The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือนวดไทย 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chanthirajimah, 2021-06-21 02:13:41

หนังสือนวดไทย 2

หนังสือนวดไทย 2

140

ความยาวขา (Leg length)

การประเมินระดบั ความสามารถในการประกอบกจิ กรรม

 เปน็ การประเมินความสามารถของผู้ปวยในการทากิจกรรมโดยเน้นทก่ี าร
เคล่ือนไหวร่างกาย และกิจวัตรประจาเปน็ หลกั

 การเคลอื่ นไหวร่างกาย

 การเคล่ือนไหวบนเตียง
 การนัง่
 การยืน

 การให้คะแนนจะแบ่งตามความตอ้ งการการช่วยเหลอื ในการทากิจกรรม

141

การเคลื่อนไหวบนเตียง

การเคล่อื นไหวบนเตียง

142

การเคลอื่ นไหวบนเตียง

การนงั่ ทรงตัว (static and dynamic)

143

การนง่ั ทรงตวั (Sitting balance)

การยืน (Standing balance)

144

ตัวอยา่ งการประเมิน ADL - Barthel index

ตวั อย่างการประเมนิ ADL - Barthel index

 คะแนน 0 ไม่สามารถทาได้เลย
 คะแนน 1 สามารถทาไดแ้ ตต่ ้องมผี ู้ช่วยเหลือ หรอื ใชอ้ ปุ กรณ์ชว่ ยเหลือ
 คะแนน 2 สามารถทาเองได้ทั้งหมด

Any questions ??

145

3.3 การอ่านและแปลผลการตรวจ Film X-ray MRT CT-scan

ผศ.นพ.ปราโมทย์ ทานอทุ ศิ
บทนา

รังสเี อกซ (X-ray หรอื X-radiation) เปน็ รงั สีท่ีนามาใช้ทางการแพทย์เพ่ือช่วยวินิจฉัย โรค จัด
อยู่ในรังสีประเภทไอออนไนซ์ Ionizing radiation (รังสีจากการตรวจโรค) โดยนารังสีมาถ่ายภาพ
อวยั วะตา่ งๆทแ่ี พทยส์ งสยั ว่าจะมโี รค ทาใหแ้ พทยม์ องเห็นภาพอวัยวะนั้นๆได้ เคร่ืองถ่ายภาพนี้ เรียกว่า
เคร่ืองเอกซเรย์ ซึ่งปัจจุบัน เคร่ืองเอกซเรย์ได้มีการพัฒนาไปอย่างมากเพ่ือช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้
แม่นยาข้ึน โดยทั่วไปที่เรารู้จักกันคือ การตรวจภาพอวัยวะด้วยเทคนิคท่ีเราคุ้นเคย เรียกว่า การ
เอกซเรย์ หรือ เอกซเรยธ์ รรมดา และการตรวจภาพอวัยวะที่ละเอียดมากย่ิงขึ้น โดยตัดซอยภาพอวัยวะ
ที่ตรวจออกเป็นชิ้นบางๆในท่าตัดขวางหลายสิบชิ้นต่อ 1 อวัยวะ ท่ีเราเรียกว่า เอกซเรย์คอมพิวเตอร์
หรือ ซีที หรือ ซีทีสแกน หรือแคทสแกน (X-ray computed tomography หรือ CT หรือ CT-scan
หรือ CAT-scan, Computerized tomography หรอื Computerized axial tomography)

