8. รหัส คือ ชนดิ ของพลาสติกที่นามารีไซเคลิ ใด 279
ตอบ พอลิเอทลิ นี เทเรฟทาเลต (polyethylene terephthalate, PET หรือ PETE)
อ
9. รหสั ผลิตภัณฑ์ทีไ่ ดจ้ ากกระบวนการรีไซเคิล คือ อ
ตอบ เฟอร์นเิ จอร์ ภาชนะบรรจุภัณฑ์ อ
10. รหัส คอื ชนดิ ของพลาสตกิ ท่นี ามารไี ซเคิลใด
ตอบ พอลสิ ไตรีน (polystyrene, PS)
280
ชอ่ื ช้ัน เลขท่ี ‘
เฉลยใบกิจกรรม 3.4 ปญั หาและแนวทางการแกไ้ ขปญั หาที่เกิดจากขยะพลาสตกิ
คาสั่ง สืบค้นขอ้ มลู หรอื สารวจปัญหาจากการใช้พลาสติกท่ีเกิดขน้ึ ในชมุ ชน หรอื สงั คม อภปิ รายแนวทางการแกไ้ ข
ปญั หาทเ่ี หมาะสม และระบวุ า่ แนวทางการแก้ปญั หานน้ั สดคล้องกบั การลดการใช้ การใชซ้ ้า และการนา
กลบั มาใช้ใหม่หรือไม่ อยา่ งไร แลว้ นาเสนอหนา้ ช้นั เรยี น
ผลการสืบค้นหรือสารวจขอ้ มลู
ตวั อยา่ ง 1
ปัญหาจากการกาจัดขยะพลาสติกโดยการเผาทาใหเ้ กดิ มลพษิ ทางอากาศในแหลง่ ชมุ ชน ซ่งึ แนวทางการ
แกป้ ญั หาทาไดโ้ ดยลดปริมาณการใช้เพอื่ ให้มีขยะพลาสตกิ ทต่ี อ้ งกาจัดโดยการเผานอ้ ยลง รวม ทั้งคัดแยกขยะ
ที่ทาจากพอลิเมอร์เทอรม์ อพลาสตกิ เพ่อื สง่ ให้โรงงาน สาหรับแปรรูปเป็นผลติ ภณั ฑ์อ่นื ๆ เช่น ถงุ ขยะ ตอ่ ไป
ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคลอ้ งกบั วิธลี ดการใช้ และการนากลับมาใช้ใหม่ ด
ผลการสบื คน้ หรือสารวจข้อมูล
ตัวอย่าง 2
ปญั หานา้ ทว่ มเน่อื งจากมีขยะขวดพลาสติกจานวนมากอุดตันท่อระบายน้า ซึง่ การแกป้ ญั หาสามารถทา ไดโ้ ดย
รณรงค์ใหท้ ง้ิ ขยะลงถงั ขยะ ไมท่ ิ้งขยะลงในสง่ิ แวดล้อม รวมทั้งรณรงค์ ให้ลดปรมิ าณการใชข้ วดพลาสติก หรือ
นาขวดพลาสตกิ ทใ่ี ชแ้ ลว้ มาทาสงิ่ ประดิษฐ์อนื่ ๆ เชน่ ทาเป็นกระถางต้นไม้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสอดคลอ้ งกบั
วธิ ีลดการใช้ และการใชซ้ ้า ด
วธิ ีลดการใช้ และการใชซ้ า้ ด
วิธีลดการใช้ และการใชซ้ า้ ด
281
เรอื่ ง สมการเคมี แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 22 เวลา 1 ช่ัวโมง
รายวิชา ว31104 รวม 13 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 4 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ พลังงาน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสารกับโครงสรา้ ง
และแรงยึดเหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
2. ตวั ช้ีวัด
ว 2.1 ม.5/20 ระบสุ ตู รเคมขี องสารตงั้ ตน้ ผลติ ภัณฑ์ และแปลความหมายของสัญลกั ษณ์ในสมการเคมีของ
ปฏกิ ริ ิยาเคมี
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นักเรียนระบสุ ูตรเคมีของสารตัง้ ต้น ผลิตภัณฑ์ และแปลความหมายของสัญลกั ษณ์ในสมการเคมีได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนเขยี นสมการเคมที ี่กาหนดให้ได้
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝเุ รยี นรูแ้ ละเป็นผมู้ คี วามมงุ่ มนั่ ในการทางาน
4. สาระสาคญั
พลงั งานทนี่ ามาใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั ไดม้ าจากปฏกิ ริ ยิ าเคมี และปฏกิ ิริยานวิ เคลียร์ โดยปฏิกริ ิยา
เคมที ่ใี ห้พลงั งานอาจไดม้ าจากปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ ปฏิกิริยาเคมีไฟฟาู ซ่ึงปฏกิ ริ ยิ าท่ีเกิดขนึ้ เขียนแสดงไดด้ ้วย
สมการเคมี โดยแสดงชนิดและจานวนของสาร ตงั้ ต้นท่ีทา ปฏิกริ ิยากนั และผลิตภณั ฑ์ ทเี่ กดิ ขนึ้ รวมท้ังภาวะในการ
เกิดปฏิกริ ยิ า การพิจารณา วา่ ปฏิกิรยิ าเคมีเกดิ เร็วหรือชา้ พจิ ารณาไดจ้ าก อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเค มี ซงึ่ ข้นึ อยกู่ บั
หลายปจั จยั เชน่ ความเข้มข้น อุณหภูมิ พื้นทผี่ วิ ของสารตง้ั ต้น ตวั เรง่ ปฏิกิริยา ความ รู้เกี่ยวกบั ปัจจัยท่ีมีผลตอ่ อัตรา
การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวัน และในอตุ สาหกรรม ปฏกิ ิริยารดี อกซเ์ ปน็ ปฏกิ ริ ิยา
เคมีทเี่ กิดจากการถา่ ยโอนอิเลก็ ตรอน ของสาร โดยปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซม์ ที ั้งทใี่ ห้กระแสไฟฟาู และไม่ให้กระแสไฟฟูา
สาหรับปฏิกริ ิยานวิ เคลยี ร์ จะใชส้ ารกมั มันตรังสีเป็นแหล่งของพลังงาน เนอ่ื งจากสารกัมมันตรงั สมี ีนิวเคลียสไม่
เสถียร เกดิ การสลายและแผ่รงั สีอย่างต่อเนอ่ื ง สารกัมมันตรงั สแี ตล่ ะชนดิ มคี า่ ครึง่ ชวี ติ แตกตา่ งกัน และรงั สีทแ่ี ผอ่ อก
282
มาแตกตา่ งกันจึงนามาใชป้ ระโยชน์ได้ต่างกัน การนาสารกัมมนั ตรังสีแต่ละชนดิ มาใชต้ ้องมกี ารจดั การอยา่ งเหมาะสม
และตอ้ งคานงึ ถึงผลกระทบต่อสง่ิ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อม
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
พลงั งานที่นามาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั อาจได้จากปฏกิ ิริยาเคมี ซ่ึงเป็นการเปล่ียนแปลงท่ี
เกดิ จากการจดั เรยี งตวั ใหม่ของอะตอมของธาตุ โดยมกี ารเปลี่ยนแปลงชนิดของธาตุ นอกจากน้ีพลงั งานยงั
อาจไดจ้ ากปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ ซึ่งเปน็ การเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของธาตุ ท่นี าไปสูก่ ารเปลี่ยนแปลง
ชนดิ ของธาตหุ รอื ไอโซโทป จงึ ไม่จดั เปน็ ปฏิกริ ิยาเคมี
ปฏิกิริยาการเผาไหม้หรอื ปฏกิ ริ ิยาสันดาปเปน็ ปฏกิ ริ ิยาเคมที ีพ่ บไดบ้ อ่ ยในชวี ติ ประจาวนั ซ่ึงให้
พลังงานทสี่ ามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกตา่ งกัน เช่น พลงั งานความรอ้ นใช้ในการหงุ ตม้ อาหารใน
ครัวเรือน และอุตสาหกรรม พลงั งานแสงให้ความสวา่ ง นอกจากน้ี ปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้อาหารทีเ่ กิดขน้ึ ใน
รา่ งกาย ยงั ใหพ้ ลงั งานในการดารงชีวิตและการเคลือ่ นไหว ปฏิกิรยิ าเคมีที่ให้พลังงาน อีกประเภทหนึง่ คอื
ปฏิกริ ยิ าเคมไี ฟฟูา ซ่ึงในปัจจบุ นั มกี ารนามาใช้ประโยชน์ในอุปกรณอ์ เิ ล็กทรอนิกส์อยา่ งแพร่หลาย ดงั รปู
รูป 4.1 ตัวอย่างพลงั งานท่ีได้จากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมที ี่นามาใช้ประโยชน์
ในชวี ิตประจาวนั
เช้ือเพลงิ เปน็ สารตงั้ ต้นท่ใี ชใ้ นการปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้ เชอื้ เพลงิ ท่ีมีการใชม้ ากท่ีสุดในปัจจบุ นั คือ
เชอ้ื เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ เชน่ แก๊สธรรมชาติ น้ามัน ถ่านหิน หนิ น้ามัน ส่วนใหญเ่ ป็นสารประกอบ
ไฮโดรคาร์บอน พลังงานความรอ้ นท่ีไดจ้ ากปฏิกิริยาการเผาไหม้เชอื้ เพลิงสามารถนาไปใชใ้ นการหงุ ตม้ ซง่ึ ใน
ปัจจุบันประเทศไทยผลิตกระแสไฟฟูาโดยใช้แกส๊ ธรรมชาติเป็นแหล่งพลงั งานหลกั
รปู 4.2 ตัวอยา่ งการใชพ้ ลังงานความรอ้ นทไ่ี ด้จากปฏิกิรยิ าการเผาไหม้
283
การเผาไหม้เชอื้ เพลงิ เปน็ ปฏกิ ิรยิ าเคมีชนิดหนงึ่ เขยี นแสดงได้ดว้ ย สมการเคมี ( chemical
equation) โดยเขยี นสตู รเคมขี องสารตั้งตน้ ทางด้านซา้ ย ตามดว้ ยลูกศรเพ่ือแสดงทศิ ทางการเปล่ียนแปลง
และสตู รเคมขี องผลิตภัณฑอ์ ยทู่ างด้านขวา ท้ังนี้จานวนอะตอมรวมของแตล่ ะธาตุทางดา้ นซา้ ยและด้านขวา
ของสมการเคมีตอ้ งเท่ากัน ดงั ตัวอย่างสมการเคมขี องปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ โพรเพน (C3H8) ซง่ึ เป็นเช้อื เพลิง
ชนิดหน่ึงในแก๊สหุงต้ม ตอ่ ไปน้ี
C3H8 + 5O2 3CO2 + 4H2O
จานวนอะตอม C 3 3
จานวนอะตอม H 8 8
จานวนอะตอม O 10 64
จากสมการเคมขี องปฏิกริ ิยาการเผาไหม้โพรเพนทมี่ ีแก๊สโพรเพนและแกส๊ ออกซเิ จนเปน็ สารตง้ั ตน้
จะเหน็ ว่า แก๊สโพรเพน 1 โมเลกลุ ทาปฏกิ ิริยาพอดกี ับแกส๊ ออกซิเจน (O2) 4 โมเลกลุ ได้ผลติ ภัณฑ์เป็นแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) 3 โมเลกุล และไอนา้ (H2O) 4 โมเลกุล โดยแต่ละดา้ นของสมการเคมมี ีคารบ์ อน
(C) 3 อะตอม ไฮโดรเจน (H) 8 อะตอม และออกซิเจน (O) 10 อะตอม เทา่ กัน
นอกจากจานวนสารตั้งตน้ และผลติ ภณั ฑท์ ่แี สดงในสมการเคมีแลว้ ยังอาจมสี ัญลักษณ์อ่ืน ๆ ใน
สมการเคมที ่ใี ช้แสดงภาวะและปัจจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งในการเกิดปฏิกิริยาเคมดี ้วย เชน่ สถานะของสาร การดูด
พลงั งานหรือคายพลงั งาน ตวั อยา่ งการแสดงสัญลกั ษณ์ตา่ ง ๆ ในการในปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ โพรเพน
เปน็ ดงั น้ี
