184 เอกสารอางอิง ภาษาไทย พรยุพรรณ พรสุขสวัสดิ์และปฤณัต แสงสวาง.(2544).การปนและปะติดงานกระดาษ. กรุงเทพฯ:องคการคาของคุรุสภา.
185
บทที่ 13 งานสรางสรรค ศิลปะปฏิบัติเปนกิจกรรมประเภททัศนศิลปสามมิติเปนงานที่ตองอาศัยความสามารถในการ สอนที่รอบดานและมีมิติที่ซับซอน แตก็มีกิจกรรมที่สามารถลดทอนความยากของกิจกรรมเหลานี้โดย มองขามวิธีการในเชิงชาง โดยการใชวัสดุมาประกอบกันหลายๆ อยางใหเกิดเปนรูปทรงตามแนวคิดหรือ จินตนาการ งานประดิษฐเปนงานศิลปะที่มีมาตั้งแตศิลปะสมัยใหมผลงานที่สําคัญเชนผลงานของ pablo picasso ซึ่งผลงานคอลลาจไวหลายชิ้นงานประดิษฐนั้นมีทั้งรูปแบบที่เปนภาพที่มีความนูนและเปนงาน ประติมากรรมกระดาษอัดซึ่งสามารถประยุกตใชวัสดุที่หลากหลายนํามาประกอบไดเชนกระดาษ เมล็ด พืช ทราย เปนตน สวนงานกลไกกระดาษเปนงานอีกประเภทหนึ่งที่สามารถใชสรางสรรคงานศิลปะ ประเภทประยุกตศิลปงานกลไกกระดาษทําใหกระดาษมีมิตินูนลอยขึ้นทั้งในลักษณะแบบมุมมองในมุม ฉากและพุงมองรอบดานงานกลไกกระดาษนั้นสามารถนํามาประยุกตใชในการสรางสรรคบัตรอวยพร หรือนิทานตางๆ โดยมีรายละเอียดดังตอไปนี้ 1. งานปะติด งานปะติดมีดวยกัน 2 ลักษณะการปะติดแบบ 2 มิติ และงานปะติด 3 มิติ งานปะติดแบบ 2 มิติหรือ Collage หมายถึง การนําชิ้นสวนเล็กๆมาประกอบเปนภาพโดยการปะและติดตอกัน ศิลปนได สรางงานนี้ คือ ปาโบล ปกัสโซ สวนงานปะติดแบบ 3 มิติ คือ การหลอรูปดวยกระดาษ (Peper mache) หมายถึง การสรางประติมากรรมจาการนํากระดาษมาติดเปนชั้นๆทับซอนจนกระดาษแข็งตัว เปนรูปทรงตามพิมพที่ปดไว 1) ประโยชนของงานปะติด 1) ฝกความคิด จินตนาการ 2) ฝกกลามเนื้อ 3) ฝกสมาธิและความพยายามอดทน 4) ฝกการใชทัศนธาตุเรื่องพื้นผิว 2) วัสดุและอุปกรณ 1) กระดาษ ไดแก สีตาง ๆ กระดาษนิตยสารหรือหนังสือเกา 2) กาว 3) ทรายยอมสี 4) วัสดุที่มนุษยสรางขึ้น เชน ลูกปด เลื่อม หรือมักกะโรนี เปนตน (ภาพที่ 13.1) 5) วัสดุธรรมชาติ ประกอบดวย ใบไม เชน ใบตองแหง ใบบาง(ใบไมที่แชน้ําแลวให เหลือแตเยื่อใบ) ผล เชน มะพราว เม็ดขาว ถั่ว หรือลูกยาง ดอก เชน ดอกไมทับแหง หรือดอกไมแหง ตาง ๆ และสวนลําตน เชน รกมะพราวหรือเปลือกของตนกก เปนตน (ภาพที่ 13.2)
186 6) เศษวัสดุใชแลว เชน เศษผาที่ใชแลว เศษผาที่ตัดทิ้งจากการตัดเสื้อผา กระปอง น้ําอัดลม ขวดน้ําพลาสติก และกระดาษ เปนตน 3) กรรมวิธีปะติด กรรมวิธีปะติดแบบ 2 มิติ แบงออกเปน 2 ลักษณะ คือ 1) การแยกสวนยอยในสวนใหญ หมายถึง การตัด ฉีก หรือนําวัสดุที่มีชิ้นมาตัด สรางเปนรูปหรือที่มีขนาดใหญ เชน การนําเมล็ดขาวมายอมสีแลวติดใหเปนรูป หรือนํากระดาษที่เปน ชิ้นเล็กๆ มาติดประกอบใหเปนภาพใหญ เปนตน ผลงานที่ไดจะมีลักษณะที่มีความนูนเวาเล็กนอยจนถึง มาก มีลักษณะคลายการใชวัสดุปะติดแทนสี (ภาพที่ 13.3) 2) การแยกสวนประกอบของภาพ หมายถึง การจัดสวนขององคประกอบของ แลวตัดวัสดุเปนรูปรางหรือรูปทรงนั้นมาติดใหเกิดเปนสวนๆ เปนงานที่มีลักษณะคลายคลึงกับงานโอ ชิเอะของญี่ปุน ซึ่งใชเศษผาหุมฟองน้ํา บนแบบกระดาษที่ตัดออกเปนสวนตามรูปตางๆ มาประกอบติด ลงบนแผนกระดาษหุมดวยผา ซึ่งใหความรูสึกนูนขึ้นมา ภาพที่ 13.1 ภาพปะติดจากมักกะโรนี ภาพที่ 13.2 ภาพปะติดจากวัสดุธรรมชาติ
187 ภาพที่ 13.3 ภาพปะติดจากเปลือกไข ภาพที่ 13.4 ภาพปะติดแบบแยกสวนประกอบของภาพ
188 ภาพที่ 13.5 ภาพปะติดแบบแยกสวนประกอบของภาพทะเล ภาพที่ 13.6 ภาพปะติดแบบแยกสวนประกอบของภาพทะเล
189 ภาพที่ 13.7 ภาพปะติดแบบแยกสวนประกอบของภาพทะเล 4) กิจกรรมเสนอแนะ งานปะติดจากเมล็ดขาวยอมสีเปนการนําเมล็ดขาวเปลือกซึ่งเปนวัสดุธรรมชาติมายอมสี ดวยสียอมที่ละลายในน้ํา ในสวนการยอมนี้หากเปนชั้นเด็กเล็กผูสอนควรเตรียมยอมเมล็ดขาวเปลือกไว ใหเด็กใชกอน แลวนําเมล็ดขาวยอมสีติดลงในวัสดุแนวระนาบ เชน กระดาษ หรือ แผนไมหรือสามารถ ติดลงบนภาชนะตาง ๆ แลวเคลือบดวยน้ํายาเคลือบใสอีกครั้งก็ได 1) วัสดุและอุปกรณ - เมล็ดขาวเปลือกยอมสี - กาวลาเท็กซ - กระดาษหรือแผนไม - ปากคีบ 2) กรรมวิธี - รางภาพที่ตองการลงในกระดาษหรือวัสดุที่ตองการติด - ทากาวลงบริเวณรูปโดยแบงเปนสวนๆ โดยอาจจะคํานึงถึงสีและทิศทาง ของเม็ดขาว - นําเมล็ดขาวมาเรียงตามสีที่ออกแบบไว - ทากาวและเรียงไปจนเต็มรูป แลวทิ้งไวใหแหง - ทาน้ํายาเคลือบใสหรือยาทาเล็บสีใสปองกันแมลง สรางความสวยงามและ คงทน
190 2. งานกลไกกระดาษ งานกลไกลกระดาษ หมายถึง หมายถึงการนํากระดาษมาสรางสรรคใหเปนภาพที่มีมิติเวลาเปด และสามารถเก็บพับไดในเวลาปดซึ่งตรงกับ แปลภาษาอังกฤษวา Popup การสรางกลไกกระดาษนั้นมี ดวยกันหลายลักษณะ ทั้งเปนการพับแกนในเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาการสอดขัด หรือการทําเดือยที่เปนไส สอดเพื่อชักดึงรวมถึงการพับแบบหีบเพลงเพื่อใหเกิดการคลี่เวลาขยายออกโดยสวนใหญแลว จะนิยม นําไปสรางสรรคเปนบัตรอวยพรการทําหนังสือหนังสือนิทาน เพราะกลไกกระดาษจะมีความสามารถ พิเศษในการเปดและปดเก็บพับไดอยางพอดี 1) ประโยชนของงานกลไกกระดาษ 1) ฝกความคิด จินตนาการ 2) ฝกกลามเนื้อ 3) ฝกสมาธิและความพยายามอดทน 4) ฝกการคิดที่ซับซอน 2) วัสดุและอุปกรณ 1) กระดาษ ไดแก สีตาง ๆ กระดาษนิตยสารหรือหนังสือเกา 2) กาว 3) ไมบรรทัด 4) วัสดุตกแตงตางๆ 3) กรรมวิธีปะติด ประเภทงานกลไกลกระดาษ ตัดกับวิธีการสรางกลไกกระดาษถาแบงตามลักษณะรูปแบบ ของงานที่ปรากฏแลวจะแบงได 2 ลักษณะคือแบบมุงมองในมุมฉากและแบบมุงมองแบบรอบดานกลไก กระดาษในแบบมุมมองรอบดานนั้นคอนขางที่จะทํายากในบางรูปทรงแตใหเกิดความสวยงามและแปลก ตาซึ่งเหมาะสําหรับเด็กในระดับชั้นที่สูงสําหรับเบื้องตนแลวควรจะเริ่มจากการสรางสรรคงานกลไก กระดาษแบบมุงมองในมุมฉาก แบบมุงมองในมุมฉาก เปนการสรางสรรคสําหรับการเปดออกมาในมุมฉากซึ่งมีดวยกัน 2 ลักษณะคือมุมฉากที่เปดโดยเสนแกนมุมฉากนั้นอยูในแนวตั้งและแนวนอนโดยหลักการทําแลวอาศัย กลไกที่พักยื่นแบบตรงกันขามและการขัดขวางใหเกิดเปน ลักษณะมุมฉาก แบบมุงมองรอบดานเปนการสรางสรรคในลักษณะเปดออกและประกวดรูปทรงของสิ่งของ นั้นในลักษณะรอบดานเพื่อใหเห็นวาสิ่งของนั้นปรากฏมาจากพื้นซึ่งเปนกระดาษที่พับอยูแตเมื่อปด รูปทรงนั้นก็เก็บสนิทลงในกระดาษหรือหนังสือ
191 ภาพที่ 13.8 กลไกกระดาษแบบมุงมองรอบดาน ที่มา : Jane H. Buxton (1993) ภาพที่ 13.9 กลไกกระดาษแบบมุงมองมุมฉาก ที่มา : Jane H. Buxton (1993)
192 ภาพที่ 13.10 กลไกกระดาษแบบมุงมองมุมฉาก ที่มา : Jane H. Buxton (1993) ภาพที่ 13.11 กลไกกระดาษแบบมุงมองรอบดาน ที่มา : Jane H. Buxton (1993) 4) กิจกรรมเสนอแนะ
193 การทําบัตรอวยพรดวยลักษณะกลไกกระดาษแบบมุมมองมุมฉากโดยใชรูปรางของดอกไมมา เปนสวนประกอบหลักเพื่อนําไปใชในการ มอบใหแกบุคคลสําคัญหรือบุคคลที่เปนเจาของโอกาสพิเศษ นั้นๆซึ่งการทําชนิดนี้เปนการทําดวยกลไกพื้นฐานเบื้องตนสามารถจะนําไปประยุกตเปนรูปแบบอื่นๆได 1) วัสดุและอุปกรณ - กระดาษที่ใชทําการดแข็ง - กระดาษหนึ่งรอยปอนดสําหรับวาดรูป - กรรไกร - สีโปสเตอร - กาว 2) กรรมวิธี - คํานวนวาดภาพที่จะวาดมีชิ้นสวนเทาไรและตัดแยกออกในกรณีที่ใชรูป ดอกกลวยไมสามารถตัดแยกออกเพื่อเพิ่มมิติโดยใชใบและดอกเปนตัวผลักมิติ - นํากระดาษที่ใชทําการดมาติดแลวฉลุเปนเสนตัดใหมีสวนยื่นออกมาแบบ กลับพลิกคือดานบนยื่นออกมา 1 เซนติเมตรกลีบสวนดานลาง 1 เซนติเมตรใหสวนงานพื้น 2 เซนติเมตร กับที่กระดาษสวนบน 2 เซนติเมตร แลวพับดานบนที่ 1 เซนติเมตรดังรูป - ตัดเสนที่ใหเปนระยะตามที่ออกแบบแลวนําดอกไมมาติดกําหนดระยะใกล ไกลใหเกิดความสวยงาม ภาพที่ 13.12 ขั้นตอนการพับกลไก ที่มา:พรยุพรรณ พรสุขสวัสดิ์และปฤณัต แสงสวาง.(2543)
194 ภาพที่ 13.13 กรรมวิธีการทํากลไกกระดาษ ที่มา:พรยุพรรณ พรสุขสวัสดิ์และปฤณัต แสงสวาง.(2543)
195 ภาพที่ 13.14 ขั้นตอนการติดภาพดอกไม ที่มา:พรยุพรรณ พรสุขสวัสดิ์และปฤณัต แสงสวาง.(2543) ภาพที่ 13.15 บัตรอวยพรกลไกกระดาษ
196 3. งานสาน งานสาน หมายถึง การทําวัสดุที่เปนเสนตั้งแต สองเสนขึ้นไปมาขัดไขวใหเกิดเปนผืนลวดลาย และรูปทรงขึ้นการสานเปนการเพิ่มแรงในการรับน้ําหนักและการสรางรูปทรง หากเปนการสานที่ ตองการใหเปนภาชะหรือรูปทรงจําเปนตองสรางหรือหาหุนสําหรับขึ้นรูป 1) ประโยชน - ฝกความคิด จินตนาการโดยเฉพาะการสานงานที่เปนภาชนะรูปทรงจําเปนตอง อาศัยจินตนาการที่เปนมิติมากขึ้นเปนลําดับตามความยากงายของรูปทรงนั้น - ฝกกลามเนื้อในการจับดึงและกระแทกที่ตองประสานกันระหวางตา มือและสมอง - ฝกสมาธิและความพยายามอดทนเพราะบางงานตองอาศัยเวลานานในการทํา และตองมีสมาธิเพราะการสานใหเปนลายตองอาศัยความสม่ําเสมอ จึงไมเกิดการผิดลาย - ฝกการใชทัศนธาตุเรื่อง สี รูปราง และรูปทรง และหลักการออกแบบในเรื่อง จังหวะ และความสมดุล 2) วัสดุและอุปกรณ - กระดาษ ไดแก สีตาง ๆ กระดาษนิตยสารหรือหนังสือเกา สามารถใชได ทั้ง มวนหรือแบน - เศษผา ไดแก เศษผาที่ใชแลว หรือเศษผาที่ตัดทิ้งจากการตัดเสื้อผาเปนตน - เสนดายหรือไหมตาง ๆ - วัสดุธรรมชาติ ประกอบดวย ใบไม เชน ใบตองแหง ใบบาง(ใบไมที่แชน้ําแลวให เหลือแตเยื่อใบ) และสวนของลําตน เชน กาบหมาก รกมะพราว เปลือกตนกก ตอก และหวาย เปนตน - เศษวัสดุใชแลว เชน กระปองน้ําอัดลม ขวดน้ําพลาสติก และแผนปายโฆษณา เปนตน 3) กรรมวิธีแบงตามลักษณะงานที่ปรากฏ คือ - งานสานที่เปนแผนแนวระนาบ หมายถึง งานที่เกิดการขัดทับหรือขดของวัสดุที่ นํามาสานในลักษณะเปนแผนแนวระนาบแบนๆ เพื่อแสดงถึงลวดลาย พื้นผิว และรูปรางตาง ๆ นําไปใชแสดงและตกแตงประกอบการงานอื่นๆ เชน งานสานลายตาง ๆ งานเสื่อ หรือสานพัด เปนตน โดยมีลายพื้นฐานและลายสรางสรรคตางๆ ดังภาพ ภาพที่ 13.16 ลายสานลายหนึ่ง
