The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้(ว30245)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by amnouay3220, 2021-06-24 05:22:58

แผนการจัดการเรียนรู้(ว30245)

แผนการจัดการเรียนรู้(ว30245)

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การสืบพนั ธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์

อวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศชายประกอบด้วยอัณฑะทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศชายและเซลล์สืบพันธ์ุ
เพศชาย ถุงอัณฑะทาหน้าท่ีห่อหุ้มอัณฑะและปรับอุณหภูมิของอัณฑะ หลอดเก็บสเปิร์มทาหน้าที่เก็บ
สเปิร์มท่ีสร้างมาจากอัณฑะจนกว่าจะเจริญเต็มท่ี หลอดนาสเปิร์มทาหน้าที่เป็นทางผ่านของสเปิร์มออกสู่
ภายนอกร่างกาย ต่อมสรางน้าเลี้ยงสเปิร์มทาหน้าท่ีสร้างน้าเล้ียงสเปิร์มท่ีมีสภาพเป็นเบสอ่อน ๆ
ต่อมลูกหมากทาหน้าที่สร้างสารที่มีสภาพเป็นเบสเพื่อหล่อเลี้ยงสเปิร์มและลดความเป็นกรดในช่องคลอด
ของเพศหญิง ตอมคาวเปอรทาหน้าที่สรา้ งสารเป็นเมือกที่มีสภาพเป็นเบสเพื่อช่วยหลอ่ ล่นื และลดความเป็น
กรดในท่อปัสสาวะ และองคชาตเป็นอวัยวะสืบพันธ์ุภายนอกร่างกาย กระบวนการสร้างสเปิร์มเกิดภายใน
ผนังของหลอดสร้างสเปิร์มที่อยู่ในอัณฑะ เร่ิมจากสเปอร์มาโทโกเนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์-
มาโทโกเนียมจานวนมาก บางเซลล์พัฒนาเปน็ สเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก (2n) และแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I
ได้สเปอรม์ าโทไซต์ระยะที่สอง 2 เซลล์ (n) และแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิด 4 เซลล์ (n) และ
เปลยี่ นแปลงรูปร่างและพัฒนาเป็นสปอร์มาโทซัวหรอื สเปริ ม์

อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงประกอบด้วยรังไข่ทาหน้าท่ีผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง
ท่อนาไข่ทาหน้าที่เป็นทางผ่านของเซลล์ไข่ท่ีออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูกและเป็นบริเวณที่ สเปิร์มปฏิสนธิกับ
เซลล์ไข่ มดลกู ทาหน้าที่เป็นท่ีฝงั ตัวของเซลล์ไข่ท่ีไดร้ ับการปฏิสนธแิ ละเป็นท่ีเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
และช่องคลอดทาหน้าท่ีเป็นทางผ่านของสเปิร์มเข้าสู่มดลูกและเป็นทางออกของทารกเม่ือครบกาหนด
คลอด กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เกิดภายในรังไข่ เร่ิมจากโอโอโกเนียม (n) ท่ีอยู่ในรังไข่ตั้งแต่เป็นทารกใน
ครรภ์ แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้เซลล์ใหม่จานวนมาก เซลล์ส่วนหน่ึงพัฒนาเป็นโอโอไซต์ระยะแรก (2n) ท่ี
ถูกล้อมรอบด้วยฟอลลิเคิล เม่ือเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ แต่ละรอบเดือนโอโอไซตร์ ะยะแรกบางเซลล์ถูกกระตนุ้ ให้
แบ่งเซลล์ไมโอซิส I ได้เป็นโอโอไซต์ระยะที่สอง 1 เซลล์ (n) และโพลาร์บอดี 1 เซลล์ (n) จากน้ันโอโอไซต์
ระยะทีส่ องถูกกระต้นุ ใหต้ กเข้าสู่ทอ่ นาไข่ และฟอลลิเคิลจะเจริญเป็นคอร์ปสั ลูเทียม

การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์เกิดขึ้นเมื่อสเปิร์มเข้าสู่ช่องคลอดของเพศหญิงในช่วงเวลาท่ีมีการตกไข่
แล้วเคล่ือนท่ีไปปฏิสนธิกับเซลล์ไข่บริเวณท่อนาไข่ นิวเคลียสของสเปิร์มจะรวมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่
เกิดเป็นไซโกต และแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนและพัฒนาเป็นเอ็มบริโอเข้าไปฝังตัวที่ผนังมดลูก การพัฒนาของ
เอ็มบริโอ ประกอบด้วย 4 ระยะ ไก้แก่ ควีเวจเป็นระยะท่ีไซโกตแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจนได้เอ็มบริโอที่
ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์จานวนมาก บลาสทูเลชันเป็นระยะที่เซลล์จัดเรียงตัวใหม่โดยแยกจากกันไปเรียงตัว
บริเวณผิวรอบนอก แกสทรูเลชันเป็นระยะท่ีเซลล์เคล่ือนท่ีและจัดเรียงตัวเป็นเนื้อเย่ือช้ัน 3 ชั้น และออร์แก-
โนเจเนซสิ เป็นระยะทเี่ นื้อเย่ือท้งั 3 ชน้ั พัฒนาเป็นอวัยวะต่าง ๆ

การเจริญเติบโตของกบ หลังการปฏิสนธิ ไซโกตจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนกลายเป็นมอรูลา ในระยะ
บลาสทูเลชนั เซลลด์ ้านในเคลื่อนท่ีแยกจากกันทาให้เกิดช่องวา่ ง (ค่อนไปทางด้ายบน) ในระยะแกสทูเลชัน
เซลล์ท่ีอยู่ด้านบนแบ่งตัวเร็วกว่าด้านล่างจึงเคลื่อนที่ลงมาคลุมและดันเซลล์ด้านล่างไปข้างใน และเกิด
เน้ือเยือ่ 3 ช้ัน เมือ่ ตวั อ่อนฟกั เปน็ ตัวจะเกิดการเปลย่ี นแปลงแบบเมทามอร์โฟซิส

3

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การสืบพนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

การเจริญเติบโตของไก่มีการเจริญคล้ายกบ แต่เอ็มบริโอของไก่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงน้าคร่าช่วยป้องกัน
การกระทบกระเทือน และถุงคอเรียนชว่ ยแลกเปล่ยี นแก๊ส อีกทั้งยังสร้างถุงแอลแลนทอยส์เพื่อแลกเปล่ียน
แก๊สและเกบ็ ของเสีย เม่ือตัวออ่ นฟักเปน็ ตวั ไม่มกี ารเปล่ียนแปลงแบบเมทามอรโ์ ฟซิส

การเจริญเติบโตของมนุษย์ หลังการปฏิสนธิท่ีท่อนาไข่ ไซโกตจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนและพัฒนาเป็น
เอ็มบริโอ เม่ือเข้าสู่วันท่ี 7 เอ็มบริโอระยะบลาสทูลาจะฝังตัวท่ีผนังมดลูก เม่ืออายุ 2 สัปดาห์ เอ็มบริโอเข้า
สู่ระยะแกสทรูลา เกิดเนื้อเย่ือ 3 ช้ัน เม่ืออายุ 3 สัปดาห์ เอ็มบริโอปรากฏร่องรอยของอวัยวะ เม่ืออายุ 8
สัปดาห์ เอ็มบริโอมีอวัยวะเจริญครบ ซึ่งเป็นระยะส้ินสุดของเอ็มบริโอและหลังจากระยะนี้ เรียกว่า ฟีตัส
เมื่ออายุ 3 เดือน สามารถแยกเพศของฟีตัสได้ เห็นน้ิวมือนิ้วเท้าชัดเจน เม่ืออายุ 6 เดือน ฟีตัสมีผิวหนัง
เห่ียวย่นและบางใส ศีรษะโต มีขนค้ิว ขนตา สามารถลืมตาและหลับตาได้ ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อน
คลอด ฟีตัสมีขนาดโตข้ึนมากและระบบประสาทเจริญมาก และเม่ืออายุ 9 เดือน ฟีตัสคลอดออกมาเป็น
ทารก

4. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มีวนิ ัย

2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรยี นรู้

1) ทกั ษะการสังเกต 3. มุ่งมน่ั ในการทางาน

2) ทกั ษะการเปรยี บเทยี บ

3) ทักษะการสารวจค้นหา

4) ทกั ษะการจาแนกประเภท

5) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมูล

3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ

5. ชิน้ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)

- รายงาน เรอ่ื ง การสืบพนั ธข์ องสตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั
- รายงาน เรื่อง การแก้ปัญหาภาวะการมบี ตุ รยาก
- ผังมโนทัศน์ เร่ือง การสืบพันธข์ุ องสัตว์
- ผงั มโนทัศน์ เรื่อง การสบื พันธุ์ของมนษุ ย์
- ผงั มโนทศั น์ เรอื่ ง การเจริญเตบิ โตของสตั ว์และมนษุ ย์
- ป้ายนิเทศ เรื่อง การสืบพันธ์ของสตั ว์มกี ระดกู สันหลัง
- ป้ายนิเทศ เร่อื ง การแกป้ ญั หาภาวะการมบี ตุ รยาก

4

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 การสบื พันธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์

6. การวัดและการประเมนิ ผล

รายการวดั วธิ ีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑ์การประเมนิ

6.1 การประเมินชิ้นงาน/ - รายงาน เรื่อง รายงาน - แบบประเมินรายงาน - ระดบั คุณภาพดี

ภาระงานรวบยอด การสืบพนั ธข์ องสัตว์มี ผ่านเกณฑ์

กระดูกสันหลัง

- รายงาน เรอ่ื ง การ - แบบประเมนิ รายงาน - ระดบั คุณภาพดี

แกป้ ัญหาภาวะการมี ผา่ นเกณฑ์

บุตรยาก

- ผังมโนทศั น์ เร่อื ง การ - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพดี

สืบพันธุ์ของมนุษย์ ผังมโนทศั น์ ผา่ นเกณฑ์

- ผังมโนทัศน์ เร่ือง การ - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพดี

สืบพนั ธ์ขุ องมนุษย์ ผงั มโนทัศน์ ผ่านเกณฑ์

- ผังมโนทศั น์ เรอื่ ง การ - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพดี

เจริญเตบิ โตของสตั ว์และ ผงั มโนทศั น์ ผ่านเกณฑ์

มนษุ ย์

- ป้ายนิเทศ เร่อื ง - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพดี

การ สืบพนั ธุ์ของสัตวม์ ี ป้ายนเิ ทศ ผ่านเกณฑ์

กระดูกสนั หลัง

- ป้ายนิเทศ เร่ือง - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี

การแกป้ ัญหาภาวะ ป้ายนิเทศ ผา่ นเกณฑ์

การมบี ุตรยาก

6.2 การประเมนิ ก่อนเรียน

- แบบทดสอบก่อน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ - ประเมนิ ตาม

เรยี น หนว่ ยการ กอ่ นเรยี น กอ่ นเรยี น สภาพจริง

เรียนรูท้ ี่ 1

6.3 การประเมินระหว่าง

การจดั กจิ กรรม

1) การสืบพันธุข์ อง - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหดั - รอ้ ยละ 60

สตั ว์ ผา่ นเกณฑ์

2) การสืบพนั ธุ์ - ตรวจใบงานที่ 1.1 - ใบงานท่ี 1.1 - รอ้ ยละ 60

ของมนษุ ย์ ผ่านเกณฑ์

- ตรวจ Topic Questions - Topic Questions - ร้อยละ 60

ผ่านเกณฑ์

5

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสตั ว์

รายการวัด วิธวี ดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน

3) การเจริญเตบิ โต - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60
ของสตั ว์และ
มนุษย์ ผ่านเกณฑ์

4) การปฏิบัตกิ าร - ตรวจใบงานท่ี 1.2 - ใบงานที่ 1.2 - ร้อยละ 60

5) การนาเสนอ ผา่ นเกณฑ์
ผลงาน
- ตรวจ Topic Questions - Topic Questions - ร้อยละ 60
6) พฤติกรรม
การทางาน ผ่านเกณฑ์
รายบคุ คล
- ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หดั - ร้อยละ 60
7) พฤติกรรม
การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์

8) คณุ ลกั ษณะ - ประเมนิ การปฏบิ ัตกิ าร - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพดี
อนั พึงประสงค์
การปฏิบัตกิ าร ผา่ นเกณฑ์
6.4 ประเมินหลังเรยี น
- Unit Questions - ประเมินการนาเสนอ - ผลงานท่ีนาเสนอ - ระดบั คุณภาพดี
หนว่ ยการเรยี นรู้
ที่ 1 ผลงาน ผ่านเกณฑ์
- Test for U
หน่วยการเรียนรู้ - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี
ที่ 1
- แบบทดสอบ การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
หลังเรยี น หนว่ ย
การเรียนร้ทู ่ี 1 - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพดี
การทางานกลุ่ม
การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
- สังเกตความมวี ินยั
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมัน่ - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพดี
ในการทางาน
คณุ ลักษณะ ผา่ นเกณฑ์

อันพึงประสงค์

- ตรวจ Unit Questions - Unit Questions - รอ้ ยละ 60
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ผา่ นเกณฑ์

- ตรวจ Test for U - Test for U - ร้อยละ 60

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 ผา่ นเกณฑ์

- ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลังเรียน - รอ้ ยละ 60
หลงั เรยี น ผา่ นเกณฑ์

6

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสืบพนั ธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์

7. กิจกรรมการเรียนรู้

 แผนฯ ท่ี 1 : การสบื พนั ธ์ขุ องสตั ว์

วธิ ีการสอนแบบเน้นมโนทศั น์ (Concept-Based Instruction) เวลา 2 ช่ัวโมง

 แผนฯ ที่ 2 : การสืบพันธุข์ องมนุษย์ เวลา 5 ชว่ั โมง
วธิ กี ารสอนแบบเน้นมโนทศั น์ (Concept-Based Instruction)

 แผนฯ ท่ี 3 : การเจรญิ เติบโตของสัตว์และมนษุ ย์

วธิ กี ารสอนแบบการบรรยาย (Lecture Method) เวลา 5 ช่วั โมง

(รวมเวลา 12 ช่ัวโมง)

8. สือ่ /แหล่งการเรยี นรู้

8.1 ส่ือการเรียนรู้

1) หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้

ที่ 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์

2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้

ท่ี 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์

3) แบบทดสอบกอ่ นเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การสบื พนั ธ์ุและการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

4) แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การสบื พนั ธุ์และการเจรญิ เติบโตของสตั ว์

5) ใบงานท่ี 1.1 เรื่อง การสรา้ งสเปริ ์มและเซลล์ไข่

6) ใบงานที่ 1.2 เรอ่ื ง การเปล่ยี นแปลงในระยะเอ็มบริโอของสตั ว์

7) PowerPoint เรือ่ ง การสืบพันธุ์และการเจริญเตบิ โตของสัตว์

8) QR Code เร่ือง กระบวนการสร้างสเปิร์ม สเปิร์ม มดลูกและรังไข่ การต้ังครรภ์ และการ

เจริญเติบโตของสตั ว์ปีก

9) แบบจาลองโครงสร้างของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายและเพศหญิง แบบจาลองการ

เปล่ยี นแปลงในระยะเอม็ บรโิ อของสัตว์ และแบบจาลองการเจริญเติบโตของกบ ไก่ และมนษุ ย์

9) วดี ิทัศน์ เร่อื ง การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์ กระบวนการสร้างสเปิร์ม กระบวนการสรา้ ง

เซลล์ไข่ การปฏสนธิ การเปลี่ยนแปลงในระยะเอ็มบริโอของสัตว์ การเจริญเติบโตของกบ ไก่

และมนษุ ย์
10) บัตรภาพไซโกต เซลล์ไข่ และการเจริญเตบิ โตของไกใ่ นไข่

8.2 แหลง่ การเรียนรู้

1) หอ้ งเรยี น

2) ห้องสมุด

3) หอ้ งปฏิบตั กิ าร

4) สือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์

7

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์

แบบทดสอบก่อนเรียน
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1

คาชีแ้ จง : ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1. สตั ว์ในขอ้ ใดมีการสบื พันธโ์ุ ดยการแตกหน่อ 5. เซลลใ์ นข้อใดมีโครโมโซมแบบแฮพลอยด์

1. ฟองนา้ ไสเ้ ดือนดิน 1. โอโอทดิ 2. โอโอโกเนยี ม

2. ฟองนา้ สาหรา่ ยไฟ 3. โอโอไซต์ระยะแรก 4. สเปอร์มาโทโกเนียม

3. ไฮดรา หนอนตวั แบน 5. สเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรก

4. พลานาเรีย ไสเ้ ดือนดิน 6. คอรป์ ัสลูเทยี มเปล่ยี นแปลงมาจากโครงสร้างใด

5. ไสเ้ ดอื นดิน สาหรา่ ยทะเล 1. เซลลไ์ ข่ 2. ฟอลลิเคลิ

2. สัตว์ในข้อใดสืบพันธ์ุได้ทั้งแบบอาศัยเพศและ 3. โพลารบ์ อดี 4. หลอดเลือดฝอย

ไม่อาศัยเพศ 5. เย่ือบผุ นังมดลูก

1. ผึง้ 2. ต๊กั แตน 7. การปฏิสนธเิ กิดขึน้ ท่ีใด

3. ดาวทะเล 4. ไสเ้ ดือนดนิ 1. รังไข่ 2. มดลูก

5. หนอนตวั แบน 3. ฟิมเบรีย 4. ทอ่ นาไข่

3. ต่อมคาวเปอรท์ าหนา้ ท่ีใด 5. ชอ่ งคลอด

1. ผลิตฮอร์โมนเพศชาย 8. กระบวนการใดเป็นการเปล่ียนแปลงของ

2. สร้างอาหารเล้ยี งสเปริ ์ม เอม็ บริโอในระยะบลาสทเู ลชนั

3. เก็บสเปิร์มทส่ี รา้ งจากอณั ฑะ 1. กลุม่ เซลล์ช้ันนอกบ่มุ ตัวเข้าไปด้านใน

4. สร้างสารหล่อลื่นท่มี ีสมบัตเิ ป็นเบส 2. เกดิ เนือ้ เยือ่ 3 ชนั้ และมชี อ่ งว่างเกิดขนึ้