การแสดงสถานะของสาร
การแสดงสถานะของสาร จะแสดงอยู่ในวงเลบ็ ต่อท้ายสตู รเคมี และเนื่องจากสารต้ังต้นและ
ผลิตภัณฑข์ องปฏกิ ริ ิยานอี้ ยูใ่ นสถานะแก๊สท้งั หมด จงึ เขียนสมการเคมีได้ดงั น้ี
C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g)
สญั ลักษณ์ท่แี สดงสถานะอน่ื ๆ ของสาร แสดงดงั ตาราง 4.1
ตาราง 4.1 สัญลักษณแ์ สดงสถานะของสารและความหมาย
การแสดงการดดู พลงั งานหรอื คายพลังงานของปฏกิ ิริยา
ปฏิกิริยาการเผาไหม้โพรเพน เปน็ ปฏกิ ิริยาคายพลังงานออกมา 2220 กิโลจลู ต่อโมล โพรเพนจึง
เขยี นตวั เลขแสดงปริมาณพลงั งานท่ีคายออกมาไว้ด้านขวาของสมการเคมี ดงั นี้
C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g) + 2220 kJ/mol
284
ในกรณีท่ีไม่แสดงตวั เลขพลังงาน อาจแสดงการคายพลังงานโดยใช้ข้อความ “พลังงาน” หรือ
“energy” แทน ดังน้ี
C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g) + พลังงาน
สาหรับปฏิกริ ิยาที่มกี ารดดู พลังงานจะเขยี นตัวเลขแสดงปริมาณพลงั งานทีใ่ ช้ในปฏิกิรยิ าเคมี หรอื
ข้อความ “พลงั งาน” หรือ “energy” ไว้ด้านซ้ายของสมการเคมี ดงั ตวั อยา่ ง
N2 (g) + O2 (g) + 180.5 kJ/mol 2NO (g)
ปฏิกริ ิยาทีม่ ีการดูดหรอื คายพลงั งานในรปู ของพลงั งานความร้อน จะเรยี กวา่ ปฏิกิรยิ าดดู ความ
ร้อนหรือปฏิกริ ยิ าคายความร้อน ตามลาดับ
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อา่ น ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกล่มุ สรปุ )
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสบื ค้นผา่ นคอมพิวเตอร์)
5.3 คณุ ลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝุเรียนรูแ้ ละเปน็ ผมู้ คี วามมุ่งมนั่ ในการทางาน
6. บูรณาการ
-
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขน้ั ท่ี 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 ครูใหน้ กั เรยี นทาตรวจสอบความรู้กอ่ นเรียนในหนงั สือเรยี น หน้า 96
1.2 ครทู วนคาถามตรวจสอบความรู้ก่อนเรยี นให้นกั เรยี นตอบร่วมกัน พร้อมเฉลย
1.3 ครนู าเขา้ สบู่ ทเรยี นโดยต้งั คาถาม เพือ่ นาเข้าสู่กจิ กรรม
1) พลังงานทีใ่ ชใ้ นชีวิตประจาวนั มีแบบใดบา้ ง
2) พลังงานเหลา่ นั้นไดจ้ ากแหล่งใด
3) สารเคมีให้พลงั งานในปฏิกิรยิ าการเผาไหม้มอี ะไรบ้าง
4) นกั เรยี นสมการเคมีเก่ยี วกบั ปฏิกิรยิ าการเผาไหมเ้ ชือ้ เพลงิ ต่าง ๆ ได้หรือไม่
ข้ันท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้ความรูว้ า่ แก๊สธรรมชาติ น้ามัน ถา่ นหิน เป็นเชือ้ เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ ซง่ึ สว่ นใหญ่เป็น
สารประกอบไฮโดรคาร์บอน และปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ของเชือ้ เพลงิ เหล่านีส้ ามารถนามาใชเ้ ปน็ แหลง่
พลงั งานท่ีเป็นประโยชน์ในการหงุ ต้มอาหาร การขับเคล่อื นยานพาหนะ การผลิตกระแสไฟฟาู โดย อาจใชร้ ูป
4.2 ประกอบการอธบิ าย
285
2.2 ครูใหค้ วามร้วู ่าปฏกิ ิริยาการเผาไหมเ้ ช้อื เพลิงตา่ ง ๆ สามารถเขียนแสดงได้ด้วยสมการเคมี
จากนัน้ ครูเขียนสมการเคมีของปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ระหว่างแก๊สโพรเพนกับแกส๊ ออกซเิ จน แลว้ รว่ มกัน
อภิปรายเพื่อใหไ้ ดข้ ้อสรปุ วา่ สมการเคมีใชแ้ สดงปฏกิ ิริยาเคมีท่ีเกิดขึ้น โดยจะเขยี นสูตรเคมขี อง สารตง้ั ต้น
ทางดา้ นซ้ายของลูกศร และสูตรเคมขี องผลิตภัณฑท์ างด้านขวา โดยจานวนอะตอมรวมของแต่ละธาตุ
ทางด้านซา้ ยและขวาเทา่ กนั
2.3 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับสัญลกั ษณ์ท่ใี ชใ้ นการเขยี นสมการเคมีทแ่ี สดงภาวะและปจั จัยอน่ื ๆ ที่
เกีย่ วข้องในการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
2.4 ครใู ห้นกั เรียนทาแบบฝึกหัด 4.1 ในหนงั สือเรยี น หนา้ 102 ลงในสมุด
2.5 ครใู หน้ กั เรียนทาแบบฝกึ หัด เรื่อง สมการเคมที เ่ี กี่ยวขอ้ งปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ (โดยศึกษา
เนือ้ หาเพ่ิมเติมในหนังสือเรยี น)
ขนั้ ที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ สมการเคมที ี่เกย่ี วขอ้ งกบั ปฏิกริ ยิ าเคมี ก่ีเขยี นสมการเคมี จานวน
อะตอม การแสดงสถานะของสาร
ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพมิ่ เตมิ เก่ยี วกับสญั ลักษณค์ วามร้อนในสมการเคมี ตามรายละเอยี ดในหนังสือเรยี น
หน้า 101
4.2 ครใู หค้ วามรู้เพ่ิมเตมิ เกีย่ วกบั เชือ้ เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ ตามรายละเอียดในหนังสอื เรยี น หน้า
103 -105
ขัน้ ท่ี 5 ขัน้ ประเมินผล
5.1 ครูตรวจสมดุ การทาแบบฝกึ หดั 4.1
5.2 ครูตรวจสมุดการทาแบบฝกึ หดั เร่อื ง สมการเคมที ี่เก่ียวข้องปฏิกิริยาการเผาไหม้
ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะคนนาความร้ทู ่เี รยี นไปค้นควา้ เพ่มิ เติมท่หี อ้ งสมุด หรือเวบ็ ไซต์ แล้วนาเสนอใน
ชน้ั เรยี น
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 หนังสือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 1
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 แบบฝกึ หดั เรอ่ื ง สมการเคมที ่เี ก่ียวขอ้ งปฏิกิริยาการเผาไหม้
8.3 อนิ เทอรเ์ นต็
8.4 ห้องสมุด
286
9. การวัดและประเมนิ ผล วิธกี ารวดั เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) ตรวจแบบฝกึ หัด 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K) 4.1
1) นักเรยี นระบสุ ตู รเคมีของสารตงั้ ตน้ ทากจิ กรรม ทาแบบฝึกหัด 4.1
ผลิตภัณฑ์ และแปลความหมายของ 1) ตรวจแบบฝึกหดั
สัญลกั ษณ์ในสมการเคมีได้ เรื่อง สมการเคมี 2) แบบฝึกหัด 4.1 ไดร้ ะดับดี ผ่านเกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นเขียนสมการเคมที กี่ าหนดให้ได้ 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นสามารถ
ทากจิ กรรม ทาแบบฝึกหัด เร่ือง
2) แบบฝึกหดั เร่ือง สมการเคมี ได้ระดับ
สมการเคมี ดี ผ่านเกณฑ์
ด้านคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจแบบฝกึ หดั 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนทาภาระ
1) ใฝเุ รยี นรแู้ ละเป็นผมู้ คี วามมุ่งมน่ั ในการ 4.1 ทากจิ กรรม งานทไี่ ดร้ ับมอบหมาย
ทางาน 2) ตรวจแบบฝึกหัด 2) แบบฝกึ หดั 4.1 ได้ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
เร่ือง สมการเคมี 3) แบบฝึกหัด เรอื่ ง
สมการเคมี
10. เกณฑ์การประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่อื ง สมการเคมี
ประเด็นการ คา่ นา้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 ทาแบบฝึกหดั 4.1 ไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน จานวน 3 ข้อ
(K) 2 ทาแบบฝึกหัด 4.1 ได้ถกู ต้องครบถ้วน จานวน 2 ข้อ
1 ทาแบบฝกึ หดั 4.1 ได้ถูกต้องครบถ้วน จานวน 1 ขอ้ หรือไม่มีข้อใดถกู ต้อง
ดา้ น 3 ทาแบบฝกึ หัด เร่อื ง สมการเคมีไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น จานวน 3 ข้อ
กระบวนการ 2 ทาแบบฝกึ หัด เรอ่ื ง สมการเคมีไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วน จานวน 2 ข้อ
(P) 1 ทาแบบฝึกหัด เร่อื ง สมการเคมีได้ถูกต้องครบถ้วน จานวน 1 ข้อ หรอื ไม่มขี ้อใดถกู ตอ้ ง
ดา้ น 3 ทาภาระงานทไี่ ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่กี าหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถ้วน
คณุ ลกั ษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาทกี่ าหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ทาภาระงานท่ีได้รบั มอบหมายเสรจ็ แตล่ ่าชา้ และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน
ระดบั คะแนน
คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
287
การประเมนิ การทากจิ กรรม เรือ่ ง สมการเคมี
จุดประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ชื่อ - นามสกุล ด้านความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
288
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
289
บันทกึ หลงั การสอน
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 เรอ่ื ง พลังงาน พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 22 เร่อื ง สมการเคมี .
