Mechanics of Materials 6-19
L 4 = − (10x −1.25x 2 ) 4 −20 kN
0
− wdx − (10 − 2.5x)dx
=∫ ∫∆VC−A = =
00
จาก moment diagram การเปลยี่ นแปลงของโมเมนตร ะหวางจดุ A ไปยงั จุด B
∆M C−A = −53.33 kN - m
ซงึ่ มีคา เทา กับคาของพ้ืนท่ภี ายใต shear diagram ในชว ง จดุ A ถึงจดุ C ดังทแี่ สดงในสมการท่ี (6-4) ซ่งึ มคี าเทากับ
∫∆M C−A=L ( 5 x2 − 10 x)dx = [152 x3 − 5x 2 ]04 = −53.33 kN - m
0 4
ดังน้นั เราจะเขียนแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคานไดด งั ท่แี สดงในรปู ท่ี Ex6-6b Ans.
(b)
Mechanics of Materials 6-20
ตวั อยา งที่ 6-7
จงเขียนแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดังท่ีแสดงในรูปที่ Ex 6-7a
รปู ที่ Ex 6-7
โดยใชแ ผนภาพ free-body diagram ของคานและสมการความสมดุล เราจะหาแรงปฎิกริยาท่ีเกิดข้ึนท่ีจุดรองรับ
ของคานได ดังท่แี สดงในรูปท่ี Ex 6-7a
ตาม sign convention ทเี่ ราใช ในการเขียนแผนภาพ shear diagram และ moment diagram โดยวิธีกราฟก เรา
จะตองเรมิ่ ตน การเขียนแผนภาพจากทางซายมือของคานไปยงั ปลายทางดานขวามือของคาน
Shear diagram
จากรูปท่ี Ex 6-7a และ slope ที่จุดใดๆ ของแผนภาพ shear diagram มีคาเทากับคาลบของแรงกระจายที่จุดนั้น
และคาท่ีเปลีย่ นแปลงไปของแรงเฉือนระหวา งจดุ สองจุดมีคา เทากับคา ลบของพื้นท่ใี ตแ รงกระจายระหวางจดุ สองจุดน้ัน เรา
จะไดว า
ชวง CA ของคาน
slope ของแผนภาพ shear diagram ที่จุด C จะมีคาเทากับศูนยและ slope ของแผนภาพ shear diagram ท่ี
จุด A จะมีคาเทากับ -90 เน่ืองจากแรงแบบกระจายมีคาเทากับศูนยท่ีจุด C และ 90 kN/m ที่จุด A และคาของแรง
เฉอื นที่เกิดขึน้ ทางดา นซา ยมือของจุด A จะมคี า เทา กับ
∫VAL − VC = − wdx
V AL = − 1 (2 m)(90 kN/m) − 0 = −45 kN
2
Mechanics of Materials 6-21
ชวง AD ของคาน
แรงปฎกิ รยิ าในแนวด่ิงทีจ่ ุด A มีคาเทากับ 165 kN ดังน้ัน คาของแรงเฉือนที่เกิดขึ้นทางดานขวามือจุด A จะ
มีคา เทากับ
VAR − (−90) = 165
VAR = 165 − 90 = 75 kN
เน่ืองจากคานในชวง AD น้ี ไมถูกกระทําโดยแรงแบบกระจาย ดังนั้น slope ของแผนภาพ shear diagram
ในชว งน้จี ะมีคาเทากับศนู ยห รือแรงเฉอื นมีคา คงทใี่ นชว งนแ้ี ละจะมคี า เทา กับ 75 kN
ชวง DB ของคาน
ท่ีจุด D คานถูกกระทําโดยองคประกอบในแนวด่ิงของแรง 200 kN ซึ่งมีคาเทากับ 160 kN ดังน้ัน คาของ
แรงเฉอื นทเี่ กดิ ขึ้นทางดานขวามอื จุด D จะมีคาเทา กับ
VDR − VDL = VDR − 75 = −160
VDR = −85 kN
เน่ืองจากคานในชวง DB นี้ ไมถูกกระทําโดยแรงแบบกระจาย ดังน้ัน slope ของแผนภาพ shear diagram
ในชว งนจ้ี ะมีคาเทา กบั ศนู ยหรอื แรงเฉือนมีคา คงท่ใี นชว งน้แี ละจะมีคาเทา กับ − 85 kN
ชวง BE ของคาน
แรงปฎกิ รยิ าในแนวดง่ิ ท่ีจุด B มีคาเทากับ 125 kN ดังนั้น คาของแรงเฉือนที่เกิดข้ึนทางดานขวามือจุด B จะ
มีคาเทากบั
VBR − (−125) = −85
VAR = −85 + 125 = 40 kN
เน่ืองจากคานในชวง BE น้ี ไมถูกกระทําโดยแรงแบบกระจาย ดังน้ัน slope ของแผนภาพ shear diagram
ในชว งน้ีจะมีคา เทากับศนู ยหรือแรงเฉือนมีคา คงทใ่ี นชวงนีแ้ ละจะมีคาเทากับ 40 kN
ชวง EF ของคาน
slope ของแผนภาพ shear diagram ท่ีจุด E และจุด F จะมีคาเทากับ -20 เน่ืองจากแรงแบบกระจายมี
คาคงทเ่ี ทา กบั 20 kN/m ในชว งนีข้ องคานและคาของแรงเฉอื นทเ่ี กิดขึน้ ทีจ่ ดุ F จะมีคา เทา กบั
∫VF − VE = − wdx
VF = −(2 m)(20 kN/m) + 40 = 0 kN
ชวง FG ของคาน
เน่ืองจากคานไมถ กู กระทาํ โดยแรงในชวงน้ีและ VF = 0 kN ดังนนั้ คานจะไมถ กู กระทําโดยแรงเฉือน
Moment diagram
จากรูปท่ี Ex 6-7b และ slope ท่ีจุดใดๆ ของแผนภาพ moment diagram มีคาเทากับคาของแรงเฉือนท่ีจุดน้ัน
และคาท่เี ปลี่ยนแปลงไปของ moment ระหวางจุดสองจุดมีคาเทากับพื้นที่ใต shear diagram ระหวางจุดสองจุดนั้น เราจะ
ไดวา
ชว ง CA ของคาน
slope ของแผนภาพ moment diagram ที่จุด C จะมีคาเทากับศูนยและ slope ของแผนภาพ moment
diagram ที่จุด A จะมีคาเทากับ -90 เน่ืองจากแรงเฉือนมีคาเทากับศูนยที่จุด C และ − 90 kN ท่ีจุด A และคาของ
moment ที่เกดิ ขนึ้ ทีจ่ ุด A จะมีคาเทา กบั
Mechanics of Materials 6-22
∫M A − M C = Vdx
M A = 1 (2 m)(90 kN) + 0 = 60 kN - m
3
ชวง AD ของคาน
slope ของแผนภาพ moment diagram ทางดานขวามือของจุด A จนถึงทางดานซายมือของจุด D จะมีคา
เทากับ + 75 เนื่องจากแรงเฉือนท่ีเกิดขึ้นในชวงนี้คานมีคาเทากับ 75 kN และคาของ moment ท่ีเกิดข้ึนที่จุด D จะมี
คาเทา กับ
∫M D − M A = Vdx
M D = (2 m)(75 kN) - 60 = 90 kN - m
ชวง DB ของคาน
slope ของแผนภาพ moment diagram ทางดานขวามือของจุด D จนถึงทางดานซายมือของจุด B จะมีคา
เทากบั − 85 เนอ่ื งจากแรงเฉือนทเ่ี กดิ ข้นึ ในชวงนค้ี านมีคา เทา กับ − 85 kN และคาของ moment ท่ีเกิดข้ึนที่จุด B จะมี
คาเทา กับ
∫M B − M D = Vdx
M B = (2 m)(−85 kN) + 90 = -80 kN - m
ชว ง BE ของคาน
slope ของแผนภาพ moment diagram ทางดานขวามือของจุด B จนถึงทางดานซายมือของจุด E จะมีคา
เทากับ + 40 เน่ืองจากแรงเฉือนที่เกิดขึ้นในชวงนี้คานมีคาเทากับ + 40 kN และคาของ moment ที่เกิดข้ึนที่จุด E จะ
มคี า เทา กบั
∫M E − M B = Vdx
M E = (1 m)(40 kN) − 80 = −40 kN - m
ชวง EF ของคาน
slope ของแผนภาพ moment diagram ทางดานขวามือของจุด E จะมีคาเทากับ + 40 และ slope ของ
แผนภาพ moment diagram ทางดานซายมือของจุด F จะมีคาเทากับศูนย เนื่องจากแรงเฉือนมีคาเทากับ + 40 ที่จุด
E และ 0 kN ท่ีจดุ F และคา ของ moment ท่เี กดิ ขนึ้ ทจ่ี ดุ F จะมคี า เทา กบั
∫M F − M E = Vdx
MF = 1 (2 m)(40 kN) − 40 = 0 kN - m
2
ชวง FG ของคาน
เน่ืองจากคานไมถูกกระทําโดยแรงในชวงน้ีและ M F = 0 kN - m ดังน้ัน คานจะไมถูกกระทําโดย moment
ในชวงนี้ของคาน
สดุ ทาย เราจะไดแ ผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคานดังทแ่ี สดงในรปู ที่ Ex6-7b Ans.
Mechanics of Materials 6-23
6.3 การเปลีย่ นแปลงรูปรางเน่อื งจากการดัดของช้ินสวนโครงสรา ง (Bending Deformation of a Straight
Member)
รปู ที่ 6-7
พิจารณาคาน ซึ่งทําดวยวัสดุเปนเน้ือเดียวกัน (homogeneous material) และมีหนาตัดท่ีคงที่และสมมาตรรอบ
แกน y ตลอดความยาวของคาน ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี 6-7a
กําหนดใหคานถูกกระทําโดยโมเมนตดัด (bending moment) M ซ่ึงมีทิศทางในแนวแกน + z และภายใตการ
กระทําของโมเมนตดัด คานจะเกิดการดัด ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 6-7b โดยท่ีวัสดุที่อยูสวนบนของหนาตัดของคานจะถูกทําให
หดตวั ลง และวสั ดทุ ่ีอยูส วนลางของหนาตัดของคานจะถูกทําใหยืดออก ดังนั้น จะตองมีระนาบๆ หนึ่ง ที่อยูระหวางสวนบน
และสว นลา งดงั กลา วท่ไี มมกี ารยดื หรอื หดตวั เกิดขนึ้ เลย ระนาบนมี้ ักจะถูกเรยี กวา ระนาบสะเทนิ (neutral plane)
กําหนดใหก ารเปลี่ยนแปลงรปู รางของคานมีลักษณะตามขอ สมมตุ ฐิ านดังตอไปน้ี
1. แกนตามยาว (longitudinal axis) ที่อยูบนระนาบสะเทินของคานจะไมมีการเปลี่ยนแปลงความยาว แตจะ
ถูกดัดใหเปนเสนโคง ทีอ่ ยบู นระนาบ x − y
2. ระนาบของหนาตัดของคานท่ีตําแหนงใดๆ จะยังคงรูปเปนระนาบเหมือนเดิมและยังคงต้ังฉากกับแกน
ตามยาวของคาน ขณะที่คานเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปราง (ไมพิจารณาการเปลี่ยนแปลงรูปรางของระนาบ
ของหนา ตัดของคานเนอื่ งจากแรงเฉือน)
3. เราจะไมนําคาการเปล่ียนแปลงรูปรางในระนาบของหนาตัดของคาน ดังท่ีแสดงในรูปที่ 6-8 มาพิจารณา
หรอื เราจะไมพจิ ารณาผลของ Poisson’s effect ทเ่ี กดิ ขนึ้ บนหนา ตดั ของคาน ซงึ่ มคี า ที่นอยมากๆ
Mechanics of Materials 6-24
รปู ท่ี 6-8
พจิ ารณารูปที่ 6-9 ซ่ึงเปน สวนของคานทตี่ ัดออกมาจากคานในรปู ท่ี 6-7a ทต่ี าํ แหนง x จากจดุ เรมิ่ ตน ของแกน
อา งอิงและมคี วามยาว ∆x
รูปที่ 6-9
จากนิยามของความเครียดตั้งฉาก (normal strains) เราจะเขียนสมการความเครียดตั้งฉากในแนวแกนของคาน
ท่ีระยะ y จากแกนตามยาว (longitudinal axis) ของคาน ซึ่งมีความยาวเริ่มตนเทากับ ∆s และมีความยาวหลังจากเกิด
การเปลีย่ นแปลงรปู รา ง ∆s′ ไดวา
ε = lim ∆s′ − ∆s
∆s
∆s→0
กอ นทจี่ ะเกิดการเปลยี่ นแปลงรปู ราง:
∆s = ∆x = ρ∆θ
หลังจากที่เกดิ การเปลย่ี นแปลงรูปรา งระยะ ∆s จะเปลีย่ นเปน :
∆s′ = (ρ − y)∆θ
แทน ∆s และ ∆s′ ลงในสมการของความเครียดตั้งฉาก เราจะไดว า
ε = lim (ρ − y)∆θ − ρ∆θ
∆s → 0 ρ∆θ
Mechanics of Materials 6-25
ε =− y (6-7)
ρ
จากสมการท่ี 6-7 เราไดว า ทห่ี นาตัดใดๆ ทม่ี รี ัศมีความโคง (radius of curvature) ρ คาความเครียดต้ังฉากของ
คานจะแปรผันโดยตรงกับระยะ y ดังนน้ั ความเครียดตัง้ ฉากจะมกี ารกระจายบนหนา ตดั ของคาน ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 6-10
รปู ท่ี 6-10
จากรูปท่ี 6-10 เราจะไดวา ε max = c / ρ และจากสมการท่ี 6-7 เราจะไดวา
ε = − y ε max (6-8)
c
จากการพิจารณาคานที่ผานมาและจากขอสมมุติฐานท่ี 3 เราจะสรุปไดวา คานที่ถูกกระทําโดยโมเมนตดัดจะมี
หนวยแรงตงั้ ฉากและความเครียดเกิดขึ้นในแนวแกน x เทาน้ัน โดยไมมีหนวยแรงและความเครียดในแนวอื่นๆ เกิดข้ึนเลย
ซงึ่ จาก Hooke’s law เราจะไดว า σ x = Eε x
6.4 สูตรการดัด (Flexural Formula)
เน่ืองจากคานมีพฤติกรรมแบบยดื หยนุ เชงิ เสน (linear elastic) ภายใตการกระทําของโมเมนตด ัด M ดังนัน้ เมอื่
แทน Hooke’s law, ε x = σ x / E ลงในสมการที่ 6-8 แลว เราจะไดสมการการกระจายของหนว ยแรงตงั้ ฉากบนหนา ตัด
ของคานในรูป
σ = − y σ max (6-9)
c
ซ่ึงจะมีการกระจายดังที่แสดงในรูปที่ 6-12b โดยที่เมื่อ y มีคาเปนบวก สวนของคานดังกลาวจะถูกกระทําโดยหนวยแรง
กดอัด (compressive stress) และเม่ือ y มีคาเปนลบ สวนของคานดังกลาวจะถูกกระทําโดยหนวยแรงดึง (tensile
stress)
ตําแหนง ของแกนสะเทนิ (neutral axis) ของคานจะหาไดโ ดยใชเ งอื่ นไขความสมดุลของแรงลัพธท่ีเกิดจากหนว ย
แรงตัง้ ฉากบนหนา ตัดของคาน จากสมการความสมดุลของแรงในแนวแกนของคาน เราจะไดว า
∑FR = Fx ; y max dA σ max ydA
∫ ∫ ∫ ∫0 = c
dF = σdA = − σ = − c A
A A A
เนื่องจากคา σ max / c มีคา ไมเทากับศูนย ดังนนั้
∫ y dA = 0 (6-10)
A
ดังนั้น จากสมการที่ 6-10 เราจะเห็นไดวา เงื่อนไขความสมดุลของแรงดังกลาวจะเปนจริงไดก็ตอเมื่อคาโมเมนตของ
พ้ืนท่ีหนาตดั ของคานรอบแกนสะเทนิ จะตอ งมคี า เทากับศูนย
จากวชิ า statics จุด centroid ของหนาตัดของคานจะหาไดจ ากสมการ
Mechanics of Materials 6-26
∫ ydA
y= A
∫ dA
A
แตเน่ืองจาก ∫ y dA = 0 ดังน้ัน แกนสะเทิน (neutral axis) จะเปนแกนเดียวกับแกนในแนวนอนท่ีตัดผานจุด centroid
A
ของหนา ตัดของคาน
รูปท่ี 6-11
คาของหนวยแรงที่เกิดขึ้นที่หนาตัดของคานจะหาไดไดโดยใชเง่ือนไขความสมดุลของโมเมนตลัพธภายใน M
กับ moment ที่เกิดจากการกระจายของหนวยแรงรอบแกน neutral axis หรือ
dM = ydF = y(−σdA)
∑(M R ) z = M z ; ∫ ∫M y( y ) dA
= − y σdA = c σ max
A A
∫M = σ max y 2dA (6-11)
c
A
เนื่องจากเทอม ∫ y2dA เปนคา moment of inertia ของพื้นที่หนาตัดของคานรอบแกน neutral axis หรือ I
A
ดังน้ัน เราจะไดวา
Mechanics of Materials 6-27
σ max = Mc (6-12)
I
เมอ่ื σ max = หนว ยแรงต้ังฉากสูงสดุ ที่เกิดทจ่ี ดุ บนหนา ตัดของคานทหี่ า งจากแกน neutral axis ที่มากทส่ี ุด
M = moment ลพั ธภายในท่ีเกิดขน้ึ ทีห่ นาตัดรอบแกน neutral axis
I = moment of inertia ของหนาตดั ของคานรอบแกน neutral axis
c = ระยะตง้ั ฉากจากแกน neutral axis ถึงจุดบนหนา ตดั ของคานทเ่ี รากําลังพิจารณา
และเนื่องจาก σ max = − σ เราจะไดว า
c y
σ = − My (6-13)
I
สมการที่ 6-12 และ 6-13 มักจะถูกเรียกวา flexural formula และคาหนวยแรงที่คํานวณไดจากสมการทั้งสองน้ี
จะถกู เรยี กวา หนวยแรงดดั (bending stress หรือ flexural stress) ซึ่งจะมีคาเปนบวกเม่ือหนวยแรงดังกลาวเปนหนวยแรง
ดึง และจะมีคาเปน ลบเมือ่ หนวยแรงดังกลาวเปนหนว ยแรงกดอดั
ถา เราพจิ ารณาหนาตัดของคานที่ถูกกระทําโดยโมเมนตืดัดท่ีมีคาคงที่คาหน่ึงแลว เราจะเห็นไดวา หนวยแรงดัดที่
เกดิ ขึน้ บนหนาตดั ของคานจะแปรผกผันกับคา I ของหนาตดั ของคาน ดงั นั้น คานทมี่ ีคา I สงู จะมีหนวยแรงดัดเกิดข้ึนตํ่า
กวาคานท่มี คี า I ต่ํากวา
ภาคผนวกท่ี 3 แสดงคาของพื้นทีแ่ ละ moment of inertia ของหนา ตดั ของคานท่ีเรามกั จะพบในทางวิศวกรรม
Mechanics of Materials 6-28
ตวั อยา งที่ 6-8
กําหนดใหคานเหลก็ ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ EX 6-8a มีหนา ตัด แบบ wide-flange ดังที่แสดงในรูปท่ี EX 6-8b จงหา
คาหนว ยแรงดัดสงู สุดท่ีเกดิ ข้นึ ในคานและจงเขยี นการกระจายของหนว ยแรงดัดบนหนา ตดั a − a
รปู ท่ี EX 6-8
หาคา bending moment สูงสดุ
จากตัวอยางที่ 6-2 และรปู ท่ี EX 6-8c คา moment สูงสุดของคานในกรณจี ะหาไดจ ากสมการ
M max = wL2 5(6) 2 = 22.5 kN - m
8 =8
หาคุณสมบัตขิ องหนา ตดั
จากรปู ท่ี EX 6-8b เราจะเหน็ ไดว า คานมหี นา ตัดทสี่ มมาตรรอบแกนนอนและแกนด่งิ ดังนน้ั จดุ centroid จะอยูที่
กึ่งกลางของหนาตดั และแกนสะเทิน (neutral axis) ของคานจะอยทู ีก่ ่ึงกลางความลกึ ของหนา ตัด
เม่อื ทําการแบงหนา ตัดออกเปน 3 สวนคอื ปกบน (top flange) ปกลาง (bottom flange) และเอว (web) แลว เรา
จะหาคา moment of inertia ของหนาตดั รอบแกนสะเทินไดจากสมการ
I = ∑ (I + ad 2 )
I = 2112 (0.25)0.0203 + 0.25(0.020)0.1602 + 1 (0.020)0.300 3 = 301.3(10−6 ) m4
12
หาคาหนว ยแรงดดั
จากสมการ flexural formula คาหนวยแรงดดั สูงสดุ ท่เี กดิ ข้นึ ทผ่ี วิ บนสุดและผิวลางสุดของหนาตัดคานจะหาได
จากสมการ
σ max = M max c
I
σ max = 22.5(103 )(0.170) = 12.7 MPa Ans.
301.3(10−6 )
Mechanics of Materials 6-29
เนือ่ งจาก σ max < σ y = 250 MPa ดงั นน้ั การคาํ นวณจึงสอดคลองกบั สมมตุ ิฐานวาวัสดมุ พี ฤติกรรมอยู
ในชวง linear elastic ภายใตการกระทาํ ของน้าํ หนักบรรทกุ และการกระจายของหนว ยแรงดดั ท่เี กดิ ขน้ึ ท่บี นของหนาตดั
คานจะมกี ารกระจายเปนแบบเสนตรงข้นึ อยูกับระยะ y จากแกนสะเทนิ ดงั น้นั กระจายของหนว ยแรงดดั จะมลี กั ษณะดงั ท่ี
แสดงในรปู ที่ EX 6-8d Ans.
Mechanics of Materials 6-30
ตัวอยา งที่ 6-9
จงหาคา หนวยแรงดึงและหนวยแรงกดอัดสงู สุดท่ีเกิดขนึ้ ในคานเหลก็ ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ EX 6-9a เม่ือคานมีหนา
ตดั เปนรปู รางน้ํา ( C section) ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ EX 6-9b
รูปที่ EX 6-9
หาคา bending moment สงู สดุ
รูปท่ี EX 6-8c และรูปที่ EX 6-8d แสดงแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ตามลําดับ
และคา moment สูงสุดของคานมีคาเทากับ − 3.375 kN - m ซ่ึงจะทําใหคานเกิดหนวยแรงดึงท่ีผิวดานบนและเกิด
หนวยแรงกดอัดท่ผี ิวดา นลา ง
หาคุณสมบัตขิ องหนาตดั
จากรปู ท่ี EX 6-9b เราจะเห็นไดวา คานมีหนา ตัดที่สมมาตรรอบแกน y เทานน้ั ดงั นัน้ จุด centroid จะอยูบ น
แกน y และตาํ แหนงของแกนสะเทนิ (neutral axis) ของของหนา ตดั จะหาไดจากการพิจารณา moment ของพื้นท่หี นา ตัด
ของคานรอบแกนอา งองิ Z − Z เม่อื ทําการแบง หนาตดั ออกเปน 3 สว น โดยท่ี A2 = A3 แลว
∑∑c1 =yi Ai = y1 A1 + 2 y2 A2
Ai A1 + 2 A2
c1 = 6(276)12 + 2(40)80(12) = 18.48 mm
276(12) + 2(80)12
c2 = h − c1 = 80 −18.48 = 61.52 mm
คา moment of inertia ของหนา ตัดรอบแกนสะเทนิ ไดจ ากสมการ
Mechanics of Materials 6-31
I = ∑ (I + ad 2 )
I = 1 (276)12 3 + 276(12)(18.48 − 6) 2 + 2112 (12)803 + 80(12)(40 − 18.48) 2
12
= 2.469(106 ) mm4 = 2.469(10−6 ) m4
หาคาหนว ยแรงดัด
จากสมการ flexural formula คา หนวยแรงดัดสูงสดุ ทเ่ี กดิ ข้ึนที่ผวิ บนสุดและผิวลางสดุ ของหนาตัดคานจะหาได
จากสมการ
σ max = M max c
I
(σ t ) max = 3.375(103 )(0.01848) = 25.3 MPa
2.469(10−6 )
(σ c ) max = − 3.375(103 )(0.06152) = −84.2 MPa
2.469(10−6 )
ขอใหสังเกตดวยวาคา σ max < σ y = 250 MPa ดังนั้น วัสดุมีพฤติกรรมอยูในชวง linear elastic ภายใตการ
กระทําของนํ้าหนกั บรรทกุ Ans.
Mechanics of Materials 6-32
6.5 การดัดที่ไมสมมาตร (Unsymmetrical Bending)
Moment Applied Along Principal Axis
พิจารณาคานท่มี ีหนาตดั ที่ไมสมมาตรรอบแกน x , y , และ z ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี 6-12a กําหนดใหจ ุด C เปน
จดุ centroid ของพืน้ ท่ีหนา ตัดของคานและเปน จดุ เร่ิมตนของแกนอางอิงตง้ั ฉาก x , y , และ z ภายใตแรงกระทาํ ใดๆ
คานจะมีโมเมนตลพั ธภายใน M เกิดขน้ึ ซึ่งกระทํารอบแกน + z เทา นนั้
รูปท่ี 6-12
โดยใชเ งอ่ื นไขความสมดุลของแรงลัพธภายในคานในแนวแกน x และเงือ่ นไขความสมดลุ ของโมเมนตรอบแกน
y และแกน z จากรูปที่ 6-12a แรงที่กระทาํ อยบู น differential element dA ทอ่ี ยูทต่ี ําแหนง ( 0, y, z ) จะมีคา เทากับ
dF = σ dA ดังนัน้
∑FR = Fx ; 0 = ∫σdA (6-14)
A
∑( M R ) y = M y ; 0 = ∫ z σdA (6-15)
A
∑( M R ) z = M z ; M = ∫ − y σdA (6-16)
A
สมการท่ี 6-14 จะถูกตองโดยอัตโนมัติเนอื่ งจากแกน z เปน แกนท่ีผา นจดุ centroid ของหนาตดั ของคานและ
เปน แกนสะเทิน (neutral axis) ของคาน ดงั นัน้ ความเครยี ดตง้ั ฉากจะมคี าเทา กับศูนยบ นแกนน้แี ละจะแปรผนั โดยตรงกบั
ระยะ y ซ่ึงจะมคี ามากท่ีสุดเมอื่ y มคี ามากทีส่ ุดหรอื ที่ y = c ดังที่แสดงในรูปท่ี 6-12b
ถา วัสดมุ พี ฤตกิ รรมแบบยืดหยนุ เชงิ เสน (linear elastic) แลว การกระจายของหนวยแรงตัง้ ฉากบนหนาตัดของ
คานจะเปนแบบเชิงเสนตรง (linear) เชนเดยี วกบั ความเครียดต้งั ฉาก ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี 6-12c ซงึ่ เราทราบมาแลววา
σ = −( y / c)σ max เม่ือเราแทนสมการของหนวยแรงต้งั ฉากดงั กลาวลงในสมการที่ 6-16 แลว เราจะได flexural
formula,
σ max = Mc / I
Mechanics of Materials 6-33
เมือ่ เราแทนสมการ flexural formula ลงในสมการที่ 6-15 แลว เราจะไดว า
σ max
∫0 = yz dA
c
A
จากสมการขางตน เนื่องจากเทอม σ max มีคาไมเทากบั ศนู ยภ ายใตก ารกระทําของแรงใดๆ ดงั นนั้ คา product
c
of inertia ของพนื้ ทหี่ นา ตดั ของคาน ∫ yz dA จะตอ งมีคาเทา กบั ศูนย และจากวิชา statics เมอื่ เทอม ∫ yz dA = 0
AA
แลว เราจะไดวา แกน y และแกน z จะเปนแกน principal axes of inertia ของพ้ืนท่หี นา ตดั ของคาน ดงั นั้น สมการท่ี 6-
14 ถงึ 6-16 จะมคี วามถกู ตองไดกต็ อเมอ่ื โมเมนต M กระทาํ อยรู อบแกน y หรอื แกน z อยา งเชนทแ่ี สดงในรูปที่ 6-13
เทานั้น
รูปที่ 6-13
Moment Arbitrary Applied
เมื่อหนาตัดของคานถูกกระทําโดยโมเมนต M ท่ที าํ มมุ θ กบั แกน principal z axis เมอื่ กาํ หนดให θ มคี า
เปนบวก เมอื่ วัดจากแกน + z ไปยังแกน + y ดังทแ่ี สดงในรปู ท่ี 6-14a แลว เราจะแตกโมเมนต M ออกเปนองค
ประกอบรอบแกน principal axes y และ z ไดเ ปน M z = M cosθ และ M y = M sinθ ดงั ที่แสดงในรูปที่ 6-14b
และ 6-14c ตามลําดับ จากนน้ั เราจะใช flexural formula หาคา ของหนวยแรงต้ังฉากลัพธท ี่เกดิ ขึน้ จากองคประกอบของ
moment แตละอัน และสดุ ทา ย คา หนวยแรงตง้ั ฉาก σ ท่จี ดุ ใดๆ ( y , z ) จะหามาไดโดยใช principle of superposition
โดยที่
σ = − Mzy + Myz (6-17)
Iz Iy
Mechanics of Materials 6-34
เมอ่ื σ = คาหนวยแรงตงั้ ฉาก (normal stress) ทจ่ี ดุ ใดๆ บนหนาตดั ของคาน
y , z = ระยะในแนวแกน y และแกน z ถงึ จดุ ใดๆ บนหนาตัดของคานทเี่ ราตอ งการหาคาหนว ยแรงตั้งฉาก
M y , Mz = องคประกอบของโมเมนตลัพธภายในที่อยูในแนวแกน y และแกน z
I y , Iz = principal moment of inertia ของพืน้ ทห่ี นา ตดั ของคานรอบแกน y และแกน z
รปู ที่ 6-14
Mechanics of Materials 6-35
รปู ท่ี 6-14d แสดงการกระจายของหนวยแรงตงั้ ฉากลพั ธบนหนา ตดั ของคานดงั กลาว โดยทก่ี ารกระจายของหนวย
แรงตงั้ ฉากน้จี ะเกิดจากการรวมกันกบั การกระจายของหนว ยแรงต้ังฉากเนือ่ งจากโมเมนต Mz และ M y ดงั ท่แี สดงในรปู
ท่ี 6-14e และ 6-14f ตามลาํ ดับ
Orientation of the Neutral Axis
ทศิ ทางของแกนสะเทนิ (neutral axis) ท่ีกระทาํ กับแกน principal axes หรอื มุม α จะหาไดจ ากสมการท่ี 6-17
โดยใชหลักการทว่ี า บนแกน neutral axis คาของหนวยแรงตงั้ ฉาก σ = 0 ดังนน้ั
y = M yIz
z MzIy
เนอ่ื งจาก M z = M cosθ และ M y = M sinθ ดังนัน้
y = Iz tanθ (6-18)
z Iy
และเนื่องจาก slope ของแกน neutral axis มคี า เทากบั tan α = y สมการท่ี 6-18 จะถูกเขียนใหมไดเปน
z
tanα = Iz tanθ (6-19)
Iy
จากสมการท่ี 6-19 เราจะเห็นไดวา ทศิ ทางของโมเมนต M หรือมมุ θ จะมคี า เทา กบั ทิศทางของแกน neutral
axis หรือมมุ α เม่อื I y = I z ถากําหนดใหพกิ ดั บนหนาตดั ของคานในลักษณะทใี่ ห I z > I y แลว จากสมการท่ี 6-19
เราจะไดว า คา tanα > tanθ และมมุ α จะอยูระหวา งแนวกระทําของโมเมนต M กับแกน + y หรือ
θ ≤ α ≤ 90o
Mechanics of Materials 6-36
ตวั อยางที่ 6-10
กาํ หนดใหค านยืน่ ดงั ที่แสดงในรปู ที่ Ex6-10a ซึ่งมคี วามยาว L = 4 m และมีลกั ษณะหนาตดั เปน รปู ตัว I เกดิ
การบิดเอยี งจากแนวดงิ่ เปนมมุ β เน่อื งจากการกอ สรา ง และถูกกระทาํ โดยแรง P = 60 kN ในแนวด่ิงทป่ี ลายของคาน
ตามทแ่ี สดงในรปู นอกจากนนั้ แลว กําหนดใหห นาตัดของคานมคี ณุ สมบตั ิดังน้ี
I z = 874.1×10−6 m4 , I y = 17.56 ×10−6 m4 , ความลกึ h = 0.6 m , ความกวางของ flange b f = 0.2 m
จงหา a.) คา maximum bending stresses ท่ีเกิดขึ้นบนคานเมอื่ β = 0o
b.) คา maximum bending stresses ทเ่ี กดิ ข้ึนบนคานเมือ่ β = 2o
รูปท่ี Ex6-10
a.) คา maximum bending stresses ท่เี กดิ ขึ้นบนคานเม่ือ β = 0o
จากรูป maximum bending moment จะมคี าสงู สดุ ทจ่ี ดุ รองรบั และจะมคี าเปน
M max = PL
เมือ่ β = 0o แกน neutral axis ของคานจะเปน แกน z ดงั นน้ั จาก flexural formula เราจะไดวา maximum
bending stresses จะเกิดข้ึนทผ่ี ิวบนสุดและผิวลางสดุ ของปก (flange) ของคาน โดยเปน หนว ยแรงกดอดั ท่ีผิวดานลา งและ
เปนหนว ยแรงดงึ ทีผ่ ิวดานบน
σ max = My = PL(h / 2) = 60 kN (4 m)(0.6 m / 2) = 82.37 MPa Ans.
Iz Iz 874.1×10-6 m4
b.) คา maximum bending stresses ที่เกดิ ขน้ึ บนคานเมอื่ β = 2o
เม่อื แตกแรง P ในแนวแกน y และแกน z เราจะไดว า
Py = P cos β
Pz = P sin β
แรง Py จะทําใหเกิด moment รอบแกน z บนหนาตดั ทจ่ี ุด C บนดา นทีต่ ดิ กับผนังมีคาเปน
M z = −(P cos β )L = −(60 kN) cos 2o (4 m) = − 239.85 kN - m
(การทเ่ี ราพิจารณาหนาตดั ทีจ่ ุด C บนดา นทตี่ ิดกับผนังนัน้ เน่ืองมาจาก sign convention ที่เราใชในรปู ท่ี 16.4)
Mechanics of Materials 6-37
แรง Pz จะทําใหเกดิ moment รอบแกน y บนหนาตดั ทจี่ ดุ C บนดา นท่ตี ดิ กับผนังมีคาเปน
M y = −(P sin β )L = −(60 kN) sin 2o (4 m) = − 8.38 kN - m
มมุ ที่แกน neutral axis n − n กระทาํ กับแกน z มีคา เทา กบั
tan α = y = M yIz = (−8.38 kN - m)874.1×10−6 m4 = 1.739
z MzIy (−239.85 kN - m)17.56 ×10-6 m4
α = 60.1o
ดงั น้ัน เราจะเห็นไดวา maximum bending stresses จะเกิดขึน้ ทีจ่ ุด A และจดุ B ซง่ึ เปนจุดทอี่ ยูหา งไกลจากแกน
neutral axis มากทส่ี ดุ
เนือ่ งจากมุม β มคี า นอ ยมาก เราจะประมาณคาของ coordinate ท่จี ดุ A ไดเ ปน
yA = +0.3 m และ z A = −0.1 m
ดังนนั้ tensile stress ที่เกิดขึน้ ท่จี ุด A จะมีคา เทา กบั
σA = M yzA − M z yA = (−8.38 kN - m)(−0.1 m) − (−239.85 kN - m)(+0.3m)
Iy Iz 17.56 ×10-6 m 4 874.1×10-6 m4
σ A = 130.04 MPa Ans.
และ compressive stress ทเ่ี กิดขน้ึ ที่จดุ B จะมคี าเทากบั
σ B = −130.04 MPa Ans.
Note เราจะเห็นไดว า ในกรณีของคานท่มี ีหนาตดั ตามรูป ( I z >> I y ) คา maximum bending stresses ท่เี กดิ ขึ้นในขอ
b. จะมีคามากกวา คา maximum bending stressesทีเ่ กิดข้นึ ในขอ a.) เทา กบั
130.04 − 82.37 × 100% = 36.7%
130.04
ซ่ึงแสดงถึงความสําคัญของความเที่ยงตรงในการกอสรางคานดังกลาว และเราควรที่จะตองระมัดระวังมากข้ึนในการใช
คานที่มลี กั ษณะเชนน้ี
Mechanics of Materials 6-38
ตัวอยา งท่ี 6-11
กําหนดใหค านไมชวงเด่ยี วรองรบั แบบธรรมดา (simple support) ซึ่งมี span L = 4 m และถกู กระทาํ โดยนา้ํ
หนักบรรทกุ แบบกระจายสม่าํ เสมอ (uniformly distributed load) w = 1kN/m และแรงกระทําเปน จดุ (concentrated
load) P ท่กี งึ่ กลาง span ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ Ex6-11 กาํ หนดใหสวนของความปลอดภัย (factor of safety) F.S. = 2.0 ,
หนวยแรงดัดสูงสดุ ของไม σ ult = 10 MPa จงหาคา สูงสุดของแรง P ทีค่ านไมสามารถรบั ได
y
zx
(a)
รูปท่ี Ex6-11
โดยการเขยี นแผนภาพ free-body diagram และใชส มการความสมดุล แผนภาพ bending moment diagram
ของคานเน่ืองจากน้ําหนักบรรทุกแบบกระจายสมาํ่ เสมอ w จะมลี กั ษณะดังทีแ่ สดงในรปู ท่ี Ex 6-1 และเนอ่ื งจากแรง
กระทาํ เปนจดุ P มีลักษณะดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี Ex 6-2
สมการของ bending moment สงู สุดทเี่ กิดขึ้นเนอ่ื งจากน้าํ หนกั บรรทกุ แบบกระจายสมํ่าเสมอ w ที่หนา ตดั C
ของคาน (รอบแกน z ) ซงึ่ ทําใหเกดิ แรงกดอดั บนผิวดา นบนของคานจะอยูในรูป
wL2 1000(4) 2
8 8
Mz = = = 2000 N - m
สมการของ bending moment สงู สุดทีเ่ กดิ ขึ้นเนอื่ งจากแรงกระทําเปน จดุ P ทีห่ นาตดั C ของคาน (รอบแกน
y ) ซง่ึ ทําใหเ กิดแรงกดอดั บนผิวดา นขางของคาน ทถี่ ูกกระทําโดยแรง P จะอยูในรูป
My = − PL = −P N - m
4
โดยใช principle of superposition เราจะได bending moment สูงสดุ จะเกิดขน้ึ ท่จี ุด a (หนวยแรงกดอัด) และ
จดุ d (หนว ยแรงดงึ ) ดังท่ีแสดงในรปู ที่ Ex 6-11b
y
ab
z
cd
(b) หนาตัด C ของคาน
Mechanics of Materials 6-39
คา สงู สดุ ของหนว ยแรงดัดที่เกดิ ขนึ้ ท่จี ดุ a (หนวยแรงกดอัด) และจุด d (หนวยแรงดงึ ) หนาตัด C ของคานจะ
หาไดจ ากสมการ
σ = − Mzy + Myz
Iz Iy
ซึง่ จะมคี าเทากับหนวยแรงดัดทยี่ อมใหของไม
σ allow = σ ult = 10 = 5 MPa
F.S. 2
และ moment of inertia ของพืน้ ท่ีหนาตัดของคานรอบแกน y และแกน z มคี า เทา กับ
Iy = 0.2(0.1)3 = 16.67(10−6 ) m 4
12
Iz = 0.1(0.2)3 = 66.67(10−6 ) m4
12
ดังนน้ั
σa = 2000(0.1) + (−P)(0.050) = −5(106 )
− 66.67(10−6 ) 16.67(10−6 )
P = 0.667 kN Ans.
Mechanics of Materials 6-40
6.6 คานท่ีทาํ จากวัสดุตางชนดิ กัน (Composite Beams)
Composite beam เปน คานที่ถูกสรางขึน้ จากวัสดุที่ตา งกนั อยา งนอ ยสองชนิด เชน คานไมเสริมเหลก็ แผน คาน
คอนกรตี เสรมิ เหลก็ (reinforced concrete beam) และคานเหล็กประกอบ ดังท่ีแสดงตามรปู ท่ี 6-15 เปนตน
รูปท่ี 6-15
การใช flexural formula กับคาน composite beams น้ี เราจะตอ งแปลง (transform) วัสดุตางๆ ที่ใชท ําคานให
เปนวสั ดุประเภทเดยี วกัน โดยใชวธิ ีการทเ่ี รียกวา วธิ ีการแปลงหนา ตดั (transformed section method)
พิจารณาcomposite beam ดังที่แสดงตามรปู ที่ 6-16a กาํ หนดใหร ะนาบของหนาตดั ของคานยังคงเปน ระนาบ
เหมือนเดิมหลังจากท่ีคานถูกกระทําโดยโมเมนตดัด M ดังน้ัน ความเครียดตั้งฉากท่ีเกิดข้ึนบนหนาตัดของคานจะมี
ลักษณะดังทแี่ สดงตามรูปท่ี 6-16b และจาก Hooke’s law เราจะไดว า หนว ยแรงตง้ั ฉากท่ีจดุ ใดๆ ในวัสดุหมายเลข 1 จะมี
คา เทา กบั σ = E1ε และหนวยแรงตง้ั ฉากท่จี ุดใดๆ ในวัสดุหมายเลข 2 จะมคี าเทากับ σ = E2ε ถาวสั ดุหมายเลข 1 มี
ความแกรง มากกวา วัสดุหมายเลข 2 แลว การกระจายของหนวยแรงต้ังฉากบนหนาตัดของคานจะมีลักษณะตามทแี่ สดงใน
รปู ที่ 6-16c
ถา เรากาํ หนดใหค านถกู สรางขนึ้ มาจากวัสดุทม่ี คี วามแกรง นอยกวา (วสั ดหุ มายเลข 2) เทา นั้น และกาํ หนดให
ความลึกของคาน h มีคา เทาเดมิ หลงั จากทีม่ ีการแปลงวัสดุ (เพอ่ื ใหก ารกระจายของความเครยี ดต้ังฉากบนหนา ตัดของ
คานมลี กั ษณะคงเดิม) แลว สว นของคานท่ีทําดว ยวัสดุหมายเลข 1 จะตอ งถูกขยายใหกวางข้นึ เพ่อื ทจ่ี ะรองรบั แรงกระทํา
ซ่งึ มีคาเทากบั แรงกระทาํ ทวี่ ัสดุหมายเลข 1 รองรับกอ นทีจ่ ะมีการแปลงวัสดุ ดงั ทแี่ สดงในรปู ท่ี 6-16e ดังนน้ั เราจะสามารถ
หาคา transformation factor n ท่ีใชใ นการแปลงวัสดหุ มายเลข 1 เปนวสั ดุหมายเลข 2 ไดจาก
แรงกระทาํ ทวี่ สั ดุหมายเลข 1 รองรบั ,
dF = σ dA = (E1ε ) dzdy
แรงกระทําท่วี สั ดุหมายเลข 1 ท่ีถูกแปลงเปน วัสดหุ มายเลข 2 และมคี วามกวางของคานเพิ่มขน้ึ เปน nz รองรบั ,
dF ′ = σ ′ dA′ = (E2ε )n dzdy
Mechanics of Materials 6-41
รูปท่ี 6-16
Mechanics of Materials 6-42
เนือ่ งจากวา แรง dF = dF ′ เราจะเขยี นสมการ transformation factor ไดเ ปน
n = E1 (6-20)
E2
ดังนนั้ ในกรณนี ี้ ความกวาง b ของคานทท่ี ําดว ยวัสดุหมายเลข 1 ซงึ่ แกรง กวา จะถูกเปลีย่ นไปเปนความกวาง nb ของ
คานทีท่ าํ ดวยวสั ดหุ มายเลข 2 ทแี่ กรง นอยกวา ดังที่แสดงในรปู ที่ 6-16e
หลังจากทเ่ี ราทราบการกระจายของหนวยแรงบนหนา ตัดของคานทถ่ี กู แปลง ดงั ท่แี สดงในรูปที่ 6-16g แลว คา
หนวยแรงดังกลาวจะตองถูกคูณดวย transformation factor เพื่อที่จะแปลงคา หนวยแรงท่ีเกิดขนึ้ กลับไปเปนคา หนว ยแรง
บนหนาตดั กอนท่ีจะถกู แปลง เนื่องจากพนื้ ทข่ี องสวนของหนาตดั ท่ถี กู เปลยี่ นแปลงมคี า เปน n เทา ของพน้ื ที่ของสว นของ
หนา ตดั กอ นทีจ่ ะถกู แปลง ดังนนั้
dF = σ dA = σ ′ dA′
σ dzdy = σ ′ n dzdy
σ = nσ ′ (6-21)
ในลกั ษณะท่ตี รงกันขา ม ถา เรากาํ หนดใหค านถกู สรางข้นึ มาจากวสั ดุที่มีความแกรงมากกวา (วัสดุหมายเลข 1)
เทาน้ันแลว สว นของคานทที่ ําดวยวสั ดหุ มายเลข 2 จะตองถูกทําใหก วางลดลงเปน n′b โดยที่ n′ = E2 / E1 < 1 ดังท่ี
แสดงในรูปที่ 6-16f และการกระจายของหนวยแรงบนหนาตัดของคานจะมีลักษณะดังทีแ่ สดงในรูปท่ี 6-16h หลังจากที่เรา
ทราบการกระจายของหนว ยแรงแลว คา ของหนวยแรงที่เกิดขนึ้ ในหนาตัดที่ถูกแปลงจะถกู เปล่ียนกลบั ไปเปนคาของหนวย
แรงบนหนา ตัดเร่ิมตน โดยที่ σ = n′σ ′
Mechanics of Materials 6-43
ตัวอยางท่ี 6-12
กาํ หนดใหค านไม simple supports ถกู กระทําโดยน้ําหนกั บรรทุกเปนจดุ (concentrated load) P ดงั ท่แี สดงใน
รปู ท่ี Ex 6-12a ใหสวนของความปลอดภัย (factor of safety) F.S. = 2.0 , ultimate stress ของไม σ ult = 10 MPa ,
yeilding stress ของ steel σ y = 250 MPa , modulus of elasticity ของไม Ew = 10 GPa และ steel
Est = 200 GPa
ถา ใหคานมคี วามกวา ง b = 0.10 m ลกึ d = 0.20 m และแผนเหลก็ มีความกวาง 0.100 m และหนา
t = 5 mm จงหาน้ําหนักบรรทกุ เปนจดุ สงู สุด Pmax ที่คานไม และ คานไมเ สรมิ แผนเหล็กสามารถรบั ไดแ ละนํา้ หนกั
บรรทกุ จุด P เพ่ิมข้ึนกเ่ี ปอรเ ซน็ หลังจากที่เสรมิ ดว ยแผน เหล็ก
รูปท่ี Ex 6-12
โดยการเขยี นแผนภาพ free-body diagram และใชสมการความสมดลุ เราจะเขยี นแผนภาพ shear diagram
และแผนภาพ bending moment diagram ของคานได ดงั ที่แสดงในรูปที่ Ex 6-12b
จากแผนภาพ bending moment diagram เราจะไดว า bending moment สงู สดุ จะเกดิ ขึน้ ในชวง CD ของคาน
โดยที่
M max = P
หนว ยแรงที่ยอมใหข องไม
(σ w ) allow = σ ult = 10 = 5 MPa
F.S. 2.0
หนวยแรงที่ยอมใหของเหล็ก
(σ st ) allow = σy = 250 = 125 MPa
F.S. 2.0
Mechanics of Materials 6-44
เมื่อคานไมไ มม ีการเสริมแผน เหลก็ Ans.
moment of inertia ของหนาตดั ของคานไมจะมีคา เทากับ
I = bd 3 = 0.10(0.20)3 = 66.67(10−6 ) m 4
12 12
จาก flexural formula เราจะไดว า
M max = (σ w ) allow I = 5(106 )66.67(10−6 ) = 3,333 N - m
c (0.2 / 2)
ดงั นน้ั
Pmax = 3.333 kN
เม่อื คานไมถ ูกเสรมิ แผน เหล็ก
พนื้ ที่หนา ตดั ของแผนเหล็ก
Ast = 0.10(0.005) = 500(10−6 ) m4
transformation factor จากเหลก็ ไปเปนไม
n= Est = 200 = 20
Ew 10
ดังน้นั พ้นื ทห่ี นาตัดของเหล็กท่ถี ูกแปลงเปนไมจ ะมคี าเทากับ
Ast,transformed = 20(500)10−6 = 10(10−3 ) m 2
และพนื้ ท่ีดังกลา วจะมีความกวา งเทา กับ
bst ,transformed = Ast ,transformed = 10(10−3 ) = 2 m
t 0.005
หนา ตัดของคานจะมลี ักษณะดังทแ่ี สดงในรปู ที่ EX 6-12c
0.10 m
Neutral axis 0.105- y C 0.20 m
y 0.005 m
2.0 m
(c)
ตาํ แหนง ของแกนสะเทินจากผวิ ดา นลางสุดของคานจะหาไดจ ากสมการ
y = 0.1(0.2)(0.1 + 0.005) + 0.005(2)(0.005 / 2) = 0.0708 m
0.1(0.2) + 0.005(2)
moment of inertia ของพื้นทีห่ นาตัดรอบแกนสะเทนิ
I = 0.1(0.2) 3 + 0.1(0.2)(0.105 − 0.0708) 2 + 2(0.005)3 + 2(0.005)(0.0708 − 0.0025) 2
12 12
= 136.73(10−6 ) m4
Mechanics of Materials 6-45
ทาํ การตรวจสอบดูวา ไมหรือเหล็กจะเกิดการวบิ ตั ิกอ นกนั Ans.
Ans.
1. ถา ไมเ กิดการวบิ ัติกอ นเหล็ก
(σ w ) allow = M (0.1 + 0.0342)
I
M = (σ w ) allow I = 5(106 )136.73(10−6 ) = 5.09 kN - m
0.1342 0.1342
2. ถา เหลก็ เกดิ การวบิ ตั ิกอนไม
(σ st ) allow = n M (0.0708)
I
M = (σ st ) allow I 125(106 )136.73(10−6 ) = 12.07 kN - m
n(0.0708) = 20(0.0708)
ดังนัน้ ไมจ ะเกดิ การวบิ ัตกิ อ นแผน เหลก็ และ
Pmax = 5.09 kN
คา หนว ยแรงสูงสุดที่เกดิ ขน้ึ บนแผน เหลก็ เม่อื คานไมเกดิ การวบิ ัติมคี า เทากบั
σ st = n M (0.0708) = 20 5090(0.0708) = 52.7 MPa
I 136.73(10−6 )
เปอรเซ็นท่นี ํา้ หนกั บรรทุกจดุ P เพมิ่ ข้ึนหลงั จากทเ่ี สริมดว ยแผนเหลก็ เทากับ
5.09 − 3.333 (100) = 52.7 %
3.333
Mechanics of Materials 6-46
6.7 คานคอนกรตี เสรมิ เหลก็ (Reinforced Concrete Beams)
เนอื่ งจากคอนกรีต (concrete) เปนวัสดุเปราะ (brittle material) ซึ่งมกี ําลงั รบั แรงดงึ ประมาณ 10% ของ กําลงั รับ
แรงกดอัด ดังน้ัน วิศวกรจึงไดคนหาวิธีการปรับปรุงเพื่อท่ีจะใชคานคอนกรีตใหมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการเสริม
คอนกรตี ดวยเหลก็ เสน ซง่ึ เรามักจะเรียกวา คานคอนกรีตเสริมเหลก็ (reinforced concrete beam) ในการวิเคราะหคาน
คอนกรีตเสรมิ เหล็กนั้น เราจะสมมตุ ิใหเหล็กเสน ทําหนาท่ีในการรบั แรงดงึ ทีเ่ กิดข้ึนในคานทงั้ หมดและคอนกรตี จะไมม คี วาม
สามารถในการรบั แรงดึงเลย ซ่งึ ขอสมมตุ ฐิ านนี้ไดม าจากการสังเกตที่วา การแตกราวทเ่ี กิดขึ้นในคานคอนกรีตเสริมเหลก็ มัก
จะเกิดขึ้นในสวนของคานท่ีรับแรงดงึ ในขณะทีแ่ รงกระทํามคี า ท่ีตาํ่ มากๆ เม่ือเทียบกบั กําลงั ประลยั ของคาน และลกั ษณะ
ของการแตกรา วนี้มักจะมีรปู แบบทไี่ มแนน อน ดงั น้ัน เราจะสมมตุ ิใหก ารกระจายของหนวยแรงตั้งฉากบนหนาตดั ของคาน
คอนกรีตเสรมิ เหล็กมีลกั ษณะดังที่แสดงในรปู ท่ี 6-17b
รูปท่ี 6-17
ในลักษณะเชน เดยี วกับ composite beams เราสามารถทจ่ี ะแปลง (transform) พื้นที่ของเหลก็ เสน As ไปเปน
พื้นท่ีของคอนกรีตที่สมมลู กนั ไดเ ทากับ nAs เมื่อ n = Es / Ec นอกจากนั้นแลว เราสามารถทจี่ ะหาระยะ h′ ของแกน
สะเทนิ (neutral axis) ท่วี ดั จากผิวดานบนของคานไดจากเงอ่ื นไขท่ีวา โมเมนตข องพืน้ ทห่ี นาตดั นนั้ รอบแกน neutral axis มี
คาเทา กับศูนย ดงั นัน้
bh′( h′) − nAs (d − h′) = 0
2
bh′2 + nAs h′ − nAs d = 0
2
หลังจากท่ีเราไดคาระยะ h′ แลว คาของหนวยแรงท่ีเกิดข้ึนในคานก็จะหามาไดโดยวิธีการท่ีไดกลาวถึงใน
section ทแ่ี ลว
Mechanics of Materials 6-47
ตัวอยา งท่ี 6-13
กาํ หนดใหคานคอนกรีตเสริมเหลก็ ซง่ึ เปนคานย่ืน (cantilevered beam) ดังที่แสดงในรูปท่ี Ex 6-13a ถกู กระทํา
โดยน้ําหนกั บรรทุกแบบกระจายสมํ่าเสมอ (uniformly distributed load) w และมหี นา ตัดท่ีเสริมโดยเหล็กเสรมิ ขนาดเสน
ผาศูนยก ลาง 19 mm วางอยูทต่ี าํ แหนง บนหนาตัดของคาน ดังทแี่ สดงในรปู ท่ี Ex 6-13b
จงหาคาน้ําหนักบรรทุกสูงสุด w ที่คานนี้สามารถรับไดเมื่อ หนวยแรงที่ยอมใหของเหล็ก (σ st )allow =
125 MPa หนวยแรงท่ยี อมใหของคอนกรตี (σ conc )allow = 21 MPa คา modulus of elasticity ของเหลก็ Est =
200 GPa และคา modulus of elasticity ของคอนกรตี Ec = 25 GPa
สมมตุ ใิ หค อนกรีตไมส ามารถรับแรงดึงได
รปู ท่ี Ex 6-13
จากรปู ที่ Ex 6-13a คา bending moment สงู สุดทเี่ กดิ ขน้ึ ในคานที่จุดยึดแนน A จะหาไดจ ากสมการ
M max wL2 = −4.5w
=− 2
ซงึ่ จะทาํ ใหผวิ ดานบนของคานคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ถกู กระทําโดยแรงดึง
พ้ืนทห่ี นาตัดของเหล็กเสริมมคี าเทา กบั
Ast = 2(πr 2 ) = 2π (0.019 / 2)2 = 0.567(10−3 ) m2
Transformation factor เปล่ียนจากเหล็กเปนคอนกรีต
n= E st = 200 = 8.0
Ec 25
เนื่องจากคอนกรีตไมส ามารถรบั แรงดึงได หนา ตดั ของคานคอนกรีตเสริมเหลก็ จะเปลีย่ นเปนคานคอนกรตี ดังที่
แสดงในรูปที่ Ex 6-13c โดยพน้ื ท่ขี องคอนกรีต A′ จะหาไดจ ากสมการ
A′ = nAst = 8(0.567)10−3 = 4.54(10−3 ) m2
ตาํ แหนงของแกนสะเทิน h′
จากผลรวมของ moment ของพ้ืนทรี่ อบแกนสะเทิน (neutral axis) มีคาเทากบั ศูนย เราจะไดว า
Mechanics of Materials 6-48
0.25(h′) h′ − 4.536(10 −3 )(0.437 − h′) = 0 Ans.
2
h′ = 0.109 m
moment of inertia ของพน้ื ทห่ี นาตัดของคอนกรีตรอบแกนสะเทิน (neutral axis)
0.25(0.109) 3 0.25(0.109) 0.109 2
2
I = 12 + + 4.54(10−3 )(0.437 − 0.109)2
= 597(10−6 ) m 4
ทาํ การตรวจสอบดูวา คอนกรตี หรือเหล็กเกิดการวบิ ตั ิกอนกัน
3. ถา คอนกรีตเกดิ การวบิ ตั กิ อ นเหลก็
(σ conc ) allow = Mh′
I
M = (σ conc ) allow I = 21(106 )597(10−6 ) = 115 kN - m
h′ 0.109
4. ถาเหล็กเกดิ การวบิ ตั กิ อ นคอนกรีต
(σ )st allow = n M (0.437 − h′)
I
M = (σ st ) allow I = 120(106 )597(10−6 ) = 27.3 kN - m
n(0.437 − h′) 8(0.437 − 0.109)
ดังนน้ั เหล็กเสรมิ จะเกดิ การวิบัตกิ อนคอนกรตี
คา นาํ้ หนกั บรรทุกสงู สดุ w ที่คานสามารถรับไดม ีคาเทากับ
wmax = M max = 27.3 = 6.07 kN/m
4.5 4.5
Mechanics of Materials 6-49
แบบฝกหัดทายบทท่ี 6
6-1 จงเขยี นแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดังทแี่ สดงในรปู ที่ Prob. 6-1
รูปที่ Prob. 6-1
6-2 จงเขยี นแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี Prob. 6-2
รูปที่ Prob. 6-2
6-3 จงเขยี นแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี Prob. 6-3
รูปท่ี Prob. 6-3
6-4 จงเขียนแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดงั ที่แสดงในรูปที่ Prob. 6-4
รปู ที่ Prob. 6-4
6-5 จงเขยี นแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดงั ทีแ่ สดงในรปู ที่ Prob. 6-5
รูปท่ี Prob. 6-5
6-6 จงเขยี นแผนภาพ shear diagram และ moment diagram ของคาน ดงั ที่แสดงในรปู ที่ Prob. 6-6
Mechanics of Materials 6-50
รูปท่ี Prob. 6-6
6-7 กําหนดใหค านใน Prob. 6-1 มีหนาตัด ดงั ทแี่ สดงในรปู ที่ Prob. 6-7 จงหาหนวยแรงดึงสงู สดุ และหนว ยแรงกดอดั สงู สุด
ท่เี กิดข้นึ บนหนา ตัด
รูปท่ี Prob. 6-7
6-8 กําหนดใหค านใน Prob. 6-4 มีหนา ตดั ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี Prob. 6-8 เมอื่ w = 200 mm จงหาหนว ยแรงดดั สงู สุดท่ี
เกดิ ขน้ึ บนหนาตัดและจงหาเปอรเ ซน็ ตของโมเมนตท ีเ่ อว (web) ของหนา ตดั รองรับ
รูปที่ Prob. 6-8
6-9 ถาเราตอ งการนาํ ทอ นไม ซ่ึงมีเสน ผาศนู ยกลาง 0.50 m มาตัดเพือ่ ทาํ คานหนา ตดั ส่เี หลีย่ มผนื ผา ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี
Prob. 6-9 จงหาขนาดความกวา งและความลกึ ของหนาตดั ของคานดงั กลา วที่จะทาํ ใหค านสามารถรองรบั แรงกระทาํ P
ไดสูงสุด และแรงกระทํา P ดงั กลาวมีคา เทากบั เทาใด กําหนดใหไ มมี σ allow = 55 MPa
Mechanics of Materials 6-51
รปู ท่ี Prob. 6-9
6-10 กาํ หนดใหคานยื่น (cantilevered beam) ดังท่แี สดงในรูปที่ Prob. 6-10 ถูกกระทาํ โดยแรง P จงหาคาของแรง P ที่
ทําใหห นวยแรงดัดมีคา ไมเ กนิ σ allow = 180 MPa
รูปท่ี Prob. 6-10
6-11 ถาแรง P ทีก่ ระทาํ ตอ คานยน่ื ดงั ทแี่ สดงในรปู ที่ Prob. 6-10 มคี า 600 N จงหาคาหนว ยแรงดัดสูงสุดที่เกิดขึ้นท่ี
หนา ตัด A ของคาน
6-12 กาํ หนดใหค านไม ( Ew = 11GPa ) ถกู เสรมิ ดวยแผนเหล็ก ( Est = 200 GPa ) ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี Prob. 6-12 จง
หาคาหนวยแรงดัดสูงสุดท่ีเกิดขึ้นในไมและเหล็กถาคานถูกกระทําดดยโมเมนตดัด M = 5 kN - m และจงเขียนแผน
ภาพการกระจายของหนว ยแรงดัดบนหนา ตัดดงั กลา ว
รปู ที่ Prob. 6-12
Mechanics of Materials 6-52
6-13 กําหนดใหคานประกอบ (composite beam) ทําดวยพลาสติก 3 ชนิด และถกู กระทาํ โดยแรงกระทํา ดังที่แสดงในรูปที่
Prob. 6-13 จงหาคาหนวยแรงดดั สงู สดุ ท่ีเกิดขึน้ ใน PVC
รูปท่ี Prob. 6-13
6-14 คานคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ถกู กระทําโดยแรงกระทํา ดังทแี่ สดงในรปู ท่ี Prob. 6-14 จงหาคาหนวยแรงดึงสูงสุดทเ่ี กดิ ขึ้น
ในเหลก็ และหนว ยแรงกดอดั สูงสดุ ทีเ่ กดิ ขึน้ ในคอนกรีต
รปู ท่ี Prob. 6-14
6-15 กาํ หนดใหค านคอนกรตี เสรมิ เหล็กมีหนา ตดั ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่ Prob. 6-15 ( Ew = 11GPa ) ไมถ กู เสริมดวยแผน
เหลก็ ( Est = 200 GPa ) จงหาคา โมเมนต M สงู สดุ ท่ยี อมใหก ระทําตอ หนาตดั คาน เม่ือหนวยแรงดึงท่ยี อมใหข อง
เหล็ก (σ st )allow = 275 MPa หนว ยแรงกดอัดทยี่ อมใหข องคอนกรีต (σ conc )allow = 20 MPa คา modulus of
elasticity ของเหลก็ และคอนกรีตมคี า เทา กับ Est = 200 GPa และ Econc = 26 GPa ตามลําดับ (6-127)
รูปที่ Prob. 6-15
Mechanics of Materials 7-1
บทที่ 7
การเฉือนตามขวาง (Transverse Shear)
เรียบเรียงโดย ดร. สทิ ธชิ ัย แสงอาทิตย
7.1 การเฉือนในชน้ิ สวนของโครงสราง (Shear in Straight Members)
เมื่อคานถูกกระทําโดยแรงกระทําในแนวขวาง (transverse loading) ซ่ึงทําใหเกิดโมเมนตดัด (bending
moment) ภายในทหี่ นา ตดั ของคานเทานัน้ ดงั เชน หนาตัดในชว ง CD ของคานดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี 7-1 แลว หนวยแรงท่ีเกิด
ขึน้ บนหนาตัดของคานในชว งดงั กลาวจะมเี ฉพาะหนว ยแรงดัดตั้งฉากเทาน้ัน ซ่งึ จะหาไดโ ดยใชส มการ flexural formula
รูปที่ 7-1
แตโ ดยท่ัวไปแลว คานมักจะถูกกระทําโดยแรงกระทําในแนวขวาง ซ่ึงทําใหเกดิ ทงั้ โมเมนตดดั ภายใน M และแรง
เฉอื นภายใน V บนหนา ตัดของคาน ดังเชน หนา ตดั ในชว ง AC และ BD ของคานดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี 7-1
แรงเฉือนบนหนาตัดของคาน ดังที่แสดงในรูปท่ี 7-2a จะเกิดจากการกระจายของหนวยแรงเฉือนทางขวาง
(transverse shear stress) ท่กี ระทําอยบู นหนาตดั ของคานน้นั ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 7-2b ซง่ึ เปน ความตา นทานของวัสดตุ อ
แรงกระทําภายนอกและจะทาํ ใหคานมคี วามสมดลุ ตอ การเลือ่ น (translational equilibrium) ในแนวดิ่ง
รปู ที่ 7-2
นอกจากน้นั แลว หนวยแรงเฉอื นทางขวางดงั กลา วยงั กอใหเ กดิ หนวยแรงเฉอื นในแนวแกน (longitudinal shear
stresses) ของคานดวย เพ่อื ทาํ ใหเ กิดความสมดุลของแรงและโมเมนตบน differential element ของหนาตัดของคาน ยก
Mechanics of Materials 7-2
ตวั อยา งเชน ท่ีจดุ A ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 7-2b เปนตน และเนื่องจากไมม แี รงภายนอกกระทําขนานไปกบั ผวิ ดานบนและ
ดา นลา งของคาน ดงั นนั้ หนวยแรงเฉือนทางขวางทีผ่ ิวทั้งสองน้ีจะตอ งมคี า เทา กับศูนย ยกตวั อยา งเชน ทจ่ี ดุ B หรือจดุ C
ท่แี สดงในรูปท่ี 7-2b เปนตน
เพือ่ ใหเกดิ ความเขาใจเกีย่ วกับหนว ยแรงเฉอื นในแนวแกนมากขึ้น พิจารณาคานท่ีทําดว ยแผนไม 3 แผน ซึง่ มีผิวที่
เรียบมากและถกู กระทําโดยแรงกระทําเปน จุด (concentrated load) P ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี 7-3
ในกรณที แ่ี ผนไมทง้ั สามแผนไมมีการยดึ ติดกนั เลย เมอื่ คานถกู กระทาํ โดยแรง P แลว แผนไมท ัง้ สามแผนจะเกดิ
การเล่อื นสัมพทั ธข้นึ ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 7-3a ทงั้ นี้เน่ืองมาจากผวิ สมั ผสั ของแผนไมทั้งสามแผน ดงั กลา วไมมคี วามตานทาน
ตอการกระทาํ ของหนว ยแรงเฉอื นในแนวแกน แตถ าแผน ไมท ง้ั สามนัน้ มกี ารยดึ ติดกนั อยา งแนน หนาแลว ผิวสมั ผัสของแผน
ไมท้ังสามแผนจะมคี วามตา นทานตอหนว ยแรงเฉือนในแนวแกนและจะปองกันไมใ หเ กดิ การเลอ่ื นสัมพัทธของแผนไมขึ้น ดงั
ทแ่ี สดงในรปู ที่ 7-3b
รปู ท่ี 7-3
หนว ยแรงเฉอื นทางขวางทีเ่ กดิ ข้นึ ในคานจะทาํ ใหเ กิดความเครียดเฉอื น (shear strain) โดยจะคา เทา กับศนู ยท ี่ผิว
ดานบนและผวิ ดานลา งของคาน และมคี าสงู สดุ ท่ีจุดกึง่ กลางความลึกของหนาตดั คาน ความเครยี ดเฉือนน้ีจะทาํ ใหเกิดการ
บิดเบยี้ ว (distortion หรอื warping) ขนึ้ บนหนาตดั ของคาน ดังที่แสดงในรูปที่ 7-4 ซ่ึงเกิดขึน้ มาจากการที่ความเครียดเฉอื น
มีการกระจายท่ไี มคงที่และไมสม่าํ เสมอบนหนา ตดั ของคาน
การบิดเบยี้ วทเ่ี กดิ ขึ้นน้ีจะละเมดิ ขอสมมตุ ิฐานทใ่ี ชในการหาสมการ flexural formula ทวี่ า หนา ตัดของคานกอน
และหลังการเกดิ การเปล่ยี นแปลงรปู รางยังคงเปนระนาบและตั้งฉากกบั แนวแกนของคาน อยา งไรกต็ าม โดยใช theory of
elasticity เราสามารถพิสจู นไ ดว า การบดิ เบย้ี วเนือ่ งจากความเครยี ดเฉือนดงั กลา วมกั จะมีคาท่นี อ ยมาก เมอ่ื เปรยี บเทียบ
กับการเปล่ียนแปลงรูปรางในแนวแกนที่เกิดจากโมเมนตดัด โดยเฉพาะในกรณีท่ีคานยาวมากหรือมีอัตราสวนของความ
ยาวตอ ความลึกมากกวา 10 ดังนั้น โดยสว นใหญแ ลว เราจะสามารถใช flexural formula ในการวเิ คราะหห าหนวยแรงดดั ที่
เกิดขนึ้ ในคานได
Mechanics of Materials 7-3
รูปท่ี 7.4
7.2 สตู รการเฉอื น (Shear Formula)
พจิ ารณาคานซง่ึ ถูกกระทาํ โดยแรงและโมเมนตภายนอก ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี 7-5a และพจิ ารณาสว นของคานทีม่ ี
ความยาว dx ซง่ึ ถูกตัดออกมาจากคานท่ีระยะ x จากจุดรองรับหมดุ (pinned support) ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ 7-5b ภายใต
การกระทําของแรงและโมเมนตภายนอก สวนดังกลาวของคานจะถูกกระทําโดยโมเมนตภายในและจะมีการกระจายของ
หนว ยแรงดัดต้ังฉาก ดงั ท่แี สดงในรูปที่ 7-5c
เพ่ือทําใหเ กิดความสมดลุ ของแรงในแนวแกนของคาน การกระจายของหนวยแรงดดั ต้งั ฉากจะทาํ ใหเกิดแรงลพั ธ
dF ′ และ dF ′′ ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี 7-5c ซึ่งแรงลพั ธ dF ′ และ dF ′′ นจี้ ะกอ ใหเ กดิ โมเมนตภายใน M และ
M + dM เพ่ือตานทานตอการกระทําของแรงและโมเมนตภายนอก (ในที่น้ี เราจะไมสนใจผลของแรงเฉือนและแรง
กระทาํ อน่ื ๆ ทไี่ มอ ยูใ นแนวนอน)
ทาํ การตดั สว นของคาน ดังท่ีแสดงในรูปที่ 7-5b อีกครัง้ หนึ่งทร่ี ะยะ y′ จากแกนสะเทนิ (neutral axis) ดงั ทแี่ สดง
ในรปู ที่ 7-5d (สว นท่ีระบายสีทึบ) กาํ หนดใหห นา ตัดดงั กลา วของสวนของคานมีความกวา งเทา กับ t ดงั น้ัน พื้นทหี่ นา ตดั
ขางลางของสว นทถี่ กู ตดั ออกมาจะมีคา เทากับ t dx และกําหนดใหพ นื้ ท่หี นาตดั ทางดา นขางของสว นของคานดังกลาวมี
คาเทา กับ A′
เนอ่ื งจากผลตา งของโมเมนตลพั ธภายในทเี่ กิดขน้ึ บนแตละดานของสวนของคานมคี าเทา กับ dM ดังน้นั สว น
ของคานดงั กลา วจะตองมีหนวยแรงเฉอื นในแนวแกน (longitudinal shear stress) τ เกดิ ขนึ้ เพ่ือทําใหเกิดความสมดลุ
ของแรงในแนวนอน
ถา สมมุตใิ ห τ มคี า คงท่ีตลอดความกวา ง t จากสมการความสมดุลของแรงในแนวนอน ∑ Fx = 0 และสม
การ σ = (M / I ) y เราจะไดวา
∑+ Fx = 0 ; ∫σ ′ dA − ∫σ dA − τ (t dx) = 0
←
A′ A′
(M + dM )y dA My dA (t dx) 0
I I
∫ ∫A′ − −τ =
A′
Mechanics of Materials 7-4
∫dM y dA = τ (t dx) (7-1)
I A′
=∫τ1 ( dM )y dA
It dx
A′
รูปที่ 7-5
จากสมการท่ี 7-1 เทอม ∫ y dA คอื first moment ของพน้ื ทหี่ นาตดั A′ ซ่งึ จะเขียนใหอ ยอู ีกรปู หนึ่งไดโดยการ
A′
พิจารณาสมการของตาํ แหนง centroid ของพื้นท่ีหนา ตดั A′ ซ่งึ อยใู นรปู
∫ y dA
y′ = A′ A′
เมอ่ื ทําการจดั รูปสมการดงั กลา วใหมแลว เราจะเขยี นสมการของ first moment ของพื้นทห่ี นาตัด A′ ไดใ นรปู
Mechanics of Materials 7-5
Q = ∫ y dA = y′A′ (7-2)
A′
นอกจากนนั้ แลว จากความสมั พนั ธของแรงเฉอื นและโมเมนตด ัด V = dM / dx เราจะไดว า สมการของหนวย
แรงเฉือนในสวนของคานท่จี ดุ ท่มี รี ะยะ y′ จากแกนสะเทิน (neutral axis) จะเขียนไดใหมในรูป
τ = VQ (7-3)
It
เมอื่ V = แรงเฉือนภายในทเี่ กิดขึน้ บนหนา ตดั ของคาน
I = moment of inertia ของพื้นที่หนา ตัดของคานรอบแกน neutral axis
t = ความกวางของหนาตัดของคานทีเ่ ราตองการหาคา หนว ยแรงเฉอื น
สมการที่ 7-3 นมี้ กั จะถูกเรียกวา shear formula ซง่ึ จะใชไดใ นกรณที ่ีวสั ดุมพี ฤติกรรมแบบยดื หยนุ เชิงเสน (linear
elastic) และมคี า โมดูลัสยืดหยุน (modulus of elasticity) ที่คงทีเ่ ทานัน้
7.3 หนวยแรงเฉือนในคาน (Shear Stress in Beams
Rectangular Cross Section
พิจารณาคานทีม่ หี นา ตัดรปู ส่เี หลย่ี มผนื ผา มีความกวาง b และความลกึ d ดังท่เี สดงในรปู ท่ี 7-6a ซ่งึ ถกู กระทํา
โดยแรงเฉอื นภายใน V เราจะหาการกระจายของหนว ยแรงเฉอื นบนหนาตดั ของคานนไี้ ดจ ากการคาํ นวณหาคา หนว ยแรง
เฉอื นที่เกดิ ขึ้นทต่ี าํ แหนง y ใดๆ จากแกน neutral axis ของคาน ดังทีเ่ สดงในรปู ท่ี 7-6b แลว ทาํ การเขยี นสมการที่หามาได
เทียบกับความลกึ ของหนาตดั ของคานน้ัน
จากรูปท่ี 7-6b สมการของ first moment ของพ้ืนท่ีทีร่ ะบายสที ึบ A′ จะอยูในรปู
Q = y′A′
= y + 1 (h − y)( h − y)b
2 2 2
= 1 (h2 − y 2 )b
24
แทนคา ของ Q ลงใน shear formula เราจะไดว า
τ = VQ = 6V (h2 − y2) (7-4)
It bh 3 4
จากสมการท่ี 7-4 นี้ เราจะเห็นวา การกระจายของหนวยแรงเฉอื นบนหนาตดั ของคานรูปสเี่ หลีย่ มผืนผาจะมีรูป
รางพาราโบลา (parabola) ตามความลกึ ของคาน ดังที่แสดงในรูปท่ี 7-6c ซึ่งจาก Hooke’s law เราจะหาความเครยี ดเฉอื น
ท่เี กดิ ขนึ้ ไดจ าก γ = τ / G ซึ่งจะมคี า เปลี่ยนแปลงแบบพาราโบลาตามความลึกของคานดว ย และความเครียดเฉอื นน้จี ะ
ทาํ ใหห นาตดั ของคาน ซ่งึ เริ่มตนมีลักษณะเปน ระนาบเกดิ การบดิ เบยี้ ว (warping) ขนึ้ ดงั ทไี่ ดกลาวไปแลว ในตอนตน
คา สงู สุดของหนวยแรงเฉอื นหรือ τ max บนคานที่มีหนา ตัดรปู สเี่ หล่ียมผนื ผา จะเกดิ ขน้ึ บนแกน neutral axis หรอื
ทต่ี ําแหนง y = 0 ดงั น้นั
τ max = 3 V = 1.5 V
2 bh A
ซึง่ มีคา เปน 1.5 เทา ของคา เฉลี่ยของหนวยแรงเฉือน τ avg
เนื่องจากหนว ยแรงเฉือนในแนวขวางที่จุดใดๆ มีคา เทากับหนวยแรงเฉอื นในแนวแกน ดังนนั้ หนว ยแรงเฉอื นใน
แนวแกนจะมีคาสูงสุดทต่ี ําแหนง y = 0 ดวย หนวยแรงเฉอื นน้ีมักจะทาํ ใหเกิดการวบิ ตั ขิ องคานไมในลกั ษณะทแ่ี สดงใน
รูปที่ 7-7 เน่ืองจากไมมีกาํ ลงั รบั หนวยแรงเฉือนในแนวแกนนอยกวา หนวยแรงเฉือนในแนวขวาง
Mechanics of Materials 7-6
รูปที่ 7.6
รูปท่ี 7-7
Circular Cross Section
เมื่อคานมีหนา ตัดเปน ทรงกลมแลว หนว ยแรงเฉอื นที่เกิดขึ้นท่ีจดุ ตางๆ บนหนา ตดั ของคานจะไมมที ศิ ทางในแนว
ความลึกของหนาตดั ของคาน แตจะมีทิศทางสัมผสั (tangent) กบั เสนรอบนอกของหนา ตดั ของคาน ยกตัวอยา งเชน ทจ่ี ุด
m ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 7-8 เปน ตน อยา งไรกต็ าม จากการวิเคราะหโดยใช theory of elasticity เราสามารถทจ่ี ะสมมตุ ิให
หนว ยแรงเฉือนท่ีแกนสะเทิน (neutral axis) ของคานดังกลา ว มีทศิ ทางในแนวความลกึ ของหนาตัดของคานและมคี าคงที่
ได ซึง่ ในกรณนี ้ี เราจะสามารถใช shear formula ในการหาหนว ยแรงเฉือนที่เกิดขึ้นท่ีแกนสะเทนิ ของคานทม่ี ีหนา ตดั เปน
ทรงกลมได โดยท่ี
Mechanics of Materials 7-7
I = πr 4 Q = Ay = πr 2 4r = 2r 3 b = 2r
4 2 3π 3
ดังนั้น เราจะไดวา
V (2r 3 / 3) 4V 4 V
τ max = (πr 4 / 4)(2r) = 3πr 2 = 3 A
รปู ที่ 7-8
I -Beam
พิจารณาคานหนา ตดั รปู ตวั I ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี 7-9a ซง่ึ ถูกกระทําโดยแรงเฉอื นภายใน V
รูปท่ี 7-9
Mechanics of Materials 7-8
โดยใช shear formula เราจะไดการกระจายของหนว ยแรงเฉอื นบนหนาตดั ของคานมลี ักษณะเปน รูปพาราโบลา
ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี 7-9b และ 7-9c ซ่งึ มีการเพิม่ ข้นึ ของหนวยแรงเฉอื นทจ่ี ดุ ตอของปก (flange) และเอว (web) โดยท่กี าร
เพ่มิ ขึ้นของหนวยแรงเฉอื นนเ้ี กดิ ขน้ึ เน่อื งจากการลดลงของความกวา งของปก b เปน ความกวา งของเอว tw
ถาเรากาํ หนดใหคานหนา ตดั รูปตวั I มีลกั ษณะดังทแ่ี สดงในรปู ท่ี 7-10 เราจะหาสมการของหนว ยแรงเฉอื นสงู สุด
τ max และหนวยแรงเฉอื นตา่ํ สุด τ min ท่ีเกดิ ขึ้นบนเอว (web) ของหนาตัดของคานได โดยท่ี
รูปท่ี 7-10
τ min = V b h − h1 h1 + h / 2 − h1 / 2
It w 2 2 2 2
= Vb (h2 − h12 )
8It w
τ max = V b h − h1 h1 + h / 2 − h1 / 2 + t h1 h1 / 2
It w 2 2 2 2 2 2
w
= V (bh 2 − bh12 + twh12 )
8It w
และเราจะหาสมการของแรงเฉือนภายในที่เกิดข้นึ ทเี่ อวของคานไดใ นรปู
Vweb = h1τ min + 2 h1 (τ max − τ min ) t
3
= th1 (2τ max + τ min )
3
โดยทว่ั ไปแลว Vweb จะมีคา ประมาณ 90% ถงึ 98% ของแรงเฉอื นทง้ั หมดท่เี กดิ ขึ้นทหี่ นาตัดของคาน ดังน้ัน เรา
จะประมาณคา หนว ยแรงเฉอื นสูงสุด τ max ท่เี กิดข้ึนบนหนา ตดั ของคานหนาตัดรปู ตัว I ไดจากสมการ
V
τ avg = th1
ซ่งึ จะมีคา ตา งจากคา τ max ทเ่ี กดิ ขนึ้ จริงประมาณ ± 10%
Limitations on the Use of the Shear Formula
สมการ shear formula จะใหคาํ ตอบท่ีไมถ กู ตองเม่ือ
Mechanics of Materials 7-9
1. หนา ตัดของคานมอี ตั ราสวนของความกวางตอความสูงมากกวาหรือเทากับ 0.5 หรอื b / h ≥ 0.5 นัน่ คือ
หนาตดั ของคานมลี กั ษณะทเี่ หมือนแผนกระดาน ซ่ึงจะทําใหส มมุติฐานท่วี า หนว ยแรงเฉอื นมคี า คงทต่ี ลอด
ความกวา งของคานไมเปนจริง เชน เม่อื b / h = 0.5 แลว τ max จะมคี า ประมาณ 1.03τ avg ดงั ท่แี สดงใน
รูปท่ี 7-8a แตเ ม่ือ b / h = 2 แลว τ max จะมีคาประมาณ 1.40τ avg ดังท่แี สดงในรปู ท่ี 7-8b
รปู ท่ี 7-11
2. จดุ ทหี่ นา ตดั ของคานมีการเปลยี่ นแปลงแบบทันทที นั ใด เชน ที่จดุ ตอของปก (flange) และเอว (web) ของ
คานหนา ตดั รปู ตัว I เปนตน เนอื่ งจากจดุ นี้จะมี stress concentration เกิดขึน้
3. จุดบนหนาตดั ของคานที่มีเสน สมั ผัสทาํ มมุ กบั ขอบของคานไมเ ทา กบั 90o ดังที่แสดงในรูปที่ 7-12
รูปท่ี 7-12
Mechanics of Materials 7-10
จากรูปการกระจายของหนวยแรงเฉือนท่ีหาไดโดยใช shear formula บนเสน ตรง AB จะมีลกั ษณะดงั
ท่ีแสดงในรปู ที่ 7-12b แตเ น่ืองจากเสนสัมผสั ทจี่ ดุ A และจดุ B บนหนา ตดั ของคานตัดกบั ขอบของคาน
เปน มุมไมเ ทากับ 90o ดงั นนั้ หนว ยแรงเฉือนจะมกี ารกระจายในลักษณะดงั กลา วไมไ ด ท้งั นเี้ นอื่ งจากวา
การกระจายของหนว ยแรงเฉือนดังกลาวจะกอ ใหเ กดิ องคป ระกอบของหนว ยแรงเฉือน τ ′ ขนึ้ ซ่ึงจะกอให
เกดิ ความไมส มดลุ บน differential element ทจ่ี ดุ A และจดุ B ดงั ที่แสดงในรูปท่ี 7-12c ดงั นน้ั การกระ
กระจายของหนวยแรงเฉอื นท่ีจุด A และจดุ B จาํ เปนทจี่ ะตอ งมลี ักษณะดังท่ีแสดงในรูปที่ 7-12d อยา งไร
ก็ตาม ขอใหสังเกตดวยวา เราจะหาหนวยแรงเฉือนท่ีเกิดข้ึนบนเสนตรงที่อยูท่ีตําแหนงอื่นๆ ของคานใน
ลักษณะทแี่ สดงในรูปท่ี 7-12e ไดโ ดยใชส มการ shear formula
Mechanics of Materials 7-11
ตวั อยางที่ 7-1
กาํ หนดใหหนาตดั ของคานเหล็ก A36 รูปตวั I มีลักษณะดังทแี่ สดงในรปู ที่ EX 7-1a ซงึ่ ถกู กระทําโดยแรงเฉอื น
100 kN จงเขยี นแผนภาพแสดงการกระจายของหนวยแรงเฉอื นทีเ่ กิดข้นึ บนหนา ตดั ของคานและจงหาคา ของแรงเฉือนท่ี
ถูกตานทานโดยเอว (web) ของหนาตดั
รปู ที่ EX 7-1
การกระจายของหนวยแรงเฉือนทเ่ี กดิ ขึน้ บนหนาตัดของคาน
เราทราบมาแลว วา หนวยแรงเฉือนจะมีการกระจายในรปู ของ parabolic บนหนาตัดของคาน ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี
EX 7-1b เน่อื งจากคานมีหนาตัดที่สมมาตร ดังน้ัน เราจะหาเฉพาะคา ของหนว ยแรงเฉือนทเี่ กดิ ข้ึนทจ่ี ุด B′ จดุ B และจุด
C
จากสมการ shear formula
τ = VQ
It
moment of inertia ของหนา ตัดของคานรอบแกน neutral axis
I = 1 (0.015)0.2 3 + 2112 (0.2)0.023 + 0.2(0.02)0.110 2
12
= 107.07(10-6 ) m4
ท่ีจุด B′
tB′ = 0.20 m
พิจารณาพน้ื ท่ี A′ ระบายสีทึบ คาน ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี EX 7-1b
QB′ = y′A′ = 0.110[(0.20)0.02] = 0.440(10−3 ) m3
τ B′ = 100(103 )0.440(10−3 ) = 2.06 MPa
107.07(10−6 )(0.20)
Mechanics of Materials 7-12
ทจ่ี ุด B
tB = 0.015 m
QB = QB′ = 0.440(10−3 ) m3
τB = 100(103 )0.440(10−3 ) = 27.40 MPa
107.07(10−6 )(0.015)
ทีจ่ ดุ C
tC = 0.015 m
พจิ ารณาพื้นที่ A′ ระบายสที ึบ คาน ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่ EX 7-1c
QC = 0.110[(0.20)0.02]+ 0.05[(0.015)]0.10
= 0.515(10−3 ) m3
τC = τ max = 100(103 )0.515(10−3 ) = 32.07 MPa
107.07(10−6 )(0.015)
จากคา ของหนว ยแรงเฉือนท่ีจุดตางๆ ที่คํานวณได เราจะเขยี นแผนภาพของการกระจายของหนว ยแรงเฉอื นได ดัง
ท่ีแสดงในรปู ที่ Ex 7-1b Ans.
คา ของแรงเฉอื นทถี่ กู ตา นทานโดยเอว (web) ของหนา ตดั
คาของแรงเฉอื นทถี่ กู ตานทานโดยเอว (web) ของหนา ตัดจะเทากับคา ของแรงเฉือนที่กระทาํ ตอหนา ตดั ลบดว ยคา
ของแรงเฉือนทถ่ี ูกตา นทานโดยปก (flange) ของหนา ตัด
พจิ ารณาหนา ตัดของคาน ดงั ทีแ่ สดงในรปู ที่ Ex 7-1d เราจะหา first moment ของพ้ืนที่ A′ ทร่ี ะยะ y จากแกน
สะเทนิ ของหนาตัดไดจากสมการ
Q = y′A′ = y + 1 (0.12 − y)[0.20(0.120 − y)]
2
[ ]= 0.10 0.122 − y 2 m3
ดังนั้น หนวยแรงเฉอื นท่รี ะยะ y จากแกนสะเทินของหนา ตัดจะอยใู นรูป
τ = VQ = 100(103 )0.10(0.122 − y 2 )
It 107.07(10−6 )(0.20)
= 467(0.122 − y 2 ) MPa
หนวยแรงเฉอื นนก้ี ระทําอยบู นพ้ืนที่ dA = 0.20dy ดังท่ีแสดงในรปู ที่ Ex 7-1d ดงั น้ัน แรงเฉอื นทีถ่ ูกตา นทาน
โดยปกบนของหนา ตัดจะมคี า เทากบั
∫V flange = τdA
Af
0.12
∫= 467(106 )(0.122 − y 2 )0.20dy = 4.234 kN
0.10
ดังน้ัน
Vweb = V − 2V flange = 100 − 2(4.234) = 95.77 kN
ซึง่ เราจะเห็นไดวา ในกรณีน้ี แรงเฉือนทีถ่ ูกตานทานโดยเอว (web) ของหนา ตดั จะมีคา ถึง 95% ของแรงเฉือนที่กระทําตอ
หนา ตัด Ans.
Mechanics of Materials 7-13
ตัวอยา งท่ี 7-2
กาํ หนดใหหนา ตดั ของคานรูปตัว T มลี กั ษณะดังทแี่ สดงในรปู ท่ี Ex 7-2a ถูกกระทําโดยแรงเฉอื นในแนวด่งิ ลง
ขนาด 40 kN จงหาหนวยแรงเฉือน τ 1 ทเ่ี กิดข้ึนบนแนว n − n และหนว ยแรงเฉือนสูงสุด τ max
รปู ที่ Ex 7-2
ตาํ แหนงของแกนสะเทิน (neutral axis) ของหนา ตัดของคานจากแนว a − a
h + h1 b(h − h1 ) + h1 th1
2 2
∑∑c2 = yi Ai =
Ai b(h − h1 ) + th1
= 8.516(10-4 ) = 0.124 m
6.875(10−3 )
c1 = h − c2 = 0.20 − 0.124 = 0.076 m
moment of inertia ของหนาตัดของคานรอบแกนสะเทิน (neutral axis)
∑( )I = Ii + Ai d 2 = 27.0(10−6 ) m 4
i
หนวยแรงเฉอื น τ 1 ท่เี กดิ ขนึ้ บนแนว n − n
tn−n = 0.025 m
โดยใชพ้นื ท่หี นาตัดของคานเหนอื แนว n − n คา first moment ของพืน้ ทข่ี องปก (flange) ของหนาตัดคานรอบ
แกน neutral axis จะมีคา เทากบั
Qn−n = b(h − h1 ) c1 − h − h1
2
= 0.10(0.025) 0.076 − 0.025 = 159(10 −6 ) m3
2
นอกจากนั้นแลว เราอาจจะหา Qn−n ไดโ ดยใชพ ื้นท่ีหนา ตดั ของคานใตแนว n − n โดยท่ี
Qn−n = th1 c2 − h1 = 159(10−6 ) m3
2
Mechanics of Materials 7-14
จากสมการ shear formula
τ1 = VQn−n = 40(103 )159(10−6 ) = 9.42 MPa Ans.
It n − n 27.0(10−6 )0.025
หนว ยแรงเฉอื นสูงสุด τ max
หนวยแรงเฉือนสงู สุด τ max จะเกดิ ข้นึ ทแ่ี กนสะเทนิ ของหนา ตดั ของคาน ดงั นัน้
Qmax = tc 2 c2 = 0.025(0.124) 0.124 = 192(10−6 ) m3
2 2
τ max = VQmax = 40(103 )192(10−6 ) = 11.28 MPa Ans.
It 27.0(10−6 )0.025
ดงั น้ัน เราจะเขยี นการกระจายของหนว ยแรงเฉือนที่เกิดขน้ึ บน web ของหนา ตดั ของคานได ดงั ที่แสดงในรูปท่ี Ex 7-2b
Mechanics of Materials 7-15
7.4 Shear flowในองคอ าคารประกอบ (Shear Flow in Built-Up Member)
Built-up member เปน ชิ้นสวนของโครงสรา งหรอื เครอ่ื งจักรกลทไี่ ดจากการนาํ ชิ้นสวนประกอบตา งๆ มาประกอบ
เขาดวยกันโดยใชส ลกั เกลยี ว (bolting) การเชื่อม (welding) และตะปู (nailing) เพื่อใหไดมาซ่งึ ช้ินสวนของโครงสรางหรือ
เครือ่ งจกั รกลท่มี ีกาํ ลังสูงสุดในการตานทานตอแรงกระทํา ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี 7-13
รูปท่ี 7-13
ถา แรงกระทําภายนอกทําให built-up member เกิดการดัดขนึ้ แลว ตวั ยึด (fasteners) จะตอ งปอ งกันไมใหช้นิ
สวนประกอบของ built-up member เกิดการเลอ่ื นสัมพัทธข ึ้น ดังนัน้ ในการออกแบบ built-up member เราจะตอ งทราบ
คาของแรงเฉือนทีเ่ กดิ ขน้ึ บนตวั ยดึ กอน โดยท่แี รงเฉือนน้จี ะมหี นวยเปนแรงตอความยาวของ built-up member ซง่ึ มักจะถกู
เรียกวา shear flow หรอื q
รูปท่ี 7-14
รปู ท่ี 7-14a แสดงสวนของ built-up member ทมี่ คี วามยาว dx ซงึ่ ถูกกระทําโดยโมเมนตด ัด M พิจารณาแผน
ภาพ free-body diagram ของจดุ ทช่ี ้นิ สว นประกอบเชอื่ มตอ ตดิ กนั ท่ปี ก (flange) ของ built-up member ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี
7-14b จากรูป แรง F และแรง F + dF เปนแรงทเี่ กิดข้ึนจากหนว ยแรงต้งั ฉากท่เี กิดขึน้ จากโมเมนตด ัด M และ
M + dM ตามลําดับ เพ่ือท่จี ะทาํ ใหเกิดสมดลุ ของแรงในแนวแกนของ built-up member ดงั นนั้ จากสมการความสมดุล
ของแรงในแนวนอน ∑ Fx = 0 และสมการ σ = (M / I ) y เชนเดยี วกบั ในการหาสมการ shear formula (สมการที่ 7-
1) เราจะไดว า
Mechanics of Materials 7-16
∫dF = dM y dA
I
A′
ในกรณนี ี้ Q = ∫ y dA จะเปน first moment ของพ้ืนท่ี A′ รอบแกนสะเทนิ (neutral axis) ของหนา ตัดของ
A′
built-up member
จากนยิ ามของ shear flow หรือ q เราจะไดว า
=∫qdF = 1 ( dM ) y dA
dx I dx
A′
เนอื่ งจาก V = dM / dx ดงั นนั้
q = VQ (7-6)
I
การที่จะใชสมการท่ี 7-6 หาคา shear flow ไดอยา งถูกตองน้นั เราจะตองหาจดุ ที่จะใชใ นการหาคา Q ใหถ กู ตอ ง
กอน พิจารณาหนาตดั ของคานทไ่ี ดจ ากการนาํ แผน ไมม ายดึ ติดกันเปนคานประกอบ ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 7-15 สมมตุ ิใหแผน
ไมท ท่ี าสที บึ ถูกยดึ ติดกบั แผนไมอ น่ื ๆ โดยใชต ะปอู ยา งแนนหนา จากรูปเราจะไดวา ตะปใู นรูปท่ี 7-15a และ 7-15b จะรับ
shear flow เทากบั q ตะปใู นรปู ท่ี 7-15c จะรับ shear flow เทากบั q / 2 และตะปูในรูปท่ี 7-15d จะรับ shear flow
เทากับ q / 3
รูปท่ี 7-15