ค่มู อื การปฏิบตั ิงาน
แบคทเี รียและรา
สำ� หรับโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลท่วั ไป
ศ.เกยี รติคุณ ดร.มาลยั วรจิตร ดร.วนั ทนา ปวณี กิตตพิ ร
ดร.สวุ รรณา ตระกูลสมบรู ณ ์ นางสรุ างค์ เดชศริ ิเลศิ
สำ� หรบั โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทัว่ ไป III
คมู่ อื การปฏิบัติงานแบคทเี รียและรา ส�ำหรบั โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลทั่วไป
จัดทำ� โดย
สถาบนั วิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสขุ กรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ศูนยค์ วามร่วมมือไทย-สหรฐั ด้านสาธารณสุข
ท่ปี รึกษา
นพ.อภิชัย มงคล
ศ.นพ.สมหวงั ดา่ นชยั วิจิตร
นพ.สมชาย แสงกิจพร
บรรณาธิการ
ศ.เกยี รติคุณ ดร.มาลยั วรจติ ร
ดร.วันทนา ปวีณกิตติพร
ดร.สวุ รรณา ตระกลู สมบรู ณ์
นางสรุ างค์ เดชศิรเิ ลศิ
สงวนสขิ สทิ ธิ์ตามพระราชบัญญตั กิ ารพิมพ์
หา้ มมิให้ทำ� ซ้�ำ ท�ำส�ำเนา หรือลอกเลยี นแบบโดยมไิ ดร้ บั อนุญาต
พิมพค์ รง้ั ที่ 3 กนั ยายน 2561
จ�ำนวน 4,000 เลม่
ISBN 978-616-11-3803-5
ออกแบบปกโดย บรษิ ัท พรีเมยี ร์ มาร์เก็ตต้ิง โซลชู ั่น จำ� กัด
รปู และภาพประกอบในเล่มโดย ผนู้ พิ นธ์
พมิ พท์ ี่
บรษิ ทั พรเี มยี ร์ มาร์เก็ตติง้ โซลูชนั่ จำ� กัด
เลขที่ 9/1 ซอยศรีอกั ษร ถนนชอ่ งนนทรี
แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาธร กรงุ เทพฯ 10120
IV คู่มอื การปฏบิ ตั งิ านแบคทเี รียและรา
ผู้นิพนธ์
ผศ.นพ.กำ� ธร มาลาธรรม
ประธานคณะกรรมการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล
รองผูอ้ �ำนวยการโรงพยาบาลรามาธบิ ดี
คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลยั มหดิ ล
[email protected]
นางสาวฉันทนา อรัญญะ
นกั เทคนิคการแพทยช์ �ำนาญการ
โรงพยาบาลพระน่ังเกลา้
[email protected]
ดร.ณัฏฐวี รรณ ปุ่นวนั
ขา้ ราชการบำ� นาญ ต�ำแหนง่ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญดา้ นเชื้อราและพาราสติ วทิ ยา
กรมวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ
[email protected]
นางสาวนิตยา ธรี ะวฒั นกลุ
นกั เทคนิคการแพทยช์ �ำนาญการพเิ ศษ
โรงพยาบาลสรรพสทิ ธิประสงค์
[email protected]
นายบุญช่วย เอย่ี มโภคลาภ
ข้าราชการบ�ำนาญ ตำ� แหน่งนักเทคนิคการแพทยช์ �ำนาญการพิเศษ
สถาบันบ�ำราศนราดรู
[email protected]
นางปทมุ พศิ วิมลวตั รเวที
ขา้ ราชการบำ� นาญ ต�ำแหนง่ นกั วทิ ยาศาสตร์การแพทย์เช่ยี วชาญด้านสอบเทยี บการวเิ คราะห์
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
[email protected]
ดร.ปิยะดา หวงั รุง่ ทรพั ย์
นกั เทคนิคการแพทย์ชำ� นาญการพเิ ศษ
กรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ
[email protected]
นางเพ็ญแข รัตนพิรยิ กลุ
เจา้ พนกั งานวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ชำ� นาญงาน
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ
[email protected]
สำ� หรบั โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลท่วั ไป V
ศ.เกียรตคิ ณุ ดร.มาลัย วรจติ ร
ขา้ ราชการบำ� นาญ ต�ำแหน่งศาสตราจารย์
คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวทิ ยาลยั มหิดล
ผศ.ดร.วรดา สโมสรสขุ
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์
คณะสหเวชศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
[email protected]
นางวรรณา เพ่งเรืองโรจนชัย
ข้าราชการบำ� นาญ ต�ำแหนง่ นักเทคนิคการแพทยช์ �ำนาญการพิเศษ
โรงพยาบาลราชบุรี
[email protected]
ดร.วนั ทนา ปวีณกติ ติพร
นกั วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ช�ำนาญการพิเศษ
กรมวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ
[email protected]
นางสาววิภา ตรีรตั นว์ ีรพงษ์
นกั เทคนิคการแพทยช์ �ำนาญการพิเศษ
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชนิ ี
[email protected]
นายสมชัย หลกภชิ าติ
นักเทคนคิ การแพทย์ช�ำนาญการพเิ ศษ
ส�ำนกั โรคเอดส์ กรมควบคมุ โรค
[email protected]
นายสมศกั ด์ิ ราหลุ
นกั เทคนิคการแพทย์ชำ� นาญการพิเศษ
โรงพยาบาลราชวิถี
[email protected]
นายสมศักด์ิ เหรียญทอง
นกั วิทยาศาสตรก์ ารแพทยช์ �ำนาญการพเิ ศษ
สำ� นักวัณโรค กรมควบคุมโรค
[email protected]
ศ.เกยี รตคิ ุณ พญ.สยมพร ศิรนิ าวนิ
ขา้ ราชการบำ� นาญ ต�ำแหนง่ ศาสตราจารย์
คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวิทยาลัยมหดิ ล
[email protected]
VI ค่มู ือการปฏิบัตงิ านแบคทเี รียและรา
นางสุจติ รา มานะกุล
นักเทคนคิ การแพทย์ชำ� นาญการพเิ ศษ
โรงพยาบาลสรุ าษฎร์ธานี
[email protected]
พ.อ.หญงิ ผศ.สดุ าลกั ษณ์ ธัญญาหาร
อาจารยว์ ทิ ยาลัยแพทยพ์ ระมงกุฎเกล้า/ผูช้ ่วยศาสตราจารย์
กองพยาธวิ ทิ ยา โรงพยาบาลพระมงกฎุ เกลา้
[email protected]
นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ
ข้าราชการบำ� นาญ ต�ำแหน่งนกั วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ผ้ทู รงคุณวฒุ ิดา้ นชวี วิทยา
กรมวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
[email protected]
ดร.สวุ รรณา ตระกูลสมบรู ณ์
อาจารย์ประจำ� มหาวิทยาลยั รังสิต
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลยั รังสติ
ข้าราชการบ�ำนาญ ต�ำแหนง่ นักเทคนิคการแพทยช์ �ำนาญการพิเศษ
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
[email protected]; [email protected]
นางหัทยา ธญั จรญู
นกั เทคนคิ การแพทย์ชำ� นาญการพิเศษ
โรงพยาบาลตากสิน
[email protected]
นายอนุชาติ จ๋อมแปง
นักเทคนิคการแพทยป์ ฏบิ ัติการ
ส�ำนกั โรคเอดส์ กรมควบคุมโรค
[email protected]
ดร.อนศุ กั ดิ์ เกดิ สิน
นักวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
[email protected]
สำ� หรบั โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลท่วั ไป VII
ค�ำนยิ ม
การตรวจวเิ คราะหท์ างจลุ ชวี วทิ ยา เปน็ เทคนคิ สำ� คญั ในการชนั สตู รและยนื ยนั โรคตดิ เชอ้ื ปจั จบุ นั เชอื้ ดอื้ ยา
เปน็ ปญั หาสำ� คญั ตอ่ การสาธารณสขุ ไทยและของโลก การขนสง่ การเดนิ ทางจากซกี โลกหนง่ึ ไปยงั อกี ซกี โลกหนง่ึ
สะดวกรวดเร็ว ไม่มีพรมแดนก้ัน สถานการณ์โรคและภัยสุขภาพเปล่ียนแปลงตามปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะ
โรคติดเชื้อสามารถแพร่เข้าสู่ประเทศได้ง่ายข้ึน ซ่ึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชากรไทย ตลอดจนการ
ด�ำเนินงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง ดังน้ัน บทบาทของห้องปฏิบัติการจึงมีความส�ำคัญมาก
ในการเตรียมความพร้อมและตอบสนองการระบาดของเชื้อด้ือยา และเป็นก�ำลังส�ำคัญในการเป็นเครือข่ายของ
ระบบเฝ้าระวงั โรคของประเทศ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ในฐานะห้องปฏิบัติการอ้างอิงและห้องปฏิบัติการสาธารณสุขระดับประเทศ
ก�ำหนดพันธกิจเน้นการสร้างความม่ันคงด้านสุขภาพ และลดความเหล่ือมล�้ำในการเข้าถึงบริการทางด้าน
สาธารณสุขด้วยองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ คู่มือปฏิบัติงานแบคทีเรียและรา ส�ำหรับ
โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป เป็นเอกสารต�ำราที่มีส่วนช่วยในการยกระดับคุณภาพการตรวจทางห้อง
ปฏิบัติการ จุลชีววิทยาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ และเป็นคู่มือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ห้อง
ปฏิบัติการ จุลชีววิทยาทั่วประเทศได้ใช้อ้างอิงเป็นแนวปฏิบัติ โดยสอดคล้องกับแนวทางของกฎอนามัยระหว่าง
ประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๘ (International Health Regulations 2005) และเกณฑก์ ารประเมนิ Joint External Evaluation
(JEE)ขององคก์ ารอนามยั โลกเนอื่ งจากมเี นอ้ื หาครอบคลมุ ตงั้ แตว่ ธิ กี ารเกบ็ ตวั อยา่ งวธิ ที ดสอบการควบคมุ คณุ ภาพ
รวมทั้งความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน อีกทั้งคณะผู้นิพนธ์ ประกอบด้วยคณาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิจาก
มหาวิทยาลัยและหน่วยงานต่างๆที่ได้รับความเช่ือถือในระดับชาติและนานาชาติ คู่มือฉบับนี้สนับสนุนให้
เครอื ขา่ ยการเฝา้ ระวงั โรคทางห้องปฏิบัตกิ ารมคี วามเข้มแขง็ ผลการวเิ คราะหท์ างหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารถกู ต้อง เชื่อถอื ได้
การจัดพิมพ์คร้ังท่ี ๓ นี้ จึงนับเป็นเร่ืองท่ีน่าสนับสนุนและส่งเสริมอย่างยิ่ง ในการตอบสนอง ความต้องการ
การใชง้ านของโรงพยาบาลทกุ ระดับ
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หวังเป็นอย่างยง่ิ วา่ “คมู่ ือปฏิบัติงานแบคทเี รียและรา ส�ำหรับโรงพยาบาลศูนย์
และโรงพยาบาลท่ัวไป” ฉบับพิมพ์ครั้งท่ี ๓ นี้จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล
สมเจตนารมณ์ของคณะผจู้ ดั ท�ำทุกประการ
(นายสุขุม กาญจนพิมาย)
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
VIII คูม่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา
ค�ำนิยม
ประเทศไทยจะเข้าสู่วาระประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรม ส�ำหรับภาคสาธารณสุขนั้น
อาจเป็นภาวการณ์ท่ีโรคติดเช้ือและเชื้อก่อโรคที่ส�ำคัญแพร่เข้าสู่ประเทศได้ง่ายข้ึน ดังน้ันบทบาทของห้องปฏิบัติ
การจงึ มีความส�ำคัญมาก กล่าวคือต้องมีความพร้อมในการรองรับโรคระบาด และเป็นก�ำลังส�ำคัญในการเป็น
เครือข่ายของระบบเฝ้าระวังโรคของประเทศ การจัดท�ำหนังสือคู่มือการปฏิบัติงานแบคทีเรียและรา ส�ำหรับ
โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลท่ัวไป จึงนับเป็นเร่ืองที่น่าสนับสนุนและส่งเสริมอย่างย่ิง เน่ืองจากเป็นการ
ปรับปรุงคู่มือวธิ ีปฏบิ ตั งิ านทางหอ้ งปฏบิ ัติการจลุ ชวี วิทยาใหท้ นั ต่อยคุ สมัย และสอดคล้องกับแผนพฒั นาระบบ
และสมรรถนะของห้องปฏิบัติการทุกระดับท้ังในและนอกกระทรวงสาธารณสุขท่ีจัดท�ำโดยกรมวิทยาศาสตร์
การแพทย์ หนังสือเล่มน้ีมีความครอบคลุมตั้งแต่วิธีการเก็บตัวอย่าง วิธีทดสอบ การควบคุมคุณภาพ รวมทั้ง
ความปลอดภัยในการปฏิบัตงิ าน ซง่ึ เปน็ ไปตามแนวทางของกฎอานามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2548 (International
Health Regulations 2005) จึงนับเปน็ ประโยชน์ต่อบุคลากรสาธารณสุขเปน็ อย่างย่ิง
ขอชื่นชมความตั้งใจและความอุตสาหะของคณะผู้จัดท�ำคู่มือการปฏิบัติงานแบคทีเรียและรา ส�ำหรับ
โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป และคาดหวังว่าหนังสือเล่มน้ีจะได้รับการน�ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์
สูงสุดต่อห้องปฏบิ ตั กิ ารของโรงพยาบาล สมเจตนารมณข์ องคณะผจู้ ดั ท�ำทุกประการ
(นายอภิชัย มงคล)
อธิบดีกรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทว่ั ไป IX
Preface
The Division of Global Health Protection at the Thai Ministry of Public Health-US CDC Collaboration
is proud to partner with the Department of Medical Sciences in the publication and distribution of this
laboratory manual for bacteriology. Microbiology laboratories at regional and general hospitals are essential
resources for detecting emerging and re-emerging infectious diseases, as well as long-standing threats to public
health. In this age of increasing antimicrobial resistance and rapid disease spread across borders, the need for
optimal procedures for specimen collection, transportation, testing and reporting are more important than ever.
The guidelines in this manual, which reflect both many years of practical experience and the most current
scientific knowledge, can help hospital laboratories throughout Thailand provide the best microbiological
services possible. Prompt and accurate identification of bacteria and fungi and determination of antimicrobial
susceptibility are essential not only for optimal clinical care, but are the cornerstone of public health
surveillance for serious invasive diseases. The US CDC is gratified to share a long partnership with the
Thailand Ministry of Public Health on laboratory-based surveillance for invasive and vaccine-preventable
bacterial infections. The guidance provided in this manual on quality assurance and biosafety techniques
will further strengthen the capacity of microbiological laboratories throughout Thailand to safely, rapidly
and confidently diagnose serious diseases. High quality laboratory diagnosis is the key to detecting, preventing
and controlling disease including outbreaks of potentially vaccine-preventable diseases. We congratulate the
editors and authors of this manual for providing a resource that will be valuable for many years in protecting the
health of the Thai people.
