Mechanics of Materials 9-33
รปู ที่ Prob. 9-6
9-7 จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ท่ีเกดิ ข้ึนบน stress element
ที่จุด A และจุด B ของเพลาตนั ดังทแ่ี สดงในรูปท่ี Prob. 9-7
รปู ที่ Prob. 9-7
9-8 กําหนดใหเสาหนา ตัดสเ่ี หลยี่ มผนื ผาถูกกระทําโดยแรงตา งๆ ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี Prob. 9-8 จงหาสภาวะของหนว ยแรง
principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทเ่ี กดิ ข้ึนบน stress element ที่จดุ A
รูปที่ Prob. 9-8
9-9 กาํ หนดให cylindrical pressure vessel ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ Prob. 9-9 มรี ศั มีภายใน 1.25 m และหนา 15 mm และ
ถกู กระทาํ โดยแรงดันภายใน p = 8 MPa ถา pressure vessel ดงั กลาวมีรอยเชือ่ มทํามุม 45o กบั แนวนอน จงหาส
ภาวะของหนว ยแรง principal stresses ทเี่ กดิ ขึ้นบนรอยเชอื่ ม
Mechanics of Materials 9-34
รูปท่ี Prob. 9-9
9-10 จงหา principal stresses และ absolute maximum shear stress ทีเ่ กดิ ขนึ้ บน stress element ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี
Prob. 9-10
รปู ท่ี Prob. 9-10
9-11 จงหา principal stresses และ absolute maximum shear stress ทเ่ี กิดข้นึ บน stress element ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี
Prob. 9-11
รปู ท่ี Prob. 9-11
9-12 กาํ หนดให frame ไมม ลี กั ษณะและถูกกระทําโดนแรงและโมเมนต ดงั ทีแ่ สดงในรปู ที่ Prob. 9-12 จงหา principal
stresses และ absolute maximum shear stress ท่เี กดิ ข้นึ บน stress element ท่จี ุด A
รปู ท่ี Prob. 9-12
Mechanics of Materials 10-1
บทที่ 10
การแปลงความเครียด (Strain Transformation)
เรยี บเรียงโดย อ.ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทติ ย
10.1 ความเครียดในระนาบ (Plane Strain)
จากบทที่ 2 เราไดท ราบไปแลววา ภายใตการกระทําของแรง วตั ถุจะเกิดการเปลีย่ นแปลงรูปรางขนึ้ ซ่งึ มกั จะถกู
วัดหรืออธิบายไดโดยใชป รมิ าณทเี่ รยี กวา ความเครียด (strain)
ในการพจิ ารณาถึงสภาวะของความเครยี ดทีเ่ กิดข้ึนท่ีจดุ ๆ หน่ึง เราจะทาํ การพิจารณาสภาวะของความเครียดที่
เกดิ ขนึ้ บน cubic volume element เล็กๆ ทลี่ อมรอบจดุ นนั้ โดยท่ัวไปแลว สภาวะของความเครยี ดบน cubic volume
element จะประกอบไปดว ยความเครียดทัง้ หมด 6 คาคือ ความเครยี ดตัง้ ฉาก ε x , ε y , และ ε z และความเครียดเฉอื น
γ xy , γ yz , และ γ zx ซึ่งเปนอสิ ระตอ กัน ความเครียดท้งั 6 คา น้จี ะมีคา เปลี่ยนไปตามทศิ ทางการวางตวั ของ cubic
volume element ในลกั ษณะทีค่ ลา ยคลึงกนั กับหนวยแรง
ในการทดสอบวสั ดุ เราจะวดั คาของความเครียดเหลา นีไ้ ดโ ดยใช strain gauge ซง่ึ โดยปกติแลว เราจะสามารถทาํ
ไดในบางทิศทางเทานั้น ดังนั้น ถาเราสนใจท่ีจะทราบคาของความเครียดในทิศทางอ่ืนๆ แลว เราจะตองทําการแปลง
ความเครียด (strain transformation) เพือ่ หาคา ของความเครียดในทิศทางน้ันๆ ซึ่งจะกลาวถึงตอไปในบทน้ี
เชนเดยี วกบั ในกรณขี องหนวยแรง ความเครียดที่เกิดข้นึ ในชิ้นสว นโครงสรางหรือเครอ่ื งจักรกลจะถูกลดจาํ นวนให
อยใู นรูปของสภาวะของความเครียดในระนาบเดียว (plane strain) ได โดยท่สี ภาวะของความเครียดแบบ plane strain ใน
ระบบแกน x − y จะประกอบไปดว ยความเครยี ดตั้งฉาก ε x และ ε y และความเครียดเฉือน γ xy ซงึ่ กระทําอยูบ นดา น
ทง้ั สีด่ านของ strain element ดงั ที่แสดงในรูปท่ี 10-1 จากรปู เราจะเห็นไดว า ความเครยี ดตง้ั ฉาก ε x และ ε y จะทําให
เกดิ การเปลยี่ นแปลงความยาวในแกน x และแกน y ตามลาํ ดบั และความเครยี ดเฉอื น γ xy จะทาํ ใหเ กดิ การหมุน
สมั พทั ธของหนา ตดั ท่ีอยูต ดิ กนั บน element นัน้
รูปที่ 10-1
ถงึ แมน วา plane strain และ plane stress จะมีหนวยแรงและความเครียดสามองคประกอบเทากนั และอยูบน
ระนาบเดยี วกัน แตโดยสว นใหญแลว plane strain จะไมท าํ ใหเ กิด plane stress และ plane stress จะไมทําใหเกิด plane
strain
พจิ ารณา cubic volume element ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ 10-2 ซึ่งถกู กระทําโดยสภาวะของหนว ยแรงแบบ plane
stress σ x และ σ y ภายใตหนว ยแรงท้งั สองนี้ เราจะเห็นไดว า cubic volume element จะมกี ารเปลี่ยนแปลงรปู รา งดังท่ี
แสดงโดยเสนประ ซ่งึ นอกจากจะทาํ ใหม คี วามเครยี ดต้งั ฉาก ε x และ ε y เกดิ ข้ึนแลว การเปล่ียนแปลงรูปรางดังกลาวยงั
Mechanics of Materials 10-2
จะทาํ ใหมคี วามเครียดต้ังฉาก ε z เกดิ ขึน้ ดว ย แตในกรณีท่ี cubic volume element ถกู กระทําโดยสภาวะของความเครยี ด
แบบ plane strain ε x และ ε y แลว เราจะเหน็ ไดว า cubic volume element จะมีเฉพาะหนว ยแรงตั้งฉาก σ x และ σ y
เกดิ ขึน้ เทาน้ัน แตจะไมมีหนวยแรงตงั้ ฉาก σ z เกิดขน้ึ เลย ดังนน้ั โดยทั่วไปแลว เราอาจจะกลาวไดวา plane stress จะไม
เกิดข้ึนพรอ มกันกบั plane strain ยกเวนในกรณที ี่ Poisson’s ratio มีคาเทา กับศูนย และเนอ่ื งจากหนว ยแรงเฉอื นและ
ความเครียดเฉือนไมมคี วามสัมพันธก บั Poisson’s ratio ดังน้ัน เมอ่ื หนว ยแรงเฉอื น τ xz = 0 แลว ความเครียดเฉือน
γ xz = 0 และเมอ่ื หนว ยแรงเฉอื น τ yz = 0 แลว ความเครียดเฉอื น γ yz = 0
รูปท่ี 10-2
ตารางที่ 10-1 แสดงการเปรยี บเทยี บหนวยแรงและความเครยี ดตางๆ ท่เี กดิ ขึ้นบน cubic volume element ทถี่ ูก
กระทาํ โดยสภาวะของหนวยแรงแบบ plane stress และสภาวะของความเครียดแบบ plane strain ซึ่งเราจะกลา วสรุปเง่อื น
ไขของการเกิด plane stress และ plane strain ไดว า
1. เง่อื นไขทก่ี อ ใหเกิด plane stress คือ σ z = 0 , τ xz = 0 , และ τ yz = 0
2. เง่ือนไขท่กี อ ใหเกดิ plane strain คือ ε z = 0 , γ xz = 0 , และ γ yz = 0
ตารางท่ี 10-1 Plane strain
Plane stress
Stresses σ z = 0 τ xz = 0 τ yz = 0 τ xz = 0 τ yz = 0
Strains
σ x , σ y , และ τ xy อาจมคี า ไมเทา กบั ศูนย σ x , σ y , σ z , และ τ xy อาจมคี า ไมเทากบั ศนู ย
γ xz = 0 γ yz = 0 ε z = 0 γ xz = 0 γ yz = 0
ε x , ε y , ε z , และ γ xy อาจมีคา ไมเ ทากับศนู ย ε x , ε y , และ γ xy อาจมคี าไมเ ทา กับศูนย
Mechanics of Materials 10-3
10.2 สมการการแปลงความเครยี ดในระนาบ (General Equations of Plane-Strain Transformation)
กําหนดใหคา ของ plane strain ε x , ε y , และ γ xy ที่เกดิ ขึ้นทีจ่ ุดใดจดุ หน่งึ บนชน้ิ สว นของโครงสรา งหรือเครื่อง
จกั รกลในระบบแกน x − y เปน คา ที่เราทราบ และเราตอ งการหาคาของ plane strain ε ′x , ε ′y , และ γ ′xy ทอ่ี ยใู นระบบ
แกน x′ − y′ เม่ือระบบแกน x − y ทํามมุ ตอระบบแกน x′ − y′ เทากบั θ
Sign Convention
รปู ท่ี 10-3a แสดง sign convention ของความเครยี ดที่มคี า เปน บวกบน strain element โดยที่
1. ความเครยี ดตัง้ ฉาก ε x และ ε y จะมีคา เปน บวก เมื่อความเครยี ดตง้ั ฉากทัง้ สองทาํ ใหเ กดิ การยืดตัวไปใน
แนวแกน + x และ + y ตามลําดบั
2. ความเครียดเฉอื น γ xy จะมคี าเปนบวก เมอื่ มมุ ภายใน AOB มีคาลดลงนอ ยกวา 90o
เราควรสังเกตดวยวา sign convention ของความเครยี ดนจ้ี ะมีความสอดคลองกบั sign convention ทเ่ี ราใชใน
กรณีของ plane stress ที่กลา วถึงไปแลว ในบทที่ 9 คือ หนว ยแรง σ x , σ y , และ τ xy ทเี่ ปน บวกจะทําใหเ กิดความเครียด
ε x , ε y , และ γ xy ทเ่ี ปนบวก นอกจากน้ันแลว มุม θ จะมีคา เปน บวก เมอ่ื มีทิศทางหมนุ ตามกฎมือขวาจากแกน x ไป
ยงั แกน x′ หรือหมนุ ทวนเขม็ นาฬิกา ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี 10-3b
รปู ที่ 10-3
Normal and Shear Strain Components
ในการทจี่ ะหาสมการการแปลงความเครยี ด (strain transformation) ของความเครียดตงั้ ฉาก ε x′ เราจะทําการ
หาคาการยดื ตัวของเสน ตรง dx′ ในแนวแกน x′ เม่อื strain element ถกู กระทําโดยความเครียด ε x , ε y , และ γ xy ทมี่ ี
คา เปนบวก จากรปู ท่ี 10-4a เราจะไดว า สวนของเสนตรง dx′ ในแนวแกน x และแกน y มีคา เทากบั
dx = dx′ cosθ (10-1)
dy = dx′ sin θ
เมื่อความเครยี ดต้งั ฉาก ε x เกดิ ข้นึ ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 10-4b แลว เสน ตรง dx จะเกดิ การยดื ตวั ε xdx ซง่ึ ทาํ ให
เสนตรง dx′ เกดิ การยดื ตวั ε xdx cosθ
ในลกั ษณะเดียวกนั เมื่อความเครียดตง้ั ฉาก ε y เกิดขึ้น ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 10-4c แลว เสน ตรง dy จะเกิดการ
ยดื ตวั ε ydy ซง่ึ ทําใหเ สนตรง dx′ เกดิ การยดื ตัว ε ydy sinθ
สุดทาย สมมุติให dx ยังคงอยทู ตี่ าํ แหนงเดมิ ในขณะท่ีวัตถมุ กี ารเปลี่ยนแปลงรูปราง ดังนน้ั ความเครยี ดเฉือน
