The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้(ว30245)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by amnouay3220, 2021-06-24 05:22:58

แผนการจัดการเรียนรู้(ว30245)

แผนการจัดการเรียนรู้(ว30245)

แผนการจัดการเรียนรู

กลมุ สาระการเรียนรวู ทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี

ชีววิทยา๕ (ว๓๐๒๔๕)

นางอํานวย เคย่ี งคาํ ผง

ตําแหนง ครู วทิ ยฐานะครูชํานาญการพิเศษ

โรงเรียนบานแพงพทิ ยาคม

สํานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศึกษานครพนม

สาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน

กระทรวงศกึ ษาาธกิ าร

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาเพ่มิ เติมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชวี วิทยา ม.๖

ตามผลการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551

จัดทาโดย
นางอานวย เค่ียงคาผง

กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรยี นบา้ นแพงพทิ ยาคม จงั หวดั นครพนม
สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษานครพนม
สานกั งานการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

คานา

ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พทุ ธศักราช 2551 เพื่อให้สถานศึกษานาไปใช้เปน็ กรอบทิศทางในการพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา วางแผนการ
จัดการเรยี นการสอนและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถ และคณุ ลกั ษณะอัน
พึงประสงค์ตามเป้าหมายของหลักสูตร ตลอดจนให้เกิดผลสาเร็จตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษา
ดังนั้น ขั้นตอนการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปปฏิบัติจริงในช้ันเรียนของครูผู้สอน จึงจัดเป็นหัวใจสาคัญในการ
พฒั นาผู้เรยี น

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ท่ีได้จัดทาข้ึนนี้ เพ่ือใช้เป็นแนวทางวางแผนจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียน โดยจัดทาเป็นหน่วยการเรียนรู้อิง
มาตรฐานและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการออกแบบย้อนกลับ (Backward Design) ตลอดจน
เน้นกจิ กรรมแบบ Active Learning

1 หลกั การจดั การเรยี นรอู้ ิงสาระ

หน่วยการเรียนรู้แตล่ ะหน่วยจะกาหนดผลการเรยี นรู้ไวเ้ ป็นเป้าหมายในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอน
จะต้องศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดของผลการเรียนรู้ทุกข้อว่า ระบุให้ผู้เรียนต้องมีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับเรื่องอะไร และต้องสามารถลงมือปฏิบัติอะไรได้บ้าง และผลการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นกับผู้เรียนจะนาไปสู่
การเสรมิ สร้างสมรรถนะสาคัญและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคด์ า้ นใดแก่ผเู้ รียน

สาระ/ผลการเรยี นรู้ ผเู้ รยี นรู้อะไร

ผู้เรยี นทำอะไรได้
นาไปสู่

สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

2 หลกั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั

เมื่อวิเคราะห์รายละเอียดของผลการเรียนรู้และได้กาหนดเป้าหมายการจัดการเรียนการสอนเรียบร้อย
แล้ว จึงกาหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้และแนวทางการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติตาม
ขนั้ ตอนของกจิ กรรมการเรียนรู้ทอี่ อกแบบไวจ้ นบรรลุผลการเรียนรู้ทุกข้อ

จุดประสงค์ เป้าหมาย สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
การเรียนรู้
หลักการจดั การเรียนรู้ และการพัฒนา คุณลักษณะอันพึงประสงค์
เน้นผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลำง คณุ ภาพ ของผู้เรียน
สนองควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบุคคล ของผู้เรียน
เน้นพัฒนำกำรทำงสมอง
เนน้ ควำมรู้คคู่ ณุ ธรรม

3 หลกั การบูรณาการกระบวนการเรยี นรู้สู่ผลการเรยี นรู้

เมื่อกาหนดขอบขา่ ยสาระการเรยี นรู้ และแนวทางการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนไว้แลว้ จึง

กาหนดรูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ ท่ีจะฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ บรรลุผลตาม

ผลการเรียนรู้ โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ท่ีเป็นเป้าหมายในหน่วยนั้นๆ เช่น

กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง กระบวนการ

เผชิญสถานการณ์และการแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการพัฒนาลักษณะ

นิสัย กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการทางสังคม ฯลฯ

กระบวนการเรียนรู้ที่มอบหมายให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติน้ันจะต้องนาไปสู่การเสริมสร้างสมรรถนะสาคัญ และ

คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ของผูเ้ รียนตามสาระการเรยี นรู้ที่กาหนดไวใ้ นแต่ละหน่วยการเรียนรู้

4 หลกั การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน

การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละหนว่ ย ผ้สู อนต้องกาหนดข้ันตอนและ
วธิ ีปฏิบัตใิ หช้ ดั เจน โดยเน้นใหผ้ เู้ รยี นไดล้ งมือฝึกฝนและฝกึ ปฏบิ ตั ิมากทส่ี ุด ตามแนวคดิ และวิธีการสาคัญ คือ

1) การเรียนรู้ เป็นกระบวนการทางสติปัญญา ที่ผเู้ รยี นทุกคนต้องใช้สมองในการคดิ และทาความเข้าใจ
ในส่ิงต่างๆ ร่วมกับการลงมือปฏิบัติ ทดลองค้นคว้า จนสามารถสรุปเป็นความรู้ได้ด้วยตนเอง และ
สามารถนาเสนอผลงาน แสดงองค์ความรทู้ ่เี กดิ ข้ึนในแต่ละหน่วยการเรียนร้ไู ด้

2) การสอน เป็นการเลือกวิธีการหรือกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับการเรียนรู้ในหน่วยนั้นๆ และท่ีสาคัญคือ
ต้องเป็นวิธีการท่ีสอดคล้องกับสภาพผู้เรียน ผู้สอนจึงต้องเลือกใช้วิธีการสอน เทคนิคการสอน และ
รูปแบบการสอนอย่างหลากหลาย เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างราบรื่นจน
บรรลตุ ัวชว้ี ัดทุกข้อ

3) รูปแบบการสอน ควรเป็นวิธีการและข้ันตอนฝึกปฏิบัติท่ีส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถคิด
อย่างเป็นระบบ เช่น รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) รูปแบบการสอนโดยใช้การคิด
แบบโยนิโสมนสิการ รูปแบบการสอนแบบ CIPPA Model รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการ
เรยี นรู้แบบ 4MAT รูปแบบการเรยี นการสอนแบบร่วมมือ เทคนิค JIGSAW, STAD, TAI, TGT

4) วิธีการสอน ควรเลือกใช้วธิ ีการสอนท่สี อดคลอ้ งกับเน้อื หาของบทเรยี น ความถนัด ความสนใจ และ
สภาพปัญหาของผู้เรียน วิธีสอนท่ีดีจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลการเรียนรู้ตามในระดับ
ผลสัมฤทธ์ิท่ีสูง เช่น วิธีการสอนแบบบรรยาย การสาธิต การทดลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย การ
แสดงบทบาท สมมติ การใช้กรณีตัวอย่าง การใช้สถานการณ์จาลอง การใช้ศูนย์การเรียน การใช้
บทเรยี นแบบโปรแกรม เป็นตน้

5) เทคนิคการสอน ควรเลือกใช้เทคนิคการสอนท่ีสอดคล้องกับวิธีการสอน และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ
เน้ือหาในบทเรียนได้ง่ายขึ้น สามารถกระตุ้นความสนใจและจูงใจให้ผู้เรียนร่วมปฏิบัติกิจกรรมการ
เรียนรู้อย่าง มีประสิทธิภาพ เช่น เทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers) เทคนิคการเล่า
นิทาน การเล่นเกมเทคนิคการใช้คาถาม การใช้ตัวอย่างกระตุ้นความคิด การใช้สื่อการเรียนรู้ท่ี
น่าสนใจ เป็นตน้

6) สือ่ การเรยี นการสอน ควรเลอื กใช้ส่ือหลากหลายกระตุน้ ความสนใจ และทาความกระจา่ งให้เนอ้ื หา
สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตัวช้ีวัดอย่าง
ราบร่ืน เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ เอกสารประกอบการสอน แถบวดี ิทัศน์ แผน่ สไลด์ คอมพวิ เตอร์ VCD LCD
Visualizer เป็นต้น ควรเตรยี มส่ือใหค้ รอบคลมุ ทั้งส่ือการสอนของครูและสื่อการเรยี นรู้ของผู้เรียน

5 หลักการจดั กิจกรรมการเรยี นร้แู บบยอ้ นกลบั ตรวจสอบ

เม่ือวางแผนออกแบบการจัดการเรียนรู้ รวมถึงกาหนดรูปแบบการเรียนการสอนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงนา
เทคนิควิธีการสอน วิธีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ไปลงมือจัดการเรียนการสอน ซึ่งจะนาผู้เรียน
ไปสู่การสร้างชิ้นงานหรือภาระงาน เกิดทักษะกระบวนการและสมรรถนะสาคัญตามธรรมชาติวิชา รวมทั้ง
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดท่ีเป็นเป้าหมายของหน่วยการเรียนรู้
ตามลาดบั ข้นั ตอนการเรียนรู้ทกี่ าหนดไว้ ดังนี้

จากเปา้ หมายและหลกั ฐาน เป้าหมายการเรยี นร้ขู องหน่วย
คิดย้อนกลบั
สูจ่ ุดเรม่ิ ตน้ หลกั ฐานชิ้นงาน/ภาระงาน
แสดงผลการเรยี นรูข้ องหนว่ ย
ของกจิ กรรมการเรียนรู้

4 กิจกรรม คาถามชวนคดิ แสดงผลการเรียนรขู้ องหน่วย
3 กิจกรรม คาถามชวนคดิ
2 กิจกรรม คาถามชวนคดิ จากกิจกรรมการเรียนรู้
ทีละข้นั บนั ได
1 กิจกรรม คาถามชวนคดิ สู่หลกั ฐานและ

6 หลกั การวดั และประเมินผล เป้าหมายการเรียนรู้

เพื่อให้ม่ันใจว่าผู้เรียนจะสามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตัวช้ีวัดน้ัน จึงได้มีการออกแบบและสร้าง
เคร่ืองมือเพือ่ ใช้ในการประเมนิ หลกั ๆ ดงั น้ี

1) แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรียน ประเมินความรเู้ พ่อื ใชใ้ นการพฒั นาในหนว่ ยถัด ๆ ไป
2) ใบงาน เพ่อื ใช้ในการฝึกคดิ และปฏิบตั ิ
3) แบบประเมินช้ินงาน โดยใช้เกณฑ์คุณภาพ (Scoring Rubrics) เพื่อใชใ้ นการประเมินคุณภาพของช้ินงาน

และประเมินกระบวนการคดิ และกระบวนการกลุ่ม
4) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมเพือ่ ใช้ในการประเมนิ พฒั นาคุณลักษณะอนั พึงประสงคต์ อ่ ไป

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงแล้ว จะต้อง
ฝึกฝนกระบวนการคิดทุกข้ันตอน โดยใช้เทคนิคการตั้งคาถามกระตุ้นความคิด และใช้ระดับคาถามให้สัมพันธ์กับ
เน้ือหาการเรียนรู้ ต้ังแต่ระดับความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการ
สร้างสรรค์ นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซึ้งแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเพ่ือสอบ
O-NET ซึ่งเป็นการทดสอบระดับชาติที่เน้นกระบวนการคิดระดับวิเคราะห์ด้วย และในแต่ละแผนการเรียนรู้จึงมีการ
ระบุคาถามเพือ่ กระตุ้นความคิดของผูเ้ รยี นไว้ด้วยทกุ กิจกรรม ผู้เรยี นจะได้ฝึกฝนวิธกี ารทาข้อสอบ O-NET ควบคู่ไปกับ
การปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรูต้ ามผลการเรียนรทู้ ่สี าคัญ

ท้ังน้ีการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละหน่วยจะครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ และการ
ประเมินผลด้านความรู้ความเข้าใจ (K) ด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ตามผล
การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางฯ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 พร้อมทั้งออกแบบเครื่องมือการวัดและประเมินผล ตลอดจนแบบบันทึกผล
การเรียนร้ดู ้านต่างๆ ไว้ครบถว้ น สอดคล้องกับมาตรฐานดา้ นคุณภาพผู้เรยี น เช่น แบบบนั ทกึ ผลด้านการคิดวิเคราะห์
ด้านการอ่านและแสวงหาความรู้ ด้านสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร เป็นต้น ผู้สอนสามารถ
นาไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ประกอบการจัดทารายงานการประเมินตนเอง (Self Assessment
Reports) จึงม่ันใจอย่างย่ิงว่า การนาแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้ไปเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนจะช่วยพัฒนา
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรยี นให้สงู ขึน้ ตามมาตรฐานการศึกษาและการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษาทกุ ประการ

คณะผจู้ ดั ทา

สารบัญ

สรุปหลกั สตู รฯ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี พเิ ศษ 1-3

ผลการเรียนรแู้ ละสาระการเรียนร้เู พมิ่ เตมิ สาระชวี วิทยา พิเศษ 4-14

คาอธบิ ายรายวชิ า ชวี วิทยา ม.6 เลม่ 1 พเิ ศษ 15-16

โครงสรา้ งรายวชิ า ชีววทิ ยา ม.6 เล่ม 1 พเิ ศษ 17-22

Pedagogy พิเศษ 23

โครงสร้างแผนการจัดการเรยี นรู้ ชีววิทยา ม.6 เลม่ 1 พเิ ศษ 24-32

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ระบบสบื พนั ธุแ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์ 1
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 การสบื พนั ธข์ุ องสตั ว์ 20
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 2 การสบื พันธขุ์ องมนุษย์ 28
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3 การเจรญิ เติบโตของสตั ว์ 42

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 ระบบประสาทและอวัยวะรบั ความรสู้ กึ 61
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 การรบั รู้และการตอบสนองของสตั ว์ 83
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 2 เซลล์ประสาทและการทางานของเซลล์ประสาท 93
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 3 ศูนยค์ วบคุมระบบประสาท 107
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 4 การทางานของระบบประสาท 122
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 5 อวยั วะรับความร้สู กึ 133

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 ระบบตอ่ มไร้ทอ่ 150
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ตอ่ มไรท้ อ่ 167
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 2 ฮอรโ์ มนจากตอ่ มไรท้ อ่ และอวยั วะท่สี าคญั 174
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 3 การรกั ษาดลุ ยภาพของร่างกายด้วยฮอรโ์ มน 200
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 4 ฟโี รโมน 208

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 การเคลื่อนทีข่ องส่ิงมีชวี ติ 216
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1 การเคล่ือนทีข่ องส่งิ มีชีวติ เซลลเ์ ดยี ว 233
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 2 การเคล่ือนทีข่ องสตั ว์ 243
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 3 การเคลือ่ นทขี่ องมนษุ ย์ 258

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 5 พฤติกรรมของสัตว์ 276
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 ประเภทของพฤตกิ รรม 294
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2 การสอ่ื สารระหวา่ งสตั ว์ 314

สรุปหลกั สูตรฯ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี *

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดสาระการเรียนรู้ 4 สาระ ได้แก่
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และ
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี รวมทั้งยังมีสาระเพ่ิมเติมอีก 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และ
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

องคป์ ระกอบของหลักสูตร ทงั้ ในด้านของเนอ้ื หา การจัดการเรียนการสอน และการวดั และประเมนิ ผล
การเรียนรู้นน้ั มีความสาคญั อย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ันให้มี
ความตอ่ เน่ืองเชื่อมโยงกันต้งั แต่ช้ันประถมศึกษาปที ี่ 1 จนถึงช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 สาหรับกลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์ได้กาหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางท่ีผู้เรียนจาเป็นต้องเรียนเป็นพื้นฐาน เพ่ือให้
สามารถนาความรู้ไปใช้ในการดารงชีวิตหรือศึกษาต่อได้ โดยจัดเรียงลาดับความยากง่ายของเน้ือหาในแต่ละช้ัน
ให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา
ความคิด ท้ังความคิดเปน็ เหตุเป็นผล คิดสรา้ งสรรค์ คิดวเิ คราะห์วิจารณ์ มีทักษะทสี่ าคญั ท้ังทกั ษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษท่ี 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหา
ความรู้ แก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ ตดั สนิ ใจโดยใชข้ ้อมูลหลากหลายและประจกั ษพ์ ยานท่ตี รวจสอบได้

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ัด กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 น้ี ได้ปรบั ปรุงเพ่ือให้มีความสอดคล้อง
และเช่ือมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการเชื่อมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย
นอกจากน้ี ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปล่ียนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการ
ตา่ ง ๆ ทดั เทียมกบั นานาชาติ ซ่ึงสรปุ ได้ ดงั แผนภาพ

สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว 2.1 - ว 2.3

สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 1.1 - ว 1.3 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว 3.1 - ว 3.2

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1 - ว 4.2

วิทยาศาสตร์เพิ่มเตมิ - สาระชีววทิ ยา - สาระเคมี - สาระฟสิ กิ ส์ - สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

*สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2560).

พเิ ศษ 1

พเิ ศษ 2

พเิ ศษ 3

ผลการเรียนรู้และสาระการเรยี นร้เู พ่ิมเติม สาระชวี วิทยา *

สาระชวี วิทยา

1. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าท่ีของสารพันธุกรรม
การเกดิ มวิ เทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลกั ฐาน ข้อมูล และแนวคดิ เกยี่ วกบั วิวัฒนาการของสง่ิ มีชวี ติ ภาวะสมดุล
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิด สปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กาเนิดของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของ
สงิ่ มชี ีวติ และอนุกรมวิธาน รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเตมิ

ม.6 1. อภิปรายความสาคัญของความ  ความหลากหลายทางชีวภาพ ประกอบด้วยความหลากหลายทาง

หลากหลายทางชีวภาพ และความ พันธุกรรม ความหลากหลายของสปีชีส์ และความหลากหลายของ

เชื่อมโยงระหว่างความหลากหลาย ระบบนเิ วศ

ทางพันธุกรรม ความหลากหลาย  การแปรผันทางพันธุกรรมทาให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรม
ของสปีชีส์ และความหลากหลาย ซึ่งส่ิงมีชีวิตใดที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมมากย่อมทาให้มี
ของระบบนเิ วศ
โอกาสอยรู่ อดเพ่ิมขน้ึ และสบื ทอดลกู หลานตอ่ ไปได้

 ส่ิงมีชีวิตท่ีดารงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ผ่านกระบวนการ

คัดเลือกโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์มาเป็นระยะเวลายาวนาน

หลายช่ัวรุ่นซ่ึงอาจเกิดเป็นสปชี ีสใ์ หม่ ส่งผลให้เกิดความหลากหลาย

ของสปีชสี ์

 แห ล่งท่ีอยู่อาศัยแต่ละแห ล่งท่ี ส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่นั้นจะมี

องค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพและปัจจัยทางชีวภาพท่ี

แตกต่างกัน ทาให้เกิดความหลากหลายของระบบนิเวศ

2. อธิบายการเกิดเซลล์เร่ิมแรกของ  จดุ เริ่มต้นของวิวัฒนาการของเซลล์เกิดจากโมเลกุลของสารอินทรีย์

สิ่งมี ชีวิต และวิวัฒ น าการของ โดยเซลล์รูปแบบแรกท่ีเกิดขึ้น คือ เซลล์โพรคาริโอต และ

สิง่ มชี ีวิตเซลล์เดยี ว มวี ิวัฒนาการข้ึนมาเป็นเซลล์ยูคาริโอต และจากส่งิ มีชวี ิตเซลล์เดียว

เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่มีโครงสร้างแบบง่ายๆ จนกลายมาเป็น

สิง่ มีชวี ติ หลายเซลล์ท่มี ีโครงสร้างซบั ซอ้ นมากขนึ้ ตามลาดบั

3. อ ธิบ า ย ลั ก ษ ณ ะ ส าคั ญ แ ล ะ  แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอต ผนังเซลล์มีเพปทิโด-
ยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตกลุ่มแบคทีเรีย ไกลแคนเป็นองค์ประกอบสาคัญ แบคทีเรียทั่วไปสร้างอาหารเอง
สิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรทิสต์ ส่ิงมีชีวิต ไม่ได้ ดารงชีวิตแบบผู้สลายสารอินทรีย์หรือแบบปรสิต แต่
กลุ่มพืช สิ่งมีชีวิตกลุ่มฟังไจ และ แบคทีเรียบางกลุ่ม เช่น ไซยาโนแบคทีเรีย สร้างอาหารเองได้จาก
สง่ิ มชี ีวติ กลุม่ สัตว์ กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง

 โพรทิสต์เป็นส่งิ มชี วี ติ พวกยูคารโิ อต มีลกั ษณะหลากหลาย ท้ังที่เป็น

สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวหรือสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ที่ยังไม่พัฒนาไปเป็น

เนอื้ เยื่อ อาจมหี รือไม่มผี นงั เซลล์เป็นสว่ นประกอบของเซลล์

พิเศษ 4

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม

4. อธิบาย และยกตัวอย่างการจาแนก  ฟังไจเป็นสง่ิ มีชวี ติ พวกยคู าริโอต มีท้ังส่ิงมชี วี ติ เซลลเ์ ดียวและหลาย
สิ่งมีชีวิตจากหมวดหมู่ใหญ่จนถึง เซลล์ เซลล์ของฟังไจยังไม่พัฒนาไปเป็นเนื้อเย่ือ ผนังเซลล์มีไคทิน
หมวดหมู่ย่อย และวิธีการเขียนชื่อ เป็นองค์ประกอบสาคัญ ฟังไจสร้างอาหารเองไม่ได้และดารงชีวิต
วิทยาศาสตร์ในลาดับข้ันสปชี ีส์ แบบผู้สลายสารอินทรีย์หรอื แบบปรสิต

5. สร้างไดโคโทมัสคีย์ในการระบุ  สัตว์เป็นสิง่ มีชีวิตหลายเซลล์พวกยูคาริโอต ไม่สามารถสร้างอาหาร
ส่ิ ง มี ชี วิ ต ห รื อ ตั ว อ ย่ า ง ท่ี ก า ห น ด เองได้ต้องได้รับอาหารจากสิ่งมีชีวิตอ่ืน ส่วนใหญ่มีระบบย่อย
ออกเปน็ หมวดหมู่ อาหาร บางชนิดอาจเป็นปรสติ สัตว์มีระยะเอม็ บรโิ อในการสบื พันธุ์
แบบอาศยั เพศ

 สัตว์อาจแบ่งเป็นกลุ่มย่อยโดยพิจารณาลักษณะต่าง ๆ คอื เนอ้ื เย่ือ
สมมาตร การเปลี่ยนแปลงของบลาสโทพอร์ การเจริญในระยะ
ตัวอ่อน ทาให้อาจแบ่งสัตว์เป็นกลุ่มย่อย เช่น กลุ่มฟองน้า กลุ่ม
ไฮดรา กลุ่มหนอนตัวแบน กลุ่มหอยและหมึก กลุ่มไส้เดือนดิน
กลุ่มหนอนตัวกลม กลุ่มสัตว์ท่ีมีขาเป็นปล้อง กลุ่มดาวทะเลและ
ปลิงทะเล และกลุ่มสตั ว์ท่มี โี นโทคอรด์

 การจาแนกส่ิงมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่เป็นลาดับขั้นต่างๆ เริ่มจาก
หมวดหมู่ใหญ่แล้วแบ่งเป็นหมวดหมู่ย่อย มีดังน้ี คิงดอม ไฟลัม
คลาส ออร์เดอร์ แฟมิลี จนี สั และสปีชสี ์

 ช่ือวิทยาศาสตร์ของส่ิงมีชีวิตในลาดับขั้น สปีชีส์ท่ีต้ังข้ึนตามระบบ
ทวินามเพ่ือใช้ในการระบุถึงสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดให้มีความเข้าใจ
ถกู ต้องตรงกัน ประกอบด้วย 2 ส่วน โดยส่วนแรกเปน็ ช่ือสกลุ ส่วน
หลังเป็นคาที่ระบุลักษณะพิเศษของส่ิงมชี ีวิตชนิดนั้น หรอื เป็นคาที่
มีความหมายเฉพาะ โดยทัง้ 2 ส่วนน้ีตอ้ งเปน็ ภาษาละติน

 ไดโคโทมัสคีย์เป็นเครื่องมือท่ีใช้เพ่ือระบุหมวดหมู่ของส่ิงมีชีวิต
ลาดับข้ันต่าง ๆ โดยมีหลักเกณฑ์ในการนาลักษณะที่ต่างกันของ
สิง่ มีชีวติ มาพจิ ารณาเป็นคู่

 วิทเทเกอร์ เสนอแนวความคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตพวกยูคาริโอตมี
วิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตพวกโพรคาริโอต และจาแนกส่ิงมีชีวิต
เปน็ 5 คงิ ดอม ประกอบด้วย มอเนอรา โพรทิสตา พืช ฟงั ไจ และ
สัตว์

 โวสซ์ และคณะ จาแนกส่ิงมีชีวิตเป็น 3 โดเมน ประกอบด้วย
แบคทีเรีย อาร์เคีย และยูคารีอา โดยแนวความคิดการจาแนก
ส่ิงมีชีวิตแต่ละโดเมนเป็นกลุ่มย่อยจะใช้หลักที่ว่า สิ่งมีชีวิตใน
กล่มุ เดยี วกันมีสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบรุ ุษร่วมกัน

พิเศษ 5

4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปล่ียนแก๊ส การลาเลียงสารและการหมุนเวียนเลือด
ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคลื่อนท่ี การสืบพันธ์ุและการเจริญเติบโต
ฮอร์โมนกบั การรกั ษาดุลยภาพ และพฤตกิ รรมของสัตว์ รวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พิม่ เตมิ

ม.6 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบ  สตั ว์สว่ นใหญ่มีระบบประสาททาให้สามารถรบั รู้และตอบสนองต่อ

เทียบโครงสร้างและหน้าที่ของ สิง่ เร้าได้ เชน่ ไฮดรา มีร่างแหประสาท พลานาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง

ระบบประสาทของไฮดรา พลานา หอย และแมลงมีปมประสาทและเส้นประสาท ส่วนสัตว์มีกระดูก

เรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย แมลง สนั หลัง มีสมอง ไขสันหลัง ปมประสาทและเสน้ ประสาท

และสตั วม์ ีกระดกู สันหลัง  หน่วยทางานของระบบประสาท คือ เซลล์ประสาท ซ่ึงประกอบ

2. อธิบายเก่ียวกับโครงสร้างและ ด้วยตัวเซลล์ และเส้นใยประสาทที่ทาหน้าที่รับและส่งกระแส
หน้าที่ของเซลลป์ ระสาท
ประสาท เรยี กวา่ เดนไดรตแ์ ละแอกซอน ตามลาดบั
3. อธิบายเก่ียวกับการเปล่ียนแปลง
ของศักย์ไฟฟ้าท่ีเย่ือหุ้มเซลล์ของ  เซลล์ประสาทจาแนกตามหน้าที่ ไดเ้ ป็นเซลล์ประสาทรับความรูส้ ึก
เซลล์ประสาท และกลไกการ เซลล์ประสาทสั่งการ และเซลลป์ ระสาทประสานงาน
ถา่ ยทอดกระแสประสาท
 เซลล์ประสาทจาแนกตามรูปร่างได้เป็นเซลล์ประสาทข้ัวเดียว
เซลล์ป ระสาท ข้ัวเดียวเทียม เซลล์ประสาทสองข้ัว และ

เซลล์ประสาทหลายขวั้

 กระแสประสาทเกิดจากการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อหุ้มเซลล์

ของเดนไดรต์และแอกซอน ทาให้มีการถ่ายทอดกระแสประสาท

จากเซลล์ประสาทไปยังเซลล์ประสาท หรือเซลล์อื่น ๆ ผ่านทาง

ไซแนปส์

 ระบบประสาทของมนุษย์แบ่งได้เป็น 2 ระบบ ตามตาแหน่งและ

โครงสรา้ ง คือ ระบบประสาทสว่ นกลาง ได้แก่ สมองและไขสนั หลัง

และระบบประสาทรอบนอก ได้แก่ เส้นประสาทสมองและ

เสน้ ประสาทไขสันหลงั

2. อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับโครงสร้าง  สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง
ของระบบประสาทส่วนกลางและ และสมองส่วนหลัง สมองแต่ละส่วนจะควบคุมการทางานของ
ระบบประสาทรอบนอก ร่างกายแตกต่างกัน โดยมีเส้นประสาทที่แยกออกจากสมอง 12 คู่
ไปยังอวยั วะตา่ งๆ ซึ่งบางคทู่ าหน้าที่ รับความรู้สึกเขา้ สูส่ มอง หรือ
5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและ นาคาส่งั จากสมองไปยังหนว่ ยปฏิบตั ิงาน หรอื ทาหนา้ ท่ีทง้ั สองอย่าง
หน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ในสมองส่วน
หน้า สมองส่วนกลาง สมองส่วน  ไขสันหลังเป็นส่วนที่ต่อจากสมองอยู่ภายในกระดูกสันหลัง และ
หลัง และไขสนั หลงั มีเส้นประสาทแยกออกจากไขสันหลังเป็นคู่ ซึ่งทาหน้าที่
ประมวลผลการตอบสนองโดยไขสันหลัง เชน่ การเกดิ รเี ฟลก็ ซช์ นิด
6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ ต่าง ๆ และการถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างไขสันหลังกับ
แ ล ะ ย ก ตั ว อ ย่ า ง ก า ร ท า ง า น ข อ ง สมอง
ระบบประสาท โซมาติก และระบบ
ประสาทอัตโนวตั ิ

พเิ ศษ 6

ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเติม

7. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและ  เส้นประสาทไขสันหลังทุกคู่จะทาหน้าท่ีรับความรู้สึกเข้าสู่
หน้าที่ของตา หู จมูก ลิ้น และ ไขสันหลังและนาคาสัง่ ออกจากไขสนั หลงั
ผิวหนังของมนุษย์ ยกตัวอย่างโรค
ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และบอกแนวทาง  ระบบประสาทรอบนอกส่วนที่สั่งการแบ่งเป็นระบบประสาท
ในการดแู ลปอ้ งกัน และรักษา โซมาติกซึ่งควบคุมการทางานของกล้ามเน้ือโครงร่าง และระบบ
ป ร ะ ส า ท อั ต โน วั ติ ซึ่ ง ค ว บ คุ ม ก า ร ท า ง าน ข อ งก ล้ า ม เนื้ อ หั ว ใจ
8. สังเกต และอธิบายการหาตาแหน่ง กล้ามเนอ้ื เรียบ และตอ่ มต่างๆ
ของจุดบอด โฟเวีย และความไวใน
การรับสัมผสั ของผิวหนงั  ระบบประสาทอัตโนวัติแบ่งการทางานเป็น 2 ระบบ คือ ระบบ
ประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งส่วน
9. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบ ใหญ่ทางานตรงกันข้ามเพ่ือรักษาดุลยภาพของกระบวนการต่าง ๆ
เทยี บโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะ ในร่างกาย
ท่ี เก่ี ย วข้ อ งกั บ การเค ลื่ อ น ที่ ขอ ง
แมงกะพรุน หมึกดาวทะเล ไส้เดือน  ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง เป็นอวัยวะรับความรู้สึกท่ีรับส่ิงเร้าที่
ดิน แมลง ปลา และนก แตกต่างกัน จึงมีความสาคัญที่ควรดูแล ป้องกัน และรักษาให้
สามารถทางานได้เป็นปกติ

 ตาประกอบด้วย ช้ันสเคลอรา โครอยด์ และเรตินา เลนส์ตาเป็น
เลนส์นูนอยู่ถดั จากกระจกตา ทาหน้าท่ีรวมแสงจากวตั ถุไปท่เี รตินา
ซึ่งประกอบด้วยเซลล์รับแสง และเซลล์ประสาทที่นากระแส
ประสาทสู่สมอง

 หูประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
ภายในหสู ่วนในมคี อเคลยี ซึ่งทาหน้าทร่ี บั และเปลี่ยนคลื่นเสียงเป็น
กระแสประสาท นอกจากนี้ยังมีเซมิเซอร์คิวลาร์แคเเนลทาหน้าที่
รับรู้เกีย่ วกับการทรงตัวของร่างกาย

 จมูกมีเซลล์ประสาทรับกลิ่นอยู่ภายในเย่ือบุจมูกที่เป็นตัวรับ
สารเคมีบางชนิดแลว้ เกดิ กระแสประสาทส่งไปยังสมอง

 ลิ้นทาหน้าที่รับรส โดยมีตุ่มรับรสกระจายอยู่ทั่วผิวล้ินด้านบน
ตุ่มรับรสมีเซลล์รับรสอยู่ภายใน เมื่อเซลล์รับรสถูกกระตุ้นด้วย
สารเคมีจะกระตุ้นเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทเกิดกระแสประสาท
สง่ ไปยังสมอง

 ผิวหนังมีหน่วยรับส่ิงเร้าหลายชนิด เช่น หน่วยรับสัมผัส หน่วยรับ
แรงกด หน่วยรับความเจ็บปวด หน่วยรบั อณุ หภูมิ

 ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคล่ือนที่โดยการไหลของไซโทพลาซึม
บางชนดิ ใชแ้ ฟลเจลลมั หรือซิเลยี ในการเคลื่อนที่

 สตั วไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั เช่น แมงกะพรนุ เคลือ่ นที่โดยอาศยั การหด
ตวั ของเนอ้ื เย่ือบรเิ วณขอบกระดง่ิ และแรงดันน้า

พิเศษ 7

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พิ่มเติม

10. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล แ ล ะ อ ธิ บ า ย  หมกึ เคลื่อนที่โดยอาศัยการหดตัวของกลา้ มเนื้อบริเวณลาตวั ทาให้
โครงสร้างและหน้าท่ีของกระดูก นา้ ภายในลาตวั พ่นออกมาทางไซฟอน สว่ นดาวทะเลใช้ระบบทอ่ น้า
และกล้ามเนื้อที่เก่ียวข้องกับการ ในการเคลื่อนที่
เคล่ือนไหวและการเคลื่อนท่ีของ
มนษุ ย์  ไส้เดือนดินมีการเคล่ือนท่ี โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของ
กลา้ มเนื้อวงและกลา้ มเน้อื ตามยาวซง่ึ ทางานในสภาวะตรงกันข้าม
11. สังเกต และอธิบายการทางาน
ของข้อต่อชนิดต่าง ๆ และการ  แมลงเคลื่อนท่ีโดยใช้ปีกหรือขา ซึ่งมีกล้ามเน้ือภายในเปลือกหุ้ม
ทางานของกล้ามเนื้อโครงร่างท่ี ทางานในสภาวะตรงกนั ขา้ ม
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและ
การเคลือ่ นท่ีของมนษุ ย์  สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา เคล่ือนท่ีโดยอาศัยการหดตัวและ
คลายตัวของกล้ามเน้ือที่ยึดติดอยู่กับกระดูกสันหลังท้ัง 2 ข้าง
1 2 . สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย แ ล ะ ทางานในสภาวะตรงกันขา้ ม และมีครบี ที่อยู่ในตาแหนง่ ต่าง ๆ ชว่ ย
ยกตัวอย่างการสืบพันธ์ุแบบไม่ โบกพัดในการเคล่ือนท่ี ส่วนนกเคล่ือนท่ีโดยอาศัยการหดตัวและ
อาศัยเพศและการสืบพันธ์ุแบบ ค ล าย ตั ว ข อ งก ล้ าม เนื้ อ ก ด ปี ก กั บ ก ล้ าม เน้ื อ ย ก ปี ก ซึ่ งท าง าน ใน
อาศัยเพศในสัตว์ สภาวะตรงกันขา้ ม

 มนุษย์เคลื่อนที่โดยอาศัยการทางานของกระดูกและกล้ามเน้ือซึ่ง
ยึดกันด้วยเอ็นยดึ กระดูก

 บริเวณท่ีกระดูกต้ังแต่ 2 ช้ินมาต่อกัน เรียกว่า ข้อต่อ และยึดกัน
ด้วยเอน็ ยดึ ข้อ

 กระดูกเป็นเนื้อเยื่อท่ีใช้ค้าจุนและทาหน้าท่ีในการเคล่ือนไหวของ
รา่ งกายแบง่ ตามตาแหนง่ ได้เป็นกระดกู แกนและกระดกู รยางค์

 กล้ามเนื้อในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็นกล้ามเน้ือโครงร่าง
กล้ามเน้ือหัวใจ และกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อทั้ง 3 ชนิด พบใน
ตาแหน่งท่ีตา่ งกันและมีหนา้ ที่แตกต่างกนั

 กล้ามเนื้อโครงร่างส่วนใหญ่ทางานร่วมกันเป็นคู่ ๆ ในสภาวะ
ตรงกันข้าม

 การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์เป็นการสืบพันธ์ุท่ีไม่มี
การรวมของเซลลส์ ืบพนั ธุ์ เชน่ การแตกหนอ่ และการงอกใหม่

 การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของสัตว์เป็นการสืบพันธ์ุที่เกิดจากการ
รวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธ์ุซ่ึงมีท้ังการปฏิสนธิภายนอกและ
การปฏิสนธิภายใน สัตว์บางชนิดมี 2 เพศในตัวเดียวกัน แต่
การผสมพันธุส์ ว่ นใหญจ่ ะผสมขา้ มตวั

พิเศษ 8

ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เตมิ

13. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง  การสืบพันธ์ุของมนุษย์มีกระบวนการสร้างสเปิร์มจากเซลล์สเปอร์
และหน้าที่ของอวัยวะในระบบ มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ และกระบวนการสร้างเซลล์ไข่จาก
สื บ พั น ธุ์เพ ศ ชาย แ ล ะ ระ บ บ เซลล์โอโอโกเนียมภายในรังไข่
สบื พันธเ์ุ พศหญิง
 อวัยวะสืบพันธ์ุของเพศชายประกอบด้วยอัณฑะทาหน้าท่ีสร้าง
14. อธิบายกระบวนการสร้างสเปิร์ม สเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย และมีโครงสร้างอ่ืน ๆ ที่ทาหน้าท่ี
กระบวน การสร้างเซลล์ไข่ และ ลาเลยี งสเปิรม์ สรา้ งนา้ เล้ียงสเปิร์ม และสารหลอ่ ลืน่ ท่อปัสสาวะ
การปฏิสนธิในมนุษย์
 อัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างสเปิร์ม ซึ่งภายในมีเซลล์สเปอร์-
15. อธิบายการเจริญเติบโตระยะ มาโทโกเนียมท่เี ปน็ เซลลต์ ้ังต้นของกระบวนการสร้างสเปิรม์
เอ็มบริโอและระยะหลงั เอ็มบริโอ
ของกบ ไก่ และมนษุ ย์  อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงประกอบด้วยรังไข่ ท่อนาไข่ มดลูก
และช่องคลอด รังไข่ทาหน้าที่สร้างเซลลไ์ ข่และฮอรโ์ มนเพศหญงิ

 กระบวนการสร้างสเปิร์มเร่ิมต้นจากสเปอร์มาโทโกเนียมแบ่งเซลล์
แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโทโกเนียมจานวนมาก ซ่ึงต่อมาบางเซลล์
พัฒนาเป็นสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก โดยสเปอร์มาโทไซต์
ระยะแรกจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ระยะที่
สองซึ่งจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิด ตามลาดับ
จากนั้นพฒั นาเป็นสเปริ ์ม

 กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เร่ิมจากโอโอโกเนียมแบ่งเซลล์แบบ
ไมโทซิสได้โอโอโกเนียมซ่ึงจะพัฒนาเป็นโอโอไซต์ระยะแรก แล้ว
แบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ I ได้โอโอไซต์ระยะท่ีสองซึ่งจะเกิดการตกไข่
ต่อไป เมื่อไดร้ ับการกระตุ้นจากสเปิร์ม โอโอไซตร์ ะยะทส่ี องจะแบ่ง
แบบไมโอซิส II แลว้ พัฒนาเปน็ เซลลไ์ ข่

 การปฏิสนธิเกิดข้ึนภายในท่อนาไข่ได้ไซโกตซึ่งจะเจริญเป็น
เอ็มบรโิ อและไปฝงั ตวั ทผ่ี นงั มดลกู จนกระท่ังครบกาหนดคลอด

 การเจริญเติบโตของสัตว์ เช่น กบ ไก่ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม
จะเริ่มต้นด้วยการแบ่งเซลลข์ องไซโกต การเกิดเนื้อเยื่อเอม็ บริโอ 3
ชั้น คือ เอกโทเดิร์ม เมโซเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม การเกิดอวัยวะ
โดยมกี ารเพิ่มจานวน ขยายขนาด และการเปล่ียนแปลงรปู ร่างของ
เซลล์เพื่อทาหน้าที่เฉพาะอยา่ ง ซงึ่ พัฒนาการของอวัยวะตา่ ง ๆ จะ
ทาให้มกี ารเกิดรูปร่างทแี่ น่นอนในสตั ว์แต่ละชนิด

 การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีขั้นตอนคล้ายกับการเจริญเติบโต
ของสตั วเ์ ล้ยี งลกู ด้วยนา้ นมอน่ื ๆ โดยเอม็ บริโอจะฝังตวั ที่ผนงั มดลกู
และมีการแลกเปลย่ี นสารระหว่างแม่กบั ลกู ผ่านทางรก

พเิ ศษ 9

ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ

16. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียน  ฮอร์โมนเป็นสารที่ควบคุมสมดุลต่าง ๆ ของร่างกายโดยผลิตจาก
แผนผังสรุปหน้าท่ีของฮอร์โมน
จากต่อมไร้ทอ่ และเนอ้ื เย่อื ที่สร้าง ต่อมไรท้ ่อหรือเน้ือเยือ่ โดยตอ่ มไร้ทอ่ นี้จะกระจายอยู่ตามตาแหน่ง
ฮอร์โมน
ตา่ งๆ ทัว่ รา่ งกาย

 ต่อมไร้ท่อที่สร้างหรือหล่ังฮอร์โมน ไม่มีท่อในการลาเลียงฮอร์โมน
ออกจากต่อมจึงถูกลาเลียงโดยระบบหมุนเวียนเลือดไปยังอวัยวะ
เป้าหมายท่จี าเพาะเจาะจง

 ต่อมไพเนียลสร้างเมลาโทนินซึ่งยับย้ังการเจริญเติบโตของอวัยวะ
สืบพันธุ์ช่วงก่อนวัยเจริญพันธุ์และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
ของแสงในรอบวัน

 ต่อมใต้สมองส่วนหน้าสร้างและหล่ังโกรทฮอร์โมนโพรแลกทิน
ACTH TSH FSH LH เอนดอรฟ์ นิ ซึ่งทาหนา้ ท่ีแตกต่างกัน

 ต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่งฮอร์โมนซึ่งสร้างจากไฮโพทาลามัส คือ
ADH และออกซโิ ทซนิ ซ่ึงทาหนา้ ที่แตกต่างกัน

 ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอกซินซึ่งควบคุมอัตราเมแทบอลิซึมของ
ร่างกาย และสร้างแคลซโิ ทนนิ ซ่ึงควบคุมระดบั แคลเซียมในเลอื ดให้
ปกติ

 ต่อมพาราไทรอยดส์ ร้างพาราทอร์โมนซึ่งควบคุมระดบั แคลเซียมใน
เลือดใหป้ กติ

 ตับอ่อนมีกลุ่มเซลล์ที่สร้างอินซูลินและกลูคากอนซึ่งควบคุมระดับ
นา้ ตาลในเลอื ดให้ปกติ

 ตอ่ มหมวกไตส่วนนอกสรา้ งกลูโคคอร์ติคอยด์ มิเนราโลคอรต์ ิคอยด์
และฮอร์โมนเพศ ซ่ึงมีหน้าที่แตกต่างกัน ส่วนต่อมหมวกไตส่วนใน
สร้างเอพิเนฟรนิ และนอรเ์ อพเิ นฟริน ซง่ึ มหี นา้ ท่เี หมือนกัน

 อัณฑะมีกลุ่มเซลล์สร้างเทสโทสเทอโรน ส่วนรังไข่มีกลุ่มเซลล์ที่
สร้างอสี โทรเจน และโพรเจสเทอโรนซง่ึ มหี นา้ ที่แตกตา่ งกนั

 เน้ือเย่ือบางบริเวณของอวัยวะ เช่น รก ไทมัส กระเพาะอาหาร
และลาไส้เล็ก สามารถสร้างฮอร์โมนได้หลายชนิด ซึ่งมีหน้าที่
แตกต่างกนั

 การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อ มีท้ังการควบคุมแบบ
ป้อนกลับยับยั้ง และการควบคุมแบบป้อนกลับกระตุ้น เพื่อรักษา
ดลุ ยภาพของร่างกาย

 ฟีโรโมนเป็นสารเคมีท่ีผลิตจากต่อมมีท่อของสัตว์ซึ่งส่งผลต่อสัตว์
ตวั อนื่ ทเ่ี ปน็ ชนิดเดยี วกัน

พิเศษ 10

ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เติม

17. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบ  พนั ธกุ รรมและสง่ิ แวดลอ้ มมผี ลต่อการแสดงพฤตกิ รรม
เทียบ และยกตัวอย่างพฤติกรรม
ทีเ่ ป็นมาแต่กาเนดิ และพฤตกิ รรม  พฤติกรรมท่ีเป็นมาแต่กาเนิดแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด เช่น
ที่เกิดจากการเรยี นรูข้ องสัตว์ โอเรียนเตชัน (แทกซิสและไคนีซิส) รีเฟล็กซ์ และฟิกแอกชัน
แพทเทริ น์
18. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิบ า ย แ ล ะ
ยกตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่าง  พฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรียนรู้ แบ่งได้เป็นแฮบบิชูเอชัน การฝังใจ
พ ฤ ติ ก ร ร ม กั บ วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง การเช่ือมโยง (การลองผิดลองถูกและการมีเงื่อนไข) และการใช้
ระบบประสาท เหตผุ ล

19. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิบ า ย แ ล ะ  ระดับการแสดงพฤติกรรมที่สัตว์แต่ละชนิดแสดงออกจะแตกต่าง
ยกตัวอย่างการส่ือสารระหว่าง กันซ่ึงเปน็ ผลมาจากววิ ฒั นาการของระบบประสาททแ่ี ตกตา่ งกัน
สัตว์ที่ทาให้สตั วแ์ สดงพฤติกรรม
 การสื่อสารเป็นพฤติกรรมทางสังคมแบบหนึ่งซ่ึงมีหลายวิธี เช่น
การสื่อสารด้วยท่าทาง การส่ือสารด้วยเสียง การส่ือสารด้วย
สารเคมี และการส่ือสารด้วยการสมั ผสั

พิเศษ 11

5. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนส ารในระบบนิเวศ
ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชากรและรูปแบบการเพิ่ม
ของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม ปญั หาและผลกระทบทเี่ กิดจากการใช้ประโยชน์และแนวทางการ
แก้ไขปญั หา

ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ

ม.6 1. วิเคราะห์ อธิบาย และยกตัวอย่าง  ระบบนิเวศจะดารงอยู่ได้ต้องมีกระบวนการต่าง ๆ เกิดขึ้น
กระบวน การถ่ายทอดพลังงานใน กระบวนการท่ีสาคัญ ได้แก่ การถ่ายทอดพลังงาน และการ

ระบบนิเวศ หมุนเวียนสาร การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศสามารถแสดง

2. อธิบาย ยกตัวอย่างการเกิดไบโอ ได้ด้วยแผนภาพที่เรียกว่า โซ่อาหาร สายใยอาหาร และพีระมิด

แมกนิฟิเคชัน และบอกแนวทางใน ทางนิเวศวิทยา

การลดการเกิดไบโอแมกนฟิ ิเคชัน  พลังงานท่ีถ่ายทอดไปในแต่ละลาดับข้ันการกินอาหารมีปริมาณท่ี
3. สืบค้นข้อมูล และเขียนแผนภาพ ไม่เท่ากัน พลังงานส่วนใหญ่จะสูญเสียไปในรูปความร้อนระหว่าง

เพื่ ออธิบ ายวัฏ จักรไนโตรเจ น การถา่ ยทอดจากสง่ิ มชี ีวิตหนงึ่ ไปยงั สง่ิ มีชวี ิตอีกชนิดหนงึ่

วัฏ จักรกาม ะถัน แ ล ะวัฏ จั กร  การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศบางคร้ัง อาจทาให้มีสารพิษ
ฟอสฟอรสั
สะสมอยู่ในส่ิงมีชีวิตด้วย เรียกว่า การเกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน ซึ่ง

อาจมีระดับความเข้มข้นของสารพิษมากข้ึนตามลาดับขั้นของการ

กินจนอาจก่อใหเ้ กดิ อันตรายตอ่ สง่ิ มชี วี ิต

 สารต่างๆ ในระบบนิเวศมีการหมุนเวียนเกิดขึ้นผ่านท้ังในสิ่งมีชีวิต

และส่ิงไม่มีชีวิต กลับคืนสู่ระบบอย่างเป็นวัฏจักร เช่น วัฏจักร

ไนโตรเจน วฏั จักรกามะถนั และวัฏจักรฟอสฟอรัส

4. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และ  ไบโอมคือระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ตามเขตภูมิศาสตร์
อ ธิบ าย ลั ก ษ ณ ะ ข อ งไบ โอ ม ท่ี ต่างๆ บนโลก เช่น ไบโอมทุนดรา ไบโอมสะวันนา ไบโอม

กระจายอยู่ตามเขตภูมิศาสตร์ ทะเลทราย โดยแต่ละไบโอมจะมีลักษณะเฉพาะของปัจจัยทาง

ต่าง ๆ บนโลก กายภาพ ชนิดของพชื และชนิดของสัตว์

5. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง อธิบาย  ระบบนิเวศมีการเปล่ียนแปลงได้ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นอย่าง
และเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง ชา้ ๆ ทาให้ ระบบนเิ วศสามารถปรับสมดุลได้ แตก่ ารเปล่ยี นแปลง
แทนท่ีแบ บ ป ฐม ภู มิ และการ ท่ีเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วอาจส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบทางชีวภาพ
เปลีย่ นแปลงแทนทีแ่ บบทตุ ิยภมู ิ ในระบบนเิ วศทาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงแทนที่ของส่งิ มีชีวติ ข้นึ

6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ยกตัวอย่าง  การเปลยี่ นแปลงแทนที่ทางนเิ วศวิทยา มที ั้งการเปลย่ี นแปลงแทนท่ี
และสรุปเก่ียวกับลักษณะเฉพาะ แบบปฐมภมู ิและการเปลยี่ นแปลงแทนทแ่ี บบทุติยภูมิ
ของประชากรของสิ่งมีชีวิตบาง
ชนดิ  ประชากรของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีลักษณะหลายประการที่เป็น
ลักษณะเฉพาะ เช่น ขนาดของประชากร ความหนาแน่นของ
ประชากร การกระจายตัวของสมาชิกในประชากร โครงสร้าง
อายุของประชากร อัตราส่วนระหว่างเพศ อัตราการเกิดและ
อัตราการตาย การอพยพเข้า การอพยพออกของประชากร
และการรอดชีวิตของสมาชิกที่มีอายุต่างกัน

พิเศษ 12

ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเตมิ

7. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ  ประชากรของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีลักษณะหลายประการที่เป็น
แล ะย กตั วอย่ างการเพิ่ ม ของ ลักษณะเฉพาะ เช่น ขนาดของประชากร ความหนาแน่นของ
ป ร ะ ช า ก ร แ บ บ เอ็ ก โพ เน น เชี ย ล ประชากร การกระจายตัวของสมาชิกในประชากร โครงสร้าง
แ ล ะ ก า ร เพิ่ ม ข อ งป ร ะ ช า ก ร อายุของประชากร อัตราส่วนระหว่างเพศ อัตราการเกิดและ
แบบลอจสิ ตกิ อัตราการตาย การอพยพเข้า การอพยพออกของประชากร
และการรอดชีวิตของสมาชิกท่ีมีอายุต่างกัน
8. อธิบาย และยกตัวอย่างปัจจัยที่
ควบคมุ การเตบิ โตของประชากร  ลักษณะเฉพาะของประชากรมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
ขนาดของประชากร ซึ่งเป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นอยู่เสมอ
9. วิเคราะห์ อภิ ป ราย และสรุป
ปัญหาการขาดแคลนน้า การเกิด  การเพิ่มประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลเป็นการเพิ่มจานวน
มลพิษทางน้า และผลกระทบท่ีมี ประชากรอย่างรวดเร็วแบบทวีคูณ
ต่อมนุษย์และส่ิงแวดล้อม รวมท้ัง
เสนอแนวทางการวางแผนการ  การเพมิ่ ประชากรแบบลอจิสติกเปน็ การเพม่ิ จานวนประชากรที่ข้ึนอยู่
จัดการนา้ และการแกไ้ ขปัญหา กับสภาพแวดล้อมหรือมีตวั ต้านทานในสิง่ แวดล้อมมาเกี่ยวขอ้ ง

10. วิเคราะห์ อภิ ป ราย และสรุป  การเติบโตของประชากรขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ซ่ึงแบ่งได้เป็นปัจจัย
ปัญ หามลพิษทางอากาศ และ ที่ขึ้นกับความหนาแน่นของประชากร และปัจจัยที่ไม่ขึ้นกับ
ผ ล ก ระ ท บ ท่ี มี ต่ อ ม นุ ษ ย์ แ ล ะ ความหนาแน่นของประชากร
ส่ิงแวดล้อม รวมทั้งเสนอแนว
ทางการแกไ้ ขปัญหา  ประชากรมนุษย์มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบเอ็กโพ-
เนนเชียลหลังจากการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมเป็นต้นมา

 ปัญหาที่เกิดกับทรัพยากรน้า ส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยน้าที่ผ่าน
การใช้ประโยชน์จากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์และยังไม่ได้รับการ
บาบัดลงสู่แหล่งนา้ ทาให้เกดิ มลพษิ ทางน้า

 การตรวจสอบคุณภาพน้านิยมใช้การหาค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลาย
น้า และค่าปริมาณออกซิเจนท่ีจุลินทรีย์ในน้าใช้ในการย่อยสลาย
สารอินทรียใ์ นนา้

 การจัดการทรัพยากรน้า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรมีการวาง
แผนการใช้นา้ การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้า รวมทง้ั การปลูกจติ สานึก
ในการใช้นา้ อย่างถกู ตอ้ ง

 การปนเป้ือนของสารเคมี ฝุ่นละออง และจุลินทรีย์ต่างๆ ทาให้เกิด
มลพิษทางอากาศ ซ่ึงเกิดได้ทั้งจากธรรมชาติและจากการกระทา
ของมนษุ ย์

 การเกิดมลพิษทางอากาศท่เี กิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เช่น การเกดิ พายุ
การเกดิ ไฟปา่ และการเกิดแก๊สพษิ จากการย่อยสลายของจุลนิ ทรยี ์

 การเกดิ มลพิษทางอากาศท่ีเกิดจากการกระทาของมนุษย์ เชน่ การ
ใชเ้ ชอ้ื เพลงิ ฟอสซิลในรูปแบบต่างๆ

 การจัดการทรัพยากรอากาศควรประกอบด้วยการกาหนดนโยบาย
และวางแผนงานเพ่ือป้องกันและแก้ไข รวมทั้งการปลูกจิตสานึกใน
การดูแลรกั ษาคณุ ภาพอากาศ

พเิ ศษ 13

ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พม่ิ เตมิ

11. วิเคราะห์ อภิ ป ราย และสรุป  มลพิษทางดินและปัญหาความเสื่อมโทรมของดินส่วนใหญ่มีสาเหตุ
ปัญหาที่เกิดกับทรัพยากรดิน และ จากการกระทาของมนษุ ย์
ผ ล ก ระ ท บ ท่ี มี ต่ อ ม นุ ษ ย์ แ ล ะ
สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเสนอแนว  การจัดการทรัพยากรดินเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดควรมีการ
ทางการแกไ้ ขปญั หา ปอ้ งกันและการแก้ปัญหาการเกิดมลพิษและความเสอ่ื มโทรมของดิน
รวมทงั้ ปลกู จติ สานกึ ในการใช้ดินอยา่ งถูกตอ้ ง

12. วิเคราะห์ อภิ ป ราย และสรุป  พื้นที่ป่าไม้ท่ีลดลงอาจมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น ไฟป่า
ปัญหา ผลกระทบท่ีเกิดจากการ แผ่นดินไหว ภเู ขาไฟระเบดิ หรืออาจมสี าเหตมุ าจากการกระทาของ
ทาลายป่าไม้ รวมทัง้ เสนอแนวทาง มนุษย์ เช่น การตัดไม้ทาลายป่า การบุกรุกพื้นท่ีป่าเพื่อครอบครอง
ในการป้องกันการทาลายป่าไม้ ทดี่ ิน การเผาปา่ การทาเหมืองแร่
และการอนุรักษป์ ่าไม้
 พื้นที่ป่าไม้ท่ีลดลงทาให้ภูมิประเทศมีสภาพแห้งแล้ง เกิดอุทกภัย เกิด
13. วิเคราะห์ อภิ ป ราย และสรุป การพังทลายของดิน ตลอดจนการเพ่ิมข้ึนของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
ปัญหา ผลกระทบที่ทาให้สัตว์ป่ามี ซ่ึงเป็นแก๊สเรือนกระจกชนิดหน่ึง นอกจากน้ี ทาให้สัตว์ป่าและพืช
จานวนลดลง และแนวทางในการ พรรณธรรมชาติลดจานวนหรอื สญู พันธุไ์ ด้
อนรุ ักษ์สตั วป์ ่า
 การจัดการทรัพยากรป่าไม้ควรจัดการให้มีทรัพยากรป่าไม้คงอยู่ย่ังยืน
หรือเพิ่มข้ึน เช่น การกาหนดพื้นท่ีป่าอนุรักษ์ ส่งเสริมการปลูกป่า
ป้องกันการบุกรุกป่า การใช้ไม้อย่างมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ
รวมถงึ การปลูกจติ สานึกเรอ่ื งการอนรุ ักษป์ ่าไม้

 การลดจานวนลงของสัตว์ป่าเป็นผลเนื่องมาจากการกระทาของ
มนุษย์เปน็ สว่ นใหญ่ คือ การทาใหแ้ หลง่ ท่ีอยูอ่ าศัยลดลงและการล่า
สตั ว์ปา่

 การจัดการทรัพยากรสัตว์ป่าควรมีการดาเนินการให้มีพื้นท่ีป่าไม้
เพ่ือการอยู่อาศัยอย่างเพียงพอ รวมท้ังการไม่ทาร้ายสัตว์ป่าหรือทา
ใหส้ ัตว์ปา่ ลดจานวนลง รวมทง้ั การปลกู จติ สานกึ ให้ชว่ ยกนั อนุรักษ์

*สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2560)

พเิ ศษ 14

คาอธิบายรายวิชา

รายวชิ าเพ่มิ เติม ชีววิทยา เลม่ 1
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6 เวลา 60 ชวั่ โมง/ปี

ศึกษาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์ การสืบพันธ์ุของสัตว์ การสืบพันธุ์ของมนุษย์
การเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์ และการเจริญเติบโตของมนษุ ย์ ศกึ ษาเกี่ยวกับระบบประสาทและอวัยวะรับความรสู้ ึก
การรับรู้และการตอบสนองของสัตว์ เซลล์ประสาท การทางานของเซลล์ประสาท ศูนย์ควบคุมระบบประสาท
การทางานของระบบประสาท และอวยั วะรบั ความรู้สึก ศึกษาเกี่ยวกับระบบต่อมไรท้ ่อ ตอ่ มไร้ทอ่ ฮอรโ์ มนจาก
ต่อมไร้ท่อและอวัยวะท่ีสาคัญ การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน และฟีโรโมน ศึกษาเกี่ยวกับการ
เคลื่อนที่ของส่ิงมีชีวิต การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว การเคลื่อนท่ีของสัตว์ และการเคลื่อนท่ีของมนุษย์
ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมของสัตว์ ประเภทของพฤติกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับพัฒนาการของ
ระบบประสาท และการส่อื สารระหว่างสตั ว์

โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสบื ค้นขอ้ มูล การสงั เกต การ
วิเคราะห์ การทดลอง การอภิปราย การอธิบาย และการสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ มี
ความสามารถในการตัดสินใจ สื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้และนาความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์
จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นิยม

ผลการเรียนรู้
1. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย และยกตัวอยา่ งการสบื พนั ธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศและการสบื พนั ธแุ์ บบอาศยั เพศในสตั ว์
2. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ขี องอวัยวะในระบบสืบพันธุเ์ พศชายและระบบสืบพนั ธ์ุเพศหญงิ
3. อธิบายกระบวนการสรา้ งสเปริ ์ม กระบวนการสร้างเซลลไ์ ข่ และการปฏิสนธใิ นมนษุ ย์
4. อธิบายการเจรญิ เตบิ โตระยะเอม็ บรโิ อและระยะหลังเอม็ บริโอของกบ ไก่ และมนุษย์
5. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ของระบบประสาทของไฮดรา พลานาเรีย

ไส้เดอื นดิน กงุ้ หอย แมลง และสัตว์มกี ระดกู สนั หลงั
6. อธบิ ายเกี่ยวกับโครงสรา้ งและหนา้ ท่ขี องเซลล์ประสาท
7. อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของศักย์ไฟฟ้าท่ีเย่ือหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาท และกลไกการถ่ายทอด

กระแสประสาท
8. อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับโครงสรา้ งของระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก
9. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายโครงสรา้ งและหน้าทข่ี องสว่ นต่างๆ ในสมองสว่ นหน้า สมองสว่ นกลาง สมองสว่ นหลัง

และไขสนั หลงั

พิเศษ 15

10. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ และยกตัวอย่างการทางานของระบบประสาทโซมาติก และระบบ
ประสาทอัตโนวตั ิ

11. สบื ค้นข้อมลู อธิบายโครงสร้างและหนา้ ที่ของตา หู จมกู ลิ้น และผิวหนังของมนุษย์ ยกตัวอย่างโรคตา่ งๆ
ทเ่ี ก่ียวข้อง และบอกแนวทางในการดแู ลป้องกันและรักษา

12. สงั เกต และอธิบายการหาตาแหนง่ ของจดุ บอด โฟเวีย และความไวในการรบั สัมผสั ของผิวหนัง
13. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย และเขียนแผนผังสรปุ หนา้ ทข่ี องฮอรโ์ มนจากต่อมไรท้ ่อและเนอ้ื เย่ือทีส่ รา้ งฮอร์โมน
14. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับการเคลื่อนท่ีของ

แมงกะพรนุ หมกึ ดาวทะเล ไสเ้ ดือนดิน แมลง ปลา และนก
15. สบื ค้นข้อมูล และอธิบายโครงสร้างและหนา้ ท่ีของกระดูกและกลา้ มเนื้อท่ีเกี่ยวข้องกบั การเคล่ือนไหวและ

การเคล่อื นทขี่ องมนุษย์
16. สงั เกต และอธบิ ายการทางานของข้อต่อชนิดต่าง ๆ และการทางานของกล้ามเนื้อโครงร่างท่ีเก่ียวข้องกับ

การเคล่ือนไหวและการเคล่ือนที่ของมนุษย์
17. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบเทียบ และยกตัวอย่างพฤติกรรมที่เป็นมาแต่กาเนิดและพฤติกรรมที่เกิดจาก

การเรียนรูข้ องสัตว์
18. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และยกตวั อย่างความสมั พันธ์ระหว่างพฤตกิ รรมกับวิวัฒนาการของระบบประสาท
19. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และยกตัวอยา่ งการสื่อสารระหว่างสัตว์ท่ีทาให้สัตวแ์ สดงพฤตกิ รรม
รวม 19 ผลการเรยี นรู้

พิเศษ 16

โครงสรา้ งรายวิชา ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1

ลาดับ ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคญั เวลา
การเรยี นรู้ (ชม.)

1. ระบบ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยก การสืบพันธุ์ของสัตว์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท 12
ตัวอย่างการสืบพันธุ์แบบไม่ ได้แก่ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเป็นการ
สืบพนั ธุ์และ อาศัยเพศและการสืบพันธ์ุ สืบพันธ์ุที่ไม่มีการรวมของเซลล์สืบพันธุ์ และการ

การเจรญิ สืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์ที่เกิดจาก

เติบโตของ แบบอาศัยเพศในสัตว์
สตั ว์ 2. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย การรวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์ซ่ึงมีท้ังการ
โครงสร้างและห น้าที่ของ ปฏิสนธิภายนอกและการปฏิสนธิภายใน
อวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศ การสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธ์ุแบบ
ชายและระบบสืบพันธ์ุเพศ อาศัยเพศ โดยการปฏิสนธิของสเปิร์มที่สร้างจาก
หญิง เซลล์สเปอรม์ าโทโกเนยี มภายในอัณฑะกับเซลล์ไข่
3. อธิบายกระบวนการสร้าง จากเซลล์โอโอโกเนียมภายในรังไข่ กระบวนการ
สเปิร์ม กระบวนการสร้าง สร้างสเปิร์มเร่ิมจากสเปอร์มาโทโกเนยี มแบ่งเซลล์
แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโทโกเนียม ซ่ึงต่อมาบาง
4. เซลล์ไข่ และการปฏิสนธิใน เซลล์พัฒนาเป็นสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก โดย
มนุษย์ ส เป อ ร์ ม า โท ไ ซ ต์ ร ะ ย ะ แ ร ก จ ะ แ บ่ ง เซ ล ล์ แ บ บ
อธิบายการเจริญเติบโตระยะ ไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ระยะทีส่ องซ่ึงจะแบ่ง
เอ็ ม บ ริ โอ แ ล ะ ระ ย ะ ห ลั ง เซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิด จากน้ัน
เอ็มบริโอของกบ ไก่ และ พัฒนาเป็นสเปิร์ม กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เริ่ม
มนุษย์ จากโอโอโกเนียมแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสได้ โอโอโก

เนียมซ่ึงจะพัฒนาเป็นโอโอไซต์ระยะแรก แล้วแบ่ง

เซลล์แบบไมโอซิส I ได้โอโอไซต์ระยะท่ีสองซ่ึงจะ

เกิดการตกไข่ต่อไป เม่ือได้รับการกระตุ้นจาก

สเปิรม์ โอโอไซต์ระยะทส่ี องจะแบ่งแบบไมโอซิส II

แล้วพัฒนาเป็นเซลล์ไข่ การปฏิสนธิเกดิ ข้ึนภายใน

ท่อนาไข่ได้ไซโกตซึ่งจะเจริญเป็นเอ็มบริโอและฝัง

ตวั ที่ผนังมดลกู จนกระท่ังครบกาหนดคลอด

การเจรญิ เติบโตของสัตว์ เช่น กบ ไก่ และสตั ว์

เล้ียงลูกด้วยน้านม เร่ิมต้นด้วยการแบ่งเซลล์ของ

ไซโกต การเกิดเน้ือเย่ือเอ็มบริโอ 3 ชั้น การเกิด

อวยั วะ โดยมกี ารเพม่ิ จานวน ขยายขนาด และการ

เปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์เพื่อทาหน้าท่ีเฉพาะ

อย่าง ซึ่งพัฒนาการของอวัยวะต่าง ๆ จะทาให้มี

การเกิดรูปรา่ งที่แนน่ อนในสตั ว์แต่ละชนดิ

พเิ ศษ 17

ลาดบั ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา
การเรียนรู้ (ชม.)

การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีข้ันตอนคล้าย

กับการเจริญเติบโตของสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านม

โดยเอ็มบริโอจะฝังตัวที่ผนังมดลูกและมีการ

แลกเปลย่ี นสารระหว่างแมก่ ับลกู ผ่านทางรก

2. ระบบ 5. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ สัตว์มีระบบประสาททาให้สามารถรับรู้และ 16
ประสาทและ เปรียบเทียบโครงสร้างและ ตอบสนองต่อส่ิงเร้าได้ เช่น ไฮดรามีร่างแห
หน้าที่ของระบบประสาทของ ประสาท พลานาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย และ
อวยั วะรับ ไฮดรา พลานาเรยี ไส้เดือนดิน แมลงมีปมประสาทและเส้นประสาท ส่วนสัตว์มี

ความร้สู ึก กุ้ง หอย แมลง และสัตว์มี กระดูกสันหลัง มีสมอง ไขสันหลัง ปมประสาท

กระดูกสนั หลงั และเส้นประสาท

6. อธิบายเก่ียวกบั โครงสรา้ งและ เซลล์ประสาทประกอบด้วยตัวเซลล์และ
หน้าท่ขี องเซลลป์ ระสาท เส้นใยประสาท แบ่งออกเป็นเดนไดรต์เป็นเส้นใย
ประสาทที่นากระแสประสาทออกจากตวั เซลล์และ
7. อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยน แอกซอนเป็นเส้นใยประสาทท่ีนากระแสประสาท
แปลงของศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อหุ้ม เขา้ สู่ตัวเซลล์
เซลล์ของเซลล์ประสาท และ
ก ล ไ ก ก า ร ถ่ า ย ท อ ด ก ร ะ แ ส เซลล์ประสาทจาแนกตามหน้าที่ได้ 3 ประเภท
ประสาท ได้แก่ เซลล์ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาท
สั่งการ และเซลล์ประสาทประสานงาน เซลล์
8. อธิบ ายแล ะสรุป เก่ียวกับ ประสาทจาแนกตามรูปร่างได้ 4 ประเภท ได้แก่
โครงสร้างของระบบประสาท เซลล์ประสาทข้ัวเดียว เซลล์ประสาทขว้ั เดยี วเทียม
ส่วนกลางและระบบประสาท เซลลป์ ระสาทสองข้วั และเซลล์ประสาทหลายขว้ั
รอบนอก
กระแสประสาทเกิดจากการเปลี่ยนแปลง
9. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย ศักย์ไฟฟ้าที่เย่ือหุ้มเซลล์ของเดนไดรต์และ
โครงสร้างและหน้าท่ีของส่วน แอกซอน ทาให้มีการถ่ายทอดกระแสประสาทจาก
ต่ างๆ ใน ส ม อ งส่ วน ห น้ า เซลล์ประสาทไปยังเซลล์ประสาทหรือเซลล์อ่ืน ๆ
สมองส่วนกลาง สมองส่วน ผ่านทางไซแนปส์
หลัง และไขสนั หลัง
ระบบประสาทของมนุษยแ์ บง่ ไดเ้ ป็น 2 ระบบ

10. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบ ได้แก่ ระบบประสาทส่วนกลางเป็นการทางานของ

เทียบ และยกตัวอย่างการ สมองและไขสันหลัง และระบบประสาทรอบนอก

ทางานของระบบประสาท เป็นการทางานของเส้นประสาทสมองและ

โซมาติก และระบบประสาท เส้นประสาทไขสันหลัง

อัตโนวัติ

พิเศษ 18

ลาดบั ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคัญ เวลา
การเรียนรู้ (ชม.)

11. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อ ธิ บ า ย สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วน

โครงสร้างและหน้าที่ของตา หู หน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง มี
จมูก ลิ้น และผิวหนังของ เส้นประสาทท่ีแยกออกจากสมอง 12 คู่ ไปยัง
มนุษย์ ยก ตัวอย่างโรคต่างๆ อวัยวะต่างๆ ซึ่งบางคู่ทาหน้าท่ีรับความรู้สึกเข้าสู่
ที่เก่ียวข้อง และบอกแนวทาง สม อง ห รือน าค าสั่ งจากสม องไป ยังห น่ วย
ในการดูแลป้องกนั และรักษา ปฏิบัติงาน หรือทาหน้าที่ท้ังสองอย่าง ไขสันหลัง
12. สังเกต และอธิบายการหา เป็นส่วนที่ต่อจากสมองอยู่ภายในกระดูกสันหลัง
ตาแหน่งของจุดบอด โฟเวีย และมีเส้นประสาทแยกออกจากไขสันหลังเป็นคู่
และความไวในการรับสัมผัส ทาหน้าที่ประมวลผลการตอบสนองโดยไขสันหลัง
เส้ น ป ร ะ ส า ท ไ ข สั น ห ลั ง ทุ ก คู่ จ ะ ท า ห น้ า ท่ี รั บ
ของผิวหนงั
ความรู้สึกเข้าสู่ไขสันหลังและนาคาสั่งออกจากไข

สนั หลัง

ระบบประสาทรอบนอก ส่วนที่สั่งการ

แบ่งเป็นระบบประสาทโซมาติกซ่ึงควบคุมการ

ท างาน ของกล้ าม เนื้ อโค รงร่าง แล ะระบ บ

ป ร ะ ส า ท อั ต โ น วั ติ ซ่ึ ง ค ว บ คุ ม ก า ร ท า ง า น ข อ ง

กลา้ มเน้ือหัวใจ กลา้ มเน้อื เรยี บ และตอ่ มต่างๆ

ตาประกอบด้วยช้ันสเคลอรา โครอยด์ และ

เรตินา เลนส์ตาเป็นเลนส์นูนอยู่ถัดจากกระจกตา

ทาหน้าที่รวมแสงจากวัตถุไปที่เรตินา ซ่ึงประกอบ

ด้วยเซลล์รับแสงและเซลล์ประสาทท่ีนากระแส

ประสาทสู่สมอง หูประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูส่วน

นอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน ภายในหูส่วนในมี

คอเคลีย ซึ่งทาหน้าที่รับและเปลี่ยนคล่ืนเสียงเป็น

กระแสประสาท นอกจากน้ี ยังมีเซมิเซอร์คิวลาร์-

แคเเนลทาหน้าท่ีรับรู้เกี่ยวกับการทรงตัวของ

ร่างกาย จมูกมีเซลล์ประสาทรับกล่ินอยู่ภายใน

เย่ือบุจมูกท่ีเป็นตัวรับสารเคมีบางชนิดแล้วเกิด

กระแสประสาทส่งไปยังสมอง ลิ้นทาหน้าท่ีรับรส

โดยมีตุ่มรบั รสกระจายอยู่ทั่วผิวลน้ิ ตมุ่ รบั รสมีเซลล์

รับรสอยู่ภายใน เม่ือเซลล์รับรสถูกกระตุ้นด้วย

สารเคมีจะกระตุ้นเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทเกิด

กระแสประสาทสง่ ไปยังสมอง ผิวหนังมีหนว่ ยรับส่ิง

เร้าหลายชนิด เช่น หน่วยรับสัมผัส หน่วยรับแรง

กด หน่วยรับความเจบ็ ปวด หน่วยรบั อุณหภูมิ

พิเศษ 19

ลาดบั ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา
การเรียนรู้ (ชม.)

3 ระบบตอ่ มไร้ 13. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ฮอร์โมนเป็นสารท่ีควบคุมสมดุลต่าง ๆ ของ 14
ทอ่ เขียนแผนผังสรุปหน้าท่ีของ ร่างกายโดยผลิตจากต่อมไร้ท่อหรือเนื้อเย่ือ
ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและ ต่อมไร้ท่อสร้างหรือหลั่งฮอร์โมนโดยอาศัยระบบ
หมุนเวียนเลือดไปยังอวัยวะเป้าหมายที่จาเพาะ
เน้ือเยื่อทส่ี ร้างฮอรโ์ มน
เจาะจง

ต่อมไพเนียลสร้างเมลาโทนินซ่ึงยับยั้งการ

เจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธ์ุช่วงก่อนวัยเจริญ

พนั ธุแ์ ละตอบสนองตอ่ การเปลี่ยนแปลงของแสงใน

รอบวัน

ต่อมใต้สมองส่วนหน้าสร้างและหล่ังโกนาโด

โทรฟิน (FSH LH) โกรทฮอร์โมน ไทรอยด์สติมิว-

เลติงฮอร์โมน อะดรโี นคอรต์ ิโคโทรปิน โพรแลกทิน

ซ่ึงทาหนา้ ทีแ่ ตกต่างกนั

ต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่งฮอร์โมนซึ่งสร้าง

จากไฮโพทาลามัส ได้แก่ ฮอร์โมนแอนติได -

ยูเรตกิ และออกซโิ ทซิน ซ่งึ ทาหน้าท่แี ตกต่างกัน

ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอกซินซ่ึงควบคุมอัตรา

เมแทบอลิซึมของร่างกาย และสร้างแคลซิโทนิน

ซง่ึ ควบคุมระดบั แคลเซียมในเลือดใหป้ กติ

ต่อมพาราไทรอยด์สร้างพาราทอร์โมนซึ่ง

ควบคุมระดับแคลเซียมในเลอื ดใหป้ กติ

ตั บ อ่ อ น มี ก ลุ่ ม เซ ล ล์ ที่ ส ร้ า ง อิ น ซู ลิ น แ ล ะ

กลูคากอนซ่งึ ควบคมุ ระดับนา้ ตาลในเลือดให้ปกติ

ต่อมหมวกไตส่วนนอกสร้างกลโู คคอร์ติคอยด์

มเิ นราโลคอร์ติคอยด์ และฮอรโ์ มนเพศ ซึ่งมีหน้าท่ี

แตกต่างกัน ส่วนต่อมหมวกไตส่วนในสร้าง

เอพิเนฟรินและนอร์เอพิเนฟริน ซ่ึงมีหน้าท่ี

เหมอื นกนั

อั ณ ฑ ะ มี ก ลุ่ ม เซ ล ล์ ส ร้ า ง เท ส โท ส เท อ โร น

ส่ ว น รั ง ไข่ มี ก ลุ่ ม เซ ล ล์ ที่ ส ร้ า ง อี ส โท ร เจ น แ ล ะ

โพรเจสเทอโรนซึง่ มหี น้าท่ีแตกต่างกนั

เนือ้ เยือ่ บางบริเวณของอวัยวะ เชน่ รก ไทมัส

กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก สามารถสร้างฮอร์โมน

ไดห้ ลายชนดิ ซง่ึ มีหนา้ ที่แตกตา่ งกัน

พเิ ศษ 20

ลาดับ ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระสาคัญ เวลา
การเรียนรู้ (ชม.)

การควบคุมการหล่ังฮอร์โมนจากต่อมไร้ทอ่ มี

ท้ังการควบคุมแบบป้อนกลับยับยั้ง และการ

ควบคุมแบบป้อนกลับกระตุ้น เพ่ือรักษาดุลยภาพ

ของร่างกาย

ฟีโรโมนเป็นสารเคมีที่ผลิตจากต่อมมีท่อของ

สัตวซ์ ึง่ สง่ ผลต่อสตั ว์ตัวอ่ืนท่เี ป็นชนดิ เดียวกัน

4 การ 14. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคล่ือนท่ีโดยการ 11

เคล่ือนท่ี เปรียบเทียบโครงสร้างและ ไหลของไซโทพลาซึม เช่น อะมีบา บางชนิดใช้

ของ หน้าท่ีของอวัยวะที่เก่ียวข้อง แฟลเจลลัม เช่น ยูกลีนา บางชนิดใช้ซิเลีย เช่น

สิ่งมชี ีวิต กั บ ก า ร เ ค ลื่ อ น ท่ี ข อ ง พารามเี ซียม

แมงกะพรุน หมึก ดาวทะเล สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงกะพรุน

ไส้เดือนดินแมลง ปลา และ เคลื่อนท่ีโดยอาศัยการหดตัวของเน้ือเย่ือบริเวณ

นก ขอบกระดิ่งและแรงดันน้า หมึกเคล่ือนท่ีโดยอาศัย

15. สืบ ค้นข้อมูล และอธิบ าย การหดตัวของกล้ามเน้ือบริเวณลาตัว ทาให้น้า

โครงสร้างและหน้าท่ีของ ภายในลาตัวพ่นออกมาทางไซฟอน ส่วนดาวทะเล

ก ร ะ ดู ก แ ล ะ ก ล้ า ม เนื้ อ ท่ี ใช้ระบบท่อน้าในการเคล่ือนที่ ไส้เดือนดินมีการ

เกี่ยวข้องกับการเคล่ือนไหว เคลื่อนที่โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของ

และการเคล่ือนท่ีของมนุษย์ กล้ามเน้ือวงและกล้ามเน้ือตามยาวซ่ึงทางานใน

16. สงั เกต และอธิบายการทางาน สภาวะตรงกันข้าม แมลงเคล่ือนท่ีโดยใช้ปีกหรือขา

ของข้อต่อชนิดต่างๆ และการ ซ่ึงมีกล้ามเน้ือภายในเปลือกหุ้มทางานในสภาวะ

ทางานของกล้ามเน้ือโครงร่าง ตรงกันข้าม ส่วนสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา

ท่ีเก่ียวข้องกับการเคล่ือนไหว เคล่ือนที่โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของ

และการเคลอื่ นที่ของมนษุ ย์ กล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่กับกระดูกสันหลังท้ัง 2 ข้าง

ทางานในสภาวะตรงกันข้าม และมีครีบท่ีอยู่ใน

ตาแหน่งต่างๆ ช่วยโบกพัดในการเคล่ือนท่ี นก

เคล่ือนที่โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของ

กล้ามเนื้อกดปีกกับกล้ามเน้ือยกปีกซ่ึงทางานใน

สภาวะตรงกนั ข้าม

5 พฤตกิ รรม 17. สืบค้นข้อมูล อธิบาย เปรียบ พฤติกรรมของสัตว์เป็นผลจากพันธุกรรมและ 7
ของสัตว์ เที ย บ แ ล ะ ย ก ตั ว อ ย่ า ง สิ่งแวดล้ อม แบ่ งออกเป็ น 2 ประเภท ได้ แก่

พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กาเนิด พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กาเนิดแบ่งออกเป็นหลายชนิด

และพฤติกรรมที่เกิดจากการ เช่น โอเรียนเตชัน (แทกซิสและไคนีซิส) รีเฟล็กซ์

เรยี นรู้ของสตั ว์ ฟิกแอกชันแพทเทิร์น และพฤติกรรมท่ีเกิดจากการ

เรียนรู้ แบ่งออกเป็นแฮบบิชูเอชัน การฝังใจ การลอง

ผิดลองถูก การมีเงื่อนไข และการใช้เหตผุ ล

พเิ ศษ 21

ลาดบั ชือ่ หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระสาคญั เวลา
การเรียนรู้ (ชม.)

18. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยก พฤติกรรมที่สัตว์แต่ละชนิดแสดงออกจะ

ตวั อย่างความสัมพันธ์ระหว่าง แตกต่างกันซ่ึงเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของระบบ

พฤติกรรมกับวิวัฒนาการของ ประสาททแ่ี ตกตา่ งกนั

ระบบประสาท การสอื่ สารเป็นพฤติกรรมทางสังคมแบบหน่ึงซ่ึง

19. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยก มีหลายวิธี ไก้แก่ การส่ือสารด้วยท่าทาง การส่ือสาร

ตัวอย่างการสื่อสารระหว่าง ด้วยเสียง การสื่อสารด้วยสารเคมี และการสื่อสาร

สั ต ว์ ท่ี ท า ให้ สั ต ว์ แ ส ด ง ดว้ ยการสัมผัส

พฤติกรรม

พเิ ศษ 22

Pedagogy

สื่อการเรียนรู้รายวิชาเพ่ิมเติม ชีววิทยา ม. 6 ผู้จัดทาได้ออกแบบการสอน (Instructional Design)
อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และเทคนิคการสอนที่เป่ียมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายให้กับผู้เรียน
เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธ์ิตามผลการเรียนรู้ รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ
ผู้เรียนท่ีหลักสูตรกาหนดไว้ โดยครูสามารถนาไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงใน
รายวิชานี้ ได้ นารูปแบบการสอนแบบ Concept Based Teaching มาใชใ้ นการออกแบบการสอน ดงั น้ี

รปู แบบการสอนแบบ Concept Based Teaching

ผู้จัดทาเลือกใช้รูปแบบการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : Concept Based Teaching
เนื่องจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเข้าใจหลักการและ
ความคิดรวบยอดต่าง ๆ เพื่อประยุกต์ใช้ ดังนั้น Concept Based Teaching เป็นการจัดการเรียนการ
สอนที่นาพาผู้เรยี น เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะ และเกิดความคดิ รวบยอด ผลของการจัดการ
เรยี นการสอนในลกั ษณะน้ีจะทาให้ผเู้ รียนได้ความร้แู ละมีทักษะในการคน้ หาความคิดรวบยอด ซึ่งจะเป็น
ทักษะสาคัญตดิ ตวั ผเู้ รยี นไปตลอดชีวติ

วิธีสอน (Teaching Method)

ผจู้ ัดทาเลือกใช้วธิ สี อนที่หลากหลาย เช่น อุปนัย นริ นัย การสาธิต การทดลอง แบบแก้ปัญหา แบบ
บรรยาย ซ่ึงสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนแบบ Concept Based Teaching ท่ีทาให้ผู้เรียนได้
เรียนรู้กระบวนการ ซึ่งทาให้ได้ความคิดรวบยอดที่สาคัญ อีกทั้งเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเกิดความ
เขา้ ใจในเนอ้ื หาวิทยาศาสตรอ์ ยา่ งถ่องแท้

เทคนิคการสอน (Teaching Technique)

ผู้จัดทาเลือกใช้เทคนิคการสอนท่ีหลากหลายและเหมาะสมกับเร่ืองทีเ่ รยี น เช่น การใช้คาถาม การ
ใช้ตัวอย่างกระตุ้นความคิด การใช้สอ่ื การเรยี นรู้ที่น่าสนใจ เพ่ือส่งเสริมวธิ ีการสอนและรูปแบบการสอน
ให้มีประสิทธิภาพในการจัดการเรียนรู้ให้มากย่ิงข้ึน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนร้อู ย่างมีความสุข และ
สามารถฝึกฝนทกั ษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้

พเิ ศษ 23

โครงสรา้ งแผนการจัดการเร

หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/
วิธีการสอน/เทคนคิ
1. ระบบสบื พันธุแ์ ละ แผนท่ี 1 การสืบพันธข์ุ อง - ทกั ษะก
แบบเน้นมโนทัศน์ - ทักษะก
การเจรญิ เติบโต สตั ว์ (Concept Based - ทักษะก
Teaching) - ทักษะ
ของสัตว์
จากข้อ

แผนที่ 2 การสืบพันธ์ุของ แบบเนน้ มโนทัศน์ - ทักการ
มนษุ ย์ (Concept Based - ทกั ษะก
Teaching) - ทกั ษะก
- ทกั ษะก

จากข้อ

พเิ ศษ

รียนรู้ ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1

เวลา 60 ช่ัวโมง

ทักษะทไี่ ด้ การประเมนิ เวลา
(ชวั่ โมง)
การสงั เกต - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
2
การจาแนกประเภท - ตรวจแบบฝกึ หดั
5
การสารวจคน้ หา - ตรวจรายงาน เร่อื ง การสืบพันธ์ของสัตวม์ ีกระดูกสนั หลัง

ะการลงความเห็น - ตรวจผงั มโนทัศน์ เรือ่ ง การสืบพันธข์ุ องสตั ว์

อมูล - ประเมนิ การนาเสนอ

- สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

- สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ

- สังเกตความมวี นิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการทางาน

รสงั เกต - ตรวจใบงานที่ 1.1 เรือ่ ง การสรา้ งสเปิรม์ และเซลลไ์ ข่

การสารวจค้นหา - ตรวจ Topic Questions

การเปรยี บเทียบ - ตรวจแบบฝึกหดั

การลงความเห็น - ตรวจรายงาน เร่อื ง ภาวะการมีบตุ รยาก

อมลู - ตรวจผงั มโนทศั น์ เร่อื ง การสืบพันธ์ขุ องมนุษย์

- ประเมนิ การปฏบิ ัตกิ าร

- ประเมนิ การนาเสนอผลงาน

- สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล

- สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่

- สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มัน่ ในการทางาน

ษ 24

หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ แนวคดิ /รปู แบบการสอน/
วิธกี ารสอน/เทคนิค
แผนที่ 3 การเจรญิ เติบโต - ทักษะก
ของสตั ว์ การบรรยาย - ทกั ษะก
(Lecture Method) - ทักษะก
- ทักษะ

จากข้อ

2. ระบบประสาท แผนท่ี 1 การรบั รู้และ แบบเน้นมโนทศั น์ - ทกั ษะก
และอวยั วะรับ การตอบสนอง (Concept Based - ทกั ษะก
ความรสู้ กึ ของสตั ว์ Teaching) - ทักษะก
- ทักษะ

จากข้อ

พเิ ศษ

ทักษะท่ีได้ การประเมิน เวลา
(ช่วั โมง)
การสงั เกต - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน
การจาแนกประเภท - ตรวจใบงานที่ 1.2 เร่ือง การเปล่ียนแปลงในระยะ 5
การเปรียบเทียบ
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น เอ็มบริโอของสัตว์ 2
อมลู - ตรวจ Topic Questions
- ตรวจ Unit Questions
การสังเกต - ตรวจ Test for U
การสารวจค้นหา - ตรวจแบบฝกึ หดั
การเปรียบเทยี บ - ตรวจแผนผัง เร่ือง การเปลีย่ นแปลงใน ระยะเอ็ มบริ โอ
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น
อมูล ของสตั ว์
- ตรวจผังมโนทศั น์ เรอ่ื ง การเจริญเติบโตของสัตว์
- ประเมินการนาเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล
- สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
- สังเกตความมวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ และมุง่ มั่นในการทางาน
- ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจรายงาน เรื่อง การสารวจระบบประสาทของสัตว์
- ตรวจผังมโนทศั น์ เรื่อง การสืบพนั ธุข์ องสตั ว์
- ประเมินการปฏิบตั กิ าร
- สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุม่
- สังเกตความมวี ินยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมัน่ ในการทางาน

ษ 25

หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/
วิธีการสอน/เทคนคิ
แผนที่ 2 เซลลป์ ระสาท - ทกั ษะก
และการทางาน แบบเน้นมโนทัศน์ - ทักษะก
ของเซลลป์ ระสาท (Concept Based - ทกั ษะก
Teaching) - ทักษะ

จากข้อ

แผนที่ 3 ศูนยค์ วบคมุ การบรรยาย - ทกั ษะก
ระบบประสาท (Lecture Method) - ทักษะก
- ทักษะก
- ทักษะ

จากข้อ

พเิ ศษ

ทักษะทไี่ ด้ การประเมิน เวลา
(ชว่ั โมง)
การสังเกต - ตรวจใบงานที่ 2.1 เร่อื ง เซลล์ประสาท
การสารวจค้นหา - ตรวจ Topic Questions 3
การเปรยี บเทยี บ - ตรวจแบบฝกึ หัด
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - ตรวจผังมโนทัศน์ เร่ือง โครงสร้างและประเภทของ 3
อมลู
เซลล์ประสาท
การสังเกต - ตรวจผังมโนทศั น์ เรื่อง การสืบพนั ธข์ุ องสตั ว์
การสารวจคน้ หา - ตรวจตารางเปรียบเทยี บประเภทเซลล์ประสาท
การจาแนกประเภท - ตรวจแผนภาพ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าท่ีเยื่อ
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น
อมลู หมุ้ เซลล์และการถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์
ประสาท
- ประเมินการนาเสนอผลงงาน
- ประเมินการปฏบิ ตั งิ าน
- สังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่
- สงั เกตความมวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งม่ันในการทางาน
- ตรวจใบงานท่ี 2.2 เรอ่ื ง สมอง
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง ศนู ยค์ วบคมุ ระบบประสาท
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่
- สงั เกตความมวี นิ ัย ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มนั่ ในการทางาน

ษ 26

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/
วธิ ีการสอน/เทคนิค
แผนที่ 3 การทางานของ - ทกั ษะก
ระบบประสาท นิรนยั - ทกั ษะก
(Deduction Method) - ทักษะ

จากข้อ

แผนที่ 5 อวยั วะรับ แบบเน้นมโนทัศน์ - ทักษะก
ความรสู้ กึ (Concept Based - ทักษะก
Teaching) - ทกั ษะก
- ทักษะ

จากขอ้
- ทักษะ

ส่อื ควา
- ทั ก ษ ะ

จาลอง

พเิ ศษ

ทักษะท่ไี ด้ การประเมิน เวลา
(ชว่ั โมง)
การสงั เกต - ตรวจใบงานท่ี 2.3 เรอ่ื ง ระบบประสาทอตั โนวตั ิ
การเปรยี บเทยี บ - ตรวจใบงานท่ี 2.4 เรื่อง การทางานของระบบประสาท 2
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - ตรวจ Topic Questions
อมูล - ตรวจแบบฝึกหดั 6
- ตรวจแผนผัง เร่ือง การทางานของระบบประสาท
การสังเกต
การสารวจคน้ หา โซมาติก
การจาแนกประเภท - ประเมินการนาเสนอผลงาน
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
อมูล - สงั เกตความมวี ินยั ใฝเ่ รยี นรู้ และมุง่ มั่นในการทางาน
ะการจัดกระทาและ
ามหมายข้อมูล - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น
ะ ก า ร ส ร้ า งแ บ บ - ตรวจใบงานที่ 2.5 เรอ่ื ง อวัยวะรบั ความรสู้ กึ
ง - ตรวจ Topic Questions
- ตรวจ Unit Questions
- ตรวจ Test for U
- ตรวจแบบฝกึ หัด
- ตรวจรายงาน เร่ือง โรคท่ีเกี่ยวข้องกับอวัยวะรับ

ความรสู้ กึ
- ตรวจแผ่นพับนาเสนอ เร่ือง โรคที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะ

รบั ความรู้สึก
- ตรวจป้ายนิเทศ เร่ือง โรคท่ีเก่ียวข้องกับอวัยวะรับ

ความรสู้ ึก
- ตรวจแบบจาลอง อวัยวะรบั ความรู้สกึ

ษ 27

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/
วธิ กี ารสอน/เทคนคิ

3. ระบบต่อมไรท้ อ่ แผนที่ 1 ต่อมไรท้ อ่ การบรรยาย - ทกั ษะก
(Lecture Method) - ทักษะก
- ทักษะ

จากขอ้

แผนที่ 2 ฮอรโ์ มนจาก แบบเนน้ มโนทัศน์ - ทักษะก
ต่อมไรท้ ่อและ (Concept Based - ทกั ษะก
อวยั วะทสี่ าคญั Teaching) - ทกั ษะก
- ทักษะก
- ทักษะ

ข้อมลู แ

พเิ ศษ

ทักษะทีไ่ ด้ การประเมิน เวลา
(ชัว่ โมง)
การสงั เกต - ประเมนิ การนาเสนอผลงงาน
การเปรยี บเทียบ - ประเมนิ การปฏบิ ตั งิ าน 1
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - สังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่
อมลู - สงั เกตความมีวินยั ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมัน่ ในการทางาน 11

การสงั เกต - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
การสารวจคน้ หา - ตรวจ Topic Questions
การจาแนกประเภท - ตรวจแบบฝึกหัด
การเปรยี บเทยี บ - ตรวจแผนภาพเปรียบเทียบการควบคุมการทางานของ
ะการตีความหมาย
และลงขอ้ สรุป รา่ งกายโดยระบบต่อมไร้ทอ่ และระบบประสาท
- สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล
- สงั เกตความมีวินัย ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งม่นั ในการทางาน
- ตรวจใบงานท่ี 3.1 เร่ือง ฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและ

อวัยวะทสี่ าคัญ
- ตรวจใบงานท่ี 3.2 เรื่อง โรคหรือกลุ่มอาการท่ีเกิดจาก

ความผิดปกติของฮอรโ์ มน
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจแบบฝกึ หัด
- ตรวจแผนผัง เรือ่ ง การควบคมุ การทางานของต่อมไรท้ อ่
- ตรวจตารางสรุปหน้าที่และอวัยวะเป้าหมายของ

ฮอร์โมนจากต่อมไรท้ อ่ และอวัยวะทส่ี าคัญ
- ตรวจผงั มโนทัศน์ เรอื่ ง ฮอร์โมนและหนา้ ทีข่ อง

ฮอรโ์ มนจากต่อมไร้ทอ่ และอวัยวะทีส่ าคัญ

ษ 28

หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ แนวคดิ /รูปแบบการสอน/
วธิ กี ารสอน/เทคนิค

แผนท่ี 3 การรักษาดลุ ย การบรรยาย - ทักษะก
ภาพของร่างกาย (Lecture Method) - ทกั ษะก
ด้วยฮอรโ์ มน - ทักษะ

จากขอ้

แผนท่ี 4 ฟีโรโมน การบรรยาย - ทกั ษะก
(Lecture Method) - ทกั ษะก
- ทักษะ

จากข้อ

พเิ ศษ

ทกั ษะท่ีได้ การประเมิน เวลา
(ชั่วโมง)
การสารวจค้นหา - ประเมนิ การนาเสนอผลงาน
การจาแนกประเภท - สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล 1
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
อมลู - สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งมน่ั ในการทางาน 1

การสารวจคน้ หา - ตรวจใบงานที่ 3.1 เรอื่ ง การควบคุมการหลง่ั ฮอร์โมน
การเปรยี บเทยี บ - ตรวจ Topic Questions
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - ตรวจแบบฝึกหดั
อมูล - ตรวจแผนผัง เรื่อง การรกั ษาดุลยภาพของร่างกายด้วย

ฮอรโ์ มน
- สังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
- สงั เกตความมีวินัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ มัน่ ในการทางาน
- ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจ Unit Questions
- ตรวจ Test for U
- ตรวจแบบฝึกหดั
- สังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล
- สงั เกตความมีวินัย ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมน่ั ในการทางาน

ษ 29

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ แนวคิด/รูปแบบการสอน/
วิธีการสอน/เทคนคิ
3. การเคลอ่ื นท่ขี อง แผนท่ี 1 การเคล่ือนท่ี - ทกั ษะก
ส่ิงมชี ีวิต ของสงิ่ มีชวี ติ แบบเน้นมโนทศั น์ - ทักษะก
เซลลเ์ ดยี ว (Concept Based - ทกั ษะก
Teaching) - ทักษะ

จากข้อ

แผนที่ 2 การเคล่อื นที่ แบบเน้นมโนทศั น์ - ทักษะก
ของสัตว์ (Concept Based - ทกั ษะก
Teaching) - ทกั ษะก
- ทักษะ

จากข้อ

พเิ ศษ

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
(ชว่ั โมง)
การสังเกต - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น
การเปรยี บเทยี บ - ตรวจใบงานที่ 4.1 เร่ือง การเคล่ือนที่ของส่ิงมีชีวิต 2
การจาแนกประเภท
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น เซลลเ์ ดียว 4
อมูล - ตรวจ Topic Questions
- ตรวจแบบฝึกหดั
การสงั เกต - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง การคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การสารวจค้นหา
การเปรียบเทียบ เซลล์เดียว
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - ประเมนิ การนาเสนอผลงาน
อมลู - สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
- สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม
- สงั เกตความมวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ มั่นในการทางาน
- ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
- ตรวจใบงานท่ี 4.2 เร่ือง การเคล่อื นทขี่ องสตั ว์ (ตอนที่ 1)
- ตรวจใบงานท่ี 4.3 เรือ่ ง การเคล่อื นท่ขี องสัตว์ (ตอนที่ 2)
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจผังมโนทศั น์ เรือ่ ง การคลือ่ นท่ีของสตั ว์
- ประเมินการปฏบิ ตั ิการ
- ประเมนิ การนาเสนอผลงาน
- สังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่
- สงั เกตความมีวินยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการทางาน

ษ 30

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/
วธิ ีการสอน/เทคนิค
แผนที่ 3 การเคลือ่ นที่ - ทกั ษะก
ของมนษุ ย์ แบบเนน้ มโนทัศน์ - ทกั ษะก
(Concept Based - ทักษะก
Teaching) - ทกั ษะก
- ทักษะ

จากขอ้

5. พฤติกรรมของสตั ว์ แผนท่ี 1 ประเภทของ แบบเนน้ มโนทศั น์ - ทกั ษะก
พฤติกรรม (Concept Based - ทกั ษะก
Teaching) - ทกั ษะก
- ทักษะก
- ทักษะ

จากข้อ

พเิ ศษ

ทกั ษะทไ่ี ด้ การประเมิน เวลา
(ช่ัวโมง)
การสงั เกต - ตรวจใบงานที่ 4.3 เรอ่ื ง ข้อตอ่
การสารวจค้นหา - ตรวจใบงานที่ 4.4 เรื่อง เซลลก์ ล้ามเนอ้ื 5
การจาแนกประเภท - ตรวจ Topic Questions
การเปรยี บเทยี บ - ตรวจ Unit Questions 5
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - ตรวจ Test for U
อมูล - ตรวจแบบฝกึ หัด
- ตรวจแผนภาพ เรื่อง ความสัมพันธ์ของหลักการทางาน
การสังเกต
การสารวจค้นหา ของคานกบั การเคลอื่ นไหวรปู แบบตา่ ง ๆ
การเปรียบเทียบ - ตรวจผงั มโนทัศน์ เร่อื ง การเคลอ่ื นทีข่ องมนุษย์
การจาแนกประเภท - ประเมินการปฏบิ ตั กิ าร
ะ ก า ร ล ง ค ว า ม เห็ น - ประเมินการนาเสนอผลงาน
อมูล - สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล
- สังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
- สงั เกตความมวี นิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งม่นั ในการทางาน
- ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
- ตรวจใบงานที่ 5.1 เร่ือง ประเภทของพฤติกรรมสัตว์
- ตรวจใบงานที่ 5.2 เร่ือง ความสัมพันธ์ของระบบ

ประสาทกบั พฤตกิ รรมของสัตว์
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจรายงาน เรอ่ื ง พฤติกรรมของสัตว์

ษ 31

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ แนวคดิ /รปู แบบการสอน/
วธิ กี ารสอน/เทคนคิ

แผนที่ 2 การสอื่ สาร แบบเน้นมโนทศั น์ - ทักษะก
ระหว่างสตั ว์ (Concept Based - ทักษะก
Teaching) - ทักษะก
- ทักษะ

จากข้อ

พิเศษ

ทกั ษะทไ่ี ด้ การประเมิน เวลา
(ชั่วโมง)
- ตรวจผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง พฤตกิ รรมของสัตว์
2
- ประเมนิ การปฏบิ ัติการ

- ประเมนิ การนาเสนอผลงาน

- สงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล

- สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม

- สงั เกตความมวี นิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในการทางาน

การสังเกต - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น

การสารวจคน้ หา - ตรวจใบงานท่ี 5.3 เร่ือง การส่อื สารระหว่างสตั ว์

การจาแนกประเภท - ตรวจ Topic Questions

ะการลงความเห็น - ตรวจ Unit Questions

อมูล - ตรวจ Test for U

- ตรวจแบบฝกึ หดั

- ตรวจผังมโนทศั น์ เรื่อง การส่ือสารระหวา่ งสตั ว์

- ตรวจรายงาน เร่ือง พฤตกิ รรมการสบื พันธุ์ของปลากัด

- ประเมนิ การนาเสนอผลงาน

- สังเกตพฤติกรรมการทางานกล่มุ

- สังเกตความมวี นิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ ม่ันในการทางาน

ษ 32

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสบื พันธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1

การสบื พันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์

เวลา 12 ช่ัวโมง

1. ผลการเรยี นรู้

เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลาเลียงสารและ
การหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคลื่อนท่ี การสืบพันธ์ุ
และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมทั้งนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยกตัวอย่างการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ในสัตว์

2. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายและระบบสืบพันธ์ุ
เพศหญิง

3. อธิบายกระบวนการสร้างสเปริ ม์ กระบวนการสรา้ งเซลลไ์ ข่ และการปฏสิ นธใิ นมนษุ ย์
4. อธบิ ายการเจรญิ เติบโตระยะเอ็มบริโอและระยะหลงั เอ็มบรโิ อของกบ ไก่ และมนุษย์

2. สาระการเรียนรู้

2.1 สาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ
1) การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของสัตว์เป็นการสืบพันธ์ุที่ไม่มีการรวมของเซลล์สืบพันธ์ุ เช่น
การแตกหนอ่ และการงอกใหม่
2) การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศของสัตว์เป็นการสืบพันธ์ุทเี่ กิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธ์ุ
ซึ่งมีทั้งการปฏิสนธิภายนอกและการปฏิสนธิภายใน สัตว์บางชนิดมี 2 เพศ ในตัวเดียวกัน
แตก่ ารผสมพันธุ์สว่ นใหญจ่ ะผสมข้ามตวั
3) การสืบพันธ์ุของมนุษย์มีกระบวนการสร้างสเปิร์มจากเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ
และกระบวนการสรา้ งเซลลไ์ ข่จากเซลลโ์ อโอโกเนยี มภายในรังไข่
4) อวยั วะสืบพันธขุ์ องเพศชายประกอบด้วยอัณฑะทาหน้าทีส่ รา้ งสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย และมี
โครงสรา้ งอื่นๆ ทีท่ าหน้าทลี่ าเลยี งสเปริ ์ม สรา้ งนา้ เล้ยี งสเปริ ม์ และสารหลอ่ ลืน่ ทอ่ ปัสสาวะ
5) อัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างสเปิร์ม ซึ่งภายในมีเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมท่ีเป็นเซลล์ต้ังต้น
ของกระบวนการสร้างสเปริ ม์
6) อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศหญิงประกอบด้วยรังไข่ ท่อนาไข่ มดลูก และช่องคลอด รังไข่ทาหน้าท่ี
สรา้ งเซลล์ไขแ่ ละฮอร์โมนเพศหญิง

1

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์

7) กระบวนการสร้างสเปิร์มเร่ิมต้นจากสเปอร์มาโทโกเนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโท-
โกเนียมจานวนมาก ซึง่ ต่อมาบางเซลล์พฒั นาเป็นสเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรก โดยสเปอร์มาโทไซต์
ระยะแรกจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ระยะท่ีสองซึ่งจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II
ได้สเปอร์มาทดิ ตามลาดบั จากนั้นพฒั นาเป็นสเปิรม์

8) กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เร่ิมจากโอโอโกเนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้โอโอโกเนียมซ่ึงจะพัฒนาเป็น
โอโอไซต์ระยะแรก แล้วแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I ได้โอโอไซต์ระยะที่สองซ่ึงจะเกิดการตกไข่ต่อไป
เมอ่ื ไดร้ บั การกระตุ้นจากสเปริ ์ม โอโอไซตร์ ะยะที่สองจะแบ่งแบบไมโอซิส II แลว้ พฒั นาเป็นเซลล์ไข่

9) การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนาไข่ได้ไซโกตซึ่งจะเจริญเป็นเอ็มบริโอและไปฝังตัวท่ีผนังมดลูก
จนกระทัง่ ครบกาหนดคลอด

10) การเจริญเติบโตของสัตว์ เช่น กบ ไก่ และสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านม จะเร่ิมต้นด้วยการแบ่งเซลล์
ของไซโกต การเกิดเน้ือเย่ือเอ็มบริโอ 3 ช้ัน คือ เอ็กโทเดิร์ม เมโซเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม การเกิด
อวัยวะ โดยมีการเพ่ิมจานวน ขยายขนาด และการเปล่ียนแปลงรูปร่างของเซลล์เพ่ือทาหน้าที่
เฉพาะอยา่ ง ซ่งึ พัฒนาการของอวัยวะต่าง ๆ จะทาใหม้ กี ารเกดิ รูปร่างท่ีแน่นอนในสตั ว์แต่ละชนิด

11) การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีข้ันตอนคลา้ ยกับการเจรญิ เติบโตของสัตวเ์ ลี้ยงลกู ด้วยน้านมอ่ืน ๆ
โดยเอ็มบรโิ อจะฝงั ตัวท่ีผนงั มดลูก และมกี ารแลกเปลย่ี นสารระหว่างแม่กบั ลกู ผา่ นทางรก

2.2 สาระการเรยี นรู้ท้องถิน่
(พิจารณาตามหลักสูตรของสถานศกึ ษา)

3. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด

การสืบพันธ์ุของสัตว์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ การสืบพันธแุ์ บบไม่อาศยั เพศเป็นการสบื พันธุ์ทไี่ ม่
มีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ เช่น การงอกใหม่ การแตกหน่อ การหักเป็นท่อน พาร์ทีโนเจเนซิส และ
ก า ร สื บ พั น ธุ์ แ บ บ อ า ศั ย เพ ศ เป็ น ก าร สื บ พั น ธ์ุ ท่ี เกิ ด จ าก ก า รร ว ม กั น ข อ ง นิ ว เค ลี ย ส ข อ ง เซ ล ล์ สื บ พั น ธ์ุ
แบ่งออกเป็นการปฏิสนธิภายนอกและการปฏิสนธิภายใน สัตว์ส่วนใหญ่จะแยกเพศกัน แต่สัตว์บางชนิดมี
2 เพศ ในตัวเดยี วกัน แตก่ ารผสมพนั ธส์ุ ่วนใหญจ่ ะผสมขา้ มตัว

มนุษย์มีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศและมีการปฏิสนธิภายในร่างกาย โดยเพศชายสร้างเซลล์สืบพันธุ์
เพศผู้ เรียกว่า สเปิร์ม ส่วนเพศหญิงสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย เรียกว่า เซลลไข เมื่อสเปิร์มเข้าผสมกับ
เซลล์ไข่ในร่างกายเพศหญิงจะเกิดการปฏิสนธิได้เป็นไซโกต ซ่ึงจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนและพัฒนาเป็น
เอ็มบรโิ อ และเจริญเตบิ โตเป็นทารก เด็ก และผูใ้ หญต่ อ่ ไป

2


Click to View FlipBook Version