Mechanics of Materials 7-17
ตัวอยา งท่ี 7-3
กาํ หนดใหคานไมป ระกอบขนึ้ จากแผน ไม 3 แผน โดยถกู ยดึ ตดิ โดยตะปู มีลกั ษณะดังท่ีแสดงในรปู ที่ Ex 7-3 ซงึ่ มี
L = 3 m , a = 1 m , และ b = 2 m , คานนี้มีขนาดของหนาตัดคือ btop = 0.25 m , bbottom = 0.15 m ,
ttop = 0.0375 m , tbottom = 0.0375 m , tweb = 0.025 m , d = 0.30 m , I = 467.36(10-6 ) m4 นอกจาก
นนั้ allowable shear stress ของไม τ allow = 0.5 MPa , allowable flexural stress ของไม σ allow = 2.0 MPa , และ
ตะปแู ตละตัวรบั แรงเฉอื นได = 1.8 kN จงหา
a.) คาสงู สุดของแรง P ที่ไมท าํ ใหค านวบิ ตั ิโดยแรงเฉอื น
b.) คาโมเมนตด ดั สูงสุดเนอ่ื งจากแรง Pmax
c.) ระยะระหวา งตะปทู ี่แผนไมด า นบนและดานลางของคาน
รูปที่ Ex 7-3
โดยใชห ลกั การเขยี นแผนภาพ free-body diagram และสมการความสมดลุ เราจะไดว า
แรงเฉอื นสูงสุดจะเกิดขนึ้ ในชวง AC ของคานและจะหาไดจากสมการ
Vmax = 2P
3
โมเมนตดดั สูงสุดจะเกิดขนึ้ ทจี่ ุด C ของคานและจะหาไดจากสมการ
M max = 2P
3
คา สูงสดุ ของแรง P ทไ่ี มทําใหค านวบิ ัติโดยแรงเฉอื น
ระยะของแกนสะเทนิ (neutral axis) จากผวิ ดานบนของหนา ตดั ของคาน
∑∑y = yi Ai = 0.25( 0.0375 )2 / 2 + 0.30( 0.025 )0.1875 + 0.15( 0.0375 )0.35625
Ai 0.25( 0.0375 ) + 0.30( 0.025 ) + 0.15( 0.0375 )
= 0.1594 m
Mechanics of Materials 7-18
หนว ยแรงเฉอื นสงู สุด τ max จะเกิดขนึ้ ท่แี กนสะเทนิ ของหนาตัดของคาน ดงั น้นั
Qmax = 0.025(0.0375)(0.14065) + 0.025(0.1219)2 / 2
= 1.504(10−3 ) m3
เนือ่ งจากหนวยแรงเฉือนสูงสุดท่เี กดิ ขน้ึ จะมคี า ไดไมเกิน allowable shear stress ของไม จากสมการ shear
formula
τ allow = Vmax Qmax
It
Pmax = 3 τ allow It = 3 0.5(106 )467.36(10−6 )0.025 = 5.826 kN
2 Qmax 2 1.504(10−3 )
ดงั น้นั แรง P ทกี่ ระทาํ ตอคานจะตอ งมคี าไดไ มเ กิน 5.826 kN Ans.
คาโมเมนตดัดสูงสุดเน่อื งจากแรง Pmax
โมเมนตด ัดสูงสดุ จะมคี าเทากับ
M max = 2(5.826) = 3.884 kN - m
3
จาก flexural formula
σ max = M max ymax = 3.884(103 )(0.375 − 0.1594) = 1.792 MPa < σ allow
I 467.36(10−6 )
เนอ่ื งจาก M max = 3884 kN - m ทําใหเ กิด σ max < σ allow ดงั นน้ั M max ทีไ่ ดจ งึ ถกู ตอง Ans.
ระยะหา งระหวางตะปูทแ่ี ผน ไมด า นบนและดา นลางของคาน
แรงเฉอื นสูงสุดเนอื่ งจากแรง Pmax มคี าเทากับ
Vmax = 2(5.826) = 3.884 kN
3
เนอ่ื งจากปก (flange) ดา นบนและดา นลางของคานมีความกวางไมเ ทา กัน ดงั นน้ั ระยะหางระหวา งตะปูของแผน
ไมดานบนและดานลา งของคานจะมคี าไมเทา กนั
จากสมการของ shear flow คา shear flow ทเ่ี กดิ ขึ้นทีจ่ ดุ ตอระหวา งปก ดานบนและเอว (web) จะมีคาเทากับ
qtop = VQtop = 3884[(0.25)0.0375(0.14065)] = 10.96 kN/m
I
487.36(10−6 )
ดงั นน้ั ระยะหา งระหวา งตะปทู แี่ ผนไมด า นบนจะมคี า เทา กบั
stop = Vallow = 1.8 (1000) = 164.3 mm Ans.
qtop 10.96
คา shear flow ท่ีเกิดขน้ึ ทจ่ี ดุ ตอระหวา งปกดา นลา งและเอว (web) จะมคี า เทากับ
qbottom = VQbottom = 3884[(0.15)0.0375(0.19685)] = 9.20 kN/m
I
467.36(10−6 )
ดังนัน้ ระยะหา งระหวา งตะปูทีแ่ ผนไมดา นบนจะมคี าเทา กบั
sbottom = Vallow = 1.8 (1000) = 195.7 mm Ans.
qbottom 9.20
Mechanics of Materials 7-19
ตัวอยางที่ 7-4
คานไม ดังท่แี สดงในรปู ท่ี Ex 7-4a มหี นา ตัดทีไ่ ดจ ากการนาํ แผนไมขนาดหนาตดั a × a / 2 จาํ นวน 5 แผนมา
ยึดติดกันโดยใชสลักเกลียว ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 7-4b กําหนดให P = 20 kN หนวยแรงดัดที่ยอมใหข องไม =
15 MPa หนว ยแรงเฉือนที่ยอมใหของไม = 2.0 MPa และสลกั เกลยี วมีกาํ ลังรับแรงเฉอื นท่ยี อมให = 10 kN จงหา
a.) ความกวาง a ของแผน ไม
b.) ระยะหางของสลกั เกลยี ว s ทีส่ น้ั ทสี่ ดุ ที่จะตอ งใช
รูปที่ Ex 7-4
หาความกวาง a ของแผนไม
ความกวา ง a ของแผนไมจ ะตองมีคา พอเพยี งที่จะตานทานตอโมเมนตด ัดสูงสดุ และแรงเฉอื นสูงสุดทเี่ กดิ ขนึ้ ใน
คาน จากการเขยี นแผนภาพ shear diagram และ bending moment diagram เราจะไดว า
แรงเฉือนสูงสดุ จะเกิดข้นึ ทีจ่ ดุ รองรับ A ของคานและมีคาเทา กบั 15 kN
โมเมนตด ัดสงู สุดจะเกดิ ขน้ึ ที่จุด C ของคานและมีคาเทา กบั 15 kN - m
moment of inertia ของพน้ื ทหี่ นาตัดของคานประกอบ
I = a(2.5a)3 = 1.3021a 4
12
จากสมการ flexural formula σ = Mc / I และหนวยแรงดดั สงู สุดจะเกิดท่ผี ิวดานบนและผิวดา นลางของหนา
ตัดคาน ซึง่ จะมคี าไดไ มเกนิ คา หนวยแรงดัดท่ยี อมใหของไม ดงั น้ัน
15(106 ) = 15000(2.5a / 2)
1.3021a 4
a = 0.099 m Ans.
ดังนนั้ เราควรใชค วามกวางของหนาตดั ของคาน a = 0.10 m
หนวยแรงเฉือนสูงสุดจะเกิดท่ีกึ่งกลางความลึกของหนาตัดของคาน ซ่ึงจะมคี า ไดไ มเ กนิ คา หนว ยแรงเฉือนทย่ี อม
ใหของไม และเนอ่ื งจากคานมีหนาตดั รปู ส่เี หลย่ี มผืนผา จากสมการ shear formula τ = 1.5V / A ดังนัน้
τ max = 1.5 15000 = 0.90 MPa < τ allow = 2 MPa O.K.
0.10(2.5)(0.10)
หาระยะหา งของสลักเกลยี ว s ที่สนั้ ท่สี ดุ
ระยะหางของสลกั เกลียว s ที่สนั้ ทส่ี ดุ ในคานประกอบจะตอ งคํานวณจากคา แรงเฉือนสูงสุดที่เกิดข้นึ ในคานและ
ท่ตี ําแหนง ของรอยเชื่อมตอ ระหวางแผน ไมท่ี 2 และแผนไมท ี่ 3 ท่นี บั จากผวิ ดา นบนหรือผิวดานลา งของหนาตัดของคาน
Mechanics of Materials 7-20
จากสมการของ shear flow Ans.
