The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

60100147124 ชีววิทยา สุทธิกา แสงแก้ว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by baysaengkaew, 2022-03-08 21:46:23

60100147124 ชีววิทยา สุทธิกา แสงแก้ว

60100147124 ชีววิทยา สุทธิกา แสงแก้ว

แผนการจดั การเรยี นรู้

วชิ าชีววทิ ยา ว 31241

กลุ่มสาระการเรียนรู้วชิ าวทิ ยาศาสตร์

ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4

โรงเรียนทุ่งฝนวิทยาคาร

นางสาวสทุ ธิกา แสงแก้ว

รหสั ประจาตวั นกั ศกึ ษา 60100147124
สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์ ( เน้นชวี วทิ ยา )

คำนำ

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าชวี วทิ ยา รหัสวิชา ว31242 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 นี้ จัดทำขึ้น เพื่อประกอบการเรียนรู้ ในรายวิชาชีววิทยา รหัสวิชา
ว31242 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ระดับชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ประกอบด้วย

1. รายละเอยี ดเก่ียวกบั หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบันปรับปรงุ
พ.ศ. 2560) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

2. แผนการจัดการเรยี นรู้ จำนวน 18 แผน แต่ละแผนการจดั การเรียนรู้ ประกอบด้วยเปา้ หมายการ
เรยี นรู้ สาระสำคญั กิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือการเรียนรู้ ส่ือการเรียน การวัดผลและประเมินผล

ผู้จัดทำหวังเป็นอยา่ งย่ิงวา่ แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ าชีววทิ ยา รหสั วิชา ว 31242 กลุ่มสาระการ
เรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 จะเป็นสว่ นหน่งึ ในการพัฒนาการเรยี นรู้กลมุ่
สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพือ่ ส่งเสริมการเรียนรู้ และเป็นประโยชน์สำหรบั ครู ผู้เรยี น และ
ผู้ท่สี นใจ

สุทธกิ า แสงแกว้

สารบญั หนา้

เรือ่ ง 1
คำนำ 1
สารบญั 2
เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์ 3
วทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เติม 8
เรยี นรู้อะไรบา้ งในวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เตมิ 18
ผลการเรยี นร้แู ละสาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเตมิ สาระที่ 1 ชีววทิ ยา 27

คำอธบิ ายรายวิชาชีววิทยา ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4

กำหนดการสอนภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
แผนการจดั การเรียนรู้ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564

เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์

ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรม์ ุ่งเน้นใหผ้ เู้ รยี นได้คน้ พบความรู้ด้วยตนเองมากทส่ี ดุ เพือ่ ใหไ้ ดท้ ั้ง
กระบวนการและความร้จู ากวธิ กี ารสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลทไ่ี ด้ มาจัดระบบเปน็
หลักการ แนวคิด และองคค์ วามรู้ การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมีเป้าหมายท่ีสำคญั ดงั นี้

1. เพื่อให้เข้าใจหลกั การ ทฤษฎแี ละกฎท่ีเปน็ พน้ื ฐานในวิชาวิทยาศาสตร์
2. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาตขิ องวิชาวทิ ยาศาสตร์และข้อจำกดั ในการศกึ ษา วชิ า
วิทยาศาสตร์
3. เพือ่ ให้มที กั ษะทีส่ ำคัญในการศึกษาคน้ คว้าและคดิ คน้ ทางเทคโนโลยี
4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์ และ
สภาพแวดล้อมในเชิงที่มอี ิทธพิ ลและผลกระทบซึง่ กนั และกนั
5. เพื่อนำความรูค้ วามเข้าใจ ในวิชาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ ตอ่ สงั คมและ
การดำรงชวี ติ
6. เพื่อพฒั นากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปญั หา และ การจัดการ ทักษะ
ในการส่ือสาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ
7. เพอื่ ให้เปน็ ผู้ท่ีมีจติ วิทยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมในการใช้ วิทยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยอี ย่างสร้างสรรค์

วิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เตมิ

วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมจัดทำขึ้นสำหรับผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แผนการเรียน
วิทยาศาสตร์ ที่จำเป็นต้องเรยี นเน้ือหาในสาระชีววทิ ยา เคมีฟิสิกส์ และโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งเป็น
พื้นฐานสำคัญและเพียงพอสำหรับการศึกษาต่อในระดบั อุดมศึกษา ในด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อประกอบวิชาชีพ
ในสาขาที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐาน เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคนิคการแพทย์
วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ โดยมีผลการเรียนรู้ ที่ครอบคลุมด้านเนื้อหา ทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ และทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 รวมท้ังจิตวิทยาศาสตร์ท่ีผเู้ รยี นจำเปน็ ต้องมวี ิทยาศาสตร์เพิ่มเติมน้ี
ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้มีเนื้อหา ที่ทัดเทียมกับนานาชาติเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
รวมท้งั เชอื่ มโยงความรู้สู่การนำ ไปใชใ้ นชวี ติ จรงิ สรปุ ได้ดังน้ี

1. ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาระหว่างตัวชี้วัดในรายวิชาพ้ืนฐานและผลการเรียนรู้ รายวิชาเพิ่มเติม
เพ่ือให้ผเู้ รยี นไดม้ ีเวลาสำหรบั การเรียนร้แู ละทำปฏิบตั กิ ารทางวทิ ยาศาสตร์เพิ่มข้ึน

2. ลดความซำ้ ซอ้ นของเนอ้ื หาระหว่างสาระชวี วทิ ยา เคมีฟสิ กิ สแ์ ละโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ โดย
มีการพิจารณาเน้ือหาทีม่ ีความซ้ำซอ้ นกัน แล้วจัดให้เรยี นที่สาระใดสาระหนึ่ง เช่น - เรื่องสารชีวโมเลกุล เดิม
เรยี นทงั้ ในสาระชวี วิทยา และเคมไี ดพ้ ิจารณาแลว้ จัด ใหเ้ รียนในสาระชวี วทิ ยา - เรอ่ื งปิโตรเลียม เดิมเรียนท้ัง
ในสาระเคมแี ละโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ไดพ้ จิ ารณาแลว้ จัดให้เรียนในสาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ
- เรื่องกฎของบอยล์กฎของชาร์ล ไอโซโทปกัมมันตรังสีได้พิจารณาแล้วจัดให้ เรียนในสาระเคมีและเรื่อง
พลังงานนิวเคลยี รจ์ ดั ใหเ้ รยี นในสาระฟิสกิ ส์ เนื่องจากเดิมเนือ้ หาเหลา่ น้ี ทบั ซอ้ นกันในสาระเคมแี ละฟิสกิ ส์
- เรื่องการทดลองของทอมสัน และการทดลองของมิลลิแกน เดิมเรียนทั้งในสาระ เคมีและฟิสิกส์ได้พิจารณา
แลว้ จัดใหเ้ รียนในสาระเคมี

3. ลดความซ้ำซ้อนกนั ระหว่างระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น และระดบั มธั ยมศึกษา ตอนปลาย เช่น
- เรื่องระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในสาระชีววิทยา ได้ปรับให้สาระการเรียนรู้ เนื้อหา และกิจกรรม มีความ
แตกต่างกันตามความเหมาะสมของระดบั ผเู้ รียน
- เรื่องเทคโนโลยอี วกาศ การเกิดลม การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ขิ องโลก พายุ และมรสุม ได้มีการปรับให้สาระ
การเรียนรู้เนื้อหา และกิจกรรม เรียนต่อเนื่องกันจากระดับ มัธยมศึกษาตอนต้นไปสู่ระดับมัธยมศึกษาตอน
ปลาย เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกัน ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับ
ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) (128) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

4. ลดทอนเน้ือหาทีย่ ากเพ่อื ให้เหมาะสมกบั กลมุ่ ของผู้เรียนในระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
5. มีการเพิ่มเนือ้ หาด้านต่าง ๆ ที่มีความทันสมัย สอดคล้องต่อการดำรงชีวิต ในปัจจุบันและอนาคต
มากข้นึ เช่น เร่ืองเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ที่มีตอ่ มนุษย์และสงิ่ แวดล้อมใน สาระชีววิทยา เร่ืองทักษะและความ
ปลอดภัยในปฏิบัตกิ ารเคมนี วัตกรรมและการแก้ปัญหา ที่เน้นการบรู ณาการในสาระเคมี เรื่องเทคโนโลยีด้าน
พลังงานและสิ่งแวดล้อม การสื่อสาร ด้วยสัญญาณดิจิทัลที่เหมาะสมกบั สังคมและเศรษฐกิจดิจทิ ัลในปัจจุบนั
รวมท้งั เนอื้ หาเกย่ี วกับ การคน้ ควา้ วจิ ยั ด้านฟิสิกส์อนภุ าค เพื่อความสอดคลอ้ งกับความก้าวหน้าของวิชาฟิสิกส์
ในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมนี้ถึงแม้ว่าสถานศึกษาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้เรียนตามความ เหมาะสมและ
ตามจุดเนน้ ของสถานศกึ ษา แตใ่ นแนวทางปฏิบัติสถานศึกษาควรจัดใหผ้ ู้เรียน ได้เรียนทกุ สาระเพ่ือให้มีความรู้
เพียงพอในการนำไปใชเ้ พ่ือการศึกษาต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหา ของสาระโลก ดาราศาสตร์และอวกาศ ท่ี
สถานศกึ ษามกั มองขา้ มความสำคัญของการเรียนสาระนี้ ซึ่งเป็นการบรู ณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทั้ง
ฟิสิกส์ เคมแี ละชวี วทิ ยา รวมทงั้ ศาสตร์อื่น ๆ ท่ีเกีย่ วข้อง เพือ่ มาชว่ ยในการอธบิ ายและเขา้ ใจปรากฏการณ์ต่าง
ๆ ในธรรมชาติทั้งการเปลี่ยนแปลง บนผิวโลก การเปลี่ยนแปลงภายในโลก และการเปลี่ยนแปลงทางลมฟ้า
อากาศ ซึง่ กระบวนการ เปลย่ี นแปลงทงั้ หมดดงั กลา่ วลว้ นสง่ ผลซึ่งกนั และกัน รวมทัง้ ส่งิ มีชีวิตดว้ ย และทสี่ ำคัญ
คอื ความรู้ ในสาระน้ีสามารถนำไปใช้ในการศกึ ษาตอ่ เพอื่ ประกอบอาชพี ในหลาย ๆ ดา้ น เช่น อาชีพที่เก่ียวกับ
วัสดุศาสตร์การเดินเรือ การบิน การเกษตร การศึกษาประวัติศาสตร์วิศวกร อุตสาหกรรมน้ำมัน เหมือง นัก

ธรณีวิทยา นักอุตุนิยมวิทยา นักดาราศาสตร์นักบินอวกาศ ดังนั้นพื้นฐานความรู้สาระโลก ดาราศาสตร์และ
อวกาศ จะชว่ ยเปดิ โอกาสทางด้านอาชีพทห่ี ลากหลายให้กบั ผู้เรียน เพราะ ในอนาคตข้างหน้า นอกจากมนุษย์
จะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับโลกที่ตัวเองอาศยั อยู่แล้ว ยังต้องพัฒนา ตนเองเพือ่ ศกึ ษาขอ้ มูลต่าง ๆ ที่อยู่นอก
โลกเพือ่ นำข้อมูลเหลา่ น้นั กลับมาพัฒนาคณุ ภาพชีวิตใหด้ ีขน้ึ

เรยี นร้อู ะไรในวิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เตมิ

วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม ผู้เรยี นจะไดเ้ รยี นรู้สาระสำคัญ ดงั น้ี

✧ ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับ การศึกษาชีววิทยา สารที่เป็นองค์ประกอบของ สิ่งมีชีวิต เซลล์ของสิ่งมีชีวิต
พันธุกรรมและการถ่ายทอด ววิ ัฒนาการ ความหลากหลายทางชวี ภาพ โครงสรา้ งและการทำงานของส่วนต่าง
ๆ ในพชื ดอก ระบบและการทำงานในอวัยวะต่าง ๆ ของสตั ว์ และมนุษยแ์ ละสง่ิ มีชวี ิตและสงิ่ แวดล้อม