197 ภาพที่ 13.17 ลายสานลายสอง ภาพที่ 13.18 ลายสานลายสาม ภาพที่ 13.19 ลายสานลายหนึ่งประยุกต
198 ภาพที่ 13.20 ลายสานลายสองประยุกต ภาพที่ 13.21 ลายสานลายหนึ่งและสองประยุกต ภาพที่ 13.22 ลายสานลายตารางเหลี่ยม
199 ภาพที่ 13.23 ลายสานลายดวง ภาพที่ 13.24 ลายสานลายชองบันไดสามขั้น - งานสานที่เปนรูปทรง หมายถึง งานที่เกิดจากการขัด ทับหรือขัดของวัสดุที่ นํามาสานในลักษณะเปนรูปทรงตาง ๆ เพื่อเปนภาชนะหรือผลงานประติมากรรมลอยตัว แสดงถึง ลวดลาย พื้นผิวหรือรูปทรงตาง ๆ และตองอาศัยวัสดุรูปทรงสําหรับการขึ้นรูป งานในลักษณะนี้ตอง อาศัยทักษะและความสามารถที่สูง ดังนั้นจึงตองเลือกรูปแบบใหมีระดับความสามารถและพัฒนาการ ของเด็ก เชน การสานตะกรา หรือ สานหมวก (ภาพที่ 13.7) เปนตน 4) กิจกรรมเสนอแนะ
200 พัดสานแสนสบายคลายรอย กิจกรรมการเรียนรูนี้เปนการนําวัสดุสานมาเลือกใชสาน ใหเปนลายหรือรูปตาง ๆ อาจจะมีการสอดสลับสีกันเพื่อใหเปนลายตาง ๆ แลวนําไปทําเปนพัดหรือ ประยุกตตกแตงเปนเครื่องแขวน(Mobile) หรือเปนประติมากรรมตกแตง วัสดุและอุปกรณ - เสนวัสดุสําหรับสาน เลือกตามที่มีใหทองถิ่น หากเปนเด็กเล็กก็ควรใชกระดาษ เพราะไมเปนอันตรายตอมือ - กาวลาเท็กซ - ดามไม - วัสดุมอบขอบ เชน ผา ริบบิ้น หรือกระดาษกาว - วัสดุตกแตงอื่น ๆ เชน ลูกปด ดิ้น เมล็ดพืชหรือดอกไมแหง กรรมวิธี - นําวัสดุมาขัดสานใหเปนลายตาง ๆ หรือผสมลายใหเปนภาพ - ทากาวติดลงบริเวณขอบแลวตัดออก ใหเปนรูปที่ตองการ เชน หัวใจ ใบโพธิ์ วงกลม วงรี หรือรูปทรงอิสระตามจินตนาการของเด็ก - นําวัสดุขอบมา ติด หรือเย็บขอบ ในสวนนี้ ถาใชจัดกิจกรรมกับเด็กระดับชั้น ประถมศึกษาปที่ 1-3 อาจจะตองใชกระดาษกาวเพื่อความสะดวกเหมาะสม - นําดามมาติดโดยการสอดเขาไปในตัวลายสานแลวตกแตงตามจินตนาการของเด็ก - หากตองการดัดแปลงเปนสิ่งของอยางอื่นได เชน เครื่องแขวน ที่แขวนสิ่งของหรือ ใชตกแตงกลองกระดาษตาง ๆ ภาพที่ 13.25 พัดสาน
201 ภาพที่ 13.26 หมวกสาน ที่มา:พรยุพรรณ พรสุขสวัสดิ์และปฤณัต แสงสวาง.2543:82. สรุป การสรางสรรคศิลปะประเภท 3 มิตินั้นสิ่งสําคัญ คือ การรูจักดัดแปลงสิ่งตางๆมาสรางสรรคได ยกตัวอยางนําเสนอการสรางสรรค 2 ลักษณะงาน คืองานสรางสรรคประเภทประดิษฐและงาน สรางสรรคประเภทกลไกกระดาษ ซึ่งงานสรางสรรคทั้งสองเปนการใชกระดาษเปนตัวหลักหรืออาจจะมี วัสดุทองถิ่นที่หาไดงายซึ่งสามารถประยุกตใชในการจัดการเรียนการสอนหรือการจัดทําสื่อการสอนได งานประดิษฐนั้นสามารถนําไปสรางสรรคเปนงานศิลปะรวมถึงสามารถนําไปใชเปนกิจกรรมเพื่อ เสริมสรางการมีสมาธิของเด็กนักเรียน เพราะสามารถเลือกวัสดุตั้งแตขนาดใหญจนถึงขนาดเล็กเชน เมล็ดขาวเมล็ดถั่วจนไปถึงเมล็ดงาตามพัฒนาการของเด็กหรืออาจใชกระดาษในการสรางสรรคเปนวัสดุ ที่หางายเบื้องตนสารประเภทเงินกลไกกระดาษนั้นสามารถนําไปประยุกตใชเปนงานประยุกตศิลปที่ สามารถนําไปใชไดในชีวิตประจําวันเชนการทําบัตรอวยพรการทําหนังสือผูสอนสามารถสอนเด็กใหเกิด การสรางสรรครูปแบบแปลกใหมรวมถึงสามารถนําไปใชสรางเปนสื่อหนังสือประกอบกับการจัดการ เรียนรูไดอยางดียิ่ง คําถามทบทวน 1. จงบอกความหมายของงานปะติด 2. จงอธิบายประเภทของงานปะติด 3. จงบอกความหมายของงานกลไกกระดาษ 4. จงอธิบายกรรมวิธีสรางงานกลไกกระดาษ 5. จงบอกคําศัพทภาษาอังกฤษที่เกี่ยวของกับเนื้อหาในบทนี้หาคําศัพท
202 บรรณานุกรม ภาษาไทย พรยุพรรณ พรสุขสวัสดิ์และปฤณัต แสงสวาง.(2543).การประดิษฐงานกระดาษ.กรุงเทพฯ: องคการคาของคุรุสภา. Jane H. Buxton. (1993). การแสดงออกของสัตว. กรุงเทพฯ: นิวเจอเนอเรซันพับลิซซิ่ง ______________. (1993). สมบัติลับ. กรุงเทพฯ: นิวเจอเนอเรซันพับลิซซิ่ง
203
บทที่ 14 การออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติสําหรับเด็กประถมศึกษา การเรียนรูทัศนศิลปในสวนของศิลปะปฏิบัตินั้นผูสอนจําเปนตองอาศัยรูปแบบการ สอน ที่เหมาะสมมีเทคนิคการสรางความสนใจ ศิลปะนิสัย และจิตศิลปะ รวมถึงการสรางสรรคและ จินตนาการตาง ๆ เพื่อใหเด็กไดมีทักษะความสามารถทางศิลปะไปพรอมกับการพัฒนาการดานอื่น ๆ การออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติเปนสวนสําคัญที่ผูเรียนใหความสนใจเพราะเด็กตองการแสดงออก ซึ่งจินตนาการผานการสรางสรรคศิลปะ การออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติประกอบดวย ขั้นการ วิเคราะหการเรียนรู ขั้นการออกแบบการเรียนรู และขั้นการพัฒนาการเรียนรู กอนที่ผูสอนจะ นําไปใชจริง ดังนี้ ขั้นการวิเคราะหการเรียนรู 1) การวิเคราะหเปนหลักสูตรเพื่อกําหนดแผนหรือหนวยการเรียนรู โดยการเรียนรูดานศิลปะ ปฏิบัติสําหรับเด็กประถมศึกษานั้นเปนการเรียนรูจะตองนําเนื้อหาการแสดงสรางสรรคศิลปกรรมทั้งงาน 2 มิติและ 3 มิติ ซึ่งเปนการสงเสริมพัฒนาการรางกายและความคิดสรางสรรค อีกทั้งเปนการสงเสริมให เกิดความสามารถทางศิลปะเพื่อการนําไปใชในการประกอบอาชีพไดอีกประการหนึ่ง ซึ่งผูสอนตอง กําหนดหนวยการเรียนรูใหสอดคลองกับหลักสูตรเพื่อการบรรลุวัตถุประสงคของหลักสูตร 2) การวิเคราะหตัวชี้วัดและสาระแกนกลาง การออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติ สําหรับเด็ก ประถมศึกษาในสถานศึกษาตองคํานึงถึงการดึงตัวชี้วัดและสาระแกนกลางมาผนวกกับวิธีการสอนตางๆ เพื่อที่จะทําใหเกิดการเรียนรูไดอยางเหมาะสม เพราะการสรางสรรคผลงานศิลปะบางหลักการนั้นยาก เกินความสามารถและระดับพัฒนาการของเด็กในระดับประถมศึกษาซึ่งผูสอนจําเปนตองลดทอน พัฒนาเทคนิค และเนื้อหาของตนเองขึ้นใหเหมาะสมกับงานและหลักสูตรของสถานศึกษา การสอน ศิลปะปฏิบัติในงาน2 มิตินั้นเปนพื้นฐานสําหรับการออกแบบสรางสรรคงาน 3 มิติดังนั้นผูสอนในระดับ ประถมศึกษาจําเปนตองพัฒนาทักษะและความสามารถตางๆเหลานี้ใหสอดคลองกันโดยผูสอนอาจจะ ตองอาศัยหลักจิตวิทยาการเรียนรูและทฤษฏีพัฒนาการทางศิลปะมาประกอบการพิจารณา ผูเขียนได เสนอตัวชี้วัดและสาระแกนกลางที่เกี่ยวของมักจะใชกิริยาขึ้นตน ไดแก สรางหรือทักษะ ซึ่งในการจัดการ เรียนรูศิลปะในระดับประถมศึกษา ไวดังนี้ ตารางที่ 14.1 ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางที่เกี่ยวของกับการจัดการศิลปะปฏิบัติสําหรับเด็ก ประถมศึกษา มาตรฐาน ศ 1.1 : สรางสรรคงานทัศนศิลปตามจินตนาการ และความคิดสรางสรรค วิเคราะห วิพากษ วิจารณคุณคางานทัศนศิลป ถายทอดความรูสึก ความคิดตองานศิลปะอยางอิสระ ชื่นชม และประยุกตใช ในชีวิตประจําวัน
204 ระดับ ตัวชี้วัด สาระแกนกลาง ป.1 3. มีทักษะพื้นฐานในการใชวัสดุอุปกรณสราง งานทัศนศิลป - การใชวัสดุอุปกรณเชนดินสอพูกันสีเทียนสีน้ํา ดินสอสีสรางงานทัศนศิลปประเภทงานวาด 4. สรางงานทัศนศิลปโดยการทดลองใชสีดวย เทคนิคงายๆ - การทดลองสีดวยการใชสีน้ําสีโปสเตอร 5. ระบายสีภาพธรรมชาติ -การระบายสีภาพธรรมชาติดวยสีเทียนดินสอสี ป.2 3. สรางงานทัศนศิลปตางๆโดยใชทัศนธาตุที่ เนนเสนรูปราง - เสนรูปรางในงานทัศนศิลปประเภทตางๆเชน งานวาดงานปนและงานพิมพ 4. มีทักษะพื้นฐานในการใชวัสดุอุปกรณ สรางงานทัศนศิลป3 มิติ - การใชวัสดุอุปกรณสรางงานทัศนศิลป3 มิติ 5. สรางภาพปะติดโดยการตัดหรือฉีก กระดาษ - ภาพปะติดจากกระดาษ 6. วาดภาพเพื่อถายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับ ครอบครัวของตนเองและเพื่อนบาน - การวาดภาพถายทอดเรื่องราว 8. สรางสรรคงานทัศนศิลปเปนรูปแบบงาน โครงสรางเคลื่อนไหว - งานโครงสรางเคลื่อนไหว ป.3 4. วาดภาพระบายสีสิ่งของรอบตัว - การวาดภาพระบายสีสิ่งของรอบตัวดวยสี เทียนดินสอสีและสีโปสเตอร 5. มีทักษะพื้นฐานในการใชวัสดุอุปกรณ สรางสรรคงานปน - การใชวัสดุอุปกรณในงานปน 6. วาดภาพถายทอดความคิดความรูสึกจาก เหตุการณชีวิตจริงโดยใชเสนรูปรางรูปทรงสี และพื้นผิว - การใชเสนรูปรางรูปทรงสีและพื้นผิว วาดภาพถายทอดความคิดความรูสึก 7. บรรยายเหตุผลและวิธีการในการสรางงาน ทัศนศิลปโดยเนนถึงเทคนิคและวัสดุอุปกรณ - วัสดุอุปกรณเทคนิควิธีการในการสรางงาน ทัศนศิลป 8. ระบุสิ่งที่ชื่นชมและสิ่งที่ควรปรับปรุงใน งานทัศนศิลปของตนเอง - การแสดงความคิดเห็นในงานทัศนศิลปของ ตนเอง 9. ระบุและจัดกลุมของภาพตามทัศนธาตุ ที่เนนในงานทัศนศิลปนั้นๆ - การจัดกลุมของภาพตามทัศนธาตุ