เอกซเรย์ธรรมดาเป็นการตรวจโรคท่ีใช้มานานแล้ว เริ่มตั้งแต่การค้นพบรังสีชนิดน้ีในปี ค.ศ.
1895 (พ.ศ.2438) โดยนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ Wilhelm Conrad Rontgen ดังน้ัน บางประเทศจึง
เรียกรังสีเอกซ์ น้ีว่า รังสีเรินเกน (Rontgen radiation) ส่วนแนวคิดในการตรวจอวัยวะให้ได้ภาพ
ละเอียดย่ิงขึ้นด้วยการตัดซอยภาพอวัยวะให้เป็นแผ่นบางๆ (Tomography) เร่ิมขึ้นจากแนวคิดของ
แพทย์รังสีวิทยาชาวอิตาลี ช่ือ Alessandro Vallebona ในปี ค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ต่อจากนั้นได้มี
การศึกษาพัฒนาต่อเนื่องโดยเริ่มจากการตรวจภาพของสมองก่อน โดยแพทย์ประสาทวิทยาชาว
สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) และเคร่ืองเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทางการค้าได้ถูกประดิษฐ์
ขึ้นโดย Sir Godfrey Hounsfield นักวิศวกรรมไฟฟ้า ชาวสหราชอาณาจักร (ได้รับรางวัลโนเบลในปี
ค.ศ.1979 พ.ศ.2522) โดยผู้ปวยคนแรกท่ีได้ รับการตรวจด้วยเคร่ืองเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นการ
ตรวจภาพสมอง เมื่อ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1971 พ.ศ.2514 (แต่ประกาศให้ท่ัวโลกได้รับทราบในปี ค.ศ.
1972 พ.ศ.2515) ทโี่ รงพยาบาล Atkinson Morley Hospital เมอื ง Wimbledon ประเทศอังกฤษ ซึ่ง
ต่อจากน้ันจนถึงปัจจุบัน เคร่ืองเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก จนได้ภาพท่ีคมชัด
ขึ้น สามารถซอยภาพออกได้เป็นแผ่นบางๆในจานวนมากแผ่นข้ึน และใช้ระยะเวลาในการตรวจแต่ละ
เนื้อเย่ือ อวัยวะ (เซลล์ เน้ือเยือ อวัยวะ) ลดลงกว่าสมัยเมื่อเร่ิมแรกมากเมื่อเน้ือเยื่อได้รับรังสีเอกซ์
เนื้อเย่ือจะดูดซึมรังสีเอกซ์ไว้ และเมื่อเป็นการถ่ายภาพลงบนแผ่นฟิล์ม (Film) จะส่งผลให้เกิดภาพบน
แผ่นฟิล์มเป็นสีขาวดา โดยความเข็มของสีภาพจะข้ึน กับความหนาแน่นของอะตอม (Atom) และชนิด
ของแรธ่ าตุในแตล่ ะเนือ้ เยอ่ื ซง่ึ เมอื่ เน้ือเยอ่ื ใดมีแคลเซียมสูง ภาพอวัยวะท่ีเห็นจากการเอกซเรย์จะเป็นสี
ขาว เช่น กระดูก แต่ถ้าเน้ือเย่ือมีอากาศอยู่ ภาพจะเป็นสีดา เช่น ปอด และเมื่อเป็นเน้ือเยื่ออ่ืนๆท่ีมี
ความหนาแน่นของแร่ธาตุผสมระหว่างกระดูกกับอากาศ ภาพก็จะเป็นสีเทาลดหล่ันกัน ทาให้สามารถ
มองเห็นเน้ือเยื่อ อวัยวะต่างๆได้ ทั้งในภาวะปกติและในภาวะเกิดโรค แพทย์จึงนามาใช้ช่วยในการ
วินจิ ฉัยโรค

146

เอกซเรย์มปี ระโยชนแ์ ละโทษอยา่ งไร?
เอกซเรย์สามารถตรวจภาพของเน้ือเยื่อ อวัยวะได้ทุกชนิด และในทุกเพศและทุกวัย ดัง นั้นจึง

