The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ ม.6 รวมทุกแผน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wanrujirawan, 2021-06-20 11:01:16

แผนวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ ม.6 รวมทุกแผน

แผนวิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ ม.6 รวมทุกแผน

แผนการจัดการเรียนรู้

วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ว31103
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6

ปีการศึกษา 2564
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

นางสาวรจุ ริ าวรรณ จันสว่าง

ตาแหน่ง ครผู ู้ชว่ ย
โรงเรียนบ้านแพงพทิ ยาคม

สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศึกษา นครพนม
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

1. หลกั การจัดการเรยี นรู้อิงมาตรฐาน

หน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยจะกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด* ไว้เป็นเป้าหมายในการ
จัดการเรียนการสอน ผู้สอนจะต้องศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดของมาตรฐานตัวช้ีวัดทุกข้อว่า ระบุให้
ผูเ้ รยี นต้องมคี วามรู้ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั เร่อื งอะไร และต้องสามารถลงมือปฏิบัติอะไรได้บ้าง และผลการเรียนรู้
ท่ีเกิดขึ้นกับผู้เรียนตามมาตรฐานตัวชี้วัดนี้จะนำไปสู่การเสริมสร้างสมรรถนะสำคั ญและคุณลักษณะ
อนั พึงประสงค์ด้านใดแก่ผ้เู รียน

มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชวี้ ัด ผเู้ รยี นร้อู ะไร

นำไปสู่ ผู้เรยี นทำอะไรได้

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

2. หลักการจดั กิจกรรมการเรยี นรทู้ ีเ่ น้นผ้เู รียนเปน็ สำคัญ

เมื่อผู้สอนวิเคราะห์ตัวชี้วัดและความสามารถของผู้เรียนท่ีจะเกิดตามตัวชี้วัด ได้กำหนดจุดประสงค์
การเรียนรู้เป้าหมายการจัดการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้ว จึงกำหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้และ
แนวทางการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนของกิจกรรมการเรียนรู้ที่ออกแบบไว้จน
บรรลุจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ุกข้อ

จดุ ประสงค์ เป้าหมาย สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
การเรียนรู้
หลกั การจดั การเรียนรู้ และการพฒั นา คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
เนน้ ผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง คุณภาพ ของผูเ้ รียน
สนองความแตกต่างระหว่างบคุ คล ของผูเ้ รยี น
เน้นพฒั นาการทางสมอง
เน้นความรคู้ คู่ ณุ ธรรม

3 หลักการบูรณาการกระบวนการเรียนรสู้ ู่มาตรฐานตวั ช้วี ัด

เมื่อผู้สอนกำหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้ และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้แล้ว
จึงกำหนดรูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ ที่จะฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ บรรลุผลตาม
จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่เป็นเป้าหมาย
ในหน่วยนั้น ๆ เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง กระบวนการ

เผชิญสถานการณ์และการแก้ปัญหา การคิดเชิงคำนวณ กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวิเคราะห์ อย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการทางสังคม ฯลฯ กระบวนการเรยี นรทู้ ี่มอบหมายให้ผู้เรียนได้คิดและลงมือปฏิบัตินั้นจะต้องนำไปสู่
การพัฒนาสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้
ในแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้

4 หลักการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน

การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละหนว่ ย ผ้สู อนต้องกำหนดขนั้ ตอนและ
วธิ ีปฏิบัติใหช้ ดั เจน โดยเนน้ ใหผ้ เู้ รียนได้คิดและปฏบิ ตั มิ ากทีส่ ดุ ตามแนวคิดและวธิ ีการสำคัญ คือ

1) การเรียนรู้ เป็นกระบวนการทางสติปญั ญา ท่ีผู้เรยี นทุกคนตอ้ งใช้สมองในการคดิ และทำความเข้าใจ
ในส่ิงต่าง ๆ ร่วมกับการลงมือปฏิบัติ ทดลองค้นคว้า จนสามารถสรุปเป็นความรู้ได้ด้วยตนเอง และ
สามารถนำเสนอผลงาน แสดงองคค์ วามรทู้ เ่ี กดิ ข้นึ ในแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้ได้

2) การสอน เป็นการเลือกวธิ ีการหรือกิจกรรมท่ีเหมาะสมกับการเรียนรู้ในหนว่ ยนั้น ๆ และที่สำคัญคือ
ต้องเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับสภาพผู้เรียน ผู้สอนจึงต้องเลือกใช้วิธีการสอน เทคนิคการสอน และ
รูปแบบการสอนอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างราบร่ืน
จนบรรลุตวั ชวี้ ดั ทุกข้อ

3) รูปแบบการสอน ควรเป็นวิธีการและขั้นตอนฝึกปฏิบัติท่ีส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถคิด
อย่างเป็นระบบ เช่น รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) รูปแบบการสอนโดยใช้การคิด
แบบโยนิโสมนสิการ รูปแบบการสอนแบบ CIPPA Model รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักร
การเรยี นร้แู บบ 4MAT รูปแบบการเรียนการสอนแบบรว่ มมือ เทคนคิ JIGSAW, STAD, TAI, TGT

4) วิธีการสอน ควรเลือกใช้วิธีการสอนท่ีสอดคล้องกับเน้ือหาของบทเรียน ความถนัด ความสนใจ
และสภาพปัญหาของผู้เรียน วิธีสอนที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลการเรียนรู้ตามในระดับ
ผลสัมฤทธ์ิท่ีสูง เช่น วิธีการสอนแบบบรรยาย การสาธิต การทดลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย
การแสดงบทบาท สมมติ การใช้กรณีตัวอย่าง การใช้สถานการณ์จำลอง การใช้ศูนย์การเรียน
การใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรม เป็นต้น

5) เทคนิคการสอน ควรเลือกใช้เทคนิคการสอนที่สอดคล้องกับวิธีการสอน และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ
เนื้อหาในบทเรียนได้ง่ายข้ึน สามารถกระตุ้นความสนใจและจูงใจให้ผู้เรียนร่วมปฏิบัติกิจกรรม
การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers) เทคนิคการ
เล่านิทาน การเล่นเกมเทคนิคการใช้คำถาม การใช้ตัวอย่างกระตุ้นความคิด การใช้ส่ือการเรียนรู้
ทน่ี า่ สนใจ เป็นต้น

6) ส่ือการเรียนการสอน ควรเลือกใชส้ ่ือหลากหลายกระต้นุ ความสนใจ และทำความกระจ่างให้เนื้อหา
สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตัวชี้วัดอย่าง
ราบร่ืน เช่น ส่ือส่ิงพิมพ์ เอกสารประกอบการสอน แถบวีดิทัศน์ แผน่ สไลด์ คอมพิวเตอร์ VCD LCD
Visualizer เป็นต้น ควรเตรยี มส่ือให้ครอบคลมุ ท้ังสือ่ การสอนของครแู ละส่ือการเรียนรู้ของผเู้ รียน

5 หลกั การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้แบบยอ้ นกลบั ตรวจสอบ

เม่ือผู้สอนวางแผนออกแบบการจัดการเรียนรู้ รวมถึงกำหนดรูปแบบการเรียนการสอนไว้เรียบร้อยแล้ว
จึงนำเทคนิควิธีการสอน วิธีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และส่ือการเรียนรู้ไปลงมือจัดการเรียนการสอน ซ่ึงจะนำ
ผู้เรียนไปสู่การสร้างช้ินงานหรือภาระงาน เกิดทักษะกระบวนการและสมรรถนะสำคัญตามธรรมชาติวิชา
รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดที่เป็นเป้าหมายของหน่วย
การเรยี นรู้ ตามลำดบั ขน้ั ตอนการเรยี นร้ทู ก่ี ำหนดไว้ ดังน้ี

จากเป้าหมายและหลกั ฐาน เป้าหมายการเรยี นรขู้ องหนว่ ย
คดิ ย้อนกลบั สจู่ ุดเริม่ ตน้
ของกิจกรรมการเรยี นรู้ หลักฐานชนิ้ งาน/ภาระงาน
แสดงผลการเรยี นรู้ของหน่วย

4 กิจกรรม คำถามชวนคิด จากกจิ กรรมการเรียนรู้
3 กิจกรรม คำถามชวนคดิ ทีละขน้ั บันไดสหู่ ลกั ฐาน
2 กจิ กรรม คำถามชวนคดิ และเป้าหมายการเรยี นรู้
1 กจิ กรรม คำถามชวนคิด

6 หลกั การวดั และประเมินผล

เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนจะสามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตัวช้ีวัดนั้น จึงได้มีการออกแบบและสร้าง
เคร่ืองมือเพ่ือใช้ในการประเมินหลัก ๆ ดังนี้

1) แบบทดสอบกอ่ น-หลงั เรยี น ประเมนิ ความร้เู พอ่ื ใช้ในการพัฒนาในหนว่ ยถัด ๆ ไป
2) ใบงาน เพือ่ ใช้ในการฝึกคิดและปฏิบัติ
3) แบบประเมินช้ินงาน โดยใช้เกณฑ์คุณภาพ (Scoring Rubrics) เพ่ือใช้ในการประเมินคุณภาพของชิ้นงาน

และประเมนิ กระบวนการคดิ และกระบวนการกลมุ่
4) แบบสังเกตพฤติกรรมเพ่ือใชใ้ นการประเมนิ พัฒนาคณุ ลักษณะอันพึงประสงคต์ ่อไป
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง แล้วจะต้อง
ฝึกฝนกระบวนการคิด โดยใช้เทคนิคการตั้งคำถาม และใช้ระดับคำถามให้สัมพันธ์กับระดับความคิดเน้ือหาน้ัน ๆ
ต้งั แต่ระดับความรู้ ความจำ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ การวเิ คราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ นอกจากจะ

ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซ้ึงแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเพ่ือสอบ O-NET ซึ่งเป็นการ
ทดสอบระดับชาติท่ีเน้นกระบวนการคิดระดับวิเคราะห์ด้วย และในแต่ละแผนการเรียนรู้จึงมีการระบุคำถามเพื่อ
กระตุ้นความคิดของผู้เรียนไว้ด้วยทุกกิจกรรม ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนวิธีการทำข้อสอบ O-NET ควบคู่ไปกับการปฏิบัติ
กิจกรรมการเรียนรูต้ ามผลการเรียนรูท้ สี่ ำคัญ

ท้ังน้ีการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละหน่วยจะครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ และ
การประเมินผลด้านความรู้ความเข้าใจ (K) ด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
ตามตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางฯ
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตลอดจนแบบบันทึกผลการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ไว้ครบถ้วน สอดคล้องกับ
มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน เช่น แบบบันทึกผลด้านการคิดวิเคราะห์ ด้านการอ่านและแสวงหาความรู้
ด้านสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร เป็นต้น ผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ และใช้ประกอบการจัดทำรายงานการประเมนิ ตนเอง (Self-Assessment Reports) จึงมัน่ ใจอยา่ งย่ิง
ว่า การนำแผนการจัดการเรียนรู้เล่มน้ีไปเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนจะช่วยพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นของ
นักเรยี นให้สงู ขนึ้ ตามมาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษาทกุ ประการ

สรุปหลกั สูตรฯ กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี *

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ัด กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดสาระการเรียนรู้ 4 สาระ ได้แก่
สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และ
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี รวมทั้งยังมีสาระเพิ่มเติมอีก 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และ
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

องคป์ ระกอบของหลักสตู ร ท้ังในดา้ นของเนือ้ หา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมนิ ผล
การเรียนรู้น้ันมีความสำคัญอยา่ งย่ิงในการวางรากฐานการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ของผเู้ รยี นในแต่ละระดับช้ันให้มี
ความต่อเนื่องเช่ือมโยงกันต้งั แต่ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 จนถงึ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ได้กำหนดตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเรียนเป็นพื้นฐาน เพื่อให้
สามารถนำความรู้ไปใชใ้ นการดำรงชีวิตหรือศึกษาต่อได้ โดยจัดเรียงลำดบั ความยากง่ายของเนื้อหาในแต่ละชั้น
ให้มีการเช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา
ความคิด ท้ังความคิดเปน็ เหตเุ ป็นผล คดิ สรา้ งสรรค์ คิดวิเคราะหว์ ิจารณ์ มีทักษะทสี่ ำคัญท้ังทกั ษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษท่ี 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะ
หาความรู้ แกป้ ัญหาอย่างเป็นระบบ ตดั สนิ ใจโดยใช้ขอ้ มูลหลากหลาย และประจักษพ์ ยานทตี่ รวจสอบได้

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 น้ี ได้ปรับปรุงเพ่ือให้มีความสอดคล้อง
และเช่ือมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ตลอดจนการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ี ยังได้
ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการเปล่ียนแปลง และความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ ทัดเทียมกับ
นานาชาติ

สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ

มาตรฐาน ว 2.1-ว 2.3

สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 1.1-ว 1.3 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว 3.1-ว 3.2

สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.1-ว 4.2

วิทยาศาสตรเ์ พิม่ เตมิ - สาระชีววทิ ยา - สาระเคมี - สาระฟสิ กิ ส์ - สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ

* สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พ.ศ. 2551. (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชมุ นมุ สหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2560)

ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง*

สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ

มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์
และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อส่ิงมีชีวิต และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีอวกาศ

ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ม.6 1. อธิบายการกำเนิดและการเปล่ียนแปลง • ทฤษฎีกำเนิดเอกภพท่ียอมรับในปัจจุบัน คือทฤษฎีบิกแบง ระบุว่าเอกภพ

พลังงาน สสาร ขนาด อุณ หภูมิของ เริ่มต้นจากบิกแบงท่ีเอกภพมีขนาดเล็กมาก และมีอุณภูมิสูงมากซึ่งเป็น

เอกภพหลังเกิดบิกแบงในช่วงเวลาต่าง ๆ จุดเรม่ิ ต้นของเวลาและวิวัฒนาการของเอกภพ โดยหลงั เกดิ บิกแบง เอกภพ

ตามวิวัฒนาการของเอกภพ เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีอุณหภูมิลดลง มีสสารคงอยู่ในรูปอนุภาค

และปฏิยานุภาคหลายชนิด และมีวิวัฒนาการต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงมี

เนบวิ ลา กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะเปน็ สมาชกิ บางสว่ นของเอกภพ

2. อธิบายหลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง • หลักฐานสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง คือการขยายตัวของเอกภพ
จากความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับ ซึ่งอธิบายด้วยกฎฮับเบิล โดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและ
ระยะทางของกาแล็กซี รวมทั้งข้อมูลการ ระยะทางของกาแล็กซีที่เคลื่อนที่ห่างออกจากโลกและหลักฐานอีกประการ

ค้นพบไมโครเวฟพื้นหลงั จากอวกาศ คือ การค้นพบไมโครเวฟพื้นหลัง ที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทุกทิศทาง

และสอดคลอ้ งกบั อุณหภูมเิ ฉลยี่ ของอวกาศ มีคา่ ประมาณ 2.73 เคลวิน

3. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบของ • กาแล็กซี ประกอบด้วย ดาวฤกษ์จำนวนหลายแสนล้านดวง ซึ่งอยู่กันเป็น

กาแล็กซีทางช้างเผือก และระบุตำแหน่ง ระบบของดาวฤกษ์ นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยเทห์ฟ้าอ่ืน เช่น เนบิวลา

ของระบบสรุ ยิ ะ พร้อมอธบิ ายเชือ่ มโยงกับ และสสารระหว่างดาว โดยองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในของกาแล็กซีอยู่

การสังเกตเห็นทางช้างเผือกของคนบน รวมกันด้วยแรงโน้มถ่วง
โลก • กาแลก็ ซีมีรูปร่างแตกต่างกัน โดยระบบสรุ ิยะอยู่ในกาแล็กซที างช้างเผอื กซ่ึง

เป็นกาแล็กซีกังหันแบบมีคาน มีโครงสร้าง คือ นิวเคลียส จาน และฮาโล

ดาวฤกษ์จำนวนมากอยู่ในบริเวณนิวเคลียสและจาน โดยมีระบบสุริยะอยู่

ห่างจากจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือก ประมาณ 30,000 ปีแสง

ซ่ึงทางช้างเผือกท่ีสังเกตเห็นในท้องฟ้าเป็นบริเวณหนึ่งของกาแล็กซีทาง

ช้างเผือกในมุมมองของคนบนโลก แถบฝ้าสีขาวจาง ๆ ของทางช้างเผือกคือ

ดาวฤกษ์ ที่อย่อู ยา่ งหนาแนน่ ในกาแลก็ ซที างชา้ งเผือก

4. อธิบายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดย • ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่อยู่รวมกันเป็นระบบดาวฤกษ์คือ ดาวฤกษ์ที่อยู่รวมกัน

แสดงการเปลี่ยนแปลงความดัน อุณหภูมิ ต้ังแต่ 2 ดวงขึ้นไป ดาวฤกษ์เป็นก้อนแก๊สร้อนขนาดใหญ่ เกิดจากการยุบตัว

ขนาด จากดาวฤกษ์ก่อนเกิดจนเป็นดาว ของกลุ่มสสารในเนบิวลาภายใต้แรงโน้มถ่วง ทำให้บางส่วนของเนบิวลามี

ฤกษ์ ขนาดเล็กลง ความดันและอุณหภูมิเพิ่มข้ึน เกิดเป็นดาวฤกษ์ก่อนเกิด

เม่ืออุณหภมู ิท่ีแก่นสูงขึ้นจนเกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ ดาวฤกษ์ก่อนเกิด

จะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยู่ในสภาพสมดุลระหว่างแรงดันกับ

แรงโน้มถ่วงซ่ึงเรียกว่า สมดุลอุทกสถิต จึงทำให้ดาวฤกษ์มีเสถียรภาพ

ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

5. ระบุปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส่องสว่างของ และปลดปลอ่ ยพลงั งานเป็นเวลานาน ตลอดชว่ งชีวติ ของดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์ และอธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของ • ปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ เป็นปฏิกิริยาหลักของกระบวนการสร้างพลังงาน
ดาวฤกษ์ ของดาวฤกษ์ท่ีแก่นของดาวฤกษ์ ทำให้เกิดการหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจน
เปน็ นิวเคลียสฮีเลยี มแลว้ ก่อให้เกิดพลังงานอย่างตอ่ เนื่อง
6. อธิบายความสมั พันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว
และสเปกตรมั ของดาวฤกษ์ • ความส่องสว่างของดาวฤกษ์เป็นพลังงานจากดาวฤกษ์ท่ีปลดปล่อยออกมาใน
เวลา 1 วินาทีต่อหน่วยพื้นที่ ณ ตำแหน่งของผู้สังเกต แต่เนื่องจากตาของ
7. อธิบายลำดับวิวัฒนาการท่ีสัมพันธ์กับ มนุษย์ไม่ตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงความส่องสว่างท่ีมีค่าน้อย ๆ
มวลต้ังต้นและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง จึงกำหนดค่าการเปรียบเทียบความส่องสว่างของดาวฤกษ์ด้วยค่าโชติมาตร
สมบัติบางประการของดาวฤกษ์ ซึ่งเปน็ การแสดงระดับความส่องสว่างของดาวฤกษ์ ณ ตำแหนง่ ของผู้สังเกต

8. อธิบายกระบวนการเกิดระบบสุริยะ และ • สีของดาวฤกษ์สัมพันธ์กับอุณ หภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์
การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ และ ซง่ึ นกั ดาราศาสตรใ์ ชส้ เปกตรัมในการจำแนกชนดิ ของดาวฤกษ์
ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ด า ว เค ร า ะ ห์ ที่ เอ้ื อ ต่ อ ก า ร
ดำรงชวี ติ • มวลของดาวฤกษ์ข้ึนอยู่กับมวลของดาวฤกษ์ก่อนเกิด ดาวฤกษ์ท่ีมีมวลมาก
จะผลติ และใชพ้ ลังงานมาก จึงมอี ายสุ น้ั กว่าดาวฤกษ์ที่มีมวลนอ้ ย
9. อธิบายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิด
ลมสุริยะ พายุสุริยะ และสืบค้นข้อมูล • ดาวฤกษ์มีการวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน การวิวัฒนาการและจุดจบของ
วิเคราะห์นำเสนอปรากฏการณ์ หรือ ดาวฤกษ์ข้ึนอยู่กับมวลตั้งต้นของดาวฤกษ์ ส่วนใหญ่เทียบกับจำนวนเท่าของ
เหตุการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับผลของลมสุริยะ มวลดวงอาทติ ย์
และพายุสุริยะท่ีมีต่อโลกรวมทั้งประเทศ
ไทย • ระบบสุริยะเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มฝุ่นและแก๊สท่ีเรียกว่า เนบิวลา
สุริยะ โดยฝุ่นและแก๊สประมาณร้อยละ 99.8 ของมวล ได้รวมตัวเป็นดวง
อาทิตย์ซึ่งเป็นก้อนแก๊สร้อน หรือ พลาสมา สสารส่วนที่เหลือรวมตัวเป็น
ดาวเคราะห์และบริวารอื่น ๆ ของดวงอาทิตย์ ดังนั้นจึงแบ่งเขตบริวารของ
ดวงอาทิตย์ตามลักษณะการเกิดและองค์ประกอบ ได้แก่ ดาวเคราะห์ช้ันใน
ดาวเคราะห์นอ้ ย ดาวเคราะหช์ นั้ นอก และดงดาวหาง

• โลกเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะท่ีมีส่ิงมีชีวิต เพราะโคจรรอบดวงอาทิตย์
ในระยะทางท่ีเหมาะสมอยู่ในเขตที่เอ้ือต่อการมีส่ิงมีชีวิต มีอุณหภูมิ
เหมาะสมและสามารถเกิดน้ำท่ียังคงสถานะเป็นของเหลวได้ ปัจจุบันมีการ
ค้นพบดาวเคราะห์ท่ีอยู่นอกระบบสุริยะจำนวนมาก และมีดาวเคราะห์
บางดวงที่อยู่ในเขตทีเ่ อ้อื ตอ่ การมสี ิ่งมชี ีวติ คลา้ ยโลก

• ดวงอาทิตย์มีโครงสร้างภายในแบ่งเป็นแก่นเขตการแผ่รังสี และเขตการพา
ความร้อน และมีชั้นบรรยากาศอยู่เหนือเขตพาความร้อน ซ่งึ แบ่งเป็น 3 ชั้น
คือ ชั้นโฟโตสเฟียร์ ช้ันโครโมสเฟียร์ และคอโรนา ในช้ันบรรยากาศของ
ดวงอาทติ ย์ การลุกจ้า ท่ที ำใหเ้ กิดลมสรุ ิยะ และพายสุ ุริยะ ซ่ึงส่งผลตอ่ โลก

• ลมสุริยะ เกิดจากการแพร่กระจายของอนุภาคจากช้ันคอโรนาออกสู่อวกาศ
ตลอดเวลา อนุภาคท่ีหลุดออกสู่อวกาศเป็นอนุภาคท่ีมีประจุ ลมสุริยะส่งผล
ทำให้เกิดหางของดาวหางท่ีเรืองแสง และช้ีไปทางทิศตรงกันข้ามกับ
ดวงอาทติ ย์ และเกิดปรากฏการณแ์ สงเหนือ แสงใต้

ชนั้ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

10. สืบค้นข้อมูล อธิบายการสำรวจอวกาศ • พายุสุริยะ เกิดจากการปลดปล่อยอนุภาคมีประจุพลังงานสูงจำนวนมหาศาล
โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ในช่วงความยาว มักเกิดบ่อยครั้งในช่วงที่มีการลุกจ้า และในช่วงที่มีจุดมืดดวงอาทิตย์จำนวน
คลื่นต่าง ๆ ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานี มาก และในบางคร้ังมีการพ่นก้อนมวล คอโรนา พายุสุริยะอาจส่งผลต่อ
อวกาศ และนำเสนอแนวคิดการนำ สนามแม่เหล็กโลก จึงอาจรบกวนระบบการส่งกระแสไฟฟ้าและการส่ือสาร
ค ว า ม รู้ ท า ง ด้ า น เ ท ค โ น โ ล ยี อ ว ก า ศ ม า รวมท้ังอาจส่งผลต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของดาวเทียม นอกจากน้ันมักทำให้
ประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันหรือใน เกดิ ปรากฏการณแ์ สงเหนือ แสงใต้ที่สังเกตไดช้ ดั เจน
อนาคต
• มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพื่อขยายขอบเขตความรู้ด้าน
วิทยาศาสตร์ และในขณะเดียวกันมนุษย์ได้นำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้
ประโยชน์ในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ วสั ดุศาสตร์ อาหาร การแพทย์

• นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพื่อศึกษาแหล่งกำเนิดของรังสี
หรืออนุภาคในอวกาศ ในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ ได้แก่ คล่ืนวิทยุ
ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรังสีเอก็ ซ์

• ยานอวกาศ คือ ยานพาหนะท่ีนำมนุษย์หรอื อปุ กรณท์ างดาราศาสตร์ขึ้นไปสู่
อวกาศ เพื่อสำรวจหรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่น ส่วนสถานีอวกาศ คือ
ปฏิบัติการลอยฟ้า ท่ีโคจรรอบโลกใช้ในการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใน
สาขาต่าง ๆ ในสภาพไร้นำ้ หนัก

• ดาวเทียม คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสำรวจวัตถุท้องฟ้า และนำมาประยุกต์ใช้
ในด้านต่าง ๆ เช่น การส่ือสาร โทรคมนาคม การระบุตำแหน่งบนโลก
การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ อุตุนิยมวิทยา โดยดาวเทียมมหี ลายประเภท
สามารถแบง่ ไดต้ ามเกณฑ์วงโคจรและการใช้งาน

มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลกและ
บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลต่อ
ส่งิ มีชวี ติ และสิง่ แวดลอ้ ม

ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.6 1. อ ธิบ ายก ารแ บ่ งชั้นแ ละ สมบั ติข อ ง • การศึกษาโครงสร้างโลกใช้ข้อมูลหลายด้าน เช่น องค์ประกอบทางเคมีของ

โครงสร้างโลก พร้อมยกตัวอย่างข้อมูลที่ หินและแร่ องค์ประกอบทางเคมีของอุกกาบาต ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือนที่

สนับสนนุ เคลื่อนท่ผี า่ นโลก จึงสามารถแบง่ ชน้ั โครงสร้างโลก ได้ 2 แบบ คือ โครงสรา้ ง

