79
บันทึกหลังการสอน
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง อากาศ พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 4 เรือ่ ง ตารางธาตุ .
ใ เดอื น ใ
วนั ท่ี
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงช่อื ............................................ครูผสู้ อน ลงชือ่ .............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวนลิ นิกา แก้วปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)
80
ตวั อย่างบัตรคาธาตุ
1.008 4.0026 6.94 9.0122 10.81
H He Li Be B
1 ไฮโรเจน 2 ฮเี ลียม 3 ลเิ ทยี ม 4 เบรลิ เลยี ม 5 โบรอน
12C.011 14N.007 15O.999 18F.998 2N0.1e80
6 คาร์บอน 7 ไนโตรเจน 8 อ อกซิเจน 9 ฟลูออรีน 10 นีออน
2N2.9a90 2M4.3g05 26A.9l82 28S.0i85 30P.974
11 โซเดยี ม 12 แมกนีเซยี ม 13 อะลูมิเนียม 14 ซิลคิ อน 15 ฟอสฟอรสั
32S.06 3C5.4l5 39A.9r48 39K.098 40C.0a78
16 กามะถนั 17 คลอรนี 18 อารก์ อน 19 โพแทสเซียม 20 แคลเซยี ม
44S.9c56 47.867 50V.942 51C.9r96 54.938
21 สแกนเดียม Ti 23 วาเนเดียม Mn
24 โครเมียม 25 แมงกานีส
55F.8e45 22 ไทเทเนียม 58N.6i93
6C3.5u46 6Z5.n38
26 ไอร์ออน(เหลก็ ) 58.933 28 นกิ เกิล
29 คอปเปอร์ (ทองแดง) 30 ซิงค์ (สังกะสี)
69G.7a23 Co 74.922
78S.9e71 79B.9r04
31 แกลเลียม 27 โคบอลต์ As
34 ซลี เิ นียม 35 โบรมีน
83K.7r98 7G2.6e30 33 สารหนู
88Y.906 91Z.2r24
36 คริปทอน 32 เจอร์เมเนยี ม 8S7.6r2
39 อติ เทรยี ม 40 เซอรโ์ คเนยี ม
9N2.9b06 85R.4b68 38 สตรอนเซยี ม
10R1u.07 10R2h.91
41 ไนโอเบียม 37 รบู เิ ดยี ม T98c
44 รูทเี นียม 45 โรเดียม
10P6d.42 9M5.9o5 43 เทคนเี ซียม
11I4n.82 118.71
46 แพลเลเดยี ม 42 โมลบิ ดนี ัม 1C12d.41
49 อินเดยี ม Sn
107.87 48 แคดเมยี ม
50 ทนิ (ดบี ุก)
Ag
47 เงิน
81
12S1b.76 12T7e.60 126I.90 13X1e.29 13C2s.91
51 พลวง 52 เทลลูเรยี ม 53 ไอโอดีน 54 ซนี อน 55 ซเี ซยี ม
13B7a.33 17L4u.97 17H8.f49 18T0a.95 18W3.84
56 แบเรยี ม 71 ลทู เิ ทียม 72 แฮฟเนยี ม 73 แทนทาลมั 74 ทงั สเตน
18R6e.21 19O0.s23 19I2r.22 19P5.t08 1A96u.97
75 รเี นยี ม 76 ออสเมียม 77 อริ เิ ดยี ม 78 แพลทินมั 79 ทองคา
20H0g.59 20T4.l38 207.20 20B8.i98 P20o9
80 ปรอท 81 แทลเลียม Pb 83 บสิ มทั 84 พอโลเนยี ม
210 R22n2 82 เลท(ตะกั่ว) R22a6 230.03
At 86 เรดอน 2F2r3 88 แทลเลยี ม U
85 แอสทาทนิ 87 แฟรนเซียม 92 ยเู รเนียม
2T32h.04
90 ทอเรยี ม
82
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 5
เรอ่ื ง การใชป้ ระโยชนจ์ ากอากาศและมลพษิ ทางอากาศ
รายวชิ า ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ช่วั โมง
รวม 5 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ อากาศ
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบัติของสสารกบั โครงสรา้ ง
และแรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตวั ช้วี ดั
ว 2.1 ม.5/7 สืบคน้ ขอ้ มูลและนาเสนอตวั อยา่ งประโยชนแ์ ละอนั ตรายท่เี กดิ จากธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและ
ธาตแุ ทรนซชิ นั
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรยี นบอกประโยชน์ของแก๊สในอากาศได้
2) ยกตัวอย่างสารมลพษิ ในอากาศ รวมถงึ แหลง่ กาเนดิ และผลกระทบต่อสิ่งมีชวี ิตและสงิ่ แวดลอ้ มได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสบื ค้นข้อมูลและนาเสนอประโยชน์และอันตรายของธาตุเรพรเี ซนเททฟี และธาตแุ ทรนซชิ ัน
ได้
3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝุเรยี นรแู้ ละเปน็ ผู้มีความมุง่ มน่ั ในการทางาน
4. สาระสาคัญ
อากาศเปน็ สารผสมประกอบดว้ ยแก๊สหลายชนดิ ในปริมาณ ทแี่ ตกตา่ ง อยูใ่ นรูปของอะตอมและโมเลกลุ
โดยสารทอี่ ยู่ในรูปอะตอมจดั เปน็ ธาตุเสมอ สว่ นสารท่อี ยู่ในรปู โมเลกุลอาจเป็นธาตหุ รอื สารประกอบก็ได้ อะตอมเป็น
หนว่ ยยอ่ ยของสารเคมี ภายในอะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอเิ ล็กตรอน ซึ่งมีจานวนท่แี ตกต่างกันใน
ธาตแุ ต่ละชนดิ ส่งผลให้ธาตุแต่ละชนดิ มีมวลและสมบัติเฉพาะท่ีแตกตา่ งกัน โดยโปรตอนและนิวตรอนรวมกันอยใู่ น
นวิ เคลยี ส สว่ นอิเลก็ ตรอนเคล่อื นท่รี อบนิวเคลียส แบบจาลองอะตอมของโบร์เสนอวา่ อิเลก็ ตรอนเคล่อื นที่รอบ
นิวเคลียสเปน็ วง ส่วนแบบจาลองอะตอมแบบกลุ่มหมอกเสนอวา่ อเิ ล็กตรอนเคล่ือนท่ีรอบนิวเคลยี สในลักษณะ
83
กลุม่ หมอก อะตอมของธาตุต่างชนิดกันมีจานวนโปรตอนไมเ่ ท่ากนั อะตอมเปน็ กลางทาง ไฟฟาู เมื่ออะตอมของธาตุ
มกี ารใหห้ รื อรับอเิ ลก็ ตรอนทาให้เกดิ ไอออน สัญลกั ษณ์นวิ เคลียร์ แสดงชนิดและจานวนอนุภาคใน อะตอมของธาตุ
ธาตุชนิดเดียวกนั ทม่ี เี ลขมวลตา่ งกันเป็นไอโซโทปกัน ตารางธาตจุ ัดเรียงธาตุตามเลขอะตอมและสมบตั ิท่คี ลา้ ยคลงึ
กันของธาตุ แบ่งธาตอุ อกเปน็ 2 กล่มุ คอื กลุ่มธาตเุ รพรเี ซนเททีฟ และกลุ่มธาตุแทรนซชิ นั และยังสามารถแบ่งธาตุ
ออกเป็นโลหะ อโลหะ และก่งึ โลหะ โดยธาตทุ เ่ี ป็นองคป์ ระกอบของแกส๊ ในอากาศส่วนใหญ่เปน็ ธาตุอโลหะ
แกส๊ หลายชนดิ ในอากาศนามาใชป้ ระโยชน์ไดม้ าก แตบ่ างชนิดเป็นพษิ โดยสง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพมนุษยแ์ ละ
สิง่ แวดล้อม
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) แกส๊ ออกซิเจน
- บรรจุในถังช่วยหาใจสาหรับผู้ปุวย นักประดาน้า และนักบนิ อวกาศ
- รักษาโรค เช่น ปอดบวม ฝใี นสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน
- ทาปฏิกริ ยิ ากับแกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพื่อใหเ้ ปลวไฟทม่ี ีความร้อนสูงใช้ในการตัดและ
เช่ือมเหลก็
- เพ่ิมประสิทธิภาพการเผาไหมเ้ ชอื้ เพลงิ ในจรวดและเครอื่ งบินไอพน่
2) แกส๊ ไนโตรเจน
- บรรจใุ นถงุ ขนม เพื่อปูองกันความชืน้ และออกซิเจน คงความกรบุ กรอบ และคุณภาพ
อาหาร
- ปอู งกันการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมรี ะหวา่ งอปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์ หรอื ชน้ิ งานในอตุ สาหกรรม
กบั แก๊สออกซิเจนในอากาศ
- เปน็ สารตั้งต้นในการผลติ ปยุ๋ ไนโตรเจน
- ทาให้เปน็ ไนโตรเจนเหลวทใี่ ชใ้ นกระบวนการผลิตอาหารแชแ่ ข็ง และการเกบ็ รกั ษา
น้าเช้ือหรือตัวอ่อน
3) แก๊สมสี กลุ
- แก๊สฮเี ลียมนาไปบรรจใุ นลกู โปงุ สวรรค์
- แก๊สนอี อนและซีนอนใชบ้ รรจใุ นหลอดไฟทใ่ี หแ้ สงสตี า่ ง ๆ
- แก๊สอารก์ อนใชบ้ รรจุในหลอดไฟแบบมไี ส้ เพ่อื ปอู งกันไสห้ ลอดทาปฏิกิริยากับออกซเิ จน
ในอากาศ แลว้ เกดิ การลุกไหม้
4) นอกจากมีการใช้ประโยชน์ของธาตทุ ี่อย่ใู นอากาศแล้ว ธาตุอนื่ ๆ ในตารางธาตยุ งั สามารถ
นามาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวันและในอุตสาหกรรมไดอ้ ีกมากมาย เชน่ เหล็ก (Fe) เปน็ โลหะทีม่ คี วาม
แขง็ แรง จุดหลอมเหลวและจดุ เดือดสงู มีความเปน็ พษิ ตา่ นิยมนามาใช้ทาเปน็ โครงสรา้ งพื้นฐานอาคารและ
ยานพาหนะ สงั กะสี (Zn) นิยมนามาเคลือบเหลก็ เพอื่ ปอู งกนั การเกดิ สนิม ไอโอดนี (I) ใช้ผสมในน้ายาฆ่า
เชอ้ื สาหรับใส่แผล
84
5) มลพษิ ทางอากาศ
อากาศทม่ี ีปรมิ าณของฝุนละออง แก๊สพษิ ควนั เขม่า มากเกนิ ไปจนสง่ ผลกระทบทเี่ ป็น
อนั ตราตอ่ สุขภาพจะทาให้เกดิ มลพษิ ทางอากาศ ซง่ึ อาจเกิดข้ึนธรรมชาติ เชน่ ภูเขาไฟระเบิด ไฟปุา หรอื
เกิดจาการกระทาของมนุษย์ เช่น การเผาไหมเ้ ชื้อเพลิงในรถยนต์ การปล่อยแกส๊ จากโรงงานอตุ สาหกรรม
การเผาขยะ การกอ่ สรา้ ง ดงั ตวั อย่างในตาราง 1.3
ตาราง 1.3 ตัวอยา่ งสารมลพษิ แหล่งกาเนิด และผลกระทบ
สารมลพษิ แหล่งกาเนดิ ผลกระทบ
แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ การเผาไหมเ้ ช้ือเพลงิ ใน ทาให้เกิดอาการมนึ งง วิงเวียน
แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ศรี ษะ และหากไดร้ บั ปริมาณมาก
ออกไซด์ของไนโตรเจน เครอื่ งยนต์ อาจถงึ ข้ันเสียชีวติ
การเผาขยะ
แกส๊ โอโซน ไฟปุา ระคายเคืองตา ผวิ หนัง และหาก
ปรอท การเผาไหมถ้ า่ นหิน สูดดมเขา้ ไปมาก อาจทาใหร้ ะบบ
