงหา
ของโบรก์ ับแบบจาลอง ความรู้)
น อะตอมแบบกลุ่มหมอกได้
ลก็ ตรอน 4. ความสามารถในการใช้
ไอออนที่ ทักษะชีวติ (ความ
ดยี วได้ รับผิดชอบ)

5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศ
(ใชก้ ารสืบค้นผ่าน
คอมพวิ เตอร์)

ตวั ชว้ี ัด รอู้ ะไร (สาระการเรยี นรู้) พทุ ธพสิ ัย (K
1. สัญลกั ษณ์นิวเคลยี ร์ 1. เขียนสญั ลกั ษณ์นิว
ว 2.1 ม.5/4 เขียนสญั ลกั ษณ์นิวเคลียร์
ของธาตุและระบุการเปน็ ไอโซโทป ของธาตุ ของธาตุทก่ี าหนดใ
ระบวุ า่ ธาตุใดเป็นไ
ว 2.1 ม.5/5 ระบุหมู่และคาบของธาตุ 1. ตารางธาตุ กนั
และระบุวา่ ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ 1. ระบหุ มแู่ ละคาบขอ
กึง่ โลหะ กลุ่มธาตเุ รพรีเซนเททีฟ หรอื 1. การใช้ประโยชน์จาก ตารางธาตุได้
กลุม่ ธาตุแทรนซิชันจากตารางธาตุ อากาศและมลพษิ ทาง 2. เปรยี บเทยี บการนา
ว 2.1 ม.5/6 เปรยี บเทยี บสมบัตกิ ารนา อากาศ และการให้หรือรับ
ไฟฟูา การใหแ้ ละรบั อิเล็กตรอนระหว่าง อิเล็กตรอนของธา
ธาตใุ นกลมุ่ โลหะกับอโลหะ 1. พันธะโคเวเลนต์ และอโลหะได้
ว 2.1 ม.5/7 สืบคน้ ขอ้ มลู และนาเสนอ
ตวั อย่างประโยชนแ์ ละอันตรายทเ่ี กดิ 1. บอกประโยชน์ของ
จากธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและธาตแุ ทรนซิ อากาศได้
ชัน
2. ยกตวั อย่างสารมลพ
ว 2.1 ม.5/8 ระบุวา่ พันธะโคเวเลนตเ์ ป็น อากาศ รวมถงึ แห
พนั ธะเดีย่ ว พนั ธะคู่ หรอื พนั ธะสาม และ และผลกระทบต่อ
ระบจุ านวนคู่อิเลก็ ตรอนระหวา่ งอะตอม และส่งิ แวดลอ้ มได
ครู่ ว่ มพันธะ จากสตู รโครงสร้าง
1. ระบจุ านวนอะตอม
องค์ประกอบในโม
สารโคเวเลนตจ์ าก
โมเลกลุ หรอื สูตรโค
ได้

K) ทาอะไร จติ พิสยั (A) 7
วเคลียร์ ทักษะพสิ ยั (P) 1. ใฝเุ รียนรแู้ ละ
ให้ และ สมรรถนะ
ไอโซโทป 1. มีทกั ษะการคานวณ เปน็ ผ้มู คี วาม
มงุ่ ม่ันในการ 1. ความสามารถในการ
ทางาน ส่ือสาร (อา่ น ฟงั พดู
เขียน)
องธาตุใน 1. ระบวุ ่าธาตุทก่ี าหนดให้
เปน็ โลหะ อโลหะ หรือ 2. ความสามารถในการคดิ
าไฟฟาู กึง่ โลหะ หรือเปน็ ธาตุ (สังเกต วิเคราะห์ จัด
บ เรพรีเซนเททีฟ หรือ กลุ่ม สรปุ )
าตุโลหะ ธาตแุ ทรนซิซันจาก
ตารางธาตุได้ 3. ความสามารถในการ
แก้ปญั หา (แสวงหา
งแกส๊ ใน 1. สืบคน้ ขอ้ มลู และ ความรู้)
นาเสนอประโยชน์และ
4. ความสามารถในการใช้
พษิ ใน อนั ตรายของธาตุเรพรี ทกั ษะชีวติ (ความ
หล่งกาเนิด เซนเททฟี และธาตแุ ทรน รบั ผดิ ชอบ)
อสิง่ มชี วี ติ ซชิ ันได้
ด้ 5. ความสามารถในการใช้
มของธาตุ 1. สามารถจดั อุปกรณเ์ พอ่ื เทคโนโลยสี ารสนเทศ
มเลกลุ ของ ศกึ ษาการเคลื่อนท่ีของ (ใชก้ ารสืบค้นผ่าน
กสูตร วัตถุในแนวระดบั และ คอมพิวเตอร์)
ครงสร้าง แนวด่งิ ได้

ตัวช้วี ดั รู้อะไร (สาระการเรยี นรู้) พุทธพสิ ัย (K
1. พันธะโคเวเลนต์ 2. ระบุวา่ พันธะโคเวเล
ว 2.1 ม.5/8 ระบุวา่ พันธะโคเวเลนตเ์ ป็น
พนั ธะเดยี่ ว พนั ธะคู่ หรือพนั ธะสาม และ 1. การเปลี่ยนสถานะของ พนั ธะเดีย่ ว พันธะ
ระบุจานวนค่อู ิเลก็ ตรอนระหวา่ งอะตอม นา้ และความมีข้ัว พนั ธะสาม และระ
คู่ร่วมพันธะ จากสูตรโครงสร้าง คอู่ ิเลก็ ตรอนระหว
1. สารประกอบไอออนกิ อะตอมคูร่ ว่ มพันธ
ว 2.1 ม.5/9 ระบุสภาพขว้ั ของสารท่ี โครงสร้างได้
โมเลกุลประกอบดว้ ย 2 อะตอม 1. ระบสุ ภาพข้ัวของส
ว 2.1 ม.5/10 ระบสุ ารทเี่ กดิ พนั ธะ โมเลกลุ ประกอบด
ไฮโดรเจนได้จากสตู รโครงสรา้ ง อะตอมได้
ว 2.1 ม.5/11 อธบิ ายความสัมพนั ธ์ 2. ระบุสารทเ่ี กิดพนั ธะ
ระหว่างจุดเดอื ดของสารโควาเลนต์กับ ได้จากสูตรโครงสร
แรงดงึ ดูดระหวา่ งโมเลกลุ ตามสภาพข้วั 3. อธบิ ายความสัมพัน
หรือการเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน จดุ เดอื ดของสารโค
กับแรงยึดเหน่ียวร
ว 2.1 ม.5/12 เขียนสตู รเคมขี องไอออน โมเลกุลตามสภาพ
และสารประกอบไอออนกิ การเกิดพันธะไฮโด
1. อธิบายการเกิดพัน
ไอออนกิ ได้

1. สตู รเอมพิรคิ ัล 1. อธบิ ายความหมาย
เอมพิริคลั ได้

ทาอะไร จิตพิสัย (A) 8
K) ทักษะพสิ ัย (P) 1. ใฝเุ รียนรู้และ
ลนต์เป็น 1. สามารถจดั กระทาและ สมรรถนะ
ะคู่ หรือ ส่อื ความหมายของ เปน็ ผู้มีความ
ะบจุ านวน ขอ้ มลู ท่ศี กึ ษาคน้ ควา้ ได้ มงุ่ ม่ันในการ 1. ความสามารถในการ
วา่ ง ทางาน สอื่ สาร (อา่ น ฟัง พดู
ธะจากสตู ร เขียน)

สารท่ี 1. สามารถจัดกระทาและ 2. ความสามารถในการคดิ
ดว้ ย 2 สื่อความหมายของ (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั
กลุ่ม สรปุ )
ข้อมูลทศี่ กึ ษาคน้ คว้าได้
ะไฮโดรเจน 3. ความสามารถในการ
รา้ งได้ แกป้ ญั หา (แสวงหา
นธ์ระหวา่ ง ความรู้)
คเวเลนต์
ระหวา่ ง 4. ความสามารถในการใช้
พขว้ั หรอื ทักษะชวี ติ (ความ
ดรเจนได้ รับผดิ ชอบ)
นธะ 1. เขยี นสูตรเคมขี อง
5. ความสามารถในการใช้
ไอออนที่พบใน เทคโนโลยสี ารสนเทศ
ชวี ิตประจาวนั ได้ (ใช้การสบื คน้ ผ่าน
ยของสตู ร 1. เขยี นสูตรเอมพิริคัลของ คอมพิวเตอร์)
สารประกอบไอออนกิ จาก
ไอออนทกี่ าหนดให้ได้