เป็นประโยชน์อย่างมากต่อแพทย์ในการช่วยวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องแม่นยาขึ้น อันนาไปสู่การรักษาท่ีมี
ประสทิ ธภิ าพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สามารถให้รายละเอียดของภาพเน้ือเย่ือ อวัยวะที่มีขนาดใหญ่และมี
ความหนามาก (เช่น ปอด ตับ)อวัยวะท่ีห้อมล้อมด้วยกระดูก (เช่น สมอง) และอวัยวะที่อยู่ลึก (เช่น
อวัยวะต่างๆในช่องท้อง เช่น มดลูก รังไข่ ตับอ่อน ไตและกระเพาะอาหาร) ได้ดีกว่าการเอกซเรย์
ธรรมดามาก ดังน้นั เมอ่ื เปน็ การวนิ จิ ฉยั โรคของเน้อื เยื่อ อวยั วะที่มีลักษณะดังกล่าวอย่างละเอียด แพทย์
จึงมักจาเป็นต้องให้การตรวจวินิจฉัยภาพเน้ือเย่ือ อวัยวะเหล่านั้นด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อย่างไรก็
ตาม เอกซเรย์ เป็นรังสีที่มีพลังงานได้หลายระดับ และก่อให้เกิดการบาดเจ็บของเซลล์ได้ทุกชนิด การ
บาดเจ็บจะมากหรือน้อยข้ึนกับปริมาณและระดับพลังงานของเอกซเรย์ที่เซลล์ได้รับ รวมท้ังอายุของ
เซลล์ดว้ ย โดยเซลล์ตวั ออ่ น เช่นเซลลข์ องทารกในครรภ์ (อาจสง่ ผลให้เกดิ การแทง้ หรอื ความพิการของ
ทารกได้) เมื่อได้รับเอกซเรย์จะมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บได้สูงกว่าเซลล์ของผู้ใหญ่ (รังสีจากการตรวจ
โรค) ดังนน้ั นอกจากประโยชน์ท่ีได้รบั ถา้ ใช้เอกซเรย์พร่าเพรื่อ อาจทาให้เซลล์ร่างกายได้รับปริมาณรังสี
สูงจนอาจก่อการบาดเจ็บต่อเซลลไ์ ดโ้ ดยเฉพาะในระยะยาวเมื่อหลายๆปีผ่านไป ซ่ึงอันตรายท่ีสาคัญ คือ
การบาดเจ็บของเซลล์ (จากรังสี) อาจส่งผลให้เซลล์ท่ีได้รับรังสีเกิดการเปล่ียนแปลง (Mutation) จน
กลายเป็นเซลล์ มะเร็ง โรคมะเร็งได้ การแพทย์จึงจัด เอกซเรย์เป็นรังสีที่สามารถก่อมะเร็งได้
(Carcinogen) จากผลกระทบของเอกซเรย์ดังกล่าวแล้ว แพทย์จึงจะให้การตรวจด้วยเอกซเรย์เฉพาะ
ต่อเม่ือมีข้อบ่งชี้ที่จาเป็นสาหรับผู้ปวยเท่าน้ัน โดยเฉพาะในการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่ง
ผปู้ วยจะได้รับปริมาณรังสีจากการตรวจในแต่ละครง้ั มากกวา่ การตรวจด้วยเอกซเรยธ์ รรมดา

***โอกาสเกิดโรคมะเร็งจากการตรวจโรคด้วยเอกซเรย์โดยแพทย์แนะนา พบได้น้อยมากๆจน
ไม่จาเป็นต้องกังวล และเป็นท่ียอมรับของทางการแพทย์ท่ัวโลกว่า การเอกซเรย์ท้ังเอกซเรย์ธรรมดา
และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ตามข้อบ่งช้ีทางการแพทย์และตามดุลพินิจของแพทย์ ก่อประโยชน์ต่อผู้ปวย
อย่างมากมาย มากกว่าการเกดิ โทษ

เอกซเรยธ์ รรมดาตา่ งจากเอกซเรยค์ อมพวิ เตอรอ์ ยา่ งไร?
ความแตกตา่ งระหวา่ ง การเอกซเรย์ธรรมดากับเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ คือเอกซเรย์ธรรมดา จะ

ให้ภาพการตรวจเป็นภาพ 2 มิติ คือกว้าง และยาว ไม่สามารถบอกความลึกได้ และจะให้ภาพเป็น
ภาพรวมของท้ังอวัยวะ ดังนั้นจึงเป็นข้อจากัดของเอกซเรย์ธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกับเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการตรวจท่ีซับซ้อนกว่าเอกซเรย์ธรรมดามาก ซึ่งจะให้ภาพเป็น 3 มิติ
และยังซอยภาพอวัยวะออกเป็นแผ่นบางๆในภาพตัดขวางได้หลายสิบแผ่น จึงช่วยให้แพทย์อ่านความ
ผิดปกตขิ องอวัยวะนั้นๆได้ละเอยี ดและแม่นยากว่าทง้ั นี้คา่ ใชจ้ ่ายในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะสูง
กว่าการเอกซเรย์ธรรมดาเป็นสิบ หรือหลายสิบเท่า และในการตรวจแต่ละครั้งผู้ปวยจะได้รับปริมาณ
รังสีสูงกว่าจากการตรวจด้วยเอกซเรย์ธรรมดาดังนั้นโดยทั่วไปเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ผู้ปวย

147

แพทยจ์ ึงมักตรวจดว้ ยเอกซเรย์ธรรมดากอ่ น ตอ่ เมอ่ื เอกซเรย์ธรรมดาไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ แพทย์
จึงจะพิจารณาเลือกใช้การตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

เม่อื ไรจงึ ควรตรวจเอกซเรยค์ อมพวิ เตอร์? ตรวจสว่ นไหนของรา่ งกายไดบ้ ้าง?
แพทยจ์ ะเลอื กการตรวจวินิจฉัยด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เมื่อเนื้อเยื่อ อวัยวะ (เซลล์ เน้ือเย่ือ

อวัยวะ) ทีต่ ้องการวินิจฉยั ใหก้ ารตรวจด้วย การเอกซเรย์ธรรมดาไม่ชัดเจน ซึ่งได้แก่
• เนื้อเยอื่ อวยั วะทจ่ี ะตรวจ มีความหนามาก การถ่ายภาพได้เป็นแผน่ บางๆจึงช่วยให้เห็นพยาธิ

สภาพของเน้อื เยอื่ อวัยวะนั้นๆได้ชัดเจนกวา่ เช่น ตบั และปอด เป็นตน้
• เน้ือเยื่อ อวัยวะนั้นๆอยู่ลึก การถ่ายภาพเป็น 3 มิติ ท่ีสามารถตรวจภาพด้านความลึกได้ จึง

ชว่ ยใหเ้ หน็ ภาพเนื้อเยอ่ื อวยั วะนน้ั ๆได้ชดั เจนขน้ึ เช่น ตับออ่ น และไต
• ตอ้ งการตรวจให้พบพยาธิสภาพที่มีขนาดเล็กๆ เป็น มิลลิเมตร หรือไม่เกิน 1 เซนติเมตรเพ่ือ

สามารถให้การรกั ษาได้ตั้งแต่เริ่มเป็นโรค เชน่ ในการตรวจวินจิ ฉัยการแพรก่ ระจายของโรค มะเร็งสู่ปอด
เปน็ ตน้

• ตรวจอวัยวะท่ีล้อมรอบด้วยกระดูก ซึ่งจะตรวจพยาธิสภาพไม่พบจากเอกซเรย์ธรรมดา เช่น
ภาพสมอง

• ตรวจคร้ังเดียววินิจฉัยโรคได้หลายเนื้อเย่ือ อวัยวะ ซ่ึงไม่สามารถตรวจได้ด้วยวิธีการอ่ืนๆ
รวมท้ังจากเอกซเรย์ธรรมดา เช่น การตรวจเน้ือเยื่อ อวัยวะในช่องท้องท้ังหมดในการตรวจเพียงคร้ัง
เดียว ทเ่ี รยี กวา่ Whole abdomen CT scan ทงั้ นเ้ี อกซเรย์คอมพิวเตอร์สามารถตรวจเน้ือเยื่อ อวัยวะ
ได้เกอื บทกุ ชนิด ตง้ั แตต่ ่อมนา้ เหลือง กระดกู ปอด ตับ อวยั วะตา่ งๆในสมอง กล้ามเน้ือ ดวงตา หู ลาคอ
แต่ทง้ั นไี้ มส่ ามารถตรวจพยาธสิ ภาพของหลอดเลือด และเสน้ ประสาทได้ชดั เจน

เตรียมตัวอยา่ งไรเมอ่ื จะเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์? มีข้นั ตอนการตรวจอย่างไร?
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นการตรวจท่ีมีขั้นตอนซับซ้อนกว่า การเอกซเรย์ธรรมดา ดังน้ันจึง

ต้องมีการนัดหมายตรวจ และต้องมีการเตรียมตัวก่อนตรวจเสมอการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ มัก
ต้องมีการใชส้ ารทึบแสงรว่ มด้วยเพื่อชว่ ยใหเ้ ห็นภาพตา่ งๆได้ชัดเจนข้ึน สารทึบแสง คือ Radiocontrast
agent ซง่ึ อาจโดยการกนิ หรือสวนทวาร เช่น แปง้ แบเรยี ม (Barium powder) เพ่ือเป็นตัวช่วยบอกว่า
อวัยวะนั้นๆเป็นอวัยวะในระบบทาง เดนิ อาหาร และการฉีดสารทึบแสง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า การฉีด
สี (Contrast agent) ซ่ึงมักมีธาตุไอโอดีนเป็นส่วนผสม (Iodine contrast agent) โดยส่วนใหญ่จะฉีด
เข้าหลอดเลอื ดดา แต่บางครั้งอาจฉดี เข้าหลอดเลอื ดแดง หรือเข้าโพรง หรือเข้าตามท่อของอวัยวะต่างๆ
ซงึ่ ขน้ึ กบั วา่ เปน็ การตรวจอวยั วะใด

สารทึบแสงทเี่ ปน็ แป้งแบเรียม ไม่กอ่ ให้เกดิ ผลข้างเคยี งแทรกซ้อน และจะถ่ายออกทางอุจจาระ
ซ่ึงสามารถหมดไปได้ภายใน 1-3 วัน แต่การฉีดสี อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือการแพ้ยาได้
โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้ไอโอดีน เช่น อาหารทะเล (มีไอโอดีน) หรือผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ต่างๆ เช่น การแพ้ยา

148

และโรคหืด ดังนั้นในบุคคลเหล่าน้ี จึงมักตรวจโดยไม่มีการฉีดสี ซ่ึงจะทาให้การอ่านผลตรวจด้อย
ประสิทธิภาพลง แต่ก็ปลอดภัยจากการแพ้สี แพ้ยาการแพ้สีอาจก่ออาการเพียงเล็กน้อย เช่น รู้สึกร้อน
วูบวาบหลังการฉีดสี ซ่ึงเกิดได้ทันที รู้สึกลิ้นมีรสชาติโลหะ รู้สึกเหมือนปัสสาวะราด (ท้ังๆท่ีไม่ได้
ปสั สาวะ) ปวดขอ้ หนาว บางคนถึงข้ันสั่น ปวดศีรษะ คล่ืนไส้ อาเจียน ถ้ารุนแรงขึ้น อาจเกิดอาการคัน
ทั้งตัว และมีผ่ืนคันข้ึนทั่วตัว และในรายรุนแรงมาก อาจเกิดความดันโลหิตต่า และช็อก เสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม การแพ้สี โดยเฉพาะชนิดรุนแรงพบได้น้อยมากๆ ไม่ถึง 1% ซึ่งในคนท่ีมีปัจจัยเส่ียง
แพทย์จะพิจารณาฉีดยากันแพ้ให้ก่อนการตรวจ หรือตรวจโดยไม่ฉีดสี หรือใช้การตรวจด้วยวิธีอื่นแทน
เช่น อัลตราซาวด์ หรือ เอมอาร์ไอ

