34 ศิลปะนีโอ-คลาสสิค ศิลปะในสมัยนี้มีการใช้หลักเหตุผลในการสร้างสรรค์งานศิลปะและรับ อิทธิพลจากศิลปะกรีกและโรมัน ภาพวาดส่วนใหญ่มีระยะไกลใกล้ มีฉากหลังเป็นอาคารแบบกรีกหรือ โรมัน ประติมากรรม ส่วนใหญ่มีการเน้นการวางท่าทางคลาสสิคแบบกรีก ที่แสดงอารมณ์อ่อนช้อย นุ่มนวล ดาวิด เป็นจิตรกรคนสําคัญเป็นผู้นิยาม ศิลปะว่าเป็นดวงประทีปแห่งเหตุผล ภาพเขียนจึงนิยม เขียนภาพการต่อสู้ของนักรบ กษัตริย์และวีรบุรุษโบราณ แองค์กเป็นจิตรกรที่นิยมหญิงเปลือยแบบ คลาสสิค เช่น ภาพสาวในฮาเร็มและ การอาบน ้ํ าแบบตุรกี เป็นต้น ศิลปะจินตนิยม มีความคิดพ ื้ นฐานท ี่ เช ื่ อว่าศิลปะต้องแสดงคุณค่าทางอารมณ์มากกว่าเหตุผล รูปแบบศิลปะจะแสดงออกเรื่ องอารมณ์ ความต ื่ นเต้น ความสยดสยองในเหตุการณ์น่าสะเทือนใจ จิตรกรรมในยุคน ี้ เน้นภาพเหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้น เช่น เจอริโกต์เป็นศิลปินท ี่ สร้างสรรค์ผลงานที่น่า กลัวและต ื่ นเต้นเช่น ภาพแพเมดูซาซ ึ่งเป็นเหตุการณ์การอับปางของเรือ เขาได้สอบถามผู้รอดชีวิตมา เป็นข้อมูลในการวาดภาพ โกย่าเป็นจิตรกรชาวสเปนที่นิยมวาดภาพแสดงความน่าเกลียดน่ากลัวหรือ การทรมาน ผลงานช ิ้ นสําคัญ คือ ภาพการประหารกบฏโดยพวกทหารชาวฝรั่ งเศส และเดลากรัวเป็น จิตรกรที่นิยมเขียนภาพแสดงความต ื่ นเต้น ผลงานที่สําคัญคือ ภาพอิสรภาพนําประชาชน (ภาพท ี่ 2.15) ภาพท ี่ 2.15 จิตรกรรมศิลปะลัทธิจินตนิยม ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ศิลปะสัจนิยม เป็นศิลปะที่นิยมแสดงออกตามความเป็นจริง ศิลปินลัทธินี้นิยมถ่ายทอด เหตุการณ์ที่เป็นจริงท ี่ เขาร่วมรับรู้อยู่ เช่น ความยากจน ความเหล ื่ อมล ้ํ าต ่ํ าสูงของฐานะคนเป็นต้น กูร์ เบต์เป็นจิตรกรหัวหน้ากลุ่มศิลปะนี้ นิยมวาดภาพเยาะเย้ยล้อเลียนคนช ั้ นสูงกับคนช ั้ นกลาง ผู้นํา รัฐบาลในฝรั่ งเศส ซึ่งภายหลังเขาถูกเนรเทศออกจากฝรั่ งเศส (ภาพท ี่ 2.16 ) ภาพท 2.16 ี่ จิตรกรรมศิลปะลัทธิสัจนิยม ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014
35 ศิลปะสมัยใหม่ เป็นการสร้างสรรค์งานท ี่แปลกไปจากยุคที่ผ่านมา โดยที่ศิลปินแสดงออกทาง ศิลปะได้อย่างอิสระ ไม่ยึดติดกับเร ื่ องราวทางศาสนา ศิลปินเปิดตัวเองสู่โลกธรรมชาติจริงมีการค้นคว้า ทดลองที่นํามาใช้กับศิลปะมากขึ้น ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ลัทธิประทับใจ เร ิ่ มต้นท ี่ประเทศฝรั่ งเศส ความเช ื่อความประทับใจครั้ งแรกเป็นส ิ่ งสําคัญที่สุด ในการแสดงออกทางศิลปะ และมักจะใช้เทคนิคการวาดภาพอย่างรวดเร็วเพ ื่ อเก็บบรรยากาศของ เหตุการณ์ความประทับใจนั้น โมเนต์ เป็นจิตรกรท ี่วาดภาพตามความประทับใจเน้นภาพวาดทิวทัศน์ และธรรมชาติรอบตัว เดอกาส์เป็นจิตรกรที่มีความประทับใจและสนใจในการแสดงบัลเลย์โดยเข้าไป คลุกคลีในวงการบัลเลย์เรอนัวร์ เป็นจิตรกรท ี่ ชอบวาดภาพผู้คนจํานวนมากที่รวมกลุ่มทํากิจกรรมตาม สถานที่ต่าง ๆ และถ้าเป็นภาพผู้หญิงเขาจะเขียนภาพผู้หญิงท ี่ อวบอ้วนผิวพรรณเปล่งปลั่ง โรแดงเป็น ประติมากรท ี่ได้รับการยกย่องว่ามีผลงานที่ดีเด่นในศตวรรษที่ 19 เน้นรูปคนที่ แสดงอาการต่างๆ แฝง ด้วยอารมณ์ที่ใบหน้า (ภาพท ี่ 2.17 ) ภาพท ี่ 2.17 จิตรกรรมและประติมากรรมศิลปะลัทธิประทับใจ ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ลัทธิประทับใจใหม่ ความเช ื่ อว่า แสงคืออนุภาค ดังน ั้ นการวาดภาพจึงแต้มสีเป็นจุด ๆ ทั่วภาพ ตามปริมาณของแสงเงา และลดรายละเอียดโดยใช้รูปทรงง่าย ๆ เซอรา เป็นจิตรกรคนสําคัญในยุคน ี้ เขาใช้หลักการเขียนภาพเป็นจุดแต้มลงเม ื่อมองไกลสีสันจะผสมกันเอง (ภาพท ี่ 2.18) ภาพท ี่ 2.18 จิตรกรรมลัทธิศิลปะลัทธิประทับใจใหม่ ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ลัทธิประทับใจยุคหลัง ศิลปินลัทธินี้มีความเช ื่ อเช่นเดียวกับลัทธิประทับใจ คือ การแสดงออก ตามความประทับใจด้วยบรรยากาศของแสงสีที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติแต่การถ่ายทอดสามารถตัดทอน ดัดแปลงลักษณะกายภาพ เพ ื่อเป็นการกระตุ้นผู้ดู เซซาน เป็นศิลปินที่มีการวาดภาพใช้พู่กันและใบมีด ทําให้การเขียนภาพของเขา มีลักษณะเป็นเหล ี่ ยม มีขอบท ี่เป็นสัน และเส้นผิดจากความเป็นจริง รอย
36 วาดจึงไม่เรียบ ผลงานส่วนใหญ่มักเป็นภาพทิวทัศน์ กอแกง เป็นจิตรกรท ี่เป็นนักค้าหุ้นมาก่อน ภายหลังเขาใช้ชีวิตเขียนภาพท ี่ เกาะตาฮิติในมหาสมุทร แปซิฟิค โดยใช้สีแท้รุนแรงมีความกล้าท ี่ใช้สีตัด กัน ฟินเซนต์ ฟาน ก็อห์ก เป็นลักษณะงานของ ฟาน ก็อห์ก มีการใช้สีสดรุนแรงและมีความเด็ดขาด ของรอยฝีแปรงที่คดโค้ง พล ิ้ วตามรูปทรงของภาพ สร้างอารมณ์สะเทือนใจกับผู้ดูมาก (ภาพท ี่ 2.19) ภาพท ี่ 2.19 จิตรกรรมลัทธิศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ลัทธิโฟวิสต์ คําน ี้ในภาษาฝรั่ งศส แปลว่า การแสดงออกอย่างรุนแรงเย ี่ ยงสัตว์ป่า ศิลปะลัทธิ นี้มีการพัฒนาสืบเน ื่ องจากศิลปะลัทธิประทับใจใหม่และลัทธิประทับใจยุคหลังในฝรั่ งเศส แต่มีการ คล ี่ คลายที่รุนแรงมากขึ้น โดยการใช้สีที่รุนแรงไม่เน้นความกลมกลืน มีรูปทรงในภาพที่บิดบ ี้ ยว อองรี มาตีส ศิลปินเอกท ี่ เขียนภาพโดยการไม่เกล ี่ ยสี มีการตัดทอนหรือดัดแปลงรูปทรง ให้เรียบกลมกลืน หรือบิดเบ ี้ ยว ลัทธิบาศกนิยม เป็นศิลปะที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีส่วนช่วยในการ สร้างสรรค์ภาพคนให้แปลกใหม่ ได้รับอิทธิผลจากภาพเขียนของเซซาน คําว่า คิวบิสม์หมายถึง การ สร้างงานลักษณะเป็นเหล ี่ ยม สัน โค้ง เว้า แสดงความต ื้ นลึกทับซ้อนกันของรูปทรงและสี ปาเบล ปิกัส โซ เป็นศิลปินท ี่ประสบความสําเร็จในการเขียนภาพคนท ี่เป็นเหล ี่ ยมเขามีผลงานออกมามากมาย และ ขายได้ราคาสูง บาร์ค เป็นจิตรกรท ี่ วาดภาพแบบอย่างเดียวกับ ปิกัสโซ เขานิยมวาดภาพเร ื่ องราวของ ธรรมชาติโดยนํามาดัดแปลงให้เป็นรูปร่างแบบเหล ี่ ยมและการทับซ้อนกัน(ภาพท ี่ 2.20) ภาพท ี่ 2.20 จิตรกรรมลัทธิศิลปะลัทธิบาศกนิยม ที่มา: Wikipedia, the free encyclopedia. 2014
37 ลัทธิอนาคตนิยม เป็นการสร้างสรรค์ศิลปะที่ สะท้อนสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้น ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนไม่มีการหยุดนิ่ง ลักษณะผลงานมุ่งแสดงความรู้สึกรูปทรงนั้ นเคล ื่อนไหว จึงได้มีการ ใช้เส้นและรูปทรงที่เป็นเหล ี่ ยมสันซ ้ํ าๆ กันแทนการเคล ื่อนไหวจริง เบลลา จิตรกรผู้วาดภาพคนจูงสุนัข ส่วนภาพของสุนัขมีการวาดภาพซ้ํา ๆ กันทําให้รู้สึกว่าคนกับสุนัขเดินไปพร้อม ๆ กัน ดูชอง ได้วาดภาพ หญิงเปลือยกําลังเดินลงบันได แสดงการเคล ื่อนไหวอย่างชัดเจนเป็นภาพคนกําลังเดินต่อเน ื่ องกัน ลัทธินามธรรม เป็นศิลปะที่ เก ี่ ยวข้องกับจิตใจ โดยการถ่ายทอดส ิ่ งท ี่ พบเห็นในธรรมชาติและ จินตนาการออกมาเป็นภาพในลักษณะตัดทอนจนไม่เหลือส ิ่ งท ี่เป็นรูปธรรมอยู่เลย มอนดรีอัน เป็นศิลปิน นามธรรมท ี่ เช ี่ยวชาญในการจัดวางรูปทรงและนิยมใช้สีไม่มาก บางภาพเขาใช้สีเพียงแค่ 3 สีเท่านั้น ลัทธิเหนือจริง ศิลปะในยุคนี้มีการพัฒนาต่อมาจากศิลปะดาดา เซอร์เรียลลิสม์ หมายถึง ศิลปะของการใช้จิตใต้สํานึกเป็นภาวะแห่งความฝันนํามาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะจึงปรากฏในลักษณะ เหนือจริงเพ ื่อให้คนดูเกิดความรู้สึกท ี่ คล้อยตามไปด้วย ซาวาดอล ดาลี เป็นศิลปินท ี่ เขียนภาพในศิลปะ ยุคน ี้ได้งดงามโดยการใช้สีที่เกล ี่ ยกลมกลืน ดูแล้วเหมือนภาพปรากฏอยู่ในความฝัน ศิลปะลัทธิประชานิยม เป็นการนําเสนอศิลปะในรูปแบบการนําเสนอความเป็นปัจจุบันที่กําลัง ดําเนินไป เช่นเร ื่ องราวดาราภาพยนต์หรือสินค้าท ี่ได้รับความนิยม โดยศิลปินจะใช้เทคนิคตามท ี่ ตนเอง ถนัด (ภาพท ี่ 3.11) ภาพท ี่ 2.21 จิตรกรรมลัทธประชาน ิ ิยม ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ลัทธิศิลปะลวงตา ย่อมาจากออปติคอล (Optical) หมายถึงสายตา ด้วยความเช ื่ อว่า ตามี ความสําคัญกว่าสมอง รูปแบบงานจะเป็นเส้น หรือสีลากสลับ บิดไปมา ทําให้เห็นเป็นภาพต่าง ๆ ลัทธิจลนศิลป์ เป็นศิลปะท ี่ เน้นการเคล ื่อนไหวได้จริง ทั้งใช้เคร ื่ องจักรและพลังงานธรรมชาติ เช่นกระแสลมหรือน ้ําเป็นต้น ผลงานสําคัญประติมากรรมแบบแขวนและต ั้ งพ ื้ นผลงานของอเล็กซาน เดอร์คอลเดอร์โดยอาศัยพลังงานธรรมชาติจากลม ความเป็นมาหรือประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ไทย ศิลปะก่อนสมัยประวัติศาสตร์ชาติไทย เร ิ่ มต้นจากศิลปะสมัยยุคหิน มีการพบภาพเขียนก่อน ประวัติศาสตร์เร ื่ องราวสัตว์และการล่าสัตว์ต่าง ๆ มีการค้นพบภาชนะดินเผาเขียนสีลายเชือกทาบและ ลายเขียนสีที่บ้านเชียง หนองหาน จังหวัดอุดรธานี(ภาพท ี่ 2.22)
38 ภาพท ี่ 2.22 จิตรกรรมและเคร ื่องปั้ นดินเผาสมัยยุคหินในประเทศไทย ศิลปะสมัยทวารวดีศิลปะในสมัยน ี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะคุปตะของอินเดียเข้าใจกันว่ามี ศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐมและเมืองฟ้าแดดสงยาง ที่จังหวัดกาฬสินธุ์“ทาวารวดี” สันนิษฐานว่า น่าจะเพ ี้ ยนจากคําว่าโถ-โล-โป-ตีที่ภิกษุชาวจีน ชื่อ เห ี้ ยนจังได้บันทึกเหตุการณ์ที่เดินทางผ่านมาถึงชน ชาติส่วนใหญ่ใช้ภาษามอญและนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน สถาปัตยกรรม หลักฐานส่วนใหญ่ไม่ อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ที่มีอยู่พอจะสรุปรูปแบบได้คือ มีการสร้างสถูปทรงเหล ี่ ยมและเจดีย์ทรงบาตรคว่ํา มีการใช้ส่วนประกอบสถาปัตยกรรมเป็นดินเผาในช่วงแรกและเป็นปูนปั้นในยุคต่อมา ประติมากรรม ชาวทวารวดีนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยานสร้างพระพุทธรูปที่ ขมวด ผมใหญ่หน้าแบน คิ้วต่อเป็นปีก กา ตาโปน จมูกแบน ปากแบะใหญ่และมือ-เท้าใหญ่ นิยมสร้างพระพุทธรูปในลักษณะ น ั่ งห้อยขา ปาง ปฐมเทศนา ประติมากรรมท ี่ พบมากอีกประเภทหนึ่ งคือภาพปูนปั้ นนูนสูงเร ื่ องชาดกต่างๆ ใช้สําหรับ ตกแต่ง (ภาพท ี่ 3.13 ) ภาพท ี่ 2.23 ประติมากรรมสมัยทวารวดี ศิลปะสมัยศรีวิชัย เป็นอาณาจักรที่อําเภอไชยา สุราษฎร์ธานี ชาวศรีวิชัยได้รับอิทธิพลจาก ศิลปะอินเดีย ร่วมกับการนับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน นิยมสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สถาปัตยกรรมมีลักษณะเด่นท ี่ การสร้างสถูปแบบ เจดีย์ยอดแซง (มีหลายยอดในหนึ่ งเจดีย์)แบบชวา เป็นเจดีย์ทรงปราสาท มีหลังคาหลายชั้น มีซุ้มจระนําท ั้ งสี่ด้าน ประติมากรรมนิยมสร้างประติมากรรม หล่อสําริดเป็นรูปพระโพธิสัตว์อวโลกเตศวรมาก และสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรกรวมถึงพระพิมพ์ดิน ดิบ (ภาพท ี่ 2.24 )
39 ภาพท 2.24 ี่ สถาปัตยกรรมและประติมากรรมสมัยศรีวิชัย ศิลปะสมัยลพบุรี ศิลปะลพบุรี หมายถึง ศิลปะที่มีอิทธิพลขอมผสมผสาน และศิลปกรรม ขอมท ี่ปรากฏอยู่ในที่ต่างๆของประเทศไทย ความเช ื่ อของการสร้างศิลปะในสมัยน ี้ เกิดจากการนับถือ ศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธมหายาน สถาปัตยกรรม มีการสร้างศาสนสถานทรงปราสาทที่ สร้างจากหิน หรืออิฐ เป็นปราสาททรงฝักข้าวโพดของขอม ส่วนประติมากรรมนิยมสร้างประติมากรรมสลักหินมีทั้ง เทวรูปฮินดูและพระพุทธรูปซึ่ งนิยมสลักท่าน ั่งปางสมาธิและประติมากรรมที่มีชื่อเสียงมากคือทับหลัง (แผ่นศิลาท ี่ อยู่ด้านบนของประตู) นารายณ์บรรทมสินธุ์ (ภาพท ี่ 2.25) ภาพท 2.25 ี่ ประติมากรรมสมัยลพบุรี ศิลปะสมัยเชียงแสน-ล้านนา ศิลปะเชียงแสนหมายถึงศิลปะท ี่ เกิดข ึ้นในบริเวณภาคเหนือของ ประเทศไทยเริ่ มต้นต ั้ งแต่พุทธศตวรรษท ี่16 อาณาจักรเชียงแสนที่ตั้งบริเวณฝั่ งขวาของลุ่มน ้ําโขง สืบต่อ มาถึงอาณาจักรล้านนาพุทธศตวรรษท ี่ 19 โดยมีพ่อขุนเม็งรายเป็นผู้นํา มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ สมัยน ี้ คนนับถือศาสนาพุทธแบบหินยาน มาเป็นลําดับเจริญเป็นแหล่งพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง สถาปัตยกรรม มีการสร้างเจดีย์หลายลักษณะท ั้ งทรงเหล ี่ ยม ทรงกลม โดยมีเจดีย์ที่เป็นเอกลักษณ์คือ เจดีย์ทรงระฆังในผังแปดเหลี่ ยม เช่น พระธาตุดอยสุเทพ ส่วนโบสถ์มีการสร้างอาคารแบบไม่มีเพดาน และฝากั้ นนิยมใช้ลายปูนปั้น ประดับตกแต่งส่วนบ้านเรือนมีการใช้กาแลเป็นเคร ื่ องตกแต่งหลังคาเป็น ส่วนยอดของจั่ว ประติมากรรม มีการสร้างพระพุทธรูปที่สวยงามโดยมีลักษณะเด่นคือ พระรัศมีเป็นดอก บัวตูมหรือลูกแก้วสรีระอวบอ้วน พระแก้วมรกตก็เป็นพระพุทธรูปในยุคน ี้ นอกจากน ั้ นยังมีการสร้างงาน ปูนปั้นไว้ได้อย่างสวยงามประดับสถาปัตยกรรมมากมาย และจิตรกรรม มีการเขียนภาพจิตรกรรมที่มี