ภูเขาไฟระเบดิ การหายใจผิดปกติ และเป็นสาเหตุ
ตะกว่ั ของการเกิดฝนกรด
การเผาไหมเ้ ชื้อเพลิงใน ระคายเคอื งต่อระบบทางเดนิ
เครอื่ งยนต์ หายใจ และเป็นสาเหตุของการเกิด
ฝนกรด
การเผาไหมส้ ารอนิ ทรยี ใ์ นเตาเผา
ไฟปุา ทาใหเ้ กิดอาการไอ จาม หายใจ
การทาปฏกิ ิรยิ าเคมขี อง ผดิ ปกติ เปน็ อันตรายตอ่ ผทู้ เี่ ปน็
โรคหอบหดื และโรคระบบทางเดิน
สารอนิ ทรีย์ระเหยง่าย กบั หายใจ
ออกไซด์ของไนโตรเจนในอากาศ หากสะสมในปริมาณมาก ระบบ
ประสาทจะถูกทาลาย ผปู้ ุวยจะ
การเผาไหมถ้ า่ นหนิ อ่อนเพลีย ซึมเศรา้ มอื เท้าไมม่ ี
การเผาขยะ เรี่ยวแรง ตาพรา่ มวั สญู เสียการได้
โรงงานผลิตแบตเตอรี่ ยนิ พิการ และรุนแรงถงึ ขั้น
การถลงุ โลหะ เสยี ชวี ติ
ทาลายระบบประสาท มีผลต่อ
การเผาไหม้น้ามันทม่ี ีสว่ นผสม พัฒนาการทางสมองของทารก
ของสารตะก่วั เป็นสาเหตขุ องโรคโลหิตจาง และ
โรคไต
การถลุงแร่โลหะ
โรงงานผลิตแบตเตอรี่
ฝนุ ละออง การเผาไหมถ้ า่ นหนิ และเชื้อเพลิง ระคายเคืองตา หากสะสมภายใน
ชวี มวล โพรงจมกู เปน็ เวลานาน อาจเกดิ
การอักเสบเร้อื รงั
การเผาขยะ
การกอ่ สร้าง
85
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กล่มุ สรปุ )
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผา่ นคอมพิวเตอร์)
5.3 คณุ ลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝุเรยี นร้แู ละเปน็ ผมู้ ีความมุ่งม่นั ในการทางาน
6. บรู ณาการ
-
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรยี นทผ่ี า่ นมา เรอ่ื ง ตารางธาตุ
1.2 ครูนาเข้าสบู่ ทเรียนโดยตั้งคาถาม เพอ่ื นาเข้าสู่กจิ กรรม
1) นกั เรียนคิดว่าธาตเุ รพรีเซนเททฟี และธาตแุ ทรนซิซนั มีประโยชน์และอันตรายหรอื ไม่
2) นักเรยี นจงยกตวั อยา่ งสารพิษในอากาศ หรือแกส๊ พิษ
ข้ันท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา
2.1 ครูนาเข้าส่บู ทเรียนโดยเกริ่นนาว่า ธาตหุ ลายชนิดในตารางธาตมุ ีสถานะเปน็ แก๊สและเปน็ องค์
ประกอบสาคัญของอากาศ เชน่ แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน แกส๊ มสี กุล ซ่งึ มีการนามาใชป้ ระโยชน์
หลากหลาย
2.2 ครใู ห้นักเรยี นทุกคนศึกษาคน้ คว้าขอ้ มลู ในหนังสอื เรยี น หนา้ 16 – 20 แลว้ นักเรยี นทาใบงาน
เรอ่ื ง การใช้ประโยชน์ของแกส๊ ในอากาศและมลพิษทางอากาศ
2.3 แบ่งกลุ่มนักเรยี นออกเป็น 5-6 กลุม่ นกั เรียนแต่ละกลุม่ ทากจิ กรรม 1.2 สบื คน้ ขอ้ มูลสมบตั ิ
ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุ
ขนั้ ที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูนานกั เรียนอภิปราย โดยการต้ังคาถาม เพ่ือสรปุ บทเรยี น ดงั น้ี
1) แกส๊ ใดบา้ งท่นี ามาใชป้ ระโยชน์ทางอากาศ (แนวการตอบ แก๊สไนโตรเจน (N2) แกส๊
ออกซิเจน (O2) และแก๊สมีสกุล)
2) แก๊สใดบรรจใุ นถงั ช่วยหายใจสาหรบั ผปู้ ุวย (แนวการตอบ แกส๊ ออกซิเจน (O2))
3) แก๊สใดทาปฏิกิริยากบั แกส๊ อะเซทลิ ีน เพอื่ ให้เปลวไฟทมี่ ีความรอ้ นสูง (แนวการตอบ แกส๊
ออกซิเจน (O2))
4) แก๊สใดบรรจุในถงุ ขนม เพื่อปูองกนั ความชื้นและออกซิเจน คงความกรุบกรอบ
86
(แนวการตอบ แก๊สไนโตรเจน (N2))
5) แกส๊ ใดทีน่ าไปบรรจใุ นลกู โปงุ สวรรค์ (แนวการตอบ แกส๊ ฮีเลยี ม (He))
6) จงบอกผลกระทบของแกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์ (แนวการตอบ ทาให้เกดิ อาการมนึ งง
วิงเวียนศีรษะ และหากไดร้ ับปรมิ าณมาก อาจถึงขัน้ เสยี ชีวิต)
7) จงบอกแหลง่ กาเนิดของปรอท (แนวการตอบการเผาไหม้ถา่ นหนิ การเผาขยะ
โรงงานผลติ แบตเตอรี่ และการถลุงโลหะ)
ขัน้ ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครสู รุปเน้ือหาในบทเรียนทง้ั หมดในหนังสอื หนา้ 20
ขัน้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 ครูตรวจใบงาน เร่ือง การใช้ประโยชนข์ องแก๊สในอากาศและมลพิษทางอากาศ
5.2 ครตู รวจใบกจิ กรรม 1.2 สืบค้นขอ้ มูลสมบัติ ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุ
ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสังคม
ครูใหน้ ักเรยี นแต่ละคนนาความรทู้ เ่ี รียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมท่หี ้องสมุด หรอื เวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ชัน้ เรยี น
8. สือ่ การเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เลม่ 1
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบงาน เรอื่ ง การใชป้ ระโยชน์ของแกส๊ ในอากาศและมลพิษทางอากาศ
8.3 ใบกิจกรรม 1.2 สืบคน้ ข้อมูลสมบัติ ประโยชน์ และอันตรายของธาตุ
8.4 อินเทอรเ์ นต็ หรือ ห้องสมุด
87
9. การวดั และประเมนิ ผล
จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธกี ารวดั เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K)
1) นักเรยี นบอกประโยชนข์ องแก๊สในอากาศ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนสามารถ
ได้ การใช้ประโยชนข์ อง ทากจิ กรรม ตอบคาถามในใบงาน
2) ยกตัวอยา่ งสารมลพิษในอากาศ รวมถงึ แก๊สในอากาศและ 2) ใบงาน เรอ่ื ง การ ไดร้ ะดับดี ผา่ นเกณฑ์
แหลง่ กาเนดิ และผลกระทบตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และ มลพิษทางอากาศ ใชป้ ระโยชนข์ องแก๊ส
สง่ิ แวดล้อม ในอากาศและมลพษิ
ทางอากาศ
ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสบื คน้ ขอ้ มูลและนาเสนอ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนสามารถ
ประโยชน์และอันตรายของธาตเุ รพรเี ซนเท 1.2 สืบคน้ ข้อมูลสมบัติ ทากิจกรรม สรปุ เนอ้ื หาทีไ่ ดจ้ าก
ทฟี และธาตแุ ทรนซิชนั ได้ ประโยชน์ และ 2) ใบกจิ กรรม 1.2 การศึกษาค้นควา้
อันตรายของธาตุ สืบคน้ ขอ้ มูลสมบตั ิ ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์
ประโยชน์ และ
อนั ตรายของธาตุ
ดา้ นคุณลักษณะ (A)
1) ใฝเุ รยี นรู้และเปน็ ผมู้ คี วามมุ่งมน่ั ในการ 1) ตรวจใบงาน เรอ่ื ง 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนทาภาระ
ทางาน การใช้ประโยชนข์ อง ทากจิ กรรม งานที่ได้รับมอบหมาย
แกส๊ ในอากาศและ ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
มลพษิ ทางอากาศ
2) ตรวจใบกิจกรรม
1.2 สบื คน้ ขอ้ มลู สมบตั ิ
ประโยชน์ และ
อันตรายของธาตุ
88
10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรยี น
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่ือง การใช้ประโยชนจ์ ากอากาศและมลพษิ ทางอากาศ
ประเดน็ การ คา่ นา้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ ตอบคาถามถูกต้องครบถว้ น จานวน 7-10 ขอ้
(K) 3 ตอบคาถามถูกตอ้ งครบถว้ น จานวน 4-6 ข้อ
2 ตอบคาถามถูกต้องครบถว้ น จานวน 1-3 ข้อ หรือไม่ถูกต้อง
ดา้ น 1 สบื ค้นข้อมลู สมบตั ิ ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น
กระบวนการ 3 สบื ค้นขอ้ มูลสมบัติ ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุไดค้ ่อนข้างถูกตอ้ งครบถ้วน
2 สบื คน้ ขอ้ มลู สมบัติ ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุ แต่ไมค่ รบถ้วน
(P) 1 ทาภาระงานท่ไี ด้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาทก่ี าหนด และเรยี บร้อยถูกตอ้ งครบถ้วน
ด้าน 3 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาทีก่ าหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางสว่ น
คุณลกั ษณะ 2 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ชา้ และเกดิ ข้อผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
89
การประเมินการทากิจกรรม เรื่อง การใชป้ ระโยชนจ์ ากอากาศและมลพิษทางอากาศ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ช่อื - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
90
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ท่ี ชอื่ - นามสกุล ด้านความรู้ ด้าน ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดับปรบั ปรงุ
คะแนน
คะแนน
91
บนั ทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เร่ือง อากาศ ใ
แผนการสอนท่ี 5 เร่อื ง การใช้ประโยชนจ์ ากอากาศและมลพษิ ทางอากาศ .