นอกจากนี้ ในคนที่ไตทางานผิดปกติ การฉีดสีน้ี อาจก่อให้เกิดภาวะไตวายได้ ดังนั้นในการ
ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ จึงจาเป็นต้องรู้การทางานของไตก่อนโดยการตรวจเลือด ซ่ึงถ้าผิดปกติ
แพทย์จะให้การตรวจด้วยการงดฉีดสี หรือเลือกวิธีอื่นตรวจแทน เช่น อัลตราซาวด์ ในผู้ปวย
โรคเบาหวาน ยาเบาหวานบางชนิดจะส่งผลให้สีท่ีฉีด ค้างอยู่ในไตสูงข้ึน จึงเพ่ิมปัจจัยเสี่ยงต่อไตวาย
ดังน้ันถ้าจาเป็นต้องตรวจ แพทย์มักให้หยุดยาเบาหวานทั้งก่อนและหลังการตรวจนานอย่างน้อย 48
ชว่ั โมงนอกจากน้ันสีท่ีฉีดน้ียังสามารถผ่านออกทางน้านมได้ ถึงแม้ยังไม่มีรายงานว่า ก่อให้เกิดอันตราย
ตอ่ ทารกในกรณผี ู้ปวยให้นมบตุ ร ดงั นั้น แพทย์จงึ แนะนางดให้นมบุตรหลังการฉีดสีประมาณ 48 ช่ัวโมง
(แพทย์บางท่านแนะนาใน 24 ชั่วโมง) เพื่อรอให้สีถูกกาจัดออกจากร่างกายให้หมดไปก่อนทางไต ทาง
ปัสสาวะในวันนัดหมายตรวจ จาเป็นต้องมีการงดอาหารและน้าดื่มอย่างน้อยๆประมาณ 3 ชั่วโมงท้ังน้ี
ขึ้นกับว่าเป็นการตรวจอวัยวะใด และต้องมีการฉีดสีหรือไม่ ดังน้ันจึงต้องอ่านใบแนะนาการตรวจให้ดี
เพือ่ การงดอาหารและน้าท่ถี ูกตอ้ งเม่อื มีการนดั ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผู้ปวยต้องนัดตรวจกับแผนก
เอกซเรย์ เจ้าหน้า ที่จะให้คาอธิบายขั้นตอนการตรวจ สอบถามประวัติประจาเดือนในผู้หญิงวัยเจริญ
พันธุ์ ตรวจผลการตรวจไต การเคยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์มาก่อนหรือไม่ รวมทั้งการกินยาต่างๆ และ
ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้สาร สิ่งต่างๆเจ้าหน้าท่ีจะให้วันนัดหมายตรวจพร้อมเอกสารการ
ปฏิบัติตน และอาจให้เซ็นต์เอกสารยอมรับการตรวจ (บางโรงพยาบาลจะให้เซ็นต์ในวันตรวจ) ผู้ปวย
และครอบครัวควรต้องอ่านเอกสารแนะนาการตรวจให้เข้าใจก่อนออกจากแผนกเอกซเรย์ เม่ือไม่เข้าใจ
ต้องสอบถามจากเจ้าหน้าที่จนเข้าใจ เพราะวธิ ีการเหลา่ น้ี แพทย์ พยาบาลแผนกอื่นๆจะไม่ทราบ เพราะ
เป็นการตรวจเฉพาะทางวันนัดหมาย ควรมาถึงแผนกเอกซเรย์ก่อนเวลานัดประมาณ 30 นาที - 1
ช่ัวโมง เพ่ือการจัดเตรียมเอกสารของเจ้าหน้าท่ี ซึ่งเจ้าหน้าท่ีมักสอบถามคาถามซ้าเพื่อป้องกันการ
ผิดพลาด ต่อจากน้ัน มีการเปลี่ยนเสื้อผ้า ใช้ของโรงพยาบาล และถอดโลหะต่างๆออก เช่น นาฬิกา
และเครื่องประดับ เช่นเดียวกับการเอกซเรย์ธรรมดา เพราะเป็นการตรวจด้วยรังสีเอกซ์เช่นเดียวกัน
โลหะ หรอื วสั ดตุ ่างๆจงึ บดบงั รังสี และก่อให้เกิดการอา่ นผลทผี่ ิดพลาดได้

การตรวจ จะเปน็ การนอนหงายนิ่งๆอยู่บนเตียงซ่ึงจะค่อยๆเคล่ือนเข้าไปในอุโมงค์เอกซเรย์ ซึ่ง
จะได้ยินเสียงดังเล็กน้อยจากการทางานของเคร่ือง ผู้ปวยจะอยู่ในห้องเอกซเรย์เพียงคนเดียว แต่จะมี
เจ้าหน้าที่รังสีเฝ้าดูอยู่ด้วยทีวีวงจรปิด ซ่ึงผู้ปวยและเจ้าหน้าท่ีสามารถพูดคุยผ่านเคร่ืองอินเทอร์คอม