ตามองค์ประกอบทางเคมี แบ่งได้เป็น 3 ช้ัน ได้แก่ เปลือกโลก เน้ือโลก

และแก่นโลก และโครงสร้างตามสมบัติเชิงกล แบ่งได้ 5 ชน้ั ได้แก่ ธรณีภาค

ฐานธรณภี าค มัชฌมิ ภาค แก่นโลกช้ันนอก และแก่นโลกชั้นใน

ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

2. อธิบายหลกั ฐานทางธรณวี ทิ ยาทส่ี นับสนุน • แผน่ ธรณีต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบของธรณภี าค การเปลี่ยนแปลงขนาดและ

การเคลอื่ นที่ของแผ่นธรณี ตำแหน่งต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การเคล่ือนที่ของแผ่นธรณีดังกล่าวอธิบาย

ได้ตามทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน ซึ่งมีรากฐานมาจากทฤษฎีทวีปเลื่อนและ

ทฤษฎีการแผ่ขยายพ้ืนสมุทร โดยมีหลักฐานที่สนับสนุนได้แก่ รูปร่างของ

ขอบทวีปท่ีสามารถเชื่อมต่อกันได้ ความคล้ายคลึงกันของกลุ่มหินและ

แนวเทือกเขา ซากดึกดำบรรพ์ ร่องรอยการเคลอ่ื นที่ของตะกอนธารน้ำแข็ง

ภาวะแม่เหล็กโลกบรรพกาล อายุหินของพ้ืนมหาสมุทร รวมท้ังการค้นพบ

สนั เขากลางมหาสมุทร และรอ่ งลึกกน้ สมุทร

3. ระบุสาเหตุ และอธิบายรูปแบบแน ว • การพาความร้อนของแมกมาภายในโลก ทำให้เกดิ การเคล่อื นท่ีของแผ่นธรณี

รอยต่อของแผ่นธรณีท่ีสัมพันธ์กับการ ตามทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน ซ่ึงนักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจพบหลักฐานทาง

เคล่ือนท่ีของแผ่นธรณี พร้อมยกตัวอย่าง ธรณวี ิทยา ไดแ้ ก่ ธรณสี ณั ฐาน และธรณีโครงสรา้ ง ทีบ่ ริเวณแนวรอยต่อของ

หลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาท่พี บ แผ่นธรณี เช่น ร่องลึกก้นสมุทร หมู่เกาะภูเขาไฟรูปโค้ง แนวภูเขาไฟ

แนวเทือกเขา หุบเขาทรุด และสันเขากลางสมุทร รอยเลื่อน นอกจากน้ียัง

พบการเกิดธรณีพิบัติที่บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณี เช่น แผ่นดินไหว

ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ซ่ึงหลักฐานดังกล่าวสัมพันธ์กับรูปแบบการเคล่ือนที่

ของแผ่นธรณี นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปได้ว่าแนวรอยต่อของแผ่นธรณี

มี 3 รูปแบบ ได้แก่ แนวแผ่นธรณีแยกตัว แนวแผ่นธรณีเคลื่อนที่เข้าหากัน

แนวแผ่นธรณเี คลือ่ นทีผ่ า่ นในแนวราบ

4. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิดภูเขาไฟ • ภูเขาไฟระเบิด เกิดจากการแทรกดันของแมกมาขึ้นมาตามส่วนเปราะบาง

ระเบิด รวมท้ังสืบค้นข้อมูลพื้นที่เส่ียงภัย หรือรอยแตกบนเปลอื กโลก มักพบหนาแน่นบริเวณรอยตอ่ ระหว่างแผ่นธรณี

ออกแบบและนำเสนอแนวทางการเฝ้า ทำให้บริเวณดังกล่าวเป็นพ้ืนท่ีเสี่ยงภัย ผลจากการระเบิดของภูเขาไฟมีท้ัง

ระวังและการปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภยั ประโยชน์และโทษ จึงต้องศึกษาแนวทางในการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตน

ใหป้ ลอดภยั

5. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด ขนาดและ • แผ่นดินไหวเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานท่ีสะสมไว้ของเปลือกโลกในรูป

ความรุนแรง และผลจากแผ่นดินไหว ของคลื่นไหวสะเทือน แผ่นดินไหวมีขนาดและความรุนแรงแตกต่างกัน

รวมทั้งสืบคน้ ข้อมูลพ้นื ท่ีเส่ียงภยั ออกแบบ มักเกิดข้ึนบริเวณรอยต่อของแผ่นธรณี และพื้นที่ภายใต้อิทธิพลของการ

และนำเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและ เคล่ือนที่ของแผ่นธรณี ทำให้บริเวณดังกล่าวเป็นพ้ืนที่เส่ียงภัยแผ่นดินไหว

การปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภัย ซึ่งส่งผลให้สิ่งก่อสร้างเสียหาย เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน จึงต้อง

ศกึ ษาแนวทางในการเฝา้ ระวัง และการปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัย

6. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด และผล • สึนามิ คือ คลื่นน้ำที่เกิดจากการแทนท่ีมวลน้ำในปริมาณมหาศาล ส่วนมาก

จากสึนามิ รวมท้ังสืบค้นข้อมูลพื้นท่ีเสี่ยง จะเกิดในทะเลหรือมหาสมุทร โดยคล่ืนมีลักษณะเฉพาะ คือ ความยาวคล่ืน

ภัย ออกแบบและนำเสนอแนวทางการเฝ้า มากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง เมื่ออยู่กลางมหาสมุทรจะมีความสูงคล่ืน

ระวงั และการปฏบิ ตั ิตนให้ปลอดภัย น้อย และอาจเพ่ิมความสูงข้ึนอย่างรวดเร็ว เม่ือคล่ืนเคล่ือนท่ีผ่านบริเวณ

น้ำตื้น จึงทำให้พ้ืนท่ีบริเวณชายฝ่ังบางบริเวณเป็นพื้นที่เส่ียงภัยสึนามิ

ก่อให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์และสิ่งก่อสร้างในบริเวณชายหาดน้ัน จึงต้อง

ศกึ ษาแนวทางในการเฝ้าระวงั และการปฏบิ ัตติ นให้ปลอดภยั

ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

7. อธิบายปัจจัยสำคัญท่ีมีผลต่อการได้รับ • พ้ืนโลกแต่ละบริเวณได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ในปริมาณท่ีแตกต่างกัน
พลังงานจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันใน เน่ืองจากปัจจัยสำคญั หลายประการ เช่น สัณฐานและการเอียงของแกนโลก
แตล่ ะบริเวณของโลก ลักษณะของพื้นผิวละอองลอย และเมฆ ทำให้แต่ละบริเวณบนโลกมี
อุณหภูมิไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีความกดอากาศแตกต่างกัน และเกิดการถ่าย
8. อธิบายการหมนุ เวียนของอากาศ ท่ีเป็นผล โอนพลงั งานระหวา่ งกัน
มาจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ
• การหมุนเวียนของอากาศเกิดขึ้นจากความกดอากาศที่แตกต่างกันระหว่าง
9. อธิบายทิศทางการเคลื่อนท่ีของอากาศ สองบริเวณ โดยอากาศเคลื่อนท่ีจากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยัง
ทเี่ ป็นผลมาจากการหมนุ รอบตวั ของโลก บริเวณท่ีมีความกดอากาศต่ำ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจน ในการเคลื่อนท่ีของ
อากาศในแนวราบ และเม่ือพิจารณาการเคล่ือนที่ของอากาศในแนวดิ่งจะ
10. อธิบายการหมุนเวยี นของอากาศตามเขต พบวา่ อากาศเหนือบริเวณความกดอากาศต่ำจะมีการยกตวั ขึ้นขณะที่อากาศ
ละติจูด และผลทมี่ ีต่อภมู ิอากาศ เหนือบริเวณความกดอากาศสูง จะจมตัวลงโดยการเคล่ือนท่ีของอากาศทั้ง
ในแนวราบและแนวด่งิ น้ี ทำใหเ้ กดิ เปน็ การหมนุ เวยี นของอากาศ
11. อธิบายปัจจัยท่ีทำให้เกิดการหมุนเวียน
ของน้ำผิวหนา้ ในมหาสมทุ ร และรปู แบบ • การหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้เกิดแรงคอริออลิส ส่งผลให้ทิศทางการ
การหมนุ เวียนของน้ำผิวหน้าในมหาสมุทร เคลื่อนท่ีของอากาศเบนไป โดยอากาศที่เคล่ือนที่ในบริเวณซีกโลกเหนือจะ
เบนไปทางขวาจากทิศทางเดิม ส่วนบริเวณซีกโลกใต้จะเบนไปทางซ้ายจาก
ทศิ ทางเดิม

• โลกมีความกดอากาศแตกต่างกันในแต่ละบริเวณ รวมท้ังอิทธิพลจากการ
หมุนรอบตัวเองของโลก ทำให้อากาศในแต่ละซีกโลกเกิดการหมุนเวียนของ
อากาศตามเขตละติจูด แบ่งออกเป็น 3 แถบ โดยแต่ละแถบมีภูมิอากาศ
แตกต่างกัน ได้แก่ การหมุนเวียนแถบขั้วโลกมีภูมิอากาศแบบหนาวเย็น
การหมุนเวียนแถบละติจูดกลางมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น และการหมุนเวียน
แถบเขตร้อนมภี มู อิ ากาศแบบร้อนช้ืน

• นอกจากนี้บริเวณรอยต่อของการหมุนเวียนอากาศแต่ละแถบละติจูด จะมี
ลักษณะลมฟ้าอากาศท่ีแตกต่างกัน เช่น บริเวณใกล้ศูนย์สูตร มีปริมาณ
หยาดน้ำฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าบริเวณอื่น บริเวณละติจูด 30 องศา มีอากาศ
แห้งแล้ง ส่วนบริเวณละตจิ ูด 60 องศา อากาศมีความแปรปรวนสงู

• การหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทรได้รับอิทธิพลจากการ
หมุนเวียนของอากาศในแต่ละแถบละติจูดเป็นปัจจัยหลักทำให้บริเวณ
ซีกโลกเหนือมีการหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหน้าในทิศทางตามเขม็ นาฬิกา
และทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ ซ่ึงกระแสน้ำผิวหน้าในมหาสมุทรมีท้ัง
กระแสนำ้ อุ่น และกระแสนำ้ เย็น

ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

12. อธิบายผลของการหมุนเวียนของอากาศ • การหมุนเวียนอากาศและน้ำในมหาสมุทรส่งผลต่อภูมิอากาศ ลมฟ้าอากาศ

และน้ำผิวหน้าในมหาสมุทรท่ีมีต่อ ส่ิงมีชีวิต และส่ิงแวดล้อม เช่น กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมที่ทำให้บางประเทศ

ลัก ษ ณ ะ ภู มิ อ าก าศ ลมฟ้ าอ าก าศ ในทวีปยุโรปไม่หนาวเย็นเกินไป และเมื่อการหมุนเวียนอากาศและน้ำใน

สง่ิ มีชวี ิต และสงิ่ แวดล้อม มหาสมุทรแปรปรวน ทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น

ปรากฏการณ์เอลนีโญ และลานีญา ซ่ึงเกิดจากความแปรปรวนของลมค้า

และสง่ ผลต่อประเทศท่ีอยู่บรเิ วณมหาสมทุ รแปซิฟิก

13. อธิบายปัจจัยท่ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง • โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ โดยปริมาณพลังงานเฉล่ียที่โลกได้รับ
ภูมิอากาศของโลก พร้อมท้ังนำเสนอ เท่ากับพลงั งานเฉล่ียท่ีโลกปลดปล่อยกลับสู่อวกาศ ทำให้เกิดสมดุลพลังงาน
แนวปฏิบัติเพื่อลดกิจกรรมของมนุษย์ ของโลก ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในแต่ละปีค่อนข้างคงท่ีและ
ที่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ มีลักษณะภูมิอากาศที่ไม่เปล่ียนแปลง หากสมดุลพลังงานของโลกเกิดการ
โลก เปลี่ยนแปลงไปจะทำให้อุณหภูมิเฉล่ียของโลกและภูมิอากาศเกิดการ

เปล่ียนแปลงได้ เน่ืองจากปัจจัยหลายประการท้ังปัจจัยท่ีเกิดข้ึนตาม

ธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ เช่น แก๊สเรือนกระจก ลักษณะผิวโลก

และละอองลอย

• มนุษย์มีส่วนช่วยในการชะลอการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกได้โดยการลด

กิจกรรมท่ีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงาน เช่น ลดการปลดปล่อย

แกส๊ เรอื นกระจกและละอองลอย

14. แปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศ • แผนท่ีอากาศผิวพื้นแสดงข้อมูลการตรวจอากาศในรูปแบบสัญลักษณ์หรือ
ที่สำคัญจากแผนท่ีอากาศ และนำข้อมูล ตัวเลข เช่น บริเวณความกดอากาศสูง หย่อมความกดอากาศต่ำ พายุหมุน
สารสนเทศต่าง ๆ มาวางแผนการดำเนิน เขตร้อน ร่องความกดอากาศต่ำ การแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้ า
ชีวิตใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพลมฟา้ อากาศ อากาศ ทำใหท้ ราบลักษณะลมฟ้าอากาศ ณ บริเวณหน่งึ

• การแปลความหมายสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนแผนท่ีอากาศ ร่วมกับข้อมูล

