179
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 14
เรอ่ื ง คาร์โบไฮเดรต วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 2 ชว่ั โมง
รายวิชา ว31104 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ อาหาร รวม 13 ชัว่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหว่างสมบัตขิ องสสารกบั โครงสรา้ ง
และแรงยึดเหน่ยี วระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
2. ตวั ชวี้ ดั
ว 2.1 ม.5/15 สบื ค้นข้อมูลและเปรียบเทยี บสมบตั ทิ างกายภาพระหวา่ งพอลเิ มอร์และมอนอเมอร์ของ
พอลิเมอร์ชนดิ น้นั
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนสบื ค้นข้อมูลและเปรยี บเทยี บสมบตั ิทางกายภาพระหว่างพอลเิ มอร์และมอนอเมอร์ของ
พอลเิ มอร์ชนิดนนั้ ได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นสามารถทากิจกรรม 3.1 การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและแปงู มนั
สาปะหลังได้
3.3 ดา้ นคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝุเรียนร้แู ละเป็นผมู้ ีความมุง่ มน่ั ในการทางาน
4. สาระสาคญั
อาหารเป็นปจั จัยสาคญั สาหรบั การดารงชีวติ ของมนษุ ย์ โดยไขมนั คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และวิตามินเป็น
สารประกอบอินทรีย์ ส่วนเกลอื แร่เปน็ ไอออนหรอื สารประกอบไอออนกิ สารประกอบ อินทรยี ์เป็นสารประกอบของ
ธาตคุ าร์บอนซงึ่ อาจมีธาตอุ ่นื เปน็ องคป์ ระกอบรว่ มด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซเิ จน ไนโตรเจน ซลั เฟอร์ ไขมนั มีทงั้
ชนดิ อ่ิมตวั และไมอ่ ิม่ ตวั ซงึ่ พจิ ารณาได้จากชนดิ พันธะระหวา่ งคาร์บอนอะตอมในกรดไขมนั ซ่ึงใชเ้ กณฑเ์ ดียวกบั
สารประกอบไฮโดรเจนคารบ์ อน คาร์โบไฮเดรต ทีเ่ ป็นมอนอเมอร์และพอลเิ มอรม์ ีสมบัตแิ ตกตา่ งกนั โปรตนี เป็น
พอลเิ มอร์ท่มี ีมอนอเมอรเ์ ปน็ กรด แอมิโนซงึ่ มีหมู่คาร์บอก ซลิ และหมอู่ ะมโิ น จึงแสดงสมบตั ิความเป็นกรด -เบสได้
วิตามนิ แตล่ ะชนิดมีสภาพข้ัวแตกตา่ งกนั ทาให้บางชนดิ ละลายได้ในนา้ มัน บางชนดิ ละลายได้ในนา้ มนั ซึ่งเป็นไปตาม
หลักการ like dissolves like ส่วนเกลอื แร่แตล่ ะชนดิ มีประโยชนท์ ่ีแตกต่างกัน บรรจุภณั ฑ์ สาหรบั อาหารส่วนใหญ่
180
ทามาจากพลาสติกซ่ึงเปน็ พอลเิ มอร์สงั เคราะห์ มีทั้งชนดิ พอลิเมอร์เทอรม์ อพลาสตกิ และพอลเิ มอร์ เทอรม์ อเซต ซึ่งใช้
งานได้แตกตา่ งกนั พลาสติกย่อยสลายไดย้ ากและมีการใช้ในปรมิ าณมาก จงึ ก่อให้เกดิ ปญั หาขยะ การลดการใช้ การ
ใช้ซ้า และการนากลับมาใชใ้ หม่ เป็นการช่วยปญั หาไดท้ างหน่ึง
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
คาร์โบไฮเดรต
ข้าว แปงู นา้ ตาลเป็นอาหารที่มคี าร์โบไฮเดรตเปน็ องคป์ ระกอบหลักซึง่ เปน็ แหลง่ พลังงานสาหรบั
สง่ิ มชี ีวิต เมอ่ื บรโิ ภค ข้าวหรือ แปงู รา่ งกายจะยอ่ ยคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญท่ ม่ี ขี นาดเลก็ ลง จนไดเ้ ปน็
กลโู คสซงึ่ เป็นหน่วยย่อยท่สี ุดของคารโ์ บไฮเดรต ร่างกายสามารถดดู ซึม กลูโคสทีเ่ ป็นโมเลกลุ ขนาดเล็ก เขา้ สู่
กระแสเลือดและใชเ้ ปน็ สารตง้ั ตน้ ในการทาปฏกิ ริ ิยากบั ออกซิเจน เพือ่ ให้พลังงาน แก่ร่างกาย สาหรับผทู้ ี่มี
ระดบั นา้ ตาลในเลอื ดลดลง อย่าง เร็วจากการออกกาลังกาย หรอื ท้องเสยี การด่มื เคร่ืองดม่ื เกลือแร่ที่มี
สว่ นผสมของกลูโคสจงึ เปน็ วธิ หี น่งึ ทช่ี ่วยทาให้ระดับนา้ ตาลในเลอื ดกลับสสู่ ภาวะปกติได้เร็วกวา่ การบริโภค
ขา้ วแปูง
รูป 3.7 ภาพจาลองการย่อยโมเลกลุ แปูงให้เป็นกลูโคส
ในทางเคมีจดั ใหค้ ารโ์ บไฮเดรตในข้าวและแปงู ซ่งึ มีโมเลกลุ ขนาดใหญเ่ ปน็ พอลิแซ็กคาไรด์
(polysaccharide) ส่วนกลูโคสเป็นนา้ ตาลโมเลกลุ เดย่ี วหรือมอนอแซ็กคาไรด์ (monosaccharide)
โครงสรา้ งแสดงดงั รูป 3.8
รปู 3.8 โครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรดแ์ ละมอนอแซ็กคาไรด์
สารเคมที ี่โมเลกุลมีโครงสร้างขนาดใหญป่ ระกอบด้วยหนว่ ยยอ่ ยจานวนมากเช่อื มตอ่ กันเชน่ เดยี วกับ
พอลแิ ซ็กคาไรด์ เรยี กว่า พอลิเมอร์ (polymer) ส่วนสารโมเลกลุขนาดเล็กท่มี ารวมตวั กันเพ่อื เกดิ เป็น
พอลเิ มอร์ เรยี กวา่ มอนอเมอร์ (monomer) ซ่งึ มอนอเมอรข์ องพอลแิ ซ็กคาไรด์ในขา้ วและแปูง คอื กลูโคส
181
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อา่ น ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั กลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คุณลกั ษณะและค่านิยม
ใฝุเรยี นรแู้ ละเปน็ ผ้มู ีความมุ่งมั่นในการทางาน
6. บรู ณาการ
บูรณาการเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพยี ง
เง่ือนไขความรู้: ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวชิ าการต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้องอย่างรอบดา้ น ความ
รอบคอบทจี่ ะนาความรเู้ หล่านน้ั มาพิจารณาให้เชือ่ มโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผน และความระมดั ระวงั
ในข้ันปฏบิ ัติ
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูนาเขา้ สู่บทเรียนโดยใหน้ กั เรยี นบอกความสาคญั ของคารโ์ บไฮเดรต
1.2 ครูให้นักเรยี นยกตวั อย่างอาหารทม่ี ีคารโ์ บไฮเดรตเปน็ องค์ประกอบ ขนมปงั แปูง นา้ ตาล เปน็ ตน้
1.3 ใหน้ ักเรยี นพิจารณารูป 3.7 แลว้ อภิปรายเก่ยี วกับการยอ่ ยคารโ์ บไฮเดรตในแปงู ใหเ้ ปน็ กลูโคส
เพ่ือให้ไดข้ อ้ สรปุ ว่า คารโ์ บไฮเดรตในแปูงเปน็ โมเลกลุ ขนาดใหญ่ ร่างกายไม่สามารถดดู ซึมได้ จึงต้องยอ่ ยให้
เปน็ กลูโคสทเ่ี ปน็ โมเลกุลขนาดเล็กที่สดุ จนร่างกายสามารถดูดซึมได้
ข้นั ท่ี 2 ข้นั สารวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้ความร้เู ก่ียวกบั พอลแิ ซก็ คาไรดแ์ ละมอนอแซ็กคาไรด์ จากนนั้ ใช้สูตรโครงสรา้ งจากรูป
3.8 เชือ่ มโยงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมอนอเมอร์กบั พอลเิ มอร์
2.2 ครูจัดกลมุ่ นักเรียน โดยแบง่ ออกเป็นกล่มุ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.3 นกั เรียนแต่ละกล่มุ ศกึ ษาใบกิจกรรม 3.1 เรือ่ ง การทดลองเปรยี บเทียบสมบัตบิ างประการของ
กลูโคสและแปงู มันสาปะหลัง
2.4 ครูแจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ อปุ กรณ์ และขัน้ ตอนการทดลองอย่างละเอยี ด
2.5 นกั เรยี นรับอปุ กรณ์การทดลอง พร้อมตดิ ต้ังอุปกรณ์
2.6 นกั เรียนแต่ละกล่มุ ทาการทดลอง สังเกตและบนั ทึกผลการทดลอง
ข้ันที่ 3 ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูสุ่มนกั เรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลการทดลองทีไ่ ด้จากการทากิจกรรมหน้าชนั้ เรียน
3.2 ครูนานักเรยี นอภปิ รายผลการทดลองของกจิ กรรม 3.1 เรอื่ ง การทดลองเปรียบเทียบสมบตั ิ
บางประการของกลูโคสและแปงู มันสาปะหลงั เพอ่ื นาไปสกู่ ารสรปุ โดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
182
1) สารกลูโคสทีอ่ ณุ หภูมิหอ้ งมีการเปลย่ี นแปลงของสารในนา้ อยา่ งไร (แนวการตอบ
ละลายนา้ ได้สารละลายใส ไม่มสี ี)
2) สารกลโู คสหลงั ตม้ มีการเปลย่ี นแปลงของสารในน้าอย่างไร (แนวการตอบ ไม่มกี าร
เปล่ียนแปลง)
3) สารกลูโคสการตดิ กนั ของกระดาษเปน็ อยา่ งไร (แนวการตอบ กระดาษไม่ติดกนั )
4) แปูงมนั สาปะหลังทอี่ ุณหภมู ิห้องมีการเปลย่ี นแปลงของสารในนา้ อยา่ งไร (แนวการ
ตอบ ไมล่ ะลายได้สารแขวนลอย สขี าวขนุ่ เม่ือท้งิ ไว้จะตกตะกอน)
5) แปงู มันสาปะหลังหลงั ตม้ มกี ารเปลย่ี นแปลงของสารในน้าอยา่ งไร (แนวการตอบ นา้
แปงู ใสขึ้น มลี กั ษณะหนืด)
6) แปงู มันสาปะหลงั การติดกนั ของกระดาษเปน็ อยา่ งไร (แนวการตอบ กระดาษติดกนั
แนน่ ดึงออกจากกนั ไมไ่ ด้)
3.3 นกั เรียนและครรู ว่ มกนั อภิปรายผลการทดลองและสรปุ ผลการทาการทดลอง จนสรุป
ได้ ดงั น้ี
เมือ่ นากลูโคสมาละลายในน้าพบว่าไดส้ ารละลายใสไมม่ สี ี แสดงว่ากลโู คสละลายน้าไดด้ ี
หลงั ต้มไม่เกดิ การเปลีย่ นแปลง ส่วนแปูงมันสาปะหลงั ไมล่ ะลายน้าท่อี ุณหภูมิห้อง แต่เม่อื ผ่านการตม้ พบวา่
นา้ แปงู มีลกั ษณะใสข้นึ เม่ือนาสารทั้ง 2 ชนดิ ที่ผ่านการต้มแลว้ มาทดสอบดว้ ยการตดิ กระดาษพบวา่ นา้ แปงู
ทาใหก้ ระดาษติดกันได้มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงวา่ นา้ แปงู มีความหนดื มากกวา่ สารละลายกลโู คส
และเมือ่ พจิ ารณาลกั ษณะของสารละลายกลโู คสและนา้ แปูงหลังต้ม จะพบวา่ นา้ แปงู มลี กั ษณะหนดื ขน้
มากกวา่ ซึง่ สอดคลอ้ งกับผลการทดสอบดว้ ยการติดกบั กระดาษ ดงั นน้ั จงึ สรุปได้ว่า กลูโคสและแปูงมนั
สาปะหลงั มีสมบตั ิแตกตา่ งกัน โดยกลูโคสละลายนา้ าได้ดกี ว่า ส่วนแปูงมันสาปะหลังใหส้ ารละลายทม่ี ีความ
หนดื มากกว่า
ข้ันที่ 4 ข้ันขยายความรู้
4.1 ครูใหค้ วามรู้เพม่ิ เติมเกีย่ วกบั นา้ ตาลทราย ตามรายละเอียดในหนังสอื เรียนหน้า 66
ขั้นท่ี 5 ขนั้ ประเมินผล
5.1 นักเรียนสง่ ใบกิจกรรม 3.1 เรื่อง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลูโคสและ
แปงู มันสาปะหลงั
ประยุกต์และตอบแทนสงั คม
ครูให้นักเรยี นแตล่ ะคนนาความรทู้ ีเ่ รยี นไปคน้ ควา้ เพิ่มเติมท่ีหอ้ งสมุด หรอื เวบ็ ไซต์ แล้วนาเสนอใน
ชั้นเรียน
8. สอื่ การเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ) ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 1
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอรเ์ น็ต
183
8.3 ห้องสมุด
8.4 ใบกิจกรรม 3.1 เร่อื ง การทดลองเปรยี บเทยี บสมบตั บิ างประการของกลโู คสและแปูงมันสาปะหลัง
9. การวัดและประเมินผล วธิ กี ารวัด เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1) นักเรยี นสามารถ
1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมินการ สรุปผลการทดลองได้
ด้านความรู้ (K) 3.1 เรื่อง การทดลอง ทากิจกรรม ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
1) นกั เรยี นสบื ค้นข้อมลู และเปรียบเทยี บ เปรียบเทยี บสมบัติบาง 2) ใบกิจกรรม 3.1
สมบัตทิ างกายภาพระหว่างพอลิเมอรแ์ ละ ประการของกลโู คส เรือ่ ง การทดลอง 1) นักเรยี นสามารถ
มอนอเมอรข์ องพอลเิ มอร์ชนิดนนั้ ได้ และแปงู มนั สาปะหลงั เปรียบเทยี บสมบัติ บันทึกผลการทา
กิจกรรมไดร้ ะดบั ดี
ด้านกระบวนการ (P) บางประการของ ผ่านเกณฑ์
1) นักเรยี นสามารถทากิจกรรม 3.1 การ กลูโคสและแปูงมัน
ทดลองเปรยี บเทยี บสมบตั ิบางประการของ สาปะหลงั
กลูโคสและแปงู มันสาปะหลงั ได้
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ
3.1 เรอ่ื ง การทดลอง ทากจิ กรรม
เปรียบเทยี บสมบัติบาง 2) ใบกจิ กรรม 3.1
ประการของกลูโคส เร่อื ง การทดลอง
และแปงู มนั สาปะหลงั เปรียบเทียบสมบตั ิ
บางประการของ
กลโู คสและแปูงมนั
สาปะหลัง
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนทาภาระ
1) ใฝเุ รียนรู้และเปน็ ผู้มคี วามมุ่งม่นั ในการ 3.1 เร่อื ง การทดลอง ทากิจกรรม งานที่ไดร้ ับมอบหมาย
ทางาน เปรยี บเทยี บสมบัติบาง 2) ใบกจิ กรรม 3.1 ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ประการของกลโู คส เรือ่ ง การทดลอง
และแปูงมันสาปะหลงั เปรียบเทยี บสมบัติ
บางประการของ
กลูโคสและแปูงมนั
สาปะหลัง
184
10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรอื่ ง คารโ์ บไฮเดรต
ประเด็นการ คา่ น้าหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรุปผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น
(K) 2 สรปุ ผลการทดลองค่อนข้างถูกตอ้ งครบถว้ น
1 สรุปผลการทดลองไดค้ ่อนข้างถกู ต้อง
ดา้ น 3 บนั ทึกผลกิจกรรมไดถ้ กู ต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 บันทึกผลกจิ กรรมคอ่ นข้างถกู ต้อง
(P) 1 บนั ทึกผลกจิ กรรมไดค้ อ่ นข้างถกู ต้อง
ด้าน 3 ทาภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาทีก่ าหนด และเรียบร้อยถกู ต้องครบถ้วน
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทก่ี าหนด แตง่ านยังผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1 ทาภาระงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ชา้ และเกดิ ข้อผิดพลาดบางสว่ น
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
185
การประเมนิ การทากจิ กรรม เรอ่ื ง คารโ์ บไฮเดรต
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
186
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
187
บันทกึ หลงั การสอน
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 เรื่อง อาหาร พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 14 เรื่อง คารโ์ บไฮเดรต .
ใ เดอื น ใ
วนั ท่ี
ผลการจัดการเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อปุ สรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอื่ ............................................ครูผูส้ อน ลงชอ่ื .............................................หัวหน้ากลุ่มสาระ
(นางสาวนลิ นกิ า แก้วปญั ญา) (นางนพรัตน์ ครฑุ เกิด)
188
ใบกจิ กรรม 3.1 เรอ่ื ง การทดลองเปรียบเทียบสมบตั ิบางประการของกลโู คสและแปง้ มนั สาปะหลัง
1. รายชอ่ื สมาชกิ ท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
เพ่อื ศึกษาสมบัติการละลายและการติดกระดาษของสารละลายกลูโคสและน้าแปูงมันสาปะหลัง
3. วัสดุ-อุปกรณ์
1) แปงู มนั สาปะหลัง 5g 5) แทง่ แก้วคน 1 แท่ง
2) กลโู คส 5 g6 ) เคร่อื งชัง่ 1 เครือ่ ง
3) น้ากล่นั 25 ml 7) เตาแผ่นความรอ้ น 1 เครือ่ ง
4) บกี เกอร์ ขนาด 50 mL 2 ใบ 8) กระดาษขนาด 5 cm x 7 cm 4 แผน่
4. วธิ ีทาการทดลอง
1) ใส่แปงู มนั สาปะหลัง 5 g ลงในบีกเกอร์ ใบท่ี 1 แลว้ เตมิ นา้ ลงในบกี เกอร์ 12.5 ml คนให้เข้ากันทอ่ี ุณหภมู ิห้อง สงั เกต
และบนั ทกึ ผล จากนน้ั ทาการทดลองเชน่ เดยี วกนั แต่เปล่ยี นจากแปูงมนั สาปะหลงั เปน็ กลโู คสในบกี เกอร์ ใบท่ี 2
2) นาบกี เกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 มาต้ม เปน็ เวลา 1 นาที โดยระหว่างทตี่ ้มต้องใชแ้ ทง่ แกว้ คนตลอดเวลา จากนนั้ ตั้งพักไว้
ประมาณ 5 นาที
3) ทาสารในบีกเกอร์ ใบที่ 1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผน่ ใหท้ ่ัว จากนั้นตดิ ประกอบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษ
อกี แผน่ ท่มี ีขนาดเท่ากนั ตั้งไวใ้ หแ้ ห้งประมาณ 10 นาที จากน้นั ดึงกระดาษทงั้ สองออกจากกนั สงั เกตและบันทกึ ผล
การทดลอง
189
5. ผลการทดลอง ตารางบนั ทึกผลการทดลอง
สาร
กลโู คส การเปลยี่ นแปลงของสารในน้าท่สี ังเกตได้ การตดิ กนั ของกระดาษ
ท่อี ุณหภูมิห้อง หลังต้ม
แปงู มนั สาปะหลัง
6. คาถามทา้ ยการทดลอง มกี าร
1) สารละลายกลูโคสและนา้ แปูงมนั สาปะหลัง มลี กั ษณะเหมอื นกันหรอื ไม่ อย่างไร มีการ
ตอบ กลโู คสและแปูงมันสาปะหลังมีสมบตั แิ ตกต่างกัน กลโู คสละลายนา้ าไดด้ กี ว่า
2) หลังการต้ม สารทัง้ สองชนดิ มีความหนืดแตกตา่ งกันหรอื ไม่ อยา่ งไร
ตอบ แตกต่างกนั แปูงมนั สาปะหลังให้สารละลายทีม่ คี วามหนืดมากกว่าฃ
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา่ เมื่อนากลโู คสมาละลายในนา้ พบว่าไดส้ ารละลายใสไม่มสี ี แสดงว่ากลโู คสละลายน้าได้ดี
หลงั ต้มไมเ่ กดิ การเปลยี่ นแปลง ส่วนแปูงมันสาปะหลังไม่ละลายน้าท่ีอุณหภมู หิ ้อง แตเ่ มื่อผ่านการต้มพบว่านา้ แปงู มี
ลกั ษณะใสข้ึน เม่อื นาสารทงั้ 2 ชนิดท่ีผา่ นการต้มแล้ว มาทดสอบด้วยการติดกระดาษพบว่านา้ แปงู ทาใหก้ ระดาษตดิ กนั ได้
มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงวา่ นา้ แปงู มคี วามหนดื มากกว่าสารละลายกลูโคส และเมือ่ พจิ ารณาลกั ษณะของ
สารละลายกลโู คสและนา้ แปูงหลงั ต้ม จะพบว่านา้ แปูงมีลกั ษณะหนดื ข้นมากกวา่ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั ผลการทดสอบดว้ ยการ
ตดิ กับกระดาษ v
มากกว่าสารละลายกลดู คสแสดงวา่ นา้ แปูงมคี วามหนืดมากกว่าสารละลายกลโู คส และเม่อื พจิ ารณาลกั ษณะของ
สารละลายกลูโคสและน้าแปูงหลงั ตม้ จะพบว่านา้ แปูงมีลกั ษณะหนืดขน้ มากกว่า ซึ่งสอดคลอ้ งกับผลการทดสอบดว้ ยการ
ตดิ กบั กระดาษ v
190
เฉลยใบกจิ กรรม 3.1 เรอ่ื ง การทดลองเปรียบเทียบสมบัติบางประการของกลโู คสและแป้งมนั สาปะหลัง
1. รายชื่อสมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
เพอื่ ศึกษาสมบัตกิ ารละลายและการตดิ กระดาษของสารละลายกลโู คสและนา้ แปงู มนั สาปะหลัง
3. วสั ดุ-อุปกรณ์
1) แปงู มันสาปะหลงั 5g 5) แท่งแกว้ คน 1 แท่ง
2) กลโู คส 5 g6 ) เครอื่ งชัง่ 1 เครอ่ื ง
3) น้ากลนั่ 25 ml 7) เตาแผน่ ความร้อน 1 เครือ่ ง
4) บกี เกอร์ ขนาด 50 mL 2 ใบ 8) กระดาษขนาด 5 cm x 7 cm 4 แผน่
4. วธิ ที าการทดลอง
1) ใสแ่ ปูงมนั สาปะหลงั 5 g ลงในบีกเกอร์ ใบท่ี 1 แล้วเติมนา้ ลงในบีกเกอร์ 12.5 ml คนใหเ้ ขา้ กันที่อณุ หภมู ิห้อง สงั เกต
และบนั ทกึ ผล จากนน้ั ทาการทดลองเชน่ เดยี วกนั แต่เปล่ยี นจากแปูงมนั สาปะหลงั เปน็ กลโู คสในบกี เกอร์ ใบท่ี 2
2) นาบกี เกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 มาต้ม เป็นเวลา 1 นาที โดยระหว่างท่ีต้มตอ้ งใชแ้ ท่งแก้วคนตลอดเวลา จากน้ันตั้งพักไว้
ประมาณ 5 นาที
3) ทาสารในบีกเกอร์ ใบท่ี 1 และ 2 ลงบนกระดาษแต่ละแผน่ ให้ทัว่ จากนั้นตดิ ประกอบกระดาษแต่ละแผ่นด้วยกระดาษ
อีกแผ่นท่มี ีขนาดเทา่ กนั ตัง้ ไว้ให้แห้งประมาณ 10 นาที จากนน้ั ดึงกระดาษท้งั สองออกจากกนั สงั เกตและบนั ทกึ ผล
การทดลอง
5. ผลการทดลอง 191
ตารางบันทกึ ผลการทดลอง การตดิ กนั ของกระดาษ
กระดาษไมต่ ิดกัน
สาร การเปลยี่ นแปลงของสารในนา้ ท่สี ังเกตได้
กลูโคส กระดาษติดกันแนน่ ดงึ
แปูงมนั สาปะหลงั ทอี่ ณุ หภูมิหอ้ ง หลงั ต้ม ออกจากกันไมไ่ ด้
ละลายนา้ ได้สารละลาย ไม่เปลีย่ นแปลง
ใส ไมม่ สี ี
ไม่ละลายได้สาร
แขวนลอย สีขาวขนุ่ น้าแปูงใสข้ึน มลี ักษณะหนืด
เม่ือทิ้งไวจ้ ะตกตะกอน
6. คาถามทา้ ยการทดลอง มีการ
1) สารละลายกลูโคสและนา้ แปูงมันสาปะหลัง มีลกั ษณะเหมือนกนั หรือไม่ อย่างไร มีการ
ตอบ กลูโคสและแปงู มนั สาปะหลังมีสมบัตแิ ตกตา่ งกัน กลูโคสละลายน้าาได้ดกี วา่
2) หลังการตม้ สารทง้ั สองชนิดมคี วามหนดื แตกตา่ งกนั หรอื ไม่ อย่างไร
ตอบ แตกต่างกนั แปงู มนั สาปะหลังให้สารละลายทม่ี ีความหนดื มากกวา่
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทดลองพบวา่ เมื่อนากลโู คสมาละลายในน้าพบว่าไดส้ ารละลายใสไม่มสี ี แสดงว่ากลูโคสละลายนา้ ไดด้ ี
หลงั ต้มไมเ่ กิดการเปล่ยี นแปลง ส่วนแปูงมันสาปะหลังไม่ละลายน้าทีอ่ ุณหภูมหิ อ้ ง แตเ่ ม่อื ผ่านการตม้ พบวา่ นา้ แปูงมี
ลกั ษณะใสขน้ึ เมอ่ื นาสารทงั้ 2 ชนิดทผี่ ่านการตม้ แล้ว มาทดสอบด้วยการตดิ กระดาษพบวา่ นา้ แปงู ทาใหก้ ระดาษติดกันได้
มากกว่าสารละลายกลูดคสแสดงวา่ น้าแปงู มีความหนดื มากกวา่ สารละลายกลูโคส และเมื่อพจิ ารณาลกั ษณะของ