149

(Intercom) และส่งสญั ญาณกนั ได้ตามทีเ่ จ้าหน้าที่แนะนา อย่าลุกจากเตียงจนกว่าเจ้าหน้าท่ีจะอนุญาต
ภายหลังการตรวจเสร็จ เจ้าหน้าท่ีจะให้นอนพักอยู่บนเตียงประมาณ 10-15 นาที จนผู้ปวยรู้สึกผ่อน
คลาย จึงค่อยๆใหล้ ุกข้ึนน่งั และสงั เกตอาการ เม่ืออาการปกติ เจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้ลงจากเตียง ออก
จากหอ้ งเอกซเรย์ได้ และนัดมารับผลตรวจกับจา้ หนา้ ท่ที ี่เคาน์เตอร์

ภายหลังการตรวจ ผู้ปวยกลับไปทางาน และใช้ชีวิตได้ตามปกติ สัมผัสคลุกคลีได้กับทุกคน
รวมท้ังหญิงต้ังครรภ์ โดยจะไม่มีรังสีหลงเหลืออยู่ในตัวผู้ปวย แต่ควรดื่มน้าให้มากขึ้นเพื่อช่วยขับสาร
จากการฉดี สีออกทางไต ทางปัสสาวะใหเ้ รว็ ข้ึน เมื่อไมม่ โี รคท่ตี อ้ งจากัดนา้ ดมื่

ขอ้ ห้ามการตรวจเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์
ไม่มีข้อห้ามในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ท่ีตายตัว แต่เนื่องจากเป็นการตรวจด้วยรัง สี

เอกซ์เช่นเดียวกับ การเอกซเรย์ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่มีการตรวจในหญิงตั้งครรภ์หรือสงสัยการตั้งครรภ์
เนื่องจากอาจเกิดผลกระทบคือ ความพิการของทารกในครรภ์ได้นอกจากน้ัน คือ ในผู้ปวยโรคไต หรือ
โรคเบาหวาน หรอื แพย้ าตา่ งๆ ถ้าจาเป็นต้องตรวจเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์ กจ็ ะตรวจโดยไม่มีการฉีดสี ซึ่ง
การอ่านผลกจ็ ะลดประสิทธภิ าพลง หรอื เปลย่ี นเป็นการตรวจด้วยวธิ อี ื่นแทน เช่น อลั ตราซาวด์

การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บ่อยๆ เปน็ อะไรไหม?
ดังกล่าวแล้วว่าการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ให้ปริมาณรังสีต่อผู้ปวยสูงกว่าการเอกซเรย์

ธรรมดา ซ่ึงอาจเป็นปัจจัยเส่ียงในการเกิดโรค มะเร็งในระยาว นานเกิน 5-10 ปีข้ึนไป (รังสีจากการ
ตรวจโรค) ดังน้ันแพทย์จึงเลือกตรวจเฉพาะเม่ือมีข้อบ่งชี้ที่จาเป็น แต่เม่ือต้องมีการตรวจติดตามโรค
บ่อยๆ แพทย์มักเลือกสลับการตรวจโดยใช้เอกซเรย์ธรรมดา หรืออัลตราซาวด์ โดยจะตรวจเอกซเรย์
คอมพิวเตอร์เป็นครั้งคราว ซ่ึงจะช่วยลดปริมาณรังสีท่ีผู้ปวยจะได้รับลง และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
เพราะการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการตรวจด้วยเอกซเรย์ธรรมดา และด้วยการ
ตรวจดว้ ยอลั ตราซาวด์มาก

150

เอกสารประกอบการสอน เรอ่ื ง ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกับรังสเี ทคนคิ (X-ray, CT-scan, U/S, MRI)

151

152

153

154

155

156

157

158

159

160

161

162

163

164

165

166

167

168

169

เอกสารประกอบการสอน เร่ือง ภาพถ่ายรงั สีกระดกู และข้อ

170

171

172

173

174

175

176

177

178

179

180

181

182

183

184

185

186

187

188

189


Click to View FlipBook Version