40 เอกลักษณ์และแสดงเอกลักษณ์ วิถีชีวิต การแต่งกาย ของชาวภาคเหนือรวมถึงเร ื่ องราวของนิทานหรือ ชาดกในภาคกลาง (ภาพท ี่ 2.26) ภาพท ี่ 2.26 จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมสมัยลพบุรี ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ศิลปะสมัยประวัติศาสตร์ชนชาติไทย เร ิ่ มต้นต ั้ งแต่สมัยสุโขทัยท ี่ เร ิ่ มมีการค้นคิดลายสือไทยขึ้น ใช้มีการพัฒนารูปแบบศิลปะที่มีลักษณะเฉพาะตนอย่างสวยงามสืบเน ื่ องมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาและ รัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน ศิลปะสมัยสุโขทัย ศิลปะในยุคน ี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปะไทยที่ เจริญสูงสุดสามารถสร้าง แบบฉบับของตนเองทางด้านศิลปกรรม ด้วยความเช ื่ อตามพุทธศาสนานิกายหินยานจากลังกา และ ศิลปะศรีวิชัย สถาปัตยกรรมมีการสร้างสถูปเจดีย์ทรงระฆังมีช้างล้อมและเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือทรง ดอกบัวตูมท ี่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศิลปะสถาปัตยกรรมสมัยน ี้ (ภาพท ี่ 2.27) ประติมากรรมมีการ สร้างพระพุทธรูปที่ สวยงามครบทั้ง 4 อิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน และยังมีการใช้ประติมากรรม ปูนปั้ นท ี่เป็นเอกลักษณ์เคร ื่ องสังคโลก เป็นหัตถศิลป์เป็นเคร ื่องปั้ นดินเผาท ี่ เคลือบสีเขียวเป็นงานศิลปะ ที่ชาวสุโขทัยทําได้สวยงามแรวมถึงนํามาใช้เป็นเคร ื่องประดับสถาปัตยกรรม (ภาพท ี่ 2.28) ภาพท ี่ 2.27 สถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014
41 ภาพท ี่ 2.28 พุทธปฎิมากรสมัยสุโขทัย ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 ศิลปะสมัยอยุธยา ศิลปะในยุคน ี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาและวัฒนธรรมขอม ความเช ื่ อระบบ กษัตริย์แบบสมมุติเทพและพิธีกรรมบางอย่างของศาสนาฮินดูจากรูปแบบการสร้างปรางค์หรือปราสาท แบบขอมและการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอม สถาปัตยกรรมในช่วงแรกจะ นิยมสร้างปรางค์เป็นประธานของวัดแทนเจดีย์ช้างล้อมแบบสุโขทัย ต่อมามีการสร้างเจดีย์ทรงระฆังกลม เป็นประธานในวัด ในสมัยพระเจ้าปราสาททองเริ่ มมีการสร้างปรางค์และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองข ึ้นเป็น ประธาน ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง คือ สถาปัตยกรรมแบบอยุธยาจะมีการสร้างฐานและหลังคาแบบตก ท้องช้างหรือแบบกาบเรือสําเภา (ภาพท ี่ 2.29) ประติมากรรม มีการสร้างพระพุทธรูปที่ได้รับอิทธิพล แบบขอมใบหน้าเป็นรูปสี่ เหล ี่ ยมภายหลังได้รับการผสมศิลปะแบบสุโขทัยร่วมด้วยจึงสร้างพระพุทธรูปที่ มีใบหน้าเรียวและต่อมามีการสร้างพระพุทธรูปที่เป็นแบบฉบับเฉพาะคือพระพุทธรูปทรงเครื่ อง (แต่ง กายแบบตัวละคร) (ภาพท ี่ 2.30) ภาพท ี่ 2.29 สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายสมัยพระเจ้าปราสาททอง
42 ภาพท ี่ 2.30 ประติมากรรมสมัยอยุธยา ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 จิตรกรรม มีการพัฒนาจิตรกรรมสูงสุดโดยมีการใช้สีหลายสีมักปิดทองบนลวดลายแต่ การเขียนภาพต้นไม้ ภูเขาและน้ํายังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจีน ส่วนภาพฝาผนังมักจะพบในตามวัดรอบ นอกอยุธยา จิตรกรรมที่มีความสวยงามเป็นพิเศษคือลายรดน ้ํ าบน ตู้พระธรรม ด้วยลายกระหนกเปลว ที่พล ิ้วไหว (ภาพท ี่ 2.31) ภาพท ี่ 2.31 จิตรกรรมสมัยอยุธยา ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ เร ิ่ มต ั้ งแต่พุทธศักราช 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นราชธานี การรับอิทธิพลศิลปะจากยุคก่อน ศิลปะของจีน รวมถึงศิลปะตะวันตกในช่วงเปิดประเทศสมัยรัชกาลท ี่ 5 แต่คงเอกลักษณ์ไทย สถาปัตยกรรม ในช่วงต้นสมัยมีการสร้างส ิ่ งก่อสร้างมีการสร้างเลียนแบบศิลปะอยุธยาและใน สมัยรัชกาลท ี่ 3 มีพระราชนิยมในการสร้างสถาปัตยกรรมแบบจีน ในสมัยรัชกาลท ี่ 4 เป็นต้นมามีการ สร้างสถาปัตยกรรมตามแบบตะวันตกมากข ึ้ นแต่ในบางส่วนยังมี การสอดแทรกรูปแบบสถาปัตยกรรม ไทยด้วย (ภาพท ี่ 2.32) ประติมากรรมมีการสร้างงานที่มีความหลากหลายที่มีรูปแบบดั้ งเดิมเช่นเดียวกับ สมัยอยุธยาและการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกมีการสร้างประติมากรรมท ี่ เหมือนจริงมากขึ้น (ภาพท ี่ 2.33)
43 ภาพท ี่ 2.32 สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ ภาพท ี่ 2.33 ประติมากรรมสมัยรัตนโกสินทร์ ที่มา:Wikipedia, the free encyclopedia. 2014 จิตรกรรม มีลักษณะเช่นเดียวกับประติมากรรมและสถาปัตยกรรมคือในช่วงตอนต้นมีการสร้าง งานตามแบบอยุธยาและต่อมามีการผสมผสานรูปแบบของงานจิตรกรรมแบบตะวันตกมีการเขียนภาพท ี่ มีมิติลึกต ื้ นละแสงเงาท ี่ไม่เคยปรากฏในศิลปะไทยเช่น ต้นไม้ภูเขาและอาคารต่าง ๆ แบบยุโรป สรุป ศิลปะเป็นผลงานในการสร้างสรรค์ของมนุษย์โดยการถ่ายทอดความคิด เน ื้ อหาสาระ และ จินตนาการ ด้วยวิธีการทางช่าง โดยคํานึงถึงทัศนธาตุและหลักการทางศิลปะเพื่อให้ผู้ชมเกิดความ ซาบซ ึ้งในสิ่ งที่ศิลปินนําเสนอ น่าจะเป็นความหมายท ี่ ครอบคลุมทั้ง กระบวนการ หลักการ และคุณค่า เชิงจิตใจ ส่วนงานศิลปะแบบสองมิติและสามมิติที่มีความสําคัญต่อชีวิตมนุษย์ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคม กรรมวิธีการสร้างสรรค์ทัศนศิลป์ในส่วนของงานสองมติคือกรรมวิธีภาพวาดและภาพพิมพ์ กรรมวิธีสามมิติคือ กรรมวิธีงานประติมากรรมและส่วนของกรรมวิธีการสร้างงานศิลปะไทย คือ การ ทํางานช่างต่างๆ นอกจากน ั้ นวัสดุอุปกรณ์และกรรมวิธีสร้างงานทัศนศิลป์ประเภทต่าง ๆ สําหรับเด็ก ประถมศึกษา ครูผู้สอนจําเป็นต้องรู้วิธีการใช้และบํารุงรักษาอุปกรณ์และเคร ื่ องมือของเด็กซ ึ่งเป็นการ ปลูกฝังนิสัยการรักความสะอาดความเป็นระเบียบ ส่วนประวัติศาสตร์ศิลป์ที่เรียนรู้สําหรับครูที่จะทําการ สอนในระดับประถมศึกษาน ั้ นควรมีความรู้โดยภาพรวมเพื่ อจะช ี้ แนะสําหรับเด็กที่มีความสนใจที่ จะ ศึกษาลึกขึ้น โดยที่ จะศึกษาเน้นท ี่ประวัติศาสตร์ทัศนศิลป์ตะวันตกและไทยในยุคสมัย แบบกว้างหรือ
44 ภาพรวม ทั้งผลงานสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรม นอกจากน ี้ ครูที่อยู่ใกล้แหล่งเรียนรู้ก็ สามารถจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลป์ด้วยวิธีสอนทัศนศึกษาได้อีกด้วย คําถามทบทวน 1. จงอธิบายประเภทของทัศนศิลป์ 2. จงสรุปกรรมวิธีการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สองมิติ สามมิติและงานศิลปะไทย 3. จงบอกทัศนศิลป์ตะวันตกมาข้อละ 5 ชิ้น 4. จงบอกทัศนศิลป์ไทยมา มาข้อละ 5 ชิ้น 5. จงบอกศัพท์ภาษาอังกฤษท ี่ เก ี่ ยวข้องกับประวัติศาสตร์ศิลป์มาห้าคําศัพท์
45 เอกสารอ้างอิง ภาษาไทย ราชบัณฑิตสถาน.(2556). พจนานุกรมฉบบราชบั ัณฑิตสถาน พ.ศ.2554. กรุงเทพฯ:นานมีบุ๊คส์. ภาษาอังกฤษ Wikipedia, the free encyclopedia. (2014). Art History. [Online]. Accessed 16 September 2014. Available from http://en.wikipedia.org/wiki/Art_history Wikipedia, the free encyclopedia. (2014). Art History. [Online]. Accessed 16 September 2014. Available from http://en.wikipedia.org/wiki/Thailand.
46
บทที่ 3 การออกแบบการเรียนรูประวัติศาสตรศิลปสําหรับเด็กประถมศึกษา ศิลปกรรมเปนผลทางประดิษฐกรรมของมนุษยที่มีมาแตอดีตกาล การเรียนศิลปะที่มีเนื้อหา เกี่ยวของกับศิลปะในแขนงทัศนศิลปจึงตองเรียนรู เพราะเปนสวนชวยในการสรางความเขาใจและความ ซาบซึ้งของศิลปะไดอยางดี ศิลปกรรมและความงามสองสิ่งนี้แยกออกจากกันไดยากมาก ดังนั้นการเรียน เพื่อการชื่นชมความงามของศิลปะหรือสุนทรียภาพก็จําเปนตองเรียนรูประวัติศาสตรศิลปการสอน ประวัติศาสตรศิลปสําหรับเด็กประถมศึกษานั้นไมจําเปนตองสอนใหมีความลึกซึ้งมากแตควรจะ กําหนดใหเห็นแงมุมตางๆของศิลปกรรมแตละชวงสมัย หรือใหมีประเด็นการชวนคิด ชวนศึกษาคนควา เพิ่มตอ อีกทั้งตองคํานึงถึงความสอดคลองกับตัวชี้วัดและสาระแกนกลางในแตละตัวดวย ขั้นการวิเคราะหการเรียนรู 1) การวิเคราะหเปนหลักสูตรเพื่อกําหนดแผนหรือหนวยการเรียนรู โดยการเรียนรูดานประวัติ ศาสตรศิลปสําหรับเด็กประถมศึกษานั้นเปนการเรียนรูจะตองนําเนื้อหาความเปนมาของศิลปกรรมนั้น และการสอดแทรกปฏิบัติจากงาน 2มิติและ 3 มิติกับศิลปกรรมในอดีต 2) การวิเคราะหตัวชี้วัด การจัดการเรียนรูประวัติศาสตรศิลปในสถานศึกษาตองคํานึงถึงการดึง ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางมาผนวกกับวิธีการสอนตางๆเพื่อที่จะทําใหเกิดการเรียนรูไดอยางเหมาะสม ผูเขียนไดเสนอตัวชี้วัดและสาระแกนกลางที่เกี่ยวของทั้งทางตรง ไดแก การบรรยายหรือเปรียบเทียบ ผลงานทัศนศิลปตางๆ และทางออมที่เปนการปฏิบัติผูสอนอาจจะใหทําผลงานแบบคัดลอกเพื่อเรียนรู ประวัติศาสตรศิลปในดานการสรางงานของศิลปนยุคกอนก็ได ซึ่งในการจัดการเรียนรูศิลปะในระดับ ประถมศึกษาไวดังนี้ ตารางที่ 3.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางที่เกี่ยวของกับการออกแบบการเรียนรูประวัติศาสตร ศิลป มาตรฐาน ศ 1.1 : สรางสรรคงานทัศนศิลปตามจินตนาการ และความคิดสรางสรรค วิเคราะห วิพากษ วิจารณคุณคางานทัศนศิลป ถายทอดความรูสึก ความคิดตองานศิลปะอยางอิสระชื่นชม และประยุกตใชใน ชีวิตประจําวัน ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.1 5. ระบายสีภาพธรรมชาติ -การระบายสีภาพธรรมชาติดวยสีเทียนดินสอสี ป.2 2. ระบุทัศนธาตุที่อยูในสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลปโดยเนนเรื่องเสนสีรูปรางและรูปทรง - เสนสีรูปรางรูปทรงในสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลปประเภทตางๆเชนงานวาดงานปนและ งานพิมพ 5. สรางภาพปะติดโดยการตัดหรือฉีกกระดาษ - ภาพปะติดจากกระดาษ 6. วาดภาพเพื่อถายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว ของตนเองและเพื่อนบาน - การวาดภาพถายทอดเรื่องราว
48 ตารางที่ 3.1(ตอ) ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง 7. เลือกงานทัศนศิลปและบรรยายถึงสิ่งที่มองเห็น รวมถึงเนื้อหาเรื่องราว - เนื้อหาเรื่องราวในงานทัศนศิลป 8. สรางสรรคงานทัศนศิลปเปนรูปแบบงาน โครงสรางเคลื่อนไหว - งานโครงสรางเคลื่อนไหว ป.3 1. บรรยายรูปรางรูปทรงในธรรมชาติสิ่งแวดลอม และงานทัศนศิลป - รูปรางรูปทรงในธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลป 3.จําแนกทัศนธาตุของสิ่งตางๆในธรรมชาติ สิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลปโดยเนนเรื่องเสนสี รูปรางรูปทรงและพื้นผิว - เสนสีรูปรางรูปทรงพื้นผิวในธรรมชาติ สิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป 4. วาดภาพระบายสีสิ่งของรอบตัว - การวาดภาพระบายสีสิ่งของรอบตัวดวยสีเทียน ดินสอสีและสีโปสเตอร 6. วาดภาพถายทอดความคิดความรูสึกจาก เหตุการณชีวิตจริงโดยใชเสนรูปรางรูปทรงสีและ พื้นผิว - การใชเสนรูปรางรูปทรงสีและพื้นผิว วาดภาพถายทอดความคิดความรูสึก 7. บรรยายเหตุผลและวิธีการในการสรางงาน ทัศนศิลปโดยเนนถึงเทคนิคและวัสดุอุปกรณ - วัสดุอุปกรณเทคนิควิธีการในการสรางงาน ทัศนศิลป ป.4 1. เปรียบเทียบรูปลักษณะของรูปรางรูปทรงใน ธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป - รูปรางรูปทรงในธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลป 2. อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของสีวรรณะอุนและสี วรรณะเย็นที่มีตออารมณของมนุษย - อิทธิพลของสีวรรณะอุนและวรรณะเย็น 3. จําแนกทัศนธาตุของสิ่งตางๆในธรรมชาติ สิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลปโดยเนนเรื่องเสนสี รูปรางรูปทรงพื้นผิวและพื้นที่วาง - เสนสีรูปรางรูปทรงพื้นผิวและพื้นที่วางใน ธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป 6. บรรยายลักษณะของภาพโดยเนนเรื่องการจัด ระยะความลึกน้ําหนักและแสงเงาในภาพ - การจัดระยะความลึกน้ําหนักและแสงเงา ในการวาดภาพ 7. วาดภาพระบายสีโดยใชสีวรรณะอุนและสี วรรณะเย็นถายทอดความรูสึกและจินตนาการ - การใชสีวรรณะอุนและใชสีวรรณะเย็นวาด ภาพถายทอดความรูสึกและจินตนาการ 8. เปรียบเทียบความคิดความรูสึกที่ถายทอดผาน งานทัศนศิลปของตนเองและบุคคลอื่น - ความเหมือนและความแตกตางในงาน ทัศนศิลปความคิดความรูสึกที่ถายทอดในงาน ทัศนศิลป ป.5 1. บรรยายเกี่ยวกับจังหวะตําแหนงของสิ่งตางๆที่ ปรากฏในสิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป - จังหวะตําแหนงของสิ่งตางๆในสิ่งแวดลอมและ งานทัศนศิลป 2. เปรียบเทียบความแตกตางระหวางงาน ทัศนศิลปที่สรางสรรคดวยวัสดุอุปกรณและวิธีการ ที่ตางกัน - ความแตกตางระหวางงานทัศนศิลป