ใ เดอื น พ.ศ. ใ
วนั ที่
ผลการจัดการเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อปุ สรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอ่ื ............................................ครูผสู้ อน ลงช่ือ.............................................หวั หน้ากลุ่มสาระ
(นางสาวนลิ นกิ า แกว้ ปญั ญา) (นางนพรตั น์ ครุฑเกดิ )
ชอ่ื ช้นั เลขที่ 92
‘
ใบงาน เร่ือง การใชป้ ระโยชน์จากอากาศและมลพิษทางอากาศ อ
v
1. ใหน้ กั เรียนศกึ ษาเนื้อหาทีเ่ กี่ยวกับการใชป้ ระโยชน์จากอากาศในหนงั สอื เรียน พร้อมตอบคาถามให้ถกู ต้อง v
1.1 แกส๊ ออกซเิ จนสามารถนาไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งไรบ้าง อ
- บรรจใุ นถังชว่ ยหาใจสาหรับผปู้ ุวย นักประดานา้ และนกั บนิ อวกาศ v
- รกั ษา โรค เชน่ ปอดบวม ฝใี นสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน v
- ทาปฏิกริ ิยากับแกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพื่อใหเ้ ปลวไฟท่ีมคี วามร้อนสูงใช้ในการตัดและเชอื่ มเหลก็
- บรรจุในถงั ช่วยหาใจสาหรบั ผู้ปวุ ย นกั ประดานา้ และนกั บินอวกาศ อ
- รักษา โรค เชน่ ปอดบวม ฝใี นสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน v
- ทาปฏกิ ริ ยิ ากบั แกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพ่ือให้เปลวไฟทม่ี ีความร้อนสงู ใชใ้ นการตัดและเชอ่ื มเหล็ก v
1.2 แก๊สไนโตรเจนสามารถนาไปใช้ประโยชน์อยา่ งไรบ้าง อ
- บรรจใุ นถังชว่ ยหาใจสาหรับผปู้ ุวย นักประดานา้ และนกั บินอวกาศ v
- รักษา โรค เชน่ ปอดบวม ฝใี นสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน v
- ทาปฏกิ ริ ิยากบั แก๊สออกซิเจน (C2H2) เพือ่ ใหเ้ ปลวไฟท่มี ีความรอ้ นสูงใช้ในการตดั และเชื่อมเหล็ก
- บรรจใุ นถังช่วยหาใจสาหรบั ผ้ปู ุวย นักประดาน้า และนักบินอวกาศ v
- รกั ษา โรค เช่น ปอดบวม ฝีในสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน อ
- ทาปฏกิ ิรยิ ากบั แกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพื่อให้เปลวไฟท่มี คี วามรอ้ นสูงใชใ้ นการตัดและเชอ่ื มเหลก็ v
1.3 แกส๊ สกลุ สามารถนาไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง
- แกส๊ ฮเี ลยี มนาไปบรรจุในลกู โปุงสวรรค์ v
- บรรจใุ นถังช่วยหาใจสาหรบั ผปู้ วุ ย นักประดานา้ และนกั บนิ อวกาศ อ
- รักษา โรค เช่น ปอดบวม ฝีในสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน v
- ทาปฏกิ ิรยิ ากบั แกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพอ่ื ให้เปลวไฟทีม่ ีความร้อนสงู ใชใ้ นการตัดและเชื่อมเหลก็
- บรรจใุ นถังชว่ ยหาใจสาหรบั ผูป้ ุวย นักประดาน้า และนักบนิ อวกาศ v
- รกั ษา โรค เชน่ ปอดบวม ฝใี นสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน
- ทาปฏิกริ ิยากบั แกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพ่อื ใหเ้ ปลวไฟทีม่ ีความร้อนสูงใช้ในการตดั และเชือ่ มเหลก็
93
2. ให้นกั เรยี นศึกษาตารางสารมลพษิ แหลง่ กาเนิด และผลกระทบในหนงั สอื เรยี น พร้อมเติมข้อความลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ ง
สารมลพิษ แหลง่ กาเนดิ ผลกระทบ
แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงใน
เครอ่ื งยนต์
การเผาขยะ
ไฟปาุ ระคายเคืองตา ผิวหนงั และหาก
แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สูดดมเขา้ ไปมาก อาจทาใหร้ ะบบ
การหายใจผดิ ปกติ และเปน็ สาเหตุ
ของการเกดิ ฝนกรด
การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงใน ระคายเคอื งตอ่ ระบบทางเดนิ
เคร่ืองยนต์ หายใจ และเปน็ สาเหตขุ องการเกดิ
การเผาไหมส้ ารอนิ ทรยี ใ์ นเตาเผา ฝนกรด
ไฟปาุ
การทาปฏกิ ิรยิ าเคมขี อง
สารอนิ ทรยี ์ระเหยงา่ ย กับ
ออกไซด์ของไนโตรเจนในอากาศ
หากสะสมในปรมิ าณมาก ระบบ
ประสาทจะถกู ทาลาย ผ้ปู ุวยจะ
อ่อนเพลีย ซมึ เศรา้ มอื เทา้ ไม่มี
เรย่ี วแรง ตาพรา่ มวั สูญเสยี การได้
ยนิ พิการ และรุนแรงถึงข้นั
เสียชวี ิต
ตะกั่ว ทาลายระบบประสาท มีผลตอ่
พัฒนาการทางสมองของทารก
เปน็ สาเหตุของโรคโลหิตจาง และ
โรคไต
ฝุนละออง
94
กล่มุ ท่ี ช้ัน เลขที่ ‘
ใบกิจกรรม 1.2 สืบคน้ ข้อมูลสมบตั ิ ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุ
คาช้แี จง เลือกธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและธาตุแทรนซิชนั ท่สี นใจมาชนิดละ 2 ธาตุ ระบชุ ือ่ สัญลักษณธ์ าตุ เลขอะตอม
และสบื คน้ ขอ้ มลู เกี่ยวกบั สมบตั ิทางกายภาพ สมบตั ทิ างเคมี ประโยชน์ และอันตรายของธาตุน้ัน จากนั้นนาเสนอ
หนา้ ชั้นเรียนและอภปิ รายรว่ มกัน
1. ธาตเุ รพรีเซนเททฟี ทเี่ ลอื ก คือ อะลูมเิ นียม และ ซิลคิ อน ท
1.1 อะลูมิเนียม (Aluminium) b
สญั ลกั ษณ์ธาตุ เทา่ กบั Al อ
เลขอะตอม เทา่ กบั 13 อ
สมบัติทางกายภาพ เป็นของแขง็ สเี ทาเงิน มีความหนาแนน่ ต่า เหนียวและแข็ง ดัดโค้งงอได้ ทบุ ให้เปน็
แผน่ หรอื ดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
แผน่ หรือดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผ่นหรอื ดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดีมาก b
สมบตั ิทางเคมี เกิดปฏกิ ริ ิยากบั อากาศอยา่ งรวดเรว็ ได้เป็นสารประกอบออกไซด์ของอะลูมิเนยี ม b
แผน่ หรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดมี าก b
ประโยชน์ ใช้ทาาอปุ กรณไ์ ฟฟูา เคร่อื งครัว ของใชใ้ นบา้ น หอ่ อาหาร และหอ่ ของใช้ ทาโลหะเจอื ที่ใชเ้ ปน็
สว่ นประกอบของเครื่องบิน เรือ รถไฟ และรถยนต์ v
แผ่นหรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
แผ่นหรอื ดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผน่ หรือดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
อันตราย อะลูมเิ นียมสามารถสะสมอยู่ในร่างกาย และสารประกอบของอะลูมิเนียมบางชนิด เปน็ พษิ ตอ่
สัตว์เลีย้ งลูกด้วยนม n
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดีมาก b
95
1.2 อะลูมิเนียม (Aluminium) b
สญั ลกั ษณธ์ าตุ เท่ากับ Al อ
เลขอะตอม เท่ากบั 13 อ
สมบตั ทิ างกายภาพ เป็นของแข็ง สเี ทาเงนิ มคี วามหนาแน่นตา่ เหนียวและแขง็ ดดั โคง้ งอได้ ทบุ ใหเ้ ปน็
แผ่นหรือดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดีมาก b
แผ่นหรอื ดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
สมบัตทิ างเคมี เกิดปฏกิ ริ ยิ ากบั อากาศอย่างรวดเรว็ ได้เปน็ สารประกอบออกไซด์ของอะลูมเิ นียม b
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดมี าก b
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผ่นหรอื ดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
ประโยชน์ ใชท้ าาอปุ กรณไ์ ฟฟาู เครื่องครัว ของใช้ในบ้าน หอ่ อาหาร และหอ่ ของใช้ ทาโลหะเจอื ทีใ่ ช้เป็น
สว่ นประกอบของเครือ่ งบิน เรอื รถไฟ และรถยนต์ v
แผน่ หรือดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผน่ หรือดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดีมาก b
อันตราย อะลมู ิเนยี มสามารถสะสมอยใู่ นรา่ งกาย และสารประกอบของอะลมู ิเนยี มบางชนดิ เปน็ พษิ ต่อ
สตั ว์เลี้ยงลูกด้วยนม n
แผน่ หรอื ดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
แผน่ หรือดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
96
2. ธาตแุ ทรนซซิ ันทเ่ี ลือก คือ โครเนียม และ ทองแดง ท
2.1 อะลมู เิ นยี ม (Aluminium) b
สญั ลักษณธ์ าตุ เท่ากับ Al อ
เลขอะตอม เทา่ กับ 13 อ
สมบัติทางกายภาพ เป็นของแข็ง สีเทาเงิน มคี วามหนาแน่นตา่ เหนียวและแขง็ ดัดโค้งงอได้ ทุบใหเ้ ปน็
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
แผ่นหรอื ดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดมี าก b
สมบัติทางเคมี เกดิ ปฏกิ ิริยากับอากาศอยา่ งรวดเรว็ ไดเ้ ป็นสารประกอบออกไซดข์ องอะลมู ิเนยี ม b
แผน่ หรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดีมาก b
แผน่ หรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
แผน่ หรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผน่ หรอื ดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดีมาก b
ประโยชน์ ใช้ทาาอุปกรณ์ไฟฟูา เครอื่ งครัว ของใชใ้ นบา้ น หอ่ อาหาร และห่อของใช้ ทาโลหะเจอื ทใ่ี ชเ้ ป็น
สว่ นประกอบของเครอ่ื งบนิ เรือ รถไฟ และรถยนต์ v
แผน่ หรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
แผ่นหรอื ดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
อันตราย อะลมู ิเนยี มสามารถสะสมอยู่ในรา่ งกาย และสารประกอบของอะลูมเิ นยี มบางชนิด เปน็ พิษต่อ
สตั ว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนม n
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผ่นหรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ มี าก b
97
2.2 อะลมู เิ นยี ม (Aluminium) b
สญั ลกั ษณ์ธาตุ เท่ากบั Al อ
เลขอะตอม เทา่ กบั 13 อ
สมบัตทิ างกายภาพ เป็นของแข็ง สเี ทาเงนิ มคี วามหนาแนน่ ต่า เหนียวและแขง็ ดดั โคง้ งอได้ ทบุ ใหเ้ ปน็
แผน่ หรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผ่นหรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผ่นหรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรือดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
สมบตั ิทางเคมี เกดิ ปฏิกริ ิยากบั อากาศอย่างรวดเรว็ ได้เปน็ สารประกอบออกไซด์ของอะลูมเิ นียม b
แผ่นหรอื ดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
แผ่นหรือดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผ่นหรอื ดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรอื ดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
ประโยชน์ ใชท้ าาอปุ กรณ์ไฟฟาู เครื่องครัว ของใช้ในบ้าน ห่ออาหาร และหอ่ ของใช้ ทาโลหะเจอื ทีใ่ ช้เป็น
สว่ นประกอบของเครือ่ งบนิ เรือ รถไฟ และรถยนต์ v
แผน่ หรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรือดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผ่นหรือดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดีมาก b
อันตราย อะลูมิเนียมสามารถสะสมอยใู่ นรา่ งกาย และสารประกอบของอะลมู ิเนยี มบางชนดิ เปน็ พษิ ต่อ
สัตว์เลี้ยงลกู ด้วยนม n
แผ่นหรอื ดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
แผน่ หรือดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
ชอ่ื ช้นั เลขที่ 98
‘
เฉลยใบงาน เรื่อง การใช้ประโยชน์จากอากาศและมลพษิ ทางอากาศ
1. ให้นักเรยี นศึกษาเน้อื หาทเ่ี ก่ียวกับการใช้ประโยชนจ์ ากอากาศในหนงั สอื เรียน พรอ้ มตอบคาถามใหถ้ ูกตอ้ ง
1.1 แกส๊ ออกซิเจนสามารถนาไปใช้ประโยชนอ์ ย่างไรบา้ ง
- บรรจุในถงั ชว่ ยหาใจสาหรบั ผ้ปู ุวย นักประดานา้ และนักบนิ อวกาศ อ
- รกั ษาโรค เชน่ ปอดบวม ฝใี นสมอง แผลหายยากจากเบาหวาน v
- ทาปฏกิ ริ ยิ ากับแกส๊ ออกซิเจน (C2H2) เพื่อให้เปลวไฟที่มีความรอ้ นสงู ใชใ้ นการตัดและเชอื่ มเหล็ก v
- เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ในจรวดและเครอื่ งบนิ ไอพ่น j
