คำนำ
วฒั นธรรมเป็นส่ิงสะท้อนใหเ้ ห็นถงึ คณุ ค่าวิถชี วี ติ ท่ีชุมชนและท้องถนิ่ ต่าง ๆ ได้พฒั นาและสร้างสรรค์ขึ้น
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดาเนินชีวิต โดยแสดงออกในรูปแบบและวิธีการท่ีหลากหลาย ทั้งในรูปแบบของวิถีชีวติ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ภูมปิ ญั ญา และศิลปะ เป็นตน้ เพือ่ เปน็ การปลูกจติ สานึกและกระตุ้นให้คนในชุมชนท้องถ่ิน
เกิดความตระหนัก มคี วามต่ืนตวั และเข้ามามีสว่ นรว่ มในการฟื้นฟูเผยแพร่ และสบื สานภูมปิ ัญญาท้องถ่ินของตน
จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีวัฒนธรรมและมีองค์ความรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีแตกต่าง และความหลากหลายในองค์ความรู้ภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินท่ีมี
การสง่ั สมและสืบทอดมาอย่างต่อเนื่องและปรากฏให้เห็นในปจั จบุ ัน การพฒั นาจังหวัดเชยี งราย เพอ่ื สร้างความเข้มแข็ง
ใหก้ ับชมุ ชนทอ้ งถิน่ ที่สาคัญประการหน่งึ คือ การพลกิ ฟืน้ ศลิ ปะ และวฒั นธรรมท้องถ่ินท่ีมีอยใู่ นท้องถิ่นน้นั ๆ
ในด้านตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ภูมปิ ัญญาในแต่ละสาขา โดยเฉพาะภูมปิ ัญญาในการประกอบอาชีพเป็นภูมปิ ัญญาความรู้
เชิงศิลป์แขนงต่าง ๆ ท่ีมีศิลปินท้องถ่ินและศิลปินแห่งชาติตลอดจนช่างฝีมือ ซึ่งวัฒนธรรมและองค์ความรู้
ภมู ปิ ัญญาดังกล่าวเป็นทรัพยากรทสี่ าคัญสามารถใช้ประโยชน์หรือเก้ือกูลชุมชนท้องถิน่ ผู้เปน็ เจา้ ของได้
เพ่ือเป็นการส่งเสริม สนับสนุน สืบสาน และอนุรักษ์ฟื้นฟูขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งการเสริมสร้างคุณค่าทางสังคมและจิตใจต่อมรดกทางวัฒนธรรมเป็นส่ิงสาคัญ
ในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และเป็นผู้สืบทอดมรดกวัฒนธรรมของชาติ รวมท้ังให้ประชาชน
และเยาวชนในท้องถิ่นได้เรียนรู้ความสาคัญของวิถีชีวิต คุณค่าของประวัติศาสตร์ในท้องถ่ิน ความเป็นมาและ
วัฒนธรรมประเพณี อันจะสร้างความภาคภูมิใจและจิตสานึกในการดูแลรักษาวัฒนธรรมประเพณี ภูมปิ ญั ญาท้องถิ่น
และเอกลักษณ์ของชาติ เกิดการสืบสานและต่อยอดในการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของชาติให้สืบต่อไป
กรมส่งเสริมวฒั นธรรม จงึ ไดส้ นบั สนนุ งบประมาณให้สภาวัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งราย ในการดาเนินงานโครงการ
จัดทาฐานข้อมูลดา้ นมรดกภมู ปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น จงั หวัดเชียงราย ประจาปี 2565
ท้ังน้ี สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้จัดทา
หนังสือฐานข้อมูลด้านมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท้องถ่ิน จังหวัดเชียงราย ประจาปี 2565 และหวังเป็น
อย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มน้ีจะเป็นส่วนหน่ึงในการส่งเสริม สนับสนุน สืบสาน และอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกภูมิปัญญา
ทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย ให้เป็นท่ีรู้จักและแพร่หลายทั้งในกลุ่มของเด็ก เยาวชน และประชาชนท่ัวไป
สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายขอขอบคุณสภาวัฒนธรรมอาเภอทุกอาเภอ สภาวัฒนธรรมตาบล/เทศบาลทุกแห่ง
องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทุกแห่งในพ้ืนที่จังหวัดเชียงราย รวมไปถึงปราชญ์ชาวบ้านทุกท่าน ที่ได้ให้ความ
อนเุ คราะห์ขอ้ มูล ภาพถ่าย ในการจัดทาหนงั สือองคค์ วามรเู้ ล่มนี้เปน็ อยา่ งยิง่
สภาวัฒนธรรมจงั หวัดเชียงราย
สงิ หาคม ๒๕๖๕
สำรบัญ หนา้
1
วรรณกรรมและภำษำ 3
5
- การใชน้ ามสกลุ ของคนในพ้ืนท่ีอาเภอแม่จัน 6
- ค่าว จ๊อย 9
- ค่าวจอ้ ย ค่าวซอ
- ค่าวธรรมเรอื่ งนางอุทธรา, สานวนมขุ ปาฐะ (วรรณกรรมปากเปล่า ) 11
ที่ชาวบ้านเลา่ สอดคลอ้ งกบั เรื่องนางอุทธรา โดยเน้อื เรื่องโยงเข้ากบั สถานทีจ่ ริง 15
- ตานานพระธาตุดอยตงุ 17
- ประวัติคนยอง (บ้านแม่คาสบเปนิ ) 20
- ภาษาขมุ 21
- ภาษาบซี ู 23
- วรรณกรรมล้านนา 25
- สรภัญญะ 28
- หนงั สอื ตารายาเมืองล้านนา 31
33
ศิลปะกำรแสดง 35
37
- โปงลาง 39
- กลองยาวประยุกต์ หมู่ ๑๑ บา้ นใหม่รอ่ งหวาย 42
- ข่วงเฮยี นฮูเ้ ฮือนปอ้ ครูมานติ ย์ 45
- เตน้ รากระทงุ้ ไม้ไผ่ (บ่อ ฉ่อง ตุ๊) 47
- แคนมง้ 49
- การแสดงฟ้อนเล็บกลุม่ พัฒนาสตรีอาเภอแม่สาย 51
- การขับซอ 52
- การดีดซงึ 54
- การฟอ้ นเลบ็ 56
- การฟอ้ นดาบ การฟอ้ นเจิง 59
- การฟ้อนสาวไหม 61
- ดนตรีพื้นเมือง 63
- ฟอ้ นเลบ็ การแสดงพน้ื บ้าน 65
- ฟ้อนเลบ็ 67
- ฟอ้ นม่ิงขวญั ครี ีศรีขุนตาล 70
- ฟอ้ นลา้ นนา 72
- ฟ้อนศิลามณี 74
- ฟอ้ นสาวไหม 76
- ภูมิปญั ญาด้านนาฎศิลป์ การตีระนาด 79
- ภูมิปัญญาดา้ นนาฎศลิ ป์ การฟ้อนสาวไหม 82
- รานก ราโต
- ราพดั จนี
- วงปี่พาทย์ (สบุ รรณศิลป์)
- วงสะลอ้ ซึง กลมุ่ ผู้สูงอายหุ มู่ 11
- ศลิ ปะการแสดงวงป่ีพาทย์ โรงเรียนผสู้ ูงอายุตาบลปา่ ซาง
- ศิลปะการแสดง (ช่างป/่ี ฟ้อนเจงิ )
สำรบัญ หนา้
84
แนวปฏบิ ตั ิทำงสงั คม พธิ กี รรม ประเพณี และงำนเทศกำล 86
89
- ศลิ ปะการแสดง และนาฏศิลป์พน้ื บ้าน (ขับล้ือ) 91
- กลองหลวง ๑๒ ราศี (กลองหลวงล้านนา) 93
- แคนมง้ 95
- พธิ กี รรมทางศาสนา 97
- พิธีกรรมสู่ขวญั ควาย 100
- พิธสี ่งเคราะหบ์ ้านเคราะหเ์ มือง 103
- พิธีบวงสรวงเจ้าหลวงเทงิ 107
- ประเพณสี รงน้าพระธาตุจอมจอ้ 109
- ประเพณบี ุญผะเหวด 111
- แพทย์พนื้ บ้านลา้ นนา พิธีกรรมบาบดั (จิตบาบดั ) 113
- แห่นางแมวขอฝน 115
- การเล้ียงผเี จ้าที่ 117
- การแต่งกายชาติพนั ธข์ุ มุ 120
- การทาบายศรี 123
- ด้านประเพณแี ละวัฒนธรรม (บญุ บั้งไฟ) 126
- ตานก๋วยสลากบ้านหว้ ยกา้ งรฐั 127
- ตาพย่านาเจอ่ นาบทือ ย่าง (ความเชอ่ื ในเร่ืองการนบั ถือหอเสอ้ื บ้าน) 129
- บายศรีสู่ขวัญ ส่งเคราะห์ 131
- บายศรีสูข่ วญั งานแต่งงาน 132
- ประเพณีเกย่ี วกับวงจรชีวติ การขึน้ ทา้ วท้ังส่ี 133
- ประเพณีและเทศกาลปีใหม่ลาหู่ (ตรษุ จีน) 135
- ประเพณโี ยนลกู ชว่ ง 139
- ประเพณีถวายสลากภัต 141
- ประเพณีทาบุญเมือง สะเดาะเคราะหแ์ ละถวายสลาก 25 143
- ประเพณีทาบญุ ตานขา้ วใหม่ 145
- ประเพณีบวงสรวงพระเจา้ พรหมมหาราช 147
- ประเพณบี ุญบง้ั ไฟตาบลดงมหาวนั 150
- ประเพณปี ีใหม่เขาะจาเว 152
- ประเพณีสรงน้าพระธาตดุ อยกู่ 154
- ประเพณีสบื ชะตาแมน่ า้ จัน 156
- ประเพณสี ่ขู วญั ควาย 157
- ปอยสา่ งลอง 160
- พิธีกรรม ประเพณี การฮ้องขวัญ สืบชะตา 163
- พธิ ีกรรมทางศาสนา 165
- พิธีกินอ้อผะญา๋ ลา้ นนา 167
- พธิ ีบายศรีสู่ขวญั 171
- พธิ ีสู่ขวญั /อ่านค่าว
- พธิ ีอญั เชิญเคร่ืองสกั การะ บวงสรวงอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
- พธิ ฮี ้องขวัญ (สขู่ วญั /เรียกขวัญ) สะเดาะเคราะห์
สำรบัญ หน้า
173
แนวปฏิบัตทิ ำงสงั คม พิธกี รรม ประเพณี และงำนเทศกำล (ต่อ) 175
180
- พิธีฮอ้ งขวญั หรือ หมอขวญั 181
- วิถชี ีวิตชาวไทยวน 183
- ส่งเคราะหส์ ่วนตวั 185
- สง่ เสริมศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณที ้องถ่นิ (ปีใหมโ่ ลช้ งิ ช้าเผา่ อาข่า) 187
- สรงนา้ พระธาตุ 189
- สรงนา้ พระธาตกุ ูห่ ิน 191
- สรงนา้ พระธาตุจอมหมอกแก้ว ๑93
- สรงนา้ พระธาตมุ หามงคล 5 ยอด 195
- หอเจ้าทด่ี งชาวบ้าน 197
- ฮอ้ งขวญั ๑๙๙
- ประเพณีไหลเรอื ไฟ ๑๒ ราศี 201
- ประเพณีการล่องสะเปา (ย่เี ป็ง) ชมุ ชนบา้ นสบกก ๒๐3
- ประเพณีการเล้ยี วเส้อื บา้ น 2๐5
- พธิ ถี วายหนงั แดง 206
208
อำหำร/ควำมร้แู ละกำรปฏิบัตเิ กีย่ วกบั ธรรมชำติและจกั รวำล 210
2๑2
- การทาทองม้วนกรอบ 214
- การแพทย์แผนไทยสมนุ ไพรพืน้ บ้าน (หมอพน้ื บ้านลา้ นนา) 216
- แกงฮังเลหมก 218
- ขนมจนี นา้ เง้ียว 220
- ข้าวแตน๋ นา้ แตงโม 222
- ขา้ วแรมฟนื (ปา้ นวล) 224
- ขา้ วแรมฟนื หรอื ขา้ วฟืน 226
- ขา้ วหมาก 228
- เครอ่ื งดื่มชา 231
- แคบหมูจนั ทรส์ วย 233
- ซาลาเปา (ยูนนาน) 235
- ต้มเต้าหู้ (โจ๊ะตะโป่ดบั๊ ) 237
- นวดจบั เสน้ หมอสมุนไพร 240
- น้าเง้ยี ว 243
- นา้ พรกิ ซมั่ จิน้ 245
- น้าพริกทราย 247
- นา้ พริกน้าผัก 250
- นา้ ออ้ ยคั้นสด 253
- ปลาส้ม สองพีน่ อ้ งมง่ั มี 255
- แพทยพ์ ื้นบ้านลา้ นนา พิธกี รรมบาบดั (จิตบาบัด)
- ลานสุขภาพโพธนาราม
- ลาบดอย
- ลาบปลานา้ โขง
- ลาบหมูอาขา่
- ลาพี ซ่าทอ ลาบพรกิ สมนุ ไพร
สำรบัญ หน้า
257
อำหำร/ควำมรแู้ ละกำรปฏิบัตเิ กยี่ วกบั ธรรมชำตแิ ละจักรวำล (ต่อ) 259
261
- สมนุ ไพร 263
- สมนุ ไพรรกั ษาริดสีดวง (ยารักษามะโหก) 265
- หน่อมัน 267
- หมอชาวบ้าน (หมอเปา่ เพื่อการรกั ษาโรคงูสวัดและโรคกระดูก) 269
- หมอดทู านายโชคชะตา ทานายอนาคตของบุคคล 271
- หมอพน้ื เมือง 273
- หมอเมือง ปราชญส์ มนุ ไพร 275
- หมอยาสมนุ ไพร 277
- หมูตนุ๋ (ยูนนาน) 279
- ห่อนึง่ ไก่เมอื งขา้ วค่ัว 281
- เหล้าอุ หรอื สุราหมัก ๒๘7
- โหราศาสตร์ 289
- อาหารชาติพันธไ์ุ ทยอง 291
- ปลากระบอก 293
2๙5
งำนชำ่ งฝีมือด้งั เดมิ 2๙7
299
- กลุม่ ตดั เยบ็ ชมุ ชนห้วยไครพ้ ัฒนา 301
- การทาบายศรี 303
- การปลกู หม่อนเล้ียงไหมและการทอฟา้ ไหม ๓๐6
- การแปรรปู กะลามะพรา้ ว 308
- การสานไมก้ วาดดอกหญา้ (กง๋ ) 310
- การสานแห 3๑2
- แกะสลกั จากเศษไม้ 3๑4
- ขลยุ่ ไม้ 3๑6
- ขันบายศรีสขู่ วญั 319
- ขา้ วถกั หรือขจาข้าวเปลอื ก 321
- เครอ่ื งจกั สาน 3๒3
- เครอื่ งจกั สาน งานหัตถกรรม 3๒5
- เครื่องจกั สาน ชุมชนคณุ ธรรมวัดพนาลยั เกษม 3๒7
- เครอ่ื งป้นั ดนิ เผา (ปั้นหมอ้ ) 330
- โคมล้านนา 3๓2
- งานจักสานผ้สู งู อายุ 3๓4
- จกั สาน บ้านไคร้ 3๓6
- จักสานจากหวาย 341
- จกั สานตะกร้าหวายเทียม
- ศิลปหตั ถกรรมพน้ื บาน (ช่างตีมีด)
- ชา่ งตีเหลก็ วัยเกา๋
- ช่างสานงานศลิ ป์
- ตะกรา้ หวาย
- ตงุ ไชย (ตงุ ไจย หรอื ตุงชัย)
สำรบัญ หนา้
3๔3
งำนชำ่ งฝีมอื ดง้ั เดิม (ต่อ) 3๔5
3๔7
- ตงุ สบิ สองราศี (ตุงตวั เปิ้ง หรือตุงปใี หม่) 349
- ตุ้มเหยย่ี น (ทต่ี กั ปลาไหล) , ทดี่ กั ปลา 351
- เตามีดปงหลวง 3๕3
- ทอผ้าพ้นื เมือง , ทาตุง 3๕6
- บอกไฟดอก / โคมลอย 368
- ปราสาทศพ 370
- ปราสาทศพ (บา้ นร่องบัวลอย) 3๗2
- ป้นั พระพุทธรูป หล่อพระพุทธรปู ปน้ั รูปเหมอื น 3๗5
- ผลติ ภณั ฑเ์ สือ่ สานจากต้นกก 3๗7
- ผ้าขาวม้าทอมือ 379
- ผา้ ชดุ ไทใหญ่ 381
- ผ้าทอกลมุ่ ชาติพนั ธุ์ลมุ่ แมน่ ้าโขง 3๘4
- ผา้ ทอไทล้ือ 3๘7
- ผ้าทอมอื บ้านสนั หลวงใต้ 389
- ผา้ ทอหม่บู ้านทา่ ขนั ทอง 3๙6
- ผา้ ทออีสานลา้ นนา 398
- วสิ าหกิจชมุ ชนผลิตภณั ฑ์ทามอื บา้ นจงเจริญ “ผา้ ปัก” 401
- ผ้าปักชุดชาตพิ นั ธุ์ไตหย่า ๔๐3
- ผา้ ปักด้วยมือ : กลุ่มวสิ าหกิจชมุ ชนกลุ่มงานฝีมือปักผา้ ด้วยมอื ๔๐5
- ผา้ ปกั มือ ๔๐7
- ผา้ ปกั มือชาติพนั ธ์อุ าข่า 409
- ผา้ ปกั มอื บา้ นสนั ทางหลวง 411
- ผ้าปกั มอื ลายเชยี งแสนหงส์ดา 4๑7
- ผ้าพ้ืนเมอื ง บ้านปงนอ้ ยใต้ 419
- ผา้ ไหมทอมือ บ้านหว้ ยเคยี น 421
- มดี (เผา่ ม้ง) 4๒3
- ไมก้ วาดดอกหญ้า บ้านป่าม่วง 4๒5
- ไมก้ วาดดอกหญา้ ปา่ กอ่ ดา 4๒7
- ไม้กวาดดอกหญ้า เมอื งชมุ 429
- ไม้กวาดดอกหญา้ และไมก้ วาดทางมะพร้าว 431
- สานสมุ่ ไก่ 433
- เสื่อกก 435
- เส่ือกกบา้ นป่าลนั 437
- เยบ็ หมวกสาน บา้ นศรีชุม 439
- ซ้าหวด 442
444
กำรเลน่ พืน้ บ้ำน กฬี ำพนื้ บำ้ น และศิลปะกำรต่อสปู้ ้องกันตวั 445-
๔๔7
- การชนไก่
- การเล่นลกู ช่วง
- ของเลน่ พ้ืนบา้ นจากใบมะพร้าว
- ลกู ช่วง (ปใี หม่มา้ )
- เล่นลูกขา่ ง (หม่ะขา่ ง)
- โลช้ งิ ช้า
-1-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรมจังหวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวัฒนธรรมเทศบำลตำบลแม่จัน
อำเภอแม่จนั จงั หวดั เชียงรำย
๑. ชื่อข้อมลู การใชน้ ามสกุลของคนในพน้ื ท่อี าเภอแมจ่ นั
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพน้ื บา้ นและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบตั ทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏบิ ัตเิ กยี่ วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล
งานชา่ งฝีมอื ดัง้ เดมิ
การละเล่นพืน้ บา้ น กีฬาพนื้ บ้าน และศลิ ปะการต่อสปู่ ้องกันตัว
๓. รำยละเอียดข้อมูล
๓.๑) ประวตั คิ วามเปน็ มาของข้อมลู