49 ตารางที่ 3.1(ตอ) ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง 5. สรางสรรคงานพิมพภาพโดยเนนการจัดวาง ตําแหนงของสิ่งตางๆในภาพ - การจัดภาพในงานพิมพภาพ 6. ระบุปญหาในการจัดองคประกอบศิลป และการสื่อความหมายในงานทัศนศิลปของตนเอง และบอกวิธีการปรับปรุงงานใหดีขึ้น - การจัดองคประกอบศิลปและงาน สื่อความหมายในงานทัศนศิลป 7. บรรยายประโยชนและคุณคาของงานทัศนศิลปที่ มีผลตอชีวิตของคนในสังคม - ประโยชนและคุณคาของงานทัศนศิลป ป.6 1. ระบุสีคูตรงขามและอภิปรายเกี่ยวกับการใชสีคู ตรงขามในการถายทอดความคิดและอารมณ -วงสีธรรมชาติและสีคูตรงขาม 3. สรางงานทัศนศิลปจากรูปแบบ 2 มิติเปน 3 มิติ โดยใชหลักการของแสงเงาและน้ําหนัก - งานทัศนศิลปรูปแบบ 2 มิติและ 3 มิติ 5. สรางงานทัศนศิลปโดยใชหลักการของ รูปและพื้นที่วาง - รูปและพื้นที่วางในงานทัศนศิลป 6. สรางงานทัศนศิลปโดยใชสีคูตรงขาม หลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุล - การสรางงานทัศนศิลปโดยใชสีคูตรงขาม หลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุล 7. สรางแผนภาพแผนที่และภาพประกอบเพื่อ ถายทอดความคิดหรือเลาเรื่องราวเกี่ยวกับ เหตุการณตางๆ - การสรางงานทัศนศิลปเปนแผนภาพแผนที่ และภาพประกอบ มาตรฐาน ศ 1.2 : เขาใจความสัมพันธระหวางทัศนศิลป ประวัติศาสตร และวัฒนธรรม เห็นคุณคางาน ทัศนศิลปที่เปนมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปญญาทองถิ่น ภูมิปญญาไทย และสากล ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.2 2.อภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปประเภทตาง ๆใน ทองถิ่นโดยเนนถึงวิธีการสรางงานและวัสดุอุปกรณ ที่ ใช - งานทัศนศิลปในทองถิ่น ป.3 1. เลาถึงที่มาของงานทัศนศิลป ในทองถิ่น - ที่มาของงานทัศนศิลปในทองถิ่น 2. อธิบายเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณและวิธีการสรางงาน ทัศนศิลปในทองถิ่น - วัสดุ อุปกรณ และวิธีการสรางงาน ทัศนศิลปในทองถิ่น ป.4 1. ระบุ และอภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปใน เหตุการณ และงานเฉลิมฉลองของวัฒนธรรมใน ทองถิ่น - งานทัศนศิลปในวัฒนธรรมทองถิ่น 2. บรรยายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปที่มาจาก วัฒนธรรมตาง ๆ - งานทัศนศิลปจากวัฒนธรรมตาง ๆ
50 ตารางที่ 3.1(ตอ) ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.5 1. ระบุ และบรรยายเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบของงาน ทัศนศิลปในแหลงเรียนรูหรือ นิทรรศการศิลปะ - ลักษณะ รูปแบบของงานทัศนศิลป 2. อภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปที่สะทอนวัฒนธรรม และภูมิปญญาในทองถิ่น - งานทัศนศิลปที่สะทอนวัฒนธรรมและภูมิ ปญญาในทองถิ่น ป.6 1. บรรยายบทบาทของงานทัศนศิลปที่สะทอนชีวิต และสังคม - บทบาทของงานทัศนศิลปในชีวิตและ สังคม 2. อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของความเชื่อ ความศรัทธาในศาสนาที่มีผลตองานทัศนศิลปใน ทองถิ่น - อิทธิพลของศาสนาที่มีตองานทัศนศิลป ในทองถิ่น 3. ระบุ และบรรยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมในทองถิ่น ที่มีผลตอการสรางงานทัศนศิลปของบุคคล - อิทธิพลทางวัฒนธรรมในทองถิ่นที่มีผล ตอการสรางงานทัศนศิลป ขั้นการออกแบบการเรียนรู 1) การออกแบบวัตถุประสงคการเรียนรู เมื่อไดตัวชี้วัด และสามารถวิเคราะหตัวชี้วัด กับ กระบวนการ และเนื้อหาไดแลว ใหมากําหนดวัตถุประสงคโดยอาศัยหลักการกําหนดวัตถุประสงค3 ดานคือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย ตัวอยางเชน ตัวชี้วัดที่วา อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของ ความเชื่อความศรัทธาในศาสนาที่มีตองานทัศนศิลปในทองถิ่น จะเปนวัตถุประสงค ในดานพุทธิพิสัยคือ ใหผูเรียนอภิปราย อิทธิพลของความเชื่อความศรัทธาในศาสนาที่มีตองานทัศนศิลปในทองถิ่น ดาน ทักษะพิสัย ใหผูเรียนวาดภาพศิลปกรรมในทองถิ่น และดานจิตพิสัย ใหผูเรียนบอกถึงความงดงาม ของ ศิลปกรรม ที่สรางขึ้นจากความเชื่อความศรัทธา 2) การออกแบบเนื้อหาสาระ เปนการกําหนดสาระสําคัญและสาระการเรียนรูจากตัวชี้วัดและ วัตถุประสงคนําสาระแกนกลางนั้นมาแตกออกเปนหัวขอเพื่อสรางเนื้อหาในการสรางความรูการ ปฏิบัติงาน ตัวอยางสาระแกนกลางที่วา งานทัศนศิลปรูปแบบ 2 มิติและ 3 มิติ ผูสอนสามารถ แบงเนื้อหาออกเปนงานทัศนศิลป 2 มิติและงานทัศนศิลป 3 มิติ ซึ่งนํามาวิเคราะหกับขั้นตอนของ วิธีการสอนประวัติศาสตรศิลป ก็สามารถจะนําไปสรางผลงาน ที่เกี่ยวของกับศิลปกรรมที่เปน ประวัติศาสตรทองถิ่นได การสรางผลงานที่เปนรูปวัดในทองถิ่นเปนงาน 2 มิติและปนเจดียที่มีอยู ในวัด ของทองถิ่นนั้นๆ 3) การออกแบบกระบวนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา การกําหนดกระบวนการปฏิบัติงาน เปนการกําหนดวา ขั้นตอนการศึกษาในแผนการเรียนรูนั้นๆควรจะมีขั้นตอนอะไรบางซึ่งโดยสวนใหญจะ เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุประสงคหรือตัวชี้วัด ในดานความรู ซึ่งหมายถึงการที่ผูสอนใหความรูดวยวิธีการ ตางๆ ดานการปฏิบัติหมายถึง ผูสอนใหผูเรียนดําเนินการกิจกรรมดวยการลงมือปฏิบัติเพื่อใหเกิด ความสามารถทางดานศิลปะ ที่เชื่อมโยงเขาสูประวัติศาสตรศิลป และดานจิตพิสัยโดยสวนใหญแลวเปน
51 การปฏิบัติงานสะทอนความคิดเห็นหรือทัศนะที่ดีตอการเรียนรูเรื่องนั้นๆ และตองแบงการปฏิบัติงานให สอดคลองกับชั่วโมงเรียนดวย ขั้นการพัฒนาการเรียนรู 1) กิจกรรมการสอนนั้น ผูสอนตองกําหนดการสอนตามวิธีสอนประวัติศาสตรศิลปโดย นํามาประยุกตเขากับขั้นนํา ขั้นสอนและขั้นสรุป ตามวัตถุประสงคโดยแนวการสอนประวัติศาสตรศิลป นั้น เปนการสอนที่เนนความรูในเชิงพุทธิปญญา (Cognitive domain) ตามเอกสารและงานวิจัยที่พบ เกี่ยวกับการสอนประวัติศาสตรศิลปมี4 วิธีการ ไดแก แนวการสอนตามยุคสมัยทางศิลปะ แนวการ สอนตามแงมุมเฉพาะ แนวการสอนตามความสนใจ และ แนวการสอนรายบุคคล ดังตารางตอไปนี้ ตารางที่ 3.2 แนวการสอนประวัติศาสตรศิลปตามยุคสมัยทางศิลปะ(Chronological Survey Approach) หัวขอ รายละเอียด จุดเดน ยึดเอายุคสมัยทางศิลปะเปนแกนแนวการสอนแนวนี้ที่นิยมใชกันในปจจุบัน วิธีการสอน การบรรยายทีละยุคสมัย เริ่มตนจากสมัยที่เกาแกที่สุด แลวไลลงมาตามลําดับ ยุคสมัยนั้นผูสอนจะเปนผูกําหนด ขอดี 1.สะดวกตอการจัดการสอน 2.ซึ่งหนังสือตําราทางประวัติศาสตรศิลปสวนใหญมักจัดลําดับเนื้อหาตามแนวนี้ ขอควรคํานึง วิธีการนี้ใหความรูในแนวกวางมากกวาในแนวลึก ชวงเวลาในแตละภาคการศึกษา สวนใหญจะไมเพียงพอในการเจาะลึกถึงสาระตาง ๆ ในแตละสมัยโดยละเอียด ตารางที่ 3.3 แนวการสอนประวัติศาสตรศิลปตามประเด็น(The Thematic Approach) หัวขอ รายละเอียด จุดเดน เปนการสอนตามประเด็นเฉพาะจุดมากขึ้น วิธีการสอน ผูสอนคัดสรรแงมุม หรือประเด็นเฉพาะมาเปนแกนตามที่เห็นวาเหมาะสม แลว จัดเนื้อหาตามแกน โดยนําเนื้อหาตามแนวนี้มาอภิปรายเปรียบเทียบหา ความสัมพันธ วิเคราะห สังเคราะห ตลอดจนการนําความรู ความเขาใจมา ประยุกตใช วิเคราะห สังเคราะหเหตุการณ หรือแงมุมตาง ๆ ได ขอดี 1.จะสามารถเราใหผูเรียนเกิดความสนใจ และเกิดความคิดในเชิงเปรียบเทียบ วิเคราะห สังเคราะห และหาความสัมพันธที่เกี่ยวของกับประเด็นที่เปนแกน 2.เหมาะสําหรับนําวิธีการสอนนี้มาใชในการสอนในวิชาที่ตอเนื่องจากการสอน วิชาพื้นฐาน ขอควรคํานึง ความยากตอการสรางความตอเนื่องของบทเรียน
52 ตารางที่ 3.4 แนวการสอนประวัติศาสตรศิลปตามความสนใจ(Spontaneous Approach) หัวขอ รายละเอียด จุดเดน นําประเด็นที่นักเรียนสนใจมาจัดเปนประเด็นในการสอน วิธีการสอน ผูสอนนําอภิปรายใหผูเรียนแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องที่ผูเรียนสนใจ เปนความ รวมมือกันระหวางผูสอนกับผูเรียน จึงหาขอสรุปของชั้นเรียน และผูสอนจะ สนองตอบขอสรุปนั้น ๆ โดยนําไปเปนขอมูลในการจัดบทเรียน ขอดี ทําใหผูเรียนสนใจติดตาม เนื่องจากเปนเรื่องที่ตนเองสนใจ และมีสวนรวมใน การกําหนดเรื่อง ขอควรคํานึง 1.ศักยภาพในตัวผูสอนคือผูสอนควรมีความรูที่กวางขวางเพียงพอ และมีความ พยายามในการจัดบทเรียนที่สามารถสนองความสนใจของนักเรียน 2.พื้นความรูของผูเรียน ในบางกรณีนั้น ถึงแมวาผูเรียนสนใจอยางจริงจังใน บางเรื่อง หากจํานวนผูเรียนมีมาก ความสนใจอาจมีความหลากหลายทําให หาขอสรุปไดยาก บทเรียนที่สอนจะไมสามารถสนองความสนใจของผูเรียน สวนใหญและการมีสวนรวมไดนอยลง ตารางที่ 3.5 แนวการสอนประวัติศาสตรศิลปรายบุคคล(The Independent Approach) หัวขอ รายละเอียด จุดเดน ใหผูเรียนแสวงหาเรื่องที่ตนสนใจโดยอิสระเปนรายบุคคล วิธีการสอน 1.ใหผูเรียนกําหนดเรื่อง เปาหมายขั้นตอนและวิธีการศึกษา 2.ผูสอนทําหนาที่ปรับโครงการใหชัดเจนและมีความเปนไปไดมากขึ้นพรอม แนะนําวิธีการศึกษาและแหลงขอมูล และทําความตกลงเรื่องวิธีการประเมินผล ขอดี 1.เปนการสนองความสนใจของแตละบุคคลอยางแทจริง 2.เปนการปลูกฝงความรับผิดชอบ และการสรางวินัยในตนเอง ขอควรคํานึง 1.ศักยภาพของผูสอน 2.ระดับความยืดหยุนของหลักสูตร 3.ความพรอมของผูเรียน ตองมีพื้นความรูเพียงพอในการศึกษาบางเรื่อง 3.ขนาดของชั้นเรียน จากลักษณะวิธีการสอนประวัติศาสตรศิลปที่นําเสนอขางตน วิธีการสอนที่ไดรับความนิยมที่สุด คือการสอนตามยุคสมัยซึ่งเปนการสอนที่มีเนื้อหาปรากฏในหนังสือ เอกสารประกอบการสอนและสื่อ การเรียนแทบทุกรูปแบบ ประกอบกับในเอกสารประกอบการสอนวิชาสุนทรียภาพของชีวิตมีการแบง เนื้อหาในสวนนี้ในลักษณะยุคสมัยทางประวัติศาสตร จึงเปนการดีที่จะนําเสนอเนื้อหาของ ประวัติศาสตรศิลปในลักษณะยุคสมัยที่นักศึกษาจะไดเขาใจประวัติศาสตรศิลปอยางถูกตองและเปนการ เสริมความรูพื้นฐานที่ชวยในการทําความเขาใจเนื้อหาวิชานี้ในสวนอื่น ๆ ไดดียิ่งขึ้น การสอนประวัติศาสตรศิลปที่ดีตองมีลักษณะการสอนที่ใหนักเรียนไดรับรูหลักสําคัญดังที่ สงวน รอดบุญ(2533: 1-21) ไดนําเสนอไวสรุปไดวา
53 การแบงยุคสมัยของศิลปะ ตามหลักสากลนิยมแลว มักแบงเปนสมัยอยางกวาง ๆ คือ สมัย เริ่มแรก (Primitive Period or Early Period) สมัยสูงสุด (Classical Period, Golden Age) สมัย หลังหรือสมัยเสื่อม (Later Period or Decline Period) แบบอยางศิลปะหมายถึง ลักษณะของรูปแบบ ลวดลายตกแตง และเทคนิคของศิลปน หรือ แบบอยางเฉพาะของแตละบุคคล แตละทองถิ่น หรือแบบอยางของแตละชาติ หรือที่เรียกวา อัตลักษณ ของแตละชนชาติ อิทธิพลทางศิลปะ วัฒนธรรมจากชาติหนึ่งไปสูอีกชาติหนึ่ง และมีการถายโยงกันไปมา การศึกษาทางดานประวัติศาสตรศิลปจึงตองพิจารณาทั้งแงดีและแงเสียของอิทธิพลของศิลปะตามปกติ แลวชาติที่มีอารยธรรมรุงเรืองมากอนยอมมีอิทธิพลเหนือชาติที่ต่ําตอยพัฒนาการกวา ทั้งสามประเด็นสอดคลองกับขอบขายของวิชาประวัติศาสตรศิลปของวิรัตน พิชญไพบูลย (2536: 5) ดังนี้ ประวัติและแนวความคิดของศิลปนผูสราง ประวัติและแนวความคิด เทคนิค และการ ใชเครื่องมือรวมทั้งอิทธิพลของวัฒนธรรมและสิ่งแวดลอมที่มีตอการสรางสรรค โดยการฟงบรรยายและ สังเกตจากรูปแบบงาน สรุปการสอนประวัติศาสตรศิลปแบบยุคสมัยทางศิลปะตองมีลักษณะดังนี้ 1) การบรรยายทีละยุคสมัย เริ่มตนจากสมัยที่เกาแกที่สุด แลวไลลงมาตามจนถึง ยุคใหม หรือปจจุบัน 2) ตองมีหัวขอประกอบดวย ชวงเวลาหรือปของยุคสมัย แบบอยางและอิทธิพล ของศิลปะ การศึกษาประวัติศาสตรศิลปมีสวนชวยการเรียนวิชาศิลปะใหกิดผลสัมฤทธิ์ โดยสรุป ความสัมพันธของการศึกษาประวัติศาสตรศิลปไดวาความรูความเขาใจในประวัติศาสตรศิลปแตละแขนง จะมีสวนชวยเพิ่มพูนพัฒนาการทางสุนทรียภาพ เสริมสรางความรูคุณคาและรสนิยมของเราใหสูงขึ้น (สงวน รอดบุญ , 2533: 1) การเรียนรูศิลปะทุกแขนงมุงที่จะสงเสริมที่จะเรียนรูคุณคาเพื่อการอนุรักษ ศิลปกรรมของชาติและการพัฒนารสนิยมที่เปนการแสดงความสําเร็จอันยิ่งใหญของการเรียนการสอน ศิลปะและสุนทรียภาพ 2) การพัฒนาสื่อการสอน เปนการเลือกสื่อหรือกําหนดสื่อตางๆที่ใชในการออกแบบการ เรียนรูซึ่งโดยสวนใหญในการออกแบบการจัดการเรียนรูประวัติศาสตรศิลปจะเกี่ยวของกับการบรรยายที่ มีภาพวิดีทัศนหรือขอจริงและสื่อในการสรางสรรคงานศิลปะปฏิบัติเพื่อเปนการบันทึกรูปแบบศิลปกรรม ในสมัยนั้น 3) การกําหนดวิธีการวัดผลและประเมินผล การออกแบบการเรียนรูดานประวัติศาสตร ศิลปผูสอนมักจะเนนความรูในยุคสมัยชวงเวลาเปนหลัก ดังนั้นการประเมินจริงควรเนนความรูความ เขาใจในศิลปะแตละยุค จากการเขียน การทําแบบทดสอบ การวาดภาพศิลปกรรม โดยนิยมสราง เกณฑรูบิคสในการประเมินเปนหลัก สรุป ประวัติศาสตรศิลปะเปนการศึกษาศิลปกรรมในอดีตในแงมุมตางๆ เพื่อรูถึงเรื่องราวของงาน ศิลปกรรมรวมทั้งเรื่องราวของมนุษยผูสรางงานศิลปะเหลานั้น ผลงานทัศนศิลปมีบทบาทตอการ ดํารงชีวิตและตอสังคมไทย สามารถใชเปนสื่อแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของผูสราง ชวยทําใหมนุษย เปนคนที่สมบูรณแบบมากยิ่งขึ้น ผูสอนตองเขาใจหลักสูตรตัวชี้วัด สาระแกนกลาง และมาออกแบบ
54 เนื้อหาสาระ กระบวนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา ซึ่งผูสอนตองรูวิธีการสอนใหเด็กเกิดการเรียนรูทั้ง แนวการสอนตามยุคสมัยทางศิลปะแนวการสอนตามประเด็น แนวการสอนตามความสนใจ และแนว การสอนรายบุคคลใหเหมาะสมกับธรรมชาติของผูเรียนและเนื้อหาในหลักสูตร ซึ่งจะเปนการสงเสริมให เด็กมีความสามารถในการเรียนรูศิลปะสวนอื่นๆตอไป คําถามทบทวน 1. จงบอกถึงตัวชี้วัดที่เกี่ยวของกับการออกแบบการเรียนรูประวัติศาสตรศิลป มา 5 ตัวชี้วัด 2. จงประยุกตตัวชี้วัดดานศิลปะปฏิบัติกับการออกแบบการเรียนรูประวัติศาสตรศิลป 5 ตัว 3. จงสรุปขั้นตอนการสอนประวัติศาสตรศิลปมาสองวิธี 3.1 การสอนประวัติศาสตรศิลปตามความสนใจ 3.2 การสอนประวัติศาสตรศิลปตามยุคสมัย 4. จงบอกศัพทภาษาอังกฤษที่เกี่ยวของกับเนื้อหาการเรียนในบทนี้หาคําศัพท
55 เอกสารอางอิง ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ.(2552).หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.กรุงเทพฯ:โรง พิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย. วิรัตน พิชญไพบูลย. (2536). ศิลปวิจารณรวมสมัยผลงานแปลงศิลปะและวัฒนธรรม. ศิลปศึกษาจาก ทฤษฎีสูการสรางสรรค ชุดรวมบทความเลมที่ 19. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพจุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย หนา 1-17. สงวน รอดบุญ. (2533).ศิลปะกับมนุษย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร.
