หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 ระบบตอ่ มไรท้ อ่
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 3 การรักษาดุลยภาพของรา่ งกายดว้ ยฮอร์โมน
ขน้ั สอน
การบรรยาย
1. อธิบายให้นักเรียนฟังว่า ฮอร์โมนแต่ละชนิดควบคุมการทางานของอวัยวะเป้าหมายอย่างจาเพาะ
เน่ืองจากบริเวณเซลล์เป้าหมายจะมีตวั รับสัญญาณท่ีมีความจาเพาะตอ่ ชนิดของฮอร์โมน และถามคาถาม
กบั นักเรยี นว่า “โรคเบาหวานประเภทที่ 2 เกิดจากสาเหตุใด”
(แนวตอบ: โรคเบาหวานประเภทท่ี 2 เกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ แต่ตัวรับสัญญาณของอินซูลิน
ผดิ ปกต)ิ
2. อธิบายให้นักเรียนฟังว่า นอกจากตัวรับสัญญาณที่มีความจาเพาะแล้ว ร่างกายยังมีกลไกรักษาดุลยภาพ
ของฮอร์โมนโดยวิธีการควบคุมแบบป้อนกลับเพ่ือไม่ให้อวัยวะเป้าหมายถูกกระตุ้นตลอดเวลา ซึ่งการ
ควบคมุ แบบป้อนกลับแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- การควบคุมแบบป้อนกลับยับย้ัง เป็นการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนโดยมีผลยับยั้งการทางานของ
ต่อมไรท้ อ่ เชน่ การหลัง่ พาราไทรอยด์ฮอร์โมน
- การควบคุมแบบป้อนกลับกระตุ้น เป็นการควบคุมการหล่ังฮอร์โมนโดยมีผลกระตุ้นการทางาน
ของตอ่ มไร้ทอ่ เช่น การหลัง่ ออกซโิ ทซนิ ในขณะคลอด
3. ถามคาถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี น ดงั นี้
- ร่างกายรกั ษาดุลยภาพการหลง่ั ฮอร์โมนให้อยใู่ นระดับปกตไิ ดอ้ ยา่ งไร
(แนวตอบ: ใช้การควบคุมแบบปอ้ นกลับ ซง่ึ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การควบคมุ แบบป้อนกลับ
ยับยั้ง ซึ่งเม่ือฮอร์โมนถูกหลั่งออกมามากกว่าปกติจะมีผลยับย้ังการหล่ังฮอร์โมนของ
ต่อมไร้ท่อ และการควบคุมแบบป้อนกลับกระตุ้น ซึ่งเม่ือฮอร์โมนถูกหลังออกมามากจะมี
ผลกระตุ้นการหล่ังฮอรโ์ มนของตอ่ มไร้ท่อ)
- อสี โทรเจนและโพรเจสเทอโรนมกี ลไกควบคุมการหลั่งฮอร์โมนรูปแบบใด
(แนวตอบ: การควบคุมแบบป้อนกลับยับยั้ง โดยไฮโพทาลามัสจะหลั่งฮอร์โมนประสาทไปกระตุ้น
ต่อมใต้สมองส่วนหน้าให้หล่ัง FSH และ LH ไปกระตุ้นรังไข่ให้หล่ังอีสโทรเจนและ
โพรเจสเทอโรน ซ่ึงเม่ืออีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนเพ่ิมสูงขึ้นจะไปยับยั้งการหล่ัง
ฮอร์โมนประสาทจากไฮโพทาลาทัสและยับย้ังการหล่ัง FSH และ LH จากต่อมใต้สมอง
ส่วนหน้า)
4. นกั เรยี นทาใบงานท่ี 3.3 เรือ่ ง การรักษาดลุ ยภาพของร่างกายด้วยฮอรโ์ มน
5. นักเรียนทา Topic Questions ท้ายหัวข้อ เรื่อง การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน 0kdหนังสือ
เรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 121 โดยบันทึกลงในสมุด
บนั ทกึ ของนกั เรียน
6. นักเรียนทาแบบฝึกหัด เร่ือง การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมน ในแบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วทิ ยา ม.6 เล่ม 1 (อาจสง่ั ใหน้ ักเรยี นทาเปน็ การบ้าน)
202
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 3 การรักษาดุลยภาพของร่างกายดว้ ยฮอร์โมน
ขั้นสรปุ
1. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเก่ียวกับการรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า
ร่างกายมีการรักษาดุลยภาพของการหลั่งฮอรืโมนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมโดยวิธีการควบคุมแบบ
ป้อนกลับ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การควบคุมแบบป้อนกลับยับย้ังเป็นการควบคุมการหลั่ง
ฮอร์โมนโดยมีผลยับย้ังการทางานของต่อมไร้ท่อ เช่น การหลั่งพาราไทรอยด์ฮอร์โมน และการควบคุม
แบบป้อนกลับกระตุ้นเป็นการควบคุมการหลั่ฮอร์โมนโดยมีผลกระตุ้นการทางานของต่อมไร้ท่อ เช่น การ
หล่ังออกซิโทซนิ
2. นักเรียนสรุปแผนผัง เร่ือง การรักษาดุลยภาพของร่างกายด้วยฮอร์โมนโดยวิธีการควบคุมแบบป้อนกลับ
พรอ้ มเขยี นแผนผังตวั อยา่ งการควบคมุ แบบป้อนกลบั แต่ละประเภท
ขน้ั ประเมิน
1. ประเมินความรู้เกีย่ วกับ เร่ือง การรักษาดุลยภาพของรา่ งกายด้วยฮอร์โมน โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบ
คาถาม ตรวจใบงาน ตรวจแบบฝึกหดั และตรวจแผนผงั
2. ประเมินทกั ษะและกระบวนการ โดยสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานงานรายบคุ คล
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งม่ันใน
การทางาน
7. การวัดและการประเมนิ ผล
รายการวัด วธิ ีวดั เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน
7.1 การประเมินระหวา่ ง - ใบงานที่ 3.3 - รอ้ ยละ 60
- Topic Questions ผ่านเกณฑ์
การจดั กิจกรรม - แบบฝึกหัด
- แบบประเมนิ แผนผงั - ร้อยละ 60
1) การรักษาดลุ ย- - ตรวจใบงานที่ 3.3 ผ่านเกณฑ์
ภาพของร่างกาย - รอ้ ยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
ด้วยฮอรโ์ มน - ตรวจ Topic Questions
- ระดบั คุณภาพดี
- ตรวจแบบฝกึ หดั ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจแผนผัง เร่ือง การ
รักษาดลุ ยภาพของ
ร่างกายดว้ ยฮอรโ์ มน
203
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ อ่
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 การรกั ษาดุลยภาพของรา่ งกายดว้ ยฮอรโ์ มน
รายการวดั วธิ วี ัด เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
2) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม
- แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี
การทางาน การทางานรายบุคคล
รายบุคคล การทางานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
3) คุณลักษณะ - สังเกตความมีวนิ ยั
อันพึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ มั่น - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพดี
ในการทางาน คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
อนั พึงประสงค์
8. สอื่ /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สอื่ การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ที่ 3 ระบบต่อมไร้ท่อ
2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
3) ใบงานที่ 3.3 เรื่อง การควบคมุ การหล่ังฮอรโ์ มน
4) PowerPoint เรอ่ื ง 3 ระบบต่อมไร้ทอ่
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมุด
204
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ อ่
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 3 การรกั ษาดุลยภาพของรา่ งกายด้วยฮอร์โมน
ใบงานที่ 3.3
เรื่อง การรักษาดลุ ยภาพของรา่ งกายดว้ ยฮอรโ์ มน
คาชแี้ จง : เขียนแผนผังแสดงการรกั ษาดุลยภาพของรา่ งกายด้วยฮอรโ์ มนโดยการหลัง่ ฮอรโ์ มนที่กาหนดให้
1. การหล่งั ไทรอกซนิ
2. การหล่งั ฮอรโ์ มนเพศหญิง
205
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ เฉลย
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 3 การรักษาดลุ ยภาพของรา่ งกายด้วยฮอร์โมน
ใบงานท่ี 3.3
เรอ่ื ง การรกั ษาดลุ ยภาพของร่างกายด้วยฮอรโ์ มน
คาชแ้ี จง : เขียนแผนผงั แสดงการรกั ษาดุลยภาพของรา่ งกายด้วยฮอร์โมนโดยการหลงั่ ฮอร์โมนที่กาหนดให้
1. การหลง่ั ไทรอกซนิ
ยับยั้ง ไฮโพทาลามสั
หลง่ั
ฮอรโ์ มนประสาท
กระตนุ้
ยบั ยั้ง
ต่อมใตส้ มองส่วนหน้า
หลง่ั
TSH
ไทรอกซนิ หล่งั กระตุน้
ต่อมไทรอยด์
2. การหล่ังฮอร์โมนเพศหญงิ ไฮโพทาลามัส
ยับยงั้
หลั่ง
ฮอรโ์ มนประสาท
กระตุ้น
ยับยงั้
ต่อมใต้สมองส่วนหนา้
อสี โทรเจนและโพรเจสเทอโรน หล่งั หล่งั
FSH และ LH
กระต้นุ
อวัยวะเพศ
206
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 3 การรักษาดุลยภาพของร่างกายดว้ ยฮอรโ์ มน
9. ความเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ่ไี ด้รับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงช่อื .................................
( ................................ )
ตาแหนง่ .......
10. บนั ทึกผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ดา้ นอ่นื ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤตกิ รรมทม่ี ีปัญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถ้ามี))
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
207
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 4 ฟโี รโมน
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 4
ฟโี รโมน
เวลา 1 ชว่ั โมง
1. ผลการเรยี นรู้
13. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียนแผนผังสรุปหน้าท่ีของฮอร์โมนจากต่อมไร้ท่อและเน้ือเยื่อท่ีสร้าง
ฮอร์โมน
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. อธบิ ายความหมายของฟีโรโมน (K)
2. เปรียบเทยี บความเหมอื นและแตกตา่ งระหวา่ งฮอรโ์ มนกับฟโี รโมน (K)
3. ตง้ั สมมติฐานจากการทดลองบทบาทของฟโี รโมนในผีเส้ือไหม (P)
4. สนใจใฝ่รใู้ นการศึกษาและมงุ่ มั่นในการทางาน (A)
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระการเรยี นรู้ท้องถน่ิ
- ฟีโรโมนเป็นสารเคมีท่ีผลิตจากต่อมมีท่อของ พิจารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สัตวซ์ ึ่งส่งผลตอ่ สตั ว์ตัวอื่นท่ีเป็นชนดิ เดยี วกัน
4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
ฟีโรโมน (pheromone) เป็นสารเคมีที่สรา้ งจากต่อมมีท่อของสตั ว์เพ่ือใช้ติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งฟีโรโมน
ที่หล่ังออกมาจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมและสรีระของสัตว์ตัวอ่ืนท่ีเป็นชนิดเดียวกัน ฟีโรโมนมี
หลายประเภท เช่น ฟีโรโมนบอกอาณาเขตในสุนัขซึ่งปล่อยออกมาพร้อมปัสสาวะ ฟีโรโมนเตือนภัยในผ้ึงซ่ึง
ปล่อยออกมาให้ผ้ึงตัวอ่ืนรับรู้หลังจากต่อยศัตรู ฟีโรโมนรวมกลุ่มของนางพญาปลวกซ่ึงปล่อยออกมาให้ปลวก
งานมารวมกลมุ่ กนั ฟีโรโมนนาทางในมดซ่ึงปล่อยออกมาระหว่างเสน้ ทางหาอาหาร
208
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 4 ฟโี รโมน
5. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียนและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มวี นิ ัย
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทักษะการสงั เกต 3. มงุ่ ม่ันในการทางาน
2) ทกั ษะการเปรียบเทียบ
3) ทกั ษะการลงความเหน็ จากขอ้ มูล
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : การบรรยาย (Lecture Method)
ชว่ั โมงท่ี 1
ข้ันนา
การเตรียมการบรรยาย
1. นาบัตรภาพแสดงการศกึ ษาพฤติกรรมของผีเสื้อไหมมาให้นักเรียนศกึ ษา โดยให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ
4-5 คน ร่วมกันต้งั สมมตฐิ านจากการศกึ ษาพฤติกรรมของผเี ส้ือไหม
ภาพท่ี 1 ภาพท่ี 2
ภาพท่ี 3 ภาพท่ี 4
209
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 4 ฟโี รโมน
2. สุ่มเลือกนักเรียน 4 กลุ่ม นาเสนอสมมุติฐานการศึกษาพฤติกรรมของผีเส้ือไหม จากภาพที่ 1-4 จากนั้น
นักเรียนและครรู ่วมกันอภปิ รายเพือ่ ใหไ้ ดแ้ นวทางการตง้ั สมมตุ ฐิ าน ดงั นี้
ภาพท่ี 1 การเคล่อื นทข่ี องผเี สือ้ ไหมเพศผู้เขา้ หาผเี ส้ือไหมเพศเมียไม่เกย่ี วข้องกบั การรับภาพ
ภาพท่ี 2 ผีเสื้อไหมเพศเมียผลิตสารบางชนิดซงึ่ ผเี ส้ือไหมเพศผู้รบั รู้สารชนดิ นั้นได้ จึงบนิ เขา้ หาผเี ส้ือ
ไหมเพศเมยี
ภาพท่ี 3 สารที่ผลิตจากผีเสื้อไหมเพศเมียสามารถดึงดูดให้ผีเส้ือไหมเพศผู้เคล่ือนท่ีเข้าหาได้ แม้จะ
ไม่มีผเี สือ้ ไหมเพศเมียอย่กู ็ตาม
ภาพท่ี 4 ผีเสือ้ ไหมเพศผใู้ ชห้ นวดในการรับรสู้ ารเคมที ี่ผลิตจากผเี สือ้ ไหมเพศเมยี
จากภาพท่ี 1-4 แสดงว่า ผีเสื้อไหมเพศเมียสามารถผลิตสารเพ่ือดึงดูดให้ผีเส้ือไหมเพศผู้เคล่ือนท่ีเข้าหา
ซง่ึ ผีเสอ้ื ไหมเพศผใู้ ช้หนวดในการรบั รู้สารเคมชี นิดน้ัน
ขั้นสอน
การบรรยาย
1. อธิบายให้นักเรียนฟังว่า สารเคมีท่ีผลิตจากผีเส้ือไหมเพศเมีย คือ ฟีโรโมนเพศ ซึ่งถูกสร้างจากปล้อง
สุดท้ายของท้องเพื่อใช้ดึงดูดผีเส้ือไหมเพศผู้ให้มาผสมพันธ์ุ ซ่ึงฟีโรโมนเป็นสารเคมีที่สร้างจากต่อมมีท่อ
ของสัตว์เพ่ือใช้ติดต่อส่ือสารกัน ซ่ึงฟีโรโมนท่ีหล่ังออกมาจะมีผลต่อการเปล่ียนแปลงของพฤติกรรมและ
สรีระของสัตวต์ วั อื่นที่เป็นชนิดเดียวกนั
2. นักเรียนจับคู่เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างฮอร์โมนและฟีโรโมน แล้วร่วมกับครูอภิปรายเพื่อให้ได้
ขอ้ สรุป ดังนี้
ข้อเปรียบเทียบ ฮอร์โมน ฟโี รโมน
ประเภทของสารเคมี สารเคมีกลุม่ โปรตีน เอมนี และ สารเคมีกลมุ่ ลิพิดที่มีโมเลกุลส้นั
สเตอรอยด์
แหลง่ ผลิต ตอ่ มไร้ท่อ ตอ่ มมีท่อ
การหลัง่ หลัง่ และหมุนเวียนภายใน หลงั่ ออกสูน่ อกร่างกาย
รา่ งกาย
การแสดงผล ส่งผลต่อสิ่งมีชีวติ เอง ไม่ส่งผลตอ่ ตวั สงิ่ มชี ีวิต แต่สง่ ผล
ต่อสิ่งมีชวี ิตในสปีชีสเ์ ดียวกัน
210
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ อ่
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 4 ฟโี รโมน
3. อธบิ ายเพม่ิ เต่ิมเกี่ยวกับการรบั ฟโี รโมนของสัตว์ ซง่ึ แบง่ ออกเป็น 3 ทาง ดังนี้
1. ทางกลิ่น พบในแมลงหลายชนดิ ซง่ึ ใช้ดึงดูดเพศตรงขา้ ม ใช้นาทาง หรือใช้เปน็ สัญญาณเตอื นภัย
2. ทางการกิน พบในแมลงสังคม เช่น ผึ้ง นางพญาจะสร้างสารจากต่อมบริเวณรยางค์ของปาก ซึ่งมี
ผลยบั ย้งั รงั ไข่ของผ้งึ งาน (เฉพาะเพศเมยี ) ไมใ่ หเ้ จริญเตบิ โต จงึ ไมม่ ีโอกาสสืบพนั ธ์ุ
3. ทางการดูดซึม พบเฉพาะในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงมุมบางชนิดและแมลงสาบ ซึ่งเพศ
เมียจะปล่อยฟีโรโมนท้ิงไว้จนกระทั่งเพศผู้มาสัมผัส แล้วจะดูดซึมเข้าไปกระตุ้นให้เกิดความ
ต้องการทางเพศ และติดตามหาเพศเมียจนพบและผสมพันธุ์ แต่สาหรับตั๊กแตนเพศผู้จะปล่อย
ฟิโรโมนท้ิงเอาไว้หลังผสมพันธ์ุ เมื่อตัวอ่อนมาสัมผัสฟิโรโมนน้ันก็จะดูดซึมเข้าไปกระตุ้นให้เติบโต
เปน็ ตัวเตม็ วยั และสบื พนั ธ์ไุ ด้
4. นักเรียนสืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างฟีโรโมนประเภทอื่น ๆ ท่ีนอกเหนือจากฟีโรโมนเพศของผีเส้ือไหม
แล้วสุม่ เลือกนกั เรียนอย่างน้อย 10 คน ใหย้ กตัวอย่างฟโี รโมนทไี่ ดส้ ืบค้นข้อมูลมา
5. นักเรียนทา Topic Questions ท้ายหัวข้อ เรื่อง ฟีโรโมน ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เล่ม 1 หนา้ 124 โดยทาลงในสมดุ บันทกึ ของนกั เรียน
6. นกั เรียนทาแบบฝึกหัด เร่ือง ฟีโรโมน ในแบบฝกึ หัดรายวิชาเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววทิ ยา
ม.6 เล่ม 1 (อาจส่งั ใหน้ ักเรียนทาเปน็ การบ้าน)
7. นักเรียนทา Self Check หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ระบบต่อมไร้ท่อ ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วทิ ยา ม.6 เลม่ 1 หน้า 129 เพื่อตรวจสอบความเข้าใจหลังเรยี น
8. นักเรียนทา Unit Question ท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ระบบต่อมไร้ท่อ ในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 โดยทาลงในสมุดบันทึกของนักเรียน หน้า 130 (อาจให้
นักเรียนทาเปน็ การบา้ น)
9. นักเรียนทา Test for U ท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ระบบต่อมไร้ท่อ ในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติม
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววทิ ยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 131 โดยทาลงในสมุดบันทึกของนักเรียน (อาจให้
นกั เรียนทาเปน็ การบา้ น)
10. นักเรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 ระบบตอ่ มไร้ทอ่
ขนั้ สรุป
1. นักเรียนและครูรว่ มกันสรุปเก่ียวกับฟีโรโมน เพื่อใหไ้ ด้ข้อสรุป ดังนี้ ฟีโรโมนเป็นสารเคมีที่สรา้ งจากต่อมมี
ท่อของสัตว์เพ่ือใช้ติดต่อส่ือสารกัน ซ่ึงฟีโรโมนท่ีหลั่งออกมาจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม
และสรรี ะของสัตว์ตัวอ่ืนท่ีเป็นชนิดเดียวกัน ฟีโรโมนมีหลายประเภท เช่น ฟีโรโมนบอกอาณาเขตในสุนัข
ซ่ึงปล่อยออกมาพร้อมปัสสาวะ ฟีโรโมนเตือนภัยในผึ้งซ่ึงปล่อยออกมาให้ผึ้งตัวอื่นรับรู้หลังจากต่อยศัตรู
ฟีโรโมนรวมกลุ่มของนางพญาปลวกซึ่งปล่อยออกมาให้ปลวกงานมารวมกลุ่มกัน ฟีโรโมนนาทางในมดซึ่ง
ปลอ่ ยออกมาระหวา่ งเสน้ ทางหาอาหาร
211
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 ระบบตอ่ มไรท้ อ่
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 4 ฟโี รโมน
2. นกั เรยี นสรุปสาระสาคัญ เรื่อง ฟีโรโมน และยกตัวอย่างฟีโรโมนประเภทอื่น ๆ (นอกเหนือจากในหนังสือเรียน)
พรอ้ มสร้างตารางเปรียบเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งฟโี รโมนและฮอร์โมน ลงในสมุดบันทึกของนกั เรียน
ขั้นประเมนิ
1. ประเมินความรู้เกีย่ วกับ เร่ือง ฟีโรโมน โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม ตรวจแบบฝึกหัด และตรวจ
สรุปสาระสาคัญ
2. ประเมินทกั ษะและกระบวนการ โดยสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งมั่นใน
การทางาน
7. การวดั และการประเมนิ ผล
รายการวดั วิธีวัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
7.1 การประเมนิ ระหวา่ ง
การจดั กจิ กรรม
1) ฟีโรโมน - ตรวจ Topic Questions - Topic Questions - ร้อยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60
ผ่านเกณฑ์
2) พฤติกรรม - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี
การทางาน
รายบคุ คล การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
3) คณุ ลักษณะ - สงั เกตความมวี ินัย - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี
อนั พึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุง่ มนั่ คุณลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
7.2 ประเมินหลังเรยี น - ตรวจ Unit Question - Unit Question - ร้อยละ 60
- Unit Question หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 ผา่ นเกณฑ์
หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 3 - ตรวจ Test for U - Test for U - รอ้ ยละ 60
- Test for U หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3
หนว่ ยการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 ผา่ นเกณฑ์
ที่ 3 - ตรวจแบบทดสอบ
- แบบทดสอบ หลังเรียน - แบบทดสอบหลงั เรยี น - ร้อยละ 60
หลงั เรยี น หน่วย ผ่านเกณฑ์
การเรียนรทู้ ี่ 3
212
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ อ่
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 4 ฟโี รโมน
8. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้
8.1 สื่อการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ที่ 3 ระบบต่อมไรท้ ่อ
2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3
ระบบตอ่ มไรท้ อ่
3) แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ระบบต่อมไรท้ ่อ
4) PowerPoint เรอ่ื ง 3 ระบบต่อมไรท้ ่อ
5) บตั รภาพ การศกึ ษาเกีย่ วกบั ฟีโรโมนเพศในผเี สอ้ื ไหม
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมดุ
3) ส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์
213
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรียนรู้ ที่ 4 ฟโี รโมน
การศึกษาเกี่ยวกับฟีโรโมนเพศในผเี สอ้ื ไหม
ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2
ภาพที่ 3 ภาพที่ 4
214
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 ระบบตอ่ มไรท้ ่อ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 4 ฟโี รโมน
9. ความเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาหรือผู้ท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชื่อ .................................
( ................................ )
ตาแหนง่ .......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น
ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอน่ื ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤตกิ รรมที่มปี ญั หาของนกั เรียนเป็นรายบุคคล (ถ้าม)ี )
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแก้ไข
215
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 การเคลอื่ นทีข่ องสงิ่ มชี ีวติ
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4
การเคลอ่ื นที่ของสงิ่ มีชวี ิต
เวลา 11 ช่วั โมง
1. ผลการเรียนรู้
เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปล่ียนแก๊ส การลาเลียงสารและ
การหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคล่ือนที่ การ
สบื พนั ธุแ์ ละการเจรญิ เติบโต ฮอร์โมนกับการรกั ษาดลุ ยภาพ และพฤตกิ รรมของสัตว์ รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
14. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะที่เก่ียวข้องกับ
การเคลอื่ นทข่ี องแมงกะพรุน หมกึ ดาวทะเล ไสเ้ ดอื นดนิ แมลง ปลา และนก
15. สืบค้นข้อมูล และอธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของกระดูกและกล้ามเนื้อที่เก่ียวข้องกับ
การเคล่ือนไหวและการเคลื่อนท่ขี องมนุษย์
16. สังเกต และอธิบายการทางานของข้อต่อชนิดต่างๆ และการทางานของกล้ามเน้ือโครงร่างที่
เกีย่ วข้องกับการเคลอ่ื นไหวและการเคล่ือนทีข่ องมนุษย์
2. สาระการเรยี นรู้
2.1 สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม
1) ส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคลื่อนที่โดยการไหลของไซโทพลาซึม บางชนิดใช้แฟลเจลลัมหรือ
ซิเลยี ในการเคลอ่ื นท่ี
2) สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงกะพรุน เคลื่อนที่โดยอาศัยการหดตัวของเน้ือเยื่อบริเวณขอบ
กระดงิ่ และแรงดนั น้า
3) หมึกเคล่ือนที่โดยอาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณลาตัว ทาให้น้าภายในลาตัวพ่นออกมาทาง
ไซฟอน สว่ นดาวทะเลใชร้ ะบบทอ่ น้าในการเคลอ่ื นที่
4) ไส้เดือนดินมีการเคล่ือนท่ี โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเน้ือ
ตามยาวซึ่งทางานในสภาวะตรงกันขา้ ม
5) แมลงเคลื่อนทโี่ ดยใช้ปกี หรือขา ซึ่งมีกลา้ มเนอ้ื ภายในเปลอื กหุ้มทางานในสภาวะตรงกนั ข้าม
6) สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา เคล่ือนท่ีโดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเน้ือที่ยึดติด
อยู่กับกระดูกสันหลังท้ัง 2 ข้าง ทางานในสภาวะตรงกันข้าม และมีครีบท่ีอยู่ในตาแหน่งต่าง ๆ
ช่วยโบกพัดในการเคล่ือนที่ ส่วนนกเคล่ือนทโี่ ดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของกลา้ มเน้ือกดปีก
กบั กล้ามเนอื้ ยกปกี ซึง่ ทางานในสภาวะตรงกันข้าม
216
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 การเคลอื่ นทขี่ องสิ่งมชี ีวิต
7) มนษุ ยเ์ คลอื่ นที่โดยอาศยั การทางานของกระดูกและกลา้ มเนื้อซง่ึ ยดึ กันด้วย เอน็ ยึดกระดกู
8) บริเวณที่กระดูกตง้ั แต่ 2 ชนิ้ มาตอ่ กนั เรยี กว่า ข้อตอ่ และยึดกนั ด้วยเอ็นยดึ ข้อ
9) กระดกู เป็นเน้ือเย่ือที่ใช้คา้ จุนและทาหน้าที่ในการเคลื่อนไหวของรา่ งกาย แบ่งตามตาแหน่งได้เป็น
กระดูกแกนและกระดกู รยางค์
10) กล้ามเน้ือในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็นกล้ามเน้ือโครงร่าง กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อเรียบ
กลา้ มเนือ้ ท้ัง 3 ชนดิ พบในตาแหน่งท่ตี ่างกันและมหี นา้ ที่แตกต่างกนั
11) กลา้ มเนอ้ื โครงร่างสว่ นใหญท่ างานรว่ มกันเปน็ คูๆ่ ในสภาวะตรงกันขา้ ม
2.2 สาระการเรียนรทู้ อ้ งถิน่
(พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา)
3. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
การเคล่อื นท่ีของสงิ่ มีชวี ติ เซลลเ์ ดียวมลี ักษณะแตกตา่ งกนั ตามโครงสร้างของเซลล์ ดงั น้ี
- การเคล่ือนที่โดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึม พบในอะมีบา โดยอาศัยการแปรสภาพของ
เอ็กโทพลาซึมและเอนโดพลาซึม ซ่ึงจะทางานร่วมกับการหดตัวและคลายตัวไมโครฟิลาเมนต์
(แอกทินและไมโอซิน)
- การเคลื่อนที่โดยอาศัยแฟลเจลลัมและซิเลีย ซึ่งแฟลเจลลัมมีลักษณะเป็นเส้นใยยาว รูปร่าง
คล้ายแส้ มีจานวน 1-2 เส้น แฟลเจลลัมจะพัดโบกจากโคนสู่ปลายทาให้เกิดการเคลื่อนไหวแบบ
ลูกคล่ืน พบในยูกลีนาและวอลวอกซ์ ส่วนซิเลียมีจานวนมากกว่าแฟลเจลลัม แต่ส้ันกว่า และ
กระจายอยู่รอบเซลล์ ซิเลียพัดโบกในทิศทางเดียวกันทาให้เซลล์เคล่ือนที่ไปด้านหน้าแบบไม่มี
ทิศทาง พบในพารามีเซียม พลานาเรีย
สัตว์แตล่ ะชนดิ มีโครงสรา้ งที่ใช้ในการเคล่อื นทแ่ี ตกต่างกัน ดังน้ี
- แมงกระพรนุ อาศัยการหดตัวของเน้ือเยอ่ื บริเวณขอบกระด่ิงและบรเิ วณผนงั ลาตวั สลับกัน ทาให้
เกิดแรงดันน้าผลกั ตัวแมงกะพรนุ ให้เคลื่อนท่ีไปในทศิ ทางตรงขา้ มกบั น้าที่พ่นออกมา
- หมึก อาศัยการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณลาตัวทาให้น้าภายในลาตัวพ่นออกทางท่อไซฟอนซ่ึง
อยู่ทางส่วนล่างของสว่ นหัว ตัวของหมึกจงึ พุ่งไปในทศิ ทางตรงข้ามกับทศิ ทางของน้าทพ่ี ่นออกมา
- ดาวทะเล อาศัยแรงดันของระบบท่อน้า น้าเข้าทางมาดรีโพไรต์ไหลไปตามท่อน้าวงแหวนและท่อ
น้าแนวรัศมีเข้าสู่แอมพูลลา เมื่อกล้ามเน้ือของแอมพูลลาหดตัวจะดันน้าไปตามทิวบ์ฟีททาให้ยืด
ยาวไปแตะพื้นใตน้ า้ การยืดและหดของทิวบฟ์ ที ทาใหด้ าวทะเลเคลือ่ นท่ี
- ไส้เดือนดิน อาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเน้ือตามยาว ซงึ่ ทางานในสภาวะ
ตรงกนั ขา้ ม โดยเคลอ่ื นท่ีแบบระลอกคลืน่ อกี ท้งั ยงั มีเดือยช่วยบังคับทิศทางในการเคลื่อนที่
217
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 การเคลอ่ื นทข่ี องส่งิ มชี วี ิต
- แมลง แบ่งการเคลื่อนท่ีออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การบินเกิดจากการทางานร่วมของกล้ามเน้ือ
ยึดเปลือกหุ้มส่วนอกและกล้ามเน้ือตามยาวยึดปีกซึ่งทางานในสภาวะตรงกันข้าม เมื่อกล้ามเนื้อ
ยึดเปลือกหุ้มส่วนอกหดตัว กล้ามเน้ือตามยาวยึดปีกคลายตัว ปีกจะยกข้ึน แต่เมื่อกล้ามเน้ือยึด
เปลือกหุ้มส่วนอกคลายตัว กล้ามเนื้อตามยาวยึดปีกหดตัว ปีกจะกดข้ึนส่วนการกระโดดเกิดจาก
ทางานสลับกันของกลา้ มเนอื้ เฟลก็ เซอร์และกลา้ มเน้ือเอ็กเทนเซอร์ซงึ่ ทางานในสภาวะตรงกันข้าม
เม่ือกล้ามเน้ือเฟล็กเซอร์หดตัว กล้ามเนื้อเอ็กเทนเซอร์คลายตัว ขาจะงอ แต่เมื่อกล้ามเน้ือเฟล็ก
เซอร์คลายตวั กล้ามเนอื้ เอ็กเทนเซอร์หดตวั ขาจะเหยยี ด
- ปลา อาศยั การหดและคลายตัวแบบสลับของกลา้ มเน้ือยึดติดกระดูกที่ยึดติดกบั กระดกู สันหลังแต่
ละส่วนในการเคล่ือนท่ีแนวระนาบ และอาศัยการทางานของครีบต่าง ๆ ในการทรงตัวและการ
เคลือ่ นที่ในแนวดงิ่
- นก อาศัยการทางานของกล้ามเนื้อยกปีกและกล้ามเน้ือกดปีก เม่ือกล้ามเนื้อยกปีกหดตัว
กล้ามเนื้อกดปีกคลายตัว ปีกจะยกขึ้น แตเ่ ม่ือกลา้ มเน้ือยกปีกคลายตวั กล้ามเน้ือกดปีกหดตัว ปีก
จะจะกดลง
การเคล่อื นท่ีของมนษุ ยเ์ กิดจากการทางานรว่ มกนั ของระบบโครงกระดูกและระบบกลา้ มเนื้อ ดงั น้ี
- ระบบโครงกระดูก ประกอบด้วยกระดูกท้ังหมด 206 ชิ้น แบ่งออกเป็นกระดูกแกน 80 ชิ้น เป็น
กระดูกท่อี ยบู่ ริเวณกลางของร่างกาย ได้แก่ กะโหลกศีรษะ กระดกู สันหลัง กระดกู อก และกระดูก
ซี่โครง และกระดูกรยางค์ 126 ช้ิน เป็นกระดูกที่นอกเหนือจากกระดูกแกน เช่น กระดูกแขน
กระดูกขา กระดูกสะบัก กระดูกไหปลาร้า กระดูกเชิงกราน ซ่ึงกระดูกท่ีเชื่อมต่อกันจะมีข้อต่อ
และเอ็นยึดข้อยึดกระดูก 2 ชิ้นให้เชอื่ มต่อกนั อีกท้งั บรเิ วณข้อจาอจะมีน้าไขขอ้ ช่วยหลอ่ ล่ืนข้อต่อ
ให้เคลื่อนไหวไดแ้ ละไม่เสียดสีกัน
- ระบบกล้ามเน้ือ แบง่ กลา้ มเนอื้ ออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ กลา้ มเน้อื หัวใจเป็นกล้ามเน้ือของหวั ใจ
โดยเฉพาะ ประกอบด้วยเซลล์รูปทรงกระบอกท่ีมีลายตามขวาง ส่วนปลายแตกแขนงและเชื่อม
กับเซลล์ข้างเคียง แต่ละเซลล์มีหลายนิวเคลียส กล้ามเน้ือเรียบเป็นกล้ามเน้ือที่ไม่มีลาย
ประกอบด้วยเซลล์ลักษณะแบนยาว หวั ท้ายแหลม แต่ละเซลล์มี 1 นิวเคลียส และกล้ามเนื้อโครง
ร่างเป็นกล้ามเน้ือท่ียึดติดกับกระดูก มีแถบสีเข้มและจางสลับกัน ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะ
ทรงกระบอก แต่ละเซลล์มีหลายนิวเคลียส ซ่ึงการเคลื่อนไหวของมนุษย์เกิดจากการทางานของ
กล้ามเนื้อ 2 ชุด ที่ทางานในสภาวะตรงกันข้าม เช่น การทางานของกล้ามเน้ือไบเซพและ
กลา้ มเนื้อไตรเซพในการงอและการเหยยี ดแขน
กล้ามเน้อื โครงร่างเป็นกล้ามเนื้อท่ีทาให้เกดิ การเคลื่อนไหวและการเคล่ือนที่ มีโครงสร้างประกอบด้วย
เส้นใยกล้ามเนื้อซ่ึงภายในมีเส้นใยกล้ามเนื้อเล็กมีลักษณะเป็นท่อนยาวเรียงซ้อนกันจานวนมาก เส้นใย
กล้ามเนื้อเล็กประกอบด้วยไมโครฟิลาเมนต์ 2 ชนิด ได้แก่ ไมโอซินและแอกทิน การเล่ือนตัวของแอกทิน
เขา้ หากันตรงกลางจะทาให้เสน้ ใยกล้ามเนื้อหดตวั ซึง่ ต้องอาศัยพลังงานและแคลเซยี ม
218
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 4 การเคลอ่ื นทีข่ องส่ิงมชี ีวติ
4. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี นและคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอื่ สาร 1. มวี ินัย
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มุ่งมนั่ ในการทางาน
2) ทกั ษะการสารวจคน้ หา
3) ทกั ษะการจาแนกประเภท
4) ทักษะการเปรยี บเทียบ
5) ทกั ษะการลงความเห็นจากข้อมลู
3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
5. ช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)
- แผนภาพ เรื่อง ความสัมพันธ์ของหลักการทางานของคานกบั การเคล่ือนไหวรปู แบบตา่ ง ๆ
- ผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง การเคลอ่ื นท่ขี องส่ิงมีชวี ิตเซลล์เดยี ว
- ผงั มโนทศั น์ เรื่อง การคลื่อนท่ขี องสตั ว์
- ผังมโนทัศน์ เร่อื ง การเคลื่อนที่ของมนษุ ย์
6. การวัดและการประเมินผล
รายการวดั วิธีวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
- ระดับคุณภาพดี
6.1 การประเมินชิ้นงาน/ - แผนภาพ เร่อื ง - แบบประเมนิ
ผา่ นเกณฑ์
ภาระงานรวบยอด ความสัมพนั ธข์ อง แผนภาพ
- ระดบั คณุ ภาพดี
หลักการทางานของคาน ผ่านเกณฑ์
กับการเคล่อื นไหว - ระดบั คุณภาพดี
ผ่านเกณฑ์
รูปแบบตา่ ง ๆ
- ระดับคุณภาพดี
- ผงั มโนทัศน์ เร่อื ง การ - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์
เคลอ่ื นที่ของส่งิ มชี วี ิต ผังมโนทัศน์
เซลลเ์ ดยี ว
- ผังมโนทศั น์ เรอ่ื ง การ - แบบประเมิน
คลือ่ นที่ของสัตว์ ผงั มโนทัศน์
- ผังมโนทศั น์ เรื่อง การ - แบบประเมนิ
เคลอ่ื นท่ีของมนษุ ย์ ผงั มโนทศั น์
219
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 การเคลอื่ นที่ของสง่ิ มชี วี ิต
รายการวดั วิธีวดั เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมนิ
6.2 การประเมนิ ก่อนเรียน - ประเมนิ ตาม
สภาพจริง
- แบบทดสอบก่อน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ
- ร้อยละ 60
เรียน หนว่ ยการ กอ่ นเรียน ก่อนเรยี น ผา่ นเกณฑ์
เรียนรู้ที่ 4 - รอ้ ยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
6.3 การประเมินระหว่าง
- ร้อยละ 60
การจดั กจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์
1) การเคลื่อนที่ของ - ตรวจใบงานที่ 4.1 - ใบงาน 4.1 - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
ส่งิ มชี วี ติ เซลล์
- รอ้ ยละ 60
เดียว - ตรวจ Topic Questions - Topic Questions ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหัด - ร้อยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
2) การเคลื่อนที่ของ - ตรวจใบงานที่ 4.2 - ใบงาน 4.2
สัตว์ - ใบงาน 4.3 - ร้อยละ 60
- ตรวจใบงานท่ี 4.3 ผ่านเกณฑ์
- ตรวจ Topic Questions - Topic Questions - ร้อยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝึกหดั
- รอ้ ยละ 60
3) การเคล่ือนที่ของ - ตรวจใบงานที่ 4.4 - ใบงานท่ี 4.4 ผ่านเกณฑ์
มนษุ ย์ - ใบงานท่ี 4.5
- ตรวจใบงานที่ 4.5 - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
- ตรวจ Topic Questions - Topic Questions
- ร้อยละ 60
- ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝกึ หัด ผา่ นเกณฑ์
4) การปฏบิ ัตกิ าร - ประเมนิ การปฏิบตั กิ าร - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี
การปฏิบัติการ ผา่ นเกณฑ์
5) การนาเสนอ - ประเมนิ การนาเสนอ
ผลงาน ผลงาน - ผลงานท่ีนาเสนอ - ระดับคุณภาพดี
ผา่ นเกณฑ์
220
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 การเคลอ่ื นทขี่ องสง่ิ มชี ีวติ
รายการวัด วิธวี ัด เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ
6) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤติกรรม
- แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพดี
ทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล
7) พฤติกรรม - สังเกตพฤตกิ รรม การทางานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
การทางานกลุม่ การทางานกลมุ่ - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพดี
8) คุณลักษณะ - สงั เกตความมวี นิ ยั
การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
อนั พึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมั่น
ในการทางาน - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพดี
6.4 ประเมนิ หลังเรียน
- Unit Questions - ตรวจ Unit Questions คุณลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
หนว่ ยการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
ท่ี 4 อนั พงึ ประสงค์
- Test for U - ตรวจ Test for U
หน่วยการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 - Unit Questions - รอ้ ยละ 60
ที่ 4 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 ผ่านเกณฑ์
- แบบทดสอบ - ตรวจแบบทดสอบ
หลังเรยี น หน่วย หลังเรยี น - Test for U - ร้อยละ 60
การเรยี นรทู้ ่ี 4
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ผ่านเกณฑ์
- แบบทดสอบหลงั เรียน - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ เวลา 2 ชัว่ โมง
แผนฯ ที่ 1 : การเคลอ่ื นทข่ี องสิง่ มชี ีวติ เซลลเ์ ดียว เวลา 4 ชวั่ โมง
วธิ กี ารสอนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept-Based Instruction)
เวลา 5 ชวั่ โมง
แผนฯ ที่ 2 : การเคลอ่ื นที่ของสัตว์ (รวมเวลา 11 ชั่วโมง)
วธิ ีการสอนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept-Based Instruction)
แผนฯ ท่ี 3 : การเคลื่อนที่ของมนุษย์
วธิ ีการสอนแบบการบรรยาย (Lecture Method)
221
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 การเคลอ่ื นท่ขี องสง่ิ มชี ีวติ
8. สอื่ /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 ส่ือการเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 4 การเคล่ือนทข่ี องส่ิงมชี ีวิต
2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ท่ี 4 การเคล่อื นท่ขี องส่งิ มชี วี ิต
3) แบบทดสอบก่อนเรยี น หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 การเคล่อื นท่ีของสง่ิ มชี วี ติ
4) แบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 4 การเคลอ่ื นที่ของสิง่ มชี ีวติ
5) ใบงานท่ี 4.1 เรื่อง การเคล่ือนทข่ี องสิ่งมีชวี ติ เซลล์เดียว
6) ใบงานที่ 4.2 เรอ่ื ง การเคล่ือนท่ขี องสัตว์ (ตอนท่ี 1)
7) ใบงานท่ี 4.3 เรอื่ ง การเคล่ือนทข่ี องสัตว์ (ตอนท่ี 2)
8) ใบงานที่ 4.4 เรอ่ื ง ขอ้ ตอ่
9) ใบงานท่ี 4.5 เร่อื ง เซลล์กล้ามเน้อื
9) PowerPoint เร่อื ง การเคลอ่ื นทขี่ องส่งิ มชี วี ิต
10) QR Code เรื่อง การเคลื่อนท่ีของแมลง และโครงกระดกู มนษุ ย์
11) วดี ทิ ัศน์ เร่ือง การเคลอื่ นท่ขี องส่ิงมีชวี ติ เซลลเ์ ดยี ว และการหดตัวของกล้ามเนื้อ
11) บตั รภาพโครงสร้างของกลา้ มเนื้อโครงร่าง
8.2 แหลง่ การเรยี นรู้
1) หอ้ งเรียน
2) หอ้ งสมุด
3) ห้องปฏิบตั ิการ
4) สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์
222
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 4 การเคลอ่ื นทขี่ องสงิ่ มชี ีวติ
แบบทดก่อนกอ่ นเรยี น
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4
คาชแี้ จง : ให้นกั เรยี นเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
1. ส่งิ มีชีวติ ใดเคลือ่ นที่โดยใช้การไหลของไซโทพลาซึม 6. ข้อใดเปน็ กระดูกแกนทัง้ หมด
1. ไฮดรา 2. อะมบี า 1. กระดูกสันหลัง กระดูกแขน กระดกู ขา
3. ยกู ลีนา 4. พลานาเรีย 2. กระดูกสะบัก กระดูกก้นกบ กระดูกขา
5. พารามีเซียม 3. กระดกู อก กระดูกสะบกั กระดกู ซโี่ ครง
2. การจดั เรยี งตัวของไมโครทวิ บลู ในแฟลเจลลัมเป็น 4. กะโหลกศรี ษะ กระดูกอก กระดูกซ่ีโครง
แบบใด 5. กะโหลกศีรษะ กระดูกแขน กระดกู เชงิ กราน
1. 9+0 2. 9+1 7. ขาสามารถงอได้เน่ืองมาจากการทางานของข้อต่อ
3. 9+2 4. 9+3 ชนิดใด
5. 9+4 1. ข้อตอ่ แบบเบ้า 2. ขอ้ ตอ่ แบบเดือย
3. สตั วใ์ นขอ้ ใดอาศัยแรงดันนา้ ในการเคลอ่ื นที่ 3. ขอ้ ตอ่ แบบสไลด์ 4. ข้อต่อแบบอานม้า
1. ปลา 2. ไฮดรา 5. ข้อตอ่ แบบบานพบั
3. พลานาเรีย 4. แมงกระพรุน 8. กลา้ มเนื้อใดถูกควบคุมโดยระบบประสาทโซมาติก
5. แมงดาทะเล 1. กลา้ มเนอื้ ขา
4. การเคล่ือนทขี่ องไส้เดอื นดินใช้กล้ามเน้ือชนิดใด 2. กล้ามเนือ้ หวั ใจ
1. กลา้ มเน้อื วงและกล้ามเนอื้ ตามยาว 3. กลา้ มเนอ้ื ลาไส้
2. กล้ามเน้ือวงและกลา้ มเนื้อตามขวาง 4. กล้ามเนอื้ ผนังมดลกู
3. กลา้ มเนื้อหนา้ ทอ้ งและกล้ามเนือ้ ตามยาว 5. กล้ามเนอื้ กระเพาะอาหาร
4. กลา้ มเนือ้ หนา้ ทอ้ งและกล้ามเน้ือตามยาว 9. ข้อใดไม่ใชบ่ ทบาทสาคัญของระบบกลา้ มเนื้อ
5. กล้ามเนอ้ื ตามยาวและกลา้ มเนือ้ ตามขวาง 1. เป็นแหลง่ สะสมพลงั งาน
5. การทางานของโครงสร้างใดของปลาทาให้ 2. ช่วยให้รา่ งกายเคลือ่ นไหวได้
เคลื่อนท่ีเป็นรปู ตวั เอส 3. ยดึ กระดกู 2 ชนิ้ ใหเ้ ชอื่ มตอ่ กัน
1. ครีบหางและครีบอก 4. รักษาอุณหภมู ใิ ห้อยใู่ นช่วงที่เหมาะสม
2. ครีบหางและครบี สะโพก 5. ลาเลยี งสารตา่ ง ๆ ไปยังอวัยวะเปา้ หมาย
3. กลา้ มเน้อื วงและกลา้ มเนื้อตามยาว 10. ในเซลล์กล้ามเนือ้ แคลเซียมไอออนถูกสะสมไวท้ ่ใี ด
4. กลา้ มเน้ือท่ยี ดึ ตดิ กบั กระดกู สนั หลัง 1. ไซโทพลาซึม 2. ไมโทคอนเดรยี
5. กลา้ มเนอ้ื ตามยาวและกล้ามเนอ้ื ตามขวาง 3. ไมโครฟิลาเมนต์ 4. กอจจคิ อมเพล้กซ์
5. ซารโ์ คพลาสมิกเรติคิวลัม
เฉลย
1. 2 2. 3 3. 4 4. 1 5. 4 6. 4 7. 5 8. 1 9. 3 10. 5
223
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 การเคลอ่ื นท่ขี องส่งิ มชี วี ติ
แบบทดก่อนหลงั เรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
คาช้แี จง : ให้นักเรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
1. โครงสร้างใดมีบทบาทสาคัญในการเคลื่อนที่แบบ 5. สตั วเ์ คลอ่ื นที่โดยอาศัยการทางานของกล้ามเนือ้ 2
อะมีบา ชดุ ในสภาวะตรงข้าม ยกเว้นข้อใด
1. ซเิ ลีย 2. เซนทริโอ 1. ผีเสอ้ื 2. ฉลาม
3. แฟลเจลลัม 4. ไมโครทิวบลู 3. ต๊กั แตน 4. นกพิราบ
5. ไมโครฟิลาเมนท์ 5. ไส้เดอื นดนิ
2. สง่ิ มีชวี ิตใดเคลอ่ื นท่ีโดยใช้ซิเลีย 6. ขอ้ ใดเป็นกระดกู รยางคท์ ้งั หมด
1. ไฮดรา 2. อะมบี า 1. กระดกู แขน กระดูกขา กระดูกอก
3. ยกู ลีนา 4. วอลวอกซ์ 2. กระดกู แขน กระดูกขา กระดูกสะบกั
5. พารามีเซยี ม 3. กระดกู ซีโ่ ครง กระดูดเชิงกราน กระดูกขา
3. ข้อใดจับคู่โครงสร้างที่ใช้เคล่ือนท่ีของสัตว์ได้ 4. กะโหลกศรี ษะ กระดูกคอ กระดกู เชงิ กราน
ถกู ตอ้ ง 5. กระดกู แขน กระดกู สะบัก กระดูกไหปลารา้
1. หมึก-ทอ่ ไซฟอน 7. แขนสามารถเหว่ียงเป็นวงกลมได้เน่ืองมาจากการ
2. ไส้เดอื นดิน-เดอื ย ทางานของขอ้ ต่อชนิดใด
3. ดาวทะเล-มาดรโี พไรต์ 1. ขอ้ ตอ่ แบบเบา้ 2. ขอ้ ต่อแบบวงรี
4. แมงกะพรุน-เทนทาเคลิ 3. ข้อตอ่ แบบหมนุ 4. ขอ้ ตอ่ แบบสไลด์
5. ไฮดรา-แกสโตรวาสควิ ลาร์ 5. ข้อตอ่ แบบานพบั
4. ในขณะท่ีแมลงยกปีกข้ึนจะมีการทางานของ 8. ข้อใดเปน็ ลักษณะสาคัญของกลา้ มเนือ้ โครงร่าง
กล้ามเน้ืออยา่ งไร 1. พบบรเิ วณอวยั วะภายใน
1. กล้ามเนื้อยกปีกคลายตัว กล้ามเนื้อกดปีก 2. ถูกควบคุมโดยระบบประสาทอตั โนวัติ
หดตวั 3. เปน็ กลา้ มเนื้อทมี่ ีลาย มีแถบสเี ข้มสลบั จาง
2. กล้ามเนื้อยกปีกหดตัว กล้ามเน้ือกดปีก 4. เซลล์มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกที่มีลาย
คลายตัว ตามขวาง
3. กล้ามเนื้อยึดเปลือกหุ้มส่วนอกและกล้ามเน้ือ 5. เซลล์มีลักษณะแบนยาว หัวท้ายแหลม แต่ละ
ตามยาวยดึ ปกี หดตวั เซลลม์ ี 1 นวิ เคลียส
4. กล้ามเนื้อยึดเปลือกหุ้มส่วนอกคลายตัว
กล้ามเนอ้ื ตามยาวยดึ ปีกหดตวั
5. กล้ าม เน้ื อยึ ดเป ลือ กหุ้ ม ส่ วน อก ห ด ตั ว
กลา้ มเน้อื ตามยาวยึดปีกคลายตัว
224
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 4 การเคลอื่ นทขี่ องสิง่ มชี ีวติ
แบบทดสอบหลังเรียน
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4
คาชแ้ี จง : ให้นักเรียนเลือกคาตอบท่ีถูกต้องท่ีสุดเพียงข้อเดียว
9. ในขณะยกกล่อง กล้ามเน้ือบริเวณแขนทางาน 10. การหดตัวของกลา้ มเนอ้ื เกดิ จากอะไร
สัมพนั ธ์กันอย่างไร 1. การเลือ่ นตัวของแอกทนิ เข้าหากนั
1. กลา้ มเนื้อไบเซพหดตัว กล้ามเนือ้ ไตรเซพหดตวั 2. แอกทนิ หดตวั และไมโอซินคลายตวั
2. กล้ามเนื้อไบเซพคลายตัว กล้ามเนื้อไตรเซพ 3. การเลอื่ ตวั ของไมโอซินเขา้ หาแอกทนิ
หดตวั 4. การจบั กนั ของแอกทินกบั โปรตนี ควบคมุ
3. กล้ามเนื้อไบเซพหดตัว กล้ามเนื้อไตรเซพ 5. แคลเซียมถูกดึงกลับไปยังซาร์โคพลาสมิก-
คลายตวั เรติคิวลมั
4. กล้ามเน้ือไบเซพไม่เปล่ียนแปลง กล้ามเน้ือ
ไตรเซพหดตวั
5. กล้ามเนื้อไบเซพหดตัว กล้ามเน้ือไตรเซพ
ไมเ่ ปล่ยี นแปลง
เฉลย
1. 5 2. 5 3. 1 4. 5 5. 2 6. 2 7. 1 8. 3 9. 3 10. 1
225
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 การเคลอ่ื นท่ีของส่ิงมชี ีวิต
แบบประเมนิ ช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผนฯ ที่ 1-3
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผนภาพ
คาชแ้ี จง : ให้ผู้สอนประเมินช้ินงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรง
กบั ระดบั คะแนน
ลาดบั ท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน
4321
1 ความสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์
2 ความถกู ตอ้ งของเนอื้ หา
3 ความคดิ สร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ลงช่ือ ................................................... ผ้ปู ระเมนิ
............../................../................
เกณฑก์ ารประเมนิ ผงั มโนทศั น/์ ป้ายนเิ ทศ
ประเด็นท่ปี ระเมิน 4 ระดบั คะแนน 1
32
1. ความ ผลงานสอดคล้องกบั ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคลอ้ งกบั ผลงานไมส่ อดคล้องกับ
สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคท์ กุ ประเด็น จุดประสงคเ์ ปน็ จุดประสงค์บางประเด็น จดุ ประสงค์
จดุ ประสงค์ ส่วนใหญ่
2. ความถกู ต้อง เน้อื หาสาระของผลงาน เนอ้ื หาสาระของผลงาน เน้อื หาสาระของผลงาน เนอ้ื หาสาระของผลงาน
ของเน้ือหา ถกู ตอ้ งครบถ้วน ถกู ตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่ ถกู ต้องบางประเดน็ ไม่ถกู ต้องเป็นสว่ นใหญ่
3. ความคดิ ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถงึ ความคิด ผลงานมีความนา่ สนใจ ผลงานไมม่ ีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สรา้ งสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไมม่ แี นวคดิ แปลก นา่ สนใจ และไม่แสดง
และเปน็ ระบบ แตย่ ังไมเ่ ปน็ ระบบ ใหม่ ถงึ แนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ
เวลา สง่ ชิ้นงานภายในเวลาท่ี สง่ ชน้ิ งานชา้ กว่าเวลาที่ สง่ ช้ินงานชา้ กวา่ เวลาท่ี ส่งช้ินงานช้ากว่าเวลาท่ี
กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วนั กาหนด 3 วนั ขึ้นไป
เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรงุ
226
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 4 การเคลอื่ นท่ขี องสง่ิ มชี วี ิต
แบบประเมินการปฏบิ ตั กิ าร
คาชแี้ จง : ให้ผูส้ อนประเมนิ การปฏิบัตกิ ารของนักเรยี นตามรายการท่ีกาหนด แลว้ ขดี ลงในช่องท่ตี รงกับ
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
4321
1 การปฏิบัติการทดลอง
2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ รวม
3 การนาเสนอ
ลงชอ่ื ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
227
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 การเคลอื่ นทขี่ องสิง่ มชี วี ติ
เกณฑ์การประเมนิ การปฏิบตั ิการ
ประเดน็ ทป่ี ระเมิน 4 ระดบั คะแนน 1
32
ตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลือ
1. การปฏิบตั ิการ ทาการทดลองตาม ทาการทดลองตาม ตอ้ งให้ความชว่ ยเหลอื อย่างมากในการทาการ
ทดลอง ขั้นตอน และใชอ้ ุปกรณ์ ขัน้ ตอน และใชอ้ ุปกรณ์ บา้ งในการทาการ ทดลอง และการใช้
ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง แต่อาจ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์
ต้องได้รับคาแนะนาบา้ ง อุปกรณ์
2. ความ มคี วามคลอ่ งแคล่ว มคี วามคล่องแคล่ว ขาดความคลอ่ งแคลว่ ทาการทดลองเสรจ็
ในขณะทาการทดลอง ในขณะทาการทดลอง ไม่ทนั เวลา และทา
คล่องแคล่ว ในขณะทาการทดลอง แตต่ ้องไดร้ ับคาแนะนา จึงทาการทดลองเสร็จ อุปกรณ์เสียหาย
บา้ ง และทาการทดลอง ไม่ทันเวลา
ในขณะ โดยไม่ต้องได้รับ เสร็จทันเวลา ต้องให้ความชว่ ยเหลือ
บนั ทกึ และสรปุ ผล ต้องให้คาแนะนาในการ อยา่ งมากในการบันทกึ
ปฏิบัติการ คาชแ้ี นะ และทาการ การทดลองไดถ้ กู ตอ้ ง บนั ทกึ สรปุ และ สรุป และนาเสนอผล
แต่การนาเสนอผล นาเสนอผลการทดลอง การทดลอง
ทดลองเสร็จทนั เวลา การทดลองยังไม่เป็น
ข้นั ตอน
3. การบันทกึ สรปุ บันทึกและสรปุ ผล
และนาเสนอผล การทดลองได้ถกู ตอ้ ง
การทดลอง รัดกุม นาเสนอผลการ
ทดลองเป็นขน้ั ตอน
ชัดเจน
เกณฑก์ ารตดั สนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
11-12 ดมี าก
9-10 ดี
6-8 พอใช้
ตา่ กว่า 6 ปรบั ปรุง
228
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 4 การเคลอ่ื นท่ีของส่งิ มชี วี ติ
แบบประเมนิ การนาเสนอผลงาน
คาชีแ้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องท่ี
ตรงกบั ระดบั คะแนน
ลาดับท่ี รายการประเมนิ ระดับคะแนน 1
32
1 เนื้อหาละเอยี ดชดั เจน
2 ความถกู ต้องของเนื้อหา
3 ภาษาทใ่ี ช้เข้าใจงา่ ย
4 ประโยชน์ที่ไดจ้ ากการนาเสนอ
5 วธิ กี ารนาเสนอผลงาน
รวม
ลงชื่อ...................................................ผปู้ ระเมิน
............/................./................
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ สมบรู ณช์ ัดเจน ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 1 คะแนน
ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน
เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดบั คุณภาพ
14-15 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากวา่ 8 ปรบั ปรงุ
229
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 การเคลอื่ นท่ขี องส่งิ มชี วี ติ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล
คาชีแ้ จง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในชอ่ งที่
ตรงกับระดบั คะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 1
32
1 การแสดงความคิดเห็น
2 การยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อื่น
3 การทางานตามหนา้ ท่ีท่ีไดร้ ับมอบหมาย
4 ความมนี า้ ใจ
5 การตรงต่อเวลา
รวม
ลงชอ่ื ...................................................ผ้ปู ระเมนิ
............../.................../................
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 3 คะแนน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอย่างสม่าเสมอ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางคร้ัง
เกณฑ์การตัดสนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
14-15 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรบั ปรุง
230
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 4 การเคลอ่ื นท่ขี องส่งิ มชี วี ติ
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขดี ลงในช่องท่ี
ตรงกับระดับคะแนน
การมี
ลาดับท่ี ชอื่ –สกลุ การแสดง การยอมรบั การทางาน ความมี สว่ นรว่ มใน รวม
ของนกั เรียน ความ ฟังคนอ่นื ตามท่ีได้รับ นา้ ใจ การ 15
คดิ เห็น มอบหมาย คะแนน
ปรับปรุง
ผลงานกลุม่
321321321321321
เกณฑ์การให้คะแนน ลงชอื่ ...................................................ผปู้ ระเมิน
ปฏบิ ัติหรอื แสดงพฤติกรรมอย่างสมา่ เสมอ ............../.................../...............
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤตกิ รรมบางครั้ง ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคณุ ภาพ
14-15 ดมี าก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ตา่ กวา่ 8 ปรบั ปรงุ
231
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การเคลอื่ นทข่ี องส่งิ มชี ีวติ
แบบประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องท่ี
ตรงกบั ระดบั คะแนน
คุณลักษณะ รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
อันพงึ ประสงคด์ ้าน 321
1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยืนตรงเคารพธงชาติ และรอ้ งเพลงชาตไิ ด้
กษัตริย์ 1.2 เข้าร่วมกิจกรรมท่สี ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเปน็ ประโยชน์
2. ซ่ือสัตย์ สุจรติ ตอ่ โรงเรยี น
3. มวี ินัย รับผดิ ชอบ 1.3 เข้าร่วมกจิ กรรมทางศาสนาท่ตี นนับถือ ปฏิบตั ิตามหลักศาสนา
4. ใฝ่เรยี นรู้ 1.4 เข้ารว่ มกิจกรรมทเี่ กีย่ วกับสถาบันพระมหากษตั ริยต์ ามท่ีโรงเรยี นจดั ขึ้น
2.1 ใหข้ อ้ มูลทีถ่ ูกต้อง และเป็นจรงิ
5. อยูอ่ ยา่ งพอเพียง 2.2 ปฏบิ ัติในสิง่ ทถ่ี ูกตอ้ ง
3.1 ปฏบิ ัตติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของครอบครัว
6. มงุ่ มั่นในการทางาน
7. รกั ความเป็นไทย มคี วามตรงต่อเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมตา่ ง ๆ ในชีวิตประจาวัน
8. มจี ติ สาธารณะ 4.1 รจู้ กั ใช้เวลาว่างใหเ้ ป็นประโยชน์ และนาไปปฏิบตั ิได้
4.2 รจู้ กั จัดสรรเวลาใหเ้ หมาะสม
4.3 เชอ่ื ฟงั คาสง่ั สอนของบิดา - มารดา โดยไม่โตแ้ ย้ง
4.4 ตง้ั ใจเรยี น
5.1 ใช้ทรัพยส์ นิ และส่งิ ของของโรงเรยี นอย่างประหยดั
5.2 ใชอ้ ุปกรณก์ ารเรียนอยา่ งประหยัดและรคู้ ุณค่า
5.3 ใชจ้ ่ายอยา่ งประหยดั และมกี ารเกบ็ ออมเงิน
6.1 มีความตงั้ ใจและพยายามในการทางานที่ไดร้ ับมอบหมาย
6.2 มีความอดทนและไม่ท้อแทต้ ่ออุปสรรคเพอ่ื ให้งานสาเรจ็
7.1 มีจิตสานึกในการอนรุ กั ษ์วัฒนธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย
7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย
8.1 รู้จักชว่ ยพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครทู างาน
8.2 รู้จกั การดแู ลรกั ษาทรัพย์สมบัติและสิ่งแวดล้อมของหอ้ งเรียนและ
โรงเรยี น
ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../...............
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตดั สินคณุ ภาพ
พฤติกรรมที่ปฏบิ ัติชัดเจนและสมา่ เสมอ ให้ 3 คะแนน ชว่ งคะแนน ระดับคณุ ภาพ
พฤติกรรมท่ีปฏบิ ตั ิชดั เจนและบ่อยคร้งั ให้ 2 คะแนน 51-60 ดมี าก
พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัตบิ างครง้ั ให้ 1 คะแนน 41-50 ดี
30-40 พอใช้
ตา่ กวา่ 30 ปรบั ปรุง
232
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 การเคลอื่ นทข่ี องสิ่งมชี ีวิต
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 1 การเคลื่อนทข่ี องส่งิ มีชวี ิตเซลล์เดยี ว
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1
การเคลื่อนทขี่ องสิ่งมชี วี ิตเซลล์เดียว
เวลา 2 ชัว่ โมง
1. ผลการเรียนรู้
14. สืบคน้ ข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้างและหน้าทีข่ องอวัยวะท่ีเกี่ยวข้องกบั การเคลอ่ื นทข่ี อง
แมงกะพรุน หมกึ ดาวทะเล ไส้เดอื นดิน แมลง ปลา และนก
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายการเคล่อื นท่ขี องสง่ิ มชี วี ิตเซลล์เดียว (K)
2. เปรียบเทยี บโครงสรา้ งที่ใชใ้ นการเคล่อื นทีข่ องสงิ่ มชี ีวิตเซลลเ์ ดียว (K)
3. ใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ นการศกึ ษาได้อย่างถกู ต้อง (P)
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและมุง่ ม่นั ในการทางาน (A)
3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ
พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
- สงิ่ มชี ีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคล่อื นท่ีโดยการไหล
ของไซโทพลาซึม บางชนิดใช้แฟลเจลลัมหรือ
ซเิ ลยี ในการเคล่อื นท่ี
4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การเคลื่อนทขี่ องสงิ่ มีชวี ิตเซลลเ์ ดยี วมีลกั ษณะแตกต่างกนั ตามโครงสรา้ งของเซลล์ ดงั น้ี
1. การเคลื่อนที่โดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึม พบในอะมีบา โดยอาศัยการแปรสภาพของ
เอ็กโทพลาซึมและเอนโดพลาซึม ซึ่งจะทางานร่วมกับการหดตัวและคลายตัวไมโครฟิลาเมนต์
(แอกทินและไมโอซนิ )
2. การเคลื่อนที่โดยอาศยั ซิเลยี และแฟลเจลลมั
- แฟลเจลลัม มีลักษณะเป็นเส้นใยยาว รูปร่างคล้ายแส้ มีจานวน 1-2 เส้น แฟลเจลลัม
โบกพัดจากโคนสู่ปลายทาให้เกิดการเคลื่อนไหวแบบลูกคลื่น พบในยูกลีนาและ
วอลวอกซ์
- ซิเลีย มีจานวนมากกว่าแฟลเจลลัม แต่ส้ันกว่า และกระจายอยู่รอบเซลล์ ซิเลียโบกพัด
ในทิศทางเดียวกันทาให้เซลล์เคลื่อนท่ีไปด้านหน้าแบบไม่มีทิศทาง พบในพารามีเซียม
พลานาเรีย
233
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การเคลอื่ นท่ีของสิ่งมชี วี ิต
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 1 การเคลอ่ื นทข่ี องสิง่ มีชวี ิตเซลล์เดียว
5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นและคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวนิ ยั
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มุ่งมน่ั ในการทางาน
2) ทกั ษะการเปรียบเทยี บ
3) ทักษะการจาแนกประเภท
4) ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู
3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนคิ : แบบเนน้ มโนทศั น์ (Concept Based Teaching)
ชวั่ โมงท่ี 1-2
ขนั้ นา
การใช้ความรู้เดมิ เช่ือมโยงความรู้ใหม่ (Prior Knowledge)
1. แจง้ ผลการเรยี นรขู้ องหน่วยการเรยี นรู้ท่ี 4 การเคลอ่ื นทข่ี องส่งิ มีชีวิต ให้นกั เรียนทราบ
2. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 4 การเคล่อื นทขี่ องสงิ่ มชี ีวติ
3. นกั เรยี นทา Check for Understanding เพ่อื ตรวจสอบความเขา้ ใจของตนเองกอ่ นเรียน
4. ถามคาถาม Big Question เพื่อให้นักเรียนได้ร่วมกันวิเคราะห์ว่า “สิ่งมีชีวิตท่ีอาศัยในสภาพแวดล้อม
แตกตา่ งกันมโี ครงสรา้ งท่เี หมาะสมในการเคลือ่ นที่แตกตา่ งกนั อย่างไร”
(แนวตอบ: ส่ิงมีชีวิตที่อาศัยในสภาพแวดล้อมแตกต่างกันจะมีโครงสร้างในการเคล่ือนท่ีแตกต่างกัน
เพือ่ ใหเ้ หมาะสมต่อการดารงชวี ติ ของสง่ิ มีชีวติ แตล่ ะชนดิ เชน่ นกเป็นสตั ว์ปกี ซึง่ ต้องดารงชวี ิต
โดยการบิน จึงจาเป็นต้องมีกล้ามเน้ือติดปีกที่แข็งแรง อีกท้ังยังมีโครงสร้างลาตวั อื่น ๆ ท่ีช่วย
ให้นกสามารถลอยตัวในอากาศได้ดี เช่น มีกระดูกกลวง เบา และอัดตัวแน่น จึงทาให้นกมี
รูปร่างเพรียว ปลาเป็นสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในน้า การว่ายน้าจึงจาเป็นต้องมีกล้ามเนื้อติดกระดูก
สนั หลังที่แข็งแรงและมคี รีบต่าง ๆ ช่วยในการทรงตวั อกี ทง้ั ลาตัวยังมรี ูปรา่ งเพรียว มีผิวเรียบ
ลื่น และมีเมือกเพ่ือลดแรงเสียดทานของน้าซ่ึงมีค่าสูง หรือส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียวที่อาศัยอย่ใน
สภาพแวดล้อมท่ีเป็นน้าจะมีโครงสร้างที่ใช้โบกพัดเพ่ือให้เคลื่อนที่ได้ เช่น พารามีเซียมใช้ซิ
เลีย ยูกลนี าใช้แฟลเจลลัม (นักเรียนอาจยังไมส่ ามารถตอบคาถามได้))
234
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 การเคลอื่ นท่ีของส่ิงมชี ีวติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 1 การเคลอ่ื นทข่ี องสิง่ มีชวี ติ เซลล์เดยี ว
5. ทบทวนความรู้ เร่ือง ไซโทสเกเลตอน ให้นักเรียนฟังว่า ไซโทสเกเลตอนเป็นเส้นใยโปรตีนที่เช่ือมโยงกัน
เป็นร่างแห ทาหน้าท่ีค้าจุนเซลล์ซ่ึงเปรียบเสมือนเป็นโครงกระดูกของเซลล์ โดยเป็นท่ียึดเกาะของ
ออร์แกเนลล์ให้คงอยู่ในตาแหน่งต่าง ๆ และยังทาหน้าท่ีลาเลียงออร์แกเนลล์ให้เคล่ือนท่ีในเซลล์ ไซโท-
สเกเลตอน แบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ตามชนิดของหน่วยย่อยทีเ่ ป็นองค์ประกอบ ดงั น้ี
1. ไมโครฟิลาเมนท์ (microfilament) ประกอบด้วยเส้นใยโปรตีนท่ีมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ 7 นาโนเมตร เกิดจากโปรตีนแอกทิน (actin) ต่อกันเป็นสาย 2 สายพันและบิดตัว
เป็นเกลียวคล้ายสายสร้อยไข่มุก เรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่า แอกทินฟิลาเมนท์ (actin filament)
ทาหน้าท่ีเก่ียวกับ การเคลื่อนท่ีของเซลล์ เช่น การเคล่ือนท่ีของอะมีบา หรือเซลล์เม็ดเลือด
ขาวซ่ึงกินแบคทีเรียแบบฟาโก- ไซโทซิส และทาหน้าท่ีค้าจุนโครงสร้างของเซลล์ โดยพบได้ใน
ไมโครวิลไลท่ีเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์เยื่อบุผิวในลาไส้เล็ก นอกจากนี้ยังช่วยในการแบ่งไซ
โทพลาสซึมในกระบวนการแบง่ เซลล์
2. ไมโครทิวบูล (microtubule) เกิดจากโปรตีนทูบูลิน (tubulin) เรียงต่อกันเป็นสาย มีลักษณะ
เป็นแท่งกลวง ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 นาโนเมตร เป็นส่วนประกอบของซิเลีย
แฟลกเจลลมั และยังทาหนา้ ทล่ี าเลยี งออร์แกเนลล์ภายในเซลลด์ ้วย
3. อินเทอร์มีเดียทฟิลาเมนท์ (intermediate filaments) เป็นเส้นใยท่ีประกอบด้วยหน่วยย่อย
หลายหน่วย ซ่งึ เรียงตัวเป็นสายยาว 8 ชุด ชุดละ 4 สาย พันบิดกันเป็นเกลียว มีขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 8-10 นาโนเมตร จัดเรียงตัวเป็นร่างแหตามลักษณะรูปรา่ งของเซลล์ พบได้
ทโ่ี ปรตีนเคอราทินในผิวหนัง ขน และเลบ็ ของสัตวเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยน้านม
6. ถามคาถาม Key Question กบั นกั เรียนวา่ สิง่ มีชวี ิตเซลลเ์ ดียวแตล่ ะชนิดเคลื่อนทแ่ี ตกตา่ งกันอย่างไร
(แนวตอบ: อะมีบาเคลื่อนท่ีโดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึมร่วมกับการหดตัวของไมโครฟิลาเมนท์
ส่วนพารามีเซียม ยูกลีนา วอลวอกซ์ เคลื่อนที่โดยอาศัยซิเลียหรือแฟลเจลลัมซึ่งจะโบกพัด
แลว้ ทาใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นท่ี (นกั เรียนอาจยังไม่สามารถตอบคาถามได)้ )
ขนั้ สอน
ข้ันรู้ (Knowing)
1. จัดกิจกรรมกลุ่ม เร่ือง การเคล่ือนท่ีของส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว โดยให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 6 กลุ่ม ศึกษาการ
เคล่ือนทีข่ องสิ่งมีชวี ิตเซลลเ์ ดียวภายใต้กลอ้ งจุลทรรศน์ ตามฐานต่าง ๆ ดงั น้ี
- ฐานท่ี 1 การเคล่อื นทข่ี องอะมบี า
- ฐานที่ 2 การเคลอื่ นทข่ี องยูกลีนา
- ฐานที่ 3 การเคลือ่ นทีข่ องพารามเี ซียม
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนท่ีและโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
เซลลเ์ ดยี ว ท่สี ังเกตภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์
235
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 การเคลอื่ นทข่ี องสิง่ มชี วี ิต
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การเคล่ือนทขี่ องส่งิ มชี วี ติ เซลลเ์ ดยี ว
3. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ออกมาอธิบายการเคล่ือนที่ของส่ิงมีชวี ติ เซลล์เดียว ดังนี้
- กลุ่มที่ 1-2 การเคลอื่ นทข่ี องอะมบี า
- กลมุ่ ที่ 3-4 การเคลื่อนทข่ี องยกู ลนี า
- กลมุ่ ท่ี 5-6 การเคลอ่ื นท่ีของพารามีเซียม
โดยระหว่างทีน่ ักเรียนนาเสนอให้นักเรยี นในชัน้ เรียนร่วมกันเสนอแนะ และครคู อยเพิ่มเตมิ ประเด็นท่ขี าด
หายไป
4. นาวดี ิทศั นแ์ สดงการเคลื่อนท่ีของอะมีบามาประกอบการอธบิ าย เชน่
- https://www.youtube.com/watch?v=7pR7TNzJ_pA
- https://www.youtube.com/watch?v=QTIYOC-vwl8
- https://www.youtube.com/watch?v=PsYpngBG394
พร้อมอธิบายประกอบวา่ อะมีบาเคล่ือนท่ีโดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึม เรียกการเคลื่อนทรี่ ูปแบบน้ี
ว่า การเคลื่อนท่ีแบบอะมีบา (amoeboid movement) โดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึมที่มีการแปร
สภาพกลับไปกลับมา ได้แก่ เอ็กโทพลาซึมเป็นไซโทพลาซึมชั้นนอกที่มีลักษณะข้นหนืด กึ่งแข็งก่ึงเหลว
และเอนโดพลาซึม เป็นไซโทพลาซึมชนั้ ในท่ีมีลักษณะค่อนข้างเหลว ซึ่งทางานรว่ มกับการหดตัวและคลาย
ตัวของไมโครฟิลาเมนท์ 2 ชนิด ได้แก่ แอกทินและไมโอซิน ทาให้เกิดการไหลของไซโทพลาซึมไปใน
ทศิ ทางท่ีเซลลเ์ คลอื่ นท่ีและดนั เย่อื หมุ้ เซลล์ ส่วนนนั้ ใหโ้ ป่งออกเปน็ เทา้ เทยี ม จากนั้นไซโทพลาซมึ ท้งั เซลล์
จะเคลือ่ นทไ่ี ปตามเทา้ เทยี ม
5. นาวดี ิทัศน์แสดงการเคล่ือนท่ขี องยูกลีนามาประกอบการอธิบาย เช่น
- https://www.youtube.com/watch?v=fI7nEWUjk3A
- https://www.youtube.com/watch?v=9nxoSRasq2Q
พร้อมอธิบายประกอบว่า ยูกลีนาเคล่ือนที่โดยใช้แฟลเจลลมั ซ่ึงมีลักษณะเป็นเส้นใยยาว รูปรา่ งคล้ายแส้
มีจานวน 1-2 เส้น แฟลเจลลัมจะโบกพัดจากโคนสู่ปลายทาให้เกิดการเคล่ือนไหวเป็นแบบลูกคลื่นและ
เกดิ แรงผลักให้สิง่ มชี วี ติ เคลื่อนท่ไี ด้
6. นาวดี ิทัศน์แสดงการเคลอ่ื นที่ของพารามีเซยี มมาประกอบการอธบิ าย เช่น
- https://www.youtube.com/watch?v=RyQfvxH425Q
- https://www.youtube.com/watch?v=vo_AQVrjS04
พร้อมอธิบายประกอบว่า พารามีเซียมเคล่ือนที่โดยใช้ซิเลีย ซ่ึงมีลักษณะเป็นเส้นใยสั้น ๆ แต่กระจายอยู่
รอบเซลล์ และมีจานวนมากกวา่ แฟลเจลลมั ซิเลียจะโบกพัดในทิศทางเดียวกันคล้ายกรรเชียงเรือ แต่ไม่มี
การควบคุมทศิ ทางท่แี น่นอนทาใหเ้ ซลลฺหมุนไปในทกุ ทศิ ทาง
7. นักเรียนศึกษาโครงสร้างของซิเลียและแฟลเลลัม ซึ่งประกอบด้วยไมโครทิวบูล 9 กลุ่ม กลุ่มละ 2 หลอด
ทเี่ รียงกันเปน็ วง และบรเิ วณแกนกลางมีไมโครทิวบลู 2 หลอด โดยไมโครทิวบูลทเ่ี รยี งอยู่เปน็ วงจะมีไดนีน
อาร์มเชอื่ มกบั ไมโครทิวบลู ที่อยแู่ กนกลาง เกดิ เปน็ โครงสรา้ งทเี รยี กวา่ 9+2
236
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 การเคลอ่ื นท่ีของส่งิ มชี ีวติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 1 การเคล่ือนทข่ี องสิง่ มชี ีวิตเซลล์เดียว
เข้าใจ (Understanding)
8. ถามคาถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี น เชน่
- อะมบี า พารามเี ซียม และยูกลนี ามโี ครงสร้างทใ่ี ช้เคลือ่ นทแี่ ตกตา่ งกันอย่างไร
(แนวตอบ: อะมีบาเคลื่อนท่ีโดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึมร่วมกับการหดตัวของไมโครฟิลาเมนท์
พารามีเซียมคล่ือนที่โดยใช้ซิเลีย และยูกลีนาเคลื่อนทโ่ี ดยใชแ้ ฟลเจลลัม)
- ซเิ ลียและแฟลเจลัมแตกตา่ งกันอย่างไร
(แนวตอบ: ซิเลียมีลักษณะเป็นเส้นใยสั้น และมีจานวนมาก ส่วนแฟลเจลลัมมีลักษณะเป็นเส้นใยยาว
และมจี านวนเพียง 1-2 เส้น)
- เท้าเทียมของอะมบี า นอกจากใข้เคล่อื นทีแ่ ลว้ ยังใช้ประโยชน์ด้านใดได้อกี บา้ ง
(แนวตอบ: ใช้กินอาหาร โดยยื่นเท้าเทียมออกไปโอบล้อมอาหารและนาเข้าสู่เซลล์โดยบรรจุไว้ในรูป
ฟูดแวคิวโอล แล้วใช้เอนไซม์จากไลโซไซม์ย่อยอาหารให้มีขนาดเล้กลงและลาเลียงไปทั่ว
เซลล์)
- โครงสร้าง 9+2 ของซเิ ลยี หมายความวา่ อย่างไร
(แนวตอบ: ซิเลียประกอบดว้ ยไมโครทิวบูล 9 กลมุ่ กลุ่มละ 2 หลอด เรียงกันเป็นวง และแกนกลางมี
ไมโครทวิ บลู 2 หลอด)
9. นกั เรียนทา Topic Questions ทา้ ยหัวข้อ การเคลื่อนที่ของส่ิงมีชวี ิตเซลลเ์ ดียว จากหนังสอื เรียนรายวชิ า
เพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า 135 โดยบันทึกลงในสมุดบันทึกของ
นักเรียน
10. นักเรียนทาแบบฝึกหัด เร่ือง การเคล่ือนที่ของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ในแบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติม
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เล่ม 1 (อาจสง่ั ให้นักเรยี นทาเป็นการบา้ น)
ลงมอื ทา (Doing)
11. นักเรียนสืบค้นข้อมูล เร่ือง โครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนท่ีของส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว โดยหาภาพส่ิงมีชีวิต
เซลล์เดียวที่กาหนดให้และระบุโครงสร้างท่ีใช้ในการเคล่ือนที่ ลงในใบงานท่ี 4.1 เรื่อง การเคล่ือนท่ีของ
ส่งิ มีชีวิตเซลลเ์ ดยี ว
ขัน้ สรุป
1. นักเรียนและครูร่วมกันสรุปเก่ียวกับการเคล่ือนท่ีของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ส่ิงมีชีวิตเซลล์
เดยี วใชไ้ ซโทสเกเลตอนในการเคล่ือนที่ ซง่ึ การเคลอ่ื นทจี่ ะแตกต่างกันตามโครงสรา้ งของเซลล์ ได้แก่
- การเคลื่อนท่ีโดยอาศัยการไหลของไซโทพลาซึม พบในอะมีบา โดยอาศัยการแปรสภาพของ
เอ็กโทพลาซึมและเอนโดพลาซึม ซ่ึงจะทางานร่วมกับการหดตัวและคลายตัวไมโครฟิลาเมนต์
(แอกทนิ และไมโอซนิ )
237
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 การเคลอ่ื นท่ีของสง่ิ มชี วี ติ
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การเคลื่อนทข่ี องสง่ิ มชี ีวิตเซลล์เดียว
- การเคล่ือนท่ีโดยอาศัยแฟลเจลลัมและซิเลีย โดยแฟลเจลลัมมีลักษณะเป็นเส้นใยยาว รูปร่าง
คล้ายแส้ มีจานวน 1-2 เส้น แฟลเจลลัมจะโบกพัดจากโคนสู่ปลายทาให้เกิดการเคลื่อนไหว
แบบลูกคลื่น พบในยูกลีนาและวอลวอกซ์ ส่วนซิเลียมีจานวนมากกว่าแฟลเจลลัม แต่ส้ันกว่า
และกระจายอยู่รอบเซลล์ ซิเลียโบกพัดในทิศทางเดียวกันทาให้เซลล์เคล่ือนท่ีไปด้านหน้าแบบ
ไม่มที ศิ ทาง พบในพารามีเซียม พลานาเรีย
2. นกั เรียนเขยี นสรุปในรูปแบบผงั มโนทศั น์ เรอื่ ง การคลือ่ นที่ของสิ่งมีชีวิตเซลลเ์ ดียว โดยอธบิ ายโครงสรา้ งท่ี
ใชใ้ นการเคลอ่ื นท่ี และยกตวั อย่างส่ิงมชี ีวติ เซลลเ์ ดยี วทใ่ี ชโ้ ครงสร้างดงั กลา่ วเคลื่อนที่
ขั้นประเมิน
1. ประเมินความรู้เกี่ยวกับ เรื่อง การเคลื่อนที่ของส่ิงมีชีวิตเซลล์เดียว โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม
ตรวจแบบฝกึ หัด ตรวจใบงาน และตรวจผงั มโนทัศน์
2. ประเมนิ ทกั ษะและกระบวนการ โดยสังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ และใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์ในการศึกษา
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งมั่นใน
การทางาน
7. การวัดและการประเมินผล
รายการวัด วิธวี ดั เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
7.1 การประเมินก่อนเรียน - ประเมนิ ตาม
สภาพจริง
- แบบทดสอบก่อน - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบ
- ร้อยละ 60
เรยี น หน่วยการ ก่อนเรยี น ก่อนเรียน ผา่ นเกณฑ์
เรียนรูท้ ี่ 4 - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
7.2 การประเมินระหวา่ ง
- รอ้ ยละ 60
การจดั กจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์
1) การเคล่อื นที่ - ตรวจใบงานที่ 4.1 - ใบงาน 4.1 - ระดบั คุณภาพดี
ผา่ นเกณฑ์
ของส่ิงมชี ีวติ
เซลลเ์ ดียว - ตรวจ Topic Questions - Topic Questions
- ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหัด
- ตรวจผงั มโนทศั น์ เรือ่ ง - แบบประเมิน
การคลอ่ื นท่ีของส่ิงมชี วี ติ ผงั มโนทศั น์
เซลลเ์ ดยี ว
238
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 การเคลอื่ นทีข่ องสิ่งมชี วี ติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 1 การเคลือ่ นทขี่ องสง่ิ มีชวี ิตเซลลเ์ ดียว
รายการวัด วิธีวดั เครอ่ื งมือ เกณฑก์ ารประเมิน
2) การนาเสนอ - ประเมนิ การนาเสนอ
- ผลงานท่ีนาเสนอ - ระดับคุณภาพดี
ผลงาน ผลงาน
3) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์
การทางาน การทางานรายบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพดี
รายบุคคล
4) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม
- แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพดี
5) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมีวินัย
อันพึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ ม่นั การทางานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
ในการทางาน
- แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพดี
คุณลักษณะ ผา่ นเกณฑ์
อนั พงึ ประสงค์
8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 ส่อื การเรยี นรู้
1) หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้
ที่ 4 การเคลอ่ื นทีข่ องส่งิ มชี วี ติ
2) แบบฝึกหัดรายวิชาเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรู้ที่
4 การเคลอื่ นท่ีของสิ่งมชี ีวติ
3) แบบทดสอบก่อนเรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 การเคลื่อนท่ีของสงิ่ มีชีวติ
4) ใบงานที่ 4.1 เร่ือง การเคลอื่ นที่ของสง่ิ มชี วี ิตเซลลเ์ ดยี ว
5) PowerPoint เร่ือง การเคล่ือนที่ของสิ่งมีชีวิต
6) วดี ทิ ัศน์ เร่ือง การเคลอื่ นที่ของอะมีบา ยูกลีนา และพารามีเซยี ม
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
2) ห้องสมุด
3) หอ้ งปฏิบตั กิ าร
4) ส่อื อเิ ล็กทรอนกิ ส์
239
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การเคลอ่ื นท่ขี องสิ่งมชี วี ติ
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การเคลือ่ นทข่ี องสิง่ มชี ีวิตเซลล์เดียว
ใบงานที่ 4.1
เร่อื ง การเคลอ่ื นทขี่ องสิง่ มชี วี ิตเซลลเ์ ดียว
คาช้ีแจง : หาภาพสิง่ มชี ีวิตเซลล์เดยี วทีก่ าหนดให้ พรอ้ มระบโุ ครงสร้างทีใ่ ชใ้ นการเคลอื่ นที่ให้ถูกตอ้ ง
1. Trypanosoma sp. 2. Trichonympha sp.
โครงสรา้ งท่ีใชเ้ คลอ่ื นที่ โครงสร้างที่ใชเ้ คล่ือนท่ี
.................................................................. ..................................................................
3. Entamoeba histolytica 4. Colpidium colpoda
โครงสรา้ งที่ใช้เคลื่อนที่ โครงสรา้ งท่ีใชเ้ คลอ่ื นท่ี
.................................................................. ..................................................................
5. Colpoda cucullus 6. Giardia lambia
โครงสร้างท่ใี ชเ้ คลือ่ นท่ี โครงสร้างทใี่ ชเ้ คลือ่ นที่
.................................................................. ..................................................................
240
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 การเคลอื่ นทีข่ องสิ่งมชี ีวติ เฉลย
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 1 การเคลอ่ื นทข่ี องสิง่ มชี วี ิตเซลลเ์ ดียว
ใบงานที่ 4.1
เร่อื ง การเคลื่อนที่ของส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดยี ว
คาชี้แจง : หาภาพสง่ิ มีชีวติ เซลล์เดียวที่กาหนดให้ พรอ้ มระบุโครงสร้างท่ีใช้ในการเคลื่อนท่ใี หถ้ ูกตอ้ ง
1. Trypanosoma sp. 2. Trichonympha sp
โครงสร้างทใ่ี ช้เคลอ่ื นที่ โครงสร้างทใี่ ช้เคล่อื นที่
........................แ...ฟ..ล...เ.จ..ล...ล..า.......................... ........................แ..ฟ...ล..เ.จ...ล..ล..า...........................
3. Entamoeba histolytica 4. Colpidium colpoda
โครงสร้างทใี่ ชเ้ คลอ่ื นที่ โครงสร้างทีใ่ ช้เคล่ือนท่ี
............ก..า..ร..ไ..ห...ล..ข..อ...ง..ไ.ซ..โ..ท...พ..ล...า..ซ..ึม................. ............................ซ..ิเ.ล...ยี ................................
5. Colpoda cucullus 6. Giardia lamblia
โครงสร้างท่ใี ชเ้ คลอื่ นที่ โครงสร้างท่ีใช้เคลือ่ นท่ี
............................ซ..เิ..ล..ีย................................ ........................แ..ฟ...ล..เ..จ..ล..ล...า..........................
241
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 3 การเคลอื่ นทีข่ องส่งิ มชี วี ิต
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 1 การเคลือ่ นทขี่ องสงิ่ มีชวี ิตเซลลเ์ ดยี ว
9. ความเห็นของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาหรือผูท้ ่ีไดร้ บั มอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงช่อื .................................
( ................................ )
ตาแหนง่ .......
10. บนั ทึกผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอน่ื ๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมทีม่ ีปัญหาของนกั เรยี นเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อปุ สรรค
แนวทางการแก้ไข
242
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 การเคลอื่ นทข่ี องส่งิ มชี ีวิต
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การเคล่ือนทข่ี องสัตว์
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 2
การเคลอื่ นท่ขี องสตั ว์
เวลา 4 ชว่ั โมง
1. ผลการเรียนรู้
14. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการเคลอ่ื นที่ของ
แมงกะพรุน หมึก ดาวทะเล ไส้เดอื นดนิ แมลง ปลา และนก
2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทยี บโครงสร้างและหน้าทข่ี องอวยั วะที่เก่ียวขอ้ งกบั การเคลอื่ นที่ของ
สตั ว์ต่าง ๆ (K)
2. สงั เกตลักษณะและโครงสร้างที่ใช้ในการเคลื่อนท่ีของไสเ้ ดือนดนิ (P)
3. สนใจใฝ่รู้ในการศกึ ษาและมงุ่ ม่นั ในการทางาน (A)
3. สาระการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูท้ อ้ งถนิ่
พิจารณาตามหลักสตู รของสถานศึกษา
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
- สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น แมงกะพรุน
เคล่ือนท่ีโดยอาศัยการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณ
ขอบกระด่ิงและแรงดนั น้า
- หมึกเคล่ือนที่โดยอาศัยการหดตัวของกล้ามเน้ือ
บริเวณลาตัว ทาให้น้าภายในลาตัวพ่นออกมา
ทางไซฟอน ส่วนดาวทะเลใช้ระบบท่อน้าในการ
เคลือ่ นที่
- ไส้เดือนดินมีการเคล่ือนท่ี โดยอาศัยการหดตัว
และคลายตัวของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเนื้อ
ตามยาวซง่ึ ทางานในสภาวะตรงกันขา้ ม
- แมลงเคล่ือนที่โดยใช้ปีกหรือขา ซ่ึงมีกล้ามเนื้อ
ภายในเปลือกหมุ้ ทางานในสภาวะตรงกันข้าม
- สัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา เคล่ือนที่โดย
อาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อท่ียึด
ติดอยู่กับกระดูกสันหลังท้ัง 2 ข้าง ทางานใน
สภาวะตรงกันข้าม และมีครีบที่อยู่ในตาแหน่ง
ต่างๆ ช่วยโบกพัดในการเคลื่อนที่ ส่วนนก
243
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 4 การเคลอ่ื นท่ขี องส่งิ มชี ีวติ สาระการเรยี นรู้ท้องถ่นิ
แผนการจดั การเรียนรู้ ท่ี 2 การเคลื่อนทขี่ องสตั ว์ พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง
เคล่ือนท่ีโดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของ
กล้ามเนื้อกดปีกกับกล้ามเน้ือยกปีกซึ่งทางานใน
สภาวะตรงกนั ขา้ ม
4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
สตั ว์แต่ละชนดิ มโี ครงสร้างท่ีใชใ้ นการเคลอื่ นที่แตกตา่ งกนั ดงั น้ี
- แมงกระพรนุ อาศัยการหดตัวของเนื้อเย่ือบรเิ วณขอบกระด่ิงและบรเิ วณผนังลาตัวสลับกัน ทาให้
เกิดแรงดนั น้าผลักตัวแมงกะพรนุ ให้เคลอ่ื นท่ีไปในทิศทางตรงข้ามกบั นา้ ท่ีพน่ ออกมา
- หมึก อาศัยการหดตัวของกล้ามเน้ือบริเวณลาตัวทาให้น้าภายในลาตัวพ่นออกทางท่อไซฟอนซึ่ง
อยทู่ างส่วนล่างของสว่ นหวั ตัวของหมึกจงึ พุ่งไปในทศิ ทางตรงข้ามกับทศิ ทางของน้าที่พน่ ออกมา
- ดาวทะเล อาศัยแรงดันของระบบท่อน้า น้าเข้าทางมาดรีโพไรตไ์ หลไปตามท่อน้าวงแหวนและท่อ
น้าแนวรัศมีเข้าสู่แอมพูลลา เม่ือกล้ามเนื้อของแอมพูลลาหดตัวจะดันน้าไปตามทิวบ์ฟีททาให้ยืด
ยาวไปแตะพนื้ ใตน้ ้า การยืดและหดของทวิ บ์ฟีททาให้ดาวทะเลเคล่อื นท่ี
- ไส้เดือนดิน อาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเน้ือตามยาว ซึ่งทางานใน
สภาวะตรงกันข้าม โดยเคลื่อนท่ีแบบระลอกคล่ืน อีกทั้งยังมีเดือยช่วยบังคับทิศทางในการ
เคลือ่ นท่ี
- แมลง แบ่งการเคลอ่ื นทอ่ี อกเปน็ 2 รปู แบบ ไดแ้ ก่
- การบิน เกิดจากการทางานร่วมของกล้ามเนื้อยึดเปลือกหุ้มส่วนอกและกล้ามเน้ือตามยาว
ยดึ ปีกซึ่งทางานในสภาวะตรงกันข้าม เมื่อกล้ามเน้อื ยึดเปลือกหมุ้ ส่วนอกหดตัว กล้ามเนื้อ
ตามยาวยึดปีกคลายตัว ปีกจะยกขึ้น แต่เม่ือกล้ามเน้ือยึดเปลือกหุ้มส่วนอก8คลายตัว
กล้ามเน้อื ตามยาวยึดปกี หดตวั ปกี จะกดขึ้น
- การกระโดด เกิดจากทางานสลับกันของกล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์และกล้ามเน้ือเอ็กเทนเซอร์
ซึ่งทางานในสภาวะตรงกันข้าม เมื่อกล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์หดตัว กล้ามเนื้อเอ็กเทนเซอร์
คลายตัว ขาจะงอ แต่เมื่อกล้ามเน้ือเฟล็กเซอร์คลายตัว กล้ามเน้ือเอ็กเทนเซอร์หดตัว ขา
จะเหยยี ด
- ปลา อาศัยการหดและคลายตัวแบบสลับของกล้ามเนื้อยึดตดิ กระดูกท่ียึดติดกับกระดูกสนั หลังแต่
ละส่วนในการเคลื่อนท่ีแนวระนาบ และอาศัยการทางานของครีบต่าง ๆ ในการทรงตัวและการ
เคลือ่ นที่ในแนวดง่ิ
- นก อาศัยการทางานของกล้ามเนื้อยกปีกและกล้ามเน้ือกดปีก เม่ือกล้ามเน้ือยกปีกหดตัว
กล้ามเนื้อกดปีกคลายตัว ปีกจะยกขนึ้ แต่เม่ือกล้ามเนื้อยกปีกคลายตัว กล้ามเนื้อกดปกี หดตัว ปีก
จะจะกดลง
244
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 4 การเคลอื่ นทีข่ องสิ่งมชี ีวิต
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 2 การเคลอื่ นทข่ี องสตั ว์
5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียนและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวนิ ัย
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รยี นรู้
1) ทักษะการสังเกต 3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน
2) ทักษะการสารวจค้นหา
3) ทกั ษะการจาแนกประเภท
4) ทักษะการลงความเห็นจากข้อมลู
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนคิ : แบบเนน้ มโนทศั น์ (Concept Based Teaching)
ช่วั โมงท่ี 1-2
ข้นั นา
การใช้ความร้เู ดมิ เชื่อมโยงความรูใ้ หม่ (Prior Knowledge)
1. ทบทวนความรู้ เรอ่ื ง โครงรา่ งคา้ จุนของร่างกาย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี
- โครงร่างไฮโดรสแตติก (hydrostatic skeleton) เป็นโครงร่างท่ีมีของเหลวเป็นองค์ประกสาคัญ
เมื่อกล้ามเน้ือหดตัวจะมกี ารกระจายของเหลวไปยังช่องว่างของร่างกาย เกิดแรงเต่งตา้ นแรงหดตัว
ของกล้ามเนื้อทาให้ร่างกายเคล่ือนไหว พบในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังท่ีร่างกายอ่อนนุ่ม เช่น
ไสเ้ ดือนดนิ ดอกไม้ทะเล ซง่ึ สตั วพ์ วกน้ีถา้ ร่างกายขาดนา้ จะเคล่ือนท่ไี ม่ได้
- โครงร่างแข็งภายนอก (exoskeleton) เป็นเปลือกหรือปลอกแข็งท่ีปกคลุมร่างกาย สามารถรับ
แรงที่เกิดจากการหดตวั ของกล้ามเนือ้ ท่ยี ดึ กบั เปลือกและทาให้เกิดการเคล่อื นท่ี เชน่ แมลง
- โครงร่างแข็งภายใน (endoskeleton) พบในสัตว์มีกระดูกสันหลัง ประกอบดว้ ยกระดูกทาหน้าท่ี
รองรบั แรงต้านทีเ่ กิดจากการหดตัวของกล้ามเน้ือ
2. นาวีดิทัศน์แสดงการเคลื่อนที่ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง เช่น ไฮดรา แมงกระพรุน หมึก และการ
เคลื่อนท่ีของสัตว์มีกระดูกสันหลัง เช่น ปลา นก เสือชีตาร์ มาเปิดให้นักเรียนดู ตัวอย่างวีดิทัศน์การ
เคลื่อนท่ขี องสตั ว์ เชน่
- https://www.youtube.com/watch?v=aFdvkopOmw0
- https://www.youtube.com/watch?v=wxlX2qxaqSQ&t=118s
- https://www.youtube.com/watch?v=0Texxu3p7I8
245
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 4 การเคลอ่ื นทีข่ องสิ่งมชี ีวติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การเคลอ่ื นทข่ี องสัตว์
3. ถามคาถาม Key Question กับนักเรียนว่า “สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังและสัตว์มีกระดูกสันหลงั มโี ครงสร้าง
ในการเคลอ่ื นท่ีแตกตา่ งกันอย่างไร”
(แนวตอบ: สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ใช้กล้ามเนื้อช่วยในการเคลื่อนที่ (สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่
อาศัยในน้าอาจใช้แรงดันน้าช่วยในการเคลื่อนที่) ส่วนสัตว์มีกระดูกสันหลังจะใช้กล้ามเนื้อ
และโครงกระดูกช่วยในการเคลอื่ นที่)
ขัน้ สอน
ขัน้ รู้ (Knowing)
1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม 7 กลุ่ม สืบค้นข้อมูลและศึกษาโครงสร้างลาตัวที่เก่ียวข้องกับการเคล่ือนที่ของสัตว์
ได้แก่ แมงกะพรุน หมึก ดาวทะเล ซึ่งใช้โครงสร้างของลาตัวร่วมกับแรงดันน้าในการเคล่ือนท่ี จากสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์หรือจากหนังสือรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1 หน้า
136-138
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาการเคล่ือนท่ีของไส้เดือนดิน และทากิจกรรม การเคล่ือนที่ของไส้เดือนดิน เพ่ือ
สงั เกตและอธิบายลักษณะการเคล่อื นท่ีและการทางานของกลา้ มเนอ้ื ที่ทางานร่วมกันในสภาวะตรงกันข้าม
จากหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เลม่ 1 หน้า 140
3. สุ่มเลือกนักเรียนอย่างน้อย 3 กลุ่ม นาเสนอผลและอภิปรายผลกิจกรรม การเคล่ือนท่ีของไส้เดือนดิน
และถามคาถามท้ายกจิ กรรมกบั นักเรียน ดังนี้
- การเคลอื่ นทข่ี องไสเ้ ดอื นดนิ อาศัยโครงสรา้ งใดบา้ ง
(แนวตอบ: อาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเน้ือวงและกล้ามเนื้อตามยาวในสภาวะตรงกัน
ข้าม และใชเ้ ดือยท่ยี ืน่ ออกมาจากผนงั ลา้ ตวั ยึดเกาะกบั พนื้ ดิน)
- ลกั ณะการเคลอื่ นท่ีของไสเ้ ดือนดินเป็นอยา่ งไร
(แนวตอบ: ลักษณะคลา้ ยระลอกคลน่ื )
4. นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลและศึกษาการเคลื่อนท่ีของแมลง แบ่งเป็นการเคลื่อนที่โดยบินและการ
กระโดด ซง่ึ การเคลื่อนท่ีของท้ัง 2 ลักษณะ เกิดจากการทางานของกล้ามเนื้อ 2 ชุด ในสภาวะตรงกันข้าม
จากสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือจากหนังสือรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เล่ม 1
หน้า 141
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลและศึกษาการเคล่ือนท่ีของปลาและนก ซึ่งเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจึง
อาศัยการทางานร่วมกันของกระดูกและกล้ามเน้ือ จากสื่ออเิ ล็กทรอนิกส์หรอื จากหนังสือรายวิชาเพิ่มเติม
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชีววิทยา ม.6 เลม่ 1 หน้า 142
246
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 การเคลอ่ื นทข่ี องสง่ิ มชี วี ิต
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 2 การเคลื่อนทข่ี องสัตว์
ชัว่ โมงที่ 3-4
ขั้นสอน
เข้าใจ (Knowing)
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มจับสลากเลือกสัตว์ต่าง ๆ ที่ได้สืบค้นข้อมูลและศึกษามา แล้วร่วมกันวิเคราะห์
โครงสร้างของลาตัวท่ีเกี่ยวข้องกับการเคลอ่ื นท่ขี องสตั วท์ ี่จบั สลากได้ ดงั น้ี
- แมงกระพรุน มีลาตัวอ่อนน่ิม มีเนื้อเยื่อ 2 ช้ัน ซึ่งมีของเหลวแทรกอยู่ระหว่างเน้ือเยื่อทั้ง 2 ช้ัน
การเคล่ือนที่อาศัยการหดตัวของเน้ือเยื่อบริเวณขอบกระด่ิงและบริเวณผนังลาตัวสลับกัน ทาให้
เกดิ แรงดนั น้าผลกั ตวั แมงกะพรุนให้เคลอ่ื นท่ีไปในทิศทางตรงขา้ มกับน้าที่พ่นออกมา
- หมึก มีลาตัวอ่อนนิ่ม มีกล้ามเน้ือบริเวณลาตัวและท่อไซฟอนท่ีด้านล่างส่วนหัวเป็นดครงสร้างท่ี
เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนท่ี โดยเม่ือกล้ามเนื้อบริเวณลาตัวหดตัวจะทาให้น้าภายในลาตัวถูกพ่น
ออกมา ซึ่งจะดันให้ลาตัวของหมึกเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงข้มกับน้าท่ีพ่อนออก ความเร็วในการ
เคล่ือนท่ีของหมึกจะข้ึนอยู่กับความแรกในการบีบตัวของกล้ามเน้ือลาตัว นอกจากนี้หมึกยังมี
ครบี ที่อยูด่ า้ นข้างของลาตัวชว่ ยในการทรงตัวในขณะทม่ี ีการเคลื่อนท่ี
- ดาวทะเล มีผิวด้านนอกแข็งแต่ไม่ได้ยึดติดกับกล้ามเนื้อ เคลื่อนท่ีโดยใช้แรงดันน้าที่ผ่านเข้า
ระบบท่อน้า เมื่อน้าไหลเข้าสู่ระบบท่อน้าทางมาดรีโพไรต์จะผ่านท่อน้าวงแหวนเข้าสู่ท่อน้าแนว
รศั มีและแอมพูลลา ตามลาดบั เมอื่ กล้ามเนอ้ื บริเวณแอมพูลลาหดตัวจะดันน้าเข้าสู่ทิวบ์ฟที ทาให้
ทิวบ์ฟีทยืดยาวออกไปแตะพื้นด้านล่าง ขณะเดียวกันล้ินภายในแอมพูลลาจะปิดป้องกันไม่ให้น้า
ไหลกลับออกไปทางท่อด้านข้าง หลังจากน้ันกล้ามเนอ้ื ของทิวบ์ฟีทจะหดตัวทาใหท้ ิวบ์ฟีทมีขนาด
สั้นลง จึงดันน้ากลับเข้าสู่กระเปาะแอมพูลลาอีกครั้ง การยืดตัวและหดตัวของทิวบ์ฟีทหลาย ๆ
อนั ทาให้เกิดแรงดนั จนดาวทะเลสามารถเคล่ือนท่ีได้ นอกจากนี้ท่ีปลายอีกด้านหนึ่งของทิวบ์ฟีท
มลี ักษณะคลา้ ยแผน่ ดูดทาหนา้ ทใ่ี นการยึดเกาะกับพืน้ ผวิ ขณะท่มี ีการเคลื่อนที่
- ไส้เดือนดิน ใช้เดือยยึดเกาะกับพื้นดิน และอาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเน้ือวงและ
กลา้ มเนื้อตามยาว ซึง่ เม่อื กลา้ มเน้ือวงบริเวณส่วนหัวคลายตัวและกล้ามเน้ือตามยาวหดตัว ปล้อง
จะส้ันและโป่งออก และเม่ือกล้ามเน้ือวงบริเวณส่วนหัวหดตัวและกล้ามเน้ือตามยาวคลายตัว
ปล้องจะยาวและยืดออก ทาให้สว่ นหัวเคลื่อนทไ่ี ปข้างหนา้ การเคลื่อนทจ่ี ะมีลักษณะเชน่ เดยี วกัน
นีใ้ นปล้องตอ่ ๆ ไป ทาให้เกิดการเคื่อนทค่ี ลา้ ยระรอกคล่ืน
- แมลง แบ่งการเคลื่อนท่ีออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การบินเกิดจากการทางานของกล้ามเน้ือยึด
เปลือกหุ้มส่วนอกและกล้ามเนื้อตามยาวยึดปีก เม่ือกล้ามเนื้อยึดเปลือกหุ้มส่วนอกหดตัว
กล้ามเนื้อยึดปีกคลายตัว ทาให้เปลือกหุ้มส่วนอกเคลื่อนลง ดันให้ปีกยกตัวสูงข้ึน และเมื่อ
กล้ามเน้ือยึดเปลือกหมุ้ ส่วนอกคลายตัว กล้ามเนื้อยึดปีกหดตวั ทาใหเ้ ปลือกหุ้มส่วนอกเคล่ือนข้ึน
กดให้ปีกลดต่าลง และการกระโดดเกิดจากการทางานของกล้ามเน้ือเฟลก็ เซอร์และกล้ามเนื้อเอ็ก
เทนเซอร์ เม่ือกล้ามเน้ือเฟล็กเซอร์หดตัว กล้ามเน้ือเอ็กเทนเซอร์คลายตัว ทาให้ขางอเข้า และ
เมอ่ื กล้ามเนื้อเฟลก็ เซอร์คลายตัว กล้ามเนื้อเอ็กเทนเซอรห์ ดตวั ทาใหข้ าเหยยี ดออก
247
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 การเคลอ่ื นทข่ี องสง่ิ มชี วี ติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การเคล่อื นทขี่ องสัตว์
- ปลา มีกล้ามเน้ือยึดกับกระดูก ซึ่งการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อแต่ละส่วนของลาตัวปลา
จะเกิดสลับกันทาให้ปลาว่ายน้าคล้ายรปู ตัวเอส และครีบหางจะพัดโบกในทิศตรงข้ามกับส่วนหัว
ทาให้ปลาเคลื่อนท่ไี ปขา้ งหน้าได้ นอกจากนปี้ ลายงั สามารถเคล่ือนท่ีในแนวดิง่ โดยการทางานของ
ครีบหลัง ครีบอก และครีบสะโพก ซึ่งช่วยทรงตัวและควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ อีกท้ังยังมี
โครงสร้างอ่ืน ๆ ช่วยในการเคลื่อนที่ ได้แก่ มีรูปร่างเพรียว ผิวเรียบลื่น และมีเมือก ช่วยลดแรง
เสยี ดทานของน้า มีกระเพาะลมชว่ ยในการลอยตวั ของปลาที่นอกเหนือจากการลอยตวั ของน้า
- นก การบินอาศัยการทางานของกล้ามเนื้อยกปีกปละกล้ามเนื้อกดปีกท่ียึดระหว่างกระดูกโคน
ปกี และกระดูกอก ซ่งึ กลา้ มเน้ือทั้ง 2 ชดุ จะทางานในสภาวะตรงกันข้าม เม่ือกล้ามเนื้อยกปีกหด
ตัว กล้ามเน้อื กดปกี จะคลายตัว ทาให้ปกี ยกข้ึน แตเ่ มอื่ เม่ือกลา้ มเนื้อยกปกี คลายตัว กลา้ มเน้อื กด
ปกี จะหดตัว ทาให้ปกี กดลง นอกจากน้ีนกยงั มมี ีโครงสรา้ งท่ีช่วยในการลอยตัว ไดแ้ ก่
1) ปีกนกช่วยให้นกสามารถบินได้ เน่ืองจากโครงสร้างของปีกด้านบนมีความยาวมากกว่า
ด้านล่างเช่นเดียวกับปีกเครื่องบิน เมื่อนกลอยตัวอยู่ในอากาศ อากาศที่ไหลผ่านด้านบนของ ปีก
นกจะเคล่ือนท่ีด้วยความเรว็ สูงกว่าอากาศที่ไหลผ่านด้านล่างของปีก ทาให้ความดันอากาศใต้ปีก
สูงกว่าความดันอากาศด้านบน ดังน้ันความดนั อากาศด้านล่างของปกี นกจึงชว่ ยพยุงปีกและลาตัว
ของนกใหล้ อยอยใู่ นอากาศได้
2) ขนนกเป็นขนแบบก้านหรือขนแบบแผง มีลักษณะเบาบางช่วยอุ้มอากาศขณะบินได้
เป็นอย่างดี และขนนกยังป้องกันไม่ให้อากาศผ่านได้ในขณะท่ีนกหุบปีกลง ทาให้เกิดความดัน
อากาศช่วยดันตัวนกให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ แต่เมื่อนกยกปีกข้ึนขนนกบริเวณปีกเปิดออกทาให้
อากาศผ่านไดจ้ งึ ไมเ่ กดิ แรงต้านขณะท่นี กบนิ
3) ลาตวั ของนก นกมีน้าหนักเบา เนื่องจากโครงกระดูกมีลักษณะเป็นโพรง มถี ุงลมที่เจริญ
ดีอยู่ติดกับปอดแทรกอยู่ในช่องว่างของลาตัวและในโพรงกระดูก รวมท้ังนกไม่มีกระเพาะ
ปัสสาวะ น้าหนักตัวจึงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนของลาตัว ทาให้นกเคลื่อนท่ีด้วยการบิน
อยู่ในอากาศได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ีถุงลมยังช่วยให้นกได้รับออกซิเจนเพียงพอเพราะการ
เคล่ือนท่ีด้วยการบินต้องใช้พลังงานในที่สูงมาก โดยถุงลมทาหน้าที่เก็บอากาศสารองไว้ ขณะ
หายใจเข้าอากาศที่ผ่านปอดส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ที่ถุงลม เมื่ออากาศที่ใช้แล้วออกจากปอด อากาศ
ท่ีเก็บไว้ในถุงลมจะเคลื่อนเข้าสู่ปอดทันทีซ่ึงเป็นการช่วยให้ปอดทาหน้าที่ในการแลกเปล่ียนแก๊ส
ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ
โดยระหวา่ งท่ีนักเรียนนาเสนอให้นกั เรียนในชัน้ เรียนรว่ มกันเสนอแนะ และครคู อยเพิม่ เตมิ ประเดน็ ที
ขาดหายไป
248
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 4 การเคลอื่ นทข่ี องสิง่ มชี ีวิต
แผนการจดั การเรยี นรู้ ท่ี 2 การเคลื่อนทข่ี องสตั ว์
7. ถามคาถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน ดงั น้ี
- การเคลื่อนทขี่ องไส้เดอื นดินมลี กั ษณะเหมอื นการเคลื่อนทขี่ องอาหารในระบบยอ่ ยอาหารอยา่ งไร
(แนวตอบ : การเคล่ือนที่ของไส้เดือนดินเป็นการท้างานของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเนื้อตามยาวท่ีหด
ตัวและคลายตัวอย่างเป็นจังหวะเหมือนระลอกคลื่น เรียกการเคลื่อนท่ีลักษณะน้ีว่า
เพอริสตัสซิส ซ่ึงคล้ายกับการเคล่ือนทข่ี องอาหารผา่ นทางเดินอาหารที่มีการหดและคลาย
ตวั เปน็ ระลอกคลน่ื เพื่อชว่ ยลา้ เลยี งอาหาร)
- ลกั ษณะใดของแมลงช่วยใหแ้ มลงเคลื่อนทร่ี วดเร็ว เพราะเหตุใดจึงเปน็ เช่นน้นั
(แนวตอบ : แมลงเป็นสตั ว์ท่ีมีโครงรา่ งแขง็ ภายนอกซึง่ จะช่วยคา้ ยันพยงุ ร่างกายในขณะเคล่ือนท่ี)
- สัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลงั ที่อาศัยในน้าและบนบกมโี ครงสร้างทใี่ ช้เคลื่อนท่ีแตกตา่ งกันอย่างไร
(แนวตอบ : การเคลอ่ื นที่ของสัตว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลงั ท่ีอาศัยอยู่ในนา้ จะใชก้ ลา้ มเน้ือและแรงดนั น้าช่วย
ในการเคล่ือนที่ ส่วนสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่อาศัยอยู่บนบกจะใช้กล้ามเน้ือช่วยในการ
เคล่อื นที่)
- การเคลือ่ นทข่ี องสัตว์ไมม่ ีกระดูกสันหลงั แตกตา่ งจากสัตว์มกี ระดกู สนั หลังหรือไม่ อยา่ งไร
(แนวตอบ: ส้าหรับสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้า การเคล่ือนที่ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจะใช้กล้ามเน้ือและ
แรงดันน้าช่วยในการเคล่ือนที่ แต่ส้าหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังจะใช้กล้ามเนื้อและโครง
กระดกู ช่วยในการเคลอื่ นท่ี
ส้าหรับสัตว์ท่ีอาศัยบนบก สัตวไ์ ม่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่จะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เช่น
ไส้เดือนดนิ จงึ ใช้การวางตัวไปกบั ผิวดินและใชก้ ารขยับกล้ามเน้ือตามลา้ ตวั เพ่ือชว่ ยในการ
เคล่ือนที่ แต่ส้าหรับสัตว์มีกระดูกสันหลังจะใช้กล้ามเน้ือและโครงกระดูกช่วยในการ
เคล่ือนท่ี )
- รูปรา่ งของปลาและนกเหมาะสมกับการเคล่ือนท่ีอยา่ งไร
(แนวตอบ : ปลามีรูปร่างเพรียว มีผิวเรียบลื่น และมีเมือก ซ่ึงลักษณะเหล่านี้จะช่วยลดแรงเสียดทาน
ของน้าในขณะเคล่ือนที่ ส่วนนกมีกระดูกท่กี ลวง เบา อดั ตัวแน่น ท้าให้นกมขี นาดเล็กและ
มีรูปร่างเพรียวจึงเคล่ือนตัวในอากาศได้ดี และมีขนปีกช่วยดันอากาศขณะหุบปีกลงท้าให้
นกพุ่งตัวไปข้างหนา้ ได้ดี)
- ลักษณะของปลาไหลมสี ว่ นชว่ ยในการเคลือ่ นทอ่ี ย่างไร
(แนวตอบ : ปลาไหลมีล้าตัวกลมยาวและมีเมือกมากช่วยลดแรงเสียดทาน ซึ่งลักษณะเหล่าน้ีเหมาะ
ส้าหรบั การเคล่ือนที่โดยการแทรกตัวในโคลนที่มคี วามหนาแนน่ มากกว่าน้า)
- เพราะเหตใุ ดสัตวท์ เ่ี คลอื่ นท่โี ดยการบินจึงใช้แก๊สออกซิเจนสูงกว่าสตั วอ์ ่นื ๆ
(แนวตอบ : เนื่องจากในขณะบินต้องใช้พลังงานมาก จึงจ้าเป็นต้องใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจสูง
กว่าสตั วอ์ น่ื ๆ)
249
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 การเคลอ่ื นทีข่ องส่งิ มชี ีวติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 2 การเคลอื่ นทขี่ องสตั ว์
- ลักษณะหรือโครงสรา้ งใดของนกทาใหส้ ามารถเคลื่อนทบ่ี นอากาศได้ดี
(แนวตอบ : เนื่องจากนกมีกระดกู กลวง เบา และอดั ตัวกันแน่นท้าใหน้ กมขี นาดเลก็ และมีรูปร่างเพรยี ว
รวมทั้งปีกของนกมีขนแบบแผง ซ่ึงมีลักษณะเบาบางช่วยอุ้มอากาศขณะบิน และยังช่วย
ดันอากาศขณะหุบปีกลงทา้ ใหน้ กพุ่งตวั ไปขา้ งหน้า)
8. นกั เรียนทาใบงานที่ 4.2 เร่ือง การเคลื่อนทข่ี องสัตว์ (ตอนที่ 1)
8. นักเรียนทา Topic Questions ท้ายหัวข้อ การเคล่ือนที่ของสัตว์ จากหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เล่ม 1 หนา้ 143 โดยบันทึกลงในสมุดบันทึกของนกั เรยี น
9. นักเรียนทาแบบฝึกหัด เรื่อง การเคลื่อนที่ของสัตว์ ในแบบฝึกหัดรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชวี วิทยา ม.6 เล่ม 1 (อาจส่งั ให้นกั เรยี นทาเป็นการบา้ น)
ขั้นลงมือทา (Doing)
10. นักเรียนสืบค้นข้อมูล เร่ือง การเคลื่อนที่ของสัตว์ โดยเลือกสัตว์ 5 ชนิด (นอกเหนือจากในหนังสือเรียน)
มาอธบิ ายโครงสร้างทใ่ี ช้ในการเคล่ือนที่และรูปแบบการเคล่ือนที่ของสัตว์นั้น ๆ บรรทึกลงในใบงานท่ี 4.3
เรื่อง การเคลอ่ื นท่ีของสัตว์ (ตอนท่ี 2)
ข้ันสรปุ
1. นกั เรียนและครูร่วมกันสรุปเก่ียวกับการเคล่ือนที่ของสัตว์เพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่า สตั ว์ต่าง ๆ มีโครงสร้างท่ีใช้
ในการเคลือ่ นท่แี ตกต่างกัน ดังน้ี
- แมงกระพรุน อาศัยการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณขอบกระดิ่งและบริเวณผนังลาตัวสลับกัน ทาให้เกิด
แรงดนั นา้ ผลักตวั แมงกะพรุนใหเ้ คลอ่ื นท่ีไปในทิศทางตรงข้ามกบั นา้ ทีพ่ ่นออกมา
- หมึก อาศัยการหดตัวของกล้ามเนอื้ บริเวณลาตวั ทาให้นา้ ภายในลาตัวพน่ ออกทางท่อไซฟอนซึ่งอยู่ทาง
ส่วนลา่ งของส่วนหัว ตวั ของหมกึ จงึ พงุ่ ไปในทศิ ทางตรงข้ามกบั ทศิ ทางของน้าที่พน่ ออกมา
- ดาวทะเล อาศัยแรงดันของระบบท่อน้า น้าเข้าทางมาดรีโพไรต์ไหลไปตามท่อน้าวงแหวนและท่อน้า
แนวรัศมีเข้าสู่แอมพูลลา เม่ือกล้ามเน้ือของแอมพูลลาหดตัวจะดันน้าไปตามทิวบ์ฟีททาให้ยืดยาวไป
แตะพนื้ ใตน้ า้ การยดื และหดของทวิ บฟ์ ที ทาให้ดาวทะเลเคล่ือนท่ี
- ไส้เดือนดิน อาศัยการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเนื้อตามยาว ซ่ึงทางานในสภาวะ
ตรงกนั ข้าม โดยเคล่อื นทแี่ บบระลอกคลน่ื อกี ทง้ั ยงั มเี ดือยชว่ ยบังคับทศิ ทางในการเคลือ่ นที่
- แมลง แบ่งการเคล่ือนที่ออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ การบินเกิดจากการทางานร่วมของกล้ามเนื้อยึด
เปลือกหุม้ ส่วนอกและกล้ามเน้ือตามยาวยดึ ปกี ซง่ึ ทางานในสภาวะตรงกันขา้ ม เม่ือกล้ามเน้ือยดึ เปลือก
หุม้ ส่วนอกหดตัว กล้ามเน้ือตามยาวยึดปกี คลายตัว ปกี จะยกขนึ้ แต่เม่ือกลา้ มเน้ือยดึ เปลอื กหมุ้ สว่ นอก
คลายตัว กล้ามเนื้อตามยาวยึดปีกหดตัว ปีกจะกดข้ึน และการกระโดดเกิดจากทางานสลับกันของ
กล้ามเน้ือเฟล็กเซอร์และกล้ามเน้ือเอ็กเทนเซอร์ซ่ึงทางานในสภาวะตรงกันข้าม เม่ือกล้ามเน้ือเฟล็ก
เซอร์หดตัว กล้ามเนื้อเอ็กเทนเซอร์คลายตัว ขาจะงอ แต่เมื่อกล้ามเนื้อเฟล็กเซอร์คลายตัว
กลา้ มเน้ือเอก็ เทนเซอร์หดตัว ขาจะเหยยี ด
250
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4 การเคลอ่ื นท่ีของสิง่ มชี ีวติ
แผนการจดั การเรยี นรู้ ที่ 2 การเคล่ือนทขี่ องสตั ว์
- ปลา อาศัยการหดและคลายตัวแบบสลับของกล้ามเน้ือยึดติดกระดูกที่ยึดติดกับกระดูกสันหลังแต่ละ
ส่วนในการเคล่ือนท่ีแนวระนาบ และอาศัยการทางานของครีบต่าง ๆ ในการทรงตัวและการเคล่ือนที่
ในแนวดง่ิ
- นก อาศัยการทางานของกลา้ มเนื้อยกปีกและกล้ามเน้ือกดปกี เม่ือกล้ามเนื้อยกปกี หดตัว กล้ามเนื้อกด
ปีกคลายตวั ปกี จะยกข้ึน แตเ่ มื่อกลา้ มเนอ้ื ยกปีกคลายตวั กล้ามเนอื้ กดปีกหดตวั ปีกจะจะกดลง
2. นักเรียนเขียนสรุปในรูปแบบผังมโนทัศน์ เร่ือง การเคล่ือนท่ีของสัตว์ โดยอาจแบ่งออกเป็นกลุ่มสัตว์ไม่มี
กระดูกสนั หลงั และกลุ่มสัตวม์ กี ระดูกสนั หลัง ลงในกระดาษ A4
ขน้ั ประเมิน
1. ประเมินความรู้เก่ียวกับ เรื่อง การเคลื่อนท่ีของสัตว์ โดยสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม ตรวจ
แบบฝึกหัด ตรวจใบงาน และตรวจผังมโนทศั น์
2. ประเมินทักษะและกระบวนการ โดยสังเกตพฤติกรรมการทากิจกรรม การทางานกลุ่ม และการนาเสนอ
ผลงาน
3. ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยสังเกตพฤติกรรมความสนใจใฝ่รู้ในการศึกษาและความมุ่งม่ันใน
การทางาน
7. การวัดและการประเมนิ ผล
รายการวดั วิธีวัด เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ
7.1 การประเมนิ ระหว่าง - ใบงาน 4.2 - ร้อยละ 60
- ใบงาน 4.3 ผ่านเกณฑ์
การจัดกจิ กรรม
- รอ้ ยละ 60
1) การเคลื่อนที่ - ตรวจใบงานที่ 4.2 ผ่านเกณฑ์
ของสตั ว์ - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
- ตรวจใบงานที่ 4.3
- ร้อยละ 60
- ตรวจ Topic Questions - Topic Questions ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หดั - ระดบั คุณภาพดี
ผา่ นเกณฑ์
2) การปฏบิ ัตกิ าร - ตรวจผงั มโนทศั น์ เรอ่ื ง - แบบประเมนิ
การคลื่อนท่ีของสตั ว์ ผังมโนทศั น์ - ระดบั คุณภาพดี
ผ่านเกณฑ์
- ประเมินการปฏิบตั กิ าร - แบบประเมนิ
การปฏบิ ัตกิ าร
251