การบังคับให้ใช้นามสกุล ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ จึงโปรดให้มี
การตั้งนามสกุลเหมือนกับประเทศอ่ืน ๆ โดยให้ตราพระราชบัญญัติขนานนามสกุล เมื่อวันที่ 22 มีนาคม
พ.ศ. 2455 มีผลใช้บังคับต้ังแต่วันท่ี 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 มีการให้คนไทยทุกคนต้องมีนามสกุล
นามสกุล คือ ชื่อบอกตระกูล (หรือสกุล) เพ่ือแสดงท่ีมาของบุคคลนั้น ๆ ว่ามาจากครอบครัวไหน ตระกูลใด
ธรรมเนียมการใช้นามสกุลปรากฏอยู่ท่ัวไปในหลาย ๆ ประเทศและวัฒนธรรม ซ่ึงในแต่ละท่ีก็อาจจะมี
ลักษณะเฉพาะแตกต่างกนั ไป
ในหลาย ๆ วัฒนธรรม (เช่น ทางตะวันตก ตะวันออกกลาง และในทวีปแอฟริกา) นามสกุลจะอยู่ใน
ลาดับหลังสุดของช่ือบุคคล แต่ในบางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออก (จีน ญ่ีปุ่น เกาหลี เวียดนาม)
นามสกลุ จะอยใู่ นลาดบั แรก ส่วนนามสกลุ ของไทยจะอยู่เป็นลาดับสุดทา้ ยเหมือนทางตะวนั ตก
๓.๒) ข้ันตอน/วิธกี าร/ดาเนนิ การเกย่ี วกับขอ้ มูล
ศึกษาประวัติความเป็นมาและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของการตั้งอาเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ตลอดจนการสร้างบ้านแปงเมือง และการสืบเช้ือสายสกุลในหมู่บา้ น ตาบล และอาเภอ แต่เดิมน้ันคนในชมุ ชน
จะมีมนี ามสกุล แตจ่ ะใช้ชื่อบา้ นเป็นสรอ้ ยหรือคล้ายนามสกลุ เช่น ชอื่ “นายดีบา้ นดอย” “นายสีสนั ทราย” เมือ่
มกี ารบังคบั ใช้เป็นกฎหมายให้คนไทยต้องไปขออนญุ าตมนี ามสกุล ในสว่ นของอาเภอแม่จนั นายอาเภอได้มีการ
ประชุมกานันผู้ใหญ่บ้านให้ราษฎรมาแจ้งเพื่อมารับเอานามสกุลตัวเอง ซ่ึงราษฎรสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีความรู้
เก่ียวกับคาว่านามสกุล จึงอาศัยนายอาเภอตั้งให้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากจะเอานามบ้านมาเป็นนามสกุล เช่น
ราษฎรทอี่ พยพมาจากอาเภอแม่ทา จงั หวัดลาพูน มาตัง้ ถิ่นฐานอยู่อาเภอแม่จัน นายอาเภอจะต้ังนามสกุลให้ว่า
“จันทาพูน” ด้วยเหตุน้ีคนท่ีมาจากจังหวัดลาพูนจึงใช้นามสกุล “จันทาพูน” อยู่มากมาย ราษฎรท่ีอยู่แต่ละ
หมู่บ้านจะอาศัยช่ือบ้านมาตั้งนามสกุล เช่น บ้านป่าซาง ให้ใช้นามสกุล “ซางสุภาพ” บ้านร่องก๊อ ให้ใช้
นามสกลุ “ก๊อใจ” บา้ นสันนา ให้ใชน้ ามสกลุ “นาใจ” บา้ นบ่อก้าง ใหใ้ ช้นามสกลุ “ก้างออนตา” บ้านแมค่ า ให้
ใช้นามสกุล ซาวคาเขต บ้านสันทราย ให้ใช้นามสกุล “ทรายหมอ” หรือ “อรินต๊ะทราย” บ้านแม่คี ให้ใช้
นามสกุล “มงคลคี” บ้านป่าเปา ใช้นามสกุล “ปาเปาอ้าย” บ้านแม่คาสบเปิน ให้ใช้นามสกุล “คาเงิน” และ
บา้ นป่าตึง ใชน้ ามสกุล “ตบ๊ิ ปา่ ตงึ ” เป็นต้น
-2-
๔. ชื่อผู้ท่ีถือปฏิบัตแิ ละผสู้ ืบทอด
๔.๑ ผู้ทีถ่ อื ปฏบิ ัติ
ช่ือ นางมาลินี แย้มเมือง
วัน เดือน ปเี กดิ ๑๑ กรกฎาคม ๒๔๘๘
ทอ่ี ยู่ ๗/๑ หมู่ ๓ ตาบลแม่จัน อาเภอแมจ่ นั จงั หวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๑ ๐๒๒ ๘๓๓๕ หรอื ๐๙๓ ๐๐๕ ๑๕๗๓
๔.๒ ผูส้ บื ทอด
ช่ือ กลุ่มผูส้ งู อาย/ุ กลมุ่ แม่บ้าน/กลุ่มเดก็ นกั เรียนและเยาวชน
ในพื้นทเ่ี ขตเทศบาลตาบลแม่จัน
ทีอ่ ยู่ เขตเทศบาลตาบลแม่จัน อาเภอแม่จัน จังหวดั เชยี งราย
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบัตอิ ย่างแพรห่ ลาย เสีย่ งตอ่ การสญู หาย ไมม่ ีปฏบิ ัตแิ ลว้
๖. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม
-3-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรำยประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำย
อำเภอเวียงชัย จงั หวดั เชียงรำย
๑. ช่ือข้อมูล ค่าว จอ๊ ย
๒. ลักษณะ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบตั ทิ างสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรแู้ ละการปฏบิ ัติเกยี่ วกบั ธรรมชาติและจักรวาล
งานช่างฝมี อื ดงั้ เดมิ
การละเล่นพ้นื บา้ น กีฬาพนื้ บา้ น และศลิ ปะการตอ่ สู่ป้องกนั ตวั
๓. รายละเอยี ดข้อมูล
๓.๑ ประวัตคิ วามเปน็ มาของข้อมลู
ในอดีต ค่าว จ๊อย เผยแพร่ในสังคมเกษตรกรรมโดยอาศัยประเพณีท้องถ่ินเป็นโอกาสและสถานที่
สาหรบั เผยแพร่ ต่อมามรี ะบบส่ือสารมวลชนเปน็ ช่องทางเพ่ิมโอกาสมากขึน้ การบันทกึ แผน่ เสยี ง ให้เผยแพร่ได้
กว้างไกลไปถึงภูมิภาคอื่น ๆ ค่าว จ๊อย จึงมีสถานภาพเพ่ิมข้ึนจากเดิมคือ เป็นทั้งเพลงพื้นบ้าน มหรสพ และ
ผลผลิตจากภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่ินที่ทาหน้าที่ขดั เกลาทางสงั คม การถา่ ยทอดแกเ่ ยาวชนท่สี นใจ
ค่าว หรือ ค่าวจ๊อย เป็นวรรณกรรมด้านบทบาทของท้องถ่ินเป็นการแต่งที่เป็นฉันทะลักษณ์สัมผัส
นอก-ใน เป็นร้อยกรองด้านศัพท์ภาษาท่ีสละสลวย ใช้ภาษาคาเขียนที่ดั่งเดิมใช้เขียนบทค่าวน้ีในเร่ืองการบันทึก
ตานาน คาสอน ตารับตารา ตารายาสมุนไพร การเขียนบทค่าวเดิมมักเขียนด้วยอักขระล้านนาหรืออักษรธรรม-หรือ
ตวั เมือง
เพลงร้องพื้นบ้านค่าว จ๊อย มีลักษณะเป็นวรรณกรรมแสดงออกเป็นคาพูดโต้ตอบกัน เช่น การหยอกสาว
หรือเป็นการขับร้อง เช่น จ๊อยและซอ วรรณกรรมเหล่าน้ีมีฉันทลักษณ์หลายรูปแบบ ซ่ึงเรียกรวม ๆ กันว่า คาค่าว
คาเครอื หรือค่าว
ค่าว เป็นคาประพันธ์ท่ีมีแบบแผนของชาวล้านนามีฉันทลักษณ์ท่ีระบุจานวนคาในวรรค และสัมผัส
ระหวา่ งวรรค สรุปเปน็ คากลา่ วสั้น ๆ
จ๊อย เป็นวิธีขับลานาโดยใช้ค่าว เป็นเน้ือหาหลักบางทีเรียกว่า จ๊อยค่าว วิธีขับจ๊อยมักจะดาเนิน
ท่วงทานองไปอย่างช้าๆ มีการเอื้อน อาจมีเครื่องดนตรี บรรเลงคลอประกอบหรือไม่ก็ได้ ลีลาและทานองจ๊อย
ทนี่ ิยมใช้ ได้แก่ โก่งเฮยี วบง่ มา้ ย่าไฟ และทานองวิงวอน
๓.๒ ขัน้ ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเกยี่ วกบั ข้อมูล
ค่าว หรือค่าวจ๊อย ใช้ในการแต่งเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ ที่บังเกิดข้ึนในท้องถ่ิน มีประโยชน์ในด้านบันทึก
ความทรงจาใหค้ นรุ่นหลงั ไดร้ เู้ ร่ืองราวในอดีต การเล่าคา่ วมไี ด้หลายลักษณะ จาแนกตามโอกาสดงั นี้
1. การเล่าค่าวภายในครอบครัว ส่วนใหญ่จะเล่าหลังอาหารเย็น เพื่อคลายบรรยากาศท่ีเงียบเหงา
ในตอนกลางคืน เพราะในสมยั ก่อนยงั ไมม่ วี ทิ ยุ โทรทศั น์ และสงิ่ บันเทงิ เหมือนในสมยั นี้
2. การเล่าค่าวในงานมงคลต่าง ๆ เช่น งานปอยบวชลูกแก้ว (งานบวชเณร) งานข้ึนบ้านใหม่ งานแต่งงาน
งานปอยเขา้ สงั ข์ (งานทาบญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลไปหาคนตาย สมัยก่อนตอ้ งใชเ้ วลาเตรยี มงานหลายวนั )
3. การเล่าค่าวในงานศพ เพื่อให้ผู้ที่มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าของบ้านได้ฟังในขณะท่ีศพยังไม่ได้เผา
เพือ่ ไม่ให้บรรยากาศเศร้าหมองเกนิ ไป
-4-
๔. ชื่อผูท้ ี่ถือปฏิบตั แิ ละผู้สบื ทอด
๔.๑ ผ้ทู ีถ่ ือปฏิบัติ
ชอื่ นางปน๋ั คาตื้อ
วนั เดอื น ปเี กิด 23 มิถนุ ายน 2492
ท่ีอยู่ 18 หมู่ 5 ตาบลผางาม อาเภอเวยี งชัย จงั หวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
๔.๒ ผู้สืบทอด
ช่ือ นางก๋วน แกว้ นนิ ตา
วัน เดือน ปีเกดิ 20 มถิ นุ ายน 2498
ท่อี ยู่ ๓๕ หมู่ 5 ตาบลผางาม อาเภอเวยี งชัย จังหวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
๕. สถานะการคงอยู่ ปฏิบัตอิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสีย่ งตอ่ การสูญหาย ไมม่ ปี ฏบิ ตั แิ ลว้
๖. รูปภาพภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม/กิจกรรมทางภูมปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
-5-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปญั ญำทำงวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำยประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจังหวดั เชยี งรำย
อำเภอขนุ ตำล จงั หวดั เชยี งรำย
๑. ชื่อข้อมูล คา่ วจ้อย ค่าวซอ
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพืน้ บา้ นและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบัตทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏบิ ัตเิ กี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล
งานช่างฝมี อื ดงั้ เดมิ
การละเล่นพน้ื บา้ น กีฬาพ้ืนบ้าน และศิลปะการตอ่ สปู่ ้องกนั ตวั
๓. รายละเอียดขอ้ มูล
๓.๑ ประวตั ิความเปน็ มาของข้อมลู
เจา้ ของภมู ปิ ัญญา นายไว ธะนะแก้ว บา้ นเลขที่ 24 หมูท่ ี่ 13 ต.ต้า อ.ขุนตาล จ.เชียงราย
โทร 063-435-8480
ค่าวจ้อย ซอ เป็นวรรณกรรมพ้ืนบ้านคนทางเหนือ นับวันจะสูญหายไป ฉะน้ันวัฒนธรรมล้านนา
ต้องช่วยกันอนุรักษ์ให้ลูกหลานได้ศึกษา สืบทอด ประเพณีวัฒนธรรมล้านนา เช่นกาบ่าเก่า กาอู้ กาจ้อย กาซอ
กาคลอ้ งจองต่างๆ ซง่ึ ผเู้ ฒา่ ผ้แู ก่ควรมีการอนุรักษ์ไวเ้ พ่อื ใหล้ ูกหลานไดส้ บื ทอด เชน่ ค่าวเรื่องความหลง
หลงจิ้ต หลงใจ๋ บ่ดีแต้ๆ บ่เหมือนด่ังอั้นหลงตาง หลงเข้าป่าไม้ ดงดอยหนาหนาม กลับมาหาตาง กาเดียวก้อได้
หลงจ้ิต หลงใจ๋ ไผ๋หั๋นจ้ักได้ บ่มีวันเนอเจ่ือเต๊อะ จ้ักลาบากใจ๋ เมื่อไปเติกเม๊อะ จักสิ่งอ้ันบ่ควร หลงเหยหลง
หลงตางป่าไม้ แหนบหลงได้ซาววัน ยังกลับป้อกป้ิก คืนได้หนหลัง หลงใจ๋หลงกา หลงคืนบ่ได้ เพราะหลงอ้กใจ๋
หลงคอหลงใส้ หลงจก้ั คืนไปยากลา้
๔. ชื่อผทู้ ่ีถือปฏิบัตแิ ละผู้สืบทอด
๔.๑ ผทู้ ีถ่ ือปฏิบตั ิ
ช่อื นายไว ธะนะแกว้
วัน เดือน ปเี กดิ -
ทอ่ี ยู่ 24 หมู่ 13 ตาบลต้า อาเภอขุนตาล จังหวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
๔.๒ ผู้สบื ทอด
ช่ือ -
วัน เดือน ปีเกิด -
ท่ีอยู่ -
หมายเลขโทรศัพท์ -
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบตั ิอยา่ งแพรห่ ลาย เสี่ยงต่อการสูญหาย ไม่มีปฏบิ ตั แิ ลว้
๖. รูปภำพภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
-ไมม่ ี-
-6-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งรำย
สภำวัฒนธรรมอำเภอเทิง จังหวดั เชียงรำย
๑. ชื่อข้อมลู ค่าวธรรมเรื่องนางอุทธรา, สานวนมขุ ปาฐะ (วรรณกรรมปากเปล่า )
ทช่ี าวบ้านเล่าสอดคลอ้ งกบั เร่ืองนางอทุ ธรา โดยเนือ้ เรื่องโยงเขา้ กบั สถานทจี่ ริง
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพืน้ บ้านและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏิบัติเกยี่ วกบั ธรรมชาติและจกั รวาล
งานช่างฝีมือด้ังเดมิ
การละเลน่ พ้นื บ้าน กีฬาพน้ื บ้าน และศิลปะการต่อสูป่ ้องกนั ตัว
๓. รำยละเอยี ดข้อมูล
๓.๑) ประวัตคิ วามเป็นมาของข้อมลู
ค่าวธรรมเป็นงานประพันธ์ท่ีมีรูปแบบเป็นชาดก มีจุดประสงค์เพ่ือใช้เทศน์ส่ังสอนประชาชนในวัน
สาคัญทาพุทธศาสนา ค่าวธรรมเร่ืองนางอุทธรา เป็นที่นิยมกันในอาเภอเทิงมากกว่าเร่ืองอื่น ๆ เนื่องจาก
เร่ืองเล่าจะเก่ียวโยงเข้ากับสภาพภูมิประเทศในอาเภอเทิงหลาย ๆ แห่ง เช่น ดอยทา บ้านทุ่งตะไห และ
หนองสามขา เปน็ ต้น
นางอุทธราเป็นลกู เศรษฐี บ้านทุ่งตะไห (ปจั จบุ นั คือบา้ นทุ่งขนั ไชย อาเภอเทงิ จังหวดั เชียงราย) เศรษฐี
มเี มยี สองคน ได้ฆา่ เมียหลวงตายแช่นา้ อย่ทู ่ีฮ่องแช่ (ปัจจุบนั เรียกร่องแช่อยทู่ า้ ยหมูบ่ ้าน) ต่อมาเมยี หลวงเกิด
เป็นเตา่ มีกระดองเป็นทองอยใู่ นหนองน้ี เมียน้อยให้เศรษฐีไปจบั เต่ามาต้ม ขณะตม้ เต่าร้องไหจ้ งึ เรียกว่าบ้านเต่าไห้
ต่อมาเพี้ยนเปน็ บา้ นตะไห
ดอยทาทเ่ี มืองเทิง เปน็ ดอยนางอุทธรา บางทีเรยี ก ดอยอุททา ซง่ึ ชาวบ้านสร้างกู่ หรือเจดยี บ์ รรจธุ าตุ
ของนางอทุ ธราไว้ข้างใน ปัจจบุ นั ชารดุ เหลือแตก่ องอิฐ มีคอกวัวและท่ีมัดวัวซง่ึ นางอทุ ธราเคยนาไปเล้ยี ง
๓.๒) ขั้นตอน/วิธีการ/ดาเนินการเกยี่ วกบั ข้อมูล
เรื่องย่อ กลา่ วถงึ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ.เชตะวันฯ วนั หน่ึงสาวกปรารภกันถงึ เร่ืองการไดร้ บั ผลบญุ
และบาป พระพุทธองคจ์ ึงแสดงพระธรรมเทศนาเร่ืองนีใ้ ห้ฟัง
นานมาแลว้ มพี ระยาตนหนงึ่ ช่ือพรหมทตั ครองเมืองพาราณาสี ในเมอื งนั้น มเี ศรษฐชี ่อื กุบปติ ตา
มภี รรยาสองคน ชือ่ นางอชุ ุจิตตา มีลูกสาวช่อื นางอทุ ธรา ภรรยานอ้ ยเป็นผีกระสือชือ่ มิจฉารี มีลูกสาวช่อื สามา
เดิมที เศรษฐรี ักภรรยาทง้ั สองเท่าเทยี มกัน
วนั หน่งึ เศรษฐีพาเมยี ทั้งสองไปทอดแหหาปลา และแบง่ ปลาท้ังสองข้องให้เท่าเทยี มกนั แตน่ างมิจฉารี
แอบกนิ ปลาในข้องตนจนหมดแลว้ ออกอุบายขอเปล่ียนที่น่ังกับนางอุชุจิตตา กอ่ นจะกลับบา้ นเศรษฐีไปดูไม่เห็น
มีปลาในข้องเมียหลวง จึงโกรธใช้ไม้พายตีหัวนางอุชุจิตตาตกน้าตายกลายเป็นเต่าทองอยู่ในหนองน้าแห่งน้ัน