- ทาปฏกิ ริ ิยากบั แก๊สออกซิเจน (C2H2) เพื่อใหเ้ ปลวไฟที่มคี วามรอ้ นสูงใช้ในการตดั และเชื่อมเหลก็ v
- เพ่ิมประสทิ ธภิ าพการเผาไหม้เชอื้ เพลงิ ในจรวดและเคร่อื งบินไอพน่ j
1.2 แก๊สไนโตรเจนสามารถนาไปใช้ประโยชนอ์ ย่างไรบ้าง
- บรรจุในถุงขนม เพือ่ ปอู งกนั ความช้นื และออกซิเจน คงความกรบุ กรอบ และคุณภาพอาหาร v
- ปูองกันการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีระหวา่ งอปุ กรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์ หรือชิ้นงานในอุตสาหกรรมกบั แก๊สออกซเิ จนใน
อากาศ อ
- เปน็ สารตงั้ ตน้ ในการผลติ ปุ๋ยไนโตรเจน v
- ทาให้เป็นไนโตรเจนเหลวที่ใช้ในกระบวนการผลิตอาหารแชแ่ ข็ง และการเก็บรักษาน้าเชื้อหรอื ตวั อ่อน b
- ทาให้เปน็ ไนโตรเจนเหลวทีใ่ ช้ในกระบวนการผลิตอาหารแช่แขง็ และการเกบ็ รกั ษานา้ เชือ้ หรอื ตัวออ่ น b
- ทาปฏิกริ ยิ ากับแก๊สออกซิเจน (C2H2) เพ่อื ให้เปลวไฟทมี่ ีความรอ้ นสูงใชใ้ นการตดั และเชอื่ มเหลก็ v
- เพมิ่ ประสทิ ธิภาพการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงในจรวดและเครอ่ื งบนิ ไอพน่ j
1.3 แก๊สสกุลสามารถนาไปใช้ประโยชนอ์ ย่างไรบา้ ง
- แก๊สฮีเลยี มนาไปบรรจุในลกู โปุงสวรรค์ v
- แก๊สนอี อนและซนี อนใช้บรรจุในหลอดไฟทีใ่ หแ้ สงสีตา่ ง ๆ f
- แกส๊ อารก์ อนใชบ้ รรจุในหลอดไฟแบบมีไส้ เพื่อปอู งกนั ไสห้ ลอดทาปฏกิ ิริยากบั ออกซิเจนในอากาศ แล้วเกิดการ
ลุกไหมl้ v
- ทาปฏกิ ริ ิยากับแก๊สออกซิเจน (C2H2) เพื่อให้เปลวไฟทมี่ คี วามรอ้ นสงู ใช้ในการตดั และเช่ือมเหลก็ v
- เพ่ิมประสิทธภิ าพการเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ ในจรวดและเครอ่ื งบินไอพน่ j
99
2. ใหน้ กั เรยี นศกึ ษาตารางสารมลพิษ แหล่งกาเนดิ และผลกระทบในหนังสือเรยี น พรอ้ มเตมิ ขอ้ ความลงใน
ช่องว่างให้ถกู ต้อง
สารมลพิษ แหล่งกาเนดิ ผลกระทบ
แกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์
แก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์ การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ในเครอื่ งยนต์ ทาให้เกิดอาการมนึ งง วิงเวียน
ออกไซดข์ องไนโตรเจน การเผาขยะ ศีรษะ และหากได้รบั ปริมาณมาก
ไฟปุา อาจถึงขน้ั เสยี ชีวติ
แก๊สโอโซน
ปรอท การเผาไหม้ถา่ นหนิ ระคายเคืองตา ผวิ หนัง และหาก
ภเู ขาไฟระเบิด สดู ดมเขา้ ไปมาก อาจทาให้ระบบ
ตะก่วั การหายใจผิดปกติ และเปน็
สาเหตุของการเกิดฝนกรด
การเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลงิ ในเคร่อื งยนต์ ระคายเคอื งต่อระบบทางเดิน
การเผาไหมส้ ารอนิ ทรยี ์ในเตาเผา หายใจ และเปน็ สาเหตขุ องการ
ไฟปุา เกดิ ฝนกรด
การทาปฏกิ ริ ิยาเคมขี องสารอินทรยี ์ ทาใหเ้ กดิ อาการไอ จาม หายใจ
ระเหยงา่ ย กบั ออกไซดข์ อง ผดิ ปกติ เป็นอนั ตรายตอ่ ผทู้ ่เี ป็น
ไนโตรเจนในอากาศ โรคหอบหืด และโรคระบบ
ทางเดินหายใจ
การเผาไหม้ถา่ นหนิ หากสะสมในปริมาณมาก ระบบ
การเผาขยะ ประสาทจะถูกทาลาย ผปู้ ุวยจะ
โรงงานผลติ แบตเตอร่ี อ่อนเพลยี ซึมเศรา้ มอื เทา้ ไมม่ ี
การถลงุ โลหะ เรยี่ วแรง ตาพร่ามวั สูญเสยี การ
ไดย้ ิน พกิ าร และรนุ แรงถึงขัน้
เสียชีวิต
การเผาไหมน้ ้ามันทมี่ ีส่วนผสมของ ทาลายระบบประสาท มีผลต่อ
สารตะกัว่ พัฒนาการทางสมองของทารก
เป็นสาเหตุของโรคโลหิตจาง
การถลงุ แรโ่ ลหะ และโรคไต
โรงงานผลติ แบตเตอรี่
ฝุนละออง การเผาไหมถ้ า่ นหินและเชอ้ื เพลิงชวี ระคายเคอื งตา หากสะสมภายใน
มวล โพรงจมกู เปน็ เวลานาน อาจเกดิ
การเผาขยะ การอักเสบเรื้อรัง
การกอ่ สร้าง
กลมุ่ ที่ ชั้น เลขที่ 100
‘
เฉลย ใบกิจกรรม 1.2 สบื ค้นข้อมลู สมบตั ิ ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุ
คาชี้แจง เลอื กธาตเุ รพรเี ซนเททีฟและธาตแุ ทรนซชิ ันที่สนใจมาชนิดละ 2 ธาตุ ระบชุ ือ่ สัญลกั ษณธ์ าตุ เลขอะตอม
และสบื คน้ ขอ้ มลู เกย่ี วกับสมบตั ทิ างกายภาพ สมบัติทางเคมี ประโยชน์ และอนั ตรายของธาตุนัน้ จากน้นั นาเสนอ
หนา้ ช้นั เรยี นและอภปิ รายร่วมกนั
ตวั อยา่ งผลการสืบคน้ ขอ้ มูล
1. ธาตุเรพรีเซนเททีฟที่เลอื ก คอื อะลูมเิ นยี ม และ ซลิ คิ อน ท
1.1 อะลมู ิเนียม (Aluminium) b
สัญลกั ษณ์ธาตุ เทา่ กบั Al อ
เลขอะตอม เท่ากับ 13 อ
สมบัติทางกายภาพ เปน็ ของแขง็ สีเทาเงิน มคี วามหนาแน่นตา่ เหนยี วและแข็ง ดัดโคง้ งอได้ ทบุ ใหเ้ ป็น
แผน่ หรือดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผน่ หรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผน่ หรือดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดีมาก b
สมบัติทางเคมี เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ากบั อากาศอยา่ งรวดเร็วได้เป็นสารประกอบออกไซด์ของอะลมู ิเนยี ม b
แผ่นหรอื ดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผ่นหรือดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
ประโยชน์ ใช้ทาอปุ กรณไ์ ฟฟาู เครื่องครัว ของใชใ้ นบา้ น หอ่ อาหาร และห่อของใช้ ทาโลหะเจอื ที่ใชเ้ ปน็
สว่ นประกอบของเคร่อื งบิน เรือ รถไฟ และรถยนต์ v
แผน่ หรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดมี าก b
อนั ตราย อะลูมเิ นียมสามารถสะสมอยู่ในร่างกาย และสารประกอบของอะลมู เิ นยี มบางชนดิ เปน็ พษิ ตอ่
สตั ว์เลี้ยงลกู ดว้ ยนม n
แผน่ หรอื ดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผน่ หรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
101
1.2 ซลิ คิ อน (Silicon) b
สญั ลักษณ์ธาตุ เท่ากบั Si อ
เลขอะตอม เท่ากบั 14 อ
สมบตั ิทางกายภาพ เปน็ ของแขง็ สเี ทาเหลือบฟูา เปน็ มนั เงา b
แผ่นหรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผน่ หรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
สมบตั ิทางเคมี เกิดปฏกิ ิริยากบั ออกซิเจนไดส้ ารประกอบออกไซดท์ ม่ี คี วามเสถยี ร b
แผน่ หรือดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผ่นหรอื ดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ ีมาก b
ประโยชน์ ใชใ้ นอตุ สาหกรรมทาแกว้ เส้นใยแก้วและเสน้ ใยนาแสง เปน็ สารกง่ึ ตัวนาในวงจรไฟฟาู ขนาด
เล็ก และใชท้ าอปุ กรณไ์ ฟฟูา เชน่ ไมโครคอมพวิ เตอร์ วทิ ยุ โทรทศั น์ เซลล์สรุ ิยะ v
แผ่นหรือดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
อนั ตราย การสดู ดมผงซิลิเกตซง่ึ เปน็ สารประกอบออกไซด์ของซลิ คิ อนทอ่ี ย่ใู นแร่ใยหนิ จะเปน็ อันตรายต่อ
ปอด n
แผ่นหรือดึงเปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผน่ หรือดงึ เป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นไดด้ มี าก b
แผ่นหรือดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
102
2. ธาตแุ ทรนซซิ นั ท่เี ลอื ก คือ โครเนียม และ ทองแดง ท
2.1 โครเมยี ม (Chromium) b
สญั ลักษณ์ธาตุ เท่ากับ Cr อ
เลขอะตอม เท่ากบั 24 อ
สมบัตทิ างกายภาพ เป็นของแข็ง สเี งิน มีความแข็งมาก b
แผ่นหรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผ่นหรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ ีมาก b
สมบัติทางเคมี เกิดปฏิกริ ยิ ากบั ออกซเิ จนอยา่ งรวดเร็วได้สารประกอบออกไซดท์ ่ตี ้านทานการ กดั กรอ่ น
และคงความเป็นมนั เงาไดน้ านในอากาศ b
แผน่ หรือดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดีมาก b
แผ่นหรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดมี าก b
ประโยชน์ ใชเ้ คลอื บผิวเหล็กหรือโลหะอนื่ ๆ โดยการชบุ ด้วยไฟฟาู เพื่อปูองกันการกัดกรอ่ นและ ใหม้ ผี ิว
เป็นเงางาม เป็นสว่ นผสมในเหล็กกลา้ ไร้สนมิ รวมทัง้ เปน็ สว่ นประกอบในเหล็กกล้า ผสมทใ่ี ช้ทาาตูน้ ริ ภัย
เคร่อื งยนต์ เกราะกันกระสนุ v
แผน่ หรือดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดีมาก b
แผน่ หรอื ดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
อันตราย มนุษยต์ อ้ งการโครเมียมในปริมาณเพยี งเล็กน้อย ถา้ ไดร้ บั ในปรมิ าณทมี่ ากเกนิ ไปจะ เป็นพิษต่อ
ร่างกาย n
แผ่นหรอื ดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดมี าก b
แผ่นหรือดึงเปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดมี าก b
แผน่ หรอื ดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนได้ดมี าก b
103
2.2 ทองแดง (Copper) b
สัญลักษณ์ธาตุ เท่ากบั Cu อ
เลขอะตอม เท่ากบั 29 อ
สมบัติทางกายภาพ เป็นของแข็ง สีสม้ แดงเปน็ มนั เงา มคี วามหนาแน่น จุดหลอมเหลวและจุดเดอื ดสงู
นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดรี องจากเงนิ b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดมี าก b
สมบัติทางเคมี เกิดปฏิกิริยากบั ความชืน้ และออกซิเจนในอากาศได้อย่างช้า ๆ ได้สารประกอบออกไซด์
สีเขยี ว เรียกวา่ สนิมทองแดง ที่มสี มบัติตา้ นการกดั กร่อนได้ b
แผ่นหรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดมี าก b
แผน่ หรอื ดงึ เปน็ เสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดมี าก b
ประโยชน์ เปน็ ลวดนาไฟฟาู ในสายไฟฟูา อปุ กรณ์ไฟฟาู โลหะผสมระหวา่ งทองแดงกบั สงั กะสี เรียกวา่
ทองเหลือง ใชท้ ากลอนประตู กญุ แจ ใบพดั เรือ ปลอกกระสุนปืน กระดมุ โลหะผสม ของทองแดงกบั ดบี กุ
เรยี กว่า ทองบรอนซ์ ใชท้ าลานนาฬิกา ระฆัง ปนื ใหญ่ ทองแดงเป็นธาตุ ทีจ่ าเป็นต่อรา่ งกายในการช่วย
เอนไซม์ถา่ ยโอนพลังงานในเซลล์ v
แผน่ หรือดึงเป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความรอ้ นได้ดีมาก b
แผ่นหรือดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความรอ้ นได้ดีมาก b
อนั ตราย มนษุ ยต์ ้องการธาตทุ องแดงเพยี งปรมิ าณเล็กน้อย การไดร้ บั ทองแดงมากเกนิ ไปอาจ ทาาให้เกดิ
โรคทางพนั ธกุ รรมได้ n
แผน่ หรอื ดึงเป็นเส้นได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนได้ดีมาก b
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟูาและนาความร้อนไดด้ มี าก b
แผน่ หรอื ดงึ เป็นเสน้ ได้ นาไฟฟาู และนาความร้อนไดด้ ีมาก b
104
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 6
เร่อื ง พนั ธะโคเวเลนต์ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ชวั่ โมง
รายวิชา ว31104 ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ น้า รวม 9 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสารกบั โครงสรา้ ง
และแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตวั ชี้วดั
ว 2.1 ม.5/8 ระบวุ า่ พันธะโคเวเลนตเ์ ปน็ พนั ธะเดยี่ ว พนั ธะคู่ หรือพนั ธะสาม และระบุจานวนคูอ่ ิเล็กตรอน
ระหว่างอะตอมค่รู ่วมพนั ธะ จากสูตรโครงสรา้ ง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรยี นระบจุ านวนอะตอมของธาตุองคป์ ระกอบในโมเลกุลของสารโคเวเลนตจ์ ากสตู รโมเลกุลหรอื
สตู รโครงสรา้ งได้
2) นกั เรียนระบุว่าพันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะเด่ยี ว พนั ธะคู่ หรอื พนั ธะสาม และระบจุ านวนคู่
อเิ ล็กตรอนระหวา่ งอะตอมคู่ร่วมพันธะจากสตู รโครงสรา้ งได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถจดั กระทาและสอื่ ความหมายของข้อมลู ที่ศึกษาค้นคว้าได้
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝุเรยี นรแู้ ละเป็นผู้มีความมุ่งมนั่ ในการทางาน
