เฉลยใบงานเรื่อง สำนวนโวหารที่ปรากฏในเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามพระอาสา หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๗ เรื่อง สำนวนโวหาร รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกโวหารที่ปรากฏในข้อความต่อไปนี้ ๑. “...ซึ่งลูกเปรียบชาติเขาเหมือนกานั้นก็ชอบอยู่ แต่เขาประกอบศิลปะศาสตร์วิชาการเป็นทหารมีฝีมือหาผู้ เสมอมิได้ก็เปรียบเหมือนกาขาวมิใช่กาดำสมเด็จพระราชบิดาจะทรงชุบขึ้นแล้วก็คงเป็นหงส์ซึ่งเปรียบเหมือน เสือนั้นถ้าพระราชบิดาชุบย้อมแล้วก็คงจะกลับเป็นราชสีห์...” อุปมาโวหาร ๒. “สมบูรณ์ด้วยลักษณะและสิริมารยาทงามยิ่งนัก ถ้าบุรุษผู้ใดได้เห็นและได้นั่งใกล้แล้วเมื่อใดก็มิอาจจะดำรง จิตอยู่ได้ดวงกมลก็จะหวั่นไหวไปด้วยความปฏิพัทธ์” บรรยายโวหาร ๓. ฝ่ายสมิงพระรามก็แต่งตัว ใส่เสื้อสีชมพูขลิบทองจีบเอว โพกผ้าชมพูขลิบแล้วไปด้วยทองใส่กำไลต้นแขน ปลายแขนด้วยเนาวรัตน์แต่ล้วนทองเป็นอันงาม แล้วสอดดาบสะพายแล่งขึ้นม้า ฟ้อนรำเป็นเพลงทวนออกมา ยังท้องสนาม พรรณนาโวหาร ๔. “พระเจ้ากรุงจีนได้ฟังก็ตรัสห้ามนายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวงว่า เราเป็นกษัตริย์ผู้ใหญ่อันประเสริฐ ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ให้แก่เขาแล้ว จะกลับคำไปดังนั้นหาควรไม่ พม่าทั้งปวงจะชวนกันดูหมิ่นได้ว่า จีนพูดไม่ จริง เรารักสัตย์ยิ่งกว่าทรัพย์อย่าว่าแต่สมบัติมนุษย์นี้เลย ถึงท่านจะเอาทิพยสมบัติของสมเด็จอมรินทร์มายก ให้เรา เราก็มิได้ปรารถนา ตรัสดังนั้นแล้วก็สั่งให้เลิกทัพเสด็จกลับไปยังกรุงจีน” เทศนาโวหาร ๕. “สมิงพระรามจึงทูลว่าลักษณะช้างดีต่อเมื่อขี่จึงรู้ว่าดีม้าดีได้ต้องเอามือต้องหลังดูก่อนจึงจะรู้ว่าดีทแกล้ว ทหารที่ดีถ้าอาสาออกสงครามทำศึกจึงจะรู้ว่าดีทองนพคุณเล่าขีดลงหน้าศิลาก่อนจึงจะรู้ว่าดีสตรีรูปงาม ถ้า พร้อมด้วยลักษณะกิริยามารยาทต้องอย่างจึงควรนับว่างาม ถ้าจะให้รู้รสอร่อยได้สัมผัสถูกต้องก่อนจึงนับถือว่า มีโอชาอร่อย ถ้าใจดีต้องทดลองให้สิ้นเชิงปัญญาก่อนจึงจะนับว่าดี” สาธกโวหาร
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ วินิจฉัยวรรณกรรม เวลา ๑๒ ชั่วโมง แผนการเรียนรู้ที่ ๘ วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม เวลา ๑ ชั่วโมง สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ........... ครูผู้สอน นางสาวชาลิสา หาญกิจ ตำแหน่ง ครู ๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.๑/๒ วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านพร้อมยกเหตุผลประกอบ ม.๑/๓ อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน ๒. สาระสำคัญ โวหาร คือ ถ้อยคำที่พูดกันเป็นชั้นเชิง ไม่พูดตรง ๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ในคำพูดนั้น ๆ และผู้ฟัง ย่อมเข้าใจความหมายได้ทันที ถ้าคำพูดนั้นเป็นที่รู้จัก และใช้กันอย่างแพร่หลายจนอยู่ตัวแล้ว ได้แก่ บรรยาย โวหาร อธิบายโวหาร พรรณนาโวหาร เทศนาโวหาร สาธกโวหาร และอุปมาโวหาร ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๓.๑ นักเรียนระบุหลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีวรรณกรรม ๓.๒ นักเรียนอธิบายคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้ ๓.๓ นักเรียนมีวินัยในตนเอง ๓.๔ นักเรียนใฝ่เรียนรู้และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ๔. สาระการเรียนรู้ วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม ๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ ๑. ครูและนักเรียนสนทนาถึงการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดีคือด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม ๒. ครูแนะนำถึงกิจกรรมที่จะทำในคาบนี้โดยครูจะติดบัตรข้อความที่มีตัวบทที่แสดงคุณค่าใน ด้านต่าง ๆ ไว้บนกระดาน มีบัตรข้อความที่ซ้ำกัน ๓. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ ๔ – ๖ คน แล้วนั่งเป็นกลุ่ม ขั้นสอน ๑. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมารับกล่องคุณค่าจากครูที่แจกให้
๒. ตัวแทนกลุ่มออกไปหยิบบัตรคำที่ติดบนกระดานโดยต้องหยิบบัตรคำที่แสดงคุณค่าทั้ง ๓ ด้าน ด้านละ ๑ บัตร ๓. ให้ตัวแทนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลือกบัตรข้อความที่จับมาได้แล้วอ่านให้เพื่อนในห้องฟัง จากนั้นครูเลือกให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตอบว่าเป็นการแสดงคุณค่าด้านใด ซึ่งอาจจะตอบด้ายหลายคำตอบ ครูมี หน้าที่กระตุ้นให้นักเรียนใช้คำอธิบายประกอบการตอบ หากตอบถูกกลุ่มนั้นได้๑ คะแนนในขั้นตอนนี้ครู อาจจะมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นคะแนนกับแต่ละกลุ่มไว้เช่น ดาว ธง หรือเขียนคะแนนไว้บนกระดานก็ได้ ๔. เมื่อมีคนตอบถูกให้นำบัตรข้อความนั้นไปติดไว้บนกระดาน แต่ติดให้เป็นกลุ่มคุณค่า ๕. ครูแจกใบงานการเขียนสะท้อนการเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักเรียนเขียนสะท้อนการเรียนรู้ ขั้นสรุป ครูเลือกใบงานการสะท้อนการเรียนรู้ของนักเรียนบางคนมาอ่านให้นักเรียนฟัง เพื่อให้นักเรียน คนอื่นได้รับมุมมอง แนวคิด หรือความรู้ใหม่ๆที่แตกต่างจากของตนเอง และให้นักเรียนสรุปความรู้บันทึกลง ในสมุด ๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้ ๖.๑ อินเทอร์เน็ต ๖.๒ หนังสือเรียนวรรณคดี ๖.๓ บัตรข้อความ ๗. วัดผลประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด/ประเมิน วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ด้านความรู้ หลักการวิเคราะห์และ วิจารณ์วรรณคดี วรรณกรรม ซักถาม สังเกตพฤติกรรมทาง การเรียนของ นักเรียน แบบสังเกตพฤติกรรม ทางการเรียนของนักเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านทักษะและ กระบวนการ อธิบายคุณค่าของ วรรณคดีวรรณกรรมที่ อ่านได้ ทำใบงานการเขียน สะท้อนการเรียนรู้ แบบประเมินการเขียน สะท้อนการเรียนรู้ ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการเรียนรู้ ประเมินจาก คุณลักษณะ แบบประเมินคุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์คุณภาพ ระดับ ๒ กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงานเรื่อง สะท้อนการเรียนรู้ หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๘ เรื่อง วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๑. สิ่งที่ได้รับจากกิจกรรม .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ๒. การนำไปปรับใช้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ๓. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ วินิจฉัยวรรณกรรม เวลา ๑๒ ชั่วโมง แผนการเรียนรู้ที่ ๙ การประยุกต์ข้อคิด เวลา ๑ ชั่วโมง สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ........... ครูผู้สอน นางสาวชาลิสา หาญกิจ ตำแหน่ง ครู ๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.๑/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้ ม.๑/๔ สรุปความรู้และข้อคิดจาการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒. สาระสำคัญ นิทาน หมายถึง เรื่องเล่าสืบต่อกันมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ส่วนใหญ่ถ่ายทอดด้วยวิธีมุขปาฐะ แต่ก็ มีอยู่ส่วนมากที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ และนอกจากนี้ยังอธิบายว่านิทานเป็นเรื่องเล่าทั่วไป อาจมิได้จง ใจแสดงประวัติความเป็นมา จุดใหญ่เล่าเพื่อความสนุกสนาน แต่ก็แฝงด้วยข้อคิดคติสอนใจให้ผู้อ่านผู้ฟัง สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๓.๑ นักเรียนอธิบายหลักการประยุกต์ใช้ข้อคิดในชีวิตจริงได้ ๓.๒ นักเรียนสรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ๓.๓ นักเรียนมีวินัยในตนเอง ๓.๔ นักเรียนใฝ่เรียนรู้และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ๔. สาระการเรียนรู้ สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ ๑. ครูเปิดวีดิทัศน์/เล่านิทานที่มีข้อคิดสั้น ยกตัวอย่างเช่นนิทานอีสปหรือนิทานคุณธรรม ๒. นักเรียนร่วมอภิปรายวิเคราะห์ข้อคิดที่ได้จากเรื่องร่วมกัน ๓. ครูอธิบายว่าวรรณกรรมต้องมีข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง ขั้นสอน ๑. แบ่งนักเรียนออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ให้กลุ่มแรกเป็นกลุ่มปัญหา กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มปัญญา ๒. แต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์เรื่อง โดยกลุ่มแรกที่เป็นกลุ่มปัญหานั้นให้นำสถานการณ์ในเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา มาปรับเป็นสถานการณ์ที่เข้ากับวัยนักเรียน โดยครูยกตัวอย่างให้นักเรียน
เข้าใจ เช่นการพูดจาไม่ดีทำร้ายจิตใจผู้อื่น มาจากตอนที่พระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง บริภาษพระราชนัดดาว่า ลูกเชลย เป็นต้น ให้เวลาให้กลุ่มระดมความคิด โดยแต่ละกลุ่มต้องมีเลขา ๑ คน จดประเด็นที่ได้ ๓. กลุ่มแรกแสดงบทบาทสมมติโดยแต่งเรื่องราว เหตุการณ์สถานการณ์มีตัวละคร โดยแสดง อย่างง่ายและสั้นไม่เกิน ๒ นาที ๔. กลุ่มที่สองคือกลุ่มปัญญา เมื่อชมการแสดงบทบาทสมมติของเพื่อนกลุ่มแรกเสร็จ กลุ่มที่สอง ร่วมกันวิเคราะห์ร่วมกับครูว่าปัญหาที่เกิดนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร และหาก ย้อนกลับไปในตัวบทเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ในเหตุการณ์ที่เป็นปัญหานั้นจะแก้ไขปัญหา อย่างไร เมื่อเสร็จให้สลับกันทำหน้าที่กลุ่มที่เคยเป็นกลุ่มปัญหาก็ไปเป็นกลุ่มปัญญา กลุ่มที่เคยเป็นกลุ่มปัญญา ให้ไปวิเคราะห์ตัวบทเพื่อหาปัญหาแล้วนำมาปรับสถานการณ์เป็นปัญหาที่อยู่ในยุคปัจจุบันแล้วปฏิบัติตาม ขั้นตอนแบบเดิม ๕. เมื่อได้ประเด็นปัญหาและแก้ไขปัญหาจากการวิเคราะห์แล้ว ครูแจกใบงานเรื่อง ข้อคิดใน วรรณคดีให้นักเรียนทุกคนทำ ขั้นสรุป ครูอภิปรายประเด็นปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาจากวรรณคดีร่วมกับนักเรียน และร่วมกันสรุป ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้ ๖.๑ อินเทอร์เน็ต ๖.๒ หนังสือเรียนวรรณคดี ๖.๓ ใบงานเรื่อง ข้อคิดจากวรรณคดี ๗. วัดผลประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด/ประเมิน วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ด้านความรู้ อธิบายหลักการ ประยุกต์ใช้ข้อคิดในชีวิต จริงได้ สังเกตพฤติกรรม การเรียน แบบสังเกตพฤติกรรม การเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านทักษะและ กระบวนการ สรุปความรู้และข้อคิดจาก การอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริงได้ การแสดงบทบาท สมมติ แบบประเมินการแสดง บทบาทสมมติ ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการเรียนรู้ ประเมินจาก คุณลักษณะ แบบประเมินคุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์คุณภาพ ระดับ ๒
ใบงานเรื่อง ข้อคิดจากวรรณคดี หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๙ เรื่อง การประยุกต์ข้อคิด รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ คำชี้แจง ให้นักเรียนระบุข้อคิดที่ได้รับจากเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสาพร้อมทั้งอธิบายการนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน ข้อคิดที่ได้รับและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
ตัวอย่างการเฉลยใบงานเรื่อง ข้อคิดจากวรรณคดี หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๙ เรื่อง การประยุกต์ข้อคิด รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ คำชี้แจง ให้นักเรียนระบุข้อคิดที่ได้รับจากเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสาพร้อมทั้งอธิบายการนำไปใช้ ในชีวิตประจำวัน ข้อคิดที่ได้รับและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน “...พระเจ้ากรุงจีนได้ฟังก็ตรัสห้าม นายทัพนายกองทแกล้วทหารทั้งปวงว่าเราเป็นกษัตริย์ผู้ใหญ่อัน ประเสริฐได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แก่เขาแล้วจะกลับคำไปดังนั้น หาควรไม่ พม่าทั้งปวงจะชวนกันดูหมิ่นได้ว่าจีนพูด มิจริง เรารักสัตย์ยิ่งกว่าทรัพย์...” ข้อคิดที่ได้รับ คือ การรักษาสัจจะ นำมาใช้ในชีวิตประจำวันเรื่องการรักษาคำพูด เช่น เมื่อเรารับคำกับใครแล้วเราต้องทำให้ได้ตามที่เราพูดจะทำ ให้เราเป็นคนที่น่าเชื่อถือ คนอื่นจะเคารพและไว้ใจ เป็นคนที่เชื่อถือได้