John R. MacArthur, MD, MPH
Director, Thailand MOPH - US CDC Collaboration
X คมู่ ือการปฏบิ ัตงิ านแบคทีเรยี และรา
คำ� น�ำ
ฉบบั พิมพ์ครั้งท่ี 3
เน่ืองจากค่มู อื การปฏบิ ตั งิ านแบคทเี รียและรา ส�ำหรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทัว่ ไป ท่ไี ด้จดั พมิ พ์
ครั้งท่ี 1 ในปี พ.ศ. 2557 และจัดพิมพ์เพ่ิมเติมในปี พ.ศ. 2558 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซ่ึงยังมีบุคลากรทาง
ห้องปฏิบัติการอกี จ�ำนวนมากที่ต้องการค่มู ือการปฏบิ ตั งิ านแบคทเี รียและราฯนี้ จงึ ไดจ้ ดั ทำ� ฉบบั ปี พ.ศ. 2561 ข้ึน
โดยปรบั ปรุงเนอื้ หาบางส่วนใหท้ นั สมัย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์หวังว่า คู่มือการปฏิบัติงานแบคทีเรียและรา ส�ำหรับโรงพยาบาลศูนย์และ
โรงพยาบาลทวั่ ไป2561น้ีจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ บคุ ลากรทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารแพทย์พยาบาลบคุ ลากรดา้ นสาธารณสขุ
ทม่ี สี ว่ นเก่ียวข้องกับการปฏบิ ัติงานแบคทเี รยี และราในโรงพยาบาลทัว่ ประเทศ
สำ� หรบั โรงพยาบาลศูนยแ์ ละโรงพยาบาลทั่วไป XI
คำ� น�ำ
คู่มือการปฏิบัติงานแบคทีเรียและเชื้อรา ส�ำหรับโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปที่จัดท�ำน้ีมี
วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานย้อมสี เพาะ แยก และวินิจฉัยแบคทีเรียและเชื้อรา จาก
ส่ิงส่งตรวจผู้ป่วยและการทดสอบความไวของแบคทีเรียก่อโรคต่อสารต้านจุลชีพที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย โดย
เน้นวิธีด�ำเนินงานเป็นหลกั เพ่อื ใหห้ อ้ งปฏิบตั กิ ารทวั่ ประเทศมีแนวทางการท�ำงานท่ีมมี าตรฐาน เปน็ ไปในทศิ ทาง
เดียวกันและคงเส้นคงวา นอกจากน้ียังกล่าวถึงหลักการของการทดสอบต่างๆซึ่งจะน�ำไปสู่ความเข้าใจและท�ำให้
ปฏบิ ตั งิ านได้อย่างมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน เน้ือหาในคู่มือน้ีครอบคลุมทุกข้ันตอนของการปฏิบัติงานต้ังแต่การเลือก
เก็บและนำ� สง่ สงิ่ สง่ ตรวจซงึ่ เปน็ ปจั จยั สำ� คญั ตอ่ ผลการทดสอบทไ่ี ด้ การดำ� เนนิ การตรวจวเิ คราะห์ และการวนิ จิ ฉยั
ชนิดของเช้ือก่อโรคจากสิ่งส่งตรวจต่างๆ การทดสอบความไวของแบคทีเรียก่อโรคกับสารต้านจุลชีพ การทวน
สอบผลที่ได้กอ่ นรายงานผล การรายงานผล การควบคมุ คณุ ภาพในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ความปลอดภยั ในการปฏบิ ตั งิ าน
ของบคุ ลากรและสงิ่ แวดลอ้ ม ผเู้ ขยี นทกุ คนมคี วามตง้ั ใจในการจดั ทำ� คมู่ อื นี้ โดยรวบรวมความรจู้ ากตำ� ราตา่ งๆ และ
ประสบการณจ์ ากการท�ำงานมาไว้ในแต่ละบท และพยายามเขียนให้กระชับเพ่ือให้ง่ายต่อการน�ำไปใช้ จึงหวัง
เป็นอย่างยิ่งว่าค่มู อื น้ีจะเปน็ ประโยชนต์ ่อผ้ปู ฏิบัตงิ านแบคทเี รียและเช้อื ราในโรงพยาบาลท่ัวประเทศไทย
มาลัย วรจติ ร
XII คมู่ ือการปฏิบตั งิ านแบคทีเรียและรา
สารบัญ
บท หน้า
บทที ่ 1 การปอ้ งกันการตดิ เชอ้ื จากการปฏิบัติงานในหอ้ งปฏบิ ัติการ 1
บทท่ ี 2 การเก็บสง่ิ ส่งตรวจเพ่อื วนิ จิ ฉยั โรคตดิ เชอ้ื แบคทเี รียและเช้อื รา 11
บทท ่ี 3 การวนิ จิ ฉัยโรคตดิ เชือ้ จากสิง่ ส่งตรวจดว้ ยกล้องจุลทรรศน ์ 33
บทที ่ 4 ขัน้ ตอนการเพาะเชื้อจากสิ่งสง่ ตรวจ
4.1 การเพาะเชือ้ จากเลอื ด 54
4.2 การเพาะเชอื้ จากน�ำ้ ไขสนั หลงั และนำ้� สว่ นต่างๆของร่างกาย 62
4.3 การเพาะเชื้อจากปัสสาวะ 68
4.4 การเพาะเช้ือจากอจุ จาระ/rectal swab 73
4.5 การเพาะเชื้อจากระบบทางเดนิ หายใจ 80
4.6 การเพาะเชื้อจากระบบสืบพันธ ์ุ 88
4.7 การเพาะเชือ้ จากหนอง แผล ฝี ตา่ งๆ 93
บทท่ ี 5 การวนิ จิ ฉยั แบคทเี รยี กอ่ โรคกลมุ่ ต่าง ๆ และเช้อื ราท่พี บบอ่ ย
5.1 การวนิ ิจฉยั แบคทีเรยี ชนิด Gram-Positive Cocci 102
5.2 การวินิจฉยั แบคทเี รียชนดิ Gram-Positive Bacilli 113
5.3 การวนิ ิจฉยั เชือ้ แบคทเี รยี Gram-Negative Cocci 117
5.4 การวินิจฉยั เช้อื แบคทเี รยี Family Enterobacteriaceae 120
5.5 การวนิ ิจฉัยเชือ้ แบคทเี รีย Family Vibrionaceae 139
5.6 การวินิจฉัยเชือ้ กล่มุ Glucose Nonfermentative Gram-Negative Bacilli 144
5.7 การวินิจฉัยเชื้อกลุ่ม Higher Bacteria 173
5.8 การวนิ จิ ฉยั เชอื้ กลุม่ Miscellaneous Gram-Negative Bacteria 177
5.9 การวนิ ิจฉยั เชอื้ กลุ่ม Anaerobic Bacteria 185
5.10 การวินจิ ฉยั เชอ้ื วัณโรคและเชื้อมยั โคแบคทเี รยี อนื่ ๆ 196
5.11 การวินิจฉยั เช้อื ราทีพ่ บบอ่ ย 207
บทท่ ี 6 การทดสอบความไวของแบคทีเรยี ต่อสารต้านจุลชีพ 215
บทท ่ี 7 การควบคมุ คุณภาพในหอ้ งปฏิบตั กิ ารแบคทีเรยี 265
บทท่ ี 8 การทวนสอบผล 286
บทที่ 9 บทบาทของหอ้ งปฎิบัติการจลุ ชวี วิทยาในด้านการควบคมุ และป้องกนั โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล 301
บทท่ี 10 การตดิ เชือ้ แบคทเี รยี ในชมุ ชน: บทบาทของหน่วยงานการปฏิบัตกิ ารดา้ นแบคทเี รีย 305
ภาคผนวก 309
สำ� หรบั โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลทั่วไป XIII
สารบัญภาพ หนา้
3
ภาพ 35
ภาพที่ 1-1 แสดงตวั อยา่ งห้องปฏิบตั กิ ารระดบั ต่างๆ 38
ภาพที่ 3-1 การย้อมสี acid-fast ในการตรวจหาเชอ้ื มัยโคแบคทเี รีย 41
ภาพที่ 3-2 เคร่ือง cytospin slide centrifuge 68
ภาพท่ี 3-3 ลกั ษณะการตดิ สีและการเรยี งตวั ของเช้ือที่ใช้ควบคมุ คุณภาพการย้อมแกรม
ภาพท่ี 4.3-1 วิธีการเพาะปสั สาวะบน BA 186
ภาพที่ 5.9-1 Rubber-stoppered collection vial containing an agar indicator system 186
ภาพท่ี 5.9.2 Anaerobic transport system ส�ำหรับส่งิ สง่ ตรวจท่ีเปน็ เนื้อเย่ือ 187
ภาพที่ 5.9-3 Anaerobic transport system สำ� หรบั ตวั อย่าง swab 248
ภาพท่ี 6-1 ตัวอยา่ งการทดสอบหาคา่ MIC ดว้ ยวธิ ี broth microdilution 261
ภาพที่ 6-2 ลักษณะของ D-test 262
ภาพที่ 6-3 Epsilometer test (E-test)
XIV คูม่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทีเรยี และรา
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
ตารางท่ี 1-1 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง Risk groups, ระดบั ชีวนิรภัย, การปฏิบตั ิ และอปุ กรณต์ ่างๆ 4
ตารางท่ี 1-2 ลำ� ดบั ความทนของจุลชีพต่อสารท�ำลายจุลชีพแต่ละชนดิ เรียงจากมากไปหานอ้ ย 7
และระดบั ของการทำ� ลายเชอ้ื หรือน้ำ� ยาทำ� ลายเช้อื
ตารางที่ 1-3 การจ�ำแนกขยะและวิธกี ารกำ� จดั ขยะ 9
ตารางท่ี 2-1 การเกบ็ สงิ่ สง่ ตรวจจากระบบต่างๆในร่างกาย การน�ำส่งและการรักษา 15
ตารางที่ 2-2 สงิ่ ส่งตรวจท่คี วรเก็บ และส่ิงส่งตรวจที่ไม่ควรเก็บส�ำหรับการเพาะเช้อื 16
ตารางที่ 2-3 การเก็บสิ่งสง่ ตรวจเพอื่ วนิ ิจฉยั โรคติดเช้อื Aerobic bacteria 18-28
ตารางที่ 2-4 การเก็บสงิ่ สง่ ตรวจเพอ่ื วินจิ ฉยั โรคติดเช้อื รา 29-31
ตารางที่ 3-1 ลกั ษณะของเชอ้ื ท่พี บในสิง่ ส่งตรวจต่างๆ และการรายงานผล
ก. แบคทเี รียแกรมบวกทพ่ี บในสง่ิ สง่ ตรวจผู้ปว่ ย 42-45
ข. แบคทีเรียแกรมลบทพ่ี บในส่งิ สง่ ตรวจผ้ปู ่วย 45-47
ค. จลุ ชีพอืน่ ๆ ท่ตี รวจไดจ้ ากการทำ� direct smears สิง่ สง่ ตรวจผูป้ ่วย 47-48
ตารางที่ 4.1-1 แสดงแบคทเี รียท่แี ยกได้จากเลอื ดและโอกาสของการปนเปอ้ื น 58
(false positive) หรือโอกาสของการกอ่ โรค (true positive)
ตารางท่ี 4.3-1 การค�ำนวณจำ� นวนโคโลนีที่นับไดเ้ มอื่ ใช้ loop เทียบมาตรฐาน 0.001 ml 69
ตารางที่ 4.3-2 การคำ� นวณจ�ำนวนโคโลนีท่นี ับไดเ้ มื่อใช้ Bacteruristrip 70
ตารางที่ 4.3-3 เกณฑ์พจิ ารณานำ� เชื้อไปแยกวนิ จิ ฉัยชนดิ และทดสอบความไวต่อสารตา้ นจลุ ชพี 71
ส�ำหรบั แบคทีเรียท่แี ยกไดจ้ ากปัสสาวะ
ตารางที่ 4.4-1 เช้ือและอาหารเลย้ี งเช้ือท่ีเกี่ยวขอ้ ง 75
ตารางท่ี 4.6-1 ตารางการวินจิ ฉัยเชื้อกอ่ โรคในระบบสบื พนั ธ์ุ 90-91
ตารางที่ 4.7-1 การแปลผลการย้อมแกรมเชงิ ปรมิ าณส�ำหรบั ตวั อย่างท่ไี ม่ใช่เสมหะ 94
ไมใ่ ช่ตัวอยา่ งปา้ ยช่องคลอดท่ใี ช้วินจิ ฉยั ช่องคลอดอักเสบ และไม่ใช่
ตวั อย่างน้�ำคดั หลั่งทผ่ี า่ นการป่ัน
ตารางท่ี 4.7-2 การแปลผลการย้อมแกรมเชิงปริมาณสำ� หรับการตรวจสิ่งตรวจหนองโดยตรง 94
(direct examination) โดยการประเมินผลรว่ มของปรมิ าณ neutrophil และ squamous cell
เพื่อตรวจสอบคณุ ภาพส่งิ สง่ ตรวจ
ตารางท่ี 4.7-3 อาหารเลี้ยงเชอื้ สภาวะ อณุ หภมู แิ ละเวลาเพาะเชื้อจากหนองจากแผลลกึ และฝปี ิด 95
ตารางท่ี 4.7-4 อาหารเลีย้ งเชอ้ื สภาวะ อุณหภมู ิและเวลาเพาะเชอ้ื จากหนองจากแผลเปดิ ฝีเปดิ และผน่ื 96
ตารางที่ 4.7-5 อาหารเลยี้ งเชือ้ สภาวะ อุณหภมู แิ ละเวลาเพาะเช้ือจาก Conjunctival swab 97
ตารางท่ี 4.7-6 อาหารเลยี้ งเชอ้ื สภาวะ อณุ หภมู แิ ละเวลาเพาะเช้อื จาก Ear swab 98
สำ� หรับโรงพยาบาลศูนยแ์ ละโรงพยาบาลทวั่ ไป XV
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
ตารางที่ 5.1-1 การวินิจฉยั เช้ือ gram-positive cocci, catalase บวก ที่มีโคโลนีขนาดใหญ่ สขี าวหรอื เหลอื ง 103
ทีพ่ บบอ่ ย
ตารางที่ 5.1-2 ปฏิกริ ิยาทใี่ ชใ้ นการวินจิ ฉยั เช้อื Streptococcus group ตา่ งๆ 104
ตารางที่ 5.1-3 การวินิจฉัยเช้ือ Streptococcus กล่มุ pyogenic ดว้ ยปฏกิ ิรยิ าทางชีวเคมี 105
ตารางท่ี 5.1-4 การวินิจฉยั เชื้อ Streptococcus กลุ่ม non-pyogenic ดว้ ยปฏิกริ ิยาทางชวี เคม ี 106
ตารางท่ี 5.1-5 การวนิ ิจฉยั เชื้อในกลมุ่ ของ S. bovis group ดว้ ยปฏกิ ริ ิยาทางชวี เคม ี 107
ตารางท่ี 5.1-6 การวินิจฉัยเชอ้ื แบคทเี รยี gram-positive cocci, catalase negative, PYR positive 108
ท่ีไม่ใช่ Streptococcus group A
ตารางที่ 5.1-7 การวินจิ ฉัยเชอ้ื gram-positive cocci (excluding Streptococcus pyogenes), 110
catalase negative or weakly positive, PYR-positive
ตารางท่ี 5.1-8 การวนิ จิ ฉยั เชอ้ื gram-positive cocci, catalase negative and PYR-negative 111
ตารางที่ 5.2-1 การวินิจฉยั Aerobic non-spore forming gram positive bacilli ทส่ี ำ� คญั 114
ตารางที่ 5.2-2 การแยกชนดิ ของ Corynebacterium 114
ตารางท่ี 5.2-3 การแยกเชอื้ Bacillus cereus group 115
ตารางท่ี 5.3-1 Differentiation of Neisseria spp. and M. catarrhalis 119
ตารางท่ี 5.4-1 การแยกพิสจู นเ์ ชอ้ื กลมุ่ ท่ี 1 TSI : (AAAA-)////,AAAAreหหหหdรรรรpอือือือื igAAAAm////eAAAAnGGGGt (,,,,-HHHH),2222SSSSO----,D,,,PPPPCDDDD(A-AAA)((((--+-))),),, LLLDDDCCC(((--+)),) 121
ตารางท่ี 5.4-2 การแยกพสิ ูจน์เชื้อกลุ่มท่ี 1 TSI : 123
ตารางที่ 5.4-3 การแยกพิสูจนเ์ ช้ือกลุม่ ท่ี 1 TSI : 125
ตารางที่ 5.4-4 การแยกพสิ จู นเ์ ชอ้ื กลมุ่ ที่ 1 TSI : 127
motility 25 °C (-), DNase 25 °C
ตารางที่ 5.4-5 การแยกพสิ ูจน์เช้ือกลมุ่ ที่ 2 TSI : A/A หรอื แKKKKKAล//////AAAAAAะGGGGGGPl,,,,,,eHHHHHHsi222222oSSSSSSm-+-+--,,,, oPPPPnDDDDasAAAA 129
ตารางท่ี 5.4-6 การแยกพิสูจนเ์ ชือ้ กลุ่มที่ 3 TSI : K/A หรือ (+) (-),ODC (+) 130
ตารางที่ 5.4-7 การแยกพสิ ูจน์เช้อื กลมุ่ ที่ 3 TSI : K/A หรือ (-), LDC (-),ODC (-) 131
ตารางที่ 5.4-8 การแยกพิสูจน์เชอื้ กลมุ่ ที่ 3 TSI : K/A หรือ (-), LDC (+) 132
ตารางที่ 5.4-9 การแยกพสิ จู น์เช้อื กลุ่มที่ 3 TSI : K/A หรอื (-), LDC 134
ตารางท่ี 5.4-10 การแยกพสิ จู นเ์ ชื้อกลมุ่ ท่ี 4 TSI : K/A หรือ 136
ตารางท่ี 5.5-1 การทดสอบปฏิกริ ยิ าชวี เคมขี องเชอ้ื Vibrio 142
ตารางที่ 5.5-2 การทดสอบปฏกิ ริ ิยาชวี เคมีของเชอ้ื Aeromonas 143
ตารางท่ี 5.6-1 รายช่อื เชอ้ื ตามการจ�ำแนกผล oxidase/motility/OF (glucose) 152
ตารางท่ี 5.6-2 การจำ� แนกเชือ้ กลมุ่ oxidase บวก, motility บวก, OF glucose บวก, peritrichous flagella 153
XVI คมู่ ือการปฏิบัตงิ านแบคทีเรียและรา
สารบัญตาราง
ตาราง หนา้
ตารางท่ี 5.6-3 การจ�ำแนกเชอื้ กล่มุ oxidase บวก, motility บวก, OF glucose บวก, polar flagella 154-155
ตารางที่ 5.6-3(1) Characteristics of the B. cepacia complexa 156
ตารางที่ 5.6-4 การจ�ำแนกเช้อื กลมุ่ oxidase บวก, motility บวก, OF glucose ลบ, peritrichous flagella 157
ตารางที่ 5.6-5 การจำ� แนกเชอื้ กล่มุ oxidase บวก, motility บวก, OF glucose ลบ, polar flagella 158
ตารางที่ 5.6-6 การจำ� แนกเชื้อกลุ่ม oxidase บวก, motility ลบ, OF glucose บวก, indole บวก 159
ตารางที่ 5.6-7 การจ�ำแนกเช้อื กลมุ่ oxidase บวก, motility ลบ, OF glucose บวก, indole ลบ 160
