Mechanics of Materials 11-5
แลว หนาตัดของคานไมดังกลา วจะมขี นาดหนาตดั ทแ่ี ทจ ริงเทา กบั 1.5 x 3.5 นิ้ว ดงั นัน้ ในการวิเคราะหห าหนว ยแรงในคาน
ไม เราจะตอ งใชขนาดหนา ตดั ทแี่ ทจริงของคานไมในการหาหนว ยแรงตา งๆ
Built-up Sections
Built-up section เปนหนาตัดของคานท่ีถูกสรางข้ึนมาโดยใชชิ้นสวนประกอบของหนาตัดท่ีมากกวาหนึ่งชิ้นสวน
มาเชือ่ มตอ กนั ใหเ ปนหนา ตดั เดยี วกนั ดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี 11-4 Built-up section มักจะถูกนํามาใชเมื่อแรงที่กระทําตอคานมี
คามากกวาท่ีหนาตัดมาตรฐานตางจะสามารถรองรับได ตามท่ีเราไดทราบมาแลววา ความสามารถของคานในการ
ตานทานโมเมนต M จะเปนสัดสวนโดยตรงกับคา section modulus S = I / c ของคาน ดังนั้น S จะมีคาเพ่ิมขึ้นเมื่อ
I มีคาเพ่ิมข้ึน ซึ่งในการที่จะเพิ่มคา I ของหนาตัดของคาน เราจะตองวางวัสดุที่ใชทําคานใหหางออกจากแกนสะเทิน
(neutral axis) ของคานใหม ากข้นึ เทา ทค่ี มู อื ออกแบบกาํ หนด ซ่งึ ถา ระยะดงั กลาวมคี า มากกวาท่ีคูมือออกแบบกําหนด หนา
ตัดของคานดงั กลาวจะเสียเสถยี รภาพไดงาย
รูปท่ี 11-4
ในการจดั เรยี งชิ้นสวนของ built-up section เราควรจัดเรยี งชิ้นสว นเหลาน้นั ใหมีรูปแบบทมี่ ีคา section modulus
สงู สดุ พจิ ารณาหนา ตดั ของคาน ดังท่ีแสดงในรูปที่ 11-5 ซึง่ มพี ้ืนทหี่ นาตัด A และความลกึ ของหนาตัด h ท่ีเทา กนั
y y A/2 y A/3
zz O z A/3
Oh h
O
b A/2 A/3
(a) (b) (c)
รูปท่ี 11-5
จากรูปที่ 11-5a คานหนา ตดั รูปส่เี หล่ยี มผนื ผา จะมีคา section modulus เทา กับ
S = I = bh 2 = Ah = 0.167 Ah
c 6 6
Mechanics of Materials 11-6
ถาใหห นา ตัดของคาน ดังที่แสดงในรูปท่ี 11-5b มพี ้ืนที่ของหนา ตดั A / 2 อยูเหนือและใตแ กน neutral axis เปน
ระยะ h / 2 แลว คา section modulus ของคานน้จี ะมีคาเทา กบั
S = 2 A h 2 1 = 0.5 Ah
2 2 h/2
ถาใหหนาตัดของคานรูปตัว W ดังที่แสดงในรูปท่ี 11-5c มีพ้ืนท่ีหนาตัดของเอว (web) และของปก (flange) ท่ี
อยูเหนือและใตแ กน neutral axis มีคาเทา กับ A / 3 แลว คา section modulus ของคานน้ีจะมคี า เทา กบั
A h2 2 A h 2 7
3 12 3 2 36
I = + = Ah 2
S = 7 Ah2 1 = 0.389 Ah 2
36 h/2
จากการเปรียบเทียบคา section modulus ของคานท้ังสามแบบ เราจะพบวา หนาตัดของคาน ดังที่แสดงในรูปที่
11-5b จะมีคา section modulus สูงสุดและหนาตัดของคานแบบ wide-flange จะมีคา section modulus มากกวาหนา
ตัดของคานรปู สเี่ หล่ยี มผนื ผา กวาสองเทา
ในการออกแบบคานแบบ built-up นั้น เราตองออกแบบใหชิ้นสวนของคานดังกลาวมีพฤติกรรมเหมือนคานปกติ
ดังน้ัน นอกจากท่ีเราจะตองตรวจสอบคาหนวยแรงดัดและหนวยแรงเฉือนอยางท่ีเราตองกระทําในคานโดยทั่วไปแลว เรา
จะตอ งทาํ การตรวจสอบหนว ยแรงเฉือนทเี่ กดิ ข้ึนทต่ี ัวยดึ (fasteners) เชน ท่ีรอยเชื่อม ท่ีตะปู และท่ีสลักเกลียว เปนตน ดวย
เพ่ือท่ีจะทาํ ใหหนา ตัดของคานดังกลาวสามารถท่ีจะตานทานหนวยแรงเฉือนท่ีเกิดข้ึนท่ีจุดเหลานั้นได ซึ่งการตรวจสอบนี้จะ
ทําไดโ ดยการใช shear flow formula ( q = VQ / I ) ที่ตําแหนงที่ตัวยึดเหลานั้นเช่ือมตอชิ้นสวนประกอบของหนาตัดคาน
เขา ดว ยกัน ดงั ท่ไี ดกลา วไปแลวใน section ท่ี 7.4
Mechanics of Materials 11-7
ตวั อยางที่ 11-1
คานไมสักชวงเด่ียวรองรับอยางงายถูกกระทําโดยน้ําหนักบรรทุกและมีหนาตัดรูปสี่เหลี่ยมผืนผาซ่ึงไดจากการนํา
แทงไมสักท่ีมีความกวาง b และความลึกเทากันสามแทงมาประกอบเขากันอยางแนนหนา ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 11-1a
กําหนดใหไมสักมีหนวยแรงดัดประลัย (σ b )ult = 24 MPa หนวยแรงเฉือนประลัย τ ult = 4.8 MPa และ factor of
safety F.S. = 2.0
1.) จงทาํ การออกแบบหาขนาดของหนา ตัดของคานเม่อื h = 2b
2.) ในกรณีที่ตองการยึดแทงไมทั้งสามดวยกาวกําลังสูง จงหาหนวยแรงเฉือนสูงสุดที่เกิดข้ึนท่ีรอยตอระหวาง
แผนไม
3.) ในกรณที ่ตี อ งการยดึ แทง ไมท ้ังสามดวยสลกั เกลียวทม่ี ีคาแรงเฉือนที่ยอมใหเทากับ 5.0 kN จงหาระยะหาง
ระหวางสลักเกลียว
รูปท่ี Ex 11-1
ออกแบบหาขนาดของหนาตัดของคาน
จากคุณสมบัตทิ างกลของไมสัก เราจะหาคาหนว ยแรงดัดทย่ี อมใหและหนวยแรงเฉือนที่ยอมใหดงั น้ี
(σ b ) allow = (σ b )ult = 24 = 12 MPa
F.S. 2.0
τ allow = τ ult = 4.8 = 2.4 MPa
F.S. 2.0
โดยใชแผนภาพ free-body diagram ของคานและสมการความสมดุล เราจะเขียนแผนภาพ shear diagram
และ moment diagram ไดดังท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 11-1b และเราจะไดวา คาสูงสุดของ bending moment และแรงเฉือนท่ี
เกิดข้นึ ในคานจะมคี า เทากบั
M max = 6.0 kN - m
Mechanics of Materials 11-8
Vmax = 5.5 kN
โดยการออกแบบคานโดยพจิ ารณากําลังรบั bending moment ของคาน เราจะไดวา
σ allow = M max c
I
โดยท่ี c = b และ moment of inertia จะอยูในรูป
I = b(2b)3 = 2 b4
12 3
12(106 ) = 6000b
2b4 / 3
b = 0.091 m
ดังนัน้ คานไมส กั จะตองมีความกวา งอยางนอ ย 0.091m และลึกอยางนอ ย 2(0.091) = 0.182 m
ตรวจสอบดวู าคานไมสกั ทม่ี ีขนาดของหนา ตดั ดังกลา วจะสามารถรบั แรงเฉอื นสงู สดุ ทีเ่ กดิ ข้ึนในคานไดห รือไม
จาก shear formula
τ max = 3 Vmax = 3 5500
2A 2 0.091[2(0.091)]
= 0.498 MPa < τ allow = 2.4 MPa Ans.
ดังนั้น หนา ตัดคานทค่ี าํ นวณไดโ ดยพจิ ารณากาํ ลงั รบั โมเมนตด ัดของคานจะมกี าํ ลงั พอเพียงในการรบั แรงเฉอื น
หาหนวยแรงเฉอื นสูงสุดท่ีเกิดขนึ้ ท่รี อยตอ ระหวา งแผนไม
เนือ่ งจากความสมมาตรของหนา ตดั ของคานรอบแกนสะเทิน (neutral axis) ดังนัน้ หนวยแรงเฉือนสงู สดุ ท่ีเกิดขึ้น
ทร่ี อยตอ ระหวางแผน ไมทั้งสองจะมีคา เทา กัน โดยทแี่ ทงไมแตละแทง มคี วามลกึ เทา กบั 0.182 / 3 = 0.061 m
I = 0.091(0.182)3 = 45.717(10−6 ) m 4
12
Q = 0.091(0.061)0.061 = 338.61(10−6 ) m3
จากสมการ shear formula
τ max = Vmax Q = 5500(338.61)10 −6 = 0.448 MPa
It 45.717(10−6 )0.091
ดังนั้น กาวกําลังสงู จะตองมีหนว ยแรงเฉือนที่ยอมใหอยางนอ ยเทา กบั 0.448 MPa Ans.
หาระยะหางระหวางสลักเกลียว
จากสมการ shear flow
qmax = τ maxt = 0.448(0.091) = 40.74 kN/m
ดังนนั้ ระยะหางระหวางสลักเกลยี วจะมคี า เทา กบั
s = 5.0 = 0.122 mm Ans.
40.74
โดยทั่วไปแลว ข้ันตอนสุดทายของการออกแบบคานจะเปนการตรวจสอบการโกงตัวสูงสุดท่ีเกิดในคานวามีคา
นอ ยกวา ท่กี ําหนดใน design code เชน ความยาว span หารดว ย 360 เปนตน ซง่ึ จะกลา วถงึ ในบทท่ี 12
Mechanics of Materials 11-9
ตัวอยา งที่ 11-2
จงหาขนาดหนาตัดของคานเหล็กซึ่งถูกกระทําโดยน้ําหนักบรรทุก ดังท่ีแสดงในรูปที่ Ex 11-2a กําหนดใหเหล็ก
A36 มีหนว ยแรงดดั ที่ยอมให (σ b )allow = 150 MPa หนวยแรงเฉอื นทยี่ อมให τ allow = 100 MPa
รปู ท่ี Ex 11-2
จากแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ไดดังทีแ่ สดงในรปู ที่ Ex 11-1b และเราจะไดวา
M max = 90.0 kN - m
Vmax = 90.0 kN
โดยการออกแบบคานโดยพิจารณากาํ ลงั รบั bending moment ของคาน เราจะไดวา
S req'd = M max 90000 = 600(10−6 ) m 4
(σ b ) allow = 150(106 )
จากตารางของหนาตัดเหล็กมาตรฐาน เราจะไดหนาตัดของคานท่ีมีกําลังเพียงพอในการตานทานตอ bending
moment ดงั นี้
I350×175 × 41.4 kg/m S = 641(10−6 ) m3
W200 × 65.7 kg/m S = 628(10−6 ) m3
เลือกใชหนาตัดของคานท่ีเบาที่สุดคือ I350×175× 41.4 kg/m อยางไรก็ตาม ขอใหสังเกตดวยวา หนาตัด
ของคานดังกลาวมคี วามลกึ มากกวาหนา ตัดของคาน W200 × 65.7 kg/m อยู 0.150 m
ตรวจสอบดูวาคาน I350×175× 41.4 kg/m จะสามารถรับแรงเฉือนสงู สุดที่เกิดขึน้ ในคานไดห รือไม
จากตารางของหนา ตัดเหลก็ มาตรฐาน เราจะไดพ้นื ท่หี นาตดั ของเอว (web) ของหนาตดั คานมคี า เทา กบั
Mechanics of Materials 11-10
Aw = twd = 0.006(0.346) = 2.076(10−3 ) m2
τ max = Vmax = 90000 = 43.35 MPa < τ allow = 100 MPa
Aw 2.076(10−3 )
ดังน้ัน หนาตดั คานที่ไดโ ดยพจิ ารณากาํ ลงั รบั bending moment ของคานจะมกี ําลังพอเพยี งในการรบั แรงเฉอื น Ans.