✧ เคมี เรียนรู้เกี่ยวกบั ปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลง ของสาร ทักษะและ
การแก้ปญั หาทางเคมี

✧ ฟสิ ิกส์ เรยี นรเู้ กี่ยวกับ ธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสกิ ส์แรงและการเคลอ่ื นที่ และพลังงาน ตัวช้ีวัดและ
สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (129)

✧ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรเู้ ก่ียวกบั โลกและกระบวนการเปลยี่ นแปลง ทางธรณีวทิ ยา ขอ้ มลู ทาง
ธรณีวิทยาและการนำไปใช้ประโยชนก์ ารถ่ายโอนพลังงานความรอ้ นของโลก การเปลี่ยนแปลงลักษณะลมฟา้
อากาศกบั การดำรงชวี ติ ของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตรก์ ับมนษุ ย์

ผลการเรยี นร้แู ละสาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม

สาระชีววทิ ยา

1. เข้าใจธรรมชาตขิ องส่งิ มีชวี ติ การศกึ ษาชีววิทยาและวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ สารทีเ่ ป็นองค์ประกอบ

ของสิ่งมชี วี ติ ปฏิกิริยาเคมีในเซลลข์ องสิ่งมชี วี ิต กลอ้ งจลุ ทรรศน์ โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของเซลล์ การ

ลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์

ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนร้แู กนกลาง

1. อธิบาย และสรปุ สมบัติ • สิง่ มชี วี ิตทกุ ชนิดต้องการสารอาหารและพลงั งาน มีการเจริญเตบิ โต มี

ท่ีสำคัญของส่งิ มีชวี ิต และ การตอบสนองต่อส่งิ เร้า มีการรกั ษาดลุ ยภาพของร่างกาย มีการสบื พันธ์ุ

ความสัมพนั ธ์ของการ มกี ารปรบั ตัวทางววิ ัฒนาการ และมีการทำงาน ร่วมกันของ

จดั ระบบในสงิ่ มีชวี ิต ท่ที ำ องค์ประกอบตา่ ง ๆ อย่างเป็นระบบ ส่งิ เหลา่ นจี้ ัดเปน็ สมบตั ทิ ่ีสำคญั

ใหส้ งิ่ มีชีวติ ดำรงชีวิตอยไู่ ด้ ของสิ่งมชี ีวิต

• การจัดระบบในส่ิงมชี ีวติ เร่มิ จากหนว่ ยเลก็ ไปหนว่ ยใหญ่ ไดแ้ ก่ เซลล์

เน้อื เยอื่ อวยั วะ ระบบ อวัยวะ และสง่ิ มชี ีวิต ตามลำดบั

2. อภิปราย และบอก • วธิ ีการทางวิทยาศาสตรใ์ นการคน้ หาคำตอบ เกี่ยวกบั สง่ิ มชี ีวติ เรม่ิ

ความสำคญั ของการระบุ จากการต้งั ปญั หาหรอื คำถาม ต้ังสมมติฐาน ตรวจสอบสมมติฐาน เก็บ

ปญั หา ความสมั พันธ์ รวบรวม ข้อมลู วเิ คราะหข์ อ้ มูล และสรุปผล
ม.4 ระหว่างปัญหา สมมติฐาน • การศึกษาสง่ิ มชี วี ติ ต้องอาศัยความร้จู ากแขนงวชิ า ต่าง ๆ ของ

และวิธกี ารตรวจสอบ ชีววทิ ยาและสาขาวิชาอนื่ ท่เี กีย่ วข้อง และควรคำนงึ ถงึ ชีวจรยิ ธรรมและ

สมมตฐิ าน รวมท้ัง จรรยาบรรณ การใช้สตั วท์ ดลอง

ออกแบบการทดลองเพอื่

ตรวจสอบสมมติฐาน

3. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย • สิ่งมีชีวติ ประกอบด้วย ธาตุและสารประกอบ ในร่างกายของสง่ิ มชี ีวติ

เกี่ยวกับสมบัตขิ องน้ำ มีนำ้ เป็นองค์ประกอบ มากท่ีสุด น้ำประกอบดว้ ยธาตไุ ฮโดรเจน และ

และบอกความสำคญั ของ ออกซิเจน มสี มบตั ใิ นการเปน็ ตวั ทำละลาย ทด่ี ีเก็บความรอ้ นได้ดแี ละมี

นำ้ ทม่ี ตี ่อสง่ิ มชี ีวติ และ ความจคุ วามรอ้ นสูง ซึง่ ช่วยรักษาดลุ ยภาพของเซลล์ได้

ยกตัวอยา่ งธาตุชนดิ ต่าง ๆ • ธาตทุ ่ีสิ่งมีชีวิตต้องการจะอยใู่ นรูปของไอออน ในมนษุ ยแ์ ละสตั วธ์ าตุ

ทีม่ คี วามสำคัญ ต่อ จะชว่ ยใหก้ ารทำงานของ ระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายดำเนินไปตามปกติ

ร่างกายส่ิงมชี ีวิต นอกจากนใ้ี นกระดูก ฟัน และกลา้ มเนือ้ จะมธี าตุ เป็นองค์ประกอบด้วย

4. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย • คารโ์ บไฮเดรตประกอบดว้ ย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซเิ จน

โครงสรา้ งของ แบ่งตามขนาดโมเลกุล ออกไดเ้ ป็น 3 กลมุ่ คือ มอโนแซ็กคาไรด์

คารโ์ บไฮเดรต ระบกุ ลมุ่ ไดแซก็ คาไรดแ์ ละพอลิแซ็กคาไรด์

ของคาร์โบไฮเดรต รวมท้งั

ความสำคัญ ของ

คารโ์ บไฮเดรตท่มี ตี ่อ

สง่ิ มชี ีวติ

5. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบาย • โปรตีนมกี รดอะมิโนเป็นหน่วยย่อย ประกอบด้วย ธาตคุ ารบ์ อน

โครงสรา้ งของโปรตนี และ ไฮโดรเจน ออกซเิ จน และไนโตรเจน บางชนิดอาจมีธาตฟุ อสฟอรสั

ความสำคญั ของโปรตนี ท่มี ี เหลก็ และกำมะถนั เป็นองค์ประกอบ

ต่อส่งิ มีชีวิต

6. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย • ลิพิดประกอบดว้ ย ธาตุคารบ์ อน ไฮโดรเจน และ ออกซเิ จน เปน็

โครงสรา้ งของลพิ ิด และ สารประกอบทล่ี ะลายได้ดี ในตัวทำละลายทเี่ ป็นสารอินทรีย์ลิพดิ กล่มุ

ความสำคญั ของลิพิดทมี่ ี สำคัญ ทพี่ บในส่งิ มีชวี ิต เชน่ กรดไขมนั ไตรกลเี ซอไรด์ ฟอสโฟลิพดิ

ต่อสิ่งมชี ีวติ สเตอรอยด์

7. อธิบายโครงสร้างของ • กรดนิวคลอิ กิ ประกอบด้วย หน่วยยอ่ ย เรยี กวา่ นิวคลโี อไทด์โมเลกุล

กรดนวิ คลิอิก และระบุ ของนวิ คลโี อไทดป์ ระกอบด้วย หมู่ฟอสเฟต น้ำตาลทม่ี ีคารบ์ อน 5

ชนิดของกรดนวิ คลิอิก อะตอม และเบสทีม่ ีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ

และความสำคัญของ กรด • กรดนวิ คลอิ กิ เปน็ องค์ประกอบของสารพันธุกรรม ทำหนา้ ที่เกบ็ และ

นิวคลิอกิ ท่ีมีตอ่ สิง่ มชี วี ติ ถา่ ยทอดขอ้ มูลทางพนั ธกุ รรม มี 2 ชนิด คอื DNA และ RNA

8. สืบคน้ ข้อมูล และ • เมแทบอลิซมึ เปน็ ปฏิกริ ยิ าเคมีที่เกิดขึ้นภายใน เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ

อธิบายปฏกิ ิริยาเคมีท่ี ปฏกิ ิรยิ าเคมีประกอบด้วย ปฏกิ ริ ิยาคายพลังงาน และปฏกิ ิรยิ าดดู

เกิดขึน้ ในส่งิ มีชวี ติ พลังงาน ปฏกิ ิริยาเคมเี หลา่ น้จี ะดำเนินไปไดอ้ ย่างรวดเรว็ จำเปน็ ต้อง

9. อธบิ ายการทำงานของ อาศัยเอนไซมช์ ่วยเรง่ ปฏิกริ ิยา

เอนไซมใ์ นการเรง่ ปฏิกริ ยิ า • เอนไซมส์ ่วนใหญ่เปน็ สารประเภทโปรตีน ทำหน้าทีเ่ รง่ ปฏิกริ ยิ าเคมีใน

เคมใี นสิง่ มีชวี ติ และระบุ ขณะทเ่ี กิดปฏิกริ ยิ า เคมีในเซลล์สารตั้งตน้ จะเขา้ ไปจับกบั เอนไซม์ ท่ี

ปจั จยั ทีม่ ีผลตอ่ การทำงาน บริเวณจำเพาะของเอนไซมท์ เี่ รยี กว่า บรเิ วณเร่ง ถ้าสารต้ังตน้ มี

ของเอนไซม โครงสร้างเข้ากบั บริเวณเรง่ ได้ สารต้งั ตน้ นัน้ จะถูกเปลีย่ นเปน็ สาร

ผลิตภัณฑ์

• อุณหภมู ิสภาพความเป็นกรด-เบสและ ตวั ยบั ยง้ั เอนไซม์เป็นปจั จยั ทมี่ ี

ผลตอ่ การทำงาน ของเอนไซม์

10. บอกวิธกี าร และ • กลอ้ งจลุ ทรรศนเ์ ป็นเครือ่ งมือที่ใช้ศึกษาส่ิงมชี ีวิต ขนาดเลก็ ท่ีไม่

เตรียมตัวอยา่ งส่ิงมีชีวิต สามารถเห็นได้ดว้ ยตาเปล่าและ รายละเอียดโครงสรา้ งของเซลล์

เพ่ือศกึ ษาภายใตก้ ล้อง • กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงเชงิ ประกอบ และ กลอ้ งจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง

จุลทรรศนใ์ ชแ้ สง วัดขนาด แบบสเตอรโิ ออาศัยเลนส์ ในการทำใหเ้ กิดภาพขยาย

โดยประมาณ และวาด • กลอ้ งจลุ ทรรศนอ์ ิเลก็ ตรอนทำให้เกิดภาพขยาย โดยอาศัยเลนส์

ภาพท่ีปรากฏ ภายใต้ แม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมลำอิเล็กตรอน ซ่งึ มีอยู่ดว้ ยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดสอ่ ง

กล้อง บอกวิธีการใช้และ ผ่าน และชนิดส่องกราด

การดูแลรักษา กล้อง • ตัวอยา่ งสิ่งมีชีวติ ทีน่ ำมาศกึ ษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ ใชแ้ สงตอ้ งมี

จุลทรรศน์ใช้แสงทีถ่ ูกต้อง วิธีการเตรียมทีถ่ กู ตอ้ งและเหมาะสม กบั ชนดิ ของสิ่งมีชีวิต เพอื่ ให้เกิด