56
บทที่ 4 สุนทรียะทางทัศนศิลป ในอาณาอารยประเทศเชื่อวาการปลูกฝงใหเยาวชนเห็นคุณคาความงามเปนสิ่งที่จะชวยจรรโลง จิตใจ ความเปนมนุษยและสังคมมนุษย ความงามเปนคุณคาของสิ่งตาง ๆ ที่มนุษยทะนุถนอมและรักษา ความงามและมักจะแสวงหาความงามมาชื่นชมเพื่อมาสรางความพึงพอใจ หรือจะใชคําวาเสพความงาม ก็ได มนุษยรักความงาม ความแปลก ความสวยหรือความเปนระเบียบ โดยเรื่องความงามความ ประทับใจ เปนสวนหนึ่งของวิชาสุนทรียศาสตรที่ถือกําเนิดมาตั้งแตสมัยกรีกโบราณ ความรูสึกที่มีตอ ธรรมชาติรอบตัวและทัศนศิลปเปนผลมาจากความรูสึกประทับใจและเห็นคุณคาของงานทัศนศิลปทั้งตอ ตนเองและสังคม ผานการสื่อความหมายในงานทัศนศิลปนั้นๆ การเรียนรูความเขาตองเขาใจนิยมความ งามและศัพทที่เกี่ยวของ ตั้งแต สุนทรียศาสตร สุนทรียภาพ สุนทรียธาตุ อารมณและประสบการณ สุนทรียะ ซึ่งจะชวยใหครูเขาใจอยางถูกตองบนฐานศาสตรทางศิลปะกอนนําไปใชในการจัดการเรียนรู 1. ความรูทั่วไปเกี่ยวกับสุนทรียะทางทัศนศิลป สุนทรียศาสตร มาจากภาษาสันสฤตวา “สุนทรียะ” แปลวา “ดี งาม” และ “ศาสตร” แปลวา “วิชา” เมื่อรวมความแลวสุนทรียศาสตรจึงมีความหมายตามรากศัพทวา “วิชาที่วาดวยสิ่งสวยงาม” ในภาษาอังกฤษใชคําวา “Aesthetics” (เอ็ซเธทถิกส) โดยศัพทคํานี้เกิดจากนักปรัชญาเหตุผล นิยมชาวเยอรมันชื่อ โบมกาเตน (Alexander Gottlieb Baumgarten) ซึ่งสรางคําจากภาษากรีกคําวา “Aisthetikos” (อีสเธทิโคส) แปลวา “การรับรูตามความรูสึก (Sense Perception)” สวนในภาษาไทย ใชคําวาสุนทรียศาสตร ซึ่งศิลปะเปนสวนหนึ่งเพราะศิลปะมุงสรางความงาม เมื่อกลาวถึงสุนทรียศาสตร เมื่อใดก็มักจะนึกถึงงานศิลปะนั่นเอง สุนทรียศาสตรเปนสวนหนึ่งของปรัชญาบริสุทธิ์ ในสาขาคุณวิทยา (ภาพที่ 4.1) ภาพที่ 4.1 ตําแหนงของสุนทรียศาสตรในสาขาของปรัชญา ปรัชญา ปรัชญา ประยุกต ปรัชญา บริสุทธิ์ อภิปรัชญา ญาณว ิทยา คุณว ิทยา
58 นอกจากนี้ อารี สุทธิพันธุ (2533: 239-242) ไดเสนอความหมายของสุนทรียศาสตรและ ขอบขายไว โดยสรุปไดดังนี้ ความหมายที่ 1 วิชาที่เกี่ยวของกับความรูสึกของการรับรูและเกี่ยวของกับความหมาย ความหมายที่ 2 วิชาที่เกี่ยวของกับหลักเกณฑและคุณลักษณะของความงาม คุณคาของความ งามและรสนิยมอยางมีหลักการ ความหมายที่ 3 วิชาที่สงเสริมใหสอบสวน และแสวงหาหลักเกณฑของความงามสากลใน ลักษณะของรูปธรรมที่เห็นได รูสึกได รับรูได เพื่อชื่นชมได ความหมายที่ 4 วิชาที่เกี่ยวของกับประสบการณตรงของบุคคลสรางพฤติกรรมตามความพอใจ โดยไมหวังผลตอบแทนในทางปฏิบัติ เปนความรูสึกพอใจ ตามที่เลือกดวยตัวเอง และสามารถเผื่อแผ เสนอแนะผูอื่นใหมีอารมณรวมรูสึกดวย ความหมายที่ 5 วิชาที่เกี่ยวของกับการศึกษาพฤติกรรมตอบสนองของมนุษยจากสิ่งเรา ภายนอก ตามเงื่อนไขของสถานการณเรื่องราวความเชื่อและผลงานที่มนุษยสรางขึ้น ซึ่งความหมายที่กลาวมานี้ สรุปเปนกลุมได 2 กลุมคือ นิยามที่ 1 สุนทรียศาสตร เปนวิชาที่ศึกษาความรูสึกที่เกิดขึ้นจากการรับรูและสงผลใหเกิด ความสุขใจโดยไมไดหวังผลในเชิงวัตถุ นิยามที่ 2 สุนทรียศาสตร เปนวิชาที่ศึกษาผลงานการสรางสรรคของมนุษย และนํามาวิเคราะห เรียบเรียงและนําเสนอใหคนอื่นๆเห็นคุณคาหรือซาบซึ้งรวมกัน ขอบขายของสุนทรียศาสตรในสองนิยามนี้มีลักษณะรวมกัน 3 สวน คือ 1) สุนทรียศาสตรมีการศึกษาซึ่งความงามในธรรมชาติมนุษยรับรูหรือเลาสืบตอกันซึ่งเปนการ มองวาธรรมชาติเปนตนกําเนิดของสรรพสิ่งในโลกนี้ 2) สุนทรียศาสตรเสมือนภาษากลางในการกําหนดคุณคาของความงาม ศิลปะจึงเปนสื่อกลาง สากลใหกับคนในทุกสังคมทุกชาติและภาษาในการชื่นชมความงาม 3) สุนทรียศาสตรถือวามนุษยมีเสรีภาพในการเลือกและแสดงความคิดเห็นตามประสิทธิภาพ การรับรูของตน ซึ่งทั้งสามขอบขายและนิยามความหมายของสุนทรียศาสตรนี้ อารี สุทธิพันธ(2533:65) สรุปวา สุนทรียศาสตร หมายถึง ศาสตรของการรับรูมีเนื้อหาจากแหลงธรรมชาติ สังคม และบุคคล นอกจากนี้ กําจร สุนพงษศรี(2555: 56-59) ไดเสนอความหมายของสุนทรียศาสตรจากนัก สุนทรียศาสตรตางๆ เมื่อนําความหมายของสุนทรียศาสตรมาวิเคราะหจะพบวาความหมายและนิยาม นั้นสามารถแบงออกไดดังนี้ นิยามกลุมที่ 1 หมายถึง การคนควาความหมายของความพึงพอใจในความงามที่เกิดจากวัตถุ พิสัยและจิตพิสัยที่เนนกระบวนการจากความพึงพอใจของผูสราง นิยามกลุมที่ 2 หมายถึง สุนทรียภาพหรือความงามของศิลปะตางๆ โดยอาศัยกระบวนการ สืบคนมาตรการในการประเมินคุณคา นิยามกลุมที่ 3 หมายถึง หลักรสนิยม และปรัชญาศิลปะ กระบวนการที่ผานการแสดงออกโดย ศิลปนเพื่อสรางความพึงพอใจไปสูผูชมโดยอาศัยการเทียบเคียงรสนิยมที่ใกลกัน นิยามกลุมที่ 4 หมายถึง กระบวนการศึกษาปรัชญาของสุนทรียภาพสูงสุดโดยการคนหา หลักการ แนวคิด ที่มีคุณลักษณะพิเศษ เชน การศึกษาคุณคาความงามของศิลปะในระดับวิจิตรศิลป
59 นิยามกลุมที่ 5 หมายถึง ปรัชญาสาขาหนึ่ง ทางความงามในธรรมชาติและงานศิลปะ ดวย กระบวนการศึกษาตามประสบการณสุนทรียะ(Aesthetic Experience) คุณคาทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Value) การคนหามาตรการตัดสินเชิงสุนทรียภาพ (Aesthetic Judgment) และเจตคติทาง สุนทรียภาพ(Aesthetic Attitude) นิยามกลุมที่ 6 หมายถึง เปนปรัชญาอรรฆวิทยาหรือทฤษฏีคุณคา (Axiology)รวมกับทฤษฎี ตรรกศาสตร(Logic) และจริยศาสตร (Ethics) เพื่อคนหาคุณคา ความจริง ความสวยงาม สวนของนิยามความงามมีทัศนะที่หลากหลายของนักวิชาการและนักปรัชญาศิลปะพอสรุปและ นําเสนอได (กําจร สุนพงษศรี.2555 และ อารี สุทธิพันธุ. 2533) ดังนี้ ตารางที่4.1 นิยามความงามและศิลปะของนักสุนทรียศาสตร ผูใหนิยาม แนวคิด โสเครตีส (Socrates,469-399 B.C.) นักปรัชญาชาวกรีก ความงามเปนสิ่งที่ดีและเปนของสูงที่มาจากพระเจา ทุกสิ่งทุกอยางที่มา จากพระเจาลวนแตเปนสิ่งที่งดงาม นอกจากนี้ความงามเปนความ เหมาะสมของสัดสวนรูปทรง เพลโต (Plato, 427-347 B.C.) นักปรัชญาชาวกรีก ความงามสูงสุดเปนสิ่งสากลที่มีอยูในโลกของแบบ ซึ่งเปนความจริงเปน อมตะเปนนิรันดร มีคาความงามสูงสุด เปนสิ่งที่มีหนึ่งเดียวในโลก สิ่ง ตาง ๆ ที่มีอยูในธรรมชาติเลียนแบบจากตนแบบที่มีหนึ่งเดียว สวนงาน ศิลปะเปนการลอกเลียนธรรมชาติซึ่งยังหางไกลความงามของแบบสากล อริสโตเติล (Aristotle,384-322 B.C.) นักปรัชญาชาวกรีก รูปแบบความงามที่สมบูรณมีอยูในธรรมชาติในโลกของผัสสะที่มนุษย สามารถรับรูได ธรรมชาติถือเปนสิ่งสากล ศิลปะจึงเปนสิ่งมีคุณคาเพราะ สามารถเขาถึงแกนสารของสิ่งที่เปนจริงได ศิลปะคือการเลียนแบบดวย สีดวยรูปราง เซนต ออกัสติน (St. Augustine,354-430) นักบุญในศาสนาคริสต พระเจาเปนที่สุดแหงความงามทั้งปวง และเปนผูใหกําเนิดความงาม ความงามแบงเปนความงามทางกายและความงามทางจิตวิญญาณ ความงามทางกายเกี่ยวของกับประสาทสัมผัสทั้ง 5สวนความงามทางจิต วิญญาณมีคุณคาที่สูงกวาความงามทางกาย เชนต โธมัส อะไควนาส (St.Thomas Aquinas,1225-1247) นักบุญในศาสนาคริสต ความงามคือความยินดีของสิ่งที่เรารับรูไดจากการเห็น ความยินดีก็คือ สวนหนึ่งของความดี ความงามเกิดจากการรวมตัวจนเกิดเปนสิ่งหนึ่งสิ่ง ใด เชน ความงามบนใบหนามาจากสวนประกอบตาง ๆ ของใบหนาจะ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไมได ความงามเกิดจากความกลมกลืน ความโดดเดน และความกระจางชัด ศิลปะจึงเกิดจากทักษะทางปญญาที่กลั่นกรอง แลวของศิลปน อเล็กซานเดอร บามวการ เทน การรับรูคาความงาม ไดแบงแยกการรับรูของมนุษยออกเปนสอง แนวทาง คือ ประสบการณเชิงตรรกะ เปนการรับรูผานกระบวนการทาง
60 ผูใหนิยาม แนวคิด (Alexander Baumgarten, 1714-1762) นักปรัชญาชาวเยอรมัน เหตุผล และประสบการณเชิงสุนทรียะ ซึ่งเปนการรับรูผานกระบวนการ ของอารมณความรูสึกเปนการรับรูที่ไมไดเนนประโยชน อิมมานูเอล คานท (Immanuel Kant,1724- 1804) นักปรัชญาชาวเยอรมัน ความงามเปนเรื่องของรสนิยม เปนคนละเรื่องกับความรูบางชนิดที่ใช ตรรกศาสตรตัดสินได สุนทรียะเปนเรื่องของอารมณความรูสึกเปนเรื่อง ความพึงพอใจของแตละบุคคล ความงามอยูนอกเหนือสภาวะที่จะ อธิบายได เซอร เฮอรเบิรต รีด (Sir Herbert Read ,1893- 1968) ศาสตราจารยดาน ศิลปะชาวอังกฤษ ความงาม หมายถึงเอกภาพของความสัมพันธอันมีแบบแผนของรูปแบบ ที่ปรากฏตอประสาทสัมผัสของเราและทําใหเกิดความพึงพอใจ ความ งามจึงเปนปรากฏการณที่ไมคงที่ เพราะศิลปนแตละคนจะสรางศิลปะ เพื่อความพึงพอใจของตนเอง ทําใหผลงานศิลปะมีรูปแบบแตกตางกัน เนลสัน กูดแมน (Nelson Goodman,1906-1998) นักปรัชญาศิลปะ ศิลปะ คือภาษาสัญลักษณระบบหนึ่งศิลปนบางประเภทสามารถทําซ้ํา ไดหลายชิ้น เชน ดนตรี วรรณคดี แตศิลปะบางประเภทสามารถทําซ้ํา ไดหลายชิ้นแตของแทมีไดเพียงชิ้นเดียว เชนภาพเขียน การเขาใจหรือ ซาบซึ้งตอศิลปะจําเปนตองเรียนรูถึงภาษาหรือสัญลักษณของศิลปะ เชนเดียวกับภาษาสัญลักษณในระบบอื่น อารเธอร.ซี.ดันโต (Arthur C.Danto,1924- 1998) นั ก ป รั ช ญ า ศิ ล ป ะ แ ล ะ วิจารณศิลปะชาวอเมริกา ศิลปะไมจําเปนตองคํานึงวาสรางมาจากวัสดุชนิดใด แตขึ้นอยูกับ ความสามารถในการแสดงความหมาย เปนผูเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑของ สุนทรียภาพแบบดั้งเดิม วัตถุทุกชิ้นจะเปนศิลปะได ตองสามารถอธิบาย ไดวาอะไรทําใหวัสดุชิ้นนี้เปนศิลปะแตกตางจากวัสดุทั่วไปอยางไร สะทอนแนวคิดอะไรที่มีความหมายหลักสําคัญในการเดาความหมาย คือ เวลา สถานที่ สถานการณ และประเพณี สามารถโยงใหเขาใจผลงาน นั้น มนุษยในอดีตลวนเกี่ยวของกับศิลปะและสุนทรียศาสตร ที่เปนความสําคัญตอรางกายและจิต วิญญาณ กําจร สุนพงษศรี (2555: 94) กลาววา มนุษยใหความสําคัญมากขึ้น เพราะ จิตวิญญาณที่รักใน การดํารงชีวิตอยางมีสุนทรียภาพ ขยายออกไปในคนทุกชนชั้น กลายเปนหลักสําคัญในการดํารงชีพ นอกจากนี้ อารี สุทธิพันธุ (2533: 234) ไดกลาวถึงหนาที่ของสุนทรียศาสตรไวสรุปไดวา สุนทรียศาสตร ทําใหผูสนใจไดความรูความเขาใจในการอธิบายผลงานศิลปะ วามีความงามเพียงใด มีความบกพรอง อะไร ควรปรับปรุงอยางไร และมีคุณคาตอสังคมอยางไร สอดคลองกับแนวความคิดของกําจร สุนพงษศรี (2555: 94)ไดอธิบายหนาที่วิชาหนึ่งที่ เกี่ยวของกับสุนทรียศาสตรคือ สุนทรียวิทยาเปนวิชาที่สําคัญของสุนทรียศาสตร วาดวยการศึกษา สุนทรียภาพในธรรมชาติและงานศิลปะ อันมีหนาที่คือ คนหาความหมายของสุนทรียะและสรุปผลการ เรียนรูจากทฤษฎีตางๆที่เกี่ยวของกับสุนทรียะมุงผลสรางความรูเพื่อการเรียนรูโดยไมเนนผลที่นําไปสู การปฏิบัติเชนปรัชญาศิลปะ ซึ่งแสดงใหเห็นความสําคัญของการคนหาความงามในสังคมมนุษยที่ไมใช