ตารางท่ี 5.6-8 การจำ� แนกเช้อื กลมุ่ oxidase บวก, motility ลบ, OF glucose ลบ, indole บวก 161
ตารางท่ี 5.6-9 การจำ� แนกเชื้อกลุม่ oxidase บวก, motility ลบ, OF glucose ลบ, indole ลบ 161-162
ตารางที่ 5.6-10 การจ�ำแนกเชอ้ื กลุ่ม oxidase ลบ, motility บวก, OF glucose บวก 162
ตารางท่ี 5.6-11 การจ�ำแนกเชอื้ กล่มุ oxidase ลบ, motility ลบ , OF glucose บวก/ลบ 163
ตารางท่ี 5.6-12 การจ�ำแนกเชอ้ื กลุ่ม oxidase บวก/ลบ, motility บวก, OF glucose บวก/ลบ, 164
pink pigmented nonfermenter
ตารางที่ 5.6-13 Nomenclature of glucose nonfermentative gram-negative bacteria 165-171
from clinical specimens
ตารางที่ 5.7-1 ลกั ษณะของ grains หรอื granules ของเชือ้ กอ่ โรค actinomycotic mycetoma 174
ตารางที่ 5.7-2 Morphologic characteristics of aerobic actinomycetes 175
ตารางที่ 5.8-1 ลกั ษณะทางชวี เคมีของแบคทเี รียในกลมุ่ miscellaneous gram-negative 179
และแบคทเี รยี อืน่ ทใี่ กลเ้ คียง
ตารางที่ 5.8-2 การแยกพสิ ูจน์เช้ือ Campylobacter spp. 182-183
ตารางที่ 5.9-1 การอ่านผล anaerobic bacteria 193-194
ตารางที่ 5.10-1 แสดงวิธรี ายงานผลการตรวจสไลดด์ ว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์แบบ Grading 199
วิธี Ziehl – Neelsen
ตารางที่ 5.10-2 แสดงวิธีรายงานผลการตรวจสไลดด์ ้วยกลอ้ งจุลทรรศนแ์ บบ Grading 199
วธิ ี Fluorescent acid-fast staining ดว้ ย objective lens x20
ตารางที่ 5.10-3 ลักษณะต่างๆที่ใชส้ �ำหรบั แยกเช้อื วัณโรคออกจากเชอื้ มยั โคแบคทเี รียอ่นื ๆ (NTM) 203
ตารางท่ี 5.10-4 วธิ ีเตรียมอาหารไขท่ ั้งชนิด Lowenstein Jensen (LJ) และ 2% Ogawa medium 205
ตารางท่ี 5.11-1 สีโคโลนีของ Candida species บน CHROMagar Candida 209
ตารางท่ี 6-1 การเลอื กสารตา้ นจลุ ชพี ท่ที ดสอบกับเชือ้ แบคทีเรียแต่ละชนดิ 218-221
ตารางท่ี 6-2 สรุปยอ่ การทดสอบความไวของเชอื้ ชนดิ เจริญไวตอ่ สารตา้ นจุลชีพโดยวธิ ี 226-227
disk diffusion test
สำ� หรบั โรงพยาบาลศูนยแ์ ละโรงพยาบาลทั่วไป XVII
สารบัญตาราง
ตาราง หน้า
ตารางท่ี 6-3 สรปุ ยอ่ การทดสอบความไวของเช้ือ fastidious แบคทีเรยี ตอ่ สารตา้ นจลุ ชพี 227-228
โดยวิธี disk diffusion test
ตารางที่ 6-4 เชื้อทท่ี ดสอบและเชอื้ อ้างอิงทใี่ ชค้ วบคมุ คุณภาพการทดสอบความไวของเชอื้ 230
ต่อสารตา้ นจลุ ชพี โดยวิธี disk diffusion test (M100-S23) 231-232
ตารางท่ี 6-5 เชื้อทที่ ดสอบและเชอ้ื อา้ งอิงท่ีใชค้ วบคุมคณุ ภาพการทดสอบความไวของเชื้อ 233-236
240-241
ต่อสารตา้ นจุลชพี (M45-A2)
ตารางที่ 6-6 คุณลักษณะของเชอ้ื มาตรฐานส�ำหรับใช้ในการควบคมุ คณุ ภาพการทดสอบ 245
ความไวของเช้อื แบคทเี รียตอ่ สารต้านจลุ ชพี 247
ตารางที่ 6-7 รายการตรวจคัดกรองการดื้อยาตามชนิดการด้ือยาที่แสดงออก (Phenotype) 249-251
หรือตามกลไกการดื้อยา 253
ตารางท่ี 6-8 แสดงการหาค่า MIC ของเชอ้ื โดยวธิ ี agar dilution 254
ตารางที่ 6-9 ตัวอย่างแสดงการเตรยี ม working solution 268-277
ตารางท่ี 6-10 แสดงเชื้อแบคทเี รยี ทคี่ วรทดสอบความไวดว้ ยวิธี broth microdilution 278
ตารางที่ 6-11 ตาราง inhibition zone ของเชอื้ ในการทดสอบ ESBL 279-280
ตารางท่ี 6-12 ß-lactamases และ carbapenemase activity 283-284
ตารางที่ 7-1 เชื้อมาตรฐานท่ใี ช้ในการควบคมุ คณุ ภาพอาหารเลีย้ งเชอ้ื 289
ตารางท่ี 7-2 อายุการใช้งานของอาหารเลย้ี งเช้อื ทเี่ ตรยี มแลว้ 292
ตารางที่ 7-3 เชอ้ื มาตรฐานท่ใี ชใ้ นการทดสอบคณุ ภาพของสแี ละนำ�้ ยาต่างๆ 292
ตารางที่ 7-4 การบำ� รุงรกั ษาอปุ กรณเ์ คร่ืองมอื ในหอ้ งปฏิบตั ิการ 293
ตารางที่ 8-1 Intrinsic resistance ของ Enterobacteriaceae
ตารางท่ี 8-2 การด้อื สารตา้ นจลุ ชีพที่ใช้ในการวนิ จิ ฉัยเช้อื (intrinsic resistance)
ตารางท่ี 8-3 การดอ้ื สารต้านจุลชพี ทเี่ ปน็ ไปไม่ได้
ตารางที่ 8-4 ตวั อย่างการด้อื สารตา้ นจลุ ชีพที่พบไดน้ ้อย
XVIII ค่มู ือการปฏิบตั งิ านแบคทเี รยี และรา
สารบญั แผนภมู ิ
แผนภมู ิ หน้า
แผนภูมทิ ่ี 4.2-1 ขั้นตอนการตรวจวินจิ ฉยั น้ำ� ไขสนั หลังและน้ำ� จากสว่ นตา่ งๆ ของร่างกาย 66
แผนภูมิที่ 4.4-1 ขน้ั ตอนการตรวจวินิจฉยั เชื้อจากอจุ จาระ/Rectal Swab 78
แผนภูมทิ ่ี 4.5-1 ขัน้ ตอนการเพาะเช้ือจาก throat swab และ nasopharyngeal swab 81
แผนภูมทิ ่ี 4.5-2 ขัน้ ตอนการเพาะเชื้อจาก sinus aspirate, tracheal suction, nasopharyngeal suction 82
แผนภูมทิ ี่ 4.5-3 ขั้นตอนการเพาะเชอ้ื แบคทเี รยี จาก sputum และ bronchial wash 84
แผนภูมทิ ี่ 4.5-4 ข้นั ตอนการเพาะเชื้อจาก lung biopsy และ lung aspirate 86
แผนภูมิท่ี 4.6-1 ข้ันตอนการวินจิ ฉยั เชือ้ กอ่ โรคในระบบสบื พันธ์ ุ 90
แผนภูมทิ ี่ 4.7-1 ขั้นตอนการเพาะเช้ือจากหนองต่างๆ 99
แผนภมู ิที่ 5.2-1 ขนั้ ตอนการตรวจวนิ จิ ฉยั Bacillus 116
แผนภมู ิท่ี 5.3-1 ข้ันตอนการตรวจวินจิ ฉยั เช้ือ Gram-negative cocci 118
แผนภูมิที่ 5.4-1 เชื้อทสี่ งสัย Family Enterobcateriaceae 120
แผนภูมทิ ี่ 5.4-2 การแยกพสิ ูจนเ์ ชอื้ กลุม่ ที่ 1 TSI : (AAAA-)////,AAAAreหหหหdรรรรpอือือืือigAAAAm////eAAAAnGGGGt (,,,,-HHHH),2222SSSSO----,,,D,PPPPCDDDD(AAA-A)((((---+))),,,) LLLDDDCCC(((--+)), ) 122
แผนภมู ทิ ี่ 5.4-3 การแยกพิสจู นเ์ ช้อื กลุม่ ที่ 1 TSI : 124
แผนภูมิที่ 5.4-4 การแยกพิสูจนเ์ ชือ้ กลุ่มที่ 1 TSI : 126
แผนภูมิที่ 5.4-5 การแยกพสิ ูจน์เช้ือกลุ่มท่ี 1 TSI : 128
motility 25 °C (-), DNase 25 °C 129
แผนภมู ิท่ี 5.4-6 กกกขกกกาาาาาาัน้ รรรรรรตแแแแแแอยยยยยยนกกกกกกกพพพพพพาสสิสสิิิสิสิ รจูจจจููููจจูวนนนนนนนิ เ์เ์์เ์์เเ์เิจชชชชชชฉออ้อืืื้ออ้้ื้ืือ้ ัยกกกกกกเลลลลลลชมุมุ่ม่มมุุุุ่่่่มือ้ ททททททกลีีี่่ี่ี่่่ี 333324ุม่ TTTTTTNSSSSSSoIIIIIIn::::::fAKKKKKer//////mAAAAAAeหหหหหหnรรรรรรtaืือออืออืือื tivKKKAKKe//////AAAAAAGGGGGGGra,,,,,,mHHHHHH-222222NSSSSSSe-+--+-,,,,g PPPPatDDDDivAAAAe 130
แผนภมู ทิ ี่ 5.4-7 (+) (+) 131
แผนภูมิท่ี 5.4-8 (-), LDC (-),ODC (-) 133
แผนภมู ิท่ี 5.4-9 (-), LDC (-),ODC 135
แผนภูมิท่ี 5.4-10 (-), LDC (+) 137
แผนภมู ทิ ี่ 5.4-11 Bacilli เบอื้ งต้น 151
แผนภมู ิท่ี 5.6-1 188
แผนภมู ิท่ี 5.9-1 วิธดี ำ� เนนิ การตรวจวินิจฉัย anaerobic bacteria เบอื้ งต้น 190
แผนภมู ทิ ี่ 5.9-2 แสดงการแบง่ กลุ่มของ anaerobic bacteria
ส�ำหรบั โรงพยาบาลศูนยแ์ ละโรงพยาบาลทว่ั ไป XIX
ค�ำยอ่
A/A TSI ใหล้ กั ษณะ slant สเี หลือง/butt สเี หลอื ง
AAA///AKAGG ,, HH22SS-+ TSI ใหล้ กั ษณะ slant สีเหลือง/butt สเี หลอื ง มกี ารสร้างแกส๊ แตไ่ มส่ รา้ งไฮโดรเจนซัลไฟด์
TSI ให้ลักษณะ slant สีเหลอื ง/butt สีเหลอื ง มกี ารสร้างแก๊ส และสรา้ งไฮโดรเจนซลั ไฟด์
TSI ให้ลกั ษณะ slant สีเหลือง/butt สแี ดง
Ana BA Anaerobic blood agar
APW Alkaline peptone water
BA Blood agar
BBE Bacteroides bile esculin agar
BG Bordet Gengou medium
BPW Buffer peptone water
BSC Biological safety cabinet
BHI Brain heart infusion
CA Chocolate agar
CAMHB Cation-adjusted Mueller Hinton broth
CAMP Cyclic adenosine monophosphate
CFU Colony forming unit
CSF Cerebrospinal fluid
CTBA Cystine tellurite blood agar
cumm cubic millimeter
DMST Department of Medical Sciences Thailand
EMB Eosin-methylene blue agar
EY Egg-yolk agar
FTM Fluid thioglycollate medium
GLC Gas Liquid Chromatography
GN broth Gram-negative broth
H.N. Hospital number
K/A TSI ใหล้ กั ษณะ slant สีแดง/butt สีเหลือง
KKK///KAAGG ,, HH22SS+- TSI ให้ลักษณะ slant สีแดง/butt สเี หลือง มกี ารสรา้ งแกส๊ แต่ไม่สรา้ งไฮโดรเจนซลั ไฟด์
TSI ให้ลักษณะ slant สีแดง/butt สเี หลือง มีการสรา้ งแก๊ส และสรา้ งไฮโดรเจนซัลไฟด์
TSI ให้ลกั ษณะ slant สีแดง/butt สีแดง
K/N TSI ใหล้ กั ษณะ slant สีแดง/butt ไม่เปล่ียนสี
XX ค่มู อื การปฏิบัตงิ านแบคทเี รยี และรา
LDC Lysine decarboxylase
LDA Lysine deaminase
LPF Low power (microscopic) field
MAC MacConkey agar
MHA Mueller-Hinton agar
MR-VP Methyl red & Voges-Proskauer
MSRV Modified semi-solid Rappaport-Vassiliadis medium
MTM Modified Thayer-Martin agar
NA Nutrient agar
NF Nonfermentative gram-negative bacilli
ODC Ornithine decarboxylase
OF medium Oxidation-fermentation medium
ONPG O-Nitrophenyl-β-D-Galactopyranoside
PDA Phenylalanine deaminase
PCR Polymerase Chain Reaction
PMN Polymorphonuclear cells
PYR Pyrrolidonyl arylamidase
RPM Revolutions per minute
SDA Sabouraud dextrose agar
SEPC Squamous epithelial cells
SIM Sulfur-indole-motility medium
SS Salmonella Shigella agar
TCBS Thiosulfate citrate bile salts sucrose agar
TSA Tryptic soy agar
TSB Tryptic soy broth
TSI Triple sugar iron agar
UV Ultraviolet light
VP Voges-Proskauer
XLD Xylose lysine deoxycholate agar
ส�ำหรบั โรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลทัว่ ไป XXI
XXII คู่มือการปฏิบตั ิงานแบคทเี รียและรา
บ1ทที่
การป้องกันการติดเชอ้ื
จากการปฏบิ ัติงาน
ในหอ้ งปฏบิ ัติการ
การป้องกันการตดิ เชอื้ จากการปฏบิ ตั ิงานในหอ้ งปฏิบตั กิ าร
สวุ รรณา ตระกลู สมบูรณ์
บุญช่วย เอย่ี มโภคลาภ
หลักการป้องกันการตดิ เชอ้ื ในหอ้ งปฏิบัตกิ าร
การตดิ เชอ้ื ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารอาจเกดิ ขน้ึ ไดใ้ นทกุ ขน้ั ตอนของการปฏบิ ตั งิ าน ตง้ั แตก่ ารเกบ็ สงิ่ สง่ ตรวจจนถงึ ขนั้
ตอนการท�ำลายขยะติดเชื้อ ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการแพร่กระจายเชื้อและวิธีปฏิบัติงานที่
เหมาะสม ควรได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน บุคลากรทุกคนต้องตระหนักถึงความ
ปลอดภยั ในการปฏบิ ตั งิ าน และตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานการปฏบิ ตั งิ านและมาตรฐานความปลอดภยั อยา่ งเครง่ ครดั
โดยเฉพาะในการปฏิบัติงานกับเช้ือหรือส่ิงส่งตรวจที่มีหรืออาจมีเชื้อ หน่วยงานต้องจัดสถานที่และจัดหาวัสดุ
อุปกรณท์ ี่เหมาะสม ห้องปฏบิ ตั กิ ารจะต้องสะอาดและเปน็ ระเบียบอย่เู สมอ ควรแยกส่วนการปฏบิ ัติงานทต่ี ดิ เชื้อ
ออกจากส่วนที่ไม่ติดเช้ือ ควรมีอ่างล้างมือและอุปกรณ์เช็ดมือที่เหมาะสมให้พอเพียง ขยะติดเช้ือต้องใส่ถุงขยะ
สแี ดงทมี่ กี ารบ่งชอ้ี ยา่ งชัดเจนว่าเปน็ ขยะติดเชอื้ และใสใ่ นถงั ขยะทีม่ ีฝาปิดมิดชิด
ควรก�ำหนดมาตรฐานและวิธีการปฏิบัติงาน รวมทั้งฝึกอบรมเจ้าหน้าท่ี (โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีใหม่หรือผู้มาฝึก
ปฏิบตั งิ าน) ใหส้ ามารถปฏิบัติงานได้อยา่ งถูกตอ้ ง มที กั ษะและความช�ำนาญในการปฏบิ ัติงาน สามารถปฏิบตั ิงาน
ดว้ ยความปลอดภยั มคี มู่ อื เกยี่ วกบั เรอ่ื งตา่ งๆ ทสี่ ำ� คญั เชน่ การแตง่ กายและการใชอ้ ปุ กรณท์ ถ่ี กู ตอ้ งในการปฏบิ ตั งิ าน
เพื่อป้องกันอันตรายประเภทต่างๆ ข้อปฏิบัติที่ถูกต้องและข้อควรระวังในการท�ำงาน การป้องกันและแก้ไข
เมอ่ื เกดิ อบุ ตั เิ หตุ การจดั การกบั สงิ่ สง่ ตรวจทห่ี กหรอื กระเดน็ เปอ้ื นบรเิ วณตา่ งๆ รวมถงึ การใชแ้ ละบำ� รงุ รกั ษาอปุ กรณ์
และเครอื่ งมือต่างๆ เปน็ ตน้
ควรจดั หาอปุ กรณท์ จี่ ำ� เปน็ ในการปฏบิ ตั งิ านใหพ้ อเพยี งกบั ความตอ้ งการ บคุ ลากรทกุ ระดบั ควรทราบถงึ วธิ กี าร
ใชอ้ ปุ กรณป์ อ้ งกนั ตา่ งๆ อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั ลกั ษณะงานทปี่ ฏบิ ตั ิ ควรเตรยี มเครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชต้ า่ งๆ ใหพ้ รอ้ ม
และครบถว้ นกอ่ นปฏบิ ัตงิ าน ควรสวมเสือ้ คลมุ ทกุ ครัง้ ขณะปฏบิ ัตงิ าน และสวมถงุ มือเมื่อปฏบิ ตั งิ านทต่ี อ้ งสัมผสั
กบั เชอื้ หรอื สง่ิ สง่ ตรวจทอ่ี าจมเี ชอื้ อนั ตราย กรณที อ่ี าจมกี ารกระเดน็ ของสงิ่ สง่ ตรวจควรสวมแวน่ ตาและผา้ ปดิ ปาก-
จมกู ตามความเหมาะสม
2 คู่มือการปฏบิ ัตงิ านแบคทีเรียและรา
การแบ่งห้องปฏบิ ตั ิการตามระดบั การติดเช้ือ
องคก์ ารอนามยั โลกไดก้ �ำหนดการจัดกล่มุ เชอ้ื กอ่ โรคตามกล่มุ ของความเสี่ยง (risk group) ตา่ งๆดงั น้ี
Risk Group 1 เช้ือที่ไมท่ �ำใหเ้ กิดอันตรายหรือเกดิ อนั ตรายแตไ่ มร่ นุ แรงต่อคนและชมุ ชน (no or low individual