5. ควบคมุ อุณหภูมใิ ห้เหมาะสมต่อการเจริญ 3. เซลล์เคล่ือนที่แยกจากกันไปเรียงตัวบริเวณ

ของสเปริ ์ม ผวิ ชั้นนอก

4. ข้อใดกล่าวถงึ กระบวนการสร้างเซลล์ไข่ไดถ้ กู ต้อง 4. เกิดการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเพ่ือเพิ่ม

1. โอโอโกเนียม 1 เซลล์ จะพัฒนาเป็นเซลล์ไข่ จานวนของเซลล์

4 เซลล์ 5. กลุ่มเซลล์ที่แบ่งตัวอย่างรวดเร็วเคล่ือนท่ีลง

2. เซลล์ไข่ท่ตี กเข้าส่ทู ่อนาไข่อยใู่ นระยะโอโอไซต์ มาคลุมกลุม่ เซลลท์ แ่ี บ่งตวั ช้ากวา่

ระยะที่ 2 9. เอ็มบรโิ อของสตั วป์ ีกกาจัดของเสยี ออกทางใด

3. โอโอไซต์ระยะแรกจะแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 1. ไขแ่ ดง 2. คอเรียน

เม่อื ถกู กระตนุ้ ดว้ ย FSH 3. ถงุ นา้ คร่า 4. เปลอื กไข่

4. โอโอโกเนียมจะเริ่มแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส 5. ถงุ แอลแลนทอยส์

เม่อื เพศหญงิ เจริญเขา้ สู่วยั เจรญิ พันธ์ุ

5. ภายในรงั ไข่ของทารกเพศหญิงจะพบโอโอไซต์

ระยะแรกท่ีแบ่งเซลล์ถงึ ระยะเมทาเฟส I

8

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1
คาชี้แจง : ใหน้ ักเรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว

10. ขอ้ ใดกลา่ วถึงการต้งั ครรภ์ไดถ้ ูกต้อง
1. ฟีตัสจะสามารถแยกเพศได้ก็ต่อเม่ือมีอายุ 3
เดอื น
2. เอ็มบริโอที่เข้าฝังตัวท่ีผนังมดลูกอยู่ในระยะ
แกสทรูเลชนั
3. เอ็มบริโอจะเร่ิมปรากฏร่องรอยของอวัยวะ
เม่อื มอี ายุ 8 สปั ดาห์
4. รกจะเจริญร่วมกับเนื้อเยื่อชั้นเพอริมิเทรียม
ของมดลูกเพือ่ ยึดเกาะแม่กบั ลกู
5. หลังจากอายุ 12 เดือน เอ็มบริโอจะถูก
เรียกวา่ ฟีตสั ซ่งึ จะมอี วยั วะตา่ ง ๆ เจรญิ ครบ

เฉลย

1. 3 2. 4 3. 4 4. 2 5. 1 6. 2 7. 4 8. 3 9. 5 10. 4

9

หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์

แบบทดสอบหลังเรียน

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1

คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว

1. สตั วใ์ นข้อใดมกี ารสบื พันธ์ุโดยการงอกใหม่ 5. เซลลไ์ ข่ท่ตี กเข้าสทู่ ่อนาไข่อยูใ่ นระยะใด

1. ฟองน้า ดาวทะเล 1. โอวัม 2. โอโอทดิ

2. ดาวทะเล พลานาเรีย 3. โอโอโกเนยี ม 4. โอโอไซต์ระยะแรก

3. ฟองนา้ สาหรา่ ยทะเล 5. โอโอไซต์ระยะที่ 2

4. ไส้เดอื นดิน สาหรา่ ยไฟ 6. ระบบใดของร่างกายพัฒนามาจากเน้ือเย่ือช้ัน

4. ปลิงนา้ จดื หนอนตวั แบน เอ็กโทเดิร์ม

2. เพราะเหตใุ ดไส้เดือนดินท่ีมี 2 เพศ ในตัวเดียวกัน 1. ระบบหายใจ 2. ระบบสืบพนั ธ์ุ

จึงไม่ผสมพันธุก์ นั ภายในตัวเองได้ 3. ระบบประสาท 4. ระบบยอ่ ยอาหาร

1. อวัยวะสบื พันธ์อุ ยูห่ ่างกัน 5. ระบบหมุนเวียนเลอื ด

2. เซลล์สืบพนั ธเ์ุ จรญิ ไม่พร้อมกนั 7. หากแบ่งตามปริมาณของไข่แดง เซลล์ไข่ของกบ

3. ภาวะแวดลอ้ มภายในตวั ไมเ่ หมาะสม เปน็ เซลล์ไข่ชนิดใด

4. เปน็ สตั วท์ ่มี กี ารปฏสิ นธภิ ายนอกรา่ งกาย 1. อะเลซทิ ัล 2. พอลเิ ลซิทลั

5. เซลลส์ ืบพันธไ์ุ มส่ ามารถเคลื่อนทไ่ี ปหากัน 3. มีโซเลซิทลั 4. เทโลเลซิทลั

3. ขอ้ ใดกล่าวถึงกระบวนการสรา้ งสเปริ ม์ ได้ถกู ต้อง 5. ไมโครเลซิทลั

1. สเปริ ม์ ถูกสรา้ งจากองคชาติ 8. คอเรยี นทาหนา้ ท่ีใด

2. สเปริ ม์ จะหยดุ สรา้ งเมอื่ เจรญิ เข้าสวู่ ยั ชรา 1. เก็บของเสยี

3. เซลล์ที่ได้จากการแบ่งไมโทซิส I เป็นเซลล์ 2. แลกเปลยี่ นแก๊ส

แฮพลอยด์ 3. สะสมสารอาหาร

4. สเปอร์มาโทโกเนียม 1 เซลล์ จะพัฒนาเป็น 4. ป้องกนั การสูญเสยี น้า

สเปริ ม์ 4 เซลล์ 5. ปอ้ งกันการกระทบกระเทอื น

5. สเปิร์มที่เจริญเติบโตเต็มท่ีจะถูกส่งไปเก็บที่ 9. เอม็ บรโิ อที่เข้าฝงั ตวั ในผนงั มดลกู อย่ใู นระยะใด

หลอดเก็บสเปริ ์ม 1. ฟีตสั 2. มอรลู า

4. ฮอร์โมนชนิดใดทาใหเ้ ซลลไ์ ขต่ กเข้าสูท่ ่อนาไข่ 3. บลาสทูเลชัน 4. แกสทรเู ลชนั

1. อีสโทรเจน 2. โพรเจสเทอโรน 5. ออรแ์ กโนเจเนซสิ

3. เทสโทสเทอโรน 4. ลูทิไนซงิ ฮอร์โมน

5. ฟอลลิเคลิ สตมิ ิวเรติงฮอร์โมน

10

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การสบื พันธแ์ุ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

แบบทดสอบหลังเรียน

หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 1
คาช้ีแจง : ใหน้ กั เรยี นเลือกคาตอบที่ถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว

10. ขอ้ ใดกล่าวถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ไมถ่ ูกต้อง
1. เมอ่ื อายุ 8 สัปดาห์ ทุกอวยั วะจะเจรญิ ครบ
2. เม่ืออายุ 2 สัปดาห์ เน้ือเยื่อช้ันต่าง ๆ จะเริ่ม
เจรญิ
3. เม่ืออายุ 4 เดือน จะสามารถแยกเพศของ
ทารกได้
4. เมื่ออายุ 6 เดือน ทารกสามารถลืมตาและ
หลบั ตาได้
5. เม่ืออายุ 4 สัปดาห์ เริ่มปรากฏการเจริญของ
แขนและขา

เฉลย

1. 2 2. 2 3. 4 4. 4 5. 5 6. 3 7. 3 8. 2 9. 3 10. 3

11

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

แบบประเมินช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ 1-

แบบประเมินผังม3โนทัศน/์ ปา้ ยนเิ ทศ

คาช้ีแจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องท่ีตรง

กับระดับคะแนน

ลาดับท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
4321

1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์

2 ความถูกตอ้ งของเน้อื หา

3 ความคดิ สร้างสรรค์

4 ความตรงต่อเวลา

รวม

ลงช่ือ ................................................... ผูป้ ระเมนิ
............../................../................

เกณฑก์ ารประเมินผังมโนทัศน์/ปา้ ยนิเทศ

ประเดน็ ท่ีประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1
32

1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานไมส่ อดคลอ้ งกบั

สอดคลอ้ งกับ จุดประสงคท์ ุกประเดน็ จดุ ประสงคเ์ ปน็ จดุ ประสงค์บางประเด็น จดุ ประสงค์

จดุ ประสงค์ สว่ นใหญ่

2. ความถูกต้อง เนือ้ หาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนือ้ หาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน

ของเนือ้ หา ถูกตอ้ งครบถว้ น ถูกต้องเป็นสว่ นใหญ่ ถกู ตอ้ งบางประเดน็ ไม่ถกู ต้องเป็นสว่ นใหญ่

3. ความคดิ ผลงานแสดงถงึ ความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคดิ ผลงานมคี วามน่าสนใจ ผลงานไม่มคี วาม
สร้างสรรค์ สรา้ งสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แตย่ งั ไมม่ ีแนวคดิ แปลก น่าสนใจ และไม่แสดง
และเปน็ ระบบ แต่ยังไมเ่ ป็นระบบ ใหม่ ถงึ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงตอ่
เวลา ส่งชน้ิ งานภายในเวลาที่ สง่ ชิน้ งานชา้ กวา่ เวลาที่ ส่งชิน้ งานช้ากว่าเวลาท่ี ส่งช้นิ งานช้ากวา่ เวลาท่ี
กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วนั กาหนด 3 วนั ข้นึ ไป

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ

14-16 ดีมาก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ตา่ กวา่ 8 ปรบั ปรุง

12

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์

แบบประเมินช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ท่ี 1-2

แบบประเมินรายงาน

คาชีแ้ จง : ให้ผู้สอนประเมินช้ินงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด  ลงในช่องท่ีตรง
กบั ระดับคะแนน

ลาดบั ที่ รายการประเมนิ ระดับคะแนน
4321
1 ความถูกตอ้ งของเนอ้ื หา
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม รวม
3 ความตรงต่อเวลา

ลงช่ือ ................................................... ผูป้ ระเมนิ
............/................../..................

เกณฑก์ ารประเมนิ รายงาน

ประเด็นที่ประเมิน 4 ระดบั คะแนน 1
32

1. ความถกู ต้อง เน้อื หาสาระของ เนื้อหาสาระของ เนือ้ หาสาระของ เน้อื หาสาระของ

ของเน้ือหา รายงานถกู ต้องครบถ้วน รายงานถกู ต้องเป็น รายงานถกู ต้องบาง รายงานไมถ่ กู ต้องเป็น

สว่ นใหญ่ ประเดน็ ส่วนใหญ่

2. ความสมบรู ณ์ มีองค์ประกอบครบถว้ น มีองคป์ ระกอบครบถว้ น มอี งคป์ ระกอบครบถ้วน องค์ประกอบ

ของรปู เลม่ สมบรู ณ์ มีความเปน็ สมบูรณ์ มคี วามเป็น สมบรู ณ์ แต่ยังไม่เปน็ ไม่ครบถ้วน ไมเ่ ปน็

ระเบยี บ และรปู เลม่ ระเบยี บ แต่รปู เล่ม ระเบียบ และรูปเลม่ ระเบียบ และรปู เล่ม

สวยงาม ไมส่ วยงาม ไมส่ วยงาม ไม่สวยงาม

3. ความตรงตอ่ ส่งชนิ้ งานภายในเวลาท่ี สง่ ชิ้นงานช้ากวา่ เวลาที่ ส่งชิน้ งานช้ากว่าเวลาท่ี ส่งชนิ้ งานช้ากว่าเวลาท่ี

เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วนั กาหนด 3 วันขึน้ ไป

เกณฑก์ ารตดั สินคุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

11-12 ดมี าก

9-10 ดี

6-8 พอใช้

ต่ากว่า 6 ปรบั ปรงุ

13

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์

แบบประเมินการปฏิบัติการ

คาช้แี จง : ให้ผสู้ อนประเมินการปฏิบตั ิการของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แลว้ ขดี  ลงในช่องท่ตี รงกับ
ระดบั คะแนน

ลาดบั ท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน
4321
1 การปฏิบตั กิ ารทดลอง
2 ความคลอ่ งแคลว่ ในขณะปฏิบัตกิ าร รวม
3 การนาเสนอ

ลงช่ือ ................................................... ผ้ปู ระเมนิ
................./................../..................

14

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์

เกณฑ์การประเมนิ การปฏิบัตกิ าร

ประเดน็ ที่ประเมิน 4 ระดับคะแนน 1
32
ตอ้ งให้ความชว่ ยเหลอื
1. การปฏิบัตกิ าร ทาการทดลองตาม ทาการทดลองตาม ตอ้ งให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการทาการ
ทดลอง ขั้นตอน และใช้อปุ กรณ์ ข้นั ตอน และใช้อปุ กรณ์ บ้างในการทาการ ทดลอง และการใช้
ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ทดลอง และการใช้ อปุ กรณ์
ตอ้ งไดร้ บั คาแนะนาบ้าง อุปกรณ์

2. ความ มีความคลอ่ งแคล่ว มีความคล่องแคล่ว ขาดความคลอ่ งแคล่ว ทาการทดลองเสรจ็
ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ไมท่ ันเวลา และทา
คล่องแคลว่ ในขณะทาการทดลอง แตต่ ้องไดร้ ับคาแนะนา จึงทาการทดลองเสร็จ อุปกรณเ์ สียหาย
บา้ ง และทาการทดลอง ไมท่ ันเวลา
ในขณะ โดยไมต่ อ้ งได้รับ เสรจ็ ทนั เวลา ตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลอื
บันทกึ และสรปุ ผล ตอ้ งให้คาแนะนาในการ อย่างมากในการบันทกึ
ปฏบิ ัติการ คาชแ้ี นะ และทาการ การทดลองไดถ้ กู ต้อง บนั ทกึ สรุป และ สรุป และนาเสนอผล
แต่การนาเสนอผล นาเสนอผลการทดลอง การทดลอง
ทดลองเสร็จทนั เวลา การทดลองยังไม่เปน็
ขน้ั ตอน
3. การบนั ทกึ สรุป บนั ทกึ และสรุปผล

และนาเสนอผล การทดลองไดถ้ ูกต้อง

การทดลอง รัดกมุ นาเสนอผลการ

ทดลองเป็นขั้นตอน

ชดั เจน

เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

11-12 ดมี าก

9-10 ดี

6-8 พอใช้

ต่ากว่า 6 ปรับปรงุ

15

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์

แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน

คาชีแ้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี
ตรงกบั ระดบั คะแนน

ลาดับท่ี รายการประเมิน ระดับคะแนน 1
32
1 เนือ้ หาละเอยี ดชัดเจน 
2 ความถูกตอ้ งของเนือ้ หา  
3 ภาษาท่ีใชเ้ ข้าใจงา่ ย  
4 ประโยชน์ทีไ่ ดจ้ ากการนาเสนอ  
5 วิธกี ารนาเสนอผลงาน  


รวม

ลงช่อื ...................................................ผปู้ ระเมิน
............/................./................

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ เปน็ ส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ บางส่วน

เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ

ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ

14-15 ดีมาก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ต่ากวา่ 8 ปรบั ปรุง

16

หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสตั ว์

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล

คาชแี้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในช่องท่ี

ตรงกับระดับคะแนน

ลาดบั ที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน 1
32

1 การแสดงความคิดเห็น  

2 การยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผู้อ่นื  

3 การทางานตามหน้าที่ที่ไดร้ ับมอบหมาย  

4 ความมนี า้ ใจ  

5 การตรงต่อเวลา  

รวม

ลงชอื่ ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมอย่างสมา่ เสมอ ให้ 2 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครัง้ ให้ 1 คะแนน
ปฏบิ ตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง

เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ

14-15 ดมี าก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ต่ากว่า 8 ปรับปรุง

17

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่

คาช้แี จง : ใหผ้ ้สู อนสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ งท่ี

ตรงกับระดับคะแนน

การมี

ลาดบั ท่ี ชื่อ–สกลุ การแสดง การยอมรบั การทางาน ความมี ส่วนร่วมใน รวม
ของนกั เรยี น ความ ฟงั คนอนื่ ตามที่ได้รบั นา้ ใจ การ 15
คิดเห็น มอบหมาย คะแนน
ปรบั ปรุง
ผลงานกลุ่ม

321321321321321

เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชอ่ื ...................................................ผูป้ ระเมนิ
ปฏิบตั ิหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ ............../.................../...............
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครงั้
ปฏบิ ตั ิหรือแสดงพฤติกรรมบางครัง้ ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน

เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ

14-15 ดมี าก

11-13 ดี

8-10 พอใช้

ตา่ กวา่ 8 ปรบั ปรุง

18

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 การสืบพนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์

แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์

คาชแี้ จง : ใหผ้ ู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องที่

ตรงกับระดับคะแนน

คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน
อันพึงประสงค์ดา้ น 321

1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยืนตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาติได้

กษัตริย์ 1.2 เข้าร่วมกจิ กรรมทสี่ ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเปน็ ประโยชน์

ตอ่ โรงเรยี น

1.3 เข้ารว่ มกิจกรรมทางศาสนาทตี่ นนับถือ ปฏิบัติตามหลกั ศาสนา

1.4 เข้ารว่ มกจิ กรรมที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษตั ริย์ตามทีโ่ รงเรียนจัดขน้ึ

2. ซอื่ สตั ย์ สุจริต 2.1 ใหข้ ้อมลู ที่ถกู ตอ้ ง และเป็นจรงิ

2.2 ปฏิบัตใิ นส่ิงท่ีถกู ต้อง

3. มีวินยั รับผิดชอบ 3.1 ปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บังคับของครอบครวั

มคี วามตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวติ ประจาวัน

4. ใฝ่เรยี นรู้ 4.1 รูจ้ กั ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ และนาไปปฏิบตั ิได้

4.2 รูจ้ ักจัดสรรเวลาให้เหมาะสม

4.3 เชอ่ื ฟงั คาสั่งสอนของบิดา - มารดา โดยไมโ่ ต้แย้ง

4.4 ต้งั ใจเรียน

5. อยอู่ ยา่ งพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินและสิง่ ของของโรงเรียนอยา่ งประหยดั

5.2 ใช้อุปกรณก์ ารเรยี นอย่างประหยดั และรคู้ ุณคา่

5.3 ใชจ้ ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเกบ็ ออมเงนิ

6. มงุ่ มั่นในการทางาน 6.1 มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทางานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย

6.2 มคี วามอดทนและไม่ทอ้ แท้ต่ออุปสรรคเพ่ือใหง้ านสาเร็จ

7. รกั ความเปน็ ไทย 7.1 มจี ติ สานึกในการอนุรกั ษ์วัฒนธรรมและภมู ิปัญญาไทย

7.2 เหน็ คณุ คา่ และปฏบิ ัติตนตามวัฒนธรรมไทย

8. มีจติ สาธารณะ 8.1 รจู้ กั ช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครทู างาน

8.2 ร้จู กั การดแู ลรักษาทรัพย์สมบัตแิ ละสง่ิ แวดล้อมของห้องเรยี นและ

โรงเรยี น

ลงช่ือ...................................................ผูป้ ระเมิน

............../.................../...............

เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑก์ ารตดั สนิ คุณภาพ

พฤติกรรมที่ปฏิบตั ิชัดเจนและสม่าเสมอ ให้ 3 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิชัดเจนและบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน 51-60 ดมี าก

พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิบางครง้ั ให้ 1 คะแนน 41-50 ดี

30-40 พอใช้

ต่ากวา่ 30 ปรบั ปรงุ

19

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 1 การสืบพนั ธข์ุ องสตั ว์

แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 1

การสืบพนั ธข์ุ องสตั ว์

เวลา 2 ช่ัวโมง

1. ผลการเรียนรู้

1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยกตัวอย่างการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศและการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศใน
สัตว์

2. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. อธิบายและเปรียบเทยี บการสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศและแบบอาศัยเพศของสัตว์ (K)
2. จาแนกและยกตัวอยา่ งสัตวท์ ีม่ กี ารสืบพันธ์แุ บบไม่อาศยั เพศและแบบอาศัยเพศ (K)
3. สบื ค้นขอ้ มูลและนาเสนอเกย่ี วกับการสืบพันธ์ุของสัตวม์ ีกระดูกสนั หลัง (P)
4. สนใจใฝร่ ใู้ นการศกึ ษาและมงุ่ มนั่ ในการทางาน (A)

3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ท้องถ่นิ
พจิ ารณาตามหลักสตู รของสถานศึกษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์เป็นการ
สืบพันธ์ุท่ีไม่มีการรวมของเซลล์สืบพันธุ์ เช่น
การแตกหน่อและการงอกใหม่
- การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของสัตว์เป็นการ
สืบพันธุ์ท่ีเกิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลล์
สื บ พั น ธุ์ ซึ่ งมี ท้ั งการป ฏิ ส น ธิ ภ าย น อ กแล ะการ
ปฏิสนธิภายใน สัตว์บางชนิดมี 2 เพศ ในตัว
เดียวกนั แตก่ ารผสมพนั ธ์สุ ว่ นใหญ่จะผสมข้ามตัว

4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด

การสบื พันธขุ์ องสตั ว์ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1. การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ เป็นการสืบพันธ์ุที่ไม่มีการรวมของเซลล์สืบพันธุ์ เช่น การงอกใหม่

การแตกหน่อ การหกั เปน็ ท่อน พาร์ทโี นเจเนซิส
2. การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ เป็นการสืบพันธ์ุท่ีเกิดจากการรวมกันนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์

แบ่งออกเป็นการปฏิสนธิภายนอกและการปฏิสนธภิ ายใน ซึ่งสัตว์ส่วนใหญ่จะแยกเพศกัน แต่สัตว์
บางชนดิ มี 2 เพศ ในตัวเดยี วกนั แต่การผสมพันธุ์สว่ นใหญ่จะผสมขา้ มตัว

20

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 1 การสืบพนั ธขุ์ องสตั ว์

5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียนและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี ินัย

2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รียนรู้

1) ทกั ษะการสังเกต 3. มงุ่ มั่นในการทางาน

2) ทักษะการสารวจคน้ หา

3) ทักษะการจาแนกประเภท

4) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมูล

3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. กจิ กรรมการเรยี นรู้

 แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : แบบเน้นมโนทศั น์ (Concept Based Teaching)

ชั่วโมงที่ 1-2

ขนั้ นา

การใชค้ วามร้เู ดิมเชื่อมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge)
1. แจง้ ผลการเรยี นรู้ของหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 ระบบสบื พันธ์แุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์ ใหน้ ักเรียนทราบ
2. นักเรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 ระบบสบื พนั ธ์แุ ละการเจริญเตบิ โตของสตั ว์
3. นักเรยี นทา Check for Understanding เพ่อื ตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเองก่อนเรยี น
4. ทบทวนความรู้ เรอ่ื ง ธรรมชาตขิ องสง่ิ มชี วี ติ ซึ่งเกณฑ์ท่ีใชจ้ าแนกส่งิ มชี ีวติ มีดังน้ี

- ส่ิงมีชีวิตมกี ารสบื พันธ์ุ
- สงิ่ มีชวี ิตต้องการสารอาหารและพลงั งาน
- ส่ิงมชี ีวิตมกี ารเจรญิ เตบิ โต มีอายขุ ัย และมีขนาดจากัด
- สง่ิ มชี ีวิตมีการตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้
- สง่ิ มชี ีวติ มีการรักษาดลุ ยภาพของรา่ งกาย
- สิง่ มชี วี ิตมีการปรบั ตัวทางววิ ฒั นาการ
5. อธิบายให้นักเรียนฟังถึงเกณฑ์ที่ใช้ในการจาแนกสิ่งมีชีวิตในข้อที่ 1 ว่า ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดล้วนต้องมี
การสืบพันธ์ุเพ่ือเพิ่มจานวนประชากรและดารงรักษาเผ่าพันธุ์ให้คงอยู่ โดยสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีรูปแบบ
การสืบพันธุ์ที่แตกต่างกันไป แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศและ
การสืบพันธุแ์ บบอาศยั เพศ

21

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสัตว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 1 การสืบพนั ธข์ุ องสตั ว์

6. ถามคาถาม Big Question เพ่ือให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ว่า “เพราะเหตุใดส่ิงมีชีวิตต้องมีการสืบพันธุ์
และหากไมม่ ีจะส่งผลอยา่ งไร”
(แนวตอบ: การสืบพันธ์ุเป็นกระบวนการดารงเผ่าพันธุ์ของส่ิงมีชีวิตไม่ให้สูญพันธุ์ หากไม่มีการสืบพันธุ์
ส่ิงมชี ีวติ ทุกชนดิ จะสูญพนั ธ์ุ)

7. ถามคาถาม Key Question กับนักเรียนว่า “การสืบพันธุ์แบ่งเป็นก่ีประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกัน
อยา่ งไร”
(แนวตอบ: การสืบพนั ธ์ุแบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ การสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศเปน็ การสืบพันธุ์ทไ่ี ม่ตอ้ ง
อาศัยเซลล์สืบพันธุ์ ส่ิงมีชีวิตตัวใหม่ที่เกิดข้ึนจะมีลักษณะเหมือนตัวเดิมทุกประการ และ
การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธ์ุที่อาศัยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ คือ สเปิร์ม และเซลล์
สบื พนั ธ์เุ พศเมีย คอื เซลลไ์ ข่ มาปฏิสนธิกัน (นกั เรียนอาจยังไมส่ ามารถตอบคาถามได)้ )

ขนั้ สอน

รู้ (Knowing)
1. อธิบายประเภทของการสืบพันธ์ุของสิ่งมีชีวิตให้นักเรียนฟังว่า การสืบพันธ์ุของส่ิงมีชีวิตแบ่งออกเป็น 2

ประเภท ได้แก่ การสืบพันธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศเป็นการสบื พันธ์ุทีไ่ ม่ต้องอาศยั เซลล์สบื พนั ธ์ุ สงิ่ มีชีวติ ตัวใหม่
ที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเหมือนสิ่งมีชีวิตตัวเดิมทุกประการ พบในสิ่งมีชีวิตท่ียังไม่เป็นเซลล์ สิ่งมีชีวิต
เซลล์เดียว และสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ และการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธ์ุที่อาศัยเซลล์สืบพันธุ์
เพศผู้ คือ สเปิร์ม และเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศเมยี คือ เซลล์ไข่ มาปฏสิ นธิกนั พบในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิด
และสง่ิ มีชีวติ หลายเซลล์
2. นาวีดิทัศน์แสดงการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของสัตว์มาประกอบการสอน เช่น การงอกใหม่ของ
พลานาเรยี การงอกใหมข่ องดาวทะเล การแตกหน่อของไฮดรา ตัวอย่างวดี ทิ ศั น์ เช่น
- https://www.youtube.com/watch?v=hTC1eNTBXvE
- https://www.youtube.com/watch?v=BNNOx4KBgk4

- https://www.youtube.com/watch?v=m12xsf5g3Bo
- https://www.youtube.com/watch?v=P7Fkidv8yIc
แลว้ นกั เรียนแบ่งกล่มุ กลมุ่ ละ 3-4 คน รว่ มกนั อภิปรายเกย่ี วกบั วธิ ีการสบื พันธุ์ของสัตว์จากวีดิทัศน์ทศ่ี ึกษา
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศประเภทอื่น ๆ เช่น การหัก
เป็นทอ่ นทพี่ บในหนอนตัวแบน สาหรา่ ยทะเล และสาหร่ายไฟ และพาร์ทีโนเจเนซสิ ท่ีพบในแมลง จากสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์หรือจากหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1
หนา้ 4-5
4. นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์ ซึ่งแบ่งออกเป็นการสืบพันธ์ุของสัตว์ที่มี 2
เพศในตัวเดียวกัน และการสืบพันธุ์ของสัตว์ท่ีมีเพศผู้และเพศเมียแยกกัน จากส่ืออิเล็กทรอนิกส์หรือจาก
หนงั สอื เรยี นรายวิชาเพ่มิ เตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เลม่ 1 หน้า 5-7

22

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การสบื พนั ธุ์ของสตั ว์

เข้าใจ (Understanding)

5. นักเรียนแตล่ ะกลุม่ จบั สลากเลอื กสัตว์ต่าง ๆ ดงั น้ี

- ไฮดรา - พลานาเรยี - ดาวทะเล - ฟองน้า - สาหรา่ ยทะเล

- ผึง้ - ไสเ้ ดือนดิน - ตกั๊ แตน - กบ - ปลาช่อน

ร่วมกันวิเคราะห์ว่า “สัตว์ท่ีจับสลากได้มีการสืบพันธ์ุประเภทใดและสืบพันธุ์อย่างไร” ส่งตัวแทนกลุ่ม

ออกมานาเสนอทีห่ นา้ ชั้นเรียน (ครูสามารถทาสลากตัวอย่างสตั ว์ที่นอกเหนอื จากตัวอย่างขา้ งต้น)

6. ถามคาถามเพ่อื ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน เชน่

- เพราะเหตุใดสัตว์ทเี่ กิดจากการการสืบพนั ธ์แุ บบไม่อาศัยเพศจึงมีลกั ษณะเหมือนสัตว์ตวั แมท่ ุกประการ

(แนวตอบ : สตั ว์ตัวใหม่เกิดขึ้นเกิดจากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของสัตว์ตัวเดิม ทาให้เซลล์ทุกเซลล์

ของสัตว์ตัวใหม่มสี ารพันธกุ รรมเหมือนสัตว์ตวั แม่ทุกประการ)

- การสบื พนั ธปุ์ ระเภทใดทลี่ กู มีโอกาสมีลักษณะแตกตา่ งจากลักษณะของพ่อและแม่ เพราะเหตใุ ด

(แนวตอบ : การสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ เนื่องจากลูกท่ีเกิดมาจะประกอบด้วยสารพันธุกรรมของพ่อ

และของแมอ่ ยา่ งละครง่ึ ทาให้ลกู มลี กั ษณะแตกตา่ งจากลักษณะของพ่อและแม่)

- หากสัตวท์ กุ ชนดิ มกี ารสบื พนั ธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศเพียงประเภทเดียวจะสง่ ผลอยา่ งไร

(แนวตอบ: สัตว์แต่ละชนิดจะมีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ ซึ่งหากเกิดการเปลี่ยนแปลงของ

สภาพแวดล้อมอาจทาใหส้ ัตว์บางชนดิ สูญพันธ์ุ เน่อื งจากไม่สามารถปรับตัวได้)

- เพราะเหตใุ ดสตั ว์บางชนิดที่มี 2 เพศ ในตัวเดยี วกันจงึ ไมส่ ามารถผสมกนั ภายในตัวเดยี วกันได้

(แนวตอบ: เซลล์ไขแ่ ละสเปริ ม์ เจรญิ ไม่พรอ้ มกันจงึ ต้องผสมขา้ มตัว)

- การจบั คูผ่ สมพนั ธข์ุ องสัตว์ทม่ี ี 2 เพศ ในตัวเดยี วกันส่งผลดอี ย่างไร

(แนวตอบ: ลักษณะของสัตว์มีความหลากหลายมากขึ้น เน่ืองจากได้รับสเปิร์มและเซลล์ไข่จากสัตว์

คนละตัว ทาให้สามารถอยู่รอดและดารงเผ่าพันธุ์ได้หากเกิดการเปล่ียนแปลงของ

สภาพแวดล้อม)

- การปฏิสนธิภายในหรือภายนอกร่างกายมีผลต่อการวางไข่หรือการตกไข่ของสัตว์เพศเมียหรือไม่

อย่างไร

(แนวตอบ: มี เน่ืองจากสัตว์ท่ีมีการปฏิสนธิภายนอกจาเป็นต้องวางไข่จานวนมาก เนื่องจากมีปัจจัย

ทางสภาพแวดล้อมหลายปัจจัยที่อาจทาให้สเปิร์มไม่สามารถเข้าผสมกับเซลล์ไข่ได้ และ

หากเซลล์ไข่ได้รับการผสมจากสเปิร์มแล้วกอ็ าจเป็นอาหารของสัตวอ์ ่ืน ๆ ได้เช่นกัน ทาให้

มีโอกาสรอดน้อยกว่าสัตว์ที่มีการปฏิสนธิภายในจึงจาเป็นต้องวางไข่จานวนมาก แต่

สาหรับสัตว์ท่ีมีการปฏิสนธิภายในจะมีการตกไข่จานวนน้อยกว่า เพราะมีข้อจากัดใน

การตั้งครรภ์ของแม่ แต่จะมโี อกาสมชี ีวิตรอดมากกวา่ )

23

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การสบื พนั ธุข์ องสัตว์

- การสืบพันธุ์แบบไม่อาศยั เพศและแบบอาศัยเพศมีข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกนั อยา่ งไร
(แนวตอบ: การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศมีข้อดี คือ สามารถเพิ่มจานวนได้รวดเร็ว สืบพันธ์ุได้ด้วย
ตนเอง และไม่ทาให้เกิดการกลายพันธ์ุ แต่มีข้อเสีย คือ สิ่งมีชีวิตจะไม่สามารถปรับตัวต่อ
การเปลย่ี นแปลงของสภาพแวดลอ้ มได้
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศมีข้อดี คือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมีความหลากหลายทางพันธุกรรม
จึงสามารถปรับตัวและดารงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่มีข้อเสีย คือ
มีการเพ่มิ จานวนชา้ และสญู เสยี พลังงานมากในการเพ่ิมจานวน)

7. นักเรียนทาแบบฝึกหัด เร่ือง การสืบพันธุ์ของสัตว์ ในแบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 (อาจสั่งใหน้ กั เรยี นทาเป็นการบา้ น)

ลงมอื ทา (Doing)
8. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม จับสลากเพื่อสืบค้นข้อมูล เรื่อง การสืบพันธ์ของสัตว์มีกระดูกสันหลัง

ในหวั ข้อ ดังนี้
- กลมุ่ ที่ 1 การสบื พันธ์ขุ องปลา
- กลุ่มท่ี 2 การสืบพนั ธุ์ของสตั วส์ ะเทินน้าสะเทินบก
- กลมุ่ ท่ี 3 การสืบพนั ธุ์ของสตั วป์ กี
- กลุม่ ท่ี 4 การสบื พนั ธ์ุของสัตว์เลีย้ งลกู ดว้ ยน้านม

อธิบายลักษณะของการสืบพันธุ์ และร่วมกันวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสียของรูปแบบการสืบพันธุ์ของสัตว์มี-
กระดกู สันหลังท่ีกลุม่ ของนักเรยี นศึกษา จัดทารายงานส่งครูผู้สอน

ข้นั สรุป

1. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเก่ียวกับการสืบพันธ์ุของสัตว์เพื่อให้ได้ข้อสรุป ดังน้ี การสืบพันธุ์ของสัตว์แบ่ง
ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
- การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เป็นการสืบพันธ์ุท่ีไม่อาศัยเซลล์สืบพันธุ์ สัตว์ตัวใหม่ที่ได้จะมีลักษณะ
เหมือนตัวแม่ทุกประการ เช่น การงอกใหม่พบในพลานาเรีย ไส้เดือนดิน และดาวทะเล การแตกหน่อ
พบในไฮดรา หนอนตัวแบน และฟองน้า การหักเป็นท่อนพบในหนอนตัวแบน สาหร่ายทะเล และ
สาหร่ายไฟ พาร์ทโี นเจเนซิสพบในแมลง
- การสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศ เป็นการสืบพันธทุ์ ่ีอาศัยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ คือ สเปิรม์ และเซลล์สบื พันธ์ุ
เพศเมีย คือ เซลล์ไข่ มาปฏิสนธิกันเป็นไซโกต ซึ่งจะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนและพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ
และตัวเต็มวัยตอ่ ไป แบ่งออกเป็นการสืบพันธุ์ของสัตว์ท่ีมสี องเพศในตัวเดียวกนั พบในพลานาเรียและ
ไสเ้ ดอื นดนิ และการสบื พันธุข์ องสตั วท์ ีม่ ีเพศผู้และเพศเมยี แยกตัวกนั เช่น ปลา แมลง