q = VQ
I
โดยท่ี
Q = A′y′
= [a(a / 2 + a / 2)][(a / 2 + a / 4)]
= [0.10(0.10)][0.050 + 0.025)] = 750(10−6 ) m4
I = 0.10[2.5(0.10)]3 = 130.21(10−6 ) m4
12
ดงั นัน้
q 15000(750)10 −6 = 86.4 kN/m
= 130.21(10−6 )
ระยะหางของสลักเกลยี วทีส่ ัน้ ทสี่ ุดในคานประกอบจะมีคาเทา กับ
smin = 10 = 0.116 m
86.4
ดงั นัน้ ระยะหางของสลกั เกลียวควรมคี านอ ยกวา หรอื เทา กบั 0.116 m
Mechanics of Materials 7-21
แบบฝกหัดทายบทท่ี 7
7-1 จงหาเขียนแผนภาพการกระจายของ transverse shear ทเ่ี กิดข้ึนบนหนา ตดั ทถ่ี ูกกระทาํ โดยแรงเฉอื นสงู สุดของคานใน
Prob. 6-7
7-2 จงหาเขียนแผนภาพการกระจายของ transverse shear ทเ่ี กิดขึน้ บนหนา ตดั ที่ถูกกระทําโดยแรงเฉือนสูงสุดของคานใน
Prob. 6-8 จากน้นั จงหาแรงเฉอื นท่ีถกู ตา นทานเอวของคาน
7-3 กาํ หนดใหค านไมถ กู บากทีป่ ลายคานและถกู กระทาํ โดยแรงตางๆ ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี Prob. 7-3 จงหาคาความลึก d ที่
นอ ยที่สดุ ท่ียอมให เมอ่ื หนว ยแรงเฉือนท่ียอมให (allowable shear stress) ของไม τ allow = 0.310 MPa และคานมี
ความกวา ง 200 mm
รูปท่ี Prob. 7-3
7-4 กําหนดใหคานไม ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี Prob. 7-4 ถกู ประกอบข้ึนโดยนาํ แผนไม 3 แผน มาตดิ กาวเขา ดว ยกันทจี่ ุด A และ
จุด B จงหาคาของหนวยแรงเฉอื นสูงสุดทเี่ กดิ ข้นึ ในกาว
รูปที่ Prob. 7-4
7-5 กาํ หนดใหห นา ตดั ของคานทไ่ี ดจากการนาํ แผนเหล็ก 3 แผนมาเชือ่ มเขาดว ยกนั มีลักษณะดังที่แสดงในรูปที่ Prob. 7-5
ถา รอยเชอ่ื มมี τ allow = 90 MPa จงหาคา แรงเฉอื น V สูงสุดทยี่ อมใหก ระทําตอหนาตดั คาน
รูปที่ Prob. 7-5
7-6 กาํ หนดใหค านมีหนาตัดท่ีไดจ ากการนําไม 3 แผน มายึดกันโดยใชตะปู ถกู กระทาํ โดยแรง P = 20 kN ดังท่ีแสดงใน
รูปที่ Prob. 7-6 จงหาระยะหา งระหวา งตะปู s ในชวง AC และ CD ของคาน เมอ่ื ตะปูแตล ะตวั สามารถรองรับแรง
เฉือนได 2 kN
Mechanics of Materials 7-22
รปู ท่ี Prob. 7-6
7-7 จงหาคา แรง P สงู สดุ ทคี่ าน ดังที่แสดงในรปู ที่ Prob. 7-6 สามารถรองรับได เมอื่ หนวยแรงเฉือนท่ียอมให (allowable
shear stress) ของไม τ allow = 2.75 MPa และจงหาระยะหางระหวางตะปู s ทีต่ องใชในการยดึ ปก (flange) บนและ
ปก ลางของคาน เมอ่ื ตะปูแตละตัวสามารถรองรับแรงเฉอื นได 2 kN
Mechanics of Materials 8-1
บทท่ี 8
นาํ้ หนักบรรทุกกระทาํ รวม (Combined Loadings)
เรียบเรียงโดย ดร. สิทธิชยั แสงอาทติ ย
8.1 ทอรับความดนั ผวิ บาง Thin-Walled Pressure Vessels
Pressure vessel เปนโครงสรางทใ่ี ชในการบรรจุของเหลว (fluid) หรือของไหล (gas) ภายใตค วามดัน เชน ถังใส
กา ซธรรมชาติและทอสง นํา้ เปน ตน โดยทว่ั ไปแลว ความดนั ภายใน pressure vessel p จะมคี า มากกวา แรงดนั ของ
บรรยากาศภายนอกมาก
ภายใตค วามดันดังกลาว วสั ดุท่ใี ชท ํา pressure vessel จะถูกกระทําโดยแรงจากทุกทศิ ทาง ถา pressure vessel
มีผนงั ที่บางหรอื เม่ืออตั ราสวนของรศั มขี องผนงั ตอ ความหนาของผนงั มีคามากกวา 10 ( r / t ≥ 10 ) แลว การกระจายของ
หนวยแรงตามความหนาของผนงั จะมคี า ทเ่ี ปล่ยี นแปลงนอยมาก ดังน้ัน เราจะสมมุติใหห นวยแรงดังกลาวมคี า คงทตี่ ลอด
ความหนาของผนงั
Cylindrical Vessels
พิจารณา pressure vessel รูปทรงกระบอก ท่ีมีผนงั หนา t และมีรศั มภี ายใน r ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 8-1a
Pressure vessel นี้ถกู กระทําโดยความดนั ภายใน p จากของเหลวหรอื ของไหลทสี่ มมุติใหมนี า้ํ หนักทีน่ อ ยมากเม่อื เทียบ
กับขนาดของแรงดนั ทีเ่ กิดจากความดนั ภายใน
รปู ท่ี 8-1
เน่อื งจากจากความดนั มีการกระจายท่สี มํา่ เสมอ ดังน้ัน การกระจายของหนวยแรงบน differential element ทอ่ี ยู
หางจากปลายของ pressure vessel รปู ทรงกระบอกเปน ระยะทางพอสมควรจะมีลักษณะดงั ทแี่ สดงในรูปท่ี 8-1a โดยท่ีคา
Mechanics of Materials 8-2
ของหนวยแรงต้งั ฉาก σ1 จะมีทิศทางสัมผัส (tangent) กับเสนรอบวงของ pressure vessel ซ่งึ จะถกู เรยี กวา หนว ยแรงใน
แนวเสนวงรอบ (circumferential stress หรือ hoop stress) และหนว ยแรงตั้งฉาก σ 2 ในแนวแกนของ pressure vessel
จะถกู เรยี กวา หนวยแรงในแนวแกน (longitudinal stress) เราควรทีจ่ ะทราบดวยวา ภายใตแรงดันภายใน หนวยแรงตัง้ ฉาก
ท้ังสองน้ีจะเปน หนวยแรงดึงเสมอ
Hoop stress
พจิ ารณา pressure vessel ท่ถี กู ตัดโดยระนาบ a , b , และ c ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่ 8-1b เราจะเขยี นแผนภาพ
free-body diagram ของช้นิ สว นของ pressure vessel ได ดังทแ่ี สดงในรูปท่ี 8-1c จากรูป เราแสดงเพยี งแคแรงทีอ่ ยูใน
แนวแกน x เทา นัน้ โดยท่ี σ1 เปน hoop stress ท่กี ระทําอยบู นผนังของ pressure vessel และมีคาคงท่ตี ลอดความหนา
ของผนัง และ p เปน ความดนั ภายในท่กี ระทาํ อยูบนของเหลวหรอื ของไหลทอ่ี ยใู น pressure vessel
จากสมการความสมดลุ ของแรงในแนวแกน x เราจะไดวา
2 [σ1 (t dy)] − p (2 r dy) = 0 (8-1)
pr
σ1 = t
Longitudinal stress
พจิ ารณาแผนภาพ free-body diagram ของชน้ิ สว นของ pressure vessel ซง่ึ ไดม าจากการตดั ของระนาบ b
บน cylindrical pressure vessel ดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 8-1d จากรูป เราแสดงเพียงแคแ รงทอ่ี ยใู นแนวแกน y เทานนั้ โดยที่
σ 2 เปน longitudinal stress ท่ีกระทาํ อยบู นผนงั ของ pressure vessel และมีคาคงทต่ี ลอดความหนาของผนัง และ p
เปน ความดนั ภายในทีก่ ระทําอยบู นของเหลวหรอื ของไหลท่ีอยูใน pressure vessel
จากสมการความสมดลุ ของแรงในแนวแกน y เราจะไดวา
σ 2 (2 π r t) − p (π r 2 ) = 0 (8-2)
pr
σ 2 = 2t
Spherical Vessels
พิจารณา pressure vessel รูปทรงกลม ซง่ึ บรรจขุ องเหลวหรอื ของไหลภายใตค วามดนั ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี 8-2a
ในลกั ษณะทีค่ ลา ยกบั ในกรณขี อง pressure vessel รปู ทรงกระบอก เราจะตัด spherical pressure vessel น้ีโดยใช
ระนาบ a ซงึ่ จะแบง pressure vessel ดงั กลา วออกเปนสองสวนท่ีเทากัน และเราจะเขยี นแผนภาพ free-body diagram
ของชนิ้ สว นของ pressure vessel ได ดงั ท่แี สดงในรูปท่ี 8-2b โดยที่ σ 2 เปน หนว ยแรงที่กระทําอยูบนผนังของ pressure
vessel และมีคา คงทีต่ ลอดความหนาของผนงั และ p เปนความดันภายในท่กี ระทาํ อยบู นของเหลวหรอื ของไหลทีอ่ ยใู น
pressure vessel
จากสมการความสมดุลของแรงในแนวแกน y เราจะไดวา
σ 2 (2 π r t) − p (π r 2 ) = 0
pr (8-3)
σ 2 = 2t
โดยการตดั pressure vessel ในทิศทางอืน่ ๆ ในลักษณะเชน เดียวกบั ท่กี ลาวมาแลว เราจะไดวา หนวยแรง σ 2
นีจ้ ะมคี าเทากันในทุกทศิ ทางของการตัด ดงั นน้ั element เล็กๆ ท่ีอยบู น pressure vessel รปู ทรงกลมจะถกู กระทําโดย
สภาวะของหนว ยแรง ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ 8-2a
Mechanics of Materials 8-3
รปู ท่ี 8-2
จากการวเิ คราะหท่ีกลาวมาแลว เราควรที่จะทราบดวยวา
1. สภาวะของหนวยแรงใน pressure vessel ทรงกระบอกและทรงกลมจะอยูในรปู ของ biaxial stress ซึง่ มี
หนว ยแรงตงั้ ฉากกระทาํ อยูในสองทิศทางทตี่ ้งั ฉากกันบน differentail element ของ pressure vessel แตใ น
ความเปน จริงแลว วัสดุทใ่ี ชทาํ pressure vessel จะถกู กระทําโดยหนว ยแรงในแนวรัศมี (radial stress) σ 3
ดวย ซง่ึ หนวยแรงนีจ้ ะมคี าเทากบั ความดนั ภายใน p ที่กระทาํ อยทู ผี่ นงั ดา นในของ pressure vessel และ
จะมคี า เทา กบั ศูนยท ่ผี วิ ของผนงั ดานนอก แตเ น่ืองจากวา pressure vessel ที่เราพิจารณาอยมู ผี นงั ทบี่ าง
เราจะไมจําเปน ที่จะตอ งพิจารณา σ 3 เชน เมอ่ื r / t = 10 แลว σ 3 จะมีคานอ ยกวา σ 2 ถงึ 5 เทาและ
จะมีคานอ ยกวา σ1 ถงึ 10 เทา (จากสมการที่ 8-1 และ 8-2)
2. สมการตางๆ ที่หามาไดจะใชไดก ับ pressure vessel ทีม่ อี ัตราสว นของรศั มขี องผนงั ตอ ความหนาของผนัง มี
คา มากกวา หรือเทา กับ 10 ( r / t ≥ 10 )
3. สมการตางๆ ที่ไดมานีจ้ ะไมส ามารถนาํ ไปใชไ ดก บั pressure vessel ท่ีถูกกระทําโดยความดนั ภายนอก
เพราะในกรณนี ี้ ความดนั จะทําใหผ นังของ pressure vessel ขาดเสถียรภาพได
4. สมการตางๆ ทหี่ ามาไดจ ะไมส ามารถใชไ ดใ นบรเิ วณทมี่ ี stress concentration เกิดขน้ึ เชน ทจี่ ุดรองรบั และ
ทช่ี องเปด ตางๆ ของ pressure vessel รูปทรงกระบอก ดงั ที่แสดงในรปู ที่ 8-3 เปน ตน
รปู ที่ 8-3
Mechanics of Materials 8-4
8.2 สภาวะหนว ยแรงทีเ่ กดิ จากนํ้าหนกั บรรทกุ กระทํารวม (State of Stress Caused by Combined Loadings)
โดยท่วั ไปแลว เมอื่ โครงสรางหรอื ชิ้นสว นของโครงสรางถกู กระทําโดยแรงกระทําภายนอกแลว โครงสรา งหรอื ชิ้น
สว นของโครงสรา งดังกลาวจะมแี รงภายใน เชน แรงในแนวแกน (axial force) แรงเฉือน (shear force) โมเมนตดัด
(bending moment) และแรงบิด (torque) เปน ตน เกิดข้ึนเพือ่ ตา นทานตอ แรงกระทําภายนอก ยกตวั อยา งเชน เม่ือคาน ดัง
ท่ีแสดงในรปู ท่ี 8-4a ถูกรองรับโดยหมุดและเคเบิล (cable) และถูกกระทําโดยแรงภายนอกแลว คานดังกลาวจะมีแรงใน
แนวแกน แรงเฉอื น และโมเมนตด ัดเกิดข้ึนภายในคาน เมอื่ pressure vessel ดงั ทแี่ สดงในรปู ที่ 8-4b ถูกกระทําโดยแรง
ภายในและภายนอกแลว pressure vessel ดงั กลา วจะมีแรงในแนวแกน แรงในแนวเสนวงรอบ แรงเฉือน และโมเมนตดดั
เกดิ ขน้ึ ภายใน pressure vessel และเมือ่ เพลา ดงั ท่ีแสดงในรูปท่ี 8-4c ถกู กระทําโดยแรงภายนอกแลว เพลาดังกลา วจะมี
แรงบิด แรงเฉอื น และโมเมนตด ัดเกิดขึน้ ภายในเพลา เปนตน
รปู ท่ี 8-4
แรงภายในเหลานี้จะทําใหเกิดสภาวะของหนวยแรงที่ซับซอนบนหนาตัดของช้ินสวนของโครงสราง ในกรณีท่ี
ความสมั พนั ธระหวา งแรง หนวยแรง และการเปล่ยี นแปลงรปู รางของชนิ้ สวนของโครงสรางแปรผนั โดยตรงตอกัน และเม่อื
ชน้ิ สว นของโครงสรางดังกลาวมกี ารเปล่ยี นแปลงรปู รา งที่นอยมากแลว เราจะใชหลกั การ principle of superposition ชว ย
ในการวิเคราะหแ ละออกแบบชิ้นสวนของโครงสรางดงั กลา วได
ขัน้ ตอนในการวเิ คราะห
1. Internal loadings
• ตัดโครงสรางหรือช้ินสวนของโครงสรางที่ตําแหนงที่ตองการหาคาหนวยแรงใหต้ังฉากกับแนวแกนของโครง
สรางหรอื ช้นิ สวนของโครงสรา ง
• ใชแ ผนภาพ free-body diagram และสมการความสมดุลในการหาแรงลัพธภ ายใน เชน แรงในแนวแกน แรง
เฉือน โมเมนตดัด และแรงบิด เปนตน โดยใหแรงเหลานี้กระทาํ ผานจดุ centroid ของหนา ตดั และใหโ มเมนต
ดัดกระทาํ รอบแกนตงั้ ฉากท่ีผา นจุด centroid ของหนา ตัด
Mechanics of Materials 8-5
2. Stress components
• คํานวณหาคา ของหนวยแรงตางๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ จากแรงและโมเมนตล ัพธ โดยท่ี
- แรงในแนวแกน
P
σ=A
- แรงเฉอื น
VQ
τ = It
- โมเมนตดดั
σ = − My
I
- แรงบดิ
τ = Tρ
J
- Thin-walled pressure vessels
pressure vessel รูปทรงกระบอก
pr
σ1 = t
σ2 = pr
2t
pressure vessels รปู ทรงกลม
pr
σ 1 = σ 2 = 2t
• เขียนแผนภาพแสดงการกระจายของของหนว ยแรงบนหนา ตดั ของโครงสรางหรือช้นิ สว นของโครงสรา ง
3. Superposition
• ใชห ลักการ principle of superposition ในการหาหนวยแรงต้ังฉากและหนว ยแรงเฉอื นลพั ธท ่ีจุดใดๆ บนหนา
ตดั ของโครงสรางหรอื ชิน้ สว นของโครงสรา ง
Mechanics of Materials 8-6
ตวั อยา งท่ี 8-1
ทอ ทรงกระบอกผนังบาง (thin-walled cylinder) ดังที่แสดงในรูปท่ี EX 8-1a มีรัศมีภายใน ri = 50 mm และมี
ความหนา t = 3.6 mm ถกู กระทาํ โดยแรงดนั ภายใน p = 10 MPa รวมกับแรงในแนวแกน P = 50 kN
จงหาสภาวะของหนวยแรงท่เี กดิ ข้ึนในทอทรงกระบอกผนังบางท่ีจุด A
รูปท่ี EX 8-1
หนวยแรงในแนวแกนของ thin-walled cylinder จะมคี า เทากับหนว ยแรงในแนวแกนเน่ืองจากความดันภายใน
และหนวยแรงในแนวแกนเน่ืองจากแรงกดอัด
σx = pr − P = pr − P
2t A 2t 2πrt
= 10(106 )(0.050) − 50(103 ) = 25.2 MPa
2(0.0036) 2π (0.050)0.0036
หนวยแรงในแนวเสนรอบวง (hoop stress) จะมีคา เทากบั
σy = pr = 10(106 )0.050 = 138.9 MPa
t 0.0036
ดงั นนั้ เราจะเขยี นสภาวะของหนว ยแรงทีเ่ กิดข้ึนในทอ ทรงกระบอกผนังบางท่ีจุด A ได ดังท่แี สดงในรปู ท่ี EX 8-1b Ans.
Mechanics of Materials 8-7
ตวั อยา งท่ี 8-2
Rotor shaft ของเฮลคิ อปเตอร ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ EX 8-2a จะถกู กระทาํ โดยแรงดงึ ในแนวแกน P = 125 kN
และแรงบดิ T = 2.4 kN - m ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ EX 8-2b กาํ หนดใหเพลาดังกลา วมรี ัศมี c = 25 mm จงหาหนวยแรง
ดงึ และหนว ยแรงเฉอื นท่เี กิดขึน้ ในเพลา
รูปท่ี EX 8-2
หนวยแรงดึงในแนวแกนของเพลาเนือ่ งจากแรง P
σo = P = 125(103 ) = 63.66 MPa
A π (0.025)2
หนวยแรงบิด ซึ่งจะมที ิศทางไปทางเดยี วกับแรงบดิ T จะหาไดจาก torsional formula
τo = Tc = 2400(0.025) = 97.78 MPa
J π (0.025)4 / 2
ดงั น้นั เราจะเขียนสภาวะของหนว ยแรงที่เกิดข้ึนในเพลาได ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี EX 8-2c Ans.
Mechanics of Materials 8-8
ตวั อยางที่ 8-3
แทง เหล็กกลมตนั ถูกกระทําโดยแรงตางๆ ดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี Ex 8-3a มรี ัศมี 25 mm จงหาสภาวะของหนว ยแรง
ท่เี กิดข้ึนทีจ่ ุด A
รปู ท่ี Ex 8-3
แรงภายในแทงเหล็กกลมตันทห่ี นา ตดั ที่ผานจดุ A จะหาไดโดยการตัดท่ีหนาตดั ดังกลา ว จากน้นั ใชส มการ
ความสมดุลของแรงและ moment ในแนวแกน x , y , และ z ซ่ึงจะไดแรงภายในแทง เหล็กกลมตนั ท่หี นาตัดดงั กลาว ดงั
ท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 8-3b
จากกฎขอ ท่ี 3 ของ Newtow เราจะเขยี นแรงภายในท่เี กดิ ขึ้นบนหนาตดั ที่ผา นจุด A ของอกี สวนหนง่ึ ของแทง
เหล็กกลมตนั ได ดังท่ีแสดงในรปู ท่ี Ex 8-3c
แรงในแนวแกน 2 kN จะทําใหมีการกระจายของหนวยแรงตง้ั ฉาก ดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี Ex 8-3d และหนวยแรงต้ัง
ฉากท่ีจุด A จะมคี าเทากับ
σA = P = 2000 = 1.02 MPa
A π (0.025)2
Mechanics of Materials 8-9
แรงเฉือน 4 kN จะทาํ ใหมกี ารกระจายของหนวยแรงเฉอื น ดงั ท่แี สดงในรูปที่ Ex 8-3e และหนวยแรงเฉือนที่จุด
A จะมีคาเทากับ
τ A = VQA
It
โดยท่ี QA = y′A′ = 4(0.025) 1 π (0.025) 2 = 10.417(10−6 ) m3
3π 2
I = π (0.025)4 = 0.307(10−6 ) m4
4
ดังน้ัน τA = 4000(10.417)10 −6 = 2.71 MPa
0.307(10−6 )2(0.025)
โมเมนตด ัด 1kN - m จะทาํ ใหเ กิดการกระจายของหนวยแรงดัด ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี Ex 8-3f และหนว ยแรงดัดท่ี
จุด A จะมคี า เทา กบั ศนู ย
โมเมนตดัด 0.7 kN - m จะทําใหเ กดิ การกระจายของหนวยแรงดดั ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี Ex 8-3g และหนว ยแรง
ดัดท่ีจดุ A จะมีคา เทากบั
σ A = Mc = 700(0.025) = 57.0 MPa
I 0.307(10−6 )
Mechanics of Materials 8-10
แรงบิด 1.4 kN - m จะทาํ ใหมีการกระจายของหนว ยแรงเฉอื น ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Ex 8-3h และหนว ยแรงเฉือนที่
จดุ A จะมคี าเทา กบั
Tc
τA = J
โดยท่ี J = π (0.025) 4 = 0.614(10−6 ) m4
2
τA = Tc = 1400(0.025) = 57.0 MPa
J 0.614(10−6 )
ดังนน้ั จาก principle of superposition เราจะเขียนสภาวะของหนว ยแรงทเ่ี กดิ ขึน้ ท่จี ุด A ในแทงเหล็กกลมตันได ดังท่ี
แสดงในรูปที่ EX 8-3i Ans.
