Mechanics of Materials 2-5
ตัวอยา งท่ี 2-1
กาํ หนดใหแรงกระทาํ ตอ lever arm ดังแสดงในรูปที่ EX 2-1a ซงึ่ ทําให lever arm เกดิ การหมุนในทิศทางตามเขม็
นาฬกิ าเปนมมุ θ = 0.002 rad. จงหาคา เฉลี่ยของความเครียดตัง้ ฉากท่ีเกดิ ขึ้นในเสน ลวด BC
รูปที่ EX 2-1
เราจะหาความยาวของเสนลวดหลงั จากทีเ่ กิดการหมุนแลว ไดจากแผนภาพ ดงั ที่แสดงในรปู ที่ EX 2-1b โดยที่
CB′ = (2L + L sinθ )2 + (L − L cosθ )2
= L (2 + sinθ )2 + (1 − cosθ )2
= L 4 + 4 sinθ + sin 2 θ + 1 − 2 cosθ + cos2 θ
เนื่องจาก sin2 θ + cos2 θ = 1 ดงั นนั้
CB′ = L 6 + 4 sinθ − 2 cosθ
ในกรณนี ี้ มมุ θ มคี า นอ ยมาก ซึง่ โดย first-order approximation เราจะไดว า sinθ ≈ θ และ cosθ ≈ 1 ดงั นน้ั
CB′ ≈ 2L 1 + θ = 2L(1 + θ )2
จากความสมั พันธ (1+ ∆)n = 1 + n∆ เราจะได
CB′ ≈ 2L(1 + 1 θ ) = 2.002L
2
ดงั นั้น คาเฉล่ียของความเครยี ดต้ังฉากท่ีเกิดขึน้ ในเสนลวด BC
ε avg = CB′ − CB = 2.002L − 2L = 0.001 Ans.
CB 2L
Mechanics of Materials 2-6
ตัวอยางที่ 2-2
แผนยางทมี่ รี ูปรางเปน รูปส่ีเหล่ยี มผืนผา ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่ Ex 2-2 ถูกทําใหเกดิ การเปลี่ยนรปู รางดังที่แสดงโดย
เสนประ จงหา
a.) คาเฉลีย่ ของความเครียดเฉอื น γ xy
b.) คา เฉลย่ี ของความเครียดต้ังฉากบนดา น AD
c.) คาเฉล่ยี ของความเครียดต้งั ฉากในแนวเสน ทแยง DB
y
3 mm
D C′
D′ C
400 mm
B′ 2 mm
AB x
300 mm
รปู ที่ Ex 2-2
a.) คาเฉลย่ี ของความเครียดเฉอื น γ xy
จากคาํ นิยามของความเครยี ดเฉอื น เราจะหาคา เฉล่ยี ของความเครียดเฉอื น γ xy ไดจ ากผลรวมของมุม DAD′
และมุม BAB′ ดงั นัน้
γ xy = tan −1 3 + tan −1 2 Ans.
400 300
= 0.0075 rad.+ 0.006667 rad. = 0.0142 rad.
b.) คาเฉลย่ี ของความเครยี ดตงั้ ฉากบนดา น AD
ความยาวของดาน AD กอนเกิดการเปลย่ี นแปลงรูปรางมีคา เทากบั AD = 400 mm
ความยาวของดาน AD หลงั เกดิ การเปลีย่ นแปลงรปู รา งมีคาเทากับ
AD′ = 4002 + 32 = 400.01125 mm
ดงั นั้น คาเฉลี่ยของความเครยี ดตง้ั ฉากบนดาน AD จะมีคาเทา กบั
(ε AD )avg = AD′ − AD = 400.01125 mm − 400 mm Ans.
AD 400 mm
= 28.1(10−6 ) mm/mm
c.) คาเฉลีย่ ของความเครยี ดตั้งฉากในแนวเสนทแยง DB
ความยาวของดาน AB หลงั เกิดการเปล่ยี นแปลงรูปรา งมคี าเทากบั
AB′ = 3002 + 22 = 300.00667 mm
Mechanics of Materials 2-7
มุมของสามเหลย่ี ม D′AB′ หลังเกดิ การเปล่ยี นแปลงรปู รางมีคา เทา กบั
α = π −γ xy = π − 0.0142 = 1.5566 rad. = 89.18832o
2 2
ความยาวของเสน ทแยงมมุ DB กอ นเกดิ การเปล่ียนแปลงรูปรา งมคี า เทา กับ
DB = 4002 + 3002 = 500 mm
ความยาวของเสนทแยงมุม DB หลังเกิดการเปลย่ี นแปลงรปู รา งจะหาไดจ าก cosine law ซ่งึ จะมคี าเทา กับ
D′B′ = (400.01125)2 + (300.00667)2 − 2(400.01125)(300.00667) cos(89.1883)o
= 496.6014 mm
ดงั นั้น คาเฉลยี่ ของความเครยี ดต้งั ฉากในแนวเสน ทแยง DB จะมคี า เทากับ
(ε DB )avg = D′B′ − DB = 496.6014 mm − 500 mm Ans.
DB 500 mm
= −6.80(10−3 ) mm/mm
Mechanics of Materials 2-8
แบบฝกหัดทายบทที่ 2
2-1 คานซึง่ มีความแกรงมากถูกรองรับโดยหมดุ ท่จี ุด A และเสนลวด BD และ CE ดงั ที่แสดงในรปู ที่ Prob. 2-1 ถาแรง
P ทําใหปลาย A ของคานเคล่ือนทีล่ ง 10 mm จงหาความเครียดตง้ั ฉาก (normal strain) ทีเ่ กดิ ข้นึ ในเสน ลวด BD
และ CE
รูปท่ี Prob. 2-1
2-2 กําหนดใหช้นิ สว น CBD ของเคร่อื งจกั รกล ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ Prob. 2-2 มคี วามแกรง สงู มาก และเคเบลิ AB มี
ความเครยี ดตัง้ ฉากเกิดข้ึน 0.0035 mm/mm ภายใตแรง P จงหาคาการเปลยี่ นตําแหนงทีจ่ ดุ D
รปู ท่ี Prob. 2-2
2-3 แผนเหลก็ รปู สี่เหล่ียมผนื ผา ถกู ทาํ ใหเ ปลี่ยนแปลงรูปราง ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี Prob. 2-3 จงหาคาความเครียดเฉอื นเฉล่ีย
(average shear strain) ของแผนเหล็ก และคาความเครยี ดต้ังฉากเฉลี่ยในแนว AC และ AB
รูปที่ Prob. 2-3
Mechanics of Materials 2-9
2-4 แทง polysulfone ถูกยึดตดิ กับแผน เหล็กที่มคี วามแกรงมากทผ่ี ิวดานบนและดานลางและถูกทาํ ใหเปลยี่ นแปลงรูปรา ง
ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Prob. 2-4 โดยการเปล่ียนแปลงรูปรางทางดานขางอยใู นรปู ของสมการ y = 3.56x1/ 4 จงหาคา
ความเครยี ดเฉือน (shear strain) ที่จุด A และจุด B
รูปที่ Prob. 2-4
Mechanics of Materials 3-1
บทท่ี 3
คณุ สมบตั ทิ างกลของวสั ดุ (Mechanical Properties of Materials)
เรียบเรียงโดย ดร. สิทธิชัย แสงอาทิตย
3.1 การทดสอบวัสดุ (Material Testings)
คุณสมบัติทางกลของวัสดุ (mechanical properties of materials) ดังเชนที่แสดงในภาคผนวกท่ี 1 จะหามาได
จากการทดสอบตัวอยางทดสอบ (specimen) ของวัสดุในหองปฏิบัติการ โดยการทดสอบวัสดุจะตองทําตามมาตรฐาน
(standard) ท่ีไดรับการยอมรับโดยท่ัวไป เชน มาตรฐานของ American Society for Testing and Materials (ASTM) และ
มาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (มอก.) เปนตน เพื่อท่ีเราจะสามารถเปรียบเทียบผลการทดสอบท่ี
ไดกบั ผลการทดสอบทีไ่ ดจากการทดสอบโดยบุคคลอ่ืน
การทดสอบวัสดทุ ม่ี คี วามสาํ คัญมากในงานวิศวกรรมคือ การทดสอบแรงดงึ (tension test) ซงึ่ มกั จะใชใ นการหา
ความสมั พันธร ะหวางหนว ยแรงดึง (tensile stress) กบั ความเครียดดงึ (tensile strain) ของวัสดุ โดยทัว่ ไปแลว ขั้นตอนการ
ทดสอบแรงดงึ จะมดี ังน้ี
1. เตรยี มตัวอยา งทดสอบใหมีรปู รางและขนาดตามท่มี าตรฐานกําหนด จากน้นั ทําเครอ่ื งหมายบนตัวอยาง
ทดสอบเปนจุด 2 จุด เพ่ือใชเปนความยาวเร่มิ ตน (gauge-length) โดยใหเ สนตรงท่ีเช่อื มระหวา งจุด 2 จดุ นั้น
ขนานไปกับแนวแกนของตวั อยางทดสอบ ดงั ตวั อยา งท่แี สดงในรูปท่ี 3-1
รูปที่ 3-1
2. วัดเสน ผานศนู ยกลางของตัวอยางทดสอบ เพื่อหาพ้ืนท่ีหนาตัดเริ่มตนของตัวอยางทดสอบ Ao และวัดความ
ยาวของ gauge-length Lo ในกรณีที่ใช electrical-resistance strain gauge ดังท่ีแสดงในรูปที่ 3-2 เราจะ
ไมท าํ เคร่ืองหมายและวดั ความยาวของ gauge-length ดงั กลา ว แตจ ะทาํ การตดิ ตงั้ strain gauge แทน
รูปท่ี 3-2
3. ติดตั้งตัวอยางทดสอบเขากับเคร่ืองทดสอบ ดังที่แสดงในรูปที่ 3-3 จากน้ัน ทําการติดตั้งเคร่ืองมือท่ีใชวัดการ
ยืดตัวของตัวอยา งทดสอบ เชน extensometer เปนตน เขา กับตัวอยา งทดสอบ ในกรณีทีใ่ ช strain gauge เรา
จะตอวงจรไฟฟาจาก strain gauge เขา กับ strain indicator
4. เพม่ิ แรง (load) ใหกบั ตัวอยา งทดสอบอยางชาๆ ดว ยความเร็วที่คงที่ ตามมาตรฐานการทดสอบ
5. ทําการอา นคาของแรง P และคา การยืดตัว (elongation) δ หรือคาของความเครียดอยางสม่ําเสมอและจด
บนั ทึกคา ตา งๆ ท่ีอา นได จนกระทั่ง ตัวอยางทดสอบเกิดการวิบัติ
Mechanics of Materials 3-2
รูปท่ี 3-3
การทดสอบอีกอยางหน่ึงที่มีความสําคัญมากในงานวิศวกรรมคือ การทดสอบแรงกดอัด (compression test) ซ่ึง
ข้ันตอนในการทําการทดสอบจะมีลักษณะท่ีคลายกับการทดสอบแรงดึง แตแรงที่กระทํากับตัวอยางทดสอบจะเปนแรงกด
อัด ตัวแปรที่เราตองการวัดคือคาของแรงกดอัด P และคาการหดตัว δ (contraction) หรือคาของความเครียดของ
ตัวอยางทดสอบ
3.2 แผนภาพหนว ยแรง-ความเครยี ด (Stress-Strain Diagram)
ขอมูลของแรงดึงและการยืดตัวท่ีไดมาจากการทดสอบแรงดึงหรือขอมูลของแรงกดอัดและการหดตัวที่ไดมาจาก
การทดสอบแรงกดอัดจะถกู นาํ มาคํานวณเพ่อื เขยี นแผนภาพ stress-strain diagram ดังตัวอยางท่ีแสดงในรูปท่ี 3-4 ซึ่งเปน
stress-strain diagram ท่ีไดจากการทดสอบแรงดึงของเหล็กกลาคารบอนต่ํา (mild steel) โดยท่ัวไปแลว เราจะแบง
stress-strain diagram ออกไดเปน 2 ประเภทคอื engineering stress-strain diagram และ true stress-strain diagram
Engineering Stress-Strain Diagram
คาของหนวยแรงและความเครียดที่ใชในการเขียนแผนภาพ stress-strain diagram ชนิดน้ีจะหามาไดโดยการใช
คาเริ่มตนของพื้นที่หนาตัด Ao และคาเร่ิมตนของความยาว Lo ของตัวอยางทดสอบ (specimen) ซ่ึงสมการของหนวย
แรงและความเครียดจะอยใู นรูป
σ = P (3-1)
Ao (3-2)
ε = δ
Lo
True Stress-Strain Diagram
คาของหนวยแรงและความเครียดท่ีใชในการเขียนแผนภาพ true stress-strain diagram จะหามาไดโดยการใช
คาของพื้นที่หนาตัด A และความยาวของตัวอยางทดสอบ (specimen) L ในขณะท่ีเราอานคาของแรงดึง P และการ
เปลี่ยนแปลงรูปราง δ โดยที่
Mechanics of Materials 3-3
σ~ = P = σ Ao
A A
∫ε~L dL = ln L = ln(1+ ε )
= Lo
L
Lo
รูปท่ี 3-4
โดยท่ัวไปแลว โครงสรางทางดานวิศวกรรมจะถูกออกแบบใหมีพฤติกรรมอยูในชวงยืดหยุน (elastic) ภายใตการ
กระทําของแรงหรือนํ้าหนักบรรทุกท่ีใชในการออกแบบ ซึ่งในชวงนี้ วัสดุจะยังคงมีความแกรง (stiffness) ท่ีสูงและ
ความสัมพันธของหนวยแรงและความเครียดของ engineering stress-strain diagram และ true stress-strain diagram
แทบจะไมมีความแตกตางกันเลย ดังนั้น โดยท่ัวไปแลว เราจะใช engineering stress-strain diagram มากกวา true
stress-strain diagram เพราะวาเราเขยี น engineering stress-strain diagram ไดง ายกวา true stress-strain diagram
จากรปู ที่ 3-4 พฤติกรรมของเหลก็ กลาคารบ อนตาํ่ จะถูกแบงออกไดเ ปน 4 ชวง ดังตอไปนี้
Elastic behavior (1st region)
ในชวงนี้ วัสดุท่ีใชทําตัวอยางทดสอบจะตอบสนองตอแรงกระทําแบบยืดหยุนคือ เมื่อเอาแรงที่กระทําออกจาก
ตัวอยา งทดสอบแลว ตัวอยา งทดสอบกจ็ ะคนื ตวั กลับไปท่รี ูปรางและความยาวเรมิ่ ตน ซึ่งในชว งน้ี คาของหนวยแรง (stress)
จะแปรผันโดยตรงกับความเครียด (strain) จนถึงคาของหนวยแรงคาหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกวา พิกัดปฏิภาคหรือ proportional
limit (σ pl )
เม่ือคาของ stress ท่ีเกิดขึ้นมีคามากกวาคา σ pl แลว วัสดุจะยังคงมีพฤติกรรมแบบยืดหยุนอยู จุดสุดทายบน
stress-strain diagram ท่ีวัสดุยังคงมีพฤติกรรมแบบยืดหยุนน้ีจะถูกเรียกวา พิกัดยืดหยุนหรือ elastic limit โดยท่ัวไปแลว
คา ความชันของ stress-strain curve จากจดุ proportional limit จนถึงจดุ elastic limit จะมคี าลดลงเรือ่ ยๆ
Mechanics of Materials 3-4
ในการทดสอบแรงดึงของเหล็กนี้ เราจะหาจดุ elastic limit ไดย ากมาก ซึ่งเราจะทําไดโ ดยการดึงตวั อยา งทดสอบ
ใหค า ของหนว ยแรงท่ีเกดิ ข้ึนมีคา มากกวา σ pl เลก็ นอย แลว เอาแรงดึงดังกลาวออก จากนนั้ ตรวจสอบดูวา ตวั อยา ง
ทดสอบดังกลาวยังคงมคี วามยาวเทา เดมิ หรือไม ถา ยังคงเทาเดิม เราจะทําการดึงตัวอยางทดสอบอีกครั้ง โดยใหแ รงดึงใน
ครงั้ น้ีมีคา มากกวา คาแรงดงึ กอ นหนาน้ีเล็กนอย แลว ทําการตรวจสอบเชนเดิม กระทําซ้ําเชนนไ้ี ปเรอ่ื ยๆ จนกระทงั่ ตวั อยา ง
ทดสอบเร่ิมไมม กี ารคนื ตัวกลบั มาเทา เดมิ คาเฉล่ยี ของหนวยแรงทเี่ กิดจากแรงดึงดังกลา วกบั แรงดึงกอ นทตี่ วั อยา งทดสอบ
เร่มิ ไมม ีการคนื ตัวกลับมาเทา เดิมจะเปนคา elastic limit ของวสั ดุทใี่ ชท าํ ตวั อยา งทดสอบนั้น
Yielding (2nd region)
ชวงการคราก (yielding) จะเร่ิมเม่ือวัสดุมีการเปล่ียนแปลงรูปรางอยางถาวรเกิดข้ึน ซ่ึงคาหนวยแรงท่ีเกิดขึ้นใน
ตวั อยางทดสอบท่จี ุดนม้ี ีคา เทากับหนวยแรงครากหรือ yielding stress (σ y ) หลังจากผานจุดน้ีไปแลว ตัวอยางทดสอบจะ
เกดิ การยืดอยางตอ เน่ืองโดยไมมีการเพม่ิ ข้นึ ของแรงดึงเลย ซง่ึ พฤตกิ รรมของวัสดใุ นลักษณะน้เี ราจะเรียกวา พฤติกรรมแบบ
พลาสติกอยางสมบูรณ (perfectly plastic) ซ่ึงเกิดข้ึนจากการท่ีระนาบของผลึกของเหล็กมีการจัดเรียงตัวกันใหมอยางเปน
ระเบยี บมากขึน้ เร่อื ยๆ
Strain Hardening (3rd region)
เมอ่ื สิน้ สดุ การ yielding ของวัสดแุ ลว ตัวอยา งทดสอบจะมคี วามสามารถในการตา นทานตอ แรงดงึ เพิม่ มากข้นึ อกี
ครั้งหนึ่ง ซ่งึ จะเห็นไดจ ากการที่ stress-strain curve เรม่ิ ท่มี คี วามชันเพม่ิ ข้นึ อีกคร้ังหนงึ่ แตค วามชันของ curve น้ีจะมีคา
นอ ยลงเร่อื ยๆ จนกระทง่ั สุดทายความชันของ curve นก้ี จ็ ะมีคา เปน ศูนยทีห่ นวยแรงประลัยหรอื ultimate stress (σ u ) (จุด
ท่วี สั ดุมคี วามสามารถในการรับหนว ยแรงสูงสดุ ) เรามักจะเรียกพฤติกรรมของวัสดุในชวงนีว้ า strain hardening
Necking (4th region)
หลังจากท่ีหนวยแรงในตัวอยางทดสอบมีคาเทากับ σ u แลว พ้ืนที่หนาตัดของตัวอยางทดสอบ ในบริเวณ
gauge-length จะมีคาลดลงอยางรวดเร็วหรือที่เรียกกันวา necking ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 3-5a ซ่ึงเปนผลมาจากการเลื่อน
(slip) ของระนาบของผลึกของเหล็กและจะทําใหพื้นที่หนาตัดของตัวอยางทดสอบก็จะมีคาลดลงเรื่อยๆ ซ่ึงจะเปนผลทําให
คาแรงดึงและคาความชันของ stress strain curve มีคาลดลงตามไปดวย จนกระท่ังถึงจุดท่ีวัสดุมีการแตกหักเกิดขึ้น คา
ของหนวยแรงทจ่ี ดุ นีม้ กั จะถูกเรียกวา หนว ยแรงแตกหักหรอื fracture stress (σ f )
รูปที่ 3-5
Mechanics of Materials 3-5
3.3 พฤติกรรมของวสั ดเุ หนียวและวัสดุเปราะ (Behavior of Ductile and Brittle Materials)
รูปที่ 3-6 แสดงตัวอยางของ stress-strain diagram ของวัสดุชนดิ ตางๆ ท่มี ักพบในงานวศิ วกรรม จากรูป เราจะ
เห็นไดวา stress-strain diagram ของวสั ดุแตล ะประเภทมลี ักษณะท่ีแตกตางกัน โดยทั่วไปแลว วัสดุจะถกู แบง ออกเปน 2
ประเภท ซ่งึ ข้นึ อยกู ับลักษณะของ stress-strain diagram ของวัสดุ คอื วสั ดเุ หนียว (ductile materials) และวสั ดเุ ปราะ
(brittle materials)
รูปท่ี 3-6
วัสดุเหนียว (ductile materials)
วัสดุเหนียว (ductile materials) เปนวัสดุที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปรางสูงกอนท่ีจะเกิดการวิบัติ (failure) เชน
เหล็กกลาคารบอนตํ่าและ aluminum alloys ดังที่แสดงในรูปท่ี 3-6 เปนตน วัสดุประเภทนี้จะมีความสามารถในการดูดซึม
พลังงานไดม าก
คุณสมบัติความเหนียว (ductility) ของวัสดุจะวัดจากคาเปอรเซ็นของการยืดตัว (percent elongation) หรือคา
เปอรเซ็นของการลดลงของพื้นท่ีหนาตัด (percent reduction of area) ของตัวอยางทดสอบ ถากําหนดใหความยาว
gauge length เร่ิมตนของตัวอยางทดสอบมีคาเทากับ Lo และความยาว gauge length ที่จุดท่ีตัวอยางทดสอบเกิดการ
แตกหกั มคี าเทา กับ Lf แลว
Percent elongation = (Lf − Lo ) 100% (3-3)
Lo
Mechanics of Materials 3-6
ถากําหนดใหพ้ืนท่ีหนาตัดเร่ิมตนของตัวอยางทดสอบเทากับ Ao และพื้นท่ีหนาตัดของตัวอยางทดสอบท่ีจุดท่ี
ตัวอยางทดสอบเกิดการแตกหกั เทากบั Af แลว
Percent reduction of area = ( Af − Ao ) 100% (3-4)
Ao
โลหะโดยสว นใหญ เชน aluminum alloy เปนตน จะไมม จี ุดคราก (yielding point) ของวัสดทุ ชี่ ดั เจน ดังท่ีแสดง
ในรปู ที่ 3-7 ในทางปฏิบตั ิ เราจะหาคาหนวยแรงคราก (yielding stress) ของวสั ดดุ ังกลาวไดโ ดยใชว ิธี offset method
ยกตวั อยางเชน ในกรณีของ aluminum เราจะหาจุดครากไดโดยการกาํ หนดคา ความเครยี ดที่ 0.2% strain (0.002
mm/mm) บนแกนของ strain จากนน้ั ทาํ การลากเสนตรงใหขนานไปกบั สว นของ stress-strain curve ที่เปน เสนตรง จดุ ท่ี
เสนตรงดังกลา วตดั กบั stress-strain curve จะเปน yielding point และคา หนวยแรงที่สอดคลอ งกบั จดุ นี้จะเปน คา
yielding stress ของ aluminum
รปู ท่ี 3-7
วสั ดุเปราะ (brittle materials)
วัสดุเปราะ (brittle materials) เปน วัสดุท่ีไมม ีการ yielding เกดิ ขน้ึ หรอื มแี ตนอยมากกอ นทวี่ สั ดุจะเกิดการวบิ ตั ิ
เชน เหล็กหลอ (cast iron) และ concrete ดังทแี่ สดงในรปู ท่ี 3-6 เปน ตน
วัสดเุ ปราะมักจะเปน วสั ดทุ ่ีมีคาหนวยแรงดึงประลัย (ultimate tensile stress) ท่ีตํ่ามากเมื่อเทียบกับคาหนวยแรง
กดอดั ประลัย (compressive ultimate stress) ทัง้ น้เี น่ืองจากวา เมือ่ วสั ดุเปราะถกู กระทาํ โดยแรงดึงแลว รอยแตกขนาดเลก็
มากบนผิวของตัวอยางทดสอบ (เน่ืองจากความไมสมบูรณของวัสดุ) จะถูกทําใหขยายตัวอยางรวดเร็ว จนถึงจุดๆ หนึ่ง
เม่ือคา หนว ยแรงทีเ่ กิดขนึ้ มีคา มากกวา กําลังของวัสดแุ ลว ตัวอยา งทดสอบกจ็ ะเกิดการแตกหักอยางทนั ทีทันใดและการวิบัติ
จะมลี ักษณะดังทีแ่ สดงในรูปที่ 3-8a
ในทางกลับกัน รอยแตกดังกลาวจะถูกปดลงภายใตแรงกดอัดและตัวอยางทดสอบจะมีพฤติกรรมที่คลายกับวัสดุ
เหนียว โดยทั่วไปแลว ภายใตแรงกดอัดนี้ ตัวอยางทดสอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปรางโดยมีการโปงออกทางดานขางท่ีมี
ลักษณะคลายถงั barrel กอ นท่จี ะเกดิ การวิบัติ ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 3-8b
Mechanics of Materials 3-7
รูปท่ี 3-8
3.4 กฎของฮคุ (Hooke’s Law)
ในป ค.ศ. 1676 Robert Hooke ไดพ บวา เมอื่ วสั ดมุ ีพฤตกิ รรมอยูในชวงยดื หยุนเชิงเสน (linear elastic) คาหนวย
แรง (stress) จะแปรผันโดยตรงกบั คาความเครยี ด (strain) ซง่ึ เรยี กวา Hooke’s Law โดยที่
σ = Eε (3-5)
เมอื่ E = คา modulus of elasticity หรือ Young’s modulus ของวสั ดุ ซึง่ เปน คาความชนั ของ stress-strain curve
ในชวงดงั กลา ว คา E นจ้ี ะมีหนวยเชนเดียวกับหนวยแรง เชน GPa เปน ตน ภาคผนวกที่ 1 แสดงคา modulus of
elasticity ของวสั ดุชนดิ ตา งๆ ในทางวศิ วกรรม
คา E เปนคณุ สมบตั เิ ฉพาะตัวของวสั ดุ ซึ่งจะไมข ึน้ อยูกับกาํ ลงั ของวัสดุ จากรปู ท่ี 3-9 เราจะเหน็ ไดวา เหลก็ แต
ละชนดิ จะมคี า proportional limit ทแ่ี ตกตางกนั แตคา E ของเหลก็ เหลา น้ันจะมีคาทเ่ี ทากันคอื ≅ 200 GPa
รูปท่ี 3-9
Mechanics of Materials 3-8
Strain Hardening
พิจารณารูปท่ี 3-10a ซ่ึงเปน stress-strain curve ของวัสดุเหนียว เชน เหล็กกลาและทองเหลือง (brass) เปนตน
เมอ่ื ตวั อยา งทดสอบของวสั ดุดังกลาวถูกกระทําโดยแรงผานจุดคราก (yielding point) A ไปสูชวงพลาสติก (plastic) ท่ีจุด
A′ แลวเอาแรงกระทํานั้นออก วัสดุจะมีการคืนตัวสูสภาวะสมดุลจากจุด A′ ไปยังจุด O′ โดยที่การคืนตัวน้ีจะเปนการ
คืนตัวแบบยืดหยุน (elastic) และวัสดุจะยังคงมีความเครียดพลาสติก (plastic strain) คงเหลืออยูในตัววัสดุเทากับ OO′
ซง่ึ เรามักเรยี กความเครียดพลาสตกิ นวี้ า permanent set
รปู ที่ 3-10
ถาเราทําการใหแรงกระทํากับตวั อยา งทดสอบอีกคร้ัง วัสดุก็จะเกิดการตอบสนองตามแนวการคืนตัวแบบยืดหยุน
ตามเสน O′A′ จนถึงจุด yielding อีกคร้ังหนึ่งที่จุด A′ จากนั้น stress-strain curve ของวัสดุจะไปตามแนวทางเดิม
จนถึงจุด B ซึ่งการท่ีวัสดุมีจุด yielding ท่ีเปลี่ยนไปน้ีเกิดจาก strain hardening และจะทําใหวัสดุมีชวงยืดหยุนท่ีใหญข้ึน
แตค วามเหนยี ว (ductility) ของวัสดุจะมคี านอ ยลง (สงั เกตไดจากการที่พนื้ ท่ใี ต stress-strain curve มคี า นอ ยลง)
โดยท่ัวไปแลว พลังงานความรอนบางสวนจะสูญเสียไปจากตัวอยางทดสอบ เม่ือใหแรงกระทํากับตัวอยาง
ทดสอบซํ้าไปซ้ํามา ซ่ึงจะเปนผลให unloaded curve และ loaded curve ของตัวอยางทดสอบมีลักษณะดังที่แสดงในรูปที่
3-10b โดยที่พ้ืนที่ที่อยูระหวาง unloaded curve และ loaded curve จะเปนคาของพลังงานท่ีสูญเสียไปและมักจะถูก
เรียกวา hysteresis loop ซึ่งมีความสําคัญมากในการเลือกวัสดุท่ีจะใชทํา damper เพ่ือรองรับการส่ันของโครงสรางหรือ
เครอื่ งจักรกล
3-5 พลงั งานความเครยี ดเนือ่ งจากหนว ยแรงในแนวแกนเดยี ว (Strain Energy Caused by Uniaxial Stress)
พลังงานความเครียด (strain energy) คือ พลังงานที่ถูกเก็บกักไวในวัสดุเม่ือวัสดุถูกทําใหเปล่ียนแปลงรูปราง
ภายใตการกระทําของแรงภายนอก ในกรณีของตัวอยางทดสอบท่ีถูกกระทําโดยแรงในแนวแกนเพียงแกนเดียว (uniaxial
force) แลว cubic volume element ที่ตัดออกมาจากตัวอยางทดสอบจะถูกกระทําโดยสภาวะของหนวยแรงแบบ uniaxial
stress ดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี 3-11a โดยที่
คาของแรงภายในที่เกดิ จาก uniaxial stress จะมคี า เทากบั
Mechanics of Materials 3-9
∆P = σ∆A = σ (∆y∆z)
คาของการยืดตวั ที่เกิดจาก uniaxial stress จะมคี าเทา กบั
δ = ε∆x
เม่ือวัสดุยังคงมีพฤติกรรมอยูในชวง linear elastic และคาของแรงมีการเพิ่มขึ้นอยางสม่ําเสมอจากศูนยถึงคา
∆P ซ่ึงทําใหตัวอยางทดสอบเกิดการยืดตัวมีคาเพิ่มข้ึนจากศูนยถึง δ = ε∆z ดังที่แสดงในรูปที่ 3-11b แลว คาของงาน
ภายนอกทเ่ี กิดขนึ้ บน cubic volume element ดงั กลา วจะมีคา เทากบั พ้ืนที่ใตแผนภาพ load-displacement diagram ซึ่งมี
คาเทา กับ
∆P (δ )
2
รปู ที่ 3-11
สําหรับระบบทไี่ มมกี ารสญู เสยี พลังงาน (conservative energy system) งานภายนอกจะมีคา เทา กับงานภายใน
(internal work) ทส่ี ะสมอยใู นวัสดุ ดงั น้ัน เราจะไดวา strain energy ∆U จะอยูในรปู
∆U = ∆P ε∆z = 1 (σ ∆x∆y) ε∆z = 1 (σε )∆V
2 2 2
เมอ่ื ∆V เปนปริมาตรของ cubic volume element และมีคา เทา กับ ∆x∆y∆z ดังนั้น strain energy density หรอื
strain energy ตอ หน่งึ หนว ยปรมิ าตรจะหาไดจ ากสมการ
u = ∆U = 1 σε (3-6)
∆V 2
ถาวสั ดมุ พี ฤตกิ รรมอยใู นชว ง linear elastic แลว จาก Hooke’s Law เราจะเขียนสมการที่ 3-6 ไดใ หมใ นรูป
u = 1 σ2 (3-7)
2 E
Mechanics of Materials 3-10
Modulus of Resilience
คา modulus of resilience เปนคา strain energy density ของวัสดุ เม่ือวัสดุมีคาหนวยแรงเทากับ proportional
limit ดงั ท่ีแสดงโดยสามเหลี่ยมสที ึบภายใต stress-strain diagram ในรปู ที่ 3-12a ดังน้นั เราจะไดวา
ur = 1 σ pl ε = 1 σ 2 (3-8)
2 pl
pl 2E
ซ่งึ คา modulus of resilience น้ีจะบงบอกถึงความสามารถของวสั ดใุ นการดูดซมึ พลังงานโดยไมมีการเสยี รูปอยางถาวร
(permanent deformation)
Modulus of Toughness
คา modulus of toughness หรือ ut เปนคา strain energy density ท้ังหมดที่วัสดุเก็บกักไวกอนที่วัสดุจะเกิด
การวิบตั ิ ดงั ทแี่ สดงโดยพ้นื ท่ีใต stress-strain diagram ท่ีระบายดวยสีทึบ ในรูปที่ 3-12b ซ่ึงคา modulus of toughness นี้
มีความสําคัญมากในการท่ีจะปองกันการพังทลายของโครงสราง เมื่อโครงสรางถูกกระทําโดยแรงท่ีมีคาสูงมากๆ โดยที่
ไมไดออกแบบใหรองรับไว (accidentally overloaded) เชน แรงจากแผนดินไหว เปน ตน นอกจากน้ันแลว เน่ืองจากวัสดทุ ่ีมี
คา modulus of toughness สูงมักจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปรางท่ีสูงมากกอนที่จะเกิดการวิบัติ ซึ่งการเปล่ียนแปลงรูปราง
ดงั กลา วจะเปนเคร่อื งเตือนการวบิ ตั ขิ องโครงสราง
สําหรบั วสั ดเุ หนียว เราจะประมาณคา modulus of toughness ไดจ ากสมการ
ut ≈ ε σ y +σu
2
f
รูปที่ 3-12
Mechanics of Materials 3-11
ตัวอยางท่ี 3-1
จากการทดสอบแรงดึงของตัวอยา งทดสอบทที่ ําดวย steel alloy ซึ่งมเี สนผา นศูนยก ลางเมอ่ื ตอนเริ่มตน 12.5
mm และมีความยาวของ gauge length เทากับ 50 mm เราไดขอมลู ของ loads และ elongation ดงั ท่แี สดงโดยตาราง
ขางลางน้ี จงเขียน stress-strain diagram และจงหาคาของ
a.) Modulus of elasticity
b.) Proportional stress, Modulus of resilience, และ Yielding stress
c.) Ultimate stress และ Fracture stress
ตารางท่ี EX 3-1
Load ( kN ) Elongation ( mm) Area ( m2 ) Stress( MPa ) Strain ( mm / mm )
0 0 0
11.1 1.227E-04 0
31.9 0.0175 0.00035
37.8 0.0600 1.227E-04 90.45 0.00120
40.9 0.1020 0.00204
43.6 0.1650 1.227E-04 259.94 0.00330
53.4 0.2490 0.00498
62.3 1.0160 1.227E-04 308.02 0.02032
64.5 3.0480 0.06096
62.3 6.3500 1.227E-04 333.28 0.12700
58.8 8.8900 0.17780
11.9380 1.227E-04 355.28 0.23876
1.227E-04 435.14
1.227E-04 507.66
1.227E-04 525.59
1.227E-04 507.66
1.227E-04 479.14
d.) ถา แทง เหลก็ ทรงกลมซงึ่ ทําดว ยเหล็กดังกลาว ถูกกระทาํ โดยแรงดงึ P = 68 kN ดงั ที่แสดงในรูป (a) จงหา
คาการยดื ตัวของแทงเหลก็
e.) ถาเอาแรงดงึ ออก จงหาวาแทงเหลก็ จะคนื รปู สรู ปู รางเดิมหรือไม ถา ไมคืนรูปสรู ูปรางเดมิ แทง เหล็กดังกลาวจะ
มีการยืดถาวรเหลอื เทา ไร
AB 15 mm C
P 20 mm P
500 mm (a) 400 mm
รูปที่ Ex 3-1
จากขอมูลทก่ี ําหนดมาให เราสามารถหาคาของ stress และ strain ท่เี กิดขนึ้ บนตวั อยางทดสอบได ดงั ทแี่ สดงใน
ตาราง และเมอื่ นําคา stress และ strain มาเขียน graph เราจะไดแผนภาพ stress-strain diagram ตามที่แสดงโดยเสน
ทบึ และ graph เสน ประจะเปน graph ท่ขี ยายออกมาจาก graph เสน ทึบ โดยขยายข้นึ มาจากเดมิ 50 เทา
Mechanics of Materials 3-12
600 530 MPa
500 480 MPa
255 MPa 335 MPa
400
Stress(MPa) 300
200 0.0090 mm/mm
0.0108 mm/mm
220 MPa
100
0.0038 mm/mm
0
0.0 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 0.6 0.7 0.8 0.9 1.0
0.000 0.002 0.004 0.006 0.008 0.010 0.012 0.014 0.016 0.018 0.020
0.0010 mm/mm Strain(mm/mm)
a.) หาคา Modulus of elasticity
ในการหาคา modulus of elasticity น้นั เราจะหาคาของ slope ของ stress-strain curve ในสว นที่เปน เสนตรง
สวนแรก จาก graph เสนประ เมอ่ื strain มีคา 0.001 mm / mm แลว stress จะมีคาประมาณ 220 MPa ดังนัน้
E = 220 MPa = 220 GPa Ans.
0.001 mm / mm
b.) หาคา Proportional stress, Modulus of resilience, และ Yielding stress
เราจะเห็นไดจ าก graph เสน ประวา จดุ สดุ ทายท่ี stress-strain curve เปนเสน ตรงอยทู ค่ี าของ stress เทากบั
255 MPa โดยประมาณและ strain มคี า เทากับ 0.0012 mm/mm ดังนัน้
σ pl = 255 MPa Ans.
จากสมการของ modulus of resilience เราจะไดวา
ur = 1 σ pl ε pl = 1 (255 MPa )(0.0012 mm/mm) = 0.153 MJ/m3 Ans.
2 2
นอกจากนนั้ แลว เราจะเห็นไดวา stress-strain curve ไมมีจุด yielding point ทีช่ ัดเจน ดังน้ัน เราจะตองใชว ธิ ี 0.2% offset
ในการหาคา yielding stress ซ่ึงเมอ่ื เราทําการลากเสนตรงจากจดุ ที่ strain มคี า เทากับ 0.0020 ใหขนานไปกับสวนท่เี ปน
เสน ตรงสว นแรกของ stress-strain curve จนไปตัดกบั stress-strain curve แลว เราจะไดคา ของ stress ทจี่ ดุ ตดั นนั้ มีคา
เทา กบั 335 MPa โดยประมาณ ดงั นัน้
σ y = 335 MPa Ans.
Mechanics of Materials 3-13
c.) หาคา Ultimate stress และ Fracture stress
จาก stress-strain curve เราจะเห็นไดว า คาสูงสุดของ stress มคี า เทา กบั 530 MPa โดยประมาณ ดังน้นั
σ u = 530 MPa Ans.
และจุดสุดทายของ stress-strain curve มีคา stress เทากับ 480 MPa โดยประมาณ ดังนน้ั
σ f = 480 MPa Ans.
d.) หาคา การยืดตัวของแทง เหล็ก
คา ของหนวยแรงต้ังฉากทเ่ี กิดขน้ึ ในชวง AB และ BC มคี าเทากบั
σ AB = P 68(103 )N = 216.5 MPa
A = π (0.01 m)2
σ BC = P = π 68(103 )N 2 = 384.8 MPa
A (0.0075 m)
จากแผนภาพ stress-strain diagram เราจะเหน็ ไดว า ช้นิ สวน AB ยังคงมีพฤติกรรมอยใู นชวง elastic
เนอื่ งจาก σ AB < σ y = 335 MPa โดยใช Hooke’s law เราจะไดว า
ε AB = σ AB = 216.5(106 )Pa = 0.0009841 mm/mm
E 220(109 )Pa
และชน้ิ สว น BC จะมพี ฤติกรรมอยูใ นชวง plastic เนื่องจาก σ BC > σ y = 335 MPa จากแผนภาพ stress-strain
diagram เมอ่ื σ BC = 384.8 MPa แลว ε BC ≈ 0.0108 mm/mm ดงั นัน้ คาการยืดตวั ของแทงเหล็กจะมคี าเทา กบั
δ = ∑εL = 0.0009841(500 mm) + 0.0108(400 mm) = 4.8 mm Ans.
e.) หาวาแทง เหล็กจะคนื รูปสูรูปรา งเดมิ หรอื ไม ถา เอาแรงดงึ ออก และถาไมค นื รูปสูรปู รางเดิมแลว แทง เหล็ก
ดงั กลาวจะมีการยืดถาวรเหลือเทาไร
เม่อื เอาแรงดงึ P ออก ชิ้นสว น AB จะคืนรูปกลบั สูทร่ี ปู รางเดมิ เนอ่ื งจากมพี ฤติกรรมอยูในชวง elastic แต
ชนิ้ สว น BC จะมีการคนื ตัวแคบ างสวนเทา น้ัน เดิมเนอื่ งจากมพี ฤติกรรมอยูในชวง plastic โดยที่ คา strain เนอื่ งจากการ
คนื ตวั บางสว นจะมีคา เทากบั
ε rec = σ BC = 384.8(106 ) Pa = 0.00175 mm/mm
E 220(109 ) Pa
ดังนน้ั คา plastic strain ท่ียังคงอยูจะมคี าเทากับ
ε remain = 0.0108 − 0.00175 = 0.00905 mm/mm
และแทง เหลก็ จะมกี ารยดื ถาวรคงเหลอื อยเู ทากบั
δ ′ = ε Lremain BC = 0.00905(400 mm) = 3.6 mm Ans.
Mechanics of Materials 3-14
3.6 อตั ราสวนโพซอง (Poisson’s Ratio)
เมื่อแทงวัตถุ ซ่ึงมีความยาวเร่ิมตน L และมีเสนผานศูนยกลางเริ่มตน d ถูกกระทําโดยแรงดึงในแนวแกน
(axial tensile force) ดังที่แสดงในรูปที่ 3-13 แลว แทงวัตถุดังกลาวจะเกิดการยืดตัว (elongation) δ ในแนวแกน
(longitudinal direction) และจะเกิดการหดตัว (contraction) δ ′ ในแนวขวาง (lateral direction) ของแทงวัตถุ ในทาง
ตรงกนั ขา ม เมือ่ แทงวตั ถดุ งั กลาวถกู กระทําโดยแรงกดอัดในแนวแกน (axial compression force) แลว แทงวัตถุจะเกิดการ
หดตัว δ ในแนวแกนและจะเกิดการยืดตัว δ ′ ในแนวขวาง ดังท่ีแสดงไวในรูปท่ี 3-13 ดังนั้น จากนิยามของความเครียด
ตงั้ ฉาก สมการของ strain ในแนวแกน εlong และในแนวขวาง εlat เนอ่ื งจากแรงดึงจะอยใู นรปู
ε long = δ และ ε lat = − δ′
L d
รปู ท่ี 3-13
ในชวงตน คริสตศกั ราช 1800 S.D. Poisson ไดพบวา เมอ่ื วสั ดมุ ีพฤตกิ รรมแบบยืดหยุน (elastic) แลว อตั ราสว น
ของ εlat ตอ εlong จะมคี าทีค่ งทแ่ี ละจะเปนคา เฉพาะตวั ของวัสดุแบบ homogenous และ isotropic ซึง่ คาอตั ราสวน
ดงั กลาวไดถ ูกเรียกวา Poisson’s ratio และจะเขยี นไดใ นรูป
ν = − lateral strain = − ε lat (3-9)
axial strain ε long
Poisson’s ratio น้จี ะไมมหี นว ยและวัสดใุ นทางวิศวกรรมมักจะมีคา Poisson’s ratio อยรู ะหวา ง 0.25 ถึง 0.33
ดงั ทแี่ สดงในภาคผนวกที่ 1 แตในทางทฤษฎแี ลว คา Poisson’s ratio จะมคี า อยูระหวาง 0 ถงึ 0.5 ซงึ่ จะพิสจู นไดด งั ตอ ไปน้ี
จากสมการท่ี 3-9 เมื่อ Poisson’s ratio มีคาเทากับศูนย แสดงวาเม่ือแทงวัตถุถูกกระทําโดยแรงในแนวแกนแลว
วัสดุจะไมม ีการเปลีย่ นแปลงรูปรางทางดานขางเกิดขึ้นเลย และเม่ือ Poisson’s ratio มีคานอยกวา 0 แลว แสดงวาเม่ือแทง
วตั ถถุ กู กระทาํ โดยแรงดึงแลว แทงวัตถุจะเกิดการยืดตัวท้ังในแนวแกนและในแนวขวางขวาง หรือถาแทงวัตถุถูกกระทําโดย
แรงกดอัดแลว แทงวัตถุจะเกิดการหดตัวท้ังในแนวแกนและในแนวขวาง ซึ่งพฤติกรรมเชนน้ีจะขัดกับหลักความเปนจริง
ดงั น้นั Poisson’s ratio จะมีคา นอยกวา 0 ไมได
สว นในกรณที ีค่ า Poisson’s ratio จะมีคา มากกวา 0.5 ไมไ ดนั้น เราจะพสิ ูจนไ ดด ังตอ ไปนี้
พิจารณา cubic volume element ของแทงวัตถุท่ีถูกกระทําโดยหนวยแรงดึง σ ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 3-14
กําหนดให กอนที่แทงวัตถุจะถูกกระทําโดยแรงดึง ความยาวของดานตางๆ ของ cubic volume element ในแนวแกน x ,
y , และ z มีคาเปน a , b , และ c ตามลําดับ ดังน้ัน ปริมาตรของ cubic volume element กอนที่แทงวัตถุจะถูกกระทํา
โดยแรงดงึ จะมีคาเทากบั
Vo = abc
Mechanics of Materials 3-15
รปู ที่ 3-14
หลังจากทีแ่ ทงวตั ถุถกู กระทําโดยแรงดงึ ในแนวแกนแลว แทงวตั ถดุ งั กลา วจะมกี ารเปลย่ี นแปลงรปู รางเกิดขึ้น ดังที่
แสดงโดยเสนทึบในรูปที่ 3-14 ซ่ึงจะทําใหความยาวของดานตางๆ ของ cubic volume element ในแนวแกน x , y , และ
z มีคาเปน a(1 + ε long ) , b(1−νεlong ) , และ c(1−νεlong ) ตามลาํ ดบั ดงั น้ัน ปริมาตรของ cubic volume element
หลังจากทแ่ี ทงวัตถุจะถูกกระทําโดยแรงดงึ จะหาไดจากสมการ
V f = abc(1 + ε long ) (1 −νε long ) (1 −νε long )
ถาการเปลยี่ นแปลงรปู รางมคี า นอ ยมากๆ แลว เราจะสามารถลดรปู เทอม Vf ลงไดเ ปน
V f = Vo (1 + εlong − 2νεlong )
ดงั นน้ั การเปลี่ยนแปลงปรมิ าตรของ cubic volume element หรอื ∆V = Vf −Vo จะหาไดจ ากสมการ
∆V = Voε long (1 − 2ν)
และการเปลย่ี นแปลงปริมาตรของ cubic volume element ตอ หนึง่ หนว ยปรมิ าตรของ cubic volume element หรือท่ี
มกั จะถูกเรยี กวา Dilatation, e , จะมคี า เทา กบั
e= ∆V = ε long (1 − 2ν )
Vo
เมอื่ วสั ดุของแทง วตั ถยุ งั คงมพี ฤตกิ รรมอยูในชว ง linear elastic แลว จาก Hooke’s law, σ = Eε , เราจะไดว า
e = σ (1 − 2ν )
ε
จากสมการ เราจะเห็นไดวา ถา ν มีคามากกวา 0.5 แลวคา dilatation e จะมีคาเปนลบ หรือปริมาตรของ
cubic volume element จะมีคาลดลง เม่ือแทง วัตถถุ กู กระทําโดยแรงดึง ซึ่งเปนไปไมไดในทางกายภาพ
เม่ือแทงวัตถุถูกกระทําโดยแรงกดอัดแลว การพิสูจนที่กลาวมาจะมีลักษณะท่ีเหมือนเดิม แตคาของความเครียด
ในแนวแกนจะมีคาเปนลบ และปริมาตรของ cubic volume element จะมีคา ลดลง
Mechanics of Materials 3-16
ตวั อยา งที่ 3-2
เสาเหล็กกลวง ดังท่ีแสดงในรูปที่ Ex 3-2 มีความยาวเทากับ 1.500 m. และมีเสนผานศูนยกลางภายนอก d2
และมีเสนผานศูนยกลางภายภายใน d1 เทากับ 0.150 m. และ 0.125 m. ตามลําดับ กําหนดใหเสาถูกกระทําโดยแรง
กดอัดในแนวแกน P = 1000 kN และเหล็กท่ีใชทําเสามีคา modulus of elasticity, E = 200 GPa , yielding
stress, σ y = 250 MPa , และ Poisson’s ratio, ν = 0.30 จงหา
a.) คา การหดตวั ของเสาเหล็ก
b.) lateral strain, εlat
c.) คาของเสนผา นศูนยกลางภายนอกและภายในทเี่ พม่ิ ข้ึน
d.) คา ความหนาของผนังของเสากลวงท่เี พ่มิ ขนึ้
P
1.50 m. d2
d1
P
รูปท่ี Ex 3-2
พ้ืนทหี่ นา ตัดของเสา
A = π (d 2 − d 2 ) = π [(0.15 m. ) 2 − (0.125 m.)2 ]
4 2 1 4
= 0.00540 m2
หนวยแรงตั้งฉากในแนวแกน
σ=− P 1000000 N = −185.2 MPa
A = − 0.00540 m2
เครอื่ งหมายลบแสดงวา หนวยแรงทเี่ กดิ ขึน้ เปนหนว ยแรงกดอัด
เน่อื งจาก σ < σ y ดงั นัน้ วัสดุยงั คงมพี ฤติกรรมแบบ linear elastic และคา strain ท่ีเกิดขน้ึ ไดจ าก
ε = σ = −185.2 MPa = −926(10−6 ) m/m
E 200000 MPa
a.) คา การหดตัวของเสาเหล็ก Ans.
δ = εL = −926(10−6 )(1.50 m.) = −139 (10-6 )m.
Mechanics of Materials 3-17
b.) lateral strain Ans.
จากสมการของ Poisson’s ratio เราจะไดวา
Ans.
ε lat = −νε = −0.30(−926(10−6 )) = 278(10−6 ) m/m Ans.
Ans.
เครือ่ งหมายเปน บวก แสดงวา เสนผา นศูนยก ลางของเสามขี นาดเพิม่ ข้นึ
c.) คาของเสน ผานศูนยกลางภายนอกและภายในทเ่ี พิม่ ขึน้
จากสมการของ strain เสน ผา นศนู ยกลางภายนอกของเสาจะเพิ่มขึ้นเทากับ
∆d2 = ε lat d2 = 278(10−6 )0.150 m. = 42(10−6 ) m.
และเสนผานศนู ยกลางภายในของเสาจะเพมิ่ ขึ้นเทากบั
∆d1 = ε lat d1 = 278(10−6 )0.125 m. = 35(10−6 ) m.
d.) คาความหนาของผนังของเสากลวงท่เี พมิ่ ขนึ้
∆t = ε lat t = 278(10 −6 ) (0.150 m. - 0.125 m.) = 3.5(10 −6 ) m.
2
Mechanics of Materials 3-18
3.7 แผนภาพหนวยแรงเฉือน-ความเครียดเฉือน (Shear Stress-Strain Diagram)
พฤติกรรมของวัสดุที่ถูกกระทําโดย pure shear จะถูกศึกษาไดจากการทดสอบตัวอยางทดสอบท่ีมีลักษณะเปน
ทอกลวงบาง (thin tube) ภายใตการกระทําของแรงบิด (torque) จากการทดสอบ คาแรงบิดและมุมบิด (angle of twist) ท่ี
ไดจะถูกนาํ ไปคาํ นวณหาคาหนวยแรงเฉือนและความเครียดเฉือน จากนั้น นําคาหนวยแรงเฉือนและความเครียดเฉือนท่ีได
ไปเขียนแผนภาพ shear stress-strain diagram ดังตัวอยางท่ีแสดงในรูปที่ 3-15 ซ่ึง shear stress-strain diagram ที่ได
มกั จะมีลักษณะคลายคลึงกับ tension stress-strain diagram ท่ีไดกลา วถงึ ไปแลว
รูปท่ี 3-15
โดยท่ัวไปแลว วัสดุในทางวิศวกรรมจะมี shear stress-strain curve ในชวง elastic ที่เปนเสนตรง ดังนั้น จาก
Hooke’s law เราจะเขียนความสัมพนั ธของหนว ยแรงเฉือนและความเครียดเฉอื นไดในรปู
τ =Gγ (3-10)
เมอ่ื G = shear modulus of elasticity ของวสั ดุ ซง่ึ มหี นว ยเชนเดียวกบั หนว ยแรงเฉือน เชน GPa เปน ตน ภาคผนวกท่ี 1
แสดงคาของ shear modulus of elasticity ของวสั ดชุ นิดตางๆ ในทางวศิ วกรรม
โดยทวั่ ไปแลว ถาวัสดุเปน แบบ isotropic และ homogeneous แลว เราจะคํานวณหาคา shear modulus of
elasticity ไดโดยใชสัมพันธ
G = E ) (3-11)
2(1 + ν
Mechanics of Materials 3-19
3.8 การวิบัตขิ องวสั ดเุ นอ่ื งจากการคืบและการลา (Failure of Materials due to Creep and Fatigue)
Creep
การคืบ (creep) เปนการเปล่ียนแปลงรูปรางอยางถาวรซ่ึงขึ้นอยูกับเวลาของวัสดุบางชนิด เชน คอนกรีตและไม
เปน ตน ซึ่งจะทาํ ใหว ัสดดุ งั กลา วเกดิ การวบิ ตั ิได
พิจารณาแทงวัตถุซ่ึงถูกกระทําโดยแรงดึงในแนวแกน P (ที่มีคาคอนขางสูง แตนอยกวาคาแรงที่ทําใหแทงวัตถุ
เกิดการวิบัติ) ดังท่ีแสดงในรูปที่ 3-16a ภายใตการกระทําของแรง P แทงวัตถุจะเกิดการยืดตัว δo ในชวงเวลา to
หลังจากนั้น ถาใหแรง P กระทําตอแทงวัตถุเปนเวลานานพอสมควรแลว แทงวัตถุดังกลาวจะมีการเปล่ียนรูปรางท่ี
ตอ เนอื่ งตอไป ดงั ที่แสดงในรูปท่ี 3-16b ซง่ึ การเปลี่ยนแปลงรูปรางที่ตอเน่ืองนี้จะถูกเรียกวา creep และ creep อาจจะมีคา
สูงมากจนกระท่งั แทง วตั ถเุ กิดการวบิ ตั หิ รอื หมดประโยชนในการใชงานได
โดยทั่วไปแลว creep ท่ีเกิดขึ้นน้ีจะข้ึนอยูกับระยะเวลาท่ีวัสดุถูกกระทําโดยแรงและขนาดของแรง ถาแรงมีคาสูง
และกระทําเปนเวลานานแลว creep ที่เกิดขึ้นจะมีคามากกวา creep ที่เกิดขึ้นเม่ือวัสดุนั้นถูกกระทําโดยแรงท่ีมีคาตํ่ากวา
และกระทาํ เปน ระยะเวลาทสี่ นั้ กวา
Elongation Stress
δO σO
P tO
Time Prestressed wire Time
tO
(a) (b) (c) (d)
รูปที่ 3-16
พจิ ารณาเสนลวดเหล็กกําลงั สงู ทีถ่ ูกกระทําโดยแรงดึงในแนวแกนและถูกยึดแนนที่ปลายทั้งสองขาง ดังที่แสดงใน
รปู ที่ 3-16c แรงดงึ ในแนวแกนทาํ ใหเกิดหนวยแรงดงึ σ o ในชว งเวลา to เมอ่ื เวลาผานไปนานพอสมควรแลว คาหนวยแรง
ดึงที่เกิดข้ึนในเสนลวดเหล็กจะมีคาลดลงจนถึงคาคงที่คาหนึ่ง ดังท่ีแสดงในรูปที่ 3-16d ซ่ึงการลดลงของหนวยแรงใน
ลักษณะน้ีมกั จะถูกเรียกวา relaxation ของวสั ดุ
Creep ที่เกิดขึ้นในคอนกรีตและ relaxation ที่เกิดข้ึนในเสนลวดเหล็กกําลังสูงน้ีจะตองนํามาพิจารณาในการ
ออกแบบโครงสราง โดยเฉพาะในโครงสรา งคอนกรตี อดั แรง (prestressed concrete structures)
โดยทั่วไปแลว creep ที่เกิดข้ึนในวัสดุโดยสวนใหญ เชน ไมและคอนกรีต เปนตน จะไมข้ึนอยูกับอุณหภูมิขณะที่
วัสดุถูกกระทําโดยแรง แตในวัสดุบางประเภท เชน steel เปนตน creep จะขึ้นอยูกับอุณหภูมิขณะที่วัสดุถูกกระทําโดยแรง
ดวย รูปท่ี 3-17 แสดงตวั อยา งของความสัมพันธของ creep strength ของ stainless steel ที่อุณหภูมิ 650 o C กับเวลาที่
stainless steel ถูกกระทําโดยแรง เราจะเห็นไดวา stainless steel จะมี yielding strength ประมาณ 280 MPa ที่
จุดเริ่มตน แตจะมีคา yielding (creep) strength ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงแค 138 MPa เม่ือ stainless steel ถูก
กระทําโดยแรงเปน เวลา 1000 ชั่วโมง
Fatigue
การลา (fatigue) จะเปนการวิบัติของวัสดุจําพวกโลหะ ซ่ึงเปนวัสดุแบบ ductile material ท่ีถูกกระทําโดยหนวย
แรงหรือความเครยี ด (ทีม่ คี า นอ ยกวา คาของ yielding stress หรือ yielding strain) แบบซํ้าไปซํ้ามา (repeated cycles) ซ่ึง
จะทาํ ใหโ ครงสรางของวสั ดุเหลา นีม้ ีการแตกแยกออกจากกนั และเกดิ การวิบตั ิแบบเปราะ (brittle fracture) ขนึ้
Mechanics of Materials 3-20
รปู ท่ี 3-17
รูปที่ 3-18 แสดงรูปแบบของแรงกระทําแบบซํ้าไปซํ้ามา (repeated loads) ที่มักพบเห็นในการทดสอบวัสดุโดยที่
รูปท่ี 3-18a เปนแรงดึงท่ีมีการกระทําแบบเพ่ิมขึ้นจนถึงคาๆ หน่ึง แลวลดลงเปนศูนย รูปท่ี 3-18b เปนแรงดึงที่มีการกระทํา
แบบเพิ่มข้ึนจนถึงคาๆ หนึ่ง แลวลดลงและเปล่ียนเปนแรงกดอัดจนถึงคาๆ หน่ึง และรูปที่ 3-18c เปนแรงดึงที่มีการกระทํา
เพิม่ ขึ้นและลดลงรอบๆ คาเฉลีย่ ของแรงดงึ คาหน่งึ
รูปที่ 3-18
การวิบัติในลักษณะน้ีจะเกิดข้ึนจาก localized stress ที่เกิดข้ึนท่ีรอยแตกหรือรอยแยกท่ีมีขนาดเล็กมากๆ
(microscopic defects) ที่มักจะพบอยูที่ผิวขององคอาคารของโครงสรางหรือตัวอยางทดสอบ คา localized stress นี้จะมี
คา มากกวาคา เฉลยี่ ของหนวยแรง (stress) ท่ีเกิดข้ึนบนหนาตัดขององคอาคารของโครงสรางหรือตัวอยางทดสอบมาก เมื่อ
วัสดถุ กู กระทาํ โดย localized stress แบบซ้ําไปซ้าํ มาดังกลาวแลว รอยแตกหรือรอยแยกในวัสดุดังกลาวก็จะมีการขยายตัว
ใหญข้ึน ซึ่งจะทําใหคาของ localized stress ท่ีรอยแตกหรือรอยแยกมีคามากข้ึนดวย และจะทําใหรอยแตกหรือรอยแยก
นน้ั มขี นาดใหญข นึ้ ไปอกี จนในท่สี ุด พืน้ ทห่ี นาตดั ขององคอาคารของโครงสรางหรอื ตัวอยา งทดสอบก็จะมีขนาดลดลงจนถึง
Mechanics of Materials 3-21
จุดๆ หน่ึงซึ่งองคอาคารของโครงสรางหรือตัวอยางทดสอบไมสามารถรับแรงกระทําอีกตอไปได องคอาคารของโครงสราง
หรือตัวอยางทดสอบกจ็ ะเกดิ การวบิ ตั แิ บบฉับพลัน (sudden fracture) ขึ้น
พฤติกรรมการวิบัติแบบ fatigue ของวัสดุจะศึกษาไดโดยการทดสอบตัวอยางทดสอบจํานวนมาก โดยท่ีแตละ
ตัวอยางทดสอบจะถูกกําหนดใหถูกกระทําโดย stress แบบซ้ําไปซ้ํามาคาหนึ่งจนเกิดการวิบัติ จากนั้น นําขอมูลของ
stress และจํานวนรอบท่ีตัวอยางทดสอบเกิดการวิบัติมาเขียนกราฟแสดงความสัมพันธที่มักเรียกวา S − N diagram
ดังทแี่ สดงในรูปท่ี 3-19 ซง่ึ เปนแผนภาพ S − N diagram ของ steel และ aluminum alloy
จากแผนภาพ เราจะเห็นวา เสนกราฟของ steel จะอยูในแนวนอนเม่ือหนวยแรงท่ีกระทํามีคา 186 MPa ซึ่งคา
หนวยแรงดังกลาวจะเปนคาหนวยแรงที่ steel สามารถรองรับไดโดยไมเกิดการวิบัติแบบ fatigue ไมวาเหล็กจะถูกกระทํา
โดยหนวยแรงก่ีรอบก็ตาม คาดังกลาวจะถูกเรียกวา endurance limit แตเสนกราฟของ aluminum alloy จะมีคาลดลง
เร่ือยๆ ตามจํานวนรอบของหนวยแรงท่ีเพ่ิมขึ้น ซ่ึงแสดงวา aluminum alloy ไมมีจุด endurance limit ท่ีชัดเจนเหมือนกับ
ในกรณีของ steel โดยทั่วไปแลว มาตรฐานการออกแบบจะกําหนดใหคาหนวยแรงท่ีตัวอยางทดสอบ aluminum alloy รับ
ได 5(108 ) รอบเปนคา endurance limit ของ aluminum alloy ดังนั้น ในท่ีนี้ aluminum alloy จะมีคา endurance limit
เทา กับ131 MPa
รูปที่ 3-19
Mechanics of Materials 3-22
แบบฝก หัดทายบทท่ี 3
3-1 จากการทดสอบแรงดึงของตัวอยางทดสอบทท่ี าํ ดวย steel ซง่ึ มเี สนผา ศนู ยกลางเม่อื ตอนเร่มิ ตน 12.5 mm และมี
ความยาวของ gauge length เทากับ 50 mm เราไดข อมูลของ loads และ elongation ดงั ทแี่ สดงโดยตารางท่ี Prob. 3-1
จงเขยี น stress-strain diagram และจงหาคา modulus of elasticity, proportional limit, yielding stress, ultimate
stress, rupture stress, และ modulus of resilience สดุ ทา ย ถา แทง เหล็กทรงกลมซ่งึ ทาํ ดว ยเหล็กดังกลา ว ถูกกระทําโดย
หนว ยแรงแรงดงึ 550 MPa จงหาคาการยดื ตวั ของแทงเหลก็ และถา เอาแรงดงึ ออก จงหาวา แทงเหล็กดังกลา วจะมีการ
ยดื ถาวรเหลือเทาไร
ตารางที่ Prob. 3-1
Load ( kN ) Elongation ( mm )
00
6.67 0.0127
20.47 0.0384
35.59 0.0635
48.94 0.0889
52.50 0.1270
52.50 0.2032
53.39 0.5080
73.85 1.0160
88.95 2.5400
95.65 7.1120
86.76 10.1600
82.31 11.6840
3-2 กําหนดให stress-strain diagram ของแทง เหลก็ มลี ักษณะดังทีแ่ สดงในรูปท่ี Prob. 3-2 โดยท่ี 1 ชอ งของ strain ท่มี ี
scale ละเอยี ดมคี าเปน 1/100 เทา ของ 1 ชอ งของ strain ทีม่ ี scale หยาบ จงหาคา modulus of elasticity, proportional
limit, yielding stress, ultimate stress, rupture stress และ modulus of resilience
รปู ที่ Prob. 3-2
Mechanics of Materials 3-23
3-3 เสน ใยแกว (fiber glass) มี stress-strain diagram ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ Prob. 3-3 ถา ทอ นของวัสดุดงั กลา วมีเสนผาศนู ย
กลาง 50 mm และมคี วามยาว 2.0 m ถกู กระทําโดยแรงดงึ 60 kN จงหาคาการยืดตวั
รูปท่ี Prob. 3-3
3-4 แทง acrylic plastic ดังท่ีแสดงในรูปที่ Prob. 3-4 มีเสนผา ศูนยก ลาง 15 mm และยาว 200 mm ถูกกระทําโดยแรง
ดึง 300 N จงหาคา การเปล่ียนแปลงรปู รางในแนวแกนและในแนวรศั มี เม่อื E = 2.70 GPa และ ν = 0.40 (3-26)
รูปที่ Prob. 3-4
3-5 แทง aluminum ดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี Prob. 3-5 ถกู กระทําโดยแรงกดอดั 35 kN ทาํ ใหดานทีม่ ีความยาว 38.0 mm มี
การเปลี่ยนแปลงรปู รา งเปน 38.0034 mm จงหา Poisson’s ratio และความยาวที่เปลี่ยนไปในดา นทยี่ าว 50.0 mm
เมื่อ E = 70 GPa
รูปท่ี Prob. 3-5
Mechanics of Materials 4-1
บทท่ี 4
น้ําหนักบรรทุกในแนวแกน (Axial Load)
เรยี บเรยี งโดย ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทติ ย
4.1 หลกั การของ Saint-Venant (Saint-Venant’s Principle)
พจิ ารณาแทงวัตถุ เชน แผน เหลก็ และแผน ยาง เปน ตน ซึ่งมหี นาตดั รูปสี่เหล่ียมผืนผาและมคี วามยาวพอสมควร
ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ 4-1a กําหนดใหป ลายดา นลางของแทงวัตถุถูกยึดแนนเขากบั พืน้ และใหแรงดงึ ในแนวแกน P กระทําตอ
รูเจาะท่ปี ลายอสิ ระและผา นจดุ centroid ของหนา ตัดของแทงวตั ถุ
ภายใตแรงดึง P กาํ หนดใหวสั ดุทีใ่ ชท าํ แทง วตั ถยุ งั คงมพี ฤติกรรมอยใู นชว งยดื หยนุ (elastic) ดังนัน้ grid lines ท่ี
อยูบนแทงวตั ถุดังกลา ว ซึ่งเปนตารางสี่เหล่ยี มดานเทา กอ นทแ่ี ทง วัตถจุ ะถกู กระทาํ โดยแรงดึง P จะเกดิ การเปลย่ี นแปลง
รูปราง ดงั ที่แสดงในรูปที่ 4-1a จากรูป เราจะเหน็ ไดว า การเปลี่ยนแปลงรูปรางของ grid lines จะมีลกั ษณะทค่ี งท่แี ละ
สม่ําเสมอท่ีบริเวณกึ่งกลางของแทงวัตถุและจะมีลักษณะที่ไมคงท่ีและไมสมํ่าเสมอที่บริเวณปลายทั้งสองของแทงวัตถุและ
จะมีคาที่คอนขางสูงเมื่อเทียบกับคาการเปล่ียนแปลงรูปรางท่ีบริเวณกึ่งกลางของแทงวตั ถุ ซ่งึ การเปลีย่ นแปลงรูปรา งนมี้ ัก
จะถูกเรียกวา localized deformation อยางไรกต็ าม localized deformation ดังกลาวจะมีคาทล่ี ดลงอยา งรวดเรว็ เมื่อจดุ ท่ี
เรากําลังพิจารณาอยูหางจากปลายทั้งสองของแทง วัตถมุ ากขึน้ เรือ่ ยๆ
รูปที่ 4-1
Mechanics of Materials 4-2
เนื่องจากหนวยแรงท่ีเกิดขึ้นในแทงวัตถุมีความสัมพันธโดยตรงกับคาการเปลี่ยนแปลงรูปรางของแทงวัตถุ (จาก
Hooke’s law, σ = Eε และ ε = ∆L / L ดงั น้นั σ = (E / L)∆L ) ดังนัน้ หนวยแรงที่เกดิ ขน้ึ ท่หี นาตัดท่มี ี localized
deformation ท่ถี กู เรยี กวา ความเขมขนของหนวยแรง (stress concentration) จะมคี าท่ีสูงกวาคา เฉล่ยี ของหนวยแรงทเี่ กิด
ขึ้นท่หี นาตัดทอี่ ยหู า งจากหนาตัดดงั กลา วมาก นอกจากนัน้ แลว การกระจายของหนวยแรงบนหนา ตดั ดังกลา วจะมลี กั ษณะ
ทไี่ มคงทแ่ี ละไมสม่าํ เสมอ ดังที่แสดงในรปู ที่ 4-1b จากรปู เราจะเหน็ ไดว า การกระจายของหนว ยแรงทห่ี นา ตดั c − c ซ่ึง
อยหู างจากจดุ ที่แรงกระทาํ เทา กบั ความกวางของแทงวัตถุจะมลี ักษณะทค่ี งที่และสมํา่ เสมอมากกวาท่ีหนา ตัด a − a และ
b − b ซ่ึงอยูหา งจากจดุ ท่แี รงกระทําเทากบั หนงึ่ สว นสขี่ องความกวางและคร่ึงหน่ึงของความกวางของแทง วัตถุ ตามลาํ ดบั
และหนว ยแรงสูงสดุ ทีเ่ กิดข้นึ ท่ีหนาตดั a − a และ b − b จะมีคา สูงกวาหนว ยแรงสงู สดุ ทเี่ กดิ ขนึ้ ท่ี c − c โดยทว่ั ไปแลว
การกระจายของหนวยแรงท่หี นาตัดจะมีลกั ษณะท่ีคงท่ีและสมาํ่ เสมอ เมอ่ื ระยะจากจดุ ทีแ่ รงกระทําถงึ หนาตดั ทพี่ จิ ารณามี
คาเทา กบั ความกวา งของแทงวัตถุดงั กลา ว
ในบริเวณทีแ่ ทง วัตถุถูกยึดตดิ แนนกบั พืน้ การเปลย่ี นแปลงรูปรางของแทง วตั ถุจะมีลกั ษณะดงั ทแี่ สดงในรูปท่ี 4-
1a ซ่งึ เกดิ จากการทแี่ ทง วตั ถุถกู ยดึ แนน ไมใหม กี ารหดตัวในแนวขวาง (Poisson’s effect) อยางไรก็ตาม การกระจายของ
หนวยแรงท่ีหนาตัดที่หางออกไปจากบริเวณนี้จะมีคาท่ีคงที่และสม่ําเสมออยางรวดเร็ว เชนเดียวกับท่ีเกิดขึ้นท่ีปลายดาน
อิสระ
ขอเท็จจริงของการกระจายของหนวยแรงและการเปล่ียนแปลงรูปรางขางตนเปนกรณีหน่ึงของหลักการที่เรียกวา
Saint-Venant’s Principle ซ่งึ ถกู คน พบโดยนกั วทิ ยาศาสตรช าวฝร่งั เศสชอ่ื Barre’ de Saint-Venant ในป ค.ศ. 1855 ซึง่
กลาววา
“หนว ยแรง (stress) และความเครียด (strain) ที่เกดิ ขึ้นในจดุ ใดจดุ หนงึ่ ในวัตถุ ซงึ่ อยูหางจากจดุ ทแ่ี รงกระทําจะมี
คาและการกระจายท่เี หมอื นกบั หนวยแรงและความเครยี ดทเี่ กดิ ข้ึนเนอ่ื งจากแรงกระทาํ ซึ่งสมมลู ทางสถิตยศาสตรกับแรง
กระทําดงั กลา วและกระทํากบั วตั ถุในบริเวณเดยี วกัน”
จากรปู ที่ 4-1b เราจะเหน็ ไดว า การกระจายของหนวยแรงทห่ี นาตดั c − c ซงึ่ เกิดจากแรง P จะมีลกั ษณะ
เหมือนกบั การกระจายของหนว ยแรงท่ีหนา ตัดดังกลา วซ่ึงเกดิ จากแรง P / 2 จํานวนสองแรงกระทํารวมกนั
Saint-Venant’s Principle น้มี คี วามสาํ คญั อยางมากในการวิเคราะหและออกแบบองคอ าคารของโครงสราง เชน
คาน เพลา และ bar เปน ตน เพราะจะชว ยทาํ ใหก ารคาํ นวณหาคา ของหนวยแรงและความเครยี ดทีเ่ กดิ ข้นึ ท่หี นา ตัดตา งๆ
ขององคอ าคารของโครงสรางที่หา งจากจดุ ท่มี ี localized stress และ localized deformation มคี วามงา ยขึ้นมาก
4.2 การเปลย่ี นแปลงรปู รางแบบยดื หยนุ ของชน้ิ สวนของโครงสรา งทร่ี บั แรงในแนวแกน (Elastic Deformation of
an Axially Loaded Member)
พิจารณาแทงวัตถุซ่ึงมีหนาตัดท่ีสมมาตรและมีพ้ืนท่ีหนาตัดที่เปลี่ยนแปลงไปตามความยาวของแทงวัตถุ ดังท่ี
แสดงในรปู ท่ี 4-2a
รปู ท่ี 4-2
Mechanics of Materials 4-3
กาํ หนดใหแทง วัตถนุ ีถ้ กู กระทําโดยแรงกระทาํ แบบเปนจดุ (concentrated load) ทป่ี ลายของแทง วตั ถแุ ละแรง
กระจายไปตามความยาวของแทง วัตถุ โดยใหแ รงดังกลาวกระทาํ ผา นจุด centroid ของหนาตดั ของแทงวตั ถุ
ถา ไมพจิ ารณา localized deformation ที่เกดิ ขน้ึ ทจี่ ุดท่แี รงกระทําและจุดทแ่ี ทงวตั ถุถกู ยึดแนนเขา กับผนงั และถา
หนวยแรงที่เกิดขึ้นมคี า อยูใ นชวง proportional limit แลว คาการเปลยี่ นตําแหนงสมั พทั ธ δ (relative displacement) ของ
ปลายดานหนง่ึ ของแทง วตั ถเุ ทยี บกบั ปลายทีย่ ดึ แนน จะหามาไดโดยใช Hooke’s law
พิจารณา free body diagram ของ differential element ดังที่แสดงในรูปที่ 4-2b ซงึ่ ถูกตดั ออกมาจากแทง วัตถทุ ่ี
ระยะ x จากปลายท่ีถูกยึดแนน ของแทง วัตถุ โดยมคี วามยาว dx และมีพืน้ ท่หี นาตัด A(x) กําหนดใหแรงลัพธในแนว
แกนท่เี กดิ ขนึ้ ใน differential element มคี าเปน P(x) ซงึ่ ทาํ ให differential element เกิดการยืดตวั dδ ดังน้ัน หนว ย
แรงและความเครยี ดท่ีเกดิ ขึน้ บน differential element จะหาไดจ ากสมการ
σ = P(x) และ ε = dδ
A( x) dx
จาก Hooke’s law σ = Eε เราจะไดวา
P(x) = E dδ
A( x) dx
dδ = P(x) dx
A(x) E
ดังนนั้ การเปลย่ี นตาํ แหนง (displacement) ทีเ่ กิดขึ้นตลอดความยาว L จะหาไดจากสมการ
∫δ = L P(x) dx (4-1)
0 A(x) E
โดยที่ δ = คา การเปลี่ยนตําแหนงสัมพทั ธของบนแทงวตั ถุ
L = ระยะระหวางจุดทง้ั สองทีก่ ําลงั พจิ ารณา
P(x) = แรงลัพธใ นแนวแกนทเี่ กิดข้นึ ท่ีหนาตัด ซ่งึ มีระยะ x จากจุดอางองิ
A(x) = พนื้ ที่หนาตดั ของแทงวัตถุ ท่รี ะยะ x จากจดุ อางอิง
E = modulus of elasticity ของวสั ดุท่ีใชทําแทงวัตถุ
ในกรณีท่ีแทงวัตถุมีพื้นท่ีหนาตัดท่ีคงท่ี A วัสดุที่ใชทําแทงวัตถุเปนวัสดุที่มีเนื้อเดียวกัน (homogeneous
material) และแรง P เปนแรงในแนวแกนและกระทาํ ผานจุด centroid ของหนาตัดของแทง วตั ถุ ดังทแ่ี สดงในรปู ที่ 4-3a
แลว คาการเปลี่ยนตําแหนง สัมพทั ธท ป่ี ลายของแทง วัตถุจะหาไดจ ากสมการ
δ = PL (4-2)
AE
รูปที่ 4-3
ถาแทงวัตถุถูกกระทําโดยแรงในแนวแกนพรอมๆ กันหลายคา หรอื หนาตดั ของแทงวัตถุมกี ารเปล่ียนแปลงตาม
ความยาวของแทงวัตถุ หรือคา modulus of elasticity ของแทง วตั ถมุ กี ารเปลย่ี นแปลงแปลงตามความยาวของแทง วตั ถุ ดงั
Mechanics of Materials 4-4
ท่ีแสดงในรูปที่ 4-4 แลว คาการเปลี่ยนตําแหนงสัมพัทธท่ีเกิดขึ้นบนแทงวัตถุจะมีคาเทากับผลรวมของคาการเปล่ียน
ตําแหนงสมั พทั ธท ีห่ าไดโดยใชสมการท่ี 4-2 บนสว นตางๆ ของแทง วัตถุนนั้ ดงั น้นั เราจะไดวา
δ = ∑ PL (4-3)
AE
รูปท่ี 4-4
ในการท่จี ะใชสมการที่ 4-1 ถงึ 4-3 น้ี เราจําเปนที่จะตองกาํ หนด sign convention ของแรงลพั ธในแนวแกนทเ่ี กดิ
ขน้ึ ภายในและคาการเปลย่ี นตําแหนง สมั พัทธท่ตี อ งการหา ซ่ึงเราจะกาํ หนดให แรงลพั ธภ ายในและคา การเปลีย่ นตาํ แหนง
สัมพทั ธมคี า เปนบวก เมื่อแรงลัพธภายในเปนแรงดงึ (tensile force) และคาการเปล่ยี นตาํ แหนงสัมพัทธเปนการยืดตวั ออก
(elongation) ตามลําดับ ดังทแี่ สดงในรูปท่ี 4-5 และในทางตรงกันขาม แรงลพั ธภายในและคาการเปล่ียนตาํ แหนง สมั พทั ธ
มคี า เปน ลบ เม่ือแรงลัพธภ ายในเปน แรงกดอัด (compressive force) และการเปล่ยี นตําแหนง สัมพัทธเปนการหดตวั เขา
(contraction) ตามลําดบั
รูปที่ 4-5
Mechanics of Materials 4-5
ตวั อยา งที่ 4-1
จงหาคาหนว ยแรงกดอัดในแนวแกนสูงสุดและคา การเปล่ียนตําแหนง สมั พัทธข องจุด A เทียบกบั จุด C ของเสา
เหล็ก ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี EX 4-1a ซึ่งเกิดจากการกระทาํ ของแรง P1 = 200 kN และ P2 = 250 kN กาํ หนดใหพ ้นื ที่
หนา ตัดของสวน AB และ BC ของเสาเหลก็ มคี า เทากบั 9218 และ 13480 mm2 และให Est = 200 GPa
รูปที่ EX 4-1
เน่ืองจากแรงลัพธของแรงกดอดั P1 และแรงกดอัด P2 ทีถ่ ายจากพื้นลงสูตง (joist) และลงสเู สากระทําผา นจดุ
centroid ของเสา ดังนัน้ แรงลัพธดังกลา วจะเปนแรงกดอดั ในแนวแกน ซง่ึ จะกอ ใหเกิดหนวยแรงกดอดั และการหดตัวในเสา
หาคาของหนว ยแรงกดอดั ในแนวแกนสูงสุด
โดยการตดั เสาในชว ง AB และชว ง BC และใชแ ผนภาพ free-body diagram ของสว นทง้ั สองของเสา เราจะ
หาแรงในแนวแกนของชว ง AB และชวง BC ของเสาไดเ ทากบั
PAB = 2P1 = 400 kN
PBC = 2P1 + 2P2 = 400 + 500 = 900 kN
ดงั น้นั หนวยแรงทีเ่ กดิ ขนึ้ ในชว ง AB และชว ง BC ของเสาจะมีคา เทากับ
σ AB = 400(103 ) = 43.4 MPa
9218(10−6 )
σ BC 900(103 ) = 66.8 MPa
= 13480(10−6 )
และคา ของหนว ยแรงกดอดั ในแนวแกนสูงสดุ จะเกดิ ทชี่ ว ง BC ของเสาและมคี า เทากบั 66.8 MPa Ans.
หาคา การเปลีย่ นตําแหนงสัมพทั ธของจุด A เทียบกบั จุด C
เนอื่ งจากเสาถกู กระทาํ โดยแรงกดอดั เทา นัน้ ดังน้นั คา การเปลี่ยนตําแหนงสัมพทั ธของจุด A เทยี บกบั จุด C จะ
หาไดจาก
Mechanics of Materials 4-6
δ A/C = PAB LAB + PAB LAB
AAB E AAB E
= − 400(103 )4 ) + − 900(103 )4 )
9218(10−6 )200(109 13480(10−6 )200(109
= −0.0022 m = − 2.2 mm
เนอ่ื งจากคา การเปลี่ยนตําแหนง สมั พัทธท ่ไี ดม เี ครอื่ งหมายลบ ดงั นน้ั ปลาย A ของเสาจะเคลอ่ื นที่เขาหาจดุ C Ans.
Mechanics of Materials 4-7
ตวั อยางที่ 4-2
กําหนดใหจ ดุ เช่ือมตอ ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี EX 4-2a ประกอบดว ยทอกลวง AB ทาํ ดวย aluminum 2014-T6 มี
หนาตัด 400 mm2 และแทง เหล็กกลม BC ทาํ ดว ยเหลก็ A36 ขนาดเสน ผา ศนู ยก ลาง 25 mm ซง่ึ ถูกกระทําโดยแรงดงึ
80 kN จงหาคา การเปล่ียนตําแหนง ทีเ่ กดิ ขนึ้ ทีป่ ลาย C ของแทงเหล็กกลมเทยี บกับจดุ A เม่ือ Eal = 70 GPa และ
Est = 200 GPa
รูปท่ี EX 4-2
โดยใช method of sections เราจะเขียนแผนภาพ free-body diagram ของทอกลวงและแทง เหล็กกลมไดดงั ท่ี
แสดงในรปู ท่ี EX 4-2b
จากแผนภาพ เราจะเห็นไดวา ภายใตแ รงกระทําทอ กลวง ซงึ่ ถูกกระทําโดยแรงกดอดั จะเกิดการหดตัวขึน้ และแทง
เหลก็ กลม ซ่ึงถูกกระทําโดยแรงดงึ จะเกิดการยืดตวั ข้ึน
เน่ืองจากจุด A ถูกยดึ แนน เขา กบั ผนัง เราจะใชจดุ A เปน จดุ อา งอิง ดังนนั้
δC = δC/A = δB/A +δC/B
เนื่องจากทอกลวง AB ทาํ ดวย aluminum ดงั นน้ั
δB/A = PAB LAB = − 80(103 )(0.4) = −0.001143 m
AAB Eal 400(10−6 )70(109 )
เนอื่ งจากจดุ A ถกู ยดึ แนน เขา กับผนัง จุด C จะเคลื่อนท่ไี ปทางขวามอื เขา หาจุด A
เนื่องจากแทง เหลก็ กลม BC ทาํ ดวยเหล็ก ดังน้ัน
δC/B = PBC LBC 80(103 )(0.6) = +0.000489 m
ABC Est = π (0.0125)2 200(109 )
เครื่องหมายบวก แสดงวาจุด C จะเคลือ่ นท่ไี ปทางขวามือออกจากจุด B
เน่อื งจากการเปลยี่ นตาํ แหนง ท่ีไดมีทศิ ไปทางขวามือทง้ั หมด ดังน้ัน การเปล่ยี นตําแหนง ทเ่ี กิดขึน้ ท่ปี ลาย C ของ
แทงเหลก็ กลมเทียบกบั จุด A จะมคี า เทา กบั
δ C = 0.001143 + 0.000489 = 0.00163 m =1.63 mm Ans.
