เอกสารประกอบการเรี ยน รายวชาศ ิ ิลปะระดบประถมศ ั กษา ึ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปฤณัต นัจนฤตย์ ปร.ด.(หลักสูตรและการสอน) ค.ม.(ศิลปศึกษา) ศศ.บ.(ศิลปกรรม) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต 2563
คํานํา เอกสารประกอบการเรียนรายวิชา รหัสวิชา 2013304 ศิลปะระดับประถมศึกษาได้ เรียบเรียงข ึ้ นอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมเน ื้ อหาสาระรายวิชา ในหมวดวิชาพ ื้ นฐาน เอกสารน ี้ เพ ื่อใช้เป็น เคร ื่ องมือสําคัญของผู้สอนในการใช้ประกอบการสอนของอาจารย์ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้ อหา เอกสารเล่มน ี้มีเน ื้ อหาพร้อมภาพประกอบซึ่ งส่วนใหญ่เป็นผลงานของผู้สอนและนักศึกษา รายวิชาน ี้โดยกําหนดการเรียนการสอนไว้ 15 สัปดาห์คือ ผู้ที่ทําหน้าท ี่สอนควรได้ศึกษารายละเอียดแต่ ละหัวข้อเร ื่ องท ี่ สอนจากเอกสาร หนังสือ ตํารา หรือส ิ่ งอ ื่ นๆ เพ ิ่ มเติมอีก ผู้สอนได้เรียบเรียงข ึ้ นตามมคอ. 2 ของหลักสูตร จึงหวังว่าเอกสารประกอบการสอนนี้ คง อํานวยประโยชน์ต่อการเรียนการสอนตามสมควร ปฤณัต นัจนฤตย์ 2563
(2)
(3) สารบัญ หน้า คํานํา (1) สารบัญ (3) สารบัญภาพ (7) สารบัญตาราง (14) บทท ี่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับศิลปะประถมประถมศึกษา 1 1. ความสําคญของศั ิลปศึกษา 1 2. พัฒนาการทางศิลปะของเด็กวัยประถมศึกษา 6 3. หลักสูตรศิลปศึกษา 12 4. การสอนศิลปะเชิงแบบแผน 17 บทท ี่ 2 ความรู้ทั่วไปและความเป็นมาของศลปะ ิ 21 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับศิลปะ 21 2. ความเป็นมาของศิลปะ 31 บทท ี่ 3 การออกแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลป์สําหรับเด็กประถมศึกษา 47 1. ขั้นการวิเคราะห์การเรียนรู้ 47 2. ขั้นการออกแบบการเรียนรู้ 50 3. ขั้นการพัฒนาการเรียนรู้ 51 บทท ี่ 4 สุนทรียะทางทัศนศิลป์ 57 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับสุนทรียะทางทัศนศิลป์ 57 2. ประสบการณ์สุนทรียะ 63 บทท ี่ 5 การออกแบบการเรียนรู้สุนทรียศาสตร์และความซาบซ ึ้ งสําหรบเดั ็ก ประถมศึกษา 73 1. ขั้นการวิเคราะห์การเรียนรู้ 73 2. ขั้นการออกแบบการเรียนรู้ 76 3. ขั้นการพัฒนาการเรียนรู้ 77 บทท ี่ 6 ทัศนธาตุ หลักการออกแบบ และ ศิลปวิจารณ์ 83 1. ทัศนธาตุ 83 2. หลักการออกแบบ 92 3. ศิลปะวิจารณ์ 96 บทท ี่ 7 การออกแบบการเรียนรู้ศิลปวิจารณ์สําหรับเด็กประถมศึกษา 103 1. ขั้นการวิเคราะห์การเรียนรู้ 103 2. ขั้นการออกแบบการเรียนรู้ 107 3. ขั้นการพัฒนาการเรียนรู้ 107
(4) หน้า บทท ี่ 8 งานทศนศั ลปิ ์ 2 มิติประเภทภาพวาดธรรมชาติและภาพวาด ถ่ายทอดเร ื่ องราว 113 1. ภาพวาดธรรมชาติ 113 2. ภาพวาดถ่ายทอดเร ื่ องราว 122 บทท ี่ 9 งานทศนศั ลปิ ์ 2 มิติประเภทภาพวาดถ่ายทอดจินตนาการ แผนภาพและภาพประกอบ 129 1. ภาพวาดถ่ายทอดจินตนาการ 129 2. ภาพวาดแผนภาพ 135 3. ภาพประกอบ 139 บทท ี่ 10 งานทศนศั ลปิ ์ 2 มิติประเภทภาพพิมพ์ 145 1. ภาพพิมพ์จากวัสดุธรรมชาติ 145 2. ภาพพิมพ์จากแม่พิมพ์ประดิษฐ์ 149 3. ภาพพิมพ์จากแม่พิมพ์ฉลุลาย 155 บทท ี่ 11 งานทศนศั ลปิ ์ 3 มิติประเภทประติมากรรม 161 1. งานปั้น 162 2. งานแกะสลัก 166 บทท ี่ 12 งานทศนศั ลปิ ์ 3 มิติประเภทประติมากรรมเปเปอร์มาเช่และส ื่ อผสม 171 1. ประติมากรรมเปเปอร์มาเช่ 171 2. ประติมากรรมส ื่ อผสม 176 บทท ี่ 13 งานสร้างสรรค์ 185 1. งานปะติด 185 2. งานกลไกกระดาษ 191 3. งานสาน 196 บทท ี่ 14 การออกแบบการเรียนรู้ศิลปปฏิบัติสําหรบเดั ็กประถมศกษาึ 203 1. ขั้นการวิเคราะห์การเรียนรู้ 203 2. ขั้นการออกแบบการเรียนรู้ 206 3. ขั้นการพัฒนาการเรียนรู้ 206 บทท ี่ 15 การจัดการเรียนรู้ศิลปะบูรณาการเพ ื่ อการส่งเสริมจนตนาการิการ ริเร ิ่ มและการเห็นคณคุ่า 213 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับการจัดการเรียนรู้ศิลปะบูรณาการ 213 2. การจัดนิทรรศการศิลปะ 221 239
(5) หน้า บรรณานุกรม ภาคผนวก 243 ก. - วิเคราะห์ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ระดับประถมศึกษากับทฤษฏีการเรียนศิลปะเชิงแบบแผน (DBAE) - วิเคราะห์คําอธิบายรายวิชาศิลปะสําหรับครูระดับประถมศึกษา กับทฤษฎีการเรียนศิลปะเชิงแบบแผน (DBAE) - มคอ.3 รายวิชาศิลปะสําหรับครูประถมศึกษา หมวดท ี่ 4 การพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษา หมวดท ี่ 5 แผนการสอนและการประเมินผล 245 ข. ตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ใบงานและแบบประเมินผล ประจําสัปดาห์ 263
(6)
(7) สารบญภาพั ภาพท ี่ หน้า 1.1 การใช้ศิลปะช่วยพัฒนาการด้านอารมณ์จากการเล่น 3 1.2 การใช้ศิลปะช่วยพัฒนากล้ามเน ื้ อส่วนต่างๆ 4 1.3 การออกแบบอาคารทรงเรือประเทศสิงคโปร์ 5 1.4 ซุ้มกิจกรรมศิลปะพิมพ์ภาพในห้างสรรพสินค้าในประเทศสิงคโปร์ 5 1.5 การวาดเส้นพัฒนาการแบบไร้การควบคุม 6 1.6 การวาดเส้นพัฒนาการแบบควบคุมการขีดเขียน 7 1.7 การวาดเส้นภาพคนในช่วงพัฒนาการข ั้ นเร ิ่ มสัญลักษณ์ 7 1.8 การวาดเส้นภาพคนในช่วงพัฒนาการข ั้ นเร ิ่ มสัญลักษณ์ 8 1.9 การวาดเส้นภาพคนในครอบครัวในช่วงพัฒนาการขั้นเร ิ่ มสัญลักษณ 8 ์ 1.10 การใช้เส้นฐานในพัฒนาการข ั้ นสัญลักษณ 9 ์ 1.11 การใช้เส้นฐานสองเส้นในหนงภาพในพ ึ่ ัฒนาการขั้นสัญลักษณ์ 9 1.12 ภาพวาดแบบเห็นภายใน (X-ray)ตามพัฒนาการข ั้ นสัญลักษณ์ 10 1.13 ภาพวาดช่วงพัฒนาการข ั้ นเร ิ่ มสัญลักษณ์ 10 1.14 การวาดภาพที่มีมิติทับซ้อนพฒนาการขั ั้นใกล้ความเหมือนจริง 11 1.15 การวาดภาพที่มีทัศนียวิทยาพัฒนาการข ั้นใกล้ความเหมือนจริง 11 1.16 ภาพวาดคนปรากฏพัฒนาการขั้นสัญลักษณ์ 12 1.17 ภาพวาดคนปรากฏพัฒนาการขั้นใกลความเหม้ ือนจริง 12 1.18 ความสามารถการใช้อุปกรณ์ 14 1.19 ภาพท ี่ แสดงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น 14 1.20 ภาพวาดผลงานจากการสอนด้วยศิลปะเชิงแบบแผน 18 1.21 ผังการสอนบูรณาการหลักDBAE แบบหัวเร ื่ องศิลปกรรมวัดพระธาตุลําปาง หลวง 19 2.1 งานประยุกต์ศิลป์ 23 2.2 ภาพจิตรกรรมไทย 23 2.3 สถาปัตยกรรมอุโบสถวัดสุทัศเทพวรารามและประติมากรรมเจดีย์จีน 24 2.4 เลขนศิลป์สัญลักษณ์ 12 ราศี 24 2.5 งานหัตถศิลป์ 25 2.6 ภาพวาดลายเส้นด้วยดินสอดํา 26 2.7 ภาพพิมพ์นูนจากวัสดุต่างๆ 27 2.8 งานแกะสลักผกผลไม ั 28 ้ 2.9 ประติมากรรมปูนปั้น แบบนูนต่ํา 29 2.10 หัวโขน 30 2.11 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมอียิปต์ 31 2.12 ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมกรีก 32
(8) ภาพท ี่ หน้า 2.13 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมโรมัน 32 2.14 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ 33 2.15 จิตรกรรมศิลปะลัทธิจินตนิยม 34 2.16 จิตรกรรมศิลปะลัทธิสัจนิยม 34 2.17 จิตรกรรมและประติมากรรมศิลปะลัทธิประทับใจ 35 2.18 จิตรกรรมลัทธิศิลปะลัทธิประทับใจใหม 35 ่ 2.19 จิตรกรรมลัทธิศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง 36 2.20 จิตรกรรมลัทธิศิลปะลัทธิบาศกนิยม 36 2.21 จิตรกรรมลัทธประชาน ิ ิยม 37 2.22 จิตรกรรมและเคร ื่องปั้ นดินเผาสมัยยุคหินในประเทศไทย 38 2.23 ประติมากรรมสมัยทวารวดี 38 2.24 สถาปัตยกรรมและประติมากรรมสมัยศรีวิชัย 39 2.25 ประติมากรรมสมัยลพบุรี 39 2.26 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมสมัยลพบุรี 40 2.27 สถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย 40 2.28 พุทธปฎิมากรสมัยสุโขทัย 41 2.29 สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายสมัยพระเจ้าปราสาททอง 41 2.30 ประติมากรรมสมัยอยุธยา 42 2.31 จิตรกรรมสมัยอยุธยา 42 2.32 สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ 43 2.33 ประติมากรรมสมัยรัตนโกสินทร์ 43 4.1 ตําแหน่งของสุนทรียศาสตร์ในสาขาของปรัชญา 57 4.2 หน้าที่วิชาต่างๆในสุนทรียศาสตร์ 61 4.3 ลักษณะของสนทรุียธาตุ 62 4.4 ภาพทิวทัศน์บก 66 4.5 ภาพทะเล 66 4.6 ภาพคนเต็มตัว (Figure) 67 4.7 ภาพคนคร ึ่ งตัว(Portrait) 67 4.8 ภาพประกอบนิทานเร ื่ องกบเลือกนาย 68 4.9 ภาพลวดลายและสัญลักษณ์ 68 4.10 ภาพองค์ประกอบศิลป์ 69 4.11 ภาพกิจกรรมหรือเหตุการณ์ 69 5.1 ขั้นเตรียมการ(Preparatory Teaching) ของพาร์โยฮันเซน 78 5.2 ขั้นตอนการสอนสรรค์สร้างศิลปะที่ เน้นสุนทรียศาสตร์ 79 6.1 จุดกับเส้นและรูปร่างเชิงนัย 84
(9) ภาพท ี่ หน้า 6.2 การใช้เส้นในภาพวาด 85 6.3 การใช้เส้นช่วยในการตกแต่งห้อง 85 6.4 วงจรสี (Color Circle) 86 6.5 การใช้น้ําหนักที่ต่างกันทําให้เกิดมิติ 87 6.6 การใช้ค่าน ้ํ าหนักอ่อนแก่ทําให้ห้องดูกว้างและแคบลงได้ 88 6.7 การใช้ค่าน ้ํ าหนักอ่อนแก่ทําให้เกิดความไกล-ใกล 88 ้ 6.8 รูปร่างและรูปทรงเรขาคณิต และรูปร่างธรรมชาติ 89 6.9 ปิรามิดกูฟูรูปทรงฐานกว้างแสดงให้ความรู้สึกม ั่ นคง 89 6.10 รูปทรงโค้งแสดงความอ่อนช้อย 90 6.11 ภาพถ่ายต้นไม้บนทุ่งหิมะ 90 6.12 ภาพงานเล ี้ ยงอาหารกลางวันบนเรือสําราญ ศิลปินเรอนัว 91 6.13 การใช้พื้นผิวในประติมากรรมและสถาปัตยกรรมไทย 91 6.14 สมดุลแบบสมมาตร 92 6.15 สมดุลแบบอสมมาตร ในท่าทางของมนุษย์ 93 6.16 สัดส่วนจากความรู้สึก 93 6.17 ลายพุ่มข้าวบิณฑ์เน้นการซ ้ํ าของจังหวะ 94 6.18 จุดเด่นโดยการแยกกลุ่ม 94 6.19 จุดเด่นบนตําแหน่งที่น่าสนใจและเห็นชัดเจน 95 6.20 การเช ื่ อมด้วยองค์ประกอบหลักและรอง 95 6.21 การประสานโดยการซ้ํา 96 6.22 ภาพสายฝน 100 8.1 ภาพวาดสีหมึกทิวทัศน์ทะเล 113 8.2 ภาพวาดสีน้ําทิวทัศน์ทะเล 114 8.3 การสร้างสรรคภาพธรรมชาต์ ิ 115 8.4 การร่างภาพต้นไม้แบบท ี่ 1 116 8.5 การร่างภาพต้นไม้แบบท ี่ 2 117 8.6 การร่างภาพต้นไม้แบบท ี่ 3 118 8.7 ตัวอย่างการวาดต้นไม้ที่นําไปประกอบเป็นภาพธรรมชาติ 119 8.8 ภาพร่างพุ่มไม้แบบต่างๆ 120 8.9 ตัวอย่างการวาดภูเขาที่นําไปประกอบเป็นภาพธรรมชาติ 121 8.10 การสร้างสรรคภาพวาดถ์ ่ายทอดเร ื่ องราว 123 8.11 ภาพวาดถ่ายทอดเร ื่ องราวตลาดนัด 123 8.12 ภาพวาดถ่ายทอดเร ื่ องราวตลาดน้ํา 124 8.13 ภาพวาดวัตถุสิ่งของในตลาด 125 8.14 ภาพวาดตะกร้าผลไม้ 125