Mechanics of Materials 8-11
แบบฝก หัดทายบทท่ี 8
8-1 ถังเกบ็ กาซทรงกลมมเี สน ผาศูนยก ลางภายใน r = 1.5 m ถกู กระทําโดยความดันภายใน p = 300 kPa จงหาความ
หนาของถงั ถากาํ หนดใหหนวยแรงตั้งฉากสูงสดุ มีคาไมเกิน 12 MPa
8-2 ทอ สง กา ซเหลก็ ดังท่ีแสดงในรูปท่ี Prob. 8-2 ถกู รองรบั ทุกๆ 6 m โดยตอมอคอนกรตี อยางยึดแนน ถา กาซในทอ มี
ความดัน 4 MPa และอุณหภมู ขิ องทอ มีคา เพ่ิมข้นึ 30oC จงหาหนวยแรงในแนวแกนและ hoop stress ท่ีเกดิ ขึ้นในทอ
กาํ หนดใหท อมีเสน ผาศูนยก ลางภายใน 0.50 m และหนา 6.3 mm
รปู ท่ี Prob. 8-2
8-3 pressure vessel ถกู ปด ปลายดว ยแผนเหล็ก ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี Prob. 8-3 ถา ความดันภายในทอ p = 450 kPa จง
หาคา ของหนวยแรงเฉอื นทเ่ี กดิ ขึน้ ทจ่ี ุดเชอ่ื มตอของแผน เหล็กและทอ ทปี่ ลายทอ และจงเขยี นสภาวะของหนว ยแรงที่เกิดขึน้
ท่ีผนังของ pressure vessel
รูปท่ี Prob. 8-3
8-4 กาํ หนดใหจุดเช่ือมตอ ดังท่แี สดงในรปู ท่ี Prob. 8-4 ถกู กระทาํ โดยแรง P = 1.0 kN และแรง F = 0.75 kN จง
เขยี นสภาวะของหนวยแรงท่จี ุด A และจดุ B ถาชน้ิ สว นของโครงสรา งมหี นา ตัดรปู ส่เี หลย่ี มผนื ผา กวา ง 19 mm และ
หนา 12 mm
รูปที่ Prob. 8-4
8-5 กาํ หนดใหโ ครงสรา งถกู กระทําโดยแรงกระทํา ดังทแ่ี สดงในรปู ท่ี Prob. 8-5 จงเขียนสภาวะของหนว ยแรงที่จดุ D และ
จดุ E
Mechanics of Materials 8-12
รปู ท่ี Prob. 8-5
8-6 ปายสญั ญาณจราจร ซง่ึ ถูกรองรบั โดยเสาทมี่ ขี นาดเสน ผา ศนู ยก ลางภายนอก 100 mm และหนา 6.3 mm ถกู
กระทาํ โดยแรงลม ดังทีแ่ สดงในรูปที่ Prob. 8-6 จงเขยี นสภาวะของหนว ยแรงที่จุด A จุด B จุด C และจุด D ทีห่ นา ตดั
ของเสาดังที่แสดงในรูป
รปู ที่ Prob. 8-6
8-7 แทง เหลก็ ถูกยดึ แนนท่จี ุด C และถูกกระทําโดยแรงตางๆ ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่ Prob. 8-7 จงเขยี นสภาวะของหนวยแรงท่ี
จุด A และจดุ B
รูปที่ Prob. 8-7
Mechanics of Materials 9-1
บทท่ี 9
การแปลงหนวยแรง (Stress Transformation)
เรยี บเรียงโดย ดร. สิทธชิ ยั แสงอาทิตย
9.1 การแปลงหนวยแรงในระนาบ (Plane-Stress Transformation)
โดยทว่ั ไปแลว สภาวะของหนว ยแรงทจี่ ุดๆ หน่ึงบนวัตถุ (ซ่ึงจะแสดงไดโดยใช cubic volume element ที่ตดั ออก
มาจากวตั ถนุ ้นั ดังที่กลาวไปแลวในบทท่ี 1 จะประกอบดว ยหนว ยแรงตงั้ ฉากและหนวยแรงเฉอื นที่เปน อสิ ระตอกันทัง้ หมด 6
หนวยแรง โดยหนว ยแรงดงั กลาวจะกระทาํ อยบู นดา นตางๆ ท้งั 6 ดา นของ cubic volume element ดงั เชนทแ่ี สดงในรูปที่
9-1a แตโดยสว นใหญแลว ชนิ้ สว นของโครงสรางหรอื เครอื่ งจกั รกลจะถกู กระทําโดยหนว ยแรงท่ีอยูในระนาบเดยี วกนั และ
เปน อสิ ระตอกนั เพียงแค 3 หนว ยแรงเทาน้ัน ดงั ทไี่ ดศกึ ษาไปแลว ในบทที่ 8 ซ่งึ ในกรณีน้ี สภาวะของหนวยแรงดังกลาวที่
เรียกวา plane stress ดังท่แี สดงในรูปที่ 9-1b
โดยท่วั ไปแลว สภาวะของหนว ยแรงแบบ plane stress ในระนาบ x − y จะประกอบดว ยหนวยแรงตัง้ ฉาก 2
หนว ยแรงคอื σ x และ σ y และหนวยแรงเฉอื น 1 หนว ยแรงคอื τ xy ซง่ึ กระทาํ อยูบนดานท้งั ส่ขี อง element ดังท่แี สดงใน
รปู ท่ี 9-1c
รูปท่ี 9-1
ถาเราทราบคาของหนว ยแรงทง้ั สามบน element ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 9-2a แลว เราจะหาสภาวะของหนว ยแรงบน
element ดงั กลา วในระบบแกนอ่ืนๆ เชน ระบบแกน x′ − y′ เปนตน ทท่ี าํ มุม θ กับระนาบ x − y ได ดงั ท่แี สดงในรปู ที่
Mechanics of Materials 9-2
9-2b โดยทคี่ า ของหนว ยแรงบน element ในระบบแกน x′ − y′ หรอื σ x′ , σ y′ , และ τ x′y′ จะมคี า ตา งกับคาของหนวย
แรงบน element ในระบบแกน x − y แตค า ของหนวยแรงบน element ในระบบแกนท้ังสองจะแสดงถงึ สภาวะของหนว ย
แรงทีจ่ ดุ เดยี วกนั
รูปท่ี 9-2
การหาคา ของหนว ยแรง σ x′ และ τ x′y′ บนระนาบทีต่ ั้งฉากกับแกน x′ น้ันจะทาํ ไดด ังนี้
1. ทาํ การตัด element ในระบบแกน x − y ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี 9-2b โดยใหหนาตดั ดังกลาวต้งั ฉากกับแกน
x′ ดังท่แี สดงในรูปที่ 9-2c
2. หาคาแรงทเี่ กิดจากหนวยแรง σ x และ τ xy โดยการคณู คาหนว ยแรงดว ยพ้นื ทีท่ หี่ นวยแรงนนั้ กระทาํ
3. เขียนแผนภาพ free-body diagram ของแรงตา งๆ
4. ใชสมการความสมดุลของแรงหาคาขององคประกอบของแรงที่อยูในระบบแกน x′ − y′ และหารคาแรงท่ี
ไดดวยพนื้ ทท่ี หี่ นว ยแรงนนั้ กระทาํ อยู
ในลกั ษณะที่คลา ยกนั เราจะหาคาของหนวยแรง σ y′ และ τ x′y′ ไดโดยการตัด element ในระบบแกน x − y
ดังท่ีแสดงในรูปท่ี 9-2b โดยใหห นาตัดดงั กลา วต้งั ฉากกบั แกน y′ ดงั ที่แสดงในรูปท่ี 9-2d แลว ทาํ การหาคาของ σ y′ ใน
ลักษณะเชนเดียวกับการหาคา σ x′ โดยที่เราไมจําเปน ทีจ่ ะตองหาคาของ τ x′y′ เพราะมคี า เทากบั คา τ x′y′ ที่หามาไดใ น
ขน้ั ตอนท่ี 4
Mechanics of Materials 9-3
ตัวอยา งที่ 9-1
กาํ หนดใหส ภาวะของหนว ยแรงท่กี ระทาํ อยูบ น stress element ท่ีจุด A บนองคอาคารของโครงสรางมลี ักษณะ
ดงั ท่แี สดงในรปู ที่ Ex 9-1a จงหาสภาวะของหนว ยแรงท่ีกระทาํ อยูบ น stress element ที่หมุนตามเขม็ นาฬิกาเปนมมุ 30o
ดงั ที่แสดงในรปู ที่ Ex 9-1b
รปู ที่ Ex 9-1
พจิ ารณาแผนภาพ free-body diagram ของ stress element ท่ีถกู ตดั โดยแกน x′ ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ Ex 9-1c
กําหนดใหพ้นื ท่ีหนาตัดของรอยตัดมีคา เทากับ ∆A ดงั นน้ั พื้นทหี่ นาตัดแนวแนวนอนของ element จะมีคา เทา กับ
∆Acos 30o
และน้นั พื้นทหี่ นาตดั แนวแนวด่งิ ของ element จะมีคา เทา กับ
∆Asin 30o
จากสมการความสมดุลของแรงในแนวแกน x′ และแกน y′ เราจะได
∑ Fx′ = 0;
− ∆Fx′ + (50∆Acos 30o ) sin 30o + (25∆Acos 30o ) cos 30o
+ (80∆Asin 30o ) cos 30o − (25∆Asin 30o ) sin 30o = 0
∆Fx′ = 68.8∆A
Mechanics of Materials 9-4
∑ Fy′ = 0;
+ ∆Fy′ − (50∆Acos 30o ) cos 30o + (25∆Acos 30o ) sin 30o
+ (80∆Asin 30o ) sin 30o + (25∆Asin 30o ) cos 30o = 0
∆Fy′ = −4.15∆A
เนื่องจาก ∆Fy′ มีคา เปนลบ ดังนัน้ ∆Fy′ จะกระทาํ ในทิศตรงกันขา มกบั ทีไ่ ดส มมุตใิ นรูปที่ Ex 9-1c และหนวย
แรงตงั้ ฉากและหนว ยแรงเฉือนทเ่ี กดิ ขึ้นบนหนาตดั นจี้ ะมีคาเทา กบั
σ y′ = ∆Fy′ = 4.15 MPa
∆A
τ x′y′ = ∆Fx′ = 68.8 MPa
∆A
พจิ ารณาแผนภาพ free-body diagram ของ stress element ทถี่ ูกตัดโดยแกน y′ ดังทแี่ สดงในรปู ที่ Ex 9-1d
กําหนดใหพ นื้ ทีห่ นา ตัดของรอยตดั มีคาเทากับ ∆A ดังนัน้ พน้ื ที่หนาตัดแนวแนวนอนของ element จะมคี าเทา กบั
∆Asin 30o
และพ้นื ท่ีหนา ตดั แนวแนวดิง่ ของ element จะมีคาเทา กับ
∆Acos 30o
จากสมการความสมดลุ ของแรงในแนวแกน x′ และแกน y′ เราจะได
∑ Fx′ = 0;
∆Fx′ − (25∆Acos 30o ) sin 30o + (80∆Acos 30o ) cos 30o
− (25∆Asin 30o ) cos 30o − (50∆Asin 30o ) sin 30o = 0
∆Fx′ = −25.8∆A
Mechanics of Materials 9-5
∑ Fy′ = 0;
− ∆Fy′ + (25∆Acos 30o ) cos 30o + (80∆Acos 30o ) sin 30o
− (25∆Asin 30o ) sin 30o + (50∆Asin 30o ) cos 30o = 0
∆Fy′ = 68.8∆A
เนอื่ งจาก ∆Fx′ มีคาเปนลบ ดงั นน้ั ∆Fx′ จะกระทําในทิศตรงกันขามกับท่ไี ดส มมุตใิ นรูปที่ Ex 9-1d และหนวย
แรงต้งั ฉากและหนว ยแรงเฉือนทีเ่ กดิ ขน้ึ บนหนา ตดั นจ้ี ะมคี า เทา กบั
σ x′ = ∆Fx′ = 25.8 MPa
∆A
τ x′y′ = ∆Fy′ = 68.8 MPa
∆A
รปู ที่ Ex 9-1e แสดงสภาวะของหนวยแรงทก่ี ระทาํ อยูบน stress element ทหี่ มุนตามเข็มนาฬกิ าเปนมุม 30o ขอ
ใหส ังเกตทิศทางของหนว ยต้งั ฉากและหนวยแรงเฉือนที่เกดิ ขนึ้ บน stress element และเราจะเห็นไดวา หนวยแรงเฉอื นท่ไี ด
จากการพจิ ารณาท้ังสองกรณมี คี าเทา กนั Ans.