and community risk) เชน่ แบคทเี รยี ที่ไมม่ รี ายงานว่าท�ำให้เกิดโรคในคนหรือสัตว์
Risk Group 2 เช้อื ทที่ ำ� ให้เกิดอันตรายปานกลางต่อคน แต่เกิดอันตรายทไี่ มร่ ุนแรงต่อชุมชน (moderate
individual risk, low community risk) เชน่ เชื้อท่ีท�ำให้เกิดโรคในคนและสตั ว์ แตไ่ มเ่ กดิ อันตราย
รนุ แรงตอ่ บคุ ลากรทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร, ชมุ ชน, สตั วท์ ดลอง หรอื สง่ิ แวดลอ้ ม บคุ ลากรผทู้ ไี่ ดร้ บั เชอื้
อาจเกิดการติดเช้ือรุนแรง แต่มีการรักษาและการป้องกันท่ีมีประสิทธิภาพ และความเส่ียง
ในการแพรก่ ระจายเช้ือต่�ำ
Risk Group 3 เช้ือที่ท�ำให้เกิดอันตรายสูงต่อคน แต่เกิดอันตรายที่ไม่รุนแรงต่อชุมชน (high individual risk,
low community risk) เช่น เช้ือที่ท�ำให้เกิดโรคท่ีร้ายแรงในคนหรือสัตว์ แต่โดยท่ัวไปจะไม่
แพร่กระจายไปยงั บคุ คลอน่ื และมกี ารรกั ษาและการปอ้ งกันที่มปี ระสิทธิภาพ
Risk Group 4 เชื้อท่ีท�ำให้เกิดอันตรายสูงต่อคนและต่อชุมชน (high individual and community risk) เช่น
เชื้อท่ีท�ำให้เกิดโรคท่ีร้ายแรงในคนหรือสัตว์ และสามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอ่ืน ท้ังโดย
ทางตรงและทางออ้ ม ยังไมม่ ีการรกั ษาและการป้องกนั ทม่ี ปี ระสิทธิภาพ
เมอื่ ทราบวา่ งานทก่ี ำ� ลงั ปฏบิ ตั นิ นั้ เกย่ี วขอ้ งกบั เชอ้ื ในกลมุ่ เสยี่ งกลมุ่ ใด ผปู้ ฏบิ ตั งิ านจำ� เปน็ ตอ้ งทราบถงึ แนวทาง
การแบ่งระดบั ของหอ้ งปฏิบตั กิ าร และการเลอื กใช้อุปกรณป์ อ้ งกนั อันตรายทเ่ี หมาะสม ดังรายละเอียดในตารางท่ี
1-1
ภาพท่ี 1-1 แสดงตวั อย่างหอ้ งปฏบิ ัติการระดบั ต่างๆ
ส�ำหรับโรงพยาบาลศนู ยแ์ ละโรงพยาบาลทัว่ ไป 3
ตารางที่ 1-1 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง Risk groups, ระดบั ชวี นริ ภัย, การปฏบิ ัติ และอุปกรณต์ า่ งๆ
gRroisukp Biosafety level Laboratory type Lparbaocrtaictoesry Safety equipment
1 Basic - Biosafety Level 1
2 Basic - Biosafety Level 2 Basic teaching, GMT None; open bench work
research
3 Containment - Biosafety
Level 3 Primary health GMT plus Open bench plus BSC
services; diagnostic protective clothing, for potential aerosols
4 Maximum services; research biohazard sign
Containment - Biosafety
Level 4 Special diagnostic As level 2 plus BSC and/or other
services, research special clothing, primary devices for
controlled access, all activities
directional air flow
Dangerous pathogen As level 3 plus Class III BSC or
units airlock entry, positive pressure suits
shower exit, special in conjunction with
waste disposal Class II BSCs,
double-ended
autoclave (through the
wall), filtered air
BSC, biological safety cabinet; GMT, Good Microbiological Technique
จากตารางที่ 1-1 จะเหน็ วา่ โดยทว่ั ไปการปฏบิ ตั งิ านกบั เชอื้ ใน risk group ใด กจ็ ะเลอื กใชร้ ะดบั ของหอ้ งปฏบิ ตั ิ
การ (biosafety level) ในระดบั เดยี วกัน แต่หอ้ งปฏิบัติการจะตอ้ งวิเคราะห์ความเสยี่ งของลักษณะงานทปี่ ฏิบัตแิ ละ
เลือกใช้ระดบั ของหอ้ งปฏบิ ัติการที่เหมาะสม เชน่ เชอ้ื วัณโรค (Mycobacterium tuberculosis) เปน็ เชื้ออนั ตรายที่
จดั ไว้ใน risk group 3 แต่ลักษณะการปฏบิ ัติงานยอ้ มสโี ดยตรงจากเสมหะ และมีเทคนคิ การปฏิบัติงานทีเ่ หมาะสม
กอ็ าจไม่เกิดการฟ้งุ กระจาย จงึ สามารถท�ำงานในห้องปฏิบัตกิ ารระดับ 2 (BSL-2) ได้ แต่เมอื่ เพาะเลี้ยงเชื้อวณั โรค
จนเพิ่มจ�ำนวนมากขึ้น การปฏิบัติงานเพ่ือวิเคราะห์เช้ือหรือทดสอบความไว จะต้องท�ำในห้องปฏิบัติการระดับ 3
(BSL-3) เปน็ ตน้
เครอ่ื งมือส�ำคญั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
1. เคร่อื งนงึ่ ฆา่ เชือ้ ดว้ ยไอน้ำ� (autoclave)
ตอ้ งมกี ารตรวจสอบประสทิ ธิภาพการทำ� ลายเชอ้ื ของ autoclave อย่างสม่�ำเสมอ เช่น ทดสอบดว้ ย spore test
อยา่ งนอ้ ยสปั ดาหล์ ะครงั้ หากสามารถทำ� ไดค้ วรวดั อณุ หภมู ภิ ายใน autoclave (เชน่ ใช้ thermometer หรอื data logger
ท่ีผ่านการสอบเทยี บแลว้ ) เพ่อื ให้มน่ั ใจวา่ เครือ่ งสามารถให้อุณหภูมิทเี่ หมาะสมตามระยะเวลาทกี่ ำ� หนดได้
4 คู่มือการปฏบิ ตั ิงานแบคทเี รียและรา
2. ตู้ปราศจากเชื้อ (biological safety cabinet: BSC)
ในการปฏบิ ตั งิ านกบั เชอ้ื อนั ตรายทอ่ี าจมกี ารฟงุ้ กระจาย ควรทำ� ในตู้ BSC โดยทว่ั ไปนยิ มใชช้ นดิ class II ควร
ศกึ ษาคณุ ลักษณะ และการตรวจสอบประสทิ ธิภาพของตู้ BSC เพ่อื ใหส้ ามารถใช้งานได้อยา่ งปลอดภัย ตู้ BSC ดงั
กลา่ วต้องไดร้ ับการสอบเทียบอยา่ งนอ้ ยปลี ะครงั้ และควรตรวจสอบประสิทธภิ าพการท�ำงานในเบอื้ งตน้ ทุกคร้งั ท่ี
ใชง้ าน เช่น ใชเ้ สน้ ดา้ ยตดิ ไว้ท่ีแผ่นกระจกด้านหนา้ ตู้ เพอ่ื ดทู ิศทางการไหลของลม เส้นด้ายควรจะถูกลมดูดใหเ้ อน
เข้าในตู้ หากเส้นด้ายถูกลมเป่าออกด้านนอกควรหยุดการใช้และส่งซ่อมโดยเร็ว ในตู้ไม่ควรวางของจ�ำนวนมาก
เนือ่ งจากอาจมีผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพการทำ� งานของเครอ่ื งและอาจกระทบต่อความปลอดภยั ของผ้ปู ฏิบัติงาน
3. เคร่อื งหมุนเหว่ียง (centrifuge)
ในการปฏบิ ตั งิ านทต่ี อ้ งปน่ั ตกตะกอนสง่ิ สง่ ตรวจทอี่ าจมเี ชอ้ื อนั ตราย ควรชงั่ นำ�้ หนกั หลอดใหเ้ ทา่ กนั เพอ่ื ปอ้ งกนั
กรณหี ลอดแกว้ แตกขณะปน่ั หากทำ� ไดค้ วรใชห้ ลอดพลาสตกิ แทนหลอดแกว้ หากมงี บประมาณเพยี งพอ ควรเลอื ก
ใช้ centrifuge ชนิดทม่ี ี safety cup (ใสห่ ลอดบรรจสุ ง่ิ สง่ ตรวจในถว้ ยปั่นทมี่ ฝี าปิด) ซึ่งหากหลอดแตกขณะปนั่ กจ็ ะ
ไมฟ่ ุ้งกระจาย
การทดสอบประสิทธภิ าพการฆา่ เชือ้ ของเครื่อง autoclave ด้วย spore test
สปอรข์ องแบคทีเรยี ถูกทำ� ลายยากท่ีสุด ถา้ สปอรถ์ ูกทำ� ลาย เชือ้ อน่ื จะถูกทำ� ลายหมด ดังนน้ั จึงนำ� สปอร์มาเป็น
เครื่องทดสอบประสิทธิภาพของการท�ำให้ปราศจากเช้ือ spore test ซ่ึงเป็นหลอดเล็กๆ ภายในบรรจุด้วยสปอร์
Geobacillus stearothermophilus และมหี ลอดแก้วบรรจุอาหารเลี้ยงเชื้อ (สารละลายสีมว่ ง) ท�ำการทดสอบดังนี้
1. ใส่ spore test ใน autoclave พร้อมอุปกรณ์หรือวัสดุท่ีต้องการฆ่าเช้ือ เม่ือเคร่ืองหยุดทำ� งานแล้วให้น�ำ
หลอด spore test ออกจากเคร่ือง แล้วใช้ท่ีหนีบบีบให้หลอดท่ีบรรจุอาหารแตก เพ่ือให้ spore สัมผัส
อาหารเลย้ี งเชือ้ ท่ีเปน็ สารละลายสีมว่ ง
2. น�ำ spore test ในข้อที่ 1. ไปอบที่ 56 Cํ นาน 48 ชม. ดกู ารเปล่ยี นแปลงสขี องอาหารเลย้ี งเช้อื
- ถา้ spore ตาย อาหารเลย้ี งเชอื้ จะไมเ่ ปลยี่ นสี (เปน็ สมี ว่ งเหมอื นเดมิ ) แสดงวา่ autoclave มปี ระสทิ ธภิ าพ
การฆ่าเชือ้ ไดด้ ี
- ถ้าอาหารเล้ยี งเช้อื เปล่ยี นจากสมี ่วง (เปน็ สีเหลอื ง) คอื สปอร์ยังไม่ตาย แสดงวา่ เครอื่ ง autoclave
ไม่มีประสิทธภิ าพพอสำ� หรับฆา่ เชื้อ spore ของ Bacillus spp. ได้ ต้องท�ำการตรวจสภาพและแก้ไข
โดยช่างและท�ำ spore test เพ่อื ทดสอบประสทิ ธิภาพใหม่
ข้อปฏบิ ัติส�ำหรบั การใช้ biological safety cabinet
1. กอ่ นและหลังการทำ� งานใน BSC ควรลา้ งมือด้วยสบู่หรือน้ำ� ยาล้างมอื ทมี่ ีน�้ำยาฆา่ เชือ้
2. ผปู้ ฏบิ ัติงานควรสวมเสอ้ื กาวนช์ นิดแขนยาวปลายรดั และสวมถงุ มอื เพ่อื ปอ้ งกันการสมั ผสั เช้อื
3. ท�ำความสะอาดพืน้ ทีป่ ฏิบัตงิ านใน BSC โดยเช็ดด้วย 70% alcohol หรอื น�้ำยาฆา่ เชอ้ื
4. ไมค่ วรวางของจำ� นวนมาก เน่ืองจากอาจมผี ลตอ่ ประสิทธิภาพการท�ำงานของเครือ่ ง และอาจกระทบต่อ
ความปลอดภยั ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน โดยเฉพาะสว่ นหนา้ และสว่ นในทเี่ ปน็ ชอ่ งสำ� หรบั ถา่ ยเทอากาศและนำ� ออก
จาก BSC ให้หมด เมือ่ ปฏิบัตงิ านเสร็จ
ส�ำหรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทัว่ ไป 5
5. อปุ กรณห์ รอื วสั ดุทจี่ ำ� เปน็ ตอ้ งใช้ ใหว้ างในบรเิ วณปฏิบตั งิ านในต้กู ่อนเริ่มงาน ไม่ควรหยบิ เข้าออกระหวา่ ง
ปฏบิ ัตงิ าน เพอื่ ไม่รบกวนทศิ ทางลมในตู้
6. ต�ำแหน่งท่ีตั้ง BSC ควรอยู่ในที่ที่ไม่มีการท�ำกิจกรรมอ่ืนๆ เช่น อยู่ส่วนท้ายของห้องห่างไกลจากประตู
ทางเข้าออก และหา่ งไกลเครอื่ งปรบั อากาศหรอื ที่ดูดอากาศ เพ่ือปอ้ งกันไมใ่ หม้ ีกระแสลมรบกวนซ่งึ อาจมี
ผลกระทบตอ่ การไหลเวยี นที่นำ� จลุ ชพี ผา่ น air barrier
7. การปฏิบัติงานใน BSC ตอ้ งไม่เคลือ่ นไหวมอื และแขนแรงๆแบบรีบดว่ น เพราะอาจมีผลรบกวนทศิ ทางลม
ในตทู้ ่เี ป็นสาเหตใุ ห้มจี ุลชีพหลดุ ออกนอกตู้หรอื มี airborne contamination จากอากาศที่ไหลเข้าตู้
8. ขณะใช้เครอื่ ง centrifuge ใน BSC ไมค่ วรปฏบิ ัตงิ านอื่นๆ ในตู้ เนื่องจากลมทเี่ กิดจากเครอ่ื งป่ันเหวย่ี ง เช่น
centrifuge ที่ทำ� ในตู้ BSC สามารถรบกวนทิศทางการไหลเวยี นอากาศในตู้ อาจมีผลตอ่ การปล่อยเชอ้ื ออกสู่
อากาศในห้องปฏบิ ตั กิ าร
9. ขณะทำ� งานในตู้BSCยงั คงมคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกระบวนการควบคมุ การปนเปอ้ื นจลุ ชพี และเทคนคิ
ปลอดเชอื้ (aseptic techniques)
10. ตอ้ งทำ� ลายเชอื้ สว่ นผวิ หนา้ (surface decontamination) ของอปุ กรณท์ สี่ มั ผสั จลุ ชพี โดยตรงออกกอ่ นนำ� ออก
จากตู้ BSC ท่ีทงิ้ ขยะติดเชือ้ หรือภาชนะท่ีใสอ่ ุปกรณ์ทเ่ี ปอ้ื นเช้ือต้องปดิ ฝาก่อนน�ำออก
11. เม่ือมีอุบัติเหตุเช้ือหรือสิ่งส่งตรวจหกหรือกระเด็นในพื้นท่ีปฏิบัติงานใน BSC ต้องท�ำลายเช้ือบนผิวหน้า
ของพื้นในตู้ BSC กอ่ นนำ� เชอ้ื หรือสิ่งส่งตรวจนนั้ ออกจากตู้
12. ไม่ควรใชต้ ะเกยี งบนุ เสน ใน BSC เพราะเปลวไฟจะรบกวนการไหลเวยี นอากาศในตู้ และอาจทำ� ลาย HEPA
filter ถ้าจำ� เปน็ ใหใ้ ช้ชนดิ เปดิ -ปิดไดเ้ ฉพาะเมื่อตอ้ งการใช้งานหรอื เปน็ ชนิดทใี่ ช้ไฟฟ้า
13. ควรเปิดเคร่ืองไว้อย่างน้อย 5 นาที ก่อนใช้งาน เพื่อให้อากาศในตู้มีการไหลเวียนก่อน เพื่อป้องกันการ
ปนเปือ้ นในอากาศในพ้ืนท่ีปฏิบัตงิ าน
14. ควรท�ำความสะอาดพ้ืนผิวภายในตู้ควรท�ำซ�้ำอีกคร้ังหลังจากเอาของออกหมดแล้ว เน่ืองจากอาจมีอาหาร
เล้ยี งเช้อื ท่เี ปอื้ นในตู้ทำ� ใหเ้ กดิ เชือ้ ราเจรญิ และปล่อย spore ปนเปอื้ นบริเวณปฏิบัตงิ านได้
การทำ� ลายเชอื้
การท�ำลายเชื้ออาจท�ำได้โดยหลักการใหญ่ๆ 2 วิธีคือ การทำ� ลายเช้ือด้วยหลักการทางฟิสิกส์ เช่น การใช้ความ
รอ้ น ไดแ้ ก่ การเผา การ autoclave หรือการใช้ hot air oven และการใชห้ ลกั การทางเคมี เช่น ใช้นำ�้ ยาทำ� ลายเชอ้ื
ชนดิ ตา่ งๆ ในการใชน้ ำ�้ ยาทำ� ลายเชอื้ นนั้ จะตอ้ งคำ� นงึ ถงึ ระดบั ความคงทนของเชอื้ ตอ่ นำ�้ ยาทำ� ลายเชอ้ื ความสามารถ
หรือความแรงของน้�ำยาในการท�ำลายเชื้อ ระยะเวลาที่ใช้ท�ำลายเชื้อ และปริมาณสารอินทรีย์ที่อาจมีผลต่อ
ประสิทธภิ าพของน้�ำยา เปน็ ตน้ ตัวอย่างเช่น ความคงทนของเชอื้ ตอ่ น�้ำยา ตั้งแตท่ ำ� ลายได้ยากจนถงึ ทำ� ลายได้ง่าย
ตามลำ� ดบั ได้แก่ สปอร์ของเชื้อแบคทเี รยี , เชื้อวัณโรค, non lipid หรอื ไวรสั ขนาดเล็ก, เชื้อรา, เชื้อแบคทเี รียทไ่ี มม่ ี
สปอร์ และ lipid หรือไวรัสขนาดกลาง ความสามารถหรือความแรงของน�้ำยา ในกรณีใช้เป็น disinfectant เช่น
glutaraldehyde จัดอยใู่ นระดับ high หรอื intermediate สำ� หรบั chlorine compounds และ alcohol จดั อยูใ่ นระดับ
intermediate สว่ นสารประเภท quaternary ammonium compounds จัดอย่ใู นระดับ low เป็นต้น ระยะเวลาท่เี ชอื้
สัมผสั กบั นำ�้ ยาตอ้ งนานเพยี งพอทเ่ี ชอื้ จะถกู ทำ� ลายได้ ปรมิ าณสารอนิ ทรียใ์ นสิง่ ส่งตรวจทีจ่ ะท�ำลายเช้อื เช่น ถา้ ใช้
นำ้� ยาทำ� ลายเชอื้ กบั สง่ิ สง่ ตรวจทมี่ สี ารอนิ ทรยี ม์ ากเชน่ เสมหะอจุ จาระนำ้� ยาสว่ นมากจะถกู ทำ� ใหเ้ สอ่ื มประสทิ ธภิ าพ
โดยสารอินทรยี ์ ทำ� ให้การท�ำลายเชื้อลดลง เปน็ ตน้
6 คู่มือการปฏิบตั งิ านแบคทีเรยี และรา
ตารางท่ี 1-2 ล�ำดับความทนของจลุ ชีพตอ่ สารท�ำลายจลุ ชีพแตล่ ะชนดิ เรียงจากมากไปหาน้อย และระดับของ
การทำ� ลายเชอ้ื หรือน้�ำยาท�ำลายเชื้อ
Bacterial Spores
เชน่ Bacillus subtilis, Clostridium sporogenes
(Sterilization)
▼
Mycobacteria
เชน่ Mycobacterium tuberculosis var. bovis, Non-tuberculous mycobacteria
(High level disinfection)
▼
Non lipid or Small Viruses
เช่น Poliovirus, Coxsackievirus, Rhinovirus
(Intermediate level disinfection)
▼
Fungi
เชน่ Trichophyton spp., Cryptococcus spp., Candida spp.