61 แคเรียนเพื่อเปนศิลปน หากแตยังสงผลตอการเรียนรูหรือการชื่นชมดวย ซึ่งความสําคัญจากหนาที่ของ สุนทรียศาสตร โดยสรุปไดภาพที่ 4.2 ภาพที่ 4.2 หนาที่วิชาตางๆในสุนทรียศาสตร องคประกอบของสุนทรียศาสตร สุนทรีภาพ (Aesthetic) หมายถึง ความซาบซึ้งในคุณคาของสิ่งที่งาม ไพเราะ หรือรื่นรมย ไมวาจะเปนธรรมชาติหรือศิลปะ อันเกิดจากประสบการณที่สัมผัสกับความงามจากสุนทรียวัตถุ หรือ ประสบการณทางความงาม เชน การดู การฟง หรือการจับตอง ซึ่งมีผลตอการรับรูคุณคาความงาม ความรูสึกซาบซึ้งในคุณคา ยอมเปนไปตามอุปนิสัย การศึกษา อบรม ฝกฝน จนเปนอุปนิสัย เกิดขึ้นเปนรสนิยม (Taste) ขึ้นตามตัวบุคคล ดังนั้นความรูสึกนี้จึงอาจแตกตางกันไป ความงามที่เปน สุนทรียภาพ ไดแก ความรูสึกของบุคคล อาจเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไดดวยอาศัยการฝกฝนในการ อาน การฟง และการมองดูพิจารณาสิ่งที่งดงามเจริญตาเจริญใจ ไมวาสิ่งนั้นจะเปนธรรมชาติหรือ ศิลปะ สุนทรียธาตุ คือ ธาตุแหงความงาม เปนสิ่งที่ปรากฏในสิ่งที่สุนทรีย หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ สุนทรีธาตุมีได 3 อยาง คือ ความงาม (Beauty) ความแปลกหูแปลกตา (Picturesqueness) และความนาทึ่ง (Sublimity) สุนทรียธาตุในตัวมนุษย ทําใหมนุษยมีความสามารถสองอยางโดยธรรมชาติ คือ การสรางสรรค ทางศิลปะ (Artistic Creation) และการตอบรับทางสุนทรียะ (Aesthetic Response) นั่นคือ สมรรถนะในการสรางสิ่งสวยงามและการรับรูสิ่งสวยงาม ทั้งที่มนุษยสรางขึ้น หรือจากธรรมชาติ สุนทรียศาสตร เพื่อการเรียนรู สุนทรียวิทยา (สรุปทฤษฎี มาตรฐาน หลักการ) ศิลปวิจารณ (สรุปหลักการกับความคิดเห็น) เพื่อการปฏิบัติ ปรัชญาศิลปะ (แนวทางปฎิบัติ) ทฤษฎีศิลปะ (ปฏิบัติผลงานเปนรูปธรรม)
62 สุนทรียธาตุ (Aesthetic Elements) มีลักษณะ คือ (ภาพที่ 4.3) 1. เปนมูลฐานที่ไดรับจากศิลปะทุกสาขาและธรรมชาติ 2. ความพึงพอใจ ความแปลกหู แปลกตา ความสละสลวย(การอธิบายธาตุแหงสุนทรียะ) ภาพที่ 4.3 ลักษณะของสุนทรียธาตุ ศิลปะธาตุ(Art Elements)หมายถึง ปฐมมูลของความสุนทรีย หลักการเพื่อการบรรลุ จุดประสงคในงานที่ตนเองสรางที่นํามาตรวจสอบได ทัศนธาตุหรือ ทัศนศิลปะธาตุ (Visual Art Elements)หมายถึง สวนตางๆของการมองเห็นใน ระดับปฐมภูมิ ทําใหเกิดสุนทรียภาพ นํามาใชหรือ เกิดสุนทรียภาพในการสรางสรรคงานศิลปะ สุนทรียวัตถุ (Aesthetic Object) หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษยสราง ขึ้น โดยมีการปรุงแตงใหสวยงาม ใชเรียกวัตถุที่มีคาของสุนทรียภาพ ที่มีพลังหรือเสนหดึงดูดหรือ กระตุน คาสุนทรียภาพดังกลาวอาจไดจากสิ่งที่มีความสวยงามจากวัตถุธรรมชาติ (Natural Object) หรือความงามเชิงศิลปะที่มนุษยสรางขึ้นเปนศิลปะวัตถุ (Art Object) สุนทรียอารมณ หรือ อารมณสุนทรีย หรือ สุนทรียรส หมายถึง ความรูสึกที่เกิดจากการได สัมผัสกับสิ่งที่สวยงาม และสงผลตอความรูสึกนึกคิด การกระทํา อารมณ ของผูสัมผัสในขณะนั้น เชน การไดพบเห็นทุงนาที่กวางไกล ทําใหเราสดชื่น ประทับใจ และอยากใหคนอื่นมาพบเห็นดวย สุนทรียอารมณเปนสวนสําคัญที่เปนผลของประสบการณทางสุนทรียะอารมณทางสุนทรียภาพ (Aesthetic Emotion)เปนอารมณที่เกิดจากธรรมชาติและงานศิลปะเปนแหลงแหงการสราง สุนทรียภาพเกิดเปนสุขารมณ(Pleasure) ที่เปนความสุขทั้งกายและใจความแตกตางระหวางสุขารมณ (Pleasure) และความสุข (Happiness) ทั้งสองนิยามสรางใหเกิดความสุขทั้งกายและใจแตความสุข (Happiness)จะมีความมั่นคงยืนยาวกวา ประสบการณสุนทรีย หมายถึง การสัมผัสสิ่งสุนทรีย ซึ่งเปนความสัมพันธระหวาง สุนทรียศาสตรกับศิลปะแขนงตางๆ สุนทรียธาตุ (Aesthetic Elements) 1.เปนมูลฐานที่ไดรับจากศิลปะทุกสาขาและ ธรรมชาติ 2.ความพึงพอใจ ความแปลก ความสละสลวย (การอธิบายธาตุแหงสุนทรียะ)
63 2. ประสบการณสุนทรีย ประสบการณสุนทรีย หมายถึง การสัมผัสสิ่งสุนทรีย ซึ่งเปนความสัมพันธระหวาง สุนทรียศาสตรกับศิลปะแขนงตางๆ เกิดขึ้นจากการสัมผัส ประสบการณทาสุนทรียะเกิดขึ้นไดทั้ง ประสบการณตรงและประสบการณรอง และเกิดขึ้นจากการสัมผัสความงามในธรรมชาติและศิลปะ โดยที่ตองคํานึงถึงแนวคิดที่กลาวถึงตําแหนงของความงาม รวมถึงการสื่อความหมายทางความงามใน งานศิลปะทั้งในดานทัศนธาตุ หลักการออกแบบ จินตนาการ และเนื้อหาตางๆ ที่ศิลปนนําเสนอในผูชม เกิดประสบการณสุนทรีย และการสรางคุณคาของความงาม ดังรายละเอียดตอไปนี้ ความงามในธรรมชาติและศิลปะ สุนทรียศาสตรเปนวิชาที่อยูในกลุมปรัชญาที่มุงหาคําถามใน คุณคาและความงามเพราะความงามไมเปนสูตรทางตัวเลขใชคํานวณ เปนคุณคาซึ่งคุณคาก็เปนสิ่งที่มี ความหมายในทางจิตใจยิ่งเปนคุณคาในดานความงาม ความงามมีลักษณะเฉพาะดังนี้ ปรากฏในจิตใจ มนุษยขณะหนึ่งแตบันทึกและถายทอดใหรับรูได เปนสิ่งที่ควรทะนุถนอมรักษา เปลี่ยนแปลงไดตาม อารมณความรูสึกของผูรับรูและความนิยมตามสมัยตาง ๆ และสิ่งสําคัญ คือ ไมสามารถวัดหรือใชสูตร ใดๆในการคํานวณความงามได แนวคิดของนักสุนทรียศาสตรนั้นมีการถกเถียงกันจนแบงเปนกลุมความเชื่อถึงการรับรูคาความ งามหรือตําแหนงของความงามวาปรากฏ 3 ลักษณะคือ วัตถุพิสัย(Objective) จิตพิสัย(Subjective) และ สัมพันธพิสัย(Relative) วัตถุพิสัย (Objective) แนวคิดนี้ เชื่อวาความงามอยูที่วัตถุตัววัตถุนั้นมีความงามอยูและความ งามก็ใหพิจารณาวาหากเรามองความงามเราก็ตองมองที่ผลงานศิลปะหรือตัววัตถุธรรมชาติที่มีความงาม จิตพิสัย (Subjective) เชื่อวาความงามเกิดที่จิตใจผูประเมินหรือมนุษยเพราะเหตุผลในการ พิจารณาที่วา สัตวอื่นใดในโลกนี้นั้นไมชื่นชมกับวัตถุที่มีคุณคาความงาม เปนเพราะมนุษยมีศักยภาพใน การรับรูและประเมินคุณคาทางความงาม นอกจากนั้นหากมองที่ความแตกตางกันของมนุษยก็จะพบวา มนุษยมีอารมณที่ไมคงที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพรางกาย อากาศและสังคม คาของการรับรูความ งามของแตละบุคคลจึงมีความตางกัน ณ ชวงเวลาตาง ๆ สัมพันธพิสัย (Relative) เชื่อวาความงามเกิดจากจิตใจผูประเมินกับวัตถุเปนการมองที่มีอยูตรง กลางคือมองเห็นจุดดีจุดดอยของทั้ง 2 แนวคิดคือ มองวา เพราะเหตุผลในการพิจารณาที่วา ตัววัตถุ ไมไดคงที่ดานความงามเสมอกันทุกอยางและตัวมนุษยผูประเมินก็มีความเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ ของผูชมผูดูดังนั้นการรับรูคาความงาม สรุปก็คือหากมองความงามในลักษณะนี้ความงามจะเกิดขึ้นไดก็ ตองอาศัย ผลงานศิลปะและมนุษยผูเสพความงามก็ตองมีความพรอมทั้งสองดานความงามจึงจะเกิดขึ้น การรับรูคาความงามหรือประสบการณสุนทรียะหมายถึง เหตุการณหรือชวงเวลาที่ไดสัมผัสกับ สิ่งที่งดงาม การรับรูกับความงามและศิลปะแบงตามอวัยวะรับสัมผัส ระบบประสาท และ ศิลปะและผล การรับรู ไดดังนี้ (ตารางที่ 4.2)
64 ตารางที่ 4.2การรับรูกับความงามและศิลปะ อวัยวะรับสัมผัส ระบบประสาท ศิลปะและผลการรับรู ตา จักษุประสาท ทัศนศิลป หู โสตประสาท ดุริยางคศิลป คีตศิลป จมูก ฆานประสาท ไดกลิ่น(Olfaction)ไมกอเกิดศิลปะ ลิ้น ชิวหาประสาท การดื่มกินไมกอเกิดศิลปะ กาย กายประสาท สุนทรียะดวยการสัมผัสคือ เพทนนียสัมผัส (tactile Value) โดยที่เมื่อแบงประสบการณสุนทรียะ ได 2 ลักษณะ คือ -ประสบการณตรง คือ เหตุการณหรือชวงเวลาที่ไดสัมผัสกับสิ่งที่งดงามโดยตรงดวยตนเอง หรือไมผานสื่อทางออม เชน การชมละครเวทีในโรงละคร การวาดภาพรวมกับเพื่อนหรือ ชมทิวทัศนของ ทองนา เปนตน -ประสบการณรอง คือ เหตุการณหรือชวงเวลาที่ไดสัมผัสกับสิ่งที่งดงามโดยบุคคลอื่นหรือผาน สื่อตาง ๆ เชน การชมถายทอดสดคอนเสิรต การชมภาพวาดในหนังสือ และการฟงเทปบันทึกคอนเสิรต เปนตน การรับรูคาความงามทั้งสองทั้งประสบการณตรงและรองมีขอดีที่ตางกัน คือ หากมองวาการไป ชมภาพจริงในพิพิธภัณฑยอมไดประสบการณที่ดีกวาแตก็ยากที่จะจัดประสบการณใหครบถวนการการ เรียนรูของเด็ก หรือการจัดภาพถายของผลงานนั้นมาเสนอใหเด็กชมในหองก็อาจจะไดรับความซาบซึ้ง แตก็ตองควบคุมจัดการใหไดประสบการณตามหลักสูตรก็จะครบถวน ซึ่งขึ้นอยูกับศักยภาพของผูสอน และสถานศึกษา รวมถึงแหลงที่ตั้งของสถานศึกษานั้นดวย ที่มีแหลงเรียนรูทางศิลปกรรมหรือไม การ รับรูคาความงามนี้มีดวยกัน 2 ลักษณะคือ ความงามในธรรมชาติ และความงามทางทัศนศิลปโดยมี ความหมายและขอบเขตดังนี้ - ความงามในธรรมชาติ เปนความงามที่มนุษยเลือกชมกับสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไมวาจะ เปน ตนไม ทองฟา ดวงอาทิตย ดวงจันทร ฯลฯ ซึ่งความงามในธรรมชาตินี้มักจะเปนแรงบันดาลใจ ใหกับศิลปนในการสรางงานศิลปะ โดยสวนใหญความงามในธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยางแทจริงจะไมเกิดขึ้น ในสิ่งแวดลอมของสังคมเมือง แตหากเกิดในปาเขา เพราะในสังคมเมืองมักจะมีสิ่งแวดลอมทางศิลปะใน สวนตางๆ - ความงามงานศิลปะ เปนความงามที่เกิดจากมนุษยชื่นชมงานศิลปะในแขนงตาง ๆ การรู คุณคาความงามในทางทัศนศิลปนั้นจําเปนตองอาศัยประสบการณความรูตาง ๆ ดังนั้นผูสอนศิลปะจึง ควรใหประสบการณในการชมงานศิลปที่เปนประสบการณตรงหรือผลงานจริงนั้นเอง การสรางกระบวนการรับรูคาความงาม ความประทับใจและความรูสึก เปนกระบวนการที่ตองอยูใน บรรยากาศที่สงบและเปนกันเอง เปดโอกาสใหเกิดการสนทนาอยางอิสระ วิธีการที่ดีที่สุดคือการใหเด็ก เรียนรูในพิพิธภัณฑหรือแหลงเรียนรูที่เปนธรรมชาติ โดยครูอาจจะนําอุปกรณการวาดภาพแบบงายไป ใหเด็กไดบันทึกความงามความประทับใจแลวนํามาเสนอในหองเรียนหรือจัดเปนปายนิเทศในมุมหอง