Mechanics of Materials 9-6
9.2 สมการการแปลงหนว ยแรงในระนาบ (General Equations of Plane-Stress Transformation)
สมการ plane-stress transformation ทใ่ี ชในการเปล่ยี นสภาวะของหนว ยแรงจากระบบแกน x − y ไปสูระบบ
แกน x′ − y′ ท่ที ํามมุ กนั θ กับระบบแกน x − y จะหาไดดังตอไปนี้
Sign Convention
รูปท่ี 9-3 แสดง sign convention ของหนว ยแรงและมมุ θ ทีม่ คี า เปนบวก โดยท่ี
1. หนว ยแรงต้ังฉากจะมีคาเปนบวกเมอื่ เปนหนวยแรงดงึ ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 9-3a
2. หนวยแรงเฉอื นจะมคี า เปนบวก เมอื่ หนวยแรงมีทศิ พุงไปในแนวแกนทเ่ี ปน บวกและกระทําอยบู นหนาตัดของ
element ทตี่ ดั กับแกนที่เปน บวก หรือเมื่อหนว ยแรงมที ิศพงุ ไปในแนวแกนทเี่ ปน ลบและกระทาํ อยูบนหนา ตัด
ของ element ทีต่ ัดกบั แกนที่เปนลบ ดังทีแ่ สดงในรปู ท่ี 9-3a
3. มุม θ จะมีคา เปน บวก เมอื่ มที ิศทางหมนุ ตามกฎมือขวาจากแกน x ไปยังแกน x′ หรอื หมนุ ทวนเข็ม
นาฬิกา ดังท่แี สดงในรปู ที่ 9-3b
รูปที่ 9-3
Normal and Shear Stress Components
กาํ หนดให element ถูกกระทาํ โดยสภาวะของหนวยแรงแบบ plane stress ที่มคี าเปน บวกในระบบแกน x − y
ดังทีแ่ สดงในรูปท่ี 9-4a หนว ยแรงทเี่ กดิ ขน้ึ บน element ในระบบแกน x′ − y′ ที่ทํามมุ กนั θ กับระบบแกน x − y จะหา
ไดโ ดยการตดั element ดงั กลาวใหมีหนา ตดั ทต่ี ั้งฉากกบั แกน + x′ และชน้ิ สว นที่ถกู ตดั ออกมาจะมลี กั ษณะดงั ท่แี สดงใน
รปู ท่ี 9-4b
กาํ หนดใหพ ืน้ ที่หนาตดั ของระนาบทถ่ี กู ตดั มีคาเทา กับ ∆A ดงั นัน้ พื้นท่ีของระนาบดังกลาวในแนวแกน x และ
แนวแกน y จะมคี า เทา กับ ∆Asinθ และ ∆Acosθ ตามลําดบั ดังน้ัน เราจะเขียนแผนภาพ free-body diagram ของ
ชนิ้ สว นของ element ดงั กลาวได ดังที่แสดงในรูปที่ 9-4c
โดยใชส มการสมดุลของแรงในแนวแกน x′ และ y′ เราจะหาองคประกอบของหนว ยแรงต้งั ฉาก σ x′ และหนว ย
แรงเฉือน τ x′y′ ไดโดยที่
∑ Fx′ = 0; σ x′ ∆A − (τ xy ∆A sinθ ) cosθ − (σ y ∆A sinθ ) sinθ
− (τ xy ∆A cosθ ) sinθ − (σ x ∆A cosθ ) cosθ = 0
Mechanics of Materials 9-7
σ x′ = σ x cos2 θ + σ y sin 2 θ + τ xy (2sinθ cosθ )
รูปท่ี 9-4
∑ Fy′ = 0; τ x′y′ ∆A − (τ xy ∆A sinθ )sinθ − (σ y ∆A sinθ ) cosθ
− (τ xy ∆A cosθ ) cosθ − (σ x ∆A cosθ )sinθ = 0
τ x′y′ = (σ y − σ x ) sinθ cosθ + τ xy (cos2 θ − sin 2 θ )
เน่ืองจาก sin 2θ = 2sinθ cosθ
sin 2 θ = (1− cos 2θ )
2
และ cos2 θ = (1 + cos 2θ )
ดังนนั้ เราจะไดวา 2
σ x′ = σx +σ y +σx −σ y cos 2θ + τ xy sin 2θ (9-1)
2 2
τ x′y′ = −σx −σ y sin 2θ + τ xy cos 2θ (9-2)
2
สมการที่ 9-1 และ 9-2 น้มี ักจะถูกเรียกวา สมการของ plane-stress transformation เนื่องจากสมการทั้งสองน้ี
เปล่ยี นสภาวะของหนว ยแรงจากระบบแกนหน่ึงไปสูอีกระบบแกนหน่งึ
Mechanics of Materials 9-8
สมการของหนวยแรงต้งั ฉาก σ y′ จะหามาไดจากการแทนมุม θ ในสมการท่ี 9-1 ดวยมุม θ + 90o ซ่ึงเราจะได
วา
σ = σx +σ y −σx −σ y cos 2θ − τ xy sin 2θ (9-3)
2 2
y′
จากสมการท่ี 9-1 ถงึ 9-3 เราจะเห็นไดว า ถา เราทราบคาของหนว ยแรง σ x , σ y , และτ xy แลว เราจะหาหนวย
แรง σ x′ , σ y′ , และ τ x′y′ ไดและเม่ือ θ = 0o แลว เราจะไดว า
σ x′ = σ x , σ y′ = σ y , และ τ x′y′ = τ xy
เม่อื ทําการรวมสมการท่ี 9-1 และ 9-3 เขา ดว ยกนั แลว เราจะไดวา
σ x′ + σ y′ = σ x + σ y
ซึง่ แสดงวา ผลรวมของหนว ยแรงตงั้ ฉากทก่ี ระทําอยบู นดานทีต่ ้ังฉากกนั ของ element ท่ีถกู กระทําโดย plane stress ท่ีจดุ ๆ
หนึง่ จะมีคา คงที่และเปน อิสระตอมุม θ
รปู ที่ 9-5 เปน ตวั อยางกราฟทีแ่ สดงถงึ การเปลี่ยนแปลงของหนวยแรง σ x′ และ τ x′y′ เทียบกับมมุ θ เมอ่ื กาํ หนด
ให σ y = 0.2σ x และ τ xy = 0.8σ x จากรปู เราจะเหน็ ไดวา คา ของหนว ยแรง σ x′ และ τ x′y′ จะมกี ารเปล่ียนแปลง
อยางตอเน่อื ง เม่อื element ถูกหมุนไปเปน มุม θ และเมื่อมุม θ มีคา บางคาแลว คาของหนว ยแรงดังกลา วจะมีคาสงู สุด
ตํ่าสดุ และเทา กับศนู ย
รูปที่ 9-5
Mechanics of Materials 9-9
ตัวอยางท่ี 9-2
กาํ หนดใหภ าวะของหนวยแรงท่ีจดุ ใดจดุ หน่ึงบนองคอาคารของโครงสรางและกระทาํ อยบู น stress element มี
ลกั ษณะดังทแี่ สดงในรูปท่ี Ex 9-2a จงหาสภาวะของหนว ยแรงท่กี ระทาํ อยูบน stress element ท่ีหมุนตามเขม็ นาฬกิ าเปน
มุม 30o ดังทแ่ี สดงในรูปท่ี Ex 9-2b
รูปที่ Ex 9-2
จาก sign convention ที่เรากาํ หนด เราจะไดว า
σ x = −80 MPa σ y = +50 MPa τ xy = −25 MPa
ในการหาหนวยแรงต้ังฉากและหนว ยแรงเฉอื นทเ่ี กิดข้นึ บนระนาบ CD ซึง่ ตัง้ ฉากกับแกน x′ ดงั ที่แสดงในรปู ที่
Ex 9-2b เราจะตอ งทาํ การหมนุ stress element ไปในทศิ ทางตามเขม็ นาฬิกาเปน มมุ 30o ซึ่งเราจะไดวา θ = −30o ดัง
นั้น จากสมการที่ 9-1 และ 9-2 เราจะได
σ x′ = σx +σ y +σx −σ y cos 2θ + τ xy sin 2θ
2 2
σ = − 80 + 50 + − 80 − 50 cos 2(−30o ) + (−25) sin 2(−30o )
2 2
x′
= −25.8 MPa
τ x′y′ = −σx −σ y sin 2θ + τ xy cos 2θ
2
τ x′y′ = − − 80 − 50 sin 2(−30o ) + (−25) cos 2(−30o )
2
= −68.8 MPa
Mechanics of Materials 9-10
เครือ่ งหมายลบของหนวยแรงตั้งฉากและหนวยแรงเฉือนทีไ่ ดแ สดงวา หนวยแรงต้งั ฉากและหนวยแรงเฉอื นทเ่ี กดิ ขึ้นจรงิ มที ศิ
ทางตรงกนั ขามกับ sign convention ที่เราใช
ในทํานองเดียวกนั หนวยแรงตง้ั ฉากทีเ่ กิดขึ้นบนระนาบ BC ซ่งึ ตง้ั ฉากกบั แกน y′ ดังท่แี สดงในรปู ที่ Ex 9-2c
จะหาไดจากสมการที่ 9-3
σ y′ = σx +σ y −σx −σ y cos 2θ − τ xy sin 2θ
2 2
σ = − 80 + 50 − − 80 − 50 cos 2(−30 o ) − (−25) sin 2(−30o )
2 2
y′
= −4.15 MPa
เครื่องหมายลบท่ไี ดแสดงวา หนวยแรงตั้งฉากท่เี กดิ ขึ้นจรงิ มที ศิ ทางตรงกนั ขา มกบั sign convention ที่เราใช รปู ท่ี Ex 9-1c
แสดงหาสภาวะของหนว ยแรงทกี่ ระทาํ อยูบน stress element ที่หมนุ ตามเขม็ นาฬกิ าเปน มมุ 30o Ans.
Mechanics of Materials 9-11
9.3 หนว ยแรงหลกั และหนว ยแรงเฉอื นในระนาบสูงสุด (Principal Stresses and Maximum In-Plane Shear
Stresses)
In-Plane Principal Stresses
หนวยแรงหลกั (principle stresses) เปนหนว ยแรงตัง้ ฉากที่มีคา สูงสุดและตํ่าสดุ ทีเ่ กิดขึ้นบน stress element ท่ีมี
สภาวะของหนว ยแรงสภาวะหน่งึ สมการ principal stresses จะหาไดด ังตอ ไปน้ี
1. ทาํ การ differentiate สมการที่ 9-1 เทยี บกับมมุ θ และใหผลลพั ธทไี่ ดมีคา เทา กับศูนย ซ่ึงเราจะหามุมที่
stress element ถูกกระทําโดย principal stresses ไดในรูป
dσ x′ = −σx −σ y (2 sin 2θ ) + 2τ xy cos 2θ =0
dθ 2
tan 2θ p = (σ τ xy y)/2 (9-4)
−σ
x
สมการท่ี 9-4 นจี้ ะใหค ําตอบเปนมมุ สองมุมคือ 2θ p1 และ 2θ p2 ซง่ึ จะมีคาตา งกัน 180o (ดงั น้ัน มมุ θ p1
และ θ p2 จะตางกนั 90o ) และมมุ θ p1 และ θ p2 น้ีมักจะถกู เรยี กวา มมุ หลกั (principal angles) ซง่ึ จะบงบอกถึงทิศ
ทางของระนาบหลัก (principal planes) ท่ี principal stresses กระทาํ อยู ดังทแี่ สดงในรปู ท่ี 9-6
รูปที่ 9-6
เมอ่ื τ xy และ (σ x −σ y ) มีคา เปนบวกพรอมกันหรือเปนลบพรอ มกันแลว สมการที่ 9-4 จะถกู เขียนใหอยใู นรปู
กราฟฟกได ดังที่แสดงในรปู ที่ 9-7 (ซงึ่ ในความเปนจรงิ แลว τ xy และ (σ x −σ y ) อาจจะมคี า เปน บวกหรือลบไมพ รอม
กันกไ็ ด)
รูปที่ 9-7
Mechanics of Materials 9-12
จากรปู ความยาวของดานท่ตี รงกันขามกบั มมุ ฉากของสามเหล่ียมมมุ ฉากจะหาไดจ ากสมการ
σ x −σ y 2 + τ 2
2 xy
จากน้นั เราจะหาคา sin และ cosine ของมมุ 2θ p1 หรือ 2θ p2 ได
2. แทนคา sin และ cosine ของมมุ 2θ p1 และ 2θ p2 ลงในสมการท่ี 9-1 เราจะไดวา
σ1 = σx +σ y ± σ x −σ y 2 +τ 2 (9-5)
2 2 2 xy
โดยท่ี σ1 เปนหนว ยแรงตั้งฉากทม่ี คี าสงู สดุ และ σ 2 เปนหนวยแรงตัง้ ฉากท่มี คี าตํา่ สุด
เมื่อเราแทนคา sin และ cosine ของมุม 2θ p1 หรือ 2θ p2 ลงในสมการท่ี 9-2 เราจะไดว า τ x′y′ = 0 ซ่ึง
หมายความวาหนว ยแรงเฉือนมคี า เทากบั ศูนยบ นระนาบหลกั (principal planes)
เมอ่ื เรานาํ สมการของหนว ยแรงหลัก (principal stress) σ1 และ σ 2 มารวมกัน เราจะไดวา
σ1 +σ2 =σ x +σ y
ซ่งึ แสดงวา ผลรวมของหนว ยแรงตงั้ ฉากทกี่ ระทาํ อยูบ นดานทีต่ ั้งฉากกันของ element ท่ถี ูกกระทาํ โดย plane stress ทจ่ี ุดๆ
หนง่ึ จะมีคาคงท่ี
Maximum In-plane Shear Stress
มุมที่ stress element ถูกกระทาํ โดยแรงเฉอื นสงู สุดจะหาไดจากการทาํ differentiation สมการที่ 9-2 เทยี บกับมมุ
θ และใหผ ลลัพธท ไี่ ดมีคาเทา กบั ศนู ย ซ่ึงเราจะไดวา
dτ x′y′ = −σx −σ y (2 cos 2θ ) − (2τ xy sin 2θ ) = 0
dθ 2
tan 2θ s = − (σ x − σ y ) / 2 (9-6)
τ xy
สมการที่ 9-6 นี้จะใหค าํ ตอบเปน มมุ สองคา คอื 2θ s1 และ 2θs2 ดงั ที่แสดงในรปู ที่ 9-8
รูปท่ี 9-8
โดยการเปรียบเทียบรปู ที่ 9-7 กบั รปู ท่ี 9-8 เราจะเห็นไดว า มุม 2θ s จะตา งกับมุม 2θ p เทากบั 90o ดงั นัน้ คา
มมุ θ s จะตา งกบั คามมุ θ p เทากับ 45o ดังท่ีแสดงในรูปที่ 9-9
โดยการแทนคา sin และ cosine ของมุม 2θ s1 หรือ 2θs2 จากรูปที่ 9-8 ลงในสมการท่ี 9-2 เราจะไดว า สม
การของหนว ยแรงเฉือนสูงสุดบน element อยูในรปู
Mechanics of Materials 9-13
τ max = σ x −σ y 2 +τ 2 (9-7)
in-plane 2 xy
รปู ที่ 9-9
เม่ือแทนคา sin และ cosine ของมุม 2θ s1 หรือ 2θ s2 ลงในสมการท่ี 9-1 เราจะไดวา หนว ยแรงตัง้ ฉากท่ีเกิด
ข้นึ บนระนาบท่เี กิดหนว ยแรงเฉือนสงู สุดจะหาไดจากสมการ
σ avg = σx +σ y (9-8)
2
นอกจากนัน้ แลว จากสมการท่ี 9-5 ถาเอาสมการ σ1 ตงั้ แลว ลบดว ยสมการ σ 2 จากน้ัน ทาํ การเปรียบเทียบผล
ลัพธทไ่ี ดกับสมการท่ี 9-7 เราจะไดวา
τ max = σ1 −σ2
in -plane 2
Mechanics of Materials 9-14
ตัวอยา งท่ี 9-3
จงหาสภาวะของหนว ยแรงในรปู ของ principal stresses และ maximum in-plane shear stress ที่เกดิ ขึ้นบน
stress element ท่ีจุดใดจดุ หน่งึ บนองคอ าคารของโครงสราง ดงั ทแี่ สดงในรปู ที่ Ex 9-3a
รูปท่ี EX 9-3
จาก sign convention ท่เี รากําหนด เราจะไดว า
σ x = −80 MPa σ y = +50 MPa τ xy = −25 MPa
หาสภาวะของหนว ยแรงในรปู ของ principal stresses
มมุ ที่ stress element หมุนไปแลว ทําใหสภาวะของหนวยแรงบน stress element ดงั กลา วเปล่ียนไปเปนสภาวะ
ของหนวยแรงในรูปของ principal stresses หรือมุมของ principal planes จะหาไดจ ากสมการที่ 9-4
tan 2θ p = (σ x τ xy y)/2 = − 25
−σ (−80 − 50) / 2
2θ p1 = 21.04o
θ p1 = 10.52o
เครอ่ื งหมายบวกแสดงวา มที ศิ ทางหมุนทวนเข็มนาฬิกาจากแกน x ไปยงั แกน x′
เนือ่ งจากมุม θ p1 ตางจากมุม θ p2 เปนมมุ 90o ดงั นนั้
θ p2 = −79.48o
เครอ่ื งหมายลบแสดงวามที ิศทางหมนุ ตามเขม็ นาฬิกาจากแกน x ไปยงั แกน x′
คาของ principal stresses ทเ่ี กดิ ขน้ึ บน stress element จะหาไดจ ากสมการ
σ1 = σx +σ y ± σ x −σ y 2 + τ 2
2 2 2 xy
= − 80 + 50 ± − 80 − 50 2 + (−25) 2
2 2
= −15 ± 69.64 MPa
σ 1 = −84.4 MPa
σ 2 = 54.4 MPa
Mechanics of Materials 9-15
มุมที่ถกู ตอ งระหวางแกน x กับแกนตง้ั ฉากกับระนาบของ principal planes ท่ี principal stress σ1 กระทาํ อาจ
จะหามาไดโดยการแทน θ p1 = 10.52o ลงในสมการที่ 9-1
σ x′ = σx +σ y +σx −σ y cos 2θ + τ xy sin 2θ
2 2
σ = − 80 + 50 + − 80 − 50 cos 21.04o + (−25) sin 21.04o
2 2
x′
= −84.4 MPa
และ principal stress σ 2 จะกระทาํ อยูบ นระนาบของ principal planes ที่มแี กนตง้ั ฉากทํามุม θ p2 = −78.69o กับ
แกน x
สภาวะของหนวยแรงในรูปของ principal stresses จะมีลักษณะดงั ทแี่ สดงในรปู ท่ี Ex 9-3b Ans.
หาสภาวะของหนว ยแรงในรูปของ maximum in-plane shear stress
ระนาบของ maximum in-plane shear stress จะหาไดจ ากการหมุน stress element ท่ีมสี ภาวะของหนวยแรง
แบบ principal stresses ทวนเขม็ นาฬกิ าไปเปน มมุ 45o ดงั นัน้
θ s1 = 45o + 10.52o = 55.52o
เคร่อื งหมายบวกแสดงวา มที ศิ ทางหมนุ ทวนเขม็ นาฬิกาจากแกน x ไปยังแกน x′
θ s2 = 45o − 79.48o = −34.48o
เคร่ืองหมายลบแสดงวา มีทิศทางหมุนตามเข็มนาฬกิ าจากแกน x ไปยังแกน x′ ดงั ทีแ่ สดงในรูปที่ Ex 9-3d
หรอื จะคาํ นวณหาไดโดยใชส มการท่ี 9-6
tan 2θ s = − (−80 − 50) / 2
− 25
2θ s2 = −68.96o
θ s2 = −34.48o
เนือ่ งจากมุม θ s1 ตา งจากมุม θ s2 เปน มมุ 90o ดงั นัน้
θ s1 = 90o − 34.48o = 55.52o
หนว ยแรงเฉอื นสงู สุด (maximum in-plane shear stress) บน element จะหาไดโ ดยใชส มการที่ 9-2 หรือสมการ
ท่ี 9-7 ก็ได
Mechanics of Materials 9-16
จากสมการที่ 9-2 สาํ หรบั มุม 2θ s2 = −68.96o เราจะไดวา
τ x′y′ = − − 80 − 50 sin (−68.96o ) + (−25) cos (−68.96o )
2
= −69.64 MPa
ซ่ึงแสดงวา หนว ยแรงเฉอื นสูงสุดทีเ่ กิดขนึ้ ทีม่ ุม 2θ s2 = −68.96o มีทิศทางเปน ลบ และสําหรบั มุม 2θ s1 = 111.04o
เราจะไดวา
τ x′y′ = − − 80 − 50 sin 111.04o + (−25) cos111.04o
2
= +69.64 MPa
ซึ่งแสดงวาหนวยแรงเฉือนสงู สดุ ท่ีเกิดขึ้นทม่ี มุ 2θ s1 = 111.04o มที ศิ ทางเปนบวก
จากสมการท่ี 9-7 เราจะไดว า
τ max = σ x −σ y 2 + τ 2
in-plane 2 xy
− 80 − 50 2
2
τ max = + (−25)2 = 69.64 MPa
in - plane
ซ่ึงบอกแตขนาดของหนวยแรงเฉือนสงู สุด แตไมไ ดบอกวาหนว ยแรงดงั กลาวมีทิศทางไปทางใด
หนว ยแรงตงั้ ฉากทเ่ี กิดขนึ้ บนระนาบทเ่ี กดิ หนว ยแรงเฉอื นสงู สดุ จะหาไดจ ากสมการที่ 9-8
σ avg = σx +σ y
2
σ avg = − 80 + 50 = −15.0 MPa
2
ดงั น้ัน เราจะเขยี นสภาวะของหนว ยแรงในรูปของ maximum in-plane shear stress ไดดังที่แสดงในรปู ที่ Ex 9-3d Ans.
Mechanics of Materials 9-17
9.4 วงกลมมอร - หนวยแรงในระนาบ (Mohr’s Circle-Plane Stress)
เม่ือเราทราบคาของสภาวะของหนวยแรงบน element ในระบบแกนอางอิงแลว เราอาจจะใชวงกลมของมอร
(Mohr’s circle) ในการหาสภาวะของหนวยแรงบน stress element ทีอ่ ยูในแกนๆ หนึ่งทีท่ ํามมุ θ เทียบกับแกนอา งองิ ได
Mohr’s circle นีเ้ ปน วิธกี ารทช่ี วยใหเ ราเหน็ การเปลีย่ นแปลงของหนวยแรงตงั้ ฉากและหนว ยแรงเฉือนทมี่ ุม θ ใดๆ ที่
element น้นั หมุนไปจากแกนอา งอิงไดง า ยขึ้น
ในการพฒั นา Mohr’s circle เราจะเร่มิ จากการเขียนสมการที่ 9-1 และ 9-2 ใหอ ยใู นรปู
σ − σ x +σ y = σ x −σ y cos 2θ +τ sin 2θ (9-9)
2 2
x′ xy
τ x′y′ = − σ x −σ y sin 2θ + τ xy cos 2θ (9-10)
2
จากสมการที่ 9-9 และ 9-10 เราจะกาํ จดั ตวั แปร θ ไดโดยการยกกําลงั สองสมการท้งั สองและนาํ มาบวกกนั ซง่ึ
เราจะไดวา
− σ x +σ y 2 + τ 2 = σ x −σ y 2 + τ 2
σ 2 x′y′ 2 xy
x′
ในกรณีที่เราทราบคา ของ σ x , σ y , และτ xy แลว เราจะเขยี นสมการขา งบนไดใหมใ นรูป
[ ]σ x′ 2 + τ 2 = R2 (9-11)
− σ avg x′y′
เมือ่
σ avg = σx +σ y
2
R= σ x −σ y 2 + τ 2 (9-12)
2 xy
ซึ่งสมการที่ 9-11 น้จี ะเปนสมการที่อยูในรูปของสมการของวงกลม
เม่ือเราต้งั แกนอา งองิ โดยให σ เปน แกนนอนทมี่ ีคา เปนบวกเม่อื มีทิศชี้ไปทางขวามือและให τ เปนแกนดิ่งทีม่ ี
คาเปน บวกเมอื่ มที ิศชีด้ ง่ิ ลงแลว เราจะไดว า สมการที่ 9-11 เปนสมการของวงกลม ซึ่งมีรัศมี R (สมการที่ 9-12) และมีจุด
ศนู ยก ลางอยูบ นแกน σ ทจี่ ุด C (σ avg ,0) ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ 9-10a วงกลมท่ีไดน้จี ะถกู เรยี กวา วงกลมของมอร
(Mohr’s circle) ซึ่งถกู พฒั นาขน้ึ มาโดยวิศวกรชาวเยอรมันช่อื Otto Mohr และเราจะหาคาของ σ x′ และ τ x′y′ ท่ีเกิดข้ึนบน
ระนาบใดๆ บนแกนที่ทํามมุ θ กบั แกนอา งอิงได ดงั ที่แสดงในรปู ท่ี 9-10b
พจิ ารณาในกรณีที่มุม θ = 0o หรอื ในกรณที ่ี แกน x ทบั กับแกน x′ ดงั ทแ่ี สดงในรปู ที่ 9-10c ในกรณนี ้ี สม
การที่ 9-1 และ 9-2 จะใหคําตอบคอื σ x′ = σ x และ τ x′y′ = τ xy จาก Mohr’s circle เราจะไดว า จดุ นจ้ี ะเปนจุดอา งองิ
A (σ x ,τ xy ) ดงั ที่แสดงในรูปที่ 9-10a ดังนนั้ รศั มขี องวงกลมคอื CA โดยท่ีคา ของ CA จะหาไดจากสมการท่ี 9-12
ในกรณที มี่ ุม θ = 90o หรอื ในกรณที ี่ แกน x′ ทับกบั แกน y ดังท่แี สดงในรปู ท่ี 9-10d เราจะไดวา สมการท่ี 9-1
และ 9-2 จะใหคําตอบคอื σ x′ = σ y และ τ x′y′ = −τ xy จาก Mohr’s circle เราจะไดวา จดุ น้จี ะเปน จดุ อางองิ G
(σ y ,−τ xy ) ดังทแ่ี สดงในรปู ที่ 9-10a โดยการตรวจสอบ เราจะเห็นวา เสน รัศมี CG จะทาํ มุมกับเสน รัศมี CA เทา กบั
2θ หรือ 180o
Mechanics of Materials 9-18
รปู ท่ี 9-10
Stress Components on an Arbitrary Plane
คา หนว ยแรงต้ังฉากและหนว ยแรงเฉือน σ x′ และ τ x′y′ ที่กระทาํ อยบู นระนาบใดๆ ท่ตี ้งั ฉากกบั แกน x′ ซงึ่ แกน
x′ นท้ี ํามมุ θ กับแกน x ดงั ท่แี สดงในรูปที่ 9-11a จะหาไดจ ากการใชต รโี กณมติ ใิ นการหาพิกัดของจดุ P ท่ีทํามมุ 2θ
ซ่งึ วัดจากเสน รัศมีอางองิ CA (θ = 0o ) ถงึ เสน รศั มี CP ดงั ทีแ่ สดงในรปู ท่ี 9-11b ในทิศทางเดยี วกบั มุม θ
เราควรที่จะทราบไวดว ยวา ในกรณที แี่ กน τ มีทศิ ทางที่เปนบวกตรงกนั ขา มกับทเี่ รากําลงั ใชอยูนี้หรือมที ศิ ทาง
เปนบวกเม่อื แกน τ มที ศิ ช้ีขึ้นแลว มมุ 2θ ใน Mohr’s circle จะตอ งมที ิศตรงกันขา มกับมุม θ บน element
Principal Stresses
พจิ ารณารปู ที่ 9-12a เราจะเหน็ ไดวา จุด B และจุด D ซึง่ เปน จุดที่ Mohr’s circle ตัดกบั แกน σ และเปนจุดท่ี
แสดงคาของหนว ยแรงตงั้ ฉากทมี่ ีคาสงู สุดและต่าํ สดุ บน stress element ท่ีถูกกระทาํ โดยสภาวะของหนวยแรง ดงั ที่แสดง
ในรปู ที่ 9-12b นอกจากนัน้ แลว เราจะเห็นวา ทจ่ี ดุ B และจดุ D คาของหนวยแรงเฉือนจะมีคา เทากับศนู ย ดังน้ัน จดุ ทง้ั
สองน้จี ะเปน จุดทีแ่ สดงถึงคา หนว ยแรงหลกั (principal stresses) ของสภาวะของหนวยแรงบน element ดังกลาว
จากรูปท่ี 9-12a เราจะไดวา สมการ principal stresses σ1 = σ avg + R และ σ 2 = σ avg − R ซง่ึ เปนสม
การเดยี วกนั กบั สมการท่ี 9-5
Mechanics of Materials 9-19
รปู ท่ี 9-11
รูปที่ 9-12
Mechanics of Materials 9-20
จากรูปท่ี 9-12a มุมท่วี ัดจากเสนรศั มีอางองิ CA (θ = 0o ) ถงึ เสน รศั มี CB ในทศิ ทางทวนเข็มนาฬิกามคี า เทา
กับ 2θ p1 จากสามเหลี่ยมท่ีระบายสที ึบ มุมน้จี ะหาไดจากสมการ
tan 2θ p1 = (σ τ xy y)/ 2
−σ
x
ซง่ึ เปน สมการเดยี วกันกบั สมการที่ 9-4
เม่อื เราไดม มุ θ p1 แลว เราจะหาระนาบหลกั (principal plane) ของ element ดังกลา วได โดยการหมนุ แกนอาง
องิ x ทวนเขม็ นาฬิกาไปทีแ่ กน x′ ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 9-12b
จากรูปที่ 9-12a เราจะเห็นวา เสนรัศมี CB จะทาํ มมุ กับเสนรศั มี CD เทา กับ 2θ หรอื 180o ดงั น้นั ระนาบ
ของหนว ยแรง σ1 และของหนวยแรง σ 2 จะทาํ มมุ กนั 180o / 2 = 90o ดงั ที่แสดงในรูปที่ 9-12b
Maximum In-Plane Shear Stress
จาก Mohr’s circle ดังท่ีแสดงในรปู ที่ 9-13a จุด E(σavg , R) หรอื จดุ F(σavg , − R) จะเปน จดุ ทแี่ สดงคา
หนว ยแรงเฉือนสงู สดุ ซึ่งมสี มการเชน เดยี วกบั ในสมการท่ี 9-7 และ 9-8
รปู ที่ 9-13
Mechanics of Materials 9-21
เน่อื งจากเสน รศั มี CE ทาํ มมุ กบั เสน รศั มี CB เทากบั 90o ดงั นน้ั ระนาบบน element ทีม่ ีคาหนวยแรงเฉือน
สูงสดุ จะทาํ มมุ 90o / 2 = 45o กบั principal plane
มุม 2θ s1 ทเี่ สน รัศมี CA กระทําตอเสนรศั มี CE ในทิศทางตามเขม็ นาฬกิ าจะคาํ นวณไดโ ดยใชต รีโกณมติ ิ
เม่ือเราไดค ามุม θ s1 แลว เราจะหาระนาบบน element ดังกลาวได โดยการหมนุ แกนอา งอิง x ตามเขม็ นาฬิกา
ไปทีแ่ กน x′ ดงั ที่แสดงในรูปที่ 9-13b และคาของหนวยแรงบนระนาบนี้จะเปนพกิ ดั ของจุด E คอื σ avg และ R
Mechanics of Materials 9-22
ตัวอยางที่ 9-4
กาํ หนดใหสภาวะของหนว ยแรงท่ีจุดวงกลมสดี ําบนถงั ความดันมีลกั ษณะดงั ที่แสดงในรูปท่ี EX 9-4a จงหาสภาวะ
ของหนว ยแรงในรูปของ principal stresses และ maximum in-plane shear stress ท่เี กดิ ข้ึนบน stress element
รปู ที่ Ex 9-4
จาก sign convention ที่เรากาํ หนด เราจะไดวา
σ x = −20 MPa σ y = +90 MPa τ xy = 60 MPa
จดุ ศนู ยกลางของ Mohr’s circle อยูท พี่ กิ ัด (σ avg ,0)
σ avg = σx +σ y = − 20 + 90 = 35 MPa
2 2
รศั มขี อง Mohr’s circle
σ x −σ y 2 − 20 − 90 2
2 2
R= + τ 2 = + 602 = 81.4 MPa
xy
กําหนดให Mohr’s circle มีแกนของหนวยแรงตั้งฉาก σ เปน แกนนอนและแกนของหนว ยแรงเฉือน τ เปน แกน
ต้ัง โดยใหแกนบวกมที ศิ พงุ ลง ดังน้ัน เราจะเขยี น Mohr’s circle ไดด ังท่ีแสดงในรูปที่ EX 9-4b
Mechanics of Materials 9-23
สภาวะของหนวยแรงบนหนา ตดั ทตี่ ั้งฉากกับแกน x ของ stress element จะเขียนใหอ ยูในรูปพกิ ัดของ Mohr’s
circle (σ ,τ ) ไดเปน (−20,+60) ซง่ึ คือจดุ A ทอี่ ยบู น Mohr’s circle
หาสภาวะของหนว ยแรงในรปู ของ principal stresses
จาก Mohr’s circle ดังท่ีแสดงในรปู ที่ EX 9-4b เราจะไดวา สภาวะของหนว ยแรง principal stresses จะหาได
โดยใชพิกัดของจดุ B และจดุ D บน Mohr’s circle โดยท่ี
σ1 = 35 + 81.4 = 116.4 MPa
σ 2 = 35 − 81.4 = −46.4 MPa
และหนวยแรงเฉอื นท่ีสภาวะของหนว ยแรง principal stresses จะมคี า เปน ศูนย
ทศิ ทางการหมนุ ของ stress element ที่ถูกกระทําโดยสภาวะของหนว ยแรง principal stresses จะหาไดโดย
การหมนุ เสน รศั มี AC ทวนเข็มนาฬิกาเปน มมุ 2θ p1 จนทับกับเสน รศั มี BC ของ Mohr’s circle โดยท่ี
2θ p1 = 180o −φ = 180o − tan −1 60 = 132.5o
55
ดังนั้น แกน x ของ stress element จะตอ งถูกหมุนทวนเข็มนาฬกิ าไปในแนวของแกน x′ เปน มมุ
θ p1 132.5o = 66.3o
=2
รูปที่ EX 9-4c แสดงสภาวะของหนวยแรงของ principal stresses Ans.
หาสภาวะของหนวยแรงในรปู ของ maximum in-plane shear stress
จาก Mohr’s circle ดังท่แี สดงในรูปที่ EX 9-4d เราจะไดวา สภาวะของหนว ยแรง maximum in-plane shear
stress จะหาไดโ ดยใชพ ิกัดของจดุ E และจดุ F บน Mohr’s circle โดยท่ี maximum in-plane shear stress จะมีคา เทา
กับ
τ max = 81.4 MPa
in− plane
และคาหนวยแรงตัง้ ฉากที่เกดิ ขึ้น stress จะมีคา เทา กบั
σ avg = 35 MPa
ทิศทางการหมุนของ stress element ที่ถูกกระทาํ โดยสภาวะของหนว ยแรง maximum in-plane shear stress
จะหาไดโ ดยการหมนุ เสน รัศมี AC ทวนเขม็ นาฬกิ าเปนมมุ 2θ s11 จนทับกับเสนรศั มี EC ของ Mohr’s circle โดยท่ี
Mechanics of Materials 9-24
2θ s1 = 90o − φ = 90o − 47.5o = 42.5o Ans.
ดงั นน้ั แกน x ของ stress element จะตองถูกหมุนทวนเข็มนาฬกิ าไปในแนวของแกน x′ เปน มุม
θ p1 = 42.5o = 21.3o
2
รปู ท่ี EX 9-4e แสดงสภาวะของหนว ยแรงของ principal stresses
Mechanics of Materials 9-25
9.5 หนวยแรงเฉือนในระนาบสงู สดุ สมั บูรณ (Absolute Maximum Shear Stresses)
ในกรณีท่ี element ถกู กระทําโดยสภาวะของหนวยแรงท่ีอยูใ นสามมิตสิ ภาวะหน่งึ ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ 9-14a แลว
เราสามารถใช stress transformation หาสภาวะของหนวยแรงบนระนาบใดๆ ของ element ดงั กลาวได ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่
9-14b และหาสภาวะ principal stresses ทีเ่ กดิ ขึ้นบน element ดงั กลา วได ดังทแ่ี สดงในรูปที่ 9-14c โดยที่ principal
stresses จะมคี า เปน σ max ≥ σ int ≥ σ min อยา งไรก็ตาม การทาํ stress transformation ในกรณนี ี้จะคอ นขางยงุ ยาก
มาก ซ่งึ เราจะไดศ กึ ษาตอไปในวิชาขัน้ สูงท่ีกลาวถึง theory of elasticity
รปู ท่ี 9-14
ใน section น้ี เราจะสมมตุ วิ า เราทราบคา principal stresses และ principal planes ของ element ทถี่ กู กระทาํ
โดยสภาวะของหนวยแรงในสามมติ ิ ดงั ท่ีแสดงในรปู ที่ 9-14c ซึง่ สภาวะของ principal stresses นม้ี กั จะถกู เรยี กวา สภาวะ
triaxial stress ถา เราพิจารณา element ดงั กลาวในระนาบ y′ − z′ , x′ − z′ , และ x′ − y′ ดงั ท่แี สดงในรปู ท่ี 9-15a ถึง
9-15c แลว เราจะสามารถเขียน Mohr’s circle ของ element ดังกลาวไดด งั ทแ่ี สดงในรูปท่ี 9-15d และเราจะหาคา
maximum in-plane shear stress และหนว ยแรงตงั้ ฉากเฉลี่ยของแตละกรณีได เชน คา maximum in-plane shear stress
และหนวยแรงตง้ั ฉากเฉลี่ยของ element ในระนาบ y′ − z′ จะมคี าเทากบั (τ y′z′ )max = (σ int − σ min ) / 2 และ
(σ y′z′ )avg = (σ int + σ min ) / 2 ตามลําดบั ดังทีแ่ สดงในรปู ที่ 9-15e โดยที่ element ท่ถี กู กระทาํ โดยสภาวะของหนวย
แรงที่หามาไดจะทาํ มมุ 45o กับตาํ แหนงของ element ดังทแี่ สดงในรูปที่ 9-15a ในลักษณะท่ีคลา ยกัน เราจะหาสภาวะ
maximum in-plane shear stress และหนวยแรงตั้งฉากเฉลี่ยบน element ในระนาบ x′ − z′ และ x′ − y′ ดงั ทแี่ สดงใน
รูปที่ 9-15f และ 9-15g ตามลําดบั
Mechanics of Materials 9-26
เม่อื เราเปรียบเทียบ Mohr’s circle ท้ังสามวงในรูปท่ี 9-15d เราจะเห็นวา absolute maximum shear stress
หรือ τ abs จะหามาไดจ าก Mohr’s circle ที่มีรศั มีทีม่ ากที่สดุ ท่เี กดิ ขึน้ บน element ดงั ทแ่ี สดงในรูปที่ 9-15b ดงั นน้ั
max
τ abs = σ max − σ min (9-13)
max 2
และหนว ยแรงตั้งฉากเฉล่ยี จะหาไดจากสมการ
σ avg = σ max + σ min (9-14)
2
รปู ที่ 9-15
Mechanics of Materials 9-27
Plane Stress
ในกรณที ี่ stress element ถกู กระทาํ โดย principal stress σ max อยูในแนวแกน x′ principal stress σ int อยู
ในแนวแกน y′ และ principal stress σ min = 0 อยูในแนวแกน z′ ทตี่ ้งั ฉากกับระนาบ x′ − y′ ดงั ทแ่ี สดงในรปู ท่ี 9-
16a แลว เราอาจจะพจิ ารณาสภาวะของหนวยแรงดงั กลา วเปนสภาวะของหนว ยแรงแบบ plane stress ได
ถา σ max และ σ int เปนหนว ยแรงดึงแลว เราจะเขียน Mohr’s circle ของสภาวะของหนว ยแรง principal
stresses ไดดงั ทแี่ สดงในรูปที่ 9-16b และคา maximum in-plane shear stress (τ x′y′ )max = (σ max − σ int ) / 2 จะไม
เปนคา absolute maximum shear stress แตค า absolute maximum shear stress จะเกดิ ข้ึนในระนาบ x′ − z′ ซึ่งอยู
นอกระนาบ x′ − y′ ท่ี principal stresses กระทําและมีคา เทา กับ
τ abs = (τ x′z′ ) max = σ max − 0 = σ max (9-15)
max
2 2
รูปที่ 9-16
ในกรณีท่ี stress element ถูกกระทาํ โดย principal stress σ max อยูใ นแนวแกน x′ ซง่ึ เปนหนวยแรงดงึ
principal stress σ int = 0 อยูในแนวแกน z′ ทีต่ ้ังฉากกบั ระนาบ x′ − y′ และ principal stress σ min อยใู นแนวแกน
y′ ซ่ึงเปนหนว ยแรงกดอัด ดงั ทแ่ี สดงในรูปท่ี 9-17a แลว เราจะเขียน Mohr’s circle ของสภาวะหนวยแรง principal
stresses ไดด งั ทแี่ สดงในรปู ท่ี 9-17b ซงึ่ เราจะเหน็ วา คา absolute maximum shear stress จะเกดิ ขึน้ ในระนาบ x′ − y′
ซึ่งเปนระนาบที่ principal stresses กระทาํ และมคี า เทา กบั
τ abs = (τ x′y′ )max = σ max − σ min (9-15)
max 2
การพิจารณาคา absolute maximum in-plane shear stress ท่กี ลาวถึงมานี้ มีความสําคญั มากในการออกแบบ
ชิ้นสว นของโครงสรางหรือเครื่องจักกลเชน เพลา เปน ตน ที่ทาํ ดวยวสั ดุแบบ ductile material เนอื่ งจากกาํ ลังของวัสดดุ งั
กลา วจะขนึ้ อยกู บั ความสามารถของวสั ดใุ นการรบั แรงเฉอื น
Mechanics of Materials 9-28
รูปท่ี 9-17
Mechanics of Materials 9-29
ตัวอยา งที่ 9-5
กําหนดใหส ภาวะของหนว ยแรงบน stress element หนงึ่ มีคาเปน σ x = 100 MPa , σ y = −60 MPa , และ
τ xy = 80 MPa จงหาคา principle stresses และคา absolute maximum shear stress ของสภาวะของหนว ยแรงดัง
กลา ว
Principal normal stresses
จุดศนู ยกลางของ Mohr’s circle อยทู ี่พิกดั (σ avg ,0)
σ avg = σx +σ y = 100 − 60 = 20 MPa
2 2
รัศมีของ Mohr’s circle
σ x −σ y 2 100 − (−60) 2
2 2
R= + τ 2 = + 802 = 113.1 MPa
xy
กาํ หนดให Mohr’s circle มแี กนของหนวยแรงตง้ั ฉาก σ เปนแกนนอนและแกนของหนว ยแรงเฉอื น τ เปนแกน
ตง้ั โดยใหแ กนบวกมีทิศพุง ลง ดงั นัน้ เราจะเขียน Mohr’s circle ไดดังท่ีแสดงในรปู ที่ EX 9-5 และเราจะไดว า สภาวะของ
หนวยแรง principal stresses จะหาไดโ ดยใชพิกดั ของจดุ B และจดุ D บน Mohr’s circle โดยที่
σ1 = 20 + 113.1 = 133.1 MPa
σ 2 = 20 −113.1 = −93.137 MPa
และทิศทางการหมุนของ stress element ทีถ่ ูกกระทาํ โดยสภาวะของหนวยแรง principal stresses จะหาไดโดยการหมนุ
เสนรศั มี OA ทวนเข็มนาฬิกาเปนมุม 2θ p1 จนทบั กบั เสนรศั มี BC ของ Mohr’s circle โดยที่
2θ p1 = tan −1 80 = 45.0o
(100 − (−80)) / 2
ดงั นนั้ แกน x ของ stress element จะตองถูกหมนุ ทวนเข็มนาฬิกาไปในแนวของแกน x′ เปน มุม
θ p1 = 45.0o = 22.5o
2
เนือ่ งจาก principal stresses ในทศิ ทาง z มีคา เทากับศูนย ดงั นั้น
σ max = 133.1 MPa σ int = 0 MPa σ min = −93.137 MPa Ans.
รูปที่ EX 9-5
Mechanics of Materials 9-30
Absolute maximum shear stress
จากสมการที่ 9-13 และ 9-14 เราจะไดว า
τ abs = σ max − σ min = 133.137 − (−93.137) = 113.14 MPa
max 2 2
σ avg = σ max + σ min = 133.1 + (−93.1) = 20 MPa
2 2
ซ่ึงคาดงั กลาวสามารถหาไดโ ดยการเขยี น Mohr’s circle ในระนาบ y′ − z′ , x′ − z′ , และ x′ − y′ ดังที่แสดงในรปู ท่ี
EX 9-5 และคา absolute maximum shear stress จะเปน คา เดียวกนั กบั maximum in-plane shear stress ในระนาบ
x′ − y′ ท่หี าไดจากการหมนุ stress element เริ่มตน ในทิศทางตามเขม็ นาฬิกาไปเปนมุม 22.5o Ans.
Mechanics of Materials 9-31
แบบฝกหัดทา ยบทที่ 9
9-1 สภาวะของหนว ยแรงทีจ่ ุดๆ หน่งึ บนชนิ้ สว นของโครงสรา งมีลกั ษณะดังทแี่ สดงในรปู ที่ Prob. 9-1
a.) จงหาหนว ยแรงตางๆ ทีก่ ระทําอยูบนระนาบ AB
b.) จงหาสภาวะของหนว ยแรงเมอ่ื สภาวะของหนว ยแรงถกู หมุนเปน มุมตามเข็มนาฬกิ าโดยใชส มการ stress-
transformation
c.) จงหาสภาวะของหนว ยแรงเมื่อสภาวะของหนว ยแรงถกู หมนุ เปน มุมตามเข็มฯาฬิกาโดยใช Mohr’s Circle
d.) จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทเี่ กดิ ขนึ้ บน stress
element และทิศทางของ element โดยใชสมการ stress-transformation
e.) จงหาสภาวะของหนวยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทีเ่ กิดขนึ้ บน stress
element และทศิ ทางของ element โดยใช Mohr’s Circle
รปู ท่ี Prob. 9-1
9-2 สภาวะของหนว ยแรงทีจ่ ดุ ๆ หนึง่ บนชิ้นสว นของโครงสรา งมลี กั ษณะดังท่แี สดงในรูปท่ี Prob. 9-2
a.) จงหาสภาวะของหนว ยแรงเม่ือสภาวะของหนว ยแรงถกู หมุนเปนมุมตามเข็มนาฬิกาโดยใชส มการ stress-
transformation
b.) จงหาสภาวะของหนว ยแรงเมือ่ สภาวะของหนวยแรงถูกหมนุ เปนมุมตามเข็มฯาฬิกาโดยใช Mohr’s Circle
c.) จงหาสภาวะของหนวยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ท่เี กิดขึ้นบน stress
element และทิศทางของ element โดยใชสมการ stress-transformation
d.) จงหาสภาวะของหนวยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ท่ีเกดิ ขึน้ บน stress
element และทิศทางของ element โดยใช Mohr’s Circle
รปู ที่ Prob. 9-2
9-3 คานไมถกู กระทําโดยแรง 12 kN ดังทแี่ สดงในรูปที่ Prob. 9-3 ถา ไมเ สี้ยนไมท จ่ี ดุ A ทํามมุ 25o กบั แนวนอน
Mechanics of Materials 9-32
a.) จงหาหนว ยแรงต้งั ฉาก (normal stress) ในแนวตั้งฉากกับเส้ยี นไมแ ละหนว ยแรงเฉือน (shear stress) ใน
แนวขนานกบั เสย้ี นไม
b.) จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทีเ่ กิดขึน้ บน stress
element และทศิ ทางของ element
รปู ที่ Prob. 9-3
9-4 จงหาสภาวะของหนวยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทเ่ี กดิ ขึ้นบน stress element
ทจ่ี ดุ B ของโครงสรา ง ดงั ทีแ่ สดงในรูปท่ี Prob. 9-4
รูปท่ี Prob. 9-4
9-5 จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ที่เกดิ ขึ้นบน stress element
ทจ่ี ุด B ของโครงสราง ดงั ทแี่ สดงในรูปท่ี Prob. 9-5
รูปที่ Prob. 9-5
9-6 จงหาสภาวะของหนว ยแรง principal stresses และ maximum in-plane shear stress ทเี่ กิดขนึ้ บน stress element
ทจ่ี ุด A ของชิน้ สวนทรี่ องรับลอของเคร่อื งบนิ เม่อื กาํ หนดใหแ รงกระทาํ มีคา P = 12 kN ดงั ท่ีแสดงในรปู ท่ี Prob. 9-6