(บ้ำนร่องแช่) เม่ือกลับถึงบ้านนางอุทธราไม่เห็นแม่ จึงนั่งร้องให้รอแม่อยู่หน้าบ้าน เทวดาบันดาลให้สุนัขพูดได้
มาเล่าเหตุการณ์ให้นางอุทธราฟัง และบอกให้ไปพบแม่ท่ีเกิดเป็นเต่าทองที่หนองน้า วันรุ่งขึ้นเมื่อถูกใช้ให้ไป
เล้ียงวัว นางอุทธราจึงไปหาแม่ ต่อมานางมิจฉารีสังเกตเห็นจึงออกอุบายแสร้งว่าป่วย ให้เศรษฐีไปหาเนื้ อ
เต่าทองมาให้กินจึงจะหาย เศรษฐีจึงไปจับเต่ามาให้นางอุทธราต้ม (บ้ำนเต่ำไห้ บ้ำนตะไห เพ้ียนกลำยเป็น
บำ้ นทงุ่ ขันไชย) กอ่ นตายแม่สั่งใหเ้ อากระดกู ไปฝังไวท้ ีท่ างส่ีแยก จากนนั้ ก็กลายเป็นต้นโพธ์ทิ องงอกมา 1 ต้น
-7-
ที่สีเหลืองอร่าม เวลาลมพัดใบจะมีเสียงไพเราะเหมือนดนตรีป่ีพาทย์ ผู้คนเล่าลือถึงหูพระยาพรหมทัต ทรงยก
ไพร่พลมาดูและพยายามขุดไปไว้ในวัง แต่ทาไม่ได้มีแต่นางอุทธราผู้เดียวท่ีอธิษฐานแล้วขอถอนต้นโพธ์ิได้
พระยาพรหมทัตจึงนาต้นโพธ์ิไปปลูกในวังและแต่งต้ังนางอุทธราเป็นอัครมเหสีอยู่ได้ 2 ปี มีลูก 2 คน
นางมิจฉารีผู้เป็นแม่เลี้ยงคิดจะฆ่านางอุทธรา จึงออกอุบายว่าเศรษฐีป่วยให้ไปเยี่ยมแล้วฆ่าเสีย จากน้ันส่ง
ลูกสาวตนเองปลอมตวั ไปแทน พระยาพรหมทตั จบั ได้ ใหฆ้ า่ แลว้ เอาไปทาเป็นเนื้อส้มส่งให้เศรษฐีและนางมิจฉารีกิน
ส่วนนางอุทธราได้ไปเกิดในลูกมะตูมที่สวนนายประตูด้านเหนือเมืองพาราณสี ได้ออกมาช่วยทาความสะอาด
บ้านให้นายประตู จับตัวไว้เป็นลูก จึงได้ไปช่วยนายประตูร้อยดอกไม้ขายทุกวัน มีคนซ้ือไปถวายพระยาพรหมทัต
ทรงจาฝีมือนางได้ จงึ มารบั ตัวกลบั ไปเป็นอคั รมเหสีตามเดมิ สว่ นเศรษฐีและนางมิจฉารีก็ถูกธรณีสูบตาย
๔. ชอ่ื ผ้ทู ี่ถอื ปฏิบตั ิและผู้สืบทอด
๔.๑ ผ้ทู ีถ่ ือปฏบิ ัติ พระครสู ิริคันธวงศ์รองเจา้ คณะอาเภอเทิง รปู ที่ ๑
ชาวบ้านทงุ่ ขนั ไชย
วัน เดือน ปีเกิด -
ทอ่ี ยู่ -
หมายเลขโทรศัพท์ -
๔.๒ ผู้สืบทอด
ช่ือ -
วนั เดือน ปเี กดิ -
ที่อยู่ -
หมายเลขโทรศัพท์ -
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบัตอิ ย่างแพร่หลาย เสีย่ งตอ่ การสญู หาย ไม่มีปฏิบตั แิ ลว้
๖. รปู ภำพภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
ศาลเจา้ แมน่ างอุทธรา ท่ีวดั อทุ ธรา
สถานทีจ่ รงิ ท่มี ีช่ือสอดคล้องกับเรอ่ื งเลา่
-8-
สถานทจ่ี รงิ ท่มี ชี ื่อสอดคลอ้ งกับเรื่องเลา่
ภาพเร่ืองราวเกยี่ วกับ เร่อื งเตา่ น้อยอองคา บนผนงั วัดช้างคา้ ในอาเภอเทิง
หลวงพอ่ พระครสู ิริคันธวงศ์ รองเจา้ คณะอาเภอเทิง รูปท่ี๑ ได้ใชค้ รา่ วธรรมเร่อื งนางอุทธรา (เตา่ นอ้ ยอองคา)
เทศนาส่งั สอน ชาวบ้าน มาโดยตลอด และยังเขียนภาพเร่ืองราว บนผนงั อุโบสถ ของวดั งิ้วใหม่ โดยรอบ
-9-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจงั หวัดเชยี งรำย
สำนกั งำนวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรำย
อำเภอแม่สำย จังหวัดเชยี งรำย
๑. ชื่อข้อมลู ตานานพระธาตดุ อยตุง
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้นื บา้ นและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏบิ ัตทิ างสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั ิเกยี่ วกบั ธรรมชาติและจักรวาล
งานช่างฝมี อื ด้ังเดมิ
การละเลน่ พนื้ บา้ น กีฬาพ้ืนบ้าน และศลิ ปะการต่อสปู่ ้องกันตัว
๓. รำยละเอยี ดข้อมูล
๓.๑) ประวัติความเปน็ มาของข้อมูล
ตานานที่เล่าสืบต่อกันมาของพระธาตุดอยตุงมีอยู่ว่า ที่บริเวณพระธาตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขา
หลายลูกสลับซับซ้อนกันอยู่ บริเวณนี้เป็นที่อยู่ของอารยชนกลุ่มหนึ่งท่ีเรียกว่า วิรังคะ บ้าง ลัวะ บ้าง พวกน้ีมี
หัวหน้าชื่อปู่เจ้าลาวจก มีเมียช่ือ ผ่าเจ้าลาวจก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ที่ยอดเขาลูก
หน่ึงทรงมะนาวตัดและทานายว่าในอนาคตจะมีพระอรหันต์นาพระธาตุของพระองค์มาประดิษฐาน ณ ท่ีนี้ ซึ่ง
ต่อไปภายหนา้ จะเป็นบ้านเปน็ เมือง มีกษัตรยิ ค์ า้ ชพู ทุ ธศาสนาตราบช่วั 5,000 พระวัสสา
ทิวเขาท่ีทอดยาวทางด้านทิศตะวันตกของอาเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายเป็นพรมแดนธรรมชาติท่ีก้ัน
ระหว่างประเทศไทยกับพม่า มีช่ือเรียกว่าทิวเขาแดนลาว หรือเทือกเขาดอยตุง บริเวณพื้นที่นี้มีกลุ่มดอย
สลับซบั ซอ้ น เป็นแหลง่ ชุมชนโบราณทีป่ รากฏเรือ่ งราวในตานานเลา่ ขานสบื ต่อกันมาหลายยคุ หลายสมยั
ทิวเขากลุ่มหน่ึงที่ทอดตัวเรียงเป็นรูปสามเส้า ดอยทางทิศใต้เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุซ่ึงเป็นท่ีเคารพ
นับถือและเช่ือกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นปฐมธาตุเจดีย์แห่งล้านนาที่สร้างข้ึนเม่ือปี พ.ศ.1454 โดยพระเจ้าอุชุ
ตราชแห่งนครโยนกนาคพันธุ์ น่ันคือ พระมหาชินธาตุเจ้าบนดอยตุง ด้วยความเช่ือท่ีว่าภายใต้พระมหาสถูปท้ัง
สององค์ของพระมหาชินธาตุเจ้าดอยตุงเป็นที่ประดิษฐานพระรากขวัญเบ้ืองซ้ายและพระบรมสารีริกธาตุส่วน
อน่ื ๆ ปรากฏเป็นความเชื่อสืบทอดบันทกึ ไว้ในเอกสารตานานทีก่ ล่าวอา้ งถึงการนาพระบรมสารีริกธาตุมาสู่ดอย
ตุงและการสถาปนาพระมหาสถูประบุศักราชในตานานไกลโพ้นถึงยุคพุทธกาล เน้นย้าความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
ผูกพนั ตานานกับความเช่อื เล่อื มใสทีย่ าวนานมา
ตานานเกี่ยวกับพระธาตุดอยตุงปรากฏอยู่ในตานานพ้ืนเมืองของล้านนาเป็นความเช่ือปรัมปราของ
จารีตการสืบทอดประวัติความเป็นมาแห่งดินแดนท่ีแสดงให้เห็นถึงการเส่ือมสลายและความรุ่งโรจน์ของ
อาณาจักรชุมชนในบริเวณอันกว้างใหญ่ของลุ่มแม่น้าโขง แม่น้ากกและแม่น้าสายท่ีเกี่ยวเน่ืองกับอิทธิพลของ
พทุ ธศาสนาที่แพร่ขยายเขา้ สู่ดินแดนบริเวณนี้
ตานานที่เล่าสืบต่อกันมาของพระธาตุดอยตุงมีอยู่ว่า ท่ีบริเวณพระธาตุดอยตุง ประกอบด้วยยอดเขา
หลายลูกสลับซับซ้อนกันอยู่ บริเวณนี้เป็นท่ีอยู่ของอารยชนกลุ่มหน่ึงท่ีเรียกว่า วิรังคะ บ้าง ลัวะ บ้าง พวกน้ีมี
หัวหน้าช่ือปู่เจ้าลาวจก มีเมียชื่อ ผ่าเจ้าลาวจก สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับอยู่ที่ยอดเขาลูก
หน่ึงทรงมะนาวตัดและทานายว่าในอนาคตจะมีพระอรหันต์นาพระธาตุของพระองค์มาประดิษฐาน ณ ที่น้ี ซ่ึง
ต่อไปภายหนา้ จะเป็นบา้ นเป็นเมอื ง มกี ษัตริย์คา้ ชพู ุทธศาสนาตราบช่วั 5,000 พระวัสสา
-10-
ต่อมาในปี พ.ศ. 2470 องคพ์ ระธาตุทรดุ โทรมมาก ครบู าเจา้ ศรีวชิ ยั กบั ประชาชนเมืองเชียงราย
จึงได้บูรณะข้ึนใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์องค์ระฆังขนาดเล็ก 2 องค์ บนฐาน 8 เหล่ียม ตามศิลปะแบบล้านนา
การบูรณะครั้งหลังสุดมีขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2516 โดยกระทรวงมหาดไทยได้สร้างพระธาตุองค์ใหม่ขึ้นครอบพระ
เจดีย์เดิมไว้
พระธาตุดอยตุง เป็นโบราณสถานที่สาคัญทางพระพุทธศาสนา สร้างมาแต่โบราณกาล หลักฐาน
แรกที่พระพุทธศาสนา เข้ามาประดิษฐานในล้านนา ตามประวัติได้กล่าวไว้พระมหากัสสะปะเถระได้อัญเชิญ
พระบรมสารีริกธาตุ ส่วนพระธาตุรากขวัญเบื้องซ้าย หรือกระดูกไหปลาร้าข้างซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า มามอบถวายแด่พระเจ้าอุชุตราช เจ้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์
สิงหนวัติ เป็นประธานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ ดอยดินแดง หรือดอยตุงในปัจจุบัน เมื่อแรกก่อสร้าง
พระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ได้ทาธงตะขาบ หรือภาษาพ้ืนเมืองเรียกว่า “ตุง” ใหญ่ยาวหลายพันวา
ปักไวบ้ นยอดดอยดินแดงคู่กับพระธาตุ ตงุ ขนาดมหึมาน้ี ได้ทอดรม่ เงาปกคลุมบา้ นเมือง ทต่ี ง้ั อยู่บนที่ราบเบ้ือง
ล่าง ใหม้ ีความรม่ เยน็ ยอดเขาอนั เป็นทตี่ ัง้ องค์พระธาตุ จงึ ไดร้ บั การเรยี กสบื ต่อกันมาวา่ “ดอยตุง”
๓.2) ข้ันตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเก่ียวกบั ขอ้ มลู
-
4. ชอ่ื ผทู้ ี่ถอื ปฏิบัตแิ ละผูส้ ืบทอด
4.๑ ผ้ทู ่ีถอื ปฏิบัติ
ช่ือ พระพทุ ธิวงศว์ วิ ัฒน์
วัน เดือน ปีเกิด -
ทอี่ ยู่ หมู่ ๒ ตาบลหว้ ยไคร้ อาเภอแมส่ าย จงั หวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
๔.๒ ผู้สบื ทอด
ชื่อ -
วนั เดอื น ปเี กดิ -
ทอ่ี ยู่ -
หมายเลขโทรศัพท์ -
5. สถำนะกำรคงอยู่ ปฏบิ ัติอยา่ งแพร่หลาย เสย่ี งต่อการสญู หาย ไม่มีปฏบิ ัติแล้ว
6. รูปภำพภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม
พระธาตุดอยตุง พระวหิ าร
-11-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรมจังหวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สำนักงำนวัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งรำย
อำเภอแมจ่ ัน จงั หวัดเชียงรำย
๑. ช่ือข้อมลู ประวัติคนยอง (บา้ นแมค่ าสบเปนิ )
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบตั ทิ างสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั ิเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานชา่ งฝมี ือดงั้ เดิม
การละเลน่ พน้ื บ้าน กีฬาพ้นื บ้าน และศลิ ปะการต่อสู่ป้องกันตัว
๓. รำยละเอียดขอ้ มูล
๓.๑) ประวตั คิ วามเป็นมาของขอ้ มลู
ชาวยอง หรือชาวเมืองยองคือชาวล้ือที่ต้ังบ้านเรือนอยู่บริเวณเมืองยอง และกระจายอยู่ในด้าน
ตะวันออกของรัฐฉาน ประเทศพม่า เขตสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนานของจีน ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงถูกพระเจ้ากาวิละแห่งนครเชียงใหม่กวาดต้อนเข้ามาต้ังบ้านเรือนใน
จังหวัดลาพูน เชียงใหม่ เชียงราย และน่าน ตามนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" เพ่ือฟื้นฟูบ้านเมือง
หลงั การปกครองของพมา่ ในล้านนาส้นิ สุดลง
จากตานาน ชาวเมืองยองซึ่งเป็นชาวล้ือได้อพยพมาจากเมืองเชียงรุ่งและเมืองอื่น ๆ ในสิบสองปันนา
และได้อพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐานครั้งใหญ่ในเมืองลาพูนและเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2348 ด้วยสาเหตุของสงคราม
เจ้าเมืองยองพร้อมด้วยบุตรภรรยา น้องทั้ง 4 ญาติพ่ีน้อง ขุนนาง พระสงฆ์และไพร่พลจากเมืองยอง จานวน
20,000 คนเข้ามาแผ้วถางเมืองลาพูนที่ร้างอยู่ ต้ังบ้านเรือนตามลุ่มน้าแม่ทา น้าแม่ปิง ผู้คนท่ัวไปในแถบนนั้ จึ
งเรียกคนท่ีมาจากเมืองยองวา่ ชาวไทยอง
ในสมยั นน้ั ผ้คู นต่างเมืองทมี่ าอยู่รว่ มกนั จะเรียกขานคนท่ีมาจากอีกเมืองหน่งึ ตามนามของคนเมืองเดิม
เช่น คนเมืองเชียงใหม่ คนเมอื งลาปาง คนเมอื งแพร่ คนเมืองนา่ น คนเมอื งเชียงตุง เป็นต้น แตข่ องคนเมืองยอง
นั้น ต่อมาคาว่าเมืองได้หายไป คงเหลืออยู่คาว่า คนยอง ดังนั้น ยอง จึงมิใช่เป็นเผ่าพันธ์ุ และเม่ือวิเคราะห์
จากพัฒนาการประวตั ิศาสตรข์ องเมอื งยองแล้ว ชาวไทยอง ก็คือ ชาวไทลือ้ น่ันเอง
ประวัติบ้านแม่คาสบเปิน หมู่ ๑ และบ้านแม่เปิน หมู่ ๑๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยูห่ วั รชั กาลท่ี ๕ ช่วงเวลานนั้ เมืองเชียงแสนยังไม่ไดร้ ับการฟ้ืนฟูให้เป็นบ้านเมืองข้ึนมา จงึ ทาให้มีกลุ่มชาวเงี้ยว
(ไทใหญ)่ ชาวไทเขิน และชาวไทลอ้ื อพยพเขา้ มาอาศัยอยใู่ นทรี่ าบเชียงแสน ดังนน้ั เจ้าเมอื งเชยี งใหม่ได้ทราบถึง
เรื่องน้ีจึงให้เจ้าราชวงศ์เมืองเชียงใหม่แจ้งแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพ่ือให้ทรงทราบถึง
การเข้ามาบุกรุกของชาวเชียงตุง พระองค์จึงแจ้งให้เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้นคือพระเจ้าอินทวิชยานนท์
เกณฑ์กาลงั พลจากเมืองเชียงใหม่ ลาปาง และลาพนู ขึน้ มาขับไลช่ าวเชยี งตุงออกจากพ้ืนท่ีเมืองเชียงแสน ตอ่ มา
เมือ่ ได้ขับไล่ชาวเชียงตุงออกไปแลว้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั จงึ โปรดเกล้าให้ทาการฟื้นฟูเมือง
เชียงแสนข้ึนมาใหม่โดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าอินต๊ะซึ่งเป็นบุตรของเจ้าบุตรเจ้าบุญมาเจ้าผู้ครองนครลาพูนเป็น
ผู้เกณฑ์ราษฎรชาวเชียงใหม่ ลาพูนและชาวลาปางข้ึนมาฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสน เม่ือปี ๒๔๒๓ จากบันทึกของ
ชาวต่างชาตทิ ีเ่ ขา้ มาเมอื งเชยี งใหมแ่ ละเมอื งเชียงแสนในยุคน้ันได้กล่าวถงึ การฟื้นฟูเมืองเชยี งแสนเอาไว้ดังน้ี
-12-
“เจ้าพญาเชียงแสนน้ันเดิมเป็นคนเมืองลาพูน ต่อมาขึ้นมารับตาแหน่งครองเมืองเชียงแสน เมื่อฟ้ืน