4. สาระสาคัญ
นา้ เปน็ สารเคมี ชนดิ หนง่ึ ท่เี ปน็ องค์ประ กอบพ้นื ฐานใน ร่ากายของส่ิงมชี วี ิตและสิง่ แวดล้อม โมเลกุลของน้า
เกดิ จากอะตอมของธาตไุ ฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนยี่ วกบั ธาตุออกซเิ จน 1 อะตอมดว้ ย พนั ธะเคมที ีเ่ รียกวา่ พนั ธะ
โคเวเลนต์ น้าจัดเป็นสารโคเวเลนต์ และยังมสี ารอ่ืนอีกหลายชนิดท่ีเป็นสารโคเวเ ลนต์ สถานะและจุดเดือดของสาร
โคเวเลนตข์ น้ึ อยู่กบั แรงยดึ เหนยี่ วระหว่ างโมเลกลุ ซึง่ มคี วามสัมพนั ธ์กบั สภาพขว้ั ของสารและพันธะไฮโดรเจน
105
ในแหล่งน้าธรรมชาตินอกจากมนี า้ เป็นองคป์ ระกอบหลักแล้ว ยังมีสารอ่นื ละลายอยดู่ ้วย สารท่ลี ะลายน้าไดม้ ีท้ังสาร
โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกดิ จากการยึดเหนีย่ วระหวา่ งไอออนบวกกับไอออนลบ
ดว้ ยพนั ธะไอออนิก ในอตั ราส่วนอยา่ งต่าทที่ าใหป้ ระจุรวมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในน้ามี 2
แบบ คอื การละลายแบบแตกตัวและไมแ่ ตกตวั ซ่งึ ทาใหไ้ ดส้ ารละลายอิเลก็ โทรไลตแ์ ละนอนอเิ ล็กโทรไลต์ ตามลาดบั
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
น้าเปน็ สารประกอบทม่ี สี ตู รโมเลกุลเป็น H 2O ประกอบดว้ ยธาตไุ ฮโดรเจน 2 อะตอม และ
ออกซิเจน 1 อะตอมยดึ เหนยี่ วกันด้วย พันธะเคมี ( chemical bond) โดยพนั ธะเคมรี ะหว่างอะตอม
ไฮโดรเจนกับอะตอมออกซเิ จนเปน็ พันธะโคเวเลนต์ และนา้ จัดเปน็ สารโคเวเลนต์
รปู 2.1 โมเลกลุ น้า
สารโคเวเลนตอ์ าจเป็นธาตุหรือสารประกอบ ส่วนใหญ่เกิดจากการรวมตวั กนั ของธาตุอโลหะ
โดยอะตอมจะยึดเหนี่ยวกนั ดว้ ยพนั ธะที่เรยี กวา่ พันธะโควาเลนต์ (covalent bond) ซ่ึงเปน็ พันธะท่ีเกดิ
จากการใชเ้ วเลนซ์อิเลก็ ตรอนรว่ มกนั และค่อู ะตอมทใี่ ชเ้ วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนรว่ มกัน เรียกวา่ อะตอมค่รู ว่ ม
พนั ธะ จานวนและชนดิ ของธาตอุ งค์ประกอบภายในโมเลกุลของสารโคเวเลนต์แสดงไว้ดว้ ยสตู รโครงสร้าง
(molecular formula) นอกจากน้าแล้วในธรรมชาติยงั มีสารโคเวเลนต์ชนิดอ่นื ตวั อยา่ งดังตาราง 2.1
ตาราง 2.1 ตวั อยา่ งสารโคเวเลนซ์ทพ่ี บในธรรมชาติ
สาร สตู รโคเวเลนต์
แก๊สออกซเิ จน* O2
แก๊สไนโตรเจน* N2
แอมโมเนีย NH3
คาร์บอนไดออกไซด์ CO2
คาร์บอนมอนอกไซด์ CO
อะเซทลิ นี C2 H2
ยเู รีย CH4 N2O
กรดแอซีตกิ หรอื กรดน้าส้ม C2 H4O2
กลโู คส C6H12O6
วติ ามนิ ซีหรือกรดแอสคอร์บกิ C6 H8O6
* O2 และ N2 จะเรยี กวา่ แกส๊ ออกซเิ จน และแกส๊ ไนโตรเจน เพ่อื ไม่ให้เกดิ ความสบั สนกบั การ
เรียกชื่อธาตุหรอื อะตอมออกซิเจน (O) และไนโตรเจน (N)
106
สตู รโมเลกุลบอกชนดิ และจานวนอะตอมของธาตทุ ่ีเปน็ องค์ประกอบใน 1 โมเลกลุ แต่สูตรโมเลกลุ
ไม่ได้แสดงวา่ อะตอมคใู่ ดยดึ เหนยี่ วกนั ซ่งึ การยึดเหนย่ี วกันของคู่อะตอมมคี วามสาคญั ต่อสมบตั ทิ าง
กายภาพและเคมขี องสาร
สารโคเวเลนต์
การแสดงการยดึ เหน่ียวกนั ของอะตอมภายในโมเลกุลสารโคเวเลนต์ ทาไดโ้ ดยสตู รโครงสรา้ ง
(structural formule) ซึง่ แสดงคอู่ เิ ลก็ ตรอนทีใ่ ชร้ ่วมกนั ในการเกิดพนั ธะโควาเลนตด์ ้วยเสน้ พนั ธะ
โดยพันธะทเี่ กิดจากการใชเ้ วเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนรว่ มกัน 1 คู่ เรียกว่า พนั ธะเดีย่ ว ซึ่งเขยี นแทนด้วยเสน้ 1 เส้น
และพันธะที่เกดิ จากการใช้เวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนรว่ มกนั 2 และ 3 คู่ เรียกว่า พนั ธะคู่ และพันธะสาม ซึง่ เขยี น
แทนด้วยเสน้ 2 และ 3 เสน้ ตามลาดบั ดงั รปู 2.2
รูป 2.2 สูตรโครงสร้างของนา้ แกส๊ ออกซิเจน และแกส๊ ไนโตรเจน
โมเลกุลของสารโคเวเลนตอ์ าจประกอบด้วยหลายพนั ธะและอาจมีพนั ธะโคเวเลนต์ที่เป็นพนั ธะ
เด่ียว พันธะคู่ หรือพนั ธะสามมากวา่ 1 ชนดิ ดังรูป 2.3
รูป 2.3 สูตรโครงสรา้ งของสารโคเวเลนต์บางชนิด
107
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟงั พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลมุ่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คุณลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝุเรยี นรแู้ ละเป็นผ้มู คี วามม่งุ มั่นในการทางาน
6. บรู ณาการ
-
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ
1.1 ครูใหน้ กั เรียนทาตรวจสอบความร้กู อ่ นเรยี นในหนงั สือเรยี น หนา้ 28
1.2 ครูทวนคาถามตรวจสอบความรกู้ อ่ นเรียนใหน้ ักเรียนตอบร่วมกนั พรอ้ มเฉลย
1.3 ครนู าเข้าสบู่ ทเรียน โดยต้ังคาถามเกยี่ วกับประโยชน์ ความสาคญั ของนา้ ในชวี ิตประจาวนั
สถานะ และสูตรเคมี
ขั้นที่ 2 ข้ันสารวจและค้นหา
2.1 ครูให้นกั เรียนพิจารณารูป 2.1 แลว้ ระบุชนดิ และจานวนอะตอมของธาตุองคป์ ระกอบ จากนน้ั
ให้ศึกษาหาความรู้ว่าน้าเปน็ สารโคเวเลนต์ โดยอะตอมไฮโดรเจนยึดเหนยี่ วกบั อะตอมของออกซิเจนด้วย
พันธะ เคมที ีเ่ รียกวา่ พันธะโคเวเลนต์
2.2 ครูใหน้ ักเรยี นพจิ ารณาตาราง 2.1 แล้วตงั้ คาถามวา่ สารโคเวเลนต์มีธาตอุ งคป์ ระกอบเปน็ ธาตุ
โลหะหรืออโลหะ
2.3 ครูใหน้ ักเรียนศกึ ษาเนอื้ หาเกย่ี วกบั สารโคเวเลนต์ ตามหนงั สอื เรียน หน้า 31-32
2.4 นักเรยี นสรปุ องคค์ วามรู้ เรอ่ื ง สารโคเวเลนส์ ในรปู แบบ Mind mapping
2.5 นักเรียนทาแบบฝกึ หดั 2.1 ข้อท่ี 1-5 ในหนงั สือเรียน หน้า 34-35 ลงในสมดุ
ข้นั ที่ 3 ข้ันอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครนู านักเรยี นอภปิ รายเพอื่ นาไปสู่การสรุป โดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1) น้าเปน็ สารโคเวเลนต์ หรอื ไม่ (แนวการ นา้ เปน็ สารโคเวเลนต์)
2) สตู รโมเลกุลของน้า คือ (แนวการตอบ H2O)
3) นา้ ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนกีอ่ ะตอม และออกซเิ จนกอี่ ะตอม (แนวการตอบ น้า
ประกอบดว้ ยธาตไุ ฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซเิ จน 1 อะตอม)
4) โมเลกุลของน้าประกอบดว้ ยอะตอมไฮโดรเจนยึดเหน่ยี วกบั อะตอมของออกซิเจนดว้ ย
พนั ธะเคมี ท่เี รียกวา่ (แนวการตอบ พันธะโคเวเลนต์)
108
5) การแสดงการยดึ เหนย่ี วกนั ของอะตอมภายในโมเลกุลสารโคเวเลนต์ ทาได้อยา่ งไร
(แนวการตอบ ทาได้โดยใช้สตู รโครงสรา้ ง (structural formule))
6) พันธะท่ีเกดิ จากการใชเ้ วเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนร่วมกนั 1 คู่ เรียกว่า (แนวการตอบ พันธะ
เดย่ี ว)
7) พนั ธะทเ่ี กิดจากการใชเ้ วเลนซอ์ เิ ล็กตรอนรว่ มกัน 2 และ 3 คู่ เรียกว่า ตามลาดบั
(แนวการตอบ พนั ธะคู่ และพันธะสาม)
3.2 ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั สรุปการศกึ ษาค้นคว้า เรอ่ื ง สารโคเวเลนต์ ดังน้ี
สารโคเวเลนต์
การแสดงการยึดเหนีย่ วกันของอะตอมภายในโมเลกุลสารโคเวเลนต์ ทาไดโ้ ดยสตู ร
โครงสร้าง (structural formule) ซ่ึงแสดงคู่อเิ ล็กตรอนท่ใี ชร้ ว่ มกนั ในการเกิดพันธะโควาเลนต์ดว้ ยเส้น
พนั ธะ โดยพันธะทเี่ กดิ จากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกนั 1 คู่ เรียกวา่ พนั ธะเด่ยี ว ซึ่งเขยี นแทนดว้ ยเสน้
1 เส้น และพันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซอ์ ิเล็กตรอนร่วมกนั 2 และ 3 คู่ เรยี กว่า พนั ธะคู่ และพันธะสาม
ซึง่ เขยี นแทนด้วยเสน้ 2 และ 3 เสน้ ตามลาดบั ดงั รปู 2.2
โมเลกลุ ของสารโคเวเลนตอ์ าจประกอบดว้ ยหลายพันธะและอาจมพี นั ธะโคเวเลนต์ท่ีเป็นพนั ธะ
เดีย่ ว พนั ธะคู่ หรือพันธะสามมากวา่ 1 ชนิด ดังรูป 2.3
ข้ันท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพิ่มเตมิ สารเคมบี างชนิด เชน่ สารประกอบอนิ ทรยี ์ ตามรายละเอียดในหนงั สือเรยี น
หนา้ 33
ขน้ั ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 ครตู รวจ Mind mapping เร่ือง สารโคเวเลนส์ ของนกั เรยี น
5.2 ครตู รวจสมดุ การทาแบบฝกึ หัด 2.1 ของนักเรยี น
ประยุกตแ์ ละตอบแทนสังคม
ครใู ห้นักเรยี นแต่ละคนนาความรูท้ เ่ี รยี นไปค้นคว้าเพิม่ เตมิ ที่ห้องสมุด หรือเว็บไซต์ แล้วนาเสนอใน
ช้ันเรยี น
8. สอื่ การเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 เล่ม 1
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต
8.3 หอ้ งสมุด
109
9. การวดั และประเมนิ ผล วิธกี ารวดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) ตรวจแบบฝึกหดั
2.1 ข้อที่ 1-5 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K)
1) นักเรยี นระบุจานวนอะตอมของธาตุ 1) ตรวจ Mind ทากิจกรรม ทาแบบฝึกหดั 2.1
องค์ประกอบในโมเลกลุ ของสารโคเวเลนต์ mapping เรอ่ื ง สาร
จากสตู รโมเลกลุ หรือสูตรโครงสรา้ งได้ โคเวเลนส์ ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
2) นกั เรียนระบุวา่ พนั ธะโคเวเลนต์เปน็
พนั ธะเดี่ยว พนั ธะคู่ หรือพันธะสาม และ 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนสามารถ
ระบุจานวนค่อู ิเลก็ ตรอนระหวา่ งอะตอมคู่ ทากจิ กรรม สรปุ องค์ความรู้ เร่ือง
ร่วมพันธะจากสตู รโครงสร้างได้ สารโคเวเลนส์
ด้านกระบวนการ (P) ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์
1) นกั เรยี นสามารถจัดกระทาและส่อื
ความหมายของข้อมลู ทีศ่ ึกษาคน้ คว้าได้
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1) ตรวจแบบฝกึ หดั 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนทาภาระ
1) ใฝเุ รยี นรูแ้ ละเป็นผ้มู ีความมงุ่ ม่ันในการ 2.1 ข้อท่ี 1-5
ทางาน 2) ตรวจ Mind ทากิจกรรม งานท่ไี ด้รบั มอบหมาย
mapping เร่ือง สาร
โคเวเลนส์ ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
110
10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรื่อง พนั ธะโคเวเลนต์
ประเด็นการ ค่าน้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 ทาแบบฝึกหดั 2.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จานวน 4-5 ขอ้
(K) 2 ทาแบบฝึกหดั 2.1 ไดถ้ ูกต้องครบถ้วน จานวน 2-3 ข้อ
1 ทาแบบฝึกหัด 2.1 ได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน จานวน 1 ขอ้ หรือไมถ่ กู ตอ้ ง
ดา้ น 3 สรปุ เน้อื หา เรอื่ ง สารโคเวเลนส์ไดถ้ ูกต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 สรุปเน้อื หา เรื่อง สารโคเวเลนส์ได้คอ่ นขา้ งถกู ตอ้ งครบถว้ น
(P) 1 สรปุ เน้อื หา เรอ่ื ง สารโคเวเลนส์ได้ แตไ่ ม่ครบถ้วน
ด้าน 3 ทาภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาทกี่ าหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถ้วน
คณุ ลกั ษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทีก่ าหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1 ทาภาระงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
111
การประเมนิ การทากจิ กรรม เรอ่ื ง พันธะโคเวเลนต์
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ชอื่ - นามสกุล ด้านความรู้ ด้าน ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
112
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
113
บนั ทกึ หลังการสอน
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรอื่ ง นา้ พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 6 เรือ่ ง พนั ธะโคเวเลนต์ .