(10) ภาพท ี่ หน้า 8.15 ภาพวาดตะกร้าขนม 125 8.16 ภาพวาดแม่ค้าในท่านั่ง 126 8.17 ภาพวาดตลาดน้ํา 126 8.18 ภาพวาดตลาดบก 127 8.19 ภาพวาดตลาดบก 127 8.20 ภาพวาดตลาดบก 128 9.1 ภาพวาดดอกไม้ไฟในจินตนาการ 129 9.2 ภาพการหยดสีดอกไม้ในสายลม 130 9.3 การสร้างสรรคภาพถ์ ่ายทอดจินตนาการ 132 9.4 ภาพถ่ายทอดจินตนาการเร ื่ องอวกาศแบบท ี่ 1 133 9.5 ภาพถ่ายทอดจินตนาการเร ื่ องอวกาศแบบท ี่ 2 134 9.6 ภาพถ่ายทอดจินตนาการเร ื่ องอวกาศแบบท ี่ 3 134 9.7 ภาพถ่ายทอดจินตนาการเร ื่ องอวกาศแบบท ี่ 4 134 9.8 การสร้างสรรคภาพวาดแผนภาพ์แผนท 135 ี่ 9.9 แผนที่ชุมชนรอบโรงเรียน 136 9.10 แผนท ี่ หมู่บ้านของฉัน 136 9.11 แผนท ี่ หมู่บ้านของฉัน 137 9.12 ภาพสัญลักษณ์ของสถานที่ต่างๆ 138 9.13 ภาพประกอบเรื่ องกล่องข้าวน้อยฆ่าแม 139 ่ 9.14 ภาพวาดคนท ี่ใช้ประกอบเนื้ อหาเร ื่ องราวต่างๆ 139 9.15 การสร้างสรรคภาพประกอบ ์ 140 9.16 ภาพประกอบวรรณคดีนางเงือก 141 9.17 ภาพประกอบวรรณคดีนางปะเดะ 142 9.18 ภาพประกอบวรรณคดีพลายชุมพล 143 10.1 ภาพพิมพ์จากใบไม้ 146 10.2 ภาพพิมพ์จากการใช้มือเป็นแม่พิมพ 146 ์ 10.3 กรรมวิธีสร้างภาพพิมพ์จากวัสดุธรรมชาติ 147 10.4 ภาพพิมพ์จากส่วนของต้นกล้วย 148 10.5 ภาพพิมพ์จากแม่พิมพ์เชือก 150 10.6 กรรมวิธีสร้างภาพพิมพ์จากแม่พิมพ์ประดิษฐ 142 ์ 10.7 ภาพพิมพ์จากพริกหวานและกะหล ่ํ าดาว 153 10.8 ภาพพิมพ์จากผักกาด 154 10.9 ภาพพิมพ์จากมันฝรั่ง 154 10.10 ภาพพิมพ์จากกระเจ ี๊ ยบ 155 10.11 ภาพพิมพ์ฉลุลายแบบดีดสี 155
(11) ภาพท ี่ หน้า 10.12 กรรมวิธีการสรางภาพพ้ ิมพ์ฉลุลาย 156 10.13 แม่พิมพ์ฉลุลาย 156 10.14 แม่พิมพ์ฉลุลาย 157 11.1 ประติมากรรมแขวนเคล ื่อนไหว สนามบินจอห์น เอฟ เคนนาด ี้ 161 11.2 งานปั้ นดินน ้ํ ามันแบบนูนต่ํา 163 11.3 งานปั้ นดินน ้ํ ามันแบบนูนต่ํา 163 11.4 งานปั้ นดินไทยแบบลอยตัว 164 11.5 งานปั้ นตุ๊กตาชาววัง 164 11.6 งานปั้ นดินเย ื่ อกระดาษ 165 11.7 งานปั้นลายไทย ลายประจํายาม 166 11.8 การแกะสลักผัก 167 11.9 การแกะสลักผลไม้ 167 11.10 งานแกะสลักสบู่ 168 11.11 งานแกะสลักสบู่ 168 12.1 ประติมากรรมกระดาษอัดรูปแครอท 172 12.2 โครงสร้างภายในของประติมากรรม 172 12.3 ขั้นตอนการสร้างสรรค์ประติมากรรมกระดาษ 173 12.4 ขั้นตอนการสร้างสรรค์ประติมากรรมกระดาษ 174 12.5 ประติมากรรมกระดาษอัดรูปปลาแฟนซี 174 12.6 ขั้นตอนการสร้างประติมากรรมกระดาษอัดรูปปลาแฟนซ 176 ี 12.7 ประติมากรรมผสมหล่อปูนและปั้นแป้ง 177 12.8 ประติมากรรมโมบาย 177 12.9 ประติมากรรมลังกระดาษรูปกุ้ง 178 12.10 ประติมากรรมลังกระดาษรูปนก 178 12.11 ประติมากรรมลังกระดาษรูปนก 179 12.12 ประติมากรรมลังกระดาษรูปนกเค้าแมว 179 12.13 ประติมากรรมลังกระดาษรูปยีราฟ 180 12.14 ประติมากรรมลังกระดาษรูปปลา 180 12.15 ประติมากรรมกระดาษรัง 181 12.16 ประติมากรรมกระดาษรัง 181 12.17 ประติมากรรมกระดาษรัง 182 13.1 ภาพปะติดจากมักกะโรนี 186 13.2 ภาพปะติดจากวัสดุธรรมชาติ 186 13.3 ภาพปะติดจากเปลือกไข่ 187 13.4 ภาพปะติดแบบแยกส่วนประกอบของภาพ 187
(12) ภาพท ี่ หน้า 13.5 ภาพปะติดแบบแยกส่วนประกอบของภาพทะเล 188 13.6 ภาพปะติดแบบแยกส่วนประกอบของภาพทะเล 188 13.7 ภาพปะติดแบบแยกส่วนประกอบของภาพทะเล 189 13.8 กลไกกระดาษแบบมุ่งมองรอบด้าน 191 13.9 กลไกกระดาษแบบมุ่งมองมุมฉาก 191 13.10 กลไกกระดาษแบบมุ่งมองมุมฉาก 192 13.11 กลไกกระดาษแบบมุ่งมองรอบด้าน 192 13.12 ขั้นตอนการพับกลไก 193 13.13 กรรมวิธีการทํากลไกกระดาษ 194 13.14 ขั้นตอนการติดภาพดอกไม้ 195 13.15 บัตรอวยพรกลไกกระดาษ 195 13.16 ลายสานลายหนึ่ง 196 13.17 ลายสานลายสอง 197 13.18 ลายสานลายสาม 197 13.19 ลายสานลายหน ึ่งประยุกต์ 197 13.20 ลายสานลายสองประยุกต์ 198 13.21 ลายสานลายหน ึ่งและสองประยุกต์ 198 13.22 ลายสานลายตารางเหล ี่ ยม 198 13.23 ลายสานลายด้วง 199 13.24 ลายสานลายช่องบันไดสามขั้น 199 13.25 พัดสาน 200 13.26 หมวกสาน 201 14.1 ตัวอย่างขั้นตอนการสอนปฏิบัติของฮันเตอร์ 208 14.2 ตัวอย่างอุปกรณ์ปฏิบัติงานของนักเรียนในโรงเรียนพาร์คลอว์พ สหรัฐอเมริกา 209 15.1 การบูรณาการแบบพหุวิทยาการในทัศนศลปิ ์เร ื่ องข้าว 215 15.2 การบูรณาการแบบสหวิทยาการเร ื่ องดอกบัว 216 15.3 วิธีสอนแบบสรรค์สร้างความรู้กับทัศนศิลป์และการออกแบบ 218 15.4 กรอบแนวคิดการเรียนรู้บูรณาการแบบสหวิทยากร 219 15.5 การจัดนิทรรศการศิลปะในหองเร้ ียนศิลปะในอเมริกา 225 15.6 การจัดนิทรรศการศิลปะในหองเร้ ียนในอเมริกา 225 15.7 การจัดนิทรรศการศิลปะริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา 226 15.8 การจัดนิทรรศการศิลปะริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา 227 15.8 การจัดนิทรรศการศิลปะริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา 227 15.10 ภาพวาดของเด็กในสวนสาธารณะประเทศสิงค์โปร์ 228 15.11 นิทรรศการผลงานศิลปะเด็กในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในเมืองฮ่องกง 228
(13) ภาพท ี่ หน้า 15.12 การนําผลงานศิลปะมาทําเป็นกระเบ ื้ องตกแต่งริมทางเดินของโรงเรียนใน อเมริกา 229 15.13 ภาพนิทรรศการผลงานศิลปะเด็กในเมืองฮ่องกง 229 15.14 ตัวอย่างการจัดนิทรรศการโดยใช้กล่องแทนบอร์ด 236 15.15 กิจกรรมในนทรรศการศิ ิลปะ 237
(14) สารบัญตาราง ตารางท ี่ หน้า 1.1 ทักษะของมนุษย์ที่ต้องมีในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 1 1.2 สรุปจํานวนตัวชี้วัดตามมาตรฐาน 13 1.3 วิเคราะห์คุณภาพผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ 14 1.4 ตัวอย่างเกณฑ์รูบิคส์การให้คะแนนกิจกรรมการปะติด 17 3.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางท ี่ เก ี่ ยวข้องกับการออกแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลป์ 46 3.2 แนวการสอนประวัติศาสตร์ศิลป์ตามยุคสมยทางศั ิลปะ 51 3.3 แนวการสอนประวัติศาสตร์ศิลป์ตามประเด็น 51 3.4 แนวการสอนประวัติศาสตร์ศิลป์ตามความสนใจ 52 3.5 แนวการสอนประวัติศาสตร์ศิลป์รายบุคคล 52 4.1 นิยามความงามและศลปะของน ิ ักสุนทรียศาสตร์ 59 4.2 การรับรู้กับความงามและศิลปะ 64 4.3 ตัวอย่างวิธีการประเมินคุณค่า 70 5.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางทเกี่ ี่ ยวข้องกับการออกแบบการเรียนรู้สุนทรยศาสตรี ์ และความซาบซึ้ง 73 5.2 การประเมินผลสรรค์สร้างศิลปะที่ เน้นสุนทรียศาสตร์ 79 6.1 เส้นกับความรู้สึก 84 6.2 สีกับความรู้สึก 87 6.3 ตัวอย่างการวิจารณ์ศิลปะ 97 7.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางท ี่ เก ี่ ยวข้องกับการออกแบบการเรียนรู้ศิลปวิจารณ์ สําหรับเด็กประถมศึกษา 103 14.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางทเก ี่ ี่ ยวข้องกับการออกแบบการเรียนรู้ศิลปะปฏิบัติ สําหรับเด็กประถมศึกษา 203 15.1 ขั้นตอนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค 217 ์ 15.2 วิธีการประเมินผลวิธีสอนแบบสรรค์สร้างความรู้กับทัศนศลปิ ์และการออกแบบ 218
(15)
บทท ี่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับศิลปะระดบประถมศ ั ึกษา การเรียนรู้ทางศิลปะเป็นส่วนหน ึ่ งของการสร้างสรรค์ซึ่งเป็นทักษะที่สําคัญของคนในศตวรรษที่ 21 และนักการศึกษาเช ื่ อว่าศิลปะช่วยหล่อหลอมจิตใจของเด็กและเยาวชนชองชาติเป็นเป็นผู้ที่มีความ อ่อนน้อม อ่อนโยน และมีรสนิยมที่ส่งเสริมการใช้ชีวิต การทํางานและการพัฒนาส ิ่ งแวดล้อมของสังคม นั้นให้มีความเป็นระเบียบสวยงามศิลปะสามารถช่วยพัฒนาเยาวชนไทยให้เป็นคนที่มีความคิดและ จินตนาการท ี่ จะเกิดประโยชน์ซึ่งจัดการเรียนรู้ศิลปะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่ องพัฒนาการทางศิลปะ ของเด็กไทยวัยประถมศึกษา หลักสูตรทัศนศิลป์ระดับประถมศึกษาและวิธีการสอนศิลปศึกษา และการ ประเมินผลศิลปศึกษาสําหรับเด็กประถมศึกษาองค์ความรู้เหล่าน ี้ จะช่วยให้ครูประถมศึกษาสามารถจัดการ เรียนรู้ได้เหมาะสมกับผู้เรียนและเน ื้ อหาของหลักสูตรการศึกษาระดับประถมศึกษา 1. ความสําคัญของศิลปศึกษา ศิลปศึกษาหรือการจัดการเรียนรู้ศิลปะมีความสําคัญกับทักษะการสร้างสรรค์ทักษะของมนุษย์ ที่ต้องมีในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยไว้สามส่วน คือ ทักษะการเรียนและการสร้าง นวัตกรรม ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีและสุดท้ายคือทักษะชีวิตและอาชีพ ซึ่งแต่ละส่วน นั้นก็ประกอบด้วยส่วนย่อย (Trillingและ Fadel. 2009:13) ดังน ี้ ตารางท ี่ 1.1 ทักษะของมนุษย์ที่ต้องมีในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทักษะ ลักษณะ ทักษะการเรียนและการสร้างนวัตกรรม 1.ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการ แก้ปัญหา 2.ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือ 3.ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรม 1.เหตุผลที่มีประสิทธิภาพ การใช้การคิดเชิงระบบ การทําการตัดสินใจและตัดสิน และ การแก้ปัญหา 2.การสื่อสารที่ชัดเจนและการสร้างความร่วมมือกับคนอื่น 3.การคิดอย่างสร้างสรรค์ทําอย่างสร้างสรรค์กับคนอื่น และการนํานวัตกรรมไปใช้ ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี 1.ทักษะการอ่านเขียนสารสนเทศ 2.ทักษะการอ่านเขียนสื่อ 3.ทักษะด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ 1.การเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศรวมกับการใช้และการจัดการข้อมูล 2.การวิเคราะห์สื่อ และการสร้างผลผลิตสื่อ 3.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะชีวิตและอาชีพ 1.ทักษะการยืดหยุ่นและการประยุกต์ 2.ทักษะการริเริ่มและกํากับตนเอง 3.ทักษะทางสังคมและการข้ามวัฒนธรรม 4.ทักษะผลิตภาพและความมีเหตุมีผล 5.ทักษะการเป็นผู้นําและความรับผิดชอบ 1.การประยุกต์เพื่อการเปลี่ยนแปลง และมีความยืดหยุ่น 2.การจัดการเป้าหมายและเวลา การทํางานอย่างอิสระ และการเป็นผู้เรียนที่สามารถ กํากับตนเอง 3.การปฏิสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับคนอื่น และการทํางานกับกลุ่มคนต่างๆ 4.การจัดการโครงการ และการจัดการผลลัพธ์ 5.การแนะนําและการชักจูง และเป็นผู้มีความรับผิดชอบ