เมืองใน พ.ศ. ๒๔๒๗ เจ้าพญามีชาวเมืองอยู่ในความดูแล ๓๐,๐๐๐ คน และในจานวนน้ันเป็นชายฉกรรจ์
๒,๕๐๐ คน ชายฉกรรจ์หมายถึงไพร่ชายที่มิใชท่ าส มีอายุตั้งแต่ ๑๘ ปี ถึง ๗๐ ปี และเป็นนักรบ เทียบสัดส่วน
ว่ามีผู้ใหญ่ ๑ คนต่อประชากรทาส ๕ คน ดังเจ้าพญาจึงมีผู้ใหญ่ ๖,๐๐๐ คน และมีจานวนประชากรทาส
๑๗,๕๐๐ คน
ชาวฉานเมืองพิงค์จัดเชลยหรือผู้อพยพชาวพม่า-เชียงเเสน ให้เป็นทาสเชลย และมีชนช้ันปกครอง
จานวนนอ้ ย เจา้ พญาใช้เกลือ ๑ เมด็ ตอ่ จานวนชาวเมอื ง ๑ คน
เมืองเชียงแสนน้ันรกร้างมา ๗๗ ปีแล้ว พระเจ้ากรุงสยามทรงมีพระราชโองการให้นาเชลยชาวเชียงแสน
กลับคนื เพอ่ื ฟนื้ เมืองขึน้ มาใหม่ ในพระราชโองการกาหนดว่าใหน้ าเชลยชาวเชียงแสนท่เี ป็นผใู้ หญแ่ ล้ว จากเมือง
ลาพูน ๕๐๐ คน จากเมืองละคอร ๑,๐๐๐ คน จากเมืองเชียงใหม่ ๓๗๐ คนและจากเมืองน่าน ๑,๐๐๐ คน
แต่เมืองน่านอ้างว่าเพิ่งฟื้นเมืองท่ีอยู่เหนือแม่ของ ประชากรขาดแคลน จึงส่งเชลยร่วมกับเมืองละคอร ลาพูน
และเชียงใหม่ในครั้งน้ีไม่ได้ หากว่ายังสร้างเมืองเชียงแสนไม่ได้ เมืองน่านจะร่วมมือภายหลังดูเหมือนว่าเจ้า
หลวงเมืองละคอรก็ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมให้เหตุผลว่าเพ่ิงฟื้นเมืองละคอร เมืองพะเยา และเมืองงาวไป
ดังนัน้ ขอให้เมืองอืน่ รับหน้าที่อันทรงเกียรติฟื้นเมืองเชียงแสนแทน พระเจา้ กรุงสยามทรงรบั ฟังเหตุผลของเมือง
น่าน แตม่ ีพระราชโองการย้าให้เมอื งละคอรสง่ เชลย ๑,๐๐๐ คนเมอื งเชียงใหม่ ๑,๐๐๐ คน เมอื งแพร่ ๓๐๐ คน
และไพร่ไททง้ั หมดในสงั กัดของเจา้ นายเมืองลาพูนทไี่ ด้รับตาแหนง่ ไปครองเมืองเชยี งแสน
อย่างไรก็ตามเมอื งละคอรก็ไม่ส่งคนไปตามพระราชโองการจนเกือบต้องข้อหาขบถ ในท่สี ดุ กย็ อมส่งคน
ไปประมาณ ๕๐๐ ถึง ๖๐๐ คนพร้อมด้วยครอบครัวไปยงั เมืองเชียงแสน เม่ือไปเมืองเชียงแสนนั้นประชากรยัง
มีอยู่อย่างเบาบาง ทั่วท้ังเมืองมีประชากรประมาณ ๖๐๗ หลังคาเรือน และในตัวเมืองน้ันมีเพียง ๑๓๙ หลังคา
เรือน เจ้าพญาเมืองเชียงแสนบอกว่า มีเชลยชาวเชียงแสนจากเมืองละคอร เมืองเชียงใหม่ และเมืองลาพูน
เดินทางมายังเชียงแสนจานวนมาก ตามพระราชโองการ และขากลับเมืองเชียงรายก็ได้พบกับผู้อพยพเหล่านี้
ด้วย มชี าวเชยี งแสนอพยพล้ภี ัยไปอาศยั อย่ทู ีเ่ มอื งนายประมาณ ๖๔๑ หลงั คาเรอื น
เจ้าพญาเมืองเชียงแสนยังโกรธเคืองเจ้าหลวงเมืองลาพูนอดีตเจ้าชีวิตของตนยังไม่หาย เพราะได้กักไพร่พล
ท่ตี อ้ งตามเจา้ พญามายังเมืองเชียงแสนไป ๒,๕๐๐ คน เปน็ ธรรมเนยี มของชาวฉานเมืองพงิ ค์ว่าไพรเ่ ปล่ียนสังกัด
มูลนายได้ตามใจปรารถนา หากเจ้านายน้ันโหดร้ายไม่เป็นธรรม แต่แรกเม่ือ เจ้าพญาได้รับตาแหนง่ เจ้าเมือง
เชียงแสนนั้นได้มีการโอนไพร่มาสังกัด ๒,๕๐๐ คนซ่ึงท้ังหมดต้องย้ายครัวพร้อมข้าทาสไปเมืองเชียงแสนตาม
เจ้าพญา เมอื งลาพนู นัน้ นา้ ท่าไม่อุดมสมบูรณ์เท่าเมืองเชียงแสน ชาวเมืองกส็ มคั รใจจะย้ายขึน้ ไป เมอื งเชยี งแสน
เป็นเมืองอิสระไม่ขึ้นกับลาพูน ดังนั้นเจ้าหลวงเมืองลาพูนจึงเกรงว่าจะสูญเสียประชากรไปซึ่งหมายถึงสูญเสีย
อานาจการปกครองไปด้วย “ตอนบ่ายเราเดินสวนกับผู้อพยพนับร้อยคนจากเมืองลาพูนที่นั่งพักผ่อนกันอยู่
ข้างตวั มีกองสมั ภาระสว่ นตัวและววั กย็ ืนอยูข่ า้ งๆ สมั ภาระส่วนใหญ่น้ันพวกผ้ชู ายเปน็ คนหามมา”
จากข้อความดังกล่าวทาให้ทราบถึงกลุ่มคนที่เข้ามาฟื้นฟูเมืองเชียงแสน (ที่ราบเชียงแสน) ชาวไทยวน
(คนเมือง) จะเป็นกลุ่มลูกหลานเชลยเมืองเชียงแสนดั่งเดิมที่ถูกกวาดต้อนไป และกลุ่มชาวไทลื้อเมืองยอง (ไทยอง)
ซึ่งเป็นลูกหลานเชลยชาวเมืองยองที่ถูกกวาดต้อนจากเมืองยองในสมั ยพระเจ้ากาวิละแห่งเมืองเชียงใหม่ที่นา
ชาวยองไว้ยังเมืองลาพูน ชาวลาพูนที่มาฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสนในยุคน้ันก็คือบรรพบุรุษของชาวแม่คาสบเปิน
และชาวแม่เปนิ ในปจั จุบัน
บา้ นแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินก่อต้ังข้ึนเม่ือปี พ.ศ.๒๔๒๓ ในยคุ ฟ้ืนฟูเมืองเชียงแสน บา้ นแม่คาสบเปิน
ต้งั ช่อื หมู่บ้านตามชื่อแม่นา้ คาที่ไหลผา่ นหมู่บ้านทางทิศใต้และทิศตะวันตกของหมู่บา้ น สว่ นคาวา่ สบเปินมาจาก
ท่ีตั้งของหมู่บ้านจะอยู่บริเวณที่แม่น้าเปินมาบรรจบกับแม่น้าคา จึงได้เรียกช่ือหมู่บ้านว่า แม่คาสบเปิน คาว่า
สบนั้นแปลว่า ปาก หรือปากแม่น้า เหมือนชาวลาวเรียกปากแม่น้าว่า ปาก เช่น ปากแบง (บริเวณท่ีแม่น้าแบง
มาบรรจบกบั แมน่ ้าโขง) เป็นตน้
-13-
บา้ นแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินต้ังอยู่ในตาบลแม่คา หรอื แขว่นแม่คาในแขวงเชียงแสนหลวง ในขณะน้ัน
แขวงเชียงแสนหลวง(เมอื งเชียงแสน) มีทง้ั หมด ๗ ตาบล เม่ือปี พ.ศ.๒๔๔๐ ตอ่ มาเม่อื ปี ๒๔๕๒ แขวงเชยี งแสน
หลวงได้เปลี่ยนช่ือมาเป็นอาเภอแม่จัน ส่วนก่ิงอาเภอเชียงแสนได้เปลี่ยนเป็นช่ืออาเภอเชียงแสน ในอดีตพื้นท่ี
ของตาบลแม่คามีอาณาเขตที่กว้างขวางมากโดยพื้นที่อาเภอแม่ฟ้าหลวงในปัจจุบันก็เป็นอาณาเขตของตาบล
แม่คา ตาบลแม่ไร่ และตาบลห้วยไคร้บางส่วนก็เคยเป็นพื้นท่ีของตาบลแม่คา ในอดีตบ้านแม่คาสบเปินได้ทา
การแยกหมู่บ้านออกเป็นสองหมู่บ้านเพ่ือสะดวกในการปกครองและการของบประมาณเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๘
โดยแบ่งหมู่บ้านคือ บ้านแม่คาสบเปิน หมู่ท่ี ๑ และบ้านแม่เปินหมู่ท่ี ๑๔ บ้านแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินมี
วัดอยู่ ๑ แห่ง โรงเรยี น ๑ แหง่ ฌาปนสถาน ๑ แห่ง โรงสขี า้ วชมุ ชน ๒ แหง่ ศนู ย์พัฒนาเด็กเลก็ ๑ แห่ง ประปา
หม่บู ้าน ๒ แห่ง หมวดการปกครอง ๕ หวั หมวด หอผีเสื้อบา้ น ๓ แห่ง
โดยหมู่บ้านแม่คาสบเปินและบ้านแม่เปินเป็นหมู่บ้านชาวไทยอง (ไทลื้อเมืองยอง) ที่เข้มแข็งในการ
ดารงอัตลักษณ์ทางภาษาพูด วิถีชีวิตชาวไทยอง ศิลปะหัตถศิลป์ และเป็นหมู่บ้านท่ีมีช่างศิลป์ในหลากหลาย
สาขา เปน็ ชุมชนท่ที าการเกษตรกรรมไดเ้ ปน็ อันดบั ต้น ๆ ของจงั หวดั เชียงราย
ทาเนยี บผูป้ กครองหมบู่ า้ น(ผใู้ หญ่บ้าน)
หมู่ที่ ๑
1. พ่อกานันสม คาเงิน ดารงตาแหน่งตง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๔๐ – ๒๔๔๒
2. พอ่ หลวงสขุ คาเงิน ดารงตาแหน่งตั้งแตป่ ี พ.ศ. ๒๔๔๒ – ๒๔๗๐
3. พ่อหลวงขัน คาเงิน ดารงตาแหน่งตงั้ แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๗๐ – ๒๔๙๐
4. พ่อหลวงตุ้ย คาเงนิ ดารงตาแหน่งตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ – ๒๕๐๘
5. พอ่ หลวงปวง จินดาหลวง ดารงตาแหนง่ ตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๗๘ – ๒๕๐๘
6. พอ่ หลวงอิ่นคา คาเงิน ดารงตาแหน่งตัง้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ – ๒๕๑๓
7. พอ่ หลวงปน๋ั คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ – ๒๕๒๕
8. พอ่ หลวงพรหมมินทร์ วงค์กา ดารงตาแหน่งต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ – ๒๕๒๘
9. พ่อหลวงชัยพร รตั นคณุ กรณ์ ดารงตาแหนง่ ต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๒๘ – ๒๕๓๑
๑๐.พอ่ หลวงพรหมมินทร์ วงค์กา ดารงตาแหน่งตง้ั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ – ๒๕๔๕
๑๑.พอ่ หลวงชัยวนั คาเงนิ ดารงตาแหนง่ ต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๔๗ – ๒๕๕๒
๑๒.พ่อหลวงไพศาล เข่ือนแก้ว ดารงตาแหนง่ ต้ังแตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๒ – ปัจจบุ ัน
หมทู่ ่ี ๑๔
พ่อหลวงถนอมศักด์ิ นาใจ ดารงตาแหนง่ ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ – ปัจจุบัน
๓.๒) ข้ันตอน/วธิ ีการ/ดาเนินการเก่ียวกับขอ้ มลู
ลงพนื้ ที่สอบถามผู้มีความรู้ ปราชญ์ชาวบ้าน การศึกษาข้อมลู ประวัตหิ มู่บ้าน ปัจจบุ ันชาวแม่คาสบเปิน
ยังคงสืบทอดวิถีวัฒนธรรมของคนยองมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาพูด เมื่อเราไปถึงบ้านแม่คาสบเปิน
ผู้คนยงั พูดคยุ เป็นภาษายอง อาหารการกนิ การแตง่ กาย ประเพณแี ละพธิ กี รรม
-14-
๔. ช่อื ผู้ที่ถือปฏิบตั แิ ละผ้สู บื ทอด
๔.๑ ผู้ที่ถือปฏิบัติ
ชื่อ นายปรีชา รอดสวุ รรณ์ (ประธานสภาวัฒนธรรมตาบลแมค่ า)
วนั เดอื น ปีเกิด -
ที่อยู่ 317 หมู่ 1 ตาบลแมค่ า อาเภอแมจ่ ัน จงั หวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 062 263 0183
๔.๒ ผู้สืบทอด
ชอื่ นายกฤตดนยั สมบัติใหม่
วัน เดอื น ปีเกิด 7 เมษายน 2527
ทีอ่ ยู่ 385 หมู่ 14 ตาบลแม่คา อาเภอแมจ่ นั จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 089 192 1072
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสี่ยงตอ่ การสญู หาย ไม่มีปฏิบัติแลว้
๖. รูปภำพภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม
ลกั ษณะบา้ นเรือนของคนยอง
ลกั ษณะการแตง่ กายของคนยอง และการแสดงดนตรพี น้ื เมืองวงแม่คา
-15-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖5
สำนักงำนวฒั นธรรมจังหวดั เชียงรำย
อำเภอเวียงแกน่ จงั หวดั เชยี งรำย
๑. ชื่อข้อมูล ภาษาขมุ
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรแู้ ละการปฏบิ ัติเก่ียวกบั ธรรมชาติและจักรวาล
งานช่างฝมี อื ดงั้ เดมิ
การละเล่นพนื้ บ้าน กีฬาพ้ืนบา้ น และศลิ ปะการต่อสู่ป้องกันตัว
๓. รำยละเอยี ดขอ้ มูล
๓.๑) ประวตั คิ วามเปน็ มาของขอ้ มูล
ขมุ เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุท่ีมีถิ่นฐานบริเวณตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มายาวนาน ได้แก่
บรเิ วณทางใต้ของประเทศจีน ทางภาคเหนอื ของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม และสาธารณรฐั ประชาธิปไตย
ประชาชนลาว ที่มีชาวขมุอยู่เป็นจานวนมากที่สุด จากหลักฐานเอกสารเก่าแก่ทาให้เช่ือกันว่า ชาวขมุ เป็นกลุ่มชน
ดงั้ เดมิ ท่ีสาคัญกล่มุ หนึง่ ของดนิ แดนสุวรรณภูมิ มชี ื่อขมุปรากฏอยู่
คาว่า ขมุ แปลว่า คน เป็นคาท่ีชาวขมุใช้เรียกตนเอง จึงเป็นท้ังช่ือเผ่าและช่ือภาษา คาเรียกชาวขมุ
ในลาว มี 2 คา คือคาวา่ “ขา่ ” และ “ลาวเทงิ ” หรอื “ลาวบนทสี่ ูง” เพอ่ื ให้แตกต่างจากกล่มุ คนที่พูดภาษาลาว
และตระกูลไทยอื่น ๆ สาหรับชาวขมุในประเทศไทย เป็นท่ีรู้จักท้ังช่ือ “ข่า” และ “ขมุ” มาเป็นเวลานาน
ชาวขมุชอบสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณชายเขาหรือบนเขาสูง จึงมักถูกมองว่าเป็นชาวเขากลุ่มเล็กในภาคเหนือ
จังหวัดเชียงรายและจังหวัดน่านบริเวณรอยต่อกับประเทศลาว นอกจากนั้นยังพบกระจัดกระจายอยู่ในจังหวัด
สุพรรณบรุ ี กาญจนบรุ ี และอทุ ัยธานี
ชาวขมุแต่ละกลุ่มมีวัฒนธรรมและภาษาท่ีต่างกันไปเล็กน้อย และมีคาว่า ตม้อย ที่ใช้เรียก
ชาวขมุด้วยกันเองแตต่ ่างกลุ่มกัน ตอ่ ท้ายดว้ ยลักษณะเฉพาะหรือถิน่ ท่ีอยู่ของแตล่ ะกลุม่ เช่น ตมอ้ ยปหู ลวง (ชื่อ
หมู่บ้านเดิม) ตม้อยเพอะ (ลักษณะเฉพาะของภาษา คาว่า “กิน”) ตม้อยอัล (คาว่า “ไม่” ลักษณะเฉพาะของ
ภาษา) ตม้อยลื้อ (อยู่ในกลุ่มพวกลื้อ) เป็นต้น คาว่า “คมุ้” หมายถึงกลุ่มของตน ใช้ในการแยกชาวขมุออกจาก
เชื้อชาติอ่ืน ๆ และคาว่า “แจะ” หมายถึงกลุ่มคนเชื้อสายไทย ทั้งไทยกลาง ไทยภาคเหนือ ลาว ล้ือ และไทดา
และใช้คาว่า “แมว” เรยี กกลมุ่ แม้ว เปน็ ต้น
ภาษาขมุ อยู่ในสาขาย่อยของขมุอิค (Khmuic) สาขามอญ-เขมร (Mon-Khmer) ในตระกูลภาษา
ออสโตรเอเชียติค (Austroasiatic Language Family) ซึ่งมีภาษามัล-ปรัย และมลาบรี เป็นภาษาร่วมสาขา
ย่อยเดียวกัน ภาษาขมุแตล่ ะถิ่นแตล่ ะพืน้ ที่มีความแตกต่างเล็กน้อยด้านระบบเสยี ง ระดับคา และระดบั ประโยค
ขึ้นอยู่กับอิทธิพลภาษาอ่ืน ๆ ในสังคมที่มีการติดต่อส่ือสารกันดว้ ย ลักษณะภาษาขมุน้ี เป็นของสาเนียงหมู่บ้าน
หว้ ยเอียน อาเภอเวียงแก่น จังหวัดเชยี งราย ท่ไี ดม้ ีการศกึ ษาและฟนื้ ฟูภาษาด้วยอักษรไทยแลว้
-16-
พยัญชนะของภาษาขมุมีท้ังหมด 22 เสียง ได้แก่ ก, ค, ง, จ, ช, ซ, ญ, ด, ต, ท, น, บ, ป, พ, ฟ, ม, ย,
ร, ล, ว, อ, และ ฮ. ซงึ่ เป็นพยัญชนะต้นไดท้ งั้ หมด (เสยี ง ฟ อาจพบไดใ้ นประเภทคายืมเทา่ น้ัน)
พยัญชนะควบกลา้ 7 เสียง ไดแ้ ก่ ปล-, ปร-, พร-, กล-, กร-, กว- และ คร-
พยญั ชนะสะกด 15 เสียง ได้แก่ -ก, -ง, -จ, -ยฮ, -ญ, -ด, -น, -บ, -ม, -ย, -ร, -ล, -ว, และ -ฮ.
มีเสียงสระท้ังส้ิน 20 เสียง แบ่งเป็นสระเสียงสั้น -ะ, -า, - ิ, - ี, - ึ, - ื, -ุ , - ู , เ-ะ, เ-, แ-ะ, แ-, โ-ะ, โ-,
เ-าะ, -อ, เ-อะ, เ-อ, แ- ิ, และ เ-า.