สารสนเทศต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประยุกต์เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ

เรดาร์ตรวจอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม สามารถนำมาวางแผนการดำเนิน

ชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น การเลือกช่วงเวลาในการ

เพาะปลูกให้สอดคล้องกับฤดูกาล การเตรียมพร้อมรับมือสภาพอากาศ

แปรปรวน

* สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พ.ศ. 2551. (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณ์
การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2560)

คำอธบิ ายรายวิชาพนื้ ฐาน

ว33101 วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 40 ช่วั โมง จำนวน 1.0 หน่วยกติ

ศึกษาการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพหลังเกิดบิกแบง
หลักฐานท่ีสนับสนุนทฤษฎีบิกแบง โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิด
ดาวฤกษ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่าง ความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตร ความสัมพันธ์
ระหว่างสี อุณหภูมิผิวและสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการที่สัมพันธ์กับมวลต้ังต้นของดาวฤกษ์
กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ท่ีเอื้อต่อการ
ดำรงชีวิต โครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะ การสำรวจอากาศโดยใช้กล้องโทรทรรศน์
ในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ การนำความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอวกาศ
มาประยุกต์ใช้ การแบ่งช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก หลักฐานทางธรณีวิทยาที่สนับสนุนการเคลื่อนท่ีของ
แผ่นธรณี รูปแบบแนวรอยต่อของแผ่นธรณี สาเหตุกระบวนการเกิด พื้นท่ีเสี่ยงภัยภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว
และสีนามิ แนวทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากธรณีพิบัติภัย ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการ
ไดร้ บั พลงั งานจากดวงอาทิตย์ การหมนุ เวยี นอากาศ การหมนุ เวยี นของน้ำผิวหน้าในมหาสมุทร ปจั จัยท่ีมีผลต่อ
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก แปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศจากแผนท่ีอากาศ และนำข้อมูล
สารสนเทศตา่ ง ๆ มาวางแผนในการดำเนนิ ชวี ติ

โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต
การวิเคราะห์ การอภปิ ราย การอธิบายและการสรุปผล

เพ่ือให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ สื่อสารสิ่งท่ีเรียนรู้และ
นำความรไู้ ปใช้ในชวี ติ ของตนเอง ตลอดจนมีจิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นยิ มทถี่ กู ตอ้ ง

ตวั ชว้ี ัด
ว 3.1 ม.6/1 อธิบายการกำเนิดและการเปล่ียนแปลงพลงั งาน สสาร ขนาด อุณหภมู ิของเอกภพหลังเกิด

บิกแบงในช่วงเวลาต่าง ๆ ตามวิวฒั นาการของเอกภพ
ว 3.1 ม.6/2 อธบิ ายหลักฐานที่สนับสนนุ ทฤษฎบี กิ แบงจากความสัมพันธ์ระหว่างความเรว็ กบั ระยะทางของ

กาแล็กซี รวมทัง้ ขอ้ มลู การค้นพบไมโครเวฟพืน้ หลงั จากอวกาศ
ว 3.1 ม.6/3 อธบิ ายโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของกาแล็กซที างชา้ งเผอื ก และระบุตำแหนง่ ของระบบสุรยิ ะ

พรอ้ มอธิบายเช่อื มโยงกบั การสงั เกตเหน็ ทางชา้ งเผือกของคนบนโลก

ว 3.1 ม.6/4 อธบิ ายกระบวนการเกดิ ดาวฤกษ์ โดยแสดงการเปลย่ี นแปลงความดัน อณุ หภมู ิ ขนาด
จากดาวฤกษ์กอ่ นเกิดจนเป็นดาวฤกษ์

ว 3.1 ม.6/5 ระบปุ จั จยั ทีส่ ง่ ผลต่อความสอ่ งสวา่ งของดาวฤกษ์ และอธิบายความสมั พันธ์ระหว่างความสอ่ ง
สว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์

ว 3.1 ม.6/6 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสี อณุ หภูมผิ วิ และสเปกตรัมของดาวฤกษ์
ว 3.1 ม.6/7 อธบิ ายลำดับววิ ฒั นาการทส่ี ัมพันธก์ บั มวลตั้งต้นและวเิ คราะห์การเปล่ียนแปลงสมบตั ิบาง

ประการของดาวฤกษ์
ว 3.1 ม.6/8 อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสรุ ิยะ และการแบง่ เขตบรวิ ารของดวงอาทิตย์ และลักษณะของ

ดาวเคราะห์ท่เี ออ้ื ตอ่ การดำรงชีวติ
ว 3.1 ม.6/9 อธบิ ายโครงสรา้ งของดวงอาทิตย์ การเกดิ ลมสรุ ยิ ะ พายสุ รุ ยิ ะ และสบื คน้ ข้อมลู วิเคราะห์

นำเสนอปรากฏการณ์หรอื เหตกุ ารณท์ ีเ่ กย่ี วข้องกับผลของลมสุรยิ ะและพายุสรุ ยิ ะท่ีมตี ่อโลก
รวมท้ังประเทศไทย
ว 3.1 ม.6/10 สืบค้นข้อมลู อธิบายการสำรวจอวกาศ โดยใชก้ ล้องโทรทรรศนใ์ นช่วงความยาวคลื่นตา่ ง ๆ
ดาวเทยี ม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และนำเสนอแนวคดิ การนำความรทู้ างด้านเทคโนโลยี
อวกาศมาประยุกตใ์ ช้ ในชวี ติ ประจำวนั หรือในอนาคต
ว 3.2 ม.6/1 อธบิ ายการแบ่งชั้นและสมบตั โิ ครงสรา้ งของโลก พรอ้ มยกตวั อย่างขอ้ มูลทีส่ นบั สนนุ
ว 3.2 ม.6/2 อธิบายหลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาทีส่ นบั สนุนการเคล่ือนที่ของแผ่นธรณี
ว 3.2 ม.6/3 ระบุสาเหตุ และอธิบายรปู แบบแนวรอยต่อของแผน่ ธรณีทีส่ ัมพนั ธก์ ับการเคล่ือนที่ของแผน่ ธรณี
พรอ้ มยกตัวอย่างหลักฐานทางธรณวี ทิ ยาท่ีพบ
ว 3.2 ม.6/4 อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกดิ ภเู ขาไฟระเบดิ รวมทง้ั สืบค้นข้อมูลพน้ื ทเี่ ส่ยี งภัย ออกแบบและ
นำเสนอแนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภัย
ว 3.2 ม.6/5 อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกดิ ขนาดและความรนุ แรง และผลจากแผน่ ดนิ ไหว รวมท้ังสืบค้น
ขอ้ มลู พ้นื ทีเ่ สยี่ งภยั ออกแบบและนำเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภยั
ว 3.2 ม.6/6 อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด และผลจากสนึ ามิ รวมทัง้ สบื ค้นข้อมลู พ้นื ทเี่ สย่ี งภัย ออกแบบ
และนำเสนอแนวทางการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ตั ติ นให้ปลอดภัย
ว 3.2 ม.6/7 อธิบายปจั จัยสำคัญทีม่ ผี ลต่อการไดร้ ับพลงั งานจากดวงอาทติ ยแ์ ตกตา่ งกันในแตล่ ะบรเิ วณของ
โลก
ว 3.2 ม.6/8 อธิบายการหมนุ เวยี นของอากาศ ทเ่ี ปน็ ผลมาจากความแตกตา่ งของความกดอากาศ
ว 3.2 ม.6/9 อธิบายทศิ ทางการเคลือ่ นทีข่ องอากาศ ทเี่ ป็นผลมาจากการหมนุ รอบตวั ของโลก
ว 3.2 ม.6/10 อธิบายการหมุนเวยี นของอากาศตามเขตละตจิ ดู และผลที่มีต่อภมู ิอากาศ
ว 3.2 ม.6/11 อธบิ ายปจั จยั ทีท่ ำให้เกิดการหมนุ เวยี นของน้ำผิวหนา้ ในมหาสมุทร และรูปแบบการหมนุ เวยี น
ของน้ำผวิ หน้าในมหาสมุทร

ว 3.2 ม.6/12 อธิบายผลของการหมุนเวียนของอากาศและน้ำผวิ หน้าในมหาสมทุ รที่มตี ่อลักษณะภมู ิอากาศ
ลมฟ้าอากาศ สิง่ มชี ีวิต และส่งิ แวดล้อม

ว 3.2 ม.6/13 อธิบายปจั จยั ทมี่ ีผลต่อการเปล่ยี นแปลงภมู ิอากาศของโลก พรอ้ มท้งั นำเสนอแนวปฏิบตั เิ พอ่ื ลด
กจิ กรรมของมนษุ ย์ ท่สี ง่ ผลต่อการเปลี่ยนแปลงภมู อิ ากาศโลก

ว 3.2 ม.6/14 แปลความหมายสัญลกั ษณ์ลมฟา้ อากาศที่สำคัญจากแผนท่อี ากาศ และนำข้อมลู สารสนเทศ
ต่าง ๆ มาวางแผนการดำเนนิ ชวี ติ ให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้าอากาศ

รวม 24 ตัวช้ีวัด

โครงสรา้ งรายวิชา

ว33101 วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ชว่ั โมง จำนวน 1.0 หนว่ ยกิต

ชอ่ื หน่วยการ มาตรฐานการ ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ เวลา คะแนน
เรียนรู้ เรยี นร/ู้ ตวั ช้วี ดั (ชวั่ โมง)

เอกภพ ว 3.1 15 30

ม.6/1 1. อธิบายการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน

ม.6/2 สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพหลังเกิดบิกแบง

ม.6/3 ในช่วงเวลาตา่ ง ๆ ตามวิวฒั นาการของเอกภพ

ม.6/4 2. อธิบายหลักฐานท่ีสนับสนุนทฤษฎีบิกแบงจาก

ม.6/5 ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับระยะทางของ

ม.6/6 กาแล็กซี รวมทั้งข้อมูลการค้นพบไมโครเวฟพ้ืน

ม.6/7 หลงั จากอวกาศ

ม.6/8 3. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซี

ม.6/9 ทางช้างเผือก และระบุตำแหน่งของระบบสุริยะ

ม.6/10 พร้อมอธิบายเชื่อมโยงกับการสังเกตเห็นทาง

ช้างเผือกของคนบนโลก

4. อธิบายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดยแสดงการ

เปล่ียนแปลงความดัน อุณหภมู ิ ขนาด

จากดาวฤกษ์กอ่ นเกดิ จนเปน็ ดาวฤกษ์

5. ระบุปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส่องสว่างของดาว

ฤกษ์ และอธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งความส่อง

สว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์

6. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว และ

สเปกตรมั ของดาวฤกษ์

7. อธิบายลำดับววิ ัฒนาการท่ีสัมพันธ์กับมวลตง้ั ต้น

และวิเคราะหก์ ารเปลีย่ นแปลงสมบตั บิ าง

ประการของดาวฤกษ์

8. อธิบายกระบวนการเกิดระบบสุริยะ และการ

แบง่ เขตบริวารของดวงอาทิตย์ และลกั ษณะของ

ดาวเคราะหท์ ี่เอือ้ ต่อการดำรงชวี ติ

9. อธิบายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลม

ช่ือหน่วยการ มาตรฐานการ ตวั ช้วี ดั /ผลการเรียนรู้ เวลา คะแนน
เรียนรู้ เรียนร/ู้ ตวั ชวี้ ัด (ชวั่ โมง)

กระบวนการ ว 3.2 สุริยะ พายุสุรยิ ะ และสืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ 15 40
เปลย่ี นแปลง ม.6/1 นำเสนอปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ทเี่ กี่ยวข้องกับ
ภายในโลก ม.6/2 ผลของลมสรุ ยิ ะและพายุสรุ ยิ ะที่มีต่อโลก
ม.6/3 รวมทง้ั ประเทศไทย
ม.6/4 10. สบื ค้นข้อมูล อธิบายการสำรวจอวกาศ โดยใช้
ม.6/5 กล้องโทรทรรศนใ์ นชว่ งความยาวคล่ืนต่าง ๆ
ม.6/6 ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และนำเสนอ
แนวคดิ การนำความรทู้ างดา้ นเทคโนโลยี
อวกาศมาประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวันหรือใน
อนาคต

1. อธิบายการแบ่งช้ันและสมบัติโครงสรา้ งของโลก
พร้อมยกตัวอยา่ งข้อมูลที่สนบั สนุน
2. อธิบายหลักฐานทางธรณีวิทยาที่สนับสนุนการ
เคลอื่ นที่ของแผ่นธรณี
3. ระบุสาเหตุ และอธิบายรูปแบบแนวรอยต่อของ
แผ่นธรณที ี่สมั พันธก์ บั การเคลือ่ นที่ของแผน่ ธรณี
พรอ้ มยกตัวอยา่ งหลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาที่พบ
4. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิดภูเขาไฟระเบิด
รวมท้ังสบื ค้นขอ้ มูลพ้ืนทเี่ ส่ียงภัย ออกแบบและ
นำเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตนให้
ปลอดภยั
5. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด ขนาดและ
ความรนุ แรง และผลจากแผน่ ดนิ ไหว รวมทั้งสืบค้น
ข้อมูลพ้ืนท่ีเสี่ยงภัย ออกแบบและนำเสนอแนว
ทางการเฝ้าระวังและการปฏิบตั ิตนใหป้ ลอดภัย
6. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด และผลจาก
สนึ ามิ รวมท้งั สบื ค้นขอ้ มูลพน้ื ท่ีเส่ยี งภยั ออกแบบ
และนำเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติ
ตนให้ปลอดภัย