Mechanics of Materials 11-11
ตัวอยา งที่ 11-3
คานไมช ว งเดี่ยวรองรับอยางงา ยมีหนา ตัดรูปสเ่ี หลยี่ มผนื ผา ถูกกระทาํ โดยแรงกระทําเปน จดุ P ดังที่แสดงในรูปท่ี
Ex 11-3 จงทําการออกแบบหาความลึก h และคาแรงกระทําเปนจุด P สูงสุดท่ีทําใหคานไมมีหนวยแรงภายในเกิดขึ้น
เทากับหนว ยแรงดัดท่ียอมให (σ b )allow = 24 MPa และหนวยแรงเฉือนท่ียอมให τ all = 0.35 MPa พรอมกนั
รูปที่ Ex 11-3
โดยใชแผนภาพ free-body diagram ของคานและสมการความสมดุล เราจะไดวา bending moment และแรง
เฉอื นสูงสุดทเ่ี กดิ ขึน้ ในคานจะอยูในรปู
M max = 0.75P
Vmax = 0.50P
moment of inertia ของหนาตดั คาน
I = 0.150(h)3 = 0.0125h 3
12
โดยการออกแบบคานโดยพิจารณากําลังรับ bending moment ของคาน เราจะไดว า
σ allow = M max c
I
10.5(106 ) = 0.75Ph
0.0125h 3
P = 35,000h2
โดยการออกแบบคานโดยพิจารณากําลังรบั แรงเฉอื นของคาน เราจะไดวา
τ all = 3 Vmax
2A
0.35(106 ) = 3 0.5P
2 0.150h
P = 70,000h
เนอื่ งจากคานไมมหี นวยแรงภายในเกิดขนึ้ เทากับหนวยแรงดดั ทยี่ อมใหแ ละหนวยแรงเฉอื นที่ยอมใหพ รอ มกัน
ดังน้นั แรงกระทาํ เปนจดุ P ท้งั สองกรณีจะมคี าเทา กัน
35,000h2 = 70,000h Ans.
h = 0.20 m
ซ่งึ เราจะไดคา แรงกระทาํ เปนจุด P สงู สุดที่คานสามารถรองรบั ไดมคี าเทา กับ
Pmax = 14 kN Ans.
Mechanics of Materials 11-12
ตัวอยางที่ 11-4
กําหนดใหคาน ดังที่แสดงในรูปที่ Ex 11-4 ถูกรองรับแบบ simple support และถูกกระทําโดยน้ําหนักบรรทุก
w = 0.5 kN/m และ P = 5kN เม่ือหนาตัดของคานมีลักษณะดังท่ีแสดงในรูป โดยมีระยะ y = 0.120 m มี
moment of inertia I = 27(106 )mm4 และวัสดุท่ีใชท าํ คานมีหนวยแรงดัดท่ียอมให 40.0 MPa และหนวยแรงเฉือนท่ี
ยอมใหเทากับ 2.0 MPa ตะปูท่ีใชในการเช่ือมปก (flange) เขากับเอว (web) สามารถรับแรงเฉือนได 2 kN และมีระยะ
ระหวางตะปูเทากับ 50 mm จงทําการวิเคราะหวาคานหนาตัดดังกลาวสามารถรองรับน้ําหนักบรรทุกไดอยางปลอดภัย
หรอื ไม
รูปท่ี Ex 11-4
โดยใชแผนภาพ free-body diagram ของคานและสมการความสมดุล เราจะไดวา แรงเฉือนสูงสุดและโมเมนต
ดัดสงู สุดท่เี กดิ ข้นึ ในคานมคี าเทากบั Vmax = 4.25 kN และ M max = 8.5 kN - m ตามลาํ ดับ
ตรวจสอบกําลังรบั แรงดัด
σ max = M max c = 8500(0.120) = 37.8 MPa
I 27(10−6 )
เนอ่ื งจาก σ max < σ allow = 40.0 MPa ดังน้ัน คานหนาตัดดงั กลาวสามารถรองรับโมเมนตด ัดสงู สุดไดอ ยา งปลอดภยั
ตรวจสอบกําลงั รบั แรงเฉือน
τ max = Vmax Q = 4250[0.030(0.120)0.060] = 1.13 MPa
It 27(10−6 )0.030
เน่อื งจาก τ max < τ allow = 2.0 MPa ดังน้นั คานหนาตดั ดังกลาวสามารถรองรบั แรงเฉอื นสูงสดุ ไดอ ยา งปลอดภัย
ตรวจสอบระยะหางระหวางตะปู
qmax = Vmax Q = 4250[0.150(0.030)0.045] = 31.875 kN/m
I 27(10−6 )
s = 2.0 = 0.0625 m
31.875
เน่ืองจากระยะหางระหวางตะปูทีต่ อ งการมีคามากกวาระยะหา งระหวา งตะปทู ่ใี ช ดังนน้ั ขนาดของตะปูระยะหา งระหวา ง
ตะปทู ่ีใชจ ึงสามารถรองรับแรงเฉือนไดอ ยางปลอดภยั
โดยสรุปแลว คานหนา ตดั ดงั กลาวสามารถรองรับน้าํ หนกั บรรทุกไดอ ยางปลอดภัย Ans.
Mechanics of Materials 11-13
11.4 การออกแบบเพลา (Shaft Design)
เพลาที่มีหนาตัดทรงกลมมักจะถูกใชในเคร่ืองจักรกลตางๆ โดยทั่วไปแลว เพลาเหลาน้ีจะถูกกระทําโดยโมเมนต
ดัด (bending moment) และแรงบิด (torque) รวมกัน ใน section นี้ เราจะศึกษาการออกแบบเพลาที่มีหนาตัดท่ีคงที่ เพื่อ
ใชในการถายแรงจากเฟอง (gear) หรอื pulley ที่ยดึ ตดิ อยูกับเพลาดงั กลาว
พิจารณาเพลาท่ีแสดงในรูปที่ 11-6a ซ่ึงถูกกระทําโดยแรง P1 และ P2 จากรูป เราจะแตกแรงกระทําดังกลาว
ออกเปนองคประกอบของแรงในทิศทางที่ตั้งฉากตอกันได ดังที่แสดงในรูปที่ 11-6b เมื่อเรานําองคประกอบของแรงท่ีไดมา
เขียนแผนภาพ moment diagrams เราจะไดแผนภาพ moment diagrams เน่ืองจากแรงกระทําที่อยูในระนาบ y − z
และระนาบ x − z ดังท่ีแสดงในรูปที่ 11-6c จากแผนภาพท้ังสอง เราจะหาคาของโมเมนตดัดลัพธภายในเพลาท่ีหนาตัด
ใดๆ ไดโดยใชสมการ M = M 2 + M 2 นอกจากนั้นแลว เน่ืองจากเพลายังถูกกระทําโดยแรงบิดตลอดความยาวของ
x z
เพลา ดังนั้น เราจะเขียนแผนภาพ torque diagram ไดดังที่แสดงในรปู ท่ี 11-6d
รปู ท่ี 11-6
จากแผนภาพ moment diagrams และแผนภาพ torque diagram เราจะหาหนา ตดั ของเพลาทีถ่ กู กระทําโดย
โมเมนตลัพธ M สูงสดุ และแรงบิด T สูงสุดได จากนน้ั เราจะหาคาของหนว ยแรงสูงสุดทเี่ กดิ ขึ้นท่ีหนา ตดั น้ัน โดยใช
สมการ flexural formula และสมการ torsion formula ตามลาํ ดับ เราควรทจ่ี ะทราบดวยวา ในการออกแบบเพลาใน
Mechanics of Materials 11-14
ลักษณะนี้ เราจะไมน าํ หนวยแรงเฉือน τ = VQ / It มาพิจารณา เนอ่ื งจากหนวยแรงเฉือนดังกลา วมักจะมคี า นอ ยมากเมอ่ื
เทยี บกบั คา ของหนวยแรงที่เกดิ จากโมเมนตลัพธ M และแรงบดิ T
รูปที่ 11-6e และ 11-6f แสดงจุดบนหนาตดั ของเพลาท่ถี ูกกระทําโดยหนวยแรงตั้งฉากสงู สดุ และหนวยแรงเฉอื น
สูงสดุ ตามลําดบั โดยทั่วไปแลว จดุ ดังกลา ว (จดุ C หรือจดุ D ) จะถูกกระทาํ โดยสภาวะของหนวยแรงแบบ plane
stress ดังท่ีแสดงในรปู ที่ 11-6g โดยทห่ี นว ยแรงต้งั ฉากสูงสดุ จะมีคาเทา กับ
σ max = M max c
I
และหนวยแรงเฉือนสูงสุดจะมคี าเทากับ
τ max = Tmax c
J
รปู ที่ 11-6 (ตอ )
ถาเราทราบคาหนวยแรงดัดที่ยอมใหและหนวยแรงเฉือนที่ยอมใหของวัสดุที่ใชทําเพลาแลว เราจะหาขนาดของ
เพลาไดโดยใชสมการหนวยแรงสูงสุดท้ังสองสมการและ theory of failure ที่เหมาะสม ซึ่งโดยปกติแลว วัสดุท่ีใชทําเพลา
มักจะเปนวัสดุเหนียว (ductile material) ดังน้ัน เราจะใช maximum shear stress theory ดังที่กลาวไปแลวใน section ท่ี
10.7 ในการวเิ คราะหต อไปน้ี
จากสมการ stress transformation และสภาวะของหนว ยแรง ดังทแี่ สดงในรปู ที่ 11-6g เราจะไดว า
σ 2 Mc 2 Tc 2
2 2I J
τ allow = +τ 2 = +
สําหรบั เพลาท่มี ีหนา ตดั ทรงกลม I = πc 4 และ J = πc 4 ดงั นัน้
4 2
τ allow = 2 M 2 +T2
πc 3
Mechanics of Materials 11-15
และเราสามารท่ีจะหาคาของรศั มขี องเพลาไดจาก
c = 2 M 2 + T 2 1/ 3 (11-2)
πτ allow
ในกรณีที่วัสดุที่ใชท าํ เพลาเปนวสั ดุเปราะ (brittle material) แลว เราจะใช maximum normal stress theory ใน
การออกแบบ ซงึ่ จะทาํ ใหเราไดสมการทใี่ ชใ นการออกแบบเพลาทแ่ี ตกตางจากท่ไี ดในสมการท่ี 11-2
Mechanics of Materials 11-16
ตวั อยางที่ 11-5
จงหาขนาดเสน ผา ศนู กลางของเพลา ดังท่แี สดงในรูปท่ี EX 11-5a ซ่ึงถกู กระทําโดยแรง P1 และแรง P2 ที่ gear
C และที่ gear D ตามลาํ ดับ ซ่งึ แรงทง้ั สองกอ ใหเกิดแรงกระทําเปนจดุ และแรงบิดกระทําตอเพลาท่ีจดุ C และท่จี ุด D
ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี EX 11-5b กําหนดให τ allow = 50 MPa
รูปท่ี EX 11-3
จากแผนภาพ free-body diagram ของเพลา ดังทแี่ สดงในรูปที่ EX 11-5b เราจะสามารถเขียนแผนภาพ
moment diagram และ torque diagram ของเพลา ดงั ท่แี สดงในรูปที่ EX 11-5c และ Ex 11-5d ตามลําดับ
จากแผนภาพ moment diagram เราจะไดวา คา สงู สุดของ moment ลพั ธจะเกดิ ที่จุด C หรือทจ่ี ดุ D โดยท่ี
M C = 602 + 2252 = 232.9 N - m
M D = 1502 + 902 = 174.9 N - m
ดงั นน้ั คา สงู สุดของ moment ลพั ธจ ะเกดิ ท่จี ุด C และขนาดเสน ผาศูนกลางของเพลาจะมีคาเทา กบั
d = 2 π 2 6 232.92 + 1002 1/ 3 = 0.0296 m Ans.