มีสระประสม เ- ยี ะ, เ- ยี , เ- ือะ, เ- อื , -ัวะ และ ั-ว.
มีเสียงวรรณยุกต์ 1 เสยี ง ไดแ้ ก่ -้ ระดบั เสียงสูง-ตก
๓.2) ขัน้ ตอน/วิธีการ/ดาเนินการเกี่ยวกับข้อมลู
ลงพื้นทีส่ อบถามผมู้ ีความรู้ ปราชญ์ชาวบ้าน
4. ช่อื ผูท้ ี่ถือปฏิบัตแิ ละผ้สู บื ทอด
4.๑ ผู้ท่ีถอื ปฏบิ ตั ิ
ช่ือ นายบณั ฑิต บุญเสริม
วนั เดือน ปีเกิด -
ที่อยู่ บา้ นหว้ ยเอยี น ตาบลหล่ายงาว อาเภอเวยี งแก่น จังหวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
4.๒ ผู้สืบทอด
ชอ่ื นายคตนานต์ เรอื นเทอม
วัน เดือน ปีเกิด -
ทีอ่ ยู่ บา้ นห้วยเอียน ตาบลหลา่ ยงาว อาเภอเวยี งแก่น จังหวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั ิอย่างแพร่หลาย เสยี่ งต่อการสญู หาย ไมม่ ีปฏิบตั แิ ล้ว
6. รปู ภำพภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม (พร้อมบรรยำยใตภ้ ำพ)
-17-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรมจังหวัดเชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย
อำเภอแมล่ ำว จงั หวัดเชยี งรำย
๑. ชื่อข้อมลู ภาษาบซี ู
๒. ลักษณะ วรรณกรรมพ้ืนบา้ นและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบัติทางสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรแู้ ละการปฏิบัติเก่ียวกบั ธรรมชาติและจักรวาล
งานชา่ งฝมี อื ดงั้ เดมิ
การละเลน่ พ้ืนบา้ น กีฬาพ้ืนบา้ น และศลิ ปะการต่อส่ปู ้องกนั ตวั
๓. รำยละเอียดขอ้ มลู
๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของขอ้ มูล
ชนเผ่าพื้นเมืองบีซู เป็นกลุ่มชาติพันธ์ุดั้งเดิมท่ีอยู่ในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงราย โดยมีการเปิดเผยตัวตนให้
เป็นที่รู้จักของคนท่ัวไปเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๘ ที่ชนพื้นเมืองบีซูได้เข้าร่วมกับเครือข่ายชนพ้ืนเมืองแห่งประเทศไทย
ท่ีจัดงานเดินรณรงค์ในจังหวดั เชียงใหม่ เพื่อให้สังคมรับรู้วา่ มีกลุม่ ชาติพันธ์บุ ีซู เป็นชนเผ่าพื้นเมืองอยใู่ นจังหวัด
เชยี งรายของประเทศไทย
ชนเผ่าพ้ืนเมืองบีซู คาดว่าเป็นกลุ่มชนดั้งเดิมในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงราย การเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ต้ังแต่
สมัยใดไม่สามารถระบุได้แต่เดิมนั้นมักถูกเรียกรวมกับกลุ่มชาติพันธุ์ลัวะหรือละว้า จากการศึกษาของ
นกั วชิ าการในอดีตพบวา่ ชาชาติพันธ์บุ ีซู มกี ารตง้ั ถิ่นฐานอยู่ในจงั หวัดเชยี งรายเกือบทงั้ หมด และมกี ารอา้ งอิงถึง
การตง้ั ถน่ิ ฐานไดช้ ดั เจนนัก โดยในจังหวัดเชยี งรายนนั้ มกี ลุม่ ชาติพนั ธุ์ที่พูดภาษาบีซูตงั้ ถ่นิ ฐานอยู่ ๕ หม่บู ้า
ลักษณะเด่นท่ีเป็นอัตลักษณ์ของข้อมูล บีซูเป็นกลุ่มชาติพันธ์ุที่มีวัฒนธรรมด้านภาษาพูดที่
นักภาษาศาสตร์จัดอยู่ในกลุ่มภาษาโลโลใต้ สาขาย่อยของตระกูลภาษาทิเบโต-เบอร์มัน (Tibeto – Burman)
ซง่ึ ไดค้ น้ พบกลมุ่ ชนบีซูพดู ภาษาของตนเองในพน้ื ท่ีจังหวัดเชียงรายมาตงั้ แตป่ ี พ.ศ.๒๕๐๙ ชนเผา่ พนื้ เมืองบีซูจัง
เป็นท่ีรู้จักในกลุ่มนักวชิ าการดา้ นภาษา มายาวนาน ซ่ึงต่อมากระทรวงวัฒนธรรมได้ประกาศข้ึนทะเบียนภาษา
บีซเู ป็นมรดกภูมปิ ญั ญาทางวฒั นธรรมของชาติ ประจาปพี .ศ. ๒๕๕๗
๓.๒) ข้นั ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเก่ยี วกบั ข้อมูล
ภาษาบีซูบ้านดอยชมภูตาบลโป่งแพร่อาเภอแม่ลาวจังหวัดเชียงรายมีพยัญชนะต้น ๒๙ หน่วย
เสียงมี ๔ หน่วยเสียงที่คนรุ่นใหม่ไม่ออกเสียง ได้แก่ ฮน ฮม ฮุย และฮล สระมี ๑๐ หน่วยเสียง ความสั้นยาว
ของเสยี งสระไม่มนี ัยสาคัญทางความหมาย ซึ่งเปน็ เอกลกั ษณ์ของภาษาตระกูลทิเบต-พม่า กลา่ วคือจะออกเสียง
สระเสียงสน้ั หรือยาวก็ได้ ไม่ได้ทาให้ความหมายเปล่ียนไป เชน่ ยะ - ยา “ไร่” ซึ่งตา่ งจากภาษาไทยท่ีการออกเสียง
สระสั้นหรือยาวทาให้ความหมายเปล่ียนแปลงวรรณยุกต์มี ๓ หน่วยเสียง ได้แก่ เสียงระดับกลาง ระดับต่าตก
และระดับสูงข้ึน การเรียงคาในประโยคมีลักษณะแบบ ประธาน – กรรม - กริยา (SOV) เช่น กงาฮ่างจ่า ฉัน-
ข้าว-กิน = ฉันกินขา้ ว เป็นตน้
-18-
- หน่วยเสยี งท่ีเปน็ ไดท้ ้งั พยัญชนะตน้ และพยญั ชนะทา้ ยมี 8 หนว่ ยเสยี ง
ได้แก่ /m/, /n/, /ŋ/, /p/, /t/, /k/, /w/ และ /j/
- หน่วยเสียงพยัญชนะควบมี 12 หนว่ ยเสียง
ได้แก่ /ml/, /mj/, /bl/, /bj/, /kl/, /kw/, /kj/, /kʰl/, /kʰj/, /pl/, /pʰl/ และ /pʰj/ เกดิ ใน
ตาแหนง่ ตน้ พยางค์เท่าน้ัน
- พยญั ชนะ /m̥/, /n̥/, /ŋ̥ /, /l̥/, /j/̥ ออกเสยี งคล้ายมลี มนาหนา้ แต่ปัจจบุ ันเสียงลมนาหนา้ ลดลง
หรือไม่มีแลว้
- หน่วยเสียง /f/ พบเฉพาะในคายมื
- ระบบเสยี งภาษาบีซูถ่นิ ดอยชมภมู ีเฉพาะสระเดี่ยว โดยสระประสม /ia/ ปรากฏเฉพาะในคายมื เชน่
/ʔetɕ͡ ʰia/ 'เอเชีย'
- ความสัน้ ยาวของเสยี งสระไม่ทาใหค้ วามหมายของคาเปลี่ยนแปลง แต่สระท่ีมพี ยัญชนะทา้ ยเปน็ /m/,
/n/, /ŋ/, /w/, /j/ มักมีเสียงยาวกวา่ สระท่ีมีพยญั ชนะท้ายเปน็ /p/, /t/, /k/ อยา่ งไรก็ตาม ระบบ
เขียนอักษรไทยใช้รปู สระเสยี งยาวในทุกบริบท
- สระในพยางค์เปิดจะเป็นเสยี งยาวตามดว้ ยเสยี งกกั ทเี่ สน้ เสียง เช่น /jḁ / [jḁ ːʔ] 'ไก'่ ;
วรรณยุกต์
ภาษาบีซถู ิน่ ดอยชมภมู ีหนว่ ยเสยี งวรรณยกุ ต์ 3 หน่วยเสยี ง[7] ได้แก่
หนว่ ยเสียงวรรณยกุ ตก์ ลาง (mid tone) เชน่ /jḁ / 'ไก'่
หน่วยเสียงวรรณยกุ ต์ต่า (low tone) เชน่ /jḁ̀ / 'คนั '
หน่วยเสียงวรรณยุกต์สงู (high tone) เช่น /jḁ́ / 'ไร่'
การสบื สาน สร้างสรรค์ และพัฒนาต่อยอดข้อมลู เนอ่ื งจากภาษาพดู ที่เป็นเอกลักษณ์ของบีซู พดู กันได้
น้อยลง เด็กส่วนมากเรียนหนังสือในระบบโรงเรียนอยา่ งน้อย ๖ ปี และได้รับอิทธิพลจากวทิ ยแุ ละโทรทัศน์ บีซู
รุ่นนี้จะม่ันใจในการใช้ภาษาไทยมาตรฐานมากขึ้นและกลมกลืนกับคนพ้ืนเมือง รวมทั้งอายไม่กล้าใช้หรือพูดภาษา
บซี กู บั คนภายนอกมากนัก แต่บีซรู ่นุ ปจั จบุ ัน ใหค้ วามสาคญั กับการสอนใหล้ ูกหลานพูดภาษาบีซู ในหมู่บา้ นดอย
ชมพูได้ใช้ตัวอักษรไทยในการใช้ภาษาเขียน โดยได้รับการสนับสนุนการฟื้นฟูภาษาบีชูจากหน่วยงานหลายแหง่
เชน่ ศนู ย์ศึกษาและฟนื้ ฟูภาษาและวฒั นธรรมในภาวะวิกฤตสถาบันวิจยั ภาษาและวฒั นธรรมเอเชีย มหาวทิ ยาลัยมหิดล
และสานักงานกองทุนสนับสนุน การวิจัย (สกว.) ได้เข้ามาช่วยให้ทุนสนับสนุนผู้นาชุมชนบีซู ในการฟื้นฟูภาษาบีซู
ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้เปิดศูนย์บ่มเพาะภาษาบีซูหรือศูนย์เด็กเล็กท่ีครูผู้สอนและพี่เลี้ยงต่างก็ใช้ภาษาในการ
เรียนการสอน โดยไม่มีภาษาคาเมืองหรือภาษาไทยกลางเข้ามาปน นอกจากนั้นยังมีกลุ่มเยาวชนกลุ่มเล็ก ๆ
ท่ีคอยเผยแพรแ่ ละสอนภาษาบีซูใหก้ ับเด็กบีซู ซง่ึ กไ็ ด้รับการสนับสนนุ จากผ้ใู หญ่ในชุมชนเป็นอยา่ งดี
ภาษาบีซูนั้นเป็นเอกลักษณ์ของชาวบีซู เพราะว่าภาษาบีซูเป็นปัจจัยสาคัญท่ีจะทาให้คนภายนอกว่า
พวกเขาคือชนเผ่าพื้นเมืองบีซู นอกจากนั้นชาวบีซูยังมองว่าภาษาบีซูเป็นภาษาท่ีปู่ย่าตายายพ่อแม่เคยพูดกันมา
และสั่งสอนให้พูดกันถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีควรจะอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างย่ิง ซ่ึงต่อมากระทรวงวัฒนธรรม
ไดป้ ระกาศขึน้ ทะเบียนภาษาบซี เู ปน็ มรดกภมู ปิ ัญญาทางวฒั นธรรมของชาติประจาปพี .ศ. ๒๕๕๗
ภาษาบซี เู ป็นภาษาพูด ไมม่ รี ะบบการเขียนและตัวอักษร เมือ่ สภาพสังคมเปลย่ี นและคนบซี เู ร่ิมแต่งงาน
กับคนภายนอกกลุ่มมากขึ้น ทาให้คนรุ่นใหม่ในหมู่บ้านพูดภาษาบีซูได้น้อยลง นิยมพูดภาษาไทยภาคเหนือ
(คาเมือง) และภาษาไทยภาคกลางมากขึ้น จนคนบีซูรุ่นผู้ใหญ่เริ่มกังวล และต้องการให้ภาครัฐและนักวิชาการ
ช่วยเหลือในการอนุรักษ์ภาษาบีซู สถาบันภาษาศาสตร์ SIL จึงได้ทาโครงการวิจัย “การฟื้นฟูภาษาและภูมิปัญญา
เพ่ือพัฒนาการศึกษาและกลุ่มชาติพันธุ์” และได้พัฒนาระบบการเขียนภาษาบีซูโดยใช้อักษรไทยขึ้นในปี
พ.ศ.๒๕๓๙ เพอื่ ใชบ้ ันทึกนิทาน ทาพจนานุกรมภาพภาษาบีซู-ไทย-อังกฤษ เพอื่ เป็นแบบเรียนใช้สอนในศูนย์เด็กเล็ก
ของชุมชน
-19-
๔. ชือ่ ผ้ทู ถ่ี ือปฏบิ ตั ิและผ้สู บื ทอด
๔.๑ ผูท้ ถ่ี อื ปฏิบัติ
ชอ่ื นายอนุ่ เรือน วงค์ภักดี
วนั เดอื น ปเี กิด -
ทอี่ ยู่ หมู่ ๗ ตาบลโปง่ แพร่ อาเภอแม่ลาว จังหวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๒๖๒ ๑๕๙๑
๔.๒ ผู้สบื ทอด
ช่ือ นางสาวยพุ ารตั น์ ตคิ า
วนั เดอื น ปเี กดิ 2513
ทอี่ ยู่ ๑ หมู่ ๗ ตาบลโปง่ แพร่ อาเภอแมล่ าว จงั หวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 086 086 7382
5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพร่หลาย เสีย่ งต่อการสูญหาย ไม่มปี ฏบิ ัตแิ ล้ว
6. รปู ภำพภูมปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
หนงั สือค่มู ือระบบเขียน ภาษาบซี ู การสอนภาษาบีซู
ศูนย์ถา่ ยทอดวัฒนธรรมชนเผา่ บีซู
บา้ นดอยชมภู ตาบลโป่งแพร่ อาเภอแมล่ าว จังหวดั เชียงราย
-20-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรมจงั หวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำย
สภำวัฒนธรรมอำเภอเทงิ จังหวดั เชยี งรำย
๑. ชื่อข้อมูล วรรณกรรมล้านนา
๒. ลักษณะ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏบิ ัติทางสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั เิ กย่ี วกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานช่างฝีมอื ด้งั เดมิ
การละเลน่ พ้นื บ้าน กีฬาพ้ืนบ้าน และศลิ ปะการตอ่ ส่ปู ้องกนั ตัว
๓. รำยละเอยี ดขอ้ มลู
๓.๑) ประวตั ิความเปน็ มาของขอ้ มลู
บ้านไคร้หมู่ 22 เป็นหมู่บ้าน หนึ่งของตาบลตับเต่า ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่แยกมาจากหมู่ท่ี 3 ตาบลตับเต่า
ซ่ึงมีประประชาชน ได้อพยพมาจากจังหวัดน่านบางส่วน ได้มาตั้งถิ่นฐาน ณ หมู่บ้านไคร้ หมู่ 3 และในเวลา
ต่อมามีประชากร มากข้ึน จึงได้แยกหมู่บ้านเพ่ือประโยชน์ด้านงบประมาณ และแบ่งเขตรับผิดชอบ ในการ
จดั การทรพั ย์ยากรทางดา้ นทิศตะวันออกของหม่บู า้ น มธี รรมชาตทิ ี่อุดมสมบูรณ์ มีผูส้ ืบทอด วรรณกรรม ภาษา
ซึ่ง นางศรีเลย สิทธิเขียว เป็นผู้ท่ีเขียนโคลง กลอน แบบล้านนาได้ ซึ่งทางภาคเหนือเรียกว่า ค่าว ซอ เป็นโครง
กลอน ท่ีสามารถเขียนสะท้อนวิถีชีวิต และเร่ืองราว ของหมู่บ้าน เร่ืองของศีลธรรม ศาสนา รวมถึงวรรณกรรม
นทิ านพ้นื บ้านต่าง ๆ ซึง่ เป็นภมู ิปัญญาทีค่ วรจะสืบทอด และให้เยาชนเดก็ รนุ่ ใหมไ่ ด้เรยี นรู้
๓.๒) ข้นั ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเกี่ยวกับข้อมูล
ทาการศึกษาจัดเก็บข้อมูลศึกษา และทาข้อมูลให้เป็นสารสนเทศเพื่อ การสืบทอดภูมิปัญญาสู่เยาวชน
รนุ่ หลังและคงสภาพภมู ิปญั ญา
๔. ชอ่ื ผู้ที่ถอื ปฏิบัติและผู้สืบทอด
๔.๑ ผทู้ ถี่ อื ปฏบิ ตั ิ
ชอื่ นางศรีเลย สิทธเิ ขียว
วนั เดือน ปเี กิด 3 มนี าคม 2482
ทอ่ี ยู่ 150 หมู่ 22 ตาบลตบั เต่า อาเภอเทงิ จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 080 672 7034
4.๒ ผู้สบื ทอด
ชอ่ื -
วนั เดือน ปีเกดิ -
ทีอ่ ยู่ -
หมายเลขโทรศัพท์ -
5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัติอย่างแพรห่ ลาย เสย่ี งตอ่ การสญู หาย ไม่มปี ฏิบตั แิ ล้ว
๖. รปู ภำพภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมิปัญญำทำงวฒั นธรรม
-21-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำยประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจังหวดั เชยี งรำย
อำเภอเวยี งชยั จงั หวดั เชียงรำย
๑. ชอ่ื ข้อมลู สรภญั ญะ
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพนื้ บา้ นและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบตั ทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั เิ ก่ยี วกับธรรมชาติและจกั รวาล
งานช่างฝมี อื ดงั้ เดิม
การละเล่นพ้นื บา้ น กีฬาพ้ืนบา้ น และศิลปะการตอ่ สู่ป้องกันตัว
๓. รายละเอยี ดข้อมูล
๓.๑ ประวตั คิ วามเป็นมาของข้อมลู
สรภัญญะ คือ การสวดและร้องเพลงพื้นบ้านประเภทหน่ึงท่ีผสมผสานกันมีการร้องและราประกอบ
บทสวดจะมีลักษณะเป็นฉันท์หรือกาพย์ เป็นการสวดในทานองสังโยค คือ การสวด เป็นจังหวะหยุดตาม
รูปประโยคฉันทลักษณ์ บทสวดจะมีลักษณะเป็นฉันท์หรือกาพย์ก็ได้ แต่ทีนิยมกันมากคือ กาพย์ยานี สาหรับ
เนื้อหาจะเก่ียวข้องกับศาสนา บาปบุญคุณโทษ นิทานชาดก นอกจากน้ัน ก็ยังมีการแต่งกลอนเน้นไปทาง
ศิลปวัฒนธรรม เช่น กลอนถามข่าว โอภาปราศรัย ชักชวนให้ไปเยี่ยม การลา หรือเป็นวรรณกรรมท้องถ่ินของ
อีสาน เช่น เรืองกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ เป็นต้น บทสวดสรภัญญะมักไม่เน้นในเรื่องความรัก เพราะการสวด