205 ป.4 4. มีทักษะพื้นฐานในการใชวัสดุอุปกรณ สรางสรรคงานพิมพภาพ - การใชวัสดุอุปกรณสรางงานพิมพภาพ 5. มีทักษะพื้นฐานในการใชวัสดุอุปกรณ สรางสรรคงานวาดภาพระบายสี - การใชวัสดุอุปกรณในการวาดภาพระบายสี 7. วาดภาพระบายสีโดยใชสีวรรณะอุนและ สีวรรณะเย็นถายทอดความรูสึกและ จินตนาการ - การใชสีวรรณะอุนและใชสีวรรณะเย็นวาด ภาพ ถายทอดความรูสึกและจินตนาการ 9. เลือกใชวรรณะสีเพื่อถายทอดอารมณ ความรูสึกในการสรางงานทัศนศิลป - การเลือกใชวรรณะสีเพื่อถายทอดอารมณ ความรูสึก ป.5 3. วาดภาพโดยใชเทคนิคของแสงเงา น้ําหนักและวรรณะสี - แสงเงาน้ําหนักและวรรณะสี 4. สรางสรรคงานปนจากดินน้ํามันหรือ ดินเหนียวโดยเนนการถายทอดจินตนาการ - การสรางงานปนเพื่อถายทอดจินตนาการดวย การใชดินน้ํามันหรือดินเหนียว 5. สรางสรรคงานพิมพภาพโดยเนนการจัด วางตําแหนงของสิ่งตางๆในภาพ - การจัดภาพในงานพิมพภาพ 6. ระบุปญหาในการจัดองคประกอบศิลป และการสื่อความหมายในงานทัศนศิลปของ ตนเองและบอกวิธีการปรับปรุงงานใหดีขึ้น - การจัดองคประกอบศิลปและงาน สื่อความหมายในงานทัศนศิลป ป.6 3. สรางงานทัศนศิลปจากรูปแบบ 2 มิติเปน 3 มิติโดยใชหลักการของแสงเงาและน้ําหนัก - งานทัศนศิลปรูปแบบ 2 มิติและ 3 มิติ 4. สรางงานปนโดยใชหลักการเพิ่มและลด - การใชหลักการเพิ่มและลดในการสรางงาน ปน ป.6 5. สรางงานทัศนศิลปโดยใชหลักการของ รูปและพื้นที่วาง - รูปและพื้นที่วางในงานทัศนศิลป 6. สรางงานทัศนศิลปโดยใชสีคูตรงขาม หลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุล - การสรางงานทัศนศิลปโดยใชสีคูตรงขาม หลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุล 7. สรางแผนภาพแผนที่และภาพประกอบ เพื่อถายทอดความคิดหรือเลาเรื่องราว เกี่ยวกับเหตุการณตางๆ - การสรางงานทัศนศิลปเปนแผนภาพแผนที่ และภาพประกอบ
206 ขั้นการออกแบบการเรียนรู 1) การออกแบบวัตถุประสงคการเรียนรู เมื่อไดตัวชี้วัด และสามารถวิเคราะหตัวชี้วัด กับ กระบวนการ และเนื้อหาไดแลว ใหมากําหนดวัตถุประสงคโดยอาศัยหลักการกําหนดวัตถุประสงค 3 ดานคือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย ตัวอยางเชน สรางงานทัศนศิลปโดยใชสีคูตรงขามหลักการ จัดขนาดสัดสวนและความสมดุล จะเปนวัตถุประสงค ในดานพุทธิพิสัยคือ ผูเรียนบอกการใชสีคูตรงขาม หลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุลได ดานทักษะพิสัย คือ ผูเรียนสามารถสรางงานทัศนศิลป โดยใชสีคูตรงขามหลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุล ได และดานจิตพิสัย คือ ผูเรียนบรรยาย ความงามของสรางงานทัศนศิลปโดยใชสีคูตรงขามหลักการจัดขนาดสัดสวนและความสมดุลได แตทั้งนี้ การกําหนดวัตถุประสงคดานทักษะพิสัยเปนสิ่งที่สําคัญที่สุดที่ผูสอนใหเวลาและความสําคัญมากในการ สอนนี้ 2) การออกแบบเนื้อหาสาระ เปนการกําหนดสาระสําคัญและสาระการเรียนรูจากตัวชี้วัดและ วัตถุประสงค นําสาระแกนกลางนั้นมาแตกออกเปนหัวขอเพื่อสรางเนื้อหาในการสรางความรูการ ปฏิบัติงาน ตัวอยางสาระแกนกลางที่วา วาดภาพระบายสีโดยใชสีวรรณะอุนและสีวรรณะเย็น ถายทอดความรูสึกและจินตนาการ ไดขั้นตอนที่ตองเกิดขึ้นในการปฏิบัติงานคือ การกําหนดหัวเรื่อง ภาพที่เกี่ยวของกับการถายทอดความรูสึกและจินตนาการ การเตรียมอุปกรณ ทั้งสีวรรณะอุนและสี วรรณะเย็น และหลังจากนั้นคือการวาดภาพ สุดทายคือการนําเสนอผลงาน แลวนําไปใชตองพิจารณา วิธีการสอนในขั้นตอไปดวย 3) การออกแบบกระบวนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา การกําหนดกระบวนการปฏิบัติงาน เปนการกําหนดวา ขั้นตอนการศึกษาในแผนการเรียนรูนั้นๆควรจะมีขั้นตอนอะไรบางซึ่งโดยสวนใหญจะ เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุประสงคหรือตัวชี้วัด ทักษะพิสัย ซึ่งหมายถึงการที่ผูสอนใหความรูในการสราง งานนั้นดวยซึ่งอาจจะใหสัดสวนเวลาที่นอยกวาการปฏิบัติดานการปฏิบัตินั้นเปนหัวใจของการสอน ผูสอนตองใหเวลาในการทํางานปฏิบัติมากกวาสวนอื่นและตองคํานึงถึงขนาดของชิ้นงานและการจัดหา วัสดุอุปกรณดวย และตองแบงการปฏิบัติงานใหสอดคลองกับชั่วโมงเรียนดวยและดานจิตพิสัยโดยสวน ใหญแลวเปนการปฏิบัติงานสะทอนความคิดเห็นหรือทัศนะที่ดี ขั้นการพัฒนาการเรียนรู 1) การจัดการเรียนรูหรือการสอนศิลปะปฏิบัติเนนการปฏิบัติงานทั้งงานทัศนศิลป 2มิติ และ งานทัศนศิลป 3 โดยสวนใหญ หากเปนสิ่งที่เด็กไมเคยทําครูควรใชการสาธิตและรูปแบบการสอนเนน การปฏิบัติ ดังนี้วิธีสอนที่สําคัญ คือ - การจัดการเรียนรูเนนการปฏิบัติ - กิจกรรมสรางเสริมจิตศิลป ดังรายละเอียดตอไปนี้ - การจัดการเรียนรูเนนการปฏิบัติของฮันเตอร ศิลปะปฏิบัติประเภท3 มิติและงานประดิษฐใน สวนของกลุมสาระการเรียนรูศิลปะนั้นการสอนเพื่อสงเสริมจินตนาการแตการเรียนการสอนที่มุงเนนการ
207 ปฏิบัตินั้นตองคํานึงถึงการสอนเพื่อใหเด็กปฏิบัติตามผูสอนบางอยางไดกอนเปนพื้นฐานแลวคอยนําไป พัฒนาตอยอดและประยุกตตามจิตนาการและความคิดเพื่อสรางสรรคผลงาน รูปแบบการสอนอยางหนึ่ง ที่ผูสอนควรจะปฏิบัติ คือรูปแบบการสอนของเมเดลี ฮันเตอร(Hunter’s Model of Teaching) แต ไมไดใหทําตามทุกกิจกรรมผูสอนควรกําหนดสัดสวนการสอนแบบปฏิบัติตามใหเหมาะสมกับสัดสวน กิจกรรมที่ใชจินตนาการ ซึ่งตอไปนี้จะนําเสนอขั้นตอนการสอนปฏิบัติของฮันเตอร ดังนี้(Hnter,M.,อาง ถึงใน Glickman C.D., Gordon S.P.and Ross-Gordon J.M. : 257-258) 1) ขั้นนํา (Anticipatory Set) 2) การแจงหรือบอกวัตถุประสงคการเรียนรู และเปาหมายของการเรียนรู(Objectives and Purposes) 3) การนําเสนอสาระใหมหรือทักษะใหม (Input) 4) การนําเสนอโดยการทํารูปแบบพฤติกรรมใหดู (Modeling) 5) การตรวจสอบความเขาใจ (Checking of Understanding) 6) การปฏิบัติโดยผูสอนคอยแนะนํา (Guided Practice) 7) การฝกอยางอิสระ ( Independent Practice) การสอนตามวิธีการสอนของฮันเตอรนั้นสามารถนํามาออกแบบหนวยการเรียนรูหรือเปน ขั้นตอนที่ใชประกอบกับรูปแบบการเรียนรูอื่นได ในที่นี้ขอยกตัวอยางขั้นตอนการสอนตามเนื้อหา กิจกรรมเรียนรูเสนอแนะโมบายจินตนาการจากปลายฟา โดยเปนการสาธิตการปนรูปผีเสื้อชนิดตาง ๆ ดังนี้ (ภาพที่ 14.1)
208 ภาพที่ 14.1 ตัวอยางขั้นตอนการสอนปฏิบัติของฮันเตอร การเรียนการสอนนี้เปนวิธีการออกแบบการเรียนรูที่สามารถจัดไดเปนหนวยหรือผูสอนศิลปะ สามารถนําไปสอดแทรกในแตละขั้นตอนของการสอนในวิธีการอื่นๆก็ได นอกจากนี้การเรียนรูทัศนศิลป จําเปนอยางยิ่งที่ตองปลูกฝงใหเด็กรักความเปนระเบียบและสะอาดของสถานที่และเครื่องมือเครื่องใชใน การทํางาน ดังนั้นเทคนิคอยางหนึ่งที่นาสนใจก็คือการสอนทําอุปกรณตาง ๆ ในการปฏิบัติงาน - กิจกรรมสรางเสริมจิตศิลป กิจกรรมการเรียนรูที่สําคัญที่จะสงเสริมจิตศิลปหรือจิตใจที่นิยมในการรักความงามก็คือ การสอนใหเด็กทําอุปกรณกันเปอนและการทํางานที่เกิดความสะดวกเพื่อจะใหไดงานที่ดีสะอาดและ สวยงาม ตัวอยางที่จะนําเสนอคือ การทําผากันเปอนการทําตะกราอุปกรณระบายสีและเครื่องปองกัน 1.ขั้นนํา • ผูสอนใหนักเรียนดูรูปผีเสื้อชนิดตาง ๆ 2.บอกวัตถุประสงคการเรียนรู • แจงจุดประสงคของการปนดินเปนผีเสื้อ และวัสดุ อุปกรณตาง ๆ 3.การนําเสนอทักษะใหม • ครูนําเสนอเทคนิควิธีการปนผีเสื้อเทคนิคตาง ๆ • ครูสาธิตการปั้นให้เด็กดู 4.การนําเสนอโดยการทํารูปแบบ พฤติกรรมใหดู 5.การตรวจสอบความเขาใจ • สอบถามนักเรียนวิธีการปั้นเทคนิคต่าง ๆ • ใหนักเรียนปนรูปผีเสื้อโดยมีครูคอยแนะนํา 6.การปฏิบัติโดยผูสอนคอย แนะนํา 7.การฝกอยางอิสระ • ใหเด็กปนผีเสื้ออยางอิสระตามจินตนาการ
209 ภาพที่ 14.2 ตัวอยางอุปกรณปฏิบัติงานของนักเรียนในโรงเรียนพารคลอวพ สหรัฐอเมริกา การทําผากันเปอนผากันเปอนเปนสิ่งสําคัญที่ผูสอนสามารถจัดใหเด็กทําได เพื่อการ ปลูกฝงจิตศิลปหรือศิลปะนิสัยที่ใหเกิดความรักความเปนระเบียบเรียบรอยใหการสรางงานใหผลงาน สวยและสถานที่ปฏิบัติงานสะอาดเปนระเบียบเพราะสิ่งเหลานี้แสดงความเปนอารยะของประเทศดวย การทําผากันเปอนนั้นมีหลายแบบ เชน แบบชั่วคราวก็คือ กระดาษ หรือถุงพลาสติก หรือเสื้อเกา ซึ่ง แบบนี้ก็จัดทําแบบงายคือนําถุงหรือกระดาษหนังสือพิมพมาตัดใหมีลักษณะเปนเสื้อกลามแลวก็สวม เวลาปฏิบัติงาน และ แบบถาวร เชน จากผาและพลาสติก เปนตน ซึ่งมีตัวอยางดังนี้ ผากันเปอนจากผาขนหนู วัสดุและอุปกรณ 1) ผาขนหนูขนาด กวาง 35 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร 2) ริบบินผาหรือเชือกฝาย 3) เข็มดายและอุปกรณตกแตง กรรมวิธี 1) นําผาขนหนูมาเย็บติดกับริบบินใหเปนสายคลองคอตามความยาวของตัวเด็ก 2) เย็บสวนริบบินสําหรับรัดเอว 3) นําไปตกแตงอาจจะใหเด็กเย็บสัญลักษณของตนเองมาติดที่ผากันเปอนก็ได การทําตะกราอุปกรณระบายสีเปนอุปกรณในการสงเสริมการสรางสรรคงานไดสะดวกซึ่ง ผูสอนสามารถจะสอนเด็กจัดทําหรือใชเปนแบบตั้งหรือหิ้วตามลักษณะงานที่สรางตัวอยางที่นําเสนอคือ ตะกราสําหรับหิ้ว ดังนี้