เราควรทาํ การตรวจสอบดดู วยวา หนว ยแรงท่เี กดิ ขน้ึ ในแทง เหลก็ และทอกลวง aluminum มีคานอ ยกวาคา
yielding stress ของวัสดุดังกลาวหรอื ไม เนอื่ งจากสมการทใ่ี ชใ นการคํานวณข้นึ อยกู บั สมมตุ ิฐานวา วัสดุมีพฤติกรรมอยใู น
ชว ง linear elastic ภายใตแ รงกระทํา
Mechanics of Materials 4-8
4.3 หลกั การ Superposition (Principle of Superposition)
Principle of superposition เปน หลกั การพื้นฐานที่ใชใ นการวิเคราะหหาคา หนว ยแรงหรือคา การเปล่ียนตําแหนง
ของโครงสรางที่ถกู กระทําโดยแรงกระทําท่ีมคี วามซับซอนมากๆ ซ่งึ กลา ววา
"คา การเปลีย่ นตาํ แหนง (displacement) หรอื คา หนว ยแรง (stress) ลัพธทจี่ ุดใดจุดหนึ่งบนโครงสรางซงึ่ เกิดจาก
นํ้าหนักบรรทกุ และแรงตางๆ ทีก่ ระทาํ อยูบนโครงสรา งนั้น สามารถหามาไดโ ดยการรวมทางพีชคณิตของคาการเปลี่ยน
ตาํ แหนงหรอื คา หนว ยแรงทีเ่ กิดขึ้นจากแรงแตละแรงและน้าํ หนกั บรรทุกแตละอันท่ีกระทาํ อยบู นโครงสรา งน้ัน"
Principle of superposition จะใชไดในกรณีท่ี
1. วัสดทุ ีใ่ ชทําโครงสรา งมีพฤตกิ รรมอยใู นชว งยดื หยุนเชงิ เสน (linear elastic) ซ่ึงในชว งนีแ้ รงกระทําจะแปรผนั
โดยตรงกับการเปลี่ยนตําแหนงและหนว ยแรง เชน แทง วตั ถทุ ่ถี กู กระทําโดยแรงดงึ ในแนวแกน P ดังที่แสดง
ในรูปท่ี 4-3a คาของหนวยแรงต้ังฉากเฉล่ียท่ีเกิดข้ึนท่ีจุดก่ึงกลางแทงวัตถุจะมีคาเทากับ σ = P / A
(σ α P ) และคาการยืดท่ีปลายของแทงวตั ถจุ ะมคี า เทา กบั δ = PL / AE (σ α P )
2. โครงสรางมกี ารเปลยี่ นแปลงขนาดและรปู รางทน่ี อ ยมาก ภายใตแ รงกระทาํ เน่ืองจากวาเม่ือโครงสรา งมกี าร
เปลี่ยนแปลงรูปรางมากแลว ตําแหนง และทศิ ทางของแรงกระทาํ อาจจะเปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ ซ่งึ จะทําให
ผลที่เกิดข้ึนเน่ืองจากแรงกระทําท่ีกระทําแยกกันมีคาไมเทากับผลที่เกิดข้ึนเนื่องจากแรงกระทําท่ีกระทํารวม
กนั
พจิ ารณาคานย่ืน (cantilevered beam) ดังทีแ่ สดงในรปู ท่ี 4-6 จากรูปท่ี 4-6a กาํ หนดใหแรง P มีคาเทา กบั ผล
รวมของแรง P1 และแรง P2 ซ่ึงจะทําใหค านเกิดการโกงตัวที่สงู มากและทําใหระยะในแนวนอนจากจดุ ทีแ่ รงกระทําถงึ จุด
รองรบั แบบยดึ แนนมคี าเทา กับ d ดังนน้ั แรง P จะทําใหเ กดิ โมเมนตดัดท่จี ุดรองรบั เทา กบั Pd จากรูปท่ี 4-6b กําหนด
ใหแรง P1 และ P2 กระทําตอคานเปน อสิ ระตอ กนั โดยแรง P1 และ P2 จะทําใหค านเกดิ การโกงตัวและมรี ะยะในแนว
นอนจากจุดที่แรงกระทาํ ถงึ จุดรองรับเทา กบั d1 และ d2 ตามลําดบั ดังน้ัน แรง P1 และ P2 จะทําใหเกิดผลรวมของ
โมเมนตดดั ทจี่ ดุ รองรับเทากบั P1d1 + P2d2 แตเ นือ่ งจากวา d ≠ d1 + d2 ดงั น้ัน Pd ≠ P1d1 + P2d2
รูปท่ี 4-6
4.4 การวิเคราะหช นิ้ สว นของโครงสรา งทีร่ ับแรงในแนวแกนแบบ Statically Indeterminate โดยวธิ ี Displacement
Method (Statically Indeterminate Axially Loaded Member: Displacement Method)
ในกรณที ่ีผา นมานัน้ แทง วัตถจุ ะถกู ยึดทป่ี ลายเพยี งดา นเดียวและถกู กระทําโดยแรงในแนวแกน ซงึ่ เราจะหาคา
แรงปฏิกริยาที่จุดรองรับและแรงภายในแทงวัตถุไดโดยใชสมการความสมดุลของแรงในแนวแกนของแทงวัตถุเพียงสมการ
เดียว แทง วตั ถทุ ีม่ ลี ักษณะนีจ้ ะเปนโครงสรา งแบบ statically determinate
ในกรณีทแี่ ทงวัตถุถูกยึดที่ปลายทัง้ สองดา น ดงั ทแี่ สดงในรูปท่ี 4-7a แลว แทง วตั ถจุ ะมีแรงปฏิกริยาทไ่ี มท ราบคา
เกดิ ขน้ึ ทป่ี ลายทัง้ สองของแทง วตั ถุ 2 คาคอื FA และ FB ซ่งึ แทง วัตถุดังกลา วจะมีแผนภาพ free-body diagram ดังที่
Mechanics of Materials 4-9
แสดงในรูปที่ 4-7b ถา กาํ หนดใหแ รงปฏกิ ริยาท่ไี มทราบคา มีทิศทางดงั ที่แสดง จากสมการความสมดุลของแรงในแนวแกน
เราจะไดวา
+ ↑∑ F = 0 ; FB + FA − P = 0
รูปที่ 4-7
เน่ืองจากแทงวัตถุมีสมการความสมดุลเพียงสมการเดียว ดังน้ัน เราจะไมสามารถหาคา แรงปฏกิ รยิ าท่ไี มท ราบ
คาทป่ี ลายทัง้ สองของแทง วัตถนุ ี้ได แทงวตั ถใุ นลกั ษณะน้ีจะเปนโครงสรา งแบบ statically indeterminate ดงั นน้ั ในการหา
คาแรงปฏกิ ริยาดงั กลาว เราจะตองมสี มการเพิม่ ขนึ้ อกี หนึ่งสมการ ซึง่ โดยทว่ั ไปแลว จะเปนเง่อื นไขของความสอดคลองของ
การเปลี่ยนแปลงรปู ราง (compatibility condition) ของแทงวตั ถุ
ในกรณนี ี้ เนอื่ งจากจดุ รองรบั ของแทงวัตถเุ ปน จุดรองรับแบบยดึ แนนทัง้ สองขา ง ดงั น้นั compatibility condition
ของแทงวัตถคุ ือ การเปลีย่ นตาํ แหนง สมั พัทธร ะหวา งปลาย A และปลาย B ของแทงวัตถุจะมีคาเทากับศนู ย ซึ่งจะเขยี น
ในรูปของสมการไดเ ปน
δ A/B = 0
จากแผนภาพ free-body diagram ของชิ้นสวน AC และ BC เราจะไดว า แรงภายในช้นิ สวน AC จะเปน
แรงดึงและมีคา เทากบั + FA และแรงภายในช้นิ สวน BC จะเปนแรงกดอัดและมคี าเทากบั − FB ดงั นัน้ จากความ
สมั พันธของแรงกระทาํ และการเปลย่ี นตําแหนง บนช้นิ สว นท้ังสอง เราจะได สมการ compatibility อยูในรูป
FA LAC − FB LCB =0
AE AE
ถาสมมตุ ใิ หค าความแกรงของแทง วตั ถุ AE มีคา คงทีแ่ ลว แรงปฏิกริยา FA และ FB ท่เี กดิ ขึน้ ทปี่ ลายของแทง
วัตถจุ ะหาไดโดยการแกสมการความสมดุลและสมการ compatibility ซ่งึ เราจะไดวา
FA = P LCB
L
FB = P L AC
L
เน่ืองจากแรงทไ่ี ดมคี าเปนบวก ดังนน้ั ทิศทางของแรงที่เราสมมุติข้ึนจะเปน ทิศทางทเ่ี กิดขนึ้ จริง
เนือ่ งจากเราใช displacement เปน ตัวแปรท่ีไมท ราบคาในการเขยี นสมการ compatibility ดังน้ัน วิธกี ารโครง
สรา งแบบ statically indeterminate ทก่ี ลาวถงึ ไปแลว น้ีจึงมักจะถูกเรียกวา displacement method
Mechanics of Materials 4-10
ตัวอยางที่ 4-3
กําหนดใหแทงวัตถทุ ่ที ําดวย aluminum 2014 T6 (σ y = 414 MPa ) ในชว ง AC มเี สนผาศูนยกลาง
10 mm และทําดวยเหลก็ A36 (σ y = 250 MPa ) ในชวง BC มีเสนผา ศนู ยก ลาง 8 mm และถูกยดึ แนนเขา กับ
ผนงั ทจ่ี ดุ A และท่ปี ลาย B มีชอ งวางระหวางผนังและแทง วตั ถุ 1mm ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 4-3a
จงหาแรงปฏิกริยาทเ่ี กดิ ขึน้ ที่จดุ A และจดุ B′ เมื่อกําหนดใหแ รง P = 20 kN , คา modulus of elasticity
Est = 200 GPa , และ Eal = 70 GPa
รูปที่ Ex 4-3
จากแผนภาพ free-body diagram ของแทงวัตถุ ดงั ทีแ่ สดงในรปู ที่ Ex 4-3a และสมการความสมดลุ ของแรงใน
แนวนอน เราจะไดวา
∑ Fx = 0 ; − FA − FB + 20(103 ) = 0 (1)
เนอื่ งจากปลาย B ของคานจะมกี ารเปลยี่ นตาํ แหนง สมั พทั ธเทียบกบั จุดยดึ แนน A ของแทง วัตถเุ ทากับ 1mm
ดงั นั้น สมการความสอดคลอ ง (compatibility) ของแทงวตั ถจุ ะอยูในรูป
δ B / A = 0.001 m
และเนอื่ งจากสวน AC ของแทงวัตถุจะถูกกระทําโดยแรงดึงและสว น BC ของแทง วตั ถจุ ะถูกกระทาํ โดยแรงกดอัด ดัง
นั้น เราจะไดวา
Mechanics of Materials 4-11
+ FA LAC − FB LBC = 0.001
AAC Eal ABC Est
โดยท่พี ้นื ทห่ี นาตัดของ aluminum ในชวง AC
AAC = π (10) 2 = 78.540 mm2
4
พ้นื ที่หนา ตดั ของเหลก็ ในชว ง BC
ABC = π (8) 2 = 50.256 mm2
4
ดังน้ัน
+ FA (0.4) ) − FB (0.8) ) = 0.001
78.540(10−6 )70(109 50.256(10−6 )200(109
7.276FA − 7.959FB = 100000 N (2)
ทาํ การแกสมการที่ (1) และที่ (2) รวมกัน เราจะได
FA = 17.01 kN
σA = 17.01(103 ) = 216.6 MPa <σy = 414 MPa O.K.
78.540(10−6 )
FB = 2.99 kN
σB = 2.99(103 ) = 59.5 MPa <σy = 250 MPa O.K.
50.256(10−6 )
เน่ืองจากแรงปฏกิ ริยาท่ไี ดม ีคา เปนบวก ดงั นั้น แรงปฏกิ รยิ าจะมีทศิ ทางตามท่ีไดส มมุตไิ ว และเน่ืองจากหนว ยแรง
ที่เกดิ ขึ้นในแทง aluminum 2014 T6 และแทงเหล็ก A36 มีคานอ ยกวา yielding stress ของวัสดุ ดงั น้นั คา ของแรงปฏิ
กริยาท่ีคาํ นวณไดจึงถูกตองตามสมมุตฐิ านท่ีใชในการคาํ นวณ Ans.