ตัวชวี้ ัด ร้อู ะไร (สาระการเรยี นรู้) พทุ ธพสิ ัย (K

ว 2.1 ม.5/12 เขียนสตู รเคมีของไอออน 1. การเปลย่ี นสถานะของ 1. เปรยี บเทยี บจุดหล

และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิก และจดุ เดือดระหว

เลนสก์ บั สารประก

ออนิกได้

ว 2.1 ม.5/13 ระบุว่าสารเกดิ การละลาย 1. การละลายแบบแตก 1. ระบวุ ่าสารเกดิ การ

แบบแตกตวั หรอื ไมแ่ ตกตัว พร้อมใช้ ตัว น้าแบบแตกตวั จาก

เหตุผลและระบุวา่ สารละลายท่ไี ด้เป็น และสารละลายทไี่

สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ หรอื นอนอเิ ลก็ สารละลายอเิ ล็กโท

โทรไลต์ 1. การละลายแบบไม่แตก 1. ระบวุ า่ สารเกดิ การ

ตวั น้าแบบแตกตัวหร

แตกตัวจากสูตรเค

สารละลายทไี่ ด้เปน็

สารละลายอิเล็กโท

หรือนอนอิเล็กโทร

ว 2.1 ม.5/14 ระบสุ ารประกอบอนิ ทรีย์ 1. ไขมนั และนา้ มัน 1. อธบิ ายความหมาย

ประเภทไฮโดรคารบ์ อนวา่ อ่มิ ตัวหรือไม่ สารประกอบไฮโด

อ่ิมตวั จากสูตรโครงสร้าง ได้

2. ระบสุ ารประกอบอ

ประเภทไฮโดรเจน

วา่ อิม่ ตวั หรอื ไม่อิม่

สตู รโครงสรา้ งได้

K) ทาอะไร จติ พิสยั (A) 9
ลอมเหลว ทักษะพสิ ัย (P) 1. ใฝุเรยี นรูแ้ ละ
วา่ งโคเว 1. สามารถจัดกระทาและ สมรรถนะ
กอบไอ ส่ือความหมายของ เป็นผูม้ คี วาม
ข้อมูลทศี่ ึกษาค้นคว้าได้ มงุ่ ม่นั ในการ 1. ความสามารถในการ
ทางาน สื่อสาร (อา่ น ฟงั พูด
เขยี น)
รละลาย 1. สามารถจดั กระทาและ
2. ความสามารถในการคดิ
กสูตรเคมี ส่ือความหมายของ (สังเกต วเิ คราะห์ จัด
กลุม่ สรุป)
ได้เป็น ขอ้ มูลที่ศกึ ษาค้นคว้าได้
3. ความสามารถในการ
ทรไลตไ์ ด้ แก้ปญั หา (แสวงหา
ความรู้)
รละลาย -
4. ความสามารถในการใช้
รอื แบบไม่ ทกั ษะชวี ิต (ความ
รับผดิ ชอบ)
คมี และ
5. ความสามารถในการใช้
น เทคโนโลยีสารสนเทศ
(ใช้การสบื คน้ ผ่าน
ทรไลต์ คอมพิวเตอร์)

รไลต์ได้

ยของ 1. สามารถจัดกระทาและ

ดรคารบ์ อน ส่อื ความหมายของ

ขอ้ มูลทีศ่ ึกษาคน้ ควา้ ได้

อินทรยี ์

นคารบ์ อน

มตัวจาก

ตัวช้ีวัด รู้อะไร (สาระการเรยี นรู้) พทุ ธพสิ ัย (K

ว 2.1 ม.5/15 สืบค้นขอ้ มูลและ 1. คารโ์ บไฮเดรต 1. สบื ค้นขอ้ มลู และ

เปรียบเทียบสมบตั ทิ างกายภาพระหว่าง เปรียบเทยี บสมบตั

พอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร์ของ กายภาพระหวา่ งพ

พอลิเมอรช์ นดิ นนั้ และมอนอเมอร์ขอ

พอลเิ มอรช์ นดิ นน้ั ไ

1. สมบัตทิ างกายภาพ 1. สืบคน้ ขอ้ มูลและ

ของมอนอเมอร์และ เปรียบเทยี บสมบตั

พอลิเมอร์ กายภาพระหวา่ งพ

และมอนอเมอร์ขอ

พอลิเมอร์ชนดิ นน้ั ไ

ว 2.1 ม.5/16 ระบสุ มบัติความเป็นกรด- 1. โปรตนี 1. ระบสุ ารประกอบอ

เบสจากโครงสร้างของสารประกอบ สมบตั ิกรด-เบสจาก

อนิ ทรยี ์ โครงสร้างได้

ว 2.1 ม.5/17 อธบิ ายสมบัติการละลาย 1. วิตามนิ และเกลอื แร่ 1. อธิบายสมบตั ิการล

ในตัวทาละลายชนิดตา่ งๆ ของสาร ตัวทาละลายชนิดต

สารได้

1. ข้อมลู โภชนาการบน 1. อธิบายเก่ียวกับข้อ

ฉลากอาหาร โภชนาการบนฉลา

ได้

ทาอะไร 10

K) ทักษะพสิ ัย (P) จิตพสิ ยั (A) สมรรถนะ

1. สามารถทากิจกรรม 3.1 1. ใฝุเรยี นร้แู ละ 1. ความสามารถในการ
สอ่ื สาร (อา่ น ฟัง พดู
ตทิ าง การทดลองเปรียบเทยี บ เปน็ ผมู้ คี วาม เขยี น)

พอลิเมอร์ สมบัตบิ างประการของ มุ่งมั่นในการ 2. ความสามารถในการคดิ
(สงั เกต วเิ คราะห์ จัด
อง กลโู คสและแปูงมนั ทางาน กลุ่ม สรปุ )

ได้ สาปะหลังได้ 3. ความสามารถในการ
แก้ปัญหา (แสวงหา
1. สามารถทากิจกรรม 3.2 ความรู้)

ตทิ าง สบื คน้ ข้อมูลสมบัติทาง 4. ความสามารถในการใช้
ทกั ษะชีวติ (ความ
พอลเิ มอร์ กายภาพของมอนอเมอร์ รบั ผดิ ชอบ)

อง และพอลเิ มอรไ์ ด้ 5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศ
ได้ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่าน
คอมพวิ เตอร์)
อนิ ทรียม์ ี 1. สามารถจัดกระทาและ

กสูตร สอื่ ความหมายของ

ข้อมูลทีศ่ ึกษาค้นควา้ ได้

ละลายใน 1. สามารถเขยี นสตู ร

ต่างๆ ของ โครงสร้างของวิตามนิ ท่ี

กาหนดให้ได้

อมลู -

ากอาหาร

ตวั ชี้วัด รูอ้ ะไร (สาระการเรียนรู้) พทุ ธพิสยั (

ว 2.1 ม.5/18 วเิ คราะห์และอธิบาย 1. พอลิเมอรส์ งั เคราะห์ 1. วิเคราะห์และอธบิ

ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งโครงสร้างกบั ความสมั พนั ธ์ระห