210 วัสดุและอุปกรณ 1) ขวดน้ําพลาสติกที่ใชแลว 2) ตะปูตัวเล็ก 3) ไมแขวนเสื้อไม กรรมวิธี 1) ตัดขวดน้ําพลาสติกใหมีขนาดที่พอเหมาะตามตองการ 2) นําไมแขวนเสื้อมาวางและเรียงขวดพรอมตอกตะปูติด 3) ทําตามจํานวนที่ใชนําไปใสสีไดตามตองการ นอกจากนั้นผูสอนยังตองคํานึงถึงอันตรายตองมีเครื่องปองกันตาง ๆ สําหรับบางงานเชน แวนกันเศษวัสดุกระเด็นเขาตา และถุงมือสําหรับปองกันสิ่งสกปรกและเมื่อจําเปนตองใชเชนการยอมสี หรือการตัดวัสดุบางชนิดเครื่องปองกันที่สําคัญอีกอยางหนึ่งก็คือ การใชกระดาษหรือพลาสติกปองกัน ความสกปรกของพื้นซึ่งผูสอนจําเปนตองฝกใหเด็กใชอยางตอเนื่องเพื่อฝกนิสัยการรักความสะอาดและ ความเปนระเบียบหรือศิลปะนิสัยที่ดี 2) การพัฒนาสื่อการสอน เปนการเลือกสื่อหรือกําหนดสื่อตางๆที่ใชในการออกแบบการเรียนรู ศิลปะปฏิบัติ ไดแกอุปกรณในการสรางสรรคผลศิลปะตางๆที่ครอบคลุมตามตัวชี้วัด พัฒนาการเด็กและ วัสดุอุปกรณที่หาไดงายหรือมีในชุมชนรอบโรงเรียน สิ่งสําคัญผูสอนตองใหความสําคัญกับการใหเด็ก เลือกซื้อหรือจัดหาอุปกรณสวนหนึ่งเพื่อเสริมสรางการตัดสินใจและการเรียนรูเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณการ สรางงานทัศนศิลป และที่สําคัญที่สุดคือใหเด็กเรียนรูสรางวัสดุอุปกรณอยางงายเพื่อใชเองเปนการ เสริมสรางความภูมิใจในตนเอง 3) การกําหนดวิธีการวัดผลและประเมินผล การออกแบบการเรียนรูดานศิลปะปฏิบัติผูสอน มักจะเนนความรูเรื่องศิลปะปฏิบัติเปนหลักและมุงใหเกิดผล การประเมินผลดานทักษะพิสัย ที่เนน การสรางสรรคงานโดยควรดูจากผลงานและภาระงาน ซึ่งควรใชเกณฑรูบิคสในการประเมิน ดานจิตพิสัย คือ การมุงใหเด็กชื่นชมความงามของผลงานที่ตนเองและเพื่อนในชั้นเรียน นอกจากนี้ยังควรใชแฟม สะสมงานเพื่อประเมินพัฒนาการของเด็กดวย สรุป การเรียนรูศิลปะปฏิบัติเปนกิจกรรมที่ถือวาเปนจุดเดนของการเรียนรูตามหลักการศิลปะ เชิงแบบแผน ทั้งศิลปะ 2 มิติและศิลปะ 3 มิตินั้น โดยเฉพาะอยางยิ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรูศิลปะ ปฏิบัติ3 มิตินั้นผูสอนสามารถออกแบบการเรียนรูใหนาสนใจไดไมยากเพราะสามารถประยุกตกิจกรรม เพื่อใหเกิดการแกปญหาในการออกแบบที่ใชทัศนธาตุไดครบทุกตัวและการประยุกตดัดแปลงวัสดุเหลือ ใชและวัสดุในทองถิ่นไดอยางดียิ่ง การออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติเริ่มจากขั้นการวิเคราะหการ เรียนรู การวิเคราะหเปนหลักสูตรเพื่อกําหนดแผนหรือหนวยการเรียนรู ศิลปะปฏิบัติสําหรับเด็ก ประถมศึกษานั้นเปนการเรียนรูศิลปกรรมทั้งงาน 2 มิติและ 3 มิติ ตองคํานึงถึงการดึงตัวชี้วัดและสาระ แกนกลาง โดยวัตถุประสงคควรเนนที่ ทักษะพิสัย วิธีการสอนเนนการปฏิบัติและการสาธิต รวมถึงควรมี กิจกรรมการเรียนรูที่สําคัญที่จะสงเสริมจิตศิลปหรือจิตใจที่นิยมในการรักความงามก็คือการสอนใหเด็ก ทําอุปกรณกันเปอนและการทํางานที่เกิดความสะดวกเพื่อจะใหไดงานที่ดีสะอาดและสวยงาม
211 คําถามทบทวน 1. จงบอกถึงตัวชี้วัดที่เกี่ยวของกับการออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติมา 5 ตัวชี้วัด 2. จงประยุกตตัวชี้วัดดานศิลปะปฏิบัติกับการออกแบบการเรียนรูศิลปะปฏิบัติ มา 5 ตัว 3. จงอธิบายการจัดการเรียนรูเนนการปฏิบัติของฮันเตอร 4. จงยกตัวอยางกิจกรรมสรางเสริมจิตศิลป มา 2 กิจกรรม 5. จงบอกคําศัพทภาษาอังกฤษที่เกี่ยวของกับเนื้อหาในบทนี้หาคําศัพท
212 เอกสารอางอิง ภาษาอังกฤษ Glickman C.D., Gordon S.P.and Ross-Gordon J.M. (2001).Supervision and Instructional Leadership.USA:Allyn and Bacon.
บทท ี่ 15 การจัดการเรียนรู้ศิลปะบูรณาการ เพ ื่ อการส่งเสริมจนตนาการการริ ิเร ิ่ มและการเห็นคณคุ่า การจัดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระศิลปะส่วนของทัศนศิลป์นั้น เป็นกิจกรรมท ี่ สามารถนําไปใช้ จัดการเรียนการสอนเชิงเด ี่ ยวและการเรียนการสอนเชิงบูรณาการ การจัดการเรียนรู้ทัศนศิลป์ให้เกิด ผลสัมฤทธิ์จําเป็นต้องเข้าใจและสามารถจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ให้เกิดผลสัมพันธ์กับเน ื้ อหาหรือ รายวิชาอื่น ๆ เพ ื่อการเป็นส ื่อในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ด้วย แต่ที่สําคัญศิลปะนั้ นส่งเสริมการสร้างสรรค์ ที่ดีความคิดสร้างสรรค์ก็เป็นส ิ่ งหน ึ่ งผู้สอนศิลปะจําเป็นต้องคํานึงถึงเพราะศิลปะมุ่งเน้นฝึกฝน จินตนาการให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ทัศนศิลป์ จึงเป็นสาระการเรียนรู้ที่ช่วยเสริมสร้าง ความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ความรู้ทั่วไปเกี่ ยวกับการจัดการเรียนรู้ศิลปศึกษาเชิงบูรณาการ ขั้นการวิเคราะห์การเรียนรู้ 1) การวิเคราะห์เป็นหลักสูตรเพ ื่ อกําหนดแผนหรือหน่วยการเรียนรู้โดยการเรียนรู้บูรณาการ ศิลปะ สําหรับเด็กประถมศึกษานั้น ช่วยทําให้เกิดความรู้ที่หลากหลายและสามารถเป็นการศึกษาเร ื่ อง หน ึ่ งเร ื่องใดได้ในมุมกว้างและลึก ซึ่งผู้ออกแบบหน่วยการเรียนรู้จําเป็นต้องวิเคราะห์วัตถุประสงค์ของ หลักสูตรเพ ื่ อท ี่ จะนํามาจัดหน่วยให้เกิดความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากกว่าหน ึ่ งข้อ หรือหากเป็นสาระเพ ิ่ มเติม 2) การวิเคราะห์ตัวชี้วัดและสาระแกนกลาง การออกแบบการเรียนรู้บูรณาการศิลปะ ใน สถานศึกษาต้องคํานึงถึงการดึงตัวชี้วัดและสาระแกนกลางมาผนวกกับวิธีการสอนต่างๆ ซึ่งหากเป็นการ เรียนรู้ที่มีมากกว่าหน ึ่ งสาระการเรียนรู้ผู้สอนควรต้องวิเคราะห์ตัวชี้วัดที่มีพฤติกรรมรวม เช่น อภิปราย ระบุหรือ บรรยาย เป็นต้น ทั้งนี้ก็สามารถนําตัวชี้วัดเหล่าน ั้ นมาผนวกกับเน ื้ อหาเพ ื่ อสร้างสาระการ เรียนรู้หากเป็นการบูรณาการจากสาระให้วิเคราะห์ตัวชี้วัดที่มีเน ื้ อหาสาระเดียวกัน เช่น เร ื่ องท ี่ เก ี่ ยวกับ สีหรือ เร ื่ องท ี่ เก ี่ ยวกับทัศนธาตุเป็นต้น ส่วนตัวชี้วัดที่มีพฤติกรรมเดียวกันก็ควรจัดหมวดหมู่ไว้ด้วยกัน แล้วจึงเติมเน ื้ อหาเพ ื่ อสร้างหน่วยบูรณาการ เช่น สร้างงานทัศนศิลป์หรือวาดภาพระบายสีเป็นต้น ขั้นการออกแบบการเรียนรู้ 1) การออกแบบวัตถุประสงค์การเรียนรู้เม ื่อได้ตัวชี้วัด และสามารถวิเคราะห์ตัวชี้วัด กับ กระบวนการ และเน ื้อหาได้แล้ว ให้มากําหนดวัตถุประสงค์โดยอาศัยหลักการกําหนดวัตถุประสงค์ 3 ด้านคือ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัย ในส่วนการบูรณาการศิลปะสําหรับเด็กประถมศึกษานั้น วัตถุประสงค์ควรจะให้ความสําคัญกับงานศิลปะปฏิบัติเพราะช่วยให้เกิดความน่าสนใจและเชื่อมโยงเข้า สู่วิชาอ ื่นๆได้ตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์ด้านทักษะพิสัยสาระการเรียนรู้ศิลปะ ว่า นักเรียนสามารถวาด ภาพผีเส ื้อได้ วัตถุประสงค์ด้านทักษะพิสัยสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่า นักเรียนสามารถบอกอวัยวะ ของผีเส ื้อได้ เป็นต้น
214 2) การออกแบบเน ื้ อหาสาระ เป็นการกําหนดสาระสําคัญและสาระการเรียนรู้จากตัวชี้วัดและ วัตถุประสงค์นําสาระแกนกลางน ั้นมาแตกออกเป็นหัวข้อเพ ื่ อสร้างเน ื้อหาในการสร้างความรู้และการ ปฏิบัติงานนั้น ควรเป็นการกําหนดร่วมกันกับส่วนอื่น หากเน ื้อหาสาระใดที่ สามารถจัดกิจกรรมร่วมกัน ได้ก็ให้จัดกิจกรรมร่วมกัน และเน ื้อหาสาระใดที่มีความแยกเฉพาะก็ควรจะจัดเวลาให้เป็นพิเศษและเป็น การจัดซ่อมเสริมก็ได้ 3) การออกแบบกระบวนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา การกําหนดกระบวนการปฏิบัติงาน เป็นการกําหนดว่า ขั้นตอนการศึกษาในแผนการเรียนรู้นั้นๆควรจะมีขั้นตอนอะไรบ้างซ ึ่งโดยส่วนใหญ่จะ เปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุประสงค์หรือตัวชี้วัด การบูรณาการศิลปะผู้ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ต้อง พิจารณาถึงกระบวนการทํางานให้ครอบคลุมกับเวลาเรียนเพราะหากเด็กได้รับปริมาณงานและความ ยากท ี่ สามารถจะทํางานเสร็จตามเวลา ผู้ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ควรรวมทักษะต่างๆท ี่ใกล้เคียงกันมา เป็นหน่วยบูรณาการจึงทําให้ลดภาระงานของเด็กและช่วยเพ ิ่ มทักษะความชํานาญในทักษะน ั้นได้ดีกว่า ขั้นการพัฒนาการเรียนรู้ 1) วิธีการการบูรณาการการเรียนรู้ทัศนศิลป์นั้นมีการใช้ได้หลายรู้แบบ จึงขอนําเสนอวิธี การบูรณาการดังน ี้ - วิธีการบูรณาการแบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) - วิธีการบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) - วิธีการบูรณาการศิลปะกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ - วิธีการบูรณาการแบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) เป็นการบูรณาการแบบสอดแทรก (Infusion) เป็นการบูรณาการการเรียนรู้ที่เกิดจากการนําประเด็น เน ื้ อหา วิธีการหรือกระบวนการท ี่ เด็ก ควรจะเรียนรู้ไปสอดแทรกในการเรียนการสอน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดข ึ้นภายในรายวิชาเป็นการจัดการเรียนรู้ ให้เกิดความทันสมัยสอดคล้องกับสภาพหรือเหตุการณ์ของสังคมในขณะนั้น (UNESCO/UNEP. 1994:7-9.และ ทิศนา แขมมณี.2552:147) ตัวอย่าง การบูรณาการเร ื่ องข้าว ผู้สอนสามารถจะใช้ต้นข้าว ไปสอดแทรกในวิธีการต่าง ๆ ของการจัดการเรียนรู้การวาดลายไทย การทําภาพปะติดด้วยเม็ดข้าว การ ทําภาพพิมพ์จากส่วนของต้นข้าว รวมถึงการวาดภาพทิวทัศน์นาข้าวก็ได้ (ภาพ 15.1)