▼
Vegetative Bacteria
เชน่ Pseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, Salmonella choleraesuis, Enterococci
(Low level disinfection)
▼
Lipid or Medium-size Viruses
เชน่ Herpes simplex virus, CMV, Respiratory syncytial virus,
HBV, HCV, HIV, Hantavirus, Ebola virus
Modified from Russell and Favero
การด�ำเนินการเมอื่ มขี องตดิ เชื้อหก
กรณีสิ่งส่งตรวจหกเปรอะเปื้อนผิวด้านนอกของภาชนะบรรจุ และจ�ำเป็นต้องตรวจวิเคราะห์ ให้ท�ำความ
สะอาดผิวภาชนะด้านนอกด้วยน้�ำยาท�ำลายเชื้อที่เหมาะสมก่อนที่จะน�ำมาตรวจตามปกติ ถ้าส่ิงส่งตรวจตกแตก
หรือหกหล่นลงพ้ืน ให้สวมถุงมือยางหนา ใชก้ ระดาษเชด็ ส่ิงเปรอะเปือ้ นออกให้มากท่ีสุด หรือใชก้ ระดาษแขง็ ตัก
สง่ิ เปรอะเปื้อนหรือเศษแก้วออก แลว้ ท้ิงลงในถุงขยะตดิ เช้ือ ใช้ 0.5% hypochlorite ราดบรเิ วณทเ่ี ปรอะเป้ือนโดย
รอบ จากดา้ นนอกสดู่ ้านใน ท้ิงไวน้ านประมาณ 30 นาที กอ่ นเช็ดถูตามปกติ
สำ� หรับโรงพยาบาลศูนยแ์ ละโรงพยาบาลทวั่ ไป 7
ถา้ หลอดบรรจสุ ง่ิ สง่ ตรวจแตกในเครอื่ งปน่ั ตกตะกอนใหป้ ดิ เครอื่ งและรอประมาณ 30 นาที สวมถงุ มอื สวม
แว่นตาและผ้าปดิ ปาก-จมกู แลว้ จงึ เปิดฝาเคร่อื ง ใช้ forceps เกบ็ เศษแก้วชน้ิ ใหญ่ๆ ออกก่อน ใช้ forceps จับเศษผา้
หรอื กระดาษชำ� ระซับของเหลวและเศษแก้วทแ่ี ตกอยูอ่ อกให้มากทีส่ ดุ (เปลย่ี นกระดาษบ่อยๆ) ถ้าสว่ นใดสามารถ
ถอดออกแช่ในน้�ำยาท�ำลายเชื้อได้ ควรถอดออกแช่ด้วยน�้ำยาท่ีเหมาะสม และท้ิงไว้ประมาณ 10 นาที ส่วนที่ไม่
สามารถถอดออกไดใ้ หค้ ลมุ ดว้ ยกระดาษชำ� ระแลว้ ราดดว้ ยนำ้� ยาทำ� ลายเชอื้ ใหช้ มุ่ ทง้ิ ไวป้ ระมาณ 10 นาที จงึ เอาออก
ปลอ่ ยไวจ้ นแห้ง แล้วเชด็ ซ�ำ้ ดว้ ยน�้ำ เช็ดใหแ้ ห้งอีกครงั้ แล้วจึงใช้งานตามปกติ
แนวทางการทำ� ความสะอาดเมอื่ เกดิ อุบตั เิ หตมุ ีสิ่งสง่ ตรวจหรือของท่ีมเี ชื้อหกหรอื ตกแตก
1. สวมใส่อปุ กรณ์ป้องกันตัว ได้แก่ เสื้อกาวน์แขนยาวสวมทับด้วยเอยี๊ มพลาสติก, mask, แวน่ ตา
หมวกคลุมผม, สวมถงุ มือบางหรือหนาสีสม้ และสวมถุงหุ้มรองเทา้ (ตามความจำ� เปน็ )
2. น�ำปา้ ยข้อความ “ระวัง เขตอันตราย” มาตั้งบริเวณท่เี กดิ อบุ ตั เิ หตุ เพ่อื เตอื นผปู้ ฏิบัตงิ านอนื่
3. เก็บเศษแกว้ และของมีคมด้วยคีมคีบใส่ภาชนะสำ� หรบั ใส่ขยะตดิ เชอ้ื ชนิดมคี ม
4. ใช้กระดาษคลมุ ทบั บริเวณท่ีมขี องหกให้ทวั่ ถงึ จากนั้นเท disinfectant ทเ่ี ตรยี มไว้ (น�้ำ 450 ml กบั 5%
hypochlorite 50 ml) ราดบรเิ วณทเี่ กดิ อบุ ตั เิ หตจุ ากดา้ นนอกเขา้ สดู่ า้ นในปล่อยทง้ิ ไวน้ าน 30 นาที
5. รวบกระดาษช�ำระดว้ ยคีมคบี และไม้พาย (หรืออาจใช้กระดาษแข็งแทน) ไปทิง้ ในถงุ ขยะติดเชือ้
6. กวาดชน้ิ สว่ นทเี่ หลอื ด้วยไมก้ วาดหรอื ท่ีตกั ขยะไปท้ิงในถงุ ขยะติดเช้ือ
7. ใชผ้ า้ ก๊อซหรอื กระดาษชำ� ระชบุ disinfectant เชค็ ท�ำความสะอาดบรเิ วณทเ่ี กดิ อุบัติเหตใุ หส้ ะอาดอย่าง
ทว่ั ถงึ
8. ทง้ิ ผา้ ก๊อซหรือกระดาษช�ำระท่ีใชแ้ ล้ว รวมทัง้ เศษแก้วท่ีแตกไว้ในถงุ ขยะติดเชื้อ
9. น�ำถงุ ขยะติดเชอ้ื ใสก่ ลอ่ งใส่ของมีคม เพ่ือน�ำไปทำ� ลาย
การก�ำจัดขยะตดิ เชื้อ
ขยะตดิ เชอ้ื ตา่ งๆ ตอ้ งทง้ิ ในถงุ ขยะตดิ เชอ้ื (โดยทว่ั ไปนยิ มถงุ แดง) ซง่ึ บรรจใุ นถงั ขยะปดิ มดิ ชดิ สำ� หรบั ของมคี ม
ตา่ งๆ เชน่ แผ่นกระจก slide เศษแกว้ ใบมดี ควรทิง้ ในภาชนะชนิดหนาทีไ่ ม่แทงทะลุ (เช่น กระป๋องพลาสตกิ อยา่ ง
หนา) ปดิ ฝาใหม้ ดิ ชดิ กอ่ นทงิ้ การทำ� ลายขยะตดิ เชอื้ ควรใชว้ ธิ ี autoclave หรอื เผา เพอื่ ใหม้ นั่ ใจวา่ ไมแ่ พรก่ ระจายเชอื้
สสู่ งิ่ แวดล้อม ตัวอยา่ งขยะติดเช้อื เช่น เขม็ ทกุ ชนิดที่ใช้กับผปู้ ่วยหรอื ส่งิ ส่งตรวจของผ้ปู ว่ ย สารคดั หล่งั และส่ิงสง่
ตรวจอื่นๆ จากผูป้ ว่ ย อปุ กรณห์ รือภาชนะบรรจหุ รือสัมผัสสงิ่ สง่ ตรวจหรือเชื้อโรค หอ้ งปฏบิ ตั ิการควรมแี นวทาง
การปฏิบตั ิในการจ�ำแนกชนิดของขยะและการก�ำจัดขยะแต่ละประเภท ดังแสดงในตารางที่ 1-3
8 คู่มือการปฏิบัติงานแบคทีเรยี และรา
ตารางที่ 1-3 การจำ� แนกขยะและวิธกี ารก�ำจดั ขยะ
ประเภทของขยะ ภาชนะบรรจุ/สที ี่นยิ ม วธิ กี ารท�ำลาย
ขยะทว่ั ไป ขยะเปียก เศษอาหาร ถุงสีด�ำ ถงั สีเขียว ขยะกทม. *ฝังกลบ
ขยะแหง้ ขยะแหง้ ไม่คนื สภาพ เชน่ กลอ่ งโฟม ถงุ สีเหลอื ง ถังสเี หลือง ขยะกทม. *ฝงั กลบ
กระเบอ้ื ง อฐิ หรือรไี ซเคลิ
ขยะแห้งบา้ งชนดิ สามารถน�ำมา
รไี ซเคิลได้ เชน่ กระดาษ แกว้
พลาสตกิ โลหะ
ขยะอนั ตราย ขยะตดิ เช้ือ ชนดิ ไม่มคี ม เชน่ ขยะที่สมั ผัสสารคดั ถุงสีแดง ถงั สแี ดง เผาดว้ ยความรอ้ นสูง
หล่ังผูป้ ว่ ย สายยาง สิง่ สง่ ตรวจผ้ปู ว่ ย 800 ºC หรือ autoclave
กระบอกฉีดยาหรือเจาะเลอื ด
ทใ่ี ช้กบั ผูป้ ่วย
ชนิดมีคม เช่น เข็ม ขวดแก้วหรอื วตั ถุ ภาชนะพเิ ศษของมคี มไม่
มีคมท่ีสมั ผัสสิง่ ส่งตรวจ หรือ ทะลุ เชน่ กลอ่ ง พลาสติก
สารคัดหลงั่ ผปู้ ว่ ย ชนิดหนา กระป๋องโลหะ
ปิดแน่นกอ่ นใส่ถงุ สแี ดง
ขยะไมต่ ดิ เชอ้ื สารเคมจี ากห้องปฏิบัตกิ าร ภาชนะพเิ ศษ ก�ำจัดตามชนดิ ของสาร
เคมี
ท�ำโดยบริษัทกำ� จัดสาร
เคมี
ยาปฏิชวี นะ วัคซนี ขยะเคมบี �ำบัด ถุงและถงั ที่ระบุชนดิ ของ เผาด้วยความร้อนสูง
ขยะ 1200 ºC
ขยะอันตรายต่อสิง่ แวดล้อม เช่น ถุงและถังทร่ี ะบชุ นดิ ของ ขยะกทม. ฝ่ังกลบด้วยวิธี
กระป๋องสเปรย์ แบตเตอร่ี ขยะ พเิ ศษ
หลอดฟลูออเรสเซนต์ ถา่ นไฟฉาย
*ขยะกทม. หมายถึงขยะท่ีกำ� จัดโดยกทม. รวมทง้ั ขยะทก่ี ำ� จดั โดยเทศบาลของแตล่ ะทอ้ งท่ี
วิธีปฏิบัตกิ ารท้ิงเขม็ หรือของมีคมในกลอ่ งท้ิงเข็มและการทิ้งกลอ่ ง
1. ใช้มอื จบั กระบอกเข็มท่ีใชแ้ ลว้ ทมี่ ีเขม็ อยมู่ ายังกล่องปลดเข็มโดยไม่ตอ้ งใสค่ นื ปลอกเขม็
2. น�ำเข็มใสเ่ ขา้ ในรขู องกล่องปลดเขม็ เพ่ือท�ำการปลดเขม็ ออกจากกระบอกเข็ม
3. ขณะใช้กล่องปลดเข็มหรอื กลอ่ งใส่ขยะมคี ม ตอ้ งต้ังในที่ปลอดภยั เพ่อื ปอ้ งกันการลม้ หรอื หลน่ หก
เช่น วางสว่ นในของโตะ๊ หรือมีท่ียืดกลอ่ ง ไม่ควรวางรมิ โต๊ะหรือใตโ้ ต๊ะ ทางเดนิ หรอื ใตเ้ ครือ่ งมือ
4. หลงั บรรจเุ ข็มหรอื ของมคี มท่ีตดิ เช้อื ไดส้ องในสามส่วนของภาชนะ ใหป้ ดิ ฝาให้แนน่ ภาชนะท่ีปิดไมแ่ นน่
ตอ้ งพนั ด้วยเทปใหแ้ น่น กล่องจะเปิดอกี ไม่ได้
5. นำ� กล่องไปก�ำจัดเป็นขยะติดเช้อื ทง้ั กล่อง โดยไม่เปิดกล่องถ่ายขยะออก
สำ� หรบั โรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลท่ัวไป 9
การห่อและจัดส่งตัวอย่างตดิ เช้อื
เพ่ือป้องกันหรอื ลดการแพรก่ ระจายของเชือ้ ควรจัดให้มที เ่ี ก็บเสมหะเป็นสัดสว่ นอยู่ในที่โปรง่ โลง่ มแี ดดส่อง
มีอากาศถา่ ยเทดี และห่างไกลบริเวณที่มีคนเดนิ จ�ำนวนมาก มปี า้ ยบง่ ชี้ มอี ่างลา้ งมอื มที ีท่ ้ิงขยะตดิ เชือ้ มีอุปกรณ์
และน้�ำยาล้างมือชนิดท่ีฆ่าเชื้อได้ เช่น 4% chlorhexidine มีรายละเอียดวิธีปฏิบัติแสดงขั้นตอนการเก็บเสมหะ
ไมค่ วรมปี ระตเู พราะลกู บดิ ประตอู าจเปน็ แหลง่ แพรเ่ ชอื้ จากการจบั ลกู บดิ ประตไู ด้ และมกี ารทำ� ความสะอาดสถานที่
ทกุ วนั
การส่งสง่ิ สง่ ตรวจมาห้องปฏิบัติการตอ้ งมกี ารปอ้ งกนั การแพร่กระจายเชื้อ ใบขอส่งตรวจต้องแยกออกจากสิ่ง
สง่ ตรวจเพือ่ ไมใ่ หส้ มั ผัสภาชนะใสส่ ่งิ ส่งตรวจ เพราะดา้ นนอกของภาชนะอาจมกี ารปนเปื้อน ไดจ้ ากกระบวนการ
เกบ็ สงิ่ สง่ ตรวจและใบสง่ ตรวจเปน็ เอกสารคณุ ภาพทตี่ อ้ งเกบ็ ไว้ ควรใสภ่ าชนะสง่ิ สง่ ตรวจในถงุ พลาสตกิ ทป่ี ดิ ปาก
ถุงได้ ภาชนะบรรจสุ ่ิงสง่ ตรวจต้องมีความคงทนไม่แตกง่าย ฝาปิดแนน่ โดยเฉพาะการส่งแบบกระสวย ควรขนส่ง
ในถงั หรอื กระตกิ ทป่ี ดิ แนน่ สามารถปอ้ งกนั การหกเลอะออกสภู่ ายนอก กรณสี งิ่ สง่ ตรวจหกเลอะตอ้ งทำ� การปฏเิ สธ
ส่ิงส่งตรวจ และปฏบิ ัตติ ามแนวทางการท�ำความสะอาดเม่ือเกิดอุบัติเหตุมีส่ิงส่งตรวจหกหรอื ตกแตก
เอกสารอ้างองิ
1. Centers for Disease Control and Prevention. Biosafety in microbiological and biomedical laboratories.
5th ed. Washington DC: U.S. Department of Health and Human Services; 2010.
2. Favero MS, Bond WW. Chemical disinfection of medical surgical material. In: Block SS, editor.
Disinfection , sterilization and preservation, 5th ed. Philadelphia, PA: Lippincott, Williams and
Wilkins; 2001. p. 881-917.
3. International Standard. ISO 15190: Medical laboratories-Requirements for safety. 2003.
4. Russell AD. Bacterial resistance to disinfectants: present knowledge and future problems. J Hosp
Infect. 1999; 43:57-68.
5. บุญช่วย เอีย่ มโภคลาภ. ต้ชู ีวนริ ภยั . การใช้งานและตรวจสอบประสิทธิภาพ. วารสารเทคนิคการแพทย์
2557; 42 (1) : 4778-4792.
6. โรงพยาบาลศิรริ าช. คมู่ อื บรหิ ารจดั การขยะมูลฝอยของโรงพยาบาลศิริราช. กรงุ เทพฯ:
โรงพยาบาลศิรริ าช; 2550.