ประสทิ ธิภาพ ในการศึกษา

11. อธิบายโครงสรา้ งและ • กล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สงเปน็ เครอ่ื งมือท่มี ีความละเอียด ซับซ้อน และ
หนา้ ท่ีของส่วนที่หอ่ หุม้ ราคาคอ่ นขา้ งสงู จึงควรใช้อยา่ ง ถกู วธิ มี ีการเก็บและดแู ลรกั ษาท่ีถกู ต้อง
เซลลข์ องเซลล์พืชและ เพอ่ื ให้ สามารถใชง้ านไดน้ าน
เซลล์สัตว์
12. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ าย • เซลล์เปน็ หนว่ ยพืน้ ฐานทเี่ ลก็ ท่ีสดุ ของสิง่ มีชวี ิต โครงสรา้ งพื้นฐานของ
และระบชุ นิดและหนา้ ที่ เซลลป์ ระกอบดว้ ย สว่ นที่ ห่อหมุ้ เซลลไ์ ซโทพลาซมึ และนวิ เคลยี ส
ของออร์แกเนลล์ • สว่ นท่ีหอ่ หุม้ เซลลท์ ีพ่ บในเซลล์ทุกชนิดคอื เยอ่ื หุ้มเซลล์แต่ใน
13. อธบิ ายโครงสร้างและ แบคทเี รยี สาหรา่ ย ฟังไจและพชื จะมีผนังเซลล์เป็นสว่ นหอ่ หุ้มเซลล์
หนา้ ทข่ี องนวิ เคลียส เพิม่ เติมขึน้ มาอีก ช้นั หนงึ่
• โครงสรา้ งของเย่ือหุ้มเซลล์ประกอบด้วยโมเลกุล ของฟอสโฟลพิ ดิ เรียง
14. อธิบาย และ เป็นสองชน้ั และมโี ปรตีน แทรกหรอื อยู่ท่ีผวิ ทัง้ สองด้านของฟอสโฟ
เปรียบเทียบการแพร่ ลิพดิ
ออสโมซิส การแพร่ • ไซโทพลาซึมอยูภ่ ายในเย่อื หุ้มเซลลป์ ระกอบดว้ ย ไซโทซอลและออร์
แบบฟาซิลิเทตและแอก แกเนลล์
ทฟี ทรานสปอรต์ • นวิ เคลยี สเป็นศนู ย์กลางควบคุมการทำงานของ เซลลย์ ูคาริโอต
15. สบื ค้นข้อมูล อธบิ าย ประกอบดว้ ยเยอื่ ห้มุ ซึ่งภายใน มี DNA RNA และโปรตีนบางชนิด
และเขยี นแผนภาพ การ
ลำเลยี งสารโมเลกุลใหญ่ • สารต่าง ๆ มกี ารเคลอื่ นทีเ่ ขา้ และออกจากเซลล์ อยตู่ ลอดเวลาโดย
ออกจากเซลล์ ดว้ ย กระบวนการตา่ ง ๆ ได้แก่ การแพร่ออสโมซสิ การแพร่แบบฟาซลิ เิ ทต
กระบวนการเอกโซไซโท แอกทีฟทรานสปอร์ต กระบวนการเอกโซไซโทซิส กระบวนการเอนโด
ซิสและการลำเลยี ง สาร ไซโทซสิ
โมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ • แก๊สต่าง ๆ เข้าหรือออกจากเซลล์โดยการแพร่ ส่วนน้ำเข้าหรอื ออก
ดว้ ยกระบวนการ เอนโด จากเซลล์ผ่านเยือ่ หมุ้ เซลล์ โดยออสโมซิส
ไซโทซิส • ไอออนและสารบางอยา่ งทไี่ ม่สามารถลำเลียง ผ่านเย่อื หมุ้ เซลล์
โดยตรงได้จำเปน็ ต้องอาศัย โปรตนี ท่อี ยู่บนเยื่อหุม้ เซลล์เป็นตัวพาสาร
น้ัน เขา้ และออกจากเซลล์เรียกว่า การแพรแ่ บบ ฟาซิลิเทต
• แอกทีฟทรานสปอรต์ เปน็ การลำเลยี งสารจาก บรเิ วณทีม่ ีความ
เข้มข้นตำ่ ไปยังบริเวณทมี่ ี ความเขม้ ขน้ สูง
• สารบางอยา่ งที่ไมส่ ามารถแพรผ่ ่านเย่อื ห้มุ เซลล์ หรอื ลำเลียงผ่าน
โปรตีนทเ่ี ป็นตวั พาได้จะถูก ลำเลียงออกจากเซลล์ด้วยกระบวนการ เอก
โซไซโทซสิ

• สารทมี่ ีขนาดใหญ่จะสามารถลำเลยี งเข้าส่เู ซลล์ ดว้ ยกระบวนการเอน

โดไซโทซิสซ่ึงแบ่งเป็น 3 แบบ ไดแ้ ก่ พโิ นไซโทซสิ ฟาโกไซโทซสิ และ

การนำสาร เข้าส่เู ซลล์โดยอาศัยตัวรบั

16. สังเกตการแบ่ง • การแบ่งเซลล์ของส่งิ มชี ีวติ เป็นการเพ่มิ จำนวนเซลล์ ซ่ึงเป็น

นิวเคลยี สแบบไมโทซิส กระบวนการที่เกิดขนึ้ ตอ่ เนอ่ื งกนั เป็น วฏั จักร โดยวฏั จกั รของเซลล์

และ แบบไมโอซสิ จาก ประกอบด้วย อนิ เตอรเ์ ฟส การแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโทซิสและ การ

ตวั อย่างภายใตก้ ลอ้ ง แบง่ ไซโทพลาซมึ

จลุ ทรรศน์ พรอ้ มทัง้ • การแบ่งนิวเคลยี สมี๒ แบบ คอื การแบ่งนวิ เคลยี ส แบบไมโทซิสและ

อธิบายและเปรยี บเทียบ การแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโอซิส

การแบง่ นวิ เคลยี สแบบไม • การแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซสิ ประกอบดว้ ย ระยะโพรเฟส เมทาเฟส

โทซิส และแบบไมโอซสิ แอนาเฟส และเทโลเฟส

• การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโอซสิ ประกอบดว้ ย ระยะโพรเฟส I เมทา

เฟส I แอนาเฟส I เทโลเฟส I ระยะโพรเฟส II เมทาเฟส II แอนาเฟส II

และเทโลเฟส II

• การแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโทซสิ ทำให้เซลลร์ า่ งกาย เพ่ิมจำนวนเพอื่

การเจรญิ เติบโต และซอ่ มแซม สว่ นที่สึกหรอหรือถกู ทำลายไปไดส้ ว่ น

การแบ่ง นิวเคลียสแบบไมโอซิสมีความสำคญั ตอ่ ส่ิงมีชีวิต ใน

กระบวนการสรา้ งเซลลส์ บื พันธ์ุ

• การแบ่งไซโทพลาซมึ ในเซลล์พชื จะมีการสรา้ ง แผน่ กั้นเซลล์และเซลล์

สตั ว์จะมีการคอดเวา้ เขา้ หากนั ของเยอ่ื หุ้มเซลล์

17. อธบิ าย เปรียบเทยี บ • การหายใจระดับเซลล์เปน็ การสลายสารอาหาร ทม่ี ีพลงั งานสงู โดยมี

และสรุปขนั้ ตอน การ ออกซิเจนเปน็ ตัวรบั อิเล็กตรอนตัวสดุ ทา้ ย ประกอบดว้ ย 3 ขั้นตอน คือ

หายใจระดบั เซลล์ในภาวะ ไกลโคลซิ ิส วฏั จกั รเครบส์และกระบวนการ ถ่ายทอดอิเลก็ ตรอน

ทม่ี ีออกซเิ จน เพยี งพอ • การหายใจระดับเซลลพ์ ลังงานสว่ นใหญ่ไดจ้ าก ข้นั ตอนการถา่ ยทอด

และภาวะทมี่ อี อกซเิ จนไม่ อิเล็กตรอน พลงั งานน้ี จะถกู เก็บไวใ้ นพันธะเคมใี นโมเลกลุ ของ ATP

เพยี งพอ • ในภาวะทม่ี อี อกซิเจนไม่เพยี งพอ ทำให้การหายใจ ของเซลลไ์ ม่

สมบูรณจ์ งึ เกดิ ไดเ้ ฉพาะไกลโคลซิ สิ ผลทไ่ี ดจ้ ากการหายใจในสภาวะน้ี

ในสัตว์จะได้ กรดแลกตกิ ในจลุ ินทรียแ์ ละพชื อาจได้ กรดแลกติก หรอื

เอทลิ แอลกอฮอล์

ว30241 ชีววทิ ยา คำอธิบายรายวิชา
ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนที่ 2 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

เวลาเรียน 60 ชว่ั โมง จำนวน 1.5 หน่วยกติ

ศึกษาเกี่ยวกับโครโมโซม และสารพันธุกรรม โครงสร้างของ DNA การจำลอง DNA การ ควบคุม
ลักษณะพันธุกรรมของ DNA มิวเทชัน และการเกิดมิวเทชัน ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม
การศึกษาพันธุกรรมของเมนเดล การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม ลักษณะทางพันธุกรรมที่ เป็นส่วนขยายของ
พันธุศาสตร์เมนเดล การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซมเพศ ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน ศึกษาเทคโนโลยีทาง DNA
พันธุวิศวกรรมและการโคลนยีน การหาขนาดของ DNA และการหาลำดับ นิวคลีโอไทด์ การประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีทาง DNA กับความปลอดภัยทางชีวภาพและชีวจริยธรรม ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ หลักฐาน
และข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แนวคิด เก่ียวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต พันธุศาสตร์
ประชากร ปัจจัยท่ที ำให้เกิดการเปลีย่ นแปลงความถ่ีของ แอลลีล และกำเนิดสปซี ีส์

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรกู าร สบื ค้นขอ้ มลู การสงั เกต การ
วเิ คราะหก์ ารทดลอง การอภปิ ราย การอธบิ ายและสรปุ เพอื่ ให้เกิดความรู ความคดิ ความเขา้ ใจมีความสามารถ
ในการตดั สนิ ใจ ส่อื สารสิ่งที่เรยี นรูและนำความรูไ้ ปใช้ในชวี ิตของ ตนเองมีจติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม
และคา่ นิยมท่ีเหมาะสม มีคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ เทยี บเคียงมาตรฐานสากล ผเู้ รยี นมีศกั ยภาพเป็นพลโลก

ผลการเรียนรู้
1. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ าย และสรปุ ผลการทดลอง ของเมนเดล
2. อธบิ าย และสรุปกฎแห่งการแยก และกฎแหง่ การรวมกลุม่ อยา่ งอิสระ และนำกฎของเมน เดลน้ี ไปอธิบาย
การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมและใช้ในการคำนวณโอกาสในการเกดิ ฟโี นไทป์ และจโี นไทป์แบบต่าง ๆ
ของรนุ่ F1 และ F2
3. สืบค้นขอ้ มูล วิเคราะห์ อธิบาย และสรุปเก่ยี วกบั การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม ท่ี เปน็ สว่ นขยายของ
พันธุศาสตร์เมนเดล
4. สบื คน้ ข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบเทยี บลักษณะทางพันธกุ รรมทม่ี ีการแปรผนั ไมต่ อ่ เนื่อง และลกั ษณะทาง
พนั ธกุ รรมท่มี กี ารแปรผันตอ่ เน่อื ง
5. อธิบายการถา่ ยทอดยนี บนโครโมโซม และยกตวั อยา่ งลักษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีถกู ควบคุม ด้วยยีนบนออโต
โซมและยีนบนโครโมโซมเพศ
6. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายสมบตั ิและหน้าที่ของสารพันธุกรรม โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบทาง เคมีของ DNA
และสรปุ การจำลอง DNA
7. อธิบาย และระบุขัน้ ตอนในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและหนา้ ทข่ี อง DNA และ RNA แต่ละชนดิ ใน
กระบวนการสงั เคราะห์ โปรตีน

8. สรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสารพนั ธกุ รรม แอลลีล โปรตนี ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม และ เชอ่ื มโยงกบั ความรู้
เร่อื งพนั ธุศาสตรเ์ มนเดล
9. สบื คน้ ข้อมูล และอธบิ ายการเกดิ มิวเทชันระดับยีนและระดบั โครโมโซม สาเหตกุ ารเกิดมิว เทชนั รวมทั้ง
ยกตวั อย่างโรคและกลมุ่ อาการทีเ่ ปน็ ผลของการเกิดมิวเทชัน
10. อธิบายหลกั การสรา้ งส่ิงมชี วี ติ ดัดแปรพนั ธกุ รรมโดยใช้ดเี อน็ เอรคี อมบิแนนท์
11. สบื ค้นข้อมูล ยกตวั อยา่ ง และอภิปรายการนำเทคโนโลยีทางดเี อ็นเอไปประยกุ ตใ์ ช้ท้ังใน ด้านส่งิ แวดลอ้ ม
นิติวทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ การเกษตรและอุตสาหกรรม และข้อควรคำนึงถงึ ด้าน ชีวจรยิ ธรรม
12. สบื คน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายเกยี่ วกับหลักฐานทีส่ นบั สนุนและข้อมลู ทใี่ ชอ้ ธบิ ายการเกิด วิวฒั นาการของ
ส่ิงมีชีวิต
13. อธิบาย และเปรยี บเทียบแนวคิดเกย่ี วกับววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และ ทฤษฎีเก่ยี วกับ
ววิ ัฒนาการของสงิ่ มีชีวติ ของชาลส์ ดารว์ นิ
14. ระบุสาระสำคญั และอธบิ ายเง่อื นไขของภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี-ไวนเ์ บิรก์ ปัจจัยที่ทำให้ เกดิ การ
เปลีย่ นแปลงความถขี่ องแอลลลี ในประชากร พร้อมทัง้ คำนวณหาความถ่ีของแอลลีลและจโี นไทปข์ องประชากร
โดยใชห้ ลกั ของฮาร์ดี-ไวน์เบริ ก์
15. สบื คน้ ขอ้ มูล อภปิ ราย และอธบิ ายกระบวนการเกิดสปีชีสใ์ หมข่ องสิ่งมีชวี ิต
รวม 15 ผลการเรยี นรู้

โครงสร้างรายวชิ า ชวี วิทยา

ชอ่ื วชิ า ชีววทิ ยา รหัสวิชา ว 30241 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4
เวลาเรยี น 60 ชว่ั โมง/ภาคเรยี น จำนวน 1.5 หน่วยกติ

ลำดบั ชอื่ หน่วยการ ผลการเรียนรู้ สาระสำคญั เวลา น้ำหนัก
ที่ เรยี นรู้ (ช่วั โมง) คะแนน
๔. โครโมโซมและ - สบื ค้นขอ้ มลู อธบิ ายสมบัติ - โครโมโซม
สารพันธุกรรม 15 20
และหนา้ ทีข่ องสารพันธกุ รรม - สารพันธุกรรม
๕. การถ่ายทอด 18 40
ลกั ษณะทาง โครงสร้างและองค์ประกอบทาง - สมบัตขิ องสาร
พนั ธุกรรม
เคมขี อง DNA และสรปุ การ พนั ธกุ รรม

จำลองดเี อ็นเอ - มิวเทชนั

- อธบิ ายและระบุขั้นตอนใน

กระบวนการสังเคราะหโ์ ปรตนี

และหน้าทข่ี อง DNA และ RNA

แต่ละชนดิ ในกระบวนการ

สงั เคราะห์โปรตีน

- สืบคน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายการ

เกิดมิวเทชันระดับยีนและระดบั

โครโมโซม สาเหตกุ ารเกิดมิวเท

ชนั รวมทั้งยกตวั อย่างโรคและ

กลมุ่ อาการทเ่ี ปน็ ผลของการเกิด

มิวเทชนั

- สืบคน้ ข้อมลู อธิบาย และ - การศกึ ษาพนั ธกุ รรม

สรปุ ผลการทดลองของเมนเดล ของเมนเดล

- อธิบาย และสรปุ กฎแห่งการ - ลกั ษณะทางพันธกุ รรม

แยก และกฎแห่งการรวมกลมุ่ ทเ่ี ปน็ ส่วนขยายของ

อยา่ งอสิ ระ และนำกฎของเมน พันธุศาสตร์เมนเดล

เดลนี้ ไปอธบิ ายการถ่ายทอด - ยนี บนโครโมโซม

ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมและใช้ใน เดยี วกัน

การคำนวณโอกาสในการเกิดฟี

โนไทป์และจีโนไทปแ์ บบตา่ ง ๆ

ของรุน่ F1 และ F2

- อธบิ ายการถ่ายทอดยนี บน
โครโมโซม และยกตวั อยา่ ง
ลักษณะทางพนั ธุ-
กรรมทีถ่ กู ควบคุมดว้ ยยีนบนออ
โตโซมและยนี บนโครโมโซมเพศ
- สืบคน้ ขอ้ มูล วิเคราะห์ อธบิ าย
และสรุปเก่ยี วกบั การถา่ ยทอด
ลักษณะทางพันธุกรรมท่ีเปน็
สว่ นขยายของพันธศุ าสตรเ์ มน
เดล

๖. เทคโนโลยีทางดี - อธบิ ายหลกั การสร้างสง่ิ มชี ีวติ - พนั ธวุ ิศวกรรมและการ 9 20
18 20
เอน็ เอ ดดั แปรพนั ธกุ รรมโดยใช้ดีเอน็ เอ โคลนยนี

รคี อมบแิ นนท์ - การหาขนาดของ DNA

- อธิบายหลกั การสรา้ งสง่ิ มีชีวติ และการหาลำดบั นิวคลี

ดัดแปรพนั ธกุ รรมโดยใช้ดเี อ็นเอ โอไทด์

รีคอมบแิ นนท์ - การประยกุ ต์ใช้

- สืบคน้ ขอ้ มูล ยกตัวอย่าง และ เทคโนโลยที างดเี อ็นเอ

อภิปรายการนำเทคโนโลยีทางดี - เทคโนโลยที างดเี อ็นเอ

เอน็ เอไปประยกุ ต์ท้ังในด้าน กบั ความปลอดภยั ทาง

สง่ิ แวดล้อม นิตวิ ทิ ยาศาสตร์ ชีวภาพและชีวจริยธรรม

การแพทย์ การเกษตร และ

อุตสาหกรรม และขอ้ ควร

คำนงึ ถงึ ดา้ นชีวจรยิ ธรรม

๗. วิวัฒนาการ - สบื คน้ ขอ้ มลู และอธิบาย - หลักฐานและข้อมูลท่ี

เก่ยี วกบั หลักฐานที่สนบั สนนุ ใช้ในการศึกษา

และข้อมลู ที่ใชอ้ ธบิ ายการเกิด วิวฒั นาการของส่ิงมีชวี ิต

ววิ ฒั นาการของส่งิ มชี วี ติ - แนวคิดเกี่ยวกบั

- อธิบาย และเปรียบเทยี บ ววิ ฒั นาการของส่ิงมชี วี ติ

แนวคิดเก่ยี วกบั วิวฒั นาการของ - พนั ธุศาสตร์ประชากร

สิ่งมชี ีวิตของฌอง ลามารก์ และ - ปจั จัยท่ที ำให้เกิดการ

ทฤษฎีเก่ยี วกบั ววิ ฒั นาการของ เปลี่ยนแปลงความถ่ีของ

ส่ิงมชี ีวติ ของชาลส์ ดารว์ นิ แอลลีล

- ระบุสาระสำคัญ และอธบิ าย - กำเนดิ สปชี ีส์
เง่อื นไขของภาวะสมดุลของฮาร์
ดี-ไวนเ์ บิรก์ ปัจจยั ท่ีทำให้เกิด
การเปล่ียนแปลงความถี่ของ
แอลลีลในประชากร พร้อมท้งั
คำนวณหาความถข่ี องแอลลลี
และจีโนไทป์ของประชากรโดย
ใช้หลักของฮารด์ ี-ไวน์เบิร์ก
- สบื ค้นขอ้ มูล อภิปราย และ
อธบิ ายกระบวนการเกิดสปีชสี ์
ใหมข่ องสงิ่ มชี ีวิต

คะแนนระหวา่ งเรียน 70
คะแนนทดสอบปลายภาค 30
รวมทัง้ สิ้น 60 100

กำหนดการสอนโครงการสอนภ

รายวชิ าชวี วทิ ยา (Biology) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาป

สปั ดาหท์ ่ี หน่วยการเรยี นรู้/สาระการเรยี นรู้ จำนวน ตัวช้วี ัด

1 (contents) ชวั่ โมง

บทท่ี 4 โครโมโซม และสารพนั ธกุ รรม 3 สืบค้นข้อมูล อธิบายสมบัติแล
โครโมโซม พันธุกรรม โครงสร้างและองค
ของ DNA และสรุปการจำลองด
▪ รูปร่าง ลักษณะ และจำนวน
โครโมโซม

สารพนั ธุกรรม
▪ การคน้ พบสารพันธกุ รรม
▪ องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNA
▪ โครงสร้างของ DNA

2 บทที่ 4 โครโมโซม และสารพันธุกรรม 3 อธิบายและระบุขั้นตอนใ
สมบตั ขิ องสารพนั ธกุ รรม สังเคราะห์โปรตีนและหน้าท
▪ การจำลองดีเอ็นเอ RNA แต่ละชนิดในกระบวน
โปรตีน
3 บทที่ 4 โครโมโซม และสารพันธุกรรม
สมบัตขิ องสารพันธกุ รรม 3
▪ การควบคมุ ลกั ษณะทางพันธ-ุ
กรรมของ DNA (1)

ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

ปีท่ี 4 จำนวน 1.5 หน่วยกติ เวลา 60 ชวั่ โมง

สาระการเรียนรู้แกนกลาง จดุ ประสงค์การเรียนรู้

ละหน้าที่ของสาร DNA เปน็ พอลเิ มอรข์ องนวิ คลีโอไทด์ แต่ละนิวคลี 1. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบ

ค์ประกอบทางเคมี โอไทด์ ประกอบด้วย น้ำตาลดีออกซีไรโบส หมู่ ของโครโมโซม และหลกั การจำแนก

ดเี อน็ เอ ฟอสเฟต และไนโตรจีนัสเบส คอื A T C และ G โครโมโซมได้

โมเลกุลของ DNA เป็นพอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย 2. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบ
เรียงสลบั ทศิ และบดิ เปน็ เกลยี วเวียนขวา โดยการ ทางเคมขี อง DNA ได้
เข้าคู่กันของสาย DNA เกิดจากการจบั คู่ของเบส 3. สร้างแบบจำลองโครงสร้าง DNA ได้
4. รับผิดชอบต่อหนา้ ที่และงานท่ีได้รับ
คูส่ ม คอื A คกู่ ับ T และ C คู่กับ G
มอบหมายได้

5. มที กั ษะการสังเกต และทักษะการลง

ความเหน็ จากขอ้ มูล

ในกระบวนการ ยีน คือสาย DNA บางช่วงที่ควบคุมลักษณะทาง 1. อธบิ าย และระบขุ น้ั ตอนในกระบวน

ที่ของ DNA และ พันธุกรรมได้ โดยยีนกำหนดลำดับกรดอะมิโน การสงั เคราะห์โปรตีนได้

นการสังเคราะห์ ของโปรตีนซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้าง เอนไซม์ 2. อธิบายหน้าที่ของ DNA และ RNA

และอื่น ๆ มีผลทำให้เซลล์และสิ่งมีชีวิตปรากฏ แต่ละชนิดในกระบวนการสังเคราะห์

ลักษณะต่าง ๆ ได้ โปรตีนได้

DNA จำลองตัวเองได้โดยใชส้ ายหนึง่ เป็นแม่แบบ 3. สร้างแบบจำลองกระบวนการ
และสร้างอีกสายขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะมีโครงสร้าง สงั เคราะห์โปรตนี ได้
4. รับผิดชอบต่อหน้าที่และงานท่ีได้รบั
และลำดับนิวคลโี อไทด์เหมือนเดิม
มอบหมายได้

4 บทท่ี 4 โครโมโซม และสารพนั ธกุ รรม 3
สมบตั ิของสารพันธุกรรม
▪ การควบคมุ ลักษณะทางพนั ธุ-
กรรมของ DNA (2)

5 บทที่ 4 โครโมโซม และสารพันธุกรรม 3 สืบค้นข้อมูลและอธิบายการเก
มิวเทชนั ยีนและระดับโครโมโซม สาเหต
▪ มวิ เทชันระดบั ยนี รวมทั้งยกตัวอย่างโรคและกลุ่ม
▪ มิวเทชันระดับโครโมโซม ของการเกิดมวิ เทชัน

DNA ควบคุมลักษณะทางพันธกุ รรมของสิ่งมีชีวิต 5. มที ักษะการสงั เกต และทกั ษะการลง
ได้โดยการสร้าง RNA 3 ประเภท คือ mRNA ความเห็นจากข้อมลู
tRNA แล ะ rRNA ซ ึ่ง ร ่วมกันทำหน้าที่ใน
กระบวนการสงั เคราะหโ์ ปรตีน