215 ภาพท ี่ 15.1 การบูรณาการแบบพหุวิทยาการในทัศนศิลป์เร ื่ องข้าว - การบูรณาการแบบสหวิทยาการ (Interdisciplinary) เป็นการบูรณาการเพ ื่ อสร้างหัวเร ื่ อง (Theme) ขึ้นมาใหม่เพ ื่ อสร้างการเช ื่อมโยงหน่วยการเรียนรู้ของกลุ่มสาระต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็น วิธีการที่ช่วยให้ผู้สอนทําการสะดวกและลดภาระช ั่วโมง สิ่งที่สําคัญคือการสร้างความสัมพันธ์เช ื่ อมโยง ระหว่างรายวิชาต่าง ๆ รวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ในชุมชนอันเป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดความรักในท้องถิ่น (UNESCO/UNEP, 1994, 7-9.และ ทิศนา แขมมณี, 2552, 147) ตัวอย่างการบูรณาการจัดการเรียนรู้ เร ื่ อง ดอกบัวในรายวิชาภาษาไทยให้แต่งบทกลอนเก ี่ ยวกับดอกบัว คณิตศาสตร์คํานวณนับดอกบัวใน สระ วิทยาศาสตร์เรียนรู้สิ่งมีชีวิตท ี่ อยู่ในกอบัว ภาษาอังกฤษอ่านบทความเก ี่ ยวกับดอกบัว ศิลปะให้ สร้างงานโคมดอกบัว ดนตรีบรรเลงเพลงบัวขาว และนาฏศิลป์ระบําดอกบัวจากโคมที่ประดิษฐ์สังคม ศึกษาดอกบัวกับพุทธศาสนา การงานพ ื้ นฐานอาชีพวิธีการปลูกดอกบัว ผลิตอาหารจากดอกบัว และ จัดเว็ปไซด์แนะนําดอกบัว ข้าว การวาดลาย ไทย ภาพพิมพ์ จากส่วนของ ต้นข้าว ภาพทิวทัศน์ นาข้าว ภาพปะติด ด้วยเมล็ดข้าว
216 ภาพท ี่ 15.2 การบูรณาการแบบสหวิทยาการเร ื่ องดอกบัว - วิธีการบูรณาการศิลปะกับการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ มีวิธีการสอนบูรณาการศิลปะ ฯ 2 วิธีคือ วิธีที่ 1 การสอนเพ ื่ อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์(Synectics Instructional model) ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการทางสมองที่คิดในลักษณะอเนกอนันต์อันนําไปสู่การคิดค้นพบสิ่ง แปลกใหม่ด้วยการคิดดัดแปลงปรุงแต่งความคิดเดิมผสมผสานกันให้เกิดส ิ่งใหม่ความคิดสร้างสรรค์นี้จะ เกิดข ึ้นได้มิใช่เพียงแต่คิดในสิ่ งท ี่เป็นไปได้หรือ สิ่งท ี่เป็นเหตุผลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ความคิด จินตนาการก็เป็นส ิ่ งสําคัญที่ก่อให้เกิดความแปลกใหม่แต่ต้องควบคู่ไปกับความพยายามท ี่ จะสร้าง ความคิดฝัน หรือจินตนาการให้เป็นไปด้วย หรือท ี่ เรียกว่า เป็นจินตนาการประยุกต์นั่นเอง จึงจะทําให้ เกิดผลงานความคิดสร้างสรรค์ขึ้น” (อารีพันธ์มณี, 2540, 6) ความเช ื่ อพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์สามารถสอนได้สร้างได้ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่ พรสวรรค์และความคิดสร้างสรรค์ต้องใช้สมองท ั้ งสองซีกในการฝึกฝน ฟิชเชอร์ได้กําหนดทักษะการคิด สร้างสรรค์ไว้ 4 ด้าน คือ (วัชรา เล่าเรียนดี, 2552, 53). 1) ความคล่องแคล่วในการคิด เป็นการคิดได้จํานวนมากๆในเวลาอันจํากัด 2) ความยืดหยุ่น เป็นความสามารถในการเอาชนะอุปสรรคได้หลากหลาย 3) ความริเริ่ม เป็นความสามารถในการริเริ่ม การสร้างส ิ่งใหม่เร ื่องใหม่แนวคิดใหม่ ดอกบัว ภาษาไทย ให้แต่งบทกลอนเกี่ยวกับ ดอกบัว คณิตศาสตร์ คํานวณนับดอกบัวในสระ วิทยาศาสตร์ เร ียนรู้ ส ิ่งมีชีวิตที่อยู่ในกอบัว ศิลปะให้สร้างงานโคม ดอกบัว ดนตรี บรรเลง เพลงบัวขาว และ นาฏศิลป์ระบําดอกบัว จากโคมที่ประดิษฐ์ สังคมศึกษา ดอกบัวกับพุทธศาสนา การงานพื้นฐานอาชีพ วิธีการปลูกดอกบัว ผล ิต อาหารจากดอกบัว และ จัดเว็ปไซด์แนะนํา ดอกบัว
217 4) ความละเอียดถี่ถ้วน เป็นการคิดในเรื่ องเดียวกันได้จํานวนมากๆ รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่ปรากฏในสิ่ งพิมพ์ต่างประเทศคือ Synectics Instructional model ของกอร์ดอน (Joyce.B Well.M and Calhoun.E, 2004, 162- 164) ซึ่งเป็นการคิดโดยการเปรียบเทียบสามอย่าง คือ การคิดเปรียบเทียบแบบตรง การคิดเปรียบเทียบ คนกับส ิ่ งของ และการเปรียบเทียบคําคู่ขัดแย้งซ ึ่ งมีลักษณะการอุปมาอุปมัยในหลักการของภาษาไทย ซึ่งมีขั้นตอนโดยสรุปดังน ี้ ตารางท ี่ 15.1 ขั้นตอนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ขั้นตอน การสอน ขั้นนํา ให้ผู้เรียนกําหนดสร้างงานตามความสามารถอย่างอิสระ ขั้นการอุปมาโดยตรง โดยการจับคู่แนวคิดหรือส ิ่ งของต่าง ๆ เป็นคู่ๆ ขั้นอุปมาบุคคล โดยการใส่ความรู้สึกเข้าไปในสิ่ งของน ั้ นหรือผลงานท ี่ เด็กสร้าง ขั้นสร้างความขัดแย้ง โดยการนําส ิ่ งที่คิดได้ในขั้ นตอนท ั้ งสองมาสร้างเป็นคู่ที่ขัดแย้งกัน ขั้นอธิบายความขัดแย้ง โดยผู้สอนกับผู้เรียนร่วมกันอธิบายความหมายของส ิ่ งต่าง ๆ ที่คิดท ี่ ละส่วน ขั้นเลือกสร้างสรรค์ โดยผู้สอนให้ผู้เรียนตัดสินเลือกว่าจะสร้างงานอะไรตามแนวคิดใด แนวคิดหน ึ่ งขึ้นมาใหม่ การสอนในลักษณะนี้นํามาช่วยในการคิดเพ ื่ อหาแรงบันดาลใจและมโนทัศน์ในการสร้าง งานซ ึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งการสอนออกแบบ การสอนด้านภาษาหรือการสอนด้านศิลปะเพื่ อสร้าง จินตนาการต่าง ๆ วิธีที่ 2 วิธีสอนแบบสรรค์สร้างความรู้กับทัศนศิลป์และการออกแบบ มีจุดเน้นคือวิธีที่คน สร้างความเข้าใจการจัดลําดับความสําคัญของผู้กําหนดหลักสูตร เพ ื่ อสนับสนุนการเรียนรู้แบบสรรค์ สร้าง ควรสร้างสภาพแวดล้อมให้ผู้เรียนเข้าใจโลกอย่างมีความหมายผ่านประสบการณ์ส่วนการนําไปใช้ กับการเรียนการสอนกลุ่มสาระศิลปะ(ทัศนศิลป์) ได้มีนักวิชาการเสนอแนวการจัดการเรียนการสอนไว้ ทั้งส่วนของศิลปะปฏิบัติและสุนทรียศาสตร์ ไมเคิล ลิตเติลไดก์ (2542,36-46) ได้กล่าวถึงพัฒนาการของการสอนสร้างสรรค์สรุปได้ดังน ี้นัก การศึกษาและนักจิตวิทยาท ี่ เก ี่ ยวข้องกับแนวคิดน ี้ เร ิ่ มจาก เจอโรม บรูเนอร์มองว่าความรู้ได้มาจากโดย ประสบการณ์จากกระทํา ภาพลักษณ์และสัญลักษณ์ต่อมาเลฟ ไวกอตสกี เน้นความคิดผ่านการพูด ซึ่งท ั้ งสองเน้นการสร้างความรู้เชิงสังคมต่อมาเดวิด ออซูเบลได้เสนอการจัดการเรียนรู้แบบสองมิติคือ ระดับของการมีความหมายกับวิธีการเผชิญความรู้ จุดเน้นคือ สิ่งที่ผู้เรียนรู้ต้องสืบให้รู้และสอนเขาใน เร ื่ องนั้น และต่อมารอส ไดรเวอร์นําแนวคิดของออซูแบลไปศึกษาแล้วเสนอตัวชี้สําหรับการฝึกฝนใน ห้องเรียน 4 ประการ คือ การพัฒนาหลักสูตรตามโครงสร้างการคิด โปรแกรมการสอนสอดคล้องกับแนว การพัฒนาความเข้าใจความคิดที่สําคัญขึ้น กิจกรรมที่ท้าทายให้มีการตีความหมายหลายๆแบบ และ ต้องให้เวลาคิด ครูต้องช่วยให้เด็กเสนอความเข้าใจเช่นการอภิปรายกลุ่มหรือการพูดคุยกับครู
218 ไมเคิล ลิตเติลไดก์ (2542, 60-62) ได้เสนอขอบเขตสรรค์สร้างของการเรียนรู้ดังน ี้ 1) ผลการเรียนรู้ขึ้นกับประสบการณ์เดิม 2) การเรียนรู้ที่พัฒนาการสรรค์สร้างเชิงอารมณ์และเชิงกายภาพอาศัยประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพและสังคม 3) การสร้างความเช ื่อมโยงประสบการณ์เดิมเป็นกระบวนการท ี่ เก ี่ ยวกับการเปรียบเทียบ ตรวจสอบและการสร้างใหม่ทางด้านปัญญา อารมณ์และกายภาพ 4) การเรียนไม่ได้เป็นการเพ ิ่ มเติมโครงสร้างแต่อาจจะปรับเปลี่ยนโครงสร้าง 5) ความหมายท ี่ สร้างข ึ้นใหม่อาจจะได้รับการปฏิเสธหรือยอมรับก็ได้ 6) ผู้เรียนเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง 7) ความหมายใหม่จะผ่านกระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน จากการกระทําของคนอื่น ๆ และนอกจากนี้ยังได้ดัดแปลงมาเสนอวิธีการสอนสรรค์สร้างเพ ื่ อการ พัฒนาการคิด ดังน ี้ (ภาพท ี่ 15.3) ภาพท15.3 ี่ วิธีสอนแบบสรรค์สร้างความรู้กับทัศนศิลป์และการออกแบบ วิธีการประเมินผลวิธีสอนแบบสรรค์สร้างความรู้กับทัศนศิลป์และการออกแบบ การ ประเมินในการสอนแบบนี้ใช้วิธีการท ี่ เรียกว่า “การสกัดเอาจุดเร ิ่ มต้น” โดยการกระทําส ิ่ งต่อไปนี้ ตารางท ี่ 15.2 วิธีการประเมินผลวิธีสอนแบบสรรค์สร้างความรู้กับทัศนศิลป์และการออกแบบ ขั้นตอน เคร ื่ องมือ การดําเนินการ 1.การบันทึกสืบย้อน แบบบันทึก สิ่งท ี่ เด็กเรียนมาแล้วเพ ื่ อทําการเปรียบเทียบ สิ่งท ี่ เด็กคิด รู้สึกและความสามารถ การทําความเข้าใจ กระตุ้นความสนใจ ความอยากรู้อยากเห็นและสร้างแรงจูงใจ การสืบย้อนความคิด/และการจัดโครงสร้างเป็นการช่วย ให้เด็กค้นพบและทําความกระจ่างกับสิ่งที่เด็ก คิด รู้สึกและความสามารถ ทางกาย การเข้าแทรกแซง/และการจัดโครงสร้างใหม่เป็นการ ส่งเสริมให้เด็กทดสองความคิด ความรู้สึกและความสามารถทางกาย ซึ่งเป็น การต่อเติมพัฒนาและปรับปรุงความคิด ความรู้สึกและความสามารถทางกาย การทบทวน เป็นการช่วยเด็กให้รู้และตระหนักถึงสิ่งที่ต้อนเอง ค้นพบหรือกระทําได้ การประยุกต์ใช้เป็นการช่วยให้เด็กเชื่อมโยงในสิ่งที่รู้หรือได้รับ ปรับสู่ชีวิตประจําวันหรือกิจกรรมที่สําคัญ