ใ เดือน ใ
วันที่
ผลการจัดการเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชื่อ............................................ครูผสู้ อน ลงชอ่ื .............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวนิลนิกา แก้วปญั ญา) (นางนพรัตน์ ครฑุ เกิด)
114
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 7
เรอ่ื ง การเปลยี่ นสถานะของนา้ และความมีข้วั
รายวิชา ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ชว่ั โมง
รวม 9 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ น้า
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ องสสารกับโครงสร้าง
และแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตัวชี้วัด
ว 2.1 ม.5/9 ระบุสภาพขว้ั ของสารทโ่ี มเลกุลประกอบดว้ ย 2 อะตอม
ว 2.1 ม.5/10 ระบสุ ารท่เี กดิ พันธะไฮโดรเจนได้จากสตู รโครงสรา้ ง
ว 2.1 ม.5/11 อธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ งจดุ เดือดของสารโควาเลนต์กบั แรงดงึ ดูดระหว่างโมเลกุลตาม
สภาพข้วั หรือการเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรียนระบุสภาพขวั้ ของสารท่ีโมเลกลุ ประกอบดว้ ย 2 อะตอมได้
2) นกั เรียนระบสุ ารท่ีเกิดพันธะไฮโดรเจนไดจ้ ากสตู รโครงสร้างได้
3) นกั เรียนอธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งจุดเดอื ดของสารโคเวเลนตก์ บั แรงยึดเหน่ยี วระหว่างโมเลกุล
ตามสภาพขั้วหรอื การเกดิ พนั ธะไฮโดรเจนได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถจดั กระทาและสื่อความหมายของขอ้ มูลท่ศี ึกษาค้นคว้าได้
3.3 ดา้ นคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝุเรียนรู้และเปน็ ผู้มคี วามม่งุ มน่ั ในการทางาน
4. สาระสาคัญ
นา้ เปน็ สารเคมี ชนิดหนง่ึ ทีเ่ ปน็ องคป์ ระ กอบพนื้ ฐานใน ร่ากายของสง่ิ มีชวี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม โมเลกลุ ของน้า
เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยึดเหนยี่ วกับธาตอุ อกซเิ จน 1 อะตอมดว้ ย พันธะเคมีท่เี รียกว่า พันธะ
โคเวเลนต์ น้าจัดเป็นสารโคเวเลนต์ และยังมสี ารอืน่ อกี หลายชนดิ ท่ีเปน็ สารโคเวเ ลนต์ สถานะและจุดเดือดของสาร
115
โคเวเลนต์ขึ้นอยูก่ ับ แรงยดึ เหนีย่ วระหว่ างโมเลกุล ซึ่งมคี วามสมั พนั ธ์กบั สภาพขั้วของสารและพนั ธะไฮโดรเจน
ในแหล่งนา้ ธรรมชาตินอกจากมนี ้าเป็นองคป์ ระกอบหลักแลว้ ยังมสี ารอนื่ ละลายอยู่ด้วย สารที่ละลายนา้ ได้มที ง้ั สาร
โคเวเลนตแ์ ละสารประกอบไอออนกิ สารประกอบไอออนิกเกดิ จากการยึดเหน่ยี วระหวา่ งไอออนบวกกบั ไอออนลบ
ด้วยพนั ธะไอออนิก ในอตั ราสว่ นอย่างตา่ ท่ที าใหป้ ระจุรวมของสารประกอบเป็นศนู ย์ การละลายของสารในนา้ มี 2
แบบ คือการละลายแบบแตกตัวและไมแ่ ตกตัว ซงึ่ ทาใหไ้ ด้สารละลายอเิ ล็กโทรไลตแ์ ละนอนอิเล็กโทรไลต์ ตามลาดบั
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
ที่อณุ หภูมิห้องและความดัน 1 บรรยากาศ นา้ มสี ถานะเปน็ ของเหลว มจี ุดเยอื กแข็งหรอื จดุ
หลอมเหลวท่ี 0 องศาเซลเซียส และจุดเดอื ดที่ 100 องศาเซลเซียส เมอื่ นา้ ไดร้ บั พลังงานจากส่ิงแวดลอ้ ม
หรอื จากการให้ความรอ้ นโดยตรง โมเลกุลของนา้ ในสถานะของเหลวซ่งึ อย่ชู ดิ กันจะเคลอื่ นท่ีหา่ งกนั มากข้นึ
และอาจเปล่ียนสถานะเป็นแกส๊ โดยความร้อนทใ่ี ชใ้ นการเปล่ยี นสถานะของนา้ ใหเ้ ปน็ ไอนา้ ตอ้ งมีค่ามาก
พอทจี่ ะทาลายแรงยดึ เหน่ียวระหว่างโมเลกลุ ของน้า แสดงดงั รูป 2.4
รปู 2.4 ภาพจาลองการจัดเรียงโมเลกลุ ของนา้ ในสถานะของเหลวและแกส๊
สารโคเวเลนต์แต่ละชนดิ มจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่างกัน ตัวอย่างดงั ตาราง 2.2 เมอื่ ต้องการ
เปลย่ี นสถานะของสารเหล่านจี้ งึ ตอ้ งใช้พลงั งานความรอ้ นไมเ่ ท่ากนั แสดงวา่ แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งโมเลกุล
ของสารโคเวเลนตแ์ ตล่ ะชนดิ ไม่เทา่ กัน
ตาราง 2.2 จุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดของสารโคเวเลนสบ์ างชนิด ทค่ี วามดนั 1 บรรยากาศ
สารโคเวเลนต์ จดุ หลอมเหลว (°C) จุดเดอื ด (°C)
แกส๊ ไฮโดรเจน (H2) -259 -252
แก๊สไนโตรเจน (N2) -210 -196
แกส๊ ออกซเิ จน (O2) -219 -183
ไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) -164 -152
ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) -114 -85
ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) -86 -60
แอมโมเนีย (NH3) -78 -33
น้า (H2O) 0 100
สารโคเวเลนต์ท่มี จี ดุ เดือดแตกต่างกนั เกดิ จากความแตกตา่ งของแรงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ ซง่ึ เปน็ ผลมา
จากสภาพข้ัวของโมเลกลุ ทีเ่ กดิ จากพันธะโคเวเลนตร์ ะหว่างอะตอมของธาตชุ นดิ เดียวกนั หรืออะตอมของธาตตุ ่าง
116
ชนดิ กนั เช่น โมเลกุลของนา้ มพี นั ธะโคเวเลนต์ทเี่ ชอ่ื มตอ่ ระหว่างอะตอมต่างชนดิ กนั และน้าจดั เปน็ สารมขี ว้ั ทาใหม้ ี
แรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลมากจึงมจี ดุ เดอื ดสูง เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั โมเลกุลของแกส๊ ออกซิเจนซึ่งมีพนั ธะโคเว
เลนต์ทเ่ี ชอ่ื มต่อระหว่างอะตอมของธาตุเพยี งชนิดเดยี ว และออกซิเจนจะเป็นสารไม่มขี วั้ ทาให้มแี รงยึดเหน่ียว
ระหว่างโมเลกลุ น้อยกว่านา้ แกส๊ ออกซิเจนจึงมจี ุดเดอื ดตา่ กวา่ น้า
สารโคเวเลนตท์ ่ีโมเลกุลประกอบด้วย 2 อะตอม หากเป็นธาตชุ นิดเดียวกนั จดั เป็นสารไม่มขี ว้ั (non-polar
substance) เชน่ แกส๊ ไฮโดรเจน (H2) แกส๊ ไนโตรเจน (N2) หากเป็นธาตตุ า่ งชนดิ กันจดั เปน็ สารมขี ัว้ (polar
substance) เชน่ ไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) สว่ นสารโคเวเลนตท์ ่ีประกอบดว้ ยอะตอม
มากกวา่ 2 อะตอมอาจเปน็ สารมขี ้วั หรือไม่มขี ัว้ ก็ได้ ทง้ั นขี้ นึ้ อยู่กบั รูปร่างโมเลกุลของสารแตล่ ะชนิด เช่น น้า (H2O)
ไข่เน่าหรือแกส๊ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) แอมโมเนีย (NH3) เป็นสารมีขัว้ ส่วนคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) มเี ทน CH4)
เป็นสารไม่มีขั้ว
นอกจากสภาพขั้วของโมเลกุลทีส่ ง่ ผลแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ แล้ว มวลและรูปรา่ งของโมเลกุลยังส่งผล
ต่อแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ อกี ด้วย ถา้ สารมมี วลและรปู รา่ งของโมเลกุลใกล้เคียงกันจดุ เดือดจะข้นึ อยกู่ บั สภาพ
ข้ัวของโมเลกุล
ทอี่ ุณหภูมิห้อง นา้ (H2O) มีสถานะเปน็ ของเหลว สว่ นไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) เป็นแกส๊ แสดงวา่ น้ามจี ดุ
เดอื ดสงู กว่าไฮโดรเจนซลั ไฟด์ ท้ังท่ีสารทง้ั สองชนิดเปน็ สารมีข้วั และมีองคป์ ระกอบแตกตา่ งกันเพียงอะตอมเดยี ว
ปรากฏการณน์ เ้ี ป็นผลมาจาก พนั ธะไฮโดรเจน (hydrogen bond)
รูป 2.5 พันธะไฮโดรเจนระหวา่ งโมเลกลุ ของน้า
พันธะไฮโดรเจนเปน็ แรงยดึ เหนีย่ วระหว่างโมเลกลุ ของสารมีข้ัวทภี่ ายในโมเลกลุ มีพันธะ O-H N-H หรือ F-H
ทาใหส้ ารมีจดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดสงู กวา่ สารมีขวั้ ท่วั ไปทีม่ ขี นาดโมเลกุลใกล้เคียงกัน นอกจากนี้พันธะไฮโดรเจน
ในผลกึ น้าแข็งยงั ทาใหโ้ มเลกุลของนา้ จัดเรียงตวั กนั อย่างเปน็ ระเบยี บโดยมีช่องวา่ งระหวา่ งโมเลกลุ มากกว่าชอ่ งว่าง
ระหวา่ งโมเลกุลของน้าที่อยู่ในสถานะเปน็ ของเหลว ทาใหน้ า้ แข็งมีความหนาแน่นนอ้ ยกวา่ น้า นา้ แขง็ จึงลอยน้า ดงั
รูป 2.6
รูป 2.6 ภาพจาลองการจดั เรยี งโมเลกลุ ของน้าในสถานะของแข็งและของเหลว
117
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อา่ น ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั กล่มุ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คุณลักษณะและคา่ นิยม
ใฝเุ รียนร้แู ละเป็นผมู้ ีความมุ่งมน่ั ในการทางาน
6. บูรณาการ
-
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้ันที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรียน เร่อื ง สารโคเวเลนต์
1.2 ครนู าเขา้ สู่บทเรียน โดยตงั้ คาถาม ดังน้ี
1) นา้ และไอนา้ เหมือนและแตกต่างกนั อยา่ งไร (แนวการตอบ มีสูตรเคมเี หมอื นกัน แต่มี
สถานะตา่ งกัน)
ขั้นท่ี 2 ข้นั สารวจและค้นหา
2.1 ครูนานักเรยี นศึกษาเน้อื หาในหนังสอื เรียน หน้า 35-39
2.2 ครใู หน้ กั เรียนทากิจกรรมกล่มุ เพ่ือนาเสนอแบบจาลองการจัดเรียงโมเลกุลของนา้ ในสถานะ
ของเหลวและแก๊ส เชน่ วาดภาพ แสดงบทบาทสมมติ จากนนั้ รว่ มกนั อภิปรายเพ่ือให้ไดข้ อ้ สรุปวา่ นา้ จะ
จัดเรยี งโมเลกลุ ชิดกนั มากกวา่ ไอนา้
2.3 นกั เรยี นสรุปองค์ความรู้ทีไ่ ดจ้ ากการเรียนรใู้ นชน้ั เรียน ในรูปแบบ Mind mapping
2.4 นกั เรยี นทาแบบฝกึ หัด 2.2 ขอ้ ที่ 1-3 ในหนังสือเรยี น หนา้ 39 ลงในสมดุ
ขั้นที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูนานักเรียนอภปิ รายเพอื่ นาไปสูก่ ารสรปุ โดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี
1) สารโคเวเลนต์ท่ีโมเลกุลประกอบดว้ ย 2 อะตอม หากเปน็ ธาตุชนิดเดยี วกนั จดั เปน็ สาร
มขี ั้วหรือไมม่ ีขว้ั (แนวการ เป็นสารไม่มขี ้ัว)
2) หากเป็นธาตตุ ่างชนดิ กันจัดเปน็ สารมีขว้ั หรอื ไมม่ ขี ัว้ (แนวการตอบ เปน็ สารมขี วั้ )
3) น้า (H2O) ไขเ่ นา่ หรอื แก๊สไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) แอมโมเนีย (NH3) เป็นสารมีขว้ั
หรอื ไมม่ ขี ้วั (แนวการตอบ เปน็ สารมขี ัว้ )
4) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มเี ทน CH4) เปน็ สารมีขว้ั หรือไมม่ ีข้วั (แนวการตอบ
เปน็ สารไมม่ ีขว้ั )
118
5) ที่อณุ หภูมหิ อ้ ง นา้ (H2O) มีสถานะเปน็ ของเหลว สว่ นไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) เปน็
แก๊ส แสดงวา่ น้ามจี ุดเดอื ดของน้าเป็นอย่างไรเมอ่ื เทียบกบั ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (แนวการตอบ นา้ มจี ุดเดอื ดสงู
กว่าไฮโดรเจนซัลไฟด์)
6) นา้ (H2O) และไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) สารทงั้ สองชนดิ เปน็ สารมขี ้วั และมี
องค์ประกอบแตกตา่ งกนั เพยี งอะตอมเดียว ปรากฏการณน์ ้ีเปน็ ผลมาจาก (แนวการตอบ พันธะไฮโดรเจน
(hydrogen bond))
3.2 ครูและนกั เรยี นร่วมกันสรุปการศึกษาเนื้อหา เร่ือง การเปลีย่ นสถานะของนา้ และความมขี ั้ว
ดังนี้
1) สารโคเวเลนต์ทโี่ มเลกลุ ประกอบด้วย 2 อะตอม หากเป็นธาตุชนดิ เดยี วกันจัดเป็นสาร
ไมม่ ีข้วั (non-polar substance) เช่น แกส๊ ไฮโดรเจน (H2) แก๊สไนโตรเจน (N2) หากเป็นธาตุต่างชนิดกัน
จัดเป็นสารมีขัว้ (polar substance) เช่น ไนโตรเจนมอนอกไซด์ (NO) ไฮโดรเจนคลอไรด์ (HCl) ส่วนสาร
โคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยอะตอมมากกว่า 2 อะตอมอาจเปน็ สารมีข้วั หรอื ไมม่ ีข้ัวกไ็ ด้ ทง้ั นขี้ นึ้ อยู่กับรปู รา่ ง
โมเลกุลของสารแตล่ ะชนิด เชน่ น้า (H2O) ไขเ่ นา่ หรือแก๊สไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) แอมโมเนีย (NH3) เป็น
สารมีขัว้ สว่ นคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มเี ทน CH4)เปน็ สารไม่มขี ้วั
2) นอกจากสภาพขวั้ ของโมเลกุลที่ส่งผลแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ แล้ว มวลและ
รูปรา่ งของโมเลกลุ ยงั ส่งผลต่อแรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งโมเลกลุ อีกด้วย ถา้ สารมีมวลและรปู ร่างของโมเลกุล
ใกล้เคียงกันจุดเดือดจะข้ึนอยกู่ บั สภาพขวั้ ของโมเลกุล
3) ทอ่ี ุณหภมู หิ ้อง นา้ (H2O) มสี ถานะเปน็ ของเหลว สว่ นไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S) เปน็
แกส๊ แสดงว่านา้ มจี ดุ เดือดสูงกวา่ ไฮโดรเจนซลั ไฟด์ ทง้ั ที่สารทัง้ สองชนดิ เปน็ สารมขี ้วั และมอี งคป์ ระกอบ
แตกต่างกนั เพียงอะตอมเดียวปรากฏการณ์นเี้ ป็นผลมาจาก พนั ธะไฮโดรเจน (hydrogen bond)
4) น้าในสถานะของเหลวโมเลกุลจะอยูช่ ิดกันมากกวา่ ในสถานะแกส๊ แสดงวา่ ในสถานะ
ของเหลว โมเลกลุ มีแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ มากกวา่ ในสถานะแกส๊ ดังนนั้ ความรอ้ นที่ใชใ้ นเปลี่ยน
สถานะของนา้ ให้เป็นไอนา้ จึงเป็นพลังงานทีใ่ ชใ้ นการทาลายแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกุลของนา้ ซ่ึงความ
ร้อนที่โมเลกุลไดร้ ับอาจได้จากการให้ความร้อนโดยตรงหรอื จากส่งิ แวดล้อม
ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพม่ิ เตมิ สารเคมบี างชนิด เชน่ สารประกอบอินทรยี ์ ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น
หนา้ 33
ขน้ั ที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 ครตู รวจ Mind mapping เรือ่ ง การเปล่ียนสถานะของน้าและความมขี ัว้
5.2 ครูตรวจสมุดการทาแบบฝึกหดั 2.2 ขอ้ ท่ี 1-5
ประยุกตแ์ ละตอบแทนสังคม
ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละคนนาความร้ทู ีเ่ รยี นไปค้นควา้ เพมิ่ เตมิ ที่หอ้ งสมดุ หรือเวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ช้นั เรยี น
119
8. ส่ือการเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เลม่ 1
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ นต็
8.3 หอ้ งสมดุ
9. การวัดและประเมนิ ผล
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธีการวัด เคร่อื งมือ เกณฑ์การประเมนิ
1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรยี นสามารถ
ดา้ นความรู้ (K) ทากิจกรรม ทาแบบฝึกหัด 2.2
ได้ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
1) นกั เรยี นระบสุ ภาพข้ัวของสารที่โมเลกุล 1) ตรวจแบบฝกึ หดั 1) แบบประเมินการ
ทากจิ กรรม 1) นกั เรียนสรปุ องค์
ประกอบด้วย 2 อะตอมได้ 2.2 ข้อที่ 1-3 ความรู้ไดร้ ะดับดี
1) แบบประเมนิ การ ผา่ นเกณฑ์
2) นกั เรยี นระบสุ ารท่ีเกิดพนั ธะไฮโดรเจนได้ ทากจิ กรรม
1) นกั เรยี นทาภาระ
จากสูตรโครงสร้างได้ งานที่ไดร้ บั มอบหมาย
ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
3) นกั เรยี นอธิบายความสัมพนั ธ์ระหวา่ งจดุ
เดือดของสารโคเวเลนต์กบั แรงยดึ เหน่ยี ว
ระหวา่ งโมเลกุลตามสภาพขว้ั หรือการเกิด
พนั ธะไฮโดรเจนได้
ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถจดั กระทาและส่อื 1) ตรวจ Mind
ความหมายของข้อมลู ทศ่ี ึกษาค้นควา้ ได้ mapping เรอ่ื ง การ
เปล่ียนสถานะของนา้
และความมขี ั้ว
ดา้ นคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝุเรียนรแู้ ละเปน็ ผมู้ ีความมุ่งมนั่ ในการ 1) ตรวจแบบฝกึ หัด
ทางาน 2.2 ขอ้ ที่ 1-5
2) ตรวจ Mind
mapping เรอื่ ง การ
เปล่ยี นสถานะของน้า
และความมีข้ัว
120
10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรอ่ื ง การเปล่ยี นสถานะของน้าและความมขี ว้ั
ประเดน็ การ คา่ น้าหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 ทาแบบฝึกหดั 2.2 ไดถ้ กู ต้องครบถว้ น จานวน 3 ขอ้
(K) 2 ทาแบบฝกึ หดั 2.2 ได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน จานวน 2 ข้อ
1 ทาแบบฝึกหดั 2.2 ไดถ้ กู ต้องครบถ้วน จานวน 1 ขอ้ หรือไม่ถูกต้อง
ดา้ น 3 สรปุ เน้ือหา เร่อื ง การเปลยี่ นสถานะของนา้ และความมีขว้ั ได้ถูกตอ้ งครบถว้ น
กระบวนการ 2 สรปุ เนือ้ หา เร่ือง การเปลย่ี นสถานะของนา้ และความมีขว้ั ได้ค่อนขา้ งถกู ตอ้ งครบถ้วน
(P) 1 สรุปเน้อื หา เร่อื ง การเปล่ียนสถานะของนา้ และความมีขวั้ ได้ แตไ่ มค่ รบถ้วน
ดา้ น 3 ทาภาระงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทก่ี าหนด และเรยี บร้อยถกู ต้องครบถว้ น
คณุ ลกั ษณะ 2 ทาภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทกี่ าหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางส่วน
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
121
การประเมินการทากิจกรรม เรอ่ื ง การเปลย่ี นสถานะของน้าและความมขี ้วั
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
122
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
123
บันทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เร่ือง น้า ใ
แผนการสอนท่ี 7 เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของน้าและความมีข้ัว .