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ วินิจฉัยวรรณกรรม เวลา ๑๒ ชั่วโมง แผนการเรียนรู้ที่ ๑๐ สรุปความรู้ เวลา ๑ ชั่วโมง สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ........... ครูผู้สอน นางสาวชาลิสา หาญกิจ ตำแหน่ง ครู ๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.๑/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้ ม.๑/๔ สรุปความรู้และข้อคิดจาการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒. สาระสำคัญ วรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา เป็นการทำสงครามระหว่างพม่ากับมอญ เดิม ต้นฉบับเป็นภาษามอญ แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องมีความสนุกน่าสนใจ ให้ข้อคิดมากมายจึงได้มีนักปราชญ์ชาวไทย แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทย ตั้งแต่ก่อนเสียกรุงเสียอยุธยาครั้งสุดท้าย ภายหลังสมเด็จเจ้าพระยามหา กษัตริย์ศึกขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑ ทรงมีพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แปลและเรียบเรียงให้เรียบร้อย เสร็จสมบูรณ์อีกครั้ง ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๓.๑ นักเรียนบอกความรู้และข้อคิดจากการอ่านได้ ๓.๒ นักเรียนสรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ๓.๓ นักเรียนมีวินัยในตนเอง ๓.๔ นักเรียนใฝ่เรียนรู้และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ๔. สาระการเรียนรู้ สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ ๑. ครูติดแถบประโยคเหตุการณ์จากเรื่องราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา จากนั้นครูสุ่ม นักเรียนออกมาเรียงเหตุการณ์ดังกล่าวให้ถูกต้อง ดังนี้ ๑) พระเจ้าต้าฉิงยกทัพมากรุงอังวะ ๒) สมิงพระรามอาสาขี่ม้าสู้กับกามะนี ๓) สมิงพระรามลวงให้กามะนีขี่ม้ารำเพลงทวนก่อน ๔) พระเจ้าต้าฉิงกลับไปยังกรุงจีน
๕) สมิงพระรามอภิเษกกับพระราชธิดา ๖. สมิงพระรามหนีกลับหงสาวดี ๒. ครูอธิบายเพิ่มเติมและเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียนโดยตั้งคำถามว่าเรื่องราชาธิราช ตอน สมิง พระรามอาสาให้ข้อคิดอะไรแก่นักเรียนบ้าง ขั้นสอน ๑. ครูติดบัตรคำตัวละครจากเรื่อง ราชาธิราช จากนั้นครูสุ่มนักเรียนโดยให้นักเรียนบอกว่าได้ ข้อคิดอะไรจากพฤติกรรมของตัวละครดังกล่าวจากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติม ๒. ครูสุ่มนักเรียนโดยให้นักเรียนบอกข้อคิดที่ได้รับจากเรื่อง ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา จากนั้นครูให้นักเรียนจดบันทึกข้อคิดที่ได้รับจากเรื่องราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา ลงในสมุด ขั้นสรุป ๑. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบเรื่อง ราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสาจากนั้นครูและ นักเรียนร่วมกันเฉลยและตรวจสอบความถูกต้อง ๒. นักเรียนร่วมกันสรุปวรรณคดีเรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้ ๖.๑ อินเทอร์เน็ต ๖.๒ หนังสือเรียนวรรณคดี ๖.๓ แถบประโยคเหตุการณ์ ๖.๔ บัตรคำ ๗. วัดผลประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด/ประเมิน วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ด้านความรู้ บอกความรู้และข้อคิด จากการอ่านได้ ทดสอบ แบบทดสอบ ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านทักษะและ กระบวนการ สรุปความรู้และข้อคิดจาก การอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริงได้ สังเกตพฤติกรรม ทางการเรียนของ นักเรียน แบบสังเกตพฤติกรรม ทางการเรียนของ นักเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการเรียนรู้ ประเมินจาก คุณลักษณะ แบบประเมินคุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์คุณภาพ ระดับ ๒
แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๐ เรื่อง สรุปความรู้ รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ชื่อ................................................................. ชั้น...................... เลขที่............. ตอนที่ ๑ คำสั่ง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว ๑. เรื่องราชาธิราชแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลใด ก. พระเจ้ากรุงธนบุรี ค. พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ข. พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ง. พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒. เรื่องราชาธิราชมีวัตถุประสงค์ในการแต่งตามข้อใด ก. เพื่อเป็นคติบำรุงสติปัญญา ค. เพื่อใช้เป็นตำราในการทำสงคราม ข. เพื่อให้เกิดความรักชาติบ้านเมืองของตน ง. เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่แม่ทัพนายกองทั้งหลาย ๓. เรื่องราชาธิราชได้เค้าโครงเรื่องมาจากเอกสารตามข้อใด ก. พงศาวดารพม่า ค. พงศาวดารมอญ ข. ประวัติศาสตร์พม่า ง. ประวัติศาสตร์มอญ ๔. ข้อใดแสดงถึงลักษณะเด่นของพระเจ้ากรุงจีน ก. ปากว่าตาขยิบ ข. เสียชีพอย่าเสียสัตย์ ค. มือถือสาก ปากถือศีล ง. ปลาหมอตายเพราะปาก ๕. เหตุใดสมิงพระรามจึงอาสาออกรบ ก. เพื่อป้องกันไม่ให้จีนยกทัพต่อไปยังกรุงหงสาวดี ข. เพราะต้องคิดแผนการหลบหนีระหว่างรบ ค. ต้องการรางวัลตอบแทนระหว่างรบ ง. อยากมีอำนาจในกรุงรัตนบุระอังวะ ๖. ม้าที่สมิงพระรามเลือกไว้ใช้ในการต่อสู้กับกามะนีมีลักษณะอย่างไร ก. แข็งแรง มีกำลังมาก ข. รูปร่างอ้วน งามสง่า ค. เป็นม้าเชลยศักดิ์ที่ผ่านการคัดเลือก ง. หลังม้ามีลักษณะถูกต้องตามตำราดูม้า ๗. “อุปมาดังฝนตกห่าใหญ่ตกลงน้ำนองท่วมป่าไหลเชี่ยวมา เมื่อวสันตฤดูจะหาสิ่งใดต้านทานมิได้” หมายถึงเหตุการณ์ใด ก. ฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนถูกน้ำป่าท่วมเมืองในช่วงฤดูฝน ข. เมืองรัตนบุระอังวะถูกน้ำป่าท่วมเมืองในช่วงฤดูฝน ค. ฝ่ายพระเจ้าราชาธิราชได้ยกทัพมาตีเมืองรัตนบุระอังวะ โดยมีกำลังทหารมาก ง. ฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนได้ยกทัพมาตีเมืองรัตนบุระอังวะ โดยมีกำลังทหารมาก
๘. ข้อใดเป็นสาเหตุที่ทำให้กามะนีแพ้สมิงพระราม ก. เพราะม้ามีกำลังน้อยกว่า ข. เพราะใช้อาวุธไม่เหมาะสมในการรบ ค. เพราะขาดประสบการณ์ด้อยฝีมือในการรบ ง. เพราะเสียรู้และเผยจุดอ่อนให้สมิงพระรามรู้เท่าทัน ๙. จุดอ่อนของกามะนีอยู่ที่ใด ก. ศีรษะ ข. ต้นขา ค. กลางหลัง ง. ช่องใต้รักแร้ ๑๐. ข้อใดแสดงให้เห็นประเพณีทางการทูตในเรื่องราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา ก. สมิงพระรามกราบทูลขอตะกรวยและขอเหล็ก ข. พระเจ้ามณเฑียรทองให้ตรวจดูชะตาเมือง ค. พระเจ้าฝรั่งมังฆ้องปูนบำเหน็จรางวัลให้สมิงพระราม ง. พระเจ้ากรุงต้าฉิงส่งเครื่องราชบรรณาการให้พระเจ้ากรุงอังวะ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง ราชาธิราช ตอนสมิงพระรามอาสา หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๐ เรื่อง สรุปความรู้ รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๑. ค ๖. ก ๒. ก ๗. ง ๓. ค ๘. ง ๔. ข ๙. ง ๕. ก ๑๐. ค