ช่ือหน่วยการ มาตรฐานการ ตัวชีว้ ดั /ผลการเรียนรู้ เวลา คะแนน
เรยี นรู้ เรียนรู้/ตวั ช้วี ัด (ช่วั โมง)

ลมฟา้ อากาศ ว 3.2 10 30
และภูมิอากาศ ม.6/7
ม.6/8 1. อธิบายปัจจัยสำคัญท่ีมีผลต่อการได้รับพลังงาน
ม.6/9 จากดวงอาทติ ย์แตกตา่ งกันในแตล่ ะบรเิ วณของ
ม.6/10 โลก
ม.6/11 2. อธิบายการหมุนเวียนของอากาศ ท่ีเป็นผลมา
ม.6/12 จากความแตกตา่ งของความกดอากาศ
ม.6/13 3. อธิบายทศิ ทางการเคล่ือนที่ของอากาศ ที่เป็นผล
ม.6/14 มาจากการหมุนรอบตัวของโลก
4. อธบิ ายการหมนุ เวยี นของอากาศตามเขตละตจิ ูด
และผลท่มี ีต่อภมู ิอากาศ
5. อธิบายปัจจัยที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำ
ผิวหนา้ ในมหาสมทุ ร และรปู แบบการหมนุ เวียน
ของนำ้ ผิวหน้าในมหาสมุทร
6. อธิบายผลของการหมุนเวียนของอากาศและน้ำ
ผวิ หนา้ ในมหาสมุทรที่มีต่อลกั ษณะภูมอิ ากาศ
ลมฟ้าอากาศ สิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม
7. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการเปล่ียนแปลง
ภูมิอากาศของโลก พร้อมท้ังนำเสนอแนวปฏิบัติ
เพื่ อลดกิจกรรมของมนุ ษ ย์ ท่ี ส่งผลต่อการ
เปลยี่ นแปลงภูมิอากาศโลก
8. แปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศที่สำคัญ
จากแผนทอ่ี ากาศ และนำขอ้ มลู สารสนเทศ
ต่าง ๆ มาวางแผนการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับ
สภาพลมฟา้ อากาศ

โครงสร้างแผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าพื้นฐานวิทยาศ

หน่วยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วิธสี อน/วธิ ีการจดั
1. เอกภพ กิจกรรมการเรยี นรู้
แผนฯ ที่ 1 กำเนิดและ แบบเน้นมโนทศั น์
ววิ ัฒนาการของ (Concept Based Teaching)
เอกภพ

แผนฯ ท่ี 2 กาแล็กซแี ละ แบบเนน้ มโนทัศน์
การแล็กซที าง (Concept Based Teaching)
ช้างเผอื ก

ศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ ม.6

ทักษะทไี่ ด้ การประเมิน เวลา
- ทักษะสงั เกต (ชว่ั โมง)
) - ทักษะการทดลอง - ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรียน
- ทกั ษะการจดั กระทำและ - ตรวจแบบฝึกหดั 3
ส่อื ความหมายขอ้ มลู - ตรวจใบงานที่ 1.1 เรื่อง เพราะเหตุใด
- ทักษะการตีความหมาย กาแลก็ ซีทางชา้ งเผอื กกับกาแลก็ ซี 2
ขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป แอนดรอเมดาจึงเคลอ่ื นท่ีเขา้ หากนั
- ประเมนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกำเนดิ
- ทกั ษะการสงั เกต ววิ ัฒนาการของเอกภพ
) - ทกั ษะการจัดกระทำและ - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
สือ่ ความหมายข้อมลู - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- ทกั ษะการตีความหมาย - สังเกตความมวี นิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
ข้อมลู และลงข้อสรุป และมุง่ มน่ั ในการทำงาน
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจใบกิจกรรม เร่ือง สังเกตแนวทาง
ชา้ งเผอื กโดยใช้แผนทีด่ าว
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่
- สงั เกตความมีวนิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
และมงุ่ ม่ันในการทำงาน

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ สี อน/วธิ กี ารจดั
กจิ กรรมการเรยี นรู้
แผนท่ี 3 ความส่องสวา่ ง แบบเนน้ มโนทศั น์
และโชติมาตรของ (Concept Based Teaching)
ดาวฤกษ์

แผนฯ ที่ 4 สี อณุ หภมู ิผิว แบบเน้นมโนทัศน์
และชนดิ (Concept Based Teaching)
สเปกตรัมของ
ดาวฤกษ์

แผนฯ ที่ 5 กำเนดิ และ 5Es Instructional Model
ววิ ัฒนาการของ
ดาวฤกษ์

ทกั ษะทีไ่ ด้ การประเมิน เวลา
- ทกั ษะสังเกต (ชั่วโมง)
) - ทักษะการทดลอง - ตรวจแบบฝกึ หดั
- ทกั ษะการจดั กระทำและ - ตรวจใบกจิ กรรม เรอ่ื ง ความสอ่ งสวา่ ง 2
สอ่ื ความหมายข้อมลู ปรากฏของดาวฤกษ์
- ทักษะการตคี วามหมาย - ประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมปัจจยั ทม่ี ีผล 2
ข้อมลู และลงขอ้ สรุป ตอ่ ความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ์
- ประเมินการนำเสนอผลงาน 3
- ทักษะสงั เกต - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล
) - ทกั ษะการจดั กระทำและ - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่
- สังเกตความมีวินัย รบั ผิดชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
สอื่ ความหมายข้อมลู และมุง่ มนั่ ในการทำงาน
- ทักษะการตคี วามหมาย - ตรวจแบบฝึกหดั
ขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ - ตรวจใบงานท่ี 1.2 เร่ือง ดาวฤกษ์ในระบบ
สรุ ิยะ
- ทกั ษะสังเกต - ประเมนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมสีของดาวฤกษ์
- ทักษะการจัดกระทำและ - ประเมินการนำเสนอผลงาน
สอ่ื ความหมายขอ้ มูล - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- สังเกตความมีวินยั รับผิดชอบ ใฝ่เรียนรู้
และมุง่ มนั่ ในการทำงาน
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจใบงานท่ี 1.3 เร่ือง กำเนิดและ
วิวฒั นาการของดาวฤกษ์

หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วิธีสอน/วิธีการจดั
กจิ กรรมการเรียนรู้

แผนฯ ท่ี 6 ระบบสรุ ิยะ 5Es Instructional Model

แผนฯ ท่ี 7 โครงสรา้ งและ 5Es Instructional Model
ปรากฏการณ์
บนดวงอาทติ ย์

ทักษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
- ทักษะการตคี วามหมาย (ช่วั โมง)
ข้อมลู และลงข้อสรุป - ประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรมความสัมพันธ์
ระหว่างมวลต้ังต้นกับววิ ัฒนาการของ 3
- ทกั ษะสงั เกต ดาวฤกษ์
- ทักษะการจัดกระทำและ - ประเมินการนำเสนอผลงาน 3
สอ่ื ความหมายข้อมลู - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
- ทกั ษะการตีความหมาย - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุม่
ขอ้ มูลและลงข้อสรุป - สงั เกตความมีวนิ ัย รับผดิ ชอบ ใฝ่เรียนรู้
และมงุ่ ม่ันในการทำงาน
- ทักษะสังเกต - ตรวจแบบฝกึ หดั
- ทกั ษะการจดั กระทำและ - ประเมนิ การปฏิบตั ิกจิ กรรมกำเนดิ ระบบ
สือ่ ความหมายขอ้ มลู สรุ ิยะ
- ทักษะการตีความหมาย - ประเมินการนำเสนอผลงาน
ขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุม่
- สังเกตความมวี นิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
และมุ่งมัน่ ในการทำงาน
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจใบงานที่ 1.4 เรอื่ ง ผลกระทบของ
ดวงอาทติ ย์ต่อโลก
- ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ สี อน/วธิ ีการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้

แผนฯ ที่ 8 เทคโนโลยี แบบเน้นมโนทศั น์
อวกาศ (Concept Based Teaching)

2. กระบวนการ แผนฯ ที่ 1 การแบง่ แบบเนน้ มโนทศั น์
เปลีย่ นแปลงภายใน
โลก โครงสร้างโลก (Concept Based Teaching)

ตามองค์ประกอบ

ทางเคมี

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
(ชั่วโมง)
- ทักษะสังเกต - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม
) - ทักษะการนำความรไู้ ปใช้ - สงั เกตความมีวินยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ 4
และม่งุ มน่ั ในการทำงาน
- ทักษะการจดั กระทำและ - ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น 3
สอ่ื ความหมายข้อมลู - ตรวจแบบฝึกหดั
- ทกั ษะการตคี วามหมาย - ตรวจ Topic Questions
ข้อมูลและลงขอ้ สรปุ - ตรวจ Unit Questions
- ตรวจใบงานท่ี 1.5 เร่ือง เทคโนโลยีอวกาศ
- ทักษะการสือ่ สาร กับชีวิตและอนาคต
) - ทักษะการทำงานร่วมกนั - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- ตรวจและประเมินผงั มโนทัศน์
- ทักษะการสรา้ ง เรอื่ ง เอกภพ
แบบจำลอง - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
- ทกั ษะการจัดกระทำและ - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
สอ่ื ความหมายข้อมลู - สังเกตความมีวนิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และมุ่งมัน่ ในการทำงาน
- ตรวจแบบทดสอบกอ่ นเรียน
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจใบงานท่ี 2.1 เร่อื ง โครงสรา้ งโลก
ตามองคป์ ระกอบทางเคมี
- ประเมินการปฏบิ ตั ิกิจกรรมแบบจำลอง
โครงสร้างโลกตามองค์ประกอบทางเคมี

หนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วธิ สี อน/วธิ ีการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้

แผนฯ ที่ 2 การแบ่ง แบบเนน้ มโนทศั น์
โครงสร้างโลก (Concept Based Teaching)
ตามสมบัติ
เชงิ กล

ทกั ษะที่ได้ การประเมิน เวลา
(ชั่วโมง)
- ทกั ษะการตคี วามหมาย - ประเมินการนำเสนอผลงาน
ข้อมลู และลงข้อสรุป - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล 4
- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- ทกั ษะการสังเกต - สังเกตความมวี ินยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
) - ทกั ษะการสรา้ ง และมุง่ มั่นในการทำงาน
- ตรวจแบบฝึกหดั
แบบจำลอง - ตรวจ Topic Questions
- ทกั ษะการทำงานร่วมกนั - ตรวจใบงานที่ 2.2 เรอ่ื ง โครงสรา้ งโลก
- ทกั ษะการจดั กระทำและ ตามสมบตั ิเชิงกล
สือ่ ความหมายข้อมลู - ประเมินการปฏิบตั กิ จิ กรรมการศึกษา
- ทกั ษะการตคี วามหมาย โครงสร้างโลกโดยใช้ขอ้ มูลคลนื่ ไหว
ขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ สะเทือน
- ประเมนิ การปฏบิ ตั ิกิจกรรมแบบจำลอง
โครงสร้างโลกตามสมบตั ิเชงิ กล
- ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- สงั เกตความมีวินยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และมุง่ มนั่ ในการทำงาน

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วธิ ีสอน/วธิ กี ารจดั
กิจกรรมการเรยี นรู้
แผนฯ ท่ี 3 แนวคดิ ทฤษฎี แบบเนน้ มโนทัศน์
ทวีปเลื่อนและ (Concept Based Teaching)
หลกั ฐาน
สนับสนนุ

แผนฯ ที่ 4 แนวคิดทฤษฎี แบบเน้นมโนทัศน์
การแผข่ ยาย (Concept Based Teaching)
พื้นสมุทรและ
หลักฐาน
สนบั สนนุ

แผนฯ ท่ี 5 การแปรสณั ฐาน แบบเนน้ มโนทศั น์
ของแผน่ ธรณี (Concept Based Teaching)

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมิน เวลา
- ทักษะสงั เกต (ชั่วโมง)
) - ทกั ษะการจัดกระทำและ - ตรวจแบบฝึกหดั
สื่อความหมายขอ้ มลู - ประเมินการปฏิบตั ิกิจกรรมการอยตู่ ดิ กนั 3
- ทักษะการตีความหมาย ของทวปี ในอดีต
ข้อมูลและลงขอ้ สรปุ - ประเมินการนำเสนอผลงาน 2
- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
- ทักษะสังเกต - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่ 3
) - ทักษะการวิเคราะห์ - สังเกตความมวี ินยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
และม่งุ มน่ั ในการทำงาน
- ทกั ษะการทำงานรว่ มกัน - ตรวจแบบฝึกหดั
- ประเมินการนำเสนอผลงาน
- ทักษะสงั เกต - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล
) - ทกั ษะการทดลอง - สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
- สังเกตความมวี ินยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
- ทักษะการตคี วามหมาย และมุ่งม่นั ในการทำงาน
ข้อมูลและการลงขอ้ สรุป - ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจใบงานท่ี 2.3 เรื่อง ทฤษฎธี รณี
แปรสัณฐาน
- ประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมจำลองวงจร
การพาความร้อน
- ประเมินการนำเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบคุ คล

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วธิ สี อน/วิธกี ารจัด
กิจกรรมการเรียนรู้