2. นักเรียนเขียนสรปุ ในรูปแบบผังมโนทัศน์ เร่ือง การสืบพันธ์ุของสัตว์ โดยอธิบายประเภทของการสืบพันธุ์
พร้อมยกตวั อย่างสตั ว์ทมี่ กี ารสืบพนั ธุป์ ระเภทนนั้ ๆ ลงในกระดาษ A4

24

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 1 การสืบพนั ธ์ขุ องสัตว์

ข้นั ประเมนิ

1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับ เรื่อง การสืบพันธุ์ของสัตว์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม ตรวจ
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ตรวจแบบฝึกหัด ตรวจผังมโนทัศน์ และตรวจรายงาน

2. ประเมินทักษะและกระบวนการ โดยสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ และการนาเสนอผลงาน
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งม่ันใน

การทางาน

7. การวดั และการประเมินผล

รายการวดั วธิ วี ดั เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน

7.1 การประเมนิ ก่อนเรยี น - แบบทดสอบ - ประเมินตาม
กอ่ นเรยี น สภาพจริง
- แบบทดสอบกอ่ น - ตรวจแบบทดสอบ

เรียน หนว่ ยการ ก่อนเรยี น

เรียนรทู้ ่ี 1

7.2 การประเมนิ ระหว่าง

การจดั กจิ กรรม

1) การสืบพันธข์ุ อง - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝกึ หัด - ร้อยละ 60

สตั ว์ ผา่ นเกณฑ์

- ตรวจรายงาน เร่ือง - แบบประเมินรายงาน - ระดบั คุณภาพดี

การสบื พันธ์ของ ผา่ นเกณฑ์

สตั ว์มีกระดูกสนั หลงั

- ตรวจผงั มโนทศั น์ เร่อื ง - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี

การสบื พนั ธขุ์ องสตั ว์ ผงั มโนทศั น์ ผ่านเกณฑ์

2) การนาเสนอ - ประเมินการนาเสนอ - ผลงานทนี่ าเสนอ - ระดับคุณภาพดี

ผลงาน ผลงาน ผา่ นเกณฑ์

3) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี

การทางาน การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์

รายบคุ คล

4) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพดี

การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์

5) คณุ ลกั ษณะ - สังเกตความมีวนิ ัย - แบบประเมนิ - ระดบั คุณภาพดี

อนั พงึ ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และม่งุ มน่ั คณุ ลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์

ในการทางาน อนั พึงประสงค์

25

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 1 การสืบพนั ธุ์ของสัตว์

8. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้

8.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ที่ 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ที่ 1 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์
3) แบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
4) PowerPoint เรื่อง การสืบพนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
5) วีดิทัศน์ เร่ือง การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสัตว์

8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมดุ
3) สือ่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์

26

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การสบื พนั ธุข์ องสัตว์

9. ความเหน็ ของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ท่ไี ด้รับมอบหมาย

ขอ้ เสนอแนะ

ลงชือ่ .................................
( ................................ )

ตาแหน่ง .......

10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน

 ดา้ นความรู้

 ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

 ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

 ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์

 ด้านอ่ืน ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมทีม่ ีปญั หาของนกั เรยี นเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี )

 ปัญหา/อุปสรรค
 แนวทางการแก้ไข

27

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การสบื พนั ธุ์ของมนษุ ย์

แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 2

การสบื พันธ์ขุ องมนษุ ย์

เวลา 5 ชว่ั โมง

1. ผลการเรียนรู้

2. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะในระบบสบื พันธ์เุ พศชายและระบบสืบพันธ์เุ พศหญงิ
3. อธิบายกระบวนการสร้างสเปิรม์ กระบวนการสร้างเซลล์ไข่ และการปฏสิ นธใิ นมนุษย์

2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะสืบพันธุ์ในระบบสืบพันธุ์เพศชายและระบบสืบพันธ์ุเพศหญิง
(K)

2. อธิบายกระบวนการสรา้ งสเปริ ม์ และกระบวนการสรา้ งเซลล์ไข่ (K)
3. ระบุชอื่ ของเซลล์ระยะต่าง ๆ ในรงั ไขแ่ ละอัณฑะจากการศกึ ษาภายใตก้ ล้องจลุ ทรรศน์ (P)
4. ใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ในการศกึ ษาไดอ้ ย่างถกู ต้อง (P)
5. สนใจใฝร่ ู้ในการศึกษาและมุ่งม่นั ในการทางาน (A)

3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรทู้ ้องถิ่น
พจิ ารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

- การสืบพันธุ์ของมนุษย์มีกระบวนการสร้าง
สเปิร์มจากเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมภายใน
อัณฑะ และกระบวนการสร้างเซลล์ไข่จาก
เซลลโ์ อโอโกเนียมภายในรังไข่

- อวัยวะสืบพันธ์ุของเพศชายประกอบด้วยอัณฑะ
ทาหน้าท่ีสร้างสเปิร์มและฮอร์โมนเพศชาย และ
มีโครงสร้างอื่น ๆ ที่ทาหน้าที่ลาเลียงสเปิร์ม
สร้างน้าเลี้ยงสเปิร์ม และสารหล่อลื่นท่อ
ปัสสาวะ

- อัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างสเปิร์ม ซ่ึง
ภายในมีเซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมท่ีเป็นเซลล์
ตั้งตน้ ของกระบวนการสรา้ งสเปริ ม์

- อวัยวะสืบพันธ์ุของเพศหญิงประกอบด้วยรังไข่
ท่อนาไข่ มดลูก และช่องคลอด รังไข่ทาหน้าท่ี
สร้างเซลล์ไขแ่ ละฮอรโ์ มนเพศหญิง

28

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสตั ว์ สาระการเรยี นรทู้ ้องถิ่น
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 2 การสบื พนั ธ์ขุ องมนษุ ย์ พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศึกษา

สาระการเรียนร้แู กนกลาง

- กระบวนการสร้างสเปิร์มเร่ิมต้นจากสเปอร์-
มาโทโกเนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์-
มาโทโกเนียมจานวนมาก ซึ่งต่อมาบางเซลล์
พัฒนาเป็นสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก โดย
สเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกจะแบ่งเซลล์แบบ
ไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ระยะท่ีสองซึ่งจะ
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิด
ตามลาดบั จากนัน้ พฒั นาเปน็ สเปริ ์ม

- กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เริ่มจากโอโอโกเนียม
แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้โอโอโกเนียมซึ่งจะ
พัฒนาเป็นโอโอไซต์ระยะแรก แล้วแบ่งเซลล์
แบบไมโอซิส I ได้โอโอไซต์ระยะท่ีสองซึ่งจะเกิด
การตกไข่ต่อไป เมื่อได้รับการกระตุ้นจากสเปิร์ม
โอโอไซต์ระยะท่ีสองจะแบ่งแบบไมโอซิส II แล้ว
พฒั นาเป็นเซลลไ์ ข่

- การปฏิสนธิเกิดข้ึนภายในท่อนาไข่ได้ไซโกตซึ่งจะ
เจริญเป็นเอ็มบริโอและไปฝังตัวท่ีผนังมดลูก
จนกระท่ังครบกาหนดคลอด

4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด

มนุษย์มีการสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศและมีการปฏิสนธิภายในร่างกาย เพศผูส้ ร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้
เรียกว่า สเปิร์ม เพศเมียสร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมีย เรียกว่า เซลลไข เมื่อสเปิร์มเข้าผสมกับเซลล์ไข่ใน
ร่างกายเพศเมียจะเกิดการปฏิสนธิได้เป็นไซโกต ซึ่งจะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนและพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ และ
เจริญเตบิ โตเปน็ ทารก เดก็ และผใู้ หญต่ อ่ ไป

อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศชายประกอบด้วยอัณฑะทาหน้าท่ีผลิตฮอร์โมนเพศชายและเซลล์
สืบพันธ์ุเพศชาย ถุงอัณฑะทาหน้าท่ีห่อหุ้มอัณฑะและปรับอุณหภูมิของอัณฑะ หลอดเก็บสเปิร์มทาหน้าท่ี
เกบ็ สเปิรม์ ที่สร้างมาจากอัณฑะจนกว่าจะเจรญิ เต็มที่ หลอดนาสเปิร์มทาหนา้ ที่เป็นทางผ่านของสเปิรม์ ออก
สู่ภายนอกร่างกาย ต่อมสรางน้าเลี้ยงสเปิร์มทาหน้าที่สร้างน้าเลี้ยงสเปิร์มท่ีมีสภาพเป็นเบสอ่อนๆ
ต่อมลูกหมากทาหน้าท่ีสร้างสารท่ีมีสภาพเป็นเบสเพ่ือหล่อเลี้ยงสเปิร์มและลดความเป็นกรดในช่องคลอด
ของเพศหญิง ตอมคาวเปอรทาหน้าที่สรา้ งสารเมือกท่ีมีสภาพเป็นเบสเพื่อช่วยหลอ่ ล่ืนและลดความเป็นกรด
ในทอ่ ปัสสาวะ และองคชาตเปน็ อวัยวะสบื พันธภ์ุ ายนอกรา่ งกาย

29

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 การสืบพนั ธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 2 การสบื พนั ธุ์ของมนุษย์

กระบวนการสร้างสเปิร์มเกิดภายในผนังของหลอดสร้างสเปิร์มที่อยู่ในอัณฑะ เริ่มจากสเปอร์-
มาโทโกเนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโทโกเนียมจานวนมาก บางเซลล์พัฒนาเป็นสเปอร์ -
มาโทไซต์ระยะแรก (2n) และแบง่ เซลล์แบบไมโอซิส I ไดส้ เปอรม์ าโทไซต์ระยะที่สอง 2 เซลล์ (n) และแบ่ง
เซลลแ์ บบไมโอซสิ II ไดส้ เปอร์มาทดิ 4 เซลล์ (n) และเปล่ยี นแปลงรูปร่างและพัฒนาเป็นสปอร์มาโทซวั หรือ
สเปิรม์

อวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศหญิงประกอบด้วยรังไข่ทาหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง
ท่อนาไข่ทาหน้าท่ีเป็นทางผ่านของเซลล์ไข่ท่ีออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูกและเป็นบริเวณท่ี สเปิร์มปฏิสนธิกับ
เซลล์ไข่ มดลกู ทาหน้าท่ีเป็นที่ฝังตวั ของเซลล์ไข่ท่ไี ดร้ ับการปฏิสนธแิ ละเป็นท่ีเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
และช่องคลอดทาหน้าที่เป็นทางผ่านของสเปิร์มเข้าสู่มดลูกและเป็นทางออกของทารกเม่ือครบกาหนด
คลอด

กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เกิดภายในรังไข่ เร่ิมจากโอโอโกเนียม (n) ที่อยู่ในรังไข่ต้ังแต่เป็นทารกใน
ครรภ์ แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้เซลล์ใหม่จานวนมาก เซลล์ส่วนหน่ึงพัฒนาเป็นโอโอไซต์ระยะแรก (2n) ที่
ถกู ล้อมรอบด้วยฟอลลิเคิล เมื่อเข้าสูว่ ัยเจริญพันธ์ุ แตล่ ะรอบเดอื นโอโอไซตร์ ะยะแรกบางเซลลถ์ ูกกระตนุ้ ให้
แบ่งเซลล์ไมโอซิส I ได้เป็นโอโอไซต์ระยะที่สอง 1 เซลล์ (n) และโพลาร์บอดี 1 เซลล์ (n) จากน้ันโอโอไซต์
ระยะท่สี องถกู กระตนุ้ ใหต้ กเข้าสู่ทอ่ นาไข่ และฟอลลเิ คิลจะเจรญิ เปน็ คอรป์ ัสลูเทียม

การปฏสิ นธแิ ละการตง้ั ครรภ์ เมื่อสเปิรม์ เข้าสู่ช่องคลอดของเพศหญงิ ในช่วงเวลาทมี่ ีการตกไข่เคล่ือนที่
ไปปฏิสนธิกับเซลล์ไข่บริเวณท่อนาไข่ นิวเคลียสของสเปิร์มจะรวมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่เกิดเป็นไซโกต
และแบ่งเซลล์เพม่ิ จานวนและพัฒนาเปน็ เอ็มบริโอเขา้ ไปฝงั ตัวทผ่ี นงั มดลกู

5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์

1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี นิ ยั

2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรยี นรู้

1) ทักษะการสงั เกต 3. มงุ่ ม่ันในการทางาน

2) ทกั ษะการเปรยี บเทียบ

3) ทกั ษะการลงความเหน็ จากข้อมลู

3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. กิจกรรมการเรยี นรู้

 แนวคิด/รปู แบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนิค : แบบเน้นมโนทัศน์ (Concept Based Teaching)

30

หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การสืบพนั ธุ์ของมนษุ ย์

ชวั่ โมงที่ 1-3

ขัน้ นา

การใช้ความรู้เดิมเช่ือมโยงความรใู้ หม่ (Prior Knowledge)
1. ทบทวนความรู้ เร่ือง การสืบพันธุ์ของมนุษย์ ท่ีนักเรียนได้ศึกษามาในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นว่า “การ

สืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยเพศผู้สร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้จากอัณฑะ เรียกว่า
สเปิร์ม ส่วนเพศเมียสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียจากรังไข่ เรียกว่า เซลลไข เมื่อสเปิร์มเข้าผสมกับเซลล์ไข่
ภายในร่างกายเพศเมียจะเกิดการปฏิสนธิได้เป็นไซโกต ซึ่งจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนและพัฒนาเป็น
เอม็ บรโิ อ และเจริญเตบิ โตเป็นทารก เด็ก และผใู้ หญ่ตอ่ ไป”
2. ถามคาถามทบทวนความรูเ้ ดิมกับนกั เรยี น ดังน้ี
- การสบื พนั ธุ์ของมนุษย์เหมอื นหรือแตกตา่ งจากการสบื พนั ธ์ขุ องสัตวอ์ ยา่ งไร

(แนวตอบ: การสืบพันธุ์ของมนุษย์เป็นการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศเหมือนของสัตว์มีกระดูกสันหลัง
ส่วนใหญ่ เพศผู้สร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศผู้ คือ สเปิร์ม เพศเมียสร้างเซลล์สืบพันธ์ุเพศเมีย คือ
เซลลไข่ และมีการปฏสิ นธภิ ายในรา่ งกายเพศเมียเหมือนสตั วม์ ีกระดูกสนั หลังบางชนิด)

- เซลล์สืบพนั ธุ์ของมนษุ ยส์ ร้างจากอวยั วะใด
(แนวตอบ : สเปริ ์มสร้างจากอณั ฑะ เซลลไ์ ข่สรา้ งจากรงั ไข่)

ข้ันสอน

รู้ (Knowing)
1. นกั เรียนแบง่ กลุ่ม ออกเปน็ 5 กล่มุ โดยนักเรยี นแต่ละกลุ่มแบ่งหนา้ ท่ีกนั ไปศกึ ษาหัวข้อในฐานตา่ ง ๆ ดงั นี้

- ฐานที่ 1 โครงสร้างและหนา้ ท่ขี องอวัยวะในระบบสืบพนั ธ์เุ พศชาย
- ฐานที่ 2 โครงสรา้ งและหน้าท่ีของอวัยวะในระบบสบื พันธุ์เพศหญงิ
- ฐานที่ 3 กระบวนการสรา้ งสเปริ ม์
- ฐานที่ 4 กระบวนการสร้างเซลล์ไข่
- ฐานท่ี 5 การปฏสิ นธแิ ละการต้งั ครรภ์
โดยใช้แบบจาลองโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศชายและเพศหญิง และใช้วีดิทัศน์
แสดงกระบวนการสร้างสเปิร์ม กระบวนการสร้างเซลลไ์ ข่ การปฏสิ นธิและการต้ังครรภ์ ตวั อยา่ งวดี ิทัศน์ เชน่
- https://www.youtube.com/watch?v=-XQcnO4iX_U
- https://www.youtube.com/watch?v=m12xsf5g3Bo2
- https://www.youtube.com/watch?v=RFDatCchpus
- https://www.youtube.com/watch?v=63hFfJOJg9w
- https://www.youtube.com/watch?v=VmlcRqdDqH4
- https://www.youtube.com/watch?v=DGyRD9HnXVs

31

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การสืบพนั ธข์ุ องมนษุ ย์

2. นักเรียนแต่ละคนท่ีถูกแบ่งหน้าที่ไปศึกษาในฐานต่าง ๆ กลับมารวมกลุ่มของตนเอง แล้วร่วมกันอธิบาย
และวเิ คราะห์ข้อมลู ท่ไี ด้ไปศึกษาในฐานตา่ ง ๆ

3. นักเรียนแต่ละกลุ่มทากิจกรรม โครงสร้างภายในรังไข่และอัณฑะของหนู เพ่ือระบุชื่อของเซลล์ในระยะ
ตา่ ง ๆ ของกระบวนการสร้างเซลลไ์ ข่และสเปิร์ม และเปรียบเทียบรูปร่างลักษณะของเซลล์ไข่และสเปิร์ม
จากหนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิม่ เตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 13

4. ถามคาถามทา้ ยกจิ กรรม โครงสรา้ งภายในรงั ไขแ่ ละอณั ฑะของหนู กับนกั เรียน ดงั นี้
- บรเิ วณทพี่ บสเปอร์มาโทโกเนียมและสเปริ ์มต่างกนั หรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ: สเปอร์มาโทโกเนียมจะพบบริเวณผนังด้านในของหลอดสร้างสเปิร์ม แต่สเปิร์มจะพบ
บริเวณกลางของหลอดสรา้ งสเปิรม์ )
- นักเรยี นทราบได้อยา่ งไรวา่ เซลลใ์ ดเปน็ เซลลไ์ ขท่ ส่ี มบรู ณ์พร้อมจะตกไข่
(แนวตอบ : เซลล์ไขท่ ่ีสมบรู ณ์จะมขี นาดใหญ่และอยใู่ นฟอลลเิ คิลทีม่ ขี นาดใหญ่ทสี่ ุด)

5. นกั เรียนและครูร่วมกันอภปิ รายผลกิจกรรมเพื่อใหไ้ ดข้ ้อสรปุ ว่า
- เมื่อส่องสไลด์ถาวรภาคตัดขวางรังไข่ของหนูจะพบเซลล์ฟอลลิเคิลที่มีเซลล์ไข่อยู่ภายใน และพบ
คอรป์ สั ลูเทียมซงึ่ เป็นโครงสร้างทเี่ ปล่ยี นแปลงมาจากฟอลลิเคิลหลังการตกไข่