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ วินิจฉัยวรรณกรรม เวลา ๑๒ ชั่วโมง แผนการเรียนรู้ที่ ๑๑ การอ่านเชิงวิเคราะห์ เวลา ๑ ชั่วโมง สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ........... ครูผู้สอน นางสาวชาลิสา หาญกิจ ตำแหน่ง ครู ๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.๑/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้ ม.๑/๔ สรุปความรู้และข้อคิดจาการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒. สาระสำคัญ การอ่านเชิงวิเคราะห์เป็นการอ่านหนังสือแต่ละเล่มอย่างละเอียดให้ได้ความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะ ให้ได้ว่าส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมายและความสำคัญอย่างไรบ้าง แต่ละด้านสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไร วิธี อ่านแบบวิเคราะห์นี้ อาจใช้วิเคราะห์องค์ประกอบของคำและวลี การใช้คำในประโยค วิเคราะห์สำนวนภาษา จุดประสงค์ของผู้แต่งไปจนถึงการวิเคราะห์นัย หรือเบื้องหลังการจัดทำหนังสือหรือเอกสารนั้น ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๓.๑ นักเรียนอธิบายหลักการวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน ๓.๒ นักเรียนวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่านหนังสือตามความสนใจและเหมาะสมกับวัย เพื่อ นำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตได้ ๓.๓ นักเรียนมีวินัยในตนเอง ๓.๔ นักเรียนใฝ่เรียนรู้และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ๔. สาระการเรียนรู้ การวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน ๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ ๑. ครูยกตัวอย่างหนังสือที่ครูชอบเป็นแนวสารคดีเรื่อง “เด็กแนว” ซึ่งเป็นหนังสือมีเรื่อง น่าสนใจเป็นเรื่องราวชีวิตในด้านบวกของผู้นำเยาวชน ๗ คน ที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน แต่มีส่วนที่เหมือนกันอย่าง หนึ่งคือความมุ่งมั่นที่นำไปสู่ความสำเร็จทั้งการเรียนและการงาน เมื่ออ่านแล้วก็จะได้ความสนุกเพลิดเพลิน และได้แนวคิด แล้วถามนักเรียนว่านักเรียนมีหนังสือที่นักเรียนสนใจบ้างหรือไม่ ๒. นักเรียนคิดว่าหนังสือที่น่าสนใจควรมีลักษณะอย่างไร
ขั้นสอน ๑. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น ๔ กลุ่ม แจกใบความรู้เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ให้นักเรียน ศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์หนังสือ ๒. นักเรียนสรุปหลักการวิเคราะห์เป็นผังภาพความคิด ส่งตัวแทนนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน ๓. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายการนำเสนอผลงานของนักเรียนทุกกลุ่ม ขั้นสรุป ๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปหลักการอ่านวิเคราะห์คุณค่าและให้นักเรียนร่วมกำหนดหนังสือ เพื่ออ่านวิเคราะห์คุณค่า ๒. ครูมอบหมายให้นักเรียนอ่านนวนิยายเรื่องความสุขของกะทิเพื่อนำมาวิเคราะห์ในชั่วโมง ต่อไป ๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้ ๖.๑ อินเทอร์เน็ต ๖.๒ ใบความรู้เรื่องการอ่านเชิงวิเคราะห์ ๖.๓ หนังสือเรื่องเด็กแนว ๗. วัดผลประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด/ประเมิน วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ด้านความรู้ หลักวิเคราะห์การอ่าน นำเสนอผลงาน แบบประเมินการ นำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านทักษะและ กระบวนการ วิเคราะห์คุณค่าที่ ได้รับจากการอ่าน ทำแผนภาพความคิด แบบประเมินแผนภาพ ความคิด ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการเรียนรู้ ประเมินจาก คุณลักษณะ แบบประเมินคุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์คุณภาพ ระดับ ๒ กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบความรู้เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๑ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ การอ่านเชิงวิเคราะห์ การอ่านเชิงวิเคราะห์เป็นการอ่านหนังสือแต่ละเล่มอย่างละเอียดให้ได้ความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะ ให้ได้ว่าส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมายและความสำคัญอย่างไรบ้าง แต่ละด้านสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไร วิธีอ่านแบบวิเคราะห์นี้อาจใช้วิเคราะห์องค์ประกอบของคำและวลีการใช้คำในประโยค วิเคราะห์ สำนวนภาษา จุดประสงค์ของผู้แต่งไปจนถึงการวิเคราะห์นัย หรือเบื้องหลังการจัดทำหนังสือหรือเอกสารนั้น การวิเคราะห์เรื่องที่อ่านทุกชนิด สิ่งที่จะละเลยไม่ได้คือ การพิจารณาถึงการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษา ว่ามีความเหมาะสมกับระดับและประเภทของงานเขียนหรือไม่ เช่น ในบทสนทนาก็ไม่ควรใช้ภาษาที่เป็นแบบ แผน ควรใช้สำนวนให้เหมาะสมกับสภาพจริงหรือเหมาะแก่กาลสมัยที่เหตุการณ์ในหนังสือนั้นเกิดขึ้น เป็นต้น ดังนั้น การอ่านวิเคราะห์จึงต้องใช้เวลาอ่านมาก และยิ่งมีเวลาอ่านมากก็ยิ่งมีโอกาสวิเคราะห์ได้ดีมากขึ้น การ อ่านในระดับนี้ต้องรู้จักตั้งคำถามและจัดระเบียบเรื่องราวที่อ่านเพื่อจะได้เข้าใจเรื่องและความคิดที่ผู้เขียน ต้องการ กระบวนการวิเคราะห์การอ่าน ๑. พิจารณารูปแบบของงานประพันธ์ว่าใช้รูปแบบใด อาจเป็นนิทาน บทละคร นวนิยาย เรื่องสั้น บท ร้อยกรองหรือบทความจากหนังสือพิมพ์ ๒. แยกเนื้อเรื่องออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร ๓. แยกพิจารณาแต่ละส่วนให้ละเอียดลงไปว่าประกอบกันอย่างไร หรือประกอบด้วยอะไรบ้าง ๔. พิจารณาให้เห็นว่าผู้เขียนให้กลวิธีเสนอเรื่องอย่างไร ขั้นตอนการอ่านเชิงวิเคราะห์ ๑. การอ่านวิเคราะห์คำ การอ่านวิเคราะห์คำ เป็นการอ่านเพื่อให้ผู้อ่านแยกแยะถ้อยคำในวลีประโยคหรือข้อความต่าง ๆ โดย สามารถบอกได้ว่า คำใดใช้อย่างไร ใช้ผิดความหมาย ผิดหน้าที่ไม่เหมาะสม ไม่ชัดเจนอย่างไร ควรจะต้อง หาทางแก้ไขปรับปรุงอย่างไร เช่น อย่าเอาไปใช้ทับกระดาษ ที่นี่รับอัดพระ เขาท่องเที่ยวไปทั่วพิภพ เจ้าอาวาสวัดนี้มรณกรรมเสียแล้ว ๒. การอ่านวิเคราะห์ประโยค การอ่านวิเคราะห์ประโยค เป็นการอ่านเพื่อแยกแยะประโยคต่าง ๆ ว่าเป็นประโยคที่ถูกต้องชัดเจน หรือไม่ใช้ประโยคผิดไปจากแบบแผนของภาษาอย่างไร เป็นประโยคที่ถูกต้องสมบูรณ์เพียงใดหรือไม่ มีหน่วย ความคิดในประโยคขาดเกินหรือไม่ เรียงลำดับความในประโยคที่ใช้ได้ถูกต้องชัดเจนหรือไม่ ใช้ฟุ่มเฟือยโดยไม่ จำเป็นหรือใช้รูปประโยคที่สื่อความหมายไม่ชัดเจนหรือไม่ เมื่อพบข้อบกพร่องต่าง ๆ แล้วก็สามารถแก้ไขให้ ถูกต้องได้เช่น สุขภาพของคนไทยไม่ดีส่วนใหญ่ การแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ เกิดการจลาจล
ทุกคนย่อมประสบความสำเร็จท่ามกลางความขยันหมั่นเพียร เขามักจะเป็นหวัดในทุกครั้งที่ฝนเริ่มตก ๓. การอ่านวิเคราะห์ทัศนะของผู้แต่ง ผู้อ่านต้องพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบว่า ผู้เขียนเสนอทัศนะมีน้ำหนักเหตุผลประกอบข้อเท็จจริง น่าเชื่อถือ เพียงใด เป็นคนมองโลกในแง่ใด เป็นต้น ๔. การอ่านวิเคราะห์รส การอ่านวิเคราะห์รส หมายถึง การอ่านอย่างพิจารณาถึงความซาบซึ้งประทับใจที่ได้จากการอ่าน วิธีการที่จะทำให้เข้าถึงรสอย่างลึกซึ้ง คือการวิเคราะห์รสของเสียงและรสของภาพ ๔.๑ ด้านรสของเสียง ผู้อ่านจะรู้สึกได้ชัดจากการอ่านออกเสียงดัง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านอย่างปกติ หรือการอ่านทำนองเสนาะ จึงจะช่วยให้รู้สึกถึงความไพเราะของจังหวะและความเคลื่อนไหวซึ่งแฝงอยู่ในเสียง ทำให้เกิดความรู้สึกไปตามท่วงทำนองของเสียงสูงต่ำจากเนื้อเรื่องที่อ่าน ๔.๒ ด้านรสของภาพ เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความเข้าใจเรื่อง ในขณะเดียวกันทำให้เห็นภาพด้วย เป็น การสร้างเสริมให้ผู้อ่านได้เข้าใจความหมาย การเขียนบรรยายความด้วยถ้อยคำไพเราะทั้งร้อยแก้วและร้อย กรองก่อให้เกิดภาพขึ้นในใจผู้อ่าน ทำให้เกิดความเพลิดเพลินและเข้าใจความหมายของเรื่องได้ดียิ่งขึ้น ๕. การอ่านเพื่อวิเคราะห์ขอบเขตของปัญหาและการตีความเนื้อหาของข้อความ การอ่านเชิงวิเคราะห์ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณา คือ การวิเคราะห์ขอบเขตของปัญหา และการตีความ เนื้อหาของหนังสือมีรายละเอียดดังนี้ ๕.๑ การวิเคราะห์ขอบเขตของปัญหา มีหลักปฏิบัติดังนี้ ๑) จัดประเภทหนังสือตามชนิดและเนื้อหา หนังสือแต่ละประเภทมีวิธีอ่านต่างกัน ก่อนอ่านต้อง วิเคราะห์ให้รู้ว่า หนังสือเล่มนั้นอยู่ในประเภทใด การแบ่งประเภทจะดูแต่ชื่อเรื่องหรือลักษณะภายนอกเพียง อย่างเดียวไม่ได้ต้องสำรวจเนื้อหาด้วย อย่างไรก็ตาม ชื่อเรื่องเป็นสิ่งแรกที่ใช้เป็นแนวทางได้เพราะผู้เขียนย่อม ต้องพยายามตั้งชื่อเรื่องให้ตรงแนวเขียนหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนของตนให้มากที่สุด ๒) สรุปให้สั้นที่สุดว่า หนังสือนั้นกล่าวถึงอะไร หนังสือที่ดีทุกเล่มต้องมีเอกภาพ มีการจัด องค์ประกอบของส่วนย่อยอย่างมีระเบียบ ผู้อ่านต้องพยายามสรุปภาพดังกล่าวออกมาเพียง ๑-๒ ประโยคว่า หนังสือเล่มนั้นมีอะไรเป็นจุดสำคัญหรือเป็นแก่นเรื่อง แล้วจึงหาความสัมพันธ์กับส่วนสำคัญต่อไป ๓) กำหนดโครงสังเขปของหนังสือ เมื่ออ่านต้องตั้งประเด็นด้วยว่า จากเอกภาพของหนังสือเล่ม นั้นมีส่วนประกอบสำคัญอะไรบ้าง ส่วนที่สำคัญๆ สัมพันธ์กันโดยตลอดหรือไม่และแต่ละส่วนก็มีหน้าที่ของตน สนับสนุนซึ่งกันและกันหรือไม่ ๔) กำหนดปัญหาที่ผู้เขียนต้องการแก้ผู้อ่านควรพยายามอ่านและค้นพบว่าผู้เขียนเสนอปัญหา อะไร อย่างไร มีปัญหาย่อยอะไร และให้คำตอบไว้ตรง ๆ หรือไม่การตั้งปัญหาเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจ เรื่องแจ่มแจ้ง ยิ่งตั้งปัญหา ได้กว้างขวางลึกซึ้งเพียงใด ยิ่งเข้าใจได้เพิ่มขึ้นเพียงนั้น ๕.๒ การตีความเนื้อหาของหนังสือ การตีความเป็นสิ่งที่ผู้อ่านทำความเข้าใจความคิดของผู้เขียน พิจารณาวัตถุประสงค์ของผู้เขียน ซึ่งบางครั้งผู้เขียนไม่ได้บอกความหมายหรือนัยของข้อความที่เขียนออกมา ตรง ๆแต่ผู้อ่านต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจบริบทของเรื่องเป็นอย่างดีจึงจะตีความได้ถูกต้อง การทำความ เข้าใจความคิดของผู้เขียนนั้นไม่ว่าความคิดจะถูกต้องหรือไม่ เราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่การพยายามเข้าใจ เช่นนั้นทำให้เราไม่วิจารณ์ผู้เขียนอย่างไม่ยุติธรรมแต่จะพิจารณาทั้งข้อดีข้อบกพร่องของงานเขียนนั้นอย่างแจ่ม แจ้ง การตีความเนื้อหาของหนังสือมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ๑) ตีความหมายของคำสำคัญ และค้นหาประโยคสำคัญที่สุด ผู้อ่านต้องพยายามเข้าใจคำสำคัญ
และเข้าใจประเด็นที่สำคัญที่ผู้เขียนเสนอ เพื่อเข้าใจความคิดของผู้เขียน ๒) สรุปความคิดสำคัญของผู้เขียน โดยพิจารณาว่าประโยคใดเป็นเหตุ ประโยคใดเป็นผล ประโยคใดเป็นข้อสรุป ซึ่งบางครั้งผู้เขียนไม่ได้สรุปความคิดออกมาให้เห็นชัดเจนแต่ผู้อ่านต้องพยายามสรุป ออกมาให้ได้ ๓) ตัดสินว่าอะไร คือการแก้ปัญหาของผู้เขียน เมื่อผู้อ่านตีความสำคัญให้ตรงกับผู้เขียน เข้าใจ ความคิดสำคัญของผู้เขียน และสรุปความคิดของผู้เขียนได้แล้ว ผู้อ่านก็จะวิเคราะห์หรือตัดสินได้ว่า จาก เรื่องราวหรือเหตุผลต่าง ๆที่ผู้เขียนนำมาเสนอนั้นมีความสมเหตุสมผลหนักแน่นน่าเชื่อถือได้หรือไม่เพียงใด เพื่อนำไปสู่การวิจารณ์หนังสือเรื่องนั้น ๆ ต่อไป การพิจารณาหนังสือ การพิจารณาหนังสือเป็นการประเมินคุณค่าหนังสือด้านต่าง ๆ ถ้าผู้อ่านรู้หลักการประเมินจะทำให้ การอ่านหนังสือ มีคุณค่าและความหมายมากยิ่งขึ้น เมื่ออ่านแล้วสามารถแสดงความคิดเห็นเชิงประเมินคุณค่า ของหนังสือได้อย่างมีหลักเกณฑ์ผู้อ่านจะเข้าใจหนังสือนั้นได้อย่างลึกซึ้งและการพิจารณาหนังสือของตนจะมี ประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย หนังสือมีหลายประเภทให้เลือกอ่าน แต่ละประเภทก็มีรายละเอียดหรือโครงสร้าง แตกต่างกันไปตามลักษณะของหนังสือประเภทนั้น ๆ ในที่นี้จะนำเสนอการพิจารณาหรือประเมินคุณค่าของ หนังสือ บทความหรือเรื่องราวต่าง ๆที่ผู้เรียนจะต้องเรียนหรืออ่าน ในชีวิตประจำวัน ดังนี้ ๑. การพิจารณาหนังสือประเภทสารคดี สารคดีได้แก่ หนังสือที่ให้แนวความรู้ต่าง ๆ เช่น ด้านปรัชญา ตรรกวิทยา การศึกษา ควรพิจารณาใน ด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ เนื้อหาสาระ มีความถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักวิชาหรือไม่ เรื่องนำมาเขียนมีสาระประโยชน์ เพียงใดเหมาะสำหรับผู้อ่านระดับใด ๑.๒ วิธีเสนอหนังสือ อาจเสนอเป็นความเรียงวิชาการ มีการค้นคว้าหาความรู้อ้างอิงประกอบ หรือเสนอเป็นบันทึกของผู้เขียน เล่าประสบการณ์ของตนหรือเสนอเป็นจดหมายให้โต้ตอบ ควรพิจารณาว่า ผู้เขียนมีวิธีเขียนที่ชวนอ่าน เข้าใจง่ายหรือไม่สำนวน ภาษาสื่อความหมายได้แจ่มแจ้งหรือไม่ เหมาะแก่ระดับ ของผู้อ่านตามความตั้งใจของผู้เขียนหรือไม่ เพียงใด ๑.