แผนฯ ที่ 6 ภเู ขาไฟระเบดิ แบบเนน้ มโนทศั น์
(Concept Based Teaching)

แผนฯ ที่ 7 แผ่นดนิ ไหว แบบเนน้ มโนทศั น์
(Concept Based Teaching)

ทักษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
(ช่วั โมง)
- ทักษะสงั เกต - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่
) - ทกั ษะการทดลอง - สงั เกตความมวี นิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้ 3
และมุ่งมน่ั ในการทำงาน
- ทักษะการตคี วามหมาย - ตรวจแบบฝึกหดั 2
ขอ้ มูลและลงข้อสรปุ - ตรวจใบงานที่ 2.4 เร่อื ง แนวทางการเฝ้า
ระวังและปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภยั จาก
- ทักษะสงั เกต ภูเขาไฟระเบิด
) - ทกั ษะการทดลอง - ตรวจใบกิจกรรม เรือ่ ง จำลองการระเบดิ
ของภูเขาไฟ
- ทักษะการทำงานรว่ มกนั - ประเมนิ การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมสำรวจภเู ขาไฟ
- ทักษะการนำความรไู้ ปใช้ บนโลก
- ทักษะการตีความหมาย - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
ขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกล่มุ
- สังเกตความมวี นิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และมุ่งม่นั ในการทำงาน
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจใบงานที่ 2.5 เรอื่ ง แนวทางการเฝ้า
ระวงั และปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภยั จาก
แผ่นดนิ ไหว
- ประเมนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมการเปล่ียนแปลง
ของส่งิ แวดล้อมเม่ือเกิดแผน่ ดินไหว

หน่วยการเรียนรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ วธิ ีสอน/วธิ กี ารจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้

แผนฯ ที่ 8 สึนามิ แบบเนน้ มโนทัศน์
(Concept Based Teaching)

3. ลมฟ้าอากาศและ แผนฯ ท่ี 1 ปัจจยั ทส่ี ่งผลต่อ แบบเน้นมโนทัศน์
ภมู ิอากาศ การรับรงั สี (Concept Based Teaching)
ดวงอาทติ ยข์ อง
พ้นื ผวิ โลก

ทักษะที่ได้ การประเมนิ เวลา
(ช่วั โมง)
- ทกั ษะสงั เกต - ประเมินการนำเสนอผลงาน
) - ทกั ษะการทดลอง - สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล 2
- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- ทักษะการทำงานรว่ มกนั - สังเกตความมีวนิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้ 2
- ทักษะการนำความรไู้ ปใช้ และมุง่ มั่นในการทำงาน
- ทักษะการตคี วามหมาย - ตรวจแบบทดสอบหลังเรยี น
ขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ - ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจ Topic Questions
- ทกั ษะการส่อื สาร - ตรวจ Unit Questions
) - ทักษะการลงความคดิ เห็น - ประเมินการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมสนึ ามเิ กดิ ขน้ึ
ไดอ้ ยา่ งไร
จากขอ้ มูล - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- ตรวจและประเมินช้นิ งานสงิ่ ประดษิ ฐ์
เรือ่ ง กระบวนการเปลีย่ นแปลงภายในโลก
- สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- สังเกตความมวี ินยั รบั ผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้
และมงุ่ มัน่ ในการทำงาน
- ตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี น
- ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจใบงานท่ี 3.1 เรื่อง ปจั จยั ทมี่ ผี ลต่อ
การได้รบั พลังงานจากดวงอาทิตย์

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ วธิ สี อน/วิธกี ารจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้

แผนฯ ที่ 2 การหมนุ เวยี น แบบเนน้ มโนทัศน์
ของอากาศ (Concept Based Teaching)

แผนฯ ที่ 3 การหมนุ เวยี น แบบเนน้ มโนทศั น์
ของนำ้ ผิวหน้า (Concept Based Teaching)
ในมหาสมทุ ร

ทักษะทไี่ ด้ การประเมนิ เวลา
- ทักษะการตคี วามหมาย (ชว่ั โมง)
ขอ้ มูลและลงข้อสรปุ - ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- สงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล 4
- ทกั ษะการสังเกต - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม
) - ทักษะการทดลอง - สังเกตความมวี นิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝ่เรยี นรู้ 3
และมุง่ มั่นในการทำงาน
- ทกั ษะการพยากรณ์ - ตรวจแบบฝกึ หดั
- ทกั ษะการลงความคิดเหน็ - ตรวจใบงานท่ี 3.2 เรื่อง การหมนุ เวยี น
จากข้อมลู ของอากาศ
- ทกั ษะการตีความหมาย - ประเมนิ การปฏิบตั ิกจิ กรรมการหมุนเวียน
ขอ้ มูลและลงขอ้ สรุป อากาศ
- ประเมนิ การปฏิบตั กิ ิจกรรมความแตกต่าง
- ทักษะการสังเกต ของความกดอากาศกับการหมนุ เวยี นของ
) - ทกั ษะการทดลอง อากาศ
- ประเมินการนำเสนอผลงาน
- ทักษะการทำงานรว่ มกัน - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานรายบคุ คล
- สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลมุ่
- สงั เกตความมวี นิ ยั รับผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
และมุ่งมั่นในการทำงาน
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจใบกจิ กรรม เรือ่ ง การเกดิ นำ้ ผดุ
- ประเมินการนำเสนอผลงาน

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ วธิ สี อน/วธิ กี ารจดั
กจิ กรรมการเรยี นรู้

แผนฯ ที่ 4 การเปลยี่ นแปลง 5Es Instructional Model
ภมู ิอากาศโลก

แผนฯ ที่ 5 ขอ้ มูลและ 5Es Instructional Model
สารสนเทศทาง
อตุ ุนยิ มวิทยา

ทักษะท่ีได้ การประเมนิ เวลา
- ทกั ษะการลงความคิดเห็น (ชว่ั โมง)
จากขอ้ มลู - สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล
- สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานกลมุ่ 3
- ทักษะการการสอื่ สาร - สงั เกตความมีวนิ ยั รบั ผดิ ชอบ ใฝเ่ รยี นรู้
- ทกั ษะการวเิ คราะห์ และม่งุ ม่นั ในการทำงาน 4
- ทกั ษะการนำความรไู้ ปใช้ - ตรวจแบบฝกึ หดั
- ตรวจ Topic Questions
- ทักษะการสงั เกต - ตรวจใบงานที่ 3.3 เรือ่ ง ชะลอการ
- ทกั ษะการสื่อสาร เปล่ยี นแปลงภมู อิ ากาศโลก
- ทกั ษะการนำความรไู้ ปใช้ - ประเมินการนำเสนอผลงาน
- ทกั ษะการตคี วามหมาย - สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
ข้อมลู และลงข้อสรุป - สงั เกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม
- สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งมั่นใน
การทำงาน
- ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น
- ตรวจแบบฝึกหดั
- ตรวจ Topic Questions
- ตรวจ Unit Questions
- ตรวจใบงานท่ี 3.4 เรอ่ื ง การใช้ประโยชน์
จากการพยากรณอ์ ากาศ
- ประเมินการปฏิบัติกิจกรรมแปลความหมาย
สัญลกั ษณล์ มฟ้าอากาศจากแผนทอ่ี ากาศ
ผิวพน้ื

หนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ วธิ ีสอน/วิธีการจดั
กจิ กรรมการเรยี นรู้

ทกั ษะท่ไี ด้ การประเมนิ เวลา
(ชวั่ โมง)
- ประเมนิ การนำเสนอผลงาน
- ตรวจและประเมนิ ชิ้นงานแบบจำลอง
ความกดอากาศกบั ทศิ ทางและอตั ราเรว็
ของลม

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 1 เอกภพ

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1

เอกภพ

เวลา 22 ชั่วโมง

1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้วี ดั

ว 3.1 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์
และระบบสุริยะ รวมทง้ั ปฏสิ ัมพนั ธภ์ ายในระบบสรุ ิยะที่สง่ ผลต่อสงิ่ มีชวี ิต และการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีอวกาศ
ว 3.1 ม.6/1 อธิบายการกำเนิดและการเปลยี่ นแปลงพลังงาน สสาร ขนาด อณุ หภมู ขิ องเอกภพ
หลงั เกดิ บกิ แบงในช่วงเวลาตา่ ง ๆ ตามวิวัฒนาการของเอกภพ
ว 3.1 ม.6/2 อธิบายหลักฐานท่สี นบั สนุนทฤษฎบี กิ แบงจากความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วกับ
ระยะทางของกาแล็กซี รวมทง้ั ขอ้ มลู การค้นพบไมโครเวฟพนื้ หลงั จากอวกาศ
ว 3.1 ม.6/3 อธบิ ายโครงสร้างและองคป์ ระกอบของกาแล็กซที างชา้ งเผือก และระบุตำแหนง่ ของ
ระบบสรุ ยิ ะ พรอ้ มอธิบายเชอื่ มโยงกบั การสังเกตเหน็ ทางชา้ งเผือกของคนบนโลก
ว 3.1 ม.6/4 อธบิ ายกระบวนการเกดิ ดาวฤกษ์ โดยแสดงการเปล่ียนแปลงความดนั อุณหภมู ิ ขนาด
จากดาวฤกษก์ ่อนเกิดจนเป็นดาวฤกษ์
ว 3.1 ม.6/5 ระบปุ ัจจัยท่สี ง่ ผลตอ่ ความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ์ และอธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ ง
ความส่องสวา่ งกับโชตมิ าตรของดาวฤกษ์
ว 3.1 ม.6/6 อธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างสี อณุ หภมู ิผวิ และสเปกตรมั ของดาวฤกษ์
ว 3.1 ม.6/7 อธบิ ายลำดับวิวฒั นาการที่สัมพนั ธ์กบั มวลตั้งต้นและวิเคราะหก์ ารเปลยี่ นแปลง
สมบัตบิ างประการของดาวฤกษ์
ว 3.1 ม.6/8 อธบิ ายกระบวนการเกิดระบบสุรยิ ะ และการแบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์
และลักษณะของดาวเคราะหท์ ี่เออ้ื ตอ่ การดำรงชวี ิต
ว 3.1 ม.6/9 อธิบายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสรุ ิยะ พายุสรุ ยิ ะ และสืบค้นข้อมูล
วเิ คราะห์นำเสนอปรากฏการณ์หรอื เหตกุ ารณ์ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับผลของลมสุริยะ
และพายสุ รุ ิยะที่มีตอ่ โลกรวมท้งั ประเทศไทย
ว 3.1 ม.6/10 สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายการสำรวจอวกาศ โดยใชก้ ลอ้ งโทรทรรศนใ์ นชว่ งความยาว
คลื่นตา่ ง ๆ ดาวเทยี ม ยานอวกาศ สถานอี วกาศ และนำเสนอแนวคดิ การนำ
ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอวกาศมาประยกุ ตใ์ ช้ ในชีวติ ประจำวนั หรอื ในอนาคต