10 คมู่ อื การปฏิบัตงิ านแบคทีเรยี และรา
บ2ทท่ี
การเกบ็ สิ่งสง่ ตรวจ
เพ่อื วินจิ ฉัยโรคตดิ เชื้อ
แบคทเี รียและเช้ือรา
การเกบ็ ส่ิงสง่ ตรวจเพือ่ วนิ ิจฉยั โรคติดเชื้อแบคทีเรยี และเช้ือรา
สวุ รรณา ตระกูลสมบรู ณ์
วรรณา เพง่ เรอื งโรจนชยั
หลกั การส�ำคญั ของการเก็บสิง่ ส่งตรวจเพ่ือการเพาะเชอ้ื
1. ตอ้ งหลกี เลยี่ งการปนเปอ้ื นของเชอ้ื ประจำ� ถน่ิ ทอ่ี ยรู่ อบๆ บรเิ วณทเ่ี กบ็ สง่ิ สง่ ตรวจ เชน่ ผวิ หนงั หรอื mucous
membranes ใกล้ต�ำแหน่งที่มีการติดเช้ือ จึงต้องใช้น้�ำยาท�ำลายเช้ือท�ำความสะอาดผิวหนังบริเวณท่ีจะเก็บ
หรือเจาะดูดส่ิงส่งตรวจ ส�ำหรับต�ำแหน่งที่ปกติมีเชื้อประจ�ำถ่ินปนเปื้อนมากกว่าหนึ่ง species ต้องใช้
selective methods ในการตรวจหาเช้ือก่อโรคที่จ�ำเพาะ เพ่ือป้องกันการปนเปื้อนจากเชื้อประจ�ำถ่ินท่ีไม่ใช่
เชอื้ กอ่ โรค
2. เกบ็ สิ่งสง่ ตรวจเร็วทีส่ ุดเท่าท่ีจะท�ำได้ ขณะเร่มิ มี onset ของโรค เพอื่ ใหไ้ ดส้ ิ่งส่งตรวจท่เี ปน็ ตวั แทนท่ีดขี อง
การตดิ เช้อื
3. มีการปฏิเสธส่ิงส่งตรวจและต้องเก็บสิ่งส่งตรวจใหม่ เมื่อสิ่งส่งตรวจที่เก็บคร้ังแรกมีคุณภาพไม่เหมาะสม
ส�ำหรับการตรวจทางจลุ ชีววทิ ยา หรอื มปี ริมาณไม่พอเพยี ง การน�ำสง่ ท่ีไมเ่ หมาะสมดา้ นอุณหภูมิ การนำ� สง่
ล่าชา้ กำ� หนดเกณฑร์ ับหรอื ปฏเิ สธตวั อยา่ ง
4. เลอื กวิธกี ารเกบ็ ตัวอย่างท่ีเหมาะสมสำ� หรับสิ่งสง่ ตรวจแต่ละชนดิ ดังน้ี
Swab ต้องปา้ ยหรือถแู รงๆ และตอ้ งท�ำให้เปียกชมุ่ ก่อน เพือ่ ให้ swab ดดู ซับส่งิ สง่ ตรวจได้มาก swab
ไมส่ ามารถใชเ้ พาะเชอ้ื มากกวา่ หนงึ่ ชนดิ ไมเ่ หมาะสำ� หรบั การเพาะเชอ้ื รา เพราะเกบ็ mycelium
ไม่ได้ ใชเ้ พาะเช้ือ Mycobacterium ไมไ่ ด้ ตอ้ งใช้สารน้�ำหรอื ช้ินเน้ือ
Aspirates สงิ่ สง่ ตรวจทไ่ี ดจ้ ากการดดู มคี ณุ ภาพดกี วา่ swab ใช้ 70% alcohol ทำ� ความสะอาดผวิ หนงั กอ่ น
เจาะ แลว้ ตามด้วย providone iodine หรอื 2% chlorhexidine in alcohol
Tissue ชิ้นเนื้อที่ใช้เพาะเชื้อ เช่น ต้องท�ำ biopsied tissue โดย aseptic technique เช่น tissue จาก
draining sinus, curetting deep within interior wall, bone biopsy เปน็ ตน้
Sputum เสมหะเปน็ สง่ิ สง่ ตรวจทดี่ ี สำ� หรบั การตรวจวนิ จิ ฉยั โรค pneumonia แตต่ อ้ งไมม่ นี ำ�้ ลายปนเปอ้ื น
จงึ ควรตรวจคณุ ภาพ โดยการดูกลอ้ งจลุ ทรรศน์ microscopy evaluations กอ่ นการเพาะเช้ือ
Urine ปัสสาวะควรเพาะเชือ้ จาก midstream collection, catheterization ส�ำหรบั Foley catheter tip
ไมเ่ หมาะสำ� หรบั การเพาะเชอ้ื เพราะมกี ารปนเปอ้ื นของเชอื้ จาก urethral micro flora ไมต่ อ้ งทำ�
colony count
Feces/Stool อุจจาระเหมาะสำ� หรบั เพาะเช้อื มากกวา่ rectal swabs มีโอกาสไดเ้ ช้ือกอ่ โรคมากกว่า ส�ำหรบั
rectal swabs ตอ้ งใส่ใน transport media เสมอ
เชือ้ ท่ไี วต่อ ambient condition ตายงา่ ย ไดแ้ ก่ Shigella spp., N. gonorrhoeae, N. meningitidis, H. influenzae,
S. pneumoniae, และ anaerobes จงึ ห้ามเกบ็ CSF ในตเู้ ยน็
12 คมู่ อื การปฏิบัตงิ านแบคทีเรียและรา
5. นำ� ส่งในภาชนะหรอื ใน transport media ทเี่ หมาะสม เช่น
Cary Blair ส�ำหรบั stool หรอื rectal swab
Stuart’s/Amies w/o charcoal ส�ำหรับสง่ิ ส่งตรวจทกุ ชนิด
Thioglycolate สำ� หรับการเพาะเชือ้ anaerobe bacteria
Hemoculture media สำ� หรับเลอื ด
ภาชนะมีฝาปิดแน่น ไม่มีการรั่วไหล บรรจุภาชนะเก็บสิ่งส่งตรวจในถุงพลาสติก เพ่ือป้องกันการแพร่
กระจายเชอ้ื
6. ตอ้ งระบทุ ้ังชนดิ ของส่ิงสง่ ตรวจและตำ� แหน่งของรา่ งกายหรืออวยั วะที่เกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจชัดเจน เช่น ไม่ระบุ
วา่ หนอง แตต่ อ้ งระบวุ า่ หนองจากนวิ้ ชซ้ี า้ ย เปน็ ตน้ การชบี้ ง่ ตวั อยา่ งตรงกบั ขอ้ มลู ในใบนำ� สง่ เกบ็ จากผปู้ ว่ ย
ท่ีถูกคน การเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยผิดคนอาจท�ำให้ไม่ได้รับการรักษา หรือ ได้รับการรักษาท่ีผิดวิธีเป็น
อันตรายกบั ผปู้ ว่ ยทัง้ สองคนได้ ผเู้ ก็บส่งิ สง่ ตรวจจึงต้องระบตุ วั ตนของผู้ปว่ ยก่อนเก็บสงิ่ สง่ ตรวจเสมอ ใน
ใบน�ำสง่ ควรมีขอ้ มูลดังน้ี Demographic information ของผปู้ ่วย เช่น Patients ID, Age (Date of birth), Sex,
Health cares facility (OPD, ICU,อายุรศาสตร์), Patient location (ward), Admission date, Clinical
diagnosis และ Specimen information เช่น Specimen no., Specimen type, Body site, Date/time of
specimen collection
7. มคี มู่ อื การเกบ็ สงิ่ สง่ ตรวจสำ� หรบั เจา้ หนา้ ทท่ี เ่ี กยี่ วขอ้ ง เพอื่ เปน็ แนวปฏบิ ตั ใิ นการเกบ็ สง่ิ สง่ ตรวจใหม้ คี ณุ ภาพ
8. สิ่งส่งตรวจแบง่ ออกเป็นสองประเภท คือ ชนดิ ท่เี กบ็ จากต�ำแหน่งที่ปกติปราศจากเช้ือ และสง่ิ ส่งตรวจจาก
ตำ� แหน่งที่มีเช้ือประจ�ำถน่ิ
ชนิดของสิง่ สง่ ตรวจจากตำ� แหน่งท่ีปกตปิ ราศจากเชอ้ื ไดแ้ ก่
1. Blood 7. Joint fluid
2. Bone marrow aspirate 8. Bile
3. Cerebral spinal fluid 9. Ascitic fluid
4. Pleural fluid 10. Vitreous fluid
5. Pericardial fluid 11. น้ำ� หล่อเลย้ี งอวยั วะภายในอ่นื ๆ
6. Peritoneal fluid 12. Tissue
สงิ่ ส่งตรวจจากต�ำแหนง่ ท่ีมเี ชอื้ ประจำ� ถน่ิ ได้แก่
1. สิ่งสง่ ตรวจจากระบบทางเดินหายใจ เชน่ เสมหะ throat swab
2. ส่งิ ส่งตรวจจากระบบทางเดนิ ปสั สาวะ
3. สงิ่ ส่งตรวจจากระบบทางเดนิ อาหาร
4. สง่ิ สง่ ตรวจจากระบบสบื พันธุ์
5. แผล และ หนอง
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทั่วไป 13
เชื้อประจ�ำถ่นิ ของพื้นผวิ สว่ นต่างๆ ของรา่ งกาย
ผิวหนัง S. epidermidis, streptococci, Corynebacterium, Candida
คอ Viridans streptococci, diphtheroids
ปาก Viridans streptococci, Moraxella catarrhalis, actinomyces, spirochaetes
ระบบทางเดนิ อาหาร Viridans streptococci, M. catarrhalis, diphtheroids, micrococci
ช่องคลอด Lactobacilli, diphtheroids, streptococci, yeasts
ทางเดินอาหาร Bacteroides, anaerobic streptococci, Clostridium perfringens, Escherichia coli,
Klebsiella spp., Proteus spp., Enterococcus spp.
การเกบ็ ส่ิงสง่ ตรวจจากระบบทางเดนิ หายใจด้วยวิธี throat swab
ทำ� โดยใชไ้ มก้ ดลน้ิ พรอ้ มกบั ใหผ้ ปู้ ว่ ยรอ้ ง “อา...า..า..” ยาวๆ แลว้ ใชไ้ มพ้ นั สำ� ลี (swab) ทปี่ ราศจากเชอ้ื ปา้ ยบรเิ วณ
ต่อมทอนซิลท้งั สองขา้ งและ posterior pharynx หรอื ตรงบริเวณที่มกี ารอักเสบและมหี นอง พยายามอย่าให้ swab
ถูกนำ�้ ลายในปาก จากนัน้ ใส่ swab ลงใน Stuart’s medium แล้วรีบนำ� ส่งห้องปฏฺบัติการทนั ที ถ้าไม่สามารถส่งได้
ทนั ทใี ห้เกบ็ ไวท้ อ่ี ุณหภมู ิหอ้ งไม่เกิน 24 ชม.
ขน้ั ตอนการเจาะเลือดเพอ่ื เพาะเชอ้ื
1. เตรยี มอุปกรณ์การเจาะเลือดให้พร้อมก่อนเจาะเลอื ด ขวดเพาะเชื้อตัง้ ทอี่ ุณหภมู หิ ้อง
2. หาตำ� แหนง่ หลอดเลอื ดท่ีเหมาะสม ควรเจาะบริเวณหลอดเลือดดำ� สว่ นปลาย (peripheral vein)
3. ก่อนเจาะเลอื ดให้ท�ำความสะอาดมือด้วยการล้างมือด้วย antiseptic หรือใช้ alcohol hand rub และสวมถุงมือ
แบบสะอาด (clean glove)
4. การท�ำความสะอาดผิวหนังเป็นขั้นตอนส�ำคัญในการลดการปนเปื้อน ให้ใช้ 2% chlorhexidine gluconate
ใน 70% alcohol รอใหแ้ ห้งและออกฤทธไ์ิ ด้สูงสุดใชเ้ วลาเพยี ง 30 วินาที แต่ถ้าใช้ povidone-iodine ตอ้ งรอ
ท้ิงใหแ้ หง้ จนกวา่ จะออกฤทธถิ์ ึง 2 นาที
5. การเช็ดผิวหนังให้เช็ดวนจากด้านในออกด้านนอกเป็นวงกว้าง อย่างน้อย 5 cm ถูแรงพอควรเป็นเวลา 30
วินาที และรอจนแหง้ ไม่น้อยกวา่ 30 วนิ าที กรณใี ช้ 2% chlorhexidine gluconate ใน 70% alcohol หรือ 2
นาที กรณีใช้ povidone-iodine หลีกเล่ียงการสัมผัสบริเวณผิวหนังท่ีจะเจาะเลือดหลังท�ำความสะอาดด้วย
น�ำ้ ยาฆา่ เชอื้
6. ท�ำความสะอาดจุกยางเพาะเช้ือด้วย 70% alcohol หรือ 2% chlorhexidine gluconate ใน 70% alcohol ไมค่ วร
ใช้สารที่มี iodine เป็นองค์ประกอบ เนื่องจากอาจท�ำให้จุกยางมีการเปล่ียนสภาพได้ ท�ำให้มีโอกาสปน
เปอื้ นเชอ้ื ได้
7. ใส่เลอื ด 3 ml ลงในขวดเพาะเช้ือ โดยไม่จำ� เปน็ ต้องเปลี่ยนเขม็ เน่ืองจากไมม่ คี วามแตกต่างของโอกาสการ
ปนเป้ือนเชอื้ ของการเปลย่ี นเขม็
8. ส่งห้องปฏิบัติการทันที เพ่ือป้องกันไม่ให้มีผลกระทบต่อระยะเวลาการรอผล เนื่องจากต้องรายงานผลรีบ
ดว่ นเปน็ ค่าวิกฤต ถ้าไม่สามารถสง่ ไดท้ ันทใี ห้เก็บไว้ที่อณุ หภูมิหอ้ ง
14 คมู่ ือการปฏบิ ัติงานแบคทเี รยี และรา
ข้อควรระวัง : กรณีเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจรายการทดสอบอื่นๆด้วย ต้องใส่เลือดในขวดเพาะเชื้อก่อนเสมอ เพ่ือ
ปอ้ งกันการปนเป้อื นจากจลุ ชพี และสารเคมีท่อี าจมีในหลอดทใ่ี ส่เลอื ด
การเก็บสงิ่ สง่ ตรวจจากระบบทางเดินปสั สาวะเพ่อื ตรวจหาเชอื้ แบคทีเรียก่อโรค
การเกบ็ ปสั สาวะเพอื่ เพาะเชือ้ ให้เก็บแบบ clean-voided midstream urine โดยท�ำดงั น้ี
1. ล้างท�ำความสะอาดช่องเปิดของท่อปัสสาวะและอวัยวะรอบข้างด้วยน้�ำยาท�ำลายเชื้อ หรือน�้ำสะอาด แล้ว
ซับแห้งด้วยส�ำลีหรือผ้ากอซท่ีสะอาด โดยในเพศหญิงให้ใช้นิ้วแยกส่วน labia ออกให้กว้าง และดึงส่วน
ผวิ หนังให้รั้งขึ้นบน ส่วนในเพศชายให้ดงึ หนังหมุ้ อวัยวะเพศใหพ้ ้นออกจากสว่ นปลายให้มากท่ีสุด
2. ถา่ ยปสั สาวะสว่ นแรกทง้ิ ไปกอ่ น เพอื่ เปน็ การชะลา้ งสงิ่ ทอี่ าจจะปนเปอ้ื น จากนนั้ เกบ็ ปสั สาวะลงในภาชนะ
ปากกวา้ งปราศจากเช้อื ทเี่ ตรยี มไว้ ปัสสาวะทีเ่ กบ็ ได้ต้องส่งเพาะเช้ือโดยเร็วที่สุด ไมค่ วรเกิน 2 ชม. เนอ่ื งจาก
เชอื้ ในปสั สาวะสามารถเพม่ิ จำ� นวนได้ จำ� นวนเชอื้ ทเี่ พมิ่ ขน้ึ อาจทำ� ใหแ้ ปลผลผดิ ได้ กรณที ส่ี ง่ ตรวจไมไ่ ดท้ นั ที
ให้เกบ็ ไวท้ ่ี 4 °C แต่ไมเ่ กนิ 24 ชม.
ตารางที่ 2-1 การเกบ็ สิง่ สง่ ตรวจจากระบบต่างๆ ในร่างกาย การนำ� สง่ และการเก็บรักษา
System Specimen Storage temperature/Transport media
1. Upper respiratory tract Throat swab Sterile tube or Stuart transport medium
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at RT
2. Lower respiratory tract Sputum Sterile container
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at RT
3. Genital tract Vaginal swab Sterile tube or Stuart transport medium
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at RT
4. Open wound Pus, wound Sterile tube or Stuart transport medium
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at RT
5. Urinary tract 1. Voided midstream urine Sterile container
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at 4 °C
2. Catheterized urine Sterile container
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at 4 °C
3. Suprapublic aspiration Sterile container
Transport ≤ 2 h at RT, storage ≤ 24 h at 4 °C
RT = Room Temperature; h = Hour
เกณฑ์การปฏิเสธส่งิ สง่ ตรวจสำ� หรบั การเพาะเชื้อ - Prolong transportation
- Improper or no label - Leaking container
- Improper container (non sterile) - Obvious foreign contamination
- Oropharyngeally contaminated - Specimen unsuitable for culture request
- Duplicate specimens submitted at the same day/time
- Quantity not sufficient
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทว่ั ไป 15
ตารางท่ี 2-2 สิ่งสง่ ตรวจที่ควรเก็บและสงิ่ ส่งตรวจท่ไี มค่ วรเก็บสำ� หรับการเพาะเชือ้
สงิ่ ส่งตรวจ สงิ่ สง่ ตรวจทค่ี วรเกบ็ (Appropriate) ส่งิ สง่ ตรวจทไี่ มค่ วรเก็บ (Inappropriate)
เลือด Separate 2 or 3 venipunctures, Clotted blood, 1 or > 3 specimens within
before initiation of antibiotics 24 h, antisepsis with alcohol only
ระบบทางเดนิ หายใจสว่ นลา่ ง Freshly expectorated mucus and Saliva, oropharynegeal, secretions, sinus,
inflammatory cells (pus, sputum) drainage, nasopharynx
Sinus Direct aspiration, washes, curettage Nasal/nasopharyngeal swab, sputum,
and biopsy from sinus saliva
ระบบทางเดนิ ปสั สาวะ Midstream urine; urine from Urine from Foley catheter collection bag
catheterization, suprapublic
aspiration, cystoscopy or surgical
procedure
Superficial wound Aspiration of pus or irrigation fluid, Swab/specimen contaminated with surface
swab of purulence from beneath material, irrigation fluid with preservative
dermis
Deep wound Purulence, necrosis, or tissue from Specimen contaminated with surface
deep subcutaneous site material
ระบบทางเดินอาหาร Freshly pass stool Rectal swab
การจดั การสิง่ ส่งตรวจ
- ตรวจสอบหมายเลขขอตรวจ ชื่อ-นามสกุล H.N. บนใบน�ำสง่ กับบนภาชนะให้ตรงกัน จากนน้ั จึงตรวจสอบ
รายละเอียดดงั กล่าวข้างต้นบนใบนำ� ส่งให้ตรงกนั
- สิ่งส่งตรวจท่ีผ่านการตรวจสอบแล้ว จะถูกน�ำมาเพาะเชื้อบนอาหารเลี้ยงเช้ือที่เหมาะสม อบเพาะเชื้อท่ี
อณุ หภูมิ 35 °C เป็นเวลา 18-24 ชม.
- สงิ่ ส่งตรวจจะถกู จำ� แนกออกเปน็ 2 กลุม่ คอื
1. กลมุ่ ท่ตี ้องรายงานผล microscopic examination เบือ้ งต้น ไดแ้ ก่ เสมหะ หนอง นำ�้ หล่อเล้ียงอวัยวะ
ภายใน
2. กลุ่มที่ไมต่ อ้ งรายงานผล microscopic examination ได้แก่ ปัสสาวะ อุจจาระ
- Microscopic examination รายงานผลเบ้ืองตน้ preliminary report
- Final report for microscopic examination, identification and antimicrobial susceptibility test
16 คมู่ อื การปฏิบัติงานแบคทเี รยี และรา
การเกบ็ สง่ิ สง่ ตรวจตามมาตรฐานงานเทคนคิ การแพทย์
ขน้ั ตอนก่อนการวิเคราะห์
- มีคู่มอื จดั เก็บตวั อยา่ งแจกให้หนว่ ยงานท่ีเก็บตวั อย่างมาส่งหอ้ งปฏิบัตกิ าร ควรมรี ายละเอยี ดครบถ้วนและ
ตอ้ งทบทวนทกุ ปี
- คูม่ ือระบุ วิธีการตรวจ เวลาทีใ่ ห้บรกิ าร การจัดเก็บตวั อย่าง การปฏิเสธตัวอย่างที่ไม่เหมาะสม การรับตรวจ
วิเคราะห์เพิม่
- มกี ารบง่ ชต้ี วั อยา่ ง/ใบนำ� สง่ /ตวั อยา่ งทแี่ บง่ มาใหส้ ามารถสอบกลบั ไปยงั ผปู้ ว่ ยแตล่ ะคนในแตล่ ะวนั /เวลา และ
ตัวอยา่ งเริ่มต้นได้ ชอ่ื นามสกลุ และ H.N. หรือ Lab no.
- มกี ารควบคมุ วธิ กี ารนำ� สง่ ตวั อยา่ งภายในเวลาและอณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสม ปลอดภยั ตอ่ ผนู้ ำ� สง่ และสง่ิ แวดลอ้ ม
- หลักฐานระบุรายละเอียดสภาพตัวอย่างหรือใบน�ำส่งท่ีไม่เป็นไปตามเกณฑ์ บันทึกการรับตัวอย่างในสมุด/
ระบบคอมพวิ เตอร/์ ระบบอน่ื ๆ (วัน/เวลา/ชนิดตวั อยา่ ง/ผ้รู บั )
- กรณที ยี่ ังไม่ท�ำการวเิ คราะห์ในทันที มีวธิ ีการเก็บรกั ษาตวั อยา่ งเหมาะสม
ขน้ั ตอนการรายงานผล
- ก�ำหนด “คา่ วกิ ฤต” หรอื “ช่วงของค่าวกิ ฤต” โดยทำ� ความตกลงกับแพทย์ผู้สง่ ตรวจ กรณพี บคา่ วกิ ฤต มีวธิ ี
การรายงานผล บันทกึ ค่าวกิ ฤตทพ่ี บ/วนั /เวลา/ผูร้ ายงาน น�ำมาทบทวนระบบคุณภาพ
- กรณจี ำ� เปน็ ตอ้ งวเิ คราะหต์ วั อยา่ งทไี่ มเ่ ปน็ ไปตามเกณฑก์ ารรบั ตวั อยา่ ง มกี ารระบสุ ภาพปญั หา/ขอ้ ควรระวงั
ในการแปลผลในใบรายงานผล
ส�ำหรบั โรงพยาบาลศูนยแ์ ละโรงพยาบาลทวั่ ไป 17
18 คมู่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา วิธปี ฏิบตั กิ ารเกบ็ ส่ิงส่งตรวจเพอื่ วินิจฉยั โรคติดเช้ือแบคทเี รยี และเช้ือรา
ตารางท่ี 2-3 การเกบ็ สิ่งสง่ ตรวจเพื่อวนิ จิ ฉัยโรคตดิ เช้อื Aerobic bacteria
ชตน�ำิดแสหงิ่ นสง่ ่งทตี่เรกว็บจ/ ปริมาณ/ภาชนะบรรจุ วธิ เี ก็บ เวลาและอุณหภมู ขิ อง ขอ้ แนะนำ� หรือขอ้ ควรระวัง
Blood
การนำ� ส่ง การเกบ็ รักษา
ขวด hemoculture 1. เตรียมอุปกรณก์ ารเจาะเลือดให้พรอ้ ม ภายใน 2 ชม. ไม่เกนิ 24 ชม. 1. ขวด hemoculture ทตี่ อ้ งเกบ็ ในตเู้ ยน็ ใหน้ ำ�
- ผู้ใหญ่ 5-10 ml 2. ล้างมอื ใหส้ ะอาดดว้ ยสบหู่ รอื น้�ำยาฆ่าเชือ้ ทีอ่ ุณหภมู หิ ้อง ทีอ่ ณุ หภมู หิ ้อง มาตั้งไว้ท่ีอณุ หภูมหิ อ้ งกอ่ นที่จะใสเ่ ลือด
- เดก็ 1-5 ml และใสถ่ งุ มือ ห้ามเก็บใน 2. ควรหลกี เลย่ี งการเจาะเลอื ดจากหลอด
- ทารกแรกเกดิ 1-2 ml ตเู้ ย็น
จำ� นวนขวด 3. เลอื กตำ� แหน่งของหลอดเลือดดำ� สว่ น เลือดทีข่ าหนบี (inguinal vessels)
1. กรณไี ม่เรง่ ดว่ นเจาะ ปลาย (peripheral vein) ท่จี ะเจาะเลอื ด 3. หลกี เล่ยี งการสัมผัสบริเวณผิวหนังทจ่ี ะ
อย่างนอ้ ย 2 ขวด 4. เช็ดซ้�ำด้วย 2% chlorhexidine gluconate
ภายใน 24 ชม.แต่ ใน 70% alcohol แต่ส�ำหรับเด็กแรกเกิดให้ เจาะเลอื ดหลังจากทที่ �ำความสะอาดแล้ว
ใช้ 70% alcohol เช็ดแทน โดยเชด็ วนจาก 4. ควรเจาะเลอื ดก่อนท่ผี ูป้ ว่ ยจะได้รบั สาร
ไมค่ วรเกิน 4 ขวด ดา้ นในออกดา้ นนอกเปน็ วงกวา้ งอยา่ งนอ้ ย ตา้ นจุลชพี ถา้ ผปู้ ว่ ยไดร้ บั สารตา้ นจุลชีพ
แล้วใหเ้ จาะเลอื ด 15 นาที กอ่ นที่จะใหส้ าร
ตา้ นจุลชพี ครัง้ ถดั ไป
2. กรณีเรง่ ด่วนตอ้ งรบี 5 cm รอไม่นอ้ ยกวา่ 30 วินาที จนนำ้� ยาท่ี 5. ไมค่ วรเจาะเลอื ดเพอื่ ใชใ้ นการทดสอบอนื่
ใหย้ าปฏิชวี นะใหเ้ จาะ เชด็ ซ�ำ้ แหง้ ในคราวเดียวกันเพราะอาจเกิด clot หรือ
2 ขวดพรอ้ มกันแตค่ น 5. ใชเ้ ขม็ และ syringe เจาะเลือดออกจาก contamination ได้งา่ ย
ละต�ำแหน่ง หลอดเลอื ดด�ำ 6. การเจาะเลือด 2 คร้ังหา่ งกัน 15 หรอื 30
3. ผปู้ ว่ ยเดก็ ใหเ้ จาะเลอื ด 6. ทำ� ความสะอาดจกุ ยางทฝ่ี าขวด นาที กบั การเจาะเลอื ดจากต�ำแหนง่ ที่
เพียงครัง้ เดยี ว แต่ถา้ hemoculture ด้วย 70% alcohol ตา่ งกนั 2 คร้ังในเวลาเดียวกนั พบวา่
สงสัยภาวะติดเชอ้ื ท่ี และรอให้แห้ง ความไวในการเพาะเชอ้ื ไม่แตกต่างกนั
ลนิ้ หวั ใจต้องเจาะ 7. แทงเข็มลงตรงกลางจกุ ยางของขวด 7.กรณที ี่สงสัยการตดิ เชอ้ื จากสายสวน
หลอดเลอื ดดำ� และใช้เครือ่ งเพาะเชอ้ื แบบ
อย่างนอ้ ย 2 คร้งั หา่ ง hemoculture ฉีดเลือดลงในขวดเบาๆ อัตโนมัติ ให้ดูดเลอื ดจากสายสวน 1 ขวด
กนั ไม่เกนิ 24 ชม. และเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำ� ส่วน
ปลายอีก 1 ขวด พร้อมกนั ถ้าขวดท่ีมา
ตารางท่ี 2-3 การเก็บสงิ่ ส่งตรวจเพื่อวนิ จิ ฉัยโรคติดเชื้อ Aerobic bacteria (ตอ่ )
ชนดิ สงิ่ สง่ ตรวจ/ ปรมิ าณ/ภาชนะบรรจุ วธิ ีเกบ็ เวลาและอุณหภูมขิ อง ข้อแนะน�ำหรอื ขอ้ ควรระวัง
ต�ำแหนง่ ทเี่ ก็บ
การน�ำสง่ การเกบ็ รักษา
Bone marrow
CSF 8. เขย่าขวดเปน็ วงกลมบนพืน้ โต๊ะ จากสายสวนมเี ชอ้ื ขนึ้ กอ่ นขวดทเี่ จาะมา
ประมาณ 5 รอบ และซ้ายขวาข้างละ จากหลอดเลอื ดดำ� สว่ นปลาย เทา่ กบั หรอื
5 ครง้ั มากกวา่ 2 ชม. บง่ ชถ้ี งึ การตดิ เชอ้ื มาจาก
จากสายสวนหลอดเลอื ด
9. ใช้ 70 % alcohol เช็ดจกุ ยางด้านบน 8. กรณผี ปู้ ว่ ยเดก็ ทเ่ี จาะเลอื ดยากและมสี าย
ของขวดอกี คร้งั สวนหลอดเลอื ด เชน่ central line คาอยู่
อนโุ ลมใหด้ ดู เลอื ดจากสายสวนไดแ้ ตห่ าก
ผลการเพาะเชอ้ื จากสายสวนมเี ชอ้ื ขนึ้ และ
ตอ้ งการยนื ยนั วา่ เปน็ ผลบวกปลอมหรอื ไม่
ใหเ้ จาะเลอื ดจากหลอดเลอื ดดำ� สว่ นปลาย
เพอื่ เพาะเชอื้ ซำ้� อกี ครง้ั
9. ถา้ ตอ้ งการเพาะเชอ้ื วณั โรคใหเ้ ลอื กขวด
hemoculture ทเี่ หมาะสมและปฏบิ ตั ติ าม
คำ� แนะนำ� ของผผู้ ลติ
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทั่วไป 19 ขวด hemoculture แพทยเ์ ปน็ ผูเ้ จาะเกบ็ เหมอื นกับ เหมือนกับ
blood blood
1 ml/ขวดปราศจากเชอื้ เจาะเกบ็ โดยใช้ sterile technique โดยเกบ็ เปน็ ภายใน 15 นาที ไมเ่ กนิ 1. ถา้ เจาะไดข้ วดเดยี วให้น�ำสง่ หอ้ ง
3 ขวด และใชข้ วดที่ 2 ส่งเพาะเชอ้ื หา้ มแช่เย็น 24 ชม. ท่ี จุลชีววิทยา เพื่อเพาะเชอ้ื ก่อนทเ่ี หลอื
อณุ หภมู หิ อ้ ง จงึ สง่ ไปตรวจทางเคมี และ cell count
20 คมู่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา ตารางที่ 2-3 การเก็บสิง่ สง่ ตรวจเพอื่ วนิ ิจฉัยโรคตดิ เชอ้ื Aerobic bacteria (ต่อ)
ชนดิ สิ่งส่งตรวจ/ ปรมิ าณ/ภาชนะบรรจุ วิธเี ก็บ เวลาและอุณหภูมิของ ขอ้ แนะนำ� หรือขอ้ ควรระวัง
ตำ� แหนง่ ท่ีเก็บ การน�ำส่ง การเก็บรกั ษา
Mid stream
urine 10-15 ml/ภาชนะ 1. ท�ำความสะอาดบริเวณรอบๆท่อปัสสาวะ ควรส่งทันที ไมเ่ กิน 24 ชม. 1. ควรใช้ภาชนะปากกว้าง
1. ผู้ป่วยหญงิ ปราศจากเช้ือ (urethra) ด้วยสบู่ ไม่เกนิ 2 ชม. ที่ 4 °C
(female) 2. ล้างสบอู่ อกและเช็ดให้แห้ง ที่อุณหภมู ิห้อง
3. ใชน้ ิว้ 2 นิ้วแยก labia ให้ห่างออกจากกัน
ถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทงิ้ ไป
4. ถ่ายปสั สาวะช่วงกลางลงในภาชนะ
ปราศจากเชื้อ
2. ผ้ปู ่วยชาย 10-15 ml/ภาชนะ 1. ร่นหนังหุ้มปลาย gland penis แลว้ ท�ำ ควรสง่ ทนั ที ไม่เกิน 24 ชม. 1. ควรใช้ภาชนะปากกวา้ ง
(male) ปราศจากเชื้อ ความสะอาดดว้ ยสบู่ ไม่เกนิ 2 ชม. ท่ี 4 °C
Catheterized ท่ีอณุ หภมู หิ อ้ ง
urine 2. ลา้ งสบู่ออกและเชด็ ใหแ้ หง้
1. straight 3. ถา่ ยปสั สาวะช่วงแรกทิ้งไป
catheter 4. ถา่ ยปสั สาวะช่วงกลางลงในภาชนะ
ปราศจากเช้ือ
ประมาณ 15 ml/ภาชนะ 1. ทำ� ความสะอาดบรเิ วณรอบๆ urethra ควรสง่ ทนั ที ไม่เกนิ 24 ชม. 1. ไมค่ วรใช้วธิ นี ีส้ �ำหรับ routine urine
ปราศจากเช้อื ดว้ ยสบู่ ไม่เกนิ 2 ชม. ที่ 4 °C culture ยกเว้นผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะเองไม่ได้
2. ลา้ งสบู่ออกและเช็ดใหแ้ หง้ ท่ีอณุ หภูมิห้อง หรอื มกี ารอุดตันของทอ่ ปสั สาวะ
3. สอด catheter เขา้ ไปในกระเพาะปสั สาวะ
4. ปลอ่ ยน�ำ้ ปัสสาวะทิ้งไปประมาณ 15 ml
5. เก็บปสั สาวะใส่ภาชนะปราศจากเชือ้
ตารางที่ 2-3 การเกบ็ สง่ิ สง่ ตรวจเพอ่ื วินิจฉยั โรคตดิ เชอ้ื Aerobic bacteria (ต่อ)
ชนดิ สิง่ สง่ ตรวจ/ ปริมาณ/ภาชนะบรรจุ วิธีเกบ็ เวลาและอุณหภูมิของ ข้อแนะนำ� หรอื ข้อควรระวัง
ต�ำแหนง่ ทเ่ี ก็บ 5-10 ml/ภาชนะ 1. ใชส้ ำ� ลชี ุบ 70% alcohol ท�ำความสะอาด การน�ำส่ง การเก็บรกั ษา
2. indewelling ปราศจากเช้อื ควรส่งทันที ไม่เกิน 24 ชม.
catheter สว่ นตอ่ ระหว่าง catheter กบั สาย drain ไมเ่ กนิ 2 ชม. ท่ี 4°C
2. ใชเ้ ขม็ และกระบอกฉีดยาแทงแล้วดดู ที่อณุ หภูมหิ ้อง
Fluids
abdominal ปสั สาวะออกมาใส่ภาชนะปราศจากเชือ้
ascitic, bile, 5-10 ml
joint,
pericardial, 1. ≥ 1 ml ส�ำหรบั PDF แพทย์เปน็ ผเู้ จาะโดยใช้ sterile technique ภายใน 15 นาที ไมเ่ กิน 24 ชม. 1. ห้ามใช้ sterile swab จ่มุ fluids ตา่ งๆ แลว้
peritoneal, (Peritoneal Dialysis ทอ่ี ณุ หภมู หิ ้อง ท่อี ณุ หภมู หิ อ้ ง ใส่ในภาชนะบรรจุ transport medium
pleural Fluid)
synovial และ 2. ≥ 50 ml/ภาชนะ ยกเว้น 2. ในกรณีที่ต้องการทำ� cell count ควรส่ง
amniotic fluid ปราศจากเช้อื pericardial ทนั ที
fluid 3. ถา้ ต้องการเพาะหาเช้อื รา ให้เกบ็ ที่ 4 °C
เกบ็ ที่ 4°C ได้ ไม่เกิน 24 ชม.