(50)10
Mechanics of Materials 11-17
แบบฝกหัดทายบทท่ี 11
11-1 คานไม ดังท่แี สดงในรูปท่ี Prob. 11-1 มีหนวยแรงดดั ทยี่ อมให (allowable bending stress) σ allow = 0.760
MPa และหนวยแรงเฉอื นทยี่ อมให (allowable shear stress) τ allow = 0.480 MPa
a.) จงเขยี นแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน
b.) จงออกแบบหาความกวา ง b ของคาน
รปู ที่ Prob. 11-1
11-2 คานไม ดงั ท่แี สดงในรูปที่ Prob. 11-2 มหี นวยแรงดดั ท่ียอมให (allowable bending stress) σ allow = 25 MPa
และหนวยแรงเฉอื นท่ียอมให (allowable shear stress) τ allow = 0.700 MPa จงหาขนาดของแรง P สงู สดุ ท่ยี อมให
กระทาํ ตอคานคาน
รูปท่ี Prob. 11-2
11-3 จงหาขนาดหนาตัด wide-flange ทเ่ี บาที่สดุ ของคานเหล็ก A36 ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี Prob. 11-3 ถาเหล็กมี
σ allow = 165 MPa และτ allow = 100 MPa
รูปที่ Prob. 11-3
11-4 จงตรวจสอบดูวา คานเหลก็ A36 หนาตัด W310 × 21kg/m ดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี Prob. 11-4 สามารถรองรบั นํา้
หนกั บรรทุกไดอยางปลอดภยั หรอื ไม ถากําหนดใหเหล็กมี σ allow = 150 MPa และτ allow = 85 MPa
Mechanics of Materials 11-18
รูปที่ Prob. 11-4
11-5 จงหาขนาดหนา ตดั wide-flange ทเี่ บาที่สุดของคาน ดังที่แสดงในรูปท่ี Prob. 11-5 ถาเหลก็ มีσ allow = 150 MPa
และτ allow = 85 MPa
รปู ที่ Prob. 11-5
11-6 คานถกู ใชในการขนถา ยสินคาสาํ หรับรถไฟมีลกั ษณะดังที่แสดงในรูปที่ Prob. 11-6 ถา นํา้ หนักบรรทกุ สูงสุดท่กี ระทาํ
ตอ คานมีคา เทากับ 50 kN จงหาขนาดหนา ตดั wide-flange ทีเ่ บาท่ีสดุ ของคาน เมือ่ รอกไฟฟา สามารถเคลือ่ นทไี่ ดในชว ง
0.5 m ≤ x ≤ 7.5 m และ σ allow = 165 MPa และτ allow = 85 MPa
รูปท่ี Prob. 11-6
11-7 กาํ หนดใหคานไมรองรบั แรงกระทํา P = 16 kN ดังทแี่ สดงในรปู ที่ Prob. 11-7
a.) จงหาขนาด a ของคานไมเ มอ่ื σ allow = 30 MPa และτ allow = 0.800 MPa
b.) จงหาระยะ s ระหวางสลกั เกลยี ว ถา สลกั เกลยี วสามารถรบั แรงเฉอื นได 2.5 kN
Mechanics of Materials 11-19
รปู ที่ Prob. 11-7
11-8 bearing ที่จดุ A และจุด D ของเพลา ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี Prob. 11-8 มแี รงปฏิกรยิ าเฉพาะในแนวแกน y และแกน
z จงหาขนาดเสนผาศนู ยก ลางทเ่ี ล็กทสี่ ุดที่เปนจาํ นวนเต็มหนวยมลิ ลิเมตรของเพลา เม่ือ σ allow = 130 MPa และ
τ allow = 60 MPa โดยใช maximum normal stress theory และ maximum distortion energy density
รปู ท่ี Prob. 11-8
11-9 จงหาขนาดเสนผา ศูนยก ลางท่ีเลก็ ท่ีสดุ ท่ีเปน จํานวนเตม็ หนว ยมลิ ลเิ มตรของเพลา ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี Prob. 11-9 โดย
ใช maximum distortion energy density เมือ่ bearing ทจี่ ดุ A และจุด B ของเพลามีแรงปฏกิ ริยาเฉพาะในแนวแกน
y และแกน z และ σ allow = 130 MPa
รูปท่ี Prob. 11-9
Mechanics of Materials 12-1
บทท่ี 12
การโกงตวั ของคาน (Deflection of Beams)
เรยี บเรยี งโดย ดร. สิทธชิ ัย แสงอาทติ ย
12.1 แผนภาพการโกง ตัวและเสนโคงการโกงตัว (Deflection Diagram and Elastic Curve)
เม่ือคานถูกกระทําโดยแรงตามขวาง (transverse loads) แลว คานจะมกี ารเปลย่ี นแปลงรปู รา งเกดิ ขน้ึ ในลักษณะ
ของการโกงตวั เปนเสนโคง ซ่ึงมักจะถกู เรียกวา deflection curve กอ นท่จี ะคํานวณหาคา การโกงตัว (deflection) ของคาน
ได เราควรท่ีจะทําการราง (sketch) แผนภาพ deflection diagram ของคาน ซงึ่ แผนภาพดงั กลาวจะแสดงถงึ เสน โคง การ
โกง ตวั (elastic curve) ของคานท่ีผานจุด centroid ของพน้ื ทห่ี นาตดั ของคาน elastic curve นี้จะชวยใหเราเห็นลกั ษณะ
การเปล่ยี นแปลงรูปรา งของโครงสรา งอยา งคราวๆ ซึง่ จะชวยในการตรวจสอบวาคา และรปู รางการโกง ตวั ของคานท่คี าํ นวณ
ไดน าจะมคี วามถูกตองหรอื ไม
โดยท่วั ไปแลว ถา เราทราบถึงวา จดุ รองรบั (support) แตล ะประเภทจะปอ งกันไมใ หเ กดิ มมุ ลาด (slope) และการ
เปลี่ยนตําแหนง (displacement) ท่จี ุดรองรับประเภทนั้นๆ อยา งไรแลว เราจะราง elastic curve ของคานขึ้นมาไดโดยไม
ยาก โดยสรุปแลว เราจะกลาวไดว า จดุ รองรบั ทต่ี า นทานตอ แรงกระทํา เชน หมุด (pin) และลอเลอ่ื น (roller) เปน ตน จะ
ปอ งกนั ไมใ หเกิดการเปล่ยี นตําแหนง สว นจุดรองรบั ทต่ี า นทานตอแรงกระทําและโมเมนต เชน จุดรองรบั แบบยึดแนน (fixed
support) เปนตน จะปองกันการไมใ หเกดิ การเปล่ยี นตําแหนง และการหมนุ (rotation)
โดยใชข อ สรปุ ดังกลา ว เราจะราง elastic curve ของคานท่ีถกู กระทําโดยแรงได ดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี 12-1 โดยทกี่ าร
โกง ตวั ของคานทร่ี า งขน้ึ มานจ้ี ะมีขนาดใหญกวา ความเปนจรงิ มาก
รปู ที่ 12-1
ในกรณีทเี่ ราไมส ามารถรา ง elastic curve ข้ึนมาไดโดยงา ย เราควรท่ีจะเขยี นแผนภาพ moment diagram ของ
คานข้นึ มากอน จากนน้ั เราจะใช sign convention ดังท่แี สดงในรูปที่ 12-2 ชวยในการราง elastic curve ของคาน โดยท่ี
¾ โมเมนตท ีม่ ีคาเปน บวกจะทาํ ใหคานเกิดการโคง หงาย (concave upward)
¾ โมเมนตทีม่ ีคาเปนลบจะทําใหค านเกิดการโคง ควา่ํ (concave downward)
พจิ ารณาคานดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี 12-3a ซึ่งมีแผนภาพ moment diagram ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 12-3b คานนีจ้ ะไมมี
การเปล่ียนตําแหนงเกิดขน้ึ ที่จุด B และจุด D เน่ืองจากจุดรองรบั ของคานนี้ท่จี ดุ B เปน roller และท่ีจดุ D เปนหมดุ
นอกจากนน้ั แลว ในชวงของคานทีม่ ีโมเมนตเปน ลบ คานจะเกดิ การโคงคว่ํา และในชว งของคานที่มีโมเมนตเปนบวก คาน
จะเกดิ การโคง หงาย และจดุ เชอ่ื มตอ ของการเกดิ การโคงควาํ่ และเกดิ การโคง หงายนจ้ี ะถกู เรยี กวา จดุ ดัดกลับ (inflection
point) ซึ่งเปนจุดทีม่ ีคา โมเมนตเปน ศูนย จากหลักการดังกลา ว เราจะเขียนแผนภาพ deflection diagram ของคานนี้ไดด ัง
รูปที่ 12-3c
Mechanics of Materials 12-2
รปู ที่ 12-2
รูปท่ี 12-3
พจิ ารณาคาน ดังที่แสดงในรูปท่ี 12-4a ซึ่งมีแผนภาพ moment diagram ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี 12-4b คานน้จี ะไมม ี
slope และการเปล่ียนตาํ แหนงเกดิ ขึ้นทจ่ี ดุ รองรับแบบยดึ แนน ดงั ที่แสดงในรปู ที่ 12-4c แตจะมที ง้ั slope และการเปล่ยี น
ตาํ แหนง เกิดข้ึนทีป่ ลายอิสระ C โดยใชห ลักการขา งตน เราจะเขียนแผนภาพ deflection diagram ของคานนไ้ี ดดงั ท่ีแสดง
ในรปู ที่ 12-4c
รูปท่ี 12-4
Mechanics of Materials 12-3
12.2 ทฤษฎคี านยดื หยุน (Elastic Beam Theory)
พิจารณาคานยื่น (cantilevered beam) ทีม่ จี ดุ เร่ิมตน ของระบบแกนอา งองิ แบบตัง้ ฉาก x - y ท่ีจุด A ดังท่ี
แสดงในรูปท่ี 12-5a กําหนดใหแ รงกระทาํ อยูในระนาบเดียวกนั กบั ระนาบท่ีหนาตดั ของคานมีความสมมาตรและกระทําต้ัง
ฉากกบั แนวแกนของคาน ดังนน้ั ภายใตการกระทําของแรง คานจะเกดิ การโกงตวั ในระนาบที่แรงกระทาํ เทาน้นั ดังท่ีแสดง
ในรปู ที่ 12-5b โดยทีร่ ะนาบของหนา ตัดของคานที่ต้ังฉากกบั แนวแกนของคานไมมกี ารเปลย่ี นแปลงรูปรางและยงั คงตั้งฉาก
กับแนวแกนของคานเหมอื นกอ นทค่ี านจะเกดิ การโกง ตวั ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี 12-5d นอกจากนัน้ แลว เน่อื งจากความยาวของ
คานมีคา มากกวา ความลกึ ของคานมาก เราจะพิจารณาเฉพาะการโกงตวั ท่ีเกดิ ขึ้นจากโมเมนตด ดั เทา น้ัน
รูปท่ี 12-5
Curvature ของ Differential Element
พจิ ารณา differential element ของคานระหวา งจดุ m1 (ที่ระยะ x จากจุด A ) และจุด m2 (ทรี่ ะยะ x + dx
จากจดุ A ) ดังท่ีแสดงในรูปที่12-5b และ 12-5c โดยท่ีระยะ dx มีคาทนี่ อ ยมาก กาํ หนดใหค วามยาวของ differential
Mechanics of Materials 12-4
element ทแ่ี กนสะเทิน (neutral axis) ของหนา ตัดคานภายใตก ารกระทาํ ของแรงมีคา เทากบั ds = ρ dθ ดังน้ัน ความ
โคง (curvature) ของ differential element น้จี ะหาไดจ ากสมการ
1 = dθ (a)
ρ ds
และมุมลาด (slope) ของ differential element ทแี่ กน neutral axis ของคานระหวา งจุด m1 และ m2 จะมีอยูในรปู
dv = tan θ หรอื θ = arctan dv (b)
dx dx
จากวชิ า calculus เนื่องจาก θ และ s มคี วามสมั พนั ธกบั x ดังน้นั เราจะเขยี นสมการของความโคง
(curvature) ไดเ ปน
1 = dθ . dx
ρ dx ds
และเมื่อทําการแทนสมการ (a) ลงในสมการ (b) เราจะไดวา
1 = dθ . dx = d (arctan dv ). dx (c)
ρ dx ds dx dx ds
จากรปู ท่ี 12-5c ความยาวของ differential element จะหาไดจ ากสมการ
ds 2 = dx 2 + dv 2
ds = dx 2 + dv 2 (d)
เม่ือทาํ การหารสมการ (d) ดว ย dx เราจะได
ds = [1 + ( dv )2 ]1/ 2
dx dx
dx 1 (e)
=
ds dv
[1 + ( dx ) 2 ]1/ 2
จากวชิ า calculus,
d 2v
d (arctan dv ) = dx 2 (f)
dx dx dv
[1 + ( dx ) 2 ]
แทนสมการ (e) และสมการ (f) ลงในสมการ (c) เราจะได สมการความโคงของ differential element ของคานอยู
ในรูป
d 2v
1 = dx 2 (12-1)
ρ dv
[1 + ( dx ) 2 ]3/ 2
Moment-Curvature Relationships
ความสัมพนั ธข องโมเมนตแ ละความโคง ของ differential element จะหาไดดังตอ ไปน้ี
พิจารณารูปที่ 12-5d ซ่ึงเปน ภาพขยายของ differential element ของคานกอ นและหลงั จากทถี่ ูกกระทําโดย
โมเมนตด ัดภายใน M
Mechanics of Materials 12-5
กอ นทจ่ี ะเกดิ การการดัด: ความยาวของ differential element ทแ่ี กนสะเทิน (neutral axis) และท่ีระยะ y จะมี