RNA เปน็ พอลิเมอรข์ องนิวคลีโอไทด์สายเดยี่ ว แต่
ละนิวคลีโอไทด์ประกอบด้วย น้ำตาลไรโบส หมู่
ฟอสเฟต และไนโตรจนี ัสเบส คือ A U C และ G

กิดมิวเทชันระดับ มิวเทชันเป็นการเปลี่ยนแปลงของลำดับหรือ 1. อธิบายสาเหตุ และผลของการเกิด

ตุการเกิดมิวเทชัน จำนวนนิวคลีโอไทด์ใน DNA ซึ่งอาจนำไปสู่การ มวิ เทชันระดบั ยีนและระดบั โครโมโซม

มอาการที่เป็นผล เปลีย่ นแปลงโครงสร้างและการทำงานของโปรตนี 2. ยกตัวอยา่ งโรคและกลุ่มอาการท่ีเป็น

ซึ่งถ้าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดในเซลล์ ผลของการเกิดมิวเทชันระดับยีนและ

สบื พันธุ์ จะสามารถถา่ ยทอดไปยงั รุ่นต่อ ๆ ไปได้ ระดับโครโมโซมได้

และทำให้เกิดความแปรผันทางพันธุกรรมของ 3. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ และผล

สิ่งมีชีวิต การเกิดมิวเทชันมีสาเหตุมาจากปัจจัย ของการเกิดมิวเทชันระดับยีนและ

ต่าง ๆ เชน่ รังสี และสารเคมี ระดับโครโมโซม โรคและกลุ่มอาการท่ี

การขาดหายไปหรอื เพ่ิมข้ึนของนิวคลโี อไทด์ และ เป็นผลของการเกิดมิวเทชันระดับยีน
การแทนที่คู่เบส เป็นการเกิดมิวเทชันระดับยีน และระดบั โครโมโซมได้
เช่น โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ เป็นผลมา 4. รับผิดชอบตอ่ หนา้ ทีแ่ ละงานทีไ่ ด้รับ
มอบหมายได้
จากการแทนทีค่ ูเ่ บส
5. มีทกั ษะการสังเกต และทักษะการลง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโครโมโซม เช่น ความเห็นจากขอ้ มูล
หายไปหรือเพิ่มขึน้ บางส่วน และการเปล่ยี นแปลง

จำนวนโครโมโซม เช่น การลดลงหรอื เพิ่มข้ึนของ

โครโมโซมบางแทง่ หรอื ท้งั ชุด เป็นสาเหตุของการ

เกิดมิวเทชันระดบั โครโมโซม เช่น กลุ่มอาการคริ

6 บทที่ 5 การถา่ ยทอดลกั ษณะทาง

พันธกุ รรม

การศึกษาพนั ธุกรรมของเมนเดล (1) 3 สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ าย และสรุปผ

▪ ประวัตขิ องเมนเดล เมนเดล

▪ การศึกษาพันธกุ รรมของเมนเดล

อธิบาย และสรุปกฎแห่งการแ

การรวมกลุ่มอย่างอิสระ และน

7 บทที่ 5 การถา่ ยทอดลักษณะทาง นี้ ไปอธิบายการถา่ ยทอดลักษณ

พันธกุ รรม และใช้ในการคำนวณโอกาสใน

การศึกษาพันธุกรรมของเมนเดล (2) 3 และจโี นไทปแ์ บบตา่ ง ๆ ของรุ่น

▪ กฎการแยก อธิบายการถ่ายทอดยีนบน
▪ กฎการรวมกลุ่มอยา่ งอิสระ ยกตวั อยา่ งลักษณะทางพนั ธุ-
▪ การถา่ ยทอดยีนบนโครโมโซม กรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนบนอ

บนโครโมโซมเพศ

ดูชาต์และกลุ่มอาการดาวน์ กลุ่มอาการเทอร์
เนอร์และกลมุ่ อาการไคลน์เฟลเตอร์

ผลการทดลองของ เมนเดลศกึ ษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม 1. อธบิ าย และสรปุ ผลการทดลองของ

โดยการผสมพันธุ์ถั่วลันเตา จนสรุปเป็นกฎแห่ง เมนเดลได้

การแยกและกฎแห่งการรวมกลุม่ อย่างอสิ ระ 2. อธิบายความหมายและยกตัวอย่าง

แยก และกฎแห่ง กฎแห่งการแยกมีใจความว่า แอลลีลที่อยู่เป็นคู่ ลกั ษณะเด่น ลกั ษณะด้อย แอลลีล ฟโี น
นำกฎของเมนเดล จะแยกออกจากกันในระหว่างการสร้างเซลล์ ไทป์ จีโนไทป์ฮอมอไซกัส เฮเทอโไซกัส
ณะทางพนั ธุกรรม สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์จะมีเพียง ฮอมอไซกัสโดมิแนนท์ และฮอมอไซกัส
นการเกิดฟีโนไทป์ แอลลีลใดแอลลลี หน่งึ รีเซสสฟี ได้

น F1 และ F2 3. สามารถสาํ รวจ สังเกต เปรียบเทยี บ
กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระมีใจความว่า ลกั ษณะของตนเองกับผอู้ ื่นได้
โครโมโซม และ หลังจากคขู่ องแอลลลี แยกออกจากกนั แต่ละแอล 4. รับผิดชอบตอ่ หน้าที่และงานทีไ่ ด้รับ
ลีลจะจัดกลุ่มอยา่ งอิสระกบั แอลลีลอื่น ๆ ที่แยก มอบหมายได้
ออโตโซมและยีน ออกจากค่เู ช่นกันในการเข้าไปอย่ใู นเซลลส์ ืบพันธ์ุ 5. มีทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล

โครโมโซมภายในเซลล์ร่างกายแบ่งเป็นออโตโซม และทักษะการสังเกต

และโครโมโซมเพศ ลักษณะทางพันธุกรรมส่วน

ใหญ่ถูกควบคุมด้วยยีนบนออโตโซมบางลักษณะ

ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมเพศ ซ่ึงส่วนมาก

เปน็ ยีนบนโครโมโซม X

เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ยีนบนโครโมโซม
เดียวกันที่อยู่ใกลก้ ันมักจะถูกถ่ายทอดไปด้วยกนั
แต่การเกิดครอสซิงโอเวอร์ในการแบ่งเซลล์แบบ
ไมโอซิสอาจทำให้ยีนบนโครโมโซมเดียวกันแยก
จากกันได้ ส่งผลให้รปู แบบของเซลล์สืบพันธ์ทุ ี่ได้
แตกต่างไปจากกรณีทีไ่ มเ่ กดิ ครอสซิงโอเวอร์

8 บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทาง

พันธุกรรม

ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย 3 สบื ค้นข้อมลู วเิ คราะห์ อธบิ าย
ของพันธศุ าสตร์เมนเดล
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธ
▪ ความเด่นไมส่ มบรู ณ์
ขยายของพันธศุ าสตร์เมนเดล
▪ ความเด่นรว่ ม

9 บทที่ 5 การถ่ายทอดลกั ษณะทาง 3 สบื ค้นข้อมูล วเิ คราะห์ อธิบาย
พันธุกรรม การถ่ายทอดลักษณะทางพันธ
ลักษณะทางพนั ธกุ รรมทีเ่ ปน็ สว่ นขยาย ขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดล
ของพันธุศาสตร์เมนเดล
▪ มลั ติเพิลแอลลีล

10 สอบกลางภาค 3

และสรปุ เก่ียวกับ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะ 1. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทาง

ธุกรรมที่เป็นส่วน ให้อัตราส่วนทีแ่ ตกต่างจากผลการศกึ ษาของเมน พันธุกรรมที่เป็นความเด่นไม่สมบูรณ์

เดล เรยี กลักษณะเหลา่ นวี้ ่า ลักษณะทางพันธุ- ความเดน่ ร่วมได้

กรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล 2. สามารถแสดงวิธีการคำนวณหา

เช่น การข่มไม่สมบูรณ์ การข่มร่วมกัน มัลติเปิล ความเดน่ ไม่สมบรู ณ์ ความเดน่ ร่วมได้

แอลลลี ยนี บนโครโมโซมเพศ และพอลิยีน 3. รับผิดชอบต่อหนา้ ทีแ่ ละงานที่ได้รับ

มอบหมายได้

4. มีทักษะการใช้จำนวน ทักษะการลง

ความเห็นจากข้อมูล และทักษะการ

พยากรณ์

และสรุปเก่ยี วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะ 1. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทาง

ธุกรรมที่เป็นส่วน ให้อัตราส่วนทีแ่ ตกต่างจากผลการศกึ ษาของเมน พันธกุ รรมทเ่ี ป็นมัลติเพลิ แอลลีลได้

เดล เรยี กลกั ษณะเหลา่ นว้ี ่า ลักษณะทางพันธุ- 2. สามารถแสดงวธิ ีการคำนวณหามัลติ
กรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล เพิลแอลลีลได้

เช่น การข่มไม่สมบูรณ์ การข่มร่วมกัน มัลติเปิล 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และงานที่ได้รับ

แอลลลี ยนี บนโครโมโซมเพศ และพอลิยนี มอบหมายได้

4. มีทักษะการใช้จำนวน ทักษะการลง

ความเห็นจากข้อมูล และทักษะการ

พยากรณ์

11 บทที่ 5 การถ่ายทอดลักษณะทาง 3 สืบคน้ ข้อมลู วิเคราะห์ อธิบาย
พันธุกรรม การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ
ลกั ษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย
ของพันธศุ าสตรเ์ มนเดล ขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล
▪ ลกั ษณะควบคุมดว้ ยยีนหลายคู่
▪ ยนี บนโครโมโซมเดยี วกนั

12 บทท่ี 6 เทคโนโลยที างดีเอน็ เอ 3 อธิบายหลักการสรา้ งสงิ่ มชี ีวิตด

พนั ธวุ ศิ วกรรมและการโคลนยีน (1) โดยใชด้ ีเอน็ เอรคี อมบแิ นนท์

▪ การโคลนยีนโดยใช้พลาสมิดของ

แบคทีเรีย

13 บทท่ี 6 เทคโนโลยที างดเี อ็นเอ 3 อธิบายหลักการสรา้ งสง่ิ มีชวี ิตด
พันธุวิศวกรรมและการโคลนยนี (2) โดยใชด้ เี อน็ เอรคี อมบแิ นนท์
▪ การเพม่ิ จำนวน DNA ด้วย
เทคนิค PCR
การหาขนาดของ DNA และการหา
ลำดับนิวคลโี อไทด์

และสรุปเก่ยี วกบั การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมบางลักษณะ 1. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทาง
กรรมทีเ่ ปน็ ส่วน ใหอ้ ัตราสว่ นท่ีแตกต่างจากผลการศกึ ษาของเมน พนั ธกุ รรมทีเ่ ป็นลกั ษณะควบคมุ ด้วยยีน
หลายคู่ และยีนบนโครโมโซมเดียวกัน
เดล เรียกลักษณะเหลา่ น้ีวา่ ลักษณะทางพันธุ- ได้
กรรมท่เี ปน็ สว่ นขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดล 2. สามารถแสดงวิธีการคำนวณหา
เชน่ การข่มไม่สมบรู ณ์ การขม่ ร่วมกัน มัลติเปลิ ลกั ษณะควบคุมด้วยยนี หลายคูไ่ ด้
แอลลีล ยีนบนโครโมโซมเพศ และพอลิยนี 3. รับผดิ ชอบต่อหนา้ ท่แี ละงานท่ีได้รับ
มอบหมายได้
4. มีทักษะการใช้จำนวน ทักษะการลง
ความเห็นจากข้อมูล และทักษะการ
พยากรณ์

ดดั แปรพนั ธุกรรม การใชเ้ ทคโนโลยที างดีเอน็ เอ ในการสร้างดีเอ็นเอ 1. อธิบายหลักการการโคลนยีนโดยใช้

รีคอมบิแนนท์ สามารถนำไปใช้ในการสร้าง พลาสมดิ ของแบคทีเรยี ได้

สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยนำยีนที่ต้องการ 2. สามารถทดลองการสร้างดีเอ็นเอรี