สมบตั เิ ทอร์มอพลาสติกและเทอร์มอเซต โครงสร้างกบั สมบ

ของพอลิเมอร์ และการนาพอลเิ มอร์ไป พลาสตกิ และเทอ

ใช้ประโยชน์ ของพอลเิ มอร์ แล

พอลิเมอร์ไปใช้ปร

1. ฉลากผลิตภณั ฑ์ 1. วิเคราะหแ์ ละอธิบ

พลาสติกกบั การใชง้ าน ความสมั พันธร์ ะห

โครงสรา้ งกบั สมบ

พลาสตกิ และเทอ

ของพอลิเมอร์ แล

พอลิเมอรไ์ ปใช้ปร

ว 2.1 ม.5/18 วเิ คราะหแ์ ละอธบิ าย 1. การเปลี่ยนแปลงของ 1. อธบิ ายความสมั พ

ความสัมพันธ์ระหวา่ งโครงสรา้ งกบั พอลเิ มอร์เมื่อไดร้ ับ ระหวา่ งสมบตั เิ ท

สมบัตเิ ทอรม์ อพลาสตกิ และเทอรม์ อเซต ความร้อน พลาสตกิ และเทอ

ของพอลิเมอร์ และการนาพอลเิ มอรไ์ ป ของพอลเิ มอร์ พร

ใชป้ ระโยชน์ แนวทางปอู งกันห

ว 2.1 ม.5/19 สืบคน้ ขอ้ มลู และนาเสนอ ได้

ผลกระทบของการใชผ้ ลติ ภัณฑพ์ อลิ

เมอร์ที่มีตอ่ สิ่งมชี ีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม

พรอ้ มแนวทางปูองกนั แก้ไข

11

ทาอะไร จติ พสิ ัย (A) สมรรถนะ
(K) ทักษะพสิ ัย (P) 1. ใฝเุ รียนรู้
บาย 1. สามารถจดั กระทาและสอื่ 1. ความสามารถในการ
หว่าง ความหมายของขอ้ มลู ที่ และเปน็ ผูม้ ี สื่อสาร (อ่าน ฟงั พูด
บตั ิเทอรม์ อ ศกึ ษาคน้ คว้าได้ ความมุ่งมนั่ เขยี น)
อร์มอเซต ในการ
ละการนา ทางาน 2. ความสามารถในการคดิ
ระโยชนไ์ ด้ (สังเกต วิเคราะห์ จัด
บาย 1. สามารถทากิจกรรม 3.3 กลมุ่ สรุป)
หวา่ ง ฉลากผลิตภัณฑ์พลาสตกิ
บัติเทอร์มอ กับการใช้งานได้ 3. ความสามารถในการ
อร์มอเซต แกป้ ญั หา (แสวงหา
ละการนา ความรู้)
ระโยชนไ์ ด้
พันธ์ 1. สามารถทากจิ กรรม 3.4 4. ความสามารถในการใช้
ทอร์มอ ปัญหาและแนวทางการ ทักษะชวี ติ (ความ
อรม์ อเซต แกไ้ ขปญั หาทเ่ี กดิ จากขยะ รับผดิ ชอบ)
ร้อม พลาสติกได้
หรือแกไ้ ข 2. สืบค้นข้อมลู และนาเสนอ 5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศ
ผลกระทบของการใช้ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่าน
ผลติ ภัณฑ์พอลเิ มอรท์ ีม่ ีต่อ คอมพวิ เตอร์)
สงิ่ มชี ีวิตและสิง่ แวดล้อม
พร้อมแนวทางปอู งกันหรอื
แก้ไขได้

ตวั ช้ีวดั รอู้ ะไร (สาระการเรยี นรู้)

พุทธพิสยั (

ว 2.1 ม.5/20 ระบุสูตรเคมขี องสารตง้ั 1. สมการเคมี 1. ระบุสูตรเคมีของส

ตน้ ผลิตภณั ฑ์ และแปลความหมายของ ผลิตภณั ฑ์ และแป

สัญลกั ษณใ์ นสมการเคมขี อง ปฏกิ ิรยิ า ความหมายของส

เคมี ในสมการเคมีได้

ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธบิ ายผล 1. อัตราการเกิดปฏิกริ ยิ า 1. อธบิ ายผลของตัว

ของความเขม้ ข้น พนื้ ทผ่ี วิ อุณหภมู ิ และ เคมี ปฏกิ ิรยิ าท่ีมผี ลต่อ

ตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ า ทมี่ ีผลต่ออตั ราการ เกิดปฏิกิริยาเคมไี

เกิดปฏิกิรยิ าเคมี 1. ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ อตั รา 1. อธบิ ายผลของคว

การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี พน้ื ทีผ่ วิ และอณุ ห

ผลต่ออตั ราการ

เกดิ ปฏิกิริยาเคมีไ

ว 2.1 ม.5/22 สบื คน้ ข้อมูลและอธิบาย 1. ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ อัตรา 1. อธิบายปจั จยั ทีม่ ีผ

ปัจจัยท่มี ผี ลต่ออตั ราการเกิดปฏิกิรยิ า การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี การเกิดปฏิกิรยิ าเ

เคมที ใ่ี ชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั หรอื ในชีวิตประจาวัน ประโยชนใ์ นชีวิต

ในอตุ สาหกรรม หรือในอุตสาหกร

ทาอะไร 12

(K) ทักษะพสิ ัย (P) จิตพสิ ยั (A) สมรรถนะ

สารต้งั ต้น 1. เขียนสมการเคมีที่ 1. ใฝเุ รยี นรู้ 1. ความสามารถในการ
สอ่ื สาร (อา่ น ฟงั พูด
ปล กาหนดให้ได้ และเปน็ ผมู้ ี เขียน)

สญั ลักษณ์ ความมุ่งม่นั 2. ความสามารถในการคดิ
(สงั เกต วเิ คราะห์ จัด
ในการ กลุม่ สรุป)

วเรง่ 1. ทดลองผลของตัวเร่ง ทางาน 3. ความสามารถในการ
แกป้ ญั หา (แสวงหา
ออตั ราการ ปฏิกริ ยิ าทม่ี ีผลต่ออตั ราการ ความรู้)

ได้ เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ 4. ความสามารถในการใช้
ทักษะชีวิต (ความ
วามเขม้ ขน้ 1. ทดลองผลของความเขม้ ขน้ รับผดิ ชอบ)

ณหภูมิ ท่ีมี พนื้ ท่ีผวิ และอณุ หภูมิ ท่ีมี 5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศ
ผลต่ออตั ราการ (ใชก้ ารสืบคน้ ผา่ น
คอมพิวเตอร์)
ได้ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมไี ด้

ผลตอ่ อตั รา 1. สามารถทากิจกรรม 3.4

เคมีทีใ่ ช้ สบื ค้นขอ้ มลู ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่

ตประจาวนั อัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี

รรมได้ ในชีวิตประจาวัน

2. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ าย

ปจั จัยที่มผี ลตอ่ อัตราการ

เกดิ ปฏิกิริยาเคมีท่ีใช้

ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั

หรือในอตุ สาหกรรมได้

ตวั ช้ีวัด ร้อู ะไร (สาระการเรียนรู้) พทุ ธพิสัย (K
ว 2.1 ม.5/23 อธิบายความหมายของ 1. ปฏิกริ ยิ ารดี อกซ์ 1. อธิบายความหมาย
ปฏกิ ริ ิยารีดอกซ์
1. สารกมั มนั ตรังสี ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ได
ว 2.1 ม.5/24 อธิบายสมบัตขิ องสาร 2. ยกตัวอยา่ งปฏิกริ ยิ
กมั มันตรงั สี และคานวณครึง่ ชวี ติ และ
ปริมาณของสารกมั มันตรังสี ที่พบในชวี ิตประจา
1. อธบิ ายสมบัติของส

กัมมนั ตรังสีได้

1. คร่งึ ชวี ติ 1. อธิบายความหมาย
ครึ่งชีวิตของสารกมั
ได้

13

K) ทาอะไร จติ พสิ ยั (A) สมรรถนะ
ยของ ทกั ษะพสิ ยั (P) 1. ใฝเุ รยี นรูแ้ ละ
ด้ 1. สามารถเขียนแผนภาพ 1. ความสามารถในการ
ยารีดอกซ์ ทศิ ทางการเคล่ือนทีข่ อง เป็นผู้มีความ สอื่ สาร (อา่ น ฟงั พูด
าวนั ได้ อิเล็กตรอนที่ทาใหเ้ กดิ ม่งุ ม่นั ในการ เขยี น)
สาร กระแสไฟฟาู ได้ ทางาน
1. เขยี นแผนภาพอยา่ งง่าย 2. ความสามารถในการคิด
ยเกย่ี วกับ ของการผลติ ไฟฟูาใน (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั
มมันตรังสี โรงไฟฟูานวิ เคลยี รได้ กลมุ่ สรุป)
1. คานวณเกย่ี วกับคร่ึงชวี ติ
ของสารกมั มันตรังสีท่ี 3. ความสามารถในการ
กาหนดให้ได้ แกป้ ญั หา (แสวงหา
ความรู้)

4. ความสามารถในการใช้
ทกั ษะชีวิต (ความ
รบั ผดิ ชอบ)

5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศ
(ใช้การสืบคน้ ผ่าน
คอมพิวเตอร์)

ตัวชวี้ ดั รู้อะไร (สาระการเรยี นรู้) พทุ ธพสิ ัย (K
1. สืบคน้ ข้อมูลตัวอยา่
ว 2.1 ม.5/25 สบื คน้ ขอ้ มลู และนาเสนอ 1. ประโยชนแ์ ละโทษ
ตัวอยา่ งประโยชนข์ องสารกมั มนั ตรังสี กัมมนั ตรงั สี ประโยชนข์ องสาร
และการปูองกันอันตรายท่เี กิดจาก กัมมนั ตรงั สีและกา
กัมมนั ตภาพรงั สี อันตรายท่ีเกดิ จาก
กมั มนั ตรังสีได้