คา เทากันคอื
dx = ds′ = ρ dθ
หลงั จากท่ีเกิดการดดั : ความยาวของ differential element ท่ีแกน neutral axis ยงั คงมีความยาวเทาเดมิ dx
(จากคํานยิ ามของแกนสะเทนิ ) แตค วามยาวของ differential element ท่ีระยะ y จากแกน neutral axis จะมคี าเปลยี่ น
จาก ds′ เปน ds′′ โดยท่ี
ds′′ = (ρ - y)dθ
โดยใชนิยามของความเครียดตง้ั ฉาก เราจะไดวา
ε = ds′′ − ds′ = (ρ - y)dθ - ρ dθ =− y
ds′ ρ dθ ρ
1 = − ε
ρ y
ถา วสั ดทุ ี่ใชทําคานเปน วัสดุที่มคี ณุ สมบัติเหมือนกนั ทกุ ทิศทาง (isotropic) และมีเน้อื เดยี วกัน (homogenous)
และมีพฤตกิ รรมอยูใ นชว งยดื หยนุ เชิงเสน (linear elastic) แลว จาก Hooke’s Law, σ = Eε และ flexural formula,
σ = Mc / I เราจะไดวา ความเครียด (strain) ทต่ี าํ แหนง y ซงึ่ ถูกกดอัดจะหาไดจากสมการ
ε = - My
EI
ดังน้ัน
1 = M (12-2)
ρ EI
เมอ่ื ρ เปน radius of curvature ของ differential element
M เปนโมเมนตดัดภายในท่กี ระทําอยบู น differential element
E เปน modulus of elasticity ของวัสดทุ ี่ใชทาํ คาน
I เปน moment of inertia ของพืน้ ทห่ี นาตดั ของคานรอบแกน neutral axis
คา EI มักจะถูกเรยี กวา ความแกรงตอการดัด (flexural rigidity) ซึง่ จะมีคา เปน บวกเสมอ
เคร่อื งหมายของรัศมีความโคง (radius of curvature) ρ นจี้ ะข้นึ อยกู บั เคร่ืองหมายของโมเมนต M เมอ่ื M
มคี า เปนบวกแลว ρ กจ็ ะมคี าเปนบวกดวยและเมอื่ M มคี า เปนลบแลว ρ กจ็ ะมคี า เปน ลบดว ย ดังท่ีแสดงตามรปู ท่ี
12-6
รปู ท่ี 12-6
Differential Equations of the Deflection Curve
แทนสมการท่ี 12-1 ลงในสมการที่ 12-2 เราจะได
Mechanics of Materials 12-6
d 2v
M = dx 2 (12-3)
EI ( dv )2
[1 + dx ]3 / 2
สมการที่ 12-3 น้เี ปนสมการ nonlinear second order differential equation และมักจะถูกเรียกวาสมการ
elastica
สมการการโกง ตวั v = f (x) ทไ่ี ดจากสมการนจี้ ะเปนคาการโกง ตวั ท่ีแทจ รงิ ของคาน แตจะหามาไดยากมาก
เนือ่ งจากสมการน้เี ปนสมการไมเชงิ เสน (nonlinear equation) อยา งไรกต็ าม โดยปกติแลว คาการโกง ตัวของคานจะถูก
จํากัดที่คาใดคา หน่งึ (ซึง่ จะมีคา นอยมาก เชน L / 360 เมอ่ื L เปน ความยาวของคาน เปนตน) เพือ่ ปอ งกนั การแตกราว
dv dv 2
dx dx
ของคานและผนังใตคาน และการสนั่ ของคาน ดงั นนั้ คา slope กจ็ ะมคี านอ ยกวา 1 มากและเทอมความโคง
ในสมการท่ี 12-3 จะมีคาประมาณศูนยแ ละจะไมน ํามาคดิ ดังนั้น เราจะเขียนสมการที่ 12-3 ไดใหมเ ปน
M = d 2v (12-4)
EI dx 2
จากสมมตุ ิฐานดงั กลา ว เราจะไดว า ความยาวของคานกอ นถูกกระทาํ โดยแรงจะมีคา โดยประมาณเทา กบั ความ
ยาวของคานหลงั จากที่ถูกกระทําโดยแรงหรือ
ds = dx2 + dv 2 = 1 + ( dv )2 dx ≈ dx
dx
12.3 วธิ ีอนิ ทเี กรทสองชน้ั (Double Integration Method)
สมการท่ี 12-4 จะถกู เขียนใหอยใู นรูปอ่นื ๆ ไดดังตอ ไปนี้
ถาเราทําการ differentiate สมการที่ 12-4 เทียบกับ x โดยที่ให V = dM / dx แลว ทาํ การจัดรปู สมการใหม
เราจะไดค วามสมั พันธของการโกง ตัว v กับแรงเฉือน V อยใู นรูป
d EI d 2v = V (x) (12-5)
dx dx 2
ถา เราทําการ differentiate สมการท่ี 12-5 เทยี บกบั x โดยทีใ่ ห dV / dx = −w แลว เราจะไดค วามสมั พันธ
ของการโกงตวั v กบั แรงกระทาํ แผกระจาย (distributed load) w อยูในรูป
d2 EI d 2v = − w( x) (12-6)
dx 2 dx 2
ในกรณีท่ี flexural rigidity ของคานมคี า คงท่ีตลอดความยาวของคานแลว สมการที่ 12-4 ถงึ 12-6 จะถูกเขยี น
ใหมไ ดใ นรปู
EI d 4v = − w( x) (12-7)
dx 4
EI d 3v = V (x) (12-8)
dx 3
EI d 2v = M (x) (12-9)
dx 2
ในการหาคา slope และ deflection ของคานโดยใชส มการที่ 12-7 ถึง 12-9 เราตอ งทาํ การอินทเิ กรทสมการดัง
กลาวอยางตอ เนือ่ ง (successive integration) ในการทาํ การอนิ ทิเกรทแตละคร้งั นัน้ เราจะไดค า คงท่ขี องการอนิ ทเิ กรท
Mechanics of Materials 12-7
(constant of integration) ซงึ่ จะหาไดจากการใชเ ง่อื นไขขอบเขต (boundary conditions) และเง่อื นไขความตอ เนื่อง
(continuity conditions) ของคานและจะทําใหค ําตอบทไี่ ดเปน คาํ ตอบเฉพาะของแตล ะคานนั้นๆ
ถาแรงทก่ี ระทาํ บนคานมีความไมต อเนอ่ื งหรอื ประกอบดว ยชุดของแรงแผกระจาย (distributed loads) และแรง
กระทําเปน จดุ (concentrated loads) แลว เราจะหาสมการโมเมนตภ ายใน M ของแตล ะชวงระหวางแรงกระทาํ เหลา นัน้
ไดห ลายสมการ ยกตวั อยา งเชน พิจารณาคาน ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี 12-7a เราจะเขยี นสมการโมเมนตใ นชว ง AB ชว ง BC
และชว ง CD ในเทอมของพิกดั x1 x2 และ x3 ได โดยท่ีเราจะเลือกใชพิกัดอันใดอนั หนงึ่ ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี 12-7b หรือ
12-7c ในการเลือกพิกัดนั้นเราจะเลือกพกิ ดั ทีท่ ําใหเ ราสามารถเขียนสมการของโมเมนตไ ดไ วทส่ี ุด ซง่ึ ข้นึ อยูก ับความถนัด
ของแตล ะคน หลงั จากที่เราทําการอินทเิ กรทสมการที่ 12-9 และหาคา คงทข่ี องการอินทิเกรทไดแ ลว เราจะไดสมการของ
slope และ deflection ของคาน ซง่ึ เกดิ จากแรง P และ w
รปู ท่ี 12-7
Sign Convention
รูปที่ 12-8a แสดง sign convention ของแรงภายนอกและแรงภายในทมี่ คี า เปนบวก ซ่งึ เราใชในการหาสมการท่ี
12-9 นอกจากนั้นแลว รูปที่ 12-8b แสดง sign convention ของความลาดชัน (slope) และการโกงตวั (deflection) ของ
คานทม่ี คี าเปน บวก ซ่ึงในทนี่ ี้ เราจะให deflection มคี าเปนบวก เมื่อมที ิศทางพุง ข้นึ และ slope มคี า เปนบวก เมื่อหมนุ ทวน
เขม็ นาฬิกาจากแกน x ซงึ่ การที่ slope และ deflection มีคาเปนบวกในทศิ ทางดังกลาวน้นั เกดิ จากการทเ่ี มอ่ื dx และ
dv มคี าเปนบวกในทิศทางของ x และ v แลว คา dθ จะมีทศิ ทางทวนเขม็ นาฬิกาจากแกน x
Mechanics of Materials 12-8
รปู ท่ี 12-8
Boundary และ Continuity Conditions
คาคงท่ีของการอนิ ทิเกรททไ่ี ดมาจากการอินทเิ กรทสมการท่ี 12-9 จะหามาไดจากคา slope และ deflection ของ
คานท่ีเราทราบคา ท่ีจดุ ตา งๆ บนคาน ซึ่งคา เหลา นม้ี กั ถกู เรยี กวา boundary conditions ยกตวั อยางเชน ถาคานถูกรองรบั
โดยหมดุ (pin) และลอ เลอื่ น (roller) แลว คา deflection ในแนวดิ่งของคานทจี่ ุดรองรบั ดังกลา วจะมีคา เปนศูนย และถา
คานถูกรองรับแบบยดึ แนน (fixed supports) แลว slope และ deflection ท่จี ุดดังกลา วจะมคี าเปนศูนย ดังทแ่ี สดงในตา
รางท่ี 12-1
ตารางที่ 12-1
Type of supports Boundary conditions
∆=0
Roller M = 0
∆=0
Pin M = 0
∆=0
Roller
∆=0
Pin θ =0
∆=0
Fixed end
Free end V =0
Internal pin or hinge M =0
M =0
ถาคานถกู กระทําโดยแรงทไ่ี มม ีความตอเน่ืองดงั ทไ่ี ดกลาวไปแลว เราจะตอ งใชเงอ่ื นไขความตอเนอื่ ง (continuity
condition) ในการหาคาคงที่ของการอนิ ทิเกรท
Mechanics of Materials 12-9
พจิ ารณาคาน ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ 12-9a จากรูป เน่อื งจากคานไมมคี วามตอเน่ืองทจี่ ุด B ดงั นัน้ เราจะตอ งใช
พกิ ดั x1 และ x2 ในชวง AB และชว ง BC ในการเขียนสมการ slope และ deflection ซ่งึ จะทาํ ใหเ กิดคาคงท่ขี องการ
อินทิเกรททั้งสนิ้ 4 คา โดยที่คา คงทข่ี องการอนิ ทเิ กรท 2 คาจะหาไดจ ากเงื่อนไขขอบเขต (boundary conditions) ของคาน
และคา คงที่ของการอนิ ทิเกรทอกี 2 คา ทีเ่ หลอื จะไดจากการพจิ ารณาคา slope และ displacement ที่จดุ B โดยทีค่ า
slope และ displacement ที่หามาไดในชวง AB ท่ีจุด B หรือ x1 = a จะมีคาเทา กบั คา slope และ displacement ที่
หามาไดใ นชว ง BC ทีจ่ ุด B หรอื x2 = a เพื่อที่วา deflection curve ของคานจะมีความตอเนือ่ งท่จี ดุ น้หี รือถาเขียน
เปน สมการแลว เราจะไดวา
θ1 (a) = θ 2 (a) และ v1 (a) = v2 (a)
ในกรณที ่ีเราใชพกิ ดั x1 และ x2 ดงั ทแี่ สดงในรูปท่ี 12-9b แลว เราจะเขียนสมการของ continuity condition ท่ี
จดุ B ไดอยใู นรปู
−θ1 (a) = θ 2 (b) และ v1 (a) = v2 (b)
เครื่องหมายลบในสมการของ slope เกดิ ขึน้ เนือ่ งจากวาพกิ ัด x1 มีทิศทางบวกไปทางขวามอื เมื่อ θ1(a) หมนุ ตามเข็ม
นาฬิกา จาก sign convention ทเี่ ราใช θ1(a) จะมเี คร่อื งหมายเปน ลบ สว น x2 มที ศิ ทางบวกไปทางซายมอื เมอื่ θ 2 (b)
หมุนตามเขม็ นาฬกิ า จาก sign convention ทเ่ี ราใช θ 2 (b) จะมเี คร่อื งหมายเปนบวก
รปู ที่ 12-9
Mechanics of Materials 12-10
ตวั อยา งที่ 12-1
จงหาสมการของ slope ทีจ่ ุด B และการโกง ตวั ทจี่ ุด C ของคานย่นื ซ่ึงถูกกระทําโดยแรง P และมี flexural
rigidity EI คงทีต่ ลอดความยาวของคาน ดังทแ่ี สดงในรปู ท่ี Ex 12-1a
รปู ท่ี Ex 12-1
จากลกั ษณะของคานและการกระทาํ ของแรง เราจะรางรูปรา งการโกงตวั ของคานได ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 12-1b
กาํ หนดใหจดุ เรม่ิ ตน ของ coordinate x อยทู ี่จดุ A ดงั นน้ั เราจะหาสมการของโมเมนตดัดไดในรปู
M (x) = Px − PL = −P(L − x)
จากสมการของ elastic beam เราจะไดว า
EI d 2v = Px − PL
dx 2
EI dv = P x2 − PLx + C1
dx 2
EIv = P x3 − PL x2 + C1x + C2
6 2
ในการวิเคราะหหาสมการของ slope และสมการของการโกงตัวของคานยื่นน้ี เราตองหาคาคงท่ีของการ
integration 2 คาโดยใช boundary condition สองเงือ่ นไขคือ v = 0 และ dv = 0 ที่ x = 0 ซึ่งเราจะไดวา
dx
C1 = 0
C2 = 0
ดังน้นั สมการของ slope และสมการของการโกงตวั ของคานจะอยใู นรปู
θ = dv = 1 (P x2 − PLx)
dx EI 2
v = 1 (P x3 − PL x2 )
EI 6 2
ท่ีจุด B , x = 2a ,
θ = −2Pa(L − a) Ans.
Mechanics of Materials 12-11
ท่จี ุด C , x = L , Ans.
vC = PL3
− 3EI
Mechanics of Materials 12-12
ตวั อยางท่ี 12-2
กําหนดใหคาน simply supported beam ซึ่งถกู กระทําโดยน้ําหนักบรรทุกแบบกระจายสมาํ่ เสมอ w และมี
flexural rigidity EI คงทต่ี ลอดความยาวของคาน ดังทีแ่ สดงในรูปที่ Ex 12-2 จงหาสมการของ slope สงู สุด θ max และ
สมการของการโกง ตวั สูงสุด vmax ของคาน
รปู ที่ Ex 12-2
จากลักษณะของคานและการกระทาํ ของแรง เราจะรา งรูปรางการโกงตัวของคานได ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี Ex 12-2a
จากระบบแกนอา งองิ เราจะหาสมการของโมเมนตดัดไดเปน
M (x) = wLx − wx 2
2 2
จากสมการของ elastic beam เราจะไดว า
EI d 2v = wLx − wx 2
dx 2 2 2
EI dv = wLx 2 − wx 3 + C1
dx 4 6
EIv = wLx 3 − wx 4 + C1x + C2
12 24
ในการวเิ คราะหหาสมการของ slope และสมการของการโกง ตัวของคานโดยวิธี double integration ในทน่ี ี้ เรามี
คาคงทข่ี องการ integration จากสมการของ elastic beam ทงั้ สนิ้ 2 คา ซึ่งจะหาไดโ ดยใช boundary condition สองเง่ือน
ไขคือ v = 0 ท่ี x = 0 ซึง่ เราจะไดว า
C2 = 0
และ dv = 0 ที่ x = L/2 ซง่ึ เราจะไดวา
dx
C1 = − wL3
24
Mechanics of Materials 12-13
ดงั น้ัน สมการของ slope และสมการของการโกง ตัวของคานจะอยใู นรปู
θ = dv = − w (4x3 − 6Lx 2 + L3 )
dx 24EI
v = − w (x4 − 2 Lx 3 + L3 x)
24EI
จากรปู รางการโกงตวั ของคาน slope สูงสุด θ max เกิดขึ้นท่ีจุดรองรบั ทัง้ สองของคาน x = 0 หรือ x = L
wL3 Ans.
θmax = − 24EI
และการโกงตัวสูงสดุ ของคานเกิดขนึ้ ที่จดุ กง่ึ กลางความยาวของคาน x = L / 2
vmax = 5wL4 Ans.
− 384EI
Mechanics of Materials 12-14
ตัวอยางท่ี 12-3
กาํ หนดใหค าน simply supported beam ซง่ึ ถกู กระทาํ โดยแรง P ทรี่ ะยะ a จากจดุ รองรับ A และมี flexural
rigidity EI คงที่ตลอดความยาวของคาน ดงั ที่แสดงในรปู ที่ Ex 12-3a จงหา
a.) สมการของ slope และสมการของการโกงตัวของคานเน่ืองจากแรง P
b.) สมการของ slope ท่จี ดุ รองรับ A และ B
c.) สมการการโกงตวั สูงสุด พรอมตาํ แหนงทเ่ี กิด เม่ือ a = 2b
รูปท่ี Ex 12-3
สมการของ slope และสมการของการโกง ตวั ของคานเนือ่ งจากแรง P
จากลักษณะของคานและการกระทาํ ของแรง เราจะรา งรปู การโกง ตัวของคานไดด งั ทแี่ สดงในรปู ที่ Ex 12-3b และ
เราจะแบงการหาสมการของโมเมนตด ดั ออกเปนสองชว งโดยใช coordinate x1 และ x2 โดยท่ี
0 ≤ x1 ≤ a; M1 = Pb x1
L
a ≤ x2 ≤ b; M2 = Pb x2 − P(x2 − a) = Pa(1 − x2 )
L L
จากสมการของ elastic beam เราจะไดว า เม่ือ 0 ≤ x1 ≤ a;
EI d 2v1 = Pb x1
dx12 L
EI dv1 = Pb x12 + C1
dx1 2L
EI v1 = Pb x13 + C1 x1 + C2
6L
จากสมการของ elastic beam เราจะไดวา เมื่อ a ≤ x2 ≤ b;
EI dv22 = Pa(1 − x2 )
dx 2 L
Mechanics of Materials 12-15
EI dv = Pa( x 2 − x 2 ) + C3
dx 2
2L
EI v = Pa( x22 − x23 ) + C 3 x 2 + C4
2 6L
ในการวเิ คราะหห าสมการของ slope และสมการของการโกงตัวของคานโดยวิธี double integration ของคานใน
ทน่ี ้ี เราจะเหน็ ไดวา เรามีคา คงท่ขี องการ integration จากสมการของ elastic beam ทัง้ ส้ิน 4 คา ซึง่ สองคา ของคาคงที่จะ
หาไดโดยใช boundary condition สองเง่ือนไขคอื
v1 = 0 ท่ี x1 = 0;
C2 = 0
v2 = 0 ท่ี x2 = L;
0 = PaL2 + C3L + C4
3
และทเี่ หลอื อีกสองคาจะหาไดโดยใช continuity condition สองเง่อื นไขคอื
v1 (ที่ x1 = a ) = v2 (ท่ี x2 = a );
Pb a3 + C1a = Pa( a 2 − a3 ) + C3 a + C4
6L 2 6L
dv1 (ท่ี x1 = a) = dv2 (ที่ x2 = a );
dx1 dx2
Pb a2 + C1 = Pa(a − a2 ) + C3
2L 2L
เม่อื ทาํ การแกสมการทัง้ สาม เราจะได
C1 = − Pb (L2 − b2)
6L
C3 = − Pa (2L2 + a2)
6L
C4 = Pa 3
6
เมือ่ แทนคาคงทข่ี องการ integration ทั้งส่ีคา กลับลงในสมการของ slope และสมการของการโกง ตวั เราจะได
เมือ่ 0 ≤ x1 ≤ a;
θ1 = dv1 = − Pb ( L2 − b2 − 3x12 )
dx1 6EIL
v1 = − Pbx1 (L2 − b2 − x12 ) Ans.
6EIL Ans.
เมอื่ a ≤ x2 ≤ b;
θ2 = dv2 = − Pa (3x 2 + 2L2 + a2 − 6Lx2 )
dx2 6EIL 2
v2 = − Pa ( x23 + (2L2 + a2 )x2 − 3Lx22 − a 2 L)
6EIL
สมการของ slope ทีจ่ ดุ รองรับ A และ B
ท่ีจุดรองรบั A , x1 = 0
Mechanics of Materials 12-16
θ1 = − Pb (L2 − b2 ) = − Pb (L + b)(L − b) = − Pab (L + b) Ans.
6EIL 6EIL 6EIL
ที่จดุ รองรบั B , x2 = L
θ2 = Pa (L2 − a2) = Pa (L + a)(L − a) = Pab L + a) Ans.
6EIL 6EIL 6EIL
สมการการโกงตัวสูงสุดพรอ มตาํ แหนงที่เกดิ เมือ่ a = 2b
จากรปู รางการโกงตวั ของคาน เม่อื a = 2b แลว เราจะเห็นไดว า ตาํ แหนง ท่เี กดิ คาการโกง ตวั สูงสดุ ตองอยู
ระหวา งจุดรองรบั A และจดุ ทีแ่ รงกระทาํ สมมุตวิ า เปนจดุ C ดังทแี่ สดงในรูปท่ี Ex 12-3b โดยทจี่ ดุ นี้จะเปน จุดท่มี ี slope
เทากับศูนย ดงั นั้น เราจะหาตาํ แหนงของจุด C ไดจากสมการของ slope θ1 และ L = 3b
(3b)2 − b2 − 3x12 = 0
x1 = 1.633b
และสมการของการโกง ตัวสงู สุดทจี่ ดุ C จะหามาไดจากการแทนคา x1 = 1.633b ลงในสมการของการโกงตัว v1
vmax = −0.48385 Pb 3 Ans.
EI
Mechanics of Materials 12-17
12.4 วิธี superposition (Method of Superposition)
ในทางปฏิบตั ิ คา slope และ deflection ของคานมกั จะถกู หาโดยใชวธิ ี superposition ซึง่ มพี นื้ ฐานมาจากหลัก
การ superposition (principle of superposition) เนื่องจากวา สมการ deflection curve ของคาน EI (d 4v / dx4 )
= −w(x) เปน ไปตามขอ กําหนด principle of superposition โดยที่
w(x) α v(x) และ v(x) <<< 1
ดังนน้ั คา slope และ deflection ของคานท่ีเกดิ ขึน้ จากแรงท้ังหมดจะหาไดจากผลรวมของคา slope และ deflection เนอ่ื ง
จากแรงแตละแรง ยกตัวอยา งเชน ถา v1 เปน คา การโกง ตวั ทจ่ี ดุ ใดจดุ หน่ึงของคานเน่อื งจากแรง q1 และถา v2 เปน คา
การโกงตวั ของคานท่จี ดุ ดังกลาวเนื่องจากแรง q2 แลว คาการโกงตวั ของคานทจ่ี ุดดงั กลา วเน่ืองจากแรง q1 + q2 จะมคี า
เทากับ v1 + v2 เปน ตน ตารางท่ี 12-2 แสดงคาของ slope และ deflection ของคานที่เราควรทราบ
ตารางท่ี 12-2
คาน Slope การโกงตัว สมการเสน โคง การโกง ตัว
PL2 PL3 ( )v Px
θmax = − 16EI vmax = − 48EI = − 48EI 3L2 − 4x2
0≤ x≤ L/2
Pab(L + b) ( ) ( )v Pba Pbx
θ1 = − 6EIL x=a = − 6EIL L2 − b2 − a2 v = − 6EIL L2 − b2 − x2
θ2 = Pab(L + a) 0≤ x≤a
6EIL
ML ML2 ( )v Mx
θ1 = − 3EI vmax = − 243EI = − 6EIL x2 − 3Lx + 2L2
ML 0≤ x≤ L
θ2 = 6EI
wL3 5wL4 ( )v wx
θmax = − 24EI vmax = − 384EI = − 24EI x3 − 2Lx2 + L3
0≤ x≤ L
5wL4 wx
768EI 384EI
( )v
v x=L / 2= − = − 16x3 − 24Lx2 + 9L3
3wL3 vmax = −0.006563 wL4 0 ≤ x ≤ L/2
θ1 = − 128EI EI
wL
7wL3 384EI
θ2 = 384EI ( )v
ท่ี x = 0.4598L = − 8x3 − 24Lx2 + 17L2x − L3
L/2 ≤ x ≤ L
7 wo L3 wo L4 wo x
360EI EI 360EIL
( )v
θ1 = − vmax = −0.00652 = − 3x4 − 10L2x2 + 7L4
θ2 = wo L3 ที่ x = 0.51436L 0≤ x≤ L
45EI
Mechanics of Materials 12-18
คาน ตารางท่ี 12-2 (ตอ) เสนโคงการโกง ตัว
Slope การโกงตวั
PL2 vmax = PL3 v = − Px2 (3L − x)
θmax = − 2EI − 3EI 6EI
0≤ x≤ L
v = − Px2 (3L / 2 − x)
6EI
PL2 5PL3
θmax = − 8EI vmax = − 48EI 0 ≤ x ≤ L/2
v = − PL2 (3x − L / 2)
24EI
L/2 ≤ x ≤ L
wL3 wL4 ( )v wx2
θmax = − 6EI vmax = − 8EI = − 24EI x2 − 4Lx + 6L2x
0≤ x≤ L
ML vmax = ML2 v = Mx2
θmax = EI 2EI 2EI
0≤ x≤ L
( )v wx 2
= − 24EI x2 − 2Lx + 3L2 / 2
wL3 vmax = − 7wL4 0 ≤ x ≤ L/2
θmax = − 48EI 384EI
v = − wL3 (4x − L / 2)
192EI
L/2 ≤ x ≤ L
wo L3 wo L4 wo x2
24EI 30EI 120EIL
( )v x3
θ max = − vmax = − = − 10L3 − 10L2 x + 5Lx2 −
0≤ x≤ L
Mechanics of Materials 12-19
ตวั อยา งท่ี 12-4
คาน simple beam ดังท่ีแสดงในรูปที่ EX 12-4 สามารถรองรับนํ้าหนักบรรทุกแบบกระจายสมํ่าเสมอ
w = 0.5 kN/m และแรงกระทําเปน จุด P = 5 kN ไดอ ยางปลอดภัย ดงั ทแี่ สดงในตวั อยางท่ี 11-4 ถา กาํ หนดให
moment of inertia ของหนาตัดของคานรอบแกนสะเทิน I = 27(106 ) mm4 วัสดุมีคา modulus of elasticity
E = 20 GPa จงหาคาการโกง ตวั ท่จี ดุ กง่ึ กลางคาน
รูปท่ี EX 12-4
จากหลกั การ superposition เราจะแยกพจิ ารณาคานออกเปน 2 กรณีคือ คานซ่ึงถกู กระทําโดยน้ําหนักบรรทกุ
w = 0.5 kN/m และคานซึง่ ถกู กระทําโดยน้าํ หนกั บรรทุก P = 5 kN
คาการโกงตัวทจ่ี ดุ กง่ึ กลางคานเนอื่ งจากนา้ํ หนกั บรรทุก w = 0.5 kN/m
จากตารางท่ี 12-2 เราจะเห็นไดว า น้าํ หนกั บรรทุกแบบกระจายสมา่ํ เสมอในกรณนี อ้ี ยูตรงกันขา มกบั คานท่ีแสดง
ในตารางที่ 12-2 แตเ นอ่ื งจากจุดกงึ่ กลางคานเปนจุดเดียวกัน ดงั นน้ั
v 5wL4 = − 5 (500)84 = −24.7 mm
= − 768EI 768 20(109 )27(10−6 )
คา การโกงตัวทจี่ ุดกงึ่ กลางคานเนอื่ งจากน้ําหนกั บรรทกุ P = 5 kN
เน่ืองจากเราไมสามารถหาคาการโกงตัวที่จุดกึ่งกลางคานนี้ไดโ ดยตรง แตเราจะหาคาการโกงตวั ดังกลา วไดโดย
การหมนุ คานในแนวนอนคร่งึ รอบ จากนั้น ทาํ การสลับคา a ใหเ ปน คา b และคา b ใหเปนคา a ซ่งึ สมการของการโกง
ตัวที่จดุ กงึ่ กลางคานในกรณีนจ้ี ะเขียนไดใ นรูป
Pbx
− 6EIL
( )v
= L2 − b2 − x2
โดยที่ 0 ≤ x ≤ 6 , b = 2 m , และ x = 4 m
5000(2)4
− 6(20)109 (27)10−6 (8)
( )v
= 82 − 22 − 42 = −67.9 mm
ดงั นน้ั คา การโกงตวั ท่จี ุดกึ่งกลางคานจะมคี าเทากบั
v x=L / 2 = −24.7 − 67.9 = −92.6 mm Ans.
Mechanics of Materials 12-20
ตัวอยางท่ี 12-5
จงหาคาการโกง ตวั สงู สดุ ทเ่ี กดิ ขึ้นในคานท่ไี ดอ อกแบบไวใ นตวั อยางท่ี 11-1 เม่ือไมสกั มี E = 10 GPa จากน้นั
จงตรวจสอบวาคานดงั กลาวมีอัตราสวนของชว งคาน (span) ตอคา การโกงตวั เกนิ 360 ตามท่กี าํ หนดในมาตรฐานการออก
แบบสําหรบั คานทร่ี องรบั ผนังอฐิ กอ หรือไม ถา ไม จงทําการออกแบบคานดงั กลา วใหม
จากตัวอยางที่ 11-1 หนา ตัดของคานจะตอ งมีความกวาง b = 0.091m และความลึก h = 0.180 m จงึ จะ
สามารถรองรับนา้ํ หนักบรรทุกไดโ ดยปลอดภยั ดงั น้นั moment of inertia ของหนา ตดั ของคานรอบแกนสะเทิน (neutral
axis) จะมคี าเทา กับ
I = 0.091(0.182)3 = 45.717(10−6 ) m 4
12
จากหลกั การ superposition เราจะแยกพจิ ารณาคานออกเปน 2 กรณคี ือ คานซึง่ ถูกกระทําโดยนํ้าหนักบรรทกุ
w = 2.0 kN/m และคานซึง่ ถกู กระทําโดยนํ้าหนักบรรทกุ P = 5 kN ซึ่งมีคาการโกงตัวสงู สดุ เกดิ ขึ้นทีจ่ ดุ กึง่ กลางคาน
ทง้ั สองกรณี
จากตารางที่ 12-2 สมการการโกงตัวทจ่ี ดุ กึ่งกลางคานเน่ืองจากนา้ํ หนกั บรรทกุ w = 2.0 kN/m อยูในรปู
v = − 5wL4
384EI
และสมการการโกงตัวทจี่ ุดกึ่งกลางคานเนื่องจากน้าํ หนักบรรทกุ P = 5 kN อยใู นรูป
v = − PL3
48EI
ดังนน้ั คาการโกง ตวั สูงสุดท่ีจดุ กง่ึ กลางคานจะมีคาเทากับ
v x=L / 2 = 5(2000)34 − 5000(33 ) = 4922 = −11 mm Ans.
− 384EI 48EI 200(109 )45.717(10−6 )
ตรวจสอบอัตราสวนของชว งคาน (span) ตอคาการโกงตัว
L = 3000 = 273 < 360
v 11
ดงั นั้น เราจะตองออกแบบหาหนา ตัดของคานใหมเ พ่ือใหค านมคี วามแกรงอยางเพียงพอในการรบั น้าํ หนักบรรทกุ โดยจํากดั
ใหคานมีคา การโกง ตัวสูงสดุ เทา กบั L / 360 = 3000 / 360 = 8.3 mm ซง่ึ เราจะไดว า
8.3(10−3 ) = 4922 )I
200(109
I = b(2b)3 = 59.3(10−6 )
12
b = 0.097 m
h = 2b = 0.194 m
ดงั น้นั หนาตดั ของคานจะตอ งมีความกวา ง b = 0.097 m และความลึก h = 0.194 m จึงจะสามารถรองรับนาํ้ หนกั
บรรทุกไดโ ดยปลอดภยั และมีคา การโกง ตวั นอยกวาท่กี าํ หนดไวในมาตรฐานการออกแบบ Ans.
Mechanics of Materials 12-21
แบบฝก หดั ทายบทที่ 12
12-1 จงหาสมการของการโกง ตัวของคาน ดงั ท่แี สดงในรูปที่ Prob. 12-1 โดยใชพิกดั x1 และ x2 เมื่อคานมคี า flexural
stiffness EI คงทต่ี ลอดความยาวคาน
รูปที่ Prob. 12-1
12-2 จงหาสมการของการโกง ตัวของคาน ดังท่ีแสดงในรูปที่ Prob. 12-2 เมื่อคานชวง BC มคี า flexural stiffness 2EI
และคานชว ง AB และ CD มีคา flexural stiffness EI
รปู ที่ Prob. 12-2
12-3 จงหาสมการของการโกงตวั ของคาน ดังทแี่ สดงในรูปท่ี Prob. 12-3 โดยใชพ ิกัด x เมอ่ื คานมีคา flexural stiffness
EI คงทตี่ ลอดความยาวคาน จากนน้ั จงหาสมการของการโกง ตวั สงู สุดและคาการหมนุ สงู สดุ ท่ีเกดิ ขนึ้ บนคาน
รปู ที่ Prob. 12-3
12-4 จงหาสมการของการโกงตัวของคาน ดงั ที่แสดงในรูปที่ Prob. 12-4 โดยใชพกิ ดั x1 และ x2 เมือ่ คานมีคา flexural
stiffness EI คงท่ตี ลอดความยาวคาน จากนน้ั จงหาสมการของการโกง ตวั สงู สุดและคา การหมนุ สงู สุดท่เี กิดขนึ้ บนคาน
รูปท่ี Prob. 12-4
12-5 จงหาสมการของการโกง ตวั สงู สุดและคาการหมุนสงู สดุ ท่เี กดิ ข้ึนบนคาน ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ Prob. 12-5 เมอ่ื คานมีคา
flexural stiffness EI คงทีต่ ลอดความยาวคาน
Mechanics of Materials 12-22
รูปที่ Prob. 12-5
12-6 จงตรวจสอบคา การโกง ตัวสูงสดุ ของคานใน Prob. 11-2 วา มีคา เกนิ ขอ กําหนดของมาตรฐานการออกแบบ L / 240
หรอื ไม
12-7 จงตรวจสอบคา การโกง ตัวสูงสดุ ของคานใน Prob. 11-3 วามคี าเกินขอกําหนดของมาตรฐานการออกแบบ L / 240
หรือไม
12-8 จงตรวจสอบคาการโกง ตัวสงู สุดของคานใน Prob. 11-4 วา มีคา เกินขอกาํ หนดของมาตรฐานการออกแบบ L / 240
หรือไม
12-9 จงหาขนาดหนา ตดั wide-flange ที่เบาทส่ี ดุ ของคาน ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี Prob. 12-9 ถา กาํ หนดใหเหลก็ A36 มี
σ allow = 165 MPa และτ allow = 100 MPa จากน้ัน จงตรวจสอบคา การโกง ตวั สูงสุดของคานวา มคี าเกินขอกาํ หนด
ของมาตรฐานการออกแบบ L / 360 หรอื ไม
รปู ท่ี Prob. 12-9
12-10 จงหาขนาดหนาตดั wide-flange ทเ่ี บาทส่ี ุดของคาน ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี Prob. 12-10 ถา กาํ หนดใหเหลก็ A36 มี
σ allow = 165 MPa และτ allow = 100 MPa จากนัน้ จงตรวจสอบคาการโกง ตัวสูงสุดของคานวามคี า เกินขอกาํ หนด
ของมาตรฐานการออกแบบ L / 360 หรือไม
รปู ท่ี Prob. 12-10
12-11 จงตรวจสอบคา การโกง ตัวสูงสดุ ของคาน CB คาน CD และคาน AB ดังท่ีแสดงในรูปที่ Prob. 12-11 ถาคาน
เหล็ก A36 มี I x = 49.1(106 ) mm4 (12-102)
Mechanics of Materials 12-23
รูปท่ี Prob. 12-11
Mechanics of Materials 13-1
บทท่ี 13
การโกงเดาะของเสา (Buckling of Columns)
เรียบเรยี งโดย ดร. สทิ ธิชยั แสงอาทิตย
13.1 แรงวกิ ฤติ (Critical Loads)
เสา (column) เปนองคอาคารของโครงสรางท่ียาวเรียว ซึ่งถูกกระทําโดยแรงกดอัดในแนวแกนของเสา (axially
compressive load) เมื่อเสาถูกกระทําโดยแรงกดอัดที่มีคาเพิ่มมากข้ึนเรื่อยๆ จนถึงถึงคาๆ หน่ึง ซ่ึงเรียกวา แรงวิกฤติ
(critical load) หรือ Pcr ดังที่แสดงในรูปที่ 13-1a แลว เสาจะเกิดการวิบัติโดยการโกงตัวทางดานขาง (lateral deflection
หรอื sidesway) ดังท่แี สดงในรูปท่ี 13-1b ซ่งึ ถูกเรยี กวา การโกง เดาะ (buckling) พฤติกรรมการโกง เดาะน้ีจะพิสูจนไดอยาง
งา ยโดยการกดไมบรรทดั พลาสตกิ
โดยทว่ั ไปแลว การโกงเดาะของเสาจะนําไปสกู ารวิบัติของโครงสรา งที่รุนแรงและเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด ดังน้ัน ใน
การออกแบบเสา นอกจากจะตองออกแบบใหเสามีกําลังและความแกรงอยางเพียงพอแลว เสาจะตองถูกออกแบบไมใหมี
การโกง เดาะเกิดขนึ้ ดวย
รปู ที่ 13-1
เพื่อใหเขาใจในการเสียเสถียรภาพของเสาโดยการโกงเดาะ พิจารณาระบบกลท่ีประกอบดวยแทงวัตถุแกรงสอง
แทง ซึง่ มนี ํ้าหนักทีน่ อ ยมากจนไมน ํามาคิดในการพิจารณาความสมดุลของแทงวัตถุ และถูกเชื่อมตอกันดวยหมุดและสปริง
ที่จดุ A ดังที่แสดงในรูปที่ 13-2a
เมื่อแรงกดอัดในแนวแกน P มีคานอยมากและเม่ือระบบกลถูกรบกวนสมดุลโดยการเลื่อนหมุดท่ีจุด A ออกมา
จากตําแหนงสมดุลเปนคาท่ีนอยมาก ∆ โดยท่ี ∆ = θL / 2 ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 13-2b แลว เราจะเขียนแผนภาพ free-
body diagram ของหมุดทจี่ ุด A ไดด ังทแ่ี สดงในรูปที่ 13-2c จากสมการความสมดุลของแรงในแนวนอน เราจะไดวา
2(P tanθ ) = k∆
เนื่องจากมุม θ << 1 ดงั นนั้ tanθ ≅ θ และสมการสมดุลของแรงในแนวนอนจะถูกเขียนใหมไ ดเปน
2Pθ = kθL
2
เนอื่ งจากแรง P ท่ีไดเปน แรงทจี่ ะทาํ ใหร ะบบกลเสียความสมดุล ดงั น้ัน โดยคํานยิ ามของ critical load เราจะได
Pcr = kL
4
Mechanics of Materials 13-2
รปู ท่ี 13-2
แรงกดอัดในแนวแกนนี้จะเปนแรงท่ีทําใหระบบกลดังกลาวอยูในสภาวะท่ีเรียกวา สมดุลแบบเปนกลาง (neutral
equilibrium) เราควรสังเกตดวยวา Pcr เปนอิสระกับมุม θ ดังนั้น การรบกวนอีกเล็กนอยตอระบบกลที่อยูในสภาวะ
neutral equilibrium จะไมทําใหระบบกลสูญเสียความสมดุลหรือเคล่ือนท่ีกลับไปยังตําแหนงเร่ิมตนแตจะทําใหระบบกล
คางอยทู ีต่ าํ แหนง ของการโกง ตวั ใหมท ่ีเกดิ จากการรบกวนดงั กลาว
ถาแรง P< kL แลว ระบบกลจะอยูในสภาวะท่ีเรียกวา สมดุลแบบมีเสถียรภาพ (stable equilibrium)
4
เนื่องจากวา ภายใตแรง P น้ี เม่ือระบบกลถูกรบกวนโดยการเล่ือนที่หมุด A แลว แรงที่เกิดขึ้นในสปริงจะมีคามาก
พอที่จะทําใหระบบกลเคลื่อนที่กลับมาอยูทตี่ าํ แหนง เร่มิ ตน ได
ถาแรง P > kL แลว ระบบกลจะอยูในสภาวะที่เรียกวา สมดุลแบบไมมีเสถียรภาพ (unstable equilibrium)
4
เนื่องจากวา ภายใตแรง P น้ี เมื่อระบบกลถูกรบกวนโดยการเล่ือนท่ีหมุด A อีกเพียงเล็กนอยแลว ระบบกลดังกลาวจะ
สญู เสียความสมดุลและจะไมส ามารถทจ่ี ะกลับมาอยูทตี่ าํ แหนงเรมิ่ ตน ได
สภาวะทั้งสามแบบของระบบกลจะเขียนเปนแผนภาพระหวางแรงกดอัดในแนวแกน P กับมุม θ ดังท่ีแสดงใน
รปู ที่ 3-13a หรอื จะเปรียบเทียบไดกับสภาวะของลกู บอลท่ีวางอยบู นพ้ืนผวิ ที่มีลักษณะตางๆ ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ 3-13b
จากรูปที่ 13-3a เสนทึบที่อยูในแนวด่ิงจะแทนสภาวะ stable equilibrium ของเสา จุดท่ีเสนทึบนี้ตัดกับเสนทึบที่
อยูในแนวนอนจะถูกเรียกวา จุด bifurcation ซึ่งแสดงถึงสภาวะ neutral equilibrium ของเสา โดยที่เสนทึบท่ีอยูใน
แนวนอนน้ีจะมีขนาดที่สั้น เน่ืองจากขอสมมุติฐานที่ใชในการวิเคราะหท่ีวามุม θ มีคาที่นอยมาก และการที่เสนทึบใน
แนวนอนตัดผานเสนทึบในแนวด่ิงไปทางซายและทางขวานั้นเน่ืองจากวามุม θ ที่เกิดขึ้นในระบบกลท่ีสภาวะ neutral
Mechanics of Materials 13-3
equilibrium น้ันเปนไปไดทั้งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา นอกจากนั้นแลว เสนประท่ีอยูในแนวด่ิงที่อยูเหนือจุด
bifurcation จะแสดงถงึ สภาวะ unstable equilibrium
P
Bifurcation point Unstble equilibrium
Neutral equilibrium
Pcr = kL
4
Stable equilibrium
θ
O (b)
(a)
รูปท่ี 13-3
สภาวะท้ังสามแบบของระบบกลจะสามารถถูกอปุ มาอปุ มยั ไดโ ดยการวางลูกบอลไวบนพนื้ ผิวที่มีลกั ษณะตางๆ
ดังที่แสดงในรูปที่ 13-3b เมอื่ พ้ืนผวิ เปน พน้ื ผวิ โคง หงายแลว สมดุลของลูกบอลจะเปน stable equilibrium ซ่งึ ถาเราเลอื่ น
ลกู บอลไปที่จดุ ใดๆ บนพน้ื ผิวแลว ลกู บอลจะเคล่ือนท่กี ลบั มาท่ีจดุ ตํา่ สดุ ของพ้นื ผิวเสมอ เม่ือพ้นื ผิวเปนพื้นผวิ โคงคว่าํ แลว
สมดุลของลูกบอลจะเปน unstable equilibrium ซึ่งถาลกู บอลถูกรบกวนเลก็ นอ ยแลว ลกู บอลก็จะไมเ คลือ่ นทกี่ ลับมาทเี่ ดิม
และสุดทา ย ถา พ้ืนผวิ เปน พื้นผิวท่ีราบและเรียบแลว สมดุลของลูกบอลจะเปน neutral equilibrium เน่ืองจากถาเราเลือ่ น
ลกู บอลไปอยทู ใี่ ดแลว ลูกบอลกจ็ ะอยูท่ตี าํ แหนง น้นั
13.2 เสาในอุดมคตทิ รี่ องรบั โดยหมดุ (Ideal Column with Pin Supports)
พจิ ารณาเสาทถี่ กู รองรับโดยหมดุ (pins) ทป่ี ลายท้ังสองของเสา และถกู กระทําโดยแรงกดอดั ในแนวแกน P ดังที่
แสดงในรูปที่ 13-4a สมมตุ ิใหเสานี้เปนเสา ideal column โดยที่
1. เปนเสาท่ียาวเรียวและตง้ั ตรง ถกู รองรับโดยหมุดทีไ่ รแ รงเสยี ดทาน
2. ทาํ ดว ยวัสดทุ ี่มเี นื้อเดียวกันตลอดทั้งเสา (homogeneous material) และมพี ฤติกรรมแบบ linear elastic
3. แรง P กระทําผา นจดุ centroid ของหนาตัดของเสา
4. ภายใตแ รง P เสาจะเกิดการโกงตัวอยูในระนาบเดียวเทา น้ัน
เมอื่ แรงกดอัด P มคี าเพิม่ ขึน้ เรอื่ ยๆ จนถึงคา ๆ หนง่ึ แลว เสาจะเร่มิ มีการโกง ตัวทางดา นขา ง v และเราจะเขยี น
free-body diagram ของเสาได ดังทีแ่ สดงในรปู ท่ี 13-4b จากสมการการโกง ตัวของคานเนือ่ งจากโมเมนตด ดั ภายใน
EI d 2v = M (13-1)
dx 2
และเนอ่ื งจาก M = − Pv ดงั น้ัน
Mechanics of Materials 13-4
EI d 2v = − Pv
dx 2
d 2v + P v = 0 (13-2)
dx 2 EI
สมการที่ 13-2 เปนสมการที่อยูในรูปของสมการอนุพันธแบบเอกพันธเชิงเสนตรงอันดับที่สองซ่ึงมีคาสัมประสิทธิ์
เปนคาคงท่ี (Homogenous linear differential equation of second order with constant coefficients) ซ่ึงเราจะแก
สมการน้ไี ดโ ดยกาํ หนดให k2 = P ดังนน้ั เราจะเขียนสมการที่ 13-2 ใหมไดเ ปน
EI
d 2v + k 2v = 0
dx 2
และคําตอบของสมการ ซงึ่ เปน คาการโกงตัวของเสาจะอยใู นรูป
v = C1 sin kx + C2 cos kx (13-3)
รปู ท่ี 13-4
โดยใช boundary conditions ทีจ่ ุดรองรบั ทั้งสองของเสา คา คงท่ี C1 และ C2 จะหาไดด งั นี้
ท่ี x = 0 , v = 0
C2 = 0
ที่ x = L , v = 0
C1 sin kL = 0
โดยที่เงอ่ื นไข C1 sin kL จะมีคา เทา กับศูนยก ต็ อเมอ่ื C1 = 0 หรือ sin kL = 0 เทา น้ัน ดงั นน้ั เราจะไดวา
ถา C1 = 0 แลว C1 sin kL = 0 แสดงวา kL จะมีคาเปนเทาไรกไ็ ด ซึ่งหมายความวา แรง P จะมีคาเทา ไร
กไ็ ดดวย (เน่ืองจากวา P = k 2 (EI ) ) ดงั นัน้ คําตอบ C1 = 0 จึงเปนคําตอบทีไ่ มม ีความสําคญั (trivial solution)
ถา sin kL = 0 และ C1 มคี า ใดๆ แลว คาํ ตอบนจ้ี ะถูกตอ งกต็ อ เมอื่ คา kL = 0,π , 2π , 3π ,..... แต
เนอ่ื งจากวา ถา kL = 0 (หรอื k = 0 ) แลว P = k 2 (EI ) = 0 ดังนน้ั คําตอบที่เราสนใจคือ
Mechanics of Materials 13-5
kL = nπ n = 1, 2, 3,...