219 ขั้นตอน เคร ื่ องมือ การดําเนินการ 2.การฟังเด็กตอบ เพ ื่ อพินิจพิเคราะห์ แบบจดบันทึก หรือ สมุดบันทึกพื้น (Floor book)สําหรับเด็กเล็กเพ ื่อให้ เด็กเห็นแนวคิดของเพ ื่ อน ครูตั้งคําถามหรือระดมความคิดเพ ื่อให้เกิด ความเข้าใจแล้วรวบรวมจดบันทึกไว้เพื่อ ประเมิน 3.การสังเกตดูเด็กร่วมกับ กิจกรรมสกัดความคิด แบบบันทึก(ต่อเน ื่ องจากแบบบันทึก ในขั้น การบันทึกสืบย้อน) แถบเสียงบันทึกการอภิปราย เฝ้าดูเด็กในด้านพฤติกรรมจากการทํา กิจกรรมต่าง ๆ และการอภิปรายกลุ่มเล็ก 4.การสังเกตการทําบันทึก ของเด็ก การบันทึกของเด็ก ทั้งบันทึกท ี่ เป็นวัจนภาษาและอวัจนภาษา ประเมินจากเสียงการสนทนา การวาดภาพ และการทําแผนท ี่ ความคิด 5.การอ้างอิงผลการวิจัย นําผลการเรียนรู้เทียบเคียงผลการวิจัยท ี่ เก ี่ ยวข้องเพ ื่ อดูพัฒนาการเด็ก ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ศิลปะบูรณาการแบบสหวิทยาการ เร ื่ อง สถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์ระดับช ั้นประถมศึกษาปี่ที่ 3 ภาพท ี่ 15.4 กรอบแนวคิดการเรียนรู้บูรณาการศิลปะแบบสหวิทยาการ สถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์คือ สถานที่ท่องเท ี่ ยวแห่งใดแห่งหน ึ่งโดยมีวัตถุประสงค์เพ ื่ อศึกษา ชื่นชม และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพ สภาพธรรมชาติ การวาดภาพเป็นการใช้ปากกา หรือดินสอ ขีดเขียนลงไป บนพ ื้ นผิววัสดุรองรับเพ ื่อให้เกิดภาพ สถานที่ท่องเที่ยวเชิง อนุรักษ์ ภาษาอังกฤษเขียน คําศัพท์เกี่ยวกับ สถานที่ ท่องเท ี่ยวเชิง ศิลปะ วาดภาพระบายสี สถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ เคยไป วิทยาศาสตร์เรียนรู้เรืองระบบน ิเวศ่ การดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ในสถานท ี่ ท่องเท ี่ยวเชิงอนุรักษ ์ ภาษาไทยแต ่งกลอน เกี่ยวกับสถานที่ ท่องเท ี่ยวเชิงอนรักษ์ สังคมปลูกฝังจิตสําน ึกใน การอนุรักษ์ธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม
220 การระบายสีเป็นการใช้พู่กัน หรือแปรง หรือวัสดุอย่างอื่น มาระบายให้เกิดเป็นสีสันต้องใช้ทักษะการ ควบคุมสีและเคร ื่ องมือ ผลงานการระบายสีจะสวยงามสมบูรณ์แบบ วัตถุประสงค์ 1. ผู้เรียนมีความรู้เก ี่ ยวกับสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์และการวาดภาพการระบายสี 2. ผู้เรียนสามารถปฏิบัติวาดภาพระบายสีสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์ได้ 3. ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อผลงานตนเองและสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์ ระยะเวลาที่ดําเนนการสอนิ 60 นาที กิจกรรมการสอน 1. ขั้นนํา(10นาท) ี วิธีดําเนนการิ สื่อ/เคร ื่ องวัดประเมนผลิ -ครูให้นักเรียนทําแบบทดสอบก่อนเรียน -ครูแจ้งวัตถุประสงค์ในการเรียนและวัสดุ-อุปกรณ์ในการสร้างงานศิลปะ - ครูแจกแผ่นพับเร ื่ องสถานที่ท่องเท ี่ ยว เชิงอนุรักษ์ สื่อ : อุปกรณ์ในการสร้างงาน ศิลปะ, แผ่นพับ แบบทดสอบ : แบบทดสอบ ก่อนเรียน 2. ขั้นสอน(40 นาที) วัตถุประสงค์ ข้อท ี่ วิธีดําเนนการสอนิ สื่อ/เคร ื่ องมือวัดประเมนผลิ 1 -ครูบรรยายความรู้เร ื่ องสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์และการ วาดภาพระบายสี -ครูบรรยายพร้อมยกตัวอย่างสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิงอนุรักษ์จาก ภาพท ี่ ครูเตรียมมา -ค รูอ ธิบายภาพกับหน่วยการเรียนรู้ในวิชาต่างๆทั้ง ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์และสังคมศึกษา สื่อ : แผ่นพับ, บทสนทนา ภาพของครู 2 -ครูให้นักเรียนจับกลุ่มอย่างน้อย3-4คน -ครูให้นักเรียนวาดภาพและระบายสีสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิง อนุรักษ์ที่นักเรียนเคยไป -คอยอํานวยความสะดวกให้แก่เด็กขณะเด็กทําการปฏิบัติ สื่อ : อุปกรณ์วาดภาพระบายสี เคร ื่ องมือ แบบประเมินผลการ วาดภาพระบายสี วิธีการประเมินผล ตรวจ ประเมินผลงาน
221 3 -ครูสุ่มนักเรียนออกมานําเสนอภาพที่นักเรียนวาดหน้าชั้น เรียน -ให้นักเรียนบอกความประทับใจที่มีต่อสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิง อนุรักษ์ที่ได้วาดมาและประโยชน์จากการเรียนน ี้ สื่อ : ผลงานนักเรียน , บทสนทนา เคร ื่ องมือ : แบบประเมินทัศนคติ 3. ขั้นสรุป(10นาที) วิธีดําเนนการิ สื่อ/เคร ื่ องมือวัดประเมนผลิ -ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เก ี่ ยวกับสถานที่ท่องเท ี่ ยวเชิง อนุรักษ์และการวาดภาพ ระบายสี -ครูประเมินการปฏิบัติงานของนักเรียน -ครูให้นักเรียนทําแบบทดสอบความรู้หลังเรียน -ครูให้นักเรียนประเมินการเข้าร่วมกิจกรรมคร ั้ งน ี้ สื่อ : ผลงานนักเรียน , สังเกตการ ปฏิบัติงานของนักเรียน แบบทดสอบ : แบบทดสอบความรู้หลัง เรียน 2) การพัฒนาส ื่ อการสอน เป็นการเลือกส ื่ อหรือกําหนดส ื่ อต่างๆท ี่ใช้ในการออกแบบการเรียนรู้ บูรณาการศิลปะ ได้แก่อุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะต่างๆท ี่ ครอบคลุมตามตัวชี้วัด พัฒนาการ เด็กและวัสดุอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายหรือมีในชุมชนรอบโรงเรียน สิ่งสําคัญคือส ื่ อการสอนควรเช ื่อมโยงไปถึง วิชาต่างๆที่ร่วมบูรณาการด้วย 3) การกําหนดวิธีการวัดผลและประเมินผล การออกแบบการเรียนรู้บูรณาการ ผู้สอนมักจะ เน้นความรู้เร ื่ องศิลปะปฏิบัติเป็นหลักและมุ่งให้เกิดผล ที่สําคัญต้องให้เช ื่อมโยงความรู้กับเร ื่ องท ี่ สร้าง หน่วยด้วย การประเมินผลด้านทักษะพิสัย เน้นท ี่ สาระการเรียนรู้ศิลปะได้โดยตรง ผลงานและภาระ งาน ซึ่งควรใช้เกณฑ์รูบิคส์ในการประเมิน ด้านจิตพิสัย คือ การมุ่งให้เด็กช ื่ นชมความงามของผลงานท ี่ ตนเองและเพ ื่อนในชั้ นเรียน และหากเป็นการบูรณาการท ี่ใช้การสอนโดยโครงการเป็นฐานก็ให้ทําการ ประเมินการทําโครงการไปด้วย 3. นิทรรศการศิลปะ นิทรรศการหรือการแสดงผลงาน (Exhibition) เป็นวิถีของการเรียนรู้ศิลปะที่ผู้สอนน ั้ นต้อง เข้าใจหลักการหรือแนวคิดพ ื้ นฐาน ว่านิทรรศการน ั้ นคือการแสดงผลงานทัศนศิลป์เพ ื่อให้ผู้ชมได้มามี ส่วนช ื่ นชมและวิจารณ์ซึ่งจันทรา มาศสุพงศ์ (2540,น.148) ได้กล่าวถึงนิทรรศการทางศิลปะ ว่าเป็น การแสดงนิทรรศการทางศิลปะทักษะการที่ถ่ายทอดผลงานจาก โดยทั่วไปแล้วนิทรรศการศิลปะ นั้นเป็นส่วนหน ึ่ งของศาสตร์ในสาขาการจัดนิทรรศการซ ึ่งเป็นวิธีการหลักในการจัดแสดงหรือนําเสนอ ผลงานศิลปะ เม ื่ อพิจารณาความหมายของนิทรรศการแล้วจึงค่อยระบุถึงความเฉพาะของนิทรรศการ ศิลปะ ดังเสนอความหมายของนิทรรศการในแง่ต่างๆ ดังน ี้ จันทรา มาศสุพงศ์ (2540, น.2) ให้ความหมายของนิทรรศการ นิทรรศการเป็นส ื่อในเรื่ องราว ข้อมูลท ี่เป็นประโยชน์หรือให้การศึกษาแก่ผู้ชมในรูปของสื่อประสมที่มีผู้จัดได้พิจารณาเลือกสรรแล้วว่า เหมาะกับเน ื้ อหาสาระที่จัดแสดงโดยคํานึงถึงองค์ประกอบทางศิลปะและวิธีการนําเสนอในรูปของงาน กราฟิก และวัสดุสามมิติที่ทําให้ผู้ชมถึงพอใจแม้นิทรรศการจะจัดแสดงเน ื้อหาสาระได้กว้างขวางแต่ก็มี
222 ทิศทางการจัดแสดงท ี่ สอดคล้องผสมกลมกลืนกัน นิทรรศการเป็นกระบวนการส ื่ อสารที่นําเสนอ ข้อเท็จจริง ทรรศนะ ความคิดหรือประสบการณ์ที่มีประสิทธิภาพในการสื่ อสารและจดจําได้นาน นอกจากนี้ยังได้ให้ความหมายของการจัดนิทรรศการเพ ื่อประชาสัมพันธ์ว่าหมายถึง การจัด แสดงผลงานของหน่วยงานสถาบันต่างๆเพ ื่ อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้หรือรายละเอียดข้อเท็จจริง ต่างๆเก ี่ ยวกับสถาบันในรูปแบบต่างๆเพ ื่ อสร้างความเข้าใจระหว่างสถาบันกับประชาชนโดยส่วนใหญ่ มักจะเป็นการรณรงค์ส่งเสริมป้องกันเพ ื่ อสร้างภาพลักษณ์ให้หน่วยงานน ั้นเป็นหน่วยงานเพ ื่ อมวลชน อย่างแท้จริง วัฒนะ จูฑะวิภาต (2542, น.1) ได้ให้ความหมายของนิทรรศการว่า เป็นการจัดนําเอา ภาพถ่าย ภาพเขียนสถิติแผนภูมิหรือวัสดุกราฟิกต่างๆได้แก่ของจริง หุ่นจําลอง หรือ โสตทัศนูปกรณ์บางประเภท เช่น ภาพยนตร์ภาพนิ่ง มาจัดแสดงพร้อมคําบรรยายประกอบ การอภิปรายการสาธิตในเรื่ องต่างๆท ี่ น่าสนใจหรือกําลังอยู่ในความสนใจของกลุ่มประชาชนที่ เลือกมาเป็นเป้าหมาย อิทธิพันธ์พัฒนานุพงษ์ (2549, น.75) ความหมายของนิทรรศการในแง่มุมของการจัดแสดง สินค้าว่านิทรรศการ คือ การแสดงให้ความรู้แสดงโชว์สินค้าและการศึกษาอาจจะมีผู้บรรยายให้ฟังหรือ แสดงโดยอธิบายเป็นเร ื่ องราวด้วยตัวของเน ื้ อนิทรรศการเองการจัดสามารถทําได้ทั้งภายในและภายนอก อาคารซ ึ่งประกอบไปด้วยท ั้ งของจริงส ิ่ งจําลองภาพถ่ายแผ่นอธิบายและแผนภูมิต่างๆนําออกมาแสดง โดยมีการวางแผนจัดเตรียมอย่างเป็นระบบให้ผู้ชมเข้าชมได้ง่ายและผู้ชมรับรู้ข้อมูลได้โดยง่ายและสร้าง ความประทับใจ จันทรา มาศสุพงศ์ (2540, น.148) ได้กล่าวถึงนิทรรศการทางศิลปะ ว่าเป็นการแสดง นิทรรศการทางศิลปะทักษะการที่ถ่ายทอดผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของ ศิลปินสู่ประชาชนหรือ ผู้ชม โดยส่วนใหญ่มักจะจัดในหอศิลป์มีทั้งรูปแบบที่เป็นนิทรรศการถาวรและนิทรรศการช ั่ วคราว มี ผู้ชมท ี่เป็นลักษณะกลุ่มเฉพาะ จากความหมายของนิทรรศการและนิทรรศการศิลปะที่ ยกมาน ั้ นสรุปความหมายของ นิทรรศการศิลปะได้ดังน ี้นิทรรศการศิลปะ หมายถึง การนําเสนอผลงานศิลปะทั้ งวิจิตรศิลป์และ ประยุกต์ศิลป์มาจัดแสดงพร้อมคําบรรยายประกอบ และกิจกรรมการสาธิตในเรื่ องต่างๆที่สําคัญและ น่าสนใจแก่กลุ่มเป้าหมายเพ ื่ อถ่ายทอดผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของ ศิลปินสู่ประชาชนหรือผู้ชม นิทรรศการ กับคําภาษาอังกฤษว่า Exhibition ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับคําว่า การจัดแสดง (Display ) และงานมหกรรม Exposition คือ การจัดแสดงหรือ display หมายถึงการจัดแสดงส ิ่ งของ เคร ื่องใช้สินค้าต่างๆหรือผลิตภัณฑ์เพ ื่ อการส่งเสริมการขายการจัดแสดงเพ ื่ อส่งเสริมธุรกิจที่ห้างร้าน บริษัทหน่วยงานเอกชน จัดข ึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง วัฒนะ จูฑะวิภาต (2542, น.1-2) ได้เสนอความ แตกต่างของการจัดนิทรรศการและดิสเพลย์ไว้ว่า การจัดนิทรรศการเป็นการนําเสนอแบบสองทาง(Two way communication) ส่วนการจัดดิสเพลย์เป็นลักษณะการส ื่ อสารแบบทางเดียว one way communication ซึ่งมักจะใช้ในงานแถลงข่าวเล่าเร ื่ องราวเหตุการณ์ต่างๆ ในวงการธุรกิจมีลักษณะ