สารละลายกลโู คสและนา้ แปูงหลงั ตม้ จะพบว่าน้าแปูงมลี กั ษณะหนืดขน้ มากกวา่ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั ผลการทดสอบด้วยการ
ตดิ กบั กระดาษ v
192
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 15
เรื่อง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอรแ์ ละพอลเิ มอร์
รายวิชา ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ช่ัวโมง
รวม 13 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ อาหาร
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ องสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตัวช้วี ดั
ว 2.1 ม.5/15 สบื ค้นขอ้ มูลและเปรยี บเทียบสมบัติทางกายภาพระหว่างพอลเิ มอร์และมอนอเมอรข์ อง
พอลเิ มอร์ชนดิ น้นั
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรียนสบื คน้ ขอ้ มูลและเปรยี บเทยี บสมบตั ทิ างกายภาพระหวา่ งพอลิเมอรแ์ ละมอนอเมอรข์ อง
พอลเิ มอร์ชนิดนนั้ ได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถทากจิ กรรม 3.2 สบื คน้ ข้อมูลสมบตั ิทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ได้
3.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A)
1) ใฝุเรยี นรู้และเปน็ ผู้มคี วามมุ่งมัน่ ในการทางาน
4. สาระสาคัญ
อาหารเป็นปัจจัยสาคญั สาหรับการดารงชวี ิตของมนุษย์ โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และวติ ามินเป็น
สารประกอบอนิ ทรีย์ ส่วนเกลอื แร่เปน็ ไอออนหรอื สารประกอบไอออนิก สารประกอบ อินทรยี ์เป็นสารประกอบของ
ธาตุคารบ์ อนซึ่งอาจมีธาตอุ น่ื เป็นองคป์ ระกอบรว่ มดว้ ย เช่น ไฮโดรเจน ออกซเิ จน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมัน มีท้ัง
ชนดิ อ่ิมตวั และไมอ่ ม่ิ ตวั ซ่งึ พจิ ารณาไดจ้ ากชนดิ พันธะระหวา่ งคาร์บอนอะตอมในกรดไขมนั ซ่งึ ใช้เกณฑ์เดียวกับ
สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คาร์โบไฮเดรต ท่ีเปน็ มอนอเมอรแ์ ละพอลิเมอร์มีสมบัติแตกตา่ งกนั โปรตนี เป็น
พอลิเมอรท์ ี่มีมอนอเมอรเ์ ปน็ กรด แอมิโนซง่ึ มหี มคู่ ารบ์ อก ซลิ และหมู่อะมโิ น จึงแสดงสมบัติความเปน็ กรด -เบสได้
193
วิตามนิ แต่ละชนดิ มีสภาพข้วั แตกต่างกนั ทาให้บางชนิดละลายได้ในน้ามัน บางชนิดละลายไดใ้ นน้ามนั ซ่งึ เป็นไปตาม
หลักการ like dissolves like สว่ นเกลือแร่แต่ละชนดิ มปี ระโยชน์ท่แี ตกต่างกัน บรรจุภณั ฑ์ สาหรับอาหารส่วนใหญ่
ทามาจากพลาสติกซง่ึ เปน็ พอลเิ มอรส์ งั เคราะห์ มที ้งั ชนดิ พอลเิ มอร์เทอรม์ อพลาสติกและพอลเิ มอร์ เทอร์มอเซต ซ่งึ ใช้
งานไดแ้ ตกต่างกนั พลาสตกิ ย่อยสลายได้ยากและมกี ารใช้ในปริมาณมาก จึงก่อใหเ้ กิดปัญหาขยะ การลดการใช้ การ
ใช้ซา้ และการนากลบั มาใชใ้ หม่ เปน็ การชว่ ยปัญหาไดท้ างหนงึ่
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
คารโ์ บไฮเดรต
ข้าว แปูง นา้ ตาลเป็นอาหารท่ีมคี ารโ์ บไฮเดรตเป็นองคป์ ระกอบหลักซึ่งเปน็ แหล่งพลังงานสาหรบั
สิง่ มชี ีวิต เม่อื บริโภค ข้าวหรือ แปงู รา่ งกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรตโมเลกลุ ใหญท่ ม่ี ีขนาดเลก็ ลง จนไดเ้ ปน็
กลูโคสซงึ่ เป็นหน่วยยอ่ ยท่ีสดุ ของคาร์โบไฮเดรต รา่ งกายสามารถดูดซึม กลโู คสทเ่ี ปน็ โมเลกุลขนาดเล็ก เขา้ สู่
กระแสเลือดและใช้เปน็ สารตงั้ ต้นในการทาปฏิกิรยิ ากับ ออกซเิ จน เพ่ือใหพ้ ลงั งาน แก่รา่ งกาย สาหรับผู้ท่ีมี
ระดับนา้ ตาลในเลือดลดลง อย่าง เร็วจากการออกกาลงั กาย หรอื ทอ้ งเสีย การดื่มเครือ่ งด่มื เกลอื แร่ทม่ี ี
ส่วนผสมของกลูโคสจึงเปน็ วธิ หี นึง่ ทช่ี ว่ ยทาให้ระดับน้าตาลในเลอื ดกลับสู่สภาวะปกตไิ ด้เรว็ กว่าการบริโภค
ข้าวแปงู
รปู 3.7 ภาพจาลองการยอ่ ยโมเลกุลแปงู ให้เป็นกลโู คส
ในทางเคมีจดั ใหค้ าร์โบไฮเดรตในขา้ วและแปูงซง่ึ มีโมเลกุลขนาดใหญ่เป็นพอลแิ ซ็กคาไรด์
(polysaccharide) สว่ นกลโู คสเปน็ นา้ ตาลโมเลกุลเดีย่ วหรอื มอนอแซ็กคาไรด์ (monosaccharide)
โครงสร้างแสดงดังรปู 3.8
รปู 3.8 โครงสร้างของพอลิแซ็กคาไรด์และมอนอแซก็ คาไรด์
สารเคมที ี่โมเลกุลมีโครงสรา้ งขนาดใหญ่ประกอบดว้ ยหน่วยยอ่ ยจานวนมากเช่อื มต่อกันเช่นเดยี วกับ
พอลิแซ็กคาไรด์ เรียกวา่ พอลิเมอร์ (polymer) ส่วนสารโมเลกลุขนาดเล็กทม่ี ารวมตวั กนั เพอ่ื เกดิ เป็น
พอลเิ มอร์ เรยี กวา่ มอนอเมอร์ (monomer) ซงึ่ มอนอเมอรข์ องพอลแิ ซก็ คาไรด์ในข้าวและแปงู คือ กลูโคส
194
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อา่ น ฟงั พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จัดกลมุ่ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสบื คน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)
5.3 คณุ ลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝุเรยี นรแู้ ละเปน็ ผมู้ คี วามมงุ่ มั่นในการทางาน
6. บูรณาการ
-
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ข้ันที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรียน เรอ่ื ง สูตรโครงสร้างของพอลแิ ซก็ คาไรด์ และมอนอแซ็กคาไรด์ และผล
การทากิจกรรม 3.1
1.2 ครตู ั้งคาถามเพือ่ นาเขา้ สู่การทากิจกรรม
- พอลิเมอรเ์ กิดขึน้ จากมอนอเมอรม์ าเชือ่ มกัน นกั เรียนคดิ วา่ พอลิเมอรม์ สี มบัตเิ หมือน
หรือแตกตา่ งกนั อย่างไร
ขนั้ ท่ี 2 ข้ันสารวจและค้นหา
2.1 ครจู ดั กลมุ่ นักเรียน โดยแบ่งออกเปน็ กลุ่มๆ ละ 3-4 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ศกึ ษาใบกจิ กรรม 3.2 เรอ่ื ง สบื คน้ ข้อมลู สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์
และพอลเิ มอร์ (สามารถสืบค้นขอ้ มูลทางอนิ เทอรเ์ นต็ หรือห้องสมดุ )
ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูสุม่ นักเรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลการทากิจกรรมของกลุ่มตวั เองหนา้ ชน้ั เรยี น
3.2 ครูนานกั เรียนอภปิ รายผลการสืบค้นขอ้ มลู ของกจิ กรรม 3.2 เรอื่ ง สืบคน้ ขอ้ มูลสมบตั ทิ าง
กายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ เพอ่ื นาไปสูก่ ารสรุปโดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1) พอลเิ อทิลีน มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง)
2) พอลโิ พรพลิ ีน มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแข็ง)
3) พอลิไวนลิ คลอไรด์ มีสถานะใด (แนวการตอบ ของแขง็ )
4) พอลเิ อทลิ ีน มจี ุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 115-135 °C)
5) พอลโิ พรพิลีน มจี ุดหลอมเหลวเทา่ ใด (แนวการตอบ 130-170 °C)
6) พอลิไวนลิ คลอไรด์ มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ 100-260 °C)
7) เอทลิ ีน มสี ถานะใด (แนวการตอบ แกส๊ )
195
8) โพรพลิ นี มสี ถานะใด (แนวการตอบ แก๊ส)
9) พอลไิ วนลิ คลอไรด์ มสี ถานะใด (แนวการตอบ แกส๊ )
10) เอทิลีน มจี ุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -169.15 °C)
11) โพรพลิ นี มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -185.24 °C)
12) ไวนิลคลอไรด์ มีจุดหลอมเหลวเท่าใด (แนวการตอบ -153.84 °C)
13) จากการสืบค้นขอ้ มูลสถานะและจดุ หลอมเหลวของพอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร์
มสี ถานะเหมอื นกนั หรือไม่ (แนวการตอบ มีสถานะไมเ่ หมือนกนั )
14) จากการสืบคน้ ขอ้ มลู สถานะและจดุ หลอมเหลวของพอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอร์
มจี ุดหลอมเหลวเหมือนกนั หรอื ไม่ (แนวการตอบ มสี ถานะไมเ่ หมือนกนั )
3.3 นักเรียนและครูรว่ มกนั สรุปผลการสืบค้นขอ้ มูลสมบตั ทิ างกายภาพของมอนอเมอรแ์ ละ
พอลิเมอร์จนสรปุ ได้ ดังน้ี
พอลิเมอรม์ ีจุดหลอมเหลวสูงกวา่ มอนอเมอร์ นอกจากนี้มอนอเมอร์และพอลเิ มอร์ที่เกดิ
จากมอนอเมอร์มสี ถานะตา่ งกนั
ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพิม่ เตมิ เกยี่ วกับสมบัตดิ ้านกายภาพของพอลิเมอรข์ นึ้ อย่กู บั โครงสรา้ ง โดยพอลิเมอรท์ ม่ี ี
โครงสร้างแบบสายยาวหรอื โซโ่ ครงสรา้ งแบบสาขาหรอื แขนง และโครงสรา้ งแบบตาขา่ ยหรือรา่ งแห จะมสี มบตั ทิ ่ี
ตา่ งกนั
4.2 ครูให้ความรู้เพม่ิ เตมิ เก่ยี วกบั เซลลูโลส ตามรายละเอยี ดในหนงั สือเรยี น หนา้ 69
ข้ันที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรยี นส่งใบกจิ กรรม 3.2 เร่ือง สบื คน้ ขอ้ มูลสมบัตทิ างกายภาพของมอนอเมอรแ์ ละพอลิ
เมอร์
ประยกุ ต์และตอบแทนสงั คม
ครูให้นักเรยี นแต่ละคนนาความรู้ทเี่ รียนไปคน้ ควา้ เพิ่มเตมิ ท่ีหอ้ งสมุด หรือเวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ชั้นเรียน
8. ส่ือการเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 เล่ม 1
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอรเ์ นต็
8.3 หอ้ งสมุด
8.4 ใบกิจกรรม 3.2 เร่อื ง สืบคน้ ขอ้ มูลสมบัตทิ างกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
196
9. การวัดและประเมนิ ผล วธิ กี ารวัด เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K) สรปุ ผลการสืบค้น
1) นักเรยี นสืบค้นข้อมูลและเปรียบเทยี บ 3.2 เรื่อง สืบคน้ ขอ้ มูล ทากิจกรรม ข้อมลู ไดร้ ะดบั ดี ผ่าน
สมบัตทิ างกายภาพระหวา่ งพอลเิ มอร์และ เกณฑ์
มอนอเมอร์ของพอลเิ มอรช์ นิดน้ันได้ สมบตั ทิ างกายภาพของ 2) ใบกจิ กรรม 3.2
1) นกั เรียนสามารถ
ด้านกระบวนการ (P) มอนอเมอร์และ เรือ่ ง สืบค้นข้อมูล บนั ทกึ ผลการสืบค้น
1) นักเรยี นสามารถทากิจกรรม 3.2 เรื่อง ข้อมูลไดร้ ะดบั ดี ผา่ น
สบื ค้นข้อมลู สมบัตทิ างกายภาพของมอนอ พอลเิ มอร์ สมบัตทิ างกายภาพ เกณฑ์
เมอรแ์ ละพอลิเมอร์ได้
ของมอนอเมอร์และ 1) นกั เรียนทาภาระ
ด้านคุณลกั ษณะ (A) งานที่ได้รบั มอบหมาย
1) ใฝเุ รียนรแู้ ละเปน็ ผู้มีความมุง่ มั่นในการ พอลิเมอร์ ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
ทางาน
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ
3.2 เรอ่ื ง สืบค้นข้อมูล ทากิจกรรม
สมบตั ทิ างกายภาพของ 2) ใบกิจกรรม 3.2
มอนอเมอรแ์ ละ เรื่อง สืบคน้ ขอ้ มูล
พอลเิ มอร์ สมบตั ทิ างกายภาพ
ของมอนอเมอรแ์ ละ
พอลเิ มอร์
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ
3.2 เร่อื ง สบื ค้นขอ้ มลู ทากจิ กรรม
สมบตั ิทางกายภาพของ 2) ใบกิจกรรม 3.2
มอนอเมอร์และ เรอ่ื ง สบื ค้นข้อมลู
พอลเิ มอร์ สมบตั ิทางกายภาพ
ของมอนอเมอร์และ
พอลเิ มอร์
197
10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เร่อื ง สมบตั ิทางกายภาพของมอนอเมอรแ์ ละพอลเิ มอร์
ประเด็นการ คา่ นา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรปุ ผลการสืบคน้ ข้อมลู ได้ถูกต้องครบถว้ น
(K) 2 สรุปผลการสบื ค้นข้อมูลได้ถกู ตอ้ งบางสว่ น
1 สรปุ ผลการสบื คน้ ข้อมลู แต่ไมถ่ กู ต้อง
ดา้ น 3 บันทึกผลการสบื ค้นขอ้ มลู ไดถ้ ูกต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 บนั ทึกผลการสบื ค้นขอ้ มลู ไดถ้ ูกตอ้ งบางส่วน
(P) 1 บันทกึ ผลการสบื ค้นข้อมูล แต่ไมถ่ กู ต้อง
ด้าน 3 ทาภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาทก่ี าหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ต้องครบถ้วน
คุณลกั ษณะ 2 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทก่ี าหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางสว่ น
(A) 1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ชา้ และเกิดขอ้ ผิดพลาดบางสว่ น
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน
198
การประเมินการทากิจกรรม เรื่อง สมบตั ิทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลเิ มอร์
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
199
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
200
บนั ทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 3 เรือ่ ง อาหาร ใ
แผนการสอนท่ี 15 เรื่อง สมบตั ิทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์ .
ใ เดอื น พ.ศ. ใ
วันท่ี
ผลการจดั การเรยี นรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอ่ื ............................................ครูผู้สอน ลงช่ือ.............................................หัวหนา้ กลุ่มสาระ
(นางสาวนิลนกิ า แก้วปญั ญา) (นางนพรัตน์ ครฑุ เกิด)
201
ใบกิจกรรม 3.2 เรือ่ ง สมบตั ิทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
1. รายชอื่ สมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
คาสง่ั สืบคน้ ขอ้ มลู เพอ่ื เปรียบเทียบสถานะและจุดหลอมเหลวของมอนอเมอรก์ ับพอลิเมอรท์ เี่ กิดจากมอนอเมอรน์ นั้
จานวน 3 คู่ แลว้ นามาอภปิ รายแลกเปลีย่ นความรรู้ ว่ มกนั
ผลการสืบคน้ ข้อมลู
พอลเิ มอร์ จดุ หลอมเหลว ชือ่ มอนอเมอร์ จุดหลอมเหลว
(°C) สถานะ (°C)
ชอื่ สถานะ เอทิลนี
โพรพิลนี
พอลเิ อทิลนี ไวนลิ คลอไรด์
พอลโิ พรพลิ นี
พอลไิ วนิลคลอไรด์
สรปุ ผลการสบื คน้ ขอ้ มลู
พอลเิ มอร์มจี ุดหลอมเหลวสูงกว่ามอนอเมอร์ พอลิเมอรท์ ่ีสืบคน้ มีสถานะเป็นของแข็ง และมอนอเมอร์มสี ถานะ
เป็นแกส๊ ดงั นนั ้พอลเิ มอรท์ เี่ กดิ จากมอนอเมอร์ มสี ถานะต่างกนั ฃฃ
พอลเิ มอรม์ ีจุดหลอมเหลวสงู กวา่ มอนอเมอร์ นอกจากนม้ี อนอเมอร์และพอลิเมอรท์ ่เี กดิ จากมอนอเมอร์
มสี ถานะต่างกนั v
202
เฉลยใบกจิ กรรม 3.2 เร่ือง สมบัติทางกายภาพของมอนอเมอร์และพอลิเมอร์
1. รายชอื่ สมาชิกที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
คาสงั่ สบื คน้ ข้อมลู เพอื่ เปรียบเทยี บสถานะและจุดหลอมเหลวของมอนอเมอรก์ บั พอลิเมอรท์ เ่ี กดิ จากมอนอเมอร์น้นั
จานวน 3 คู่ แลว้ นามาอภปิ รายแลกเปลีย่ นความรู้รว่ มกนั
ผลการสืบคน้ ข้อมลู
พอลเิ มอร์ มอนอเมอร์
ชอ่ื สถานะ จดุ หลอมเหลว ชอื่ สถานะ จดุ หลอมเหลว
(°C) (°C)
พอลเิ อทิลนี ของแข็ง เอทลิ ีน แก๊ส -169.15
พอลิโพรพลิ ีน ของแขง็ 115-135 โพรพิลนี แก๊ส -185.24
พอลิไวนิลคลอไรด์ ของแขง็ 130-170 ไวนิลคลอไรด์ แกส๊ -153.84
100-260
สรุปผลการสบื คน้ ข้อมลู
พอลเิ มอร์มีจุดหลอมเหลวสงู กว่ามอนอเมอร์ พอลเิ มอร์ท่ีสืบคน้ มีสถานะเปน็ ของแขง็ และมอนอเมอร์มสี ถานะ
เปน็ แก๊ส ดงั นัน้พอลเิ มอรท์ ่ีเกิดจากมอนอเมอร์ มีสถานะต่างกัน ฃฃ
พอลิเมอร์มจี ุดหลอมเหลวสูงกวา่ มอนอเมอร์ นอกจากน้ีมอนอเมอรแ์ ละพอลิเมอรท์ ีเ่ กิดจากมอนอเมอร์
มสี ถานะตา่ งกนั v
203
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 16
เรอื่ ง โปรตนี วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 2 ชว่ั โมง
รายวชิ า ว31104 ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ อาหาร รวม 13 ช่วั โมง
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1
1. มาตรฐานการเรียนรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยดึ เหนย่ี วระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปล่ยี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
2. ตวั ช้วี ัด
ว 2.1 ม.5/16 ระบสุ มบตั ิความเปน็ กรด-เบสจากโครงสรา้ งของสารประกอบอนิ ทรยี ์
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรียนระบุสารประกอบอนิ ทรยี ์มีสมบตั กิ รด-เบสจากสูตรโครงสร้างได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถจดั กระทาและส่อื ความหมายของข้อมลู ที่ศึกษาคน้ คว้าได้
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝุเรียนรู้และเป็นผู้มีความมุ่งมน่ั ในการทางาน
4. สาระสาคญั
อาหารเป็นปัจจยั สาคัญ สาหรบั การดารงชวี ิตของมนุษย์ โดยไขมนั คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และวติ ามินเป็น
สารประกอบอนิ ทรีย์ ส่วนเกลือแร่เปน็ ไอออนหรือสารประกอบไอออนิก สารประกอบ อินทรยี ์เป็นสารประกอบของ
ธาตคุ าร์บอนซ่ึงอาจมีธาตอุ ื่นเปน็ องค์ประกอบรว่ มด้วย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซลั เฟอร์ ไขมัน มที งั้
ชนิดอิม่ ตัวและไม่อมิ่ ตัวซ่ึงพิจารณาได้จากชนดิ พันธะระหว่างคารบ์ อนอะตอมในกรดไขมนั ซ่งึ ใชเ้ กณฑ์เดียวกบั
สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คารโ์ บไฮเดรต ท่ีเปน็ มอนอเมอรแ์ ละพอลิเมอรม์ ีสมบัตแิ ตกต่างกนั โปรตีน เป็น
พอลเิ มอร์ที่มีมอนอเมอรเ์ ปน็ กรด แอมิโนซงึ่ มีหม่คู ารบ์ อก ซิล และหมู่อะมิโน จึงแสดงสมบตั คิ วามเป็นกรด -เบสได้
วติ ามนิ แตล่ ะชนดิ มีสภาพขว้ั แตกตา่ งกนั ทาใหบ้ างชนดิ ละลายไดใ้ นนา้ มัน บางชนิดละลายไดใ้ นนา้ มัน ซ่ึงเป็นไปตาม
หลกั การ like dissolves like สว่ นเกลือแร่แตล่ ะชนดิ มปี ระโยชน์ทแี่ ตกตา่ งกัน บรรจุภัณฑ์ สาหรบั อาหารส่วนใหญ่
ทามาจากพลาสติกซ่ึงเปน็ พอลิเมอร์สงั เคราะห์ มที ้งั ชนดิ พอลเิ มอร์เทอรม์ อพลาสตกิ และพอลเิ มอร์ เทอร์มอเซต ซึ่งใช้
204
งานไดแ้ ตกต่างกนั พลาสติกย่อยสลายได้ยากและมีการใชใ้ นปริมาณมาก จึงก่อใหเ้ กิดปญั หาขยะ การลดการใช้ การ
ใชซ้ า้ และการนากลบั มาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปญั หาได้ทางหนึง่
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
โปรตนี เปน็ สารอาหารท่ีให้พลังงานและมบี ทบาท อื่นที่สาคญั ในส่ิงมชี วี ติ เชน่ เป็น โครงสรา้ ง
กล้ามเนื้อ เอนไซม์ ฮอร์โมน ระบบภูมิคมุ้ กันของร่างกาย การขาดโปรตนี ทาให้รา่ งกายอ่อนเพลยี ห มดแรง
และส่งผลใหเ้ กิดโรคต่าง ๆ อาหารท่มี โี ปรตนี สงู มีท้งั พืชและสตั ว์ เชน่ เนอื้ สตั ว์ ไข่ นม ชสี
รปู 3.10 แหล่งอาหารทม่ี ีโปรตนี เปน็ องคป์ ระกอบหลัก
โปรตีนจดั เปน็ พอลเิ มอรช์ นิดหนึ่งท่มี ีกรดแอมโิ นเปน็ มอนอเมอร์ โปรตนี แตล่ ะชนดิ มีลาดับของ กรด
แอมโิ นในสายพอลิเมอร์ทีแ่ ตกต่างกัน ตวั อยา่ งรูป 3.11 เมื่อ รบั ประทานอาหารทมี่ โี ปรตนี ร่างกายจะย่อย
โปรตีนซ่งึ เปน็ โมเลกลุ ขนาดใหญ่ให้มขี นาดเล็กลง จนไดเ้ ปน็ กรด แอมิโนชนดิ ตา่ ง ๆ แลว้ ดดู ซึมเขา้ สกู่ ระแส
เลือด
รูป 3.11 โมเลกุลของไมโอโกลบนิ ในกล้ามเนือ้
ในธรรมชาติ มกี รดแอมโิ นจานวนมากแตก่ รด แอมิโนที่เป็นองคป์ ระกอบในรา่ งกายมนษุ ยม์ ี 20
ชนิด กรดแอมโิ นทีร่ ่างกายสังเคราะห์เองได้ เรยี กว่า กรดแอมิโนไมจ่ าเปน็ (non-essential amino
acid) แตบ่ างชนิดสงั เคราะหเ์ องไมไ่ ด้ ต้องไดร้ บั จากการรบั ประทานอาหารเทา่ นั้น เรียกว่า กรดอะมโิ น
จาเป็น (essential amino acid) โปรตีนจากเนอ้ื สัตว์ นม ไข่ มี กรดแอมโิ นจาเป็น ครบทุกชนดิ ส่วน
โปรตนี จากพชื มกี รดแอมโิ นจาเปน็ ไม่ครบหรือปรมิ าณนอ้ ย เช่น ถัว่ ลิสงมีเมไทโอนนี น้อย ขา้ วโพดมีทรป
โตเฟนนอ้ ย ขนมปังมไี ลซีนนอ้ ย ดังนน้ั จึงควรบริโภคอาหารใหห้ ลากหลายเพือ่ ลดความเสย่ี งจากภาวะขาด
โปรตีน
205
กรดแอมิโนมโี ครงสร้าง โมเลกุล ที่ประกอบดว้ ยหมู่ แอมโิ น (-NH2) และหมู่คารบ์ อ กซลิ (-COOH)
เชื่อมตอ่ กบั คารบ์ อนท่มี ีหมูแ่ ทนที่ (R) ซึ่งกรดแอมโิ นแตล่ ะชนิดแตกตา่ งกนั ทห่ี มู่ R ตัวอย่างกรด แอมโิ นบาง
ชนิดแสดง ดังรปู 3.12
รปู 3.12 กรดแอมิโนบางชนดิ
กรดแอมโิ นแสดงสมบตั เิ ปน็ ไดท้ ง้ั กรดและเบส เน่อื งจาก มีหมูค่ ารบ์ อกซิล (-COOH) ทส่ี มบัตเิ ป็น
กรด และมีหมู่ แอมิโน (-NH2) ที่สมบัติเปน็ เบส ในทานองเดยี วกัน สารประกอบอินทรีย์ชนิดอนื่ ทีม่ ีหมู่
คาร์บอกซลิ (-COOH) เชน่ กรดฟอร์มกิ กรด แอซีตกิ กรดแล กติก สามารถแสดงสมบตั ิเปน็ กรดได้
โดยสารประกอบอินทรยี ์ที่มหี มู่ แอมโิ น (-NH2 , –NH-, –N-) เช่น พเู ทรซีน เมลามนี แอมเฟตามนี อะดรี
นาลีน คลอเฟนิรามนี สามารถแสดงสมบตั ิเป็นเบสได้ ดังรูป
รูป 3.13 สารประกอบอินทรยี ท์ ่ีมสี มบัตเิ ป็นกรด-เบสบางชนดิ
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อา่ น ฟงั พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลุม่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต (ความรบั ผดิ ชอบ)
206
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื คน้ ผา่ น โทรศัพท์)
5.3 คุณลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝุเรยี นร้แู ละเป็นผู้มคี วามมุ่งมัน่ ในการทางาน
6. บรู ณาการ
-
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรยี น เรือ่ ง ไขมนั และคาร์โบไฮเดรต
1.2 ครใู หน้ กั เรยี นยกตวั อยา่ งอาหารท่ีมโี ปรตนี เป็นองค์ประกอบ เชน่ เนอ้ื สัตว์ นม ไข่ เปน็ ต้น
1.3 ครนู าเข้าสู่บทเรยี นโดยให้นักเรยี นบอกความสาคัญของโปรตีน
1.4 ครนู าเขา้ สบู่ ทเรยี นโดยตง้ั คาถาม เพื่อนาเขา้ สู่กิจกรรม
1) กรดแอมโิ นบางชนิดรา่ งกายสงั เคราะหเ์ องได้ เรยี กว่า
2) กรดแอมโิ นบางชนิดร่างกายสังเคราะห์เองไมไ่ ด้ เรียกวา่
3) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกุลทปี่ ระกอบดว้ ยอะไรบา้ ง
4) โครงสร้างทัว่ ไปของกรดแอมโิ นเปน็ อย่างไร
5) กรดแอมิโนแสดงสมบตั ิเป็นกรดหรอื เบส
ข้ันท่ี 2 ข้นั สารวจและค้นหา
2.1 ครูใหน้ ักเรียนทกุ คนศึกษาคน้ คว้า เรอื่ ง โปรตนี ตามรายละเอียดในหนังสอื เรยี น
หน้า 70 - 73
2.2 นกั เรียนสรุปองค์ความรทู้ ี่ไดจ้ ากการศึกษาค้นคว้าลงในกระดาษ A4 ในรปู แบบ
Mind mapping
2.3 นักเรยี นทาแบบฝกึ หดั 3.2 ในหนังสือเรียน หนา้ 74 ลงในสมดุ
2.4 นักเรยี นทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ 3 ขอ้ ที่ 4-5 หน้า 92 ลงในสมดุ
ขนั้ ที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครนู านกั เรยี นอภิปรายเพ่ือนาไปส่กู ารสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้
1) แมว้ า่ ถ่วั หรอื ผักบางชนดิ มีโปรตนี ในปริมาณสงู แต่มกั พบวา่ ผ้ทู ี่บรโิ ภคเฉพาะ ถัว่ และ
ผกั ยังเป็นโรคทเ่ี กิดจากภาวะขาดโปรตีนได้ นกั เรยี นคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด (แนวการตอบ เพราะถวั่ ลิสง
มีเมไทโอนนี นอ้ ย ข้าวโพดมที รปโตเฟนน้อย ดังน้ันจงึ ควรบรโิ ภคอาหารใหห้ ลากหลายเพ่อื ลดความเส่ียง
จากภาวะขาดโปรตนี )
2) กรดแอมโิ นบางชนดิ รา่ งกายสงั เคราะห์เองได้ เรียกว่า (แนวการตอบ แอมโิ นไม่จาเป็น
(non-essential amino acid))
3) กรดแอมโิ นบางชนิดร่างกายสงั เคราะห์เองไมไ่ ด้ เรียกว่า (แนวการตอบ กรดอะมโิ นจาเปน็
(essential amino acid))
207
4) กรดแอมโิ นมโี ครงสร้างโมเลกุลทปี่ ระกอบด้วยอะไรบ้าง (แนวการตอบ กรดแอมิโนมี
โครงสร้างโมเลกลุ ที่ประกอบด้วยหมู่แอมิโน (-NH2) และหมคู่ ารบ์ อกซลิ (-COOH) เช่ือมต่อกับคาร์บอนทมี่ ี
หมู่แทนท่ี (R) ซ่ึงกรดแอมโิ นแต่ละชนิดแตกตา่ งกันทหี่ มู่ R)
5) กรดแอมิโนแสดงสมบัตเิ ปน็ กรดหรอื เบส (แนวการตอบ กรดแอมโิ นแสดงสมบัตเิ ป็นได้
ท้ังกรดและเบส เน่ืองจากมีหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ทส่ี มบัตเิ ปน็ กรด และมีหมแู่ อมโิ น (-NH2) ทีส่ มบตั ิ
เป็นเบส)
3.2 ครแู ละนักเรยี นรว่ มกนั สรุปเนือ้ หา เรือ่ ง ไขมนั ดังนี้
1) กรดแอมิโนท่ีรา่ งกายสังเคราะหเ์ องได้ เรยี กว่า กรดแอมโิ นไม่จาเป็น (non-
essential amino acid) แต่บางชนิดสังเคราะห์เองไมไ่ ด้ ตอ้ งได้รับจากการรับประทานอาหารเทา่ นนั้
เรียกวา่ กรดอะมโิ นจาเป็น (essential amino acid) โปรตนี จากเนอื้ สตั ว์ นม ไข่ มีกรดแอมิโนจาเปน็
ครบทุกชนดิ ส่วนโปรตีนจากพืชมกี รดแอมิโนจาเป็นไม่ครบหรือปรมิ าณน้อย เชน่ ถั่วลิสงมีเมไทโอนนี นอ้ ย
ขา้ วโพดมที รปโตเฟนนอ้ ย ขนมปงั มไี ลซีนน้อย ดงั นั้นจึงควรบรโิ ภคอาหารใหห้ ลากหลายเพอ่ื ลดความเสยี่ ง
จากภาวะขาดโปรตนี
2) กรดแอมิโนมีโครงสร้างโมเลกลุ ท่ปี ระกอบดว้ ยหมู่แอมโิ น (-NH2) และหมคู่ าร์บอกซิล
(-COOH) เช่ือมต่อกบั คารบ์ อนที่มีหม่แู ทนท่ี (R) ซึ่งกรดแอมิโนแต่ละชนดิ แตกตา่ งกนั ทห่ี มู่ R
3) กรดแอมิโนแสดงสมบตั เิ ปน็ ไดท้ ้งั กรดและเบส เน่ืองจากมีหมคู่ าร์บอกซิล (-COOH) ท่ี
สมบัตเิ ปน็ กรด และมีหมู่แอมโิ น (-NH2) ทส่ี มบตั ิเปน็ เบส
ขั้นท่ี 4 ข้ันขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้ เพมิ่ เตมิ เก่ียวกับสารประกอบอินทรียช์ นิดอนื่ ทมี่ หี มู่คาร์บอกซิล (-COOH) และ
สารประกอบอนิ ทรียท์ ม่ี หี มู่แอมโิ น
สารประกอบอนิ ทรยี ์ชนิดอ่นื ท่มี หี มคู่ ารบ์ อกซิล (-COOH) เชน่ กรดฟอรม์ ิก กรดแอซตี กิ
กรดแลกตกิ สามารถแสดงสมบตั ิเป็นกรดได้ โดยสารประกอบอนิ ทรยี ท์ ี่มหี มู่แอมิโน (-NH2 , –NH-, –N-)
เชน่ พูเทรซนี เมลามีน แอมเฟตามนี อะดรีนาลนี คลอเฟนริ ามีน สามารถแสดงสมบัติเป็นเบสได้
ขน้ั ที่ 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 ครูตรวจ Mind mapping เรื่อง ไขมนั ของนกั เรยี น
5.2 ครูตรวจสมดุ ของนักเรยี นในการทาแบบฝกึ หดั 3.2
5.3 ครูตรวจสมุดของนักเรยี นในการทาแบบฝึกหดั ท้ายบทท่ี 3 ขอ้ ท่ี 4-5
ประยุกต์และตอบแทนสงั คม
ครูใหน้ ักเรยี นแต่ละคนนาความรทู้ เ่ี รียนไปคน้ คว้าเพ่มิ เติมทีห่ ้องสมดุ หรือเวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ช้ันเรียน
208
8. สอ่ื การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ) ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เล่ม 1
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกิจกรรม เร่ือง องค์ประกอบในอากาศ
8.3 อนิ เทอร์เน็ต หรอื หอ้ งสมุด
9. การวัดและประเมินผล
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
ด้านความรู้ (K) 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนทา
ทากจิ กรรม แบบฝกึ หัด 3.2 และ
1) นักเรียนระบุสารประกอบอินทรยี ม์ สี มบตั ิ 1) ตรวจแบบฝึกหดั 2) แบบฝึกหดั 3.2 แบบฝึกหดั ทา้ ยบทท่ี
และแบบฝึกหดั ทา้ ย 3 ขอ้ ที่ 4-5 ไดร้ ะดบั
กรด-เบสจากสตู รโครงสร้างได้ 3.2 และแบบฝกึ หัด บทท่ี 3 ข้อท่ี 4-5 ดี ผา่ นเกณฑ์
ทา้ ยบทท่ี 3 ข้อที่ 4-5 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนสามารถ
ทากิจกรรม สรุปเน้อื หาท่ไี ดจ้ าก
ด้านกระบวนการ (P) 1) ตรวจ Mind 2) Mind mapping การศึกษาค้นคว้า
1) นกั เรยี นสามารถจดั กระทาและส่อื mapping เร่ือง ไขมัน เรือ่ ง ไขมนั ไดร้ ะดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ความหมายของขอ้ มูลทศ่ี กึ ษาค้นคว้าได้
1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนทาภาระ
ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1) ตรวจ Mind ทากจิ กรรม งานที่ไดร้ ับมอบหมาย
1) ใฝเุ รียนรู้ และเป็นผู้มีความมงุ่ ม่นั ในการ mapping เรือ่ ง ไขมนั 2) Mind mapping ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ทางาน 2) ตรวจแบบฝึกหดั เรอื่ ง ไขมัน
3.2 และแบบฝกึ หดั 3) แบบฝกึ หดั 3.2
ทา้ ยบทท่ี 3 ขอ้ ท่ี 4-5 และแบบฝึกหดั ท้าย
บทที่ 3 ขอ้ ท่ี 4-5
209
10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรือ่ ง ไขมัน
ประเดน็ การ ค่านา้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ ทาแบบฝึกหัด 3.2 และแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 ขอ้ ที่ 4-5 ได้ถกู ต้องครบถว้ น
(K) 3 จานวน 7-9 ขอ้
ทาแบบฝกึ หดั 3.2 และแบบฝึกหดั ท้ายบทท่ี 3 ขอ้ ท่ี 4-5 ไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น
ด้าน 2 จานวน 4-6 ขอ้
กระบวนการ ทาแบบฝึกหดั 3.2 และแบบฝกึ หัดท้ายบทท่ี 3 ข้อที่ 4-5 ได้ถกู ต้องครบถว้ น
1 จานวน 1-3 ข้อ หรือไม่ถูกต้อง
(P) สรุปเน้ือหา เรอ่ื ง สารโคเวเลนส์ได้ถูกต้องครบถว้ น
ด้าน 3 สรปุ เนือ้ หา เรอ่ื ง สารโคเวเลนส์ได้ค่อนขา้ งถกู ตอ้ งครบถว้ น
คุณลกั ษณะ 2 สรุปเน้ือหา เร่ือง สารโคเวเลนส์ได้ แตไ่ มค่ รบถว้ น
(A) 1 ทาภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น
3 ทาภาระงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางส่วน
2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จ แตล่ า่ ชา้ และเกิดข้อผิดพลาดบางส่วน
1
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน
หมายเหตุ แบบฝกึ หัด 3.2 มี 7 ขอ้ ย่อย และแบบฝึกหัดทา้ ยบทที่ 3 มี 2 ข้อ รวมทั้งหมด 9 ข้อ
210
การประเมนิ การทากิจกรรม เรอ่ื ง ไขมนั
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
211
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
212
บันทึกหลงั การสอน
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 3 เรอ่ื ง อาหาร พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 16 เร่ือง ไขมัน .
ใ เดอื น ใ
วนั ที่
ผลการจัดการเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อปุ สรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชือ่ ............................................ครผู ูส้ อน ลงชื่อ.............................................หวั หนา้ กลุม่ สาระ
(นางสาวนิลนกิ า แก้วปัญญา) (นางนพรตั น์ ครุฑเกิด)
213
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 17
เร่ือง วิตามนิ และเกลือแร่ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ชวั่ โมง
รายวชิ า ว31104 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ อาหาร รวม 13 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกับโครงสรา้ ง
และแรงยึดเหน่ยี วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. ตัวชี้วดั
ว 2.1 ม.5/17 อธบิ ายสมบตั ิการละลายในตัวทาละลายชนดิ ตา่ งๆ ของสาร
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธบิ ายสมบตั ิการละลายในตวั ทาละลายชนิดตา่ งๆ ของสารได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถเขยี นสูตรโครงสรา้ งของวติ ามินท่กี าหนดให้ได้
3.3 ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝเุ รยี นร้แู ละเปน็ ผ้มู คี วามม่งุ มนั่ ในการทางาน
4. สาระสาคญั
อาหารเปน็ ปัจจยั สาคัญ สาหรบั การดารงชีวติ ของมนุษย์ โดยไขมัน คาร์โบไฮเดรต โปรตนี และวติ ามินเปน็
สารประกอบอนิ ทรยี ์ ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนกิ สารประกอบ อินทรียเ์ ปน็ สารประกอบของ
ธาตุคาร์บอนซงึ่ อาจมธี าตุอ่ืนเป็นองคป์ ระกอบรว่ มดว้ ย เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมนั มีทั้ง
ชนดิ อ่มิ ตัวและไมอ่ มิ่ ตวั ซ่งึ พิจารณาไดจ้ ากชนดิ พนั ธะระหว่างคารบ์ อนอะตอมในกรดไขมัน ซึ่งใช้เกณฑ์เดยี วกับ
สารประกอบไฮโดรเจนคาร์บอน คารโ์ บไฮเดรต ที่เป็นมอนอเมอรแ์ ละพอลิเมอร์มีสมบัตแิ ตกต่างกนั โปรตีน เปน็
พอลเิ มอรท์ มี่ ีมอนอเมอรเ์ ป็นกรด แอมโิ นซง่ึ มีหมคู่ าร์บอก ซลิ และหมอู่ ะมิโน จึงแสดงสมบัติความเปน็ กรด -เบสได้
วิตามินแตล่ ะชนิดมีสภาพขั้วแตกตา่ งกัน ทาใหบ้ างชนดิ ละลายไดใ้ นนา้ มัน บางชนดิ ละลายได้ในน้ามัน ซ่งึ เปน็ ไปตาม
หลกั การ like dissolves like สว่ นเกลือแร่แต่ละชนิดมปี ระโยชน์ท่แี ตกตา่ งกนั บรรจภุ ัณฑ์ สาหรบั อาหารสว่ นใหญ่
ทามาจากพลาสติกซ่งึ เป็นพอลิเมอรส์ ังเคราะห์ มที ้ังชนดิ พอลเิ มอร์เทอรม์ อพลาสตกิ และพอลเิ มอร์ เทอร์มอเซต ซึ่งใช้
งานได้แตกต่างกัน พลาสติกยอ่ ยสลายได้ยากและมีการใชใ้ นปรมิ าณมาก จึงกอ่ ใหเ้ กิดปัญหาขยะ การลดการใช้ การ
ใช้ซา้ และการนากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปญั หาไดท้ างหน่ึง
214
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
ร่างกายตอ้ งการวติ ามินและเกลือแรเ่ พ่อื ให้การทางานของระบบต่าง ๆ เปน็ ไปอยา่ งปกติ อาหารท่ี
มไี ขมันและคารโ์ บไฮเดรตสงู มักมวี ิตามินและเกลอื แรใ่ นปริมาณที่ไม่เพยี งพอต่อความต้องการของร่างกาย
มนษุ ย์จึงจาเปน็ ต้องไดร้ บั วติ ามินและเกลือแรเ่ พมิ่ เติม จากอาหาร อื่น เช่น ผกั ผลไม้ เน้อื สตั ว์บางชนดิ เชน่
เหลก็ แคลเซยี ม
วติ ามนิ เปน็ สารประกอบอนิ ทรยี ์ มีความจาเป็นต่อกระบวนการตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เช่น วติ ามิน A
ชว่ ยเรือ่ งการมองเหน็ วิตามิน C ชว่ ยปูองกนั โรคลกั ปดิ ลักเปดิ วติ ามนิ D ชว่ ยเสรมิ สรา้ งความแขง็ แรงของ
กระดกู วิตามนิ K ช่วยในการแขง็ ตวั ของเลือด วติ ามินบางชนิดละลายในน้า เชน่ วิตามนิ C วติ ามนิ B1
แตล่ ะชนดิ ละลายในไขมนั ไดแ้ ก่ วติ ามิน A วติ ามิน D วติ ามิน E และวิตามิน K ดงั น้นั การไม่รบั ประทาน
ไขมันเลย อาจทาใหเ้ ปน็ โรคท่เี กี่ยวข้องกบั การขาดวติ ามนิ ดว้ ย
รปู 3.15 สูตรโครงสร้างของวติ ามนิ B1 C A และ D
จากรปู 3.15 เมอ่ื พจิ ารณาโครงสรา้ งของวิตามนิ C พบว่าเป็นโมเลกุลทม่ี ีหมู่ไฮดรอกซิล (-OH)
หลายหมู่ซึง่ เกดิ พนั ธะไฮโดรเจนกับน้าได้ ส่วนวิตามนิ B1 นอกจากมีหมู่ไฮดรอกซิลและ หมแู่ อมิโนท่ีเกดิ
พันธะไฮโดรเจนกับน้าได้แล้ว โครงสร้างยังมีประจุทชี่ ่วยทาใหล้ ะลายในน้าได้ดขี นึ้ โดยการแตกตวั วิตามิน C
และ B1 จงึ ละลายในน้าได้ ในทางตรงกนั ขา้ ม วติ ามนิ A และ D ถงึ แม้จะมหี ม่ไู ฮดรอกซิล แตโ่ ครงสร้าง มี
ส่วนท่ีเป็น ไฮโดรคาร์บอน อย่มู าก ทาใหเ้ ป็นสารทมี่ ีขวั้ น้อย จึงละลาย ในนา้ ไดไ้ ม่ดีแต่ละ ลายได้ดีใน ไขมัน
ซึ่งโครงสรา้ งมสี ว่ นทีเ่ ปน็ ไฮโดรคารบ์ อนอยมู่ าก
สมบตั ิการละลายของวติ ามนิ ดังท่ีกลา่ วมาขา้ งต้น เป็นไปตามหลักการทเี่ รยี กว่า “like dissolves
like” คือ สารละลายได้ในตวั ทาละลายทีม่ ี ขั้วใกล้เคียงกนั เน่ืองจาก มีแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกุล
ประเภทเดยี วกัน นอกจากนี้ การละลายของสารประกอบประเภทอ่ืน เช่น กลโู คสละลาย ในน้า เมนทอล
ละลายในนา้ มนั นา้ มันไมล่ ะลายในนา้ กเ็ ป็นไปตามหลกั การเชน่ กนั
หลกั การ like dissolves like นามาใช้เปน็ แนวทางในการเลอื กตวั ทาละลายสาหรบั การสกดั
สารประกอบอินทรยี ท์ ี่ไม่มขี ั้วซ่งึ ละลายน้าได้นอ้ ยจากพืช เชน่ การสกดั สาระสาคัญจากสมุนไพรดว้ ยน้ามัน
หรือข้ีผึง้ การสกดั กลนิ่ น้าหอมจากดอกไมบ้ างชนิดดว้ ยเอทานอลซึง่ มขี ว้ั นอ้ ยกวา่ นา้
หลักการ like dissolves like ยงั ใช้อธบิ ายกลไกการซกั ลา้ งคราบไคลและไขมนั ของ สบู่
ผงซักฟอกน้ายาล้างจาน โดยโมเลกลุ ของสารเหล่าน้มี ีท้งั สว่ นมขี วั้ หรือไมม่ ขี วั้ ซึ่งสว่ นไม่มีขั้วทาหนา้ ท่ีหอ่ หุม้
215
ไขมนั และสารทม่ี ีขั้วหนั เขา้ หาโมเลกุล เกดิ เปน็ ไมเซลล์ (micelle) ที่กระจายตวั ในน้า ได้ของ ผสมระหวา่ ง
นา้ และไขมันทีเ่ รียกวา่ อมี ลั ชัน ( emulsion) ของผสมทเี่ ป็นอีมัลชนั ยงั พบเห็นไดท้ ัว่ ไปในชวี ิตประจาวัน
เช่น น้านมน้าสลดั ครีมทาผวิ
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อา่ น ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคดิ (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผา่ น โทรศัพท์)
5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม
ใฝเุ รยี นรู้และเปน็ ผ้มู คี วามมุ่งม่นั ในการทางาน
6. บรู ณาการ
-
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครทู บทวนบทเรียน เรอ่ื ง สมบัติความเป็นกรด-เบสของโปรตีน
1.2 ครนู าเข้าสบู่ ทเรียน โดยกล่าวว่า นอกจากไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตนี ซ่ึงเปน็ สารท่ใี ห้
พลงั งานแกร่ า่ งกายกายแล้ว รา่ งกายยงั ต้องการการวติ ามินและเกลือแร่ใหก้ ารทางานของระบบตา่ งๆ
เปน็ ไปอย่างปกติ
1.3 ครูนาเข้าส่บู ทเรยี นโดยต้ังคาถาม เพอื่ นาเข้าสู่กจิ กรรม
1) นกั เรียนจาได้หรอื ไม่วา่ วติ ามินใดบางละลายในไขมัน
2) นกั เรยี นจาไดห้ รอื ไม่วา่ วิตามินใดบางละลายในน้า
3) นักเรยี นทราบหรือไมว่ ่าวติ ามินแตล่ ะชนิดมีประโยชนอ์ ย่างไร
4) โมเลกลุ ของวิตามินที่ละลายในนา้ ควรมลี ักษณะอย่างไรและแตกตา่ งจากผลของวติ ามนิ
ที่ละลายในไขมันอยา่ งไร
5) นกั เรียนเขยี นสูตรโครงสร้างของวติ ามินที่ละลายน้าและวิตามินละลายในไขมันได้
หรือไม่
6) นักเรยี นรจู้ กั หลกั การ like dissolves like หรอื ไม่
ขั้นที่ 2 ขัน้ สารวจและคน้ หา
2.1 ครูใหน้ ักเรียนทุกคนศกึ ษาคน้ คว้า เร่อื ง วติ ามินละเกลือ, สตู รโครงสรา้ งของวิตามนิ ในหนงั สอื
เรียน หน้า 75 - 79
2.2 นกั เรยี นทาใบงาน เรื่อง สูตรโครงสร้างของวติ ามนิ
2.3 นักเรียนทาแบบฝกึ หัด 3.3 และ 3.4 ในหนังสือเรียน หนา้ 77-79 ลงในสมุด
216
ขัน้ ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูนานักเรียนอภิปรายเพอ่ื นาไปส่กู ารสรุปโดยใช้คาถามต่อไปนี้
1) วติ ามนิ ใดบางละลายในไขมนั (แนวการตอบ วิตามิน A D E และ K)
2) วิตามนิ ใดบางละลายในนา้ (แนวการตอบ วิตามิน C และ B1)
3) โมเลกุลของวิตามินทลี่ ะลายในนา้ ควรมลี กั ษณะอยา่ งไรและแตกตา่ งจากผลของวติ ามินท่ี
ละลายในไขมนั อยา่ งไร (แนวการตอบ โมเลกลุ ของวิตามินท่ลี ะลายในในนา้ แตกตา่ งจากโมเลกุลของวิตามินที่
ละลายในไขมัน คือ มีประจุหรือมีหมู่ทส่ี ามารถเกิดพนั ธะไฮโดรเจนกบั นา้ ไดห้ ลายหมู)
4) จงอธิบายความหมายของหลกั การ like dissolves like (แนวการตอบ สารละลายได้
ในตวั ทาละลายทม่ี ีขัว้ ใกล้เคยี งกนั เนื่องจากมีแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างโมเลกุลประเภทเดยี วกัน)
3.2 ครแู ละนกั เรียนร่วมกนั สรปุ เนอื้ หา เร่ือง วิตามินและเกลอื แร่ ดงั นี้
1) โครงสรา้ งของวิตามินทีล่ ะลายนา้ ได้ เชน่ วติ ามิน B1 และ C มีประจุ หรือมีหม่ทู เ่ี กดิ
พันธะไฮโดรเจนกบั นา้ ได้หลายหมู่ เช่น หมไู่ ฮดรอกซลิ (–OH) หมแู่ อมิโน (–NH2) ในทางตรงกนั ขา้ มวิตามนิ
ทีล่ ะลายในไขมัน เชน่ วิตามนิ A และ D มีโครงสร้างสว่ นใหญเ่ ปน็ ไฮโดรคารบ์ อน
2) หลักการ like dissolves like คือ สารละลายได้ในตัวทาละลายทมี่ ีขว้ั ใกล้เคียงกัน
เนอื่ งจากมแี รงยึดเหนย่ี วระหวา่ งโมเลกลุ ประเภทเดยี วกัน นอกจากน้ีการละลายของสารประกอบประเภท
อื่น เชน่ กลูโคสละลายในน้า เมนทอลละลายในน้ามนั น้ามนั ไมล่ ะลายในนา้
ข้ันที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูใหค้ วามรู้เพิ่มเติมเกีย่ วกับเหตกุ ารณ์ สถานการณ์ ที่มคี วามสมั พันธก์ ับหลักการ
like dissolves like หรือการนาหลักการดังกลา่ วไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวันหรอื อุตสาหกรรม เช่น
การลา้ งสี ทาเลบ็ ด้วยนา้ ยาล้างเลบ็ ท่ีมีตวั ทาละลายอนิ ทรียเ์ ปน็ องค์ประกอบ การเชด็ ล้างเครือ่ งสาอางดว้ ย
ครมี ที่มีน้ามันเปน็ องคป์ ระกอบ การสกดั สารสาคัญจากสมุนไพรดว้ ยน้ามนั หรอื ข้ีผึ้ง การสกดั กล่ินน้าหอม
จากดอกไม้บางชนดิ ด้วยเอทานอล
4.2 ครใู หค้ วามรู้เพ่ิมเติมเก่ยี วกับหลกั การ like dissolves like ยังใช้อธบิ ายกลไกการซกั ลา้ งคราบ
ไคลและไขมนั ของสบู่ ผงซกั ฟอกนา้ ยาล้างจาน โดยโมเลกุลของสารเหล่าน้ีมที ัง้ สว่ นมีขั้วหรือไม่มขี ั้ว ซึ่งสว่ น
ไมม่ ีข้ัวทาหน้าท่ีห่อห้มุ ไขมันและสารทม่ี ีขว้ั หนั เข้าหาโมเลกุล เกิดเป็นไมเซลล์ (micelle) ที่กระจายตวั ใน
นา้ ได้ของผสมระหวา่ งน้าและไขมนั ทเี่ รยี กว่า อีมัลชนั (emulsion) ของผสมทเ่ี ป็นอีมัลชันยงั พบเห็นได้
ท่วั ไปในชีวติ ประจาวนั เช่น นา้ นมนา้ สลดั ครมี ทาผวิ
ข้ันที่ 5 ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 ครตู รวจใบงาน เรือ่ ง สูตรโครงสร้างของวติ ามนิ
5.2 ครูตรวจสมดุ ของนกั เรียนในการทาแบบฝกึ หดั 3.3 และ 3.4
ประยุกตแ์ ละตอบแทนสังคม
ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนนาความรทู้ ีเ่ รียนไปค้นควา้ เพิ่มเติมท่ีหอ้ งสมดุ หรอื เว็บไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ชั้นเรยี น
217
8. ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 เล่ม 1
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบงาน เรือ่ ง สตู รโครงสรา้ งของวิตามิน
8.3 อนิ เทอรเ์ น็ต
8.4 หอ้ งสมุด
9. การวดั และประเมินผล
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธีการวดั เครอื่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ
ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายสมบัติการละลายในตวั ทา 1) ตรวจแบบฝึกหัด 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นทา
ทากจิ กรรม แบบฝึกหัด 3.3 และ
ละลายชนิดต่างๆ ของสารได้ 3.3 และ 3.4 2) แบบฝกึ หดั 3.3 3.4 ไดร้ ะดับดี ผ่าน
และ 3.4 เกณฑ์
ด้านกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบงาน เร่อื ง 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นสามารถ
1) นกั เรียนสามารถเขยี นสตู รโครงสร้างของ สตู รโครงสร้างของ
วติ ามินทก่ี าหนดให้ได้ วิตามนิ ทากจิ กรรม เขยี นสูตรโครงสรา้ ง
2) ใบงาน เรอื่ ง สตู ร ของวติ ามินท่ี
โครงสรา้ งของวิตามนิ กาหนดให้
ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์
ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ตรวจ Mind 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนทาภาระ
1) ใฝุเรียนรู้ และเป็นผมู้ ีความมงุ่ มน่ั ในการ mapping เรอื่ ง ไขมัน
ทางาน 2) ตรวจแบบฝกึ หดั ทากิจกรรม งานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
3.3 และ 3.4
3) ตรวจใบงาน เรือ่ ง 2) แบบฝึกหัด 3.3 ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
สูตรโครงสร้างของ
วติ ามนิ และ 3.4
3) ใบงาน เรอ่ื ง สูตร
โครงสรา้ งของวิตามิน
218
10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนักเรยี น
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรอ่ื ง วติ ามนิ และเกลอื แร่
ประเด็นการ คา่ นา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ดา้ นความรู้ ทาแบบฝกึ หัด 3.3 และ 3.4 ได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น จานวน 2 ขอ้
(K) 3 ทาแบบฝึกหดั 3.3 และ 3.4 ได้ถูกต้องครบถว้ น จานวน 1 ขอ้
2 ทาแบบฝกึ หดั 3.3 และ 3.4 แต่ไมถ่ ูกต้อง
ด้าน 1 สามารถเขยี นสตู รโครงสรา้ งของวติ ามินทก่ี าหนดให้ไดถ้ ูกต้องครบถ้วน จานวน 5-6 ขอ้
กระบวนการ 3 สามารถเขยี นสตู รโครงสรา้ งของวติ ามนิ ทกี่ าหนดให้ไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน จานวน 3-4 ขอ้
2 สามารถเขยี นสูตรโครงสร้างของวติ ามินทก่ี าหนดให้ไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วน จานวน 1-2 ขอ้
(P) 1 หรอื ไม่ถูกต้อง
ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บรอ้ ยถูกต้องครบถ้วน
ดา้ น 3 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทก่ี าหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางส่วน
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกดิ ข้อผดิ พลาดบางส่วน
1
(A)
ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน
219
การประเมินการทากจิ กรรม เรื่อง วิตามนิ และเกลอื แร่
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ท่ี ชอื่ - นามสกลุ ด้านความรู้ ด้าน ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
220
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ท่ี ช่ือ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดับคณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรุง
คะแนน
คะแนน
221
บนั ทกึ หลงั การสอน
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เรือ่ ง อาหาร พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 17 เร่ือง วติ ามนิ และเกลอื แร่ .
ใ เดอื น ใ
วันที่
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงช่อื ............................................ครูผ้สู อน ลงช่ือ.............................................หวั หน้ากล่มุ สาระ
(นางสาวนิลนกิ า แกว้ ปญั ญา) (นางนพรตั น์ ครุฑเกดิ )
ชื่อ ช้ัน เลขท่ี 222
‘
ใบงาน เรอื่ ง สูตรโครงสรา้ งของวติ ามิน
คาสงั่ ให้นักเรยี นศกึ ษาเน้ือหาเกี่ยวกับสตู รโครงสรา้ งวิตามนิ ในหนงั สือเรยี น แลว้ เขยี นสตู รโครงสร้างของวิตามินท่ี
กาหนดให้ให้ถกู ตอ้ ง
วติ ามิน B1 (thiamine) วิตามนิ C (ascorbic acid)
วิตามิน A วติ ามิน D
วติ ามนิ K
วติ ามนิ E
ชื่อ ชั้น เลขที่ 223
‘
เฉลยใบงาน เรอ่ื ง สูตรโครงสรา้ งของวติ ามิน
คาส่ัง ใหน้ กั เรียนศึกษาเนื้อหาเก่ยี วกับสูตรโครงสร้างวติ ามินในหนงั สือเรียน แล้วเขียนสตู รโครงสรา้ งของวิตามินท่ี
กาหนดให้ให้ถกู ต้อง
วติ ามนิ B1 (thiamine) วิตามิน C (ascorbic acid)
วิตามนิ A วติ ามนิ D
วติ ามนิ K
วติ ามนิ E
224
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 18
เรอ่ื ง ข้อมลู โภชนาการบนฉลากอาหาร
รายวชิ า ว31104 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ 1 เวลา 1 ชว่ั โมง
รวม 13 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ อาหาร
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัตขิ องสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยึดเหน่ยี วระหวา่ งอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย
และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
2. ตวั ช้ีวัด
ว 2.1 ม.5/17 อธิบายสมบตั ิการละลายในตัวทาละลายชนิดตา่ งๆ ของสาร
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธบิ ายเกย่ี วกบั ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
-
3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝเุ รียนร้แู ละเป็นผู้มีความมงุ่ มนั่ ในการทางาน
4. สาระสาคญั
อาหารเปน็ ปจั จัยสาคญั สาหรบั การดารงชีวติ ของมนษุ ย์ โดยไขมัน คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และวิตามนิ เป็น
สารประกอบอนิ ทรีย์ ส่วนเกลือแร่เป็นไอออนหรอื สารประกอบไอออนกิ สารประกอบ อินทรยี ์เปน็ สารประกอบของ
ธาตุคารบ์ อนซง่ึ อาจมีธาตอุ น่ื เป็นองค์ประกอบรว่ มดว้ ย เช่น ไฮโดรเจน ออกซเิ จน ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ ไขมัน มที ั้ง
ชนิดอิ่มตวั และไมอ่ ่ิมตวั ซง่ึ พจิ ารณาไดจ้ ากชนิดพันธะระหวา่ งคารบ์ อนอะตอมในกรดไขมัน ซึง่ ใชเ้ กณฑ์เดยี วกับ
สารประกอบไฮโดรเจนคารบ์ อน คารโ์ บไฮเดรต ทเ่ี ป็นมอนอเมอรแ์ ละพอลเิ มอรม์ สี มบตั ิแตกตา่ งกนั โปรตนี เป็น
พอลิเมอร์ท่ีมมี อนอเมอร์เป็นกรด แอมโิ นซึ่งมีหม่คู ารบ์ อก ซิล และหมู่อะมิโน จงึ แสดงสมบัติความเปน็ กรด -เบสได้
วติ ามนิ แตล่ ะชนดิ มีสภาพขั้วแตกต่างกัน ทาให้บางชนิดละลายไดใ้ นน้ามนั บางชนดิ ละลายได้ในน้ามนั ซึง่ เปน็ ไปตาม
หลกั การ like dissolves like ส่วนเกลอื แร่แต่ละชนดิ มปี ระโยชนท์ ี่แตกต่างกัน บรรจุภณั ฑ์ สาหรับอาหารสว่ นใหญ่
ทามาจากพลาสติกซ่งึ เปน็ พอลิเมอร์สังเคราะห์ มีทั้งชนิดพอลิเมอร์เทอรม์ อพลาสตกิ และพอลิเมอร์ เทอร์มอเซต ซ่ึงใช้
งานไดแ้ ตกต่างกัน พลาสตกิ ย่อยสลายไดย้ ากและมกี ารใชใ้ นปรมิ าณมาก จงึ กอ่ ให้เกดิ ปญั หาขยะ การลดการใช้ การ
ใชซ้ ้า และการนากลับมาใช้ใหม่ เป็นการช่วยปัญหาไดท้ างหนึง่
225
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
เกลอื แรเ่ ป็นไอออนหรือสารประกอบไอออนิกท่จี าเป็นต่อการทางานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
เช่น แคลเซียมเปน็ เกลือแรท่ ี่เปน็ องค์ประกอบในกระดูกใชใ้ นกระบวนการทางานของกล้ามเนอ้ื ระบบ
ประสาท และชว่ ยใหเ้ ลือดแขง็ ตัว โซเดยี มและโพแทสเซียมเปน็ เกลือแร่ ท่สี าคญั ในการทางานของเซลล์
ประสาท และรักษาสมดลุ ของเหลวในรา่ งกาย เหลก็ เปน็ เกลือแร่ ทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบในฮีโมโกลบินในเมด็
เลอื ดแดงทมี่ ีความสาคัญตอ่ การลาเลียงออกซิเจนในรา่ งกาย ไอโอดีนเปน็ เกลอื แร่ ทม่ี คี วามสาคญั มากแต่
ต้องการในปริมาณน้อย เพอื่ การผลติ ฮอรโ์ มน ไทรอกซนิ ซ่ึงทาหนา้ ทคี่ วบคุมการทางานของระบบเมตา
บอลซิ ึมในร่างกาย อย่างไรกต็ ามการได้รบั เกลือแร่ ไมเ่ พียงพอหรอื มากเกนิ ไปจะสง่ ผลตอ่ ระบบการทางาน
ของรา่ งกาย เชน่ การขาดแคลเซยี มทาให้เปน็ โรคกระดกู พรุน การขาดเหลก็ ทาใหเ้ ปน็ โลหติ จาง การบริโภค
โซเดียมเกนิ ความตอ้ งการอาจทาให้เกิดโรคไต ความดนั โลหิตสูง โรคหวั ใจ และผู้บรโิ ภคควรใสใ่ จกับปรมิ าณ
โซเดียมและสารอาหารอนื่ ทีร่ ะบุไวใ้ นขอ้ มลู โฆษณาบนฉลากอาหาร ดังรปู 3.19
รูป 3.19 ตัวอยา่ งขอ้ มูลโภชนาการบนฉลากอาหาร
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อา่ น ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคดิ (สงั เกต วเิ คราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แสวงหาความรู้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื คน้ ผ่าน โทรศัพท์)
226
5.3 คุณลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝเุ รยี นร้แู ละเป็นผ้มู ีความมงุ่ มั่นในการทางาน
6. บูรณาการ
บรู ณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรูค้ ณติ ศาสตร์ เร่อื ง ร้อยละ และอัตราสว่ น
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนบทเรยี น เรื่อง วติ ามนิ ทสี่ ามารถละลายในไขมันและนา้ รวมถึงประโยชน์ของ
วิตามนิ
1.2 ครนู าเข้าส่บู ทเรียนโดยตั้งคาถาม เพือ่ นาเข้าสู่กจิ กรรม
1) นกั เรยี นเคยเห็นฉลากบนถุงขนมหรือบนกล่องนมหรือไม่
2) นักเรียนเคยอา่ นข้อมูลทร่ี ะบบุ นถงุ ขนมหรอื บนกล่องนมหรือไม่
3) นกั เรยี นรู้หรือไม่ว่าข้อมลู โภชนาการบนฉลากระบุเก่ยี วกับอะไรบา้ ง
ขัน้ ท่ี 2 ข้ันสารวจและค้นหา
2.1 ครูนานกั เรยี นศึกษา รปู 3.19 ตวั อย่างข้อมลู โภชนาการบนฉลากอาหาร
2.2 ครูถามคาถามเกย่ี วกับรูป 3.19 ใหน้ กั เรียนตอบ ดงั นี้
- อาหารชนดิ นมี้ ีเกลอื แร่อะไรบ้าง (แนวคาตอบว่า อาหารชนดิ นมี้ ีโซเดยี ม แคลเซียม
ฟอสฟอรสั เปน็ องคป์ ระกอบ)
- อาหารชนดิ นี้มีวิตามนิ อะไรบา้ ง (แนวคาตอบว่า วิตามนิ B1, B2, B12)
2.3 ครใู หน้ กั เรยี นทาใบงาน เร่ือง ข้อมลู โภชนาการบนฉลากอาหาร โดยสืบค้นข้อมลู ทาง
อินเทอรเ์ นต็
ขั้นท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครนู านักเรียนอภิปรายเพื่อนาไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี
1) คาศพั ท์ภาษาอังกฤษ คาว่า “ข้อมูลโภชนาการ” คือ (แนวการตอบ Nutrition
Information)
2) จงอธิบายความหมายคาว่าฉลากบนโภชนาการ (แนวการตอบ ฉลากอาหารทมี่ กี าร
แสดงขอ้ มูลโภชนาการ ซึ่งระบุชนิดและปรมิ าณสารอาหารของอาหารชนิดนัน้ ๆ อย่ใู นกรอบ ท่ีเรยี กว่า
“กรอบข้อมูลโภชนาการ”)
3) จงบอกประโยชนข์ องฉลากบนโภชนาการ (แนวการตอบ 1. เลอื กซื้ออาหารและเลอื ก
บริโภคให้เหมาะสมกบั ความตอ้ งการหรือภาวะทาง โภชนาการของตนได้ เช่น เลอื กอาหารทร่ี ะบวุ า่ มี
โคเลสเตอรอลตา่ หรือ มีโซเดียมตา่ 2. เปรยี บเทยี บเลือกซื้อผลิตภณั ฑอ์ าหารชนิดเดียวกนั โดยเลือกทมี่ ีคณุ ค่า
ทางโภชนาการดกี วา่ ได้ 3. ในอนาคตเมื่อผู้บริโภคสนใจต้องการข้อมลู โภชนาการของอาหาร ผผู้ ลติ ก็จะ
แขง่ ขนั กันผลิตอาหารที่มีคณุ ค่าทางโภชนาการสงู กว่า แทนการแข่งขันกนั ในเรื่อง หบี หอ่ สี หรอื สิ่งจงู ใจ
ภายนอกอ่นื ๆ)
227
4) จงอธิบายความหมายของคาวา่ “หนง่ึ หนว่ ยบรโิ ภค” (แนวการตอบ ขอ้ มูลบอกถงึ
ปริมาณอาหารแตล่ ะชนิดทค่ี วรรบั ประทานใน 1 ครัง้ )
5) จงอธบิ ายความหมายของคาวา่ “จานวนหน่วยบรโิ ภคต่อภาชนะบรรจุ” (แนวการตอบ
เปน็ ขอ้ มูลที่ช่วยให้ผบู้ ริโภคประมาณได้ว่า จะแบง่ อาหารในภาชนะบรรจุนั้นสาหรับการบรโิ ภคไดก้ ่ีครง้ั
หรอื จัดแบง่ ได้สาหรบั กค่ี น
6) จงอธิบายความหมายของคาว่า “คุณคา่ ทางโภชนาการต่อ 1 หนว่ ยบรโิ ภค” (แนวการ
ไดป้ รากฏเปน็ ข้อมูลบนฉลากทีบ่ อกใหผ้ บู้ ริโภคทราบว่า เมือ่ รบั ประทานอาหารเขา้ ไปใน 1 หน่วยบรโิ ภค
จะได้รบั สารอาหารมากน้อยแคไ่ หน)
7) จงอธบิ ายความหมายของคาวา่ “ร้อยละของปริมาณที่แนะนาต่อวนั ” (แนวการ
เป็นข้อมูลที่ได้จากการคานวณเปรยี บเทียบปริมาณสารอาหาร 1 หนว่ ยบริโภค กับปรมิ าณทรี่ า่ งกาย
ตอ้ งการในแตล่ ะวนั ขอ้ มลู นบี้ อกใหผ้ ้บู ริโภคทราบว่า เมอื่ กนิ อาหารใน 1 หนว่ ยบริโภค จะได้สารอาหาร
เปน็ สัดส่วนเท่าใด ของปริมาณทค่ี วรได้รับใน 1 วนั )
3.2 ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปเน้ือหา เร่อื ง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร
ขน้ั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกับข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารหลากหลายรูปแบบ
ข้ันท่ี 5 ข้ันประเมนิ ผล
5.1 ครตู รวจใบงาน เร่ือง ขอ้ มลู โภชนาการบนฉลากอาหาร
ประยุกต์และตอบแทนสังคม
ครูให้นักเรียนแตล่ ะคนนาความรทู้ ่เี รยี นไปค้นคว้าเพ่ิมเติมทีห่ อ้ งสมุด หรือเวบ็ ไซต์ แลว้ นาเสนอใน
ชนั้ เรียน
8. ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 เล่ม 1
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบงาน เร่อื ง ขอ้ มูลโภชนาการบนฉลากอาหาร
8.3 อินเทอร์เน็ต
- เว็บไซต์ https://www.scimath.org/article-biology/item/507-nutrition
- เว็บไซต์ https://www.honestdocs.co/what-is-nutrition-facts-label
228
9. การวัดและประเมินผล
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือ เกณฑ์การประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธบิ ายเกยี่ วกบั ข้อมลู โภชนาการ 1) ตรวจใบงาน เรอื่ ง 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนตอบ
ทากจิ กรรม คาถามไดร้ ะดบั ดี
บนฉลากอาหารได้ ข้อมูลโภชนาการบน 2) ใบงาน เรื่อง ผ่านเกณฑ์
ขอ้ มูลโภชนาการบน
ฉลากอาหาร ฉลากอาหาร
ดา้ นกระบวนการ (P) - --
-
ด้านคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจใบงาน เร่ือง 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนทาภาระ
1) ใฝเุ รียนรู้ และเปน็ ผู้มคี วามม่งุ มนั่ ในการ ข้อมูลโภชนาการบน ทากจิ กรรม งานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
ทางาน ฉลากอาหาร 2) ใบงาน เรอ่ื ง ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
ข้อมูลโภชนาการบน
ฉลากอาหาร
10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรยี น
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรอื่ ง ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหาร
ประเดน็ การ ค่าน้าหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 ตอบคาถามไดถ้ กู ต้องครบถ้วน จานวน 5-7 ขอ้
(K) 2 ตอบคาถามไดถ้ ูกต้องครบถ้วน จานวน 3-4 ข้อ
1 ตอบคาถามไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น จานวน 1-2 ขอ้ หรือไมม่ ขี อ้ ใดถูกต้อง
ด้าน 3 ทาภาระงานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาทกี่ าหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถ้วน
คณุ ลักษณะ 2 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางสว่ น
(A) 1 ทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางสว่ น
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน