The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นางทัชชกร สุริยะไกร
ครู กศน.ตำบล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thatchakorn.yulin, 2024-04-23 15:26:13

แผนรายสัปดาห์ ม.ปลาย 2-66

นางทัชชกร สุริยะไกร
ครู กศน.ตำบล

ใบความรู้หน่วยที่ 4 การเปรียบเทียบโครงสร้างภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โครงสร้างภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ความคล้ายคลึงกันของโครงสร้างประโยค โครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาทุก ๆ ภาษานั้นจะประกอบด้วย ประธาน (Subject), กรรม (Object) และกริยา (Verb) แม้ว่าในบางประโยคจะมีไม่ครบทุกส่วน แต่ความแตกต่างระหว่างภาษานั้นอยู่ที่การวางตำแหน่งของคำในไวยากรณ์ โดยสามารถแบ่งรูปแบบไวยากรณ์ตามลักษณะการจัดเรียงของคำในภาษา สำหรับภาษาไทย และภาษาอังกฤษพบว่ามี ลักษณะของไวยากรณ์เหมือนกัน คือ ประธาน กริยา กรรม (Subject, Verb, Object) จะต่างกันก็แต่เพียงตำแหน่งของ กริยาช่วย และบุพบท เท่านั้น ตารางที่ 1 ตารางเปรียบเทียบรูปแบบประโยคภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ตัวอย่างของประโยคภาษาอังกฤษ และภาษาไทย มีดังนี้ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย 1. Meg is beautiful. เม็ก สวย 2. The little cat is here. แมวตัวเล็กอยู่ที่นี่ 3. My mother is a nurse. แม่ของฉันเป็นนางพยาบาล 4. They laugh. พวกเขาหัวเราะ 5. She walk in the garden. หล่อนเดินในสวน โครงสร้างประโยคต่าง ๆ 1. ประโยคความเดียว Simple Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยกลุ่มคำ และมีความหมายสมบูรณ์ ประกอบด้วยภาคประธานและ ภาคกริยา หรืออาจจะมีส่วนเติมเต็มประกอบอยู่ในประโยคด้วย โครงสร้างของประโยค ความเดียวมีดังต่อไปนี้ ตัวอย่างของประโยคความเดียวในแบบต่าง ๆ - The students are happy. = ประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็ม - Sujin bought the clothes. = ประธาน + กริยา + กรรม - She is reading. = ภาคประธาน + ภาคแสดง - Linda opens the store. = ภาคประธาน + กริยา + กรรมตรง - I like his idea. = ภาคประธาน + กริยา + กรรมตรง - The company is big and famous. = ภาคประธาน + กริยา + ส่วนเติมเต็มขยายประธาน - The news made company staffs happy. = ภาคประธาน + กริยา + กรรม + ส่วนเติมเต็มขยายกรรม กล่าว โดยสรุปได้ว่า ประโยคความเดียวจะต้องประกอบด้วย 1 ประธาน 1 กริยา นั่นเอง ในส่วนของกรรม ส่วนเติมเต็ม และส่วน ขยายอื่น ๆ นั้นผู้เขียนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละโอกาส


2. ประโยคความรวม Compound Sentence) คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวอย่างน้อย 2 ประโยคโดยมีคำเชื่อมระหว่างประโยค เช่น and, or และอาจคั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค ( , ) เพื่อให้เป็นประโยคเดียวกัน โครงสร้างของประโยคจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ คำเชื่อมที่ใช้ในการเชื่อมประโยคความรวมนั้น ก็มีอยู่หลากหลายคำด้วยกัน ยกตัวอย่าง เช่น คำว่า and, not only….but also, จะใช้ในประโยคที่คล้อยไปในทางเดียวกัน คำว่า but, nor, neither nor จะใช้ในการเชื่อมประโยคที่มีความหมาย ตรงข้ามกัน คำว่า because และ for instance ใช้ในการเชื่อมประโยคเพื่อบอกเหตุผลหรือยกตัวอย่างเพิ่มเติม นอกจากนี้ แล้ว ยังมีคำเชื่อมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น for, or, so, yet, however, therefore, otherwise เป็นต้น ตัวอย่างของประโยคความรวม - The restaurant is big. - The food is not delicious. = (The restaurant is big, but the food is not delicious.) - John will write a homepage. - He will advertise his company. John will write a homepage, and he will advertise his company. 3. ประโยคความซ้อน (Complex sentence) ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่ประกอบด้วยหนึ่งประโยคที่สมบูรณ์ที่เรียกว่า Independent clause และอนุ ประโยคที่นำหน้าด้วยคำแทนบุคคล สิ่งของ สถานที่ เวลา หรือการกระทำที่เป็นประธานของประโยคหลักซึ่งเมื่อแยกออก แล้วไม่ได้ความหมายที่สมบูรณ์เรียก อนุประโยคนี้ว่า dependent clause กล่าวคือ นำหน้าด้วย that, which, who, while, what, when เป็นต้น ตัวอย่าง ของประโยคความซ้อน - The company that we like to apply for a job is famous. = The company is famous. (Indep) = That we like to apply for a job (Dep) - The man who asked for your address is my boss. = The man is my boss. (Indep) = who asked for your address (Dep) สกรรมกริยา Transitive verb) เป็นกริยาที่ยังไม่สมบูรณ์ต้องมีกรรมมารองรับจึงจะทำให้ประโยคสมบูรณ์เช่น write give buy look close kick ตัวอย่าง He writes a letter. I bought a new house. อกรรมกริยา (Intransitive verb) เป็นกริยาที่มีความสมบูรณ์ในตัวมันเอง ไม่ต้องมีกรรมมารับ เช่น smile cry run walk speak go come sleep ตัวอย่าง I walk every morning. They run very fast.


Conjunction หรือ คำสันธาน หมายถึง คำเชื่อม หรือ คำต่อ เช่น and และ กับ or หรือ for เพราะว่า, เพราะ but แต่, นอกจาก since เนื่องจาก, เพราะ because เพราะว่า, เพราะ till, จนกระทั่ง untill, before ก่อน, after หลังจาก, although แม้ว่า, though ถึงแม้ว่า หน้าที่ของคำสันธาน คำสันธานมีหน้าที่ 2 ประการ คือ เชื่อมคำกับคำ และเชื่อมประโยคกับประโยค 1. คำสันธานเชื่อมคำกับคำ หมายถึง คำสันธานที่เชื่อมคำกับคำเข้าด้วยกัน เช่น คำนามกับคำนาม และคำกริยากับ คำกริยา เช่น - Can you sing or dance? (คุณสามารถร้องเพลง หรือเต้นรำได้ไหม) 2. คำสันธานเชื่อมประโยคกับประโยค หมายถึง คำสันธานที่เชื่อมประโยคกับประโยคเข้าด้วยกัน เช่น - I've lived here since I was born. (ฉันอยู่ที่นี่ตั้งแต่ผมเกิด) - Joe was there, but Jane was not. (โจอยู่ที่นี่แต่เจนไม่ได้อยู่ที่นี่) ประเภทของคำสันธาน 1. คำสันธานแบ่งตามหน้าที่ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ คำสันธานเชื่อมประสาน และคำสันธาน เชื่อมประโยครอง 1) คำสันธานเชื่อมประสาน (Coordinate conjunction) หมายถึง คำสันธานที่เชื่อมคำที่มีศักดิ์ เท่ากัน คำสันธานเชื่อมประสาน เช่น and or for but - You or I must stay here. คุณหรือฉันจะต้องอยู่ที่นี่ - My sister speaks French but I don't. พี่สาวของฉันพูดภาษาฝรั่งเศส แต่ฉันพูดไม่ได้ - She made a meal for us. เธอทำอาหารเพื่อพวกเรา 2) คำสันธานเชื่อมประโยครอง (Subordinate clause) หมายถึง คำสันธานที่เชื่อม อนุประโยครอง หรือ ให้เข้ากับอนุประโยคหลัก แบ่งตามหน้าที่ออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่อนุประโยครองคำนาม อนุประโยครอง คุณศัพท์และอนุประโยครองวิเศษณ์ 2.1 อนุประโยครองคำนาม "Noun clause" เช่น - They say that they will come again. (พวกเขาพูดว่าพวกเขาจะมาอีก) - The students hope that they will pass the exam. (นักศึกษาหวังว่าพวกเขา จะสอบผ่าน) 2.2 อนุประโยครองคุณศัพท์"Adjective clause" หมายถึง อนุประโยครองที่ทำหน้าที่ขยาย คำนามที่อยู่ข้างหน้า ซึ่งคำนามที่อยู่ข้างหน้าอาจเป็นประธานของประโยค เป็นกรรมของประโยค หรือเป็นส่วนเติม เต็ม ของกริยาก็ได้ - This is the book that you gave me last month. (นี่คือหนังสือที่คุณให้ผมเดือนที่แล้ว) - The cake that your mother made was very good. (ขนมเค้กที่แม่ของคุณทำอร่อยมาก) 2.3 อนุประโยครองวิเศษณ์"Adverb clause" หมายถึง อนุประโยครอง ที่ทำหน้าที่ขยาย


คำกริยาในอนุประโยคหลักอีกทีเช่น - He left the room before you came in. (เขาได้ออกจากห้องก่อนคุณเข้ามา) - I will wait for you until you return. (ฉันจะรอคุณจนกว่าคุณจะกลับมา) การใช้บุพบท (Preposition) บุพบท คือ คำที่ใช้เชื่อมคำนาม คำสรรพนาม หรือวลีเข้าด้วยกัน โดยคำหรือวลีที่อยู่หลังบุพบทจะถูกเรียกว่า "กรรมตามหลังบุพบท" คำบุพบทจะใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือวลีที่อยู่หลังบุพบทนั้นมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไรใน ประโยค ในที่นี้บุพบทในภาษาอังกฤษ มี3 ลักษณะคือ บุพบทบอกเวลา บุพบทบอกสถานที่ และบุพบทลูกผสม คือบอก สถานที่และทิศทางในเวลาเดียวกัน Preposition ใช้ได้ในหลายกรณี 1. ใช้กับสถานที่แปลว่า ที่ เช่น at the station = ที่สถานีat the office = ที่สำนักงาน at the bank = ที่ธนาคาร (หมายถึงจุดตำแหน่งของสถานที่นั้น) ใช้กับเวลา แปลว่า เมื่อเวลา เช่น at 8 o’clock = เมื่อเวลา 8 นาฬิกา at noon = เวลาเที่ยงวัน at midnight = เวลาเที่ยงคืน (หมายถึงจุดหนึ่งของเวลา) 2. in ใช้กับสถานที่แปลว่า ใน เช่น in the box = ในกล่อง, in the house = ในบ้าน in Bangkok = ในกรุงเทพ, in Thailand = ในประเทศไทย (หมายถึงภายในสถานที่, พื้นที่) in ใช้กับ เดือน, ปี, ฤดู, ช่วงระยะเวลาแปลว่า ใน เช่น in the morning = ในเวลาตอนเช้า in june = ในเดือนกรกฎาคม, in summer = ในฤดูร้อน, in 1999 = ในปี1999 3. on ใช้กับ สถานที่แปลว่า บน เช่น on the table = บนโต๊ะ, on the tree = บนต้นไม้ on Silom street = บนถนนสีลม, on my head = บนศรีษะของฉัน on ใช้กับวัน, วันที่, วันสำคัญต่าง ๆ แปลว่า ใน เช่น on Monday = ในวันจันทร์ on Janury 2 = ในวันที่ 2 มกราคม, on my birthday = ในวันเกิดของฉัน 4. โดยทั่วไป แปลว่า เพื่อ, สำหรับ เช่น for you = เพื่อคุณ, for me = เพื่อฉัน for people = เพื่อประชาชน, for our country = เพื่อประเทศของพวกเรา for ใช้กับเวลาแปลว่า เป็นเวลา เช่น for ten minutes = เป็นเวลา 10 นาที for two weeks = เป็นเวลาสองสัปดาห์, for two years = เป็นเวลาสองปี 5. since แปลว่าตั้งแต่ ใช้บอกจุดเริ่มต้นของเวลาและเหตุการณ์นั้น ๆ เช่น since 1995 = ตั้งแต่ปี1995, since last year. = ตั้งแต่ปีที่แล้ว 6. during แปลว่าระหว่าง (เวลา) เช่น during the summer = ระหว่างฤดูร้อน during my vacation = ระหว่างวันหยุดของฉัน (บอกความต่อเนื่องของเวลา) 7. between แปลว่า ระหว่าง (สองสิ่ง) เช่น B is between A and C = B อยู่ระหว่าง A และ C Jenny is sitting between John and Tom. = เจนนี่กะลังนั่งอยู่ระหว่างจอห์นและทอม 8. among = แปลว่า ระหว่าง (สามขึ้นไป) เช่น C is among A, B and D = C อยุ่ระหว่าง A, B และ D


Jenny is among Tom, John and Jack = เจนนี่อยู่ระหว่างทอม จอห์น และแจ๊ค 9. over แปลว่า เหนือ (ตรงแนวดิ่งขึ้นไป) เช่น The sun is over our heads at noon. ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะของพวกเราในเวลาเที่ยงวัน 10. above แปลว่า เหนือ (ตรงไหนก็ได้ที่สูงกว่า) เช่น The plane is above our heads. เครื่องบินอยู่เหนือศรีษะของเรา (ตรงไหนก็ได้) หลักไวยากรณ์(Grammar focus) ผู้เรียนควรรู้จักการใช้tense ที่มักใช้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติเป็นความจริงที่คนในชาติหรือ ท้องถิ่นถือปฏิบัติเป็นประจำ ได้แก่ Present Simple Tense 1. รูปประโยค (Form) 1) Subject + V1 ประธาน + กริยาช่องที่ 1 2) ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (He, She, It หรือเป็นชื่อคน คำกริยาต้องเติม “s” หรือ “es”) Examples • My brother goes to school. • Pom two tablets. • Dang buys a red car. 3) เมื่อต้องการทำเป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธ ใช้กริยาช่วย “does” กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 เท่านั้น นอกนั้น ใช้do • Does she like to drink milk? • Does the cat eat rat? • Do you like to have lunch now? • Do we have to go? 2. การใช้(Usage) 1) เกิดขึ้นเป็นประจำในปัจจุบันหรือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ Examples • She drinks tea every morning. • That shop is closed at eight o’clock. • I come to school on foot.


• My mother always gets up early in the morning. 2) เหตุการณ์ที่เป็นจริง Examples • The earth moves around the sun. • The sun shines by day. • Honey is sweet. • Honesty is the best policy. 3) ใช้กับประโยคคำสั่ง Examples • Open the window! • quiet! • Sit down! 4) มักใช้กับ Adverb of frequency เช่น always, often, usually, generally, sometimes, rarely, seldom, never, hardly (คำพวกนี้มักวางหลัง Verb to be แต่นำหน้า Verb แท้ทั่ว ๆ ไป) กลุ่มคำที่แสดง “ความบ่อย” จะวางไว้ท้ายประโยคเสมอ ได้แก่everyday, twice, three a month, from time to time, in the morning, in the afternoon, during the summer, nowadays. Examples • He usually goes to his office at 7.30 a.m. • I always go for a walk in the morning. • Pat is sometimes cruel. • She seldom misses the class. • Som never eats meat in her life. Adverb Clause of Time ใช้คำสันธาน (Conjunction) คือ when, after, before, until, till, as soon as ตัวอย่าง • Before a Japanese couple get married, they send wedding announcements. • When they get married, they usually wear kimonos. ลักษณะสำคัญบางประการของ Adverb Clause แสดงเวลา คือ 1. การกระทำในอนาคต Adverb Clause แสดงเวลาจะเป็น Present Simple แต่ละประโยคหลัก (Main Clause) จะเป็น Future เช่น When my uncle arrives next week, I will see him at the station.


2. แต่ถ้าการกระทำในอดีต Adverb Clause แสดงเวลาจะเสร็จสิ้นในอดีตก่อนที่การกระทำใน Main Clause จะ เกิดขึ้น Adverb Clause แสดงเวลานี้จะใช้Present Perfect เช่น Living in another country widens your horizon. It makes you appreciate the things you have and it strengthens the family units.


แบบทดสอบก่อนเรียน Choose the best answer. 1. What do people do on Christmas day? a. They give each other present. b. They wear costumes and go “trick or treating. c. They carry their Krathongs to float along the river. d. They celebrate with firecrackers and lion dances. 2. When is the deadline of the application? a. 15 June b. 24 hours c. 2 weeks d. one month 3. What ate the positions required? a. Only one secretary. b. We require 2 positions. c. What is your position? d. Two designers and a secretary. 4. What should you do when you are in Korea? a. Eat with left hand. b. Touch people on their head. c. Shake hands when you meet other people. d. Give something to the elders with both hands. 5. What would Thai people do on Songkran festival? a. Go to work as usual. b. Throw water at each other. c. Attend a costume party. d. Avoid eating meat or dairy products.


แบบทดสอบหลังเรียน Choose the best answer. 1. What do people do on Christmas day? a. They give each other present. b. They wear costumes and go “trick or treating. c. They carry their Krathongs to float along the river. d. They celebrate with firecrackers and lion dances. 2. When is the deadline of the application? a. 15 June b. 24 hours c. 2 weeks d. one month 3. What ate the positions required? a. Only one secretary. b. We require 2 positions. c. What is your position? d. Two designers and a secretary. 4. What should you do when you are in Korea? a. Eat with left hand. b. Touch people on their head. c. Shake hands when you meet other people. d. Give something to the elders with both hands. 5. What would Thai people do on Songkran festival? a. Go to work as usual. b. Throw water at each other. c. Attend a costume party. d. Avoid eating meat or dairy products.


เฉลยแบบทดสอบ 1 a 2 a 3 d 4 c 5 b


ใบกิจกรรมการเล่นเกม


เฉลยเกม Love is blind. ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน Prevention is better than cure. กันไว้ดีกว่าแก้ God helps those who help themselves.ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน Strike while the iron is hot. ไม้อ่อนดัดง่าย Reading makes a full man.การอ่านหนังสือทำให้เป็นคนที่สมบูรณ์ Don’t judge a book by its cover.อย่าตัดสินคนแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก Speech is silver, silence is golden. พูดไปสองไพ่เบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง A tree is known by its fruit. สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล Rome was not built in a day. ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม When the cat’s away, the nice dance will play. แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง


ครั้งที่ 4 วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 เวลา 13.00-16.00 น. รายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน่วยที่1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง แผนพบกลุ่ม จำนวน 3 ชั่วโมง ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเมืองระยอง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ รู้ เข้าใจ มีคุณธรรม จริยธรรม เจตคติที่ดี มีทักษะในการดูแลและสร้างเสริมการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี ปฏิบัติจนเป็นกิจ นิสัย วางแผนพัฒนาสุขภาพ ดำรงสุขภาพของตนเอง และครอบครัว ตลอดจนสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการส่งเสริมด้าน สุขภาพพลานามัย และพัฒนาสภาพแวดล้อมที่ดี 2. เนื้อหาตามหลักสูตร 1 มุมมองกฎหมายการใช้กัญชาและกัญชงในประเทศไทยและต่างประเทศ 2 มุมมองการใช้กัญชาและกัญชง ของประชาชนทั่วไป 3 สภาพการณ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชงผ่านสื่อออนไลน์ 4 สภาพการณ์การใช้กัญชาและกัญชงในต่างประเทศ 5 สภาพการณ์การใช้กัญชาและกัญชงในประเทศไทย 6 มุมมองการใช้กัญชาและกัญชงของบุคลากรทางการแพทย์ 7 มุมมองการใช้กัญชาและกัญชงของผู้ป่วย 8 สภาพการณ์ และขั้นตอนการให้บริการคลินิกกัญชาในประเทศไทย 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (ตัวชี้วัด) 1 บอกมุมมอง กฎหมายการใช้กัญชาและกัญชงใน ประเทศ และต่างประเทศได้ 2 บอก มุมมอง การใช้กัญชาและกัญชง ของ ประชาชน ทั่วไปได้ 3 วิเคราะห์ หลักการของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชงผ่านสื่อออนไลน์แต่ละประเภทได้ 4 อธิบายสภาพการณ์การใช้กัญชา และกัญชง ในต่างประเทศ ได้ 5 อธิบายสภาพการณ์การใช้กัญชาและกัญชงในประเทศไทยได้ 6 บอกมุมมองการใช้กัญชาและกัญชงของบุคลากรทางการแพทย์ได้ 7 บอกมุมมองการใช้กัญชาและกัญชงของผู้ป่วยได้ 8 อธิบายสภาพการณ์และขั้นตอนการให้บริการคลินิกกัญชาในประเทศไทยได้ 9 ตระหนักถึงมุมมองทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญชง รวมทั้งสภาพการณ์การใช้กัญชาและกัญชง 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ⃞ ความสามารถในการสื่อสาร ⃞ ความสามารถในการคิด ⃞ ความสามารถในการแก้ปัญหา ⃞ ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ⃞ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี


5. กระบวนการเรียนรู้ 5 STEPs 1. การเรียนรู้ตั้งคำถาม หรือขั้นตั้งคำถาม (learning to Question) 1.1 ครูผู้สอนกล่าวทักทายผู้เรียน 1.2 ครูผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 5 ข้อ 1.3 ครูผู้สอนตั้งคำถามกับผู้เรียน ดังนี้ - กัญชาและกัญชง คืออะไร - กัญชาและกัญชงในประเทศไทยมีความแตกต่างจากกัญชาและกัญชงต่างประเทศอย่างไร - การใช้กัญชาและกัญชงของบุคลากรทางการแพทย์มีอะไรบ้าง - การใช้กัญชาและกัญชงของผู้ป่วยแบบใดจึงจะเหมาะสม 1.4 ครูผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปคำตอบและชวนคิดว่าในชุมชนของเรามีแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับ กัญชาและกัญชงที่ใดบ้าง 2. การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) 2.1 ครูผู้สอนอธิบายเนื้อหา เรื่องความแตกต่างจากกัญชาและกัญชงต่างประเทศ 2.2 ครูผู้สอนอธิบายเนื้อหา เรื่องการใช้กัญชาและกัญชงของบุคลากรทางการแพทย์ 2.3 ครูผู้สอนอธิบายเนื้อหา เรื่องการใช้กัญชาและกัญชงของผู้ป่วย 2.4 ครูผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียน กลุ่มละประมาณ 4-5 คน เพื่อเข้าฐานกิจกรรมในแต่ละเรื่อง เรื่องความแตกต่างจากกัญชาและกัญชงต่างประเทศ เรื่องการใช้กัญชาและกัญชงของบุคลากรทางการแพทย์ เรื่องการใช้กัญชาและกัญชงของผู้ป่วย 2.5 ครูผู้สอนปั่นวงล้อแบ่งกิจกรรมให้กับผู้เรียนแต่ละกลุ่ม 2.6 ครูผู้สอนแจกใบกิจกรรม ที่ 1 เรื่อง กัญชงกัญชาน่าเรียนรู้ 2.7 ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเริ่มดำเนินกิจกรรมการแสวงหาความรู้ โดยเรียนรู้ที่ฐานแต่ละฐาน ฐานละ 3 นาที และเมื่อหมดเวลาผู้เรียนเปลี่ยนฐานการเรียนรู้ต่อไป 3. การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้(Learning to Construct) 3.1 ครูผู้สอนมอบหมายให้แต่ละกลุ่มทำแผนผังความคิด (Mind map) โดยครูผู้สอนใช้ระบบ เทคโนโลยี https://kidhaina.com/ เพื่อแบ่งกลุ่มในการทำงาน เพื่อสุ่มหัวข้อในการทำแผนผังความคิด 3.2 ผู้เรียนแต่ละกลุ่มทำแผนผังความคิด (Mind map) เป็นเวลา 5 นาที 4. การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) 4.1 ครูผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอแผนผังความคิด (Mind map) ที่กลุ่มตนเองได้ จัดทำ กลุ่มละ 5 นาที 4.2 ครูผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายในเนื้อหาที่ผู้เรียนนำเสนอ 4.3 ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้นักเรียนสอบถามเนื้อหา เรื่อง เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง ว่ามีส่วน ใดที่ไม่เข้าใจและให้ความรู้เพิ่มเติมในส่วนนั้น 5. การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) 5.1 ครูผู้สอนสร้างความตระหนักถึงความสำคัญเหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง 5.2 ครูผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนออกแบบข้อสอบ จำนวน 10 ข้อในเนื้อหาเรื่อง เรื่องเหตุใดต้อง เรียนรู้กัญชาและกัญชง ส่งในสัปดาห์ต่อไป 5.3 ครูผู้สอนมอบหมายให้ทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 5 ข้อ


5. งานที่มอบหมาย 1. มอบหมายให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้รับจากการนำเสนอของกลุ่มตนเองและกลุ่มอื่น ๆ สรุปเป็นรายงาน นำมาส่งในการพบกลุ่มครั้งต่อไป 2. มอบหมายใบงาน กรต. สำหรับการพบกลุ่มครั้งต่อไป 6. สื่อ/แหล่งเรียนรู้/อุปกรณ์ 1. แบบเรียนรายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2. ใบความรู้ เรื่องเหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง 7. การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ที่ ตัวชี้วัด เนื้อหา (กรต.) จำนวน ชั่วโมง หมายเหตุ 1. 1. บอกมุมมองการใช้กัญชาและกัญชงของผู้ป่วยได้ 2. มุมมองการใช้กัญชาและกัญชง ของประชาชน ทั่วไป 3. ตระหนักถึงมุมมองทุกมิติที่เกี่ยวข้องกับกัญชา และกัญชง รวมทั้งสภาพการณ์การใช้กัญชาและ กัญชง -มุมมองกฎหมาย การใช้กัญชาและกัญ ชงในประเทศไทย และต่างประเทศ -สภาพการณ์การใช้ กัญชาและกัญชงใน ประเทศไทย -บอก มุมมอง การใช้ กัญชาและกัญชง ของ ประชาชน ทั่วไปได้ 4 ชั่วโมง ใบงานที่ 1 2. 1. สภาพการณ์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกัญชาและกัญ ชงผ่านสื่อออนไลน์ -วิเคราะห์ หลักการ ของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับกัญชาและกัญชง ผ่านสื่อออนไลน์แต่ ละประเภทได้ 3 ชั่วโมง ใบงานที่ 2


8. การวัดและการประเมินผล การวัดผลตามจุดประสงค์ เครื่องมือการวัดผล เกณฑ์การประเมิน ความรู้ (Knowledge) 1 อธิบายสภาพการณ์การใช้กัญชา และกัญชง ใน ต่างประเทศ ได้ 2 อธิบายสภาพการณ์การใช้กัญชาและกัญชงใน ประเทศไทยได้ 3 อธิบายสภาพการณ์และขั้นตอนการให้บริการ คลินิกกัญชาในประเทศไทยได้ 1. แบบทดสอบหลัง เรียน 2. ใบงาน 3. แผนผังความคิด (Mind Map) 4. รายงาน 5. บันทึกการเรียนรู้ 1. ผ่านการทำแบบทดสอบ หลังเรียน ได้คะแนน ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 2. ใบงาน/Mind Map/รายงาน/ บันทึกการเรียนรู้ ไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 70 ทักษะ (Skill) 1. สร้างสรรค์ผลงานโดยใช้ความรูพื้นฐาน ด้านเหตุ ใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง 2. ชื่นชม เห็นคุณค่าของ ด้านเหตุใดต้องเรียนรู้ กัญชาและกัญชง แบบประเมินการ นำเสนอหน้าห้องพบ กลุ่ม มีผลการประเมินในระดับ ผ่าน ของ แบบประเมินการนำเสนอหน้าห้อง พบกลุ่ม เจตคติ (Attitude) 1. วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์งานด้านด้านเหตุใด ต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง 2. มีเจตคติที่ต่อการใช้กัญชาอย่างถูกต้องตามหลัก ข้อกฎหมาย 1. แบบสังเกต พฤติกรรมการทำงาน (รายบุคคล) 2. แบบสังเกตการมี ส่วนร่วมในการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ 1. มีผลการประเมินในระดับ ผ่าน ของแบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงาน (รายบุคคล) 2. มีผลการประเมินในระดับ ผ่าน ของแบบสังเกตการมีส่วนร่วมใน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ลงชื่อ………………………………………………. (…………………………………………….) ตำแหน่ง………………………………………… วันที่………เดือน…………………….พ.ศ………….. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชื่อ………………………………………………. (นางเพ็ญประภา แสนอุบล) ตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองระยอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเมืองระยอง วันที่………เดือน…………………….พ.ศ…………..


แบบทดสอบก่อนเรียน รายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) หน่วยที่1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1. ประเทศใดเป็นประเทศแรกที่เปิดให้ใช้กัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย? ก. อุรุกวัย ข. มาเลเซีย ค. แคนนาดา ง. สหรัฐอเมริกา 2. ในอดีตประเทศไทยให้กัญชาและกัญชงเป็นสารเสพติดประเภทที่เท่าไหร่ ก. ประเภท2 ข. ประเภท3 ค. ประเภท4 ง. ประเภท5 3. ข้อใดคือการนำกัญชาและกัญชงมาใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก. ต้มน้ำดื่ม ข. นันทนาการ ค. สกัดส่วนสำคัญ ง. ปลูกใช้ภายในครัวเรือน 4. ข้อใดคือเว็ปไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข ก. www.moph.go.th ข. www.dmi.mop.go.th ค. www.fda.moph.go.th ง. www.dms.moph.go.th 5. ตามกฎกระทรวงสาธารณสุข ยาที่มีส่วนผสมของกัญชาเพื่อการรักษาและการวิจัย พ.ศ.2562 ได้กำหนดไว้กี่ ประเภท ก. ประเภท3 ข. ประเภท4 ค. ประเภท5 ง. ประเภท6


แบบทดสอบหลังเรียน รายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) หน่วยที่1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 1. กฎหมาย Amsterdam drugs Laws เป็นกฎหมายของประเทศใด ก. สก๊อตแลนด์ ข. เนเธอร์แลนด์ ค. สหรัฐอเมริกา ง. สาธารณรัฐเช็ก 2. ข้อใดคือเว็ปไซต์ของกรมการแพทย์ ก. www.moph.go.th ข. www.dmi.mop.go.th ค. www.fda.moph.go.th ง. www.dms.moph.go.th 3. คลินิกวิจัยน้ำมันกัญชาทางการแพทย์แผนไทยตำรับหมอเดชามีจำนวนทั้งหมดกี่แห่ง ก. 11 แห่ง ข. 22 แห่ง ค. 33 แห่ง ง. 44 แห่ง 4. ผู้ป่วยในข้อใดไม่สามารถเข้ารับการบริการจากคลินิกกญชา โดยมีแพทย์หรือเภสัชกรที่ได้รับใบอนุญาติให้รักษา โรคด้วยน้ำมันกัญชาเป็นผู้ดูแล ก. ส้มเป็นโรคอัลไซเมอร์ ข. แดงเป็นโรคพาร์กินสัน ค. ดำเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ง. เขียว เป็นโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง 5. ข้อใดต่อไปนี้มีภูมิคุ้มกันในการค้นหาข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์มากที่สุด ก. เสือ ค้นหาข้อมูลจากสื่อออนไลน์เพื่อการเรียรู้ ข. สาว ค้นหาข้อมูลจากสื่อออนไลน์ เพื่อส่งต่อให้เพื่อน ค. สาร ค้นหาข้อมูลจากสื่อออนไลน์เพื่อรวบรวม และเผยแพร่ความรู้ ง. แสน ค้นหาข้อมูลจากสื่อออนไลน์ เพื่อวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูล


เฉลยแบบทดสอบ รายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) หน่วยที่1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลังเรียน ข้อที่ เฉลย ข้อที่ เฉลย 1. ก 1. ข 2. ง 2. ง 3. ข 3. ข 4. ก 4. ค 5. ค 5. ง


ใบความรู้สัปดาห์ที่4 เรื่อง สื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา วัตถุประสงค์ 1. เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจสื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชงเป็นยา กกกกกกก 2. เพื่อให้มีทักษะการแสวงหาความรู้ และทักษะการคิดวิเคราะห์ข้อมูลสื่ออินเทอร์เน็ต ภัยเงียบการใช้กัญชา และกัญชงเป็นยา 3. เพื่อให้ตระหนักถึงการรับรู้ข้อมูลจากสื่ออินเทอร์เน็ตภัยเงียบการใช้กัญชาและกัญชง เป็นยา เนื้อหา กกกกกกกปัจจุบันจะเห็นคนจำนวนมากมีโอกาสใช้เครื่องมือออนไลน์ในการเปลี่ยนแปลงตนเองให้ กลายเป็น “สื่อ” ในการเผยแพร่ข้อมูล ความคิด ข้อคิดเห็นต่าง ๆ โดยมีผู้ชมบนโลกออนไลน์จำนวน มาก สามารถเข้ามา เยี่ยมชมและแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนได้ บ้างเข้ามากดไลท์ หรือกดแชร์ ให้เป็นกำลังใจหรือเป็นเครื่องวัด ระดับความนิยมของแต่ละเนื้อหานั้น ๆ แต่สื่อในวันนี้ ควรท าหน้าที่ อะไรและมีบทบาทอะไรบ้างในสังคม กกกกกกกการเปิดพื้นที่ออนไลน์แบบอิสระนั้น ท าให้หลาย ๆ คนมีโอกาสได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ ได้มี ช่องทางเผยแพร่สิ่งที่สื่อทั่วไปอาจจะไม่สนใจหรือไม่มีเวลาเพียงพอที่จะน าเสนอได้ ซึ่งถ้ามองอย่าง นั้นก็คงเป็น เรื่องที่ดี แต่ในทางกลับกันจะพบว่ามีการใช้สื่อในทางที่ไม่ดีไปพร้อม ๆ กัน การเปิดเพจ ที่ใช้ข้อความชักจูง เชิญ ชวน แสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างผลประโยชน์ต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2562 นายวิทัศน์ เตชะบุญ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ (พม.) กล่าวในพิธีเปิดอบรมเชิงปฏิบัติการ “รู้เท่าทัน เสริมพลังเครือข่าย ปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ้นภัยออนไลน์” ที่โรงแรมบางกอก พาเลส กรุงเทพมหานคร ว่า “ความรุนแรงหลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นใน ปัจจุบันจำนวนมากมาจาก สื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่สร้างความสูญเสียและผลกระทบมากมาย โดยเฉพาะกับ เด็กและเยาวชน ข้อมูลการสำรวจจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าเด็กไทยมีโอกาสเสี่ยงจาก ภัยสื่อ ออนไลน์ถึงร้อยละ 60 สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 56 ทั้งยังพบว่าเด็กไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 3 ชั่วโมง จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกัน ป้องกันและ แก้ปัญหา โดยเฉพาะการสร้างการรู้เท่าทันสื่อ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อสื่อที่เป็นภัยคุกคาม” กกกกกกกโลกของเครือข่ายสังคมออนไลน์ ก็ไม่ต่างจากโลกความเป็นจริง ที่มีทั้ง “คนดี” “คนร้าย” “ตัวจริง” “ตัวปลอม” ปะปนกันไป แต่ที่น่าวิตกกว่าโลกความเป็นจริง คือ เรื่องราวบนโลกสังคม ออนไลน์ แพร่กระจายไป ได้เร็วมาก และหยุดยากด้วย บางคนใช้สื่อสังคมออนไลน์ อย่าง รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ คาดไม่ถึงว่าจะเกิดผล เสียหายตามมา อย่างกรณีที่มีข่าวลือที่สร้างความเสียหาย แก่ผู้อื่น และมีการส่งต่อให้เพื่อน ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เผยแพร่ข้อความได้ถูกตำรวจจับกุมข้อหา กระท าความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท าความผิด เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และมี ตัวอย่างข่าวลักษณะแบบนี้อยู่หลายกรณี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเป็น “สังคม” ก็ต้องมีกฎระเบียบ มีข้อ ควรปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นสังคมบน “โลกออนไลน์” หรือ “โลกความเป็นจริง” จึง ขอกล่าวถึงข้อควร ปฏิบัติและควรระวังในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ดังนี้


กกกกกกก1. พึงตระหนักเสมอว่าการโพสต์ข้อความ หรือแสดงความคิดเห็นเผยแพร่บนสื่อสังคม ออนไลน์ เป็น ข้อความที่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ดังนั้นผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบ ทั้งด้านสังคม และกฎหมาย กกกกกกก2. อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป บนสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงข้อมูลทางการเงิน เพราะการ เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเท่าไหร่ ภัยร้ายก็จะเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น การระบุ วัน เดือน ปีเกิด จะทำให้ มิจฉาชีพทราบถึงอายุ หากเป็นเด็ก หรือวัยรุ่น จะยิ่งเป็นเป้าหมายเพราะล่อลวง ได้ง่าย กกกกกกก3. ไม่ควรโพสต์ข้อความ ที่ชี้ชวนให้มิจฉาชีพรับรู้ความเคลื่อนไหวส่วนตัวของเราตลอด เช่น บอก สถานะว่าไม่อยู่บ้าน หรือเดินทางไปที่ไหน ขับรถอะไร ซึ่งท าให้ผู้ไม่หวังดีวางแผนมาท าร้าย หรือ วางแผนขโมย ทรัพย์สินเราได้ กกกกกกก4. ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการโพสต์ หรือ เผยแพร่ ส่งต่อ ข้อความ รูปภาพ วีดิโอ ที่อาจทำให้ ผู้อื่นเสียหาย เช่น ภาพหลุด คลิปหลุด หรือ โพสต์รูปภาพที่สื่อถึงอบายมุขต่าง ๆ และไม่ ควรใช้ถ้อยคำหยาบคาย ถ้อยค าลามก อนาจาร ดูหมิ่น ส่อเสียด เสียดสีให้ร้ายผู้อื่นในทางเสียหาย หรือสร้างความแตกแยกในสังคม กกกกกกก5. พึงระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะไว้ใจหรือเชื่อใจคน ที่รู้จักผ่านอินเทอร์เน็ต ในการแลกเปลี่ยน ข้อมูล ส่วนตัว เช่น ชื่อ อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ ที่อยู่ หรือชื่อสถานศึกษา เพราะอาจถูกหลอกลวง หรือล่อลวงไปทำ อันตรายได้ กกกกกกก6. ให้ระมัดระวังการเช็คอิน (Check-in) ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยใช้กล้องโทรศัพท์ ถ่ายภาพ ระบุพิกัด และเวลา เพราะภาพทุกภาพ การโพสต์ทุกอย่างจะอยู่ในอินเทอร์เน็ต ไม่มีวัน ถูกลบอย่างแท้จริง กกกกกกกข้อควรระวังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการปฏิบัติในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อให้ เกิดการตระหนักรู้เท่าทันภัยคุกคามต่าง ๆ จากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อจะช่วยป้องกันภัย หรือลดความ เสียหายลงได้ ภาพที่ 86 เล่นโซเซียลเน็ตเวิรก์ให้ปลอดภัย “รู้” ไว้เลี่ยงอันตราย


ภาพที่ 87 สาเหตุที่ไม่ควรให้ลูกติดสื่อออนไลน์


กรณีศึกษาที่ 1 รวบหนุ่มปากช่องหัวใส สกัดน้ำมันกัญชาขายตลาดมืด พร้อมของกลางเพียบ กกกกกกกเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ปากช่อง นำกำลังเข้าควบคุมตัว นายธนากร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในชุมชนโรงสูบ เขตเทศบาลเมืองปากช่อง หลังสืบทราบมาว่า มีการลักลอบผลิตน้ ามันกัญชาส่งขายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค นอกจากนี้ ยังพบของกลาง กัญชาอัดแท่ง ยาเค บ้อง เขียง พร้อมส่วนผสม ทั้งแอลกอฮอล์ น้ำมันมะพร้าว อ้างไปได้สูตรมาจากอาจารย์ท่านหนึ่งใน กทม. เบื้องต้นแจ้ง ข้อหา ผลิตยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 5 (กัญชา) โดยผิดกฎหมาย มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) ไว้ใน ครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (กัญชา) โดยผิดกฎหมาย มีวัตถุออก ฤทธิ์ ประเภทที่ 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบของกลาง ประกอบด้วย 1. กัญชาแห้งห่อด้วยกระดาษฟอยล์ สี ทอง น้ำหนักรวมภาชนะบรรจุประมาณ 8.6 กิโลกรัม 2. เคตามีนแบ่งเป็นถุงบรรจุในถุงพลาสติกใสชนิดกดปิดดึง เปิดได้ จำนวน 8 ถุง น้ำหนักรวม 97.33 กรัม 3. ขวดบรรจุน้ำมันกัญชาขนาดเล็ก จำานวน 80 ขวด 4. ขวดเปล่า สำหรับ บรรจุน้ำมันกัญชา จำนวน 1 ลัง ประมาณ 1,000 ขวด 5. แกลลอนสีขาวบรรจุแอลกอฮอล์เหลวจำนวน 1 แกลลอน 6. น้ำมันกัญชาผสมแอลกอฮอล์จำนวน 1 ชามสเตนเลส ที่ผสมแล้ว 1 ชามสแตนเลสขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังพบอุปกรณ์การเสพ เช่น บ้องกัญชาท าจากไม้ไผ่ 2 บ้อง เขียงไม้ โดย นายธนากร รับว่า ได้ ไป เรียนวิธี ทำน้ำมันกัญชา มาจากอาจารย์ท่านหนึ่งที่ กทม. โดยสูตรในการผลิต มีส่วนผสม ทั้งแอลกอฮอล์ กัญชา น้ำมันมะพร้าว ส่วนขั้นตอนวิธีการทำ ไม่ขอเปิดเผย โดยกัญชา ซื้อมาจากแหล่งซื้อขายตลาดมืดใน กทม. นายธนากร ยังบอกว่าน้ ามันกัญชา ใช้หยดใต้ลิ้น รักษาโรคภูมิแพ้ คลายเครียด นอนหลับสบาย และรักษาโรคอื่น ๆ ได้อีกหลาย โรค ซึ่งในตลาดมืด มีการจำหน่ายกันตั้งแต่ ขวดละ 500 บาท ถึง 3,000 บาท มีการลงเพจขายกัน อย่างโจ๋งครึ่ม โดยตน ผลิต จำหน่าย แจกจ่าย ให้กับวัยรุ่น และกลุ่มคนทั่วไป ในราคา 300 - 500 บาท นำไปขาย ต่อ ในราคา 500 - 3,000 บาท ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝากไปถึงประชาชนที่ ชอบใช้น้ำมันกัญชา ว่าการลักลอบผลิตนั้น ไม่มีมาตรฐาน ไม่ถูก สุขลักษณะ ผิดกฎหมาย เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีผลข้างเคียงอย่างมาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้


ผลการวิเคราะห์กรณีศึกษา กกกกกกกผลการวิเคราะห์ จากตัวอย่างกรณีศึกษา รวบหนุ่มปากช่องหัวใส สกัดน้ำมันกัญชาขาย ตลาดมืด พร้อมของกลางเพียบ จะเห็นได้ว่า กกกกกกก1. ความสำคัญของกรณีศึกษา คือ การสกัดน้ำมันกัญชาด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ผิด กฎหมาย กกกกกกก2. ความสัมพันธ์ในกรณีศึกษา คือ มีความต้องการใช้น้ำมันกัญชาจากกลุ่มวัยรุ่น และคน ทั่ว ๆ ไป มี การฝ่าฝืนกฎหมาย ลักลอบผลิตน้ ามันกัญชา และมีการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชา ขายผ่านสื่อออนไลน์ ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลให้นายธนากร ตัดสินใจลักลอบผลิต น้ำมันกัญชาขายผ่านสื่อ ออนไลน์ กกกกกกก3. หลักการสำคัญในกรณีศึกษา คือ (1) การจะเชื่อถือข้อมูลที่ผ่านมาจากสื่อออนไลน์ ควร มีการ วิเคราะห์ข้อมูล และแยกแยะความถูกต้องของข้อมูล และ (2) ความน่าเชื่อถือของแหล่งผลิต น้ำมันกัญชาควรมี มาตรฐานรับรอง 4. กรณีศึกษานี้ให้ประโยชน์ในการน าไปใช้คือ 4.1 ถ้าจ าเป็นต้องใช้น้ำมันกัญชา ควรรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมี ประสิทธิภาพจากแพทย์ และเภสัชกรที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาโรคด้วยน้ำมันกัญชา 4.2 แนะนำคนในครอบครัว และคนในชุมชน ว่าต้องมีความรู้ ความเข้าใจ วิธีการที่ ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ถ้าจ าเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรภายใต้การ ควบคุมดูแลของแพทย์ และ เภสัชกรที่ได้รับอนุญาตใช้รักษาโรคด้วยน้ำมันกัญชา


กรณีศึกษาที่ 2 องค์การเภสัชเตือน ต้อง “รู้ให้จริง” น้ำมันกัญชาทางการแพทย์ ก่อนใช้! วันที่ 30 มิถุนายน 2562 องค์การเภสัชกรรมได้ทวิตข้อความ เตือนประชาชน โดยระบุว่า เมื่อเรารู้ว่า กัญชามี สรรพคุณเป็นยา ดังนั้น เราจึงต้องรู้ที่จะใช้ให้ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพแท้จริงด้วย นะครับ


ผลการวิเคราะห์กรณีศึกษา ผลการวิเคราะห์ จากตัวอย่างกรณีศึกษา องค์การเภสัชเตือน ต้อง “รู้ให้จริง” น้ำมันกัญชาทาง การแพทย์ ก่อนใช้! จะเห็นได้ว่า กกกกกกก1. ความสำคัญของกรณีศึกษา คือ ความรู้ที่ถูกต้องในการใช้น้ำมันกัญชา กกกกกกก 2 ความสัมพันธ์ในกรณีศึกษา คือ สาเหตุมีความรู้ในวิธีการใช้น้ำมันกัญชาไม่ถูกต้อง ส่งผล ให้ใช้ น้ำมันกัญชาได้ไม่ปลอดภัย และไม่มีประสิทธิภาพ กกกกกกก3. หลักการสำคัญในกรณีศึกษา คือ ข้อมูลที่ผ่านทางสื่อออนไลน์ ถือได้ว่าเป็นข้อมูลที่มี ความน่าเชื่อถือ โดยดูจากแหล่งที่มาของข่าว ว่าข้อมูลที่ได้รับมีความน่าเชื่อถือ สามารถเข้าไปดูแหล่ง อ้างอิงของข้อมูลได้ และ เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน 4. กรณีศึกษานี้ให้ประโยชน์ในการน าไปใช้คือ 4.1 ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายลักลอบผลิตน้ ามันกัญชา และใช้น้ำมันกัญชาในทุกกรณี 4.2 แนะน าคนในครอบครัว และคนในชุมชน ว่าการฝ่าฝืนกฎหมายลักลอบผลิตน้ ามัน กัญชาเป็นสิ่ง ผิดกฎหมาย เพราะกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 สรุป กกกกกกกเครือข่ายสังคมออนไลน์กลายเป็นสังคมที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น และมีความหลากหลายทั้งใน แง่ คุณลักษณะทางเพศและอายุ ตลอดจนวัตถุประสงค์การใช้งาน ที่นับวันภาพของสังคมออนไลน์ ก็จะยิ่งสะท้อน ภาพของคนในสังคมไทยเข้าไปทุกที ตั้งแต่เทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาอย่างก้าวล้ำ สื่อสังคมออนไลน์กลับส่งผล ไปในทางลบต่อชีวิตประจ าวันและความสัมพันธ์ของคนในสังคมอย่าง ชัดเจนยิ่งขึ้น จนกลายเป็นประเด็นทาง สังคม ที่ทั้งสื่อ กฎหมายและประชาชนเองจะต้องให้ ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไข ซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหา ใหญ่ของสังคม สิ่งที่เราสามารถทำได้ ในการป้องกันภัยที่มาจากสื่อสังคมออนไลน์ ก็คือการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) โดยต้องเข้าใจ สภาพของสื่อออนไลน์ว่าเป็นสังคมที่มีทั้งพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ เรียนรู้การ สื่อสารและการมี ปฏิสัมพันธ์บนโลกออนไลน์กับชีวิตจริงว่า ความรอบคอบและมีสติทุกครั้งในการสื่อสารและแสดง ความคิดเห็นต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ คือวิธีป้องกันภัยร้ายเงียบได้เป็นอย่างดี กกกกกกกกรณีศึกษาที่ 1 จะเห็นได้ว่าการสกัดน้ำมันกัญชาด้วยตนเอง เป็นวิธีการที่ผิดกฎหมาย และ การโฆษณา ขายผลิตภัณฑ์น้ำมันกัญชา ผ่านสื่อออนไลน์ สามารถเข้าถึงได้ง่าย แต่การจะเชื่อถือข้อมูล ที่ผ่านมาจากสื่อ ออนไลน์ควรมีการวิเคราะห์ข้อมูล และแยกแยะความถูกต้องของข้อมูลเสียก่อน กรณีศึกษาที่ 2 จะเห็นได้ว่า การได้รับความรู้ที่ถูกต้องในการใช้น้ำมันกัญชา จะส่งผลให้ใช้ น้ำมันกัญชา ได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่ผ่านทางสื่อออนไลน์นี้ถือเป็นข้อมูลที่มี ความน่าเชื่อถือสามารถเข้า ไปดูแหล่งอ้างอิงของข้อมูลได้ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน


ใบงานที่1 เรื่อง มุมมองกัญชา รายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) หน่วยที่1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คำชี้แจง : ให้ผู้เรียนตอบคำถามในข้อต่อไปนี้ลงในเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ส่งครูผู้สอนตามที่นัดหมาย 1. มุมมองกฎหมายต่อการใช้กัญชาและกัญชงเป็นอย่างไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 2. สภาพการณ์การใช้กัญชาและกัญชงในประเทศไทยเป็นอย่างไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 3. พืชกัญชาและพืชกัญชงแตกต่างกันอย่างไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. 4. ประวัติความเป็นมาของพืชกัญชงและกัญชาเป็นอย่างไร .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. ชื่อ-นามสกุล ………........................………………………………. รหัสกลุ่ม…………….............รหัสนักศึกษา........…..……..………


ใบงานที่ 2 เรื่อง สื่อที่เกี่ยวกับกัญชาและกัญชง (กรต.) รายวิชากัญชาและกัญชงศึกษาเพื่อใช้เป็นยาอย่างชาญฉลาด (ทช33098) หน่วยที่1 เหตุใดต้องเรียนรู้กัญชาและกัญชง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ชื่อ-นามสกุล ……….....................…………………………………. รหัสกลุ่ม…………….............รหัสนักศึกษา........…..……..……… ข้อที่ 2 คำชี้แจง : ให้ผู้เรียนโยงเส้นตามข้อมูลให้ถูกต้อง www.moph.go.th www.moe.go.th www.pmnidat.go.th www.dms.moph.go.th www.fda.moph.go.th กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) กรมการแพทย์ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพ ติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กระทรวงศึกษาธิการ


ครั้งที่ 5 วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 09.00 – 12.00 น. แผนการจัดการเรียนรู้รายสัปดาห์รายวิชาศิลปศึกษา (ทช31003) ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน่วยที่ 1 ทัศนศิลป์สากล แผนพบกลุ่ม จ านวน 3 ชั่วโมง ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อ าเภอเมืองระยอง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ คุณค่า งานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน มาตรฐาน 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่า งานทัศนศิลป์ที่ เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล 2. เนื้อหาตามหลักสูตร เรื่องที่ 1 จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรง เรื่องที่ 2 ทัศนศิลป์สากล เรื่องที่ 3 การวิพากษ์วิจารณ์งานทัศนศิลป์ เรื่องที่ 4 ความงามตามธรรมชาติ เรื่องที่ 5 ความงามตามทัศนศิลป์สากล เรื่องที่ 6 ธรรมชาติกับทัศนศิลป์ เรื่องที่ 7 ความคิดสร้างสรรค์การตกแต่งร่างกาย และที่อยู่อาศัย เรื่องที่ 8 ความคิดสร้างสรรค์ในงานตกแต่ง 3. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง (ตัวชี้วัด) 1. มีความรู้ ความเข้าใจในพื้นฐานของทัศนศิลป์สากล (K) 2. มีทักษะและเทคนิคในการใช้วัสดุอุปกรณ์ และกระบวนการที่สูงขึ้นในการสร้างงานทัศนศิลป์(P) 3. ตระหนักและเห็นความสำคัญของงานทัศนศิลป์สากล (A) 4. สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี


5. กระบวนการจัดการเรียนรู้5 STEPs ขั้นที่ 1 การเรียนรู้ตั้งค าถาม (learning to Question) 1.1 ครูผู้สอนกล่าวทักทายผู้เรียน ตามช่วงเวลาที่จัดการเรียนรู้ 1.2 ครูผู้สอนชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ในรายวิชา ศิลปศึกษา ทช31003 1.3 ให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเรื่อง ทัศนศิลป์สากล 1.4 ครูผู้สอนใช้คำถาม ถามผู้เรียนโดยให้ผู้เรียนถอดรหัสลับจากภาพ จากภาพผู้เรียนจะนึกถึงสถานที่ใด (แนวค าตอบ) หอนาฬิกาบิ๊กเบน (Big Ben) สัญลักษณ์ของกรุงลอนดอน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "มหาระฆังแห่ง หอคอยเอลิซาเบธ" (Great Bell of the Elizabeth Tower) เริ่มตีเสียงก้องกังวานให้ชาวกรุงลอนดอนได้ยิน เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ก.ค. 1859 เชื่อกันว่าชื่อ "บิ๊กเบน" ถูกเรียกกันเล่น ๆ ตามชื่อของเซอร์เบนจามิน ฮอลล์ ผู้ควบคุมการติดตั้งมหาระฆังในขณะนั้น ขั้นที่ 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to Search) 2.1 ครูผู้สอน แบ่งกลุ่มผู้เรียน กลุ่มละประมาณ 8-10 คน 2.2 ครูผู้สอนแจกดินน้ำมันกลุ่มละ 5 ก้อน ให้แต่ละกลุ่มทำกิจกรรมดังนี้ - ปั้นดินน้ำมันเป็นรูปตามชอบ กำหนดส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร และให้ใช้ดินน้ำมันให้ครบทุก ก้อน หลังจากปั้นดินน้ำมันได้รูปทรงตามต้องการแล้ว ให้ตอบคำถามในใบกิจกรรมที่ 1 2.3 ครูให้เวลา 10 นาที ในการให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มทำใบกิจกรรม โดยสามารถใช้หนังสือเรียนหรือ โทรศัพท์มือถือในการค้นหาข้อมูลได้ 2.4 ครูและผู้เรียนตรวจสอบความถูกต้องของใบกิจกรรมร่วมกัน


ขั้นที่ 3 การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) 3.1 ครูผู้สอนแจกใบความรู้ที่ 1 เรื่อง ทัศนศิลป์สากล ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่ม 3.2 ครูผู้สอนมอบหมายให้แต่ละกลุ่มทำแผนผังความคิด (Mind map) โดยครูผู้สอนใช้ระบบเทคโนโลยี Lucky wheel เพื่อสุ่มหัวข้อในการทำแผนผังความคิด โดยมี 4 หัวข้อดังนี้ - จิตรกรรม - ประติมากรรม - สถาปัตยกรรม - ภาพพิมพ์ จากนั้นครูผู้สอนให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มมาเลือกหยิบบัตรภาพผลงานทัศน์ศิลป์รูปแบบต่างๆที่ตรงกับหัวข้อของกลุ่มตัวเอง เพื่อนำไปประกอบการทำแผนผังความคิด 3.3 ผู้เรียนแต่ละกลุ่มทำแผนผังความคิด (Mind map) เป็นเวลา 5 นาที ขั้นที่ 4 การเรียนรู้เพื่อการสื่อสาร (Learning to Communicate) 4.1 ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอแผนผังความคิด (Mind map) ที่กลุ่มตนเองได้จัดทำ กลุ่มละ 5 นาที 4.2 ครูผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปรายในเนื้อหาที่ผู้เรียนนำเสนอ ขั้นที่ 5 การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to Service) 5.1 ครูผู้สอนให้ผู้เรียนทำคลิปแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนของตน โดยให้นำเสนองานทัศนศิลป์ใน ชุมชนของตนเอง และเผยแพร่ลงในโซเชียล เช่น Facebook Tiktok 5.2 ครูผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปองค์ความรู้เรื่อง ทัศนศิลป์สากล 5.3 ครูผู้สอนมอบหมายให้ทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 5 ข้อ 6. งานที่มอบหมาย 6.1 ให้ผู้เรียนทำคลิปแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนของตน โดยให้นำเสนองานทัศนศิลป์ในชุมชนของตนเอง และเผยแพร่ลงในโซเชียล เช่น Facebook Tiktok 6.2 ใบกิจกรรมที่ 1 เรื่องงานทัศนศิลป์ 6.3 ใบงาน กรต.ที่ 1 เรื่อง เรื่อง จุด เสน สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรง 6.4 ใบงาน กรต.ที่ 2 เรื่อง ความงามตามทัศนศิลป์สากล 7. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 7.1 แบบเรียนรายวิชา ศิลปศึกษา (ท31003) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 7.2 ใบความรู้ เรื่อง ทัศนศิลป์สากล 7.3 บัตรภาพผลงานทัศนศิลป์รูปแบบต่างๆ


8. การเรียนรู้ด้วยตนเอง (กรต.) ที่ ตัวชี้วัด เนื้อหา (กรต.) จ านวนชั่วโมง หมายเหตุ 1 1.อธิบายความหมายและความรู้สึกต่อ จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรงได้ 1. จุด เส้น สี แสง เงา รูปร่าง รูปทรง 7 ชั่วโมง ใบงาน กรต.ที่ 1 2 2.สร้างสรรค์ความงามตามทัศนศิลป์ สากล 2. ความงามตามทัศนศิลป์ สากล 10 ชั่วโมง ใบงาน กรต.ที่ 2 9. การวัดผลและประเมินผล การวัดผลตามจุดประสงค์ เครื่องมือการวัดผล เกณฑ์การประเมินผล ความรู้ (Knowledge) - บอกความแตกต่าง และความคล้ายคลึง กันของงานทัศนศิลป์ได้ - ระบุงานทัศนศิลป์ของศิลปินที่มี ชื่อเสียงได้ถูกต้อง - แบบทดสอบก่อน - แบบทดสอบหลังเรียน - การถาม-ตอบ ผ่านการตอบคำถามได้80% ขึ้นไป ทักษะ (Skill) - สร้างสรรค์งาน ทัศนศิลป์ไทย สากล โดยศึกษาจากแนวคิดและวิธีการสร้าง งานของศิลปินที่ตนชื่นชอบได้ - แบบประเมินชิ้นงาน - ใบกิจกรรมที่ 1 ผ่านการประเมินผล 80% ขึ้นไป เจตคติ (Attitude) 1. มีความขยัน ใฝ่รู้ใฝ่เรียน 2. มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนศิลปะ - แบบประเมินพฤติกรรม รายบุคคล - แบบประเมินพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม ผู้เรียน 80% ขึ้นไปมีส่วนร่วมในการ อธิบายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ลงชื่อ………………………………………………. (…………………………………………….) ตำแหน่ง………………………………………… วันที่………เดือน…………………….พ.ศ…………. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ............................................................................................................................ ...................................... ลงชื่อ………………………………………………. (นางเพ็ญประภา แสนอุบล) ตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองระยอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเมืองระยอง วันที่………เดือน…………………….พ.ศ…………..


แบบทดสอบก่อนเรียน วิชาศิลปศึกษา (ทช31003) หน่วยที่ 1 ทัศนศิลป์สากล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ค าชี้แจง ให้ผู้เรียนเลือกค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1. การวาดภาพที่มีการตัดเส้น หรือวาดเส้นนิยมใช้กับงานในข้อใด ก. ภาพทิวทัศน์เสมือนจริง ข. ภาพแสดงเหตุการณ์สำคัญ ค. ภาพประกอบนิทาน หรือละคร ง. ภาพที่ใช้เทคนิคต่าง ๆ ผสมกัน 2. เส้นในข้อใดที่เป็นเส้นหลักของการร่างภาพใบหน้าตัวละคร ก. เส้นโค้ง เส้นตรง ข. เส้นโค้ง เส้นเฉียง ค. เส้นรูปไข่ เส้นแนวตั้ง ง. เส้นแนวตั้ง เส้นแนวนอน 3. ถ้าจะวาดภาพตัวละครให้เป็นที่นิยมของคนทั่วไปต้องคำนึงถึงอะไร ก. ภาพสื่อให้เห็นถึงรูปแบบที่เรียบง่าย มีความเหมือนจริงตามธรรมชาติ ข. ภาพที่เรียบง่าย สื่อสารอารมณ์ความรู้สึกได้ดี มีบุคลิกที่จำง่าย ค. ภาพที่มีเส้นคมชัด ใช้สีที่เกินจริงจากธรรมชาติ ง. ภาพลายเส้นเรียบง่าย สื่อวิถีชีวิตในสังคมได้ดี 4. การออกแบบโปสเตอร์ที่ดีและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารควรออกแบบให้มีคุณสมบัติตามข้อใด ก. สะดุดตาอ่านง่ายแต่แรกเห็น ข. มีความกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ค. ใช้ข้อความยาว ให้ได้รายละเอียดมาก ง. มีแต่ภาพ ใช้ตัวอักษรให้น้อยที่สุด 5. สีที่มีความบางเบามักจะระบายระยะใด ก. ระยะตื้น ข. ระยะใกล้ ค. ระยะไกล ง. ระยะใดก็ได้


เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน วิชาศิลปศึกษา (ทช11003) หน่วยที่ 1 ทัศนศิลป์สากล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อ เฉลยก่อนเรียน 1 ค 2 ง 3 ข 4 ก 5 ค


แบบทดสอบหลังเรียน วิชาศิลปศึกษา (ทช31003) หน่วยที่ 1 ทัศนศิลป์สากล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ค าชี้แจง ให้ผู้เรียนกากบาทค าตอบที่ถูกที่สุดเพียงค าตอบเดียว 1. ถ้าต้องการสร้างผลงานที่สื่อถึงความแข็งแรง มั่นคง ควรใช้เส้นลักษณะใดเป็นหลักในผลงาน ก. เส้นแนวนอน ข. เส้นแนวตั้ง ค. เส้นโค้งคด ง. เส้นฟันปลา 2. ข้อใดเป็นตัวอย่างของการนำผลงานทัศนศิลป์มาสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ก. แต่งกายชุดนักเรียนมาโรงเรียน ข. เขียนหนังสือด้วยลายมือที่อ่านง่าย ค. นำภาพวาดมาตกแต่งบ้านเรือน ง. ใช้แสงไฟหลากสีในงานรื่นเริง 3. ข้อใดเป็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมต่อการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ ก. ช่วยในเรื่องการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ ข. เป็นแบบอย่างให้งานทัศนศิลป์ทำตาม ค. ทำให้เกิดการใช้แสงเงาในตัวผลงาน ง. เป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อสร้างงานศิลป์ 4. การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ของไทยได้รับอิทธิพลจากเรื่องใดมากที่สุด ก. ความเชื่อ ความศรัทธาทางพระพุทธศาสนา ข. แนวความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน ค. อิทธิพลจากอินเดีย จีนและศรีลังกา ง. รูปแบบ เทคนิค วัสดุอุปกรณ์จากตะวันตก 5. ข้อใดเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยมากที่สุด ก. การทำมาหากิน ข. ศาสนาและความเชื่อ ค. สภาพลมฟ้าอากาศ ง. การต่อสู้ทำศึกสงคราม


เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน วิชาศิลปศึกษา (ทช31003) หน่วยที่ 1 ทัศนศิลป์สากล ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ข้อ เฉลยหลังเรียน 1 ข 2 ค 3 ข 4 ก 5 ข


ค าชี้แจง ให้แต่ละกลุ่มออกแบบผลงานของกลุ่มตัวเองผ่านการปั้นดินน้ ามัน แล้วอธิบายผลงานของตัวเองตามหัวข้อ ที่ก าหนด จากนั้นน าผลงานแสดงหน้าชั้นเรียนและแลกเปลี่ยนกันชมและวิจารณ์ 1.1 ชื่อผลงาน.............................................................................................................. ................................................... 1.2 ประเภทของงานทัศนศิลป์....................................................................................................................................... 1.3 อธิบายเกี่ยวกับผลงาน ........................................................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. .................................................................. .......................................................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................................................. ........................................................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................................................. .................................. ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................................................. ............................................................................................................................. .................................................................. ................................................................................................................................................................ ............................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................................................. ............................................................................................................................. .................................................................. .................................................................................................................................................................... ........................... ............................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .................................................................. ............................................................................................................................. .................................................................. ....................................................................................................................................................................... ........................ ........................................................................................................... .................................................................................... ใบกิจกรรมที่ 1 หน่วยที่ 1 ทัศนศิลป์สากล


1. ให้ผู้เรียนบอกความรู้สึกที่มีต่อเส้นในลักษณะต่างๆ ดังนี้ให้ถูกต้อง 1.1 เส้นตรงแนวตั้ง……………………………………………………………. 1.2 เส้นตรงแนวนอน…………………………………………………………. 1.3 เส้นตรงแนวเฉียง………………………………………………………….. 1.4 เส้นติดกัน…………………………………………………………………. 1.5 เส้นโค้ง……………………………………………………………………. 1.6 ให้ความรู้สึกอย่างไร 1.7 ------------------------ ให้ความรู้สึกอย่างไร 1.8 ให้ความรู้สึกอย่างไร 1.9 ให้ความรู้สึกอย่างไร 2. ให้ผู้เรียน อธิบายว่าสีร้อน และสีเย็น หมายถึงอะไรและประกอบด้วยสีอะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ให้ผู้เรียนวาดรูปโดยใช้ดินสอไล่น้ าหนักของแสงเงา ใบงาน กรต. ที่ 1 เรื่อง จุด เสน สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรง


ค าชี้แจง ให้ผู้เรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. การรับรู้ความงามทางศิลปะของมนุษย์นั้น สามารถรับรู้ได้กี่ทาง และแบ่งเป็นกี่รูปแบบ อะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2. ความเชื่อในการสร้างผลงานของศิลปะสมัยกลาง (Medieval Arts) มีความเชื่อเกี่ยวกับอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. ช่างในสมัยศิลปะไบเซนไทร์(Bizentine) ทำงานเพื่อใคร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 4. ฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissanee) หมายถึง อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ใบงาน กรต. ที่ 2 เรื่อง ความงามตามทัศนศิลป์สากล


ใบความรู้ เรื่อง ทัศนศิลป์สากล ทัศนศิลป์สากล ความหมายของศิลปะและทัศนศิลป์ ศิลปะ หมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่างๆให้ปรากฏซึ่งความ สุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และทักษะของบุคคลแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีนักปราชญ์ นักการศึกษา ท่านผู้รู้ ได้ให้ความหมายของศิลปะแตกต่างกันออกไป เช่นการเลียนแบบ ธรรมชาติ การแสดงออของบุคลิกภาพทางอารมณ์ของมนุษย์ และศิลปะ คือ การสื่อสารอย่างหนึ่งระหว่างมนุษย์ การ ระบายความปรารถนาในใจของศิลปินออกมา การแสดงออกของผลงานด้านต่างๆที่สร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับมนุษย์ การสร้างสรรค์ทางศิลปะ เป็นกิจกรรมพัฒนาสติปัญญาและอารมณ์ การสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์เชื่อว่าเกิด ขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณตั้งแต่ยุคหินหรือประมาณ 5000,000 - 4,000 ปีล่วงมาแล้ว นับตั้งแต่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ เพิงผา ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าเป็นอาหาร โดยมากศิลปะจะเป็นภาพวาด ซึ่งปรากฏตามผนังถ้ำต่างๆ เช่น ภาพ วัวไบซัน ที่ถ้ำอัลตาริมา ในประเทศสเปน ภาพสัตว์ชนิดต่างๆที่ถ้ำลาสล์โก ในประเทศฝรั่งเศส สำหรับประเทศไทยที่พบ เห็น เช่นผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา ที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ประเภทของงานทัศนศิลป์ สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. จิตรกรรม 2. ประติมากรรม 3. สถาปัตยกรรม 4. ภาพพิมพ์ จิตรกรรม จิตรกรรม เป็นงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น เพื่อให้เกิด ภาพ 2 มิติ ไม่มีความลึกหรือนูนหนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ผู้ทำงานจิตรกรรม มักเรียกว่า จิตรกร จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจิตรกรรมไว้ว่า จิตรกรรม คือ การระบายชั้นของสีลง บนพื้นระนาบรองรับ เป็นการจัดรวมกันของรูปทรง และ สีที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการของศิลปินแต่ละคนในการเขียน ภาพนั้น พจนานุกรมศัพท์ อธิบายว่า เป็นการสร้างงานทัศนศิลป์บนพื้นระนาบรองรับ ด้วยการ ลาก ป้าย ขีด ขูด วัสดุ จิตรกรรมลงบนพื้นระนาบรองรับ ภาพจิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักอยู่ที่ถ้ำ Chauvet ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนอ้างว่า มีอายุราว 32,000 ปีเป็นภาพที่สลักและระบายสีด้วยโคลนแดงและสีย้อมดำ แสดงรูปม้า แรด สิงโต ควาย แมมมอธ หรือ มนุษย์ ซึ่งมักจะกำลังล่าสัตว์ จิตรกรรม สามารถจำแนกได้ตามลักษณะผลงานที่สิ้นสุด และวัสดุอุปกรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาด และ ภาพเขียน


จิตรกรรมภาพวาด (Drawing) จิตรกรรมภาพวาด เรียกเป็นศัพท์ทัศนศิลป์ภาษไทยได้หลายคำ คือ ภาพวาด เขียน ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคำทับศัพท์ว่า ดรออิ้ง ก็มี ปัจจุบันได้มีการนำอุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ ในการเขียนภาพและวาดภาพ ที่ก้าวหน้าและทันสมัยมากมาใช้ ผู้เขียนภาพจึงจึงอาจจะใช้อุปกรณ์ต่างๆมาใช้ในการเขียน ภาพ ภาพวาดในสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตูน จิตรกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มิติ บนพื้นระนาบด้วยสีหลายสีซึ่งมักจะต้องมีสื่อ ตัวกลางระหว่างวัสดุกับอุปกรณ์ที่ใช้เขียนอีก ซึ่งกลวิธีเขียนที่สำคัญ คือ 1. การเขียนภาพสีน้ า (Color Painting) 2. การเขียนภาพสีน้ ามัน (Oil Painting) 3. การเขียนภาพสีอะคริลิค (Acrylic Painting) ประติมากรรม เป็นผลงานศิลปะที่แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง 3 มิติ มีปริมาตร มีน้ำหนักและกินเนื้อที่ใน อากาศ โดยการใช้วัสดุชนิดต่าง ๆ วัสดุที่ใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรม จะเป็นตัวกำหนด วิธีการสร้างผลงาน ความงาม ของงานประติมากรรม เกิดจากการแสงและเงา ที่ เกิดขึ้นในผลงานการสร้างงานประติมากรรมทำได้4 วิธี คือ 1. การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุ ทีเหนียว อ่อนตัว และยึดจับตัว กันได้ดี วัสดุที่นิยม นำมาใช้ปั้น ได้แก่ ดินเหนียว ดินน้ำมัน ปูน แป้ง ขี้ผึ้ง กระดาษ หรือ ขี้เลื่อยผสมกาว เป็นต้น 2. การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่ แข็ง เปราะ โดยอาศัย เครื่องมือ วัสดุที่นิยม นำมาแกะ ได้แก่ ไม้ หิน กระจก แก้ว ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น


งานแกะสลักไม้ 3. การหล่อ (Molding) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ จากวัสดุที่หลอมตัวได้และกลับแข็ง ตัวได้ โดยอาศัย แม่พิมพ์ ซึ่งสามารถทำให้เกิดผลงานที่เหมือนกันทุกประการตั้งแต่ 2 ชิ้น ขึ้นไป วัสดุที่นิยมนำมาใช้หล่อ ได้แก่ โลหะ ปูน แป้ง แก้ว ขี้ผึ้ง ดิน เรซิ่น พลาสติก ฯลฯ เช่น รำมะนา (ชิต เหรียญประชา) 4. การประกอบขึ้นรูป (Construction) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มิติ โดยนำวัสดุต่าง ๆ มา ประกอบเข้าด้วยกัน และยึดติดกันด้วยวัสดุต่าง ๆ การเลือกวิธีการสร้างสรรค์งานประติมากรรม ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ต้องการใช้ ประติมากรรม ไม่ ว่าจะสร้างขึ้นโดยวิธีใด จะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ แบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรม เรียกว่า ประติมากร ประเภทของงานประติมากรรม 1. ประติมากรรมแบบนูนต่ า (Bas Relief) เป็นรูปที่เป็นนูนขึ้นมาจากพื้นหรือมีพื้นหลัง รองรับ มองเห็นได้ ชัดเจนเพียงด้านเดียว คือด้านหน้า มีความสูงจากพื้นไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรูป จริง ได้แก่รูปนูนแบบเหรียญ รูปนูนที่ใช้ ประดับตกแต่งภาชนะ หรือประดับตกแต่งอาคารทาง สถาปัตยกรรม โบสถ์ วิหารต่างๆ พระเครื่องบางชนิด 2. ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ในลักษณะเช่นเดียวกับแบบ นูนต่ำ แต่มีความ สูงจากพื้นตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของรูปจริงขึ้นไป ทำให้เห็นลวดลายที่ลึก ชัดเจน และ และเหมือนจริงมากกว่าแบบนูนต่ำและใช้ งานแบบเดียวกับแบบนูนต่ำ 3. ประติมากรรมแบบลอยตัว (Round Relief ) เป็นรูปต่าง ๆ ที่มองเห็นได้รอบด้านหรือ ตั้งแต่ 4 ด้านขึ้น ไป ได้แก่ ภาชนะต่าง ๆ รูปเคารพต่าง ๆ พระพุทธรูป เทวรูป รูปตามคตินิยม รูปบุคคลสำคัญ รูปสัตว์ ฯลฯ สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ทั้งสิ่งก่อสร้างที่คนทั่วไปอยู่อาศัยได้ เช่นสถูป เจดีย์ อนุสาวรีย์เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการกำหนดผังบริเวณต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสวยงามและเป็น ประโยชน์แก่การ ใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหล่งรวมของงานศิลปะทางกายภาพเกือบทุกชนิด และมักมี รูปแบบแสดงเอกลักษณ์ของ สังคมนั้น ๆ ในช่วงเวลานั้น ๆ เราแบ่งลักษณ์งานของสถาปัตยกรรมออกได้เป็น 3 แขนง ดังนี้คือ 1. สถาปัตยกรรมออกแบบก่อสร้าง เช่น การออกแบบสร้างตึกอาคาร บ้านเรือน เป็นต้น 2. ภูมิสถาปัตย์เช่น การออกแบบวางผัง จัดบริเวณ วางผังปลูกต้นไม้ จัดสวน เป็นต้น 3. สถาปัตยกรรมผังเมือง ได้แก่ การออกแบบบริเวณเมืองให้มีระเบียบ มีความสะอาด มีความรวดเร็ว ในการติดต่อ และถูกหลักสุขาภิบาล เราเรียกผู้สร้างงานสถาปัตยกรรมว่า สถาปนิก องค์ประกอบส าคัญของสถาปัตยกรรม จุดสนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนั้น ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย บทความ De Architectura ของวิทรูเวียส ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สุดที่เราค้นพบ ได้กล่าวไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสามส่วนหลักๆ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและสมดุล อันได้แก่


ความงาม (Venustas) หมายถึง สัดส่วน และองค์ประกอบ การจัดวางที่ว่าง สีวัสดุ และพื้นผิวของอาคาร ที่ ผสมผสานลงตัว ที่ยกระดับจิตใจ ของผู้ได้ยลหรือเยี่ยมเยือนสถานที่นั้นๆ ความมั่นคงแข็งแรง (Firmitas) และประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถึง การสนองประโยชน์ และ การบรรลุ ประโยชน์แห่งเจตนา รวมถึงปรัชญาของสถานที่นั้นๆ สถาปัตยกรรมไทย ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมไทย ได้แก่ 1. เรือนไทย ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันในแต่ละภาค 2. วัดไทย รวมถึง อุโบสถ วิหาร หอระฆัง เจดีย์ 3. พระราชวัง ป้อมปราการ สถาปัตยกรรมตะวันตก ตัวอย่างเช่น บ้านเรือน โบสถ์วิหาร ปราสาท ราชวัง ซึ่งมีทั้งสถาปัตยกรรมแบบโบราณ เช่น กอธิก ไบแซนไทน์จนถึง แบบสมัยใหม่ สถาปัตยกรรมตะวันตก ศิลปะภาพพิมพ์ ( Printmaking) ภาพพิมพ์ โดยความหมายของคำย่อมเป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้วว่า หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมา โดยวิธีการพิมพ์ แต่สำหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง ภาพพิมพ์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักว่าภาพพิมพ์ คืออะไรกันแน่ เพราะคำๆนี้เป็นคำ ใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้กันมาประมาณเมื่อ 30 ปี มานี้เอง โดยความหมายของคำเพียงอย่างเดียว อาจจะชวนให้เข้าใจสับสนไปถึงรูปภาพที่พิมพ์ด้วย กรรมวิธีการพิมพ์ทางอุตสาหกรรม เช่น โปสเตอร์ ภาพพิมพ์ที่จำลองจากภาพถ่าย หรือภาพจำลอง จิตรกรรมอันที่จริงคำ ว่า ภาพพิมพ์ เป็นศัพท์เฉพาะทางศิลปะที่หมายถึง ผลงานวิจิตรศิลป์ที่จัดอยู่ในประเภท ทัศนศิลป์ เช่น เดียวกันกับ จิตรกรรมและประติมากรรม ภาพพิมพ์ทั่วไปมีลักษณะเช่นเดียวกับจิตรกรรมและภาพถ่าย คือตัวอย่างผลงานมีเพียง 2 มิติ ส่วนมิติที่ 3 คือ ความลึกที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ ภาษาเฉพาะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี น้ำหนัก และพื้นผิว สร้างให้ดูลวงตาลึกเข้าไป ในระนาบ 2 มิติของผิวภาพ แต่ภาพพิมพ์มีลักษณะเฉพาะทีแตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธีการสร้างผลงานที่ จิตรกรรมนั้น ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ขีดเขียน หรือวาดภาพระบาย สีลงไปบนผืนผ้าใบ กระดาษ หรือสร้างออกมาเป็น ภาพโดยทันที แต่การสร้างผลงานภาพพิมพ์ศิลปินต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นสื่อก่อน แล้วจึงผ่านกระบวนการพิมพ์ ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพที่ต้องการได้ จากกรรมวิธีในการสร้างผลงานด้วยการพิมพ์นี้เอง ที่ทำให้ศิลปินสามารถสร้างผลงาน ต้นแบบ ( Original) ที่เหมือนๆกันได้หลายชิ้น เช่นเดียวกับผลงานประติมากรรม ประเภทที่ปั้นด้วยดินแล้วทำแม่พิมพ์หล่อผลงาน ชิ้นนั้นให้เป็นวัสดุถาวร เช่นทองเหลือง หรือสำริด ทุกชิ้นที่หล่อออกมาถือว่าเป็นผลงานต้นแบบมิใช่ผลงานจำลอง ( Reproduction) ทั้งนี้เพราะว่าภาพพิมพ์นั้นก็มิใช่ผลงานจำลองจากต้นแบบที่เป็นจิตรกรรมหรือวาดเส้น แต่ภาพพิมพ์ เป็นผลงานสร้างสรรค์ ที่ศิลปินมีทั้งเจตนาและความเชี่ยวชาญในการใช้คุณลักษณะพิเศษเฉพาะของเทคนิควิธีการทาง


ภาพพิมพ์ แต่ละชนิดมาใช้ในการถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด และอารมณ์ความรู้สึกออกมาในผลงานได้โดยตรง แตกต่างกับการที่นำเอาผลงานจิตรกรรมที่สร้างสำเร็จไว้แล้วมาจำลองเป็นภาพโดยผ่านกระบวนการทางการพิมพ์ ในการพิมพ์ผลงานแต่ละชิ้น ศิลปินจะจำกัดจำนวนพิมพ์ตามหลักเกณฑ์สากล ที่ศิลปะสมาคมระหว่างชาติ ซึ่งไทยก็เป็น สมาชิกอยู่ด้วย ได้กำหนดไว้โดยศิลปินผู้สร้างผลงานจะเขียนกำกับไว้ที่ด้านซ้ายของภาพ เช่น 3/30 เลข 3 ตัวหน้า หมายถึงภาพที่ 3 ส่วนเลข 30 ตัวหลังหมายถึงจำนวนที่ พิมพ์ทั้งหมด ในภาพพิมพ์บางชิ้นศิลปินอาจเซ็นคำว่า A/P ไว้ แทนตัวเลขจำนวนพิมพ์A/Pนี้ย่อมาจาก Artist's Proof ซึ่งหมายความว่า ภาพๆนี้เป็นภาพที่พิมพ์ขึ้นมาหลังจากที่ศิลปิน ได้มีการทดลองแก้ไข จนได้คุณภาพสมบูรณ์ตามที่ต้องการ จึงเซ็นรับรองไว้หลังจากพิมพ์A/P ครบตาม จำนวน 10% ของจำนวนพิมพ์ทั้งหมด จึงจะเริ่มพิมพ์ให้ครบตามจำนวนเต็มที่กำหนดไว้ หลังจากนั้นศิลปินจะ ทำลาย แม่พิมพ์ด้วยการขูดขีด หรือวิธีการอื่นๆ และพิมพ์ภาพสุดท้ายนี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน เรียกว่า Cancellation Proof สุดท้ายศิลปินจะเซ็นทั้งหมายเลขจำนวนพิมพ์ วันเดือนปี และลายเซ็นของศิลปินเอง ไว้ด้านล่างขวาของภาพ เพื่อ เป็นการรับรองคุณภาพด้วยทุกชิ้น จำนวนพิมพ์นี้อาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความนิยมของ “ ตลาด ” และปัจจัยอื่นๆ อีกหลายประการ สำหรับศิลปินไทยส่วนใหญ่จะจำกัดจำนวนพิมพ์ไว้ค่อนข้างต่ำประมาณ 5-10 ภาพ ต่อ ผลงาน 1 ชิ้น กฎเกณฑ์ที่ ศิลปินทั่วโลกถือปฏิบัติกันเป็นหลักสากลนี้ย่อมเป็นการรักษามาตรฐานของภาพพิมพ์ ไว้ อันเป็นการส่งเสริมภาพพิมพ์ให้ แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป รูปแบบของศิลปะภาพพิมพ์ในด้านเทคนิค 1. กรรมวิธีการพิมพ์ผิวนูน (Relief Process) 2. กรรมวิธีการพิมพ์ร่องลึก (Intaglio Process ) 3. กรรมวิธีการพิมพ์พื้นราบ (Planography Process ) 4. กรรมวิธีการพิมพ์ผ่านช่องฉลุ (Serigraphy) 5. กรรมวิธีการพิมพ์เทคนิคผสม (Mixed Tecniques) 6. การพิมพ์วิธีพื้นฐาน (Basic Printing) รูปแบบของศิลปะภาพพิมพ์ในทางทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ 1. รูปแบบแสดงความเป็นจริง (Figuration Form) 2. รูปแบบผันแปรความเป็นจริง (Semi - Figuration Form) 3. รูปแบบสัญลักษณ์(Symbolic Form) 4. รูปแบบที่ปราศจากเนื้อหา (Non - Figuration Form)


บัตรภาพ


Click to View FlipBook Version