เม่ือแทนสมการของ k กลบั ลงในสมการขา งตน และจดั รปู สมการใหม เราจะไดวา
P = n2π 2 EI n = 1, 2, 3,... (13-4)
L2
แรงกดอดั P จะมคี าท่นี อยท่สี ุดเม่ือ n = 1 ซ่งึ มกั จะถูกเรียกวา Euler load ตามช่ือของผูค น พบคอื Leonard
Euler นักคณิตศาสตรช าวสวสิ เซอรแ ลนด ในป 1757 ดงั น้นั แรงวกิ ฤตทิ ีท่ าํ ใหเสาเกดิ การโกง เดาะจะหาไดจากสมการ
Pcr = π 2 EI (13-5)
L2
โดยที่
Pcr = แรงวิกฤตทิ ี่เสาทาํ ใหเ กิดการโกง เดาะ โดยที่ Pcr < P ซึง่ ทาํ ใหเกดิ หนวยแรงบนเสาเทา กับ σ pl แต
ในทางปฏิบตั จิ ะใชคา σ y แทนคา σ pl
E = modulus of elasticity ของวัสดทุ ีใ่ ชทําเสา
I = คา ที่นอ ยทส่ี ดุ ของ moment of inertia ของพนื้ ท่หี นาตัดของเสา
L = ความยาวของเสาระหวางหมุดรองรบั ทปี่ ลายของเสา
รปู รางการโกง ตัวของเสาท่สี อดคลองกบั แรงวิกฤตหิ รอื mode shape ของเสาจะอยูในรปู
v = C1 sin πx
L
จากสมการ คาคงที่ C1 เปนคาการโกงตัวสูงสุดที่เกิดข้ึนที่จุดก่ึงกลางของเสาหรือ vmax และเราจะไมสามารถหาคาท่ี
แนนอนของ C1 ได เน่ืองจากวา คาการโกงตัวของเสาที่อยูในสภาวะ neutral equilibrium น้ีมีคาที่ไมแนนอน แตจะตองมี
คา ทนี่ อยมาก
เราควรทจี่ ะทราบดว ยวา คา n ในสมการท่ี 13-4 แสดงถึงจํานวนของลกู คล่นื (wave) ทีเ่ กดิ ขน้ึ ในรปู รา งของการ
โกงตัวของเสา ถา n = 2 แลว รูปรางของการโกง ของเสาจะมจี าํ นวนลูกคล่ืนสองลูกคลืน่ เกดิ ข้ึน ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ 13-4d
และแรงวิกฤตขิ องเสาจะมคี าเทากบั 4Pcr ซง่ึ กรณีน้ีจะเปน กรณที เี่ สามกี ารรองรบั ทางดา นขา งทจี่ ุดกง่ึ กลางของเสา
จากสมการท่ี 13-5 แรง Pcr จะขึ้นอยูกับรูปรางและขนาดหนาตัดของเสา ( I ) ความยาวของเสา ( L ) และคา
modulus of elasticity ( E ) ของวสั ดทุ ่ใี ชทาํ เสาเทา น้นั โดยท่ีแรง Pcr จะไมขึ้นอยูกับกําลังของวัสดุที่ใชทําเสา ดังนั้น เรา
จะสรปุ ไดวา
1. หนาตัดของเสาจะมีประสิทธิภาพสูงสุด เม่ือพื้นท่ีโดยสวนใหญของหนาตัดของเสาถูกวางในบริเวณท่ีไกล
ท่ีสุดจากแกน principal centroidal axis เชน ในกรณีที่เสามีหนาตัดแบบสี่เหล่ียมกลวง หรือแบบ wide-
flange เปนตน
2. เสาที่ทําดวยเหล็กท่ีมีกําลังต่ําจะมีคาแรงวิกฤติท่ีเทากับเสาที่ทําดวยเหล็กท่ีมีกําลังสูงกวา เนื่องจากวาเสาที่
ทาํ ดวยเหลก็ ท้งั สองชนิดมคี า E เทา กนั
3. เสาท่ีไมมีการค้ํายันทางดานขางจะเกิดการโกงเดาะรอบแกนหลัก (principal axis) ของหนาตัดที่มีคา
moment of inertia ท่ีนอยทส่ี ุดเสมอ (รอบแกน b − b ) ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 13-5a และ 13-5b ดังนั้น เสาควร
ที่จะถูกออกแบบใหมีคา moment of inertia เทากันในทุกๆ ทิศทาง อยางเชนในกรณีของเสาท่ีมีหนาตัด
รูปทรงกลมหรอื ส่ีเหลี่ยมดานเทา ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี 13-5c และ 13-5d เปนตน
Mechanics of Materials 13-6
bb b b
a aa aa aa a
bb b b
(d)
(a) (b) (c)
รูปท่ี 13-5
ในการออกแบบเสา คาหนวยแรงวิกฤตทิ เี่ กดิ ขึ้นในเสาจะหาไดจ ากสมการ
σ cr = Pcr = π 2 EI
A AL2
กาํ หนดให r = I / A ซ่ึงเปนสมการของ radius of gyration ของพ้ืนทห่ี นาตดั ของเสา ดงั นั้น
σ cr = π 2E (13-6)
(L / r)2
เมื่อ
σ cr = หนวยแรงวิกฤตขิ องเสา โดยที่ σ cr < σ pl (ในทางปฏบิ ัติแลว เราจะใชค า σ y แทนคา σ pl )
r = คาทน่ี อยท่ีสุดของ radius of gyration ของเสา
อตั ราสวน L / r จะถูกเรยี กวา อัตราสวนความชะลดู (slenderness ratio) ซึ่งเปนคาทีใ่ ชวัดความสามารถในการ
ดดั ตัวได (flexibility) ของเสา
เมื่อเราทาํ การ plot กราฟโดยใหห นว ยแรงวิกฤติเปนแกนตั้งและใหอัตราสวนความชะลูดเปนแกนนอนแลว เราจะ
ไดกราฟของความสัมพันธของหนวยแรงวิกฤติและอัตราสวนความชะลูด ซึ่งมักจะถูกเรียกวา Euler’s curve ดังตัวอยาง
ของ Euler’s curve ของเสาที่ทําดวย steel และ aluminum ซ่ึงแสดงในรูปที่ 13-6 อยางไรก็ตาม กราฟท้ังสองน้ีจะใชได
เฉพาะในชวงท่ีคาหนวยแรงวิกฤติมีคานอยกวา proportional limit ของวัสดุท้ังสองเทานั้น เน่ืองจากวาสมการของ Euler
ขึ้นอยูกับ Hooke’s law แตในทางปฏิบัติ เรามักจะใชคา yielding stress แทนคา proportional limit ในการออกแบบเสา
เน่ืองจากวา คาท้ังสองนี้มีขนาดที่ใกลเคียงกันมากและเราจะสามารถหาคาของ yielding stress ไดงายกวาคา
proportional limit
σcr (MPa) Structural steel
300 Aluminum alloy
250 5061 91 100 150 KL
200 r
225 รูปที่ 13-6
185
150
75
0
Mechanics of Materials 13-7
ตวั อยา งท่ี 13-1
จงหาความยาวของเสาไม AB ท่ีสั้นท่ีสุดที่เราจะหาแรงวิกฤติของเสาไดโดยใชสมการของ Euler เมื่อเสาไมมี
หนาตัดเปนรูปสเ่ี หลยี่ มผืนผาขนาด 60 ×100 mm ดังที่แสดงในรูปที่ Ex 13-1 และถูกรองรับโดยหมุดที่ปลายทั้งสองดาน
กําหนดให Ew = 12.5 GPa และ σ pl = σ y = 8 MPa จากน้ัน จงหาคาของแรงกระจายแบบสมํ่าเสมอ
(uniformly distributed load) w ทกี่ ระทาํ ตอคาน BC
รปู ที่ Ex 13-1
เนื่องจากเสาเหล็กมีหนา ตดั เปน รูปสี่เหลยี่ มผืนผา ดงั นัน้ การโกง เดาะ (buckling) ของเสาจะเกิดรอบแกนท่มี ีคา
radius of gyration ต่ําทสี่ ุดหรอื รอบแกน y − y โดยท่ี
rmin = Iy = 100(603 ) 1 = 10 3 mm
A 12 60(100)
และเนือ่ งจากเสาถูกรองรับโดยหมดุ ท่ีปลายทั้งสองดาน
σ cr = π 2E
(L / r)2
L = π 2E = π 2 (12.5)109 = 124.2
r σy 8(106 )
ดังนนั้
Lmin = 124.2rmin = 124.2(10 3) = 2150 mm Ans.
จากแผนภาพ free-body diagram ของคาน BC และสมการความสมดลุ ในแนวด่ิง เราจะไดความสัมพันธของ
แรงกดอดั ในแนวแกนของเสา ซง่ึ เปนแรงปฏิกิริยาของคานท่จี ดุ B และแรง w ในรปู
RBy = wL = w
2
เน่ืองจากเสาวบิ ัตทิ ีห่ นว ยแรงกดอัดมีคา เทากบั σ pl = σ y = 8 MPa ดังนน้ั
w = σ y A = 8(106 )60(100)10−6 = 48 kN/m Ans.
Mechanics of Materials 13-8
ตัวอยางที่ 13-2
กําหนดใหเสาเหล็ก A36 หนาตัด W200× 49.9 kg/m ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 13-2 มีพื้นที่หนาตัด
A = 6353 mm2 มี moment of inertia I x = 47.2 ×106 mm4 และ I y = 16.0 ×106 mm4 จงหาคาแรงกดอัด
ในแนวแกนสูงสุดทเี่ สาดังกลาวสามารถรับได
รูปท่ี Ex 13-2
เน่ืองจาก I y < I x ดังน้นั เสาจะเกดิ การโกงเดาะ (buckling) รอบแกน y − y และแรงวกิ ฤติ (critical load)
ของเสาจะมีคาเทากบั
π 2 EI π 2 (200)109 (16.0)10−6
L2 32
Pcr = = = 3509 kN
หนวยแรงวกิ ฤตจิ ะมคี า เทากับ
σ cr = Pcr = 3509(103 ) = 552.3 MPa
A 6353(10−6 )
เนื่องจากหนวยแรงวิกฤติจะตองมีคาไมเกิน yielding stress ของเหล็ก A36 ซ่ึงมีคาเทากับ 250 MPa ดังนั้น
การโกงเดาะจะเกิดกอนการวิบตั ิของวสั ดุและแรงกดอัดในแนวแกนสงู สดุ ที่เสาสามารถรับไดจะมีคา เทา กับ
Pmax = σ y A = 250(106 )6362(10−6 ) = 1590.5 kN Ans.
Mechanics of Materials 13-9
13.3 เสาทถ่ี ูกรองรบั แบบอืน่ ๆ (Columns Having Various Types of Supports)
เม่ือเสามีการยึดร้ังที่ปลายเสา (end restraints) ท่ีแตกตางกันแลว กําลังของเสาในการตานทานตอแรงกดอัดใน
แนวแกนจะมีคาแตกตางกันไป โดยที่เมื่อเสาถูกยึดรั้งที่ปลายเสาอยางมาก เชน แบบยึดแนน เปนตน แลว เสาจะมีกําลัง
ตา นทานตอแรงกดอัดมากกวา เสาทีม่ ีการยดึ รง้ั นอยๆ เชน แบบหมดุ เปน ตน
พจิ ารณาเสาซ่ึงถกู ยึดแนนทีป่ ลายดา นหนง่ึ และเปนอิสระท่ปี ลายอีกดานหนึง่ ดังท่แี สดงในรูปที่ 13-7a ภายใตแ รง
ในแนวแกน P เสาดงั กลาวจะเกิดการโกงตัว ดังทีแ่ สดงในรปู ท่ี 13-7b โดยทีส่ มการของโมเมนตที่ระยะ x ใดๆ จะอยใู น
รูป M = P(δ − v) เม่อื เราแทนคา M ลงในสมการการโกงตวั ของคาน เราจะไดว า
EI d 2v = P(δ − v) (13-7)
dx 2
d 2v + P v = P δ
dx 2 EI EI
รูปท่ี 13-7
เมื่อทําการแกสมการท่ี 13-7 แลว เราจะไดส มการของการโกงตวั ของเสาอยใู นรูป
v = C1 sin P x + C2 cos P x +δ
EI EI
และสมการของ slope ของการโกงตัวของเสาจะอยูในรูป
dv = C1 P P − C2 P P
dx EI cos EI x EI sin EI x
คาคงที่ C1 และ C2 จะหาไดโดยใช boundary conditions ของเสาท่ีตําแหนง x = 0 ดงั นน้ั
ทต่ี ําแหนง x = 0 , v = 0 ,
C2 = −δ
Mechanics of Materials 13-10
ท่ตี ําแหนง x = 0, dv = 0,
dx
C1 = 0
เมอื่ แทนคาคงที่ C1 และ C2 ลงในสมการของการโกงตัวของเสา เราจะได
v = δ − cos P x (13-8)
1 EI
จากสมการที่ 13-8 และ boundary conditions ของเสา เราจะไดวา
ท่ตี าํ แหนง x = L , v = δ ดังนนั้
δ cos P L = 0
EI
ซึ่งการที่ δ cos P L = 0 จะเปน ไปไดส องกรณคี ือ
EI
1. เมอื่ เทอม δ = 0 และ cos P L ≠ 0
EI
2. เมอ่ื เทอม cos P L = 0 และ δ ≠ 0
EI
โดยใชวิธีการวิเคราะหในลักษณะเชนเดียวกับที่ไดกลาวไปใน section ที่แลว เราจะเห็นไดวา คําตอบท่ีไดจาก
กรณีท่ี 1 จะเปนคําตอบที่ไมมีความสําคัญ (trivial solution) เนื่องจากวาเสาจะไมมีการโกงตัวเกิดขึ้นเลยไมวาคาของแรง
P จะมีคาเทาใดกต็ าม ดังนน้ั คําตอบท่ีแทจรงิ คอื เมอ่ื
cos P L = 0
EI
P L = nπ
EI 2
เนือ่ งจากแรงกดอดั ในแนวแกนที่มคี านอยท่ีสุดของเสาจะเกิดขนึ้ เมือ่ n = 1 ดังน้นั
Pcr = π 2 EI = π 2 EI (13-9)
4L2 (2L)2
โดยการเปรียบเทียบสมการท่ี 13-9 กับสมการของ Euler (สมการท่ี 13-5) เราจะเห็นวา คาแรงวิกฤติของเสาใน
กรณนี ี้มคี า นอ ยกวาคา แรงวิกฤตขิ องเสาท่ีมีการรองรบั แบบ pined-pined ถึงส่เี ทา
Effective Lengths
ตามท่ีไดกลาวไปแลว ในการหาสมการของ Euler เราสมมุติใหปลายของเสาทั้งสองดานถูกยึดโดยหมุด โดยท่ี
ความยาว L ของเสาจะเปน ระยะหางระหวางจดุ ท่มี ีโมเมนตเปนศูนยบนเสา ถาเสามีการรองรับในลักษณะอื่นๆ แลว เราก็
ยังสามารถใชสมการของ Euler ในการหาแรงวิกฤติของเสาได โดยการให L เปนความยาวระหวางจุดดัดกลับ (inflection
points) ทีเ่ กดิ ขึ้นบนเสา ซ่ึงเราจะเรยี กความยาวของเสานวี้ า ความยาวประสทิ ธผิ ล Le (effective length) ของเสา