ใ เดือน ใ
วันที่
ผลการจัดการเรยี นรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชือ่ ............................................ครูผ้สู อน ลงชอ่ื .............................................หวั หนา้ กลุ่มสาระ
(นางสาวนิลนิกา แกว้ ปัญญา) (นางนพรัตน์ ครฑุ เกิด)
ชือ่ ช้ัน เลขท่ี 290
‘
แบบฝึกหดั เร่ือง สมการเคมี
คาสัง่ ใหน้ กั เรียนศึกษาเนื้อหาหน้า 99 -101 ในหนงั สือเรียน และสบื ค้นผ่านอนิ เทอร์เนต็ แล้วเตมิ คาตอบลงใน
ชอ่ งว่างให้ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์
1. สมการเคมขี องปฏกิ ิริยาการเผาไหม้โพรเพน
C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g)
2. สมการเคมขี องปฏกิ ิรยิ าการเผาไหมแ้ ก๊สบิวเทน 4CO2 (g) + 5H2O (g)
C4H10 (g) + 6.5O2(g)
3. สมการเคมีของปฏิกิริยาการเผาไหม้ฟอสฟอรัส 2P2O5(s)
P4(s) + 5O2(g)
291
ช่อื ชน้ั เลขท่ี ‘
เฉลยแบบฝกึ หดั เรื่อง สมการเคมี
คาส่ัง ใหน้ ักเรียนศึกษาเนื้อหาหนา้ 99 -101 ในหนงั สือเรียน และสืบคน้ ผา่ นอนิ เทอรเ์ น็ต แลว้ เติมคาตอบลงใน
ชอ่ งว่างให้ถูกตอ้ งสมบูรณ์
1. สมการเคมีของปฏกิ ิริยาการเผาไหมโ้ พรเพน
C3H8 (g) + 5O2 (g) 3CO2 (g) + 4H2O (g)
2. สมการเคมีของปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้แก๊สบวิ เทน 4CO2 (g) + 5H2O (g)
C4H10 (g) + 6.5O2(g)
3. สมการเคมีของปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ฟอสฟอรัส 2P2O5(s)
P4(s) + 5O2(g)
292
เร่ือง อตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 23 เวลา 1 ชวั่ โมง
รายวิชา ว31104 รวม 13 ชัว่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 4 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ พลังงาน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสสารกบั โครงสรา้ ง
และแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
2. ตวั ชว้ี ัด
ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธบิ ายผลของความเขม้ ข้น พ้ืนทีผ่ วิ อณุ หภมู ิ และตัวเรง่ ปฏิกริ ิยา ที่มผี ลต่ออตั รา
การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายผลของตัวเรง่ ปฏิกริ ิยาทีม่ ผี ลตอ่ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นทดลองผลของตวั เร่งปฏกิ ิรยิ าที่มผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้
3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝุเรยี นรู้และเปน็ ผมู้ คี วามมงุ่ มนั่ ในการทางาน
4. สาระสาคญั
พลังงานทีน่ ามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ไดม้ าจากปฏกิ ริ ิยาเคมี และปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ โดยปฏกิ ริ ิยา
เคมที ี่ให้พลงั งานอาจได้มาจากปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้ ปฏิกิรยิ าเคมีไฟฟาู ซ่ึงปฏิกิริยาทเี่ กิดข้นึ เขยี นแสดงได้ดว้ ย
สมการเคมี โดยแสดงชนิดและจานวนของสาร ตงั้ ตน้ ที่ทา ปฏิกริ ิยากนั และผลติ ภัณฑ์ ทเ่ี กดิ ข้ึน รวมท้ังภาวะในการ
เกิดปฏิกิรยิ า การพจิ ารณา ว่าปฏิกิริยาเคมเี กิดเร็วหรอื ชา้ พิจารณาได้จาก อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเค มี ซ่ึงขึ้นอยกู่ บั
หลายปัจจัย เชน่ ความเข้มข้น อณุ หภูมิ พน้ื ทีผ่ วิ ของสารต้งั ตน้ ตัวเร่งปฏกิ ิริยา ความ รเู้ ก่ียวกับปัจจัยท่ีมีผลตอ่ อัตรา
การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั และในอตุ สาหกรรม ปฏิกริ ยิ ารีด อกซเ์ ป็นปฏิกริ ิยา
เคมีทีเ่ กิดจากการถ่ายโอนอเิ ลก็ ตรอน ของสาร โดยปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซม์ ีทัง้ ที่ใหก้ ระแสไฟฟูาและไม่ให้กระแสไฟฟูา
สาหรับปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียร์ จะใช้สารกัมมันตรงั สเี ป็นแหล่งของพลงั งาน เนือ่ งจากสารกมั มนั ตรงั สมี ีนวิ เคลยี สไม่
เสถยี ร เกดิ การสลายและแผร่ ังสอี ย่างต่อเนือ่ ง สารกัมมนั ตรงั สีแตล่ ะชนดิ มคี า่ ครึง่ ชีวติ แตกต่างกัน และรังสที แ่ี ผอ่ อก
293
มาแตกตา่ งกนั จึงนามาใชป้ ระโยชน์ได้ตา่ งกนั การนาสารกมั มนั ตรังสีแต่ละชนิดมาใช้ตอ้ งมกี ารจดั การอย่างเหมาะสม
และต้องคานงึ ถึงผลกระทบต่อสิ่งมชี ีวิตและสง่ิ แวดลอ้ ม
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
สารที่ทาใหป้ ฏิกริ ยิ าเกดิ ได้เร็วขึ้น เรยี กว่า ตัวเร่งปฏกิ ิริยา (catalyst) โดยปฏิกริ ิยาท่เี กดิ ข้ึนเมื่อมี
ตวั เร่งปฏิกริ ยิ ายงั คงใหผ้ ลติ ภณั ฑ์เปน็ สารชนดิ เดิม และเมือ่ ปฏิกริ ยิ าเคมสี ิ้นสุดลงจะไดต้ ัวเรง่ ปฏกิ ริ ิยา
กลับคนื มาในปรมิ าณเทา่ เดมิ ดังนั้นจึงสามารถใชต้ วั เร่งปฏกิ ริ ยิ าในปริมาณเพียงเลก็ นอ้ ยเพื่อชว่ ยใหส้ ารต้งั
ต้นเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีได้
ในการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี สารต้งั ตน้ จะเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ ทาใหส้ ารตั้งต้นมปี รมิ าณลดลงและ
ผลิตภัณฑ์มีปริมาณเพม่ิ ขึ้น ถ้าปรมิ าณสารต้งั ต้นลดลงอย่างรวดเรว็ ปริมาณผลิตภัณฑก์ ็จะเพ่มิ ขนึ้ อย่าง
รวดเรว็ ดงั นัน้ การพิจารณาว่าปฏกิ ริ ยิ าใดเกดิ ได้เรว็ หรือช้า จึงพจิ ารณาไดจ้ ากการเปลย่ี นแปลงปรมิ าณสาร
ตง้ั ตน้ หรือผลติ ภัณฑ์ตอ่ เวลา ซงึ่ สัมพนั ธก์ บั อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี (rate of reaction)
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อา่ น ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จดั กลุม่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คุณลักษณะและค่านยิ ม
ใฝุเรยี นรู้และเปน็ ผู้มคี วามมงุ่ มั่นในการทางาน
6. บูรณาการ
-
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ
1.1 ครนู าเขา้ สบู่ ทเรยี น โดยนารูป 4.6 ประกอบการอธบิ าย เพื่อนาเข้าสู่กจิ กรรม
294
- การเกดิ มลพษิ จากปฏิกริ ิยาการเผาไหมเ้ ชือ้ เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ และวิธกี ารลดมลพษิ ท่ี
เกิดขึน้ ด้วยเคร่ืองฟอกไอเสยี เชงิ เร่งปฏกิ ริ ยิ า โดยใช้รปู 4.6 ประกอบการอธบิ าย เพ่ือให้เห็นว่าตวั เรง่
ปฏิกิริยาเคมีทาใหป้ ฏิกิรยิ าเคมที ีเ่ กดิ ได้ช้า เกดิ ปฏกิ ริ ิยาไดเ้ รว็ ขึน้
1.2 ครนู าเขา้ สูบ่ ทเรยี นโดยตงั้ คาถาม เพ่ือนาเขา้ สู่กจิ กรรม
1) สารท่ที าให้ปฏิกริ ิยาเกดิ ได้เรว็ ขึ้น เรียกวา่
2) คาวา่ “อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี” มีความหมายวา่ อยา่ งไร
3) นอกจากโลหะแพลทินมั และโรเดียมทท่ี าหนา้ ท่ีเปน็ ตัวเรง่ ปฏิกิรยิ าเคมใี นเครอ่ื งฟอกไอ
เสยี แล้ว ยังมสี ารเคมที ท่ี าหน้าทเ่ี ป็นตัวเร่งในปฏกิ ริ ิยาเคมอี ื่น ๆ อกี หรือไม่
ขั้นท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา
2.1 นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มศกึ ษาใบกจิ กรรม 4.1 การทดลองการเตมิ สารเคมีบางชนดิ ทีม่ ผี ลต่ออตั รา
การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
2.3 ครแู จ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ อุปกรณ์ และขน้ั ตอนการทดลองอย่างละเอยี ด
2.4 นกั เรยี นรับอุปกรณก์ ารทดลอง พรอ้ มติดต้ังอปุ กรณ์
2.5 นักเรยี นแต่ละกลุ่มทาการทดลอง สังเกตและบนั ทึกผลการทดลอง
ขนั้ ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูสมุ่ นกั เรียน 2 คน ออกมานาเสนอสรปุ ทไี่ ดจ้ ากการศึกษาหนา้ ชั้นเรยี น
3.2 ครูนานกั เรียนอภปิ ราย ใบกจิ กรรม 4.1 การทดลองการเตมิ สารเคมีบางชนดิ ท่ีมผี ลต่ออัตรา
การเกิดปฏิกิริยาเคมี เพอ่ื นาไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คาถามต่อไปน้ี
1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มได้ผลการทากิจกรรมเหมือนหรอื แตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ
ไดผ้ ลเหมอื นกนั )
2) H2O2 มลี ักษณะอย่างไร (แนวการตอบ มลี ักษณะใส ไมม่ ีสี)
2) เม่ือเติม KI อม่ิ ตวั ลงไปใน H2O2 ทีผ่ สมกับน้ายาลา้ งจาน เกดิ การเปลี่ยนแปลงอย่างไร
(แนวการตอบ จะทาให้มีฟองแกส๊ เกิดขน้ึ อย่างรวดเรว็ )
3.3 นกั เรยี นและครรู ่วมกนั อภิปรายและสรปุ ผลการทาการทดลอง จนสรปุ ได้ ดังนี้
H2O2 มลี ักษณะใส ไม่มีสี เมื่อเติมน้ายาล้างจานลงไปและผสมใหเ้ ขา้ กนั พบว่าสารละลาย
ใสเชน่ เดิม หลังจากสังเกตการเปลีย่ นแปลงเป็นเวลา 3 นาที ขวดท่ไี มไ่ ดเ้ ติม KI อิ่มตวั อาจสงั เกตเห็นฟองแก๊ส
เกดิ ข้นึ เลก็ น้อยหรืออาจไม่เห็นฟองแก๊สเลย สว่ นขวดที่เตมิ KI อิ่มตวั มีฟองแก๊สเกิดขนึ้ จาานวนมาก โดยแกส๊
ท่เี กิดข้ึนคอื แกส๊ ออกซเิ จน ซงึ่ ได้จากการสลายตวั ของ H2O2 จึงสามารถเปรยี บเทยี บอตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าได้
จากปริมาณฟองแกส๊ ท่ีเกดิ ขน้ึ ในเวลาท่ีเทา่ กนั ดงั นั้นขวดท่เี ติม KI อิม่ ตัวจงึ มอี ัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
มากกวา่ สามารถสรุปผลการทดลองไดว้ า่ KI เปน็ ตวั เร่งปฏกิ ิริยาท่ที าาให้การสลายตวั ของ H2O2 เกิดได้เร็วขึ้น
ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิม่ เตมิ เก่ียวกบั ตัวเรง่ ปฏิกิรยิ าเปน็ ปัจจัยที่ช่วยเร่งใหป้ ฏกิ ิริยาเคมบี างชนดิ เกดิ ได้
เร็วขึน้ ตามรายละเอยี ดในหนังสอื เรยี น หน้า 108
295
ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 นกั เรียนสง่ ใบกจิ กรรม 4.1 การทดลองการเตมิ สารเคมบี างชนดิ ทม่ี ผี ลต่ออตั ราการ
เกิดปฏิกิริยาเคมี
ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสงั คม
ครใู ห้นกั เรยี นแต่ละคนนาความรูท้ ี่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมท่หี ้องสมุด หรอื เว็บไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ชน้ั เรยี น
8. สอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 เล่ม 1
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกิจกรรม 4.1 การทดลองการเตมิ สารเคมีบางชนิดทีม่ ผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
8.3 อินเทอร์เนต็
8.4 หอ้ งสมดุ
8.5 สารละลาย และอปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์
9. การวดั และประเมินผล วิธกี ารวดั เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ
จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) นกั เรียนสามารถ
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ สรุปผลการทดลองได้
ด้านความรู้ (K) 4.1 การทดลองการ ทากิจกรรม ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
1) นักเรียนอธิบายผลของตวั เร่งปฏกิ ิรยิ าท่ี เติมสารเคมบี างชนิดที่ 2) ใบกิจกรรม 4.1
มีผลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้ มีผลตอ่ อตั ราการ การทดลองการเติม 1) นักเรยี นสามารถ
เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี สารเคมีบางชนดิ ทม่ี ี บันทึกผลการทา
ดา้ นกระบวนการ (P) ผลตอ่ อัตราการ กิจกรรมไดร้ ะดบั ดี
1) นกั เรียนทดลองผลของตัวเรง่ ปฏกิ ริ ิยาที่ เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ผ่านเกณฑ์
มผี ลต่ออัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีได้
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ
4.1 การทดลองการ ทากิจกรรม
เตมิ สารเคมบี างชนิดท่ี 2) ใบกิจกรรม 4.1
มผี ลต่ออตั ราการ การทดลองการเติม
เกิดปฏกิ ิริยาเคมี สารเคมบี างชนิดท่ีมี
ผลตอ่ อตั ราการ
เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 296
1) ใฝุเรยี นรู้และเปน็ ผ้มู คี วามมุ่งม่นั ในการ 4.1 การทดลองการ ทากจิ กรรม
ทางาน เติมสารเคมบี างชนิดท่ี 2) ใบกิจกรรม 4.1 1) นกั เรียนทาภาระ
มีผลตอ่ อัตราการ การทดลองการเติม งานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี สารเคมบี างชนิดท่ีมี ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์
ผลต่ออตั ราการ
เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เร่อื ง อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
ประเด็นการ คา่ นา้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรุปผลการทดลองได้ถูกต้องครบถว้ น
(K) 2 สรุปผลการทดลองไดค้ อ่ นข้างถกู ตอ้ งครบถว้ น
1 สรุปผลการทดลองได้ แตไ่ ม่ครบถว้ น
ด้าน 3 บันทึกผลกิจกรรมได้ถูกตอ้ งครบถ้วน
กระบวนการ 2 บันทกึ ผลกจิ กรรมไดค้ ่อนขา้ งถูกต้องครบถว้ น
(P) 1 บนั ทกึ ผลกจิ กรรมได้ แตไ่ มค่ รบถว้ น
ดา้ น 3 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่กี าหนด และเรียบรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถว้ น
คณุ ลกั ษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทีก่ าหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางสว่ น
(A) 1 ทาภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสร็จ แตล่ ่าช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน
ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน
297
การประเมนิ การทากิจกรรม เร่อื ง อัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ช่อื - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
298
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
299
บันทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 เร่ือง พลังงาน ใ
แผนการสอนท่ี 23 เร่อื ง อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี .
ใ เดือน พ.ศ. ใ
วนั ท่ี
ผลการจัดการเรยี นรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อปุ สรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชือ่ ............................................ครผู ูส้ อน ลงช่ือ.............................................หวั หนา้ กลุ่มสาระ
(นางสาวนลิ นกิ า แกว้ ปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)
ใบกจิ กรรม 4.1 การทดลองการเตมิ สารเคมีบางชนิดทมี่ ผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี 300
1. รายชอื่ สมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
ศึกษาผลของสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ ที่มตี ่ออัตราการสลายตวั ของไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์
3. วสั ดุ อุปกรณ์ สารเคมี
** การเตรียมล่วงหนา้
KI อิ่มตัว ปรมิ าตร 5 mL โดยชงั่ KI ปรมิ าณ 8 g แล้วเตมิ ลงในนา้ กล่นั ปริมาตร 5 mL (สารละลาย
ท่ีเตรยี มสามารถใช้ได้กบั การทดลองของนักเรยี นประมาณ 20 กลมุ่ )
301
4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) ใส่ H2O2 ลงในขวดรปู กรวย 2 ใบ ใบละ 20 mL
2) เตมิ น้ายาล้างจาน ลงในขวดรูปกรวยทงั้ 2 ใบ ใบละ 20 mL แล้วผสมใหเ้ ข้ากนั สังเกตลักษณะของสารละลายก่อน
และหลงั เติมนา้ ยาลา้ งจาน
3) เตมิ KI อมิ่ ตัว 4-5 หยด ลงในขวดรูปกรวยใบหนึ่ง แลว้ สังเกตการณ์เปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ กับ H2O2 ในขวดรูป
กรวยทั้ง 2 ใบ เปน็ เวลา 3 นาที และบนั ทกึ ผลการทดลอง
5. ผลการทดลอง
เม่อื เตมิ KI อ่มิ ตัว ลงไปใน H2O2 ที่ผสมกบั น้ายาลา้ งจาน จะทาให้มฟี องแกส๊ เกดิ ขนึ้ อย่างรวดเร็ว b
b vv
6. อภปิ รายผลการทดลอง
จากการทดลอง พบวา่ เมื่อเติมนา้ ยาลา้ งจานลงไปและผสมใหเ้ ข้ากนั พบวา่ สารละลาย ใสเช่นเดิม หลังจาก
สังเกตการเปลีย่ นแปลงเปน็ เวลา 3 นาที ขวดทไี่ ม่ได้เตมิ KI อมิ่ ตัวอาจสงั เกตเหน็ ฟองแก๊สเกิดขึน้ เลก็ น้อยหรอื อาจไม่
เหน็ ฟองแกส๊ เลย ส่วนขวดที่เติม KI อิ่มตวั มฟี องแก๊สเกิดขน้ึ จาานวนมาก โดยแก๊สท่เี กิดขึน้ คือ แกส๊ ออกซเิ จน ซง่ึ ได้
จากการสลายตัวของ H2O2 จึงสามารถเปรียบเทยี บอัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าไดจ้ ากปรมิ าณฟองแก๊สที่เกิดข้นึ ในเวลาที่
เทา่ กนั ดงั น้ันขวดทเ่ี ตมิ KI อ่ิมตวั จึงมีอัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมมี ากกวา่ กังนัน้ สามารถสรปุ ผลการทดลองได้ว่า KI
เปน็ ตวั เรง่ ปฏิกิรยิ าที่ทาาให้การสลายตัวของ H2O2 เกดิ ไดเ้ ร็วขน้ึ v
7. สรุปผลการทดลอง
KI เป็นตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ าทท่ี าาให้การสลายตวั ของ H2O2 เกดิ ได้เร็วขน้ึ อ
b b
302
เฉลยใบกจิ กรรม 4.1 การทดลองการเตมิ สารเคมบี างชนิดที่มผี ลตอ่ อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
1. รายชอ่ื สมาชกิ ท่ี …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
ศึกษาผลของสารละลายโพแทสเซียมไอโอไดด์ ทม่ี ตี อ่ อตั ราการสลายตวั ของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
3. วสั ดุ อุปกรณ์ สารเคมี
** การเตรยี มลว่ งหนา้
KI อิ่มตัว ปรมิ าตร 5 mL โดยชงั่ KI ปรมิ าณ 8 g แล้วเติมลงในนา้ กลน่ั ปริมาตร 5 mL (สารละลาย
ทีเ่ ตรยี มสามารถใช้ไดก้ ับการทดลองของนักเรยี นประมาณ 20 กลุ่ม)
303
4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) ใส่ H2O2 ลงในขวดรูปกรวย 2 ใบ ใบละ 20 mL
2) เตมิ น้ายาล้างจาน ลงในขวดรูปกรวยทัง้ 2 ใบ ใบละ 20 mL แลว้ ผสมใหเ้ ขา้ กนั สงั เกตลกั ษณะของสารละลายกอ่ น
และหลงั เติมนา้ ยาลา้ งจาน
3) เตมิ KI อมิ่ ตัว 4-5 หยด ลงในขวดรปู กรวยใบหน่ึง แลว้ สงั เกตการณเ์ ปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดข้นึ กับ H2O2 ในขวดรูป
กรวยทั้ง 2 ใบ เปน็ เวลา 3 นาที และบันทกึ ผลการทดลอง
5. ผลการทดลอง
เม่อื เตมิ KI อ่มิ ตัว ลงไปใน H2O2 ทผ่ี สมกับนา้ ยาลา้ งจาน จะทาให้มีฟองแกส๊ เกิดขึน้ อย่างรวดเรว็ b
b vv
6. อภปิ รายผลการทดลอง
จากการทดลอง พบวา่ เม่อื เติมน้ายาล้างจานลงไปและผสมใหเ้ ขา้ กนั พบว่าสารละลาย ใสเช่นเดมิ หลังจาก
สังเกตการเปล่ยี นแปลงเปน็ เวลา 3 นาที ขวดทไี่ มไ่ ดเ้ ติม KI อิม่ ตัวอาจสงั เกตเห็นฟองแกส๊ เกิดขนึ้ เลก็ น้อยหรอื อาจไม่
เหน็ ฟองแกส๊ เลย ส่วนขวดทเ่ี ติม KI อม่ิ ตัวมีฟองแกส๊ เกิดขึ้นจาานวนมาก โดยแกส๊ ที่เกิดข้นึ คอื แกส๊ ออกซเิ จน ซ่งึ ได้
จากการสลายตัวของ H2O2 จงึ สามารถเปรยี บเทยี บอัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าไดจ้ ากปรมิ าณฟองแกส๊ ท่ีเกิดขน้ึ ในเวลาที่
เทา่ กนั ดงั น้ันขวดทเ่ี ตมิ KI อิ่มตวั จงึ มีอัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมมี ากกว่า กงั นัน้ สามารถสรุปผลการทดลองไดว้ ่า KI
เปน็ ตวั เรง่ ปฏิกิรยิ าที่ทาาใหก้ ารสลายตวั ของ H2O2 เกิดได้เร็วข้ึน v
7. สรุปผลการทดลอง
KI เป็นตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ าท่ีทาาให้การสลายตัวของ H2O2 เกดิ ไดเ้ รว็ ขนึ้ อ
b b
304
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 24
เรอ่ื ง ปัจจัยท่มี ผี ลตอ่ อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
รายวชิ า ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 2 ชั่วโมง
รวม 13 ช่วั โมง
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ พลงั งาน
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสรา้ ง
และแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตวั ชว้ี ดั
ว 2.1 ม.5/21 ทดลองและอธบิ ายผลของความเข้มข้น พ้ืนท่ผี วิ อณุ หภมู ิ และตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ า ท่มี ีผลตอ่ อตั รา
การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายผลของความเข้มขน้ พ้ืนทีผ่ วิ และอณุ หภูมิ ท่มี ีผลต่ออตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมไี ด้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนทดลองผลของความเขม้ ข้น พื้นท่ผี ิว และอณุ หภมู ิ ทม่ี ผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีได้
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝุเรยี นรู้และเป็นผมู้ ีความมุ่งมนั่ ในการทางาน
4. สาระสาคญั
พลังงานท่ีนามาใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั ไดม้ าจากปฏกิ ริ ยิ าเคมี และปฏิกิรยิ านิวเคลยี ร์ โดยปฏกิ ริ ยิ า
เคมที ่ใี ห้พลงั งานอาจได้มาจากปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ ปฏกิ ิรยิ าเคมไี ฟฟูา ซงึ่ ปฏกิ ริ ยิ าที่เกดิ ข้นึ เขียนแสดงได้ดว้ ย
สมการเคมี โดยแสดงชนิดและจานวนของสาร ต้ังต้นทท่ี า ปฏกิ ริ ิยากนั และผลิตภัณฑ์ ทีเ่ กิดข้นึ รวมท้ังภาวะในการ
เกิดปฏิกริ ยิ า การพิจารณา วา่ ปฏิกิรยิ าเคมเี กิดเร็วหรอื ชา้ พิจารณาไดจ้ าก อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเค มี ซ่ึงขนึ้ อยกู่ ับ
หลายปัจจัย เชน่ ความเขม้ ข้น อณุ หภูมิ พื้นท่ผี ิวของสารตง้ั ตน้ ตัวเรง่ ปฏิกิรยิ า ความ ร้เู กี่ยวกบั ปัจจัยท่มี ีผลต่ออตั รา
การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี สามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน และในอตุ สาหกรรม ปฏกิ ิริยารดี อกซเ์ ปน็ ปฏิกิริยา
เคมที ่เี กิดจากการถ่ายโอนอเิ ลก็ ตรอน ของสาร โดยปฏิกริ ิยารีดอกซม์ ีทงั้ ทใี่ หก้ ระแสไฟฟาู และไมใ่ หก้ ระแสไฟฟูา
สาหรับปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียร์ จะใชส้ ารกัมมันตรงั สเี ปน็ แหล่งของพลงั งาน เนือ่ งจากสารกัมมันตรงั สีมีนิวเคลียสไม่
เสถยี ร เกดิ การสลายและแผร่ งั สอี ยา่ งต่อเนอื่ ง สารกมั มนั ตรังสแี ตล่ ะชนิดมีค่าคร่ึงชวี ิตแตกต่างกัน และรังสที แี่ ผอ่ อก
305
มาแตกต่างกันจึงนามาใช้ประโยชนไ์ ด้ตา่ งกนั การนาสารกัมมนั ตรงั สแี ต่ละชนิดมาใชต้ ้องมีการจัดการอย่างเหมาะสม
และต้องคานึงถงึ ผลกระทบตอ่ สงิ่ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
สารที่ทาให้ปฏกิ ริ ยิ าเกดิ ได้เรว็ ขึน้ เรียกวา่ ตัวเรง่ ปฏิกิริยา (catalyst) โดยปฏกิ ิริยาที่เกดิ ขน้ึ เมอ่ื มี
ตัวเร่งปฏิกริ ิยายงั คงใหผ้ ลติ ภณั ฑเ์ ป็นสารชนิดเดมิ และเมือ่ ปฏิกริ ยิ าเคมสี ้ินสดุ ลงจะไดต้ ัวเร่งปฏกิ ิรยิ า
กลบั คนื มาในปริมาณเท่าเดิม ดังน้ันจงึ สามารถใช้ตัวเร่งปฏิกิรยิ าในปริมาณเพยี งเล็กนอ้ ยเพ่ือช่วยใหส้ ารตง้ั
ตน้ เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมไี ด้
ในการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี สารตัง้ ตน้ จะเปล่ียนเปน็ ผลิตภณั ฑ์ ทาใหส้ ารตง้ั ต้นมปี รมิ าณลดลงและ
ผลิตภณั ฑม์ ีปริมาณเพิม่ ขึ้น ถ้าปรมิ าณสารตัง้ ตน้ ลดลงอย่างรวดเรว็ ปรมิ าณผลิตภัณฑ์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว ดงั นน้ั การพจิ ารณาวา่ ปฏกิ ิริยาใดเกดิ ไดเ้ ร็วหรือช้า จึงพจิ ารณาได้จากการเปล่ียนแปลงปรมิ าณสาร
ต้ังตน้ หรอื ผลิตภณั ฑ์ต่อเวลา ซ่ึงสัมพันธก์ ับ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี (rate of reaction)
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คุณลักษณะและค่านยิ ม
ใฝุเรยี นรแู้ ละเป็นผูม้ ีความมงุ่ มั่นในการทางาน
6. บูรณาการ
-
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขนั้ ที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูนาเขา้ สูบ่ ทเรยี น วา่ ตัวเร่งปฏกิ ิรยิ าทาหน้าท่ชี ่วยให้ปฏกิ ิรยิ าเกิดไดเ้ รว็ ข้นึ ตัวเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า
ไมไ่ ดร้ ่วมเป็นส่วนหน่ึงของผลติ ภัณฑ์ เมื่อปฏกิ ิรยิ าเคมีสิ้นสดุ แลว้ จะไดต้ ัวเรง่ ปฏกิ ิริยากลบั คืนมา
1.2 ครยู กตวั อยา่ งตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ าท่ีพบในชวี ิตประจาวนั และอตุ สาหกรรม ตามรายละเอยี ดใน
หนังสอื เรยี น เพอื่ เช่ือมโยงเข้าสกู่ จิ กรรม 4.2
ขัน้ ที่ 2 ขัน้ สารวจและค้นหา
2.1 นกั เรียนแบ่งกล่มุ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มศกึ ษาใบกจิ กรรม 4.2 การทดลองปัจจยั ที่มผี ลตอ่ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2.3 ครูแจง้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ อุปกรณ์ และข้นั ตอนการทดลองอยา่ งละเอยี ด
2.4 นักเรียนรบั อุปกรณ์การทดลอง พร้อมติดตง้ั อปุ กรณ์
2.5 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มทาการทดลอง สังเกตและบันทกึ ผลการทดลอง
306
ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู ุ่มนกั เรยี น 2 คน ออกมานาเสนอสรุปท่ีได้จากการศึกษาหน้าช้ันเรยี น
3.2 ครนู านกั เรียนอภิปราย ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปจั จัยทม่ี ผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
เพื่อนาไปส่กู ารสรปุ โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1) นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ ไดผ้ ลการทากจิ กรรมเหมือนหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร (แนวการตอบ
ไดผ้ ลเหมอื นกัน)
2) เมอ่ื เปรียบเทยี บเวลาในการเกดิ ฟองแก๊สของสาร ในบีกเกอรใ์ บที่ 1 และใบท่ี 2 พบวา่
บีกเกอรใ์ บท่ี 2 ซงึ่ ใช้ HCl เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เร็วกว่า แสดงว่ามผี ลทาให้อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
เปน็ อยา่ งไร (แนวการตอบ การเพ่ิมความเขม้ ข้นของ HCl มีผลทาให้ อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีนีเ้ พิม่ ข้ึน)
3) เมือ่ เปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟอง แก๊สของสารในบกี เกอร์ใบท่ี 1 และใบที่ 3 พบว่า
บีกเกอร์ใบท่ี 3 ซ่งึ มีอุณหภูมิสูง เกดิ ฟองแกส๊ ไดเ้ รว็ กว่า แสดงว่ามผี ลทาให้อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีเปน็
อย่างไร (แนวการตอบ การเพิ่มอณุ หภูมใิ นการเกิดปฏกิ ริ ยิ ามีผลทาใหอ้ ตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมนี ีเ้ พ่มิ ขึน้ )
4) เมอื่ เปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแก๊สของ สารในบีกเกอร์ใบที่ 1 กบั ใบที่ 4 พบวา่
บีกเกอร์ใบที่ 1 ซึง่ ใช้ผง CaCO₃ ซง่ึ พ้นื ทผี่ ิวรวมท้งั หมดมากกว่า เกิดฟองแกส๊ ไดเ้ ร็วกวา่ บีกเกอร์ใบท่ี 4 ซ่งึ
ใช้เม็ด CaCO₃ แสดงวา่ มผี ลทาใหอ้ ตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีเป็นอย่างไร (แนวการตอบ การเพิ่มพ้นื ที่ผวิ
ของ CaCO₃ ให้สัมผัสกับ HCl มากขึน้ มผี ลทาให้ อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมนี ีเ้ พ่มิ ขนึ้ )
3.3 นักเรียนและครูร่วมกนั สรปุ ผลการทาการทดลอง ดังน้ี
สรุปผลการทดลองได้ว่า การเพ่มิ ความเขม้ ข้นของ HCl การเพ่มิ อุณหภูมิในการทา
ปฏิกิรยิ า และการเพิม่ พื้นทผ่ี ิวของ CaCO₃ จะทาให้อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าระหวา่ ง CaCO₃ กบั HCl
เพม่ิ ขึ้น
ข้ันที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกบั การทดลอง 4.1 และ 4.2 ตามรายละเอยี ดในหนงั สอื เรียน หนา้
110
ขน้ั ที่ 5 ขัน้ ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นสง่ ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ประยกุ ต์และตอบแทนสงั คม
ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะคนนาความรู้ทเ่ี รียนไปค้นควา้ เพ่มิ เติมทหี่ อ้ งสมุด หรือเวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ช้นั เรียน
307
8. ส่อื การเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เลม่ 1
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 4.2 การทดลองปจั จยั ท่ีมีผลต่ออตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
8.3 อนิ เทอรเ์ นต็
8.4 หอ้ งสมดุ
8.5 สารละลาย และอปุ กรณ์วิทยาศาสตร์
9. การวัดและประเมินผล วธิ ีการวัด เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ดา้ นความรู้ (K) 4.2 การทดลองปัจจัย ทากิจกรรม สรปุ ผลการทดลองได้
1) นกั เรียนอธิบายผลของความเข้มขน้ ทม่ี ผี ลตอ่ อตั ราการ 2) ใบกิจกรรม 4.2 ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
พืน้ ที่ผิว และอณุ หภูมิ ที่มีผลตอ่ อัตราการ เกิดปฏกิ ิริยาเคมี การทดลองปัจจัยทมี่ ี
เกดิ ปฏิกิริยาเคมไี ด้ ผลต่ออตั ราการ
1) ตรวจใบกจิ กรรม เกิดปฏิกิริยาเคมี
ด้านกระบวนการ (P) 4.2 การทดลองปจั จยั
1) นักเรียนทดลองผลของความเขม้ ข้น ทีม่ ีผลต่ออตั ราการ 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
พื้นท่ีผิว และอณุ หภูมิ ทม่ี ีผลตอ่ อตั ราการ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ทากจิ กรรม บนั ทกึ ผลการทา
เกดิ ปฏิกิริยาเคมีได้ 2) ใบกิจกรรม 4.2 กิจกรรมไดร้ ะดบั ดี
1) ตรวจใบกิจกรรม การทดลองปจั จยั ทมี่ ี ผา่ นเกณฑ์
ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 4.2 การทดลองปัจจยั ผลต่ออตั ราการ
1) ใฝเุ รียนรู้และเป็นผ้มู คี วามมุง่ มน่ั ในการ ท่ีมีผลตอ่ อัตราการ เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
ทางาน เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นทาภาระ
ทากจิ กรรม งานทไี่ ด้รบั มอบหมาย
2) ใบกจิ กรรม 4.2 ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
การทดลองปจั จัยที่มี
ผลตอ่ อตั ราการ
เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
308
10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรื่อง ปัจจัยทมี่ ผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
ประเด็นการ คา่ นา้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรปุ ผลการทดลองได้ถกู ต้องครบถ้วน
(K) 2 สรปุ ผลการทดลองได้คอ่ นขา้ งถูกต้องครบถว้ น
1 สรปุ ผลการทดลองได้ แต่ไมค่ รบถว้ น
ด้าน 3 บนั ทึกผลกิจกรรมได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น
กระบวนการ 2 บันทึกผลกิจกรรมไดค้ ่อนขา้ งถูกตอ้ งครบถ้วน
(P) 1 บนั ทึกผลกิจกรรมได้ แต่ไม่ครบถว้ น
ด้าน 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทก่ี าหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถ้วน
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานท่ีได้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางส่วน
(A) 1 ทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ชา้ และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน
309
การประเมินการทากจิ กรรม เร่ือง ปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ชอื่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
310
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
311
บนั ทึกหลงั การสอน
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 เรอื่ ง พลังงาน ใ
แผนการสอนท่ี 24 เรือ่ ง ปัจจัยทมี่ ผี ลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี .
ใ เดอื น พ.ศ. ใ
วันท่ี
ผลการจัดการเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อปุ สรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชอื่ .............................................หัวหน้ากล่มุ สาระ
(นางสาวนลิ นกิ า แกว้ ปัญญา) (นางนพรตั น์ ครฑุ เกดิ )
312
ใบกิจกรรม 4.2 การทดลองปัจจัยทีม่ ีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
1. รายช่ือสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
ศกึ ษาผลของความเข้มข้น อณุ หภมู ิ และพนื้ ทผ่ี วิ ของสารตัง้ ต้นทมี่ ีต่ออตั ราการเกิด ปฏกิ ริ ยิ าเคมรี ะหวา่ ง
กรดไฮโดรคลอรกิ กับหินปนู หรอื แคลเซียมคาร์บอเนต
3. วัสดุ อปุ กรณ์ สารเคมี
313
4. วิธที ากิจกรรม
1) ใส่ผง CaCO3 ลงในบีกเกอร์ใบท่ี 1-3 และใสเ่ มด็ CaCO3 ลงในบีกเกอรใ์ บท่ี 4 บกี เกอรล์ ะ 0.1 g
2) เติม HCl 7 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดที่ 2 และเติม HCl 1 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดท่ี 1 3 และ 4
หลอดละ 5 mL
3) อนุ่ HCl 1 % w/v ในหลอดท่ี 3 ให้มอี ณุ หภมู ปิ ระมาณ 60 องศาเซลเซียส
4) เตมิ HCl ลงในบีกเกอร์ในข้อ 1 โดยทาการทดลองทลี ะคู่ ดงั รูป และจับเวลาทันท่ีที่เตมิ HCl จนไมเ่ หน็ ฟองแกส๊
เกิดข้นึ แลว้ บันทกึ ผลการทดลอง
5. ผลการทดลอง สาร เวลาการเกิดปฏกิ ิริยา(วินาที)
บกี เกอร์ใบท่ี ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v
1
2 ผง CaCO3 + HCl 7 % w/v
ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v
3 (สารละลายกรดอณุ หภมู ิประมาณ 60 °C)
เม็ด CaCO3 + HCl 1 % w/v
4
6. อภปิ รายผลการทดลอง
ความเข้มข้น
เม่ือเปรียบเทียบเวลาในการเกดิ ฟองแก๊สของสาร ในบีกเกอร์ใบที่ 1 และใบที่ 2 พบว่า บีกเกอรใ์ บที่ 2 ซง่ึ ใช้ HCl
เข้มข้นกวา่ เกดิ ฟองแก๊สไดเ้ ร็วกวา่ แสดงวา่ การเพม่ิ ความเขม้ ข้นของ HCl มีผลทาให้ อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีนี้
เพ่มิ ข้นึ กงั นนั้ สามารถสรุปผลการทดลองได้วา่ KI เป็นตวั เรง่ ปฏิกิริยาทที่ าาให้การสลายตวั ของ H2O2 เกดิ ได้เร็วข้ึน
เขม้ ข้นกวา่ เกดิ ฟองแก๊สไดเ้ รว็ กว่า แสดงวา่ การเพิม่ ความเข้มขน้ ของ HCl มีผลทาให้ อัตราการเกดิ ปฏกิ ิ ริยาเคมนี ี้
314
อุณหภมู ิ
เม่อื เปรยี บเทียบเวลาในการเกดิ ฟอง แกส๊ ของสารในบีกเกอรใ์ บท่ี 1 และใบที่ 3 พบว่า บีกเกอร์ใบท่ี 3 ซึง่ มีอณุ หภูมิ
สูง เกิดฟองแกส๊ ไดเ้ ร็วกวา่ แสดงวา่ การเพ่มิ อณุ หภมู ใิ นการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ ามีผลทาใหอ้ ตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
นเี้ พ่มิ ขนึ้ f
กังนั้นสามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เปน็ ตวั เร่งปฏกิ ริ ยิ าที่ทาาให้การสลายตวั ของ H2O2 เกิดไ ด้เร็วข้ึน
เขม้ ขน้ กวา่ เกดิ ฟองแกส๊ ได้เรว็ กว่า แสดงว่า การเพ่มิ ความเข้มขน้ ของ HCl มีผลทาให้ อัตราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมนี ้ี
เพิม่ ข้นึ กังนัน้ สามารถสรุปผลการทดลองได้ว่า KI เปน็ ตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ าท่ีทาาให้การสลายตัวของ H2O2 เกิดได้เรว็ ขนึ้
พื้นท่ีผวิ ของสารตัง้ ต้น
เมื่อเปรยี บเทียบเวลาในการเกดิ ฟองแก๊สของ สารในบีกเกอรใ์ บท่ี 1 กบั ใบที่ 4 พบวา่ บีกเกอร์ ใบท่ี 1 ซงึ่ ใชผ้ ง
CaCO₃ ซ่ึงพืน้ ทผ่ี ิวรวมทงั้ หมดมากกว่า เกดิ ฟองแกส๊ ได้เรว็ กวา่ บีกเกอรใ์ บที่ 4 ซงึ่ ใชเ้ ม็ด CaCO₃ แสดงว่าการเพ่มิ
พื้นทผี่ วิ ของ CaCO₃ ให้สมั ผัสกบั HCl มากข้นึ มผี ลทาให้ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมนี เี้ พม่ิ ข้ึน f
เข้มข้นกว่า เกิดฟองแก๊สได้เรว็ กว่า แสดงว่า การเพ่มิ ความเข้มข้นของ HCl มีผลทาให้ อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมนี ้ี
เพิ่มขน้ึ กังนัน้ สามารถสรุปผลการทดลองไดว้ ่า KI เปน็ ตัวเรง่ ปฏกิ ิริยาทีท่ าาใหก้ ารสลายตวั ของ H2O2 เกดิ ไดเ้ ร็วข้นึ
7. สรุปผลการทดลอง
การเพิม่ ความเข้มข้นของ HCl การเพม่ิ อณุ หภมู ิในการทาปฏกิ ริ ยิ า และการเพ่มิ พ้นื ทผี่ วิ ของ CaCO₃ จะทาให้
อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าระหว่าง CaCO₃ กบั HCl เพิ่มขนึ้ อ
เขม้ ขน้ กวา่ เกดิ ฟองแกส๊ ไดเ้ รว็ กว่า แสดงว่า การเพ่มิ ความเขม้ ข้นของ HCl มีผลทาให้ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมนี ี้
เพ่ิมขน้ึ กังน้นั สามารถสรุปผลการทดลองไดว้ า่ KI เป็นตวั เร่งปฏกิ ิรยิ าท่ีทาาให้การสลายตวั ของ H2O2 เกดิ ไดเ้ ร็วขน้ึ
315
เฉลยใบกจิ กรรม 4.2 การทดลองปัจจยั ทีม่ ีผลต่ออตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
1. รายช่ือสมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
ศึกษาผลของความเขม้ ขน้ อุณหภูมิ และพ้นื ท่ผี ิวของสารตัง้ ต้นที่มตี อ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีระหว่าง
กรดไฮโดรคลอริกกบั หนิ ปนู หรอื แคลเซียมคาร์บอเนต
3. วัสดุ อุปกรณ์ สารเคมี
316
4. วธิ ีทากิจกรรม
1) ใส่ผง CaCO3 ลงในบกี เกอรใ์ บท่ี 1-3 และใสเ่ ม็ด CaCO3 ลงในบีกเกอร์ใบที่ 4 บีกเกอรล์ ะ 0.1 g
2) เติม HCl 7 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดที่ 2 และเติม HCl 1 % w/v ลงในหลอดทดลองหลอดท่ี 1 3 และ 4
หลอดละ 5 mL
3) อ่นุ HCl 1 % w/v ในหลอดท่ี 3 ใหม้ ีอณุ หภมู ปิ ระมาณ 60 องศาเซลเซียส
4) เติม HCl ลงในบกี เกอรใ์ นข้อ 1 โดยทาการทดลองทลี ะคู่ ดังรปู และจับเวลาทันทีท่ เ่ี ตมิ HCl จนไมเ่ ห็นฟองแก๊ส
เกดิ ข้นึ แลว้ บันทกึ ผลการทดลอง
5. ผลการทดลอง สาร เวลาการเกิดปฏิกริ ยิ า(วินาที)
บกี เกอร์ใบที่ ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v 50
1 15
2 ผง CaCO3 + HCl 7 % w/v
ผง CaCO3 + HCl 1 % w/v 25
3 (สารละลายกรดอุณหภมู ปิ ระมาณ 60 °C)
เม็ด CaCO3 + HCl 1 % w/v > 300
4
6. อภิปรายผลการทดลอง
ความเข้มขน้
เม่อื เปรียบเทียบเวลาในการเกิดฟองแกส๊ ของสาร ในบีกเกอรใ์ บท่ี 1 และใบที่ 2 พบวา่ บกี เกอรใ์ บท่ี 2 ซ่ึงใช้ HCl
เขม้ ขน้ กว่า เกิดฟองแกส๊ ได้เรว็ กวา่ แสดงว่า การเพิม่ ความเข้มข้นของ HCl มผี ลทาให้ อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมนี ี้
เพม่ิ ข้ึน กังนน้ั สามารถสรปุ ผลการทดลองไดว้ า่ KI เปน็ ตวั เร่งปฏิกริ ิยาทท่ี าาให้การสลายตัวของ H2O2 เกดิ ได้เร็วขึ้น
v
317
อณุ หภมู ิ
เม่ือเปรียบเทยี บเวลาในการเกดิ ฟอง แก๊สของสารในบกี เกอรใ์ บที่ 1 และใบท่ี 3 พบว่า บกี เกอร์ใบท่ี 3 ซ่งึ มีอุณหภมู ิ
สูง เกดิ ฟองแก๊ส ได้เรว็ กว่า แสดงวา่ การเพมิ่ อณุ หภมู ใิ นการเกิด ปฏกิ ิรยิ ามผี ลทาให้อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
นี้เพิม่ ข้นึ f
กังนน้ั สามารถสรุปผลการทดลองไดว้ ่า KI เป็นตัวเร่งปฏกิ ิริยาที่ทาาใหก้ ารสลายตวั ของ H2O2 เกดิ ไ ด้เรว็ ข้นึ
พื้นทผี่ ิวของสารต้ังตน้
เม่อื เปรยี บเทยี บเวลาในการเกดิ ฟองแกส๊ ของ สารในบกี เกอร์ใบท่ี 1 กับใบที่ 4 พบวา่ บกี เกอร์ ใบท่ี 1 ซง่ึ ใชผ้ ง
CaCO₃ ซึ่งพ้ืนทผ่ี ิวรวมทง้ั หมดมากกว่า เกิดฟองแกส๊ ไดเ้ รว็ กวา่ บกี เกอร์ใบที่ 4 ซง่ึ ใชเ้ มด็ CaCO₃ แสดงวา่ การเพิม่
พ้นื ทผี่ วิ ของ CaCO₃ ให้สัมผสั กับ HCl มากขนึ้ มีผลทาให้ อตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีนเ้ี พม่ิ ขึ้น f
7. สรุปผลการทดลอง
การเพ่ิมความเข้มข้นของ HCl การเพ่ิมอณุ หภูมใิ นการทาปฏิกริ ยิ า และการเพม่ิ พน้ื ท่ีผิวของ CaCO₃ จะทาให้
อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาระหวา่ ง CaCO₃ กับ HCl เพ่มิ ข้ึน อ
318
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 25
เร่ือง ปัจจยั ที่มผี ลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นชีวิตประจาวัน
รายวิชา ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ช่ัวโมง
รวม 13 ชวั่ โมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ พลังงาน
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบัตขิ องสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตัวช้ีวดั
ว 2.1 ม.5/22 สบื คน้ ข้อมูลและอธิบายปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีที่ใชป้ ระโยชนใ์ น
ชวี ิตประจาวันหรือในอตุ สาหกรรม
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธิบายปัจจยั ที่มีผลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่ใี ชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวันหรอื ใน
อตุ สาหกรรมได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถทากิจกรรม 3.4 สืบค้นขอ้ มลู ปัจจยั ทมี่ ีผลต่ออัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีใน
ชีวิตประจาวัน
2) นักเรียนสืบค้นข้อมลู และอธิบายปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ อัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีทีใ่ ช้ประโยชนใ์ น
ชีวิตประจาวนั หรอื ในอตุ สาหกรรมได้
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝเุ รียนรแู้ ละเปน็ ผมู้ ีความมงุ่ ม่นั ในการทางาน
4. สาระสาคัญ
พลงั งานท่ีนามาใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาวันไดม้ าจากปฏกิ ิรยิ าเคมี และปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร์ โดยปฏิกิริยา
เคมที ใ่ี ห้พลงั งานอาจได้มาจากปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้ ปฏิกริ ยิ าเคมีไฟฟาู ซงึ่ ปฏิกิริยาทเ่ี กดิ ข้นึ เขยี นแสดงได้ด้วย
สมการเคมี โดยแสดงชนิดและจานวนของสาร ต้ังต้นทที่ า ปฏกิ ิรยิ ากนั และผลิตภณั ฑ์ ทเี่ กิดขน้ึ รวมท้ังภาวะในการ
เกิดปฏิกิรยิ า การพจิ ารณา ว่าปฏิกิรยิ าเคมีเกิดเรว็ หรือชา้ พจิ ารณาไดจ้ าก อัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเค มี ซ่งึ ข้นึ อยูก่ บั
หลายปจั จัย เช่น ความเข้มข้น อณุ หภูมิ พน้ื ท่ีผวิ ของสารตงั้ ตน้ ตวั เร่งปฏิกิริยา ความ ร้เู กี่ยวกับปัจจัยทม่ี ีผลตอ่ อัตรา
319
การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี สามารถนาไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั และในอุตสาหกรรม ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์เปน็ ปฏกิ ิริยา
เคมที ีเ่ กดิ จากการถา่ ยโอนอเิ ลก็ ตรอน ของสาร โดยปฏิกิริยารีดอกซม์ ีทง้ั ทีใ่ ห้กระแสไฟฟูาและไมใ่ หก้ ระแสไฟฟาู
สาหรบั ปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ จะใช้สารกมั มันตรงั สเี ปน็ แหล่งของพลังงาน เน่ืองจากสารกมั มนั ตรังสีมนี ิวเคลยี สไม่
เสถียร เกดิ การสลายและแผ่รงั สีอยา่ งตอ่ เนอื่ ง สารกมั มนั ตรังสแี ตล่ ะชนิดมคี า่ ครงึ่ ชวี ติ แตกตา่ งกนั และรงั สที ี่แผ่ออก
มาแตกต่างกันจึงนามาใชป้ ระโยชนไ์ ดต้ า่ งกนั การนาสารกมั มนั ตรงั สีแต่ละชนดิ มาใช้ตอ้ งมีการจัดการอย่างเหมาะสม
และตอ้ งคานึงถงึ ผลกระทบตอ่ ส่งิ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
สารทท่ี าให้ปฏิกริ ยิ าเกดิ ได้เร็วข้นึ เรยี กว่า ตัวเร่งปฏิกริ ยิ า (catalyst) โดยปฏกิ ริ ิยาที่เกิดขน้ึ เมอ่ื มี
ตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ ายังคงให้ผลติ ภณั ฑ์เปน็ สารชนิดเดิม และเมอ่ื ปฏกิ ริ ิยาเคมีสิ้นสดุ ลงจะไดต้ ัวเรง่ ปฏกิ ิรยิ า
กลับคนื มาในปริมาณเทา่ เดมิ ดงั น้นั จึงสามารถใช้ตัวเรง่ ปฏิกิริยาในปรมิ าณเพยี งเลก็ นอ้ ยเพอื่ ชว่ ยใหส้ ารตงั้
ต้นเกิดปฏิกริ ยิ าเคมไี ด้
ในการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี สารต้งั ตน้ จะเปลย่ี นเปน็ ผลติ ภัณฑ์ ทาให้สารต้งั ต้นมีปริมาณลดลงและ
ผลิตภัณฑ์มปี ริมาณเพม่ิ ขน้ึ ถา้ ปรมิ าณสารตง้ั ต้นลดลงอย่างรวดเร็ว ปรมิ าณผลิตภณั ฑ์กจ็ ะเพม่ิ ขนึ้ อย่าง
รวดเร็ว ดังนัน้ การพจิ ารณาวา่ ปฏกิ ริ ิยาใดเกดิ ไดเ้ ร็วหรอื ช้า จงึ พจิ ารณาไดจ้ ากการเปลี่ยนแปลงปริมาณสาร
ต้งั ต้นหรอื ผลติ ภัณฑ์ตอ่ เวลา ซึ่งสมั พนั ธ์กับ อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี (rate of reaction)
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อา่ น ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสบื คน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝเุ รยี นรู้และเป็นผู้มีความมุง่ ม่ันในการทางาน
6. บูรณาการ
-
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขัน้ ที่ 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรียน โดยถามถงึ ผลการทดลองกจิ กรรม 4.1 และ 4.2
ขน้ั ท่ี 2 ขน้ั สารวจและค้นหา
2.1 นกั เรียนศึกษาใบกจิ กรรม 4.3 สืบคน้ ข้อมลู ปัจจยั ที่มผี ลต่ออตั ราการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมใี น
ชวี ติ ประจาวัน
320
2.2 นักเรยี นทากจิ กรรม 4.3 สืบคน้ ขอ้ มูลปจั จัยทมี่ ผี ลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีใน
ชีวติ ประจาวนั โดยให้สบื คน้ ขอ้ มูลทางอนิ เทอรเ์ น็ต
2.3 นกั เรยี นทาแบบฝึกหดั 4.2 ในหนังสอื เรยี น หน้า 111 ลงในสมุดของตนเอง
ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลการสบื ค้นข้อมูลของตนเองหนา้ ชน้ั เรียน
3.2 ครูและนกั เรียนรว่ มกนั สรปุ ผลการสืบคน้ ข้อมูล
ความเขม้ ขน้
• การลา้ งหอ้ งน้าโดยใช้น้าายาลา้ งหอ้ งน้าที่มีความเข้มขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ
มากกว่าจะทาให้เกิดปฏกิ ริ ิยากับหนิ ปนู ไดเ้ ร็วกวา่
อุณหภมู ิ
• การเกบ็ ผลไม้หรืออาหารในตูเ้ ย็นซ่งึ มีอณุ หภูมิต่า เพื่อให้อย่ไู ด้นานและคงความสดใหม่
• อณุ หภูมิมีผลต่ออตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าของสารในร่างกายของมนุษย์ โดยถา้ รา่ งกายมี
อุณหภูมสิ งู ข้นึ 1 องศาเซลเซยี ส เน้ือเย่อื ในรา่ งกายจะต้องการออกซิเจนเพ่มิ ขึ้น ซึง่ มผี ลให้อตั ราการเตน้ ของ
ชีพจรและอัตราการหายใจเพิม่ ขึน้
พื้นทีผ่ ิวของสาร
• ในการรับประทานอาหาร นกั โภชนาการแนะนาให้เคี้ยวอาหารใหล้ ะเอยี ดกอ่ นกลืน เพราะ
การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทาใหอ้ าหารมีขนาดเล็กลง เป็นการเพมิ่ พืน้ ทผ่ี วิ ของอาหารให้มากขนึ้ ทาให้กรด
และเอนไซมใ์ นนา้ ย่อยในกระเพาะอาหารทาปฏิกริ ยิ ากับอาหารได้เรว็ ขน้ึ อาหารจึงยอ่ ยงา่ ยข้นึ
ตวั เร่งปฏกิ ริ ยิ า
• การหมกั เนื้อโดยเติมยางมะละกอซง่ึ มเี อนไซมป์ าเปน (papain) ลงไป จะทาให้เนอื้ นุม่ ข้ึน
เนือ่ งจากเอนไซม์ปาเปนจะชว่ ยย่อยโปรตีนในเนอ้ื ทาให้เน้ือนมุ่ ข้นึ เม่อื ทาใหส้ ุก
ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิม่ เตมิ เก่ยี วกบั แบบฝึกหัดท้ายบทท่ี 4 ข้อที่ 5-7
4.2 ครใู หค้ วามรู้เพม่ิ เติมเกย่ี วกับเชอ้ื เพลิงทางเลอื ก ตามรายละเอยี ดในหนังสอื เรยี น
ข้ันที่ 5 ข้ันประเมนิ ผล
5.1 ครูตรวจใบกิจกรรม 4.3 สืบคน้ ขอ้ มลู ปัจจยั ที่มผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมใี น
ชีวิตประจาวัน
5.2 ครูตรวจสมุดของนักเรยี นในการทาแบบฝึกหดั 4.2
ประยกุ ต์และตอบแทนสงั คม
ครูให้นกั เรียนแตล่ ะคนนาความรูท้ เ่ี รียนไปคน้ คว้าเพิ่มเติมทหี่ ้องสมุด หรือเวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ชน้ั เรยี น
321
8. สอ่ื การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วิทยาศาสตรก์ ายภาพ) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 1
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 4.3 สืบคน้ ข้อมูลปัจจยั ที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีในชีวติ ประจาวนั
8.3 อนิ เทอร์เน็ต
8.4 หอ้ งสมุด
9. การวัดและประเมนิ ผล วิธกี ารวัด เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจสมดุ นกั เรียน 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนตอบ
ดา้ นความรู้ (K) ในการทาแบบฝกึ หัด ทากจิ กรรม คาถามได้ระดบั ดี
1) นักเรยี นอธิบายปัจจัยทม่ี ผี ลต่ออัตราการ 4.2 2) แบบฝกึ หัด 4.2 ผ่านเกณฑ์
เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมที ี่ใช้ประโยชนใ์ น
ชีวิตประจาวันหรอื ในอุตสาหกรรมได้ 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นบันทกึ ผล
ด้านกระบวนการ (P) การสืบคน้ ขอ้ มลู ได้
1) นักเรยี นสามารถทากิจกรรม 3.4 สบื คน้ 4.3 สืบค้นขอ้ มูลปจั จยั ทากจิ กรรม ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
ขอ้ มลู ปจั จยั ท่มี ผี ลตอ่ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยา
เคมใี นชีวิตประจาวัน ทม่ี ีผลตอ่ อัตราการ 2) ใบกิจกรรม 4.3 1) นักเรยี นทาภาระ
2) นกั เรียนสบื ค้นข้อมลู และอธิบายปจั จัยที่ งานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย
มีผลตอ่ อตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีทใี่ ช้ เกิดปฏิกริ ิยาเคมีใน สบื ค้นขอ้ มูลปจั จัยท่ี ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั หรือใน
อุตสาหกรรมได้ ชวี ิตประจาวนั มีผลตอ่ อตั ราการ
ด้านคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝุเรยี นร้แู ละเป็นผมู้ ีความม่งุ มนั่ ในการ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมใี น
ทางาน
ชวี ติ ประจาวัน
1) ตรวจสมุดนักเรียน 1) แบบประเมินการ
ในการทาแบบฝกึ หดั ทากิจกรรม
4.2 2) แบบฝึกหัด 4.2
2) ตรวจใบกจิ กรรม 3) ใบกิจกรรม 4.3
4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัย สบื คน้ ข้อมูลปจั จัยที่
ทมี่ ีผลตอ่ อัตราการ มีผลต่ออตั ราการ
เกดิ ปฏิกิริยาเคมใี น เกดิ ปฏิกิริยาเคมใี น
ชวี ติ ประจาวนั ชีวิตประจาวัน
322
10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรยี น
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรื่อง ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชวี ิตประจาวนั
ประเดน็ การ ค่าน้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามได้ถูกต้องครบถ้วน จานวน 2 ข้อ
(K) 2 ตอบคาถามได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น จานวน 1 ขอ้
1 ตอบคาถามแต่ทาไมถ่ ูกตอ้ ง
ดา้ น 3 บนั ทกึ ผลการสบื ค้นข้อมลู ได้ถูกตอ้ งครบถ้วน
กระบวนการ 2 บันทึกผลการสบื คน้ ขอ้ มลู ได้ถกู ตอ้ งบางส่วน
(P) 1 บันทึกผลการสบื ค้นขอ้ มูล แต่ไมถ่ กู ตอ้ ง
ด้าน 3 ทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาทีก่ าหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถว้ น
คุณลกั ษณะ 2 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทีก่ าหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1 ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสรจ็ แตล่ ่าช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน
323
การประเมินการทากิจกรรม เร่อื ง ปจั จยั ทม่ี ผี ลต่ออตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชีวิตประจาวัน
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ท่ี ชอื่ - นามสกลุ ด้านความรู้ ด้าน ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
324
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
325
บันทกึ หลงั การสอน
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 เรือ่ ง พลังงาน ใ
แผนการสอนท่ี
25 เรื่อง ปจั จยั ที่มีผลต่ออตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นชีวติ ประจาวนั .
ใ
เดือน พ.ศ. ใ
วนั ที่
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชื่อ............................................ครผู ้สู อน ลงช่อื .............................................หัวหน้ากลุม่ สาระ
(นางสาวนิลนกิ า แก้วปัญญา) (นางนพรัตน์ ครุฑเกิด)
326
ชอ่ื ชนั้ เลขท่ี ‘
ใบกจิ กรรม 4.3 สบื ค้นขอ้ มูลปจั จัยท่มี ีผลตอ่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมใี นชีวิตประจาวัน
คาสง่ั สบื ค้นข้อมลู และยกตัวอย่างเหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ หรือกรณีศกึ ษาท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ผล ของความเขม้ ขน้
พน้ื ท่ผี ิว อุณหภูมิ หรอื ตวั เร่งปฏกิ ิริยา ทมี่ ตี ่ออตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี และนาเสนอเพอ่ื แลกเปลีย่ นความรู้
ในห้องเรียน
ผลการสืบค้นหรอื สารวจข้อมลู
ความเขม้ ข้น
• การลา้ งห้องนา้ โดยใชน้ า้ ายาลา้ งหอ้ งนา้ ทม่ี คี วามเขม้ ขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกวา่ จะ
ทาใหเ้ กดิ ปฏิกิริยากบั หินปูนไดเ้ รว็ กวา่ d
• การล้างห้องน้าโดยใชน้ ้าายาลา้ งห้องนา้ ที่มีความเข้มขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ มากกว่าจะ
ทาให้เกิดปฏกิ ริ ยิ ากบั หินปูนได้เรว็ กว่า d
• การล้างห้องน้าโดยใชน้ า้ ายาลา้ งหอ้ งนา้ ที่มีความเข้มขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกวา่ จะ
อณุ หภมู ิ
• การลา้ งห้องนา้ โดยใชน้ ้าายาล้างห้องน้าที่มคี วามเข้มขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกวา่ จะ
ทาใหเ้ กดิ ปฏกิ ิรยิ ากบั หนิ ปนู ได้เร็วกวา่ d
• การลา้ งหอ้ งน้าโดยใช้น้าายาล้างหอ้ งนา้ ที่มีความเขม้ ข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกว่าจะ
ทาใหเ้ กิดปฏกิ ิรยิ ากับหินปนู ไดเ้ รว็ กว่า d
• การลา้ งห้องน้าโดยใช้นา้ ายาลา้ งหอ้ งนา้ ท่ีมีความเขม้ ข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ มากกว่าจะ
พ้นื ที่ผวิ ของสาร
• การลา้ งหอ้ งน้าโดยใช้น้าายาลา้ งห้องนา้ ทม่ี ีความเขม้ ข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกวา่ จะ
ทาให้เกิดปฏิกิรยิ ากบั หินปนู ได้เร็วกวา่ d
• การล้างห้องน้าโดยใชน้ า้ ายาล้างหอ้ งน้าที่มคี วามเข้มขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ มากกวา่ จะ
ทาให้เกิดปฏกิ ิรยิ ากบั หินปูนได้เร็วกวา่ d
• การล้างห้องนา้ โดยใช้น้าายาล้างห้องนา้ ที่มคี วามเขม้ ข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ มากกวา่ จะ
ตัวเร่งปฏิกิรยิ า
• การล้างห้องน้าโดยใชน้ า้ ายาลา้ งหอ้ งนา้ ที่มีความเขม้ ข้นของสารละลายกรดไฮโดร คลอริกมากกวา่ จะ
ทาให้เกิดปฏิกริ ิยากบั หนิ ปนู ไดเ้ รว็ กว่า d
• การล้างห้องนา้ โดยใช้น้าายาลา้ งหอ้ งน้าที่มคี วามเขม้ ขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ มากกวา่ จะ
327
ชื่อ ชัน้ เลขท่ี ‘
เฉลยใบกจิ กรรม 4.3 สืบค้นข้อมูลปัจจัยท่ีมผี ลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชีวิตประจาวัน
คาส่ัง สืบคน้ ขอ้ มูลและยกตวั อย่างเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ หรอื กรณีศึกษาทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ผล ของความเขม้ ขน้
พืน้ ที่ผิว อณุ หภูมิ หรอื ตัวเรง่ ปฏิกริ ยิ า ท่ีมีตอ่ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี และนาเสนอเพอื่ แลกเปลย่ี นความรู้
ในหอ้ งเรยี น
ผลการสืบค้นหรอื สารวจข้อมลู
ความเขม้ ข้น
• การล้างหอ้ งนา้ โดยใชน้ า้ ายาล้างหอ้ งนา้ ทม่ี ีความเข้มขน้ ของสารละลายกรดไฮโดร คลอรกิ มากกวา่ จะ
ทาให้เกิดปฏกิ ิรยิ ากบั หนิ ปนู ได้เรว็ กว่า d
อณุ หภูมิ
• การเก็บผลไมห้ รอื อาหารในตูเ้ ย็นซงึ่ มอี ุณหภูมติ า่ เพอื่ ใหอ้ ย่ไู ดน้ านและคงความสดใหม่
• อณุ หภมู มิ ีผลต่ออัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาของสารในรา่ งกายของมนุษย์ โดยถา้ รา่ งกายมีอุณหภูมสิ ูงข้นึ
1 องศาเซลเซยี ส เน้อื เย่อื ในร่างกายจะต้องการออกซเิ จนเพมิ่ ขึ้น ซ่งึ มผี ลให้อัตราการเตน้ ของชพี จร
และอตั ราการหายใจเพ่มิ ขนึ้
พ้นื ทผี่ วิ ของสาร
• ในการรบั ประทานอาหาร นักโภชนาการแนะนาใหเ้ ค้ียวอาหารให้ละเอยี ดกอ่ นกลนื เพราะการเคี้ยว
อาหารใหล้ ะเอียดทาใหอ้ าหารมีขนาดเลก็ ลง เป็นการเพิ่มพน้ื ทผี่ วิ ของอาหารใหม้ ากข้นึ ทาให้กรดและ
เอนไซมใ์ นนา้ ยอ่ ยในกระเพาะอาหารทาปฏิกิรยิ ากับอาหารได้เรว็ ขึ้น อาหารจึงยอ่ ยง่ายขนึ้
ตัวเร่งปฏิกริ ิยา
• การหมกั เนอ้ื โดยเตมิ ยางมะละกอซึง่ มเี อนไซม์ปาเปน (papain) ลงไป จะทาให้เนื้อนมุ่ ขนึ้ เนอื่ งจาก
เอนไซม์ปาเปนจะชว่ ยยอ่ ยโปรตีนในเนอื้ ทาให้เนอ้ื น่มุ ขึ้นเมื่อทาให้สกุ
328
เรือ่ ง ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 26 เวลา 1 ชว่ั โมง
รายวชิ า ว31104 รวม 13 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ พลงั งาน ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เขา้ ใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกับโครงสรา้ ง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
2. ตวั ชว้ี ัด
ว 2.1 ม.5/23 อธิบายความหมายของปฏิกิรยิ ารีดอกซ์
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธิบายความหมายของปฏิกิริยารดี อกซ์ได้
2) นักเรียนยกตัวอยา่ งปฏิกริ ิยารดี อกซท์ ่พี บในชีวิตประจาวันได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถเขยี นแผนภาพทิศทางการเคล่ือนทีข่ องอิเลก็ ตรอนทท่ี าให้เกดิ กระแสไฟฟูาได้
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝเุ รียนรู้และเป็นผูม้ คี วามมุง่ มั่นในการทางาน
4. สาระสาคญั
พลงั งานท่นี ามาใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั ไดม้ าจากปฏิกิรยิ าเคมี และปฏิกริ ยิ านวิ เคลียร์ โดยปฏิกริ ิยา
เคมีที่ให้พลงั งานอาจไดม้ าจากปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีไฟฟูา ซึ่งปฏกิ ริ ิยาท่เี กิดขึ้น เขยี นแสดงได้ดว้ ย
สมการเคมี โดยแสดงชนิดและจานวนของสาร ตงั้ ต้นท่ีทา ปฏิกริ ิยากนั และผลติ ภัณฑ์ ทีเ่ กดิ ขึ้น รวมทั้งภาวะในการ
เกิดปฏกิ ิริยา การพจิ ารณา วา่ ปฏิกริ ยิ าเคมีเกดิ เรว็ หรือช้าพิจารณาไดจ้ าก อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเค มี ซง่ึ ขนึ้ อย่กู ับ
หลายปจั จยั เช่น ความเข้มข้น อณุ หภูมิ พ้ืนท่ผี วิ ของสารตัง้ ตน้ ตวั เร่งปฏิกิริยา ความ รู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออตั รา
การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั และในอตุ สาหกรรม ปฏิกิริยารดี อกซ์เป็นปฏิกริ ิยา
เคมีทีเ่ กดิ จากการถา่ ยโอนอิเล็กตรอน ของสาร โดยปฏิกริ ิยารีดอกซม์ ีทงั้ ท่ีให้กระแสไฟฟูาและไมใ่ หก้ ระแสไฟฟูา
สาหรับปฏกิ ิรยิ านิวเคลยี ร์ จะใชส้ ารกมั มันตรงั สีเปน็ แหล่งของพลังงาน เนือ่ งจากสารกัมมันตรงั สีมีนิวเคลียสไม่
เสถียร เกิดการสลายและแผร่ งั สีอย่างต่อเน่อื ง สารกมั มันตรังสีแตล่ ะชนดิ มคี า่ ครึ่งชวี ติ แตกตา่ งกัน และรงั สีทแ่ี ผ่ออก