มาตัดต่อใสใ่ นส่ิงมีชวี ติ ทำให้สิง่ มชี ีวติ นนั้ มีสมบตั ิ คอมบแิ นนทไ์ ด้

ตามตอ้ งการ 3. รับผิดชอบตอ่ หน้าที่และงานทีไ่ ด้รับ

มอบหมายได้

4. มที กั ษะการสังเกต และทักษะการลง

ความเหน็ จากข้อมลู

ดดั แปรพนั ธกุ รรม การใชเ้ ทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ ในการสร้างดเี อน็ เอ 1. อธิบายหลักการการการเพิ่มจำนวน
รีคอมบิแนนท์ สามารถนำไปใช้ในการสร้าง DNA ด้วยเทคนิค PCR การหาขนาด
สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยนำยีนที่ต้องการ ของ DNA และการหาลำดับนิวคลีโอ
มาตัดตอ่ ใส่ในสงิ่ มชี วี ิต ทำใหส้ งิ่ มีชีวิตนนั้ มสี มบตั ิ ไทดไ์ ด้
ตามต้องการ
2. แสดงวิธกี ารหาขนาด DNA โดยใช้

เทคนคิ เจลอเิ ล็กโทรฟอรรีซสิ ได้

▪ การหาขนาด DNA ดว้ ยเทคนิค
เจลอเิ ลก็ โทรฟอรีซสิ

▪ การหาลำดบั นิวคลีโอไทด์

14 บทที่ 6 เทคโนโลยที างดเี อน็ เอ

การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยที างดีเอ็นเอ 3 สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และ

▪ ด้านการแพทย์และเภสชั กรรม เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอไปประ

▪ ด้านการเกษตรและ สิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาส

อตุ สาหกรรม การเกษตร และอุตสาหกรร

▪ ด้านนิติวทิ ยาศาสตร์ คำนงึ ถงึ ด้านชวี จรยิ ธรรม

เทคโนโลยีทางดีเอน็ เอกับความปลอดภัย

ทางชวี ภาพและชีวจริยธรรม

15 บทที่ 7 ววิ ฒั นาการ 3 สืบค้นข้อมูล และอธิบายเกี่ย
หลกั ฐานและข้อมูลทใี่ ช้ในการศึกษา สนับสนุนและข้อมูลที่ใช้อ
ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ติ ววิ ัฒนาการของส่ิงมชี วี ิต
▪ ซากดกึ ดำบรรพ์
▪ กายวิภาคเปรียบเทียบ
▪ วทิ ยาเอ็มบรโิ อ

3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และงานทไี่ ด้รับ
มอบหมายได้
4. มีทักษะการสังเกต และทักษะการลง
ความเหน็ จากข้อมูล

ะอภิปรายการนำ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ สามารถนำไปประยุกตใ์ ช้ 1. ยกตัวอย่าง และอธิบายการใช้
ะยุกต์ทั้งในด้าน ในด้านต่าง ๆ เช่น สิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในการสร้าง
สตร์ การแพทย์ การแพทย์ การเกษตร และอุตสาหกรรม โดยการ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การวินิจฉัย
รม และข้อควร ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอต้องคำนึงถึงความ หรือการตรวจกรองโรค และการรักษา
ปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชวี จริยธรรม และผลกระทบ ได้
ต่อสงั คม
2. อภปิ รายเกย่ี วกบั ความปลอดภัยทาง

ชีวภาพ และชีวจรยิ ธรรมในการประ-

ยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยที างดีเอน็ เอได้

3. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างการใช้

เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอสำหรับการ

ปรับปรุงพันธ์ุสิง่ มีชีวิตเพ่ือใช้ประโยชน์

ทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และ

สิ่งแวดลอ้ มได้

4. รับผิดชอบตอ่ หนา้ ที่และงานที่ได้รับ

มอบหมายได้

5. มีทกั ษะการสงั เกต และทักษะการลง

ความเห็นจากขอ้ มลู

ยวกับหลักฐานที่ หลักฐานทท่ี ำใหเ้ ชอื่ ว่าสงิ่ มชี ีวิตมวี วิ ัฒนาการ เชน่ 1. อธิบายเกี่ยวกับหลักฐานต่าง ๆ ที่

อธิบายการเกิด ซากดึกดำบรรพ์ กายวิภาคเปรียบเทียบวิทยา สนับสนุน และข้อมูลที่ใช้อธิบายการ

เอ็มบริโอ การแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตทาง เกิดววิ ัฒนาการของสิ่งมชี ีวิตได้

ภูมิศาสตร์ การศึกษาทางชีวภูมิศาสตร์ และด้าน 2. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอเกี่ยวกับ

ชีววทิ ยาระดบั โมเลกลุ หลักฐานต่าง ๆ ที่สนับสนนุ และข้อมลู

▪ ชวี วิทยาโมเลกุล
▪ การแพรก่ ระจายของสง่ิ มชี วี ติ

ทางภูมิศาสตร์

16 บทท่ี 7 ววิ ฒั นาการ 3

แนวคดิ เก่ยี วกับวิวัฒนาการของสิง่ มชี ีวิต อธิบาย และเปรียบเทียบแ

▪ แนวคดิ เกี่ยวกบั วิวฒั นาการของ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของฌ

ลามาร์ก ทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการข

▪ แนวคดิ เก่ียวกับวิวัฒนาการของ ชาลส์ ดาร์วนิ

ดาร์วนิ

17 บทท่ี 7 ววิ ฒั นาการ 3 ระบุสาระสำคัญ และอธิบายเง
พนั ธุศาสตรป์ ระชากร สมดลุ ของฮารด์ ี-ไวน์เบิรก์ ปัจจ
▪ ความถขี่ องแอลลลี และความถี่ เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอล
ของจีโนไทป์ พร้อมทั้งคำนวณหาความถี่ขอ
▪ หลักการของฮาร์ดี-ไวนเ์ บริ ์ก

มนุษย์มีการสืบสายวิวัฒนาการมาเป็นเวลานาน ที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของ

โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนจากซากดึกดำบรรพ์ สง่ิ มชี วี ติ ได้

ของบรรพบุรุษมนุษย์ที่ค้นพบ และจากการ 3. รับผิดชอบตอ่ หน้าที่และงานที่ได้รับ

เปรียบเทียบลำดับเบสบน DNA ระหว่างมนุษย์ มอบหมายได้

กบั ไพรเมตอ่ืน ๆ 4. มีทักษะการสงั เกต และทักษะการลง

ความเหน็ จากขอ้ มลู

แนวคิดเกี่ยวกับ ฌอง ลามารก์ ไดเ้ สนอแนวคดิ เพื่ออธิบายเกยี่ วกับ 1. อธิบายเกี่ยวกับกฎการใช้และไม่ใช้
ฌอง ลามาร์กและ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตว่า สิ่งมีชีวิตมีการ และกฎการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้น
องสิ่งมีชีวิตของ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ใหมข่ องลามารก์ ได้
โดยอาศัยกฎการใช้และไม่ใช้ และกฎแห่งการ 2. อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีการคัดเลือก
ถา่ ยทอดลักษณะท่เี กดิ ขึ้นมาใหม่
โดยธรรมชาติของดาร์วิน และ

ชาลส์ ดาร์วิน เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ยกตัวอย่างวิวัฒนาการของสิ่งมชี ีวิตซ่ึง

ของสิ่งมีชีวิตว่า เกิดจากการคัดเลือกโดย ผา่ นการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

ธรรมชาตโิ ดยสิง่ มีชวี ิตมแี นวโนม้ ท่จี ะใหก้ ำเนิดลูก 3. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอเกี่ยวกับ

ที่มีลักษณะแตกต่างกันจำนวนมาก แต่มีเพียง กฎการใชแ้ ละไม่ใช้และกฎการถา่ ยทอด

จำนวนหนึ่งที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ลักษณะทเี่ กิดขึ้นใหม่ของลามาร์ก และ

สามารถมีชีวิตรอด และถ่ายทอดลักษณะที่ ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของ

เหมาะสมไปยังรนุ่ ต่อไปได้ ดารว์ ินได้

4. รับผิดชอบตอ่ หน้าที่และงานที่ได้รบั

มอบหมายได้

5. มีทักษะการสงั เกต และทกั ษะการลง

ความเห็นจากขอ้ มูล

งื่อนไขของภาวะ เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์ 1. อธิบายหลักการของฮาร์ดี-ไวน์เบิรก์
จัยทีท่ ำให้เกิดการ เบิร์กโดยประชากรมีขนาดใหญ่ ไม่มีการถ่ายเท และระบุเงื่อนไขของสมดุลฮาร์ดี-ไวน์
ลลีลในประชากร ยีนระหว่างประชากร ไม่เกิดมิวเทชัน สมาชิกทกุ เบริ ก์ ได้
องแอลลีลและจโี น ตัวมีโอกาสผสมพันธุ์ได้เท่ากัน และไม่เกิดการ

ไทป์ของประชากรโดยใช้หลัก
เบิร์ก

18 บทท่ี 7 ววิ ฒั นาการ 3 ระบุสาระสำคัญ และอธิบายเง
ปัจจยั ที่ทำใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลง สมดลุ ของฮาร์ดี-ไวน์เบิรก์ ปจั จ
ความถ่ีของแอลลลี เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอล
พร้อมทั้งคำนวณหาความถี่ขอ
ไทป์ของประชากรโดยใช้หลัก
เบริ ์ก

19 บทท่ี 7 วิวฒั นาการ 3 สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธ
กำเนิดสปชี ีส์ เกดิ สปชี สี ใ์ หม่ของสิ่งมชี ีวิต
▪ ความหมายของสปีชีส์
▪ การแยกเหตกุ ารณ์สืบพันธ์ุ
▪ กำเนิดสปีชีสใ์ หม่

กของฮาร์ดี-ไวน์ คดั เลือกโดยธรรมชาติ จะทำให้ความถี่ของแอลลี 2. คำนวณหาความถี่ของแอลลีลและ
ลของลกั ษณะนั้นไม่เปล่ยี นแปลงไม่วา่ จะผ่านไปกี่ ความถี่ของจีโนไทป์ของประชากรโดย
รุ่นกต็ าม เป็นผลให้ลักษณะนนั้ ไมเ่ กิดวิวฒั นาการ ใช้หลกั การของฮารด์ ี-ไวน์เบริ ์ก
3. รับผิดชอบต่อหนา้ ทีแ่ ละงานทีไ่ ด้รับ
มอบหมายได้
4. มีทักษะการสังเกต ทักษะการใช้
จำนวน และทักษะการลงความเหน็ จาก
ข้อมูล

งื่อนไขของภาวะ การเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีนหรือแอลลีลใน 1. อธบิ ายปจั จัยทที่ ำใหเ้ กิดการเปลย่ี น
จยั ทท่ี ำให้เกิดการ ประชากร เกิดจากปัจจัยหลายประการ นำไปสู่ แปลงความถี่ของแอลลีลและความถ่ี
ลลีลในประชากร การเกิดวิวัฒนาการ
ของจีโนไทป์ในประชากรที่ส่งผลต่อ

องแอลลีลและจโี น วิวัฒนาการของสิง่ มีชีวติ ได้

ก ของฮ าร์ ดี - ไ ว น์ 2. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอเกี่ยวกับ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ความถี่ของแอลลีลและความถี่ของจโี น

ไทป์ในประชากรท่ีส่งผลต่อวิวัฒนาการ

ของส่ิงมชี วี ติ ได้

3. รับผิดชอบตอ่ หน้าที่และงานที่ได้รับ

มอบหมายได้

4. มีทักษะการสังเกตและทักษะการลง

ความเห็นจากข้อมลู

ธิบายกระบวนการ สปีชีส์ใหม่จะเกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีการถ่ายเท 1. อธิบายการกำเนิดสปีชีส์ และ
เคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากรหนึ่งกับอีก ยกตัวอย่างแนวคิดเก่ียวกับความหมาย
ประชากรหนึ่ง ในรุ่นบรรพบุรุษ ทำให้ประชากร ของสปีชีส์ดา้ นตา่ ง ๆ ได้

20 สอบปลายภาค 3

ทั้งสอง มีโครงสร้างทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน 2. สืบค้นข้อมูล และนำเสนอเกี่ยวกับ

และววิ ัฒนาการเกดิ เป็นสปีชีส์ใหม่ การกำเนิดสปีชสี ์ได้

ปัจจัยที่ทำใหเ้ กิดสปีชสี ์ใหม่อาจเกดิ ได้ 2 แนวทาง 3. รับผิดชอบตอ่ หน้าที่และงานที่ได้รบั
คือ การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทาง มอบหมายได้
ภูมิศาสตร์และการเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขต 4. มีทกั ษะการสงั เกต และทักษะการลง
ความเห้นจากขอ้ มลู
ภูมศิ าสตรเ์ ดียวกนั

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 19

กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชาชวี วทิ ยา ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 โครโมโซม และสารพนั ธกุ รรมโครโมโซม เวลา 15 ชวั่ โมง

เรือ่ ง สารพนั ธกุ รรม เวลา 3 ชวั่ โมง

ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 ครูผสู้ อน นางสาวสทุ ธกิ า แสงแก้ว

สาระชีววทิ ยา

ข้อที่ 2 เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติ และหน้าที่ของสาร
พันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐาน ข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ
สง่ิ มีชวี ติ ภาวะสมดลุ ของฮารด์ ี-ไวน์เบิร์ก การเกดิ สปชี ีสใ์ หม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต
ความหลากหลาย ของส่ิงมีชวี ิต และอนกุ รมวธิ าน รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน

ผลการเรียนรู้

5. สืบค้นข้อมูล อธิบายสมบัติและหน้าที่ของสารพันธุกรรม โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของ
DNA และสรปุ การจำลอง DNA

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

ด้านความรู้ (Knowledge; K) อธิบายและสรปุ ผลการทดลองของนักวทิ ยาศาสตรท์ ี่เกย่ี วกบั
การค้นพบสารพนั ธุกรรมได้
ด้านกระบวนการ (Process; P) ตรวจสอบสมมุตฐิ านและผลการทดลองของนกั วทิ ยาศาสตร์ท่ี
เก่ียวกบั การคน้ พบสารพนั ธกุ รรมได้
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (Attribute; A) มีวินยั ใฝ่เรยี นรู้ ม่งุ มน่ั ในการทำงาน
ดา้ นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
(Sc.P.) มีทกั ษะการสังเกต / การลงความเหน็ จากข้อมูล / การจัด
กระทำและสอื่ ความหมายของขอ้ มูล

สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด

นักวิทยาศาสตร์หลายทา่ นทำการค้นคว้าเก่ยี วกบั สารพนั ธุกรรมของส่ิงมีชวี ติ ดังน้ี
- โยฮันน์ ฟรีดริช มิเชอร์ ค้นพบว่า กรดนิวคลีอิกจากสารเคมีที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลล์เม็ด
เลือดขาว ซงึ่ ไมส่ ามารถถูกย่อยดว้ ยเอนไซม์เพปซนิ

- เฟรเดอริก กริฟฟิท ค้นพบสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ทำให้ตายด้วยความร้อน
สามารถเขา้ ไปยงั แบคทเี รียสายพนั ธุ์ R ทำให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงของแบคทเี รียสายพนั ธ์ุ R เป็น
แบคทีเรยี สายพันธ์ุ S ซ่งึ สามารถถา่ ยทอดไปยังร่นุ ลกู หลานของแบคทเี รีย
- ออสวอลด์ ที แอเวอรี แมคลิน แมคคารท์ ี และคอลิน แมคลอยด์ ค้นพบวา่ สารท่ีเปลี่ยนแปลง
พันธุกรรมของแบคทีเรยี สายพนั ธุ์ R เป็นสายพนั ธุ์ S คอื DNA

สาระการเรยี นรู้

- DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ แต่ละนิวคลี- โอไทด์ประกอบด้วยน้ำตาล ดีออกซีไรโบส หมู่
ฟอสเฟต และไนโตรจนี ัสเบส คอื A T C และ G

- โมเลกลุ ของ DNA เปน็ พอลินวิ คลโี อไทด์ 2 สาย เรยี งสลับทศิ และบดิ เป็นเกลียวเวียนขวา โดยการเข้าคู่กัน
ของสาย DNA เกิดจากการจับคูข่ องเบสคูส่ ม คอื A คูก่ ับ T และ C คู่กบั G

สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มีวนิ ยั
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรียนรู้
3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต 3. มุ่งม่นั ในการทำงาน

กระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้รูปแบบสบื เสาะหาความรู้ 5Es (5Es Instructional Model)

ข้ันนำ

ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)

1. ครูแจ้งผลการเรียนรู้ประจำหนว่ ยการเรยี นรูใ้ หน้ ักเรยี นทราบ
2. ครูถามคำถาม Big Question เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า เพราะเหตุใด DNA จึงมี

บทบาทสำคญั ตอ่ การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสงิ่ มชี ีวติ
(แนวตอบ DNA เป็นสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่งทำหน้าที่กำหนดลักษณะทางพันธุกรรมของ
ส่งิ มีชีวติ และยังสามารถถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจากร่นุ พ่อแม่สรู่ นุ่ ลกุ ได)้

ข้ันสอน

ขัน้ ที่ 2 ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration)

1. ครูถามคำถาม Prior Knowledge เพอ่ื ทบทวนความร้เู ดมิ วา่ สารพนั ธกุ รรมของมนษุ ย์ คอื อะไร
(แนวตอบ สารพนั ธุกรรมของมนุษย์ คือ ดีเอน็ เอ)

2. ครูอธิบายให้นักเรียนฟังวา่ สารพันธุกรรมเป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมดสำหรับโครงสร้างและการทำงาน
ของกระบวนการตา่ ง ๆ ของสง่ิ มชี ีวิต แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ ดเี อ็นเอ และอารเ์ อน็ เอ

3. ครูให้นักเรียนศึกษา การทดลองของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการค้นพบสารพันธุกรรมของมิเชอร์
ฟอยล์เกน และกรฟิ ฟิท

4. ครถู ามนักเรยี นวา่ เพราะเหตใุ ด เมื่อฉดี แบคทเี รยี ทผ่ี สมระหวา่ งสายพันธุ์ S ทีต่ ายแล้วกับแบคทีเรีย
สายพนั ธ์ุ R จงึ มีผลทำใหห้ นูตาย
(แนวตอบ มีสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S เข้าไปยังแบคทีเรียสายพันธุ์ R และสามารถ
เปล่ียนแบคทเี รยี สายพนั ธุ์ R ใหก้ ลายป็นสายพันธุ์ S ได้ จงึ มผี ลทำให้หนูตาย)

ขนั้ ที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation)
1. ครสู ่มุ เลอื กนักเรยี นออกมาสรุปผลการทดลองของมิเชอร์ ฟอยล์เกน และกริฟฟิท
2. ครูและนกั เรียนร่วมกันอภิปรายเก่ยี วกบั การทดลองของมิเชอร์ ฟอยลเ์ กน และกรฟิ ฟทิ
3. ครูและนกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายเกี่ยวกับการค้นพบสารพันธุกรรมของสง่ิ มีชวี ิตจากการทดลองของ
แอเวอรี และคณะ
4. ครใู ห้นกั เรยี นทำใบงานท่ี 4.1 เรื่อง การค้นพบสารพนั ธุกรรม
5. ครใู ห้นกั เรยี นทำแบบฝึกหัดในแบบฝึกหดั ชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2

ขน้ั ส1ร. ุป

ขั้นท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)

1. ครูใหน้ ักเรียนผงั สรปุ เรอ่ื ง การค้นพบสารพันธกุ รรม จากการทดลองของนกั วิทยาศาสตรท์ ่านตา่ ง ๆ

ข้ันท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation)

1. ครตู รวจสอบผลจากผังสรปุ เรื่อง การค้นพบสารพนั ธุกรรม
2. ครตู รวจสอบผลจากใบงานท่ี 4.1 เรื่อง การคน้ พบสารพนั ธุกรรม
3. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคำถามในแบบฝึกหัดชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2

การวดั และประเมินผล

รายการวดั วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมิน

1. ประเมนิ ระหว่างการจัด

กิจกรรมการเรยี นรู้

1) สารพนั ธุกรรม - ตรวจใบงานท่ี 4.1 - ใบงานที่ 4.1 - ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70

2) การปฏิบัติการ - ประเมนิ การ - แบบประเมินการ - ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดี

ปฏิบัติการ ปฏิบัติการ

3) การนำเสนอผลงาน - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมินการ - ผ่านเกณฑ์ระดับดี

ผลงาน นำเสนอผลงาน

4) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสงั เกตพฤติกรรม - ผ่านเกณฑ์ระดับดี

การทำงานกลุ่ม การทำงานกลุม่ การทำงานกล่มุ

5) คุณลกั ษณะ - สงั เกตความมีวนิ ยั - แบบประเมนิ - ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดี

อันพงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ ม่ัน คณุ ลกั ษณะ

ในการทำงาน อันพึงประสงค์

6) ด้านทักษะ - ประเมนิ ทักษะ - แบบประเมินทกั ษะ - ผ่านเกณฑ์ระดับ 2

กระบวนการทาง กระบวนการทาง กระบวนการทาง

วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์

(Sc.P: Science

Process Skills)

ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้

ส่ือการเรยี นรู้
1) หนงั สอื เรียนชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 5 ยีนและโครโมโซม
2) แบบฝกึ หดั ชีววทิ ยา ม.4 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 5 ยนี และโครโมโซม
3) ใบงานท่ี 4.1 เรื่อง การค้นพบสารพันธกุ รรม
4) PowerPoint เรอื่ ง ยีนและโครโมโซม

แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) ห้องสมุด
3) ส่ือออนไลน์

ใบงานท่ี 4.1
เรื่อง การค้นพบสารพนั ธุกรรม

คำช้แี จง : อธบิ ายการค้นพบสารพันธกุ รรมของนกั วทิ ยาศาสตรต์ อ่ ไปน้ี

ขอ้ นกั วทิ ยาศาสตร์ การคน้ พบสารพนั ธกุ รรม
1. โยฮนั น์ ฟรดี ริช มิ
........................................................................................................................
เชอร์ .........................................................................................................................
........................................................................................................................
2. โรเบริ ์ต ฟอยลแ์ กน .......................................................................................................................
.......................................................................................................................
3. เฟรเดอริก กรฟิ ฟทิ .......................................................................................................................

4. ออสวอลด์ ที แอเวอ ........................................................................................................................
รี .........................................................................................................................
และคณะ ........................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................

........................................................................................................................
.........................................................................................................................
........................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................

........................................................................................................................
.........................................................................................................................
........................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................

ใบงานที่ 4.1 เฉลย
เรือ่ ง การคน้ พบสารพันธกุ รรม

คำช้แี จง : อธบิ ายการค้นพบสารพันธุกรรมของนกั วิทยาศาสตรต์ อ่ ไปน้ี

ขอ้ นกั วทิ ยาศาสตร์ การคน้ พบสารพันธกุ รรม
1. โยฮนั น์ ฟรดี รชิ มิ
....ค...้น...พ..บ.....ก..ร..ด...น..ิว...ค..ล..ีอ...ิก..จ...า..ก..ส...า..ร..เ.ค..ม...ีท...ี่ส..ก...ัด..ม...า..จ..า..ก...น..ิว...เ.ค..ล...ีย..ส...ข..อ..ง..เ..ซ..ล...ล..์เ..ม..็ด.....
เชอร์ ....เ..ล..ือ...ด..ข...า..ว....ซ...ึ่ง..ไ.ม...่ส...า..ม..า...ร..ถ..ถ...ูก..ย...่อ..ย...ส...ล..า..ย...ด..้ว...ย..เ..อ..น...ไ..ซ..ม...์เ.พ...ป...ซ...ิน...ไ.ด...้ ..ม..ี.ธ..า..ต..ุ....
....ไ..น...โ.ต..ร..เ..จ..น..แ...ล..ะ..ฟ...อ..ส...ฟ...อ..ร..สั ..เ..ป..น็ ...อ..ง..ค..ป์...ร..ะ..ก...อ..บ...................................................
2. โรเบริ ต์ ฟอยล์แกน .......................................................................................................................
.......................................................................................................................
3. เฟรเดอรกิ กรฟิ ฟทิ .......................................................................................................................

4. ออสวอลด์ ที แอเวอ ....ค...้น...พ...บ...ว..่า....ด..ี.เ.อ...็น...เ.อ...อ...ย..ู่บ...น...โ..ค..ร..โ..ม...โ.ซ...ม...ใ.น...น...ิว..เ..ค...ล..ีย...ส..ข...อ..ง..เ..ซ..ล...ล...์ส..ิ่.ง..ม..ีช...ีว..ิต.....
รี ....เ..น..ื่อ...ง..จ..า..ก...ก..า..ร..ย...้อ..ม...เ.ซ..ล...ล..์ด...้ว..ย..ส...ีฟ...ุค..ซ...ิน....ข..จ...ะ..ม..ี.เ.ฉ..พ...า..ะ..บ...ร..ิเ..ว..ณ...น...ิว..เ.ค...ล..ีย...ส..ท...ี่ม...ี ...
และคณะ ....โ..ค..ร..โ..ม..โ..ซ..ม..ร..ว..ม...ต..วั..ก...ัน..อ...ย..่า..ง..ห...น..า..แ..น...่น...เ.ท...า่ .น...้นั...ท..ย่ี...อ้ ..ม..ต...ดิ..ส...ี ................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................

...ค..้.น..พ...บ...ว..่า....ม...ีส..า..ร..บ...า..ง..อ...ย..่า..ง..จ...า..ก..แ...บ...ค..ท...ีเ..ร..ีย..ส...า..ย..พ...ัน...ธ..ุ์..S....ท..ี.่ท...ำ..ใ.ห...้ต...า..ย..ด...้ว..ย......
...ค..ว..า..ม...ร..้อ..น...เ.ข..้า..ไ..ป..ย...ัง..แ..บ...ค..ท...ีเ.ร..ีย..ส...า.ย...พ...นั ..ธ..ุ์..R....แ..ล..ะ...ท..ำ..ใ..ห..้เ..ก..ิด..ก...า..ร..เ.ป...ล..ี่ย..น...แ..ป...ล...ง......
...จ..า..ก..แ...บ..ค...ท..เี..ร..ีย..ส..า..ย...พ..นั...ธ..ุ์..R....เ.ป...็น..ส..า..ย...พ...ัน..ธ..์ุ..S...แ..ต...ก่ ..ร..ฟิ...ฟ...ิท..ย..งั..ไ..ม..่.ไ.ด...้ข..้อ...ส..ร..ุป...ว..่า......
...ส..า..ร..น...ั้น..ค...อื ..ส..า..ร..อ...ะ..ไ..ร.......................................................................................
.......................................................................................................................
.......................................................................................................................
....ค..้น...พ...บ..ว...่า...ส..า..ร..ท...ี่ท...ำ..ใ.ห...้แ...บ..ค...ท...ีเ.ร..ีย..ส...า..ย..พ...ัน...ธ..ุ์..R...เ..ป..ล...ี่ย..น...เ.ป...็น...ส..า..ย...พ..ั.น..ธ..ุ์..S...ค...ือ.....
....ด..ีเ..อ..็น...เ.อ....เ.น...ื่อ...ง..จ..า..ก..ใ..น...ห..ล...อ..ด...ท..ด...ล..อ...ง.ท...ี่ใ..ส..่เ..อ..น...ไ.ซ...ม..์...D..N...a..s..e...เ..ข..้า..ไ..ป....จ..ะ..ไ..ม..่ม...ี ...
....ก..า..ร..เ.ป...ล..ย่ี...น..ส..า..ย...พ..นั...ธ..์ุข..อ...ง..แ..บ...ค..ท...ีเ.ร..ยี ....ส..่ว..น...ห..ล...อ..ด..ท...่ีใ..ส..่ .R...N..a...s.e....แ..ล...ะ..โ.ป...ร..ต..ีเ.อ...ส.....
....จ..ะ..ม...ีก..า..ร..เ..ป..ล...ี่ย..น...ส..า..ย...พ...ัน..ธ...ุ์ข..อ...ง..แ..บ...ค..ท...ีเ.ร..ีย....ท...ำ..ใ.ห...้ท...ร..า..บ...ว..่า..เ.ป...ล..ี่ย...น..ส...า..ย..พ...ัน...ธ..์ุ ..
....ข..อ..ง..แ...บ..ค...ท..เี.ร..ีย....ค..อื....D...N...A................................................................................
.......................................................................................................................





แบบประเมนิ การปฏิบตั ิกจิ กรรม

คำชแี้ จง : ใหผ้ สู้ อนประเมินการปฏิบัตกิ ิจกรรมของนักเรยี นตามรายการทีก่ ำหนด แล้วขีด ✔ ลงใน
ชอ่ งทีต่ รงกับระดบั คะแนน

ลำดับท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน
4321

1 การปฏิบัตกิ ารทำกิจกรรม

2 ความคลอ่ งแคล่วในขณะปฏิบัติกจิ กรรม

3 การบนั ทกึ สรปุ และนำเสนอผลการทำกจิ กรรม

รวม

ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมนิ
(นางสาวสทุ ธิกา แสงแก้ว)

................ /................ /................

เกณฑก์ ารประเมนิ การปฏิบัตกิ ิจกรรม

ระดับคะแนน

ประเด็นทีป่ ระเมิน

4 32 1

1. การปฏิบัตกิ ิจกรรม ทำกจิ กรรมตาม ทำกิจกรรมตาม ต้องให้ความ ตอ้ งให้ความ
ขนั้ ตอน และใช้ ข้ันตอน และใช้ ช่วยเหลอื บ้างใน ช่วยเหลอื อยา่ งมาก
อปุ กรณ์ไดอ้ ยา่ ง อุปกรณ์ไดอ้ ย่าง การทำกจิ กรรม ในการทำกจิ กรรม
ถกู ตอ้ ง และการใชอ้ ุปกรณ์

ถกู ตอ้ ง แตอ่ าจตอ้ ง และการใช้
ได้รับคำแนะนำบา้ ง อุปกรณ์

2. ความคลอ่ งแคล่ว มคี วามคลอ่ งแคล่ว มีความคลอ่ งแคล่ว ขาดความ ทำกิจกรรมเสร็จไม่
ในขณะปฏิบัตกิ จิ กรรม ในขณะทำกิจกรรม ทนั เวลา และทำ
ในขณะทำกจิ กรรม คลอ่ งแคล่ว อปุ กรณเ์ สียหาย
โดยไม่ตอ้ งได้รับคำ
ชแ้ี นะ และทำ แตต่ อ้ งได้รับ ในขณะทำ
กิจกรรมเสร็จ
ทันเวลา คำแนะนำบา้ ง และ กิจกรรมจึงทำ

ทำกิจกรรมเสร็จ กิจกรรมเสรจ็ ไม่

ทันเวลา ทนั เวลา

3. การบนั ทึก สรปุ และ บันทึกและสรุปผล บนั ทกึ และสรปุ ผล ตอ้ งใหค้ ำแนะนำ ต้องให้ความ
การทำกจิ กรรมได้
นำเสนอผลการปฏบิ ัติ การทำกิจกรรมได้ ถกู ตอ้ ง แตก่ าร ในการบันทกึ ชว่ ยเหลืออย่างมาก
นำเสนอผลการทำ
กิจกรรม ถูกตอ้ ง รดั กมุ กิจกรรมยงั ไม่เปน็ สรปุ และ ในการบันทกึ สรปุ
ขัน้ ตอน
นำเสนอผลการทำ นำเสนอผลการ และนำเสนอผลการ

กจิ กรรมเป็น ทำกิจกรรม ทำกิจกรรม

ขัน้ ตอนชัดเจน

เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
10-12 ดมี าก
7-9 ดี
4-6 พอใช้
0-3 ปรบั ปรุง

แบบประเมนิ การนำเสนอผลงาน
คำช้ีแจง : ใหผ้ ู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✔ลงในชอ่ งท่ี

ตรงกับระดบั คะแนน

ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321

1 ความถกู ตอ้ งของเนื้อหา ⬜ ⬜ ⬜

2 ความคิดสร้างสรรค์ ⬜ ⬜ ⬜

3 วิธกี ารนำเสนอผลงาน ⬜ ⬜ ⬜

4 การนำไปใช้ประโยชน์ ⬜ ⬜ ⬜

5 การตรงต่อเวลา ⬜⬜⬜

รวม

ลงชอ่ื ................................................... ผปู้ ระเมนิ

(นางสาวสทุ ธิกา แสงแกว้ )

................ /................ /...............

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน

ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ สมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน

ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเปน็ สว่ นใหญ่ ให้ 2 คะแนน

ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ บางส่วน ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14–15 ดีมาก
11–13 ดี
8–10 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ

แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่

คำชแี้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✔ ลงใน
ช่อง ที่ตรงกับระดบั คะแนน

ลำดับ ชอื่ -สกลุ การ การ การ ความมี การ รวม
ท่ี ของผ้รู ับการ
แสดง ยอมรับ ทำงาน นำ้ ใจ มี สว่ น 15
ประเมนิ ความ ฟังคนอน่ื ตามท่ี รว่ มในการ คะแนน
คดิ เหน็ ได้รับ ปรับปรงุ

มอบหมาย ผลงาน

กลุ่ม

3213213 2 1 3213 2 1

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10

ลงชอื่ ...................................................ผ้ปู ระเมนิ
(นางสาวสทุ ธิกา แสงแก้ว)
............../.................../................

เกณฑ์การให้คะแนน

ปฏบิ ัตหิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมำ่ เสมอ ให้ 3 คะแนน

ปฏิบัติหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครง้ั ให้ 2 คะแนน

ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้งั ให้ 1 คะแนน

เกณฑ์การตัดสินคณุ ภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

12 - 15 ดี

8 - 11 พอใช้

ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ

แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้

คำชี้แจง : ให้ ผสู้ อน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ✔ ลงใน
ช่องทีต่ รงกับระดับคะแนน

ผลการประเมนิ รวมคะแนน ร้อยละ ระดับคุณภาพ
ที่ ชื่อ – สกุล ใฝ่เรยี นรู้ มุ่งม่นั ใน มวี นิ ยั (30)

การทำงาน
(10) (10) (10)

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

ลงช่ือ....................................................ผ้ปู ระเมนิ
(นางสาวสุทธกิ า แสงแก้ว)

................ /................ /................

เกณฑ์การให้คะแนน 8-10 คะแนน
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมอยา่ งสมำ่ เสมอ ให้ 6-7 คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบอ่ ยครงั้ ให้ 4-5 คะแนน
ปฏิบตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครง้ั ให้ ให้ 1-3 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมน้อยครงั้ ให้

เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ

ช่วงคะแนน (ร้อยละ) ระดับคุณภาพ

91 - 108 ดมี าก

73 - 90 ดี

54 - 72 พอใช้

ตำ่ กว่า 54 ปรับปรุง

แบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์

คำชแ้ี จง : ให้ ผูส้ อน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ✔ ลงใน
ช่องทตี่ รงกบั ระดบั คะแนน

ลำดบั รายการประเมิน ระดับคะแนน
ท่ี 321

1 ⬜⬜⬜
2 ⬜⬜⬜
3 ⬜⬜⬜
4 ⬜⬜⬜
รวม

ลงชือ่ ................................................... ผู้ประเมิน
(นางสาวสทุ ธกิ า แสงแกว้ )

................ /................ /...............

เกณฑ์การใหค้ ะแนน

รายการ 3 (ด)ี ระดบั คะแนน 1 (ปรับปรงุ )
2 (ปานกลาง)

การสงั เกต - สงั เกตสิ่งที่ต้องการให้ - สังเกตสงิ่ ท่ีต้องการให้ - สงั เกตส่ิงที่ไมต่ รงกบั

สังเกตได้ถูกตอ้ ง สังเกตไดถ้ ูกต้อง จุดประสงค์

- บนั ทกึ ได้ถูกต้อง - บันทึกไว้ถกู ตอ้ งเป็น
ส่วนใหญ่


Click to View FlipBook Version