ทาอะไร จติ พสิ ัย (A) 14
K) ทกั ษะพสิ ยั (P) 1. ใฝุเรียนรูแ้ ละ
าง 1. นาเสนอขอ้ มูลตวั อยา่ ง สมรรถนะ
เป็นผมู้ คี วาม
ประโยชนข์ องสาร มงุ่ มั่นในการ 1. ความสามารถในการ
ารปอู งกัน กัมมนั ตรังสีและการ ทางาน สือ่ สาร (อ่าน ฟงั พูด
กสาร ปูองกันอนั ตรายท่เี กิด เขยี น)

จากสารกมั มนั ตรงั สไี ด้ 2. ความสามารถในการคดิ
(สงั เกต วเิ คราะห์ จดั
กลุ่ม สรุป)

3. ความสามารถในการ
แกป้ ญั หา (แสวงหา
ความรู้)

4. ความสามารถในการใช้
ทกั ษะชีวิต (การทางาน)

5. ความสามารถในการใช้
เทคโนโลยสี ารสนเทศ
(ใชก้ ารสืบค้นผา่ น
คอมพวิ เตอร์ มีทกั ษะ
กระบวนการทาง
เทคโนโลยี )

15

คาอธิบายรายวิชาพน้ื ฐาน

รายวชิ า ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 1.0 หนว่ ยกติ
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เวลาเรียน 40 ช่ัวโมง/ภาคเรยี น

ศกึ ษาการจาแนกธาตแุ ละสารประกอบ ววิ ัฒนาการของแบบจาลองอะตอมของธาตุ อนภุ าคมูลฐานของ
อะตอม เลขอะตอม เลขมวล และไอโซโทป สัญลกั ษณ์นวิ เคลยี ร์ การจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนในอะตอมของธาตบุ าง
ชนิด การจดั เรียงธาตใุ นตารางธาตุ แนวโน้มสมบตั บิ างประการของธาตุตามตารางธาตุ ศึกษาและทดลองเกย่ี วกับ
ชนดิ ของพนั ธะเคมีจากการนาไฟฟาู ของสารบางชนิด ศกึ ษาการเกดิ พันธะและสมบัตบิ างประการของสาร
โควาเลนต์ สารประกอบไอออนิก และโลหะสารประกอบอนิ ทรีย์ สมบัติของสารประการอินทรียบ์ างชนิด ศกึ ษา
ความหมายและตวั อยา่ ง พอลเิ มอรธ์ รรมชาตแิ ละพอลเิ มอรส์ งั เคราะห์ โครงสร้าง สมบตั ิ ประเภทของพอลเิ มอร์
รวมท้งั การใชป้ ระโยชน์และผลกระทบจากการใชผ้ ลติ ภัณฑ์ของพอลเิ มอร์ ทดลองการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ศึกษา
ความสมั พนั ธข์ องพลังงานกับการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ศึกษาและคานวณหาอตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ศกึ ษาและ
ทดลองปจั จัยท่มี ีผลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยา ศกึ ษาปฏกิ ริ ิยาเคมใี นชวี ิตประจาวัน การใช้ประโยชน์และผลของ
ปฏกิ ิริยาเคมตี อ่ สิ่งมีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม ศกึ ษาความหมายของปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์ สมบัตขิ องสารกัมมนั ตรังสี
ประโยชน์ของสารกมั มันตรงั สี และการปูองกนั อันตรายทีเ่ กดิ จากสารกัมมันตรงั สี

โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสบื คน้ ขอ้ มูล การสงั เกต วิเคราะห์
เปรยี บเทียบ อธิบาย อภปิ ราย และสรุป เพอื่ ใหเ้ กิดความร้คู วามเข้าใจ มีความสามารถในการตดั สินใจ มีทกั ษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รวมทง้ั ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ในดา้ นการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ด้านการคดิ
และการแกป้ ญั หา สามารถสือ่ สารสิง่ ทเ่ี รยี นร้แู ละนา ความรู้ไปใชใ้ นชวี ติ ของตนเอง มีจติ วทิ ยา ศาสตร์ จรยิ ธรรม
คุณธรรม และคา่ นยิ มที่เหมาะสม

ตัวชวี้ ัด
ว 2.1 ม.5/1 ระบวุ ่าสารเป็นธาตุหรือสารประกอบ และอย่ใู นรปู อะตอม โมเลกลุ หรือไอออนจากสตู รเคมี
ว 2.1 ม.5/2 เปรียบเทยี บความเหมอื นและความแตกตา่ งของแบบจาลองอะตอมของโบรก์ บั แบบจาลอง

อะตอม แบบกลุ่มหมอก
ว 2.1 ม.5/3 ระบจุ านวนโปรตอน นวิ ตรอน อิเลก็ ตรอนของอะตอมและไอออนท่เี กดิ จากอะตอมเดียว
ว 2.1 ม.5/4 เขียนสญั ลกั ษณน์ วิ เคลียร์ของธาตุและระบุการเปน็ ไอโซโทป
ว 2.1 ม.5/5 ระบหุ มู่และคาบของธาตุ และระบุว่าธาตเุ ป็นโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ กลุ่มธาตเุ รพรีเซนเททฟี

หรอื กลุ่มธาตแุ ทรนซชิ นั จากตารางธาตุ
ว 2.1 ม.5/6 เปรยี บเทียบสมบตั ิการนาไฟฟูา การให้และรบั อิเล็กตรอนระหวา่ งธาตุในกลมุ่ โลหะกับอโลหะ
ว 2.1 ม.5/7 สบื คน้ ขอ้ มูลและนาเสนอตวั อยา่ งประโยชน์และอันตรายท่ีเกิดจากธาตเุ รพรีเซนเททฟี และ

ธาตแุ ทรนซิชนั
ว 2.1 ม.5/8 ระบวุ า่ พนั ธะโคเวเลนต์เปน็ พันธะเดยี่ ว พนั ธะคู่ หรอื พนั ธะสาม และระบุจานวนคู่อเิ ลก็ ตรอน

ระหวา่ งอะตอมคู่รว่ มพันธะ จากสตู รโครงสรา้ ง
ว 2.1 ม.5/9 ระบสุ ภาพขัว้ ของสารทีโ่ มเลกุลประกอบด้วย 2 อะตอม

16

ว 2.1 ม.5/10 ระบสุ ารท่เี กดิ พนั ธะไฮโดรเจนไดจ้ ากสูตรโครงสรา้ ง
ว 2.1 ม.5/11 อธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งจุดเดอื ดของสารโควาเลนต์กบั แรงดึงดดู ระหวา่ งโมเลกลุ ตาม
สภาพข้ัวหรอื การเกดิ พันธะไฮโดรเจน
ว 2.1 ม.5/12 เขียนสตู รเคมขี องไอออนและสารประกอบไอออนกิ
ว 2.1 ม.5/13 ระบวุ ่าสารเกดิ การละลายแบบแตกตัวหรอื ไม่แตกตวั พรอ้ มใช้เหตผุ ลและระบวุ ่าสารละลายท่ี
ไดเ้ ปน็ สารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ หรอื นอนอเิ ลก็ โทรไลต์
ว 2.1 ม.5/14 ระบุสารประกอบอินทรยี ป์ ระเภทไฮโดรคารบ์ อนวา่ อิ่มตวั หรอื ไม่อมิ่ ตวั จากสูตรโครงสรา้ ง
ว 2.1 ม.5/15 สืบคน้ ขอ้ มูลและเปรียบเทียบสมบตั ทิ างกายภาพระหว่างพอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอรข์ อง
พอลเิ มอรช์ นดิ นั้น
ว 2.1 ม.5/16 ระบุสมบตั คิ วามเปน็ กรด-เบสจากโครงสร้างของสารประกอบอินทรยี ์
ว 2.1 ม.5/17 อธบิ ายสมบัติการละลายในตวั ทาละลายชนิดตา่ งๆ ของสาร
ว 2.1 ม.5/18 วิเคราะหแ์ ละอธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ งโครงสร้างกับสมบตั เิ ทอรม์ อพลาสติกและเทอรม์ อ
เซตของพอลิเมอร์ และการนาพอลเิ มอรไ์ ปใชป้ ระโยชน์
ว 2.1 ม.5/19 สืบค้นขอ้ มูลและนาเสนอผลกระทบของการใช้ผลติ ภณั ฑพ์ อลเิ มอรท์ ่มี ตี อ่ สิ่งมชี วี ติ และ
สิ่งแวดล้อม พรอ้ มแนวทางปูองกนั แก้ไข
ว 2.1 ม.5/20 ระบุสตู รเคมีของสารตงั้ ต้น ผลติ ภัณฑ์ และแปลความหมายของสัญลักษณ์ในสมการเคมขี อง
ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธบิ ายผลของความเข้มขน้ พ้นื ทผี่ วิ อณุ หภมู ิ และตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ า ท่มี ีผลตอ่ อัตรา
การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
ว 2.1 ม.5/22 สืบค้นขอ้ มลู และอธิบายปัจจยั ทีม่ ผี ลตอ่ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่ใช้ประโยชนใ์ น
ชีวติ ประจาวันหรอื ในอุตสาหกรรม
ว 2.1 ม.5/23 อธิบายความหมายของปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์
ว 2.1 ม.5/24 อธิบายสมบตั ขิ องสารกมั มันตรงั สี และคานวณครง่ึ ชีวิตและปรมิ าณของสารกัมมนั ตรังสี
ว 2.1 ม.5/25 สบื คน้ ขอ้ มูลและนาเสนอตัวอย่างประโยชน์ของสารกมั มนั ตรงั สีและการปูองกันอนั ตรายที่
เกดิ จากกมั มันตภาพรงั สี

รวมทงั้ หมด 25 ตวั ชีว้ ดั

รายวชิ า ว32101 โครงสร
ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 วทิ ยาศาสต
เวลา 40

ลาดับ ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเ
ท่ี

1 หนว่ ยที่ 1 อากาศ

แผนที่ 1 ว 2.1 ม.5/1 ระบุว่าสา
เรอ่ื ง องค์ประกอบในอากาศ สารประกอบ และอยู่ใ
หรอื ไอออนจากสตู รเค
แผนที่ 2 ว 2.1 ม.5/2 เปรียบเท
เรอ่ื ง องค์ประกอบภายใน ความแตกตา่ งของแบบ
อะตอม โบรก์ บั แบบจาลองอะต
ว 2.1 ม.5/3 ระบุจาน
แผนที่ 3 อเิ ลก็ ตรอนของอะตอม
เรอ่ื ง สญั ลกั ษณ์นิวเคลยี รข์ อง อะตอมเดยี ว
ธาตุ ว 2.1 ม.5/4 เขียนสญั
ธาตุและระบกุ ารเป็นไอ

ร้างรายวชิ า 17
ตรก์ ายภาพ 1
ชวั่ โมง กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
จานวน 1.0 หน่วยกติ

เรยี นรู้/ตวั ช้ีวัด สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั
(สาระการเรยี นรู้แกนกลาง) (ชัว่ โมง) คะแนน

5 7
2
ารเป็นธาตหุ รอื อากาศเปน็ สารผสมประกอบด้วยแก๊ส 1
1 1
ในรูปอะตอม โมเลกลุ หลายชนดิ ในปรมิ าณที่แตกตา่ ง อย่ใู นรูป
1 1
คมี ของอะตอมและโมเลกุล โดยสารท่ีอยใู่ น

ทยี บความเหมือนและ รูปอะตอมจดั เป็นธาตเุ สมอ ส่วนสารที่

บจาลองอะตอมของ อยใู่ นรูปโมเลกุลอาจเป็นธาตุหรือ

ตอม แบบกลมุ่ หมอก สารประกอบกไ็ ด้ อะตอมเปน็ หน่วยยอ่ ย

นวนโปรตอน นิวตรอน ของสารเคมี ภายในอะตอมประกอบด้วย

มและไอออนทเี่ กดิ จาก โปรตอน นวิ ตรอน และอิเลก็ ตรอน ซ่ึงมี

จานวนท่แี ตกตา่ งกนั ในธาตุแตล่ ะชนดิ

ญลกั ษณน์ ิวเคลยี รข์ อง สง่ ผลใหธ้ าตุแตล่ ะชนดิ มีมวลและสมบตั ิ

อโซโทป เฉพาะท่ีแตกต่างกนั โดยโปรตอนและ

นิวตรอนรวมกันอยู่ในนิวเคลียส สว่ น

อเิ ลก็ ตรอนเคลอื่ นทร่ี อบนวิ เคลยี ส

แบบจาลองอะตอมของโบรเ์ สนอวา่

อเิ ล็กตรอนเคลือ่ นท่ีรอบนิวเคลยี สเปน็ วง

ส่วนแบบจาลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอก

ลาดับ ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ มาตรฐานการเ
ท่ี

1 หน่วยท่ี 1 อากาศ

แผนท่ี 4 ว 2.1 ม.5/5 ระบุหมู่แ
เร่ือง ตารางธาตุ ระบวุ ่าธาตุเปน็ โลหะ อ
ธาตุเรพรเี ซนเททีฟ หร
แผนที่ 5 จากตารางธาตุ
เร่อื ง การใชป้ ระโยชน์จาก ว 2.1 ม.5/6 เปรียบเท
อากาศและมลพษิ ทางอากาศ ไฟฟูา การให้และรับอ
ธาตใุ นกล่มุ โลหะกบั อโ
ว 2.1 ม.5/7 สบื ค้น
ตัวอยา่ งประโยชนแ์ ละ
ธาตเุ รพรีเซนเททฟี แล

เรยี นรู้/ตัวชว้ี ดั สาระสาคัญ เวลา 18
(สาระการเรียนร้แู กนกลาง) (ชั่วโมง)
น้าหนัก
5 คะแนน

และคาบของธาตุ และ เสนอวา่ อเิ ลก็ ตรอนเคล่อื นท่รี อบ 1 7
อโลหะ กงึ่ โลหะ กลมุ่ นวิ เคลยี สในลกั ษณะกลุ่มหมอก อะตอม 1 2
รอื กลุ่มธาตุแทรนซิชัน ของธาตุตา่ งชนดิ กนั มจี านวนโปรตอนไม่
1
เทา่ กัน อะตอมเปน็ กลางทาง ไฟฟาู เมอ่ื
ทยี บสมบัตกิ ารนา อะตอมของธาตุ มกี ารใหห้ รื อรบั
อิเล็กตรอนระหวา่ ง อิเล็กตรอนทาใหเ้ กดิ ไอออน สัญลกั ษณ์
โลหะ นวิ เคลียร์ แสดงชนิดและจานวนอนภุ าค
นข้อมูลและนาเสนอ ในอะตอมของธาตุ ธาตุชนิดเดยี วกนั ท่มี ี
ะอนั ตรายที่เกิดจาก เลขมวลต่างกนั เป็นไอโซโทปกัน ตาราง
ละธาตแุ ทรนซิชัน ธาตุจดั เรยี งธาตุตามเลขอะตอมและ

สมบัตทิ ค่ี ล้ายคลึงกันของธาตุ แบง่ ธาตุ
ออกเป็น 2 กลุ่มคอื กลุ่มธาตเุ รพรีเซนเท
ทีฟ และกลมุ่ ธาตุแทรนซชิ ัน และยัง
สามารถแบง่ ธาตุออกเป็นโลหะ อโลหะ
และกึง่ โลหะ โดยธาตทุ ี่เปน็ องค์ประกอบ
ของแกส๊ ในอากาศส่วนใหญเ่ ปน็ ธาตุ
อโลหะ แกส๊ หลายชนดิ ในอากาศนามาใช้
ประโยชนไ์ ด้มาก แต่บางชนดิ เปน็ พิษ
โดยสง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพมนุษยแ์ ละ
สิง่ แวดลอ้ ม

ลาดับ ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ มาตรฐานการเรียน
ท่ี
ว 2.1 ม.5/8 ระบวุ า่ พ
2 หน่วยที่ 2 นา้ เป็นพันธะเดี่ยว พันธะ
สาม และระบุจานวนค
แผนที่ 6 ระหว่างอะตอมครู่ ่วมพ
เรื่อง พันธะโคเวเลนต์ โครงสรา้ ง
ว 2.1 ม.5/9 ระบสุ ภา
แผนท่ี 7 โมเลกลุ ประกอบดว้ ย
เรอื่ ง การเคลื่อนท่ีแบบส่นั ว 2.1 ม.5/10 ระบุสาร
ไฮโดรเจนไดจ้ ากสูตรโค
ว 2.1 ม.5/11 อธิบาย
ระหว่างจุดเดือดของส
แรงดึงดูดระหวา่ งโมเล
หรอื การเกดิ พนั ธะไฮโด

19

นรู้/ตวั ชีว้ ัด สาระสาคญั เวลา นา้ หนัก
(สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง) (ชั่วโมง) คะแนน

9 9
1
พนั ธะโคเวเลนต์ น้าเป็นสารเคมี ชนิดหนึ่งท่เี ป็นองคป์ ระ กอบ 1
ะคู่ หรือพันธะ พ้ืนฐานใน รา่ กายของสงิ่ มีชีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม 2 2
คอู่ เิ ล็กตรอน โมเลกุลของนา้ เกิดจากอะตอมของธาตุ
พนั ธะ จากสตู ร ไฮโดรเจน 2 อะตอม ยดึ เหนี่ยวกบั ธาตุ

ออกซเิ จน 1 อะตอมด้วย พนั ธะเคมที ี่เรียกวา่
าพข้ัวของสารท่ี พันธะโคเวเลนต์ น้าจัดเปน็ สารโคเวเลนต์ และ
2 อะตอม ยังมีสารอืน่ อีกหลายชนดิ ท่เี ป็นสารโคเวเ ลนต์
ารที่เกดิ พันธะ สถานะและจดุ เดือดของสารโคเวเลนต์ขน้ึ อยูก่ บั
ครงสรา้ ง แรงยดึ เหน่ยี วระหว่ าง โมเลกลุ ซ่งึ มี
ยความสมั พนั ธ์ ความสัมพันธ์กบั สภาพขวั้ ของสารและพนั ธะ
สารโควาเลนต์กับ ไฮโดรเจน ในแหลง่ น้าธรรมชาติ นอกจากมีนา้
ลกุลตามสภาพข้วั เป็นองค์ประกอบ หลกั แลว้ ยงั มสี ารอ่นื ละลาย
ดรเจน อย่ดู ้วย สารท่ีละลายนา้ ไดม้ ที ั้งสารโคเวเลนต์

และสารประกอบไอออ นิก สารประกอบไอ
ออนกิ เกดิ จากการยดึ เหนีย่ วระหวา่ งไอออน
บวกกับไอออนลบดว้ ยพนั ธะไอออนิก ใน
อัตราสว่ นอยา่ งต่าทท่ี าให้ประจุรวมของ
สารประกอบเป็นศนู ย์ การละลายของสารใน
นา้ มี 2 แบบ

ลาดับ ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียน
ท่ี

2 หนว่ ยที่ 2 นา้

แผนที่ 8 ว 2.1 ม.5/12 เข
เรอ่ื ง สารประกอบไอออนิก ไอออนและสารประกอ
แผนท่ี 9
เรื่อง สูตรเอมพริ คิ ลั ว 2.1 ม.5/13 ระบวุ า่ ส
แผนท่ี 10 ละลายแบบแตกตัวหร
เรอ่ื ง การเปลยี่ นสถานะของ พรอ้ มใช้เหตุผลและระ
สารประกอบไอออนกิ สารละลายที่ไดเ้ ป็นสา
แผนที่ 11 โทรไลต์ หรือนอนอเิ ล็ก
เรอ่ื ง การละลายแบบแตกตวั
แผนท่ี 12
เรอ่ื ง การละลายแบบไมแ่ ตก
ตัว

นรู้/ตัวช้ีวัด สาระสาคัญ เวลา 20
(สาระการเรียนรแู้ กนกลาง) (ชั่วโมง)
นา้ หนัก
9 คะแนน

ขยี นสูตรเคมีของ คอื การละลายแบบแตกตัวและไมแ่ ตกตัว ซ่งึ ทา 1 9
อบไอออนกิ ให้ได้สารละลายอเิ ลก็ โทรไลตแ์ ละนอนอิเล็ก 1 1

โทรไลต์ ตามลาดับ 1

11

สารเกิดการ 22
รือไม่แตกตัว 11
ะบวุ า่
ารละลายอเิ ลก็
กโทรไลต์

ลาดับ ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียน
ท่ี

3 หน่วยท่ี 3 อาหาร

แผนท่ี 13 ว 2.1 ม.5/14 ระบุสาร
เรอ่ื ง ไขมันและน้ามนั อินทรีย์ประเภทไฮโดร
อิม่ ตัวหรอื ไม่อิม่ ตวั จาก
แผนที่ 14 โครงสร้าง
เรื่อง คาร์โบไฮเดรต ว 2.1 ม.5/15 สบื คน้ ข
แผนท่ี 15 เปรียบเทยี บสมบตั ทิ าง
เรอ่ื ง สมบตั ทิ างกายภาพของ ระหว่างพอลเิ มอร์และ
มอนอเมอร์และพอลเิ มอร์ ของพอลิเมอรช์ นดิ นั้น
แผนท่ี 16
เรื่อง โปรตนี ว 2.1 ม.5/16 ระบสุ ม
กรด-เบสจากโครงสร้า
แผนที่ 17 สารประกอบอินทรีย์
เร่ือง วิตามินและเกลือแร่ ว 2.1 ม.5/17 อธบิ าย
แผนท่ี 18 ละลายในตัวทาละลาย
เร่อื ง ข้อมลู โภชนาการบน ของสาร
ฉลากอาหาร

นรู้/ตวั ชี้วดั สาระสาคัญ เวลา 21
(สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง) (ชว่ั โมง)
ารประกอบ นา้ หนัก
รคาร์บอนวา่ 13 คะแนน
กสูตร
อาหารเปน็ ปัจจัยสาคญั สาหรับ การดารงชีวติ 2 16
ขอ้ มูลและ 2
งกายภาพ ของมนุษย์ โดย ไขมัน คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี 2
ะมอนอเมอร์ 1 2
น และวติ ามนิ เปน็ สารประกอบอินทรีย์ สว่ นเกลือ 2 2
1
มบตั ิความเปน็ แรเ่ ปน็ ไอออนหรือสารประกอบไอออนิก 1 2
างของ
สารประกอบ อินทรียเ์ ป็นสารประกอบของธาตุ 1
ยสมบตั ิการ 1
ยชนิดต่างๆ คาร์บอนซ่ึงอาจมีธาตุอื่นเป็นองคป์ ระกอบร่วม

ด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซเิ จน ไนโตรเจน

ซัลเฟอร์ ไขมัน มีท้งั ชนดิ อมิ่ ตวั และไม่อม่ิ ตัวซง่ึ

พิจารณาไดจ้ ากชนดิ พนั ธะระหว่างคารบ์ อน

อะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใชเ้ กณฑ์เดยี วกบั

สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คารโ์ บไฮเดรต

ทเ่ี ป็นมอนอเมอร์และพอลเิ มอรม์ สี มบัติ

แตกตา่ งกนั โปรตีน เปน็

พอลิเมอร์ท่ีมมี อนอเมอร์เปน็ กรดแอมโิ นซงึ่ มหี มู่

คารบ์ อก ซิล และหมู่อะมโิ น จึง แสดงสมบตั ิ

ความเป็นกรด-เบสได้วติ ามินแต่ละ ชนิดมีสภาพ

ข้วั แตกต่างกัน ทาให้บางชนดิ ละลายไดใ้ น

นา้ มัน บาง ชนิดละลายได้ในน้ามนั ซง่ึ เป็นไป

ตาม

ลาดับ ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเ
ท่ี

3 หน่วยท่ี 3 อาหาร

แผนท่ี 19 ว 2.1 ม.5/18 วเิ คราะ

เรอ่ื ง พอลิเมอร์สงั เคราะห์ ความสัมพันธร์ ะหว่างโ

แผนท่ี 20 เทอร์มอพลาสติกและเ

เรอ่ื ง ฉลากผลิตภัณฑ์ เมอร์ และการนาพอล

พลาสตกิ กับการใชง้ าน

แผนที่ 21 ว 2.1 ม.5/18 วเิ คราะ

เรอื่ ง การเปลย่ี นแปลงของพอ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งโ

ลิเมอรเ์ ม่ือได้รับความร้อน เทอร์มอพลาสติกและเ

เมอร์ และการนาพอล

ว 2.1 ม.5/19 สืบคน้ ข

ผลกระทบของการใช้ผ

มตี ่อส่งิ มชี วี ิตและสงิ่ แว

แนวทางปูองกนั แก้ไข

เรียนรู้/ตัวช้ีวัด สาระสาคัญ เวลา 22
(สาระการเรยี นรู้แกนกลาง) (ช่วั โมง)
ะหแ์ ละอธบิ าย นา้ หนัก
โครงสร้างกบั สมบตั ิ 13 คะแนน
เทอรม์ อเซตของพอลิ
ลเิ มอรไ์ ปใช้ประโยชน์ หลักการ like dissolves like สว่ นเกลือ 2 16
แร่แตล่ ะชนดิ มปี ระโยชนท์ แี่ ตกต่างกัน 1 3
ะห์และอธบิ าย บรรจุภณั ฑ์สาหรบั อาหารส่วนใหญท่ ามา
โครงสร้างกับสมบตั ิ จากพลาสติกซงึ่ เปน็ พอลิเมอร์สงั เคราะห์ 1 2
เทอรม์ อเซตของพอลิ มที ง้ั ชนิดพอลิเมอร์เทอร์มอพลาสตกิ และ
ลเิ มอรไ์ ปใช้ประโยชน์ พอลเิ มอร์ เทอร์มอเซต ซึ่งใชง้ านได้ 1
ข้อมูลและนาเสนอ แตกต่างกัน พลาสติก ยอ่ ยสลายไดย้ าก
ผลิตภณั ฑ์พอลิเมอรท์ ่ี และมีการใชใ้ นปรมิ าณมาก จึงก่อใหเ้ กดิ
วดล้อม พรอ้ ม ปญั หาขยะ การลดการใช้ การใช้ซา้ และ
การนากลบั มาใช้ใหม่ เปน็ การชว่ ย
ปญั หาไดท้ างหนง่ึ

ลาดับ ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ มาตรฐานการเร
ท่ี
ว 2.1 ม.5/20 ระบุสตู
4 หนว่ ยท่ี 4 พลังงาน ตน้ ผลิตภณั ฑ์ และแป
สัญลักษณ์ในสมการเค
แผนท่ี 22 เคมี
เรอื่ ง สมการเคมี ว 2.1 ม.5/21 ทดลอง
ของความเขม้ ขน้ พืน้ ท
แผนที่ 23 ตัวเร่งปฏิกิริยา ทม่ี ีผล
เรอื่ ง อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ า เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
เคมี
แผนท่ี 24 ว 2.1 ม.5/22 สืบคน้ ข
เรอื่ ง ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ อตั รา ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ อตั ราก
การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี เคมที ี่ใชป้ ระโยชน์ในชีว
แผนที่ 25 ในอตุ สาหกรรม
เรื่อง ปัจจยั ทม่ี ีผลต่ออัตรา ว 2.1 ม.5/23 อธิบาย
การเกิดปฏิกริ ิยาเคมีใน ปฏกิ ริ ยิ ารีดอกซ์
ชวี ติ ประจาวัน
แผนที่ 26
เรื่อง ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์

รียนรู้/ตัวชว้ี ัด สาระสาคัญ เวลา 23
(สาระการเรยี นรู้แกนกลาง) (ชวั่ โมง)
น้าหนัก
13 คะแนน

ตรเคมขี องสารต้งั พลังงานท่ีนามาใชป้ ระโยชน์ใน 1 18
ปลความหมายของ ชีวิตประจาวันได้มาจากปฏิกริ ยิ าเคมี และ 1 1
คมขี อง ปฏกิ ิรยิ า ปฏิกริ ยิ านิวเคลียร์ โดยปฏกิ ริ ยิ าเคมีท่ีให้ 2
1 1
พลงั งานอาจได้มาจากปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ 1
งและอธิบายผล ปฏกิ ิรยิ าเคมีไฟฟูา ซ่ึงปฏกิ ิรยิ าที่เกิดขึน้ 2
ทผ่ี ิว อณุ หภมู ิ และ เขยี นแสดงได้ดว้ ยสมการเคมี โดยแสดงชนิด
ลต่ออตั ราการ และจานวนของสาร ตั้งต้นทที่ า ปฏิกิริยากนั 1

และผลิตภัณฑ์ทีเ่ กิดข้นึ รวมท้ังภาวะในการ 1
เกิดปฏกิ ิริยา การพิจารณา ว่าปฏิกริ ิยาเคมี
เกิดเร็วหรือช้าพิจารณาไดจ้ าก อัตราการ
ข้อมูลและอธิบาย เกิดปฏกิ ริ ยิ าเค มี ซงึ่ ขนึ้ อยูก่ ับหลายปัจจัย
การเกดิ ปฏกิ ิรยิ า เชน่ ความเข้มข้น อณุ หภูมิ พน้ื ทผี่ ิวของสาร
วิตประจาวนั หรือ ต้งั ตน้ ตวั เร่งปฏกิ ิรยิ า ความรู้เก่ียวกบั ปจั จัย
ทมี่ ี ผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ยความหมายของ สามารถนาไปใช้ประโย ชนใ์ นชีวิตประจาวนั
และในอุตสาหกรรม ปฏกิ ิรยิ ารดี อกซเ์ ป็น
ปฏิกิริยาเคมีทเ่ี กิดจากการถา่ ยโอน
อเิ ลก็ ตรอน ของสาร โดยปฏกิ ริ ิยารีดอกซม์ ี
ทง้ั ทใี่ ห้กระแสไฟฟูาและไมใ่ ห้กระแสไฟฟาู
สาหรบั ปฏกิ ริ ยิ า

ลาดับ ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ มาตรฐานการเ
ท่ี
ว 2.1 ม.5/24 อธบิ าย
4 หนว่ ยที่ 4 พลังงาน กมั มันตรงั สี และคานว
ปรมิ าณของสารกัมมนั
แผนท่ี 27
เรอ่ื ง สารกัมมนั ตรงั สี ว 2.1 ม.5/25 สบื คน้ ข
แผนท่ี 28 ตวั อยา่ งประโยชนข์ อง
เรื่อง คร่งึ ชวี ิต การปูองกันอันตรายท
แผนที่ 29 กัมมันตภาพรังสี
เรอ่ื ง ประโยชน์และโทษ
กมั มนั ตรังสี

รวม
คะแนนสอบกลางภาค+

รวมทงั้ หมด

เรยี นรู้/ตวั ชวี้ ัด สาระสาคัญ เวลา 24
(สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง) (ชวั่ โมง)
ยสมบตั ิของสาร น้าหนัก
วณคร่ึงชวี ติ และ 13 คะแนน
นตรงั สี
นวิ เคลียร์ จะใช้สารกัมมนั ตรงั สีเป็น 1 18
ขอ้ มลู และนาเสนอ แหล่งของพลังงาน เนื่องจากสาร 2 1
งสารกมั มนั ตรังสีและ กมั มนั ตรงั สีมีนวิ เคลยี สไม่เสถียร เกิด 4 2
ทีเ่ กดิ จาก การสลายและแผ่รังสอี ย่างต่อเนือ่ ง สาร 9
กัมมนั ตรงั สแี ตล่ ะชนิดมคี า่ ครง่ึ ชวี ติ
แตกตา่ งกนั และรงั สีทแี่ ผ่ออก มา 50
แตก ต่าง กนั จงึ นามาใช้ประโย ชนไ์ ด้
ต่างกนั การนาสารกัมมนั ตรงั สีแต่ ละ
ชนิดมาใชต้ ้องมกี ารจดั การอยา่ ง
เหมาะสมและตอ้ งคานึงถึงผลกระทบตอ่
สง่ิ มีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ ม

40

+ปลายภาค 50

ด 100

25

ตอนที่ 2
หน่วยการเรียนรู้

26

เร่ือง องคป์ ระกอบในอากาศ แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 เวลา 1 ช่วั โมง
รายวชิ า ว31104 รวม 5 ช่ัวโมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ อากาศ

1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสสารกบั โครงสรา้ ง

และแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี

2. ตัวชวี้ ดั
ว 2.1 ม.5/1 ระบุวา่ สารเป็นธาตหุ รอื สารประกอบ และอย่ใู นรูปอะตอม โมเลกุล หรอื ไอออนจากสตู รเคมี

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นักเรยี นบอกชอื่ และปริมาณของแกส๊ ตา่ ง ๆ ในอากาศได้
2) นกั เรียนระบุวา่ สารเป็นธาตหุ รือสารประกอบ และอย่ใู นรูปอะตอม โมเลกุล หรือ ไอออน
จากสูตรเคมไี ด้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถจัดกระทาและส่อื ความหมายของขอ้ มูลท่ีศกึ ษาคน้ คว้าได้
3.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝเุ รยี นรแู้ ละเป็นผมู้ คี วามมุ่งมั่นในการทางาน

4. สาระสาคัญ

อากาศเปน็ สารผสมประกอบดว้ ยแก๊สหลายชนดิ ในปริมาณ ทแ่ี ตกต่าง อยใู่ นรปู ของอะตอมและโมเลกุล

โดยสารทอ่ี ยใู่ นรปู อะตอมจดั เป็นธาตเุ สมอ สว่ นสารทีอ่ ยู่ในรูปโมเลกลุ อาจเปน็ ธาตหุ รือสารประกอบก็ได้ อะตอมเปน็

หนว่ ยยอ่ ยของสารเคมี ภายในอะตอมประกอบด้วยโปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอน ซึ่งมีจานวนที่แตกต่างกนั ใน

ธาตุแต่ละชนิด ส่งผลใหธ้ าตแุ ตล่ ะชนดิ มีมวลและสมบตั ิเฉพาะทแ่ี ตกต่างกัน โดยโปรตอนและนวิ ตรอนรวมกนั อยู่ใน

นิวเคลียส ส่วนอเิ ลก็ ตรอนเคล่อื นท่รี อบนวิ เคลยี ส แบบจาลองอะตอมของโบร์เสนอว่า อเิ ลก็ ตรอนเคล่ือนทร่ี อบ

นวิ เคลียสเปน็ วง ส่วนแบบจาลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอกเสนอวา่ อเิ ลก็ ตรอนเคลื่อนทร่ี อบนิวเคลยี สในลกั ษณะ

กลุ่มหมอก อะตอมของธาตุต่างชนิดกนั มจี านวนโปรตอนไมเ่ ทา่ กัน อะตอมเปน็ กลางทาง ไฟฟาู เมือ่ อะตอมของธาตุ

มีการให้หรื อรับอเิ ลก็ ตรอนทาใหเ้ กดิ ไอออน สญั ลักษณ์นวิ เคลยี ร์ แสดงชนดิ และจานวนอนุภาคใน อะตอมของธาตุ

27

ธาตุชนดิ เดยี วกันท่ีมเี ลขมวลตา่ งกันเป็นไอโซโทปกัน ตารางธาตจุ ัดเรียงธาตุตามเลขอะตอมและสมบตั ิท่ีคลา้ ยคลงึ
กันของธาตุ แบ่งธาตอุ อกเป็น 2 กล่มุ คอื กลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ และกลุม่ ธาตแุ ทรนซิชัน และยงั สามารถแบ่งธาตุ
ออกเปน็ โลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ โดยธาตุทีเ่ ป็นองค์ประกอบของแก๊สในอากาศส่วนใหญ่เป็นธาตุอโลหะ
แก๊สหลายชนิดในอากาศนามาใช้ประโยชน์ไดม้ าก แตบ่ างชนิดเป็นพษิ โดยสง่ ผลกระทบต่อสุขภาพมนษุ ย์และ
สิ่งแวดล้อม
5. สาระการเรยี นรู้

5.1 ความรู้
องค์ประกอบในอากาศสว่ นใหญ่เป็นแก๊สไนโตรเจน (N2) ประมาณรอ้ ยละ 78 โดยปรมิ าตร และ

แกส๊ ออกซิเจน (O2) อกี ประมาณร้อยละ 21 สว่ นท่เี หลอื อกี ประมาณรอ้ ยละ 1 เป็นแกส๊ ชนิดอน่ื ๆ เชน่
แก๊สอาร์กอน (Ar) แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) แกส๊ ฮีเลียม (He) ดังรปู 1.1

รปู 1.1 ปรมิ าณของแกส๊ ตา่ งๆ ในอากาศ
แกส๊ ไนโตรเจน (N2) มีปริมาณมากท่สี ุดในอากาศ แกส๊ น้ไี ม่มสี ี ไม่มกี ลนิ่ เม่อื มนษุ ยห์ ายใจ
แก๊สชนิดน้จี ะเคล่อื นทผี่ ่านเข้าและออกจากปอดโดยไมท่ าปฏิกริ ิยากบั สารใด ๆ ในรา่ งกาย
แก๊สออกซเิ จน (O2) มปี รมิ าณนอ้ ยกว่าแก๊สไนโตรเจนเกือบ 4 เทา่ แต่มคี วามจาเป็นต่อสง่ิ มีชวี ติ
มาก เมอ่ื มนุษยแ์ ละสตั วห์ ายใจเอาแก๊สออกซเิ จนเข้าสรู่ ่างกาย แก๊สชนิดน้ีจะทาปฏิกิรยิ าเคมกี บั สารอาหาร
แลว้ ให้พลงั งานทจ่ี าเป็นสาหรบั การดารงชวี ติ นอกจากนแ้ี กส๊ ออกซเิ จนยังมีส่วนสาคัญในปฏิกริ ิยาเคมีที่
เกิดข้ึนในชีวติ ประจาวนั เช่น การเผาไหม้ การเกิดสนิท
แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) มปี ริมาณนอ้ ยมากในอากาศ แก๊สน้ไี ม่มสี ี ไมม่ กี ลิ่น
เปน็ ผลิตภัณฑจ์ ากปฏกิ ิริยาเคมีระหวา่ งสารอาหารกับแก๊สออกซิเจนในกระบวนการหายใจของส่ิงมชี ีวติ
รวมทัง้ การเผาไหมเ้ ช้ือเพลิงตา่ งๆ ในชีวติ ประจาวัน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ยังเปน็ สารตงั้ ตน้ ที่สาคญั ใน
กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช

รูป 1.2 การหมุนเวยี นแก๊สออกซิเจนและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์

28

แกส๊ อารก์ อน (Ar) มีประมาณร้อยละ 0.9 ในอากาศ คาว่า “อาร์กอน” ในภาษากรกี มคี วามหมาย
วา่ “ข้ีเกยี จ เฉ่ือยชา” ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั ความไมว่ อ่ งไวตอ่ ปฏกิ ริ ิยาเคมีของแก๊สน้ี นอกจากน้ันในอากาศยังมี
แก๊สฮเี ลียม (He) ซึ่งเปน็ แก๊สอีกชนิดหนง่ึ ที่เฉื่อยตอ่ ปฏกิ ิริยาเคมี ดังน้ันเม่ือหายใจเข้าไป แก๊สเหลา่ นี้จงึ ไม่
เกดิ ปฏิกริ ยิ ากับสารเคมีใด ๆ ในรา่ งกาย

แกส๊ ตา่ งๆ ที่กล่าวมาแลว้ เปน็ แก๊สท่เี ปน็ องค์ประกอบของอากาศแหง้ แต่ในอากาศยงั มีความชน้ื
ซึ่งเกิดจากไอน้า (H2O) ในปริมาณทแ่ี ตกตา่ งกนั ข้นึ อยู่กบั อุณหภูมิ ฤดูกาล หรือสถานท่ี เน่อื งจากไอนา้ เปน็
แก๊สทีไ่ ม่มีสี ไมม่ ีกลน่ิ ไมส่ ามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่า แต่สงิ่ ทต่ี ามองเห็น เช่น เมฆ หมอก เกดิ จากการ
ควบแน่นของไอนา้ กลายเป็นละอองนา้ ขนาดเล็กจานวนมากท่ยี งั ไมต่ กลงสู่พ้ืนโลก

รูป 1.3 เมฆบนทอ้ งฟูา
อากาศประกอบด้วยสารเคมที ีอ่ ย่ใู นรปู ของอะตอม เช่น แกส๊ อาร์กอน (Ar) แกส๊ ฮเี ลยี ม (He)
และอยู่ในรูปของโมเลกุล เชน่ แกส๊ ไนโตรเจน (N2) แกส๊ ออกซเิ จน (O2) แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)
ไอนา้ (H2O) โดยสารท่ีมีธาตเุ พียงชนดิ เดียวเป็นองค์ประกอบ เรยี กว่า ธาตุ ซง่ึ อาจอยใู่ นรูปของอะตอม เชน่
แกส๊ อารก์ อน (Ar) แกส๊ ฮเี ลยี ม (He) หรอื อย่ใู นรูปของโมเลกลุ เชน่ แก๊สไนโตรเจน (N2) แก๊สออกซิเจน (O2)
แตส่ ารทีม่ ีธาตมุ ากกวา่ หนึ่งชนดิ เปน็ องค์ประกอบ เรียกวา่ สารประกอบ เช่น แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) ไอน้า (H2O) ดังแสดงดว้ ยแบบจาลองรูป 1.4

รูป 1.4 แบบจาลองอะตอมและโมเลกลุ ของธาตุและสารประกอบ
ดังนน้ั สารทีอ่ ยู่ในรูปอะตอมจดั เป็นธาตเุ สมอ ส่วนสารที่อยใู่ นรูปโมเลกุลอาจเป็นธาตุหรือ
สารประกอบก็ได้ ซึง่ ทั้งหมดนี้สามารถพจิ ารณาไดจ้ ากสตู รเคมขี องสาร
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อา่ น ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื คน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คณุ ลักษณะและค่านิยม
ใฝเุ รียนรู้และเป็นผู้มคี วามมงุ่ มัน่ ในการทางาน


Click to View FlipBook Version