1

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 เอกภพ

2. สาระการเรยี นรู้

2.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง
1. ทฤษฎีกำเนิดเอกภพท่ียอมรับในปัจจุบัน คือทฤษฎีบิกแบง ระบุว่าเอกภพเร่ิมต้นจากบิกแบงที่
เอกภพมีขนาดเล็กมาก และมีอุณภูมิสูงมากซ่ึงเป็นจุดเริ่มต้นของเวลาและวิวัฒนาการของเอกภพ
โดยหลังเกิดบิกแบง เอกภพเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีอุณหภูมิลดลง มีสสารคงอยู่ในรูป
อนุภาคและปฏิยานุภาคหลายชนดิ และมวี ิวฒั นาการตอ่ เน่ืองจนถงึ ปัจจุบนั ซ่ึงมีเนบิวลา กาแล็กซี
ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะเป็นสมาชิกบางสว่ นของเอกภพ
2. หลักฐานสำคัญท่ีสนับสนุนทฤษฎีบิกแบง คือการขยายตัวของเอกภพ ซึ่งอธิบายด้วยกฎฮับเบิล
โดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและระยะทางของกาแล็กซีที่เคลื่อนท่ีห่างออกจากโลกและ
หลักฐานอีกประการ คือ การค้นพบไมโครเวฟพื้นหลัง ที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทุกทิศทางและ
สอดคล้องกับอุณหภูมเิ ฉล่ียของอวกาศ มคี ่าประมาณ 2.73 เคลวนิ
3. กาแล็กซี ประกอบด้วย ดาวฤกษ์จำนวนหลายแสนล้านดวง ซ่ึงอยู่กันเป็นระบบของดาวฤกษ์
นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยเทห์ฟ้าอ่ืน เช่น เนบิวลา และสสารระหว่างดาว โดยองค์ประกอบต่าง ๆ
ภายในของกาแล็กซีอยู่รวมกนั ด้วยแรงโน้มถว่ ง
4. กาแล็กซีมีรูปร่างแตกต่างกัน โดยระบบสุริยะอยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือกซ่ึงเป็นกาแล็กซีกังหัน
แบบมีคาน มีโครงสร้าง คอื นิวเคลียส จาน และฮาโล ดาวฤกษ์จำนวนมากอยู่ในบริเวณนิวเคลียส
และจาน โดยมีระบบสุริยะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของกาแล็กซีทางช้างเผือก ประมาณ 30,000
ปีแสง ซึ่งทางช้างเผือกที่สังเกตเห็นในท้องฟ้าเป็นบริเวณหน่ึงของกาแล็กซีทางช้างเผือกในมุมมอง
ของคนบนโลก แถบฝ้าสีขาวจาง ๆ ของทางช้างเผือกคือดาวฤกษ์ ท่ีอยู่อย่างหนาแน่นในกาแล็กซี
ทางชา้ งเผอื ก
5. ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่อยู่รวมกันเป็นระบบดาวฤกษ์คือ ดาวฤกษ์ที่อยู่รวมกันตั้งแต่ 2 ดวงข้ึนไป
ดาวฤกษ์เป็นก้อนแก๊สร้อนขนาดใหญ่ เกิดจากการยุบตัวของกลุ่มสสารในเนบิวลาภายใต้แรงโน้ม
ถ่วง ทำให้บางส่วนของเนบิวลามีขนาดเล็กลง ความดนั และอุณหภูมิเพ่ิมขึ้น เกดิ เปน็ ดาวฤกษ์ก่อน
เกิด เม่ืออุณหภูมิท่ีแก่นสูงข้ึนจนเกิดปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ ดาวฤกษ์ก่อนเกิดจะกลายเป็น
ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยู่ในสภาพสมดุลระหว่างแรงดันกับแรงโน้มถ่วงซึ่งเรียกว่า สมดุลอุทกสถิต
จงึ ทำใหด้ าวฤกษม์ เี สถียรภาพและปลดปล่อยพลงั งานเป็นเวลานาน ตลอดช่วงชีวิตของดาวฤกษ์
6. ปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ เป็นปฏิกิริยาหลักของกระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ท่ีแก่น
ของดาวฤกษ์ ทำให้เกิดการหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียมแล้วก่อให้เกิด
พลังงานอย่างตอ่ เนอ่ื ง
7. ความส่องสว่างของดาวฤกษ์เป็นพลังงานจากดาวฤกษ์ที่ปลดปล่อยออกมาในเวลา 1 วินาทีต่อ
หน่วยพื้นที่ ณ ตำแหน่งของผู้สังเกต แต่เนื่องจากตาของมนุษย์ไม่ตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลง
ความส่องสว่างท่ีมีค่าน้อย ๆ จึงกำหนดค่าการเปรียบเทียบความส่องสว่างของดาวฤกษ์ด้วยค่า
โชตมิ าตร ซ่งึ เป็นการแสดงระดับความส่องสวา่ งของดาวฤกษ์ ณ ตำแหน่งของผู้สงั เกต

2

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เอกภพ

8. สีของดาวฤกษ์สัมพันธ์กับอุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้สเปกตรัม
ในการจำแนกชนดิ ของดาวฤกษ์

9. มวลของดาวฤกษ์ข้ึนอยู่กับมวลของดาวฤกษ์ก่อนเกิด ดาวฤกษ์ท่ีมีมวลมากจะผลิตและใช้พลังงาน
มาก จึงมีอายสุ น้ั กวา่ ดาวฤกษ์ท่มี ีมวลน้อย

10. ดาวฤกษ์มีการวิวัฒนาการท่ีแตกต่างกัน การวิวัฒนาการและจุดจบของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับมวล
ตง้ั ตน้ ของดาวฤกษ์ สว่ นใหญ่เทียบกบั จำนวนเท่าของมวลดวงอาทติ ย์

11. ระบบสุริยะเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มฝุ่นและแก๊สท่ีเรียกว่า เนบิวลาสุริยะ โดยฝุ่นและแก๊ส
ประมาณร้อยละ 99.8 ของมวล ได้รวมตัวเป็นดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นก้อนแก๊สร้อน หรือ พลาสมา
สสารส่วนที่เหลือรวมตัวเป็นดาวเคราะห์และบริวารอ่ืน ๆ ของดวงอาทิตย์ ดังนั้นจึงแบ่งเขตบริวาร
ของดวงอาทิตย์ตามลักษณะการเกิดและองค์ประกอบ ได้แก่ ดาวเคราะห์ช้ันใน ดาวเคราะห์น้อย
ดาวเคราะหช์ ัน้ นอก และดงดาวหาง

12. โลกเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะทม่ี สี ่ิงมีชีวิต เพราะโคจรรอบดวงอาทิตยใ์ นระยะทางท่ีเหมาะสม
อยู่ในเขตท่ีเอื้อต่อการมีส่ิงมีชีวิต มีอุณหภูมิเหมาะสมและสามารถเกิดน้ำท่ียังคงสถานะเป็น
ของเหลวได้ ปัจจุบันมีการค้นพบดาวเคราะห์ที่อยู่นอกระบบสุริยะจำนวนมาก และมีดาวเคราะห์
บางดวงท่อี ยู่ในเขตท่ีเออื้ ต่อการมีสง่ิ มีชีวติ คล้ายโลก

13. ดวงอาทิตย์มีโครงสร้างภายในแบ่งเป็นแก่นเขตการแผ่รังสี และเขตการพาความร้อน และมีชั้น
บรรยากาศอยู่เหนือเขตพาความร้อน ซ่ึงแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ ช้ันโฟโตสเฟียร์ ช้ันโครโมสเฟียร์ และ
คอโรนา ในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ การลุกจ้า ที่ทำให้เกิดลมสุริยะ และพายุสุริยะ ซึ่งส่งผล
ตอ่ โลก

14. ลมสุริยะ เกิดจากการแพร่กระจายของอนุภาคจากช้ันคอโรนาออกสู่อวกาศตลอดเวลา อนุภาคท่ี
หลุดออกสู่อวกาศเป็นอนุภาคที่มีประจุ ลมสุริยะส่งผลทำให้เกิดหางของดาวหางท่ีเรืองแสง และ
ชไ้ี ปทางทิศตรงกนั ขา้ มกับดวงอาทิตย์ และเกิดปรากฏการณ์แสงเหนอื แสงใต้

15. พายุสุริยะ เกิดจากการปลดปล่อยอนุภาคมีประจุพลังงานสูงจำนวนมหาศาล มักเกิดบ่อยคร้ัง
ในช่วงท่ีมีการลุกจ้า และในช่วงท่มี ีจุดมืดดวงอาทิตยจ์ ำนวนมาก และในบางครง้ั มีการพ่นก้อนมวล
คอโรนา พายุสุริยะอาจส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลก จึงอาจรบกวนระบบการส่งกระแสไฟฟ้าและ
การส่ือสาร รวมทั้งอาจส่งผลต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของดาวเทียม นอกจากน้ันมักทำให้เกิด
ปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใตท้ ส่ี ังเกตไดช้ ัดเจน

16. มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพ่ือขยายขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และใน
ขณะเดียวกันมนุษย์ได้นำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์ อาหาร
การแพทย์

17. นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ เพ่ือศึกษาแหล่งกำเนิดของรังสีหรืออนุภาคในอวกาศ
ในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ ได้แก่ คลื่นวทิ ยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต และรังสี
เอ็กซ์

3

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เอกภพ

18. ยานอวกาศ คือ ยานพาหนะท่ีนำมนุษย์หรืออุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ข้ึนไปสู่อวกาศ เพื่อสำรวจ
หรือเดินทางไปยังดาวดวงอ่ืน ส่วนสถานีอวกาศ คือ ปฏิบัติการลอยฟ้า ท่ีโคจรรอบโลกใช้ใน
การศึกษาวิจยั ทางวิทยาศาสตรใ์ นสาขาต่าง ๆ ในสภาพไร้นำ้ หนกั

19. ดาวเทียม คือ อุปกรณ์ท่ีใช้ในการสำรวจวัตถุท้องฟ้า และนำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เช่น
การส่ือสาร โทรคมนาคม การระบุตำแหน่งบนโลก การสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ อุตุนิยมวิทยา
โดยดาวเทียมมีหลายประเภทสามารถแบ่งได้ตามเกณฑว์ งโคจรและการใช้งาน

2.2 สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ
(พจิ ารณาตามหลกั สูตรสถานศึกษา)

3. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด

ทฤษฎีกำเนิดเอกภพท่ียอมรับในปัจจุบัน คือ ทฤษฎีบิกแบง ระบุว่าเอกภพเร่ิมต้นจากบิกแบง
ท่ีเอกภพมีขนาดเล็กมากและมีอุณหภูมิสูงมาก หลังเกิดบิกแบง เอกภพเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
มีอุณหภูมิลดลง มีสสารคงอยู่ในรูปอนุภาคและปฏิยานุภาคหลายชนิด และมีวิวัฒนาการต่อเน่ืองจนถึง
ปัจจุบัน โดยหลักฐานสำคัญที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง คือ การขยายตัวของเอกภพซึ่งอธิบายด้วยกฎฮับเบิล
และการค้นพบไมโครเวฟพ้ืนหลัง ที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทุกทิศทางและสอดคล้องกับอุณหภูมิเฉล่ีย
ของอวกาศทีม่ ีค่าประมาณ 2.73 เคลวนิ

กาแล็กซี (galaxy) ประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนหลายแสนลา้ นดวง ภายในกาแลก็ ซียังประกอบดว้ ย
เทห์ฟ้าอื่น ๆ เช่น เนบิวลา บริวารของดาวฤกษ์ สสารระหว่างดาว โดยโลกเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุริยะ
ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของกาแล็กซีท่ีชื่อว่า กาแล็กซีทางช้างเผือก ซ่ึงเป็นกาแล็กซีกังหันแบบมีคาน มีโครงสร้าง
ประกอบดว้ ยนิวเคลียส จาน และฮาโล

ความส่องสว่างของดาวฤกษ์ (brightness) เป็นพลังงานจากดาวฤกษ์ท่ีปลดปล่อยออกมาในเวลา
1 วินาทีต่อหน่วยพื้นที่ ณ ตำแหน่งของผู้สังเกต มนุษย์จะสังเกตเห็นดาวฤกษ์แต่ละดวงมีความสว่าง
ค่อนข้างคงที่ เนื่องจากตาของมนุษย์ไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความส่องสว่างที่มีการเปล่ียนแปลง
น้อย ๆ จึงกำหนดค่าการเปรียบเทียบความส่องสว่างของดาวฤกษ์ท่ีเรียกว่า อันดับความสว่าง หรือโชติ -
มาตร (magnitude) ซึ่งเป็นคา่ ทแี่ สดงระดบั ความส่องสว่างของดาวฤกษ์ ณ ตำแหน่งของผู้สังเกต

ถ้าสงั เกตดาวฤกษ์แต่ละดวงบนท้องฟ้าจะพบว่าดาวฤกษแ์ ต่ละดวงมีสีแตกต่างกัน เน่ืองจากดาวฤกษ์
แต่ละดวงมีอัตราการผลิตพลังงานที่แตกต่างกัน สีของดาวฤกษ์สัมพันธ์กับอุณหภูมิผิวและสเปกตรัมของ
ดาวฤกษ์

ดาวฤกษ์เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มสสารในเนบิวลา ในแต่ละช่วงวิวัฒนาการของดาวฤกษ์จะมี
การเปลี่ยนแปลงมวล ขนาด สี สเปกตรัม และอุณหภูมิ ซ่ึงข้ึนอยู่กับมวลตั้งต้น มวลของดาวฤกษ์เป็น
ตัวกำหนดอายุของดาวฤกษ์ และกำหนดจุดจบของดาวฤกษแ์ ต่ละดวง โดยดาวฤกษ์มวลน้อยจะมีจุดจบเป็น
ดาวแคระขาว ส่วนดาวฤกษ์มวลมากจะมีจุดจบด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงท่ีเรียกว่า ซูเปอร์โนวา และเกิด
การยุบตัวลงกลายเป็นดาวนวิ ตรอนหรือหลุมดำ

4

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 เอกภพ

ระบบสุริยะ (solar system) เป็นระบบที่ประกอบด้วยดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบ และ
มีดาวเคราะห์รวมท้ังบริวารโคจรอยู่รอบ ๆ โดยดาวเคราะห์บางดวงมีดวงจันทร์เป็นบริวารโคจรล้อมรอบ
ระบบสุริยะเกิดจากการยุบตัวของแก๊สและฝุ่นในเนบิวลาสุริยะด้วยแรงโน้มถ่วง โดยมวลร้อยละ 99.8 ของ
เนบิวลาสรุ ิยะกลายเป็นดวงอาทิตย์ มวลที่เหลือกลายเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ ซ่ึงแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
ดาวเคราะห์ช้นั ใน ดาวเคราะหน์ ้อย ดาวเคราะห์ชั้นนอก และดาวหาง

ดวงอาทิตย์มีแรงโน้มถ่วงทำให้ดาวเคราะห์และบริวารโคจรโดยรอบ โครงสร้างภายในของดวง
อาทิตย์ แบ่งเป็นแก่นของดวงอาทิตย์ เขตการแผ่รังสี และเขตการพาความร้อน มีช้ันบรรยากาศอยู่เหนือ
เขตพาความร้อน แบ่งเป็น 3 ช้ัน คือ ช้ันโฟโตสเฟียร์ ชั้นโครโมสเฟียร์ และคอโรนา ลมสุริยะเกิดจากการ
ปลดปล่อยอนุภาคที่มีประจไุ ฟฟ้าพลังงานสูงจากชั้นคอโรนา และพายุสุริยะเกิดจากการปลดปล่อยอนุภาค
ท่ีมีประจุไฟฟ้าพลังงานสูงจำนวนมหาศาล มักเกิดบ่อยครั้งในช่วงที่มีการลุกจ้า และในช่วงท่ีจุดมืดบน
ดวงอาทติ ยม์ ีจำนวนมาก

มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษา เพื่อขยายขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และใน
ขณะเดียวกันมนุษย์ได้นำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านวัสดุศาสตร์ ด้านอาหาร
ด้านการแพทย์ มนุษย์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ที่ใช้ศึกษาวัตถุท้องฟ้าในช่วงความยาวคล่ืนต่าง ๆ และยัง
ต้องใช้เทคโนโลยีอวกาศหลายอย่างร่วมด้วย เช่น ดาวเทียม สถานีอวกาศ ยานอวกาศ และระบบขนส่ง
อวกาศ

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มวี ินยั รับผดิ ชอบ

2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรยี นรู้

1) ทักษะการสงั เกต 3. มงุ่ มน่ั ในการทำงาน

2) ทักษะการทดลอง

3) ทักษะการนำความร้ไู ปใช้

4) ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล

5) ทักษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรุป

3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. ช้นิ งาน/ภาระงาน (รวบยอด)

- ผงั มโนทัศน์ เรื่อง เอกภพ

5

หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 เอกภพ

6. การวัดและการประเมินผล

รายการวัด วิธวี ัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน

6.1 การประเมินช้นิ งาน/

ภาระงาน (รวบยอด)

- ผงั มโนทศั น์ - ตรวจผังมโนทัศน์ - แบบประเมนิ ชน้ิ งาน/ - ระดับคุณภาพ 2

เร่อื ง เอกภพ เรือ่ ง เอกภพ ภาระงาน (รวบยอด) ผ่านเกณฑ์

6.2 การประเมนิ กอ่ นเรยี น

- แบบทดสอบ - ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบก่อนเรยี น - ประเมนิ ตามสภาพจริง

ก่อนเรียน หนว่ ยการ กอ่ นเรียน หน่วยการ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1

เรียนรู้ที่ 1 เอกภพ เรยี นรทู้ ่ี 1 เอกภพ เอกภพ

6.3 การประเมนิ ระหว่าง

การจัดกจิ กรรม

1) กำเนิดววิ ัฒนาการ - ตรวจใบงานท่ี 1.1 - ใบงานท่ี 1.1 - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์

ของเอกภพ - ตรวจสมดุ ประจำตัว - สมดุ ประจำตัว หรอื - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

หรือแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด

2) ผลบนั ทึกการปฏิบตั ิ - ประเมนิ การปฏบิ ตั ิ - แบบประเมนิ การปฏิบัติ - ระดบั คณุ ภาพ 2

กจิ กรรมจำลอง กิจกรรม กจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์

ลักษณะการขยายตัว

ของเอกภพ

3) กาแล็กซแี ละ - ตรวจใบกิจกรรม - ใบกจิ กรรม - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์

กาแล็กซีทาง - ตรวจสมดุ ประจำตวั - สมุดประจำตวั หรือ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์

ชา้ งเผอื ก หรอื แบบฝึกหดั แบบฝึกหดั

4) ความส่องสว่างและ - ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกจิ กรรม - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์

โชติมาตรของ - ตรวจสมุดประจำตวั - สมดุ ประจำตัว หรอื - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

ดาวฤกษ์ หรอื แบบฝกึ หดั แบบฝกึ หัด

5) ผลบันทกึ การปฏบิ ตั ิ - ประเมนิ การปฏบิ ัติ - แบบประเมินการปฏิบัติ - ระดับคุณภาพ 2

กจิ กรรมปจั จยั ทม่ี ีผล กจิ กรรม กิจกรรม ผา่ นเกณฑ์

ต่อความสอ่ งสว่าง

ของดาวฤกษ์

6) สี อณุ หภมู ิ และชนดิ - ตรวจใบงานที่ 1.2 - ใบงานที่ 1.2 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

ของสเปกตรมั ของ - ตรวจสมดุ ประจำตัว - ตรวจสมุดประจำตวั - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

ดาวฤกษ์ หรอื แบบฝกึ หดั หรือแบบฝกึ หดั

6

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เอกภพ

รายการวดั วธิ ีวัด เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ

7) ผลบนั ทกึ การปฏบิ ตั ิ - ประเมนิ การปฏิบตั ิ - แบบประเมินการปฏบิ ัติ - ระดับคุณภาพ 2

กจิ กรรมสขี อง กจิ กรรม กจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์

ดาวฤกษ์

8) กำเนดิ และ - ตรวจใบงานท่ี 1.3 - ใบงานที่ 1.3 - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

วิวฒั นาการของ - ตรวจสมุดประจำตวั - สมดุ ประจำตัว หรือ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์

ดาวฤกษ์ หรือแบบฝึกหัด แบบฝึกหดั

9) ผลบนั ทึกการปฏบิ ตั ิ - ประเมนิ การปฏบิ ัติ - แบบประเมินการปฏิบตั ิ - ระดบั คณุ ภาพ 2

กจิ กรรม กิจกรรม กิจกรรม ผา่ นเกณฑ์

ความสมั พันธ์ระหว่าง

มวลตัง้ ต้นกบั

ววิ ัฒนาการของ

ดาวฤกษ์

10) ระบบสรุ ิยะ - ตรวจสมุดประจำตวั - สมดุ ประจำตวั หรอื - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์

หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝกึ หัด

11) ผลบันทกึ การปฏิบัติ - ประเมนิ การปฏิบัติ - แบบประเมินการปฏบิ ตั ิ - ระดับคณุ ภาพ 2

กจิ กรรมกำเนดิ ระบบ กิจกรรม กจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์

สรุ ยิ ะ

12) โครงสร้างและ - ตรวจใบงานท่ี 1.4 - ใบงานท่ี 1.4 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์

ปรากฏการณบ์ นดวง - ตรวจสมุดประจำตวั - สมุดประจำตัว หรอื - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

อาทติ ย์ หรือแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หัด

13) เทคโนโลยอี วกาศ - ตรวจใบงานท่ี 1.5 - ใบงานที่ 1.5 - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

- ตรวจสมุดประจำตัว - สมดุ ประจำตัว หรอื - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

หรอื แบบฝึกหดั แบบฝึกหดั

14) ผลบันทึกการปฏิบัติ - ประเมนิ การปฏิบัติ - แบบประเมนิ การปฏบิ ตั ิ - ระดับคณุ ภาพ 2

กิจกรรมกลอ้ ง กิจกรรม กิจกรรม ผ่านเกณฑ์

โทรทรรศน์

15) การนำเสนอผลงาน/ - ประเมนิ การนำเสนอ - แบบประเมินการ - ระดับคุณภาพ 2

ผลการปฏิบตั ิ ผลงาน/ผลการ นำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์

กจิ กรรม ปฏิบัติกิจกรรม

16) พฤติกรรมการทำงาน - สงั เกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2

รายบคุ คล การทำงานรายบุคคล การทำงานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์

7

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เอกภพ

รายการวัด วิธีวดั เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ
- แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
17) พฤตกิ รรมการทำงาน - สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
- แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
กลมุ่ การทำงานกลุ่ม คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
อนั พงึ ประสงค์
18) คุณลักษณะอันพึง - สังเกตความมวี ินัย - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์
- แบบทดสอบหลังเรียน
ประสงค์ รับผิดชอบ ใฝเ่ รียนรู้ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 1
เอกภพ
และมุ่งมน่ั ในการ

ทำงาน

6.4 การประเมนิ หลังเรยี น

- แบบทดสอบหลังเรยี น - ตรวจแบบทดสอบ

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 หลังเรยี น หนว่ ยการ

เอกภพ เรียนร้ทู ่ี 1 เอกภพ

7. กิจกรรมการเรียนรู้ เวลา 3 ชว่ั โมง
เวลา 2 ช่วั โมง
• แผนท่ี 1 : กำเนดิ และววิ ัฒนาการของเอกภพ เวลา 2 ชัว่ โมง
วธิ สี อนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept Based Teaching) เวลา 2 ชั่วโมง
เวลา 3 ชั่วโมง
• แผนท่ี 2 : กาแลก็ ซแี ละกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื ก เวลา 3 ชั่วโมง
วิธีสอนแบบเนน้ มโนทัศน์ (Concept Based Teaching) เวลา 3 ช่ัวโมง
เวลา 4 ชั่วโมง
• แผนท่ี 3 : ความสอ่ งสว่างและโชตมิ าตรของดาวฤกษ์ (รวมเวลา 22 ชวั่ โมง)
วธิ ีสอนแบบเนน้ มโนทัศน์ (Concept Based Teaching)

• แผนท่ี 4 : สี อุณหภูมิผิว และชนิดสเปกตรัมของดาวฤกษ์
วิธีสอนแบบเนน้ มโนทศั น์ (Concept Based Teaching)

• แผนท่ี 5 : กำเนิดและวิวฒั นาการของดาวฤกษ์
วธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

• แผนท่ี 6 : ระบบสุริยะ
วธิ ีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

• แผนท่ี 7 : โครงสร้างและปรากฏการณบ์ นดวงอาทิตย์
วธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)

• แผนท่ี 8 : เทคโนโลยีอวกาศ
วธิ สี อนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept Based Teaching)

8

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เอกภพ

8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้

8.1 ส่ือการเรยี นรู้
1) หนงั สอื เรยี นรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ ม.6
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เอกภพ
2) แบบฝึกหัดรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ม.6
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เอกภพ
3) ใบงานท่ี 1.1 เร่ือง เพราะเหตุใดกาแล็กซีทางช้างเผือกกับกาแล็กซีแอนดรอเมดาจงึ เคลื่อนที่เข้าหากนั
4) ใบงานที่ 1.2 เร่ือง ดาวฤกษ์ในระบบสรุ ยิ ะ
5) ใบงานที่ 1.3 เรื่อง วิวฒั นาการของดาวฤกษ์
6) ใบงานท่ี 1.4 เร่ือง ผลกระทบของดวงอาทิตยต์ ่อโลก
7) ใบงานท่ี 1.5 เรื่อง เทคโนโลยีอวกาศกับชวี ิตประจำวันและอนาคต
8) ใบกจิ กรรม เรอื่ ง สงั เกตแนวทางช้างเผือกโดยใช้แผนที่ดาว
9) ใบกิจกรรม เรอ่ื ง ความส่องสวา่ งปรากฏของดาวฤกษ์
10) วสั ดุอปุ กรณ์ทีใ่ ช้ในการปฏบิ ัติกิจกรรมจำลองลกั ษณะการขยายตัวของเอกภพ
11) วัสดุอปุ กรณ์ทใ่ี ชใ้ นการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมปจั จยั ท่ีมีผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์
12) วสั ดุอุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการปฏิบัติกจิ กรรมสีของดาวฤกษ์
13) วัสดุอปุ กรณ์ทใี่ ช้ในการปฏิบตั ิกจิ กรรมความสมั พันธ์ระหว่างมวลต้ังตน้ กับวิวัฒนาการของดาวฤกษ์
14) วัสดุอุปกรณ์ท่ใี ช้ในการปฏบิ ัติกจิ กรรมกำเนดิ ระบบสุริยะ
15) PowerPoint เรอ่ื ง กำเนดิ ววิ ัฒนาการของเอกภพ
16) PowerPoint เรื่อง กาแล็กซแี ละการแล็กซีทางช้างเผือก
17) PowerPoint เรอื่ ง ความสอ่ งสว่างและโชติมาตรของดาวฤกษ์
18) PowerPoint เร่ือง สี อุณหภูมิ และชนิดสเปกตรมั ของดาวฤกษ์
19) PowerPoint เรือ่ ง กำเนิดและววิ ัฒนาการของดาวฤกษ์
20) PowerPoint เรอ่ื ง ระบบสรุ ยิ ะ
21) PowerPoint เรื่อง โครงสรา้ งและปรากฏการณบ์ นดวงอาทิตย์
22) PowerPoint เรอื่ ง เทคโนโลยอี วกาศ
23) บตั รภาพ
24) สลากหมายเลข
25) วดี ิทัศน์สารคดสี น้ั Twig เรอื่ ง กาแล็กซี
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/galaxy-6699/
26) วีดทิ ศั น์สารคดสี ้นั Twig เร่ือง ความส่องสว่าง
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/luminance-7053/

9

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เอกภพ

27) วีดิทัศน์สารคดีส้นั Twig เรือ่ ง ดาวฤกษ์
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/glossary/star-6727/#

28) วดี ทิ ศั น์สารคดีสน้ั Twig เรื่อง การตายของดวงอาทิตย์
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/death-of-the-sun-7893/

29) วีดทิ ศั นส์ ารคดสี น้ั Twig เรอ่ื ง การกำเนิดระบบสุรยิ ะ
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/the-birth-of-our-solar-system-7799/

30) วดี ทิ ัศน์สารคดสี ั้น Twig เรือ่ ง ดวงอาทิตย์
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/the-sun-7815/

31) วดี ิทัศนส์ ารคดสี ัน้ Twig เรื่อง กล้องโทรทรรศน์
จาก https://www.twig-aksorn.com/film/telescopes-7780/

32) สมดุ ประจำตัวนักเรยี น
8.2 แหลง่ การเรียนรู้

1) ห้องเรียน
2) หอ้ งสมุด
3) อินเทอรเ์ นต็

10


Click to View FlipBook Version