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทั่วไป 21 gastric : wash 25-50 ml/ภาชนะ 1 เก็บตอนเชา้ เมอ่ื ผปู้ ว่ ยต่ืนนอนก่อน ภายใน 15 นาที ไม่เกิน 24 ชม. 1.ควรทำ� การเพาะเลย้ี งบนอาหารใหเ้ รว็ ทส่ี ดุ
หรือ lavage fluid ปราศจากเชื้อ รับประทานอาหารเช้า ที่อณุ หภมู หิ อ้ ง ท่ี 4°C เนือ่ งจากเชอื้ วัณโรคใน gastric wash
หรือ neutralize ตายเร็ว
2 ใสส่ าย nasogastric tube เข้าทางปาก ดว้ ย 1.5 ml ของ
หรอื ทางจมกู ลงไปในกระเพาะ 4ภ0า%ยในNa12HชPมO. 4
หลงั เกบ็
3 ลา้ งกระเพาะโดยใชน้ ้ำ� กลนั่ ปราศจาก
เชอ้ื 20-50 ml
4 เกบ็ น�้ำล้างกระเพาะใส่ภาชนะ
ปราศจากเชื้อ
22 คมู่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา ตารางท่ี 2-3 การเกบ็ ส่งิ สง่ ตรวจเพอื่ วินจิ ฉัยโรคติดเช้ือ Aerobic bacteria (ตอ่ )
ชนิดสง่ิ ส่งตรวจ/ ปรมิ าณ/ภาชนะบรรจุ วธิ ีเก็บ เวลาและอณุ หภมู ขิ อง ขอ้ แนะน�ำหรือขอ้ ควรระวัง
ต�ำแหน่งทเี่ กบ็ การนำ� ส่ง การเก็บรักษา
IV catheter ภาชนะปราศจากเช้อื 1. ท�ำความสะอาดผิวหนังรอบๆ catheter ภายใน 15 นาที ภายใน 24 ชม. 1. อยา่ ให้สายแห้งก่อนทำ� การเพาะเชื้อ
Abcess ด้วย 70% alcohol ท่ีอณุ หภมู หิ อ้ ง ที่ 4 °C 2. ไมค่ วรท�ำ culture จาก foley catheter
1. open เพาะเชื้อทข่ี ึน้ เป็นเชือ้ ประจำ� ถน่ิ
2. close 2. ใช้ sterile technique ดงึ สาย catheter บริเวณปลาย urethra
ออกมา
3. ตดั ปลายด้านท่ีอยใู่ นตัวผู้ปว่ ยประมาณ
5 cm ใสล่ งภาชนะปราศจากเช้ือ
ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ทำ� ความสะอาดผวิ บนของแผล โดยใช้ ภายใน 2 ชม. ไม่เกนิ 24 ชม. 1. ถา้ จะยอ้ มแกรม ด้วย ควร swab เพ่ิม
medium นำ้� เกลือปราศจากเชอ้ื ทีอ่ ณุ หภูมหิ อ้ ง ท่ีอุณหภมู หิ อ้ ง อกี 1 อัน ปา้ ยลงบน slide สะอาดปราศ
2. เช็ดหนองที่อยู่ส่วนบนของแผลทิง้ จากไขมนั
3. ใช้ sterile swab ป้ายหนองบรเิ วณ
แผลทอ่ี ยลู่ กึ ลงไปและบริเวณขอบแผล
4. จุ่ม swab ลงใน Stuart’s medium
1-2 ml/ภาชนะ 1. ทำ� ความสะอาดผวิ บนของแผล โดยใช้ ภายใน 2 ชม. - 1. ควรน�ำส่งหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารใหเ้ รว็ ท่ีสดุ
ปราศจากเชือ้ 70% alcohol ทีอ่ ณุ หภมู หิ ้อง
2. ใชเ้ ขม็ และ syringe เจาะดูดหนองออกมา
3. ฉีดใส่ภาชนะปราศจากเชอื้
ตารางท่ี 2-3 การเกบ็ สิ่งส่งตรวจเพื่อวินจิ ฉัยโรคตดิ เชือ้ Aerobic bacteria (ตอ่ )
ชนิดส่งิ สง่ ตรวจ/ ปรมิ าณ/ภาชนะบรรจุ วธิ ีเกบ็ เวลาและอุณหภูมิของ ขอ้ แนะน�ำหรอื ขอ้ ควรระวงั
ตำ� แหน่งที่เกบ็ การน�ำสง่ การเกบ็ รกั ษา
Upper
respiratory tract ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ใช้ sterile swab จุ่มนำ�้ เกลือปราศจากเช้อื ภายใน 2 ชม. ไม่เกนิ 24 ชม. 1. การเพาะหาเชื้อจากรจู มกู สว่ นใหญ่ใช้ ใน
1. nasal medium 2. สอดเขา้ ไปในรูจมูกลึกประมาณ 2 cm ทอี่ ณุ หภูมิหอ้ ง ท่อี ณุ หภมู หิ ้อง การค้นหาผู้ที่เป็นพาหะของ
3. หมุน swab ให้สัมผัสกบั ผนังด้านในของ Staphylococcus
รูจมูก จุ่ม swab ลงใน Stuart’s medium
2. nasopharynx ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ใช้ sterile nasopharynx swab วดั ปลาย ภายใน 2 ชม. ไม่เกนิ 24 ชม. 1. กรณีท่นี �ำ swab เพาะเลย้ี งบนอาหารเลี้ยง
medium swab จากรจู มกู ถงึ คิว้ แลว้ งอลวดใหโ้ ค้ง ทีอ่ ณุ หภมู ิหอ้ ง ท่อี ณุ หภมู หิ ้อง เชอื้ โดยตรง ตอ้ งน�ำส่งห้องปฏบิ ตั ิการ
หรือหกั เป็นมมุ 90 องศา
ภายใน 15 นาที ท่อี ณุ หภูมหิ ้อง
2. ให้ผู้ปว่ ยเงยหนา้ ประมาณ 45 องศา
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทั่วไป 23 หายใจเข้าลกึ ๆ และหายใจออกจนสดุ
แล้วกลั้นหายใจ
3. สอด swab เขา้ ไปทางรูจมูกจนสุด
แล้วหมนุ โดยรอบประมาณ 3 วินาที
4. จมุ่ swab ลงใน Stuart’s medium หรือ
ป้ายลงบนอาหารเพาะเลี้ยงโดยตรง
3. throat ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ใชไ้ ม้กดลนิ้ ผู้ปว่ ยไว้ ภายใน 2 ชม. ไม่เกิน 24 ชม.
medium 2. นำ� sterile swab ป้ายบริเวณ tonsil ทอ่ี ณุ หภูมหิ อ้ ง ที่อณุ หภูมิห้อง
ทง้ั สองข้างหรอื บริเวณทม่ี ีการอกั เสบ
3. จุ่ม swab ลงใน Stuart’s medium
24 คมู่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา ตารางท่ี 2-3 การเก็บส่งิ ส่งตรวจเพ่ือวินจิ ฉัยโรคติดเช้อื Aerobic bacteria (ต่อ)
ชนิดสิ่งส่งตรวจ/ ปริมาณ/ภาชนะบรรจุ วธิ เี ก็บ เวลาและอณุ หภูมิของ ข้อแนะน�ำหรือขอ้ ควรระวงั
ต�ำแหน่งทเ่ี ก็บ การน�ำสง่ การเกบ็ รกั ษา
Lower ภายใน 2 ชม. ไมเ่ กิน 24 ชม.
respiratory ทีอ่ ณุ หภมู ิหอ้ ง ท่ี 4 °C
tract
1. - bronchoalveolar > 1 ml /ภาชนะปราศจาก แพทย์เปน็ ผู้เก็บ โดยใช้ sterile technique
lavage เชอื้
- bronchial wash
- tracheal aspirate
2. sputum 1. > 1 ml /ภาชนะ ใหผ้ ปู้ ่วยบ้วนปากหลายครั้งด้วยน้�ำสะอาด ภายใน 2 ชม. -ไมเ่ กนิ 24 ชม. 1. เสมหะท่ีดีควรมี squamous epithelial
Eye ปราศจากเชอ้ื แลว้ ไอลึกๆ ขากเสมหะใส่ภาชนะ ท่อี ุณหภูมิห้อง ที่ 4 °C cells เทา่ กับหรือน้อยกว่า 10 ตัว/low power
1. conjunctiva 2. สำ� หรับ acid fast stain ปราศจากเชอ้ื - ไมเ่ กิน 3 วนั field
ใชภ้ าชนะสะอาดแห้ง ท่ี4 °Cสำ� หรบั 2. ควรเกบ็ เสมหะตอนเช้าหลังตน่ื นอน
มฝี าปิดสนิท acid fast stain
ภาชนะบรรจุ Stuart’s ใช้ sterile swab จมุ่ นำ้� เกลอื หมาดๆ ป้ายท่ี ภายใน 2 ชม. ไมเ่ กิน 24 ชม. ควรท�ำการป้ายจากตาทั้งสองข้าง ท้ังข้างที่
medium conjunctiva โดยหมุนไม้ swab ไปใหท้ ่วั ทอ่ี ณุ หภูมิหอ้ ง ท่อี ุณหภูมหิ ้อง ปกติและเปน็ โรคเพอ่ื ใชผ้ ลของการเพาะเชอื้
น�ำ swab จุ่มลงใน Stuart’s medium
จากข้างปกตเิ ป็น control (indigenous
microflora)
2. cornea - 1. ใช้ sterile swab จุ่มน�้ำเกลอื หมาดๆ ป้ายที่ ส่งทนั ทีภายใน -
cornea 15 นาที
2. น�ำ swab ป้ายลงบน CA และ BA ทีอ่ ณุ หภมู ิหอ้ ง
ตารางท่ี 2-3 การเกบ็ สงิ่ สง่ ตรวจเพื่อวินจิ ฉยั โรคตดิ เช้ือ Aerobic bacteria (ตอ่ )
ชนดิ สิ่งส่งตรวจ/ ปริมาณ/ภาชนะบรรจุ วิธีเก็บ เวลาและอุณหภมู ขิ อง ข้อแนะนำ� หรือข้อควรระวัง
ต�ำแหนง่ ท่เี กบ็ การนำ� สง่ การเก็บรกั ษา
Ear
1. inner 1. ภาชนะปราศจากเชื้อ 1. ล้างชอ่ งหูใหส้ ะอาด โดยใช้สบ่แู ละนำ�้ ภายใน 2 ชม. ไมเ่ กนิ 24 ชม.
2. ภาชนะบรรจุ Stuart’s 2. ใช้เขม็ และ syringe ดูดน้�ำในช่องหูออกมา ที่อณุ หภูมิห้อง ท่อี ณุ หภูมิห้อง
medium ใสภ่ าชนะปราศจากเชอ้ื
3. ในกรณีท่ี ear drum แตกให้เก็บ โดยใช้
sterile swab ป้ายน�ำ้ ในชอ่ งหู จมุ่ swab
ลงใน Stuart’s medium
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทั่วไป 25 2. outer ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ใช้ sterile swab จมุ่ น้ำ� เกลอื หมาดๆ ภายใน 2 ชม. ไม่เกิน 24 ชม.
Feces medium เช็ดรอบๆ ช่องหู เพือ่ ขจดั เศษ cell ท่ีอุณหภูมิหอ้ ง ทอ่ี ุณหภูมหิ อ้ ง
1. ≥ 2 กรมั /ภาชนะ ตา่ งๆ ออก ภายใน 1 ชม. ไม่เกนิ 24 ชม. ควรใช้ภาชนะปากกวา้ ง
ปราศจากเชอ้ื ทอ่ี ุณหภูมหิ อ้ ง ที่ 4 °C
2. แลว้ ใช้ swab อนั ใหมป่ า้ ย โดยกดให้แรง
และหมนุ ใหท้ ่ัวชอ่ งหู (outer canal)
3. จมุ่ swab ลงใน Stuart’s medium
ถ่ายอุจจาระใสใ่ นภาชนะปราศจากเชื้อ
2. ภาชนะบรรจุ 1.ถา่ ยอจุ จาระลงในภาชนะทแี่ หง้ และสะอาด ภายใน 2 ชม. ไม่เกิน 48 ชม.
Carry Blair medium ไมป่ นเปอื้ นปสั สาวะ ที่อุณหภูมิหอ้ ง ทอ่ี ณุ หภูมิหอ้ ง
2. ใช้ sterile swab ป้ายอจุ จาระทถ่ี า่ ยออกมา
โดยเลือกปา้ ยบรเิ วณท่มี ีมกู หรอื เลอื ดปน
จมุ่ swab ลงใน Carry Blair medium
26 คมู่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา ตารางที่ 2-3 การเก็บสิง่ สง่ ตรวจเพอื่ วินจิ ฉัยโรคติดเชอื้ Aerobic bacteria (ต่อ)
ชนิดสง่ิ สง่ ตรวจ/ ปริมาณ/ภาชนะบรรจุ วิธีเกบ็ เวลาและอุณหภูมิของ ขอ้ แนะน�ำหรอื ข้อควรระวงั
ตำ� แหน่งทีเ่ กบ็
Rectal swab การน�ำสง่ การเก็บรกั ษา
Genital tract ภาชนะบรรจุ 1. ใช้ sterile swab สอดเขา้ ช่องทวารหนกั ภายใน 2 ชม. ไม่เกนิ 48 ชม.
1. female Carry Blair medium ให้ลึกประมาณ 1-2 นิว้ ที่อุณหภูมหิ อ้ ง ทีอ่ ุณหภมู หิ ้อง
2. หมุน swab 2-3 รอบ
1.1 vagina 3. ดงึ ออกจมุ่ swab ลงใน Cary Blair medium
ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ทำ� ความสะอาดบรเิ วณรอบๆ ชอ่ งคลอด ภายใน 2 ชม. ไมเ่ กนิ 24 ชม.
medium ด้วยน�ำ้ เกลอื ปราศจากเชอ้ื ทอี่ ณุ หภมู หิ อ้ ง ท่อี ณุ หภูมิห้อง
2. เช็ดให้แห้งดว้ ยสำ� ลี ห้ามเก็บใน
3.ใช้ sterile swab สอดเขา้ ไปในช่องคลอด ตเู้ ย็น
4. ป้าย secretion หรอื discharge
5. จุม่ swab ลงใน Stuart’s medium
1.2 urethra ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ทำ� ความสะอาดบรเิ วณรอบๆ urethra ภายใน 2 ชม. ไมเ่ กนิ 24 ชม. ในกรณที ่ีไม่มี discharge ใหป้ ฏบิ ัติดังนี้
medium 2. นวดรอบๆ urethra หัวเหนา่ ไปจนถงึ ท่อี ุณหภูมิหอ้ ง ทอ่ี ณุ หภูมหิ อ้ ง 1. ท�ำความสะอาดรอบๆ urethra ด้วยสบู่
ช่องคลอด ห้ามเกบ็ ใน และนำ�้ สะอาด
3. ใช้ sterile swab ป้าย discharge ทไี่ หล ตู้เยน็ 2. ใช้ sterile swab สอดเขา้ ไปใน urethra
ออกมา ลึกประมาณ 2-4 cm
3. หมนุ swab ประมาณ 2 วินาที
4. ดึงออกแล้วจมุ่ swab ลงใน Stuart’s
medium
ตารางที่ 2-3 การเกบ็ ส่ิงส่งตรวจเพอื่ วินจิ ฉัยโรคตดิ เชื้อ Aerobic bacteria (ตอ่ )
ชนิดสง่ิ ส่งตรวจ/ ปริมาณ/ภาชนะบรรจุ วิธเี กบ็ เวลาและอณุ หภูมิของ ข้อแนะนำ� หรอื ข้อควรระวงั
ตำ� แหนง่ ทเี่ กบ็ การน�ำสง่ การเกบ็ รักษา
ภายใน 2 ชม. ไม่เกิน24 ชม.
1.3 cervix ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ใช้ speculum ในการตรวจ cervix โดย ทอ่ี ุณหภมู หิ ้อง ทอี่ ุณหภมู ิห้อง
mediu ไมใ่ ชส้ ารลอ่ ล่นื
ห้ามเก็บใน
2. ใช้ sterile swab เชด็ พวก mucus และ ตเู้ ย็น
secretion บริเวณ cervix แล้วทิ้งไป
3. ใช้ sterile swab อนั ใหม่ ป้ายบริเวณ
endocervical canal
4. จ่มุ swab ลงใน Stuart’s medium
1.4 intrauterine ภาชนะปราศจากเชื้อ น�ำอปุ กรณท์ ั้งหมดใสล่ งในภาชนะ ภายใน 2 ชม. -
devices ปราศจากเช้ือ ทอ่ี ณุ หภูมิหอ้ ง
2. male ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ทำ� ความสะอาด prostate gland โดยใชส้ บู่ ภายใน 2 ชม. ไมเ่ กนิ 24 ชม. ถ้าเกบ็ ปสั สาวะ โดยเก็บทันทกี อ่ นและหลัง
2.1 prostate medium และน�ำ้ ทอ่ี ุณหภูมิหอ้ ง ท่อี ณุ หภมู ิห้อง นวด prostate gland จะใหผ้ ลการเพาะเชื้อ
สำ� หรับโรงพยาบาลศนู ย์และโรงพยาบาลทั่วไป 27 2. นวด prostate gland ไลไ่ ปจนถงึ ทวารหนัก ทด่ี กี ว่า
3. ใช้ sterile swab ปา้ ยของเหลวทไ่ี หล
ออกมาแล้วจมุ่ swab ลงใน Stuart’s
medium
28 คมู่ อื การปฏบิ ัตงิ านแบคทเี รียและรา ตารางที่ 2-3 การเกบ็ สิ่งส่งตรวจเพอ่ื วินิจฉัยโรคตดิ เช้ือ Aerobic bacteria (ตอ่ )
ชนิดสิ่งส่งตรวจ/ ปรมิ าณ/ภาชนะบรรจุ วิธีเก็บ เวลาและอณุ หภมู ขิ อง ขอ้ แนะนำ� หรือข้อควรระวัง
ตำ� แหนง่ ทีเ่ กบ็ การน�ำส่ง การเก็บรกั ษา
2.2 urethra ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. รน่ หนงั หมุ้ gland penis ภายใน 2 ชม. ไม่เกนิ 24 ชม. กรณที ใี่ ช้ sterile loop ให้ streak ลงบนอาหาร
3. female medium 2. ท�ำความสะอาดรอบๆ ด้วยสบ่แู ละนำ�้ ทอ่ี ณุ หภมู ิห้อง ทีอ่ ุณหภูมหิ ้อง เลีย้ งเช้ือโดยตรงหรอื จะปา้ ยลงบน slide
or male lesion แลว้ เช็ดให้แห้ง หา้ มเกบ็ ใน เพอ่ื ท�ำ smear กไ็ ด้
3. ใช้ sterile swab ขนาดเล็ก หรือใช้ ตู้เยน็
sterile loop สอดเข้าไปในท่อปัสสาวะ
หมุนเบาๆ และคาไว้ประมาณ 2 วนิ าที
4. น�ำ swab จุ่มลงใน Stuart’s medium
ภาชนะบรรจุ Stuart’s 1. ทำ� ความสะอาดแผลโดยใช้ sterile saline ภายใน 2 ชม. ไม่เกิน 24 ชม.
medium 2. ใชใ้ บมดี ปราศจากเชอ้ื ขดู ทผี่ วิ บนของแผล ที่อุณหภมู ิห้อง ทอี่ ณุ หภูมิห้อง
ทง้ิ ไป
3. ใช้ sterile swab กดซบั เอา exudates ท่แี ผล
ออกมาจ่มุ swab ลงใน Stuart’s medium