๓ การวางเค้าโครงเรื่อง เค้าโครงเรื่องที่เขียนจะต้องมีการจัดลำดับอย่างมีระเบียบ จึงควร พิจารณาว่าผู้เขียนสามารถทำให้ความสำคัญ ๆ เชื่อมโยงต่อเนื่องกันได้ดีเพียงใด มีการเรียงลำดับความยากง่าย เพื่อช่วยความเข้าใจของผู้อ่านหรือไม่ ๑.๔ ส่วนประกอบของหนังสือ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของหนังสือได้แก่คำนำ สารบัญ ดัชนี บรรณานุกรมอภิธานศัพท์สามารถช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความสำคัญของหนังสือได้รวดเร็ว ควรพิจารณาว่า หนังสือนั้น ๆ มีส่วนประกอบอำนวยประโยชน์ดังกล่าวหรือไม่ ๑.๕ วุฒิและประสบการณ์ของผู้เขียน หนังสือสารคดีบางเล่มจะมีประวัติย่อ วุฒิและ ประสบการณ์ของผู้เขียนบอกไว้ด้านหลัง รายละเอียดดังกล่าวจะช่วยให้ผู้อ่านสามารถวินิจฉัยได้ดียิ่งขึ้นว่าเรื่อง นั้น ๆ มีคุณค่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ๑.๖ คุณภาพการพิมพ์และการออกแบบรูปเล่ม สิ่งที่ชี้ให้เห็นคุณภาพของหนังสือ เช่น การจัดหัว เรื่องทำให้สื่อความได้ชัดเจน การพิสูจน์อักษรถูกต้อง การออกแบบรูปเล่มเหมาะสมน่าอ่าน ๒. การพิจารณาหนังสือประเภทบันเทิงคดี หนังสือประเภทบันเทิงคดีอาจมีวิธีการพิจารณาในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ แก่นของเรื่องหรือแนวเรื่อง หมายถึง แนวคิดสำคัญของผู้เขียน ซึ่งเป็นหัวใจของเรื่อง
๒.๒ การวางโครงเรื่อง หมายถึง การผูกเรื่องให้มีตัวละครและเหตุการณ์เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแกนของเรื่องที่ผู้แต่งวางแนวไว้และต้องดำเนินไปอย่าง สมเหตุสมผล ๒.๓ ตัวละคร ตัวละครอาจมีน้อยหรือมากแล้วแต่ความประสงค์ของผู้แต่ง การเสนอตัวละครที่ น่าสนใจต้องเป็นตัวละครที่มีลักษณะนิสัยและพฤติกรรมที่มีความสมจริง คือ เป็นบุคคลที่อาจหาได้ในชีวิตจริง มิใช่ดีหรือเลวจนผิดมนุษย์ธรรมดา นอกจากนั้นพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวละคร ควรสะท้อนภาพชีวิตจริงของ สังคมตามความเป็นจริงด้วย ๒.๔ ฉาก เป็นส่วนที่ช่วยทำให้บรรยากาศของเรื่องเป็นไปอย่างสมจริง ซึ่งผู้เขียนจะต้องบรรยายให้ตรง กับความเป็นจริงหรืออยู่ในวิสัยที่เป็นจริงได้ ๒.๕ สำนวนภาษาและลีลาในการเขียน นักเขียนจะมีสำนวนหรือลีลาการเขียนเป็นแบบฉบับของตน ดังนั้น ผู้วิจารณ์จะต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าผู้เขียนมีลีลาการเขียนอย่างไร ๒.๖ สารจากผู้เขียน สารที่ผู้เขียนให้หมายถึง ข้อคิดหรือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้เขียนฝากไว้ให้ซึ่งผู้อ่าน อาจได้รับแตกต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์ของผู้อ่าน ควรฝึกทักษะให้ไวต่อการรับสารของผู้เขียนและตีความ เข้าใจ เพื่อให้การอ่านเรื่องบันเทิงคดีมีรสชาติมากยิ่งขึ้น
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๕ วินิจฉัยวรรณกรรม เวลา ๑๒ ชั่วโมง แผนการเรียนรู้ที่ ๑๒ การอ่านเชิงวิเคราะห์ เวลา ๑ ชั่วโมง สอนวันที่ เดือน พ.ศ. ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ........... ครูผู้สอน นางสาวชาลิสา หาญกิจ ตำแหน่ง ครู ๑. มาตรฐาน/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.๑/๑ สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านได้ ม.๑/๔ สรุปความรู้และข้อคิดจาการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒. สาระสำคัญ การอ่านเชิงวิเคราะห์เป็นการอ่านหนังสือแต่ละเล่มอย่างละเอียดให้ได้ความครบถ้วน แล้วจึงแยกแยะ ให้ได้ว่าส่วนต่าง ๆ นั้นมีความหมายและความสำคัญอย่างไรบ้าง แต่ละด้านสัมพันธ์กับส่วนอื่น ๆ อย่างไร วิธี อ่านแบบวิเคราะห์นี้ อาจใช้วิเคราะห์องค์ประกอบของคำและวลี การใช้คำในประโยค วิเคราะห์สำนวนภาษา จุดประสงค์ของผู้แต่งไปจนถึงการวิเคราะห์นัย หรือเบื้องหลังการจัดทำหนังสือหรือเอกสารนั้น ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๓.๑ นักเรียนอธิบายหลักการวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน ๓.๒ นักเรียนวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่านหนังสือตามความสนใจและเหมาะสมกับวัย เพื่อ นำไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตได้ ๓.๓ นักเรียนมีวินัยในตนเอง ๓.๔ นักเรียนใฝ่เรียนรู้และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ๔. สาระการเรียนรู้ การวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน ๕. การจัดกระบวนการจัดการเรียนรู้ ขั้นนำ ๑. ครูสนทนากับนักเรียนเกี่ยวกับหนังสือที่นักเรียนจะกำหนดให้เป็นหนังสือสำหรับวิเคราะห์ คุณค่าควรมีลักษณะอย่างไร ๒. ครูอธิบายถึงความเหมาะสมของเรื่องที่ได้รับรางวัลซีไรต์จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำวรรณกรรมซีไรต์ เรื่องความสุขของกะทิมาวิเคราะห์ ขั้นสอน ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาตัวอย่างการวิเคราะห์คุณค่าตามกลุ่มเดิม
๒. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันทำใบงานเรื่องกาวิเคราะห์คุณค่าหนังสือที่ครูและนักเรียนกำหนด ร่วมกัน ๓. ครูคอยให้คำแนะนำเพิ่มเติม หากนักเรียนมีข้อสงสัย ๔. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอผลการวิเคราะห์คุณค่าหนังสือหน้าชั้นเรียนจากนั้นนำ ใบงานส่ง ขั้นสรุป ๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้และประโยชน์ที่ได้รับจากการวิเคราะห์คุณค่าหนังสือที่ครู และนักเรียนกำหนดร่วมกัน ๒. ครูมอบหมายให้นักเรียนแต่ละคนเลือกอ่านหนังสือที่นักเรียนสนใจ ๑ เรื่อง แล้วเขียน แนะนำหนังสือเล่มนั้น โดยให้ครอบคลุมประเด็นตามที่กำหนด ดังนี้ ๑) การสรุปใจความสำคัญของเรื่อง ๒) การระบุเหตุและผล ข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นจากเรื่อง ๓) การวิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากเรื่อง ๖. สื่อ /แหล่งเรียนรู้ ๖.๑ อินเทอร์เน็ต ๖.๒ ตัวอย่างการอ่านเชิงวิเคราะห์ ๖.๓ นวนิยายเรื่องความสุขของกะทิ ๗. วัดผลประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด/ประเมิน วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ด้านความรู้ หลักวิเคราะห์การอ่าน นำเสนอผลงาน แบบประเมินการ นำเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านทักษะและ กระบวนการ วิเคราะห์คุณค่าที่ ได้รับจากการอ่าน ทำใบงาน ผลงานการเขียน แนะนำหนังสือที่ ชอบ ใบงาน แบบประเมินผลงาน ผลงานการเขียน แนะนำหนังสือที่ชอบ ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ ๑. มีวินัย ๒. ใฝ่เรียนรู้ ๓. มุ่งมั่นในการเรียนรู้ ประเมินจาก คุณลักษณะ แบบประเมินคุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์คุณภาพ ระดับ ๒ กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวอย่าง เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๒ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ นวนิยาย “เขาชื่อกานต์” ผู้แต่ง สุวรรณีสุคนธา (นามปากกา) นามจริง สุวรรณีสุคนธ์เที่ยง ขนาด ๔๔ ตอนจบ ตีพิมพ์โฆษณาเผยแพร่เป็นครั้งแรกในนิตยสาร “สตรีสาร” รายสัปดาห์พ.