Mechanics of Materials 4-12
ตัวอยางท่ี 4-4
ทอ เหล็กกลวงซ่งึ พน้ื ทห่ี นา ตัด AS ถูกเสรมิ ดว ย concrete ซึง่ พนื้ ที่หนา ตดั AC และถูกกระทาํ โดยแรงกดอดั ใน
แนวแกน P ดังทีแ่ สดงในรูปที่ Ex 4-4 กาํ หนดให modulus of elasticity ของเหลก็ และ concrete มคี า เปน ES และ EC
ตามลาํ ดบั และ L เปนความยาวของทอเหล็กกลวงเสริม concrete จงหา
a.) หนว ยแรงที่เกิดข้นึ ในทอ เหลก็ กลวงและใน concrete
b.) คาการหดตัวของทอเหลก็ กลวงเสรมิ concrete
P
Concretecore P
Steelpipe
L
Baseplate FC
FS
รูปท่ี Ex 4-4
a.) หนว ยแรงท่เี กิดขึน้ ในทอเหลก็ กลวงและใน concrete
จากแผนภาพ free-body diagram ของทอเหลก็ กลวง และ concrete และจากสมการสมดลุ ของแรงในแนวด่ิง
เราจะไดว า
∑ Fy = 0; FS + FC − P = 0 (1)
เนอ่ื งจากทอเหลก็ กลวงและ concrete ตอ งรว มกันตา นแรงกดอัดในแนวแกน P โดยทีก่ ารหดตวั ที่เกดิ ขึน้ ทีป่ ลาย
ของทอ เหลก็ กลวงเสรมิ concrete จะตองมคี า เทากัน ดงั น้ัน
δS =δC (2)
จากความสมั พันธข อง load-displacement เราจะไดว า
FS L = FC L
ES AS EC AC
FS = FC ES AS
EC AC
แทนคา FS ลงในสมการ (1) แลวจดั รูปสมการใหม เราจะได
FC = P ES EC AC
AS + EC AC
Mechanics of Materials 4-13
และ FS = P ES ES AS AC (3)
AS + EC
ดังนั้น หนว ยแรงท่เี กิดข้นึ ในทอเหล็กกลวงและใน concrete จะมคี า เทา กบั
σS = FS = P ES AS ES AC
AS + EC
σC = FC = P ES AS EC AC Ans.
AC + EC
จากสมการของหนวยแรงทีไ่ ด เราจะเห็นวา หนว ยแรงที่เกิดขน้ึ ในทอเหล็กกลวงและใน concrete แปรผนั โดยตรง
กบั คา modulus of elasticity ของเหลก็ และ concrete ดงั นนั้ วสั ดทุ ่มี ีคา modulus of elasticity มากกวาจะมีหนวยแรง
เกดิ ขึ้นสงู กวา
b.) คา การหดตัวของทอเหล็กกลวงเสริม concrete
แทนคา FC และ FS ในสมการ (3) ลงในความสมั พันธข อง load-displacement เราจะได
δ = FS L = FC L = PL Ans.
ES AS EC AC ES AS + EC AC
จากสมการ เราจะเหน็ วา คา การหดตัวของทอ เหลก็ กลวงเสริม concrete จะเทา กบั แรงกดอดั ในแนวแกนหารดวยผลรวม
ของคาความแกรง ของทอเหล็กกลวงและ concrete
Mechanics of Materials 4-14
ตัวอยา งท่ี 4-5
กาํ หนดให rigid bar AB มีทรี่ องรับเปน pin ที่ A และถูกรองรบั โดยเสน ลวด CD และ EF ที่จดุ D และ
จดุ F ตามลําดบั กําหนดใหแรง P กระทําท่ปี ลาย B ของ rigid bar และใหเสนลวด CD มีความยาว L1 มีเสน ผา
ศนู ยกลาง d1 และมีคา modulus of elasticity E1 และใหเสน ลวด EF มคี วามยาว L2 มเี สน ผาศูนยก ลาง d2 และมี
คา modulus of elasticity E2
จงหาสมการของแรงที่เกิดขึ้นในเสน ลวด CD และเสน ลวด EF
รปู ท่ี Ex 4-5
จากแผนภาพ free-body diagram ของ rigid bar ดังท่ีแสดงในรปู ที่ Ex 4-5b และสมการความสมดุลของ
โมเมนตรอบจดุ A เราจะไดวา
∑MA = 0; T1b + T2 (2b) − P(3b) = 0 (1)
ภายใตการกระทาํ ของแรง P rigid bar จะเกดิ การหมนุ รอบจดุ A ดังที่แสดงในรูปที่ Ex 4-5c และเนื่องจาก
ระยะ AF เปนสองเทา ของระยะ AD ดงั น้ัน จากสามเหล่ยี มคลาย เราจะไดสมการความสอดคลอง (compatibility)
ของ rigid bar อยใู นรปู
δ 2 = 2δ1
จากความสมั พันธข องแรงในแนวแกนและการยืดตัวของเสนลวด
δ1 = T1 L1 และ δ2 = T2 L2
A1 E1 A2 E2
โดยทพี่ ื้นทีห่ นาตดั ของเสน ลวด CD และ EF จะมคี าเทากบั A1 = πd12 และ A2 = πd 2 ตามลาํ ดับ กาํ หนดให
4 2
4
f1 = L1 และ f2 = L2
A1 E1 A2 E2
Mechanics of Materials 4-15
ดังนัน้ เราจะเขยี นความสัมพันธของแรงในแนวแกนและการยืดตวั ของเสน ลวดใหมไ ดเปน (2)
Ans.
δ1 = f1T1 และ δ 2 = f 2T2
และเราจะไดส มการความสอดคลอ ง (compatibility) ของ rigid bar อยูในรปู
f 2T2 = 2 f1T1
ทําการแกสมการท่ี (1) และท่ี (2) รว มกัน เราจะได
T1 = 3 f2P
4 f1 + f2
T2 = 6 f1P
4 f1 + f2
เนือ่ งจากแรงปฏิกริยาที่ไดม ีคา เปนบวก ดังน้ัน แรงปฏิกริยาจะมที ศิ ทางตามทไ่ี ดส มมุตไิ ว
Mechanics of Materials 4-16
4.5 การวิเคราะหชนิ้ สวนของโครงสรางท่รี ับแรงในแนวแกนแบบ Statically Indeterminate โดยวิธี Force Method
(Statically Indeterminate Axially Loaded Member: Force Method)
นอกจากเราจะหาคาแรงปฏกิ ริยาทไ่ี มท ราบคา ในแทง วตั ถุแบบ statically indeterminate โดยวิธี displacement
method แลว เรายังสามารถที่จะเขียนสมการความสอดคลอ ง (compatibility equation) ของแทงวัตถุไดอ ีกรูปแบบหนึง่
โดยการ superposition แรงปฏกิ รยิ า (ซงึ่ เปนตวั แปรที่ไมทราบคา ) ของแผนภาพ free-body diagram ของแทงวัตถุ ซงึ่ วธิ ี
การนี้มักจะถูกเรยี กวา force method
รูปที่ 4-8
รปู ที่ 4-8a แสดงแทงวัตถุแบบ statically indeterminate ซึ่งถูกระทาํ โดยแรง P ถา สมมุตใิ หจ ดุ รองรบั ที่ B เปน
จุดรองรับทเี่ กินจาํ เปน (redundant support) และเมือ่ เราเอาจุดรองรบั ดังกลาวออกจากแทงวัตถุแลว แทง วัตถดุ ังกลาวจะ
เปลี่ยนเปนโครงสรา งแบบ statically determinate ซ่ึงถูกระทาํ โดยแรง P ดงั ที่แสดงในรปู ที่ 4-8b แตเ นอื่ งจากความจรงิ ที่
วา จุดรองรับที่ B จะตอ งมีแรงปฏิกริยาท่ีไมท ราบคา FB กระทํา ดงั น้นั แทงวัตถดุ ังกลาวจะตองเปนโครงสรา งแบบ
statically determinate ซงึ่ ถูกระทําโดยแรง FB ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี 4-8c ดวย
จาก principle of superposition เราจะไดว า แทงวัตถุ ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี 4-16a จะสมมูลกบั แทง วตั ถุ ดังทแี่ สดง
ในรูปท่ี 4-16b ซ่ึงถูกกระทาํ โดยแรง P บวกกับแทง วตั ถุ ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่ 4-16c ซึ่งถกู กระทาํ โดยแรงเกินจาํ เปน
(redundant force) ทไ่ี มทราบคา FB
ถาแรง P ทําใหแ ทง วัตถุที่จดุ B เกดิ การยดื ตวั (+) δ P ดังทแ่ี สดงในรปู ที่ 4-16b แลว แรงปฏกิ รยิ า FB ดงั ที่
แสดงในรปู ที่ 4-16c จะตองมคี า ๆ หนงึ่ ท่ีจะทาํ ใหจุด B เกิดการหดตัว (-) δ B โดยที่
0 =δP −δB
สมการที่ไดนีจ้ ะเปนสมการความสอดคลอง (compatibility equation) ของการเปล่ียนตําแหนง ที่จดุ B
จากความสมั พนั ธระหวา งแรงและการเปลีย่ นตําแหนง เราจะไดว า
δP = PLAC และ δB = − FB L
AE AE
ดงั นน้ั เมอ่ื เราแทนคา δ P และคา δ B ลงในสมการความสอดคลอง เราจะไดว า
Mechanics of Materials 4-17
0= PLAC − FB L
AE AE
และ
FB = P LAC
L
จากแผนภาพ free-body diagram ของแทงวัตถุ เราจะหาแรงปฏิกริยาทจ่ี ดุ A ไดโ ดยใชส มการความสมดุลของ
แรงในแนวด่งิ
+ ↑∑ Fy = 0 ; P L AC + FA −P =0
L
เนือ่ งจาก LCB = L − LAC ดังนนั้
FA = P LCB
L
ซึ่งเราจะเห็นวา FA และ FB ท่ไี ดเ หมือนกบั ที่หามาไดใน section ท่ี 4.4 โดยวิธกี าร displacement method
Mechanics of Materials 4-18
ตวั อยางท่ี 4-6
กําหนดใหแทงวตั ถทุ ี่ทําดวย aluminum 2014 T6 ในชว ง AC มีเสนผาศนู ยก ลาง 10 mm และทาํ ดวยเหลก็
A36 ในชว ง BC มีเสน ผาศูนยกลาง 8 mm และถูกยึดแนน เขา กับผนงั ท่ีจดุ A และท่ปี ลาย B มีชองวางระหวางผนงั
และแทงวตั ถุ 1mm ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ Ex 4-6a
จงหาแรงปฏิกริยาท่ีเกิดข้นึ ท่ีจดุ A และจุด B′ เมอ่ื กาํ หนดใหแ รง P = 20 kN , คา modulus of elasticity
Est = 200 GPa , และ Eal = 70 GPa
รูปที่ Ex 4-6
กาํ หนดใหแ รงปฎกิ ริยาทจี่ ดุ B เปนแรงเกินจาํ เปน (redundant force) ดังน้นั จาก principle of superposition
เราแยกแทงวัตถุออกมาพิจารณาไดเ ปน สองกรณี ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 4-6b และเราจะไดสมการความสอดคลอ งอยใู นรปู
δ P − δ B = 0.001 m
โดยที่ δ P เปนบวกเนื่องจากแรง P ทําใหแ ทง วตั ถเุ กดิ การยดื ตวั และ δ B เปนลบเนอ่ื งจากแรง FB ทาํ ใหแ ทงวตั ถเุ กดิ
การหดตวั
δP = PLAC = 20(103 )0.4 ) = 0.0014551 m
AAC Eal 78.540(10−6 )70(109
δB = FB LBC + FB LAC
ABC Est AAC Eal
= FB (0.8) ) + FB (0.4) )
50.256(10−6 )200(109 78.540(10−6 )70(109
= 0.15235(10−6 )FB
Mechanics of Materials 4-19
ดงั นน้ั จากสมการความสอดคลอง Ans.
Ans.
0.001455 − 0.15235(10−6 )FB = 0.001 m
FB = 2.99 kN
จากสมการความสมดลุ ของแรงในแนวแกน
FA = 20 − 2.99 = 17.01 kN
Mechanics of Materials 4-20
4.6 หนว ยแรงเน่ืองจากการเปล่ยี นแปลงอุณหภูมิ (Thermal Stress)
การเปล่ียนแปลงอุณหภมู จิ ะทําใหชิ้นสว นของโครงสรา งเกดิ การเปล่ยี นแปลงขนาดและรปู รา ง ถาอณุ หภูมิเพิ่มข้นึ
วัสดทุ ีใ่ ชท าํ ช้ินสว นของโครงสรางจะเกดิ การขยายตวั ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ 4-9 และในทางตรงกนั ขาม ถาอณุ หภูมลิ ดลงวัสดุท่ี
ใชทําชิ้นสว นของโครงสรางจะเกดิ การหดตัว
รปู ที่ 4-9
โดยปกตแิ ลว การยืดและการหดตัว เนอื่ งจากการเปลยี่ นแปลงของอณุ หภูมิ จะแปรผนั โดยตรงกบั คาอณุ หภมู ทิ ี่
เพิ่มข้นึ และลดลง ตามลําดบั ถา วสั ดุท่ีใชทําช้ินสวนของโครงสรา งเปนวสั ดุแบบ homogeneous และ isotropic แลว จาก
การทดสอบ เราจะไดว า การเปลี่ยนแปลงรปู รา งของชนิ้ สวนของโครงสรา ง เนือ่ งจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภมู จิ ะอยูใน
รปู
δ T = α ∆T L (4-4)
เมื่อ α = สมั ประสทิ ธิข์ องการยดื หรอื หดตัวตามเสน (linear coefficient of thermal expansion) ซง่ึ เปน คุณสมบัติ
ของวัสดุ ดังท่ีแสดงในภาคผนวกท่ี 1
∆T = คา อณุ หภมู ทิ เี่ ปลีย่ นแปลงไป
L = ความยาวของชน้ิ สวนของโครงสราง
δT =คาการยืดหรอื หดตัวของช้นิ สวนของโครงสรา ง
ถาอณุ หภูมิหรอื คา α มีการเปลยี่ นแปลงไปตามความยาวของช้นิ สวนของโครงสรา งแลว คา การยืดหรอื หดตวั
ของช้นิ สว นของโครงสรางจะหาไดจากสมการ
=∫δ T0L ∆T dx (4-5)
α
เราจะหาคาการยืดหรือการหดตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของช้ินสวนของโครงสรางแบบ
statically determinate ไดอ ยา งงายดายโดยใชส มการท่ี 4-4 หรอื 4-5 แตถาชนิ้ สวนของโครงสรางเปนแบบ statically
indeterminate แลว การยืดหรือการหดตัวของชิ้นสวนของโครงสรางจะเกิดขึ้นไมไดอยางอิสระ เนื่องจากการยึด
(constraint) ของจดุ รองรบั (supports) ของช้นิ สวนของโครงสรางนั้น ซึง่ จะกอ ใหเกิด thermal stress ข้นึ ในช้นิ สว นของ
โครงสรา งดังกลาว การคํานวณหาคา ของ thermal stress ในโครงสรา งแบบ statically indeterminate ไดแสดงไวในตัว
อยา งตอไปนี้
รปู ท่ี 4-10