เซลล์ไข่
คอรป์ สั ลูเทียม

ฟอลลเิ คลิ

∆ โครงสรา้ งภายในรังไข่

- เม่ือส่องสไลด์ถาวรภาคตัดขวางอัณฑะของหนูจะพบสเปอร์มาโทโกเนียมซึ่งอยู่ส่วนนอกสุดของ
หลอดสร้างสเปิร์ม ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นสเปอร์มาโทไซต์ และบริเวณกลางหลอดสร้างสเปิร์มจะ
เปน็ สเปอรม์ าทดิ ซงึ่ จะพัฒนาเป็นเสปริ ม์ ต่อไป

สเปอร์มาโทโกเนยี ม
สเปอร์มาโทไซต์
สเปอรม์ าทิด

∆ โครงสร้างภายในอัณฑะ

6. นกั เรียนทาใบงานท่ี 1.1 เรือ่ ง การสรา้ งสเปริ ์มและเซลลไ์ ข่

32

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสืบพนั ธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 2 การสบื พนั ธ์ุของมนษุ ย์

ชั่วโมงที่ 4-5

เข้าใจ (Understanding)
7. นกั เรียนแต่ละกลุ่มจบั สลากเลือกหัวข้อทีศ่ ึกษาเก่ยี วกบั การสบื พนั ธขุ์ องมนุษย์ ดังนี้

- หมายเลข 1 โครงสร้างและหนา้ ท่ีของอวัยวะในระบบสืบพันธ์ุเพศชาย
- หมายเลข 2 โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของอวัยวะในระบบสืบพนั ธ์เุ พศหญงิ
- หมายเลข 3 กระบวนการสร้างสเปิรม์
- หมายเลข 4 กระบวนการสรา้ งเซลลไ์ ข่
- หมายเลข 5 การปฏิสนธิและการต้งั ครรภ์
นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกนั เขียนแผนภาพจากหวั ขอ้ ทีจ่ บั สลากได้ แลว้ ส่งตวั แทนกล่มุ นาเสนอหน้าช้ันเรยี น
โดยระหวา่ งทนี่ กั เรียนนาเสนอให้นักเรยี นในชน้ั เรยี นร่วมกนั เสนอแนะ และครูคอยเพมิ่ เติมประเดน็ ท่ขี าดหายไป
8. ถามคาถามเพอื่ ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน เช่น
- น้าอสุจมิ อี งค์ประกอบใดบ้าง
(แนวตอบ: สเปริ ม์ และของเหลวท่ีสรา้ งจากต่อมนา้ เลี้ยงสเปริ ม์ ต่อมลกู หมาก และตอ่ มคาวเปอร์)
- จานวนโครโมโซมท่ีพบในสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกและสเปอร์มาโทไซต์ระยะท่ีสองมีจานวนเท่ากัน
หรอื ไม่ อยา่ งไร
(แนวตอบ: แตกตา่ งกัน ในสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกมโี ครโมโซมเปน็ 2n ส่วนสเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะที่

สองเกิดจากการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิส จึงมโี ครโมโซมป็น n )
- หากมสี เปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรก 250 เซลล์ จะสรา้ งสเปิร์มได้ท้ังหมดก่ีเซลล์

(แนวตอบ: 1,000 เซลล์)
- ในกรณที ต่ี อ่ มคาวเปอรท์ างานผิดปกตจิ ะส่งผลต่อสเปิรม์ อย่างไร

(แนวตอบ: สเปิรม์ เคลือ่ นที่ชา้ ลง เน่อื งจากขาดสารหล่อล่นื ท่ีสรา้ งจากต่อมคาวเปอร์)
- ลักษณะรูปรา่ งของสเปิร์มมีความเหมาะสมตอ่ การทาหนา้ ที่อยา่ งไร

(แนวตอบ: สเปิร์มมีรูปร่างแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนหัวมีลักษณะกลมรีช่วยลดแรงเสียดทานขณะ
เคลอื่ นที่ มีนิวเคลยี สและถงุ อะโครโซมซงึ่ ภายในมเี อนไซม์สา้ หรับย่อยเย่ือหมุ้ เซลล์ไข่ สว่ น
ล้าตัวมีไมโทคอนเดรียท้าหน้าท่ีเป็นแหล่งสร้างพลังงานส้าหรับใช้เคล่ือนที่ และส่วนหาง
เปน็ แฟลเจลลมั ช่วยในการเคลือ่ นท่ีของสเปริ ม์ )

- ในแต่ละรอบเดือน โอโอไซตท์ ี่พบในรังไข่ของเพศหญิงมกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งไร
(แนวตอบ: ในรังไข่ของเพศหญิงจะประกอบด้วยโอโอไซต์ระยะแรกจ้านวนมาก เม่ือถูกกระตุ้นด้วย
FSH โอโอไซต์ระยะแรกบางเซลล์จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I ได้โอโอไซต์ระยะท่ีสอง 1
เซลล์ และโพลาร์บอดี 1 เซลล์ โอโอไซต์ระยะท่ีสองจะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้
โอโอทิด 1 เซลล์ และโพลาร์บอดี 1 เซลล์ โอโอทิดจะพัฒนาเป็นโอวัมและตกเข้าสู่
ท่อน้าไขเ่ พือ่ ไปปฏิสนธกิ ับสเปิร์มท่ผี นังมดลกู )

33

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 2 การสืบพนั ธ์ขุ องมนุษย์

- หากเพศหญงิ มีโอโอไซตร์ ะยะแรก 100,00 เซลล์ จะสรา้ งเซลลไ์ ข่ไดท้ งั้ หมดกี่เซลล์
(แนวตอบ: 100,000 เซลล์)

- เพราะเหตใุ ด เซลล์ไข่ทีพ่ บในเพศหญิงในชว่ งวัยเจริญพันธจ์ุ ึงมจี านวนน้อยกว่าโอโอไซตร์ ะยะแรก
(แนวตอบ: โดยปกติเพศหญิงจะเริ่มสร้างเซลล์ไข่ตั้งแต่อายุ 12-50 ปี ซ่ึงจะสร้างเซลล์ไข่ได้เดือนละ
1 เซลล์ ดังน้ันจึงสร้างเซลล์ไข่ได้ประมาณ 450 เซลล์ ซ่ึงโอโอไซต์ระยะแรกท่ีเหลือจะเริ่ม
ฝ่อต้งั แตเ่ ริม่ กระบวนการสรา้ งเซลล์ไข่ ท้าให้ไม่สามารถแบง่ เซลลเ์ ป็นเซลล์ไขไ่ ดท้ งั้ หมด)

- ลักษณะและกระบวนการสร้างเซลล์ไขแ่ ละสเปิรม์ แตกต่างกนั อย่างไร
(แนวตอบ: เซลล์ไข่มีรูปร่างกลม มีขนาดใหญ่เพราะมีไซโทพลาซึมมากกว่าสเปิร์ม ซึ่งเซลล์ไข่จะถูก
สร้างครั้งละ 1 เซลล์ แต่สเปิร์มมีรูปร่างแบ่งเป็นส่วนหัว ส่วนล้าตัว และส่วนหาง มีขนาด
เล็กกว่าเซลล์ไข่ เพราะสลัดไซโทพลาซึมบางส่วนเพ่ือลดขนาดของเซลล์ ซึ่งสามารถสร้าง
ไดค้ รัง้ ละ 300-500 ลา้ นเซลล์)

- เพราะเหตใุ ด สเปริ ์มจึงมโี อกาสเขา้ ปฏสิ นธิกบั เซลล์ไข่ไดเ้ พยี ง 1 เซลลเ์ ทา่ น้นั
(แนวตอบ: เมื่อสเปิร์มเคล่ือนที่ไปถึงเซลล์ไข่จะปล่อยเอนไซม์จากถุงอะโครโซมออกมาย่อยสลายสาร
หุ้มเซลล์ไข่ แล้วจึงเคลื่อนท่ีต่อไปถึงเยื่อหุ้มเซลล์ไข่ ซ่ึงมี 2 ชั้น ได้แก่ เย่ือวิเทลลีนและ
เยื่อหุ้มเซลล์ หลังจากน้ันสเปิร์มจะกระตุ้นเซลล์ไข่ให้ปล่อยสารออกมาแทรกระหว่าง
เยื่อหุ้ม 2 ช้ันนี้ ท้าให้เย่ือวิเทลลีนแยกออกจากเยื่อหุ้มเซลล์เกิดเป็นเย่ือหุ้มหลังการ
ปฏิสนธิ และผิวของเซลล์ไข่จะหนาขึ้นเพ่ือป้องกันไม่ให้สเปิร์มเซลล์อื่นเข้าผสมกับ
เซลลไ์ ข่)

9. นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนท่ีนั่งข้างกัน ศึกษาสถานการณ์ที่กาหนดให้ในกิจกรรม Apply Your Knowledge
จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 32 ร่วมกันวิเคราะห์และตอบ
คาถามในกรอบ Apply Your Knowledge ว่า “นักเรียนคิดว่าสามีภรรยาคู่นี้มีความผิดปกติของระบบ
สืบพันธหุ์ รือไม่ อย่างไร และจะสามารถมีบุตรตามธรรมชาติได้หรือไม่ หากไม่สามารถแก้ไขได้จะมีวิธีการ
แกไ้ ขอย่างไร”
(แนวตอบ: สามีภรรยาคู่น้ีมีความผิดปกติของระบบสืบพันธ์ุ โดยสามีมีความผิดปกติในการสร้างสเปิร์ม
ซ่ึงปกติควรสร้างได้ประมาณ 350-500 ล้านเซลล์ต่อการหล่ังน้าอสจิ 1 ครั้ง ส่วนภรรยามี
ความผิดปกติในการสร้าง LH ซ่ึงมีผลต่กการตกไข่เข้าสู่ท่อน้าไข่ ความผิดปกติเหล่าน้ีท้าให้
สามีภรรยาคู่นี้ไม่สามารถมีบุตรตามธรรมชาติได้ ซ่ึงอาจแก้ไขปัญหาการมีบุตรด้วยวิธีต่าง ๆ
เช่น การทา้ ทารกในหลอดแกว้ ( IVF) อิกซี (ICSI))

10. สุ่มเลือกนักเรียนอย่างน้อย 3 คู่ ออกมาเฉลยคาตอบในกรอบ Apply Your Knowledge ท่ีหน้าชั้นเรียน
โดยระหว่างทนี่ ักเรียนนาเสนอให้นักเรยี นในชั้นเรียนร่วมกันเสนอแนะ และครูคอยเพ่ิมเตมิ ประเด็นทข่ี าด
หายไป

11. นักเรียนทา Topic Questions ท้ายหัวข้อ การสืบพันธ์ุ จากหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ชีววทิ ยา ม.6 เลม่ 1 หน้า 16 โดยบนั ทึกลงในสมุดบนั ทกึ ของนักเรยี น

34

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสบื พันธแ์ุ ละการเจรญิ เติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การสบื พนั ธุข์ องมนุษย์

12. นักเรียนทาแบบฝึกหัด เรื่อง การสืบพันธ์ุของมนุษย์ ในแบบฝึกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชวี วทิ ยา ม.6 เล่ม 1 (อาจสง่ั ใหน้ ักเรียนทาเป็นการบ้าน)

ลงมือทา (Doing)
13. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน สืบค้นข้อมูล เรื่อง ภาวะการมีบุตรยากท่ีเกิดจากความผิดปกติของ

ระบบสบื พันธุ์ และวิธีการแก้ปัญหาภาวะการมีบุตรยาก โดยจัดทาเป็นรูปเลม่ รายงาน และนักเรียนแต่ละ
กลมุ่ เลือกวิธกี ารแกป้ ัญหาภาวะการมีบุตรยาก กลุ่มละ 1 วิธี มาจดั ทาปา้ ยนิเทศเพ่อื นาเสนอหนา้ ชั้นเรียน

ขั้นสรุป

1. นกั เรยี นและครูร่วมกันสรปุ เกย่ี วกับการสืบพันธุ์ของมนษุ ยเ์ พือ่ ให้ได้ข้อสรุป ดังนี้
- ระบบสืบพันธุ์เพศชาย ประกอบด้วยอัณฑะทาหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเพศชายและเซลล์สืบพันธุ์เพศ
ชาย ถงุ หมุ้ อัณฑะทาหน้าท่ีห่อหุ้มอัณฑะและปรบั อณุ หภูมิของอณั ฑะ หลอดเก็บสเปิรม์ ทาหนา้ ที่เก็บ
สเปิร์มท่ีสร้างมาจากอัณฑะจนกว่าสเปิร์มจะเจริญเต็มที่ หลอดนาสเปิร์มทาหน้าที่เป็นทางผ่านของ
สเปิร์มออกสู่ภายนอกร่างกาย ต่อมสรางน้าเล้ียงสเปิร์มทาหน้าที่สร้างน้าเลี้ยงสเปิร์มท่ีมีสภาพเป็น
เบสอ่อน ๆ ต่อมลกู หมากทาหน้าท่ีสร้างสารท่ีมีสภาพเป็นเบสเพ่ือหล่อเล้ียงสเปริ ์มและลดความเป็น
กรดในช่องคลอดของเพศหญงิ ตอมคาวเปอรทาหนา้ ท่ีสร้างสารเมอื กท่มี ีสภาพเปน็ เบสเพื่อช่วยหล่อ
ล่ืนและลดความเป็นกรดในท่อปัสสาวะ และองคชาตเป็นอวัยวะสืบพันธ์ุภายนอกร่างกาย โดย
กระบวนการสร้างสเปิร์มเกิดภายในผนังของหลอดสร้างสเปิร์มท่ีอยู่ในอัณฑะ เริ่มจากสเปอร์มาโท-
โกเนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอร์มาโทโกเนียมจานวนมาก บางเซลล์พัฒนาเป็นสเปอร์-
มาโทไซต์ระยะแรก (2n) และแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ระยะที่สอง 2 เซลล์ (n)
และแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิด 4 เซลล์ (n) และเปลี่ยนแปลงรูปร่างและพัฒนาเป็น
สปอร์มาโทซัวหรอื สเปริ ม์
- ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง ประกอบด้วยรังไข่ทาหน้าที่ผลิตเซลล์ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง ท่อนาไข่ทา
หนา้ ท่ีเปน็ ทางผา่ นของเซลล์ไขท่ ี่ออกจากรงั ไข่เข้าส่มู ดลูกและเป็นบริเวณที่สเปิรม์ ปฏิสนธิกบั เซลล์ไข่
มดลูกทาหน้าท่ีเป็นท่ีฝังตัวของเซลล์ไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิและเป็นท่ีเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
และช่องคลอดทาหน้าที่เป็นทางผา่ นของอสุจิเข้าสู่มดลูกและเป็นทางออกของทารกเม่ือครบกาหนด
คลอด กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เกิดภายในรังไข่ เริ่มจากโอโอโกเนียม (n) ท่ีอยู่ในรังไข่ตั้งแต่เป็น
ทารกในครรภ์ แบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้เซลล์ใหม่จานวนมาก เซลล์ส่วนหน่ึงพัฒนาเป็นโอโอไซต์
ระยะแรก (2n) ที่ถูกล้อมรอบด้วยฟอลลิเคิล เมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ุ แต่ละรอบเดือนโอโอไซต์
ระยะแรกบางเซลล์ถูกกระตุ้นให้แบ่งเซลล์ไมโอซิส I ได้เป็นโอโอไซต์ระยะท่ีสอง 1 เซลล์ (n) และ
โพลารบ์ อดี 1 เซลล์ (n) จากน้ันโอโอไซต์ระยะทส่ี องถกู กระตนุ้ ให้ตกเข้าสู่ทอ่ นาไข่ และฟอลลเิ คลิ จะ
เจริญเป็นคอรป์ สั ลูเทียม

35

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 2 การสืบพนั ธข์ุ องมนุษย์

- การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ เมื่อสเปิร์มเข้าสู่ช่องคลอดของเพศหญิงในช่วงเวลาท่ีมีการตกไข่
เคลอ่ื นท่ีไปปฏิสนธกิ ับเซลล์ไข่บริเวณท่อนาไข่ นิวเคลียสของสเปิรม์ จะรวมกับนิวเคลียสของเซลล์ไข่
เกดิ เป็นไซโกต แบ่งเซลล์เพิม่ จานวนและพฒั นาเป็นเอม็ บริโอเข้าไปฝงั ตวั ท่ผี นังมดลูก

2. นักเรียนเขียนสรุปในรูปแบบผังมโนทัศน์ เร่ือง การสืบพันธุ์ของมนุษย์ โดยอธิบายโครงสร้างอวัยวะใน
ระบบสืบพันธ์ุเพศชายและอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง กระบวนการสร้างสเปิร์มและเซลล์ไข่ และ
การปฏสิ นธแิ ละการตั้งครรภ์ ลงในกระดาษ A4

ขน้ั ประเมิน

1. ประเมินความรู้เก่ียวกับ เรื่อง การสืบพันธุ์ของมนุษย์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม ตรวจ
แบบฝกึ หดั ตรวจใบงาน ตรวจรายงาน และตรวจผงั มโนทัศน์

2. ประเมินทักษะและกระบวนการ โดยสังเกตพฤติกรรมการทาปฏิบัติการในกิจกรรม การใช้กล้อง
จุลทรรศนใ์ นการศกึ ษา และการนาเสนอผลงาน

3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งมั่นใน
การทางาน

7. การวัดและการประเมนิ ผล

รายการวัด วิธีวัด เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน

7.1 การประเมนิ ระหว่าง

การจัดกจิ กรรม

1) การสืบพนั ธุ์ของ - ตรวจใบงานท่ี 1.1 - ใบงานท่ี 1.1 - ร้อยละ 60

มนษุ ย์ ผา่ นเกณฑ์

- ตรวจ Topic Questions - Topic Questions - ร้อยละ 60

ผ่านเกณฑ์

- ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60

ผ่านเกณฑ์

- ตรวจรายงาน เรอื่ ง - แบบประเมนิ รายงาน - ระดับคุณภาพดี

ภาวะการมีบตุ รยาก ผ่านเกณฑ์

- ตรวจผังมโนทศั น์ เร่อื ง - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี

การสืบพันธข์ุ องมนุษย์ ผงั มโนทัศน์ ผ่านเกณฑ์

2) การปฏบิ ัติการ - ประเมินการปฏิบตั กิ าร - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพดี

การปฏบิ ตั ิการ ผ่านเกณฑ์

36

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 2 การสบื พนั ธุ์ของมนษุ ย์

รายการวดั วธิ วี ดั เคร่อื งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
3) การนาเสนอ - ประเมนิ การนาเสนอ
- ผลงานที่นาเสนอ - ระดับคุณภาพดี
ผลงาน ผลงาน
4) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์

การทางาน การทางานรายบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี
รายบุคคล
5) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม การทางานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่
6) คุณลกั ษณะ - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี
อันพงึ ประสงค์ - สังเกตความมวี นิ ัย
ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มั่น การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
ในการทางาน
- แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี

คณุ ลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์

อันพึงประสงค์

8. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้

8.1 สอื่ การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ที่ 1 การสบื พนั ธ์แุ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์
2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 1 การสืบพนั ธแ์ุ ละการเจรญิ เตบิ โตของสัตว์
3) ใบงานท่ี 1.1 เร่อื ง การสร้างสเปริ ม์ และเซลลไ์ ข่
4) PowerPoint เร่ือง การสืบพนั ธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
5) QR Code เร่ือง กระบวนการสรา้ งสเปริ ์ม สเปริ ์ม มดลูกและรังไข่ และการตง้ั ครรภ์
6) แบบจาลองโครงสรา้ งของอวยั วะในระบบสบื พนั ธุเ์ พศชายและเพศหญงิ
7) วดี ิทศั น์ เรื่อง กระบวนการสรา้ งสเปริ ์ม กระบวนการสรา้ งเซลลไ์ ข่ และการปฏสนธิ

8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมุด
3) ห้องปฏบิ ตั กิ าร
4) ส่อื อเิ ล็กทรอนกิ ส์

37

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 2 การสบื พนั ธุ์ของมนษุ ย์

ใบงานที่ 1.1
เรอ่ื ง การสร้างสเปิร์มและเซลล์ไข่

คาช้แี จง : จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. จากภาพสไลด์ถาวรท่ีกาหนดให้ จงระบชุ ่อื ของเซลล์ใหถ้ ูกต้อง

………………………………..
………………………………..

………………………………..

………………………………..
………………………………..

2. เปรียบเทยี บสเปริ ม์ และเซลลไ์ ข่ในตารางให้ถกู ต้อง ………………………………..
เซลล์ไข่
ขอ้ เปรยี บเทียบ สเปริ ม์

ขนาด .............................................................. ..............................................................
............................................................. .............................................................

รปู ร่าง .............................................................. ..............................................................

.............................................................. ..............................................................
กระบวนการสร้าง ............................................................. .............................................................

............................................................. .............................................................

จานวนโครโมโซม .............................................................. ..............................................................

38

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสืบพนั ธแุ์ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์ เฉลย
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 2 การสืบพนั ธุข์ องมนุษย์
……ส…เป…อ…ร์ม…า…โท…โ…กเ…น…ีย…ม..
ใบงานที่ 1.1 …………สเ…ป…อร…์ม…า…ท…ดิ ……..
เรือ่ ง การสร้างสเปริ ม์ และเซลล์ไข่

คาช้แี จง : จงตอบคาถามต่อไปน้ี
1. จากภาพสไลด์ถาวรทีก่ าหนดให้ จงระบชุ ื่อของเซลลใ์ ห้ถูกต้อง

……ส…เป…อ…ร…์มา…โ…ทโ…ก…ไซ…ต…์ ..

……………เ…ซล…ล…ไ์ ข…่ ………..
………ค…อ…รป์…ัส…ล…ูเท…ยี …ม……..

…………ฟ…อ…ลล…เิ …คลิ…………..

2. เปรียบเทยี บสเปริ ม์ และเซลล์ไข่ในตารางให้ถกู ต้อง

ข้อเปรยี บเทียบ สเปริ ์ม เซลลไ์ ข่

ขนาด ..ม..ีข...น..า..ด...ใ.ห...ญ...่เ.พ...ร..า..ะ..ม...ีไ.ซ...โ.ท...พ...ล..า..ซ..มึ........... .ม..ีข..น...า..ด..เ.ล...็ก..ก..ว..่า..เ.พ...ร..า..ะ..ส..ล...ัด..ไ.ซ...โ.ท...พ..ล..า..ซ...ึม....
..จ..า..น...ว..น...ม..า..ก........................................... .บ..า..ง..ส..่ว..น...เ.พ...่อื..ล...ด..ข...น..า..ด...ข..อ..ง..เ.ซ...ล..ล...์ ...........

รูปร่าง ..ก..ล...ม....................................................... .เ.ร..ยี..ว...ย..า..ว...แ...บ..ง่..เ.ป...น็...ห..วั....ล..า..ต..วั....แ..ล...ะ..ห..า..ง.....

..ส..ร..า้..ง..ค..ร..้ัง..ล..ะ....1....เ.ซ..ล...ล..์............................ .ส...ร..้า..ง.ค...ร..งั้ ..ล..ะ....3..0..0..-..5..0..0....ล..้า..น...เ.ซ..ล...ล..์.........
กระบวนการสร้าง ............................................................. .เ.พ...ร..า..ะ..ส...เ.ป...ิร..์ม..ต...้อ..ง..เ.ค..ล...อ่ื ..น...ท..่ีไ..ป...ผ..ส..ม...ก..ับ.....

............................................................. .เ.ซ...ล..ล...์ไ.ข..่................................................
จานวนโครโมโซม ..1....ช..ดุ....(.แ...ฮ..พ...ล..อ..ย...ด..์)................................ .1...ช...ุด...(.แ...ฮ..พ...ล..อ...ย..ด..)์..................................

39

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 2 การสืบพนั ธุ์ของมนษุ ย์

9. ความเห็นของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาหรอื ผู้ท่ไี ด้รับมอบหมาย

ข้อเสนอแนะ

ลงช่ือ .................................
( ................................ )

ตาแหนง่ .......

10. บนั ทึกผลหลงั การสอน

 ดา้ นความรู้

 ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

 ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์

 ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์

 ด้านอืน่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมทีม่ ปี ญั หาของนกั เรียนเปน็ รายบคุ คล (ถ้าม)ี )

 ปัญหา/อุปสรรค
 แนวทางการแกไ้ ข

40

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 3 การเจริญเติบโตของสัตว์

แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 3

การเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

เวลา 5 ช่วั โมง

1. ผลการเรียนรู้

4. อธิบายการเจรญิ เติบโตระยะเอ็มบริโอและระยะหลังเอม็ บริโอของกบ ไก่ และมนุษย์

2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

1. อธิบายการเปลยี่ นแปลงของเอ็มบริโอในระยะตา่ ง ๆ (K)
2. อธบิ ายและเปรียบเทยี บการเจริญเติบโตในระยะเอม็ บริโอของกบ ไก่ และมนษุ ย์ (K)
3. ปฏบิ ตั ิงานตามหน้าทท่ี ไี่ ดร้ บั มอบหมายไดค้ รบถว้ น (P)
4. สนใจใฝ่รู้ในการศกึ ษาและมงุ่ มัน่ ในการทางาน (A)

3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ท้องถิ่น
พจิ ารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
- การเจริญเติบโตของสัตว์ เช่น กบ ไก่ และ

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม จะเร่ิมต้นด้วยการแบ่ง
เซลล์ของไซโกต การเกิดเน้ือเยื่อเอ็มบริโอ 3
ชั้น คือ เอ็กโทเดิรม์ เมโซเดิร์ม และเอนโดเดริ ์ม
การเกิดอวัยวะ โดยมีการเพ่ิมจานวน ขยาย
ขนาด และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลล์
เพ่ือทาหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งพัฒนาการของ
อวัยวะต่างๆ จะทาให้มีการเกิดรูปร่างท่ี
แนน่ อนในสตั วแ์ ต่ละชนิด
- การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีขั้นตอนคล้าย
กับการเจริญเติบโตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านม
อ่ืน ๆ โดยเอ็มบริโอจะฝังตัวท่ีผนังมดลูก และ
มกี ารแลกเปลี่ยนสารระหว่างแมก่ ับลูกผ่านทาง
รก

41

หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 การสืบพันธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 3 การเจริญเตบิ โตของสตั ว์

4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด

เมื่อสเปิร์มปฏิสนธิกับเซลล์ไข่จะได้ไซโกตซ่ึงจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนและพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ
ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ ควีเวจเป็นระยะท่ีไซโกตแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจนได้เอ็มบริโอท่ีประกอบด้วยกลุ่ม
เซลล์จานวนมาก บลาสทูเลชันเป็นระยะที่เซลล์จัดเรียงตัวใหม่โดยแยกจากกันไปเรียงตัวบริเวณผิวรอบนอก
แกสทรูเลชันเป็นระยะท่ีเซลล์เคลื่อนที่และจัดเรียงตัวเป็นเนื้อเย่ือช้ัน 3 ชั้น และออร์แกโนเจเนซิสเป็นระยะที่
เน้อื เยอื่ ทัง้ 3 ชนั้ พัฒนาเปน็ อวยั วะต่าง ๆ

- การเจริญเติบโตของกบ หลังการปฏิสนธิ ไซโกตจะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนกลายเป็นมอรูลา ในระยะ
บลาสทูเลชัน เซลล์ด้านในเคล่ือนท่ีแยกจากกันทาให้เกิดช่องว่าง (ค่อนไปทางด้ายบน) ในระยะ
แกสทูเลชันเซลล์ที่อยู่ด้านบนแบ่งตัวเร็วกว่าด้านล่างจึงเคล่ือนที่ลงมาคลุมและดันเซลล์ด้ านล่างไป
ขา้ งใน และเกิดเนื้อเย่ือ 3 ช้ัน เมอ่ื ตวั อ่อนฟักเปน็ ตวั จะเกิดการเปลย่ี นแปลงแบบเมทามอรโ์ ฟซสิ

- การเจริญเติบโตของไก่ มีการเจริญคล้ายกบ แต่เอ็มบริโอของไก่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงน้าคร่าช่วยป้องกัน
การกระทบกระเทือน และถุงคอเรียนช่วยแลกเปลี่ยนแก๊ส และยังสร้างถุงแอลแลนทอยส์เพื่อช่วย
แลกเปลยี่ นแก๊สและเก็บของเสีย เม่ือตัวอ่อนฟักเป็นตัวไมม่ ีการเปลยี่ นแปลงแบบเมทามอร์โฟซิส

- การเจริญเติบโตของมนุษย์ หลังการปฏิสนธิที่ท่อนาไข่ ไซโกตจะแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนและพัฒนา
เป็นเอ็มบริโอ เม่ือเข้าสู่วันท่ี 7 เอ็มบริโอระยะบลาสทูลาจะฝังตัวท่ีผนังมดลูก เม่ืออายุ 2 สัปดาห์
เอ็มบริโอเข้าสู่ระยะแกสทรูลา เกิดเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เมื่ออายุ 3 สัปดาห์ เอ็มบริโอปรากฏร่องรอยของ
อวัยวะ เม่ืออายุ 8 สปั ดาห์ เอม็ บริโอมีอวัยวะเจรญิ ครบ ซง่ึ เป็นระยะสิ้นสดุ ของเอ็มบริโอและหลังจาก
ระยะนี้ เรียกว่า ฟีตัส เมื่ออายุ 3 เดือน สามารถแยกเพศของฟีตัสได้ เห็นนิ้วมือนิ้วเท้าชัดเจน เม่ือ
อายุ 6 เดือน ฟตี ัสมีผิวหนังเหี่ยวย่นและบางใส ศีรษะโต มีขนค้ิว ขนตา สามารถลืมตาและหลับตาได้
ในช่วง 3 เดือน สุดท้ายก่อนคลอด ฟีตัสมีขนาดโตข้ึนมากและระบบประสาทเจริญมาก และเมื่ออายุ
9 เดอื น ฟีตัสคลอดออกมาเปน็ ทารก

5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์

สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวินยั

2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รยี นรู้

1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มุ่งม่นั ในการทางาน

2) ทักษะการจาแนกประเภท

3) ทักษะการเปรียบเทียบ

4) ทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล

3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

42

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจรญิ เตบิ โตของสัตว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 3 การเจริญเตบิ โตของสตั ว์

6. กจิ กรรมการเรยี นรู้

 แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค : การบรรยาย (Lecture Method)

ชั่วโมงท่ี 1-3

ข้ันนา

การเตรียมการบรรยาย

1. นาเข้าสู่บทเรยี นโดยนาภาพไซโกตและสัตวต์ ัวเต็ม

วัยมาให้นักเรียนศึกษา ให้นักเรียนร่วมกัน

อภิปรายถึงขนาดของไซโกตท่ีเป็นเซลล์เร่ิมต้นของ

สัตว์ท่ีเกิดจากการสืบพันธ์ุแบบอาศยั เพศกับขนาด

ของสัตว์ที่เจริญเป็นตัวเต็มวัยท่ี โดยใช้คาถาม

ดงั นี้

- เซลล์เริ่มต้นท่ีเจริญเป็นสัตว์คืออะไร และมี

ขนาดประมาณเท่าใด

(แนวตอบ: ไซโกต มีขนาดป ระมาณ 0.2 ∆ ไซโกต

มลิ ลเิ มตร)

- หากเปรียบเทียบไซโกตกบั ร่างกายของสัตว์ตวั เตม็ วยั จะมลี ักษณะแตกต่างกนั อย่างไร

(แนวตอบ: ไซเกตเป็นเซลล์เพียงเซลล์เดียว ส่วนสัตว์ตัวเต็มวัยประกอบด้วยเซลล์จานวนมาก จึงมี

ขนาดใหญ่กวา่ ไซโกตมาก)

- นกั เรยี นคิดวา่ จากไซโกตที่พฒั นาเป็นสัตวต์ วั เต็มวัยมีการเปล่ียนแปลงลักษณะใดบา้ ง

(แนวตอบ: คาตอบข้ึนอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น นักเรียนอาจตอบว่ามีการเปล่ียนแปลงขนาด

ของเซลล์ จานวนเซลล์ การเปลี่ยนแปลงลักษณะของเซลล์ไปทาหน้าที่เฉพาะ การพัฒนา

เปลีย่ นแปลงรปู รา่ งเป็นอวัยวะ)

2. นากราฟการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์โดยพจิ ารณาจาก

ความยาวของลาตัวมาให้นักเรียนศึกษา เพื่อให้

นักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงการเจริญเติบโตของ

สัตว์ โดยใช้คาถาม ดังน้ี

- ลาตัวของสัตว์ชนิดนี้จะยาวเต็มที่เมื่อมีอายุ

ประมาณกว่ี นั

(แนวตอบ: ประมาณ 25 วัน) ∆ กราฟการเจริญเติบโตของสัตว์โดยพิจารณาจาก
- ช่วงวันที่เท่าใดท่ีสัตว์ชนิดนี้มีการเพิ่มความยาว ความยาวของลาตวั

ของลาตัวมากทส่ี ดุ เพราะเหตใุ ด

(แนวตอบ: ช่วงวันท่ี 10-15 เนื่องจากกราฟมีความชันมากทส่ี ดุ )

43

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการเจริญเติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 3 การเจรญิ เตบิ โตของสัตว์

- หลงั จากวนั ท่ี 25 สัตวช์ นิดน้ีจะมีความยาวเพ่มิ ข้ึนหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ: มีความยาวของลาตัวคงท่ี ซ่ึงสัตว์อาจจะไม่มีการเพิ่มความยาวของลาตัว แต่อาจมีการ
ซอ่ มแซมสว่ นท่สี ึกหรอของรา่ งกาย)

- หากตอ้ งทาการวัดการเจรญิ เติบโตของสตั ว์ชนิดนี้ นักเรยี นจะเลอื กใช้การวดั ดว้ ยวธิ ีใด เพราะเหตใุ ด
(แนวตอบ: คาตอบขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของครูผู้สอน เช่น การวัดมวลของร่างกาย เน่ืองจากมวลท่ี
เพิ่มขึน้ เกิดจากเซลล์มีจานวนเพิ่มข้ึนหรือเซลล์สร้างและสะสมสารต่าง ๆ มากข้นึ ซึ่งแสดง
ว่าสัตวม์ ีการเจริญเตบิ โต)

3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้เข้าใจว่า ไซโกตเป็นเซลล์เริ่มต้นสัตว์ท่ีเกิดจากการสืบพันธุ์แบบ
อาศัยเพศ ซึ่งจะมีกระบวนการการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงขนาดของเซลล์ จานวน
เซลล์ หรือลักษณะของเซลล์ การเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นนี้แสดงว่าสัตว์มีการเจริญเติบโต ซึ่งสามารถวัด
การเจรญิ เติบโตได้ด้วยวิธตี ่าง ๆ เช่น นา้ หนกั ความสูง

ขัน้ สอน

การบรรยาย
1. นักเรียนศึกษาภาพกระบวนการสาคัญต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต พร้อมอธิบายให้นักเรียนฟังว่า

ประกอบด้วย 4 กระบวนการสาคัญ ได้แก่
1. การแบ่งเซลล์ ในส่ิงมีชีวิติท่ีเป็นเซลล์เดียวเม่ือมีการแบ่งเซลล์เพื่อเพ่ิมจานวนเซลล์ก็จะทาให้เกิด
การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศข้ึน ส่วนในพวกส่ิงมีชีวิตหลายเซลล์ เมื่อเกิดปฏิสนธิแล้ว เซลล์ท่ีได้ก็
คือไซโกตซึ่งจะมกี ารแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เพื่อเพ่มิ จานวนเซลล์ใหม้ ากขน้ึ ผลจากการเพ่ิมจานวน
เซลลท์ าใหไ้ ด้เซลล์จานวนมากขึน้ และมีขนาดเพม่ิ ข้นึ
2. การเพ่ิมขนาดเซลล์หรือการเติบโต ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว การเพิ่มไซโทพลาซึมก็จัดว่าเป็นการ
เจรญิ เติบโต เมอ่ื เซลล์ของสิ่งมีชีวิตแบ่งเซลล์ในตอนแรก เซลล์ใหม่ท่ีได้จะมขี นาดเล็กกว่าเซลล์เดิม
ในเวลาต่อมาเซลล์ใหมท่ ี่ได้จะสร้างสารต่าง ๆ เพมิ่ มากข้ึน ทาใหข้ นาดของเซลล์ใหมข่ ยายขนาดขึ้น
ซ่ึงจัดเป็นการเจริญเติบโต ส่วนในสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ ผลจากการเพ่ิมจานวนเซลล์ก็คือการขยาย
ขนาดให้ใหญโ่ ตข้นึ ซง่ึ จดั เป็นการเจรญิ เติบโตดว้ ยเชน่ เดยี วกัน
3. การเปล่ียนแปลงเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะ ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวก็มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์
เพื่อไปทาหน้าท่ีต่าง ๆ เหมือนกัน เช่น มีการสร้างเซลล์ที่ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
ได้ดี เช่น การสร้างเอนโดสปอร์ของแบคทีเรีย หรือการสร้างเฮเทอโรซีสต์ในพวกสาหร่ายสีเขียว
แกมน้าเงิน ซ่ึงมีผนังหนาและสามารถจับแก๊สไนโตรเจนในอากาศเปล่ียนเป็นสารประกอบ
ไนโตรเจนที่มีประโยชน์ต่อเซลล์ของสาหร่ายได้ ส่วนในส่ิงมีชีวิตหลายเซลล์ เซลล์ใหม่ท่ีได้จะ
เปล่ียนแปลงไปทาหน้าท่ีต่าง ๆ เช่น เซลล์กล้ามเน้ือทาหน้าท่ีในการเคลื่อนที่หรือเคลือ่ นไหว เซลล์
เม็ดเลือดแดงทาหน้าท่ีลาเลียงแก๊สออกซิเจน เซลล์ประสาททาหน้าท่ีในการนากระแสประสาท
เกย่ี วกบั ความรสู้ กึ และคาส่งั ต่างๆ เพ่อื ให้สิง่ มชี ีวิตนนั้ ๆ ดารงชวี ติ อยใู่ นสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ กนั ได้

44

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1 การสบื พนั ธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 การเจรญิ เติบโตของสัตว์

4. การพัฒนาเปลย่ี นแปลงรปู ร่างเป็นอวยั วะ เป็นผลจากการเพ่มิ จานวนเซลล์ การเจริญเติบโต การ
เปล่ียนแปลงของเซลล์เพื่อไปทาหน้าท่ีต่าง ๆ กระบวนการเหล่าน้ีจะเกิดขึ้นในระยะเอ็มบริโออยู่
ตลอดเวลา มีการสร้างอวัยวะต่าง ๆ ขึ้น อัตราเร็วของการสร้างในแต่ละบริเวณบนร่างกายจะไม่
เท่ากัน ทาให้เกิดรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดข้ึนโดยที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีแบบแผนและ
ลักษณะต่าง ๆ เป็นแบบที่เฉพาะตัวและไม่เหมือนกับส่ิงมีชีวิตชนิดอ่ืน ๆ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้จะ
เป็นลักษณะทางพนั ธกุ รรม ซง่ึ ถูกควบคมุ โดยยนี บนโครโมโซมของสง่ิ มีชีวติ ชนดิ น้นั ๆ

2. นักเรยี นศึกษากราฟการเจริญเติบโตของสัตว์โดยพิจารณาจากความยาวของลาตัว พร้อมอธิบายลักษณะการ
เปล่ยี นแปลงของกราฟในระยะตา่ ง ๆ ซง่ึ แบง่ ออกเปน็ 4 ระยะ ดงั นี้
1. ระยะเร่ิมต้น (lag phase) เป็นระยะท่ีสิ่งมีชีวิตชนิดน้ันเริ่มการเติบโต การเติบโตในระยะแรกจะ
เปน็ อย่างชา้ ๆ เส้นโคง้ การเตบิ โตจงึ มคี วามชนั นอ้ ย
2. ระยะเติบโตอย่างรวดเร็ว (log phase) เป็นระยะที่ต่อจากระยะแรกโดยท่ีส่ิงมีชีวิตชนิดนั้นจะมี
การเพิ่มจานวนเซลล์ มีการสร้างสารต่าง ๆ สะสมในเซลล์มากข้ึนทาให้น้าหนักความสูงหรือว่า
จานวนเซลล์เพ่มิ ขึน้ อย่างรวดเร็ว ส่วนโคง้ การเตบิ โตจงึ ชันมากกว่าระยะอ่นื ๆ
3. ระยะคงท่ี (stationary phase) เป็นระยะท่ีมีการเจริญเติบโตส้ินสุดแล้ว ทาให้น้าหนัก ความสูง
หรือขนาดของสิ่งมีชีวิตนัน้ ไม่เพิ่มขน้ึ และค่อนข้างจะคงที่อยูอ่ ย่างนัน้ ตลอดไป
4. ระยะส้ินสุด (dead phase) เมื่อส่ิงมีชีวิตเติบโตถึงท่ีสุดแล้วและถ้าปล่อยเวลาต่อไปอีกก็จะถึง
ระยะเวลาที่รว่ งโรยเส่ือมโทรมในที่สุดก็จะตายไป ซึ่งกค็ อื ระยะส้นิ สุดน่นั เอง

3. อธิบายให้นักเรียนฟังว่า การเจริญเติบโตของสัตว์สามารถวัดได้จากน้าหนักหรือมวลของร่างกาย ความสูง
ปรมิ าตร และจานวนเซลล์ที่เพิม่ ขน้ึ ซ่งึ การวดั แต่ละวิธีจะเหมาะสมและข้อจากดั ท่ีแตกต่างกนั เช่น
- การชั่งน้าหนัก เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เน่ืองจากน้าหนักท่ีเพิ่มข้ึนเกิดจากเซลล์มีจานวนเพ่ิมขึ้น
หรือสร้างและสะสมสารต่าง ๆ มากข้ึน แต่บางครั้งน้าหนักที่เพิ่มข้ึนอาจไม่สัมพันธ์กับ
การเจริญเติบโตของร่างกาย เพราะสัตว์บางชนิดอาจมีน้าหนักเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่มี
การเปลีย่ นแปลงรูปร่างหรอื มอี วยั วะตา่ ง ๆ เพม่ิ ขน้ึ
- การวัดความสูงหรือความยาวของลาตัว เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เนื่องจากสัตว์ท่ีมีความสูงหรือ
ความยาวเพิ่มขึ้นแสดงว่าสัตว์มีการเจริญเติบโต แต่สัตว์บางชนิดอาจมีความสูงจากัดแต่ยังมี
การเจริญเติบโตอยู่

4. อธิบายให้นักเรียนฟังว่า การเจริญเติบโตของไซโกตเป็นการเจริญเติบโตของสัตว์ในช่วงแรกหลังการ
ปฏิสนธิ ซึ่งในสัตวแ์ ต่ละชนดิ จะมีความแตกต่างกัน เน่ืองจากมีลักษณะของไข่แดงที่เป็นอาหารสะสมของ
สัตว์ในช่วงที่มีการเจริญเติบโตของไซโกตแตกต่างกัน การแบ่งชนิดของไข่แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
แบง่ ตามปรมิ าณของไขแ่ ดงและแบ่งตามการกระจายของไขแ่ ดง

45

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 การเจรญิ เติบโตของสตั ว์

5. นาภาพไข่ของสตั ว์มายกตัวอย่างประกอบ และจาแนกประเภทของไข่ตามปริมาณของไข่แดงและแบ่งตาม
การกระจายของไขแ่ ดง เชน่
ไข่กบ
แบง่ ตามปรมิ าณ: มีโซเลซิทลั
แบ่งตามการกระจาย: เทโลเลซิทลั

ไข่ไก่
แบ่งตามปรมิ าณ: พอลิเลซิทัล
แบ่งตามการกระจาย: เทโลเลซทิ ัล

6. นาแบบจาลองแสดงการพัฒนาของไซโกตเป็นเอ็มบริโอมาประกอบการสอน ให้นักเรียนศึกษาจาก
แบบจาลองและหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า
20-21 แล้วนักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า ไซโกตจะแบ่งเซลล์และพัฒนาเป็น
เอม็ บรโิ อ ซง่ึ ประกอบดว้ ย 4 ขัน้ ตอน ดแ้ ก่
1. คลีเวจ (cleavage) ไซโกตแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้เอ็มบริโอที่มีจานวนเซลล์เพ่ิมข้ึน แต่ขนาด
เล็กลง จนประกอบด้วยกลุ่มเซลล์จานวนมากมีลักษณะคล้ายผลน้อยหน่า เรียกว่า มอรูลา
(morula) การแบ่งเซลล์ในระยะคลีเวจมี 2 แบบ ได้แก่ การแบ่งตลอดเซลล์ไซโกต เช่น ไข่ของ
เม่นทะเล ดาวทะเล สัตว์สะเทินน้า สะเทินบก และการแบ่งไม่ตลอดเซลล์ไซโกต เช่น ไข่ของ
สตั วเ์ ลื้อยคลานและสตั ว์ปกี

46

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสืบพันธแ์ุ ละการเจริญเติบโตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 3 การเจรญิ เติบโตของสตั ว์

2. บลาสทูเลชัน (blastulation) เอ็มบริโอมีการจัดเรียงตัวใหม่ เซลล์เคล่ือนท่ีแยกจากกันไปเรียง
ตัวบริเวณผิวชั้นนอกทาให้เกิดช่องบลาสโทซีล ซึ่งเป็นช่องกลวงตรงกลาง เซลล์ในระยะบลาส-
ทูเลชันจะมีขนาดเลก็ และมีมวลน้อยกวา่ เซลล์ไขท่ ี่ปฏิสนธใิ หม่ เนอ่ื งจากอาหารทสี่ ะสมอย่ภู ายใน
ถูกใช้ไปในกระบวนการแบง่ เซลลร์ ะยะแรก

3. แกสทรูเลชัน (gastrulation) เซลล์เคลื่อนท่ีในลักษณะต่าง ๆ เช่น การบุ่มตัว การคลุมตัว
การม้วนตัว การแยกตัว และจัดเรียงตัวเป็นเนื้อเย่ือ 3 ช้ัน ได้แก่ เอ็กโทเดิร์ม (ectoderm)
เมโซเดริ ์ม (mesoderm) และเอนโดเดริ ม์ (endoderm)

4. ออร์แกโนเจเนซิส (organogenesis) เน้ือเย่อื ทั้ง 3 ช้ันของเอ็มบริโอพฒั นาการเป็นอวัยวะตา่ ง ๆ
ได้แก่ เอ็กโทเดิร์มเจริญเป็นระบบประสาทและระบบห่อหุ้มร่างกาย เมโซเดิร์มเจริญเป็นระบบ
ตา่ ง ๆ เช่น ระบบสืบพันธุ์ ระบบกล้ามเนือ้ ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบกระดกู และเอนโดเดิร์ม
เจริญเปน็ ระบบหายใจ ระบบยอ่ ยอาหาร และตอ่ มต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร

7. นักเรียนทาใบงานท่ี 1.2 เรือ่ ง การเปลีย่ นแปลงในระยะเอ็มบริโอของสตั ว์
8. นาวดี ิทศั น์หรือแบบจาลองแสดงการเจรญิ เตบิ โตของกบมาประกอบการสอน เชน่

- https://www.youtube.com/watch?v=SEejivHRIbE
- https://www.youtube.com/watch?v=fZQLhDHSa6Y
เมื่อนักเรียนศึกษาวีดิทัศน์หรอื แบบจาลองแล้ว ให้นักเรียนศึกษาความรู้จากหนงั สือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 22 แล้วนักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้
ข้อสรุปว่า ไข่กบมีปริมาณไข่แดงปานกลาง รวมอยู่บริเวณด้านล่าง มีวุ้นห่อหุ้มโดยรอบ เม่ือเกิดการ
ปฏิสนธิไซโกตจะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนมากจนเป็นเอ็มบริโอในระยะมอรูลาในระยะบลาสทูเลชัน เซลล์
ด้านในเคลื่อนท่ีแยกจากกันทาให้เกิดช่องว่าง (ค่อนไปทางด้านบน) ในระยะแกสทูเลชัน เซลล์ที่อยู่
ด้านบนแบ่งตัวเร็วกวา่ ดา้ นล่างจึงเคลอ่ื นทล่ี งมาคลุมและดันเซลล์ด้านลา่ งไปขา้ งใน และเกิดเนือ้ เย่อื 3 ช้ัน
จากนั้นเม่อื ตวั อ่อนฟักเป็นตัวจะเกิดการเปลยี่ นแปลงแบบเมทามอร์โฟซสิ
9. ถามคาถามเพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน เชน่
- เมทามอรโ์ ฟซิสสง่ ผลต่อการดารงชวี ติ ของสัตว์อย่างไร
(แนวตอบ: เมทามอร์โฟซิสเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและลักษณะการดารงชีวิตหลาย ๆ

คร้ัง ทาให้สัตว์มีการดารงชีวิตท่ีเปลี่ยนไป เช่น กบในระยะลูกอ๊อดจะดารงชีวิตในน้า
มีการหายใจด้วยเหงือก แต่ในระยะตัวเต็มวัยจะดารงชีวิตทั้งในน้าและบนบก มีการ
หายใจด้วยปอดและผิวหนัง)

47

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 3 การเจรญิ เติบโตของสตั ว์

- นอกจากกบแล้ว นักเรียนคิดวา่ มสี ตั ว์ชนิดใดบ้างที่มีเมทามอร์โฟซิส
(แนวตอบ: แมลงเป็นสัตว์ส่วนใหญ่ที่มีเมทามอรโ์ ฟซิสเช่นเดียวกับกบ ซ่ึงเมทามอร์โฟซิสในแมลงแบ่ง
ไดเ้ ป็น 3 กลมุ่ ใหญ่ ได้แก่
1. พวกที่มีเมทามอร์โฟซิสแบบสมบูรณ์ มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงครบ 4 ขึ้น ได้แก่ ไข่
ตัวหนอน ดกั แด้ และตวั เตม็ วัย พบในผเี ส้อื ยุง แมลงวัน ดว้ ง
2. พวกที่มีเมทามอร์โฟซิสแบบไม่สมบูรณ์ มีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงครบ 3 ขึ้น ได้แก่
ไข่ ตัวอ่อน และตวั เตม็ วัย พบในตั๊กแตน แมลงปอ แมลงสาบ
3. พวกท่ีไม่มีเมทามอร์โฟซิส ไข่ที่ได้รับการผสมจะฟักเป็นตัวอ่อนท่ีมีรูปร่างลักษณะ
เหมือนตวั เต็มวยั แต่มขี นาดเล้กกวา่ พบในตวั สามง่าม แมลงหางดดี )

10. นาวดี ิทัศน์ บตั รภาพ หรือแบบจาลองแสดงการเจรญิ เติบโตของไกม่ าประกอบการสอน เชน่
- https://www.youtube.com/watch?v=PedajVADLGw
- https://www.youtube.com/watch?v=5mDNWJRxg-I
- https://www.youtube.com/watch?v=vBGumRAWaa0

เมื่อนักเรียนศึกษาวีดิทัศน์หรือแบบจาลองแล้ว ให้นักเรียนศึกษาความรู้จากหนังสือเรียนรายวชิ าเพิ่มเติม
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 23 แล้วนักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้ได้
ข้อสรุปว่า ไข่ของไก่มีปริมาณไข่แดงมาก และจะมีบริเวณเล็ก ๆ ใกล้ผิวเซลล์เท่าน้ันท่ีเป็นส่วนของ
นิวเคลียสและไซโทพลาซึม ซ่ึงเป็นบริเวณที่เกิดการปฏิสนธิ การเจริญของไซโกตเป็นเอ็มบริโอจะมี
ลักษณะเช่นเดียวกับกบ แต่เอ็มบริโอของไก่ถูกห่อหุ้มด้วยถุง 2 ช้ัน ได้แก่ ถุงน้าคร่าช่วยป้องกันการ
กระทบกระเทือนและถุงคอเรียนช่วยแลกเปลย่ี นแกส๊ และยงั มีการสรา้ งถงุ แอลแลนทอยส์เพอ่ื แลกเปล่ียน
แก๊สและเก็บของเสียสะสมไว้ในเอ็มบริโอ แต่เม่ือตัวอ่อนฟักเป็นตัวไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเมทามอร์-
โฟซสิ
11. ถามคาถามเพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน เชน่
- ไก่และกบมีการเจรญิ เติบโตเหมือนหรือแตกตา่ งกันอยา่ งไร

(แนวตอบ: การเจริญของไซโกตเป็นเอ็มบริโอมีขั้นตอนเหมือนกัน เริ่มจากคลีเวจ บลาสทูเลชัน แกส-
ทรูเลชัน และออร์แกโนเจเนซิส แต่รายละเอียดในแตล่ ะระยะอาจแตกต่างกนั เน่อื งจากไข่
ไก่มีไข่แดงปริมาณมากกว่าไข่กบและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน นอกจากนี้
การเจริญหลังฟักออกจากไข่ กบมีการเปลี่ยนแปลงแบบเมทามอร์โฟซสิ แต่ไก่ไมม่ ี)

- เพราะเหตุใดสัตว์ท่ีมีเอ็มบริโอเจริญในน้าจึงไม่ต้องมีโครงสร้างพิเศษ เช่น ถุงแอลแลนทอยส์เพื่อ
แลกเปล่ียนแก๊สและเก็บของเสยี
(แนวตอบ: เน่ืองจากเอ็มบริโอเจริญในน้าสามารถแลกเปล่ียนแก๊สและของเสียโดยการแพร่เข้า-ออก
ไดโ้ ดยตรง จงึ ไมต่ อ้ งมีโครงสร้างพิเศษเหล่าน้ี)

- เอ็มบรโิ อของไก่พบปัญหาด้านใดบ้างเมอ่ื เปรียบเทียบกับเอ็มบริโอของกบ
(แนวตอบ: การสูญเสียน้า การกาจัดของเสยี การแลกเปลย่ี นแก๊ส และอาหารเลย้ี งเอ็มบรโิ อท่มี ีจากัด)

48

หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1 การสืบพนั ธแ์ุ ละการเจริญเตบิ โตของสัตว์
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 3 การเจริญเติบโตของสตั ว์

ชว่ั โมงท่ี 4-5

ขนั้ สอน

การบรรยาย
12. นาวีดิทศั นห์ รือแบบจาลองการเจรญิ เติบโตของมนุษยม์ าใช้ประกอบการสอน เชน่

- https://www.youtube.com/watch?v=zLUFXG4575Q
- https://www.youtube.com/watch?v=l1qvUPYDnOY
- https://www.youtube.com/watch?v=ltgLb_teYHs
เม่ือนักเรียนศึกษาวีดิทัศน์หรือแบบจาลองแล้ว ให้นักเรียนศึกษาความรู้จากหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 24-26 แล้วนักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเพ่ือให้
ไดข้ อ้ สรุปวา่
- หลงั การปฏิสนธิทที่ ่อนาไข่ ไซโกตจะแบง่ เซลล์เปน็ เอ็มบรโิ อ จนกลายเปน็ เอ็มบริโอระยะบลาสทูลาใน

วันท่ี 7 และเคลื่อนที่ตามท่อนาไข่ไปฝังตัวที่ผนังมดลูกช้ันเอนโดมีเทรียม ซ่ึงจะมีการสร้างรกติดต่อ
ระหว่างแม่กับทารกในครรภ์เพ่ือแลกเปลี่ยนแก๊ส สารอาหาร และของเสีย และยังสร้างถุงน้าคร่าหุ้ม
ตัวเองเพอื่ ป้องกนั การกระทบกระเทือน
- เมอ่ื อายุ 2 สปั ดาห์ จะเข้าสรู่ ะยะแกสทรลู า และเกดิ เน้อื เยือ่ 3 ชั้น
- เม่อื อายุ 3 สปั ดาห์ จะปรากฏรอ่ งรอยของอวยั วะ ได้แก่ หัวใจและระบบประสาท
- เม่อื อายุ 4 สปั ดาห์ อวยั วะตา่ ง ๆ เชน่ แขน ขา เริม่ เจริญ
- เมื่ออายุ 8 สัปดาห์ จะมีอวัยวะเจริญครบซ่ึงเป็นระยะสิ้นสุดของเอ็มบริโอ หลังจากระยะนี้จะเรียกว่า
ฟีตสั
- เม่ืออายุ 3 เดอื น จะสามารถแยกเพศของทารกได้ มีอวัยวะต่าง ๆ ครบ และเรมิ่ มีการเคลือ่ นไหว
- เมื่ออายุ 4 เดือน อวัยวะเพศภายนอกพัฒนาขึ้น ได้แก่ ลูกอัณฑะของเพศชายและช่องคลอดของเพศ
หญงิ ขนและผมเรม่ิ งอก มีชั้นไขมนั ใต้ผิวหนังหอ่ ห้มุ ร่างกาย ผิวมสี ีชมพูและใสจนเห็นหลอดเลือด
- เมื่ออายุ 5 เดือน มีศีรษะค่อนข้างโต แขน ขา และคอเคล่ือนไหวได้ดี หัวใจเต้นเป็นจังหวะ อวัยวะ
ภายในมีการพัฒนาที่สมบูรณ์มากข้ึน ฟันน้านมของทารกเริ่มพัฒนาข้ึนในเหงือก มีน้ิวมือและน้ิวเท้า
แยกกันอยา่ งชดั เจน
- เมื่ออายุ 6 เดือน ลาตัวของทารกพัฒนาขึ้น จนมีขนาดใหญ่กวา่ ศีรษะ มกี ารพฒั นาของเซลล์เม็ดเลือด
แดงข้ึนมาจานวนมากและเร่ิมผลิตเม็ดเลือดขาว มีลายมอื ลายเทา้ ชัดมากขึ้น ผิวหนังหนาทบึ ขึ้น แขน
และขามีกล้ามเน้ือที่สมบูรณ์มากขึ้น อวัยวะเพศพัฒนาจนสมบูรณ์ ซึ่งในเพศหญิงจะมีการสร้างรังไข่
และเพศชายจะพัฒนาลูกอัณฑะขึ้นมาจนชัดเจนและมีการสร้างฮอร์โมนเพศชาย ระบบประสาทเร่ิม
ทางานสามารถจดจาและเรียนรู้ไดบ้ า้ งแล้ว
- เมื่ออายุ 7 เดือน มีการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การดูดน้ิวมือและนิ้วเท้า การลืมตา สมอง
พัฒนาขึ้นจนโตเต็มกะโหลกศรี ษะและมีรอยหยักบนสมอง

49

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจรญิ เติบโตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 การเจรญิ เติบโตของสตั ว์

- เม่ืออายุ 8 เดือน สมองและเส้นประสาททางานได้อย่างเต็มที่ ทารกเริ่มกลับตัวให้อยู่ในท่าศีรษะลง
เพื่อเตรยี มพร้อมท่ีจะคลอด และเริม่ กะพริบตาถข่ี ึ้น

- เมือ่ อายุ 9 เดือน ทารกดลบั หวั พรอ้ มคลอด
11. อธบิ ายเพิม่ เตมิ่ เกี่ยวกบั ฮอรโ์ มนเพศที่เกยี่ วข้องกบั การตัง้ ครรภ์ ประกอบดว้ ยฮอรโ์ มนหลายชนิด ดงั นี้

- อีสโทรเจน (estrogen) สร้างขึ้นจากรังไข่ ช่วยเสริมสร้างร่างกายของคุณแม่ให้เหมาะสมต่อการ
ต้ังครรภ์และช่วยใหท้ ารกมีการเจรญิ เติบโตท่สี มบรู ณ์แข็งแรง

- โพรเจสเทอโรน (progesterone) สร้างขึ้นจากรังไข่ ช่วยกระตุ้นให้ผนังมดลูกหนาตัวขึ้นเพื่อให้เซลล์
ไข่ทถ่ี ูกปฏิสนธิเขา้ ฝังตัวและเจริญเตบิ โตเปน็ ทารกได้

- ฮิวแมนคอริโอนิกโกนาโดโทรปิน (human chorionic gonadotropin) สร้างขึ้นจากรก ช่วยทาให้
คอร์ปัสลูเทียมผลิตอีสโทรเจนและโพรเจสเตอโรนต่อ และย้ังการทางานของโกนาโดโทรปินจาก
ต่อมใต้สมองส่วนหน้าไม่ให้มีการเจริญของเซลล์ไข่ในรอบต่อไป นอกจากน้ียังเป็นฮอร์โมนที่ถูก
นามาใช้ตรวจการตงั้ ครรภ์

- ออกซิโทซิน (oxytocin) หล่ังมาจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง ทาหน้าท่ีกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อ
มดลูกทาให้คลอดบุตรง่ายขึ้น และยังกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเน้ือเรียบในเต้านมทาให้หล่ังน้านม
มากขึน้

- โพรแลกติน (prolactin) สร้างจากตอ่ มใตส้ มองสว่ นหน้า ทาหน้าท่ีกระตุน้ การเจริญของทอ่ ผลิตน้านม
กระตนุ้ การสร้างและหล่งั น้านม

12. อธิบายเพ่ิมเติม เร่ือง การเจริญเติบโตหลังคลอด ส่วนใหญ่เป็นการเพ่ิมน้าหนักและความสูงของร่างกาย
ซ่งึ อวยั วะตา่ ง ๆ จะเจริญเติบโตแตกตา่ งกนั เช่น
- เมื่อเปรียบเทียบความยาวของศรีษะ ลาตัว และขา พบว่า ศีรษะมอี ัตราการเพิม่ ขนาดน้อยที่สุด ส่วน
ขามีอตั ราการเพิ่มขนาดมากทีส่ ุด
- เมื่อเปรียบเทียบการเพิ่มขนาดของสมองและศีรษะ ขนาดของร่างกาย อวัยวะสืบพันธุ์ และเน้ือเยื่อท่ี
สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ในช่วงอายุ 0-20 ปี พบว่า เนื้อเย่ือที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมีอัตราการ
เติบโตอย่างรวดเร็ว ขนาดร่างกาย สมองและศีรษะมีอัตราการเจริญอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่อวัยวะ
สืบพันธ์ุมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างช้า ๆ ในช่วงก่อนวัยเจริญพันธุ์และจะมีอัตราการเติบโตอย่าง
รวดเร็วในวัยเจริญพนั ธ์ุ

13. ถามคาถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน เช่น
- เอ็มบรืโอเข้าฝังตวั ทผ่ี นงั มดลูกอยู่ในระยะใด
(แนวตอบ: ระยะบลาสทูเลชัน)
- เอ็มบรโิ อจะเรยี กว่าฟีตสั เมอื่ มีอายเุ ท่าใด
(แนวตอบ: อายุ 8 สปั ดาห์)

50

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 3 การเจรญิ เติบโตของสตั ว์

- อตั ราการเจรญิ เติบโตของเอ็มบรโิ อกับฟีตสั แตกตา่ งกันหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ: แตกต่างกัน เพราะชว่ งที่เป็นเอ็มบริโอเป็นการเจรญิ เติบโตเพ่ือสร้างอวยั วะต่าง ๆ แต่ช่วง
ท่เี ปน็ ฟีตสั เป็นการเจรญิ เตบิ โตเพ่อื เพิ่มขนาดของร่างกาย)

- ชว่ งใดท่ีมีการเจรญิ เตบิ โตนอ้ ยทสี่ ดุ เพราะเหตุใด
(แนวตอบ: สปั ดาห์ที่ 1-4 เพราะเป็นชว่ งทมี่ กี ารเพ่มิ จานวนเซลลเ์ พ่อื สร้างเนอ้ื เย่ือและอวยั วะ)

- อวัยวะสืบพนั ธ์ุจะเร่มิ จะเจรญิ เมือ่ อายุเทา่ ไร
(แนวตอบ: ตั้งแต่อายุ 12 ปี จะเจริญเข้าสู่วัยเจริญ ซ่ึงในเพศชายจะมีการสร้างสเปิร์ม และในเพศ
หญงิ จะมีการเจรญิ ของเซลล์ไข่)

14. อธิบายเพิม่ เตมิ เก่ยี วกบั ภาวะทสี่ ง่ ผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของฟตี ัสในครรภ์ เชน่
- อาหาร หญงิ มีครรภ์ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งหากขาดโปรตีนในช่วง
3 เดอื นสดุ ท้ายกอ่ นคลอด จะมีผลตอ่ การเจริญของระบบประสาท
- สารเคมีบางชนิด เช่น สารกลุ่มเทอราโทเจนที่พบในยากล่อมประสาทพวกทาลิโดไมด์มีผลต่อ
การเจริญเติบโตของเอ็มบริโอใน 2 เดือนแรก ทาให้การเจริญของแขนและขาผิดปกติ หรือสารเคมีที่
พบในบุหร่แี ละสุรามีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตของเอ็มบริโอและทาใหเ้ กิดการแทง้ ได้
- เชื้อโรคบางชนิด เช่น เช้ือหัดเยอรมัน ทาให้การเจริญของสมอง หูส่วนใน เลนส์ตา และกล้ามเนื้อ
หวั ใจผิดปกติ เช้อื เอชไอวีอาจส่งผลให้ทารกพกิ ารแต่กาเนดิ ได้
- โรคบางชนิด หากหญิงมีครรภ์เป็นโรคบางชนิดอาจทาให้ฟีตัสเจรญิ เติบโตผิดปกติ เช่น โรคเบาหวาน
อาจทาให้ทารกในครรภ์ตัวโตมากกว่าปกติ มีโอกาสพิการแต่กาเนิด เสี่ยงแท้ง หรือตายคลอดได้
โรคความดันโลหิตสูง อาจทาให้พัฒนาการของทารกในครรภ์เติบโตช้า โรคหัวใจอาจทาให้ทารกขาด
ออกซเิ จนและเจรญิ เตบิ โตช้าในครรภ์

15. นักเรียนทา Topic Question ท้ายหัวข้อ การเจริญเติบโตของสัตว์ จากหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชวี วทิ ยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 28 โดยบันทกึ ลงในสมดุ บนั ทกึ ของนักเรียน

16. นักเรียนทาแบบฝึกหัด เรื่อง การเจริญเติบโตของสัตว์ ในแบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เล่ม 1 โดยบันทึกลงในสมดุ บันทึกของนักเรยี น (อาจสงั่ ใหน้ กั เรยี นทาเป็นการบ้าน)

17. นักเรยี นทา Self-Check หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสืบพันธุ์และการเจริญเตบิ โตของสตั ว์ จากหนังสอื เรียน
รายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 32

18. นักเรียนทา Unit Questions ท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การสืบพันธ์ุและการเจริญเติบโตของสัตว์ จาก
หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เลม่ 1 หน้า 33-34 โดยบันทึกลง
ในสมดุ บันทกึ ของนกั เรยี น (อาจใหน้ กั เรยี นทาเป็นการบา้ น)

19. นักเรียนทา Test for U ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของสัตว์ จากหนังสือ
เรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 35 โดยบันทึกลงในสมุด
บนั ทกึ ของนกั เรียน (อาจให้นกั เรียนทาเปน็ การบ้าน)

20. นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 1 การสืบพันธุ์และการเจรญิ เตบิ โตของสตั ว์

51

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 การสบื พันธแุ์ ละการเจริญเตบิ โตของสตั ว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 การเจริญเตบิ โตของสตั ว์

ขนั้ สรปุ

1. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเก่ียวกับการเจริญเติบโตของสัตว์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า เมื่อสเปิร์มปฏิสนธิกับ
เซลล์ไข่จะได้ไซโกตซึ่งจะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนและพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่
ควีเวจเป็นระยะท่ีไซโกตแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจนได้เอ็มบริโอที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์จานวนมาก
บลาสทูเลชันเป็นระยะที่เซลล์จัดเรียงตัวใหม่โดยแยกจากกันไปเรียงตัวบริเวณผิวรอบนอก แกสทรูเลชัน
เป็นระยะท่ีเซลล์เคลื่อนที่แบบต่าง ๆ และจัดเรียงตัวเป็นเน้ือเยื่อช้ัน 3 ชั้น และระยะออร์แกโนเจเนซิส
เป็นระยะที่เน้ือเย่ือท้ัง 3 ชั้นพัฒนาเป็นอวัยวะต่าง ๆ ซ่ึงสัตว์กบ ไก่ และมนุษย์จะมีการเจริญเติบโตใน
ระยะเอ็มบรโิ อทค่ี ล้ายคล่ึงกนั ดังนี้
การเจริญเติบโตของกบ หลังการปฏิสนธิ ไซโกตจะแบ่งเซลล์เพิ่มจานวนกลายเป็นมอรูลา
ในระยะบลาสทูเลชัน เซลล์ด้านในเคลื่อนท่ีแยกจากกันทาให้เกิดช่องว่าง (ค่อนไปทางด้ายบน) ในระยะ
แกสทูเลชันเซลล์ท่ีอยดู่ ้านบนแบ่งตวั เร็วกว่าด้านล่างจึงเคลื่อนท่ีลงมาคลุมและดันเซลล์ด้านล่างไปข้างใน
และเกิดเนือ้ เยอื่ 3 ชน้ั เม่อื ตัวอ่อนฟักเปน็ ตัวจะเกิดการเปล่ยี นแปลงแบบเมทามอรโ์ ฟซสิ
การเจริญเติบโตของไก่ มีการเจริญคล้ายกบ แต่เอ็มบริโอของไก่ถูกห่อหุ้มด้วยถุงน้าคร่าช่วย
ป้องกันการกระทบกระเทือนและถุงคอเรียนช่วยแลกเปลี่ยนแก๊ส และมีการสร้างถุงแอลแลนทอยส์ช่วย
แลกเปลีย่ นแก๊สและเก็บของเสีย เมือ่ ตวั อ่อนฟักเป็นตวั ไมม่ กี ารเปลีย่ นแปลงแบบเมทามอร์โฟซสิ
การเจริญเติบโตของมนษุ ย์ หลังการปฏิสนธทิ ่ีท่อนาไข่ ไซโกตจะแบ่งเซลลเ์ ป็นเอม็ บริโอ เม่ือเข้า
สู่วันที่ 7 เอ็มบริโอระยะบลาสทูลาจะฝังตัวที่ผนังมดลูก อายุ 2 สัปดาห์ เอ็มบริโอเข้าสู่ระยะแกสทรูลา
เกิดเนือ้ เยื่อ 3 ชั้น อายุ 3 สปั ดาห์ เอ็มบรโิ อปรากฏรอ่ งรอยของอวัยวะ อายุ 8 สปั ดาห์ เอ็มบรโิ อมอี วยั วะ
เจรญิ ครบ ซึ่งเป็นระยะส้ินสดุ ของเอ็มบริโอและหลงั จากระยะน้ี เรียกว่า ฟีตัส อายุ 3 เดือน สามารถแยก
เพศของฟีตัสได้ เห็นน้ิวมือน้ิวเท้าชัดเจน อายุ 6 เดือน ฟีตัสมีผิวหนังรอยเห่ียวย่นและบางใส ศีรษะโต มี
ขนคิ้ว ขนตา สามารถลืมตาและหลับตาได้ ในช่วง 3 เดือน สุดท้ายก่อนคลอด ฟีตัสมขี นาดโตขน้ึ มากและ
ระบบประสาทเจริญมาก และเมื่ออายุ 9 เดอื น ฟีตสั คลอดออกมาเปน็ ทารก

2. นักเรียนเขียนสรุปในรูปแบบแผนผัง เร่ือง การเปลี่ยนแปลงในระยะเอ็มบริโอของสัตว์ โดยอธิบายถึง
กระบวนการเปล่ียนแปลงของเอ็มบริโอในระยะควีเวจ บลาสทูเลชัน แกสทรูเลชัน และออร์แกโนเจเนซิส
ลงในกระดาษ A4

3. นักเรียนเขียนสรุปในรูปแบบผังมโนทัศน์ เร่ือง การเจริญเติบโตของสัตว์ โดยอธิบายถึงปัจจัยท่ีจาเป็นต่อ
การเจริญเติบโตของกบ ไก่ และมนุษย์ ลงในกระดาษ A4

ขน้ั ประเมนิ

1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับ เร่ือง การเจริญเติบโตของสัตว์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม ตรวจ
แบบทดสอบหลังเรียน ตรวจแบบฝกึ หัด ตรวจใบงาน ตรวจแผนผงั และตรวจผงั มโนทัศน์

2. ประเมินทกั ษะและกระบวนการ โดยสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล

52


Click to View FlipBook Version