2 จากตารางท ี่ 1.1 แสดงให้เห็นว่าทักษะการเรียนและการสร้างนวัตกรรมข้อท ี่ 3 ทักษะการ สร้างสรรค์และนวัตกรรมให้ความสําคัญการคิดอย่างสร้างสรรค์ทําอย่างสร้างสรรค์กับคนอื่น และการ นํานวัตกรรมไปใช้ การท ี่ จะส่งเสริมให้เด็กมีความคิดริเร ิ่ มสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่เพ ื่ อนํามาปรับใช้ใน ชีวิตประจําวันหรือการสร้างสรรค์ประกอบอาชีพเพ ื่ อการดํารงตนในสังคม ทักษะต่าง ๆเหล่าน ี้ สามารถ เกิดได้เม ื่อเราสอนให้เกิดความคิดหรือจินตนาการ ซึ่งความคิดและจิตนาการเหล่าน ั้ นเกิดได้จากทักษะ ต่าง ๆ เช่น ความเข้าใจเรื่ องมิติสัมพันธ์ของตามหลักความฉลาดเชิงซ้อนหรือพหุปัญญาของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์หรือ ความเข้าใจในภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม ความเข้าใจการถ่ายทอดทัศนธาตุและ หลักการทางศิลปะ และความเข้าใจเรื่ องความงาม เป็นต้น นอกจากนี้ยุคเศรษฐกิจสารสนเทศ ต้องเน้นท ี่ การหล่อหลอมพลเมืองไทย ให้มีคุณลักษณะ เป็น ผู้ที่มีความรู้สามารถในการเลือกท ี่ จะรับความรู้ (Smart consumer) คิดได้อย่างแตกต่าง (Breakthrough thinker) ในการนําความรู้สร้างให้เกิดคุณประโยชน์และต้องมีความตระหนักในสังคม และคุณธรรม (Social concerns) ในการใช้ความรู้นั้น ที่จะสร้างให้เกิดนวัตกรรมส ิ่งประดิษฐ์หรือองค์ ความรู้ใหม่ๆ จากการเรียนรู้ทางศิลปะหรือศิลปศึกษา สังคมควรตระหนักว่า ในความสําคัญของการ เรียนรู้ทางศิลปะหรือศิลปศึกษาสําหรับเด็กไทยทุกระดับ โดยการเรียนการสอนศิลปะนั้ นมีความสําคัญ ของการเรียนรู้เม ื่ อพิจารณาตามหลักการส ี่ เสาหลักของการศึกษาท ี่เป็นแนวคิดหลักของการศึกษาของ องค์การสหประชาชาติหรืออาจเรียกว่า หลักของการศึกษาของประชาคมโลก (สํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติ.2543: 109-120) ทําให้เห็นซ ึ่ งความสําคัญของศิลปศึกษาหรือการจัดการเรียนรู้ ศิลปะ ดังประเด็นต่อไปนี้ 1. การเรียนรู้ศิลปะเพื่ อรู้ (Learning Art to know) เป็นการเรียนรู้ที่ต้องเน้นความรู้เป็นการ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้และพัฒนาสติปัญญา ซึ่งมีความสําคัญดังน ี้ 1.1 การเสริมสร้างพัฒนาการด้านจิตใจและสติปัญญาโดยการใช้สติปัญญาในการ จินตนาการเพ ื่ อการสร้างสรรค์ผลงาน การแก้ปัญหาในกระบวนการสร้างงานและเทคนิคศิลปะ การ คิดค้นหาดัดแปลงวัสดุวิธีการในการสร้างงาน 1.2 การเสริมสร้างพัฒนาการด้านอารมณ์เม ื่ อเด็กได้ปฏิบัติงานทางศิลปะแล้วนอกจาก ผลงานทางศิลปะจะเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินระหว่างการปฏิบัติงานเป็น การพัฒนาอารมณ์ ในเชิงดีดัดแปลงและสร้างสรรค์ผลท ี่ได้เด็กจะเกิดคุณลักษณะ ด้านความกระตือลือร้น ความเช ื่ อมั่น ความม ั่นคงในอารมณ์และความภาคภูมิในการสร้างงานด้วยตนเอง(ภาพที่ 1.1) 1.3 การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ การให้โจทย์หรือหัวข้อการสร้าง งานกับเด็กเป็นส ิ่ งท ี่ กระตุ้นให้เด็กเกิดการคิดและสร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงาน การคิดหรือการ จินตนาการในทางศิลปะเป็นกระบวนการคิดท ี่ เกิดเป็นภาพในสมองนั้ นเด็กจะนึกถึงความรู้ต่าง ๆท ี่ เรียน มาหรือการค้นหาข้อมูลต่าง ๆเพ ิ่ มเติมล้วนแต่เป็นกระบวนการด้านความรู้เพ ื่ อถ่ายทอดจินตนาการและ ความสร้างสรรค์แปลกใหม่ การใช้กิจกรรมศิลปะเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้จินตนาการอย่างไร้ขอบเขต นําไปสู่ความคิดท ี่ กว้างไกลและความคาดหวังให้เกิดในสิ่งใหม่
3 ภาพท ี่ 1.1 การใช้ศิลปะตกแต่งใบหน้าช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการด้านอารมณ์จากการเล่น ที่มา: Global Face Painters. 2014 1.4 การเสริมสร้างความซาบซ ึ้ งคุณค่าความงาม การยอมรับคุณค่าความงามเป็นส ิ่ งท ี่ คนท ั่วไปยอมรับว่าช่วยให้เด็กเป็นคนละเอียดอ่อนและส่งผลต่อการสร้างสรรค์สังคมให้มีความเป็น ระเบียบสวยงามอย่างมีเอกลักษณ์การหล่อหลอมให้เด็กช ื่ นชมกับคุณค่าความงามเป็นการสร้างฐานการ เรียนรู้ระเบียบวินัยให้กับสังคม เด็กจะมีความรับผิดชอบต่อความเป็นระเบียบในการสร้างงานไปจนถึง ความเรียบร้อยของบ้านเมืองนั้น เท่ากับเป็นการปลูกฝังส ิ่ งที่ดีต่อไปให้คนรุ่นหลังน ั้ นเอง 2. การเรียนรู้ศิลปะเพื่อการปฏิบัติได้จริง(Learning Art to do) เป็นการเรียนรู้เพ ื่ อมีทักษะ ในการออกแบบ การจัดระบบ และการริเร ิ่ มสร้างสรรค์จากการปฏิบัติกิจกรรมทางศิลปะ ซึ่งคุณลักษณะ นี้ได้ถูกนําใส่ในกระบวนการเรียนการสอนของหลักสูตร ทําให้เกิดเป็นผู้ที่สร้างสรรค์และปฏิบัติงานได้ จริงเม ื่ อเด็กได้ลงมือสร้างผลงานของตนเองก็จะส่งผลต่อกระบวนการต่อไปนี้ 2.1 การเสริมสร้างการใช้กล้ามเน ื้ อส่วนต่าง ๆและการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเน ื้อใน การปฏิบัติกิจกรรมศิลปะกิจกรรมศิลปะจะช่วยส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกใช้และบังคับกล้ามเน ื้อในคราว เดียวกันมากกว่า 1ส่วน เด็กมีการเคล ื่อนไหวมือแขนและการเคล ื่ อนท ี่ไปหยิบหาอุปกรณ์ต่าง ๆหรือการ ที่เด็กปั้นเป็นการเช ื่อมโยงความคิดในสมองออกมาควบคุมกล้ามเน ื้ อมือส่วนต่าง ๆให้ปั้นแต่งตาม จินตนาการนั้น ยิ่งทํามากย ิ่ งชํานาญเม ื่ อครูให้กิจกรรมท ี่ หลากหลายข ึ้ นก็จะเกิดการพัฒนากล้ามเน ื้ อตาม ไปด้วยเอง (ภาพท ี่ 1.2)
4 ภาพท ี่ 1.2 การระบายสีลงบนมือช่วยพัฒนากล้ามเน ื้ อส่วนต่างๆ ที่มา:Guido Daniele. 2014 2.2 การเสริมสร้างวิธีการส ื่ อสาร การมีความสามารถทางศิลปะนั้ นย่อมหมายถึง การ วาด การปั้น การพิมพ์และการใช้สื่อคอมพิวเตอร์ซึ่งล้วนเป็นการแสดงออกทางอวัจนภาษาซ ึ่ งสามารถ นําทักษะเหล่าน ี้ไปใช้การเรียนรู้การประกอบอาชีพในการนําเสนอ สิ่งท ี่ ตนเองคิดถ่ายทอดออกมาทําให้ คนผู้ชมเข้าใจได้ง่ายและชัดเจนขึ้น 2.3 การเสริมสร้างทักษะทางอาชีพ อาชีพหลายอาชีพต้องอาศัยความสามรถในการ ปฏิบัติงานศิลปะ เช่น การทําป้ายประกาศ การทําป้ายนิเทศ หรือการจัดสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งผู้ที่มี ความสามารถในทางศิลปะก็สามารถใช้หลักการทางศิลปะเข้าช่วยให้เกิดความงามและสามารถดัดแปลง วัสดุเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในสร้างงานด้วย 3. การเรียนรู้ศิลปะเพื่ อท ี่ จะอยู่ร่วมกัน (Learning Art to live together) เพ ื่อให้เกิดการ แลกเปลี่ ยนความคิดและความเข้าใจความหลากหลายของคนในอาชีพน ี้เป็นการส่งเสริมให้เกิดการสร้าง เอกลักษณ์ของผลงานของตนเองเพ ื่ อการสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะส่วนของ กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการแลกเปลี่ ยนเรียนรู้ 3.1 การสร้างเสริมกระบวนการทํางานกลุ่ม เป็นการพัฒนาการด้านสังคมวิธีการส ื่ อสาร อย่างหน ึ่ งท ั้ งความคิดและประสบการณ์เม ื่ อเกิดกลุ่มหรือการทํางานในหัวข้อเดียวกันก็จะช่วยเกิดการ แก้ปัญหาปรึกษาหารือ และปรับตัวปรับผลงานเท่ากับเป็นการส่งเสริมการทํางานเป็นกลุ่มน ั้ นเอง 3.2 การอนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติมีคํากล่าวและบทร้อยกรองมากมายท ี่ กล่าวถึงศิลปกรรมนั้ นว่ามาความสําคัญในการดํารงความเป็นชาติศิลปกรรมหลายชนิดที่บ่งบอกว่าเป็น เอกลักษณ์ไทย ซึ่งการเรียนรู้ศิลปะทั้ งการศึกษา ชื่นชมและสร้างผลงาน เป็นการสืบสานศิลปกรรม เหล่าน ี้ แก่เด็กๆเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป 3.3 การเสริมสร้างรสนิยมที่ดีหลักการทางศิลปะสามารถนํามาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวัน ทั้งการจัดออกแบบท ี่ อยู่อาศัย เคร ื่ องแต่งกาย อาหารและการทํางานต่าง ๆ อีกท ั้ งความรู้
5 ในเชิงประวัติศาสตร์ศิลป์ก็ยังเป็นเคร ื่ องมือในการแสดงออกซึ่ งการสนทนาท ี่แสดงความใส่ใจใน ศิลปวัฒนธรรมเป็นการแสดงออกซ ึ่ งรสนิยมตามแนวคิดในระดับสากล(ภาพท ี่ 1.3) ภาพท ี่ 1.3 การออกแบบอาคารทรงเรือประเทศสิงคโปร์ ภาพท ี่ 1.4 ซุ้มกิจกรรมศิลปะพิมพ์ภาพในห้างสรรพสินค้าในประเทศสิงคโปร์ 4. การเรียนรู้ศิลปะเพื่ อชีวิต (Learning Art to be)เป็นการเน้นท ี่ให้ความสําคัญแก่ จินตนาการและความคิดริเร ิ่ มสร้างสรรค์ของมนุษย์เพราะเป็นส ิ่ งท ี่ แสดงออกซ ึ่ งเสรีภาพที่ชัดเจน ให้ ความสําคัญกับการจินตนาการต่อการสร้างผลงานออกมาเป็นงานท ี่ จะนําไปใช้ในการค้นหาตนเอง โดยเฉพาะสร้างสรรค์ลีลาในผลงานของตนเองที่ จะช่วยพัฒนาให้เป็นคนที่มีการพัฒนางานอย่างต่อเน ื่ อง และเป็นเคร ื่ องมือช่วยศึกษาหาความรู้และช่วยบําบัดความบกพร่องทางกายภาพและจิต 4.1 การเรียนรู้ศิลปะเสริมสร้างทักษะในการเรียนรู้กระบวนการสร้างงานศิลปะจะ ส่งเสริมทักษะสังเกต จดจํา วิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งต่าง ๆ รอบตัวซ ึ่ งจะส่งผลต่อการรับรู้ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและกระตุ้นระบบประสาทในการรับรู้เรียนรู้และคิดอย่างเร็วขึ้น 4.2 การใช้เป็นกิจกรรมผ่อนคลาย กิจกรรมศิลปะช่วยบําบัดความกดดันจากการทํางาน หรือการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ช่วยทําให้คนไม่รู้สึกถึงเร ื่องในอดีตและมีสมาธิมุ่งม ั่นในการทํางาน ได้อย่างดี (ภาพท ี่ 1.4)
6 2. พัฒนาการทางศิลปะของเด็กไทยวัยประถมศึกษา พัฒนาการทางศิลปะของเด็กโดยส่วนใหญ่แล้วจะนําเสนอพัฒนาตามแนวคิดเน้นการวาดภาพ ของวิคเตอร์โลเวนเฟลด์ (Viktor Lowenfeld ) และมาใช้เป็นหลักการวิเคราะห์กับผลงานของเด็กไทย วัยประถมศึกษาซ ึ่ งเน้นท ี่ การแสดงออกด้วยภาพวาดท ี่เป็นผลมาจากพัฒนาการด้านร่างกาย(การจับสี หรือดินสอ) ด้านอารมณ์ด้านสังคม และด้านสติปัญญา (จากรูปต่างๆท ี่ปรากฏในภาพ) ซึ่งจากหลักการ พัฒนาการของโลเวนเฟลด์นั้น ผู้สอนก็สามารถนําไปวิเคราะห์พัฒนาการเด็กเพ ื่ อการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ทางศิลปะ การประเมินผลและเพ ื่อประเมินว่าเด็กมีความบกพร่องหรือมีพัฒนาการดีเลิศแล้วจัด กิจกรรมส่งเสริมหรือซ่อมเสริมต่อไป ส่วนพัฒนาด้านงานปั้ นน ั้นไม่ปรากฏนักวิชาการท ี่ได้รับการยอมรับ ในระดับนานาชาติได้ทําการศึกษา ดังนี้พัฒนาการทางศิลปะที่สําคัญ คือ ทฤษฎีพัฒนาการการรับรู้ทาง ศิลปะที่ เน้นการวาดภาพของ วิคเตอร์ โลเวนเฟลด์(Viktor Lowenfeld:อ้างถึงใน Craig Roland.2010) เสนอแนวคิดการแสดงออกของเด็กในช่วง2-9 ปีสรุปได้ดังน ี้ 1. ขั้นการใช้เส้นขีดเขี่ย (The Scribbling Stage) อายุระหว่าง 2-4 ปีในขั้ นน ี้ เร ิ่ มพัฒนาการ ควบคุมกล้ามเน ื้อจากใหญ่ (Gross motor) ไปสู่ส่วนย่อยการควบคุม (Fine motor adaptive) มีดังน ี้ 1.1 ขั้นการขีดเข ี่ยไร้การควบคุม (Disorder Scribbling) อายุประมาณ 2ปีลักษณะ ของผลงานจะปรากฏเส้นที่มีความยุ่งเหยิง มีความส ั้นยาวไม่เท่ากันซ ึ่งเป็นผลมาจากความพึงพอใจที่ จะ เคล ื่อนไหวมากกว่าต ั้งใจวาดเป็นรูปต่าง ๆ (ภาพท ี่ 1.5) ภาพท ี่ 1.5 การวาดเส้นพัฒนาการแบบไร้การควบคุม 1.2 ขั้นการควบคุมการขีดเขี่ย (Control Scribbling) อายุประมาณ 3 ปีปรากฏให้เห็น พัฒนาการของวิธีการจับดินสอหรือสีที่เป็นแท่งเร ิ่ มมีความคล้ายคลึงใกล้เคียงผู้ใหญ่สามารถเคล ื่อนไหว มือขีดเขียนซ ้ํ าๆกันได้ลักษณะผลงานท ี่ปรากฏเป็นภาพวาดขนาดเล็กลง เร ิ่มใช้มือวาดเส้นโค้งและวนไป มา รวมถึงการควบคุมการวาดในทิศทางในกระดาษได้มากขึ้น 1.3 ขั้นต ั้ งช ื่ อรอยขีดเขี่ย (Naming Scribbling) อายุประมาณ 4 ปีลักษณะผลงานท ี่ ปรากฏนั้ นเด็กมักเร ิ่ มเช ื่อมโยงสิ่ งรอบตัว กําหนดการต ั้ งช ื่ อส ิ่ งท ี่ วาด ภาพท ี่ปรากฏมีความหลากหลาย มากขึ้น เช่น วงกลม เส้นสั้น เส้นยาว เส้นวน รวมถึงรูปเหลี่ ยม แต่เด็กยังไม่รู้จักการจําแนกสีและสีไม่ สัมพันธ์กับความเป็นจริง (ภาพท ี่ 1.6)
7 ภาพท ี่ 1.6 การวาดเส้นพัฒนาการแบบควบคุมการขีดเขียน 2. ขั้นเร ิ่ มสัญลักษณ์ (Pre Symbolic Stage) อายุ 4-7 ปี พัฒนาการในการใช้เคร ื่ องมือในการวาดภาพโดยการหยิบจับบังคับอุปกรณ์วาดและการ บังคับทิศทางการขีดเขียน เด็กให้ความสนใจสิ่ งแวดล้อมรอบๆ ตัว และภาพคนเป็นพิเศษ ลักษณะ ผลงานท ี่ปรากฏเป็นเส้นร่างรูปวงกลมและเส้นตรง ส่วนการใช้สียังไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่มักจะ เลือกใช้สีที่สะดุดตาหรือตามความชอบลักษณะผลงานท ี่ปรากฏของภาพเขียนของเด็กอายุ 4-5 ปีมักไม่ แสดงส่วนประกอบของใบหน้าชัดเจน และเม ื่ ออายุ 6-7 ปีลักษณะผลงานท ี่ปรากฏเด็กจะเร ิ่ มท ี่ จะแสดง ส่วนประกอบที่ มากและชัดเจนขึ้น (ภาพท ี่ 1.7 และ 1.8) ภาพท ี่ 1.7 การวาดเส้นภาพคนในช่วงพัฒนาการข ั้ นเร ิ่ มสัญลักษณ์
8 ภาพท ี่ 1.8 การวาดเส้นภาพคนในช่วงพัฒนาการข ั้ นเร ิ่ มสัญลักษณ์ 3. ขั้นสัญลักษณ์ (The Symbolic Stage) อายุ 7-9 ปีลักษณะผลงานท ี่ปรากฏภาพวาดคล้าย จริงมากขึ้น แต่มักจะให้ความสนใจวาดภาพสิ่ งเดิมซ ้ํ าๆ โดยให้ภาพท ี่ปรากฏเน้นลักษณะสําคัญ ดังน ี้ ภาพท ี่ 1.9 การวาดเส้นภาพคนในครอบครัวในช่วงพัฒนาการขั้นเร ิ่ มสัญลักษณ์ 3.1 การใช้เส้นฐานหรือเส้นสมมติที่รองรับส่วนย่อยภาพ(Baseline) ลักษณะผลงานท ี่ ปรากฏ ภาพวาดทุกส ิ่ งต่าง ๆจะไม่ลอยในอากาศ แต่ในภาพหนึ่ งภาพอาจมีเส้นฐานหลายเส้นและเส้น ฐานไม่จําเป็นต้อง หมายถึง พื้นเสมอไปอาจจะเป็นคนน ั่ งล้อมวงกัน การจัดวางภาพมีความสมมาตรเป็น ลักษณะพับกลาง (Folding Over) ซึ่งเส้นรอยพับเป็นเส้นก ั้ นกลางหรือเส้นฐาน วัตถุด้านบนเส้นเป็น ลักษณะหัวตั้ง ด้านใต้เส้นเป็นลักษณะกลับหัว (ภาพท ี่ 1.10และ1.11)
9 ภาพท ี่ 1.10 การใช้เส้นฐานในพัฒนาการข ั้ นสัญลักษณ์ ภาพท ี่ 1.11 การใช้เส้นฐานสองเส้นในหนงภาพในพ ึ่ ัฒนาการขั้นสัญลักษณ์ 3.2 การวาดภาพเอ๊กซเรย์ (X-ray Picture) ลักษณะผลงานท ี่ปรากฏมีเส้นหรือรูปร่างรูปทรงภายนอก และเขียนส่วนย่อยภายในที่มองไม่เห็นจากภายนอกแสดงลงไป เช่น ภาพบ้านเห็นห้อง หรือคนอยู่ด้านใน ด้วยความพยายามแสดงออกเป็นสามมิติเป็นลักษณะภาพที่ที่มีการใช้เส้นสินเทาใน จิตรกรรมไทยตัดฉายภาพภายในอาคาร (ภาพท ี่ 1.12)
10 ภาพท ี่ 1.12 ภาพวาดแบบเห็นภายใน (X-ray)ตามพัฒนาการข ั้ นสัญลักษณ์ 3.3 การวาดภาพคน ลักษณะผลงานท ี่ปรากฏในระยะนี้ ภาพคนจะมีส่วนประกอบ ใบหน้ามากขึ้น และเร ิ่ มวาดส่วนของเคร ื่ องแต่งกายเส ื้ อผ้า ส่วนการใช้สีเร ิ่มใกล้เคียงกับความจริงใน ธรรมชาติมากขึ้น (ภาพท ี่ 1.13) ภาพท ี่ 1.13 ภาพวาดช่วงพัฒนาการข ั้ นเร ิ่ มสัญลักษณ์ 4. ขั้นใกล้ความเหมือน (The Crisis of Realism) อายุ 9-12 ปีโดยทั่วไปเด็กในช่วงวัยน ี้ ความสนใจในการร่วมกลุ่มกับเพ ื่ อนๆ เด็กเร ิ่ มทําส ิ่ งต่าง ๆโดยใส่ใจหรือให้ความสนใจกับผู้อื่นมากขึ้น เช่นพฤติกรรมทําตามเพ ื่ อนหรือพูดตามเพ ื่อนในด้านการสร้างผลงานศิลปะเริ่มให้ความสําคัญกับ รายละเอียดในผลงานศิลปะของตนเองเริ่ มวาดภาพอย่างระมัดระวัง มีการไตร่ตรองก่อนลากเส้น ดังนั้น เส้นไม่เฉียบขาดเช ื่ อม ั่ นเหมือนเคย
11 4.1 ความสามารถวิเคราะห์ผลงานในเชิงการรับรู้ความซาบซ ึ้งในค่าความงามในระดับ ต้นคือ สวยหรือไม่สวยแต่การให้เหตุผลจะยังไม่สมบูรณ์ชัดเจน สามารถเข้าใจในลักษณะท ี่เป็นรูปธรรม เป็นส่วนใหญ่ 4.2 การเขียนภาพเร ิ่ มแสดงทัศนียวิทยาโดยการเขียนทับ ซ้อนกัน ส่วนย่อยท ี่ปรากฏใน ภาพมีความสัมพันธ์ด้านขนาดสัดส่วน เช่น วัตถุที่อยู่ไกลตัวจะมีขนาดใหญ่ ส่วนวัตถุที่อยู่ไกลจะมีขนาด เล็ก แต่การใช้มิติความลึกต ื้ นของภาพยังไม่สามารถใช้แสง-เงาได้ (ภาพท ี่1.14 และ1.15) 4.3 การวาดภาพคนจะเร ิ่ มมีการแสดงอิริยาบถมากขึ้น (ภาพท ี่ 1.16และ 1.17 ) ภาพท ี่ 1.14 การวาดภาพที่มีมิติทับซ้อนพฒนาการขั ั้นใกล้ความเหมือนจริง ภาพท ี่ 1.15 การวาดภาพที่มีทัศนียวิทยาพัฒนาการข ั้นใกล้ความเหมือนจริง
12 ภาพท ี่ 1.16 ภาพวาดคนปรากฏพัฒนาการขั้นสัญลักษณ์ ภาพท ี่ 1.17 ภาพวาดคนปรากฏพัฒนาการขั้นใกลความเหม้ ือนจริง ที่มา:Craig Roland. 2010 3. หลักสูตรแกนกลางสาระการเรียนรู้ศิลปะระดับประถมศึกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข ั้ นพ ื้ นฐานพุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรแบบอิง มาตรฐาน(Standard Based Curriculum) ได้กําหนดให้การเรียนรู้ทัศนศิลป์ของเด็กในระดับ ประถมศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะซึ่งประกอบด้วย ทัศนศิลป์ดนตรีและนาฏศิลป์การเรียนรู้ ศิลปะนั้นในหลักสูตรอธิบายสรุปดังน ี้ (สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา.2551:1-7)
13 สาเหตุในการจัดการเรียนรู้ศิลปะ 1) กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียน ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และ สังคม 2) กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่ส่งผลต่อ คุณภาพชีวิตมนุษย์ 3) กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาส ิ่ งแวดล้อม 4) กิจกรรมทางศิลปะช่วยเสริมสร้างความเช ื่ อมั่นในตัวมนุษย์ 5) กิจกรรมทางศิลปะเป็นพ ื้ นฐานการเรียนรู้วิชาต่าง ๆ และการใช้ในการประกอบ อาชีพ สาระและกระบวนการทางทัศนศิลป์ ได้กล่าวถึง ความมุ่งหมายหลักของการพัฒนา ผู้เรียนโดยการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระ เน้นความรู้ความเข้าใจ ทักษะวิธีการศิลปะ และความซาบซึ้ง ดังน ี้ 1) ความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลปะ ทัศนธาตุการสร้างและนําเสนอผลงาน ทัศนศิลป์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาทางศิลปะ 2) ความสามารถการใช้อุปกรณ์เทคนิค และวิธีการในการสร้างงานทัศนศิลป์การ วิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์รวมถึงการประยุกต์ทัศนศิลป์ใช้ในชีวิตประจําวัน (ภาพ ที่ 1.18) 3) ความซาบซ ึ้ งและเห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็นศิลปะ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาเพื่อ การสืบทอด สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ศิลปะ คือ สาระท ี่ 1 สาระทศนศั ิลป์ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ 2 มาตรฐานคือ มาตรฐาน ศ 1.1 : สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน มาตรฐาน ศ 1.2 : เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล (ภาพท ี่ 1.19) ซึ่งทั้ง 2 มาตรฐานมีจํานวนตัวชี้วัด แต่ละช ั้นปีดังน ี้ ตารางท ี่ 1.2 สรุปจํานวนตัวชี้วัดตามมาตรฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ มาตรฐาน ศ 1.1 มาตรฐาน ศ 1.2 1 5 1 2 8 2 3 10 2 4 9 2 5 7 2 6 7 3 รวม 46 12
14 ภาพท ี่ 1.18 ความสามารถการใช้อุปกรณ์ (การสอนวาดภาพในกิจกรรมนิทรรศการศิลปะ รายวิชาศิลปะครประถมศูึกษา ปีการศึกษา 2556) ภาพท ี่ 1.19 ภาพวาดแสดงถึงภูมิปัญญาทองถ้ ิ่น (สถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์ (หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย) ผู้วาด นางสาวชุติมาวิทยาพล นักศึกษารายวิชาศิลปะครู ประถมศึกษา ปีการศึกษา 2556) คุณภาพผู้เรียนหลังเรียนจบช ั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 6 ในหลักสูตรแกนกลางปีพุทธศักราช 2551 ได้กําหนดคุณภาพของผู้เรียนในระดับ ประถมศึกษาเป็นสองช่วง คือ หลังเรียนจบช ั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กับ ปีที่ 6 โดยวิเคราะห์ตามพุทธพิสัย (Cognitive Domain) ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) และจิตพิสัย(Affective Domain) ได้ดังน ี้
15 ตารางท ี่ 1.3 วิเคราะห์คุณภาพผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ พิสัย จบช ั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จบช ั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พุทธพิสัย -ทัศนธาตุ:รูปร่าง-รูปทรง สีพื้นผิว -การจําแนกทัศนธาตุธรรมชาติ -การจําแนกทัศนธาตุงานทัศนศิลป์ -ความสําคัญของงานทัศนศิลป์ใน ชีวิตประจําวัน -ที่มาและกรรมวิธีสร้างทัศนศิลป์ในท้องถิ่น -ทัศนธาตุ:รูปร่าง รูปทรง พื้นผิว สีและแสง เงา -หลักการทางศิลปะ:ขนาด สัดส่วน และความ สมดุล -หลักการใช้สีคู่ตรงข้าม -การเปรียบเทียบความต่างงานทศนศั ิลป์ -หลักการลดและเพ ิ่มในงานปั้น ทักษะพิสัย -การใช้วัสดุในการสร้างงาน -การสร้างภาพวาดระบายสี -การสร้างภาพปะติด -การสร้างงานปั้น -การสร้างประติมากรรมที่เคล ื่อนไหว -การใช้วัสดุในการสร้างงาน 2 มิติและ 3 มิติ -การสร้างภาพวาดระบายสี -การสร้างภาพพิมพ์ -การสร้างงานส ื่ อผสม -การสร้างงานปั้น -การสร้างแผนภาพ และแผนผัง -การสร้างภาพประกอบ -การนําเสนองานทัศนศิลป์ จิตพิสัย -การช ื่ นชมงานทัศนศิลป์ -การเหตุความสําคัญของทัศนศิลป์ใน ท้องถิ่น -การแสดงเหตุผลและวิธีการปรับปรุงงาน -การช ื่ นชมงานทัศนศิลป์ -บทบาททัศนศิลป์ต่อชีวิต สังคม และศาสนา -คุณค่าของงานทัศนศิลป์ต่อชีวิตคนในสังคม จากตารางท ี่ 1.3 แสดงให้เห็นว่าคุณภาพของผู้เรียนในระดับช ั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ ปีที่ 6 มีความต่างกันด้านความรู้ทักษะที่ต้องมีความลุ่มลึกมากข ึ้ นซ ึ่ งผู้สอนจําเป็นต้องนําไปพิจารณา ประกอบกับการออกแบบหน่วยและแผนการเรียนรู้ การประเมินผลการสอนศิลปะ เก ี่ ยวข้องกับการวัดและประเมินผลซ ึ่ งมีความหมาย (ศิริเดช สุชีวะ.2550:52) ดังน ี้ การวัด (Measurement) เป็นการกําหนดส ิ่ งท ี่ แสดงถึงลักษณะ ปริมาณ ของพฤติกรรม อาการ ฯลฯ ของส ิ่งใดสิ่ งหน ึ่ งที่ต้องการจะทําการวัด การประเมิน (Evaluation) เป็นการนําเอาส ิ่ งท ี่ได้จากการวัดไปตีราคา ตัดสินหรือลงสรุป เก ี่ ยวกับลักษณะ ปริมาณ ฯลฯ ของส ิ่ งท ี่ได้ทําการวัด นอกจากน ี้ จากการวิเคราะห์หลักสูตรฯ นั้นได้วิเคราะห์จากหลักสูตรแกนกลางสถานศึกษา พบว่า การประเมินท ี่ เก ี่ ยวข้องกับการสอนศิลปะในระดับประถมศึกษาด้วยวิธีการหลัก คือ การประเมิน โดยแฟ้มสะสมงาน การประเมินการปฏิบัติการประเมินโดยผู้เช ี่ ยวชาญ และการใช้เกณฑ์รูบิคส์ดังน ี้ การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน เป็นการประเมินท ี่ เร ิ่ มต้นจากการประเมินงานของศิลปิน และ ยังคงใช้อยู่ในวงการศิลปะและการออกแบบ ซึ่งการประเมินนี้ช่วยทําให้เห็นพัฒนาการและผลงานชิ้น สําคัญของผู้สร้างงาน การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงานมีขั้นตอนดังน ี้ (สํานักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา.2551:70-71)
16 1) กําหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงาน 2) วางแผนการจัดทําแฟ้มสะสมงาน 3) จัดทําแผนแฟ้มสะสมงานและดําเนินการตามแผน 4) ให้ผู้เรียนเก็บรวบรวมช ิ้ นงาน 5) ประเมินช ิ้ นงานเพ ื่ อการพัฒนา 6) คัดเลือกช ิ้ นงาน 7) ผู้เรียนสะท้อนความคิดเห็นการประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินการปฏิบัติงานพ ื้นฐานสามารถใช้หลักการปฏิบัติงานตามแนวของ สุวิมล ว่องวาณิช (2550:221-236) ซึ่งได้กําหนดข ั้นตอนปฏิบัติงาน ดังน ี้ 1) กําหนดจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ 2) ระบุผลของความสามารถด้านการปฏิบัติ 3) กําหนดวิธีการปฏิบัติงานท ี่ เหมาะกับพฤติกรรม 4) กําหนดความเหมาะสมกับเคร ื่ องมือท ี่ใช้ 5) กําหนดวิธีการประเมินผลการวัด การประเมินโดยผู้เช ี่ ยวชาญ เป็นกระบวนการประเมินที่นิยมใช้ในการตัดสินผลงานทางศิลปะ ซึ่ง สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2551:270-274) ได้กําหนดวิธีการไว้ดังน ี้ 1) กําหนดว่าจะประเมินอะไร 2) คัดเลือกผู้เช ี่ ยวชาญ 3) ให้ผู้เช ี่ยวชาญประเมิน 4) การเสนอผลประเมินของผู้เช ี่ ยวชาญ การใช้เกณฑ์รูบิคส์ การใช้เกณฑ์รูบิคส์นั้นเหมาะกับวิชาท ี่ สร้างเป็นช ิ้นงานและการประเมินกระบวนการ ทํางาน เกณฑ์รูบิคส์จึงหมายถึง การกําหนดเกณฑ์การให้คะแนนความสามารถในการปฏิบัติงานหรือ คุณภาพของผลงานเพ ื่อให้การให้คะแนนมีความเป็นปรนัยสูงสุด มีสามประเภท คือ 1) รูบิคส์แบบองค์รวม(Holistic Rubrics) เป็นการกําหนดเกณฑ์แบบองค์รวม กว้างๆ ไม่แยกให้คะแนนตามแต่ละองค์ประกอบย่อย 2) รูบิคส์แบบวิเคราะห์ (Analytic Rubrics) เป็นการกําหนดเกณฑ์แบบองค์รวม กว้างๆ แยกการให้คะแนนตามแต่ละองค์ประกอบย่อยแล้วสรุปเป็นคะแนนรวมทีหลัง 3) รูบิคส์แบบระบุจุดอ่อนจุดแข็ง(Annotated Rubrics) ผู้ประเมินให้คะแนนแบบองค์ รวมก่อนแล้วค่อยระบุจุดแข็งจุดอ่อนสนับสนุนการให้คะแนนแบบองค์รวม โดยจุดประสงค์ของการสร้างเกณฑ์รูบิคส์มีดังน ี้ 1) กระบวนการ (Process) ได้แก่การประเมินการทํางานเป็นทีม กลยุทธการ สัมภาษณ์ 2) ผลผลิต (Product) ได้แก่การประเมินแฟ้มสะสมงาน รายงานการวิจัยนิทรรศการ รายงานท ี่เป็นรูปเล่ม สิ่งประดิษฐ์แบบจําลอง แผนภูมิแฟ้มสะสมงาน ผังมโนทัศน์การเขียนอนุทิน การ เขียนเรียงความ คําตอบที่ผู้เรียนสร้างเอง และโครงการฯลฯ
17 3) การแสดงการกระทํา (Performance) ได้แก่รายงานด้วยวาจา การสาธิต การ ทดลอง การปฏิบัติการภาคสนาม การอภิปราย การจัดนิทรรศการ การสังเกตพฤติกรรม รายงานการ ประเมินตนเองของผู้เรียน ฯลฯ ตารางท ี่ 1.4 ตัวอย่างเกณฑ์รูบิคส์การให้คะแนนกิจกรรมการปะติด หัวข้อ 4 3 2 1 หลักการทางศิลปะ 50% ใช้สีได้ถูกต้อง รูปร่าง ดี แสดงเส้นและ พื้นผิวท ี่ เหมาะสม ใช้สีได้ถูกต้อง รูปร่าง ดีและแสดงเส้นท ี่ เหมาะสม ใช้สีได้ถูกต้องและ รูปร่างดีเหมาะสม ใช้สีได้ถูกต้อง ความเป็นระเบียบ 10% ติดเมล็ดข้าวไปใน ทิศทางเดียวกันและ อยู่ในกรอบที่กําหนด ติดเมล็ดข้าวไปใน ทิศทางเดียวกันแต่ หลุดออกนอกกรอบ ติดเมล็ดข้าวใน ทิศทางเดียวกัน บางส่วนและหลุด ออกนอกกรอบ ติดเมล็ดข้าวไม่ไป ทิศทางเดียวกันและ ออกนอกกรอบ การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ 20% มีการเตรียมเมล็ดข้าว และอุปกรณ์ครบ มีเมล็ดข้าวและขาด อุปกรณ์หน ึ่ งอย่าง มีเมล็ดข้าวและขาด อุปกรณ์สองอย่าง ไม่มีเมล็ดข้าวแต่มี อุปกรณ์อย่างน้อย หน ึ่ งอย่าง ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 20% ปฏิบัติงานได้ถูกต้อง ตามข ั้ นตอนเสร็จตาม เวลาเก็บพ ื้ นท ี่ และทํา ความสะอาด ปฏิบัติงานได้ถูกต้อง ตามข ั้ นตอนเสร็จตาม เวลาไม่เก็บพ ื้ นท ี่ และ ความสะอาด ปฏิบัติงานได้ถูกต้อง ตามข ั้นตอนไม่เสร็จ ตามเวลาไม่เก็บพ ื้ นท ี่ และทําความสะอาด ปฏิ บั ติงานได้บาง ขั้นตอน ไม่เสร็จตาม เวลาและไม่เก็บพ ื้ นท ี่ และทําความสะอาด วิธีการประเมินผลท ี่ กล่าวมาน ั้นเป็นวิธีการที่ผู้สอนสามารถเลือกมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ศิลปะ โดยการพิจารณาวิธีการต้องคํานึงถึงหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งการใช้วิธีการน ั้นอาจจะใช้ได้มากกว่าหนึ่ง วิธีการที่ผู้สอนจะต้องพิจารณาความเหมาะจากตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เน ื้ อหา คุณลักษณะอันพึ่ง ประสงค์และพัฒนาการของเด็กในระดับช ั้ นน ั้ นๆ 4. การสอนศิลปะเชิงแบบแผน ทฤษฏีการสอนศิลปะเชิงแบบแผน (Discipline Based Art Education; DBAE) เป็นวิธีการ สอนศิลปะที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันเกิดข ึ้นในปีค.ศ.1976 ภายใต้นักวิชาการของสมาคมศิลปศึกษา แห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา(NAEA) ซึ่งเน้นการบูรณาการศิลปะ 4 แกน คือ ประวัติศาสตร์ศิลป์ (Art history) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) ศิลปวิจารณ์ (Art criticism) และ ศิลปะปฏิบัติ(Art production) โดยเน้นเป้าหมาย คือ การรับรู้และความฉับไวตามแกนสุนทรียภาพศึกษาเก ี่ ยวกับศิลปิน และผลงานศิลปะตามแกนประวัติศาสตร์ศิลป์การทําผลงานศิลปะตามแกนศิลปวิจารณ์และศึกษา ส่วนประกอบต่าง ๆ และองค์ประกอบของแกนการออกแบบตามพื้ นฐานของทุกแกน (มะลิฉัตร เอื้อ อานันท์.2543: 5) ปัจจุบันหลักวิธีการสอนนี้ถูกนําไปใช้หลายลักษณะคือ การใช้ในการสอนแบบบูรณา การ การใช้การสอนเฉพาะด้าน (ภาพท ี่ 1.20)และท ี่ เห็นเป็นตัวอย่างท ี่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือการใช้ เป็นหลักการนําเขียนเป็น มคอ. 1 การผลิตบัณฑิตด้านศิลปศึกษาของ สํานักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีหลักการ ดังน ี้
18 ภาพท ี่ 1.20 ภาพวาดผลงานจากการสอนด้วยศิลปะเชิงแบบแผน (ภาพวาดชุดประเพณีในกิจกรรมนิทรรศการศิลปะ รายวิชาศิลปะครูประถมศึกษา ปีการศึกษา 2556) ประวัติศาสตร์ศิลป์(Art History) หมายถึง การเรียนรู้เก ี่ ยวกับ ความเป็นมา หรือข้อมูล ของศิลปกรรมนั้น หรือรูปแบบศิลปะที่ จะสร้าง เป็นการศึกษาท ั้ งเอกสาร และข้อมูลการสัมภาษณ์โดยที่ จะเป็นข้อมูลสําหรับการสร้างผลงาน สุนทรียศาสตร์ (Aesthetic) หมายถึง การศึกษาความนิยมหรือรสนิยมในความงามหรือ วิธีการช ื่ นชม เพื่อเป็นการประเมินคุณค่า ความดีงาม รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้เป็นผู้มี รสนิยมที่ดีทางศิลปะ ศิลปวิจารณ์ (Art Criticism) หมายถึง การพิจารณาองค์ประกอบและหลักการศิลปะ หรือแบบอย่างในการสร้างงานเพ ื่อเป็นฐานของข้อมูลในการสร้างงานนอกจากนี้ยังเป็นการสร้างวิธีการ ในการชื่นชมงานศิลป์อย่างถูกต้อง ศิลปะปฏิบัติ(Art Production) หมายถึง การสร้างผลงานเพ ื่ อเรียนรู้และวิเคราะห์งาน ตามรอยของศิลปินต่าง ๆ เพ ื่อให้เกิดคุณค่าความสามารถหรือทักษะในการสร้างงานศิลปะที่เป็นการ ส่งเสริมการทํางานต่าง ๆ เช่น การวาดภาพช่วยส่งเสริมทักษะการส ื่อสารได้หรือการบันทึกเหตุการณ์ ต่างๆ การใช้หลักการนี้มีวิธีการนําเสนอได้สองแนวคือ การบูรณาการโดยการผสมผสานทั้ งส ี่ แกนเป็นหัวเร ื่ องเดียวกัน (ภาพท ี่ 1.21)และการเน้นเฉพาะด้าน สอนแกนใดแกนหนึ่ง ดังตัวอย่างท ี่ จะ นําเสนอต่อไปนี้
19 ภาพท ี่1.21 ผังการสอนบูรณาการหลัก DBAE แบบหัวเร ื่ องศิลปกรรมวัดพระธาตุลําปางหลวง สรุป การสร้างสรรค์หรือCreative จะเกิดข ึ้นได้จากหลากหลายวิชาท ี่ เรียนรู้กันในสังคมปัจจุบันแต่ วิชาหน ึ่ งท ี่จะเป็นมูลฐานการจินตนาการซ ึ่งเป็นจุดเร ิ่ มต้นของการสร้างสรรค์คือ วิชาศิลปะการเรียนรู้ใน ศตวรรษท ี่ 21 หน ึ่งในกลุ่มทักษะเหล่านั้น คือ การสร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งศิลปะสามารถช่วยพัฒนา เยาวชนไทยให้เป็นคนที่มีความคิดและจินตนาการท ี่ จะเกิดประโยชน์ซึ่งจัดการเรียนรู้ศิลปะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่ องพัฒนาการทางศิลปะของเด็กไทยวัยประถมศึกษา หลักสูตรทัศนศิลป์ระดับ ประถมศึกษาที่มีมาตรฐานการเรียนรู้สองมาตรฐาน และตัวชี้วัดและสาระแกนกลางและวิธีการสอน ศิลปศึกษาตามทฤษฏีการสอนศิลปะเชิงแบบแผน ที่ประกอบด้วย ประวัติศาสตร์ศิลป์สุนทรียศาสตร์ ศิลปวิจารณ์และศิลปะปฏิบัติส่วนสุดท้ายที่สําคัญคือการประเมินผลการสอนศิลปะสําหรับเด็ก ประถมศึกษา ประกอบด้วยการประเมินโดยแฟ้มสะสมงาน การประเมินการปฏิบัติการประเมินโดย ผู้เช ี่ ยวชาญ และการใช้เกณฑ์รูบิคส์ ผู้สอนจะต้องพิจารณาความเหมาะสม จากตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ เน ื้ อหา คุณลักษณะอันพ ึ่งประสงค์และพัฒนาการของเด็กในระดับช ั้ นน ั้ นๆจึงเกิดประสิทธิภาพการสอน ศิลปะระดับประถมศึกษาได้อย่างดี คําถามทบทวน 1. จงอธิบายความสําคัญของศิลปะและศิลปศึกษาตามความเข้าใจของตนเอง 2. จงอธิบายพัฒนาการทางศิลปะของเด็ก 3. จงสรุปตัวชี้วัดในหลักสูตรแกนกลางสถานศึกษา และวิธีการประเมินผลการสอนศิลปะ 4. จงอธิบายทฤษฎีการสอนศิลปะเชิงแบบแผน 5. จงเขียนบรรยายศัพท์ภาษาอังกฤษท ี่ใช้ในบทนี้ มาห้าคําศัพท์ • ให้วาดภาพภายใน อาคารต่างๆ • ให้วิเคราะห์รูปแบบ การสร้างอาคารใน วัดด้วยทัศนธาตุและ หลักการทางศิลปะ • แนวคิดการสร้าง รูปแบบความงาม ของช่างในสมัยนั้น หรือประเมินความ งาม • ศึกษาประวัติความ เป็นมาของวัดจาก เอกสารหรือ สัมภาษณ์พระในวัด ประวัติ ศาสตร์ ศิลป์ สุนทรีย ศาสตร์ ศิลปะ ปฏิบัติ ศิลปะ วิจารณ์
20 เอกสารอ้างอิง ภาษาไทย มะลิฉัตร เอ ื้ ออานันท์.(2543).แนวโน้มศิลปศึกษาร่วมสมัย.กรุงเทพฯ:โครงการตําราและเอกสารทาง วิชาการ คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศิริเดช สุชีวะ. (2550).หลักการประเมินผลการเรียรู้. รวมบทความการประเมินผลการเรียนรู้แนวใหม่. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: 52-64. สมหวัง พธิยานุวัฒน์. (2251).วิธีวิทยาการประเมิน:ศาสตร์แห่งคุณค่า. กรุงเทพฯ:สํานักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.(2543).การเรยนรี ู้ขุมทรัพย์ในตน.กรุงเทพฯ:โรง พิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. สํานักวิชาการและมาตราฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศกษาขึ ั้ นพ ื้ นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.(2551).แนวทางปฎิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. สุวิมล ว่องวาณิช. (2550).รวมบทความการประเมินผลการเรียนรู้แนวใหม่.กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ภาษาอังกฤษ Craig Roland. (2010).Young in Art a developmental look at child art.[Online] Accessed 10 Octerber 2012)Available fromhttp://www.artjunction.org Global Face Painters.(2014). Face Painting. [Online]. Accessed 1 September 2014. Available from http://www.face-painting-fun.com. Guido Daniele.(2014).Creative Animal Hand Paintings,Handimals. . [Online]. Accessed 1 September 2014. Available from http://www.innamag.com/creative-animalhand-paintings-handimals-guido-daniele/ Trilling.B and Fadel.C.(2009).21stCENTURY SKILL LEARING FOR LIFE OUR TIME.HB Printing:USA.
บทท ี่ 2 ความรู้ทั่วไปและความเปนมาของศ็ ิลปะ การเข้าใจในความหมาย ประเภทและกรรมวิธีของศิลปะ จะช่วยทําให้เราสามารถเกิดมโนทัศน์ ในการสร้างต่อผลงานศิลปะต่าง ๆ และความเข้าใจในการชื่ นชมงาน และการชมงานศิลปะบ่อย หลากหลายประเภทจะช่วยทําให้เกิดความสามารถในการวิเคราะห์ผลงานได้ดีนอกจากการน ั้ นการเห็น ความสําคัญของงานทัศนศิลป์ในชีวิตประจําวันจะช่วยทําให้เด็กในระดับประถมศึกษาต ั้งใจศึกษาวิชา ศิลปะมากยิ่ งข ึ้ นเพราะศิลปะนั้ นตอบสนองต่อการดํารงชีวิตของเยาวชน ส่วนกรรมวิธีการสร้างงาน ทัศนศิลป์ 2 มิติและ 3 มิติและกรรมวิธีที่เป็นเฉพาะชนชาติอันได้แก่กรรมวิธีการสร้างงานทัศนศิลป์ ไทยที่เป็นการผสมผสานของงานหัตถศิลป์ต่าง ๆ กรรมวิธีเหล่าน ี้ หากได้เรียนรู้จะช่วยทําให้ผู้ชมเข้าถึง คุณค่าของงานได้มากขึ้น และสําหรับครูผู้สอนการเข้าใจกรรมวิธีการเหล่าน ี้ จะช่วยให้ครูออกแบบ กิจกรรมและแนะนําผู้เรียนให้สร้างงาน เพ ื่ อเกิดผลการเรียนรู้ที่ดี 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับศิลปะ (ความหมายของศิลปะ ประเภทและกรรมวิธี) ทัศนศิลป์ถือเป็นการสร้างงานศิลปะถือเป็นศิลปะพื้ นฐานของการเรียนรู้ศิลปะแขนงอื่น ๆ ทั้ง วิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ทัศนศิลป์นั้นสามารถใช้ในการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพทางศิลปะ ศิลปะมีความหมายหลายอย่างท ั้ งท ี่เป็นความหมายแคบ ว่า ทัศนศิลป์หรือการวาดภาพเวลาท ี่ เด็กไป บอกแม่ว่าจะเรียนศิลปะ หรือความหมายในแนวกว้างที่ศิลปะหมายถึงรสนิยม เช่นการช ื่ นชมว่าส ิ่ งของ นั้นมีศิลปะซึ่ งก็หมายถึงการมีคุณค่าด้านความงามหรือดูดีมีรสนิยม หรือในความหมายที่ เรานํามาใช้กัน ที่ ว่า ศิลปะยืนยาวชีวิตสั้น นั้นก็มีที่มามาจากบัญญัติทางการแพทย์สมัยกรีกของนายแพทย์ฮิปโปคาร์ติค ซึ่งหมายถึงศิลปะทางการแพทย์ในการรักษาคน ทัศนศิลป์ช่วยตอบสนองความต้องการร่างกาย อารมณ์ และสังคม ในมุมมองของนิยามศัพท์แบบไทยในพจนานุกรมกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 (ราช บัณฑิตสถาน. 2556: 1144) ให้ความหมายของการสร้างสรรค์ว่าเป็นการสร้างให้มีให้เป็นขึ้น มีลักษณะ ในทางที่ดีส่วนศิลปะในความหมายตามพจนานุกรมและความหมายตามท ี่ คนส่วนใหญ่เข้าใจกันดังน ี้ ความหมายของศิลปะตามที่ คนท ั่วไปเข้าใจ มีความหมายของศิลปะได้ดังน ี้ ศิลปะ หมายถึง สิ่งท ี่ มนุษย์สร้างขึ้น ศิลปะ หมายถึง รสนิยม ศิลปะ หมายถึง ทัศนศิลป์ (ภาษาปาก คือการพูดแบบย่นย่อ) ศิลปะ หมายถึง วิชาความรู้ที่ไม่ต้องมีหลักการคํานวณเหมือนคณิตศาสตร์หรือ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ หมายถึง สิ่งท ี่ มนุษย์สร้างข ึ้นเป็นความหมายท ี่ มองในมุมกว้างซ ึ่ งตรงกับคําใน ภาษาอังกฤษว่า Man Made ความหมายของศิลปะตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน 2554 (ราชบัณฑิตสถาน.2556:1144) .
22 ศิลปะ หมายถึง ฝีมือทางการช่าง, การทําให้วิจิตรพิสดาร ศิลปะ หมายถึง การแสดงออกซ ึ่ งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์ด้วยส ื่ อต่าง ๆ อย่างเสียง เส้น สีผิว รูปทรงเป็นต้น ศิลปกรรม หมายถึง สิ่งท ี่เป็นศิลปะ, สิ่งท ี่ ผลิตสร้างข ึ้นเป็นศิลปะ เช่น งานประติมากรรม งาน สถาปัตยกรรมจัดเป็นศิลปกรรม ศิลปศาสตร์หมายถึง วิชาต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่เทคนิคหรือทางอาชีพ เช่น ภาษาศาสตร์ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ศิลปิน หรือ ศิลปีหมายถึง ผู้ที่สามารถแสดงออกซ ึ่ งคุณสมบัติทางศิลปะในด้านจิตรกรรม ประติมากรรม เป็นต้น และมีผลงานเป็นท ี่ ยอมรับนับถือจากสถาบันทางศิลปะของชาติ ศิลปะ หมายถึง ฝีมือทางการช่าง, การทําให้วิจิตรพิสดาร เป็นความหมายศิลปะแนวกว้างเพราะ สามารถใช้ความหมายนี้กับศิลปะได้หลายแขนง เพราะความวิจิตรพิสดาร ก็สามารถหมายถึง การ จัดการแสดงท ี่งดงามได้ส่วนฝีมือทางเชิงช่างในศิลปะนี้ เก ี่ ยวข้องกับหัตถศิลป์การออกแบบตกแต่งท ี่ ต้องใช้ความละเอียดประณีตซ ึ่งเป็นงานทัศนศิลป์ประเภทหนึ่ง ในส่วนของความหมายท ี่ สองคือ ศิลปะ หมายถึง การแสดงออกซ ึ่ งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์ด้วยส ื่ อต่าง ๆ อย่างเสียง เส้น สีผิว รูปทรง เป็นต้นน ั้ นมีความครอบคลุมไม่ต่างจากความหมายแรกต่างกันท ี่ เน้นเร ื่ องทัศนธาตุอันได้แก่เส้น สีผิว รูปทรง และเน้นที่ศิลปะของการใช้เสียงหรือดนตรีเข้ามาด้วยซ ึ่ งก็เป็นความหมายกว้างครอบคลุม ทั้ง นาฏศิลป์ดนตรีและทัศนศิลป์ สําหรับความหมายต่อมาคือ ศิลปกรรมหมายถึง สิ่งท ี่เป็นศิลปะ, สิ่งท ี่ ผลิตสร้างข ึ้นเป็นศิลปะ เช่น งานประติมากรรม มีความหมายท ี่ เน้นไปผลผลิตของศิลปะเป็นสําคัญ ประเภทของศิลปะ ศิลปกรรมที่ เก ี่ ยวข้องกับการเห็นหากเราจะแบ่งประเภทของศิลปะจําเป็น อย่างย ิ่ งต้องเข้าใจโครงสร้างหรือแผนผังของศิลปะตั้ งแต่ต้น ดังน ั้ นจึงกล่าวถึงการแบ่งประเภทของศิลปะ ตามขอบเขตต่าง ๆ มาจนถึงประเภทของงานทัศนศิลป์ดังน ี้ ประเภทของศิลปะแบ่งตามจุดมุ่งหมายได้แก่ วิจิตรศิลป์ (Fine Art) และประยุกต์ศิลป์ (Apply Art) โดย วิจิตรศิลป์หมายถึง ศิลปะที่ สร้างข ึ้ นเพ ื่ อความงามการช ื่นชมประกอบด้วยจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ดนตรีและนาฏศิลป์ส่วนประยุกต์ศิลป์หมายถึง สร้างข ึ้ นเพ ื่อประโยชน์และ ความงาม ประกอบด้วยงานออกแบบต่าง ๆ ดนตรีและนาฏศิลป์เพ ื่ อพาณิชย์ตัวอย่าง ภาพพระพุทธเจ้า บนก้อนหิน จัดทําเป็นของท ี่ ระลึก ผลงานนักศึกษา สาขาประยุกต์ศิลป์)(ภาพท ี่ 2.1) ทั้งสองความหมาย นี้เป็นการแบ่งศิลปะในแนวที่ กว้าง
23 ภาพท ี่ 2.1 งานประยุกต์ศิลป์ ประเภทของศิลปะแบ่งตามประสาทรับสัมผัส ได้แก่ ทัศนศิลป์โสตศิลป์และ โสตทัศนศิลป์ โดยทัศนศิลป์หมายถึง ศิลปะที่รับรู้ได้ทางการเห็น ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรม และงานออกแบบต่าง ๆ โสตศิลป์หมายถึง ศิลปะที่รับรู้ได้ทางการฟัง ได้แก่ดนตรี สังคีตศิลป์คีตศิลป์และ โสตทัศนศิลป์หมายถึงศิลปะที่รับรู้ได้ทางการฟังและการดูได้แก่นาฏศิลป์และ ภาพยนตร์การแบ่งประเภทในลักษณะน ี้ เหมือนกับการแบ่งสาระในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะมากที่สุด ประเภทของศิลปะ แบ่งตามมิติในผลงาน ได้แก่ศิลปะสองมิติและ ศิลปะสามมิติซึ่งครอบคลุม ทั้งผลงานท ี่เป็นวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ดังน ี้ งานศิลปะสองมิติเป็นงานวิจิตรศิลป์หลักๆ ได้แก่ จิตรกรรมและภาพพิมพ์ โดยที่จิตรกรรม หมายถึง งานวาด ขีด เขียน เส้นด้วยสีหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นงานศิลปะบนระนาบสองมิติ ตัวอย่างเช่น ภาพกินรีภาพไทยหมวดคชะเป็นงานจิตกรรมไทยที่มุ่งดูแบบสองมิติ (ภาพท ี่ 2.2) ภาพพิมพ์หมายถึง การนําสีที่ถูกจัดวางเป็นรูปภาพต่าง ๆ นํามาทาบและถ่ายสีลงสู่วัสดุระนาบสองมิติ ภาพท ี่ 2.2 ภาพจิตรกรรมไทย งานศิลปะสามมิติที่เป็นงานหลักๆ ได้แก่ ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมโดยมีความหมาย ดังนี้ ประติมากรรม (Sculpture) หมายถึง งานปั้น แกะสลักหรือหล่อเป็นงานศิลปะสามมิติ
24 ประติมากรรมแบ่งตามรูปแบบที่ปรากฏ คือ ประติมากรรมนูนต ่ําประติมากรรมนูนสูง ประติมากรรม ร่องลึกและประติมากรรมลอยตัว ส่วนงานปั้น แกะสลักหรือหล่อท ี่เป็นรูปเคารพเรียกว่า ปฏิมากรหรือ พุทธปฏิมา เป็นการแยกออกจากงานประติกรรมท ั่วไป สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง งาน ก่อสร้างต่าง ๆ เป็นงานศิลปะสามมิติที่มีโครงสร้าง (ภาพท ี่ 2.3) ภาพท ี่ 2.3 สถาปัตยกรรมอุโบสถวัดสุทัศเทพวรารามและประติมากรรมเจดีย์จีน งานศิลปะเป็นงานประยุกต์ศิลป์ในกลุ่มของงานออกแบบ ได้แก่ มัณฑนศิลป์พาณิชยศิลป์ เลขนศิลป์ โดยมีรายละเอียดดังน ี้มัณฑนศิลป์ (Decoration Art) หมายถึง ผลงานสร้างสรรค์จากการ ออกแบบตกแต่งต่าง ๆ พาณิชยศิลป์ (Commercial Art) หมายถึง ศิลปะเพื่ อการค้าการโฆษณาทั้งเป็น งาน สองมิติสามมิติและงานภาพเคล ื่อนไหว เช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์การออกแบบเว็ปไซด์และ การออกแบบส ื่ อส ิ่ งพิมพ์เป็นต้น และเลขนศิลป์(Graphic Art)หมายถึง การออกแบบตัวอักษร สัญลักษณ์และภาพต่าง ๆ ที่เป็นเชิงตัดทอน ซึ่งมักจะนําไปใช้กับการงานออกแบบแขนงอื่น ๆ (ภาพท ี่ 2.4 ตัวอย่างเลขนศิลป์สัญลักษณ์ 12 ราศี) ภาพท ี่ 2.4 เลขนศิลป์สัญลักษณ์ 12 ราศี
25 หัตถศิลป์(Craft) หมายถึง งานท ี่ เน้นฝีมือเชิงช่างท ี่ สร้างสรรค์เพ ื่อการใช้สอยและยกระดับ ความประณีตพิถีพิถันมากๆ ตัวอย่างกล่องผ้าลายไทย ที่เป็นงานหัตถศิลป์ที่ต้องทําด้วยมือ (ภาพท ี่ 2.5) ศิลปะพื้ นบ้าน(Folk Art) หมายถึง งานท ี่ ชาวบ้านทําข ึ้ นมาเพ ื่อใช้สอยในชีวิตประจําวัน เช่น เคร ื่ องมือ ดักจับสัตว์กล่องใส่ข่าวไม้ไผ่ หรืองอบ เป็นต้น ซึ่งมีขอบเขตทับซ้อนกับหัตถศิลป์อยู่บางส่วน ภาพท ี่ 2.5 งานหัตถศิลป์ กระบวนการสร้างงานทัศนศิลป์หมายถึง ขั้นตอนหรือวิธีการสร้างสรรค์งานศิลปะที่รับรู้การ เห็นซ ึ่งอาจจะเป็นกระบวนการใหม่หรือกระบวนการที่มีแบบแผนแล้ว สําหรับกรรมวิธีการสร้างงาน ศิลปะในส่วนท ี่จะสอนในวิชาทางทัศนศิลป์ส่วนใหญ่คือ จิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ส่วน สถาปัตยกรรมท ี่ไม่นิยมนํามาอธิบายเพราะเป็นเร ื่ องที่มีการแยกฐานศาสตร์เฉพาะ มีความละเอียดลึกซึ้ง และซับซ้อนไม่เหมาะเกินความเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจในการสร้างงานศิลปะเป็นพ ื้ นฐานที่สําคัญใน การสร้างสุนทรียภาพให้เกิดข ึ้ นอย่างถูกต้องเพ ื่ อความเข้าใจพื้ นฐานท ี่ แตกต่างกันในการนําเสนอผลงาน ของศิลปิน และไม่นํางานแต่ละประเภทไปเปรียบเทียบกันอย่างไม่มีความรู้ กรรมวิธีการสร้างงานศิลปะ ที่จะนําเสนอดังน ี้ กรรมวิธีการสร้างงานสองมิติ เป็นกรรมวิธีการสร้างงานท ี่ สร้างงานในแนวระนาบโดยเน้นเร ื่ อง สีเป็นหลัก คือ กรรมวิธีการสร้างงานจิตรกรรม กรรมวิธีการสร้างงานภาพพิมพ์ กรรมวิธีการสร้างงานจิตรกรรม การสร้างภาพวาดมีกรรมวิธีที่แบ่งแยกตามประเภทของสี ดังน ี้ ภาพวาดลายเส้น (Drawing) คือ การสร้างภาพวาดลายเส้นเกิดจากการใช้ดินสอหรือปากกา สีต่าง ๆขีดให้เกิดภาพต่าง ๆ ภาพวาดลายเส้นท ี่ใช้สีประเภทต่าง ๆ ได้แก่ดินสอดํา แท่งถ่านเครยอง สี หมึก ปากกาดํา (ภาพท ี่ 2.6) ภาพวาดสีพาสเตล (Pastel color) คือ สีที่มีลักษณะคล้ายสีเทียนหรือสีชอล์กท ี่เราใช้กันตอน เด็กวิธีการเขียนค่อยเพ ิ่ มสีเป็นชั้น ๆ ให้ความรู้สึกด้วยรอยของแท่งสีไว้
26 ภาพท ี่ 2.6 ภาพวาดลายเส้นด้วยดินสอดํา ภาพวาดสีฝุ่น (Tempera color) มีวิธีการเขียนได้ 2 แบบ การเขียนสีฝุ่นแบบปูนเปียก (Fresco) เป็นการวาดภาพในขณะที่ปูนท ี่ กะเทาะผิวหน้าเดิมออกแล้วฉาบด้วยปูนปลาสเตอร์ในขณะที่ ยังไม่แห้งสีจะติดคงทน เป็นกรรมวิธีที่ศิลปินในยุโรปตะวันตกนิยมใช้สําหรับการวาดภาพโดยใช้สีลงบน ผนังหรือเพดานท ี่ ฉาบปูนขาวที่ยังเปียกอยู่สีฝุ่นจะซึมเข้าไปเนื้อปูน ส่วนการเขียนสีฝุ่นแบบสีน้ํากาว (Tempera) ผสมกาวหรือไข่ขาวโดยใช้สีจากพืชและสัตว์เช่น ดินแดง ต้นชาดข ั้ นตอนการวาดภาพจาก การเตรียมพ ื้นโดยใช้น้ําผสมใบขี้ เหล็กล้าง หลังจากน ั้ นขม ิ้ นถูขม ิ้นเป็นสีแดงแสดงว่ายังเค็มให้ล้างต่อจน เม ื่ อถูขม ิ้นเป็นสีเหลือง แล้วจึงนําปูนผสมเม็ดมะขามตํามาทาแล้วจึงร่างและระบายสีต่อไป คนไทย โบราณใช้กรรมวิธีนี้เขียนภาพฝาผนังและสมุดข่อยต่าง ๆ ภาพวาดสีน้ํา (Water color) เป็นสีที่มีคุณสมบัติโปร่งแสง ต้องระบายลงบนกระดาษสีขาว ความงามเกิดจากการที่สีซึมและเน ื้ อสีกระจายออกจากกัน คราบสีที่เกิดข ึ้ นน ี้ เรียกว่า ซฟูมาโต (Sfumato) เหมาะกับการเขียนภาพทิวทัศน์ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ทะเลและต้นไม้เป็นต้น ขั้นตอนการ ระบายสีเร ิ่ มจากการระบายสีอ่อนเป็นชั้น ๆค่อยเติมรายละเอียด ภาพวาดสีน้ํามัน (Oil color) สีน้ํามันมีคุณสมบัติทึบแสง สามารถระบายทับกันไปมาใช้น้ํามัน ผสมสีที่เรียกว่าลินสีด หรือน ้ํ ามันสน ช่วยเป็นตัวทําละลายและหล่อล ื่ นสีและนิยมเขียนบนผ้าใบ (Canvas) ขั้นตอนการวาด เร ิ่ มต้นจากการร่างแบบลงบนกรอบผ้าใบแล้วค่อย ๆระบายสีทับเป็นช ั้ นจาก อ่อนไล่เป็นเข้ม กรรมวิธีการสร้างงานภาพพิมพ์ ภาพพิมพ์คือ ผลงานทัศนศิลป์สองมิติที่สร้างข ึ้ นจากการ ออกแบบและจัดทําแม่พิมพ์ต่าง ๆ แล้วนําสีมาระบายลงแม่พิมพ์แล้วประทับลงบนกระดาษเกิดภาพ สวยงามเป็นลักษณะเฉพาะวิธีการ ความงามของภาพพิมพ์อยู่ที่ความคมของแม่พิมพ์และความเรียบของ สีโดยแบ่งกรรมวิธีได้ดังน ี้
27 ภาพพิมพ์นูน (Relief printmaking) เป็นการพิมพ์จากส่วนนูนของแม่พิมพ์ได้แก่ภาพพิมพ์ แกะไม้ (Woodcut) ภาพพิมพ์แกะยาง (Linocut) หรือภาพพิมพ์จากวัสดุต่างๆ(ภาพท ี่ 2.1 ภาพพิมพ์ นูนจากวัสดุต่างๆ) ภาพท ี่ 2.7 ภาพพิมพ์นูนจากวัสดุต่างๆ ภาพพิมพ์ร่องลึก (Intaglio printmaking) เป็นการพิมพ์จากส่วนร่องลึกโดยใช้แม่พิมพ์เป็น โลหะ เช่น ภาพพิมพ์กัดกรด (Etching) ภาพพิมพ์จารเข็ม (Dry point) ภาพพิมพ์มัชฌิมรงค์ (Mezzotint) ภาพพิมพ์พื้นราบ (Paleography printmaking) เป็นการพิมพ์จากผิวเรียบแม่พิมพ์ทําจากแผ่น หินหรือสังกะสีแม่พิมพ์หิน คือ ลิโทกราฟ (Lithograph) แม่พิมพ์สังกะสีคือ ออฟเซท (Offset) ภาพพิมพ์ลายฉลุ (Stencil printmaking) เป็นแม่พิมพ์ที่เกิดจากการฉลุกระดาษหรือโลหะให้สี ลงไปตามร่องท ี่ ฉลุไว้ต่อมาได้พัฒนามาเป็นพิมพ์จากตะแกรงไหม (Silk screen) กรรมวิธีการสร้างงานสามมิติ เป็นกรรมวิธีการสร้างงานที่ขึ้นเพ ื่ อการมองรอบด้านท ี่ มากกว่า 180 องศา ซึ่งประกอบด้วยกรรมวิธีต่างๆ ดังน ี้ กรรมวิธีแกะสลัก (Carving) เป็นกรรมวิธีทางลบ คือ การเอาส่วนย่อยออกจากส่วนใหญ่ การ แกะสลักใช้ในผลงานทั้ งสร้างประติมากรรมและสถาปัตยกรรม เช่น ประติมากรรมสลักจากหินอ่อน รูป เดวิน โดย ไมเคิล แองเจอโร สถาปัตยกรรมกรีก วิหารพาร์เทนอน มีการใช้เสาและส่วนประกอบจาก การสลักหินอ่อน งานแกะสลักท ี่ปรากฏในศิลปะไทยประติมากรรมสลักหินสมัยลพบุรีทับหลังนารายณ์ บรรทมสินธุ์หรือ งานสลักผลไม้ของไทย(ภาพท ี่ 2.8)
28 ภาพท ี่ 2.8 งานแกะสลักผักผลไม้ กรรมวิธีการปั้น (Modeling) เป็นวิธีการท ี่ เพ ิ่ มเข้ามาจนสมบูรณ์หรือวิธีทางบวก (Additive process) งานปั้ นท ี่เป็นที่รู้จักอย่างหน ึ่ งคือเคร ื่องปั้ นดินเผาซ ึ่งเป็นงานปั้ นท ี่ มนุษย์ใช้สร้างสรรค์งาน ศิลปะมาตั้ งแต่ยุคโบราณ ประมาณ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล ตัวอย่างงานเคร ื่องปั้ นดินเผาที่สําคัญ คือ เคร ื่องปั้ นดินเผาลายเชือกขด แหล่งอารยธรรมบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานีเคร ื่องปั้ นดินเผาสมัยสุโขทัย เรียกว่า สังคโลก เคร ื่องปั้ นดินเผาสมัยอยุธยา เรียกว่า เบญจรงค์ดินดิบ และแจกันดําศิลปะกรีก เป็น ต้น ศิลปะปูนปั้นไทยเป็นงานปั้ นชนิดหน ึ่ งที่นิยมสร้างในศิลปะไทยมีกรรมวิธีการเฉพาะผลงานมีเสน่ห์ ในเชิงศิลปะอย่างยิ่ง ขั้นตอนการทําปูนปั้นไทยเริ่ มจาก ขั้นตอนการทําปูนปั้น การนําปูนท ี่ได้จากการเผา เปลือกหอยและหินปูน นําปูนไปแช่น้ําแล้วกรองเอาเฉพาะปูนละเอียดหมักแช่น้ําให้นานที่สุด ผสมปูน ทราย กระดาษแช่น้ํา น้ําอ้อยเค ี่ ยว แล้วนําไปตําจนเป็นเน ื้ อเดียวกันหมักไว้สองสัปดาห์ก่อนนําไปใช้ ขั้นตอนการปั้น ออกแบบและเตรียมลายทําข ึ้ นรูปกับลวดยึด เรียกว่า โกลนปูนปั้น แล้วจึงลวดลาย ตกแต่ง(ภาพท ี่ 2.9) เช่น ประติมากรรมปูนปั้ นสมัยทวารวดีนักดนตรีเมืองคูบัว ราชบุรี ประติมากรรม ปูนปั้ นสมัยอยุธยา ลายปูนปั้ นวัดไลย์ลพบุรี ประติมากรรมปูนปั้ นสมัยสุโขทัย ลายปูนปั้ นวัดนางพญา ศรีสัชนาลัย ประติมากรรมปูนปั้ นล้านนาที่วัดพระสิงห์ เชียงใหม่ และพระอัจนะ วัดศรีชุม สุโขทัย เป็นต้น ส่วนการปั้นในการสร้างศิลปกรรมปัจจุบันที่นิยมสร้างมักจะทําควบคู่กับการหล่อมีการข ึ้ นรูป จากโครงเหล็กใช้ดินเหนียวปั้ นเพ ิ่มจนเป็นรูปที่ต้องการแล้วจึงนําไปหล่อด้วยวัสดุต่างๆต่อไป
29 ภาพท ี่ 2.9 ประติมากรรมปูนปั้น แบบนูนต่ํา กรรมวิธีการคงท ี่ (Repousse) เป็นวิธีการทุบตีเคาะ วัสดุอ่อนโลหะหรือดินเหนียว เพ ื่อให้เป็น รูปทรงตามต้องการ เช่นการทําขัน บาตร เป็นต้น กรรมวิธีการทําขันเงินซ ึ่งเป็นวิธีการคงท ี่ อย่างชัดเจน วิธีหน ึ่ งกรรมวิธีส่วนใหญ่เร ิ่ มต้นจากการหล่อโลหะออกเป็นแผ่น นํามาตีขึ้นรูปตามต้องการ นําไปเขียน ลายด้วยเหล็กแหลม นําชันมาอุดให้ทั่วภายใน ตีลายให้นูนโดยชันจะทําหน้าที่รับแรงกดไม่ให้ผิวภาชนะ ขาดจากกัน ขัดตกแต่งผิวให้สวยงาม กรรมวิธีการหล่อ (Casting) เป็นวิธีการที่สําคัญท ี่ สร้างงานได้คงทนและออกมาเป็นจํานวนมาก โดยการอาศัยแม่พิมพ์คือพิมพ์ทุบ(ใช้ได้เพียงคร ั้ งเดียวทุบทิ้ง) หรือพิมพ์ชิ้น(ซึ่งจะมีตั้งแต่2 ชิ้นข ึ้นไป ประกอบกัน สามารถหล่อจํานวนหลายชิ้น ) การทําเคร ื่ องเคลือบดินเผาในระบบอุตสาหกรรมใช้การ หล่อจากพิมพ์ชิ้น ผลงานหล่อโลหะที่สําคัญ ได้แก่รูปพระโพธิสัตว์หล่อสําริดศิลปะศรีวิชัย พระพุทธชิน ราชหล่อโลหะสําริดปิดทอง ศิลปะสุโขทัย หรือ ประติมากรรมนักคิดหล่อสําริดของโรแดง ศิลปะลัทธิอิม เพรสชันนิส เป็นต้น กรรมวิธีการสร้างงานศิลปะไทย ศิลปะไทยมีลักษณะเด่นส่วนใหญ่เป็นกรรมวิธีที่เป็นงานฝีมือท ี่ ละเอียดวิจิตรประณีต มีวิธีการหลักดังน ี้ การทําเคร ื่ องถม ศิลปะการทําเคร ื่องถมเป็นท ี่ ยอมรับและรู้จักว่าจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมี ข้อสันนิษฐานว่าได้รับกรรมวิธีการต่าง ๆจากชาวโปรตุเกส เคร ื่ องถมมี 3 ประเภท คือ ถมดํา คือ การ ลงน ้ํ ายาถมสีดําบนเคร ื่ องเงิน ถมทอง คือ การลงน ้ํ ายาถมสีและทาทองบนเคร ื่ องเงิน ถมตะทองคือการ ถมที่มีการเว้นสีเงินและทาทองเป็นช่วง ศิลปะการทําเคร ื่ องถมเร ิ่ มต้น การทําทองรูปพรรณ การ แกะสลักลวดลายให้เป็นร่อง การลงน ้ํายาถมให้เป็นพ ื้ นดําลวดลายจะปรากฏ การเขียนทองในการถมตะ ทอง และขัดตกแต่งลาย การทําเคร ื่ องเขิน ศิลปะการทําเคร ื่ องเขิน เป็นกรรมวิธีการสร้างงานศิลปะที่นิยมทํากันใน ภาคเหนือของไทยเรียกว่า เคร ื่ องชัก เคร ื่ องหาง เร ิ่ มต้นการทําโดยการขึ้ นรูปจักสานไม้ไผ่นํารักสมุก(รัก ผสมใบตองแห้งเผาบด) ทาให้ทั่วแล้วลงชาดให้เป็นสีแดงท ั่ วแล้วเขียนลายทองหรือสีดําลงไป
30 การทําลายรดน ้ํ าและลายรดน ้ํ ากํามะลอ ลายรดน ้ํ าจัดเป็นศิลปกรรมชั้ นสูงของไทยมีหลาย ประเภทแบ่งตามลักษณะวัสดุที่มาสร้าง ดังน ี้การปิดทองคํา คือ การนําแผ่นทองมาปิดบนยางรักจะเกิด สีทองและสีดํา การปิดทองล่องชาด เป็นการปิดทองบนพ ื้ นชาด(สีแดง) และส่วนลายรดน้ํา คือ กรรมวิธี ล้างลายทองออกด้วยน้ํา กรรมวิธีเร ิ่ มจาก ขัดพ ื้นให้เรียบ ลงรักให้เป็นสีดํา วาดลายลงกระดาษ ปุและ โรยแป้ง เขียนหรดาลบริเวณท ี่ไม่ต้องการปิดทอง ปิดทองและน ้ํ ามาล้างหรดาลออกภาพจะปรากฏลาย ทองตามต้องการ งานศิลปะลายรดน้ําปิดทองที่มีความงาม คือ ลายรดน ้ําปิดทองฝีมือครูวัดเชิงหวาย สมัยอยุธยา ที่มีลายกระหนกเปลวพลิ้ วสวยงาม ลายรดน ้ํ ากํามะลอมีความแตกต่างจากลายรดน ้ํ าคือใช้ การเขียนสีผสมน ้ํ ายารักหรือบางที่ก็ใช้การเขียนผงทองแทนการปิดทอง การทําเคร ื่องประดับมุกแบบไทย ศิลปะการประดับมุกเป็นกรรมวิธีการสร้างงานศิลปะได้รับ ความนิยมมากในสมัยอยุธยาสันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากจีน กรรมวิธีเร ิ่ มต้นจาก เตรียมพื้น เขียนลายแล้วตัดหอยมุกมาติด ลงรักให้เต็มพ ื้ นเห็นลายมุก ขัดแต่งผิว ความงามเกิดจากสีที่แวววาว ของมุกและลาดลายท ี่ได้ช่องไฟสวยงาม การทําหัวโขนและหุ่นต่าง ๆ หัวโขนเป็นศิลปะประกอบนาฏกรรมชั้ นสูงของไทยมีทั้งหัวท ี่เป็น หัวครูและหัวท ี่ใช้แสดง กรรมวิธีเร ิ่ มจากการข ึ้ นรูปด้วยหุ่นดิน การปิดกระดาษลงบนตัวหุ่น เม ื่ อแห้ง ทําการผ่าหุ่นเย็บประกอบ ปิดกระดาษเพ ื่ อเกล ี่ ยหน้าให้เรียบ นํารักมาปั้ นติดให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ติด จอนหู ติดลายประดับต่าง ๆ ลงรักปิดทองและเขียนหน้า (ภาพท ี่2.14) ส่วนหุ่นไทยเป็นงาน ศิลปกรรมที่เป็นมหรสพโบราณของไทยใช้เล่น ประกอบในงานต่างๆท ั้ งงานศพและงานมงคล โดยต้อง เล่นในโรงที่มีปลูกไว้กว้าง 5 เมตรมีอยู่ 3 ประเภท คือ หุ่นหลวง เกิดข ึ้นปลายสมัยอยุธยามีความสูง ขนาด 1 เมตรมีแกนและสายสําหรับเชิด หุ่นละครเล็ก เป็นหุ่นที่มีขนาดเล็กไม่มีแกนใช้คนชักเชิดด้าน นอก หุ่นกระบอก เกิดข ึ้นประมาณ พ.ศ.2436 ขนาดสูงประมาณฟุตเศษการเคล ื่อนไหวโดยใช้มือและ แกนไม้สอดไปในเสื้ อท ี่ เย็บเป็นเหมือนถุงหุ่นชนิดน ี้ไม่มีมือ ภาพท ี่ 2.10 หัวโขน
31 2. ความเป็นมาของศิลปะ ความเป็นมาของศิลปะหรือการเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์แบ่งออกเป็นประวัติศาสตร์ศิลปะ ตะวันตกและไทย ทัศนศิลป์ตะวันตก ได้แก่ ศิลปะที่ เกิดข ึ้ นบริเวณประเทศอียิปต์ ตะวันออกกลาง และบริเวณทวีปยุโรป โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ยุคสมัย ศิลปะสมัยโบราณ ศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์ศิลปะจากความเชื่ อเร ื่ อง อภินิหารแห่งความสมบูรณ์เร ื่ องอภินิหารแห่งความตาย อภินิหารแห่งการสํานึกบาป สถาปัตยกรรมมี การสร้างส ิ่ งก่อสร้างโดยการนําหินมาเรียงเป็นรูปทรงต่าง ๆบริเวณกลางแจ้งแสดงให้เห็นในเรื่ องความ ยิ่งใหญ่และวิญญาณ อนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ณ ที่ราบซอลส์บรีประเทศอังกฤษ (ประมาณ 500,000 ปี –1,300 ปีก่อนคริสตกาล) จิตรกรรมมนุษย์ยุคหินนิยมเขียนภาพไว้ตามผนังถ ้ํ าแสดงเร ื่ องราวของ สิ่งแวดล้อม ภาพสัตว์ถูกฆ่าและภาพสัตว์ที่สวยงามประติมากรรมมีการสลักหินเป็นอาวุธและ ประติมากรรมรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะประติมากรรม วีนัสแห่งวีเลนดอฟที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความ อุดมสมบูรณ์ ศิลปะอียิปต์โบราณ อียิปต์จัดเป็นอารยธรรมท ี่ เจริญรุ่งเรืองมีการสร้างสรรค์ศิลปะหลากหลาย และเกิดการใช้อักษรภาพ (Hieroglyphs) การสร้างสรรค์ศิลปะจากความเชื่อ อํานาจเทพเจ้าและ กษัตริย์และเก ี่ ยวกับการตายแล้วเกิดใหม่ สถาปัตยกรรม มีการสร้างท ี่ เก็บศพของฟาโรห์มีด้วยกัน 3 แบบ คือ มาสตาบา ปิรามิด สุสานสกัดผา ประติมากรรม มีการสร้างประติมากรรมในหลายลักษณะ มี การใช้การวางท่าทางท ี่เป็นแบบแผนเดียวกัน เช่น ท่ายืนด้านข้าง ท่าน ั่ งห้อยขา เป็นต้น จิตรกรรม มีการ เขียนภาพระบายสีที่สวยงามนิยมเขียนภาพลงบนกระดาษปาปิรัสและผนังสุสานภาพมีการเขียนศีรษะ ใบหน้า และขาด้านข้าง ลําตัวและตาเขียนด้านหน้า ขนาดของบุคคลสําคัญจะวาดให้ใหญ่กว่าสามัญชน (ภาพท ี่ 2.11) ภาพท ี่ 2.11 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมอียิปต์ ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia.2014 ศิลปะกรีก ศิลปะกรีกจัดเป็นศิลปะคลาสสิค การสร้างสรรค์ศิลปะจากความเชื่อ ในอํานาจเทพ เจ้า การปกครองระบอบประชาธิปไตย และความงามคือความบริสุทธ ิ์ และชัดเจน มีการสร้างเมืองบนท ี่ สูงเรียกว่า อะโคโปริสวัสดุในการก่อสร้างนิยมใช้หินอ่อนเป็นหลักและใช้แผนผังทรงส ี่ เหล ี่ ยมพ ื้ นผ้า ประติมากรรม มีการสลักหินอ่อนเป็นรูปประติมากรรมคนเป็นส่วนใหญ่ เป็นท่าทางแบบนักกีฬา เทพ
32 เจ้าและมนุษย์เปลือย จิตรกรรม ปรากฏบนแจกันหรือไหรูปทรงต่างๆ เป็นเร ื่องราวในตํานาน นักกีฬา และเทพเจ้า(ภาพท ี่ 2.2) ภาพท 2.12 ี่ ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมกรีก ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ศิลปะโรมัน ชาวโรมันได้รับการยอมรับว่าเป็นชาตินักรบและนักต่อสู้ เป็นอาณาจักรที่มีความ มั่นคงมีกฎหมาย การค้าที่รุ่งเรือง มีความสามัคคีมีเสรีภาพและมีกองทัพท ี่ เข้มแข็ง การสร้างสรรค์ ศิลปะจากความเชื่อในอํานาจและชัยชนะ ในชีวิตปัจจุบัน และในเหตุผลและยอมรับผู้มีเหตุผลที่ดีกว่า สถาปัตยกรรม มีการสร้าง วิหาร สนามกีฬา สะพานส่งน้ํา โดยมีส่วนของประตูหน้า-ต่าง และหลังคา โค้ง ประติมากรรม ส่วนใหญ่เป็นรูปแกะสลักภาพ คนเหมือนรูปนักรบ นักการเมือง แสดงรูปร่าง แข็งแรง จิตรกรรม ส่วนใหญ่นิยมเขียนจิตรกรรมปูนเปียก เช่น ภาพท ี่ ผนังเมืองปอมเปอี และเมือง เฮอร์คูเรเนียม เป็นต้น (ภาพท ี่ 2.13) ภาพท ี่ 2.13 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมโรมัน ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ศิลปะสมัยกลาง เป็นการสร้างสรรค์ศิลปะที่มีเร ื่ องราวความเก ี่ ยวเน ื่ องกับคริสตศาสนา เทพ นิยาย ตํานานกรีกและโรมัน พัฒนาการทางศิลปะในสมัยนี้ยังคงยึดแบบอย่างของกรีกและโรมันอยู่มาก ศิลปะไบแซนไทน์โดยทั่วไปคนนับถือศาสนาคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิกอย่างเคร่งครัด รูปแบบที่ เน้นความน ิ่ งสงบแสดงพลังศรัทธาในศาสนา สถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่มีการก่อสร้างด้วยทรง โค้งจากอิทธิพลของโรมันมีการตกแต่งเสาและผนังด้วยกระเบ ื้ องสี จิตรกรรมและประติกรรมจะปรากฏ เป็นภาพประดับกระเบ ื้ องสี(Mosaic) ลักษณะท่ายืนตรงแสดงความน ิ่ งสงบและความศรัทธาต่อศาสนา
33 ศิลปะโรมาเนสก์เป็นศิลปกรรมในยุโรปช่วงท ี่ เกิดภาวะตกต ่ํ าแย่งชิงทางศาสนาหรือสงครามครู เสดการสร้างศิลปกรรมด้วยความเช ื่ อเก ี่ ยวกับศาสนาคริสต์ โดยนําเอารูปแบบศิลปะโรมันมาเป็น แบบอย่าง สถาปัตยกรรม มีการใช้รูปโค้ง และมีการสร้างหอคอย ประติมากรรม เป็นเร ื่ องราวทาง ศาสนา จิตรกรรม ส่วนใหญ่เป็นภาพแบบปูนเปียกตกแต่งฝาผนังอาคารและวิหารต่างๆ มีการใช้สี สดใสนิยมวาดภาพแสดงรูปคนในท่ายืนหรือนั่ง มีแสงเงาแสดงร ิ้ วลายผ้า ศิลปะกอธิก เกิดข ึ้นในยุคกลางของยุโรป มีการแข่งขันกันสร้างวัดขนาดใหญ่ โดยมีความเชื่อ ในศาสนาคริสต์ สถาปัตยกรรม มีการสร้างโบสถ์วิหาร อาคารต่าง ๆ ลักษณะชลูดส่วนยอดเรียว มีการ ใช้เพดานเป็นแบบโค้งแหลม ประติมากรรม ลักษณะสูงเรียวตามสถาปัตยกรรม มีการแสดงร ิ้ วลายผ้าท ี่ ชัดเจนและเน้นรูปทางศาสนา จิตรกรรมเน ื่องจากสถาปัตยกรรมโกธิคมีประตูหน้าต่างมาก จึงมีพื้นท ี่ใน การวาดภาพประดับผนังน้อยจึงมีการใช้ภาพประดับกระจกสีตามประตูหน้าต่าง เรียกว่า สแตนกลาส (Stained Glass) ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หมายถึง dkiนํารูปแบบศิลปะและวิทยาการของกรีกและโรมัน เป็นแม่แบบ เร ิ่ มต้นยุคน ี้ จากอิตาลีและเผยแพร่ไปทั่ วยุโรป สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของกรีกและ โรมัน โดยสังเกตจากประตู หน้าต่าง และหลังคาที่มีการใช้รูปทรงโค้ง ประติมากรรมลักษณะการ สร้างรูปเปลือยแบบศิลปะกรีกและการแสดงออกซ ึ่ งอํานาจและชัยชนะแบบโรมันโดยการทําสลักคนสวม ชุดนักรบและนักการเมือง ประติมากรที่สําคัญ คือ ไมเคิลแอนเจโล ซึ่งนิยมใช้เทคนิคการสลักหิน นอกจากน ั้ นยังเขียนภาพปูนเปียก (Fresco)บนผนังและเพดานวิหารซิสติเน่ในนครวาติกัน ลีโอนาร์โด ดา วินช ี่ ศิลปินผู้สร้างผลงานภาพโมนาลิซ่า ภาพสตรีแสดงรอยย ิ้ มอย่างลึกลับและใช้เทคนิคสร้าง ระยะใกล้ไกล โดยเขียนไม่ชัดมากเหมือนมีหมอกมาบัง บ็อตติเชลล ี่ ศิลปินท ี่ วาดภาพท ี่ เน้นเส้นรอบ นอกที่ชัดเจน องค์ประกอบแสดงความสมดุลเร ื่ องราวของเทพนิยายและภาพพระคัมภีร์ (ภาพท ี่ 2.14 ) ภาพท ี่ 2.14 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปตยกรรมสมั ัยฟนฟืู้ศิลปวิทยาการ ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ศิลปะบาโรกและโรโกโก เป็นการพัฒนาที่ต่อเน ื่ องจากศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ โดยที่ ปรากฏความคลายคลึงกันโดยเฉพาะสถาปัตยกรรม ส่วนศิลปะที่เป็นรูปคนและสัตว์จะมีลักษณะการ เคล ื่อนไหวล่องลอย สถาปัตยกรรมมีการตกแต่งประดับประดาอย่างหรูหราท ั้ งจิตรกรรมและ ประติมากรรม ส่วนในยุคโรโกโกจะมีการใช้สีทองประกอบเป็นจํานวนมาก ประติมากรรม ส่วนใหญ่ จะเป็นรูปสลักแสดงอาการเคล ื่อนไหวร่างกายดุจนางละครในนาฏศิลป์และแสดงถึงอารมณ์ทางใบหน้า รูปสลักที่มีชื่อเสียงคือผลงานของแบร์นินี่ เป็นรูปอารมณ์ปิติสานต ิ์ ของนักบุญเธเร