γ xy ซึง่ เปนคา การเปล่ยี นแปลงมุมระหวา งเสน ตรง dx และเสนตรง dy จะทาํ ใหจุดปลายดานบนของ dy เกดิ การ
เปลี่ยนตําแหนง γ xydy ไปทางขวามือ ดังท่แี สดงในรปู ที่ 10-4d และจะทําใหเ สน ตรง dx′ เกิดการยืดตัวเทากับ
γ xy dy cosθ
Mechanics of Materials 10-4
เม่ือเราทําการรวมคาการยดื ตัวท้งั สามคา ดงั กลา วเขาดว ยกนั แลว คา การยืดตวั ลัพธ dx′ จะมีคาเทา กบั
δx′ = ε x dx cosθ + ε y dy sinθ + γ xy dy cosθ
จากสมการท่ี 2-2 เราจะไดวา ความเครยี ดต้งั ฉากในแนวเสนตรง dx′ จะอยูใ นรูป ε x′ = δx′ / dx′ ดังนน้ั จาก
สมการที่ 10-1 เราจะไดว า
ε x′ = ε x cos2 θ + ε y sin 2 θ + γ xy sinθ cosθ (10-2)
รูปท่ี 10-4
ในการที่จะหาสมการ strain transformation ของความเครยี ดเฉือน γ x′y′ เราจะทําการหามุมที่เสนตรง dx′
และ dy′ หมุนไป เม่ือ strain element ถกู กระทําโดยความเครียด ε x , ε y , และ γ xy ท่ีมคี าเปนบวก
พจิ ารณารูปท่ี 10-4e ซึ่งแสดงการหมนุ ของเสน ตรง dx′ ทม่ี ที ศิ ทางทวนเขม็ นาฬกิ าเปน มมุ α ซง่ึ มมุ α จะหา
ไดจากสมการ α = δy′/ dx′ โดยที่ δy′ จะเปน ผลรวมของการเปลย่ี นตําแหนงเนอื่ งจาก ε x รวมกับการเปลี่ยนตําแหนง
เนือ่ งจาก ε y และรวมกบั การเปลยี่ นตําแหนงเน่ืองจาก γ xy โดยท่ี
Mechanics of Materials 10-5
จากรูปท่ี 10-4b การเปล่ยี นตาํ แหนงเนือ่ งจาก ε x จะมคี าเทา กบั − ε xdx sinθ
จากรูปท่ี 10-4c การเปล่ยี นตําแหนง เนอ่ื งจาก ε y จะมีคา เทากับ ε ydy cosθ
จากรปู ท่ี 10-4d การเปลย่ี นตาํ แหนงเนอ่ื งจาก γ xy จะมคี าเทา กบั − γ xydy sinθ
ดังนน้ั เราจะไดวา
δy′ = −ε x dx sinθ + ε y dy cosθ − γ xy dy sinθ
แทนคาสมการที่ 10-1 และคา การเปลีย่ นตําแหนง δy′ ลงในสมการ α = δy′/ dx′ เราจะไดวา
α = (−ε x + ε y ) sinθ cosθ − γ xy sin 2 θ (10-3)
จากรูปที่ 10-4e เราจะเห็นวา การหมนุ ของเสน ตรง dy′ มที ศิ ทางตามเข็มนาฬกิ าเปนมุม β จากการวเิ คราะห
เชนเดยี วกับทใ่ี ชใ นการหามุม α หรือโดยการแทนคา θ ลงในสมการที่ 10-3 ดว ยคา θ + 90o แลว ใชความสมั พันธ
sin(θ + 90o ) = cosθ และ cos(θ + 90o ) = − sinθ เราจะไดว า
β = (−ε x + ε y ) sin(θ + 90o ) cos(θ + 90o ) − γ xy sin 2 (θ + 90o )
= −(−ε x + ε y ) cosθ sinθ − γ xy cos2 θ
เนอ่ื งจากมุม α และมมุ β เปน มมุ ทีเ่ สน ตรง dx′ และ dy′ ซึง่ เปนดานของ element ทีเ่ ริ่มตน อยูในแนวแกน
x′ และแกน y′ ตามลําดบั เกดิ การหมนุ ไปจากแกนดงั กลาว และเนือ่ งจากมุม β หมนุ ไปในทิศทางทต่ี รงกันขา มกบั มุม
α ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่ 10-4e ดังนัน้ element ดงั กลาวจะมคี วามเครยี ดเฉอื นเกดิ ขึ้นเทากบั
γ x′y′ = α − β = −2(ε x − ε y ) sinθ cosθ + γ xy (cos2 θ − sin 2 θ ) (10-4)
เน่อื งจาก sin 2θ = 2 sin θ cosθ , sin 2 θ = (1− cos 2θ ) , และ cos2 θ = (1 + cos 2θ ) ดงั นัน้ เราจะเขียนสม
2
2
การที่ 10-2 และ 10-4 ใหมไ ดเ ปน
ε x′ = εx +εy + εx −εy cos 2θ + γ xy sin 2θ (10-5)
2 2 2 (10-6)
γ x′y′ = −εx −εy sin 2θ + γ xy cos 2θ (10-7)
2 2 2
และความเครยี ด ε y′ จะหามาไดจากการแทนคา มมุ θ ในสมการท่ี 10-5 ดวยคามุม θ + 90o ซ่ึงเราจะไดวา
ε y′ = εx +εy − εx −εy cos 2θ − γ xy sin 2θ
2 2 2
รูปท่ี 10-5
Mechanics of Materials 10-6
รูปที่ 10-5 แสดงการเปลีย่ นแปลงรปู รา งของ element เมื่อคา ของความเครยี ดตั้งฉาก ε x′ และความเครยี ดเฉอื น
γ x′y′ มคี าเปน บวกแลว เราจะเห็นไดวา การเปล่ียนแปลงรูปรา งดงั กลา วจะมลี กั ษณะท่ีสอดคลองกับการเปลี่ยนแปลงรูป
รางของ element เมือ่ element ดงั กลา วถกู กระทําโดยหนวยแรงตงั้ ฉาก σ x′ และหนว ยแรงเฉอื น τ x′y′ ท่ีมีคา เปน บวก
นอกจากนัน้ แลว สมการของ plane-strain transformation (สมการท่ี 10-5 ถึง 10-7) มีลักษณะท่คี ลายคลึงกบั สมการของ
plane-stress transformation (สมการท่ี 9-1 ถึง 9-3) โดยการเปรยี บเทียบ เราจะไดวา หนวยแรงและความเครียดมคี วาม
สอดคลองกนั ดงั ท่แี สดงในตารางที่ 10-2
ตารางที่ 10-2
Stresses Strains
σx εx
σy εy
σ x′
σ y′ ε x′
τ xy ε y′
τ x′y′ γ xy / 2
γ x′y′ / 2
เมื่อเรานําความเครยี ดตง้ั ฉาก ε x′ และ ε y′ ในสมการท่ี 10-5 และ 10-7 มารวมกันแลว เราจะไดว า
ε x′ + ε y′ = ε x + ε y
ซง่ึ แสดงวา ผลรวมของความเครยี ดตง้ั ฉากทีก่ ระทาํ อยูบนดา นท่ีตั้งฉากกันของ element ที่ถกู กระทาํ โดย plane strain ท่ี
จดุ ๆ หนึง่ ทีเ่ รากาํ ลงั พิจารณาอยูจะมีคาคงท่ี
In-Plane Principal Strains
เชนเดียวกบั ในกรณีของการหา in-plane principal stresses เราจะหาทศิ ทางของ element ทถ่ี กู กระทําโดย
ความเครยี ดต้งั ฉากเทานน้ั โดยทไ่ี มมคี วามเครยี ดเฉือนเกดิ ขึน้ เลยได ซ่ึงเราเรียกความเครยี ดต้ังฉากน้วี า principal strain
ในกรณีที่วัสดเุ ปน วสั ดแุ บบ isotropic แลว ระบบแกนที่ principal strain นเ้ี กิดข้ึนจะเปนระบบแกนเดยี วกันกับท่ี
principal stress เกดิ ข้นึ ดงั นนั้ จากสมการท่ี 9-4 และ 9-5 และจากความสัมพนั ธข องหนว ยแรงและความเครยี ด เราจะได
วา ทิศทางของระบบแกนทเ่ี กิด principal strain จะหาไดจากสมการ
tan 2θ p = γ xy (10-8)
εx −εy
และ principal strain ดังกลา วจะหาไดจ ากสมการ
ε1 = εx +εy ± ε x − ε y 2 + γ xy 2 (10-9)
2 2 2 2
Maximum In-plane Shear Strain
เชนเดยี วกบั ในกรณีของ in-plane principal strains เราจะหาคา ของทศิ ทางของระบบแกนที่ maximum in-
plane shear strain เกดิ ขน้ึ (ซ่งึ ทาํ มุม 45o กับทิศทางของระบบแกนท่ี in-plane principal strains เกดิ ขึน้ ) ไดจ ากสมการ
ที่ 9-6 ซ่งึ จะอยใู นรปู
Mechanics of Materials 10-7
tan 2θ s = − (ε x −εy) (10-10)
γ (10-11)
xy (10-12)
ในลกั ษณะเดยี วกนั คา maximum in-plane shear strain จะหาไดจากสมการ
(γ x′y′ ) max εx −ε 2 γ xy 2
in - plane 2 y 2
= +
2
และคาความเครยี ดเฉล่ียท่เี กิดข้นึ พรอมกับ maximum in-plane shear strain จะหาไดจาก
ε avg = εx +εy
2
Mechanics of Materials 10-8
ตัวอยา งที่ 10-1
กาํ หนดให strain element ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ EX 10-1a มสี ภาวะของ strain ดังตอไปนี้ ε x = 500(10−6 ) ,
ε y = −300(10−6 ) , γ xy = 200(106 ) จงหา
a.) สภาวะของ strain เมือ่ strain element หมุนทวนเขม็ นาฬิกาเปนมุม 30o
b.) Principal strains และทิศทางทเ่ี กิด
c.) Maximum in-plane shear strain และทศิ ทางที่เกดิ
รูปที่ EX 10-1
Mechanics of Materials 10-9
สภาวะของ strain เมอื่ strain element หมุนทวนเขม็ นาฬกิ าเปนมมุ 30o
เนื่องจากแกน x′ ของ strain element หมุนทวนเขม็ นาฬิกาเปนมมุ 30o จากแกน x ดงั นน้ั จาก sign
convention ท่ใี ช θ = +30o
คาความเครียดตง้ั ฉากในแนวแกน x′ จะหาไดจ ากสมการที่ 10-5
ε x′ = εx +εy + εx −εy cos 2θ + γ xy sin 2θ
2 2 2
ε x′ = − 350 + 200 (10−6 ) + − 350 − 200 (10−6 ) cos (2(30o )) + 80(10−6 ) sin (2(30o ))
2 2 2
ε x′ = −178(10−6 )
คาความเครยี ดเฉือนในระนาบ x′ − y′ จะหาไดจากสมการที่ 10-6
γ x′y′ = −εx −εy sin 2θ + γ xy cos 2θ
2 2 2
γ x′y′ = − − 350 − 200 (10 −6 ) sin (2(30o )) + 80(10 −6 ) cos (2(30o ))
2 2 2
γ x′y′ = 248(10−6 )
คาความเครยี ดตั้งฉากในแนวแกน y′ จะหาไดจากสมการท่ี 10-7
ε y′ = εx +εy − εx −εy cos 2θ − γ xy sin 2θ
2 2 2
ε y′ = − 350 + 200 (10 −6 ) − − 350 − 200 (10 −6 ) cos (2(30 o )) − 80(10−6 ) sin (2(30o ))
2 2 2
ε y′ = 28(10−6 )
ดงั น้นั เราจะเขยี นสภาวะของ strain เม่อื strain element หมุนทวนเขม็ นาฬกิ าเปนมมุ 30o ไดดงั ที่แสดงในรปู ที่ EX 10-
1c Ans.
Principal strains และทศิ ทางท่เี กดิ
ทศิ ทางของ principal plane ที่มสี ภาวะของ principal strains เกดิ ขึ้นจะหาไดสมการที่ 10-8
tan 2θ p = γ xy
εx −εy
tan 2θ p = 80(10−6 )
(−350 − 200)10−6
2θ p = −8.28o และ − 8.28o + 180o = 171.8o
θ p = −4.14o และ 85.9o
จาก sign convention ท่ใี ช มุม θ มีคา เปน บวกแสดงวา แกน x′ ของ strain element หมนุ ทวนเข็มนาฬกิ าไป
จากแกน x
คาของ principal plane จะหาไดจ ากสมการท่ี 10-9
ε1 = εx +εy ± εx −ε y 2 + γ xy 2
2 2 2 2
Mechanics of Materials 10-10
ε1 = − 350 + 200 10 −6 − 350 − 200 2 + 80 2
2 2 ± 2 2 10 −6
ε1 = −75.0(10−6 ) ± 277.9(10−6 )
2
ดงั นน้ั
ε1 = 203(10−6 ) และ ε 2 = −353(10−6 )
เราจะตรวจสอบวา คาของ principal plane คาใดเปน คาที่เกดิ ขึน้ ทห่ี นา ตัดของ strain element ที่ทาํ มมุ ต้งั ฉาก
กับแกน x′ ทหี่ มนุ ไปเปน มุม θ p = −4.14o จากแกน x ไดโดยใชสมการท่ี10-5
ε x′ = − 350 + 200 (10 −6 ) + − 350 − 200 (10−6 ) cos (−8.28o ) + 80(10−6 ) sin (−8.28o )
2 2 2
ε x′ = −353(10−6 ) Ans.
ดงั นั้น ε 2 = ε x′ และ strain element จะเกดิ การเปลยี่ นแปลงรูปราง ดังท่แี สดงในรปู ท่ี EX 10-1d
Maximum in-plane shear strain และทศิ ทางทเี่ กิด
strain element ทม่ี สี ภาวะของ maximum in-plane shear strain เกิดขน้ึ จะมีทศิ ทางทีห่ มุนไปจาก strain
element ดงั ที่แสดงในรปู ที่ EX 10-1d เปน มมุ เทา กับ 45o
θ s = −4.14o + 45o = 40.9o
ดงั ที่แสดงในรูปท่ี EX 10-1e หรือจะสามารถคาํ นวณหามาไดโดยใชส มการท่ี 10-10
จากสมการท่ี 10-11 คา maximum in-plane shear strain จะมีคาเทากบั
(γ x′y′ ) max εx −ε 2 γ xy 2
in - plane 2 y 2
= +
2
(γ x′y′ ) max − 350 − 200 2 80 2
in -plane 2 2 (10 −6
= + )
2
(γ x′y′ )max = 556(10−6 )
in -plane
จากสมการที่ 10-11 คา ความเครยี ดเฉลี่ยท่ีเกดิ ขนึ้ พรอ มกบั maximum in-plane shear strain จะมีคา เทากับ
ε avg = εx +εy = − 350 + 200 (10 −6 ) = −75(10 −6 )
2 2
ทศิ ทางการเกิดข้นึ ของความเครยี ดเฉือนทเี่ หมาะสมจะหาไดโดยการแทนคามมุ θ s = 40.9o ลงในสมการท่ี 10-
6
γ x′y′ = − − 350 − 200 (10 −6 ) sin (2(40.9o )) + 80(10 −6 ) cos (2(40.9o ))
2 2 2
γ x′y′ = 556(10−6 )
ดงั นั้น (γ x′y′ )max จะทาํ ให strain element มีมุมระหวางดา น dx′ และ dy′ ลดลงจากมุม 90o ดังท่ีแสดงในรูปท่ี
in - plane
EX 10-1e Ans.
Mechanics of Materials 10-11
10.3 วงกลมมอร - ความเครยี ดในระนาบ (Mohr’s Circle-Plane Strain)
ในลกั ษณะเชนเดียวกับ Mohr’s circle ของ plane stress เราจะเขยี นสมการของ Mohr’s circle ของ plane
strain ไดใ นรปู
[ ]ε x′ 2 γ x′y′ 2 = R2 (10-13)
− ε avg +
2
เมอ่ื ε avg = εx +εy
2
R= εx −ε y 2 + γ xy 2
2 2
สมการท่ี 10-13 เปน สมการของวงกลมท่ีมจี ุดศนู ยก ลางอยบู นแกน ε ทีจ่ ดุ C(ε avg , 0) และมีรศั มีเทากับ R
และรปู รางโดยทว่ั ไปของ Mohr’s circle จะเขยี นไดดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี 10-6 โดยทีจ่ ดุ A จะเปนจุดทีแ่ สดงสภาวะของ
ความเครยี ดทีเ่ กิดขึน้ อยูบนดา นของ element ท่ีตงั้ ฉากกบั แกน x และมี coordinate เปน (ε x , γ xy / 2)
รปู ท่ี 10-6
รูปท่ี 10-7
Mechanics of Materials 10-12
จากรปู ท่ี 10-7a คา ของ principal strains ε1 และ ε2 จะเปนคา พิกัดที่จดุ ท่ี Mohr’s circle ตัดกับแกน ε หรือ
จุด B(ε1, 0) และ D(ε 2 , 0) และทาํ มุม 2θ p1 และ 2θ p2 ตามลําดบั ในทศิ ทางทวนเขม็ นาฬกิ า จากเสน รศั มีเริ่มตน
CA
คา ของมุม 2θ p1 และ 2θ p2 จะหาไดโดยการใช trigonometry เราควรท่จี ะทราบแลว ดวยวา element จะตอ ง
หมนุ ไปจากระบบแกนอา งอิง x − y เปน มมุ θ p1 และ θ p2 เทา น้ัน ซึ่งจะสมมูลกับการหมนุ ทเ่ี กดิ ข้ึนบน Mohr’s circle
เปน มุม 2θ p1 และ 2θ p2 และเมือ่ เราทราบมมุ ใดมุมหน่งึ ของมุม θ p1 และ θ p2 แลว เราจะหาคาของอกี มุมหนง่ึ ได เนอื่ ง
จากมมุ ทง้ั สองน้ตี างกันอยู 90o รูปที่ 10-7b แสดงการหมุนของ element เพือ่ ทีจ่ ะทําใหเกิด principal strain ε1 ที่สอด
คลองกับการหมุนของ Mohr’s circle 2θ p1 โดยท่ีระบบแกน x′ − y′ จะหมุนเปน มมุ θ p1 จากแกน x − y ในทิศทาง
ทวนเขม็ นาฬิกา และการเปลี่ยนแปลงรูปรางของ element เนอื่ งจาก principal strains ε1 และ ε2 จะมลี ักษณะดงั ที่
แสดงในรูป
ในลกั ษณะทคี่ ลา ยคลึงกับการหาคาของ principal strains เราจะหาคา ของ maximum in-plane shear strain
ไดจ ากพิกัดของจุด E และจุด F บน Mohr’s circle ซึง่ ทํามมุ 2θ s1 และ 2θs2 จากเสน รศั มเี รมิ่ ตน CA ตามลําดบั ดัง
ท่ีแสดงในรูปที่ 10-8a คา มมุ ทง้ั สองนีจ้ ะหาไดโ ดยใช trigonometry นอกจากน้นั แลว เราจะเขียนสภาวะของความเครียดท่ี
เกิดข้นึ ท่ีจุด E บน element ได ดังที่แสดงในรปู ที่ 10-8b
รปู ที่ 10-8
สุดทา ย เราจะหาคาของความเครยี ดตั้งฉาก ε x′ และความเครยี ดเฉอื น γ x′y′ ท่เี กิดขน้ึ ท่หี นา ตดั ใดๆ ของ
element เลก็ ๆ ท่ีตัง้ ฉากกับระบบแกน x′ − y′ และทาํ มุม θ ในทิศทางทวนเขม็ นาฬกิ ากบั ระบบแกนอา งองิ x − y ดงั
ท่ีแสดงในรูปท่ี 10-9a ไดโ ดยการหมุนเสน รัศมเี ร่ิมตน CA ไปเปนมุม 2θ ในทศิ ทางทวนเข็มนาฬกิ า ซ่งึ แสดงโดยเสนใน
แนวรัศมี CP จากนั้น ใช trigonometry ในการหาคา พิกัดของจุด P บน Mohr’s circle ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ 10-9b นอก
จากน้ันแลว ความเครยี ดตั้งฉาก ε y′ จะหาไดโดยการหาคาพกิ ัดของจุด Q บนแกน ε
Mechanics of Materials 10-13
รูปท่ี 10-9
Mechanics of Materials 10-14
ตวั อยางท่ี 10-2
กาํ หนดให strain element มสี ภาวะของ strain ดังตอไปน้ี ε x = 250(10−6 ) , ε y = −150(10−6 ) ,
γ xy = 120(106 ) จงหา
a.) Principal strains และทศิ ทางทเ่ี กดิ
b.) Maximum in-plane shear strain และทศิ ทางที่เกิด
รูปที่ EX 10-2
กาํ หนดใหแ กน ε และแกน γ / 2 มิทศิ ที่เปน บวกไปทางขวามอื และพุงลงในแนวดิ่ง ตามลําดับ ดังที่แสดงในรูป
ท่ี EX 10-2a และจดุ ศูนยกลางของ Mohr’s circle อยูบ นแกน ε ท่ีจดุ C(ε avg , 0) และมรี ศั มีเทา กบั R โดยท่ี
ε avg = εx +εy = 250 + (−150) 50(10 −6 ) = 50(10 −6 )
2 2
250 − (−150) 2 + 120 2 = 208.8(10−6 )
R= 2 2 (10−6 )
พิกัดเริม่ ตน ของสภาวะของ strain บน Mohr’s circle จะมีคาเทา กับ (ε,γ / 2) = (250(10−6 ),60(10−6 ))
ซ่งึ จะอยทู จ่ี ุด A ดังที่แสดงในรปู ท่ี EX 10-2a
Mechanics of Materials 10-15
Principal strains และทิศทางที่เกิด
คา ของ principal strains จะเปนคาพกิ ัดทีจ่ ดุ ที่ Mohr’s circle ตัดกบั แกน ε ทีจ่ ดุ B และจดุ D ดงั นั้น
ε1 = (50 + 208.8)10−6 = 259(10−6 )
ε 2 = (50 − 208.8)10−6 = −159(10−6 )
ทศิ ทางการหมุนของระนาบที่ถูกกระทําโดย principal strains ε1 จะหาไดจากการหมนุ เสน รัศมเี ริม่ ตน CA ไป
ยงั เสนรศั มี CB ซึ่งมีคาเทากับ
tan 2θ p1 = 60 50)
(250 −
θ p1 = 8.35o
สภาวะของ principal strains ท่ีเกดิ ขึน้ บน strain element หมนุ ไปเปนมุม θ p1 = 8.35o ในทศิ ทางทวนเข็ม
นาฬกิ าจะมลี ักษณะดงั ทแี่ สดงในรปู ท่ี EX 10-b Ans.
Maximum in-plane shear strain และทิศทางทีเ่ กิด
คาของ maximum in-plane shear strain จะเปน คา พิกดั ทจ่ี ุด E และจุด F ดงั น้ัน
(γ x′y′ ) max
in -plane
= 208.8(10−6 )
2
(γ x′y′ ) max = 418(10−6 )
in - plane
คา ความเครียดเฉลี่ยท่ีเกิดข้นึ พรอมกับ maximum in-plane shear strain จะมีคาเทากับ
ε avg = 50(10−6 )
จาก Mohr’s circle เราจะหาทิศทางการหมนุ ของ strain element 2θ s1 ในทศิ ทางตามเขม็ นาฬกิ าได
2θ s1 = 90o − 2(8.35o )
θ s1 = 36.6o
เน่ืองจากคาพิกดั ที่จดุ E มีคา เปน บวก ดังนนั้ สภาวะของ maximum in-plane shear strain ท่เี กดิ ขึน้ บน strain
element ที่หมนุ ในทิศทางตามเขม็ นาฬิกาจะมีลกั ษณะดังท่ีแสดงในรูปท่ี EX 10-c Ans.
Mechanics of Materials 10-16
10.4 Strain Rosettes
ดังที่ไดกลา วไปแลว ในบทที่ 3 วา ความเครยี ดต้งั ฉากที่เกิดขน้ึ ในตัวอยางทดสอบภายใตแรงดงึ จะถูกวัดไดโดยใช
electrical-resistance strain gauge แตค วามเครียดตง้ั ฉากท่เี กิดขนึ้ ในโครงสรางมักจะถกู วดั โดยใช strain rosette และ
การคํานวณโดยใชส มการ strain transformation ซ่งึ สภาวะความเครยี ดทค่ี ํานวณไดน ีจ้ ะเปนสภาวะความเครยี ดท่ีเกิดจาก
สภาวะหนวยแรงแบบ plane stress เนือ่ งจาก strain rosette ไมสามารถวัดความเครยี ดในทิศทางต้งั ฉากกบั ผิวของโครง
สรางได โดยทวั่ ไปแลว strain rosette จะมลี กั ษณะเปน strain gauge สามตัวทตี่ ิดต้ังอยูในรปู แบบใดรปู แบบหนึง่ ดังตวั
อยางที่แสดงในรปู ท่ี 10-10
รูปที่ 10-10
พิจารณา strain rosette ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่ 10-11a กาํ หนดใหแกนของ strain gauge a , b , และ c ใน strain
rosette ทาํ มุมกับแกนอางอิง x เปนมุม θa , θb , และ θc ตามลาํ ดบั ถา คา ความเครียดที่อา นไดจ าก strain gauge ทั้ง
สามไดเ ปน εa , εb , และ εc ตามลาํ ดับแลว เราจะหาคา ความเครยี ดตั้งฉาก ε x , ε y , และ γ xy ในระนาบ x − y ท่ีจดุ
ดังกลาวไดโ ดยใชส มการ strain-transformation (สมการที่ 10-2) โดยท่ี
รปู ที่ 10-11
Mechanics of Materials 10-17
ε a = ε x cos2 θ a + ε y sin 2 θ a + γ xy sinθ a cosθ a
ε b = ε x cos2 θ b + ε y sin 2 θ b + γ xy sinθ b cosθ b (10-13)
ε c = ε x cos2 θ c + ε y sin 2 θ c + γ xy sinθ c cosθ c
และเม่ือเราทาํ การแกส มการที่ 10-13 แลว เราจะไดค า ความเครียด ε x , ε y , และ γ xy ซ่ึงแสดงสภาวะความเครียดท่ีจดุ
ดงั กลาวในระนาบ x − y
โดยทั่วไปแลว strain rosette มกั จะมีรูปแบบท่ี strain gauges ทั้งสามทํามุมตอ กนั เทา กับ 45o หรือ 60o ใน
กรณที ่ี strain rosette มรี ูปแบบที่ทาํ มมุ 45o ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 10-11b แลว เราจะไดวา θa = 0o , θb = 45o , และ
θc = 90o ดงั นน้ั จากสมการที่ 10-13 เราจะไดวา
εx = εa
εy = εc
γ xy = 2ε b − (ε a + ε c )
ในกรณีที่ strain rosette มีรปู แบบทีท่ ํามมุ 60o ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ 10-11c แลว เราจะไดว า θa = 0o ,
θb = 60o , และ θc = 120o ดงั นัน้ จากสมการที่ 10-13 เราจะไดวา
εx = εa
εy = 1 (2ε b + 2ε c −εa)
3
γ xy = 2 (ε b − εc )
3
หลงั จากท่ีเราทราบคาความเครียด ε x , ε y , และ γ xy แลว เราจะใชส มการ strain transformation หาคา
principal in-plane strains และ maximum in-plane shear strain ท่เี กิดขึ้นท่ีจดุ ดังกลาวได
Mechanics of Materials 10-18
ตัวอยางท่ี 10-3
สภาวะความเครียดทเ่ี กดิ ข้ึนที่จุด A บนเทา แขน (bracket) ดังที่แสดงในรปู ที่ Ex 10-3a ถกู หามาไดโดยใช stain
rosette ดงั ทแี่ สดงในรูป Ex 10-3b กําหนดให ε a = 60 µε , εb = 135 µε , and ε c = 264 µε จงหาคา principal
strains และทิศทางของการเกิด principal strains ของสภาวะความเครยี ดดงั กลาว
รูปที่ Ex 10-3
กําหนดใหแ กน + x มที ิศทาง ดงั ทแี่ สดงในรปู ที่ Ex 10-3b ซ่งึ เราจะไดวา θa = 0o , θb = 60o , และ
θ c = 120o และจากสมการท่ี 10-13
60(10−6 ) = ε x cos2 0o + ε y sin 2 0o + γ xy sin 0o cos 0o
ε x = 60(10−6 )
135(10−6 ) = ε x cos2 60o + ε y sin 2 60o + γ xy sin 60o cos 60o
0.25ε x + 0.75ε y + 0.433γ xy = 135(10−6 )
264(10−6 ) = ε x cos2 120o + ε y sin 2 120o + γ xy sin120o cos120o
0.25ε x + 0.75ε y − 0.433γ xy = 264(10−6 )
เราจะไดส ภาวะความเครียด
ε x = 60(10−6 ) , ε y = 246(10−6 ) , และ γ xy = −149(10−6 )
Mechanics of Materials 10-19
คา principal strains และทิศทางการเกดิ principal strains ของสภาวะความเครียดดังกลา วจะหาไดจ ากสมการ
ε1 = εx +εy ± ε x −εy 2 + γ xy 2 และ tan 2θ p = γ xy ตามลําดบั หรอื โดยใช Mohr's circle ดงั ที่
2 2 2 2 εx −εy
แสดงในรปู ที่ Ex 10-3c ซ่ึงเราจะไดวา
ε1 = 272(10−6 )
ε 2 = 33.8(10−6 )
และ
2θ p2 = tan −1 74.5 = 38.7 o
153 − 60
θ p2 = 19.3o
ซงึ่ แสดงวาสภาวะความเครยี ด principal strain จะหาไดจากการหมุนสภาวะความเครียด ε x , ε y , และ γ xy ทวนเข็ม
นาฬกิ าไปเปนมมุ 19.3o ดงั ที่แสดงในรูป Ex 10-3d โดยทเ่ี สน ประแสดงการเปลีย่ นแปลงรูปรางทเี่ กิดขน้ึ บน element ดัง
กลาว Ans.
Mechanics of Materials 10-20
10.5 ความสัมพันธท่เี กี่ยวของกบั คณุ สมบตั ขิ องวสั ดุ (Material-Property Relationships)
ใน section นี้ เราตองการหาความสมั พนั ธท ่ีเก่ียวขอ งกับคุณสมบตั ิตา งๆ ของวสั ดุ โดยกาํ หนดใหว สั ดเุ ปนวสั ดุ
แบบ homogeneous และ isotropic และมพี ฤตกิ รรมอยูในชว ง linear elastic ภายใตแ รงกระทํา ซงึ่ ขอกาํ หนดนจ้ี ะทําให
วัสดมุ ีพฤตกิ รรมสอดคลอ งกบั principle of superposition และ Hooke’s law
Generalized Hooke’s Law
พจิ ารณา cubic volume element ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 10-12a ซ่งึ ถูกกระทาํ โดยสภาวะหนว ยแรง triaxial stress
σ x , σ y , σ z จาก principle of superposition เราจะเขียนการเปลี่ยนแปลงรูปรางของ cubic volume element ดัง
กลาวได ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 10-11b, 10-11c, และ 10-11d ตามลาํ ดับ
รูปท่ี 10-12
เรมิ่ ตน ใหเ ราพจิ ารณาความเครียดตั้งฉากท่เี กิดขึ้นในแนวแกน x เนอื่ งจากการกระทาํ ของหนว ยแรงตัง้ ฉาก σ x ,
σ y , และ σ z
เมื่อหนวยแรง σ x กระทาํ ดงั ท่แี สดงในรูปที่ 10-12b แลว cubic volume element จะเกดิ การยดื ตัวในแนวแกน
x และทาํ ใหเกิดความเครยี ดตงั้ ฉากในแนวแกน x เทา กบั
ε ′x = σx
E
เมื่อหนวยแรง σ y กระทําดังทแี่ สดงในรูปที่ 10-12c แลว cubic volume element จะเกิดการหดตัวในแนวแกน
x (Poisson’s effects) และทําใหเกิดความเครียดตั้งฉากในแนวแกน x เทา กบั
ε ′x′ = −ν σy
E
เม่ือหนวยแรง σ z กระทาํ ดังทีแ่ สดงในรูปที่ 10-12d แลว cubic volume element จะเกิดการหดตวั ในแนวแกน
x (Poisson’s effects) และทาํ ใหเกดิ ความเครยี ดตง้ั ฉากในแนวแกน x เทากับ
ε ′x′′ = −ν σz
E
เมือ่ เรานําความเครยี ดตัง้ ฉากในแนวแกน x มารวมกัน เราจะไดว า
[ ]ε x1 (10-14a)
= E σx −ν (σ y +σz)
ในลกั ษณะเดยี วกนั เราจะหาความเครียดตง้ั ฉากในแนวแกน y และ z ไดใ นรปู
[ ]ε y1 (10-14b)
= E σy −ν (σ x +σz)
Mechanics of Materials 10-21
[ ]ε z 1 (10-14c)
= E σz −ν (σ x +σ y)
พจิ ารณา cubic volume element ซ่ึงถูกกระทาํ โดยหนว ยแรงเฉอื น τ xy , τ yz , และ τ zx เราจะเขยี นการเปลีย่ น
แปลงรปู รางของ cubic volume element ไดดังที่แสดงในรูปที่ 10-13a, 10-13b, และ 10-13c ตามลาํ ดับ โดยท่ี
γ xy = 1 τ xy γ yz = 1 τ yz γ zx = 1 τ zx (10-15)
G G G
รปู ที่ 10-13
Relationship Involving E , ν , and G
พิจารณา element ของวัสดซุ ง่ึ อยใู นสภาวะหนว ยแรงแบบ pure shear ดังทแี่ สดงในรปู ที่ 10-14a เนอ่ื งจาก
σ x = σ y = σ z = 0 จากสมการ principal stresses
σ1 = σx +σ y ± σ x −σ y 2 + τ 2
2 2 2 xy
เราจะไดว า principal stresses ทเี่ กิดจากสภาวะของหนว ยแรงดังกลาวอยูใ นรูป
σ max = τ xy
σ min = −τ xy
เมื่อ element ดงั กลาวเกดิ การหมนุ ทวนเข็มนาฬิกาจากแกน x ไปเปนมุม 45o ดังท่แี สดงในรูปท่ี 10-14b
รูปท่ี 10-14
เมอื่ แทน σ max = τ xy , σ int = 0 , และ σ min = −τ xy ลงในสมการแรกของสมการที่ 10-14 เราจะไดความ
สัมพนั ธข อง principal strain ε max และ shear stress ในรปู
Mechanics of Materials 10-22
ε max = τ xy (1+ν ) (10-16)
E
จากสมการที่ 10-14 เม่อื σ x = σ y = σ z = 0 แลว ε x = ε y = 0 จากสมการ principal strain
ε1 = εx +εy ± εx −ε y 2 + γ xy 2
2 2 2 2
เราจะไดว า principal strain ท่เี กดิ จากสภาวะของหนว ยแรงดังกลาวอยใู นรูป
ε max = γ xy (10-17)
2 (10-18)
จาก Hooke’s law, γ xy = τ xy / G ดงั นั้น สมการที่ 10-17 จะถกู เขยี นใหมไดเปน
ε max = τ xy
2G
จากสมการที่ 10-16 และ 10-18 เราจะไดวา
G = E (10-19)
2(1 +ν )
ซ่ึงแสดงความสัมพันธร ะหวา ง modulus of elasticity และ shear modulus
Dilatation and Bulk Modulus
เราทราบมาแลววา เมอื่ โครงสรา งถกู กระทําโดยแรงภายนอกแลว โครงสรางจะมีการเปลย่ี นแปลงรปู รา ง โดยที่
ความเครยี ดต้งั ฉาก (normal strain) จะทําใหเ กิดการเปล่ยี นแปลงปริมาตรของ volume element เทา นัน้ และ shear strain
จะทําใหเ กิดการเปล่ยี นแปลงรปู รา งของ cubic volume element เทานั้น
รูปที่ 10-15
พิจารณา volume element ซ่ึงถกู กระทาํ โดย principal normal stresses σ x , σ y , และ σ z ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่
10-15a กาํ หนดใหด า นตางๆ ของ volume element กอ นท่ีจะถกู กระทําโดยหนว ยแรง มีความยาว dx , dy , และ dz ใน
แนวแกน x , y , และ z ตามลําดับ เม่อื volume element ถูกกระทาํ โดยหนว ยแรงแลว ดา นตา งๆ ดงั กลาวจะมคี วาม
ยาวเปลีย่ นไปเปน (1+ ε x )dx , (1+ ε y )dy , และ (1+ ε x )dz ตามลาํ ดบั ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี 10-15b ดงั นัน้ ปริมาตร
ของ volume element จะมีการเปล่ยี นแปลงไปเทา กบั
δV = (1 + ε x )(1 + ε y )(1 + ε z )dxdydz − dxdydz
เน่ืองจาก strains มีคา นอยมาก ดงั น้นั เราจะไมน าํ ผลคูณของ strains มาพิจารณา ซึ่งเราจะไดวา
Mechanics of Materials 10-23
δV = (ε x + ε y + ε z )dxdydz
กําหนดให volumetric strain หรอื dilatation, e , เปนการเปลยี่ นแปลงปรมิ าตรของ volume element ตอ หน่งึ
หนว ยปรมิ าตร ดังนน้ั เราจะไดวา
e= δV = εx +εy +εz (10.20)
dV
จากสมการท่ี 10-14 เราจะเขยี นสมการของ dilatation ในรูปของ normal stresses ไดเปน
e = 1 − 2ν (σ x +σ y +σ z ) (10-21)
E
เม่อื volume element ของวัสดถุ กู กระทําโดยความดนั p ซงึ่ มคี า คงทีค่ า หน่ึงและกระทาํ ต้ังฉากกบั ผวิ ของ
volume element เทา นั้นแลว สภาวะของหนว ยแรงบน volume element จะถกู เรยี กวา hydrostatic stress ดงั ทแี่ สดงใน
รูปท่ี 10-16 ในกรณเี ชน นี้ เราจะไดวาσ x = σ y = σ z = − p
รูปท่ี 10-16
เม่อื แทนสภาวะของหนว ยแรงดังกลา วลงในสมการที่ 10-21 แลวทาํ การจดั เทอมใหม เราจะไดว า
p = E (10-22)
e 3(1 − 2ν )
เน่อื งจากสมการนม้ี ลี กั ษณะท่ีคลายคลึงกบั สมการ σ / ε = E ดงั น้ัน เราจะเรียกอตั ราสว น p / e วา volume
modulus of elasticity หรอื bulk modulus k ดงั นั้น
k = E (10-23)
3(1 − 2ν )
จากสมการ เราจะเห็นไดวา ถา ν มีคามากกวา 0.5 แลว คา k จะมคี าเปน ลบหรอื ปรมิ าตรของ volume
element มีคาลดลงเมื่อแทงวัสดุถกู กระทาํ โดยแรงดงึ ซง่ึ เปน ไปไมไดท างกายภาพ ดงั นัน้ ν จะมีคามากกวา 0.5 ไมไ ด
Mechanics of Materials 10-24
ตวั อยางที่ 10-4
กาํ หนดให pressure vessel ผนงั บางทําดว ยเหลก็ ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี Ex 10-4 มีปลายปดท้ังสองดาน มีความยาว
10 m มีผนังหนา 5 mm และมีเสนผา ศนู ยกลางภายใน 3 m จงหาคา ความยาว คา เสน ผาศูนยก ลาง และคาความหนา
ของถงั ท่ีเปลย่ี นแปลงไป เม่ือถังดังกลา วบรรจอุ ากาศที่มีความดัน 2 MPa และเหลก็ มี E = 200 GPa และ ν = 0.30
รูปที่ Ex 10-4
กาํ หนดใหแกน x มีทศิ ทางไปตามความยาวของถัง (longitudinal) แกน z มที ิศทางต้งั ฉากกับผิวของถงั
(normal) และแกน y มที ิศทางสัมผัสกับผวิ ของถงั (tangential)
เนือ่ งจากถังมอี ัตราสวนของรัศมีตอ ความหนาของถงั , r / t , ทีน่ อ ยมาก ดงั น้นั
σx = pr = 2(1.5) = 300 MPa
2t 2(0.005)
σy = pr = 2(1.5) = 600 MPa
t (0.005)
และหนวยแรง σ z จะมีคา ลดลงจาก − p ที่ผิวดา นในของถงั จนเปนศูนยที่ผวิ ดา นนอก ดงั นั้น เราจะสมมุติให หนว ยแรง
σ z มีคา เทา กันศนู ย
จากสมการที่ 10-14 เราจะไดว า
εx = 1 3 ) [300 − 0.3(600 + 0)] = 0.00060
200(10
εy = 1 3 ) [600 − 0.3(300 + 0)] = 0.00255
200(10
εz = 1 3 ) [0 − 0.3(300 + 600)] = −0.00135
200(10
เนอื่ งจาก εx = ∆L , εy = ∆(πd ) = ∆d , และ εz = ∆t ดังน้ัน ความยาวทีเ่ ปลยี่ นแปลงไปของถงั มคี า
L πd d t
เพ่มิ ขึ้นเทา กบั
∆L = 0.00060(10)103 = +6 mm Ans.
เสนผาศนู ยกลาง ทีเ่ ปล่ียนแปลงไปของถงั มีคา เพม่ิ ขน้ึ เทากบั
∆d = 0.00255(3)103 = +7.65 mm Ans.
และความหนาทเี่ ปลีย่ นแปลงไปของถงั มีคาลดลงเทา กบั
∆t = −0.00135(5) = −6.75(10−3 ) mm Ans.
Mechanics of Materials 10-25
ตัวอยา งที่ 10-5
กาํ หนดใหตวั อยา งทดสอบถกู กระทําโดยหนว ยแรงกดอัด (compressive stress) σ z ถกู ยึดรงั้ ทางดา นขางใน
แนวแกน y และเปล่ยี นแปลงรูปรา งไดในแนวแกน x ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี Ex 10-5 สมมุติวาวัสดทุ ่ใี ชทําตวั อยางทดสอบเปน
วัสดุแบบ isotropic และ homogeneous และภายใตแรงกระทํา วสั ดยุ ังคงมพี ฤตกิ รรมแบบ linear-elastic จงหาสมการ
ของคาตางๆ เหลานี้ ซ่งึ อยูในรปู ของหนว ยแรงกดอดั σ z
a.) สมการของหนว ยแรงในแนวแกน y
b.) สมการของความเครียดในแนวแกน z
c.) สมการของความเครียดในแนวแกน x
d.) สมการความแกรง E′ = σ z / ε z ในแนวแกน z
รปู ที่ Ex 10-5
เนอื่ งจากตัวอยา งทดสอบถกู ยึดร้งั ทางดา นขางในแนวแกน y ดงั นัน้ ε y = 0 และเนอื่ งจากตัวอยางทดสอบ
เปลี่ยนแปลงรูปรา งไดในแนวแกน x ดังนัน้ σ x = 0
จากสมการที่ 10-14 สมการของหนวยแรงในแนวแกน y จะอยูใ นรูป
[ ]ε y 1
= E σy −ν (σ x +σz)
[ ]0 1
= E σ y −ν (0 + σ z )
σ y = νσ z Ans.
สมการของความเครียดในแนวแกน z จะอยูใ นรูป
[ ]ε z 1
= E σz −ν (σ x +σ y)
εz = 1 [σ z −ν (0 +νσ z )]
E
1 −ν 2 Ans.
E
εz = σz
สมการของความเครียดในแนวแกน x จะอยใู นรปู
[ ]ε x 1
= E σx −ν (σ y +σz)
εx = 1 [0 −ν (νσ z + σ z )]
E
Mechanics of Materials 10-26
εx = − ν (1 + ν ) σ Ans.
E
z
และสมการความแกรง E′ = σ z / ε z ในแนวแกน z จะอยใู นรปู
E ′ = 1 E 2 Ans.
−ν
ซึ่งเราจะเหน็ ไดว า ความแกรง E′ จะมีคา มากกวา elastic modulus E ของวสั ดุที่ไดจากการทดสอบแรงกดอัด ทั้งน้ีเน่อื ง
จากการยึดรั้งตัวอยางทดสอบ
Mechanics of Materials 10-27
10.6 ทฤษฎกี ารวิบัติ (Theory of Failure)
นิยามของการวบิ ัติ
การวบิ ัติ (failure) เปนการเปล่ียนแปลงใดๆ ของขนาด รปู รา ง หรอื คุณสมบตั ขิ องวัสดขุ องโครงสรา ง ซง่ึ ทาํ ใหโ ครง
สรา งดังกลา วไมส ามารถทําหนาทไี่ ดต ามทไ่ี ดอ อกแบบไว ผอู อกแบบจะตอ งทราบวาโครงสรางทก่ี าํ ลังออกแบบนั้นจะมกี าร
วิบตั ใิ นลักษณะใดไดบ าง จากนัน้ ผูออกแบบจะทาํ การกําหนดเกณฑก าํ หนดการวบิ ตั ิ (failure criteria) ท่จี ะใชทํานายการ
วบิ ัตขิ องโครงสรา งท่ีถกู ตองและเหมาะสม
รูปแบบของการวิบัติ (Modes of Failure)
เม่ือชิ้นสวนของโครงสรางถูกกระทําโดยแรงและนํ้าหนักบรรทุกแลว การตอบสนองของชิ้นสวนของโครงสรา งจะ
ขึน้ อยูกบั ชนดิ ของวสั ดทุ ่ีใชทาํ โครงสรา ง ประเภทของแรงกระทาํ และสภาวะแวดลอ มของโครงสรา ง ดังนั้น ลกั ษณะของการ
วิบัติจะถูกแยกออกไดด งั น้ี
Yielding failure คอื การเปลีย่ นแปลงรูปรา งแบบพลาสตกิ (plastic deformation) ทเ่ี กิดขึ้นในโครงสรา งภายใต
การกระทําของนํ้าหนักบรรทุก ซ่ึงทําใหโครงสรางมีการเปล่ียนแปลงรูปรางอยางถาวรและไมสามารถทําหนาที่ไดต ามทไี่ ด
ออกแบบไว ดังท่ีแสดงในรูปที่ 10-17
รูปที่ 10-17
Force induced elastic deformation คอื การเปล่ยี นแปลงรปู รางแบบยดี หยุน (elastic deformation) ท่เี กิดข้นึ ใน
โครงสรางภายใตการกระทําของนํ้าหนักบรรทุก ซึ่งมีคาสูงมากจนกระทั่งทําใหโครงสรางไมสามารถทําหนาที่ไดตามท่ีได
ออกแบบไว เชน คานท่มี กี ารโกงตัวสงู จะทาํ ใหผนงั ใตคานเกิดการแตกราว เปน ตน ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี 10-18
รปู ท่ี 10-18
Ductile failure คือการเปลยี่ นแปลงรปู รา งแบบพลาสตกิ (plastic deformation) ท่เี กิดข้ึนในโครงสรางที่มีพฤติ
กรรมแบบเหนียว (ductile) ซ่งึ การเปล่ียนแปลงรูปรา งดังกลาวจะมีคาสงู มากกอ นท่โี ครงสรา งจะเกดิ การแตกแยกออกจาก
กัน ดังทีแ่ สดงในรูปที่ 10-19
Mechanics of Materials 10-28
รปู ท่ี 10-19
Fracture หรอื Brittle failure คอื การเปลย่ี นแปลงรูปรางแบบยีดหยนุ (elastic deformation) ท่เี กดิ ข้นึ ในโครง
สรา งท่ีมีพฤตกิ รรมแบบเปราะ (brittle) เชน พลาสตกิ เสริมใยแกว และเหล็กหลอ เปนตน ซึ่งมคี าสงู มากจนกระท่ังโครงสรา ง
แตกออกจากกนั ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 10-20
รูปที่ 10-20
Fatigue failure เปนการวิบัตแิ บบเปราะของโครงสรางทท่ี าํ ดวยวสั ดเุ หนยี ว เชน เหล็กโครงสรา ง เปนตน เนอื่ ง
จากการกระทาํ ของแรงหรือการกระทําของการเปล่ียนแปลงรูปรา งแบบซํ้าไปซ้าํ มาเปนเวลานานพอสมควร
Buckling failure เปนการวิบตั ขิ องโครงสรางทเี่ กิดข้ึนในรปู ของการโกงตวั ทางดานขา งอยา งมาก เมือ่ แรงทก่ี ระทาํ
ตอโครงสรางมีคาเพ่ิมสูงข้ึนเพียงเล็กนอยเทาน้ัน และโครงสรางดังกลาวจะสูญเสียความสามารถในการทําหนาที่ไดออก
แบบไว ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี 10-21
รปู ที่ 10-21
Creep failure คอื การเปลย่ี นแปลงรูปรา งแบบพลาสตกิ (plastic deformation) ที่เกิดข้นึ ในโครงสรา งภายใตการ
กระทาํ ของนาํ้ หนักบรรทกุ เปนเวลานาน โดยการเปลีย่ นแปลงรูปรางจะมีคาเพม่ิ ขึ้นอยางชา ๆ จนมคี า ท่ีสูงมากจนกระทัง่ ทํา
ใหโ ครงสรา งไมสามารถทาํ หนาทีไ่ ดต ามทีไ่ ดอ อกแบบไวได
Mechanics of Materials 10-29
เกณฑกาํ หนดการวบิ ัติ (Failure Criteria)
การวิเคราะหห นวยแรง (stress analysis) เพ่ือหาคา normal stresses และ shear stresses ท่เี กิดข้ึนบนจุดท่ี
วิกฤติท่ีสุดบนโครงสรา งแลวนาํ มาหาคา principal stresses ทีเ่ กิดขน้ึ ทจี่ ดุ ดงั กลา วไมสามารถทํานายการวิบัติของโครง
สรางได ในการที่จะรูวาโครงสรางจะรองรับหนวยแรงขนาดเทาไรไดหรือในการท่ีเราจะทราบวาโครงสรางท่ีเรากําลังออก
แบบมกี าํ ลัง (strength) เทาใดนน้ั เราจะตอ งใชเกณฑก าํ หนดการวิบตั ิ (failure criteria) ทํานายกําลงั ของโครงสรา ง
ในท่ีน้ี เราจะสนใจเฉพาะการวิบตั เิ น่อื งจากนํา้ หนกั บรรทุกแบบสถิตยเ ทานั้น ซงึ่ ประกอบดวยการวบิ ตั แิ บบ force-
induced failure, yielding failure, และ ductile failure ซ่ึงเปน การวบิ ตั ิของวัสดเุ หนยี ว (ductile material) และ fracture
ซง่ึ เปน การวิบตั ิของวัสดเุ ปราะ (brittle material)
วสั ดเุ ปราะ (Brittle Materials)
Maximum principal normal stress fracture criterion
เราทราบมาแลววา วัสดุเปราะ เชน คอนกรีต เปนตน มีแนวโนมที่จะวิบัติแบบทันทีทันใดโดยการแตกหัก
(fracture) โดยไมมกี าร yielding เกดิ ข้นึ
ในการทดสอบแรงดึงตอ วสั ดุเปราะ ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่ 10-22a การแตกหักของตวั อยา งทดสอบจะเกิดข้นึ เม่อื คา
หนวยแรงตั้งฉากทีเ่ กดิ ข้นึ มคี า เทากบั คาหนว ยแรงดึงประลยั (ultimate tensile stress) σ ult ของวัสดุทใี่ ชทาํ ตัวอยาง
ทดสอบ และในการทดสอบแรงแรงบดิ ตอ วสั ดเุ ปราะ ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ 10-22b การแตกหักของตัวอยา งทดสอบจะเกดิ ขนึ้
เน่อื งจาก principal tensile stress ท่ีมุม 45o กับแนวแกนของตัวอยา งโดยที่ principal compressive stress แทบจะไมม ี
ผลตอ การวิบัติของตัวอยา งทดสอบเลย ซงึ่ จะสรปุ ไดวา คาหนว ยแรงดงึ ท่ที าํ ใหตัวอยางทดสอบเกิดการแตกหักในกรณีของ
การทดสอบแรงบิดแทบจะไมแตกตางจากคาหนวยแรงดึงท่ีใชในการทําใหตัวอยางทดสอบเกิดการแตกหักในกรณีของการ
ทดสอบแรงดงึ ดงั นน้ั maximum principal normal stress fracture criterion จงึ กลาวไวว า “โครงสรา งทท่ี าํ ดว ยวสั ดเุ ปราะ
จะเกดิ การวบิ ตั เิ มอื่ คา maximum principal normal stress ทีเ่ กดิ ขึน้ ในโครงสรางดังกลาวมคี า เทา กับหรอื มากกวา คา
ultimate stress ของวัสดุดังกลา วทไ่ี ดจ ากการทดสอบแรงดงึ ”
รปู ท่ี 10-22
ในกรณที ่วี ัสดุในโครงสรา งถกู กระทําโดยสภาวะของหนวยแรงแบบ plane stress แลว การวบิ ตั ิของโครงสรางจะ
เกดิ ขึน้ เม่อื
Mechanics of Materials 10-30
σ1 ≥ σ ult (10-24)
σ2
โดยที่ σ1, σ 2 เปน คา principal normal stresses
σ ult เปน คา ultimate tensile (or compressive) strength ท่ไี ดจากการทําการทดสอบแรงดึงวสั ดุ
ทาํ การจัดรปู สมการที่ 10-24 ใหม เราจะไดว า
± σ 1 = 1 และ ± σ 2 = 1 (10-25)
σ ult σ ult
รปู ท่ี 10-23 แสดงกราฟของสมการที่ 10-25 ซง่ึ มลี ักษณะเปน รปู ส่เี หล่ยี มดานเทา จากรปู เมือ่ พิกดั ของอัตราสวน
ของ principal stress ตอ ultimate stress (σ1 /σ ult , σ 2 /σ ult ) ท่เี กิดข้นึ ทจ่ี ดุ ใดจดุ หน่ึงบนโครงสรางอยูนอกรูปส่ี
เหล่ยี มดานเทาแลว วัสดทุ ่จี ดุ ดงั กลา วของโครงสรางจะถกู พจิ ารณาวาเกดิ การวิบตั แิ บบ fracture แลว
จากการทดสอบพบวา maximum principal normal stress fracture criterion นี้จะใชไดด กี บั วสั ดุเปราะทม่ี ี
tensile stress-strain diagram และ compressive stress-strain diagram ท่คี ลายคลึงกัน
รปู ท่ี 10-23
วสั ดุเหนียว (Ductile Materials)
Maximum shear stress yield criterion
จากการทดสอบแรงดึงพบวา วัสดเุ หนียว (ductile material) เชน mild steel เปนตน มกั จะเกิดการวบิ ตั ิแบบ
yielding โดยการเล่ือน (slipping) ในระนาบที่วกิ ฤตขิ องผลึกของวสั ดุ เน่ืองจากการกระทาํ ของ shear stress ดังตวั อยา งที่
แสดงในรปู ที่ 10-24 โดยทีร่ ะนาบดังกลา วจะทาํ มมุ ประมาณ 45o กับแนวกระทําของแรงดึง
รปู ท่ี 10-24
Mechanics of Materials 10-31
พจิ ารณา element ท่ีตัดออกมาจากตัวอยางทดสอบแรดงึ ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี 10-25a ซง่ึ ถกู กระทาํ โดยแรงดึงทีม่ ี
ขนาดทาํ ให normal tensile stress ท่ีเกิดขน้ึ มีคาเทา yielding stress σ y ของวสั ดุ คา สงู สุดของ shear stress ที่กระทาํ
ตอ element จะหาไดโดยใช Mohr’s circle ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี 10-25b และมีคาเทากับ
τ max = σy (10-26)
2
ซงึ่ กระทาํ อยูบนระนาบทีท่ าํ มุม 45o กับระนาบของ principal stress ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี 10-25c ซ่ึงสอดคลองกับระนาบท่ี
เกดิ การวิบัตแิ บบ yielding ทีไ่ ดจากการทดสอบ ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี 10-24
รปู ที่ 10-25
โดยใชแนวความคดิ ดังกลา ว ในป 1868 Henri Tresca ไดเ สนอ maximum shear stress yield criterion โดย
กลา ววา “การวบิ ัติแบบ yielding ของวัสดุจะเกิดข้นึ เม่ือคา absolute maximum principal shear stress ท่เี กดิ ขึน้ ในโครง
สรางมคี า เทา กบั หรอื มากกวาคา maximum shear stress ท่ีทาํ ใหเ กดิ yielding ในวัสดขุ องตัวอยา งทดสอบท่ถี กู ทดสอบ
แรงดงึ ”
ในทางคณติ ศาสตร เม่อื วสั ดใุ นโครงสรางถูกกระทําโดยสภาวะของหนวยแรงแบบ plane stress แลว การวบิ ัติ
แบบ yielding จะเกดิ ข้นึ เมื่อ
τ abs = σ1 −σ2 ≥ τy (10-27)
max 2
โดยท่ี τ abs เปน คา absolute maximum principal shear stress
max
τ y เปน คา maximum shear strength ของวสั ดุที่ไดจากการทดสอบแรงดึง ซึ่งจะหาไดจากสมการ
τy = σ y− 0 = σy
2 2
Mechanics of Materials 10-32
ดงั น้ัน เราจะเขยี นสมการที่ 10-27 ไดใหมเปน σ1 −σ2 ≥ σ y (10-28)
หรอื
± σ 1 − σ 2 =1 เมือ่ σ1 และ σ 2 มเี คร่อื งหมายตรงกันขาม
σ y σ y
± σ 1
σ y = 1
เมอื่ σ1 และ σ 2 มเี ครอ่ื งหมายเหมือนกัน
σ = 1
± σ 2
y
เม่อื นาํ สมการท่ี 10-28 มาเขียนกราฟแลว เราจะไดกราฟรูปหกเหล่ยี ม ดังทแ่ี สดงในรปู ที่ 10-26 สภาวะของหนวย
แรงท่ีเกดิ ขึ้นทจ่ี ุดใดจุดหนง่ึ บนโครงสรางมีพิกดั ของอตั ราสว นของ principal stress ตอ yielding stress (σ1 /σ y ,
σ 2 /σ y ) อยูน อกรปู หกเหลยี่ มแลว วสั ดุท่จี ุดดังกลาวของโครงสรางจะถูกพิจารณาวาเกิดการวบิ ัตแิ บบ yielding แลว
รูปท่ี 10-26
Maximum distortion energy yield criterion
เมือ่ โครงสรางถกู กระทําโดยแรงภายนอกแลว โครงสรางจะเกิดการเปล่ยี นแปลงรูปรางและวสั ดขุ องโครงสรางจะ
เก็บกักพลังงานไวภ ายใน ซ่งึ อยใู นรูปของ strain energy คา strain energy ตอ หนึ่งหนว ยปริมาตรจะถูกเรยี กวา strain
energy density u ซง่ึ จาก section 2-3 เราทราบมาแลววา เม่ือวสั ดถุ ูกกระทาํ โดย normal stress เทาน้ันแลว
u = 1 σε
2
แตถาวัสดถุ กู กระทาํ โดย principal stresses σ1, σ 2 , และ σ 3 ดังที่แสดงในรูปที่ 10-27a และวสั ดุยงั คงมพี ฤติ
กรรมอยูใ นชวงยดื หยุนแลว strain energy density ทีส่ ะสมอยูในวัสดุจะหาไดจ ากสมการ
u = 1 + 1 σ 2ε 2 + 1 σ 3ε 3 (10-29)
2 σ 1ε1 2 2
จาก strain-stress relations สมการท่ี 10-14 และ 10-15 ในรูปของ principal strains และ principal stresses
เราจะเขยี นสมการท่ี 10-29 ไดใหมใ นรปู
Mechanics of Materials 10-33
[ ]u 1 2 2 2 (10-30)
= 2E σ 1 + σ 2 + σ 3 − 2ν (σ 1σ 2 + σ 2σ 3 + σ 3σ 1 )
สมการของ strain energy density น้จี ะถูกแยกพิจารณาออกไดเ ปน 2 สวนคอื
1. strain energy density เน่อื งจากการเปล่ียนแปลงปริมาตรหรือ dilation strain energy density, uv , ดังที่
แสดงในรปู ท่ี 10-27b
2. strain energy density เนื่องจากการเปล่ียนแปลงรูปรา งหรอื distortion strain energy density, ud , ดงั ที่
แสดงในรปู ท่ี 10-27c
รูปที่ 10-27
Strain energy density เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงปริมาตร uv จะเกิดจากคา principal stresses เฉล่ยี
σ avg. = σ1 +σ2 +σ3
3
ซง่ึ จะทําใหเ กิดคา strain เฉลยี่
ε avg. = 1 (1 − 2ν )σ avg.
E
ดงั นัน้ เราจะไดว า
uv = 3 1 σ 1 +σ2 +σ3 1 − 2ν σ1 +σ2 +σ3
2 3 E 3
uv = 3 1 − 2ν σ 1 +σ2 +σ3 2 (10-31)
2 E 3 (10-32)
และ strain energy density เนอ่ื งจากการเปล่ยี นแปลงรูปรา ง ud จะหาไดจากสมการ ud = u − uv ดงั นน้ั
( )ud 1 1 +ν
= 2E 3 (σ − σ 2 )2 + (σ 2 − σ 3 )2 + (σ 3 −σ1)2
1
Mechanics of Materials 10-34
จากการทดสอบพบวา วัสดุจะไมเ กดิ การ yielding ขึน้ เม่ือถกู กระทาํ โดยสภาวะของหนวยแรงดังท่แี สดงในรูปที่
10-26b (hydrostatic) ดังนนั้ ในป 1904 M. Huber ไดเ สนอ Maximum distortion energy yield criterion โดยกลา ววา
“การวิบัตแิ บบ yielding ของวสั ดใุ นโครงสรา งจะเกดิ ขน้ึ เม่ือคา distortion strain energy density ของวัสดใุ นโครงสรางมี
คาเทา กับหรือมากกวา distortion strain energy density ท่จี ุดวิบตั ขิ องตวั อยา งทดสอบท่ีถูกทดสอบโดยการทดสอบแรงดึง
และทําดว ยวัสดุดังกลาว”
Distortion strain energy density ท่ีจดุ วิบตั ิของตวั อยา งทดสอบจะหาไดจ ากสมการ
ud,y = 1+ν σ 2 (10-33)
3E y
จาก maximum distortion energy yield criterion เราจะไดวา ที่จดุ วบิ ตั ิ สมการท่ี 10-32 จะตองเทากบั สมการที่
10-33 ดังน้ัน
( )1 1 +ν 13+Eν σ 2
3 y
2E
(σ 1 −σ 2 )2 + (σ 2 − σ 3 )2 + (σ 3 −σ1)2 =
(σ 1 −σ 2)2 + (σ 2 − σ 3 )2 + (σ 3 −σ1)2 = 2σ 2 (10-34)
y
เมอ่ื วสั ดุในโครงสรางถกู กระทาํ โดยสภาวะของหนว ยแรงแบบ plane stress แลว วสั ดใุ นโครงสรางจะเกิดการวิบตั ิ
เม่อื
(σ 1 −σ 2)2 + (σ 2 )2 + (−σ 1 )2 = 2σ 2
y
σ 2 + σ 2 − σ 1σ 2 = σ 2
1 2 y
σ 1 2 − σ 1 σ2 + σ 2 2 =1 (10-35)
σ y σ y σy σ y
เมือ่ ทาํ การเขยี นกราฟของสมการที่ 10-35 แลว เราจะเห็นไดว า failure envelop จะมีรปู รางเปนวงรี ดงั ทีแ่ สดงใน
รปู ที่ 10-28 สภาวะของหนว ยแรงท่ีเกดิ ขนึ้ ทีจ่ ดุ ใดจดุ หน่งึ บนโครงสรา งทม่ี พี กิ ัดของอตั ราสวนของ principal stress ตอ
yielding stress (σ1 /σ y , σ 2 /σ y ) อยนู อกรูปวงรีแลว วัสดทุ ี่จุดดงั กลาวของโครงสรางจะถูกพิจารณาวา เกิดการวบิ ตั ิ
แบบ yielding จากการทดสอบพบวา maximum distortion energy yield criterion น้เี หมาะท่ีจะใชก ับโครงสรา งทีท่ ําดวย
วัสดุแบบ isotropic materials ท่วี ิบัติโดยการ yielding หรือ ductile rupture
รปู ที่ 10-28
Mechanics of Materials 10-35
การเปรยี บเทยี บเกณฑกําหนดการวิบตั ิตางๆ
รูปท่ี 10-29 แสดงผลท่ีไดจากการทดสอบวัสดุชนิดตางๆ ซึ่งถูกกระทําโดยสภาวะของหนวยแรงแบบ plane
stress เทยี บกบั failure criteria 3 แบบที่ไดเสนอใน section ทผ่ี านมา จากรูป เราจะสามารถสรุปไดว า
1. Maximum principal stress criterion เหมาะที่จะใชกบั วัสดุแบบ isotropic ท่วี ิบตั ิโดย brittle fracture
2. Maximum distortion energy criterion เหมาะทจี่ ะใชก บั วัสดุแบบ isotropic ท่ีวบิ ัตโิ ดย yielding หรือ
ductile rupture
3. Maximum shearing stress criterion มีความเหมาะสมเทาๆ กบั maximum distortion energy criterion
สําหรบั วัสดุแบบ isotropic ที่วิบัตโิ ดย yielding หรอื ductile rupture
รูปท่ี 10-29
Mechanics of Materials 10-36
ตัวอยา งท่ี 10-6
เพลาตนั ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 10-6a มรี ัศมี 12.7 mm และทําดวยเหลก็ ซง่ึ มี σ y = 250 MPa จงตรวจสอบ
วา แรกงกระทาํ ตอเพลาทาํ ใหเ พลาเกดิ การวบิ ตั โิ ดย maximum shearing stress criterion และ maximum distortion
energy criterion หรอื ไม
รปู ที่ Ex 10-6
กําหนดใหแกน x อยูในแนวแกนของเพลา
หนว ยแรงตัง้ ฉากเน่ืองจากแรงในแนวแกนมีคาเทากบั
σx = π 70 2 = 138.15 MPa
(0.0127)
หนว ยแรงเฉือนสงู สดุ เนื่องจากแรงบิดมีคา เทากับ
τ xy = 370(0.127) = 115.0 MPa
π (0.0127)4
2
ซ่ึงเราจะไดส ภาวะของหนวยแรงทจี่ ุด A ดงั ทีแ่ สดงในรปู ที่ Ex 10-6b ซ่ึงจากบทท่ี 9 เราจะไดวา principal normal
stresses ของสภาวะของหนวยแรงดงั กลาวจะมีคาเทา กับ
σ1 = −138.15 + 0 ± − 138.15 − 0 2 + 115.02
2 2 2
σ 1 = 65.07 MPa
σ 2 = −203.23 MPa
จาก maximum shearing stress criterion และเนอื่ งจาก principal normal stresses มเี คร่ืองหมายทต่ี รงกนั
ขาม ดงั นนั้
± σ 1 − σ 2 ?
σ y σ y
≤1
Mechanics of Materials 10-37
65.07 − − 203.23 = 1.073 > 1.0 Ans.
250 250
Ans.
ดังนนั้ แรงกระทําดงั กลา วทาํ ใหเ พลาเกิดการวิบตั ติ าม maximum shearing stress criterion
จาก maximum distortion energy criterion
σ 1 2 − σ 1 σ2 + σ 2 2 ?
σ y σ y σy σ y
≤1
65.07 2 65.07 − 203.23 − 203.23 2
250 250 250 250
− + = 0.940 < 1.0
ดังน้ัน แรงกระทําดงั กลา วไมท าํ ใหเพลาเกดิ การวิบตั ิตาม maximum distortion energy criterion
Mechanics of Materials 10-38
ตวั อยา งท่ี 10-7
เพลาเหลก็ มีσ Y = 700 MPa , E = 200 GPa , และ ν = 0.29 ถูกกระทําโดยโมเมนตดัด M = 13.0
kN - m และแรงบดิ T = 30.0 kN - m ดังท่แี สดงในรูปท่ี Ex 10-7 กาํ หนดใหสวนความปลอดภัย SF = 2.60 จง
หาวาเพลาดังกลาวควรมีเสนผาศูนยกลางท่ีนอยที่สดุ เทาใดจงึ จะไมเ กดิ การวบิ ัตโิ ดย maximum octahedral shearing
stress criterion และ maximum shearing stress criterion
รปู ท่ี Ex 10-7
เพลาถกู กระทาํ โดยโมเมนตดดั M = 13.0 KN - m และแรงบดิ T = 30.0 kN - m เน่ืองจากสวนความ
ปลอดภัย SF = 2.60 ดงั นั้น เมือ่ กําหนดใหแกน x อยูในแนวแกนของเพลา เราจะไดว า
σx = SF Mc = 32(SF)M
I πd 3
τ xy = SF Tc = 16(SF)T
J πd 3
จาก maximum octahedral shearing stress criterion
2
τ oct(max) = 3 σ Y
1 (σ x − σ y )2 + (σ x −σ z )2 + (σ y −σ z )2 + 6τ 2 + 6τ 2 + 6τ 2 = 2
3 xy xz yz 3 σY
1 2σ 2 + 6τ 2 = 2
3 x xy 3 σY
σY = σ 2 + 3τ 2
x xy
เมื่อแทนสมการของหนว ยแรงตั้งฉากและหนว ยแรงเฉือนลงในสมการขางตน เราจะไดว า
16(SF) 4M 2 + 3T 2
σ Y = πd 3
หรอื d min = 16(SF) 4M 2 + 3T 2 1/ 3
πσ Y
ดังน้ัน dmin = 103 mm
จาก maximum shearing stress criterion
τ max = σY
2
σ x −σ y 2 + τ 2 = σY
2 xy 2
1 σ 2 + 4τ 2 = σY
2 x xy 2
เมอ่ื แทนสมการของหนวยแรงตั้งฉากและหนวยแรงเฉือนลงในสมการขางตน เราจะไดว า
Mechanics of Materials 10-39
d min = 32(SF) M 2 +T 2 1/ 3
πσ Y
ดังนั้น dmin = 107 mm
จากการเปรียบเทียบเสนผา ศูนยกลางที่คํานวณไดโ ดย maximum octahedral shearing stress criterion และ
maximum shearing stress criterion เราจะไดวา เสนผาศูนยกลางของเพลาทีน่ อ ยท่สี ุดที่สามารถรับแรงไดอ ยางปลอดภัย
คือ 107 mm Ans.
Mechanics of Materials 10-40
แบบฝก หดั ทา ยบทท่ี 10
10-1 กําหนดใหส ภาวะของความเครยี ดท่ีจดุ ๆ หนึ่งบนเทา แขน (bracket) ดังท่แี สดงในรปู ท่ี Prob. 10-1 มีองคป ระกอบดงั
นี้ ε x = −200(10−6 ) , ε y = −650(10−6 ) , γ xy = −175(10−6 )
a.) จงหาสภาวะของความเครยี ดเม่ือ element ท่ีจดุ ดงั กลาวหมนุ ทวนเข็มนาฬิกาเปนมมุ θ = 20o โดยใชสม
การ strain-transformation และโดยใช Mohr’s Circle
b.) จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal strains และ maximum in-plane shear strain ท่ีเกิดข้นึ บน element
โดยใชส มการ stress-transformation
c.) จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทเี่ กิดขึน้ บน
element โดยใช Mohr’s Circle
รูปท่ี Prob. 10-1
10-2 กําหนดใหส ภาวะของความเครยี ดท่จี ดุ ๆ หน่งึ บนเทาแขน (bracket) ดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี Prob. 10-2 มีองคประกอบดัง
น้ี ε x = 150(10−6 ) , ε y = 200(10−6 ) , และ γ xy = −700(10−6 )
a.) จงหาสภาวะของความเครยี ดเมื่อ element ท่ีจดุ ดังกลา วหมุนตามเขม็ นาฬกิ าเปน มมุ θ = 30o โดยใชส ม
การ strain-transformation และโดยใช Mohr’s Circle
b.) จงหาสภาวะของความเครียด principal strains และ maximum in-plane shear strain ท่ีเกิดขึ้นบน
element และทศิ ทางทเ่ี กิดสภาวะของความเครียดดงั กลา ว โดยใชส มการ stress-transformation
c.) จงหาสภาวะของความเครียด principal strains และ maximum in-plane shear strain ท่เี กดิ ข้นึ บน
element และทศิ ทางท่ีเกิดสภาวะของความเครียดดงั กลา ว โดยใช Mohr’s Circle
รปู ท่ี Prob. 10-2
10-3 กําหนดใหส ภาวะของความเครียดที่จุดๆ หนง่ึ บนประแจ ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Prob. 10-3 มีองคป ระกอบดงั นี้
ε x = 120(10−6 ) , ε y = −180(10−6 ) , และ γ xy = 150(10−6 )
Mechanics of Materials 10-41
a.) จงหาสภาวะของความเครยี ด principal strains และ maximum in-plane shear strain ทีเ่ กิดขน้ึ บน
element และทิศทางทเี่ กดิ สภาวะของความเครยี ดดงั กลาว โดยใชสมการ stress-transformation
b.) จงหาสภาวะของความเครยี ด principal strains และ maximum in-plane shear strain ท่เี กดิ ขน้ึ บน
element และทศิ ทางทเี่ กิดสภาวะของความเครยี ดดังกลา ว โดยใช Mohr’s Circle
รูปที่ Prob. 10-3
10-4 45o strain rosette ถกู นาํ ไปติดบนแขนของรถตกั ดิน ดังทแี่ สดงในรปู ที่ Prob. 10-4 ซ่ึงพบวา ε a = 650(10−6 ) ,
εb = −300(10−6 ) , และ ε c = 480(10−6 ) จงหาสภาวะของความเครยี ด principal strains และ maximum in-
plane shear strain ทเ่ี กิดขน้ึ จดุ ทต่ี ดิ strain rosette และทศิ ทางที่เกดิ สภาวะของ strains ดงั กลา ว
รปู ท่ี Prob. 10-4
10-5 60o strain rosette ดงั ท่แี สดงในรูปที่ Prob. 10-5 ถกู นําไปตดิ บนแผนเหล็กและพบวา ε a = 950(10−6 ) ,
εb = 380(10−6 ) , และ ε c = −220(10−6 ) จงหาสภาวะของความเครียด principal strains และ maximum in-plane
shear strain ท่ีเกดิ ขึน้ ทจี่ ุดท่ีตดิ strain rosette
รูปที่ Prob. 10-5
Mechanics of Materials 10-42
10-6 กําหนดให principal strains ท่เี กดิ ข้ึนบนผวิ ของถัง aluminum ดังทแ่ี สดงในรปู ท่ี Prob. 10-6 มคี า เทา กบั
ε1 = 630(10−6 ) และ ε 2 = 350(10−6 ) จงหา principal stresses ทีส่ อดคลอ งกบั principal strains ดงั กลาว เมือ่
Eal = 70 GPa , ν = 0.33
10-7 จงหาแรงบดิ T ท่กี ระทาํ ตอเพลาเหลก็ ตนั ทม่ี รี ัศมี 15 mm ดงั ทีแ่ สดงในรปู ที่ Prob. 10-7 ถา strain gauges สอง
ตัวทีต่ ิดบนเพลาใหค า strain ε x′ = 150(10−6 ) และ ε y′ = 200(10−6 ) และ Est = 200 GPa , ν = 0.3
รปู ท่ี Prob. 10-7
10-8 ถาแรงบดิ ทีก่ ระทาํ ตอเพลาเหลก็ ตนั ทมี่ ีรัศมี 15 mm ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ Prob. 10-7 มคี า T = 2 kN - m และเมอื่
Est = 200 GPa , ν = 0.3 จงหาคา strain ท่ีเกิดขึน้ บนผวิ ของเพลาตนั ในแนวของ strain gauges
10-9 เม่ือ Eal = 70 GPa , ν = 0.33 จงหา principal strains ท่เี กิดจากสภาวะของ principal stresses ดังทีแ่ สดงใน
รปู ท่ี Prob. 10-9
รูปที่ Prob. 10-9
10-10 จงพิสูจนวาเม่อื thin-walled pressure vessel ทรงกลมทม่ี ีรศั มภี ายใน ri และความหนา t ถูกระทําโดยความดนั
ภายใน p และจะมีปริมาตรภายในเพมิ่ ขนึ้ ∆V = (2 pπr 4 / Et)(1−ν )
10-11 กําหนดใหสภาวะของหนวยแรงทเี่ กดิ ขึน้ บนชิน้ สวนของเครื่องจกั รกลมลี ักษณะดังทแ่ี สดงในรูปท่ี Prob. 10-11 จงหา
คา yielding stress อยางนอ ยทสี่ ดุ ของวสั ดทุ ีใ่ ชทาํ ช้นิ สว นของเคร่อื งจักรกลดังกลา ว โดยใช maximum shear stress
theory และ maximum distortion energy density
รปู ท่ี Prob. 10-11
Mechanics of Materials 10-43
10-12 กําหนดใหแรงภายในที่เกิดขึ้นท่ีหนาตัดท่ีวิกฤติของเพลามีลักษณะดังที่แสดงในรูปท่ี Prob. 10-12 ถา
σ Y = 680 MPa และ τY = 340 MPa จงหาเสน ผา ศูนยก ลางของเพลาดงั กลา ว โดยใช maximum shear stress
theory และ maximum distortion energy density
รูปที่ Prob. 10-12
10-13 กําหนดใหแทง คอนกรตี เสนผาศนู ยก ลาง 50 mm ดังทแ่ี สดงในรูปท่ี Prob. 10-13 ถูกกระทําโดยแรงบดิ ขนาด
500 N - m และแรงกดอดั 2 kN ถา σ ult = 28 MPa จงตรวจสอบวาแทง คอนกรตี วิบตั หิ รอื ไม โดยใช maximum
normal stress theory
รปู ท่ี Prob. 10-13
10-14 สภาวะของหนวยแรงท่จี ุดวิกฤติบน thin steel shell (σ Y = 650 MPa ) มลี กั ษณะดังทแี่ สดงในรูปท่ี Prob. 10-14
จงตรวจสอบวาจดุ ดังกลาวเกดิ การวิบตั หิ รือไม โดยใช maximum normal stress theory และ maximum distortion
energy density
รปู ที่ Prob. 10-14
Mechanics of Materials 11-1
บทที่ 11
การออกแบบคานและเพลา (Design of Beams and Shafts)
เรยี บเรียงโดย ดร. สิทธิชัย แสงอาทติ ย
11.1 พ้ืนฐานของการออกแบบคาน (Basis for Beam Design)
คาน (beam) เปน องคอาคารของโครงสรา งที่ถกู ออกแบบเพ่อื รองรับนา้ํ หนกั บรรทุกตามขวาง (transverse loads)
นํ้าหนักบรรทุกดังกลาวจะทําใหเกิดแรงเฉือน (shear) และโมเมนตดัด (bending moment) ข้ึนภายในคาน ซ่ึงจะมีคา
เปล่ียนแปลงไปตามแนวแกนของคาน ดงั นนั้ คานจะตอ งถูกออกแบบคานใหมีกําลังที่พอเพียงในการตานทานตอหนวยแรง
ที่เกิดจากแรงเฉือนและโมเมนตดัดดังกลาว การออกแบบคานในลักษณะน้ีมักจะถูกเรียกวา การออกแบบคานโดยใช
พืน้ ฐานของกําลงั (design on the basis of strength)
ในการออกแบบคานโดยใชพื้นฐานของกําลงั นั้น เราจะสมมตุ ใิ ห:
1. คานทําดว ยวัสดุท่ีมีเน้ือเดียวกันตลอด (homogeneous material) และมีพฤตกิ รรมอยูในชวงยดื หยุนเชิงเสน
(linear-elastic)
2. หนาตัดของคานมีแกนสมมาตรรอบระนาบท่แี รงภายนอกกระทาํ
ในทางปฏิบัติ เม่ือคานจะถูกออกแบบโดยใชพื้นฐานของกําลังแลว คานดังกลาวจะตองถูกตรวจสอบไมใหมีการ
โกงตัวมากกวาท่ีระบุไวในมาตรฐานการออกแบบ (design code) ท้ังน้ีเพื่อใหแนใจวาคานดังกลาวสามารถท่ีจะใชงานได
ตามวัตถปุ ระสงคท กี่ าํ หนด
11.2 การกระจายของหนวยแรงบนหนา ตัดของคาน (Stress Variations Throughout a Prismatic Beam)
พิจารณาคานย่ืน (cantilever beam) ซ่ึงมีหนาตัดรูปส่ีเหล่ียมผืนผาและถูกกระทําโดยแรงกระทําเปนจุด
(concentrated load) P ที่ปลายคาน ดังที่แสดงในรูปท่ี 11-1a ภายใตการกระทําของแรง P คานจะมีแรงเฉือนภายใน
V และโมเมนตภายใน M เกิดขึ้นท่ีหนาตัด a − a ดังที่แสดงในรูปท่ี 11-1b แรงเฉือนภายใน V นี้เกิดจากหนวยแรง
เฉอื นที่มกี ารกระจายแบบพาราโบลา (parabola) ดงั ที่แสดงในรูปที่ 11-1c และโมเมนตภายใน M นีเ้ กิดจากหนวยแรงดัด
ต้ังฉาก (flexural stress) ทีม่ ีการกระจายเชงิ เสนตรง ดังที่แสดงในรปู ที่ 11-1d
จากการกระจายของหนวยแรงทงั้ สองน้ี เราจะเขียนสภาวะของหนวยแรงท่ีเกิดข้ึนที่จุด 1 ถึงจุด 5 ดังท่ีแสดงในรูป
ที่ 11-1b ไดดงั ท่แี สดงในรูปท่ี 11-1e จากรปู เราจะเหน็ ไดว า
1. Element ทจี่ ดุ 1 และจดุ 5 ซึ่งอยทู ่ีผิวดานบนและดานลา งของคาน ตามลาํ ดบั จะถกู กระทําโดยหนวยแรงต้ัง
ฉากท่ีมีคาสงู สดุ
2. Element ที่จดุ 3 ซึ่งอยูบ นแกนสะเทิน (neutral axis) ของคาน จะถูกกระทาํ โดยหนว ยแรงเฉอื นท่ีมคี าสูงสุด
3. Element ที่จุด 2 และจุด 4 ซ่ึงอยูระหวางผิวดานบนกับแกน neutral axis และผิวดานลางกับแกน neutral
axis ตามลําดบั จะถกู กระทาํ โดยหนว ยแรงตัง้ ฉากและหนว ยแรงเฉอื นรว มกัน
ในแตละสภาวะของหนวยแรงดังกลาว เราจะหาคาหนวยแรงหลัก (principal stresses) ท่ีเกิดขึ้นบน stress
element เหลานั้นไดโดยใชวงกลมของมอร (Mohr’s circle) ดังท่ีแสดงในรูปที่ 11-1f จากรูป เม่ือเราพิจารณา element ที่
จุด 1 ถึง element ท่ีจุด 5 เรียงกันตามลําดับแลว เราจะสังเกตไดวา ระนาบที่เกิด principal stresses (principal plane)
บน element ตางๆ จะมีการหมนุ ทวนเข็มนาฬิกาจากแกนอางอิงจาก element ท่ีจุด 1 ถงึ element ท่ีจุด 5 ตามลําดับ โดย
ที่ถาเราใหทิศทางของ element ที่จุด 1 เปนแกนอางอิงท่ี 0o แลว element ท่ีจุด 3 จะถูกหมุนไปเปนมุม 45o และ
element ทจ่ี ดุ 5 จะถูกหมนุ ไปเปน มุม 90o
Mechanics of Materials 11-2
รปู ที่ 11-1
ถาเราทําการวิเคราะหในลักษณะดังกลาวไปตามหนาตัดตางๆ ในแนวแกนของคาน แลวทําการ plot คา
principal stresses ท่ีเกิดขึ้นบน element ตางๆ ที่มีคาเทากัน เราจะได profile ของ principal stresses ที่เกิดข้ึนบนคานท่ี
อยูใ นรปู ของเสนโคง (curve) ท่มี กั จะถูกเรียกวา stress trajectories ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 11-2 โดยที่แตละเสนของเสนโคงจะ
แสดงถึงทิศทางของ principal stresses ที่มีคาคงท่ีคาหนึ่ง โดยที่เสนทึบแสดงทิศทางของหนวยแรงหลักดึง (tensile
principal stresses) และเสนประแสดงถึงทิศทางของหนวยแรงหลักกดอัด (compressive principal stresses) เราควร
สงั เกตดว ยวา เสน ทง้ั สองจะตดั กับแกนสะเทิน (neutral axis) เปน มุม 45o และจะตดั กันเองเปนมมุ 90o
รูปที่ 11-2
Mechanics of Materials 11-3
Localized Stresses
ในการวเิ คราะหห าหนวยแรงตั้งฉาก σ x และหนวยแรงเฉือน τ xy ท่ีเกิดขึ้นในคานท่ีผานมาน้ัน เราไมไดคํานึงถึง
หนวยแรงเขมขน (stress concentration) σ y ในรูปของหนวยแรงกดอัดท่ีเกิดข้ึนท่ีจุดท่ีแรงภายนอกกระทําตอคาน ดังที่
แสดงในรูปท่ี 11-3 ท้งั นเ้ี นอ่ื งจากวาเมอื่ อัตราสว นของความยาวตอความลึกของคานมีคาท่ีคอนขางสูง ( L / d ≥ 10 ) แลว
หนวยแรงกดอัด σ y น้ีมักจะมีคาท่ีนอยมากเม่ือเปรียบเทียบกับคาของหนวยแรงต้ังฉาก σ x และหนวยแรงเฉือน τ xy
และถา แรงภายนอกกระทําผานแผน รบั แรงแบกทาน (bearing plates) แลว หนว ยแรงกดอดั σ y จะมีคาลดลงจนเปนศูนย
อยา งรวดเร็วตามความลกึ ของคาน
รูปท่ี 11-3
11.3 การออกแบบคาน (Beam Design)
คานจะตองถูกออกแบบใหมีกําลังที่เพียงพอในการตานทานแรงกระทําภายนอกโดยใหหนวยแรงดัดท่ียอมให
(allowable bending stress) และหนวยแรงเฉือนที่ยอมให (allowable shear stress) ของวัสดุที่ใชทําคาน (ซ่ึงมักจะถูก
ระบุอยูในมาตรฐานการออกแบบ) มีคามากกวาหนวยแรงดัด (bending stress) สูงสุดและหนวยแรงเฉือน (shear stress)
สงู สดุ ท่ีเกิดจากแรงกระทําภายนอกหรอื
σ max ≤ (σ b ) allow
τ max ≤ τ allow
เมอ่ื คานมี span ทค่ี อ นขา งยาวเม่อื เทียบกบั ความลกึ ของคานแลว คาโมเมนตสูงสดุ ภายในท่ีเกิดขนึ้ ในคานจะ
ควบคมุ การออกแบบคาน ดงั นนั้ โดยปกติแลว เราจะออกแบบคานโดยใหค านมีกาํ ลังรับหนวยแรงดัดท่ีพอเพียงกอน
จากนัน้ ทาํ การตรวจสอบวาคานดงั กลา วมีกาํ ลังพอเพยี งในการรองรบั แรงเฉือนหรือไม และสดุ ทา ย ทาํ การตรวจสอบการ
โกงตวั (deflection) ของคาน ซึ่งจะกลา วถงึ ในบทที่ 12
จาก flexural formula σ = Mc / I เราจะลดรูปตัวแปรของหนา ตดั ของคาน ซง่ึ ประกอบดวยคา c และคา I
ลงไดโดยกาํ หนดใหอัตราสว นของ I / c เปน section modulus S ของหนา ตดั ของคาน ดงั น้ัน เราจะไดวา section
modulus ท่ตี องการใชใ นการรองรับหนว ยแรงดัดจะหาไดจากสมการ
σS req'd = M max (11-1)
allow
เมือ่ M max = คา โมเมนตด ดั สูงสุดท่เี กิดขึน้ บนคาน ซ่งึ หาไดจากแผนภาพ moment diagram
σ allow = คา allowable bending stress ของวัสดทุ ่ใี ชท ําคาน ซ่ึงระบอุ ยูในมาตรฐานการออกแบบ
Mechanics of Materials 11-4
เมอ่ื เราทราบคา Sreq'd แลว เราจะทาํ การเลอื ก section modulus S ของหนา ตดั ของคานมาตรฐานจาก
มาตรฐานการออกแบบ (design code) เชน มาตรฐานการออกแบบของ AISC เปน ตน โดยให
S > Sreq'd
ถาเราไมพิจารณาการโกงตัวของคานแลว เราจะเลือกใชหนาตัดของคานมาตรฐานท่ีมีคา S ที่ใกลเคียงกับคาท่ี
คํานวณไดจ ากสมการที่ 11-1 ท่มี ากที่สุด ซึ่งจะเปนคานที่มีน้ําหนักเบาท่ีสุดและจะทําใหคากอสรางคานมีราคาถูกท่ีสุด แต
เม่อื เราตองพจิ ารณาคาการโกง ตัวของคานแลว หนา ตดั ของคานดงั กลา วอาจจะมคี วามแกรง ไมพ อเพียงตามทีก่ าํ หนดอยูใน
มาตรฐานก็ได ในกรณนี เ้ี ราจะตอ งเลือกใชหนา ตัดของคานมาตรฐานทใี่ หญข ึน้
ในกรณีที่วัสดมุ ีคา allowable bending stress เทากันท้ังในกรณีของหนว ยแรงดงึ และหนว ยแรงกดอดั เชน เหลก็
และ aluminum เปนตน แลว เราจะเลอื กใชคานที่มหี นาตดั ที่สมมาตรรอบแกนสะเทนิ (neutral axis) ของหนา ตดั ของคาน
แตใ นกรณที คี่ า allowable bending stress ดังกลา วของวสั ดมุ คี าที่ไมเทา กันแลว เราอาจจะตองใชห นา ตัดของคานทไี่ ม
สมมาตร เพ่อื ใหก ารออกแบบคานมปี ระสิทธิภาพมากขึ้น
หลงั จากทไ่ี ดข นาดของคานท่ีมีกาํ ลงั พอเพียงในการตา นทานตอหนวยแรงดัด (flexural stress) แลว เราจะทําการ
หาหนวยแรงเฉือนสูงสุดท่ีเกิดข้ึนเนื่องจากแรงกระทําภายนอกโดยใช shear formula τ = VQ / It จากน้ัน ทําการ
เปรียบเทียบคาที่ไดกับคา allowable shear stress τ allow ของวัสดุที่ระบุอยูในมาตรฐานการออกแบบ ถา τ ≤ τ allow
แลว หนาตดั ของคานดังกลาวจะมีกําลังเพียงพอท่ีจะตานทานตอแรงเฉือนสูงสุด แตถา τ > τ allow แลว เราจําเปนจะตอง
เลือกขนาดหนาตัดของคานใหใหญขึน้ ซึ่งโดยทัว่ ไปแลว หนว ยแรงเฉือนจะควบคมุ การออกแบบคานในกรณีที่
1. คานมี span ทสี่ ั้น เมอ่ื เปรียบเทียบกับความลกึ ของคาน (span/depth < 10)
2. คานทอี่ อกแบบเปนคานท่รี องรบั แรงกระทําเปนจดุ ทมี่ คี า คอ นขางสูง
3. เม่อื คานเปน คานทท่ี ําดว ยไม เนื่องจากวาไมจะมกี ําลังรับแรงเฉือนนอย เม่อื เปรยี บเทยี บกบั กาํ ลังรบั แรงดงึ
และแรงกดอดั
Fabricated Beams
โดยทวั่ ไปแลว คานจะถูกสรางข้ึนมาโดยใชวัสดุชนิดตางๆ และมีขนาดและรูปรางที่แตกตางกันมากมาย เพ่ือท่ีจะ
นาํ ไปใชงานในโครงสรา งตางๆ อยางเหมาะสม
Steel Sections
คานเหล็กมักจะมีหนาตัดท่ีเปนไปตามมาตรฐาน ดังท่ีแสดงในภาคผนวกที่ 3 โดยที่หนาตัดของคานเหล็กจะถูก
เรียกโดยใชรูปรางของหนาตัด เชน หนาตัดรูปตัว W (wide-flange section) หนาตัดรูปตัว I และหนาตัดรูปตัว C เปน
ตน และตามดว ยขนาดของความลกึ ของคานและนํ้าหนักของคานตอหนง่ึ หนว ยความยาว ยกตัวอยางเชน
W410x85 แสดงถึงหนาตัดของคานเหล็กแบบ wide-flange section หรือ W ท่ีมีความลึกของหนาตัด
410 mm และมนี ํา้ หนกั 85 kg / m
C200x20 แสดงถึงหนาตัดของคานเหล็กแบบรางนํ้าหรือ C ท่ีมีความลึกของหนาตัด 200 mm และมี
นํา้ หนกั 20 kg / m เปนตน
Wood Sections
คานไมมักจะมีหนาตัดเปนรูปส่ีเหลี่ยมผืนผาและถูกระบุอยูในมาตรฐานการออกแบบโดยใชขนาดหนาตัดระบุ
(nominal dimensions) และขนาดหนา ตัดท่แี ทจ ริง ดงั ทแี่ สดงในภาคผนวกที่ 4 ซ่ึงหนาตัดของคานไมที่ถูกระบุโดยใชขนาด
หนาตัดระบุจะมีขนาดหนาตัดท่ีใหญกวาขนาดหนาตัดท่ีแทจริง เชน เมื่อหนาตัดของคานไมมีขนาดหนาตัดระบุ 2x4 น้ิว