ศ. ๒๕๑๓ โครงเรื่อง ตัวละครเอกของเรื่องนี้คือ กานต์เป็นผู้ที่จริงจังต่อชีวิต ถืออุดมคติที่จะทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยเฉพาะชาวบ้านที่ขาดแคลนด้านฐานะหรือด้านการศึกษา กานต์มาจากครอบครัวที่ยากจนมีพื้นเพเดิมอยู่ที่ จังหวัดห่างไกลแห่งหนึ่ง แต่ได้พยายามจนเล่าเรียนสำเร็จเป็นนายแพทย์ขณะที่เรียนอยู่นั้น กานต์บังเอิญได้ พบเจอกับหฤทัยในวันฝนตกวันหนึ่ง เขารู้สึกประทับใจในเธอมาก แต่ไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักกัน ต่อมาเมื่อ กานต์เรียนสำเร็จและเป็นนายแพทย์ฝึกหัดอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอกานต์ได้มีโอกาสพบหฤทัยอีกครั้ง หนึ่ง เธอมารับการรักษาพยาบาล เขาจำเธอได้ทันทีและได้เอาใจใส่เธอระหว่างเจ็บป่วยเป็นอย่างดีทำให้เขา ทั้งสองรู้จักสนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนหฤทัยนั้นกำพร้าบิดาและฐานะไม่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้รับความลำบากเป็นอย่างไร เพราะมารดาทำ ร้านขายอาหาร มีรายได้ส่งเสียเพียงพอให้เธอได้รับการศึกษาชั้นอุดมศึกษาได้ขณะที่หฤทัยเรียนอยู่ใน มหาวิทยาลัยนั้น เธอมีความสัมพันธ์อยู่กับเพื่อนชายร่วมสถาบันคนหนึ่งชื่อโตมร เป็นผู้มีฐานะทางครอบครัว เข้าขั้นเศรษฐีโดดเด่นในหมู่เพื่อนฝูงและมีความปราดเปรียวสนุกสนาน ไม่จริงจังต่อชีวิต ใช้ชีวิตอย่างบุคคล เจ้าสำราญ แม้หฤทัยกับโตมรจะสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก แต่อุปนิสัยและการปฏิบัติตนของโตมรทำให้หฤทัยไม่ มั่นใจนักว่า โตมรมีความรู้สึกจริงจังต่อเธอเพียงไร ครั้นเมื่อหมอกานต์ผู้มีอุปนิสัยทุกอย่างตรงข้ามกับโตมรขอ แต่งงานกับเธอ เธอจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในขณะที่โตมรท่องเที่ยวสำราญอยู่ในต่างประเทศ ภายหลังที่แต่งงานแล้วหมอกานต์ได้พาเจ้าสาวของเขาคือ หฤทัย ไปอยู่อำเภอซึ่งทุรกันดารห่างไกล ความเจริญแห่งหนึ่ง และได้ใช้วิชาความรู้รักษาพยาบาลประชาชนในอำเภอนั้นตามอุดมคติของเขา แต่ นายอำเภอผู้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของอำเภอนั้นเป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มักใช้อิทธิพลในทาง มิจฉาทิฐิให้อภิสิทธิ์แก่คนบางกลุ่มและให้ความไม่เป็นธรรมกับบุคคลส่วนใหญ่ ข้าราชการทุกคนในอำเภอต้อง ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของเขา ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสมีชีวิตปรกติสุขอยู่ได้หมอกานต์จึงถูกเพ่งเล็งว่า “แข็ง” กับ ตน แต่ในขณะเดียวกันผลงานของเขาก็ประจักษ์แก่ประชาชนพ่อค้าและเพื่อนข้าราชการ ทำให้เขาเป็นที่นับถือ ของคนเหล่านั้นพอสมควร หฤทัยอยู่กับหมอกานต์ชั่วระยะหนึ่งก็ขอกลับไปเยี่ยมมารดาที่กรุงเทพฯ ในระหว่างที่หฤทัยมาเยี่ยม มารดานั้น ได้กลับไปมีความสัมพันธ์เที่ยวเตร่กับโตมรอีกครั้งหนึ่งและได้รับอุบัติเหตุเนื่องจากรถยนต์ชนขณะ ไปเที่ยวกับโตมรจนสมองได้รับการกระทบกระเทือนมาก ทำให้ความจำเสื่อมไปชั่วระยะหนึ่ง ส่วนหมอกานต์ นั้นเขาต้องเดินทางไปมาระหว่างอำเภอที่เขาทำงานกับกรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมหฤทัยที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ขณะเดียวกันนั้นกานต์ได้รับความยุ่งยากในการทำงาน เนื่องจากการที่เขาเป็นคนตรงและเชิดชูอุดมคติไม่ยอม อ่อนน้อมต่อนายอำเภออิทธิพลผู้นั้นในทางที่ตนเห็นว่าไม่สมควร ประจวบกับขณะนั้นหมอกานต์ได้รับคำสั่ง ย้าย จึงทำให้นายอำเภอเข้าใจผิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะหมอกานต์เข้ากรุงเทพบ่อย ๆ คงจะนำเรื่อง ของตนเสนอเจ้าสังกัด จึงได้วางแผนที่จะจำกัดหมอกานต์เสีย ขณะนั้นโตมรก็มีแผนการที่จะแยกหฤทัยจาก
หมอกานต์โดยพยายามให้หมอกานต์ได้รับทุนไปดูงานต่างประเทศเสีย ระหว่างที่หมอกานต์ยังตัดสินไม่ได้ว่าจะ รับทุนดีหรือจะลาออกจากราชการนั้น หฤทัยได้แสดงความจำนงที่จะกลับไปอยู่กับเขาที่บ้านต่างจังหวัดอย่าง เดิมแต่หมอกานต์ก็โดนลอบยิงตายขณะเดินทางกลับไปยังอำเภอที่เขาทำงานอยู่นั่นเอง คุณค่าของเรื่อง (ประมวลจากความเห็นของคณะกรรมการ) “เขาชื่อกานต์” มีลักษณะเป็นนวนิยายสมจริงที่มีเอกภาพเน้นสารัตถะสำคัญของเรื่อง คือ ความ เข้มแข็งที่จะรักษาอุดมการณ์ในการปฏิบัติงานและการเสียสละความสุขส่วนตนของนายแพทย์ชนบทผู้หนึ่ง มี ตัวละครไม่สู้มากนักแต่ล้วนเป็นตัวแทนของกลุ่มชนหลายประเภทที่มีตัวจริงอยู่ในสังคมกรุงเทพฯ และใน ชนบทขณะนี้เค้าโครงเป็นเรื่องการกล่าวถึงสภาพชีวิตตัวละครเหล่านั้น ทุกคนทั้งเป็นผู้มีการศึกษาและฐานะ พื้นเพ มีอาชีพและมีทัศนะแตกต่างกัน แต่ต่างมีบทบาทความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เรื่องจบลงด้วยการเสียชีวิต ของนายแพทย์ที่มีชื่อว่า “กานต์” ผู้นั้น จุดสะเทือนใจในตอนจบเป็นเครื่องแสดงว่า อุดมคติยังใช้ได้อยู่สถานที่ ในเนื้อเรื่องมีทั้งในกรุงเทพมหานครและในชนบทห่างไกลความเจริญ เป็นการแสดงภาพทำนองชีวิตในการ เทียบเคียงอย่างชัดเจน บทสนทนาเป็นไปอย่างเหมาะสมแก่ฐานะ และพื้นฐานนิสัยใจคอของแต่ละบุคคลใน เรื่อง จึงมีลักษณะสมจริงและมีชีวิตชีวาจึงอาจกล่าวได้ว่า นวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายที่ดีเยี่ยมในด้าน องค์ประกอบต่าง ๆ ของเนื้อเรื่อง นวนิยายเรื่องนี้มีคุณค่าสมบูรณ์ด้านวรรณกรรม คือ วิธีแสดงเรื่องตาม ซึ่งประกอบไปด้วยกลวิธีแต่ง และสำนวนโวหารอันเป็นสำนวนเฉพาะในการแต่ง ผู้เขียนมีความสามารถเด่นยิ่งในการนำเสนอนวนิยายเรื่องนี้โดยอาศัยกลวิธีแต่งหลายแบบผสมผสาน กันอย่างแนบเนียน วางส่วนสัดตรงกับเนื้อเรื่องอย่างสมดุลกะทัดรัด ไม่ยืดเยื้อ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องดำเนิน เข้าสู่จุดของเรื่อง เป็นการรักษาเอกภาพของเนื้อเรื่องไว้ได้เป็นอย่างดีเป็นการเปลี่ยนฉากสนับสนุนเนื้อเรื่อง และแทรกบทสนทนาตามที่เหมาะสม ทำให้มีความแปลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา และจากบทสนทนานี้เองทำให้ ผู้อ่านรู้จักตัวละครอีกด้วย ตัวละครมีไม่มากนัก ผู้แต่งมีกลวิธีปล่อยตัวอย่างรัดกุมไม่ทำให้เกิดความสับสน แต่ ทำให้บทบาทและบุคลิกภาพของตัวละคร กระจ่างชัดขึ้น โดยที่ผู้แต่งไม่ต้องอธิบายอย่างตรงไปตรงมาแต่อาศัย วิธีการละเมียดละไมแนะให้เห็นภาพบุคคลในเรื่องในจินตนาการของผู้อ่าน ตัวละครแต่ละตัวเป็นคนในชีวิตจริง มีทั้งคนโลภ-ทุจริต คนหนุ่มเจ้าสำราญ พ่อค้าผู้มีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง คุณนายหัวเมืองกับขวดน้ำดื่มจุกหุ้มผ้า ดอกสีเลอะเทอะ ชาวบ้านที่ยากจนไร้การศึกษาแต่มีน้ำใจ ซื่อและเอื้อเฟื้อเหล่านี้แสดงลักษณะตัวละครหลาย ประเภทและหลายด้านหลายมุม โดยเฉพาะหมอกานต์ผู้มีปณิธานว่าจะรักษาความสุจริตและอุทิศตนเพื่อ ประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์และหฤทัยภรรยาหมอกานต์ซึ่งเป็นแบบอย่างของหญิงไทยรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา สูง มีความคิด ความฉลาดในการตัดสินใจ และมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ในสถานการณ์ของตนได้เป็นอย่างดีทั้งที่ดูผิวเผินแล้วดูราวกับเป็นคนสำรวยรักความสุขความสบาย แต่เมื่อถึง คราวที่ต้องตัดสินใจเลือกเอาระหว่างความสบายอย่างฉาบฉวยกับความมั่นคงและความถูกต้องแล้ว หฤทัยก็ เลือกอยู่ข้างหมอกานต์ผู้ยากจน แต่มีอุดมคติแน่วแน่เสมอทุกครั้ง ภาพตัวละครเหล่านี้ปรากฏในบทสนทนา และความนึกคิดของตัวละครเอง ค่อยๆ ประจักษ์ชัดเจนเป็นบุคลิกของตัวละครแต่ละบุคคล ให้ความเข้าใจแก่ ผู้อ่านอย่างซึมซาบ ผู้ประพันธ์มีกลวิธีในการเปิดโปงเรื่อง โดยสร้างความแตกต่างอย่างตรงกันข้าม คือการเปิดเรื่องด้วย งานรื่นเริงฉลองการแต่งงานระหว่างหมอกานต์กับหฤทัย และจบลงอย่างเศร้าหมองด้วยความตายของหมอ กานต์ทุกคนร้องไห้เสียดายหมอที่ชื่อ กานต์ในขณะ “ฝนตกพร่างพรูราวกับว่าฟ้าร้องไห้อำลาร่างที่ปราศจาก ชีวิตของเขา” สุวรรณีสุคนธา ยังได้ให้กลวิธีในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้อีกหลายแบบ เป็นต้นว่าการกล่าวถึง
เรื่องราวแบบย้อนหลัง การพรรณนาความแบบจิตประหวัดได้อย่างแนบเนียนและเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ใช้ วิจารณญาณและจินตนาการร่วมด้วย โดยใช้วิธีแนะดังได้กล่าวแล้ว เหล่านี้เป็นกลวิธีการแต่งดีเด่นควรแก่การ ยกย่อง ส่วนสำนวนโวหารอันเป็นแบบเฉพาะตัวของผู้ประพันธ์นั้น ในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้สุวรรณีสุคนธา ได้แสดงคุณสมบัติพิเศษในฐานะที่เป็นนักเขียนอย่างแท้จริง มีลักษณะที่เป็นแบบเฉพาะตัวในการเลือกใช้ ถ้อยคำที่มีความหมายตรง กระชับ สั้นและรัดกุม แต่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง สำนวนที่ว่า “อ่านได้ระหว่างบรรทัด” อีกด้วย และแม้เรื่องจะจบลงเสมือนว่าหมอกานต์สิ้นชีวิตลงอย่าง เปล่าดายไร้รางวัลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ผู้แต่งก็ได้กล่าวแนะโดยนัยถึงเหตุการณ์ที่แสดงปัญหาด้าน ครอบครัวและความรักของหมอกานต์นั้นเรียบร้อยลงแล้ว เพราะหฤทัยแสดงความตั้งใจที่จะกลับไปอยู่กับหมอ กานต์ที่บ้านในชนบทต่อไป ความเศร้าโศกอาลัยของบุคคลที่เห็นหมอกานต์ตาย เป็นรางวัลของชีวิตอย่างหนึ่ง ที่เป็นประจักษ์พยานยืนยันความคิดของทุกคนว่า “ความดีไม่สูญเปล่า” ชีวิตที่มีค่าควรแก่การอาลัยนั้น คือ ชีวิตที่ซื่อตรงและเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และบุคคลอย่างเขาที่ชื่อกานต์นี้แหล่ะ คือผู้เชิดชูอุดมคติให้ยืน ยง มั่นคงอยู่ในความนึกคิดของมนุษยชาติตลอดไป จึงนับว่าผู้ประพันธ์ได้ใช้โวหารง่าย ๆ ตรงไปตรงมาแต่สร้าง ความรู้สึกตระหนักในคุณค่าของอุดมคติและการเสียสละได้อย่างแนบแน่นลึกซึ้ง โดยสรุปแล้ว นวนิยายเรื่องนี้มีความดีเด่นหลายประการ ได้แก่ เนื้อเรื่อง กลวิธีการแต่งและสำนวน โวหารการใช้ถ้อยคำ จึงเป็นเรื่องที่มีคุณค่าสอดคล้องกับสภาพชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งต้องการสร้างเสริมและกำลังใจ สนับสนุนในด้านอุดมคติความจริงจังต่อชีวิต ความซื่อสัตย์สุจริต และการเสียสละเป็นอย่างยิ่ง
ใบงาน เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๒ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านและวิเคราะห์วรรณกรรมซีไรต์เรื่องความสุขของกะทิแล้ววิเคราะห์ตามประเด็นที่ กำหนด ๑. วรรณกรรมซีไรต์ประเภทบันเทิงคดีให้พิจารณาตามประเด็นต่อไปนี้ ๑) แก่นของเรื่อง .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ๒) การวางโครงเรื่อง .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ๓) ตัวละคร .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ๔) ฉาก .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ๕) สำนวนและลีลาในการเขียน .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ๖) สารที่สื่อจากผู้เขียน .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................
แนวเฉลยใบงาน เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ หน่วยที่ ๕ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑๒ เรื่อง การอ่านเชิงวิเคราะห์ รายวิชาภาษาไทย รหัสวิชา ท๒๑๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ นวนิยาย “ความสุขของกะทิ” ผู้แต่ง งามพรรณ เวชชาชีวะ ความสุขของกะทิเป็นนวนิยายขนาดสั้น เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงกะทิวัย ๙ ขวบ ที่ต้องจากแม่มาอยู่ กับตาและยายในบ้านสวนเพราะแม่ป่วยหนักจนไม่อาจเลี้ยงดูเธอได้กะทิเฝ้ารอแม่ทุกวันแต่ก็ไม่เคยได้ข่าว เพราะตากับยายพยายามจะไม่พูดถึง แล้ววันหนึ่งตากับยายก็พากะทิไปหาแม่ที่บ้านชายทะเล ซึ่งเป็นเวลาที่แม่ ใกล้จะสิ้นใจ กะทิได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่จนวาระสุดท้าย หลังจากนั้นเพื่อนสนิทของแม่ก็พากะทิไปบ้านแม่เพื่อให้ กะทิได้ดูเอกสารและสิ่งของต่าง ๆ ที่แม่เก็บไว้ในห้องทำงาน รวมทั้งเรื่องราวของพ่อซึ่งกะทิไม่เคยพบหน้าเลย แม้ว่าเมื่อกะทิรู้ว่าพ่อเป็นใครแล้วอาจจะตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเองได้แต่ในที่สุดกะทิก็เลือกที่จะ ไม่ติดต่อกับพ่อเลย เพราะเธอมีความสุกและอบอุ่นอยู่แล้ว นวนิยายเรื่องนี้มีกลวิธีการเล่าเรื่องที่ชวนติดตามโดยผู้เขียนจะค่อย ๆ เผยปมปัญหาที่ละน้อยผ่าน มุมมองของกะทิตัวละครมีเพียงไม่กี่ตัวแต่บุคลิกลักษณะเด่นชัดสอดคล้องกับบทบาทในเรื่อง ภาษาที่ใช้ในการ เล่าเรื่องและในบทสนทนาเป็นภาษาง่าย ๆ แต่สละสลวยคมคาย บทบรรยายและบทพรรณนาทำให้เกิด จินตภาพและได้อารมณ์ลึกซึ้งกินใจ (อยู่ในดุลพินิจของผู้สอน)