สรภัญญะเก่ยี วขอ้ งกับศาสนา และผ้ฝู กึ สอนเป็นพระภิกษุ จึงไมใ่ หม้ ีเน้ือหาเกีย่ วกับความรัก เพราะไม่เหมาะกับ
พระสงฆ์
บทร้องสรภัญญะเนื้อหาของเพลงสรภัญญะจะกล่าวถึงเรื่องราวของพุทธศาสนา ยกย่องสรรเสริญ
บุคคลผู้มีพระคุณ ให้ความรู้เก่ียวกับนิทาน ตานานพื้นบ้านและเหตุการณ์ปัจจุบัน มุ่งอบรมสั่งสอนให้คนทา
ความดีมีจริยธรรม พรรณนาธรรมชาติ นิทานพื้นบ้าน ช่วยให้เกิดอารมณ์ผ่อนคลาย มีเร่ืองราวสนุกสนาน
ก่อให้เกิดความสามัคคี บทเพลงสรภัญญะ จึงเป็นเพลงขับจริยธรรมอย่างแท้จริงการเลือกใช้คาในเพลง
สรภัญญะที่ทาให้เกิดความงามและความไพเราะ จะใช้คาให้สัมผัสท้ังในวรรคและระหว่างวรรค นอกจากน้ี
ทโี่ ดดเดน่ ทีสุดก็คือมีการเลอื กใชค้ าภาษาถ่ินของตนมาประยุกต์กบั ภาษาไทย
ประเภทของสรภัญญะได้จาแนกไว้ 10 ประเภท คือ บทบูชาพระรัตนตรัย บทนมัสการไหว้ครูและ
เคารพบิดามารดา บทคาสอนทางพุทธศาสนาสรรเสริญพระศาสนาและวันสาคัญต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา บทท่ี
เป็นคาสอนทางโลก บทสุภาษิตคาพังเพยอุปมาอุปไมย บทท่ีอยู่ในความสนใจของชาวบ้าน บทที่เป็นเหตุการณ์
ปจั จุบัน บทพรรณนาธรรมชาติ บทวรรณกรรมพ้ืนบ้าน และบททีม่ เี นอื้ หาเบด็ เตลด็
ในอดีตการขับร้องสรภัญญะมีบทบาทสาคัญต่อชุมชนชาวอีสานเป็นอย่างมากจึงมีการส่งเสริมและ
สนับสนุนการขับร้องและสวดสรภัญญะด้วยการจัดประกวดการขับร้อง เป็นกิจกรรมแทรกในงานต่าง ๆ
อันส่งผลให้มีผู้คิดและแต่งบทสรภัญญะกันมากขึ้น ซ่ึงผู้ที่แต่งส่วนใหญ่ ได้แก่ พระสงฆ์ หรือฆราวาสท่ีเคยบวช
เรยี น หรือมปี ระสบการณใ์ นการขบั สรภัญญะและรักในศลิ ปะการประพนั ธ์
-22-
๓.๒ ขน้ั ตอน/วิธกี าร/ดาเนนิ การเก่ียวกบั ข้อมลู
ปัจจุบันการสวดสรภัญญะน้ัน นิยมสวดกันในงานศพ งานทอดผา้ ป่า งานกฐิน งานทอดเทยี น งานกวน
ข้าวทิพย์ และในกิจกรรมวันธรรมสวนะ (วันพระ) และชาวบ้านได้ร่วมใจกันสืบสานการสวดสรภัญญะให้คงอยู่
ดว้ ยการสวดสรภัญญะในวันธรรมสวนะและงานบุญต่าง ๆ
๔. ช่ือผูท้ ถี่ อื ปฏิบัตแิ ละผู้สบื ทอด
๔.๑ ผทู้ ีถ่ อื ปฏิบตั ิ
ชอ่ื นางบัวลา ขนั ธวิชัย
วนั เดอื น ปเี กิด ๗ มีนาคม ๒๔๙๓
ทอ่ี ยู่ ๑๐๔ หมู่ ๑๐ ตาบลผางาม อาเภอเวียงชยั จังหวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๒ ๔๓๑ ๘๖๓๓
๔.๒ ผู้สืบทอด
ชื่อ นางผ่องศรี มาแสน
วนั เดอื น ปีเกิด ๒๕ มีนาคม ๒๔๙๗
ทอ่ี ยู่ ๖๑ หมู่ ๑๐ ตาบลผางาม อาเภอเวียงชยั จังหวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๘ ๔๐๒ ๕๕๒๐
๕. สถานการณ์คงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ย่างแพร่หลาย เสยี่ งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏบิ ตั แิ ลว้
๖. รูปภาพภมู ิปญั ญาทางวัฒนธรรม/กจิ กรรมทางภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
-23-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งรำย
อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงรำย
๑. ช่ือข้อมลู หนังสือตารายาเมืองล้านนา
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏบิ ัติทางสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั ิเกยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานชา่ งฝีมือด้ังเดมิ
การละเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพืน้ บ้าน และศิลปะการตอ่ สปู่ ้องกันตัว
๓. รำยละเอียดข้อมูล
๓.๑) ประวตั ิความเปน็ มาของขอ้ มลู
ชาวเหนือมีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ จากบรรพบุรุษ
และปฏิบัติสืบทอดกันมาได้อย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเอง แม้ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันจะมีความ
เจรญิ กา้ วหน้าและมสี ถานพยาบาลมากแล้วก็ตาม บางครัง้ มีการดูแลปฏิบัติตนตามความเช่ือถือดั้งเดิมควบคู่ไป
กับการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน สาหรับการแพทย์แผนโบราณในภาคเหนือนับว่ามีส่วนผสมผสานอยู่ใน
ชีวิตประจาวันมาแต่เดมิ เพราะถือวา่ การรู้จกั ดูแลสุขภาพ รจู้ ักใช้ยาสมนุ ไพรทีอ่ ยรู่ อบตวั มาใช้ในการรกั ษาโรค
หมอเมืองซึ่งเป็นหมอพื้นบ้านภาคเหนือ เป็นตาแหน่งทางสังคมของบุคคลท่ีมีความรู้ในการปัดเป่า
เยียวยาปญั หาโรคภัยไข้เจ็บทุกข์ร้อนตา่ ง ๆ ของชุมชน ด้วยพืชสมนุ ไพรหรือวธิ ีการ อนื่ ๆ หมอเมืองจึงมิได้เป็น
เพยี งตาแหนง่ ทางวิชาชพี และมิใช่พ่อค้าขายยาหรือคนสมุนไพร แตห่ มอเมืองและตาราหมอเมืองเปรยี บเสมือน
องค์ความร้แู ละภูมิปัญญาทอ้ งถิน่ ทม่ี ีการสืบทอดกนั มาหลายช่ัวอายุ
นายสุทัศน์ ก๋าแก้ว ได้ศึกษาเรียนรู้ภาษาล้านนา(ตั๋วเมือง) ตั้งแต่อายุ 11 ปี (บวชเรียนเป็นสามเณร)
และไดเ้ ริ่มศึกษาตารายา(ปับ๊ สา) ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา โดยไดอ้ ่านปับ๊ สาของนายคาอา้ ย กา๋ แก้ว (ปู)่
๓.๒) ขน้ั ตอน/วิธีการ/ดาเนนิ การเก่ียวกบั ข้อมูล
หนังสือตารายาเมืองล้านนา เป็นหนังสือท่ีแปลจากป๊ับสาภาษาล้านนาเป็นภาษาไทย มีตารายา
มากกว่าหน่ึงพันชนิดในหน่ึงเล่ม โดยนายสุทัศน์ ก๋าแก้ว ได้ดาเนินการศึกษาค้นคว้าป๊ับสาท่ีเป็นตารายาของ
นายคาอ้าย ก๋าแก้ว (ปู่) ซึ่งนายคาอ้าย ก๋าแก้ว (ปู่) เป็นหมอเมืองในยุคน้ัน นายสุทัศน์ ก๋าแก้ว ได้ศึกษาแปล
ตารายาจากตั๋วเมือง (อักษรลา้ นนา) มาเปน็ ภาษาไทยเรือ่ ยมาจนถงึ ปจั จบุ ัน
๔. ช่ือผทู้ ่ีถอื ปฏิบัติและผสู้ ืบทอด
๔.๑ ผู้ทีถ่ อื ปฏบิ ัติ
ชื่อ นายสทุ ศั น์ กา๋ แกว้
วัน เดอื น ปีเกิด ๔ ตุลาคม ๒๕๐๒
ท่ีอยู่ 9 หมูท่ ี่ 4 ตาบลเวยี งเหนือ อาเภอเวยี งชยั จังหวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๓ ๔๘๑ ๗๑๓๗
-24-
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสย่ี งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏิบตั แิ ลว้
๖. รูปภำพภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
-25-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรมจงั หวัดเชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจังหวัดเชยี งรำย
อำเภอเวียงเชียงรงุ้ จงั หวดั เชียงรำย
๑. ช่ือข้อมลู โปงลาง
๒. ลักษณะ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรแู้ ละการปฏิบตั ิเกย่ี วกับธรรมชาติและจักรวาล
งานช่างฝมี อื ดั้งเดมิ
การละเล่นพื้นบ้าน กีฬาพน้ื บา้ น และศิลปะการตอ่ ส่ปู ้องกนั ตวั
๓. รำยละเอยี ดขอ้ มูล
๓.๑) ประวัตคิ วามเปน็ มาของข้อมูล
กลุ่มการแสดงดนตรีโปงลางโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม เริ่มมาจากแต่เดิมคนภาคอีสานได้ย้ายถิ่น
ฐานมาอยู่ในอาเภอเวยี งเชยี งรุ้งเป็นจานวนมาก และไดน้ าเอาเคร่ืองดนตรโี ปงลางมาเล่น เพอ่ื ความสนุกสนาน
นายจรัญ ไชยวงค์ษา ครูโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม เห็นความสาคัญของเครื่องดนตรีโปงลางประกอบกับ
เห็นว่า นักเรียนส่วนมากเป็นคนอีสาน มีพื้นฐานการเล่นโปงลางจากบรรพบุรุษอยู่บ้าง จึงได้ทาการสอนวิชา
ดนตรี โดยเน้นเครื่องดนตรีโปงลางขึ้น ต่อมาเมื่อนักเรียนเล่นได้คล่องแคล่ว จึงเริ่มจัดตั้งเป็น
วงดนตรีโปงลางโรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม เพ่ือสืบสานดนตรีโปงลางให้คงอยู่ และได้นาการแสดง
ศิลปวัฒนธรรมไปแสดง และเผยแพร่ในงานวัฒนธรรม ประเพณี ระดับชุมชน ตาบล อาเภอและระดับจังหวัด
ซงึ่ เปน็ การส่งเสริม เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของทอ้ งถ่นิ ให้ไดร้ ับการสืบทอดตอ่ ไป
โปงลาง คือ ระนาดพ้ืนเมอื งอีสาน เปน็ เคร่อื งดนตรีประเภทเครื่องเคาะทาทานองและจังหวะไปพร้อม
กัน ลูกระนาดทาจากไม้ท่อนขนาดลาแขน เป็นตัด กลึง และถากตกแต่งเทียบเสียงดนตรี โด , เร , มี , โซ, ลา
เรียงเสียงลาดับจากต่าไปสูงได้ ๑๒ ลูก ๑๓ ลูก หรือ ๑๔ลูก แล้วนามาร้อยผืนระนาดด้วยเชือกเส้นโตขนาด
เท่ากบั เชอื กผูกวัว เวลาเล่นใช้แขวนเป็นแนวเฉียงลงมาทามุมประมาณ ๖๐ องศากบั พนื้ ให้ด้านลกู ใหญ่เสยี งทุ้ม
อยู่ตอนบนและด้านลูกเลก็ สั้นและเสยี งแหลมอยู่ตอนล่าง การเคาะโปงลางมักใช้ผู้เล่น ๒ คน คนเล่นทานอง
เพลงจะเข้าเคาะทางด้านหน้าของผืนโปงลาง เรียกว่าเป็น “หมอเคาะ” อีกคนหนึ่งเข้าเคาะข้างขวามือของ
หมอเคาะ มีหน้าท่ีเคาะเสียงประสานและทาจังหวะเรียกเป็น “หมอเสิร์ฟ”ไม้ท่ีนามาทาลูกโปงลางนั้นนิยมใช้
ไม้มะหาด(ไม้หมากหาด) ซึ่งมีข้ึนอยู่ตามป่าเบญจพรรณท่ัวไปไม้ชนิดน้ีมีเปลือกเหนยี วแข็งไม่บิดแตกเป็นเสยี้ น
เวลาแห้งแล้วเคาะมีเสียงดงั ดีมาก ย่ิงเป็นไม้มะหาดจากต้นท่ียนื ตายย่ิงเสียงดีเป็นพิเศษ ช่างทาโปงลางบางคน
จึงตดั เซาะเผารากตน้ มะหาด แล้วปล่อยใหย้ นื ตน้ ตายก่อนโคน่ มาทาลูกโปงลาง
ความหมายของโปงลาง มี ๒ ลักษณะ คาว่า “โปง” และ “ลาง” โปง เป็นสิ่งที่ใช้ตีบอกเหตุ เช่น ตีใน
ยามวิกาลแสดงวา่ มีเหตุรา้ ย ตีตอนเช้าก่อนพระบิณฑบาตให้ญาติโยมเตรียมตวั ทาบุญตักบาตร และ ตีเวลาเย็น
เพ่ือประโยชน์ให้คนหลงป่ากลับมาถูก เพราะเสียงโปงลางจะดังกังวานไปไกล (สมัยก่อนใช้ตีในวัด) ส่วนคาว่า
ลาง น้ัน หมายถึง ลางดี ลางร้าย การแสดงโปงลางโรงเรียนเวียงเชียงรุง้ วิทยาคมโรงเรียนเวยี งเชียงรุ้งวิทยาคม
เป็นโรงเรียนท่ีเปิดสอนระดับมัธยมศึกษา การแสดงโปงลางเป็นการแสดงที่บ่งบอกถึงประเพณีการละเล่นของ
ชุมชนท่ีมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นการแสดงท่ีใช้สาหรับแสดงในงานมงคลต่าง ๆ ของท้องถ่ิน
ที่มาของการตีโปงลางตีเพื่อให้เกิดเสียงดัง โปง หมายถึง เสียงของโปง ลาง หมายถึง สัญญาณบอกลางดีหรือ
ลางแห่งความรื่นเริง โปงลางจึงหมายถึง เคร่ืองดนตรีที่มีเสียงแห่งลางดี ทาด้วยไม้เนื้อแข็ง เรียงร้อยกัน๑๒
ท่อน ใชแ้ ขวนเวลาตี การบรรเลงตเี ข้าจงั หวะเร็ว ด้วยความสนุกสนาน มคี ุณค่าในศิลปะการแสดงของท้องถ่นิ
-26-
๓.2) ขัน้ ตอน/วิธกี าร/ดาเนนิ การเกีย่ วกับขอ้ มูล
การแสดงโปงลางเป็นการแสดงบรรเลงในงานมงคล และงานร่ืนเริงต่าง ๆ และงานกิจกรรมประเพณี
ของชุมชน หรือแม้กระท่ังในงานโชว์ต่าง ๆ หรือพิธีเปิดงานต่าง ๆ ก็จะมีการนาการแสดงโปงลางมาบรรเลง
โอกาส/เวลาท่ีละเลน่ การแสดงโปงลางนั้นนิยมแสดงในงานบญุ ตา่ ง ๆ เช่นงานบวช งานบุญกฐิน งานประเพณีตา่ ง ๆ
ในท้องถิ่น รวมทั้งงานร่ืนเริงต่าง ๆ และแสดงในงานมหกรรม หรือกิจกรรมท่ีจัดตามสถานท่ีต่าง ๆ เช่น วัด
โรงเรยี น ข่วงวัฒนธรรม รวมทั้งงานกจิ กรรมในสถานที่อ่นื ๆ
องค์ประกอบที่บ่งบอกให้เห็นคุณลักษณะของศิลปะการแสดง เครื่องดนตรี 9 ชนิ้ ประกอบด้วย
(๑) โปงลาง (๒) แคน (๓) พณิ โปร่ง (๔) โหวด
(๕) หมากกับ๊ แก้บ (๖) กลอง (7) ไหซอง (8) ฉาบ
(9) ฉง่ิ
การแสดงโปงลาง มีการถ่ายทอดและบ่มเพาะ ภายใต้การสอนของนายจรัญ ไชยวงค์ษา ครูชานาญ
การพิเศษ โรงเรียนเวียงเชียงรุ้งวิทยาคม ผ่านการเรียนการสอนวิชาดนตรี และการฝึกประสบการณ์ให้แก่
นักเรยี นผา่ นการรบั งานแสดงในชื่อของ “วงโปงลางโรงเรียนเวยี งเชยี งรุง้ วทิ ยาคม” ออกแสดงตามงานประเพณี
และเทศกาลต่าง ๆ
4. ชอ่ื ผทู้ ี่ถอื ปฏิบัตแิ ละผสู้ ืบทอด
4.๑ ผู้ท่ีถือปฏบิ ัติ
ชื่อ นายจรัญ ไชยวงษา ครูโรงเรียนเวียงเชยี งรงุ้ วิทยาคม
วัน เดือน ปเี กิด -
ทอ่ี ยู่ 41 หมู่ 12 ตาบลทุง่ กอ่ อาเภอเวียงเชียงรงุ้ จังหวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศพั ท์ -
4.๒ ผูส้ บื ทอด นกั เรียนโรงเรียนเวียงเชยี งรงุ้ วทิ ยาคม
ช่อื -
วนั เดือน ปีเกดิ
ที่อยู่ 41 หมู่ 12 ตาบลทงุ่ ก่อ อาเภอเวียงเชียงร้งุ จังหวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ 053 953 275-6
5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสย่ี งต่อการสูญหาย ไมม่ ีปฏบิ ตั แิ ล้ว
6. รูปภำพภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
-27-
อุปกรณ์กำรแสดงโปงลำง
โปงลาง กลอง
พณิ โปรง่ โหวด
ไหซอง แคน
-28-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรมจังหวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย
อำเภอเวยี งเชยี งรุ้ง จงั หวดั เชยี งรำย
๑. ช่ือข้อมลู กลองยาวประยุกต์ หมู่ ๑๑ บ้านใหมร่ ่องหวาย
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพนื้ บ้านและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏิบัติทางสังคมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรู้และการปฏิบตั ิเกย่ี วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานชา่ งฝมี ือด้ังเดิม
การละเล่นพ้นื บา้ น กีฬาพื้นบา้ น และศลิ ปะการต่อสูป่ ้องกนั ตัว
๓. รำยละเอยี ดขอ้ มูล
๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของขอ้ มลู