ใ เดอื น พ.ศ. ใ
วันที่
ผลการจดั การเรยี นรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงช่อื ............................................ครผู ูส้ อน ลงชอ่ื .............................................หวั หน้ากลุ่มสาระ
(นางสาวนลิ นกิ า แก้วปัญญา) (นางนพรตั น์ ครุฑเกิด)
124
acc
acc
เรอ่ื ง สารประกอบไอออนกิ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 8 เวลา 1 ชัว่ โมง
รายวชิ า ว31104 รวม 9 ชว่ั โมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ นา้ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบัตขิ องสสารกับโครงสร้าง
และแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
2. ตวั ช้ีวดั
ว 2.1 ม.5/12 เขยี นสูตรเคมขี องไอออนและสารประกอบไอออนกิ
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธบิ ายการเกิดพนั ธะไอออนิกได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนเขยี นสตู รเคมีของไอออนทพ่ี บในชวี ติ ประจาวนั ได้
3.3 ด้านคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝุเรียนรแู้ ละเปน็ ผู้มีความม่งุ มน่ั ในการทางาน
4. สาระสาคัญ
น้าเปน็ สารเคมี ชนิดหน่งึ ท่เี ปน็ องคป์ ระ กอบพน้ื ฐานใน ร่ากายของส่งิ มชี วี ิตและสง่ิ แวดล้อม โมเลกุลของน้า
เกิดจากอะตอมของธาตุไฮโดรเจน 2 อะตอม ยดึ เหน่ียวกับธาตอุ อกซิเจน 1 อะตอมดว้ ย พันธะเคมีท่ีเรียกว่า พันธะ
โคเวเลนต์ น้าจัดเป็นสารโคเวเลนต์ และยังมสี ารอ่ืนอกี หลายชนดิ ที่เป็นสารโคเวเ ลนต์ สถานะและจดุ เดอื ดของสาร
โคเวเลนต์ขึน้ อยู่กบั แรงยึดเหนีย่ วระหว่ างโมเลกลุ ซ่งึ มคี วามสัมพนั ธก์ บั สภาพขวั้ ของสารและพันธะไฮโดรเจน
ในแหลง่ นา้ ธรรมชาตินอกจากมนี ้าเปน็ องคป์ ระกอบหลกั แล้ว ยงั มีสารอนื่ ละลายอยูด่ ว้ ย สารทีล่ ะลายน้าไดม้ ีทง้ั สาร
โคเวเลนต์และสารประกอบไอออนิก สารประกอบไอออนิกเกิดจากการยดึ เหนยี่ วระหวา่ งไอออนบวกกบั ไอออนลบ
ด้วยพนั ธะไอออนกิ ในอตั ราส่วนอย่างตา่ ท่ีทาใหป้ ระจรุ วมของสารประกอบเป็นศูนย์ การละลายของสารในนา้ มี 2
แบบ คอื การละลายแบบแตกตวั และไม่แตกตัว ซ่ึงทาให้ไดส้ ารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ ตามลาดบั
125
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
สารในแหลง่ นา้ ธรรมชาติ
น้าในแหลง่ นา้ ธรรมชาตเิ ป็นนา้ ทีไ่ ม่บริสุทธ์ิ มีสารอ่ืนเจอื ปนซ่ึงอาจเปน็ สารโคเวเลนต์ เช่น แกส๊
ออกซิเจน (O2) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และสารที่อยู่ในรูปของไอออน เชน่ โซเดียมไอออน (Na+)
คลอไรดไ์ อออน (Cl-) ไอออนทงั้ สองชนิดนี้มีปริมาณมากในน้าทะเล และเมือ่ ระเหยนา้ ออกจะได้เกลอื แกง
หรือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ซงึ่ เป็น สารประกอบไอออนกิ (ionic compound)
รปู 2.8 การจดั เรียงไอออนของเกลือแกงในสถานะของแข็งและในรปู ของสารละลาย
สารประกอบไอออนกิ ประกอบดว้ ยไอออนบวกท่ียดึ เหน่ยี วกบั ไอออนลบดว้ ยพนั ธะเคมีทเ่ี รยี กวา่
พันธะไอออนกิ (ionic bond) ดว้ ยไอออนบวกและไอออนลบจัดเรยี งตัวสลับตอ่ เนอ่ื งกันไปใน 3 มติ ิ
เกดิ เปน็ ผลึกของแข็ง ดงั รูป 2.9 ในอัตราสว่ นของไอออนท่ที าให้สารประกอบไอออนกิ เป็นกลางทางไฟฟาู
รูป 2.9 การจัดเรยี งไอออนบวกและไอออนลบของเกลือแกงใน 3 มิติ
เน่ืองจากสารประกอบไอออนิกเกดิ จากการจดั เรยี งตัวของไอออนท่เี ป็นองคป์ ระกอบตอ่ เนื่องกนั ไป
ในสามมติ ิ โดยไม่สามารถหาขอบเขตได้แนน่ อนจึงไมจ่ ดั เปน็ โมเลกุล และไม่สามารถเขียนสตู รโมเลกุลได้
ดังนัน้ สูตรเคมีของสารประกอบไอออนกิ จึงเขียนแสดงอัตราสว่ นอย่างตา่ ของไอออน ซ่งึ เรียกวา่
สูตรเอมพิรคิ ัล (empirical formule)
การเขียนสตู รเอมพริ คิ ัลทาไดโ้ ดยเขยี นสญั ลักษณ์ธาตุที่เปน็ ไอออนบวกไวข้ ้างหน้าและตามดว้ ย
สัญลักษณ์ธาตทุ เ่ี ปน็ ไอออนลบ และเขยี นตวั เลขหอ้ ยทา้ ยสัญลกั ษณ์ธาตแุ ต่ละชนิดเพ่อื แสดงอัตราส่วนอยา่ ง
ต่าของจานวนไอออนในการรวมตัว โดยไม่ต้องเขียนแสดงเลข 1 เช่น โซเดยี มคลอไรด์ (NaCl) เปน็ สูตรเคมี
ของเกลอื แกงแสดงว่า Na+ รวมตัวกบั (Cl-) ด้วยอตั ราสว่ นอย่างต่า 1:1
สารประกอบไอออนิกเมือ่ ละลายนา้ จะอยใู่ นรูปของไอออน ซึ่งไอออนท่ีละลายอย่ใู นน้าอาจเปน็
ไอออนทเ่ี กดิ จากอะตอมของธาตุชนิดเดยี วหรือเกิดจากกลมุ่ อะตอม เชน่ สารประกอบแมกนเี ซยี มซัลเฟต
126
(MgSO4) เมื่อละลายน้าจะอยู่ในรูปของแมกนเี ซยี มไอออน (Mg2+) กบั ซลั เฟตไอออน (SO42-) ตวั อย่าง
ไอออนที่พบในชีวติ ประจาวนั แสดงดงั ตาราง 2.3
ตาราง 2.3 ตวั อยา่ งไอออนที่พบในชีวติ ประจาวัน
ไอออนบวก ชอื่ ไอออนลบ ชอื่
Li+ ลิเทยี มไอออน คลอไรดไ์ อออน
โซเดียมไอออน Cl- ออกไซด์ไอออน
Na+ โพแทสเซยี มไอออน ไฮดรอกไซดไ์ อออน
K+ แมกนีเซยี มไอออน O2- ไนเทรตไอออน
Mg2+ แคลเซียมไอออน คารบ์ อเนตไอออน
Ca2+ อะลูมิเนยี มไอออน OH- ซัลเฟสไอออน
Al3+ แอมโมเนยี มไอออน ฟอสเฟตไอออน
NH4+ NO3-
CO32-
SO42-
PO43-
เนื่องจากสารประกอบไอออนกิ เป็นกลางทางไฟฟาู ดังน้นั สูตรเอมพิรคิ ัลตอ้ งประกอบดว้ ยจานวน
ไอออนบวกและไอออนลบที่รวมตัวกนั ด้วยอัตราส่วนอยา่ งตา่ ท่ีทาใหผ้ ลรวมของประจุเป็นศนู ย์ ดังตัวอยา่ ง
ในตาราง 2.4
ตาราง 2.4 ตัวอยา่ งการรวมตัวของไอออนในสารประกอบไอออนกิ
ไอออน ไอออน อัตราส่วนการรวมตวั ผลรวมประจุ สตู รเอมพิริคัล
บวก ลบ (ไอออนบวก:ไอออนลบ)
1:1 (+2) + (-1) = +1
ไม่เปน็ กลางทางไฟฟาู
Mg2+ Cl-
(+2) + 2(-1) = 0
1:2 เป็นกลางทางไฟฟูา MgCl2
1:1 (+1) + (-2) = -1
ไม่เป็นกลางทางไฟฟูา
Na+ SO42-
2(+1) + (-2) = 0
2:1 เปน็ กลางทางไฟฟาู Na2SO2
1:1 (+3) + (-1) = +2
ไมเ่ ป็นกลางทางไฟฟูา
Al3+ NO3- 1:2 (+3) + 2(-1) = +1
ไมเ่ ปน็ กลางทางไฟฟาู
1:3 (+3) + 3(-1) = 0 Al(NO3)3
เปน็ กลางทางไฟฟาู
127
นอกจากนี้การเขยี นสตู รเอมพิริคลั ของสารประกอบไอออนกิ ยงั อาจทาไดโ้ ดยการไขวต้ วั เลขประจุ
ของไอออน แลว้ ทาตัวเลขใหเ้ ปน็ อัตราสว่ นอย่างต่า ดังตัวอย่าง
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั กลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผา่ นคอมพวิ เตอร์)
5.3 คณุ ลักษณะและคา่ นยิ ม
ใฝเุ รยี นรู้และเปน็ ผู้มีความมงุ่ มนั่ ในการทางาน
6. บรู ณาการ
-
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั ท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครทู บทวนบทเรยี น เรอ่ื ง การเปลย่ี นสถานะของนา้ และความมขี ั้ว
1.2 โดยใหน้ กั เรียนอภิปรายเปรยี บเทียบความเหมอื นและความแตกต่างของน้ากลั่นกบั น้าในแหล่ง
น้าธรรมชาติ เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ สรปุ ว่า นา้ กลัน่ เป็นสารบรสิ ุทธิ์ สว่ นนา้ ในแหล่งนา้ ธรรมชาตเิ ป็นสารผสมที่มสี าร
อ่ืนละลายอยู่
1.3 ครใู หน้ กั เรยี นยกตวั อย่างสารท่ลี ะลายอยใู่ นแหล่งน้าธรรมชาติ เพื่อให้ได้ตัวอยา่ งของสาร
โคเวเลนต์ เช่น O2 CO2 และสารประกอบไอออนกิ เชน่ NaCl แล้วใชค้ าถามว่า สารทยี่ กตวั อย่างมสี าร
ใดบ้างเป็นสารโคเวเลนต์ ทราบเอย่างไร เพอ่ื ชี้ให้เห็นวา่ สารทีล่ ะลายอยใู่ นน้าบางชนดิ เชน่ NaCl ไม่ใช่สาร
โคเวเลนต์ เนอื่ งจาก Na ไม่ใชธ่ าตอุ โลหะ
ขนั้ ที่ 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา
2.1 ครูให้ความรวู้ ่า NaCl ไม่ใชส่ ารโคเวเลนต์แตเ่ ปน็ สารประกอบไอออนกิ ทป่ี ระกอบด้วยไอออน
ของโซเดียม หรอื โซเดียมไอออน (Na+) และไอออนของคลอรนี หรือคลอไรดไ์ อออน (Cl-)
2.2 ครูให้ความร้วู า่ ไอออนบวกและไอออนลบในสารประกอบไอออนิกยดึ เหนย่ี วกนั ดว้ ยพันธะเคมี
ทเ่ี รียกว่า พันธะไอออนิก
128
2.3 ครทู บทวนความรเู้ รื่องไอออนบวก ไอออนลบ และให้ความรู้เกย่ี วกบั การดงึ ดดู กันระหวา่ ง
ไอออนทมี่ ีประจุต่างกนั และการผลักกันระหวา่ งไอออนที่มปี ระจุเหมือนกัน แลว้ ใชค้ าถามว่า หากของแขง็
เกดิ จากการรวมตัวของไอออนใหช้ ดิ ตดิ กันมากทสี่ ุด สารประกอบไอออนิกจะมกี ารจดั เรียงไอออน อย่างไร
เพอ่ื นาเข้าสู่กิจกรรม
2.3 ครูให้นกั เรยี นทากจิ กรรมเพือ่ ศึกษาการจัดเรยี งตัวของไอออนในสารประกอบไอออนิก โดยมี
เงอื่ นไขดงั น้ี
1) ครูแบ่งนักเรียนทง้ั ห้องออกเปน็ กลุ่ม 2 กลมุ่ เพือ่ ให้เปน็ ตัวแทนของไอออนบวกและ
ไอออนลบ เช่น แบ่งกล่มุ นักเรยี นชายและนักเรยี นหญงิ ทาปาู ยสัญลกั ษณท์ ี่มองเห็นไดช้ ัดของทัง้ สองกลมุ่
2) ใหน้ กั เรียนทง้ั หมดยืนเปน็ รปู สเ่ี หลยี่ ม (นักเรยี นควรยืนซ้อนกนั อยา่ งนอ้ ย 3 แถว โดย
นกั เรียนที่อยตู่ ่างกลุ่มกันใหย้ ืนชิดกนั แตน่ กั เรยี นที่อยูใ่ นกลุ่มเดยี วกันหา้ มยนื ชิดกัน
3) ให้นกั เรยี นท่ยี ืนอย่หู ัวแถวด้านใดดา้ นหนึ่งออกมาวาดรปู จาลองการจัดเรยี งไอออนบน
กระดาน
2.4 ครูนานกั เรียนศึกษาเน้อื หาเกี่ยวกบั สารประกอบไอออนิกเกดิ จากการจัดเรยี งตัวของไอออน
ตามรายละเอียดในหนงั สอื เรียน 40-41
2.5 นกั เรยี นทาใบงาน เรอื่ ง ไอออนทพี่ บในชวี ติ ประจาวัน
ขน้ั ท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 จากการทากจิ กรรมการจัดเรียงของไอออนในสารประกอบไอออนิก ครูและนกั เรียน ร่วมกนั
อภปิ รายรูปจาลองการจดั เรยี งไอออนจากกิจกรรม เพอื่ ให้ไดข้ อ้ สรุปวา่
สารประกอบไอออนกิ เกิดจากการจดั เรยี งตวั ของไอออนบวกและไอออนลบสลับ
ต่อเน่อื งกนั ไป โดยในกิจกรรมน้ีเป็นการจัดเรยี งใน 2 มติ ิ
3.2 จากน้ันให้พจิ ารณารปู 2.9 ซึง่ แสดงการจดั เรียงไอออนใน 3 มิติ แล้วใหน้ ักเรียนชี้ตาแหนง่ ของ
พนั ธะไอออนกิ ซ่งึ ควรชไ้ี ด้ทุกตาแหนง่ ท่อี ยูร่ ะหว่างไอออนบวกและไอออนลบ
3.3 ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรุปสารประกอบไอออนิกและไอออนทพ่ี บในชวี ิตประจาวนั
ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพม่ิ เติมเก่ยี วกบั ศพั ท์น่ารู้ ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น หน้า 41
ขั้นท่ี 5 ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 ครูถามคาถามเก่ียวกบั การเกดิ พนั ธะไอออนิก จานวน 3 ข้อ ให้นกั เรียนทาส่งในสมุด
1) จงอธิบายความหมายการเกิดพันธะไอออนกิ (แนวการตอบ สารประกอบไอออนิก
ประกอบด้วยไอออนบวกทีย่ ดึ เหนยี่ วกบั ไอออนลบด้วยพันธะเคม)ี
2) ภาษาองั กฤษคาวา่ พนั ธะไอออนิก (แนวการตอบ ionic bond)
3) พนั ธะไอออนิก ไอออนบวกและไอออนลบจัดเรียงตัวอยา่ งไร (แนวการตอบ ไอออน
บวกและไอออนลบจดั เรียงตัวสลับตอ่ เน่ืองกนั ไปใน 3 มิต)ิ
5.2 ครตู รวจใบงาน เร่อื ง ไอออนท่พี บในชวี ติ ประจาวัน