65 การนําเสนอประสบการณความงามทางศิลปะ นักปรัชญาในอดีตไดมองความงามในทัศนะที่ ตาง ๆ กันเพราะความหมายตามการรับรูที่ตางกัน(กําจร สุนพงษศรี.2555:113-115) เชน เพลโตนัก ปรัชญาชาวกรีก กลาววา ความงามเปนแบบที่อยูในสากลจักรวาลซึ่งความงามเปนโลกของพระเจา เพราะมนุษยไดเพียงการลอกเลียนแบบความงามเชน ผลงานศิลปะในสมัยกรีกเนนการลอกเลียนแบบ ภาพธรรมชาติเทานั้น ซึ่งอริสโตเติลไดเห็นความงามของธรรมชาติแวดลอมในโลกมนุษยนี้ โดยกลาววา ความงามไมพันวิสัยการรับรูของมนุษยหรืออยูในโลกของธรรมชาติ อริสโตเติลมองความงามศิลปะเปน การถายทอดความงามในของโลกมนุษย สวนนักปรัชญาชาวกรีกอีกทานหนึ่ง คือ โสเครติส กลาววา ความงามเปนความเหมาะสมของสัดสวนรูปราง ดวยเพราะในสังคมกรีกเนนความงามของเรือนรางเกิด กีฬาโอลิมปคซึ่งเพื่อบวงสรวงเทพเจา นักกีฬามาจากหลายเผาพันธุแขงขันกีฬาประเภทกรีฑาเปนหลัก โดยการไมสวมเสื้อผาเพื่อปองกันการพกอาวุธเพื่อมาทําลายกัน ความนิยมนี้จึงสงผลตอการสราง ผลงานที่เปนรูปรางที่สวยงามของมนุษย จนมาถึงในปจจุบันการสื่อความหมายของงานทัศนศิลปที่ ปรากฏมีดังนี้ 1) สื่อความหมายดวยทัศนธาตุและหลักการทางศิลปะ ทัศนธาตุ หมายถึง สวนประกอบของการมองเห็นในงานทัศนศิลป ที่มีความหมายของสวนตาง ๆ อยูแลว ทั้งเสน สี รูปราง รูปทรงลวนแตมีความหมายทั้งสิ้นและหลักการทางศิลปะก็เปนวิธีการจัด องคประกอบของผลงานเพื่อใหเกิดความหมายซึ่งตองศึกษาตอไป 2) สื่อความหมายดวยภาพเรื่องราวของสังคม ภาพเรื่องราวที่คุนตาของสังคมนั้นเปนความหมายที่เปนสัญลักษณหรือเหตุการณในการ นําเสนอ เชน ดอกกุหลาบ หมายถึง ความรัก กระตาย หมายถึง ราคะ หรือ ดอกบัว หมายถึง พระพุทธเจา เปนตน ศิลปนจะเลือกภาพหรือสัญลักษณมาเปนเนื้อหาในการสื่อความหมาย หรือ ครูที่ สอนเด็กในการสรางผลงานทัศนศิลปก็สามารถเสนอแนะใหใชสื่อความหมาย เปนตน 3) สื่อความหมายดวยจินตนาการและความคิด การสื่อความคิดจินตนาการเปนสิ่งสําคัญในการถายทอดออกมาในรูปผลงานศิลปนมักจะมีเรื่อง การถายทอดจินตนาการโดยสื่อความหมายที่ไมไดมาจากทัศนธาตุ หรือรูปรางรูปทรงที่คุนตา เปนสิ่งที่ แปลกใหมและมักจะตองอธิบายใหสังคมมีความเขาใจแนวคิดนั้นกวาจะเปนที่เขาใจจินตนาการและ ความคิด เชน ภาพในกลุมศิลปะลัทธิเหนือจริง เปนตน รูปแบบสื่อความหมายเนื้อหาเรื่องราวในงานทัศนศิลปที่ปรากฏปจจุบันมีความหลากหลายตอง อาศัยการตีความในดานเนื้อหาเรื่องราว ซึ่งมีเนื้อหาเรื่องราวที่ผูสรางศิลปะจะนําเสนอใหเห็นเพื่อใหเกิด ความซาบซึ้งในผลงาน และเขาใจในผลงานที่ตองการสื่อสารแกผูชมซึ่งมีรูปแบบที่ปรากฏ ดังนี้ 1) ทิวทัศน (View) เปนเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับภูมิประเทศ ธรรมชาติ หรือสิ่งแวดลอม และ สิ่งกอสรางตาง ๆแบงตามภูมิประเทศที่นําเสนอ ดังนี้ทิวทัศนบก (Landscape) งานทัศนศิลป บรรยากาศบนพื้นดิน เชน ทุงนา ภูเขา ลําธาร น้ําตก ฯลฯ (ภาพที่ 3.4) ทิวทัศนทะเล (Seascape) งาน
66 ทัศนศิลปบรรยากาศทะเล เชน ทองทะเล หาดทราย และโขดหิน ฯลฯ (ภาพที่ 4.5) และสิ่งกอสราง (Architecture) งานทัศนศิลปบรรยากาศสิ่งกอสราง วัด เจดีย หรืออาคารสถาน ภาพที่ 4.4 ภาพทิวทัศนบก ที่มา:ธนาคารแหงประเทศไทย.ม.ป.ป.: 95 (ชื่อภาพ แมฮองสอนศิลปน สงัด ปุยออก สีอะครีริคบนผาใบ) ภาพที่ 4.5 ภาพทะเล ที่มา: สุชาติ วงษทอง.ม.ป.ป.:103 (ภาพทะเล เทคนิค สีน้ํา ศิลปน สุชาติ วงษทอง)
67 2) คน ภาพสัตว และภาพหุนนิ่ง เปนกลุมภาพที่เนนความเหมือนจริงโดยสวนใหญแลวนิยม วาดแสดงใหเห็นความงามของรูปรางรูปทรง รวมถึงมัดกลามเนื้อของสิ่งนั้น ภาพคนแสดงความงามของ รางกาย สัดสวนที่ถูกตองเหมาะสม รวมทั้งแสดงบุคลิกลักษณะ กริยา อาการ ทาทางตาง ๆ ของมนุษย จิตรกรรมคนแบงไดดังนี้ ภาพคนเต็มตัว (Figure Painting) (ภาพที่ 4.6) และ ภาพคนครึ่งตัว (Portrait Painting) (ภาพที่ 4.7) สวนภาพสัตว(Animals Figure) เปนการเขียนภาพสัตวที่แสดงความงามของ โครงสรางรางกาย กลามเนื้อ ขน จากกิริยาทาทางของสัตวในลักษณะตาง ๆและหุนนิ่ง (Sill life) หมายถึง ผลงานของสิ่งที่ไมเคลื่อนไหว ภาพที่ 4.6 ภาพคนเต็มตัว (Figure) ที่มา:ธนาคารแหงประเทศไทย.2535:178 (ภาพชื่อพระบรมสาทิสลักษณ เทคนิค สีน้ํามัน ศิลปน อวบ สาณะเสน) ภาพที่ 4.7 ภาพคนครึ่งตัว(Portrait) ที่มา:ธนาคารแหงประเทศไทย.ม.ป.ป.:99 (ภาพ เจาฟาสุทธาทิพยรัตน สุขุมขัตติยกัลยาวดี ฯ เทคนิค สีน้ํามันบนผาใบ ศิลปน จักรพันธุ โปษยกฤตย) 3) ประกอบเรื่องมีทั้งงานทัศนศิลปสองมิติและสามมิติที่เปนงานสองมิติ ไดแก ภาพวาด ภาพถายหรือภาพพิมพ ซึ่งจะเรียกวา ภาพประกอบ (Illustration) หมายถึง ภาพสรางขึ้นเพื่อประกอบ เรื่องเนื้อหาตามทองเรื่อง แนวคิด จินตนาการ หรือสถานที่ ความหมายก็จะตองสอดคลองกับเรื่องราวที่
68 นําเสนอเปนหลัก(ภาพที่ 4.8) สวนผลงานศิลปกรรมประกอบเรื่องที่เปนสามมิตินั้นเชน นิทานกลไก กระดาษ(Pop up) หรือ งานประติมากรรมนูนต่ําที่ติดประกอบในหนังสือ เปนตน ภาพที่ 4.8 ภาพประกอบนิทานเรื่องกบเลือกนาย 4) ลวดลายและสัญลักษณ เปนการนําลวดลาย เพื่อตกแตงสิ่งตาง ๆ ใหเกิดความสวยงามมาก ขึ้น หรือเปนสื่อในการนําเสนอความคิดเพราะลวดลายบางชนิดจะมีความหมายอยูในภาพเชน การใช ลายเขียนรูปสัตวของชาวอะบอริจิน หรือลายเทพนมของไทยเปนลายที่ใชตกแตงสถาปตยกรรมชั้นสูง ของไทย หรือรูปนารายณทรงสุบรรณ นิยมตกแตงหนาบันของสถาปตยกรรมไทยที่พระมหากษัตริย สราง หรือภาพลายไทยตางๆ (ภาพที่ 4.9) เปนตน ภาพที่ 4.9 ภาพลวดลายและสัญลักษณ (ภาพลายไทยบนแจกัน ผลงานนักศึกษาสาขาประยุกตศิลป) 5) ทัศนธาตุและหลักการศิลปะ(Visual Elements and Principles of Art) เปนการแสดง ความงามของทัศนธาตุและหลักการทางศิลปะ ซึ่งนิยมเสนอ เสน รูปราง รูปทรง ตามความสัมพันธของ การจัดองคประกอบในลักษณะนามธรรม โดยไมเนนความเหมือนจริงตามธรรมชาติ(ภาพที่ 4.10) งาน ประเภทนี้ความหมายมักจะเปนความหมายที่ซอนหรือแฝงอยูตองอาศัยการตีความที่ซับซอนแตสามารถ จะจัดเปนกิจกรรมที่ใหเด็กประถมศึกษาตอนปลายทําจะเกิดความสนุกสนานและการสืบคนที่กวางขวาง
69 ภาพที่ 4.10 ภาพองคประกอบศิลป 6) กิจกรรมและเหตุการณตาง ๆ เลาเหตุการณหรือกิจกรรมเปนการบันทึกเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร จะปรากฏมากในจิตรกรรมไทยแตสําหรับประติมกรรมก็ปรากฏใหเด็กไดเชนประติมา กรรมนูนต่ํารอบอนุสาวรียตาง ๆ หรือประติมากรรมปูนปนตามฐานพระประธานหรือเจดีย ซึ่งสามารถ ถายทอดเหตุการณหรือการเสียดสีสังคมไปพรอมกัน(ภาพที่ 4.11) ภาพที่ 4.11 ภาพกิจกรรมหรือเหตุการณ (จิตรกรรมไทยเลาเรื่องราววิถีชีวิตในสมัยของชางเขียน ระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) คุณคาของความงามทางศิลปะ คุณประโยชนกับคุณคามีความหมายที่ตางกัน ของที่มีคุณคา อาจจะไมมีประโยชนก็ได คุณคา (Value) หมายถึง คุณคามีลักษณะเปนนามธรรมมีลักษณะเหนือกวา คุณประโยชนและราคาหรือคุณคาทางเศรษฐกิจคุณคาในผลงานศิลปะของเด็กคือการที่เขาไดแสดงออก ความคิดและจินตนาการออกมาเปนผลงานเกิดความภาคภูมิใจและอยากใหบุคคลรอบขางชื่นชมผลงาน นั้นดวย หากมองผลงานของเขาอาจจะดูไมมีคุณคาในเชิงเศรษฐกิจแตกับมีคุณคาทางจิตใจของเขา มากกวา ซึ่งหากมองคุณคาของทัศนศิลปตามขอบเขตก็มองได 2 อยางคือ
70 1) คุณคาตอตนเองเปนคุณคาของการสรางงานทัศนศิลปตอกระบวนการสรางงานที่ชวยสราง ความผอนคลาย การแสดงออกซึ่งความคิด หรือคุณคาตอการประกอบอาชีพ การสรางผลงานศิลปทุก ชิ้นผูสรางตองคิดถึงจุดมุงหมายของการถายทอดงานและจุดมุงหมายมักแสดงคุณคาออกมาในผลงานทั้ง สองอยางสัมพันธกันและไมสามารถแยกออกจากกันได 2) คุณคาตอสังคม งานทัศนศิลปนี้เปนสิ่งที่ถายทอดความดีงามหรือเนื้อหาที่ใหสังคมไดเกิด แนวคิดหรือความรูสึกความงามก็จัดเปนคุณคาที่ทําใหคนในสังคมมีความสุขก็เทากับการสรางคุณคาให เกิดขึ้นตอสังคม ดังนั้นศิลปนจึงตองมีหนาที่และความรับผิดชอบตอการเสนอผลงานตอสังคม การประเมินคุณคาของงานทัศนศิลปนั้นมีความสําคัญยิ่งเพราะทัศนศิลปเปนเรื่องราวของ อารมณ จิตใจ และความรูสึกนึกคิดโดยการจินตนาการถายทอดผานผลงานศิลปกรรม ซึ่ง กําจร สุนพงษ ศรี (2555:82) ไดแสดงวิธีการประเมินคุณคาไว สรุปและสังเคราะหได ดังนี้ (ตารางที่ 4.3) ตารางที่ 4.3 ตัวอยางวิธีการประเมินคุณคา วิธีการ หลักการดําเนินการประเมิน การแสดงอารมณ (Emotion) ประเมินการแสดงออกซึ่งอารมณความรูสึกมาจากสวนของจิต ใตสํานึกในผลงานตอผูชมกลุมตางๆทั้ง จากศิลปนหรือ นักวิชาการและนักวิจารณศิลปะ รวมถึงผูชมทั่วไป การสํารวจเหตุผล (Rationalist) ประเมินจากเกณฑการตัดสินเชิงวิธีการที่มีระเบียบกฎเกณฑมา วิเคราะหเทียบกับที่ศิลปนนําเสนอในผลงาน การสรางสรรค (Creativity ) ประเมินจากความสามารถเชิงสรางสรรค ทั้งการคิด กระบวน ทัศน เทคนิค ความสามารถเฉพาะตนหรือผลกระทบ การสํารวจมโนทัศน (Concepts) ประเมินโดยการสัมภาษณ สอบถาม สํารวจเอกสารจากศิลปน หรือนักวิชาการและนักวิจารณศิลปะ ก า ร เ ป รี ย บ เ ที ย บ เ จ ต น า กั บ จุดมุงหมาย(Intend) ประเมินความเหมาะสมของเจตนาในการสรางมีความสัมพันธ หรือความสอดคลองกับจุดมุงหมายในการสรางมากนอย เพียงใด ความคิดสรางสรรค (Creative Thinking) ประเมินจากการนําเสนอ กลวิธี เทคนิค วัสดุ หรือเนื้อหา ฯลฯ ที่มีความริเริ่มแปลกใหมในสมัยที่สรางผลงานนั้น องคประกอบของสุนทรียธาตุ (Aesthetic Elements) ประเมินจากผลงานดวยเกณฑทัศนธาตุ และหลักการออกแบบ เพื่อประเมินความเหมาะสมในแตละดานของผลงานนั้น ลีลาเฉพาะตน (Personal Style) ประเมินจากเอกลักษณและกระบวนการสรางงานที่มีความเปน ปจเจกของงานหรือศิลปนนั้น
71 สรุป สุนทรียศาสตรเปนสวนหนึ่งของปรัชญาบริสุทธิ์ ในสาขาคุณวิทยา เนนเรียนรูผานทัศนศิลป ความงามความประทับใจ และความรูสึกที่มีตอธรรมชาติรอบตัวและงานทัศนศิลป เปนสวนหนึ่งของ สุนทรียศาสตรที่เกิดมาตั้งแตสมัยกรีก การพิจารณาความงามตามหลักสุนทรียศาสตรตองมีความเขาใจ ในนิยามศัพท ทั้งสุนทรียธาตุ สุนทรียภาพ สุนทรียวัตถุ และสุนทรียอารมณ ซึ่งการมองความงามตาม แนวสุนทรียศาสตรเชื่อมโยงกับความเขาใจของการสื่อความหมายในงานทัศนศิลป เปนประโยชนและมี คุณคาของงานทัศนศิลป เพราะสุนทรียศาสตรหรือการรับรูคาความงามเปนเรื่องที่วาดวยคุณคา ซึ่ง คุณคาประกอบดวย คุณคาตอตนเองและคุณคาตอสังคม การสื่อความหมายในงานศิลปะที่สรางคุณคา และความงาม มี 3 ลักษณะ คือ สื่อความหมายดวยทัศนธาตุและหลักการทางศิลปะ สื่อความหมายดวย ภาพเรื่องราวของสังคม และสื่อความหมายดวยจินตนาการและความคิด ไดเกิดความเขาใจในคุณคา และความซาบซึ้งในความงามไดดียิ่งขึ้น คําถามทบทวน 1. จงเสนอนิยามของศัพทสุนทรียศาสตรและความงามจากนักปรัชญามา 3 ทาน 2. จงอธิบายความงามในธรรมชาติและในทัศนศิลป 3. จงบอกคุณคาของงานทัศนศิลป 4. จงบอกรูปแบบเนื้อหาเรื่องราวในงานทัศนศิลปวามีกี่ประเภท อะไรบาง 5. จงบอกศัพทภาษาอังกฤษที่เกี่ยวของกับบทนี้มาหาคําศัพท เอกสารอางอิง
72 ภาษาไทย กําจร สุนพงษศรี. (2555). สุนทรียศาสตร. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ธนาคารแหงประเทศไทย.(ม.ป.ป.). ศิลปะสะสมธนาคารแหงประเทศไทย.กรุงเทพฯ:บริษัทฉลองรัตน จํากัด. ธนาคารแหงประเทศไทย.(2535). นิทรรศการจิตรกรรมและประติมากรรมเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ป ธนาคารแหงประเทศไทย.กรุงเทพฯ:บริษัทฉลองรัตนจํากัด. สุชาติ วงษทอง.(ม.ป.ป.).สีน้ําคืออะไร.กรุงเทพฯ:เพรส มีเดีย. อารี สุทธิพันธุ. (2533).ประสบการณสุนทรียะ.กรุงเทพฯ:สํานักพิมพตนออ. Wikipedia, the free encyclopedia. (2014). Art History. [Online]. Accessed 16 September 2014. Available from http://en.wikipedia.org/wiki/Thailand.