กลองยาว เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ประเภทตี ที่ชนชาวอีสานนามาใช้ในการประกอบดนตรีพื้นบ้าน
อีสาน ที่ประกอบเข้ากับดนตรีพ้ืนบ้านอีสานประเภทอื่น ๆ โดยทาขึ้นเองทีสืบทอมาจากบรรพบุรุษท่ีสืบทอด
ต่อกนั มา เพอื่ ใช้ประกอบการละเล่นงานร่ืนเริงต่าง เชน่ นาขบวนผ้าป่า กฐิน ตอ้ นรบั แขกมาเป็นคณะ งานบวชนาค
แสดงกลองรา กลองยาว หรอื กลองยาวประยุกต์
บ้านใหม่ร่องหวาย หมู่ ๑๑ ตาบลดงมหาวัน เป็นหมู่บ้านที่แยกมาจากบ้านร่องหวาย หมู่ ๒ เมื่อปี ๒๕๒๑
โดยในปี พ.ศ.๒๕๐๗ มีประชาชนอพยพมาจากภาคอีสาน เช่นจังหวัดอุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี และ
จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ เริ่มแรกคณะกลองยาว เร่ิมต้นจากนายอานวย นามแสงกลาง
ขณะนั้นดารงตาแหน่ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่องหวาย หมู่ ๒ เข้าร่วมคณะกลองยาวบ้านร่องหวาย โดยมีนายเสาร์
สาระพนั ธ์ เปน็ ผกู้ อ่ ต้ัง และหัวหนา้ คณะกลองยาวรวมกลุม่ เปน็ คณะ โดยจดั แสดงตามงานประเพณตี ่าง ๆ ของ
ชุมชน ในระดับตาบล จนเป็นท่ีรู้จัก และออกแสดงในระดับอาเภอ จังหวัด จากน้ันมาบ้านร่องหวายมีจานวน
ประชากรเพ่ิมมากข้ึนจึงทาการแยกหมู่บ้านใหม่เป็นหมู่บ้านใหม่ร่องหวาย หมู่ ๑๑ และนายอานวย นามแสงกลาง
จึงได้ก่อตั้งคณะกลองยาวข้ึนใหม่ โดยเริ่มต้นมีแต่กลองยาวท่ีทากันเอง และนาดนตรีประเภทอ่ืน มาประยุกต์
เขา้ กบั คณะกลองยาว และมจี านวนผู้เลน่ เพมิ่ มากข้นึ และนาการราเซ้ิงมาประกอบในขบวนและได้จดั แสดงตาม
งานตา่ ง ๆ ในระดับหมูบ่ ้าน ตาบล อาเภอ จงั หวัดต้งั แตน่ น้ั เป็นต้นมา
ศิลปะการแสดงกลองยาวเป็นมรดกทางวัฒนธรรมทางอีสานท่ีงดงามที่ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ
จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน เป็นส่ิงท่ีสามารถใช้เป็นสื่อจุดรวมใจของคนในหมู่บ้านและชุมชน ในเวลาฝึกซ้อมหรือไป
แสดงในงานต่าง ๆ จะมีเด็ก เยาวชนของหมู่บ้านเข้าร่วม ไปในงานดังกล่าว จึงทาให้เด็ก เยาวชน เกิดการซึมซับ
เอาสิ่งท่ีดีงามของวัฒนธรรมแล้วจึงมีการถ่ายทอดให้แก่เด็กและเยาวชน สามารถสร้างรายได้ ให้กับครอบครวั
และชมุ ชน พรอ้ มท้งั เปน็ การอนุรักษ์ วัฒนธรรมอีสาน มาจวบจนทุกวันนี้
-29-
๓.2) ขน้ั ตอน/วธิ ีการ/ดาเนนิ การเกี่ยวกบั ข้อมลู
องค์ประกอบ ของศิลปะการแสดงกลองยาวประยุกต์
๑) เครือ่ งดนตรี ๖ ชนิ้ ประกอบด้วย กลองยาว พิณ แคน กลองชุด ฉาบใหญ่ โปงลาง
๒) ผู้แสดง ประมาณ ๒๕ คน
รปู แบบวธิ กี ารแสดง
การแสดงกลองยาวเป็นการร่วมกิจกรรมงานบุญประเพณีต่าง ๆ ท่ีจัดข้ึนในหมู่บ้าน และหมู่บ้านใกล้เคียง
เช่น งานบุญทอดผ้าป่า งานบุญสลากภัตร งานปอยหลวง งานบุญกฐิน โดยการแสดงพร้อมกับการราเซิ้ง
ทางอีสาน และงานอ่ืน เช่น งานถ่ายทอดวัฒนธรรมโดยองค์กรในท้องถ่ิน ระดับอาเภอ จังหวัด หรือเข้าร่วม
การแข่งขันกลองยาวแต่ละโอกาส แต่ปัจจุบันได้มีการประยุกต์เอาราเซิ้งประกอบในคณะ ทาให้ผู้คนมีความ
ความสนใจกบั คณะกลองยาวประยุกต์ ในงานตา่ ง ๆ
๔. ชือ่ ผทู้ ี่ถอื ปฏิบตั ิและผู้สืบทอด
๔.๑ ผู้ท่ถี อื ปฏิบัติ
ชื่อ นายอานวย นามแสงกลาง
วนั เดือน ปเี กดิ -
ทอี่ ยู่ ๔๙ หมู่ ๑๑ ตาบลดงมหาวัน อาเภอเวยี งเชียงรุ้ง จังหวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๗ ๑๘๕ ๕๔๐๐
๔.๒ ผู้สบื ทอด
ช่ือ กลุ่มผู้สูงอายุตาบลดงมหาวัน
วนั เดอื น ปีเกิด -
ทอ่ี ยู่ หมู่ ๑๑ ตาบลดงมหาวัน อาเภอเวยี งเชียงรุ้ง จงั หวดั เชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏิบัตอิ ย่างแพร่หลาย เสี่ยงตอ่ การสูญหาย ไมม่ ีปฏิบัตแิ ล้ว
๖. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
-30-
การแสดงกลองยาวประยุกต์ ในงานวัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ
การแสดงกลองยาวประยุกต์ ในงานวฒั นธรรม ประเพณตี ่าง ๆ
-31-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวัฒนธรรมจงั หวัดเชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งรำย
อำเภอเวยี งชัย จังหวัดเชยี งรำย
๑. ชอ่ื ข้อมูล ข่วงเฮยี นฮู้เฮือนป้อครูมานิตย์
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏบิ ตั ทิ างสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความร้แู ละการปฏิบัตเิ ก่ียวกบั ธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานชา่ งฝีมือดง้ั เดิม
การละเลน่ พน้ื บ้าน กีฬาพ้ืนบา้ น และศลิ ปะการต่อสปู่ ้องกันตัว
๓. รายละเอยี ดข้อมลู
๓.๑) ประวัติความเปน็ มาของข้อมูล
แรกเร่ิมเดิมทีพ่อครูมานิตย์ เจริญเกษมทรัพย์ ได้รับการถ่ายทอดวิชาฟ้อนดาบจากพ่อหลวงธา ธรรมกาศ
ซ่ึงเป็นคุณทวดของพ่อครูมานิตย์ เริ่มฟ้อนดาบจากจานวนเร่ิมต้น ๒ เล่ม จนปัจจุบันนี้สามารถฟ้อนดาบโดยใช้
ดาบจานวนทั้งส้นิ ๑๔ เล่ม ซ่ึงนับว่าเป็นจานวนดาบท่ีสูงที่สุด นับได้ว่าเป็นการฟ้อนดาบระดับชั้นครูเลยก็วา่ ได้
ชีวิตในวัยเด็กของพ่อครูมานิตย์ มักติดตามพ่อหลวงธาไปท่ีศาสนสถาน จึงได้ซึมซับและเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม
ล้านนาหลากหลายแขนงจากพ่อหลวงธา ต้ังแต่ตอนอายุ ๖ ขวบ ไม่ว่าจะเป็น การตีกลองสะบัดชัย การฟ้อนดาบ
ฟ้อนเจงิ การตดั ตุงลา้ นนา การทาบายศรสี ู่ขวญั ดนตรีพน้ื เมือง ฯลฯ
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๗ ได้สร้างข่วงเฮียนฮู้เฮือนป้อครูมานิตย์เพ่ือเป็นสถานที่ในการถ่ายทอดความรู้
ด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนา เช่น ศิลปะการแสดงทางลา้ นนา การทาตุงล้านนา (ตุงใย ตุงเข็ม ) ให้กับประชาชน
ที่มีความสนใจได้เข้ามาเรียนรู้กันจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้พ่อครูมานิตย์ยังทาหน้าที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน
ถ่ายทอดความรู้ ทักษะ ด้านศิลปวัฒนธรรมล้านนาให้กับสถานศึกษาในเขตพ้ืนที่จังหวัดเชียงรายและ
จังหวัดอ่ืน ๆ รวมถึงบุคคลทัว่ ไปทวั่ ราชอาณาจักร
๓.๒) ขัน้ ตอน/วธิ กี าร/ดาเนนิ การเกีย่ วกับข้อมลู
ผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้ามา ศึกษาเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมล้านนาที่ข่วงเฮียนฮู้เฮือนป้อครูมานิต ย์
พ่อครูมานิตย์จะเร่ิมถ่ายทอดความรู้ด้านการตีกลองสะบัดชัย ดนตรีพื้นเมือง และสอนท่าฟ้อนต่าง ๆ ให้กับ
ลูกศิษย์ เช่น ฟ้อนดาบ ฟ้อนสาวไหม เร่ิมเรียนรู้ท่าฟ้อนโดยไม่ใช้เสียงเพลงหรือเสียงดนตรี หรือท่ีเรียกกันว่า
ฟ้อนดิบ หลังจากลูกศิษย์ได้เรียนรู้และจดจาท่าฟ้อนได้ จะเรม่ิ เข้าฟ้อนกับเสยี งเพลงหรือเสียงดนตรี และเข้าวง
เป็นชุดการแสดง
-32-
๔. ชื่อผู้ท่ีถอื ปฏิบตั แิ ละผ้สู บื ทอด
๔.๑ ผทู้ ่ีถือปฏบิ ัติ
ชอ่ื นายมานิตย์ เจรญิ เกษมทรัพย์
วนั เดือน ปีเกดิ ๖ สงิ หาคม ๒๕๐๐
ทอ่ี ยู่ ๑๗๓ หมู่ ๑๓ ตาบลเวียงชยั อาเภอเวียงชัย จังหวัดเชยี งราย ๕๗๒๑๐
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๘๑ ๕๓๐ ๕๗๐๔
๔.๒ ผู้สืบทอด
ช่อื นายธีรวฒั น์ พิมมสาร
วัน เดอื น ปีเกิด ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ที่อยู่ ๑๖๒ หมู่ ๓ ตาบลทา่ สาย อาเภอเมอื งเชยี งราย จงั หวัดเชยี งราย ๕๗๐๐๐
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๕ ๔๔๖ ๘๙๗๙
ชอ่ื นางสาวชน่ื ฤทัย พิมมสาร
วนั เดอื น ปีเกดิ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘
ท่อี ยู่ ๑๖๒ หมู่ ๓ ตาบลท่าสาย อาเภอเมอื งเชยี งราย จงั หวัดเชยี งราย ๕๗๐๐๐
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๐ ๓๑๘ ๙๖๒๘
๕. สถานะ การคงอยู่ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลาย เสยี่ งตอ่ การสญู หาย ไม่มปี ฏบิ ัตแิ ล้ว
๖. รปู ภาพภูมิปญั ญาทางวัฒนธรรม/กิจกรรมทางภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
-33-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรมจงั หวดั เชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวัฒนธรรมจังหวดั เชยี งรำย
อำเภอแม่ฟ้ำหลวง จงั หวดั เชียงรำย
๑. ชื่อข้อมูล เต้นรากระทุ้งไม้ไผ่ (บ่อ ฉ่อง ตุ)๊
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพน้ื บ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบตั ิทางสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรแู้ ละการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจกั รวาล
งานช่างฝีมอื ด้งั เดมิ
การละเลน่ พน้ื บ้าน กีฬาพ้นื บา้ น และศลิ ปะการตอ่ สปู่ ้องกนั ตัว
๓. รำยละเอยี ดข้อมลู
๓.๑) ประวตั คิ วามเปน็ มาของข้อมูล
ชนเผ่าอาขา่ เปน็ ชนกลุ่มหนึ่ง ซึง่ มีบรรพบรุ ุษพืน้ เพเดิม อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ในประเทศ
จีนเรียกว่า “ฮานี หรือ โวน” โดยมีเส้นทาง 2 เส้นทาง คือ เส้นทางแรก อพยพจากประเทศพม่าแคว้นเชยี งตงุ
เข้าสู่ประเทศไทยเน่ืองจากเกิดปัญหาทางการเมือง ด้านฝัง่ เขตอาเภอแม่จัน ทางหมู่บ้านพญาไพร (ปัจจุบนั เป็น
อาเภอแม่ฟ้าหลวง) และเส้นทางที่สอง อพยพโดยตรงจากประเทศจีนโดยเดินทางผ่านบริเวณตะเข็บชายแดน
พม่า และแมน่ ้าโขงประเทศลาว และเขา้ สูป่ ระเทศไทยโดยตรงทอ่ี าเภอแม่สาย
ปัจจุบันชนเผ่าอาข่าได้กระจ่ายอยู่ในเขตจังหวัดภาคเหนือ 5 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่
ลาปาง ตาก แพร่ และคาดได้มีอาข่าบางส่วนได้อพยพไปอยู่จังหวัดน่าน พิษณุโลก และหลายจังหวัดของ
ประเทศไทย เพราะไปใช้แรงงานในจังหวัดดังกลา่ ว ในประเทศไทยสามารถแบ่งชนเผ่าอาขา่ ได้เปน็ 8 กลุ่ม ดังน้ี
กลุ่มอู่โล้อำข่ำ กลุ่มลอมี้อำข่ำ กลุ่มลอม้ีอำข่ำ กลุ่มหน่ำค๊ำอำข่ำ กลุ่มเป๊ียะอำข่ำ กลุ่มอ้ำเค้ออำข่ำกลุ่มอ้ำ
จ้ออำขำ่ กลุ่มอำ้ จ้ออำขำ่
๓.๒) ขัน้ ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเกย่ี วกับข้อมลู
วิถีชีวิตด้านครอบครัว อาข่าเป็นชาวเขาท่ีมีการใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย หาเช้ากินค่า เวลาไปทาไร่
หลังจากทพ่ี ้นจากประตูหม่บู า้ น ก็จะมีการรอ้ งเพลงไปด้วยผชู้ ายจะร้องว่า โอเ้ รา เวลาไปไร่ หรอื ไปทาอะไร ก็
รู้สึกเหงาเหลือเกิน เราอยากได้คนๆหน่ึง มาอยู่กับเรา จะได้หายเหงา และเม่ือไปถึงไร่ของตนเองก็จะร้องเพลง
โต้ตอบกับฝ่ายผู้หญิง โดยฝ่ายหญิงอาจทาไร่อยู่คนละฝั่งกับฝ่ายชาย เวลาจะกลับก็ล่าลากันด้วยเสียงเพลง
แล้วจะนัดกันตอนกลางคืน ท่ีลานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นชีวิตที่มีสีสันมากแต่สมัยน้ีการใช้ชีวิตแบบน้เี ริ่มหาดูได้ยาก
เนื่องจากการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเขา ส่ิงเหล่าน้ีก็เลยถูกกลืนไป
เหลอื เพียงแตค่ าบอกเลา่ ของคนเฒา่ คนแกใ่ นชมุ ชน การละเลน่ ของเผ่าอาขา่ แบ่งได้เปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ
๔. ชือ่ ผู้ท่ีถือปฏิบตั แิ ละผสู้ ืบทอด - ไม่มี -
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ตั ิอยา่ งแพรห่ ลาย เส่ยี งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏบิ ัติแลว้
-34-
๖. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม
-35-
แบบสำรวจมรดกภมู ิปญั ญำทำงวฒั นธรรมจงั หวดั เชียงรำย ประจำปี ๒๕๖๕
สภำวัฒนธรรมจงั หวดั เชยี งรำย
อำเภอเวยี งแกน่ จงั หวดั เชยี งรำย
๑. ชื่อข้อมูล แคนม้ง
๒. ลักษณะ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏิบัตทิ างสงั คมพิธีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรูแ้ ละการปฏบิ ตั เิ ก่ียวกบั ธรรมชาติและจักรวาล
งานช่างฝีมือดง้ั เดมิ
การละเล่นพ้นื บ้าน กีฬาพ้ืนบา้ น และศลิ ปะการต่อสูป่ ้องกันตัว
๓. รำยละเอียดขอ้ มูล
๓.๑) ประวัติความเป็นมาของขอ้ มลู
ผอู้ าวุโสทเ่ี ล่าวา่ มีบ้านหนึง่ ท่มี ีพนี่ ้อง 7 คน พอ่ แมเ่ สยี ชวี ติ ตั้งแต่ลูกๆยังเด็ก บา้ นก็ไมม่ ีอยู่ คนท่ีเป็นพ่ี
จึงคิดว่าต้องร่วมกันสร้างบ้านหลังหนึ่งเพ่ืออยู่ร่วมกัน ต่อจากนั้นก็คิดค้นผลิตเคร่ืองดนตรีที่ประกอบจากปล้อง
ไม้ไผ่ 6 ปล้องท่ีเรียกว่าไม้ซางเพื่อทาเป็นลูกแคน โดยปล้องที่ใหญ่และส้ันที่สุดหมายถึงพี่คนโตและน้องคน
สุดท้อง ส่วนปล้องไผ่อ่ืน ๆ หมายถึงพ่ีน้องอีก5คนในครอบครัว การประกอบลูกแคนเข้าด้วยกันเป็นการส่ือ
ความหมายว่าพ่ีน้องทุกคนได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์ครอบครัวและหากมีคนเสียชีวิตไปก็เอาแคนมาเป่า
เพือ่ เปน็ การอาลา”
เรื่องราวเก่ียวกับพ่ีน้องชาวม้ง 7 คนได้ส่ือถึงส่วนประกอบของแคนและปล้องไผ่ที่ส้ันท่ีสุดทาหน้าท่ี
ควบคุมจังหวะและโทนเสียง ชาวม้งเป็นคนที่รักดนตรีดังนั้นแคนคือเครื่องดนตรีที่มักจะใช้ในงานชุมชนต่าง ๆ