223 บางอย่างคล้ายกับการจัดนิทรรศการ เช่น การจัดมหกรรมสินค้า (Exposition) การแสดงสินค้า (Trade fair) หรือมุมแนะนําสินค้าต่างๆ (windows show) ส่วน Exposition กิจกรรมการแสดงที่มีขนาดใหญ่ ทําการในระดับนานาชาติมีการเตรียมการ ไว้ล่วงหน้ามีบุคลากรจํานวนมากในการดําเนินงานและมักจะ จัดแสดงในพื้ นท ี่ขนาดใหญ่หรือต่อเน ื่ องกันเป็นระยะเวลายาวนาน วัตถุประสงค์ของนิทรรศการท ี่ กล่าวมาสรุปได้ใน 2 ลักษณะ คือ วัตถุประสงค์สําหรับผู้จัดท ี่ ส่งผลต่อผู้ชม เพ ื่อให้การศึกษา ความรู้และความเข้าใจในเรื่องใดเรื่ องหนึ่ง และเพ ื่ อสร้างผลเชิงจิตใจ ในการสร้างภาพลักษณ์การกระตุ้นเตือน หรือ การสร้างความบันเทิง สําหรับวัตถุประสงค์ของ นิทรรศการศิลปะนั้ นก็จะหมายรวมถึงวัตถุประสงค์ 2 ข้อนี้ด้วยคือ เพ ื่อให้การศึกษา ความรู้และความ เข้าใจในเรื่องประวัติศาสตร์สุนทรียภาพ การวิจารณ์และความสามารถในศิลปะปฏิบัติต่างๆ และเพื่อ สร้างความตระหนักและสุนทรียอารมณ์ในการการวิจารณ์และศิลปะปฏิบัติต่างๆ การแบ่งประเภทของนิทรรศการนั้น แบ่งประเภทได้หลายลักษณะ คือ นิทรรศการสามารถแบ่ง ประเภทตาม สถานท ี่ ความคงทนถาวร หรือ จุดมุ่งหมาย ได้ดังน ี้ 1) ประเภทนิทรรศการแบ่งตามสถานท ี่ ได้แก่ นิทรรศการกลางแจ้ง และนิทรรศการในอาคาร - นิทรรศการกลางแจ้ง (Outdoor exhibition) หมายถึง การจัดนิทรรศการขนาดใหญ่ ที่มี กลุ่มผู้เข้าร่วมและมีอาคารอยู่กลางแจ้ง ซึ่งมักจะใช้เป็นเต็นท์ศาลา หรือปะรํา เป็นการจัดนิทรรศการที่ อาจจะมีผู้เข้าร่วมมาจํานวนมาก - นิทรรศการภายในอาคาร (Indoor exhibition) หมายถึง เป็นการ ที่มีกลุ่มเป้าหมายจํานวน จํากัดตามลักษณะของพ ื้ นท ี่โดยส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของห้องโถงที่มีอาคารโลกกว้าง 2) ประเภทนิทรรศการแบ่งตามลักษณะของความคงทนถาวร จันทรา มาศสุพงศ์ (2540, น.11-12) และ วัฒนะ จูฑะวิภาต (2542, น.2-5) ได้เสนอ ประเภทนิทรรศการแบ่งตามลักษณะของความคงทนถาวร สรุปได้ดังน ี้ - นิทรรศการถาวร (Permanent exhibition ) เป็นการจัดนิทรรศการที่มีเน ื้ อหาเร ื่ องราวท ี่ แน่นอนชัดเจนส่วนใหญ่มักจะเป็นเร ื่องราวประวัติศาสตร์หรือความเป็นมามีผู้ชมหรือผู้เข้ามาศึกษาเป็น กลุ่มเป้าหมายท ี่ แน่นอนชัดเจน - นิทรรศการช ั่ วคราว (Temporary exhibition) เป็นลักษณะการจัดแสดงข ึ้นในลักษณะ เน ื้ อหาเร ื่ องราวที่ทันกับเหตุการณ์หรือเป็นการรวบรวมในลักษณะเฉพาะกิจ อย่างทันทีทันใดบางครั้ง อาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับการ display - นิทรรศการหมุนเวียน (Travelling exhibition)หมายถึงนิทรรศการที่จัดข ึ้ นเพ ื่ อแสดง หลายๆที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามสถานที่ต่างๆให้ผู้ชมในสถานที่ต่างๆได้ชม 3) ประเภทนิทรรศการแบ่งตามจุดมุ่งหมาย - นิทรรศการเพ ื่อการประชาสัมพันธ์นิทรรศการลักษณะน ี้เป็นการจัดนิทรรศการเพ ื่ อการสื่อ ความหมายหรือส ิ่ งเร้าหมายจากผู้จัดไปสู่ประชาชนโดยทั่วไปอาจจะมีความรู้แฝงอยู่บ้างเล็กน้อย
224 - นิทรรศการเพ ื่ อการศึกษาเป็นนิทรรศการที่มักจัดเพ ื่ อการเรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตรหรือ เน ื้ อหาที่สังคมต้องการสร้างให้กับผู้เรียนมากจะจัดในอาคารหน่วยงานท ี่เป็นสถาบันการศึกษาหรือ มหาวิทยาลัยต่างๆ - นิทรรศการเพ ื่ อการส่งเสริมการขายเป็นนิทรรศการที่จัดข ึ้นโดยห้างร้านบริษัทต่างๆมักจะจัด ขึ้นในสถานที่ที่เป็นโรงแรมและอาคารจัดนิทรรศการในเชิงธุรกิจเพ ื่อความสะดวกในการประชาสัมพันธ์ หรือส่งเสริมการขายในลักษณะต่างๆเชิงธุรกิจ ประเภทของนิทรรศการแบ่งตามจุดมุ่งหมายและสาระของนิทรรศการในปัจจุบันที่ประชาชนจะ พบเห็นได้ (จันทรา มาศสุพงศ์, 2540, น.11-12) มีดังน ี้ - นิทรรศการเพ ื่อการประชาสัมพันธ์ - นิทรรศการเพ ื่ อการรณรงค์ - นิทรรศการทางวิชาการ - นิทรรศการเพ ื่ อเผยแพร่ข้อมูลของสถาบันต่างๆ - นิทรรศการทางวัฒนธรรม - นิทรรศการทางศิลปะ - นิทรรศการทางธุรกิจ - นิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ - นิทรรศการทางประวัติศาสตร์ จากท ี่ กล่าวถึงประเภทของนิทรรศการข้างต้นสามารถแบ่ง ประเภทของนิทรรศการศิลปะ ได้ 2 ประเภท 1) นิทรรศการถาวรเป็นนิทรรศการที่จัดข ึ้นในระยะเวลายาวนานหลายปีไม่ค่อยมีการ เปลี่ยนแปลงอาจจะมีการปรับปรุงบ้าง นิทรรศการช ั่วคราวเป็นการจัดนิทรรศการข ึ้นในระยะเวลาสั้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลักษณะนิทรรศการที่มีเน ื้ อหาน้อยเพ ื่ อนําเสนอข้อมูลท ี่ไม่มากและใช้พื้นท ี่ หรือ สถานที่ต่างๆไม่เป็นสถานท ี่ เฉพาะ สร้างข ึ้ นสําหรับการจัดนิทรรศการนั้น 2) นิทรรศการหมุนเวียนเป็นนิทรรศการที่จัดข ึ้นไปตามสถานที่ต่างๆ เพ ื่อให้เข้าถึงผู้ชม นิทรรศการน ั้ นสามารถเคล ื่ อนย้ายสิ่งของต่างๆท ี่เป็นส ื่อได้ง่ายสะดวกเน ื้อหาจะเปลี่ยนแปลงไปตามหัว เร ื่ องหรือช่วงเวลาที่จัดข ึ้นโดยส่วนใหญ่จะจัดข ึ้ นตามภูมิภาคต่างๆของประเทศเพื่ อสร้างความคุ้มค่าใน ตัวนิทรรศการที่จะเข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุด สําหรับในโรงเรียนแล้วการจัดนิทรรศการทางศิลปะมีหลายประเภทซึ่ งแบ่งตามขนาดและสถาน ที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เป็นหลัก ดังน ี้
225 ภาพท ี่ 15.5 การจัดนิทรรศการศิลปะในหองเร้ ียนศิลปะในอเมริกา ภาพท ี่ 15.6 การจัดนิทรรศการศิลปะในหองเร้ ียนในอเมริกา นิทรรศการระดับห้องเรียนหมายถึง การจัดแสดงผลงานของนักเรียนที่ป้ายนิเทศในห้องเรียน สามารถทําได้ในชั้ นเรียนหรือนําผลงานท ี่ สร้างจากหน่วยการเรียนออกมาสร้างเป็นนิทรรศการซ ึ่ งจะทํา ได้หลายระยะส ั้นภายในชั่วโมง หรือถ้าเป็นการแสดงผลงานเด่นก็สามารถจัดเป็นปีรูปแบบนิทรรศการก็ เป็นแบบง่ายไม่มีรูปแบบชัดเจน นิทรรศการระดับช ั้ นเดียวกันหมายถึง การจัดนิทรรศการนําผลงานของเด็กมารวมกันประเมิน แล้วนําเสนอออกมาเป็นการจัดแสดงซ ึ่ งอาจจะจัดทําการเรียนการสอนศิลปวิจารณ์ควบคู่ไปด้วยหรือ อาจจะมีการจัดประกวด รวมถึงให้มานําเสนอความซาบซ ึ้ งต่องานประกอบไปด้วยก็ได้รูปแบบการ ดําเนินการจัดนิทรรศการน ี้เป็นแบบก ึ่งเป็นทางการคือมีการประชาสัมพันธ์มีพิธีเปิดง่าย ๆ หรือมีสูจิ บัตรก็สามารถทําประกอบได้ ตัวอย่างการจัดนิทรรศการศิลปะระดับช ั้ นเดียวกันริมทางเดิน (ภาพท ี่ 15.3 ถึง 15.5)
226 นิทรรศการระดับโรงเรียน หมายถึง การจัดแสดงผลงานศิลปะที่นําเสนอผลงานของเด็กทุก ชั้นในโรงเรียน เป็นรูปแบบที่เป็นทางการมีการประชาสัมพันธ์มีพิธีเปิดง่าย หรือมีสูจิบัตรรวมถึงมี กิจกรรมต่าง ๆ ควรมีการนําเสนองานในลักษณะศิลปวิจารณ์และความซาบซึ้ง ต่อผลงานหรือมีการจัด ประกวดทักษะทางศิลปะก็จะเป็นเวทีในการแสดงออกให้กับเด็กได้ดี นิทรรศการเป็นส ื่อในการส ื่ อสารจากหน่วยงาน องค์กร หรือกลุ่มคน ไปสู่กลุ่มคนเป้าหมายเพื่อ สร้างความเข้าใจ สําหรับความสําคัญนิทรรศการศิลปะแล้วก็น่าจะเป็นเคร ื่ องมือนําผลงานศิลปะต่างๆ เป็นส ื่อในการสื่ อสารจากหน่วยงาน องค์กร หรือกลุ่มคน ไปสู่กลุ่มคนเป้าหมายเพ ื่ อสร้างความเข้าใจด้าน ประวัติศาสตร์สุนทรียภาพ การวิจารณ์และความสามารถในศิลปะปฏิบัติต่างๆ คุณลักษณะที่ดีของนิทรรศการได้ 2 คุณลักษณะ คือ คุณลักษณะที่ดีของตัวนิทรรศการ และ คุณลักษณะที่ส่งผลจากนิทรรศการสู่ผู้ชม และ คุณลักษณะที่ดีของตัวนิทรรศการ คือ ข้อมูลและ เร ื่ องราว รูปแบบและเทคนิคในการนําเสนอที่ดี การประหยัดค่าใช้จ่ายโดยมีการปรับวัสดุของท้องถิ่น ได้อย่างดี และวิธีการนําเสนอที่ทันสมัยเหมาะสมกับโอกาสสถานที่ และคุณลักษณะที่ส่งผลจาก นิทรรศการสู่ผู้ชม คือ เน ื้ อหานิทรรศการมีความเหมาะสม เทคนิคการนําเสนอน่าดึงดูดสร้างความ สนใจให้แก่ผู้ชม และสื่อสารเร ื่ องราวและข้อมูลให้ถึงคนกลุ่มใหญ่ได้มาก ประโยชน์ของนิทรรศการศิลปะ 1. เสริมสร้างทักษะศิลปวิจารณ์ 2. เสริมสร้างความเข้าใจในระบบหมวดหมู่ 3. ส่งเสริมการแลกเปลี่ ยนเรียนรู้อย่างกว้างขวาง 4. สร้างบรรยากาศในสถานที่ด้วยงานศิลปะ 5. สร้างเสริมบุคลิกภาพความกล้าแสดงออก ภาพท ี่ 15.7 การจัดนิทรรศการศิลปะริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา
227 ภาพท ี่ 15.8 การจัดนิทรรศการศิลปะริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา ภาพท ี่ 15.9 การจัดนิทรรศการศิลปะริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา
228 ภาพท ี่ 15.10 ภาพวาดของเด็กในสวนสาธารณะประเทศสิงค์โปร์ ภาพท ี่ 15.11 นิทรรศการผลงานศิลปะเด็กในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในเมืองฮ่องกง ปฤณัต นัจนฤตย์(2558, 17-18) กล่าวถึง คุณลักษณะที่ดีของนิทรรศการได้ 2 คุณลักษณะ คือ คุณลักษณะที่ดีของตัวนิทรรศการ คือ ข้อมูลและเร ื่ องราว รูปแบบและเทคนิคในการนําเสนอท ี่ ดี การประหยัดค่าใช้จ่ายโดยมีการปรับวัสดุของท้องถ ิ่นได้อย่างดี และวิธีการนําเสนอที่ทันสมัย เหมาะสมกับโอกาสสถานท ี่ และคุณลักษณะที่ส่งผลจากนิทรรศการสู่ผู้ชม คือ เน ื้ อหานิทรรศการมี ความเหมาะสม เทคนิคการนําเสนอน่าดึงดูดสร้างความสนใจให้แก่ผู้ชม และส ื่ อสารเร ื่ องราวและข้อมูล ให้ถึงคนกลุ่มใหญ่ได้มาก สําหรับคุณลักษณะที่ดีของนิทรรศการทางศิลปะก็น่าจะหมายถึง คุณลักษณะที่ดีของตัว นิทรรศการท ั่วไปแต่จะมีคุณลักษณะอ ื่นๆเฉพาะเจาะลงไปดังน ี้ คุณลักษณะที่ดีของตัวนิทรรศการศิลปะ
229 คือ ข้อมูลและเร ื่ องราวทางศิลปะที่ถูกต้องชัดเจน มีรูปแบบที่นําเสนอผลงานศิลปะที่ เด่นชัด และมี เทคนิคในการนําเสนอท ี่ เหมาะสมกับนิทรรศการศิลปะนั้น ส่วนการใช้เทคโนโลยีนั้นก็ควรให้เหมาะสม กับผลงานและไม่ทําลายผลงานทางด้านกายภาพ และคุณลักษณะส่งผลจากนิทรรศการศิลปะสู่ผู้ชม คือ การมีเน ื้ อหาหรือผลงานศิลปะที่ เหมาะสมกับผู้ชม และสามารถส ื่อสารในเชิงสุนทรียภาพ ประวัติศาสตร์ศิลป์หรือศิลปะปฏิบัติต่างๆ ภาพท ี่ 15.12 การนําผลงานศิลปะมาทําเป็นกระเบ ื้ องตกแต่งริมทางเดินของโรงเรียนในอเมริกา ภาพท ี่ 15.13 ภาพนิทรรศการผลงานศิลปะเด็กในเมืองฮ่องกง วิธีการดําเนินการจัดนิทรรศการศิลปะ การจัดนิทรรศการแสดงผลงานของเด็กน ั้นเป็นกระบวนการท ี่ เร ิ่ มต้นจากการกําหนดหัวข้อและ ให้เด็กสร้างสรรค์ผลงาน มานําเสนอในป้ายนิทรรศการและจัดกิจกรรม วัฒนะ จูฑะวิภาต (2542:6) ได้เสนอข ั้ นตอนของการจัดนิทรรศการไว้ 7 ขั้นตอน คือ การวางแผน การเตรียม การจัดทํา การ ประชาสัมพันธ์ การนําเสนอ การประเมินผล และการติดตาม นําข ั้ นตอนน ี้ มาวิเคราะห์กับงานศิลปะ และสังเคราะห์วิธีการจัดนิทรรศการศิลปะสําหรับเด็กประถมศึกษา มีขั้นตอนดังน ี้
230 1. ขั้นกําหนดหัวเร ื่ องและจัดกิจกรรม 2. ขั้นวางแผน 3. ขั้นเตรียมการ วัสดุอุปกรณ์และคนในส่วนงานต่างๆ 4. ขั้นการจัดทําผลงานศิลปะหรือคัดเลือกผลงานศิลปะ 5. ขั้นจัดทําผังจัดงานหรือป้ายนิทรรศการสูจิบัตร และประชาสัมพันธ์ 6. ขั้นจัดแสดง นําเสนอนิทรรศการและดําเนินพิธีเปิด 7. ขั้นดําเนินกิจกรรมประกอบนิทรรศการศิลปะ 8. ขั้นประเมินผล 9. ขั้นติดตามและทํารายงาน โดยมีรายละเอียดในขั้ นตอนสําคัญดังน ี้ การกําหนดหัวเร ื่ อง เป็นข ั้นตอนในการกําหนดหัวเร ื่ องและวัตถุประสงค์ของนิทรรศการ การ กําหนดหัวเร ื่ อง (จันทรา มาศสุพงศ์, 2540, 84) ประกอบด้วยข ั้ นตอนดังต่อไปนี้ - การเปลี่ยนแปลงปัญหาต่างๆมาเป็นรูปร่างจะเกิดจากการประชุมปรึกษาหารือและหา ข้อสรุปที่เป็นนามธรรม - การเรียงลําดับปัญหา เม ื่ อเรียงลําดับปัญหาก่อนหลังและดําเนินการวางแผนจะเกิด ลําดับของการจัดนิทรรศการขึ้น - การเรียงข้อความ เป็นการสรุปเนื้ อหาสาระที่สําคัญสามารถนํามาใช้เพ ื่อให้ผู้ชม เข้าใจ โดยเฉพาะผู้ชมที่นิยมอ่านศึกษาข้อมูลต่างๆ - หลักพ ื้ นฐานเก ี่ ยวกับวิชาจิตวิทยาเป็นส ิ่ งหน ึ่ งที่ผู้จัดการสามารถนํามาใช้ในการจัด นิทรรศการได้ ซึ่งการกําหนดหัวเร ื่ องน ี้ในการจัดนิทรรศการศิลปะเลือกศิลปินหรือกลุ่มผลงานที่ทันสมัย เข้ากับสังคม และทําการลําดับเร ื่ องย่อยและจึงสรุปเป็นหัวเร ื่ องนิทรรศการ ภายหลังจากน ั้ นนํามา วางแผนเพ ื่ อลําดับแผนงานในส่วนต่างๆ การวางแผนและการเตรียมจัดนิทรรศการศิลปะ ได้แก่ การรวบรวมแนวความคิด การ กําหนดสถานท ี่ การกําหนดกิจกรรม การออกแบบ การทําแผนผังที่ตั้ง การทําตัวอักษรที่นิทรรศการและ สัญลักษณ์ที่ต้องใช้ วัฒนะ จูฑะวิภาต (2542, 15-39) ได้กําหนดวิธีการวางแผนงานการจัดนิทรรศการไว้สรุป ได้ดังน ี้ การวางแผนเก ี่ ยวกับผู้ชม ได้แก่จํานวนผู้เข้าชม องค์ประกอบของผู้ชมเช่นเพศอายุ การศึกษาสติปัญญา เวลาในการรับชมหรือช่วงเวลาที่จัดนิทรรศการ การวางแผนเก ี่ ยวกับเน ื้ อหา การวางแผนเก ี่ ยวกับเน ื้ อหาต้องคํานึงถึงส ิ่ งต่อไปนี้ ความ น่าสนใจของเนื้ อหา เหมาะสมสอดคล้องกับเร ื่ องราว หรือเหตุการณ์หรือไม่ ความมุ่งหมายของการจัด งานจัดข ึ้ นเพ ื่อประชาสัมพันธ์หรือเพ ื่ อเผยแพร่ข้อมูลนําเสนอส ิ่ งต่างๆ หัวเร ื่องใหญ่และเน ื้ อหาย่อย ซึ่ง หัวเร ื่องใหญ่ควรจะต ั้ งช ื่อให้น่าสนใจมีสั้นมียาว และให้สอดคล้องกับเน ื้ อหาย่อย เน ื้ อหาย่อยต้อง กําหนดขอบเขตให้พอสมควรกับเวลาในการเข้าชม ความเป็นเอกภาพของเร ื่ องที่จัดนิทรรศการ ใน
231 ประเด็นนี้สัมพันธ์กับเน ื้ อหาของนิทรรศการที่มีหลายหัวเร ื่ อง หากเป็นห่วงเร ื่ องที่กําหนดข ึ้ นควรจะ กําหนดให้เน ื้ อหามีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน เพ ื่อให้ผู้ชมเกิดความเข้าใจในนิทรรศการได้โดยง่ายต่อ กลุ่มผู้สนใจและการรวมตัวกันของผู้สนใจต่างๆการจัดนิทรรศการต้องดึงดูดให้ผู้สนใจเข้ามาเย ี่ยมชมใน สถานที่ต่างๆต้องพยายามหาเร ื่ องที่มีความแปลกใหม่ และสร้างสรรค์เพ ื่ อดึงดูดให้ผู้ชมเข้ามาและเป็น ชมนิทรรศการช่วยทําให้นิทรรศการน ั้ นเกิดการแลกเปลี่ ยนเรียนรู้และสําเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นอย่าง แท้จริง การวางแผนเก ี่ ยวกับขนาด ขนาดของนิทรรศการต้องยึดหลักท ี่ ควรคํานึงดังน ี้ เน ื้ อท ี่ ของ พื้นที่จัดนิทรรศการและเวลาของผู้เข้าชม เน ื้ อท ี่ ของการจัดนิทรรศการและเน ื้ อหาที่นําเสนอ วัสดุต่างๆ และการเคล ื่ อนย้าย และสุดท้ายคือกําหนดการโดยภาพรวมของผู้จัดนิทรรศการอันนั้น การวางแผนเก ี่ ยวกับสถานท ี่ประเภทของสถานที่ในการจัดนิทรรศการ ในอาคารประกอบ ไปด้วย 1) ภายในห้อง 2) เฉลียงระเบียงหรือทางเดิน และ 3) ห้องโถง จํานวนวัตถุที่จัดแสดงมีความ เหมาะสมกับพ ื้ นที่หรือไม่เน ื้ อหาที่จัดแสดงน ั้ นสามารถจะนําไปขยายเป็นป้ายนิเทศได้ครอบคลุมพ ื้ นท ี่ไม่ มากไม่น้อยพอดีในการสัญจรหรือไม่ การวางแผนเก ี่ ยวกับค่าใช้จ่ายส ิ่ งที่ต้องคํานึงถึงในการวางแผนเกี่ ยวกับค่าใช้จ่ายคือค่า สถานที่ถ่าย ค่าทําฉาก ค่าไฟฟ้า ค่าวัสดุสําหรับการสาธิตและกิจกรรม ค่าจ้างคนงาน ค่าเดินทางคณะ ผู้จัดทํา ค่าช่างวิศวกร ค่าบรรจุสําหรับการขนส่ง ค่าประกันความเสียหายรวมถึง ค่าทําความสะอาด ค่า เช่าเก้าอ ี้ หรือส ิ่ งอ ื่ นที่จําเป็นต้องใช้ควรจะช ี้แจงและมาใช้คํานวณเป็นค่าใช้จ่ายเพ ื่อป้องกันความ ผิดพลาด การวางแผนเก ี่ ยวกับระยะเวลาในการจัดนิทรรศการน ั้ นคํานึงถึงต ั้ งแต่การเตรียมงานจนไป ถึงการวางแผนในการแสดงผลงานและการวางแผนเกี่ ยวกับการทําประชาสัมพันธ์นิทรรศการในหลายสิ่ง ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้เข้าชม ดังน ั้ นเม ื่ อจําเป็นต้องจัดนิทรรศการในที่ต่างๆจึงจําเป็นจะต้องทํา การประชาสัมพันธ์เพ ื่อให้ผู้เข้าชมมาชมงานเพ ื่อให้ได้ผลตามที่ผู้จัดต้องการให้เกิดขึ้น สิ่งที่ต้องคํานึงถึง คือ การออกแบบส ื่อประชาสัมพันธ์และการออกแบบป้ายนิเทศในงานนิทรรศการซ ึ่ งจะต้องคํานึงถึง หลักของการออกแบบป้ายประชาสัมพันธ์ในงานเทศกาลที่ดีควรมีคุณสมบัติดังน ี้ง่ายในการทําความ เข้าใจและในการส ื่ อสารสวยสะดุดตา ประหยัดค่าใช้จ่าย ความคงทนและตรงตามวัตถุประสงค์หรือ เป้าหมายของผู้จัด การวางแผนเก ี่ ยวกับส ิ่ งของท ี่ใช้จัดแสดงต้องคํานึงถึงการจัดส ิ่ งของท ั้ งกลุ่มส ิ่ งท ี่ เหมือนกัน สิ่งท ี่ แตกต่างกันการใช้แสงการเลือกวัตถุที่นํามาจัดแสดงมีทั้ง การใช้ของจริง การใช้หุ่นจําลอง การใช้ ภาพแผนภูมิและสิ่งต่างๆที่นํามาประกอบเพื่ อสร้างความเข้าใจและทําให้เน ื้ อหามีความชัดเจนขึ้น การวางแผนเก ี่ ยวกับการติดต ั้ งวัตถุที่จัดแสดงเป็นการวางแผนที่ต้องคํานึงถึงวัตถุที่นํามาใช้ ตั้งแต่ราคาการติดตั้ง การรองรับน ้ํ าหนัก จํานวนผู้เคล ื่ อนย้าย หรือแสงไฟที่ปรากฏประจุที่จะแสดงนั้น จะมีผลต่อค่าใช้จ่ายเป็นอย่างย ิ่ งและการคํานึงถึงพ ื้ นที่ที่ใช้ตั้งแต่ โต๊ะ ตู้ รวมถึงป้ายต่างๆ ส่วนการ วางแผนเก ี่ ยวกับการจัดวัตถุ 2 มิติวัตถุ 2 มิติหมายถึง งานที่สามารถมองเห็นได้ในแนวระนาบกว้างคูณ ยาววัตถุ 2 มิตินั้นได้แก่ ป้ายหรือบอร์ดรวมถึงตัวหนังสือ ภาพที่มุ่งให้เกิดการติดตั้ง แนวระนาบทั้ง แนวต ั้ งและแนวนอน รูปแบบการติดต ั้ งต้องคํานึงชนิดของงานสองมิติรวมถึงความเปราะบางของสิ่ง ต่างๆที่นํามาจัดแสดงด้วย