บทที่ 5 การออกแบบการเรียนรูสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้งสําหรับเด็กประถมศึกษา การสรางใหเด็กรับรูคาความงามหรือความซาบซึ้งทัศนศิลปนั้นจะเปนการสรางลักษณะนิสัยที่ดี ใหกับเด็กที่จะสงเสริมใหเกิดการชื่นชมรวมถึงสงเสริมศิลปนและวงการศิลปะในอนาคต ดังนั้นครูจึงตอง กระตุนโดยการชี้ชวนใหชมผลงานแลวคอยสอดแทรกองคความรูตาง ๆ ลงไปเพื่อใหเกิดการเรียนรู ทางดานศิลปะที่มีแนวคิดไปพรอมอารมณความรูสึกซึ่งจะยิ่งสงเสริมใหเด็กเขาถึงแกนของศิลปะที่เปน เครื่องมือถายทอดความคิดดานตาง ๆ ของบรรพชนดังนั้นผูสอนจึงควรนําหลักการจัดการเรียนรูไป พัฒนาและปรับใหเหมาะสมกับตัวผูเรียน ดังที่เสนอตอไปนี้ ขั้นการวิเคราะหการเรียนรู 1) การวิเคราะหเปนหลักสูตรเพื่อกําหนดแผนหรือหนวยการเรียนรู โดยการเรียนรูดาน สุนทรียศาสตรและความซาบซึ้งสําหรับเด็กประถมศึกษานั้นเปนการเรียนรูจะตองนําเนื้อหาความงาม การเห็นคุณคา การชื่นชมและความซาบซึ้งตอศิลปกรรมทั้งผลงานที่ตนเองสรางและของศิลปนตางๆ 2) การวิเคราะหตัวชี้วัด การจัดการเรียนรูสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้งสําหรับเด็ก ประถมศึกษาในสถานศึกษาตองคํานึงถึงการดึงตัวชี้วัดและสาระแกนกลางมากําหนดวิธีการสอนตางๆ เพื่อที่จะทําเกิดการเรียนรูไดอยางเหมาะสม เพราะการสอนสุนทรียศาสตรบางหลักการนั้นยากเกิน ความสามารถและระดับพัฒนาการของเด็กในระดับประถมศึกษาซึ่งผูสอนจําเปนตองลดทอนหรือพัฒนา เทคนิคการสอนสุนทรียศาสตรของตนเองขึ้นใหเหมาะสมกับงานและหลักสูตรของสถานศึกษา หรือ บางครั้งอาจจะตองปรับเปลี่ยนใหเปนการชื่นชมหรือฟงความคิดเห็นตอความงามในงานศิลปะและ ธรรมชาติของเด็กเทานั้น ผูเขียนไดเสนอตัวชี้วัดและสาระแกนกลางที่เกี่ยวของทั้งทางตรง ไดแก การ บรรยาย อภิปราย จําแนก ระบุหรือบอกความรูสึกตอผลงานทัศนศิลปตางๆ และทางออมที่เปนการ ปฏิบัติผูสอนอาจจะใหทําผลงานในลักษณะการถายทอด เรื่องราว ความคิด หรือจินตนาการเพื่อดูความ ซาบซึ้งและจิตนาการดานความงามของเด็ก ซึ่งในการจัดการเรียนรูศิลปะในระดับประถมศึกษา ไวดังนี้ ตารางที่ 5.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางที่เกี่ยวของกับการออกแบบการเรียนรูสุนทรียศาสตรและความ ซาบซึ้ง มาตรฐาน ศ 1.1 : สรางสรรคงานทัศนศิลปตามจินตนาการ และความคิดสรางสรรค วิเคราะห วิพากษ วิจารณคุณคางานทัศนศิลป ถายทอดความรูสึก ความคิดตองานศิลปะอยางอิสระ ชื่นชม และ ประยุกตใชในชีวิตประจําวัน ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.1 1. อภิปรายเกี่ยวกับรูปรางลักษณะและขนาด ของสิ่งตางๆรอบตัวในธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย สรางขึ้น - รูปรางลักษณะและขนาดของสิ่งตางๆรอบตัวใน ธรรมชาติและสิ่งที่มนุษยสรางขึ้น
74 ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง 2 บอกความรูสึกที่มีตอธรรมชาติและสิ่งแวดลอม รอบตัว - ความรูสึกที่มีตอธรรมชาติและสิ่งแวดลอมรอบตัว เชนรูสึกประทับใจกับความงามของบริเวณรอบ อาคารเรียนหรือรูสึกถึงความไมเปนระเบียบของ สภาพภายในหองเรียน ป.2 1.บรรยายรูปรางรูปทรงที่พบในธรรมชาติและ สิ่งแวดลอม - รูปรางรูปทรงในธรรมชาติและสิ่งแวดลอมเชนรูป กลมรีสามเหลี่ยมสี่เหลี่ยมและทรงกระบอก 6. วาดภาพเพื่อถายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ ครอบครัวของตนเองและเพื่อนบาน - การวาดภาพถายทอดเรื่องราว 7. เลือกงานทัศนศิลปและบรรยายถึงสิ่งที่ มองเห็นรวมถึงเนื้อหาเรื่องราว - เนื้อหาเรื่องราวในงานทัศนศิลป ป.3 1. บรรยายรูปรางรูปทรงในธรรมชาติสิ่งแวดลอม และงานทัศนศิลป - รูปรางรูปทรงในธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลป 2. ระบุวัสดุอุปกรณที่ใชสรางผลงานเมื่อชมงาน ทัศนศิลป - วัสดุอุปกรณที่ใชสรางงานทัศนศิลปประเภทตางๆ 3.จําแนกทัศนธาตุของสิ่งตางๆในธรรมชาติ สิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลปโดยเนนเรื่องเสนสี รูปรางรูปทรงและพื้นผิว - เสนสีรูปรางรูปทรงพื้นผิวในธรรมชาติสิ่งแวดลอม และงานทัศนศิลป 6. วาดภาพถายทอดความคิดความรูสึกจาก เหตุการณชีวิตจริงโดยใชเสนรูปรางรูปทรงสีและ พื้นผิว - การใชเสนรูปรางรูปทรงสีและพื้นผิว วาดภาพถายทอดความคิดความรูสึก 7. บรรยายเหตุผลและวิธีการในการสรางงาน ทัศนศิลปโดยเนนถึงเทคนิคและวัสดุอุปกรณ - วัสดุอุปกรณเทคนิควิธีการในการสรางงาน ทัศนศิลป 8. ระบุสิ่งที่ชื่นชมและสิ่งที่ควรปรับปรุงในงาน ทัศนศิลปของตนเอง - การแสดงความคิดเห็นในงานทัศนศิลปของตนเอง ตารางที่ 5.1 (ตอ) ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง 9. ระบุและจัดกลุมของภาพตามทัศนธาตุ ที่เนนในงานทัศนศิลปนั้นๆ - การจัดกลุมของภาพตามทัศนธาตุ 10. บรรยายลักษณะรูปรางรูปทรงในงานการ ออกแบบสิ่งตางๆที่มีในบานและโรงเรียน - รูปรางรูปทรงในงานออกแบบ ป.4 1.เปรียบเทียบรูปลักษณะของรูปรางรูปทรงใน ธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป - รูปรางรูปทรงในธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลป 2.อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของสีวรรณะอุนและ สีวรรณะเย็นที่มีตออารมณของมนุษย - อิทธิพลของสีวรรณะอุนและวรรณะเย็น
75 ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.4 3.จําแนกทัศนธาตุของสิ่งตางๆในธรรมชาติ สิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลปโดยเนนเรื่องเสนสี รูปรางรูปทรงพื้นผิวและพื้นที่วาง - เสนสีรูปรางรูปทรงพื้นผิวและพื้นที่วางใน ธรรมชาติสิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป ป.4 6. บรรยายลักษณะของภาพโดยเนนเรื่องการจัด ระยะความลึกน้ําหนักและแสงเงาในภาพ - การจัดระยะความลึกน้ําหนักและแสงเงา ในการวาดภาพ 7. วาดภาพระบายสีโดยใชสีวรรณะอุนและสี วรรณะเย็นถายทอดความรูสึกและจินตนาการ - การใชสีวรรณะอุนและใชสีวรรณะเย็นวาด ภาพถายทอดความรูสึกและจินตนาการ 8.เปรียบเทียบความคิดความรูสึกที่ถายทอดผาน งานทัศนศิลปของตนเองและบุคคลอื่น - ความเหมือนและความแตกตางในงานทัศนศิลป ความคิดความรูสึกที่ถายทอดในงานทัศนศิลป 9. เลือกใชวรรณะสีเพื่อถายทอดอารมณ ความรูสึกในการสรางงานทัศนศิลป - การเลือกใชวรรณะสีเพื่อถายทอดอารมณ ความรูสึก ป.5 1. บรรยายเกี่ยวกับจังหวะตําแหนงของสิ่งตางๆ ที่ปรากฏในสิ่งแวดลอมและงานทัศนศิลป -จังหวะตําแหนงของสิ่งตางๆในสิ่งแวดลอมและงาน ทัศนศิลป 2. เปรียบเทียบความแตกตางระหวางงาน ทัศนศิลปที่สรางสรรคดวยวัสดุอุปกรณและ วิธีการที่ตางกัน - ความแตกตางระหวางงานทัศนศิลป 4. สรางสรรคงานปนจากดินน้ํามันหรือ ดินเหนียวโดยเนนการถายทอดจินตนาการ - การสรางงานปนเพื่อถายทอดจินตนาการดวยการ ใชดินน้ํามันหรือดินเหนียว 6. ระบุปญหาในการจัดองคประกอบศิลป และการสื่อความหมายในงานทัศนศิลปของ ตนเองและบอกวิธีการปรับปรุงงานใหดีขึ้น - การจัดองคประกอบศิลปและงาน สื่อความหมายในงานทัศนศิลป 7. บรรยายประโยชนและคุณคาของงาน ทัศนศิลปที่มีผลตอชีวิตของคนในสังคม - ประโยชนและคุณคาของงานทัศนศิลป ตารางที่ 6.1 (ตอ) ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.6 1. ระบุสีคูตรงขามและอภิปรายเกี่ยวกับการใชสี คูตรงขามในการถายทอดความคิดและอารมณ -วงสีธรรมชาติและสีคูตรงขาม 2. อธิบายหลักการจัดขนาดสัดสวนความสมดุล ในการสรางงานทัศนศิลป - หลักการจัดขนาดสัดสวนความสมดุลในงาน ทัศนศิลป
76 ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง 7.สรางแผนภาพแผนที่และภาพประกอบ เพื่อถายทอดความคิดหรือเลาเรื่องราวเกี่ยวกับ เหตุการณตางๆ - การสรางงานทัศนศิลปเปนแผนภาพแผนที่และ ภาพประกอบ มาตรฐาน ศ 1.2 : เขาใจความสัมพันธระหวางทัศนศิลป ประวัติศาสตร และวัฒนธรรมเห็นคุณคางาน ทัศนศิลปที่เปนมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปญญาทองถิ่น ภูมิปญญาไทย และสากล ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.1 1. ระบุงานทัศนศิลปในชีวิตประจําวัน -งานทัศนศิลปในชีวิตประจําวัน ป.2 1. บอกความสําคัญของงานทัศนศิลป ที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน - ความสําคัญของงานทัศนศิลปใน ชีวิตประจําวัน 2.อภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปประเภทตาง ๆใน ทองถิ่นโดยเนนถึงวิธีการสรางงานและวัสดุ อุปกรณ - งานทัศนศิลปในทองถิ่น ป.3 1. เลาถึงที่มาของงานทัศนศิลป ในทองถิ่น - ที่มาของงานทัศนศิลปในทองถิ่น 2. อธิบายเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณและวิธีการสรางงาน ทัศนศิลปในทองถิ่น - วัสดุ อุปกรณ และวิธีการสรางงาน ทัศนศิลปในทองถิ่น ป.4 1. ระบุ และอภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปในเหตุการณ และงานเฉลิมฉลองของวัฒนธรรมในทองถิ่น - งานทัศนศิลปในวัฒนธรรมทองถิ่น 2. บรรยายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปที่มาจากวัฒนธรรมตาง ๆ - งานทัศนศิลปจากวัฒนธรรมตาง ๆ ป.5 1. ระบุ และบรรยายเกี่ยวกับลักษณะรูปแบบของงาน ทัศนศิลปในแหลงเรียนรูหรือนิทรรศการศิลปะ - ลักษณะ รูปแบบของงานทัศนศิลป 2. อภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปที่สะทอนวัฒนธรรม และภูมิปญญาในทองถิ่น - งานทัศนศิลปที่สะทอนวัฒนธรรมและ ภูมิปญญาในทองถิ่น ป.6 1. บรรยายบทบาทของงานทัศนศิลปที่สะทอนชีวิตและ สังคม - บทบาทของงานทัศนศิลปในชีวิตและ สังคม 2. อภิปรายเกี่ยวกับอิทธิพลของความเชื่อ ความ ศรัทธา ในศาสนาที่มีผลตองานทัศนศิลปในทองถิ่น - อิทธิพลของศาสนาที่มีตองาน ทัศนศิลปในทองถิ่น 3. ระบุ และบรรยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมในทองถิ่นที่มี ผลตอการสรางงานทัศนศิลปของบุคคล - อิทธิพลทางวัฒนธรรมในทองถิ่นที่มี ผลตอการสรางงานทัศนศิลป ขั้นการออกแบบการเรียนรู 1) การออกแบบวัตถุประสงคการเรียนรู เมื่อไดตัวชี้วัด และสามารถวิเคราะหตัวชี้วัด กับ กระบวนการ และเนื้อหาไดแลว ใหมากําหนดวัตถุประสงคโดยอาศัยหลักการกําหนดวัตถุประสงค 3 ดานคือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย ตัวอยางเชน ระบุสีคูตรงขามและอภิปรายเกี่ยวกับการใชสีคู ตรงขามในการถายทอดความคิดและอารมณ จะเปนวัตถุประสงค ในดานพุทธิพิสัยคือ ผูเรียนระบุสีคู
77 ตรงขามในการถายทอดความคิดและอารมณ และผูเรียนอภิปรายเกี่ยวกับการใชสีคูตรงขามในการ ถายทอดความคิดและอารมณได ดานทักษะพิสัย คือ ผูเรียนสามารถวาดภาพโดยใชสีคูตรงขามในการ ถายทอดความคิดและอารมณได และดานจิตพิสัย คือ ผูเรียนบอกถึงความงดงามของสีคูตรงขามในการ ถายทอดความคิดและอารมณได แตทั้งนี้การกําหนดวัตถุประสงคจําเปนตองคํานึงถึงวิธีการสอนที่ ผูสอนเลือกมาดวยเพราะจะเปนภาระงาน งานและผลงานที่ตองการใหเด็กสามารถกระทําได 2) การออกแบบเนื้อหาสาระ เปนการกําหนดสาระสําคัญและสาระการเรียนรูจากตัวชี้วัดและ วัตถุประสงค นําสาระแกนกลางนั้นมาแตกออกเปนหัวขอเพื่อสรางเนื้อหาในการสรางความรูการ ปฏิบัติงาน ตัวอยางสาระแกนกลางที่วาอภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลปที่สะทอนวัฒนธรรมและภูมิ ปญญาในทองถิ่น ซึ่งนํามาวิเคราะหกับขั้นตอนของวิธีการสอนสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้งก็ สามารถใชเปนสวนประกอบของหนวยการเรียนรูในขั้นใหเด็กอภิปรายถึงความงามของงานทัศนศิลปที่ สะทอนวัฒนธรรมและภูมิปญญาในทองถิ่นได 3) การออกแบบกระบวนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา การกําหนดกระบวนการปฏิบัติงาน เปนการกําหนดวา ขั้นตอนการศึกษาในแผนการเรียนรูนั้นๆควรจะมีขั้นตอนอะไรบางซึ่งโดยสวนใหญจะ แปลงไปตามวัตถุประสงคหรือตัวชี้วัด ในดานความรู ซึ่งหมายถึงการที่ผูสอนใหความรูดวยวิธีการตางๆ ดานการปฏิบัติ หมายถึง ผูสอนใหผูเรียนดําเนินการกิจกรรมดวยการลงมือปฏิบัติเพื่อใหเกิด ความสามารถทางดานศิลปะ ที่เชื่อมโยงเขาสูสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้ง เชนการใหวาดภาพเพื่อ การบันทึกความงามแลวมาบรรยายหรืออภิปรายในหองเรียน และดานจิตพิสัยเนนการปฏิบัติงาน สะทอนความคิดเห็นหรือทัศนะที่ดีตอการเรียนรูเรื่องการเห็นคุณคา ความงาม และความซาบซึ้งและ ตองแบงการปฏิบัติงานใหสอดคลองกับชั่วโมงเรียนดวย ขั้นการพัฒนาการเรียนรู 1) การจัดการเรียนรูหรือการสอนความซาบซึ้งทัศนศิลปหรือสุนทรียศาสตรสวนใหญจะเนนการ สนทนาใหเด็กเกิดการโตตอบและแลกเปลี่ยนความคิดกับครูหรือศิลปนโดยเทคนิคการสอนอื่นๆที่จะนําเสนอ ตอไปนี้เปนการเลือกและเสนอใหเปนขั้นตอนสําหรับการจัดการเรียนการสอนดังนี้ - ทฤษฎีการสอนสุนทรียะของแฮรี โบรดี - ทฤษฎีการสอนความซาบซึ้งศิลปะของพาร โยฮันเซน - การเรียนรูสรรคสรางศิลปะที่เนนสุนทรียศาสตร ดังรายละเอียดตอไปนี้ - ทฤษฎีการสอนสุนทรียะของแฮรี โบรดีแนวคิดนี้มุงเนนการวางแผนการสอนทั้งทัศนศิลป โดยมองการรับรูอยางมีศิลปะ (Artistic perception) (มะลิฉัตร เอื้ออานันท.2543:62-69) โดยมี ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่ 1 ครูนํานักเรียนพัฒนาทักษะจากสื่อที่เลือกไว ขั้นตอนนี้เนนการฝกการรับรูอยางทั่วถึง (Scanning method) เพื่อใหนักเรียนเสาะแสวงและวิเคราะหสวนตาง ๆ และคุณสมบัติตาง ๆ ของงาน ศิลปกรรมอันไดแก ดานสวนประกอบการรับรูสัมผัส ดานโครงสราง ดานความรูสึก ดานเทคนิควิธี และ คุณสมบัติพิเศษดานสุนทรียะ ซึ่งตองอาศัยความรูและกระบวนการ ดังนี้ การใหความรูดาน
78 ประวัติศาสตรศิลปในลักษณะและรูปแบบของงานศิลปะ การคนหาความหมายของงานศิลปะพิจารณา ถึงความประสงค และความนาสนใจของผลงาน และการใชเปรียบเทียบผลงานศิลปะกับหลักเกณฑทาง สุนทรียะ ที่เปนแนวคิดมาตรฐาน และประเมินคุณคาดานสุนทรียะ ขั้นที่ 2 ครูนํานักเรียนพัฒนาความสามารถที่จะตัดสินประเมินผลงานที่คัดเลือกมาอยาง มีสุนทรีย ขั้นตอนนี้เนนสรางประสบการณดานสุนทรียผานทางการรับรูอยางมีศิลปะ ประเมินผลงานอยาง มีสุนทรีย และแสดงรสนิยมทางศิลปะของผูเรียนเพื่อประเมินการรับรูสงผลตอการเปนผูรักและรูแจงในงาน ศิลปะ - ทฤษฎีการสอนความซาบซึ้งศิลปะของพาร โยฮันเซน มีขั้นสอน 3 ขั้น (มะลิฉัตร เอื้อ อานันท. 2543:70-72) คือ ขั้นเตรียมการ (Preparatory Teaching) ประกอบดานการสอนเชิงประวัติศาสตร-ศิลปคือ การบรรยายรูปแบบทัศนศิลป ทั้งรูปแบบในอดีตทั้งรูปแบบเกาและรูปแบบใหม และการบรรยายเทคนิค วิธีการทัศนศิลป ที่ศิลปนใชสรางผลงานนั้นกอน ดังภาพที่ 5.2 ภาพที่ 5.2 ขั้นเตรียมการ(Preparatory Teaching) ของพาร โยฮันเซน ขั้นการสอนเตรียมการ (Teaching to Preparing) เปนขั้นตอนที่เนนการพิจารณาผลงาน เปนตัวหลักโดยไมตองคํานึงถึงขอมูลอื่นๆ เชน ผูสราง แรงบันดาลใจ สมัยนิยม หรือสิ่งแวดลอม เปนตน ประกอบดวย 3 ขั้นตอน คือ การบรรยายคุณภาพโดยภาพรวม การตีความสวนตาง ๆ และการ ประเมินคุณคาสุนทรียภาพ ขั้นบรรลุผล (Achievement in experience) เนนการพิจารณาภายในซึ่งก็เปนการให ประสบการณแกผูเรียนในลักษณะการพิจารณาโดยภาพรวม (comprehension) ดังนี้ พิจารณา โดยรวม เนนการบรรยาย เกิดความประทับใจ ความเขาใจ เนนการบรรยายและตีความ เกิดการ แสดงออก และ การรูแจงถองแท เนนการประเมินผล เกิดความผูกมัดกับตัวเอง เมื่อจะทําการสอนดวยวิธีการตาง ๆ นั้นควรจะกําหนดระดับความยากงายใหเหมาะสมกับ ผูเรียนและการเลือกผลงานที่จะสงผลตอความคิดสรางสรรคของเด็ก ซึ่งขั้นตอนบางขั้นจะมีการ ผสมผสานกับศิลปวิจารณอยูบางสิ่งสําคัญที่ครูตองคํานึงถึงคือการพัฒนาความคิดของเด็กอยางอิสระ การควบคุมตองระวังผลการลอกเลียนแบบที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวผูเรียน - การเรียนรูสรรคสรางศิลปะที่เนนสุนทรียศาสตร การสอน ประวัติศาสตรศิลป รูปแบบทัศนศิลป(Styles) รูปแบบเกาในอดีต (Distant past) รูปแบบใหมในอดีต (Recent past) เทคนิควิธีการทัศนศิลป จิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ ฯลฯ
79 สิ่งสําคัญของการเรียนรูนี้คือครูตองกระตุนใหเด็กเกิดความเขาใจหรือผลิตสิ่งงานใหม โดย ครูตองจัดสภาพแวดลอมหรือพาเด็กไปในสภาพแวดลอมที่กระตุนจินตนาการ เปดโอกาสและกระตุนให เกิดการสรางสรรคใหม นอกจากนี้ครูตองทําหนาที่กระตุนแรงจูงใจ โดยการแสดงความคิดเห็นเชิงบวก และใหเพื่อนในหองแสดงความคิดเห็นดวย โดยครูตองทําความเขาใจกับเด็กในดานความสามารถ ทางการรับรู พัฒนาการดานทักษะ ความคิดคลอง ความคิดยืดหยุนและความริเริ่มในจินตนาการสํารวจ (ไมเคิล ลิตเติลไดก,เขียน.และสมพร วารนาโด,แปล .2542:361-333) ดังรายละเอียดตอไปนี้(ดังภาพที่ 5.2) ภาพที่ 5.2 ขั้นตอนการสอนสรรคสรางศิลปะที่เนนสุนทรียศาสตร สวนการประเมินผลนั้น เนนสรางพัฒนาการของเด็กเนนกระบวนการมากกวาผลงานแสดง ความชื่นชมตอความคิดริเริ่มใหม ประเมินผลอยางซื่อสัตยและใหความสําคัญในการสรางสิ่งใหมโดยไม ลอกเลียนและมีตัวอยางจากการสรางงานโดยใหเด็กไปดูผลงานที่พิพิธภัณฑ แลวมาสรางสรรคงาน ดังนี้ (ดังตารางที่ 5.2) ตารางที่ 5.2 การประเมินผลสรรคสรางศิลปะที่เนนสุนทรียศาสตร เกณฑการประเมิน ภาระงาน(Task) ผลงาน(Product) การรับรูประสบการณ วาดเลียนแบบ ภาพวาดเลียนแบบ จินตนาการความคิดคลอง ความคิดยืดหยุนและความริเริ่ม นําเทคนิควิธีการ ประยุกตใช ภาพรางตนแบบ/ผลงานตนแบบ เ น น ก ร ะ บ ว น ก า ร แ ส ด ง อ อ ก มากกวาผลงาน กระบวนการทํางาน การเลือกใชวัสดุ ภาพวาดตนแบบ/ตัวอยาง มีการประเมินผลงานหรือไม นําไปจัดแสดง ผลการประเมินในแฟมสะสมงานหรือนิทรรศการ จากทฤษฎีการสอนที่กลาวมา ทฤษฎีการสอนสุนทรียะของแฮรี โบรดีเหมาะสมกับหนวยการ เรียนที่เนนการวิเคราะหองคประกอบของงานทัศนศิลปทั้งทัศนธาตุและหลักการออกแบบ และใหเด็ก เลือกตัดสินความรูสึกและรสนิยมความชื่นชมตอศิลปะ เชนเดียวกับการเรียนรูสรรคสรางศิลปะที่เนน สุนทรียศาสตร ที่เนนศิลปะปฏิบัติแลวใหเด็กชื่นชมผลงานของตนเองอยางซื่อสัตยและจริงใจ สวน • เริ่มจากการใหดูผลงานของศิลปนหรือโจทยที่ทาทาย และใหเด็กพูดคุยสนทนากัน • ผล คือ ครูสามารถคนความรูความเขาใจเดิมของเด็ก ปฐมนิเทศ /สกัดความคิด • จัดอุปกรณที่หลากหลายใหเลือกและทดลองวิธีการสรางงาน • ผล คือ ภาพรางผลงาน การแทรกแซง/การ สรางกลับเขามาใหม • ใหเกิดทํางานอยางอิสระดวยตนเอง และแสดงความคิดเห็นในขณะเด็กทํางาน • ผล คือ ผลงานศิลปะตามความจินตนาการของเด็ก การประยุกต /กิจกรรมศิลปะ • ประเมินความคิดคลอง ความคิดยืดหยุนและความริเริ่มดวยครูและเด็ก • ผล คือ ผลการประเมิน ชมเชยอยางซื่อสัตยและการออกแสดง การประเมินผล/การ ทบทวน
80 ทฤษฎีการสอนความซาบซึ้งศิลปะของพาร โยฮันเซน เนนการบรรยายความซาบซึ้งความงามจากการชื่น ชมผลงานและบูรณาการกับการสอนศิลปวิจารณซึ่งเหมาะกับตัวชี้วัดในกลุมมาตรฐาน ศ 1.2 ดังตาราง ที่ 6.1 นั้นเอง 2) การพัฒนาสื่อการสอน เปนการเลือกสื่อหรือกําหนดสื่อตางๆที่ใชในการออกแบบการ เรียนรูซึ่งโดยสวนใหญในการออกแบบการจัดการเรียนรูสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้งจะเกี่ยวของกับ การบรรยายที่มีภาพวิดีทัศนหรือภาพขนาดเหมาะสมกับจํานวนเด็ก นอกจากนั้นการใชกิจกรรมศิลปะ ปฏิบัติควรมีเครื่องมือในการวาดภาพเพื่อบันทึกความงามสําหรับเด็กเล็ก และมีใบงานสําหรับการเขียน ในเด็กโต นอกจากนี้ควรใชสื่อจากแหลงเรียนรู ทั้งการไปชมผลงานศิลปกรรมในพิพิธภัณฑและหอศิลป 3) การกําหนดวิธีการวัดผลและประเมินผล การออกแบบการเรียนรูดานสุนทรียศาสตร และความซาบซึ้งผูสอนมักจะเนนความรูเรื่องความงามตามแนวคิดตางๆ เปนหลักและมุงใหเกิดผลดาน จิตพิสัยคือ ความซาบซึ้ง การรักความงาม ความเปนระเบียบ สวนการประเมินผลดานทักษะพิสัยควร เนนที่การอธิบายความงามหรือการวาดภาพเพื่อบันทึกความงามซึ่งควรกําหนดเปนเกณฑรูบิคสที่มีคา น้ําหนักตางๆตามตัวชี้วัด สาระแกนกลาง และวิธีการสอน สรุป การสรางความซาบซึ้งหรือความรูสึกประทับใจ ชื่นชมตองานทัศนศิลปในถึงแมวาจะเกี่ยวของ กับวิชาสุนทรียศาสตรในที่นี้ก็มิไดหมายความวาจะตองสอนวิชาสุนทรียศาสตรใหเด็กในระดับ ประถมศึกษา เพราะศัพท และแนวคิดบางอยางยากเกินที่จะทําความเขาใจ หากแตการสอนที่จะสราง ความงามความประทับใจ และความรูสึกที่มีตอธรรมชาติรอบตัวและงานทัศนศิลป การสื่อความหมายใน งานทัศนศิลปคุณคาและคุณประโยชนของงานทัศนศิลปและ เนื้อหาเรื่องราวในงานทัศนศิลป เปน ประเด็นที่จะชวยใหเกิดสุนทรียภาพหรือความซาบซึ้งในตัวเด็กโดยครูตองทําการวิเคราะหหลักสูตรและ เลือกวิธีสอนทั้งทฤษฎีการสอนสุนทรียะของแฮรี โบรดี ทฤษฎีการสอนความซาบซึ้งศิลปะของพาร โยฮันเซน หรือ การเรียนรูสรรคสรางศิลปะที่เนนสุนทรียศาสตร ใหเหมาะกับการสรางสุนทรียภาพ ใหกับเด็กก็คือการใหประสบการณสุนทรียะ ทั้งทางตรงและทางออมเพื่อใหเกิดการสั่งสมมโนทัศนดาน ความงามเพื่อกระตุนจินตนาการตอไป คําถามทบทวน 1. จงบอกถึงตัวชี้วัดที่เกี่ยวของกับการออกแบบการเรียนรูสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้ง มา 5 ตัวชี้วัด 2. จงประยุกตตัวชี้วัดดานศิลปะปฏิบัติกับการออกแบบการเรียนรูสุนทรียศาสตรและความ ซาบซึ้ง มา 5 ตัว 3. จงสรุปขั้นตอนการสอนสุนทรียศาสตรและความซาบซึ้ง มา 2 วิธี 3.1 การสอนความซาบซึ้งศิลปะของพาร โยฮันเซน 3.2 การเรียนรูสรรคสรางศิลปะที่เนนสุนทรียศาสตร 4. จงบอกศัพทภาษาอังกฤษที่เกี่ยวของกับเนื้อหาในบทนี้มาหาคําศัพท
81 เอกสารอางอิง ภาษาไทย มะลิฉัตร เอื้ออานันท.(2543).การเรียนการสอนและประสบการณดานสุนททรียภาพและศิลปวิจารณ. กรุงเทพฯ:สํานักพิมพจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ไมเคิล ลิตเติลไดก,เขียน.และสมพร วารนาโด,แปล. (2542).การสอนแบบสรรคสรางความรู.กรม วิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ:กรุงเทพฯ.
82
บทที่ 6 ทัศนธาตุ หลักการออกแบบ และศิลปวิจารณ การเรียนรูศิลปะนั้นสวนหนึ่งมุงเนนใหเด็กเปนผูมีความสามารถในการสรางผลงานทาง ทัศนศิลป แตเด็กบางสวนที่มีความสามารถและความสนใจทางทัศนศิลปเชิงปฏิบัตินอยกวาเพื่อน ผูสอนก็จะตองสานตอความสามารถในการเปนผูชม การชื่นชมความงามและการแสดงความคิดเห็นใน เชิงศิลปะอยางมีหลักการทางทัศนศิลป เพราะการเปนผูวิจารณที่ดีจะชวยในการวิเคราะหแยกแยะและ แปลงสิ่งที่มองเห็นออกมาเปนคําพูดขอความสื่อสารใหคนทั่วไปเขาใจ ซึ่งจะชวยใหเกิดทักษะการสื่อสาร และการวิเคราะหที่ดีที่สามารถนําไปใชในการประกอบอาชีพ การวิจารณงานศิลปะตองอาศัยความ เขาใจทัศนธาตุและหลักการออกแบบ เพื่อการตีความในการวิจารณที่ดี 1.ทัศนธาตุ ในการวิจารณงานศิลปะนั้นในขั้นตอนทุกขั้นตอนจําเปนตองอาศัยทัศนธาตุเพื่อการวิเคราะห บรรยายหรือตีความ ความงามของงานทัศนศิลปเกี่ยวของกับการเห็นเมื่อมองดูภาพตาง ๆ จะมี องคประกอบทางความงาม ซึ่งเรียกวา ทัศนธาตุ (Visual Elements ) เปนสวนประกอบ พื้นฐานที่ สําคัญของศิลปะ เมื่อนํามาประสานรวมกันก็จะเกิดเปนรูปรางใหปรากฏเห็นไดในงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรมและอื่น ๆ โดยใชหลักการจัดวางซึ่งเรียกวา หลักการทางศิลปะ (Principles of Art) มาเปนผลงานสรางสรรคที่สวยงาม Prince, Eileen S. (2008) เสนอธาตุในทางศิลปะ ไวดังนี้ สี น้ําหนักหรือแสง-เงา พื้นผิว รูปราง เสน และรูปทรง สวนหลักการออกแบบ ไดแก สมบูรณ การเนน เอกภาพ การเคลื่อนที่ และจังหวะ ฉัตรชัย อรรถปกษ (2554, น.19-20) แบงองคประกอบที่เปนพื้นฐานในการสรางศิลปะ จุดเสน รูปรางรูปทรงมวล พื้นผิว ลักษณะผิวสัดสวนสี น้ําหนักหรือความออนแก แสงเงา และที่วางองค ประกอบที่เปนหลักในการสรางงานศิลปะประกอบไปดวย การซ้ํา จังหวะลวดลายการลดหลั่น ทิศทาง ความกลมกลืน การจัดการความสมดุลและเอกภาพ กําจร สุนพงษศรี(2555, น.207) ใหรายละเอียดของสุนทรียธาตุ (Aesthetic elements) ศิลปะธาตุ (Art element) และทัศนศิลปะธาตุ (Visual art element) ทัศนธาตุหรือ องคประกอบศิลป (Elements of Art) เปนสวนประกอบพื้นฐานที่สําคัญในการ มองและการสรางงานทัศนศิลป ทั้งในกระบวนการสรางสรรคและการชมงาน ซึ่งเกี่ยวของกับการจัด ตกแตง หลักการออกแบบหรือหลักการจัดองคประกอบทางทัศนศิลป (Principles of Design) คือการ นําองคประกอบตาง ๆ เชน จุด เสน สี น้ําหนักและแสงเงารูปราง รูปทรง พื้นผิว และบริเวณวางมาจัด เขา ดวยกันเพื่อใหเกิดความงาม ซึ่งแนวทางในการนําองคประกอบตาง ๆ มาจัดรวมกันนั้น คํานึงถึง เนื้อหา เรื่องราว หรือสาระของผลงานที่ตองการแสดงออกไดรับรู ประกอบดวย จังหวะสัดสวนเอกภาพ การจัดวางตําแหนง(จุดเดน) และความสมดุล ซึ่งสวนยอยหรือมูลฐานเหลานั้นมีหลักการในการชมและ การสรางสรรค ดังนี้