แต่อันทีจ่ ริงแลว้ ในตอนแรกเเคนถกู ใชใ้ นงานศพเทา่ นัน้ เพื่อเป็นการบอกความอาลัยอาวอนของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
ตอ่ ผตู้ าย นอกจากนเี้ สียงแคนยังเปน็ เสียงนาทางส่งดวงวิญญาณผตู้ ายไปสู่สรวงสวรรค์
ปัจจบุ นั นกี้ ารแสดงแคนไดป้ รากฏในงานเทศกาลร่ืนเรงิ ต่าง ๆ และประกอบกบั ท่าราทมี่ ีความอ่อนช้อย
สวยงามโดยเรียกว่า ราแคน ซ่ึงการราแคนน้ันก็มีหลายท่าและแต่ละท่าจะส่ือความหมายที่แตกต่างกัน
เสียงแคนสามารถสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ท้ังความรักระหว่างมนุษย์ ความรักธรรมชาติ ความรักของ
คนในครอบครัว สะทอ้ นคาอวยพรปีใหมห่ รือคาเชือ้ เชญิ เพ่อื นฝงู ไปเทีย่ วงานเทศกาลวสนั ต์ฤดู
๓.๒) ขน้ั ตอน/วิธกี าร/ดาเนินการเก่ียวกับข้อมลู
สอบถาม จัดเก็บข้อมลู จากปราชญข์ าวบ้าน
๔. ช่ือผู้ที่ถอื ปฏิบัติและผ้สู ืบทอด
๔.๑ ผทู้ ถ่ี ือปฏบิ ัติ
ชื่อ นายสุพจน์ เล่าพงศ์สวสั ดิ์
วัน เดือน ปีเกดิ -
ทอ่ี ยู่ หมู่ 16 ตาบลปอ อาเภอเวียงแก่น จงั หวดั เชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ 086 189 6033
-36-
๔.๒ ผู้สบื ทอด -
ชอ่ื -
วัน เดือน ปีเกดิ -
ที่อยู่ -
หมายเลขโทรศัพท์
๕. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัติอย่างแพร่หลาย เสย่ี งตอ่ การสญู หาย ไมม่ ีปฏิบตั แิ ลว้
๖. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
แคนมง้
-37-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวฒั นธรรมจังหวดั เชียงรำย
สำนักงำนวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรำย
อำเภอแม่สำย จงั หวัดเชยี งรำย
๑. ช่ือข้อมูล การแสดงฟ้อนเลบ็ กลุ่มพฒั นาสตรีอาเภอแม่สาย
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพ้นื บ้านและภาษา
ศลิ ปะการแสดง
แนวปฏบิ ตั ิทางสังคมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความรูแ้ ละการปฏิบตั เิ กยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานช่างฝมี อื ดงั้ เดมิ
การละเลน่ พ้นื บา้ น กีฬาพนื้ บ้าน และศิลปะการต่อสปู่ ้องกันตัว
๓. รำยละเอยี ดข้อมลู
๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของขอ้ มลู
ฟ้อนเล็บ เป็นการฟ้อนชนิดหนึ่งของชาวไทยในภาคเหนือ ผู้ฟ้อนจะสวมเล็บยาว ลีลาท่าราของฟ้อน
เล็บคล้ายกับฟ้อนเทียน ต่างกันท่ีฟ้อนเทียนมือท้ังสองถือเทียน ตามแบบฉบับของการฟ้อน ได้นาลีลาท่าฟ้อน
อันเป็นแบบแผนมาจากคุ้มเจ้าหลวงมาฝึกสอน จัดเป็นชุดการแสดงท่ีน่าชมอีกชุดหน่ึง แต่เดิมเรียก "ฟ้อนเล็บ"
ด้วยเห็นว่าเป็นการฟ้อนท่ีเป็นเอกลักษณ์ของ "คนเมือง" ซ่ึงหมายถึงคนในถิ่นล้านนาที่มีเช้ือสายไทยวน และ
เนื่องจากการเป็นการแสดงท่ีมักปรากฏ ในขบวนแห่ครัวทานของวัดจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ฟ้อนแห่ครัว
ทาน" ตอ่ มามีการสวมเล็บที่ทาดว้ ยทองเหลอื งท้ัง 8 นิ้ว (ยกเว้นน้วิ หวั แม่มือ) จงึ ได้ชอ่ื ว่า "ฟ้อนเลบ็ "
ฟ้อนเล็บเป็นการฟ้อนของชาวไทยภาคเหนือการแสดงจะมีดนตรีบรรเลงประกอบ โอกาสท่ีแสดง ใน
งานเทศกาลหรืองานนักขัตฤกษ์ต่าง ๆ ฟ้อนเล็บเป็นศิลปะการแสดงท่ีเป็นเอกลักษณ์ทางภาคเหนือโดยเฉพาะ
รูปแบบการฟ้อนมีอยู่ ๒ แบบ คือแบบพื้นเมืองหรือฟ้อนเมือง และแบบคุ้มเจ้าหลวง นิยมฟ้อนในเวลากลางวนั
สาหรับชื่อชุดการแสดงจะมีความหมายตามลักษณะของผู้แสดงท่ีจะสวมเล็บยาวสีทองทุกน้ิว ยกเว้น
นิ้วหัวแมม่ อื
๓.2) ขน้ั ตอน/วธิ กี าร/ดาเนนิ การเกี่ยวกับข้อมลู
เครื่องแต่งกำย การแต่งกายแต่เดิมจะนุ่งผ้าซ่ิน สวมเสื้อแขนยาวทรงกระบอกคอกลม หรือคอจีน
ผ่าอก เกลา้ ผมมวยโดยขมวดมวยดา้ นท้ายทอย ทัดดอกไม้ประเภทดอกเอ้ือง จาปา กระดังงา หางหงส์ หรือลีลา
วดี สวมเล็บท้ังแปดนิ้ว ตอ่ มามีการ ดดั แปลงใหส้ วยงามโดยประดับลูกไม้ หรอื ระบายทีค่ อเสื้อ หม่ สไบเฉียงจาก
บ่าซ้ายไปเอวขวาทับด้วยสังวาล ติดเข็มกลัด สวมกาไลข้อมือ กาไลเท้า เกล้าผมแบบญ่ีปุ่น ทัดดอกไม้หรืออาจ
เพม่ิ อุบะหอ้ ยเพือ่ ความสวยงาม
ทา่ รา มีการแบ่งท่าราออกเป็น ๔ ชดุ คือ
ชุดท่ี ๑ ประกอบดว้ ยทา่ จบี หลงั (ยูงฟ้อนหาง) บังพระสุรยิ า วันทา บวั บาน กงั หนั ร่อน
ชุดท่ี ๒ ประกอบด้วยท่า จีบหลัง ตระเวนเวหา รากระบี่สี่ทา่ พระรถโยนสาร ผาลาเพียงไหล่ บวั ชูฝกั
กงั หันร่อน
ชดุ ท่ี ๓ ประกอบดว้ ยท่า จีบหลัง พรหมสหี่ น้า พสิ มยั เรยี งหมอน กังหนั ร่อน
ชุดท่ี ๔ ประกอบด้วยท่า จบี หลัง พรหมสีห่ น้า พสิ มัยเรียงหมอนแปลง ตากปีก
-38-
เคร่ืองดนตรี ที่ใช้ในการฟ้อนเป็นขบวนกลองยาว ซ่ึงเป็นดนตรีของชาวภาคเหนือ ได้แก่ กลองแอร์
กลองตะโลด้ โป๊ด ฉาบ ฆ้องโหมง่ ใหญ่ ฆ้องโหม่งเล็ก ฉงิ่ ปี่ เวลาดนตรบี รรเลง 1.เสียงปีด่ งั ไพเราะเยือกเย็นมาก
ท่วงทานองเช่ืองช้า เสยี งกลองจะตีดงั ตะ ตง่ึ นง ตึ่ง ตก๊ ถ่ง อย่างน้ีเร่ือยไป สว่ นช่างฟ้อนก็จะฟ้อนชา้ ๆ ไปตาม
ลีลาของเพลง
เพลงที่ใช้บรรเลง สาหรับเพลงที่ใช้บรรเลง ก็แล้วแต่ผู้เป่าแนจะกาหนดอาจใช้เพลงแหย่ง เพลงเชียงแสน
เพลงหริภุญชยั หรอื ลาวเส่ยี งเทยี น แตส่ ว่ นใหญจ่ ะใชเ้ พลงแหยง่ เพราะช่างฟ้อนคุน้ กบั เพลงนี้มากกว่าเพลงอนื่
โอกำสทใ่ี ช้ ใช้แสดงในวันสาคญั เช่น ตอ้ นรบั แขกเมืองต่างชาติ หรือในงานประเพณี
4. ชอื่ ผทู้ ่ีถอื ปฏิบัตแิ ละผูส้ ืบทอด
4.๑ ผทู้ ่ถี อื ปฏิบตั ิ
ชอ่ื กลุ่มพัฒนาสตรีอาเภอแม่สาย
วนั เดือน ปเี กิด -
ท่อี ยู่ ตาบลเวยี งพางคา อาเภอแม่สาย จังหวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
4.๒ ผ้สู บื ทอด
ช่ือ กลุม่ พัฒนาสตรีอาเภอแมส่ าย
วนั เดือน ปเี กดิ -
ทอ่ี ยู่ ตาบลเวียงพางคา อาเภอแมส่ าย จงั หวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ -
5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัตอิ ย่างแพร่หลาย เส่ียงตอ่ การสญู หาย ไมม่ ปี ฏิบัตแิ ลว้
6. รปู ภำพภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม/กิจกรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
ตวั อยา่ งการแตง่ กายฟ้อนเล็บ
-39-
แบบสำรวจมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรมจงั หวัดเชยี งรำย ประจำปี ๒๕๖5
สำนกั งำนวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรำย
อำเภอแม่ลำว จงั หวดั เชยี งรำย
๑. ช่ือข้อมูล การขับซอ
๒. ลกั ษณะ วรรณกรรมพื้นบ้านและภาษา
ศิลปะการแสดง
แนวปฏบิ ตั ิทางสงั คมพธิ ีกรรม ประเพณี และเทศกาล
อาหาร/ความร้แู ละการปฏิบัตเิ กยี่ วกับธรรมชาตแิ ละจกั รวาล
งานชา่ งฝมี ือดงั้ เดมิ
การละเลน่ พ้ืนบา้ น กีฬาพน้ื บ้าน และศลิ ปะการต่อสู่ป้องกันตวั
๓. รำยละเอยี ดข้อมลู
๓.๑) ประวตั ิความเป็นมาของขอ้ มูล
ซอ เป็นการขับขานหรือการร้องร้อยกรองท่ีเป็นภาษาคาเมืองหรือภาษาถ่ินเหนือมีเอกลักษณ์เฉพาะ
จัดเป็นศิลปะการแสดงพ้ืนบ้านของล้านนาท่ีเป็นภูมิปัญญาทางภาษา ที่ได้สร้างสรรค์ไว้อย่างงดงามและ
ทรงคณุ คา่ แฝงดว้ ยคตธิ รรมคาสอน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพนั ธ์ของมนุษย์กับมนษุ ย์ มนษุ ย์กับธรรมชาติ และ
มนุษย์กับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ สะท้อนให้เห็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมท่ีสาคัญ มีความสัมพันธ์กับวิถี
ความเป็นอยู่ของชาวล้านนาในด้านต่าง ๆ เช่น ความเช่ือ ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี สถาบันศาสนา
สถาบันครอบครวั การประกอบอาชีพ อาหารและโภชนาการ การแต่งกาย การสาธารณะสขุ มลู ฐาน
การซอของแต่ละท้องถิ่นมีเครื่องดนตรีประกอบและท่วงทานองที่แตกต่างกันไป เครื่องดนตรีท่ีใช้
ประกอบการซอของจังหวัดเชียงใหม่ใช้ป่ีจุม ส่วนการซอของจังหวัดน่านใช้ซึงและสะล้อ มีทั้งซอเดี่ยว และซอ
โต้ตอบระหวา่ งชา่ งซอชายและช่างซอหญิง ภาษาถนิ่ เรียกวา่ “คถู่ อ้ ง” มที งั้ การซอตามบทและปฏภิ าณไหวพริบ
ของช่างซอ โดยนาเอาข้อมูล เหตุการณ์ต่าง ๆ มาพรรณนาโวหารซึ่งแฝงด้วยคติธรรมและคติโลก ตามลักษณะ
ของฉันทะลักษณ์ของแต่ละทานองซอซ่ึงมีประมาณ ๑๐ ทานอง ช่างซอท่ีมีความสามารถและประสบการณ์สูง
จะสามารถร้อยเรียงคาร้อง (คาซอ) ได้อย่างสละสลวย มีความไพเราะด้วยปฏิภาณไหวพริบของตนเอง โดยไม่
ต้องแตง่ เนอ้ื รอ้ งมากอ่ นแตข่ อใหท้ ราบเน้ือหาในเร่ืองนั้นช่างซอก็สามารถนามาร้องบทซอในแต่ละทานองได้
ซอจึงเป็นเพลงพ้ืนบ้านที่เป็นภูมิปัญญาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษถึงช่ัวลูกชั่วหลานจนถึงทุกวันน้ี เป็น
ศิลปะท่ีให้ความบันเทิง เพ่ิมความมีชีวิตชีวาให้กับงานกุศลหรืองานร่ืนเรงิ ท่ัวไป ถ้างานใดมีการซอนับได้ว่างาน
น้ันครึกครื้นมีรสชาติ มีความหมายมาก แต่ถ้าหากงานใดไม่มีการซอแล้วงานนั้นจะดูเงียบเหงา ไม่มีกิจกรรมที่
สนุกสนานและสร้างความประทับใจ ซอจึงเป็นศิลปะพื้นบ้านคู่กับล้านนา เช่นเดียวกับหมอลาที่เป็นศิลปะคู่กับ
ภาคอสี าน หรอื เพลงฉ่อย เพลงอแี ซวของภาคกลาง และเพลงบอกของภาคใต้ ไม่วา่ จะเป็นหมอลา ลาตัด เพลง
อีแซว เพลงฉ่อย เพลงบอก หรือซอ ต่างก็เป็นการขับร้องท่ีใช้ภาษาถ่ินที่สะท้อนถึงศิลปะการแสดงพ้ืนบ้านของ
แต่ละภาคท่ีมีความโดดเด่นในการร้องดน้ กลอนสด โดยไม่มีการเตรียมหรอื แต่งเนื้อรอ้ งไวล้ ่วงหนา้ ศิลปินต้องมี
ความชานาญ ความเชย่ี วชาญจงึ สามารถดน้ กลอนสดๆ ไดแ้ ละต้องมกี ารฝึกฝนดว้ ยความวิริยะอุตสาหะ
-40-
๓.๒) ข้นั ตอน/วธิ กี าร/ดาเนนิ การเก่ยี วกบั ขอ้ มูล
คาว่า “ ซอ ” ในท่ีนี้เป็นภาษาคาเมือง ภาษาถิ่นเหนือ มีความหมายว่าขับ ขับร้อง ร้องเพลง หรือ
เพลงพื้นบ้านล้านนาชนิดหนึง่ มีผู้ให้ความหมายไว้หลายท่านด้วยกัน ( ทรงศักดิ์ ปรางวัฒนากุล ๒๕๒๓, สิงฆะ
วรรณลัย ๒๕๒๔, มณี พนมยงค์ ๒๕๒๙ เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์ ๒๕๒๙, ยงยุทธ ธีรศิลป์และทวีศักด์ิ ปิ่นทอง
๒๕๓๕ ) สรุปได้ว่า ซอ หมายถึง การร้องเพลงพื้นบ้านของล้านนาหรือเมืองเหนือ ซ่ึงเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ซอ
พื้นเมือง เป็นการละเล่นพื้นเมืองล้านนาอย่างหนึ่งของชาวล้านนามีท้ังการซอโต้ตอบกันในลักษณะเพลง
ปฏิพากย์ระหว่าง หญิง หรือซอเด่ียว เพ่ือเล่าเรื่องพรรณนาเหตุการณ์ต่างๆ โดยมีเครื่องดนตรีพื้นเมือง เช่น
ป่ีจุม ซึง สะล้อ ขลุ่ย บรรเลงประกอบ ได้รับความนิยมในเขต ๘ จังหวัด ภาคเหนือ และบางส่วนของจังหวัด
สโุ ขทัย อตุ รดิตถ์และตาก
๑. ชา่ ง หมายถงึ ทาได้ ทาเปน็
๒. ช่างซอ หมายถึง ผู้ขับร้องเพลงซอได้ ซอเป็น หรือพ่อเพลง แม่เพลงซอ ช่างซอมีท้ังช่างซอชาย
และชา่ งซอหญิง ขบั ซอโต้ตอบหรือร้องเสริมความกนั แกค้ วามกนั บางครั้งซอเดย่ี วในเรอื่ งใดเรอ่ื งหนึง่
๓.ช่างซึง เปน็ คาท่ีใชเ้ รยี กนกั ดนตรีที่ทาหน้าทท่ี าท่ีดดี ซงึ บรรเลงประกอบการซอเป็น
๔. ช่างปี่ เป็นคาที่ใช้เรียกนักดนตรีที่ทาหน้าที่เป่าป่ีจุม บรรเลงเพลงประกอบการซอ เท่าท่ีพบเห็น
เปน็ ผู้ชายลว้ น มีจานวนเท่าปจี่ ุมทนี่ ามาเป่า
๕. เซ้ย เป็นคาอุทานท่ีผู้ฟังเปล่งออกมารับการขับบทซอที่ตนพึงพอใจ ประทับใจแล้วอุทานคาว่า
“เซ้ย” พร้อมลากเสียงยาว ๆ เป็นขานรับบทซอนั้น ๆ ไปในตัวด้วย การอุทานเปล่งเสียงลักษณะน้ีช่วยสร้าง
บรรยากาศในการขับซอได้อย่างครื้นเครง มีผู้กล่าวว่าถ้ามีการเซ้ยแสดงว่า ผู้ฟัง ผู้ชม เกิดอารมณ์ร่วม หรือ
อารมณส์ ะเทือนใจเปน็ อย่างมากถึงข้ันใหเ้ งิน เป็นรางวัลแก่ช่างซออีกด้วย
๖. ผาม เป็นสถานท่ีสร้างขึ้นชั่วคราว เพื่อใช้เป็นสถานที่ให้ช่างซอได้ตั้งวงซอ โดยยกพื้นข้ึนสูง
ประมาณ ๑-๒ เมตร มุงหลังคาแบบง่าย ๆ ด้วยคาหรือตองตึง ถ้าอาศัยร่มเงาจากต้นไม้ หรืออ่ืน ๆ ก็ไม่ต้องมี
หลังคา ผามมีความแข็งแรงพอท่ีจะรับน้าหนักของผคู้ นได้ประมาณ ๑๐ คน บนผามปูดว้ ยเสื่อ มีเครื่องอานวย
ความสะดวก เช่น คนโทน้า หมาก จานใส่ของว่าง เช่น เม่ียง เป็นต้น แต่ถ้าสถานท่ีมีพอที่จะจัดเป็นสัดส่วน
ใหช้ ่างซอได้แสดงแล้วไมต่ อ้ งสร้างผามก็ได้
๔. ชอื่ ผูท้ ี่ถือปฏิบตั แิ ละผสู้ ืบทอด
4.๑ ผทู้ ีถ่ ือปฏบิ ัติ
ชือ่ นางสรอ้ ยสดุ า ภริ าษร
วัน เดือน ปเี กิด 8 ตุลาคม 2508
ท่อี ยู่ ๑๑ หมู่ ๑๖ ตาบลดงมะดะ อาเภอแม่ลาว จงั หวัดเชยี งราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๖๑ ๓๕๙ ๙๔๙๔
4.๒ ผสู้ บื ทอด
ชื่อ นายสมปราชญ์ ภิราษร
วัน เดือน ปเี กดิ -
ที่อยู่ ๑๑ หมู่ ๑๖ ตาบลดงมะดะ อาเภอแมล่ าว จังหวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๑๙๗ ๘๒๕๖
5. สถำนะ กำรคงอยู่ ปฏบิ ัตอิ ยา่ งแพร่หลาย เสย่ี งต่อการสญู หาย ไมม่ ปี ฏบิ ตั ิแลว้
-41-
6. รปู ภำพภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม/กจิ กรรมทำงภูมปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม