The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หากท่านใดต้องการ Download file สำหรับอ่านแบบ Offine สามารถคลิกได้ที่นี่

ออกแบบและผลิตรูปเล่มโดย : Natnaree Chouywattana (Line id: k.kiz or 088-1270345)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pinhathai Nunuan, 2021-12-21 02:01:23

สัมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว (CF369) ภาคการศึกษา 1/2564

หากท่านใดต้องการ Download file สำหรับอ่านแบบ Offine สามารถคลิกได้ที่นี่

ออกแบบและผลิตรูปเล่มโดย : Natnaree Chouywattana (Line id: k.kiz or 088-1270345)

สมั มนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว (CF 369)

ภาคการศกึ ษา 1/2564

สมั มนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว (CF 369)

ภาคการศกึ ษา 1/2564

บทนำ

หนังสือรวมประเด็นการทำงานของนักศึกษาผู้สนใจประเด็นเด็ก เยาวชน และครอบครัว จากนักศึกษา
ที่เลือกเรียนวิชาโทสาขาการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ภาคการศึกษา 1/2564 รายวิชาสุดท้ายสำหรับ
นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คือ วิชาสัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว (CF 369) มีเป้าหมายเพื่อการสัมมนาเชิงบูรณาการ
ความคิด หลักการ วิธีการและแนวทางต่างๆ ในการพัฒนาเด็กและเยาวชน วิเคราะห์ สังเคราะห์องค์ความรู้
ประสบการณ์การปฏิบัติงาน และการสรุปบทเรียน เพื่อการกำหนดและพัฒนาทิศทางในการพัฒนาเด็ก เยาวชน
และครอบครวั อยา่ งเหมาะสม

รูปแบบการสัมมนา เรากำหนดให้ผู้เรียนเลือกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชนและครอบครัวที่ตนเองสนใจ
จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น ข่าวที่ปรากฏตามสื่อรูปแบบต่าง ๆ ประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังอยู่ใน
ความสนใจของสังคม ประเด็นข้อเสนอ ข้อค้นพบหรือประสบการณ์จากการฝึกภาคปฏิบัติในชุมชนหรือหน่วยงาน
การนำเสนอในรูปของสื่อต่าง ๆ อาทิ ภาพยนตร์ สารคดี ภาพ หรืออื่น ๆ และนำเสนอในรูปแบบการสัมมนาร่วมกันใน
ชั้นเรียน โดยกำหนดประเด็นการนำเสนอที่มีองค์ประกอบในส่วนต่าง ๆ อาทิ ข้อมูล เนื้อหา รายละเอียด
ที่ระบุข้อเท็จจริงในประเด็นที่นำเสนอวิเคราะห์สาเหตุ ความเป็นมา ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติการที่เกิดขึ้นที่นำไปสู่
การแกป้ ญั หา มากนอ้ ยอยา่ งไร

ภาคการศึกษานี้เราข้อเสนอแนะและแนวทางที่ควรมีการดำเนินการ งานสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม
ได้มีการดำเนินการในรูปแบบอย่างไร หากจะเข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขหรือป้องกันปัญหาควรใช้วิธีคิด วิธีการ
และรูปแบบการปฏบิ ัตงิ านอยา่ งไร

การรวบรวมข้อค้นพบจากชั้นเรียนสัมมนาของนักศึกษาทั้ง 2 ศูนย์ (รังสิต/ลำปาง) หวังจะเป็นอีกช่องทาง
ในการเผยแพร่ผลการสมั มนาในชน้ั เรยี นสผู่ ู้สนใจไดร้ ว่ มเรยี นรรู้ ม่ กัน

ขอบคณุ ช้นั เรยี นเทอมน้ี
ครู ผรู้ วบรวมงาน
17 ธนั วาคม 2564

สารบัญ

ลำดับ ศูนย์รังสิต หนา้
คู่รักเพศหลากหลาย สกู่ ารกลายเปน็ ครอบครัว 1
1 ความคาดหวงั ของครอบครัว
2 ความระยิบระยับที่หายไป 2 - 13
3 ความรกั ที่พ่อแม่สง่ ต่อมายงั ลกู 14 - 22
4 ค่านิยมความรุนแรงกบั การลงโทษเด็ก 23 - 37
5 “ค่านยิ ม ความเชอ่ื การรบั บุตรบญุ ธรรมของคนไทย” 38 - 53
6 ปรากฏการณ์การส่ือสารความขับขอ้ งใจของนกั เรียนไทยผา่ นกลุม่ นกั เรียนเลว 54 - 60
7 “สิทธเิ ด็กกบั ความเช่อื ทางค่านยิ ม ศาสนา และวฒั นธรรม” 61 - 71
8 "ความพิเศษที่แตกต่าง" 72 - 83
9 สัมนาการพฒั นาเดก็ เยาวชนและครอบครัว (ความหมายของครอบครัว) 84 - 91
10 แนวทางชีวิตของเดก็ เยาวชน และครอบครัวสู่การเปลีย่ นแปลงและพฒั นาต่อเทคโนโลยี 92 - 99
11 การหลอมรวมวฒั นธรรม สกู่ ารสรา้ งครอบครวั ของผู้หญิงไทย 100 - 106
12 เรอ่ื ง COVID-19 สรา้ งผลกระทบอยา่ งไรต่อเดก็ และเยาวชน 107 - 116
13 เมอื่ ครอบครวั ไม่ใชพ่ น้ื ท่ปี ลอดภัยสำหรับทุกคน ในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรค Covid – 19 117 - 152
14 153 - 162
163 - 176

ศูนย์ลำปาง 177
1 รายงานเร่อื งการกลัน่ เเกลง้ ในสถานศึกษา (School bullying) 178 - 197
2 แวน๊ สก๊อย 198 - 215
3 การพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครวั หัวข้อ การเรยี นออนไลน์ในเดก็ ปฐมวยั 216 - 233
4 คณุ แม่วัยใส 234 - 251
5 ครอบครัวแหวง่ กลาง 252 - 266
6 "โรคซมึ เศรา้ " 267 - 279
7 ปัญหาสารเสพตดิ ในเด็กและเยาวชน 280 - 290
8 SEX CREATOR & SEX WORKER 291 - 306
9 ความรนุ แรงในครอบครัวใยสถานการณโ์ ควดิ – 19 และการชว่ ยเหลอื จากภาครฐั 307 - 324

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 1
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว (CF 369)

ภาคการศกึ ษา 1/2564 ศนู ย์รงั สิต

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 2
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 3
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว รหัสวิชา ดค.369
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับคู่รักเพศ
หลากหลายสู่การกลายเป็นครอบครัว โดยมีการเรียบเรียงอธิบายความหมายของกลุ่มบุคคลที่ความหลากหลายทาง
เพศ สถานการณ์ของครอบครัวเพศหลากหลาย รวมถึงมีการหยิบยกนำเอาภาพยนตร์มาเป็นกรณีศึกษา แนวคิด
และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และบทบาทหน้าที่ของสังคมสงเคราะห์ที่ต้องทำงานกับเด็ก เยาวชน และครอบครัวในกลุ่ม
บุคคลทีม่ ีความหลากหลายทางเพศ
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการศึกษาฉบับนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้นำไปศึกษาเพื่อเป็นความรู้
และสามารถนำไปต่อยอดพัฒนางานสังคมสงเคราะห์ด้านการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัวในอนาคตได้
หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใดหรอื ขอ้ มูลไม่สมบูรณ์ผูจ้ ัดทำจึงขอ้ อภัยมา ณ ทน่ี ้ดี ้วย

ธนปรัชญ์ เมอื งพวน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 4
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

บทนำ
กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศสภาพ เพศตามการรับรู้ตัวตน และการแสดงออก หรือ อัตลักษณ์
ทางเพศ หรือที่ในสังคมปัจจุบันนิยมเรียกว่ากลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ นั้น ปรากฏการใช้มา
ตั้งแต่ทศวรรษท่ี 1990 โดยเป็นการดัดแปลงมาจากอักษรย่อ LGB ที่นำมาใช้แทนวลีสังคมเกย์ (Gay Community)
เนื่องจากหลาย ๆ กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศรู้สึกว่าคำว่าเกย์ไม่สามารถจะอธิบายความหลากหลายทาง
เพศของกลุ่มคนได้อย่างถูกต้อง ครอบคลุม จึงเกิดอักษรย่อ LGBT ขึ้นดังปัจจุบัน โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย
ดังนี้ L - Lesbian หมายถึง กลุ่มหญิงที่มีความรักให้แก่หญิงด้วยกัน G - Gay หมายถึง กลุ่มชายที่มีความรักให้แก่
ชายด้วยกัน B - Bisexual หมายถึง กลุ่มท่ีรักได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้ามก็ตาม
T - Transgender หมายถึง กลุ่มคนข้ามเพศ ทั้งจากเพศชายเป็นเพศหญิง หรือจากเพศหญิงเป็นเพศชาย ด้วย
วิธีการทางการแพทย์ เช่น การรับฮอร์โมนเพศ การผ่าตัดแปลงเพศ เป็นต้น และ Q - Queer หมายถึง กลุ่มคนที่พึง
พอใจต่อเพศใดเพศหนึ่ง โดยไม่ได้จำกัดในเรื่องเพศ และความรัก ซึ่งการใช้ของคำว่า LGBT สมัยใหม่มีความหมายถึง
ความหลากหลายของเพศวิถี (Sexuality) และลกั ษณะการแสดงเพศทางสงั คม และในบางครั้งอาจหมายถงึ กลุ่มคนที่
ไม่ใช่กลุ่มรักต่างเพศ แทนการที่จะมานั่งระบุว่าเป็นหญิงรักหญิง ชายรักชาย รักสองเพศ คนข้ามเพศ ฯลฯ มากกว่า
นั้น สำหรับในสังคมที่ยอมรับและเข้าใจความหลากหลายทางเพศ คำว่าเพศจะหมายถึงอัตลักษณ์ทางเพศ และไม่
เกี่ยวข้องกับการแสดงออก เพศกำเนิด หรือแรงดึงดูดทางกายหรือใจใด ๆ เลย ส่งผลให้นิยามของชายและหญิงใน
อดตี นน้ั ถกู ทำลาย รอ้ื สร้าง และยดื หยุน่ เปดิ กว้างมากกวา่ เดมิ
แรกเริ่มเดิมที สังคมไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้รับอิทธิพลด้านความคิดภายใต้วิธีคิดแบบ คู่ตรง
ข้ามมาโดยตลอด แม้แต่ในฐานความคิดทางประเพณีอันส่งผลสืบเนื่องไปสู่ด้านกฎหมายของการสร้างครอบครัวที่ถูก
จำกัดอยู่ในแนวคิดแบบชายกับหญิงเท่านั้น ทำให้เกิดการจำกัดมุมมอง เกิดการแบ่งแยก ปิดกั้น สร้างความแตกต่าง
เป็นอื่น หรือความผิดปกติให้กับสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแนวคิดนั้น ๆ เช่นเดียวกันในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างเพศ
กลุ่มคนที่ไม่ได้อยู่ในกรอบคิดชายกับหญิงหรือกลุ่มบุคคลเพศหลากหลายถูกมองว่าผิดปกติ ดังจะเห็นได้จากการมอง
ว่ามีความผิดปกติทางด้านจิตใจ โดยมีเอกสารทางราชการระบุว่าเป็นผู้มี ความผิดปกติทางจิตถาวร เป็นโรคจิต
วิกลจริต ซึ่งความคิดความเชื่อดังกล่าวล้วนเป็นผลมาจากการถูกครอบงำ ด้วยวัฒนธรรม บรรทัดฐาน ค่านิยมทาง
สังคม อันนำมาซึ่งการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ ทำให้กลุ่มบุคคลนี้ไม่ได้รับการปฏิบัติหรือสิทธิพึงมีดังที่ควรจะเป็น
แต่เมื่อยุคสมัยแปรเปลี่ยนและความคิดผันแปรของสังคม ทำให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้มีบทบาทมากขึ้น และสามารถ
เปิดเผยตัวตนได้อย่างเสรีในสังคมไทย ดังจะเห็นได้จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ ภาพยนตร์ ที่มีความเปิดกว้างมากกว่า
ในอดีต รวมไปถึงการปฏิบัติ และการใช้คำเรียกกลุ่มบุคคลเหล่านี้ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความเทา่ เทียมทางเพศที่มาก
ขึ้น แต่อีกมุมมองหนึ่งของสังคมกลับมีการปิดกั้นและไม่ได้เปิดยอมรับอย่างเต็มที่ แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการ
ยอมรับจากนานาประเทศว่าเป็นดินแดนที่ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย แต่มักยังมีสิ่งที่ฉายภาพให้เห็นว่าชีวิตของ
กลุ่มบุคคลที่มี ความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยนั้น ยังคงถูกจำกัดสิทธิในการแสดงออกทางเพศด้วยการ
เลือกปฏิบัติ โดยมีการควบคุมการแสดงออกทางเพศอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ (1) การควบคุมอย่างเป็นทางการ คือการ
ควบคุมที่มีกฎหมายเข้ามารองรับ ดังจะเห็นได้จากท่ีกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศได้ออกมาเรียกร้องสิทธิ
สมรสอย่างเท่าเทียม โดยเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายสมรส เพราะเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งแยกความไม่ เสมอภาค
ระหว่างคนรักต่างเพศกับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศออกจากกัน รวมถึงสิทธิที่คู่สมรสควรจะได้รับอย่าง
คู่สมรสตามเพศสถานะที่สังคมยอมรับ และ (2) การควบคุมอย่างไม่เป็นทางการ คือการที่คน ในสังคมเป็นผู้ควบคุม

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 5
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

โดยวิธีการควบคุมอย่างไม่เป็นทางการนั้นมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การนินทาว่าร้าย การถูกระราน การกลั่นแกล้ง
ทง้ั ทมี่ าจากสถาบนั ครอบครวั เพอื่ น สถาบนั การศกึ ษา และสถานทที่ ำงาน ลว้ นแลว้ แตส่ ภาพแวดลอ้ มของสังคมนนั้ ๆ

นับกว่า 30 ประเทศทั่วโลกที่อนุญาติให้มีการสมรสกับเพศเดียวกันได้ อาจจะดูเป็นตัวเลขที่น้อย แต่ก็ถือเป็น
ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ในความก้าวหน้าบนโลกที่มองเห็นถึงสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม เป็นสิ่งสำคัญในการใช้
ชีวิต ซึ่งในความฝันอันสูงสุดของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศคือต้องการความคุ้มครองเหมือนบุคคล
ท่วั ไป และมีตวั ตนในสงั คมท่ตี นอยู่ โดยประเทศลำดบั ที่ 30 คือประเทศไทยนัน่ เอง ซ่งึ ในปี 2020 คณะรฐั มนตรี (ค.ร.ม)
ของประเทศไทยได้เห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. ... ที่อนุญาตให้คู่รักเพศเดียวกัน
สามารถจดทะเบียนสมรสได้ โดยมีหลักการเพื่อให้กลุ่มบุคคลที่มี ความหลากหลายทางเพศได้รับการคุ้มครองอย่าง
เป็นธรรม เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และสามารถดำรงชีวิต ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี อย่างไรก็ตาม แม้ว่า พ.ร.บ. การ
จดทะเบียนคู่ชีวิตที่มีมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ได้ถือว่าได้รับความเห็นชอบจากประชาชนในกลุ่มบุคคลที่มี
ความหลากหลายทางเพศโดยตรง เนื่องจากคำว่าคู่ชีวิตไม่ได้มีบัญญัติไว้ในกฎหมายใด ๆ เหมือนดังเช่นกับคำว่าคู่
สมรสที่มีในตัวบทกฎหมายอยู่แล้ว จักต้องแก้ไขเพื่อให้ได้รับสิทธิเพิ่มเติม ดังนั้น จึงเกิดมุมมองที่ว่าด้วยควรมีการ
แก้ไขกฎหมายเพื่อให้คนเพศเดียวกันและต่างเพศสามารถหมั้นหมายและแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
รวมถึงมีสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สมรสในทางกฎหมายด้วย โดยจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บัญญัติหรือกฎหมายว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของบุคคล จากเดิมที่ระบุว่าสามีและภรรยาให้เป็นคู่สมรสแทน ถัดมาขอ
กล่าวถึงสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งยวดพอ ๆ กับการได้รับสิทธิให้สามารถสมรสกันได้ตามกฎหมายของกลุ่มบุคคล ที่มี
ความหลากหลายทางเพศคือสิทธิการเป็นพ่อแม่ และสิทธิการรับบุตรบุญธรรมของคู่รักร่วมเพศ เนื่องจากคู่รักที่เป็น
เพศเดียวกันนั้น ไม่สามารถที่จะมีลูกด้วยกันได้โดยวิธีการทางชีวภาพเหมือนดังเช่นคู่รักชายและหญิงที่มีเพศตรงข้าม
ดังนั้น การมีทายาทของคู่รักเพศเดียวกันในประเทศไทยที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงมีทางเดียวคือการรับบุตรบุญธรรม
ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบทางเลือกที่มีของประเทศไทยกับต่างประเทศแล้ว จะพบว่ากลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลาย
ทางเพศหรือคู่รักร่วมเพศในต่างประเทศนั้น มีตัวเลือกในวิธีการมีทายาท ที่หลากหลายกว่ากลุ่มผู้ที่มีความหลากหลาย
ทางเพศหรือคู่รักร่วมเพศในไทย ไม่ว่าจะเป็นการรับบุตรบุญธรรม อุ้มบุญ และการรับบริจาคสเปิร์ม ซึ่งเมื่อมีบุคคลที่
สามคือเด็กหรือบุตรเข้ามาเกี่ยวข้องและผูกพันด้วยเงื่อนไขของการร่วมกันอุ้มชูดูแลของคู่รักร่วมเพศนั้น เรียกได้ว่า
เป็นการท้าทายฐานคิดของสังคมว่าด้วยเรื่องครอบครัว หรือหากจะกล่าวชัดเจนคือเรื่องครอบครัวตามธรรมชาติหรือ
กระแสหลักนั่นเอง โดยสิ่งที่สังคมแฝงฝังและ ให้คุณค่าเหล่านี้จึงนำมาซึ่งแรงต้านจากสังคม ทำให้เกิดการมีอคติ
การไม่ไว้วางใจในบทบาทของความเป็น พ่อหรือแม่ อย่างไรก็ตาม ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University
of Cambridge) เผยว่าพ่อแม่จากครอบครัวกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ก็มีความสามารถในการเลี้ยงดู
ลูกเทียบเท่ากับครอบครัวชายหญิงกระแสหลัก และ ณ ปัจจุบันก็ยังไม่ค้นพบข้อสรุปของสมมุติฐานที่ว่าลูกใน
ครอบครัวเพศหลากหลายจะได้รับผลกระทบจากพ่อแม่ที่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ จากผลงานวิจัย
ยังแสดงให้เห็นว่าปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ได้การันตีว่าจะต้องเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นกลุ่มบุคคลที่ความหลากหลาย
ทางเพศเสมอไป หากแตข่ ึ้นอยกู่ บั การเล้ยี งดทู ี่ถกู ตอ้ งและเหมาะสมมากกว่า

จากที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ถึงเช่นนั้นการที่คู่รักเพศหลากหลายจะกลายมาเป็นครอบครัว หรือมุมมองในด้าน
สถาบันครอบครัวของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ถือได้ว่ายังคงไม่กว้างขวางหรือ เป็นที่ยอมรับใน
ประเทศไทยมากเท่าที่ควร แม้ว่าสังคมจะมีการสร้างภาพให้ดูเหมือนว่ากลุ่มบุคคลที่มี ความหลากหลายทางเพศได้รับ
การยอมรับ มีสิทธิ และความเสมอภาคไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่บุคคลที่มี ความหลากหลายทางเพศกลับไม่ได้รับการ
ยอมรับอย่างแท้จริง เรียกได้ว่ายังเป็นการยอมรับแบบมีเงื่อนไข โดยที่มีการควบคุมการแสดงออกทางเพศ ด้วยเหตุ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 6
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

เพราะการมีอคติ และการขาดความเข้าใจต่อวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทาง
เพศ นำไปสู่การถูกเลือกปฏิบัติในวงกว้างหลากหลายแง่มุมภายใต้สังคมที่ถูกจัดวางและให้คุณค่ามาตลอดระยะเวลา
ยาวนานของมนุษยชาตเิ กยี่ วกบั ความสมั พนั ธแ์ ละความเป็นเพศท่สี งั คมจักต้องยอมรบั ได้

แนวคดิ และทฤษฎี
แนวคิดเพศ เพศภาวะ เพศวถิ ี และคำนยิ ามของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ

แนวคิดเรื่องเพศประกอบไปด้วย 3 มิติที่ต้องพิจารณาร่วมกัน ได้แก่ เพศทางร่างกายสรีระ (Sex) เพศ ที่เป็น
บทบาททางสังคม (Gender) และเพศในทางกามารมณ์ เพศสัมพันธ์ และอารมณ์ความรู้สึก (Sexuality, Sexual
Orientation) ดังนี้

1. เพศสรีระ (Sex) หรือมักใช้คำว่าเพศโดยกำเนิด หมายถึง อวัยวะเพศ ลักษณะเพศ ทางกายภาพที่มองเห็น
จากภายนอก และเพศที่ถูกระบุทางพันธุกรรมหรือโครโมโซม เช่น คนที่เกิดมามีอวัยวะเพศชาย หรือโครโมโซม XY หรือ
คนที่เกิดมามีอวัยวะเพศหญิง หรือมีโครโมโซม XX เพศสรีระมักเป็นถูกใช้เป็นตัวกำหนดเพศ ที่ถูกรับรองในทาง
กฎหมายหรือถูกรับรองอย่างเป็นทางการโดยระบบของรัฐ เช่น ประเทศไทย เด็กที่เกิดมามีอวัยวะเพศชาย จะได้รับการ
จดทะเบียนการเกิดเป็นเพศชาย และได้รับคำนำหน้าว่าเด็กชาย เด็กที่เกิดมามีอวัยวะเพศหญิงย่อมได้รับคำนำหน้าว่า
เด็กหญิง ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายหรือข้อบัญญัติที่รัฐกำหนด อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วนั้น ยังมีบุคคลที่เกิด
มามีอวัยวะเพศ หรือมีลักษณะทางกายภาพ หรือพันธุกรรมที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศใดเพศหนึ่ง หรือที่เรียกว่า
Intersex จากการบันทึกทางสถิติของ Intersex Society of North America เด็กที่เกิดมาแล้วมีลักษณะของ
Intersex มีประมาณ 1 คน ต่อเด็ก ที่เกิด 1,000 – 2,000 คน การเกิดขึ้นของบุคคลที่เป็น Intersex แสดงให้เห็นว่า
แม้แต่เพศทางสรีระที่เกิด โดยธรรมชาตินั้น ก็ไม่ได้มีแค่สองเพศเท่านั้น แต่ยังมีความหลายหลากทางเพศสรีระอื่น ๆ
หลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในหลาย ๆ ประเทศจึงมีการปกป้องสิทธิของเด็กที่เป็น
Intersex โดยไม่ทำการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงอวัยวะเพศของเด็ก แต่รอให้เด็กเติบโตพอที่จะรับรู้และเลือกเพศที่ตนเอง
ต้องการจะเป็น ดังเช่นในเยอรมันนีมีการออกกฎหมายให้เด็กแรกเกิดที่ยังไม่สามารถระบุเพศได้รับการจดทะเบียนการ
เกดิ ในเพศ “X” จนกว่าเด็กจะเตบิ โตและสามารถตัดสินใจเลอื กเพศของตนเองได้

2. เพศภาวะหรือเพศสภาพ (Gender) หมายถึง บทบาทความเป็นเพศที่ถูกกำหนดและประกอบสร้าง
ขี้นจากขนบธรรมเนียม ประเพณี โครงสร้างอำนาจ และกลไกทางสังคมต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อ การนิยามตนเอง หรืออัต
ลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) และการแสดงบทบาททางเพศ หรือตัวตน ทางเพศของบุคคลในสังคม เช่น การ
แสดงบทบาทความเป็นหญิง หรือความเป็นชาย หรือความเป็นเพศอ่ืน ๆ ในสังคมของบุคคล เพศสภาพเป็นผลลัพธ์
จากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่เชื่อมโยงกับทัศนคติ ความเชื่อ วัฒนธรรม ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ซึ่ง
ไม่มีสถานะตายตัว สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามยุคสมัย ตามความแตกต่างทาง สังคมและวัฒนธรรม และไม่จำเป็น
จะต้องสอดคล้องกับเพศสรีระหรือเพศกำเนิดก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่มีการควบคุมบทบาททางเพศสภาพและ
บรรทัดฐานความเป็นหญิงความเป็นชาย (Gender Norm) สูง บุคคลอาจจะไม่สามารถแสดงออกความเป็นเพศของ
ตนเองได้อย่างเต็มท่ี และจำต้องแสดงออกบทบาททางเพศตามที่สังคมกำหนด เช่น เกิดเป็นผู้หญิงต้องเรียบร้อย
ต้องใส่กระโปรง เป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง เป็นผู้นำ ไม่ร้องไห้ เป็นต้น การควบคุมบทบาททางเพศสภาพเหล่านี้ส่งผลทำ
ให้คนกลุ่มหนึ่ง ที่แสดงออกผิดแผกไปจากบรรทัดฐานทาง สังคมถูกตีตราทำให้เป็นกลุ่มชายขอบ (Marginalized
Group) บุคคลที่มีเพศสภาพแตกต่างจากเพศกำเนิดนั้นหมายถึงบุคคลที่เกิดมาเป็นเพศกำเนิดหนึ่ง แต่นิยามตนเอง
หรือแสดงออกแตกต่างออกไป ไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Transgender หรือ คนข้าม

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 7
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

เพศ คนข้ามเพศกำหนดนิยามตนเองหรือมีสำนึกรู้ว่าตนเองมีเพศสภาพที่แตกต่างจากเพศสรีระ และ บทบาททางเพศ
ที่สังคมกำหนด โดยแบ่งออกเป็นบุคคลที่เกิดมามีอวัยวะเพศชายแต่นิยามตนเองและ แสดงออกเป็นผู้หญิง (Male-
to-female) ในภาษาไทยเรยี กวา่ ผูห้ ญงิ ขา้ มเพศ และบคุ คลทเี่ กิดมามอี วัยวะ เพศหญิง แต่แสดงออกหรอื นยิ ามตนเอง
ว่าเป็นผู้ชาย (Female-to-male) ในภาษาไทยเรียกว่าผู้ชายข้ามเพศ (การกำหนดคำเรียกนั้นจะยึดเพศที่บุคคลน้ัน
ต้องการจะเป็นเป็นหลัก) ในกลุ่มคนข้ามเพศยังมีความหลากหลาย ของอัตลักษณ์และการแสดงออกในหลายระดับ ซ่ึง
ขึ้นอยู่กับความพอใจ ความต้องการ ความพร้อมใน ด้านต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล บางคนอาจจะพอใจในการแต่งกาย
และแสดงออกข้ามเพศ แต่ไม่ต้องการใช้ฮอร์โมนเพื่อ เปลี่ยนแปลงร่างกาย หรือไม่เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศก็ได้
(ทั้งน้ี อาจจะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลด้วย) หรือบางคนอาจจะต้องการเปล่ียนเพศสรีระด้วย
การผ่าตัดแปลงเพศ และ การใช้ฮอร์โมนเพ่ือข้ามไปเป็นเพศท่ีตนเองเป็นอย่างสมบูรณ์ ในปัจจุบันเทคโนโลยีทาง
การแพทย์พัฒนาไปมากและสามารถทำการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย และชายเป็นหญิงได้มีประสิทธิภาพมาก
ขึ้น ในหลายประเทศมีการรับรองเพศที่ เปลี่ยนแปลงใหม่ของคนข้ามเพศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยการอนุญาต
ใหเ้ ปล่ยี นคำนำหน้า และรับรองสทิ ธิตามเพศท่เี ปล่ียนแปลงไป

3. เพศวิถี (Sexuality) หมายถึง วิถีชีวิตทางเพศในทางกามารมณ์ และในด้านความรักความรู้สึก ซึ่งหมาย
รวมถึงรสนิยมทางเพศ ความรู้สึกดึงดูด ความปรารถนาทางเพศ ความรู้สึกรักใคร่ชอบพอ หรือพฤติกรรม ใน
ความสัมพันธ์ทางเพศของบุคคล ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ การรักเพศตรงข้าม (Heterosexuality) หมายถึงการท่ี
บุคคลรักใคร่ชอบพอ พึงพอใจ หรือมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อบุคคล ที่มีอัตลักษณ์หรือการแสดงออกทางเพศท่ี
ตรงข้ามกับตนเอง เช่น ความรักระหว่างชายกับหญิง การรักเพศเดียวกัน (Homosexuality) หมายถึงการที่บุคคล
รักใคร่ชอบพอ พึงพอใจ หรือมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศต่อบุคคลที่มีอัตลักษณ์หรือการแสดงออกทางเพศแบบ
เดียวกับตนเอง การรักสองเพศ (Bisexuality) การที่บุคคลรักใคร่ชอบ พอ พึงพอใจ หรือมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศ
ต่อบุคคลที่มีอัตลักษณ์หรือการแสดงออกทางเพศท่ี ตรงข้ามกับตนเอง และบุคคลที่มีอัตลักษณ์หรือการแสดงออก
ทางเพศแบบเดียวกบั ตนเอง (ทง้ั นีไ้ ม่ไดห้ มายถงึ การรักหรือมคี วามสมั พันธ์กับคน 2 คนในเวลาเดียวกนั ) นอกจากนใ้ี น
สังคมปัจจบัน ยังมีการนิยามบุคคลที่ระบุว่าตนเองไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบเพศใด ๆ หรือไม่ได้ชอบบุคคลแบบหนึ่งแบบใด
เลย ในภาษาองั กฤษเรยี กวา่ Asexual และบุคคล ระบุว่าตนเองรักและพึงพอใจบคุ คลใดบคุ คลหน่ึงได้ โดยไม่มขี ้อจำกัด
ในเรื่องเพศ ทงั้ เพศสรรี ะ เพศสภาพ และเพศวถิ ี ในภาษาอังกฤษเรยี กบคุ คลกลุ่มน้ีวา่ Pansexual

ความเป็นเพศทั้ง 3 มิติแสดงให้เห็นว่า “เพศ” ไม่ได้มีเพียงสองรูปแบบ เพียงแค่ชายและหญิงอย่างที่เคย
เข้าใจกัน แต่ “เพศ” เป็นสถานะหรือภาวะที่ไม่ตายตัว ลื่นไหล และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งในระดับปัจเจกหรือการ
แสดงออกหรือการนิยามตนเองของบุคคล และในระดับสังคม เพศของบุคคลไม่ได้ถูกกำหนดและควบคุมโดยเพศสรีระ
หรือโครโมโซม แต่เป็นสิ่งที่บุคคลพึงแสดงออกตามความต้องการ ความพึงพอใจ ตามสิทธิและเสรีภาพในชีวิต และ
ความเปน็ ส่วนตวั ของบคุ คลน้ัน

ทฤษฎตี ีตรา (Labeling Theory)
ทฤษฎีตีตราเป็นทฤษฎีที่มองภาพรวมของสังคม โดยอธิบายว่ากลุ่มสังคมต่าง ๆ สมาชิก แต่ละคนในสังคมจะ

ปฏิบัติหน้าที่ของตนตามฐานะหรือตำแหน่งทางสังคมที่ตนดำรงอยู่ มีกฎข้อบังคับ ธรรมเนียมประเพณีที่ต้องปฏิบัติ
ตาม มีค่านิยมซึ่งหมายถึงพลังจูงใจที่จะทำให้คนหรือกลุ่มสังคมตัดสินหรือประเมินว่าสิ่งใดบ้างที่ตนประสงค์หรือไม่
ประสงค์ ดีหรือเลว ค่านิยมนั้นเป็นนามธรรมที่อยู่เหนือกฎข้อบังคับทางสังคมเปรียบเสมือนเป็นมาตรฐานที่เป็น
เครื่องชี้วัดพฤติกรรมทางสังคม ว่าสิ่งใดบ้างที่พึงประสงค์และ ควรแก่การยกย่อง ซึ่งมาตรฐานนี้เป็นที่ยอมรับของ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 8
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สมาชิกในสังคม กล่าวคือ การตีตรา คือ ลักษณะหรือ ความแตกต่างที่ไม่พึงประสงค์ของบุคคลที่ถูกนิยามโดยบุคคล
อื่นในสังคม นำไปสู่การลดค่าของบุคคลให้ต่ำกว่าบุคคลทั่ว ๆ ไป ส่งผลให้บุคคลเปลี่ยนจากบุคคลปกติธรมดาเป็น
บุคคลที่ไม่บริสุทธ์ิ ด่างพร้อย เสื่อมเสีย มีมลทิน ไร้คุณค่า น่าอดสู และไม่น่าเชื่อถือ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน การตีตราจะ
เกี่ยวข้องกับบุคคลที่มีพฤติกรรมบางอย่างเบี่ยงเบน เช่น ครอบครัวของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่
ไม่ไดร้ บั การยอมรบั ของสังคมเท่าทีค่ วร เป็นตน้

สำหรับการตีตราทางเพศ หมายถึง การบั่นทอนคุณค่าของกลุ่มบุคคลที่เป็นคนกลุ่มน้อย ทางเพศ (Sexual
Minorities) ผ่านการมีทัศนคติในแง่ลบและมองว่า มีสถานะที่ต่ำกว่า อันเนื่องมาจากพฤติกรรม อัตลักษณ์ รูปแบบ
ความสัมพันธ์ และชุมชนที่ไม่สอดคล้องกับขนบของกลุ่มคนรักต่างเพศ (Herek 2007) กลุ่มประชากรที่เป็นคนกลุ่ม
น้อยทางเพศสภาพและเพศวิถีน้ัน จึงต้องประสบกับการถูกตีตราและ ถูกเลือกปฏิบัติในหลากหลายรูปแบบ (Frisel et
al., 2010; Frost and Meyer, 2009) จึงเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลให้คนกลุ่มน้อยทางเพศหรือกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน
ประสบปญั หาด้านสขุ ภาพจติ มากกวา่ เมื่อเทยี บกบั กลมุ่ คนรกั ตา่ งเพศ (King et al., 2008)

Parker และ Aggleton (2002) ได้เสนอมุมมองเพื่อ ทำความเข้าใจการตีตราในฐานะผลผลิตของโครงสร้าง
ทางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งปฏิบัติการอยู่เหนือกว่าระดับทัศนคติของปัจเจกชน นอกจากน้ี ยังเสนอว่าควรทำความ
เข้าใจการตีตราในฐานะปรากฎการณ์เชิงโครงสร้าง (Structural Phenomenon) กล่าวในอีกแง่หนึ่ง คือ การตีตราคือ
ทางแยกที่เชื่อมระหว่างวัฒนธรรมอำนาจและความเป็นอื่น การทำความเข้าใจการตีตราในบริบทดังกล่าว ซึ่งเป็นการ
ต่อยอดแนวคิด “ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง” (Structural Violence) ของ Farmers (2004) จึงถือว่าการตีตราเป็น
“ความรุนแรงเชิงสญั ลักษณ”์ (Symbolic Violence) ที่ประกอบดว้ ยกระบวนการหลากหลายเพอื่ ใชอ้ ำนาจ (และกีดกัน
สิทธิ) ภายใต้ระเบียบของสังคม กลุ่มบุคคล ที่ถูกตีตรานั้นต่าง “ถูกกระทำผ่านเครื่องมือทางสัญลักษณ์อันทรงอำนาจ
เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ อำนาจที่ไม่เท่าเทียม” เมื่อเชื่อมโยงสู่กรอบความเชื่อเชิงวัฒนธรรมแบบไทย คือ การ
รักษาเกียรตแิ ละศกั ดศิ์ รีน่ันเอง (Jackson, 2004)

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 9
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

กรณศี ึกษา ภาพยนตรเ์ รื่อง Fathers

ภาพยนตรเ์ รื่อง FATHERS (2016)
เรื่องย่อ “ฝุ่น” ผู้จัดการฝ่ายการเงินและการลงทุนวัย 36 ปี กับ “ยุกต์” Illustrator หนุ่มวัย 33 ปี ทั้งคู่อยู่กินกัน
มาแล้วกว่า 13 ปี โดยทั้งสองได้รับ “บุตร” ซึ่งเป็นเด็กกำพร้ามาเลี้ยงด้วยกันตั้งแต่เด็กน้อยยังเป็นทารก จนเมื่อบุตร
เริ่มเข้า ป.1 ก็ได้ถูกเพื่อนล้อว่าไม่มีแม่ ความพิเศษของเขาที่มีพ่อถึงสองคนเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ บุตรเริ่มถาม
ถึงแม่ของเขาจนสร้างความอึดอัดใจบางประการให้กับฝุ่นและยุกต์ จนกระทั่งวันหนึ่ง การมาถึงของ “รัตติยา”
ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิเด็กก็ทำให้บรรยากาศในบ้านหลังนี้เริ่มเปลี่ยนไป คำแนะนำของรัตติยาและการสืบค้น
ถึงประวัติการเกิดมาของบุตร ทำให้ฝุ่นและยุกต์เริ่มอึดอัด ทั้งคู่มีทางเลือกไม่มากนัก และอาจจำเป็นต้องตัดสินใจ
เลือกทางท่ีบุตรจะมีความสุขทีส่ ดุ แม้ว่าเขาท้ังสองคนจะทกุ ข์กต็ ามที

จากการสัมมนาหัวข้อ “คู่รักเพศหลากหลายสู่การกลายเป็นครอบครัว” ในชั้นเรียนรายวิชา ดค.369
สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว ผ่านการรับชมภาพยนตร์เรื่อง Fathers เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2564
สามารถสรปุ และอภิปรายได้ดงั นี้

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 10
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

เริ่มต้นด้วยการหยิบยกคำโปรยของภาพยนตร์ที่ว่า ‘LOVE’ starts with two people, but ‘FAMILY’ more
than just the two. หรือที่แปลเป็นภาษาไทยความว่า คำว่า ‘ความรัก’ เริ่มจากคนสองคน แต่คำว่า ‘ครอบครัว’ มัน
มากไปกว่านั้น ซึ่งจากสิ่งที่ภาพยนตร์ได้ฉายภาพออกมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมากกว่าแค่เพียงคนสองคนที่รักกันไป
มาก ถ้าในมุมของการเริ่มต้น ก็ถือว่าจริงที่ว่าคำว่าความรักนั้นเริ่มจาก คนสองคนที่มีความสัมพันธ์หรือข้อตกลงร่วม
ระหว่างกัน โดยหลังจากนั้นอาจจะมีเด็กหรือบุตรที่เพ่ิมเข้ามา เพื่อเสริมและเติมเต็มให้กลายเป็นคำว่าครอบครัว อีกทั้ง
ยังรวมไปถึงบุคคลและสังคมนิเวศแวดล้อมที่รายล้อมครอบครัวเพศหลากหลายอยู่ แต่ด้วยความที่ครอบครัวเพศ
หลากหลายไม่ได้เป็นไปตามความหมายของครอบครัวกระแสหลกั ท่ีมกี ารกำหนดกรอบเพศอย่างทส่ี ังคมยอมรับได้ โดย
ท่ีไม่ได้นับจำนวนคนเสียด้วยซ้ำ แต่กลับนับความเป็นเพศว่าเช่นใดจึงจะสามารถเรียกว่าครอบครัวได้ กล่าวได้ว่า ไม่ใช่
เพียงแค่ความรู้สึกของ คนกลุ่มหนึ่งที่จะรวมกันเป็นครอบครัวเท่านั้น เพราะยิ่งด้วยเกี่ยวข้องสัมพันธ์ไปกับสถาบัน
ทางสังคมแล้วนั้น เลยไม่ง่ายสักเท่าไหร่ท่ีจะรวมกันเป็นหรือใช้นิยามเดียวกับตรงกลาง เมื่อมีความเป็นเพศที่ถูก
คาดหวังจากสังคมท่ีมองเข้ามา และจากภาครัฐที่ควบคุมและจิตนาการว่าความหมายของคำว่าครอบครัวควรเป็นเช่น
ไร ผ่านตัวบทกฎหมายที่มีการระบุไว้อย่างที่สังคมยอมรับได้ ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีอะไรที่ผิดแผกไปจากกรอบเพศที่สังคม จัด
วางและให้คุณค่ามาตลอดระยะเวลายาวนาน ก็นำมาซึ่งการมีอคติทางเพศ การประทับมลทิน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุ
แห่งเพศแก่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ อันมีบทบาทในฐานะพ่อแม่ว่าไม่สามารถ ที่จะอุ้มชูดูแลไปตาม
หนา้ ที่ของครอบครัวไดท้ ดั เทยี มดังเชน่ คู่รกั ต่างเพศ

การเลี้ยงดูลูกของคู่รักเพศหลากหลายคู่นี้ถือว่าเป็นไปอย่างเต็มไปด้วยความกลัว โดยกลัวว่าลูกจะ
ซึมซับอัตลักษณ์ทางเพศหรือรสนิยมทางเพศของตนและคู่รัก เหมือนดังเช่นที่ตนเคยซึมซับมาจากพ่อของตน ที่มีเพศ
หลากหลายเช่นกัน นำมาซึ่งปัญหาที่เกิดคือความสับสน กังวล และระมัดระวังของผู้เลี้ยงดูและสมาชิก ที่อยู่ในแวดวง
ของครอบครัวเพศหลากหลาย เพราะไม่รู้ว่าควรจะวางบทบาทหรือตำแหน่งเช่นไรในการที่จะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งซึ่ง
สิ่งแวดล้อมมีความสำคัญ เรียกได้ว่า ผู้เลี้ยงดูและสมาชิกที่อยู่ในแวดวงต้องดำเนินชีวิตด้วยประสบการณ์อย่างคาด
เดามาก ๆ ในการเลี้ยงดู เพราะไม่มีชุดความรู้รองรับ แต่อย่างไรก็ตามความเป็นเพศไม่ได้ถูกแยกเด็ดขาดชัดเจนหญิง
ชาย และยังขึ้นอยู่กับความผันแปรของยุคสมัยและความคิดของผู้คน ในสังคมด้วย สิ่งเหล่านี้คือมันมากกว่าเรื่องเพศ
และกำลังสอนเรื่องความเป็นมนุษย์ต่าง ๆ ท่ีต้องมีการเคารพระหว่างกันในความแตกต่างหลากหลาย อันทำให้การ
ดำรงหรืออยู่ร่วมในสังคมนั้นง่ายขึ้นมาก แต่วิธีการเหล่านี้มันเพิ่งเริ่มเกิดขึ้น และกฎหมายกำลังเปลี่ยนตาม แต่
กฎหมายอย่างเดียวไม่พอบางอย่าง มันละเอียดอ่อนเกินกว่ากฎหมายไปมาก กล่าวคือ สิ่งแวดล้อมทางสังคมมีผลต่อ
บคุ คลบางอย่าง แต่ไมไ่ ดเ้ ปน็ ตวั บอกวา่ อยกู่ ารเลี้ยงดูของครอบครวั แบบไหนแล้วจะกลายเปน็ แบบนนั้ นัน่ เอง

จากการเข้ามามีบทบาทของรัตติยา สะท้อนให้เห็นถึงประเด็นเรื่องประโยชน์ที่พึงมีของเด็กได้ชัดมาก
ทั้งนำมาซึ่งการตั้งคำถามว่าแง่มุมใดกันที่จะทำให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะเนื่องด้วยความเป็นเด็กที่ยังไม่
สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง แต่เมื่อถ้าลองมองในอีกแง่มุมหนึ่งความรู้สึกของเด็กก็มีความสำคัญเช่นกัน ประเด็น
ถัดมา ระหว่างความเป็นธรรมทางสังคมและความเป็นธรรมทางกฎหมาย ภาพยนตร์เร่ืองนี้เป็นเหมือนตัวตอบว่าเราไม่
สามารถเลือกยึดเพียงอันใดอันนึงไม่ได้ ดังเช่นฉากที่มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง พ.ร.บ. คู่ชีวิตและการจดทะเบียน
ความว่าหากคนที่มีสิทธิในตัวลูกเกิดเสียชีวิต เท่ากับว่าอีกคนก็ไม่มีสิทธิในตัวลูกเลย เรียกได้ว่าคือประโยชน์กับเด็ก
จากความเป็นธรรมทางกฎหมายที่ยังไม่รองรับ แต่หากถ้ายึดเอากฎหมาย เป็นหลักเพียงอย่างเดียว เด็กก็จะไม่
สามารถไปอยู่กับแม่ที่แท้จริงของตนเองได้ เพื่อที่จะได้จำลองให้เข้าใจถึงบทบาทความเป็นแม่ที่พ่อทั้งสองให้แก่ตนไม่ได้
กล่าวคือ ไม่สามารถเลือกได้ว่าควรที่จะเลือกความเป็นธรรมทางสังคมหรือความเป็นธรรมทางกฎหมาย ไม่มีคำตอบ
เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และตอบไม่ได้เลยว่าควรที่จะเลือกอะไรให้กับเด็ก แต่สิ่งสำคัญคือการประเมินและวินิจฉัยต้องชัด

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 11
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

เด็กควรที่จะได้รับการประเมินและวินิจฉัยอย่างรอบด้านก่อนที่จะให้เขาได้รับบางสิ่ง หรือถูกหย่อนเข้าไปในบริการ
บางอยา่ ง อนั ถกู วางหรอื จดั บรกิ ารตามเหมาะสม เพื่อสนับสนนุ ตัวเด็กแต่ละคนน่นั เอง

บทบาทนักสงั คมสงเคราะห์
สำหรับบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์กับครอบครัวของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เนื่องจาก

รูปแบบหรือลักษณะของครอบครัวไม่เป็นไปตามส่ิงที่สังคมคาดหวังหรือจัดวางไว้ให้ จึงนำมาซึ่งการมองเข้ามาของ
สังคมที่สร้างความเครียด ความกดดัน ความสับสน ฯลฯ ที่ผสมปนเปกันไปแก่ทั้งผู้ดูแลซึ่งคือพ่อแม่ เพศหลากหลาย
และลูกหรือบุตรบุญธรรม ดังนั้น การเสริมพลังเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรู้ถึงคุณค่าในตัวเอง ว่าสิ่งที่เขาเหล่านั้นเป็น
ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแปลก รวมไปถึงการสร้างความเข้าใจให้แก่ลูกถึงรูปแบบหรือลักษณะครอบครัวของตน และความ
หลากหลายของพ่อแม่ ที่อาจไม่ใช่กระแสหลักของสังคม เพื่อให้เด็กเกิดการยอมรับในตนเอง เคารพและอยู่ร่วมกับ
ความแตกต่างหลากหลายในสังคมอย่างเข้าใจความเป็นไป มากกว่านั้น นักสังคมสงเคราะห์สามารถทำงานกับนเิ วศ
แวดล้อมอื่น ๆ ของเด็ก เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยในสังคมให้มากขึ้น เช่น การกระจายการสร้างความเข้าใจไปสู่คุณครู
อันมีอิทพลส่งต่อไปในวงกว้างแก่เพื่อนของเด็กและผู้ปกครองของเพื่อนเด็กได้อีกด้วย เป็นต้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว
เขาเหล่านั้นไม่ได้อยู่ร่วมเพียงกลุ่มบุคคลที่มี ความหลากหลายทางเพศ แต่อยู่ร่วมในสังคมผู้ที่มีความหลากหลายทาง
เพศตา่ งหาก

จากการสร้างความเข้าใจแก่ครอบครัวหลากหลายเพศ อาจนำมาซึ่งความตระหนักสู่การพิทักษ์สิทธิ
ของตนผ่านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมพร้อมไปกับงานนักสังคมสงเคราะห์ เช่น สมรสเท่าเทียม เป็นต้น โดยการ
ออกมาเคลื่อนไหวของครอบครัวเพศหลากหลาย อาจไม่ได้ต้องการกฎหมายเพื่อให้สังคมยอมรับ เพียงอย่างเดียว แต่
เพราะว่าสิทธิทางเพศก็คือสิทธิมนุษยชนอันนำมาซึ่งสิทธิที่พึงมีพึงได้ เพื่อสร้างให้เกิดสังคมผู้ที่มีความหลากหลายทาง
เพศในอนาคตท่ีสุกใสตอ่ ไป

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 12
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

อ้างองิ

กติ ตวิ นิ ท์ เดชชวนากร. (2560). เพศวิถีกบั การสร้างอตั ลกั ษณใ์ นพน้ื ทโี่ รงเรยี น. ใน
มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น, บณั ทิตวิทยาลยั , การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยบัณทิตศกึ ษา ระดับชาตแิ ละ
นานาชาติ 2560 (น.63-73). ขอนแกน่ : สำนักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ . สบื ค้นจาก

https://gsbooks.gs.kku.ac.th/60/nigrc2017/pdf/HDO2.pdf

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาต.ิ (2563). เรอื่ งราวแหง่ การตีตรา: การศกึ ษาการตีตราและการ
เลอื กปฏบิ ตั ิต่อบุคคลข้ามเพศในประเทศไทยขณะเข้ารับการบรกิ ารดา้ นสุขภาพและบรบิ ทตา่ งๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง.
กรุงเทพฯ: โครงการพฒั นาแห่งสหประชาชาติ. สืบค้นจาก

https://www.th.undp.org/content/dam/thailand/docs/UNDPTH%20Stories%20of%20StigmaTha

S.pdf

จอมอภญิ ญ์ ผนั ประเสริฐ, จักรภัทร ศรีเชย, ฐิตาพร แอนกำโภชน,์ และธวชั ชยั กูลหลัก. (2564).

รายงานครอบครัวผู้ ทมี่ คี วามหลากหลายทางเพศ. เอกสารไม่ตีพิมพ์, คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร,์

มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ปทุมธาน.ี

ชีรา ทองกระจาย. (ม.ป.ป.). ความเทา่ เทียมกันทางเพศ. สืบค้นจาก
https://www.stou.ac.th/Schoolnew/polsci/UploadedFile/82427-8.pdf

มนูญ วงษม์ ะเซาะห์. (2564). ทำความรจู้ กั กบั LGBTI ตัวยอ่ ที่มคี วามหมาย และประเด็นทีน่ า่ สนใจใน
ความกา้ วหนา้ ของกลมุ่ LGBTQI ในปี 2020. สบื ค้นจาก

https://www.amnesty.or.th/latest/blog/860/

โรงพยาบาลเพชรเวช. (2562). LGBTQ ความหลากหลายที่ต้องเขา้ ใจ. สบื คน้ จาก
https://www.petcharavejhospital.com/th/Article/articledetail/LGBTQ

LMCNEWS. (2564). การยอมรบั LGBTQ ในสังคมไทย. สืบค้นจาก
http://human.msu.ac.th/lmcnews/slidemdetails.php?slide=Mzk=

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 13
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 14
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 15
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

บทนำ
"ขอให้ลูกเรียนหนังสือเก่งๆ " "ขอให้สอบได้ท่ี 1" "ขอให้ลูกสอบเข้ามหาลัยชั้นนำ" "เรียนพิเศษเยอะๆ จะได้มี
พื้นฐาน" สารพัดคำขอที่มาจากพ่อแม่และเด็กที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ในระบบการศึกษา การเรียนอย่างหนักเพ่ือ
ได้มาซึ่งคณะและหาลัยชั้นนำของประเทศเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในวงกว้าง หากถามว่าเด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน จะพบว่า
"เดก็ ไทยเรียนหนกั ที่สุดในโลก"

เด็กไทยเรยี นหนกั เปน็ อนั ดับ 2 ในระดบั อายุ 9 ปี 1,080 ชัว่ โมงตอ่ ปี
เดก็ ไทยเรยี นหนกั เปน็ อันดับ 1 ในระดบั อายุ 10 ปี 1,200 ชวั่ โมงต่อปี
เดก็ ไทยเรยี นหนักเป็นอนั ดับ 1 ในระดบั อายุ 11 ปี 1,200 ช่ัวโมงต่อปี
เด็กไทยเรียนหนกั เปน็ อนั ดบั 5 ในระดบั อายุ 12 ปี 1,167 ชัว่ โมงตอ่ ปี
เด็กไทยเรยี นหนกั เป็นอนั ดับ 8 ในระดับอายุ 13 ปี 1,167 ชว่ั โมงต่อปี

อ้างองิ จาก ประเทศไทยอย่ตู รงไหน, 2012.
http://whereisthailand.info/2012/01/pupils-class-hours/

เห็นได้ว่าจากสถิติที่กล่าวมานั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเด็กระดับช่วงอายุอยู่ท่ี 9 - 13 ปี แต่ต้องใช้สามารถส่วน
ใหญ่ไปกับการเรียนหนังสือในโรงเรียนกว่า 1,000 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่รวมเวลาสำหรับการเรียน
พเิ ศษท่ีเด็กบางคนยังต้องเรยี นเพมิ่ อกี ด้วย เวลาในชวี ิตส่วนใหญจ่ ึงมีแตก่ ารเรียน

จากสัมมนาในหัวข้อ 'ความคาดหวังของครอบครัว ผลพวงที่มาจากการระบบศึกษา' ที่ผู้เขียนเป็นผู้จัด
สัมมนานี้เองนั้น เริ่มมาจากการสนใจในโพสต์ของผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่ง โพสต์เคล็ดลับการดูแลลูกชายวัยอนุบาล 3ให้
สามารถสอบติดโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง เมื่อโพสต์ออกไปมีผู้แสดงความคิดเห็นอย่างล้นหลามถึงพฤติกรรมของคุณ
แม่ดัง ผู้ใช้บางส่วนโพสต์ชื่นชมถึงความเอาใจใส่ของผู้เป็นแม่ที่มีการจัดตารางการอ่านหนังสือ ทำการบ้านเตรียมสอบ
เข้า มีการติวพิเศษให้ลูก เพื่อให้ลูกสามารถเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงได้อย่างใจที่แม่หวัง ส่วนผู้แสดงความคิดเห็นอีกฝ่ัง
มองว่า เร่ืองนีน้ ่าตกใจตั้งแตม่ ีการสอบเข้าในระดับประถม 1 เดก็ อนบุ าลไม่ควรจับปากกาดินสอเพื่อเตรียมสอบ แตค่ วร
ได้เรียนได้เล่นอย่างเต็มที่ การที่แม่ให้ลูกนั่งเรียนและติวเพิ่มนั้นเป็นการบังคับลูกและฝืนใจลูกมากเกินไป ในโพสต์นี้มี
ความคิดเห็นที่แบ่งเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน แต่ก็มีผู้ใช้บางคนมองว่าเป็นสิทธิของแม่ที่จะตัดสินใจเลือกทางเดินให้ลูก
ทั้งหมดทท่ี ำก็เปน็ ความหวังดีดว้ ยกันทง้ั นั้น และสว่ นสดุ ท้ายคือผู้ที่แชรป์ ระสบการณ์
ของตนเอง ซึ่งมีผู้เขียนพบว่ามีผู้มีประสบการณ์เช่นนี้เยอะมาก หลายคนต้องเรียนพิเศษตั้งแต่เด็กเข้าเรียนในโรงเรียน
มีชื่อเสียง และต้องเรียนอย่างหนักเพื่อเข้าคณะและมหาลัยชั้นนำของประเทศ หลายคนขอบคุณพ่อแม่ท่ีทำให้พวกเขา
ได้มีอนาคตที่ดี แต่บางคนรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ใช้ชีวิตวัยและเสียชีวิตวัยรุ่นให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว ที่ผู้เขียนสนใจ
โพสต์นี้เนื่องจาก ในโพสต์นี้นั้นมีประเด็นสังคมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการเรียนหนักท่ีถูกยอมรับเป็นวง
กว้าง การพยายามส่งลูกในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง การเรียนพิเศษ ระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขัน พัฒนาการของเด็ก
กับความเหมาะสมการเรียนการสอนของโรงเรียนไทย ความคาดหวังหรือที่ผู้แสดงความเห็นในโพสต์เรียกว่า
ความหวังดขี องพอ่ แม่ สุดทา้ ยคือความต้องการของลกู

เมื่อลองย้อนดูตัวเองผู้เขียนพบว่า ในตอนที่ยังอยู่ในรั้วโรงเรียน มีเรื่องที่ทำให้เราเจ็บปวดหลายเรื่อง การเป็น
เด็กและเป็นวัยรุ่นล้วนเต็มไปด้วยเรื่องผิวหวังมากมายที่เกี่ยวข้องกับการเรียน จนบางครั้งเราอยากจะหนีออกไปให้

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 16
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

ไกล ในวันที่เรารู้สึกว่าส่ิงที่กำลังเรียนอยู่ช่างไม่เหมาะกับเราเลย แต่เราก็ยังอดทนกัดฟันเรียนต่อไปเพราะคนใน
ครอบครัวต่างบอกว่า อดทนสู้แปปเดียวก็จบมาสบายแล้ว อีกสิ่งหนึ่งคือการไม่อยากให้คนสำคัญในครอบครัวที่ส่งเสีย
เราเรียน มองเราเติบโตในระบบการศึกษามองเราด้วสายตาผิดหวัง เราอยากให้พวกเขาเหล่าน้ันสมหวังในสิ่งที่พวกเขา
คาดหวัง การมองย้อนไปนี้ทำให้เราพบว่าความคาดหวังนั้นเป็นเรื่องที่ดีและเรื่องที่สร้างความเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
จึงเกดิ ความสงสยั ขึ้นมาวา่ จรงิ ๆแลว้ ความคาดหวงั น้ันคอื อะไร ? การมอี ยูข่ องความคาดหวงั น้นั เปน็ สิ่งทีด่ ีหรอื ไม่ดกี ัน
แนอ่ ยา่ งไร ?

นยิ าม "ความคาดหวงั "
ชิษณุกร พรภาณุวิชญ์ (2540) อธิบายว่า ความคาดหวัง หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็น การรับรู้ การ

ตีความ หรือการคาดการณ์ต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นของบุคคลอื่น ที่คาดหวังในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตนโดย
คาดหวงั หรือต้องการให้บุคคลนนั้ ประพฤติปฏบิ ัตใิ นส่งิ ทตี่ นตอ้ งการ หรือคาดหวงั เอาไว้

จากการสัมมนามีผู้ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนความหมายของความคาดหวังไว้ว่า ความคาดหวังมาจากผู้อื่นและ
ตนเอง เป็นข้อดีที่ทำให้อยากไปให้ถึงจุดที่คาดหวังไว้ ระหว่างทางก็มีความรู้สึกเครียด กดดัน แต่ก็ทำให้มีไฟในการทำ
สิ่งต่างๆ เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ต้องการ หากทำได้สำเร็จก็รู้สึกดี แต่หากทำได้ไม่สำเร็จก็เสียใจ ความคาดหวังจึงมีทั้งข้อดี
และข้อเสยี ข้นึ อยู่กบั ผลลพั ธ์ของการกระทำ

หัวข้อแรก ความคาดหวงั ของครอบครวั ที่มาจากการศกึ ษาไทย
จากการสัมมนา หลายคนพบเจอความคาดหวัง อาจมาในรูปแบบท่ีแตกต่างกัน น่าแปลกที่เพื่อนบางคน

ครอบครัวมีกรอบมาให้ ถูกคาดหวังให้เรียนในสิ่งที่พ่อแม่ชอบ ที่พ่อแม่ภูมิใจ บางคนพ่อแม่หรือคนในครอบครัวไม่ได้
กำหนดกรอบมาให้ ปล่อยอิสระให้ทำในสิ่งที่อยากทำให้เต็มท่ี แต่ผู้ร่วมสัมมนากลับรู้สึกกดดันเช่นเดียวกันกับ
ครอบครัวที่มีกรอบ เพราะรู้สึกถึงความคาดหวังที่ต่อให้ไม่ได้พูดออกมา แต่ผู้ร่วมสัมมนาก็รับรู้ได้ผ่านการกระทำหรือ
คำพูด เช่น ความกังวลผ่านสีหน้าเมื่อถามถึงคณะในฝัน การเรียนในอนาคต คำถามเกี่ยวกับการเรียนที่อาจไม่ได้เป็น
การสง่ั ให้อย่ใู นกรอบแตแ่ ฝงความคาดหวังใหล้ กู ใช้ชวี ติ ไมห่ ลุดไปจากกรอบของสังคม

ต่อมาเป็นเรื่องของความคาดหวังที่ถูกส่งต่อ ไม่เพียงแต่การถูกคาดหวังที่มาจากตัวตนของตนเอง แต่บางที
ตัวตนของ 'สมาชิกในครอบครัว' ก็ทำให้เราถูกคาดหวังแบบส่งต่อ ว่าจะต้องเป็นคนเก่ง มีความสามารถดังเช่น
ต้นแบบที่ตัวเราเองไม่ได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือพี่น้อง หรืออีกทางหนึ่งความคาดหวังก็มาในรูปแบบของ 'การ
ทดแทน' บางสิ่งบางอยา่ ง เชน่ ความสามารถด้านการเรยี น หากพเี่ ราเรียนได้ไมด่ ี เราก็ตอ้ งทำได้ดแี ทนพเ่ี รา

หวั ขอ้ ตอ่ มา แลว้ ในการดา้ นศกึ ษาไทยสง่ ผลให้ครอบครัวเกิดความคาดหวงั อย่างไรบ้างต่อตวั เรา ?

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ประโยคที่ว่า 'การศึกษาไทยเป็นเครื่องมือเลื่อนชั้นทางสังคม' และ 'การศึกษาไทยเป็น
พื้นฐานสำคัญที่ทำให้คนในสังคมก้าวสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน ' อนึ่งสังคมให้คุณค่าแก่การศึกษามากเนื่องจากมี
ความเกี่ยวพันถึงหน้าที่การงานในอนาคต สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในครอบครัวได้ ในครอบครัว
ยากจนก็อาจจะสามารถขยับเป็นครอบครัวธานะปานกลาง ในครอบครัวฐานะปานกลาง การศึกษาก็อาจนำพาคุณไปสู่
การเป็นครอบครัวฐานะปานกลางค่อนสูงหรือแม้แต่การมีฐานะร่ำรวยเลยก็ได้ เพราะในสถานศึกษานั้นไม่เพียงแต่เป็น
การเรียนหนังสือในตำราที่สามารถพาผู้เรียนเข้าสู่คณะที่หวังในมหาลัยชั้นนำ แต่สถานศึกษาเป็นสังคมขนาดเล็กที่มี

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 17
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

หน้าที่อื่นๆอีกด้วย เช่น หน้าที่ของการจับกลุ่มทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน หรือจับคู่คนรักท่ีบางคนอาจคบกันตั้งแต่
ยงั เรียนอยูจ่ นถึงแตง่ งานมีลกู หรอื มกี ารทำธรุ กจิ รว่ มกนั ในอนาคต

ต่อมาในส่วนของการเลือกเรียนเพื่อนำไปสู่การสร้างอาชีพนั้น ครอบครัวคาดหวังให้เด็กเลือกเรียนในสิ่งท่ี
สามารถส่งเสริมฐานะของตนเองและครอบครวั ได้ เนื่องจากบิดามารดาบางคนผิดหวังจากอาชีพหรือชีวิตของตนเองที่
เคยตั้งความหวังไว้ เมื่อมีลูกก็อยากให้ลูกทำตามความฝันนั้นให้สำเร็จ อีกส่วนหนึ่งจากการสัมมนาพบว่าในวัยเรียน
ของพ่อแม่บางคนไม่สามารถเรียนในสิ่งที่อยากเรียนได้เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างยังไม่พร้อม เม่ือมีลูกในตอนที่ตน
พร้อมแล้วก็คาดหวังว่า ในช่วงเวลาที่มีความพร้อมเหล่านี้จะทำให้ลูกสามารถไปถึงอาชีพในฝันที่ตนเองเคยวาดไว้ได้
สำเร็จ แต่ไม่ได้ถามถึงความต้องการของเด็กว่าต้องการเดินตามความคาดหวังเหล่านั้นของพ่อแม่ไหมหรือในกรณีนี้
ของ ความคาดหวังที่พ่วงมากับความสามารถของเด็ก หลายครั้งการมองเห็นถึงพรสวรรค์ในตัวของเด็ก และต้องการ
ให้ลูกถึงจุดสูงสุดของความสามารถ จึงทำการสนับสนุนความสามารถนั้นโดยการเรียนพิเศษ หรือส่งลูกไปใสถาบัน
การศึกษาที่เหมาะกับความสามารถนั้น สิ่งนี้เป็นการส่งเสริมความสามารถได้ดีมาก แต่ก็มีบางคนที่อยู่ในระหว่าง
ทางการถูกส่งเสริมความสามารถนี้ถอดใจ เนื่องจากไม่ใช่สิ่งที่ชอบแบบที่อยากทำในอนาคตไปนานๆ แต่ก็หาสิ่งที่
ตนเองชอบไม่เจอเพราะไมเ่ คยไดล้ องทำส่งิ อนื่ นอกจากสิง่ ท่เี ปน็ ความสามารถของตนเอง

ถา้ เราเป็นพอ่ แมเ่ อง ทำไมเราถงึ ทำแบบน้ี ?
ผรู้ ว่ มสมั มนาหลายคนมคี วามเหน็ ไปทางเดียวกนั คือ การเคยมีประสบการณ์มาก่อน เคยอย่ใู นระบบการศึกษา

นี้เลยเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษาได้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนระบบการศึกษาที่เน้นการแข่งขัน เลือก
คนที่เก่งที่สุดเพื่อได้คณะและมหาลัยที่มีชื่อเสียงได้จึงต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่ระบบการศึกษาต้องการ
แทน อีกสิ่งหนึ่งคือ ความทันสมัยและการเจริญเติบโตขึ้นของสังคม ที่เข้ามาอำนวยความสะดวกกับคนมากขึ้น การ
เข้ามาของเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทำให้การศึกษาเข้าถึงง่ายขึ้นในกรณีที่มีความสามารถในการเข้าถึงความ
สะดวกสบายมากขึ้น มีการลงทุนกับการศกึ ษามากข้นึ จึงคาดหวงั ผลลัพธ์จากการศึกษาของลูกมากขึ้น
ความคาดหวังทถี่ กู สง่ ต่อรนุ่ ตอ่ รุน่

สิ่งที่น่าสนใจคือ หากพูดถึงความคาดหวังหลายคนจะมองว่าความคาดหวังเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำกับใครเพราะผู้
ที่ถูกสวมหมวกความคาดหวังนั้นจะรู้สึกกดดันและเครียด แต่ความคาดหวังน้ันกลับมีการส่งต่อรุ่นต่อรุ่นจากปู่ย่าถึง
พ่อ จากตายายถึงแม่ และจากพ่อแม่ถึงเรา ทั้งๆ ที่เป็นผู้สวมหมวกความคาดหวังของพ่อแม่มาก่อนแต่ทำไมถึงยังทำ
เหมอื นกับพ่อแม่ เมื่อเทียบกับทฤษฎีความคาดหวังพบว่า

ทฤษฎคี วามคาดหวัง (Expectancy Theory) ของวคิ เตอร์วรมู (Vroom) มอี งคป์ ระกอบของทฤษฎีท่ี
สำคัญคอื

Valence หมายถึง ความพึงพอใจของบุคคลท่ีมีตอ่ ผลลพั ธ์
Instrumentality หมายถึง เครอื่ งมอื อุปกรณ์ วถิ ีทางทจ่ี ะไปสู่ความพึงพอใจ
Expectancy หมายถึง ความคาดหวังในตัวบุคคลนั้นๆบุคคลมีความต้องการหลายสิ่งหลายอย่าง ดังนั้นจึง
พยามดิ้นรนแสวงหาหรือ กระทำด้วย วิธีใดวิธีหนึ่ง เพื่อตอบสนองความ ต้องการหรือสิ่งที่คาดหวังไว้ ซึ่งเมื่อได้รับการ
ตอบสนองแล้วกต็ ามความคาดหวังของบคุ คล จะไดร้ บั ความพึงพอใจ ขณะเดยี วกันกค็ าดหวังในสงิ่ ทส่ี งู ข้ึนเรือ่ ยๆ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 18
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

พาราสุมาน, ไซแธมอล และ แบรรี่ ( Parasuraman , Zeithmal and Berry. 1990 ) ได้ระบุถึงปัจจัยหลักที่มี
ผลต่อความคาดหวังของผบู้ ริการแบง่ ออกเป็น 5 ประการ ได้แก่

1. การไดร้ บั การบอกเลา่ คำแนะนำจากบุคคลอ่ืน
2. ความต้องการของแต่ละบคุ คล
3. ประสบการณ์ในอดตี
4. ข่าวสารจากส่อื และ จากผใู้ หบ้ รกิ าร
5. ราคา
เห็นได้ว่าพ่อแม่ของเรานั้นต่างรับปัจจัยเหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการได้รับการบอกเล่า คำแนะนำจาก
ผู้อื่นในด้านการเรียน ซ่ึงอาจเป็นปู่ย่าตายาย เหล่าญาติๆ หรือเพื่อนของพ่อแม่เรา, ความต้องการของแต่ละบุคคลของ
ตัวพ่อแม่เอง, ประสบการณ์ในอดีต อย่างที่ผู้ร่วมสัมมนาเห็นไปในทางเดียวกัน ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญการปูพื้นฐาน
สร้างความพร้อม ส่งลูกไปเรียนพิเศษ หรือการพยายามส่งลูกไปในโรงเรียนท่ีมีชื่อเสียง หรือโรงเรียนประจำจังหวัด จึง
ทำเพื่อปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันในระบบการศึกษาอย่างที่พ่อแม่เคยอยู่ในระบบการศึกษามาก่อน, ข่าวสารจากส่ือ
หรือจากตัวนักเรียนเองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย อย่างในการศึกษานั้นเนื้อหาข่าวความยากของข้อสอบและคำบอกเล่าของ
ผู้เรียนก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลของการส่งลูกไปเรียนพิเศษและพยายามหาตัวช่วยในการเรียนให้ได้มากขึ้น ซึ่งทุกอย่างน้ัน
มรี าคาที่ตอ้ งจา่ ย และเปน็ ราคาท่ีสงู ขน้ึ เร่ือยๆ ความคาดหวงั ในผลลัพธก์ ารสอบจึงสูงขึน้ ตามไปดว้ ย

หมวกความคาดหวงั
ไม่ใช่เพยี งแคพ่ อ่ แมแ่ ละคนในครอบครัวทส่ี ่งความคาดหวงั ผ่านหมวกความคาดหวังแกต่ ัวเราเองเพียงเท่านั้น

แต่เราเองก็มีความคาดหวังที่ส่งกลับไป กล่าวคือไม่ใช่แค่พ่อแม่คาดหวังให้เราเป็นอย่างที่ต้องการ แต่เราเองก็
คาดหวังให้พ่อแม่เข้าใจเรา และไม่คาดหวังกับตัวเรามากเกินไป เราต่างคาดหวังในกันและกัน เพราะฉะนั้นแล้วความ
คาดหวังเปน็ ปัญหาจรงิ หรอื ?

ความคาดหวังนั่นถือเป็นความต้องการของคนแต่ละคน ที่ต้องการให้ผู้ที่คาดหวังเป็นไปตามที่ตนคาดการณ์
วางแผนไว้ ความคาดหวังจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวคนแต่ละคน สิ่งที่เป็นปัญหานั้นอาจจะไม่ใช่ความคาดหวังแต่เป็น
การนำความคาดหวังของตนเอง เปน็ หมวกเพอื่ สวมให้คนทเี่ ราต้องการควบคุมใหเ้ ป็นไปตามความคาดหวังของเราเอง

'ผลงาน' ทม่ี าจากหมวกความคาดหวัง
จากการสัมมนามีผู้ร่วมสัมมนาแลกเปลี่ยนสิ่งที่พ่วงมากับการถูกคาดหวัง ว่าทำให้เกิดความคิด การกระทำ

หรือเหตุการณต์ า่ งๆ ดังน้ี
การทุจริตสอบ เนื่องจากคาดหวังให้ได้คะแนนดีและไม่สอบตกในวิชาที่ไม่ถนัด เนื่องจากการได้คะแนนน้อยมี

ผลต่อเกรด ที่ต้องนำไปยื่นกับมหาลัยในอนาคต หากได้เกรดไม่ดีอาจทำให้ตกเกณฑ์การรับสมัครเข้าของคณะท่ี
ต้องการ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การทุจริตสอบเป็นสิ่งที่คนในสังคมรู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดีแต่ก็ยังทำ และได้รับการยอมรับกันใน
วงกว้างถึงการเปน็ เรอ่ื งปกติ ถอื วา่ เปน็ การทำเพือ่ ความอยู่รอด

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 19
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

การสูญเสียตัวตน หลายคนทำสิ่งต่างๆ ตามความคาดหวังของผู้อื่น เช่น เลือกเรียนในสิ่งที่ครอบครัว
ต้องการ เมินเฉยในสิ่งที่ตนเองชอบ การยืนบนความคาดหวังของคนอื่นอาจทำให้เราสูญเสียตัวตน และไม่กล้าเป็นตัว
ของตวั เองในท่ีสุด

ทัศนคติและตัวตนที่เปลี่ยนไปตามระบบที่เราแฝงตัวอยู่ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขันอย่างใน
ระบบการศึกษา ถึงเริ่มแรกจะไม่ชอบการแข่งขันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะทำบางสิ่งให้ดีขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่อหนีการรั้ง
ท้ายและถูกทอดทิ้งจากระบบการศึกษา สิ่งที่ติดตัวหลังจากออกจากสถาบันการศึกษาแล้วคือทัศนคติและความคิดท่ี
มองเรอ่ื งตา่ งๆ เปน็ การแข่งขัน ซ่งึ ส่งิ น้กี ็เปน็ ทงั้ เร่ืองดีและเรือ่ งท่ีไม่ดไี ด้หากนำเอานสิ ัยส่วนนี้ไปเอาเปรียบผูอ้ ืน่

มีไฟในการเรียน ความคาดหวังจะทำให้เรามีความหวังและอยากจะทำความหวังนั้นให้สำเร็จ ความคาดหวังจึง
เป็นแรงผลักดันให้เราไปข้างหน้า รวมถึงสามารถทำให้เรา ทะลุความกลัวในบางอย่างที่เราอาจไม่เคยทำและไม่กล้าทำ
มาก่อน ความคาดหวังจึงมาในรูปแบบการให้กำลังใจทั้งมาจากตัวเองและคนรอบตัว เป็นแรงผลักดันเป็นแรง
ขับเคลอื่ นใหไ้ ด้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองปรารถนา

สิ่งสุดท้ายเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก คือ ความอึดอัด เพราะว่าความคาดหวังไม่มีรูปร่าง การอยู่กับการ
คาดหวังทุกวันนำพาไปสู่ความอึดอัดที่มนุษย์มีต่อกัน จากการถูกคาดหวังในทุกๆวัน และรวมไปถึงการคาดหวังใน
ตัวเองที่บางทกี ็ไม่เปน็ ไปตามที่ตัวเองคาดหวัง เรื่องนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆในชีวิตที่บางทีเราไม่สนใจกับมัน แต่เมื่อทนไม่
ไหวและระเบิดออกมา สิ่งที่ระเบิดออกมาน้ันคือ โรคภัยที่ตามมา อย่างเช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล ฯลฯ
สง่ิ เหลา่ นี้ล้วนคือเรือ่ งของจติ ใจ หากความปรารถนาไมส่ ามารถทำไดส้ ำเร็จ

เด็กไทยฆ่าตวั ตายเพราะผิดหวงั เรอ่ื งเรียน
จากการเรียนที่มีจำนวนเวลาชั่วโมงค่อนข้างมาก ประกอบกับสถานการณ์ความกดดันจากสังคม ส่งผลให้

จำนวนของเยาวชนที่คิดฆ่าตัวตายมีจำนวนเพิ่มขึ้นอยา่ งมนี ัยสำคัญ ข้อมูลสถานการณ์โรคซึมเศร้าจากกรมสุขภาพจิต
พบว่า ปี 2560 กลุ่มเยาวชนอายุ 20-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตาย 4.94 ต่อประชากรแสนคน ส่วนในปี 2561 เพิ่มข้ึน
เป็น 5.33 ต่อประชากรแสนคน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ในปี 2561 มีการให้
คำปรึกษาทางโทรศัพท์ทั้งสิ้น 70,534 ครั้ง แบ่งเป็นกลุ่มเด็กอายุ 11-19 ปี 10,298 ครั้ง หรือร้อยละ 14.6 และเป็นอายุ
20-25 ปี 14,1 73 ครั้ง หรือรอ้ ยละ 20.1

ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 มีผู้โทรเข้ามา
ปรึกษา 40,635 ครั้ง เป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 11-25 ปี รวม 13,658 คร้ัง เมื่อจำแนกตามประเภทของปัญหา
พบว่า สัดส่วนของเด็กและเยาวชน ที่มีปัญหาความเครียดหรือวิตกกังวล ปัญหาความรัก ซึมเศร้า และมีความคิดหรือ
ความพยายามฆา่ ตัวตายมแี นวโน้มเพิ่มขน้ึ

อีกทั้งปียวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ หัวหน้าภาควิชาวิจัยและจิตวิทยาการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
วิทยาลัย กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ "เข้าใจปัญหาเยาวชนกับภาวะซึมเศร้า" ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่าเหตุการณ์ที่ไม่
คาดคิดอาจก่อให้เกิดความเสียใจและความเศร้ากับเด็กได้ เช่น การสอบได้คะแนนไม่ตรงตามความคาดหวังหรือ
ผดิ หวังจากผลคะแนนสอบที่ลดลง หรือการไมเ่ หน็ คณุ คา่ ในเด็กที่คะแนนไม่ดี เป็นต้น

อย่างไรก็ตามถึงแม้วัยเด็กและวัยรุ่นจะเป็นส่วนน้อย แต่ในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าว
เด็กนักเรียนและนิสิตนักศึกษาตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงถึง 10 รายจากการรวบรวมของสำนักข่าวบีบีซีไทย ในเดือน
มกราคม 1 คร้ัง กมุ ภาพนั ธ์ 4 ครงั้ มนี าคม 4 ครงั้ และเดือนเมษายนอีก 1 คร้งั

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 20
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

ทั้งนี้ผลการสำรวจเยาวชนของศูนย์ควบคุมและป้องกนั โรคประจำปี 2017 ชใ้ี หเ้ ห็นวา่ รอ้ ยละ 32 ของนักเรยี น
มัธยมประสบความเศร้าหรือสิ้นหวังอยู่ตลอดเวลา ร้อยละ 17 กล่าวว่าพวกเขาคิดที่จะพยายามฆ่าตัวตายอย่างจริงจัง
รอ้ ยละ 14 พวกเขาวางแผนฆา่ ตวั ตาย และรอ้ ยละ 7 พวกเขาพยายามฆ่าตัวตาย

อา้ งองิ จาก ณัฐธนยี ์ ล้ิมวฒั นาพันธ,์ (2562).https://www.tcijthai.com/news/2019/19/scoop/9226

บทความข้างต้นชี้ให้เห็นถึงการเรียนหนัก ความเครียด ปัญหาสะสมของวัยรุ่นที่นำไปสู่การเป็นโรคซึมเศร้า
และฆ่าตัวตายในที่สุด ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่เป็นปัจจัยความเครียดคือ การเรียน ปัญหาเหล่านี้หากมีครอบครัวเป็น
เครื่องถนอมผิวของวัยรุ่นให้มีเกราะป้องกันจากความเครียดและไม่ทำร้ายเราเพิ่มจากการเพิ่มความคาดหวังและแรง
กดดนั แกว่ ยั รุ่น ก็จะพาพวกเขากา้ วขา้ มวยั ทเี่ จบ็ ปวดจากการเรยี นเหลา่ น้ไี ดไ้ ปสวู่ ัยผใู้ หญ่ตอ่ ไป

ความคาดหวงั เป็นปญั หาจริงหรือ ?
ความคาดหวังนั่นถือเป็นความต้องการของคนแต่ละคน ที่ต้องการให้ผู้ท่ีคาดหวังเป็นไปเมื่อดูจากผลงาน

ความคาดหวังแล้วนั้น ความคาดหวังนั้นเป็นสิ่งที่ต่างคนต่างมีเป็นปกติของมนุษย์สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาคือการที่เรานำ
ความคาดหวงั ไปใหอ้ ืน่ การทำให้ผู้ทถ่ี กู คาดหวงั จากตวั เราเอง เครียดและกดดนั กับความคาดหวงั ของเรา

อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาคือ สังคมคาดหวังต่างไปจากสิ่งที่เราเรียนอยู่ อย่างเช่น สังคมคาดหวังให้เด็กกล้าพูด
กล้าทำกล้าตัดสินใจ แต่กระบวนการสอนให้เกิดสิ่งเหล่านี้กลับไม่มี หรือการคาดหวังให้เด็กเป็นผู้ประกอบการแต่กลับ
ไม่มที นุ ใหส้ ามารถทดลองเกิดใหเ้ รยี นรู้ เมื่อกระบวนการสร้างไมส่ ามารถสง่ เสริมส่ิงที่คาดหวงั ให้เปน็ จรงิ ได้
ความคาดหวังยอ่ มไม่มที างสำเรจ็ จนสุดทา้ ยตอ้ งกลายเป็นความผิดหวัง

สิ่งสุดท้ายคือ ระบบการศึกษาท่ีไม่เหมาะสมและหลากหลายมากพอที่จะยอมรับความแตกต่างกันของเด็กแต่
ละคน การที่เด็ก 1 คนมีความถนัดแตกต่างจากแผนการเรียนกลับทำให้เด็กคนนั้นกลายเป็นชายขอบ และไม่ถูก
ยอมรับในความสามารถอื่น ๆ ในตัวเด็ก รวมถึงไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ด้วย อีกด้านในเด็กที่เป็นท่ี
ยอมรับในความสามารถก็ดันไม่มีจุดพึงพอใจ หากเก่งแล้วต้องเก่งขึ้นเพื่อแข่งขัน เปลี่ยนสนามสอบเป็นสนามแข่งม้า
โดยมีเส้นชัยเป็นความต้องการในคณะและมหาลัยที่มีที่นั่งไม่เพียงพอสำหรับทุกคน ไม่เพียงแค่นั้น ในระหว่างการวิ่ง
เข้าเส้นชัยที่ต้องการ จุดเริ่มต้นของเด็กแต่ละคนก็เริ่มไม่เท่ากัน การเรียนพิเศษและโรงเรียนดังมีโอกาสสอบติด
มากกว่า คนที่ไม่เรียนพิเศษและไม่ได้อยู่โรงเรียนดัง และนี่คือความเหลื่อมล้ำที่มีมาเนิ่นนาน แต่ระบบการศึกษาไทยก็
ยงั คงเปน็ เชน่ นม้ี าเรอ่ื ยๆ ไมไ่ ดม้ กี ารพฒั นาข้ึนหรือปรบั เปล่ียนใหเ้ หมาะกบั ผู้เรียนมากขน้ึ

'เรา' ทำอะไรไดบ้ า้ งในฐานะนกั สังคมสงเคราะห์
จากการสัมมนามีผู้รว่ มสมั มนาหลายคนร่วมแลกเปลย่ี น หน้าทข่ี องนักสังคมสงเคราะห์ ดงั นี้
ให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงพัฒนาการเรียนรู้ที่ถูกต้องของเด็ก ไม่ฝืนพัฒนาการให้เป็นไปอย่าง

รวดเร็วแต่เด็กยังไม่พร้อม และการเตรียมพร้อมรับมือกับการเรียนของเด็ก ใส่ใจเฝ้าระวังอารณ์ ความเครียดจากการ
เรีบน เป็นที่พักพิงแกเ่ ด็ก

หากเด็กมีปัญหาความเครียดมาแล้ว นักสังคมสงเคราะห์ควรเป็นตัวกลางปรับความเข้าใจ คุยกับพ่อแม่และ
ครอบครัวถึงความเครียดที่ลูกกำลังเผชิญ ในกรณีที่เด็กไม่กล้าพูดเอง พยายามให้ครอบครัวลดคาดหวังแบบท่ีทำร้าย

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 21
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

เด็ก แนะนำการจัดการเรียนที่เหมาะสมกับพัฒนาการ เข้าใจถึงพัฒนาการความช้าเร็วแตกต่างกันของเด็กรวมถึง
บอกถงึ ความสำคญั ของการเข้าใจความต้องการของเด็ก ทำใหค้ รอบครัวเปน็ พ้นื ท่ีเซฟโซนของเด็ก

ในบางครั้งความคาดหวังอย่างเข้มข้นทำให้เกิดปัญหาการที่เด็กรู้สึกอยู่คนละฝั่งกับพ่อแม่ อย่างเช่น ความ
คาดหวังในการเรียนในคณะที่อยากให้เรียน และการไม่ยอมรับการซิ่ว ทำให้ผู้เรียนต้องพยายามทำตามความคาดหวัง
ของครอบครัวเพียงลำพัง ไม่กล้าที่จะออกมาจากจุดที่ไม่สบายใจและเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่คนละฝั่งกับครอบครัว
นักสังคมสงเคราะหอ์ าจเป็นตัวผสานให้ท้ังเดก็ และพ่อแม่สามารถเขา้ ใจกันและกนั ทำความเข้าใจถึงความปกติของการ
ผิดหวัง การสอบไม่ติด การชั่ว การไม่ทำให้บางสิ่งบางอย่างเป็นตัววัดคุณค่าของความสำเร็จและคุณค่าของตัวบุคคล
มากจนเกนิ ไป เพอ่ื บา้ นกก็ ลบั ไปเป็นบา้ นอกี ครัง้

ในอนาคตผู้ร่วมสัมมนาอยากเห็นนักสังคมสงเคราะห์ในสถานศึกษา เนื่องจากสถานที่ที่เป็นสถานที่บ่อเกิด
ความคาดหวังต่างๆมาจากสถานศึกษา การเข้าไปมีส่วนร่วมและเฝ้าระวัง เห็นสาเหตุและทันท่วงที ยังไม่สายเกินไป
ก่อนที่เด็กจะมีปัญหา โดยนักสังคมสงเคราะห์อาจต้องมีการทำงานร่วมกับครู มีการดแลนักเรียน ในมิติของอารมณ์
หรือความรู้สึกเนื่องจากในโรงเรียนยังไม่มีใครมีหน้าที่และบทบาทดูแลนักเรียนในด้านนี้ มีห้องให้คำปรึกษาสุดท้ายคือ
กระจายข้อมูลปัญหาที่อยู่ในร้ัวเล็ก ๆในสถานศึกษาไปสู่สังคม เพื่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และที่สำคัญที่สุดคือ
การไมต่ ดั สนิ ใครและยอมรับกนั และกัน เพอื่ ให้ผูใ้ ช้บรกิ ารเปดิ ใจยอมรบั เราและยอมใหเ้ ราเขา้ ใจในตัวพวกเขา

จดหมายถึงทุกคนทเ่ี จบ็ ปวดจากการศึกษา

"แด่ใครสักคนที่เจบ็ ปวดจากการศกึ ษา"

ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ไม่ว่าคุณจะเป็นที่โหล่ของห้อง ที่หนึ่งของห้อง เด็กที่ลำดับกลางๆของห้องเด็ก
ที่ไม่เก่งวิชาการแต่เก่งกีฬา เด็กที่ไม่เก่งสายวิทย์แต่เก่งภาษา หรือเด็กที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งอะไรเลย และอีกมากมายที่
คณุ อาจจะได้รบั บทบาทตา่ งๆ จากในโรงเรยี น หรือสถานศึกษาอน่ื ๆ ทกุ คนต่างมคี วามเจบ็ ปวดทแี่ ตกตา่ งกนั

ระบบการศึกษาบีบให้เด็กเป็นม้าแข่งในสนามสอบ มีเส้นชัยแค่ที่เดียว มีลำดับขั้นของผลคะแนน ม้าแข่งไม่ได้
เริ่มที่จุดสตาทเดียวกัน แต่ต้องวิ่งไปถึงเส้นชัยเดียวกัน นั่นคือที่นั่งในอุคมศึกษาที่มีอย่างจำกัด จดหมายนี้อยากบอก
ถึงม้าแข่งทุกตัว ว่าทุกคนเก่งมาก การทำอะไรที่ไม่ถนัดเป็นเรื่องยากเสมอ และบางครั้งการที่เราทำอะไรที่เพิ่งเคย
เรียนรู้ครั้งแรกว่าไม่ดีนั้น เป็นเรื่อง ปกติ' การถูกคาดหวังให้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำครั้งแรกให้ดีนั่นต่างหากที่เป็นส่ิง
ผิดปกติ โปรดภูมิใจในตัวเอง ชื่นชมความเก่งของตัวเองให้มากๆ คุณมีคนเดียวในโลก และสิ่งที่มีอย่างเดียวในโลกมี
คุณคา่ มากมหาศาล อยา่ ลบตัวเองออกไปจากโลกน้ีเลย โปรดมชี ีวติ ตอ่ ไปแล้วใช้ชวี ิตใหค้ มุ้ ไปเลย

ขอใหเ้ ด็กทุกคนบนโลกน้ีมคี วามสุข
จาก ซินน์

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 22
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

เอกสารอา้ งองิ

ณัฐธนยี ์ ล้มิ วฒั นาพันธ,์ (19 กรกฎาคม 2562) เด็กไทยเรียนหนัก-เครียดพ่อแมก่ ดดนั -แบกความหวังของคนรอบ
ข้าง, TCH ออนไลน.์ https://www.tcjthai.com/news/2019/19/scoop/9226

ทฤษฎคี วามคาดหวัง, Novabizz, (สบื คน้ เม่ือวนั ท่ี 10 พฤศจิกายน 2564).
https://www.novabizz.com/NovaAce/Behavior/Expectancy Theery.htm

Whereisthailand.info, (16 มกราคม 2555), เดก็ ไทยเรยี นหนักแค่ไหน?
http://whereisthailand.info/2012/01/pupils-class-hourst

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 23
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

ความระยิบระยบั ท่หี ายไป
นางสาวคัธรนิ ทร์ บวั ทอง 6105681644

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 24
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

คำนำ
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ดค. 369 สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว
ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2564 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรายงานเล่มนี้มี
วัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเนื้อหาและข้อมูลในการสัมมนา หัวข้อ “ความระยิบระยับที่หายไป” โดยมีประเด็นประกอบด้วย
กัน 2 ประเด็น คือ เมื่อความรักของพ่อแม่กลายเป็นพิษ และ เมื่อความธรรมดาของเรากลายเป็นความพิเศษของผู้อื่น
โดยมีสื่อประกอบคือ อนิเมะซีรีย์ “Dr. Ramune mysterious disease specialist” หรือชื่อภาษาไทยคือ “คุณหมอ
ประหลาด รามูเนะ” ซึ่งตอนที่ได้นำมาเป็นประเด็นในการสัมมนาคือ ตอนที่มีชื่อว่า “ป็อปคอร์นจากหัว” หรือตอนที่ 7
และ 8 โดยผู้จัดทำได้มีความสนใจและเล็งเห็นถึงปัญหาของเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากความคาดหวัง
หรือความกดดันจากภายในครอบครัว เป็นต้น จึงได้จัดทำการสัมมนาในหัวข้อดังกล่าว และจัดทำรูปเล่มรายงานเล่มนี้
ข้นึ มา
ทางผู้จัดทำต้องขอบคุณอาจารย์ผู้สอนรายวิชาสัมมนาการพัฒนาเด็กและครอบครัว ที่ความรู้ แนวทาง
การศึกษา และเป็นที่ปรึกษา ร่วมถึงผู้ร่วมชั้นเรียน และผู้ร่วมสัมมนาทุกท่านที่ร่วมแลกเปลี่ยนประเด็น องค์ความรู้
ประสบการณ์ และความรู้สึก ทางผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกๆท่าน หากมี
ขอ้ ผิดพลาดประการใด ผ้จู ดั ทำขออภัยไว้ ณ ทน่ี ้ี

คธั รินทร์ บัวทอง
ผ้จู ดั ทำ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 25
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

เรอื่ งยอ่ อนิเมะซีรยี ์ “Dr. Ramune mysterious disease specialist”

Dr. Ramune mysterious disease specialist ชื่อภาษาไทยคือ“ คุณหมอประหลาด รามุเนะ” หรือ “รามูเนะ
หมอโรคพิสดาร” เป็นซีรีส์การ์ตูนญี่ปุ่น เขียนเร่ืองและวาดภาพโดย อาโฮะ โทโระ ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูน Monthly
Shonen Sirius ของสำนักพิมพ์ โคดันชะ ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2560 ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 ก่อนจะย้าย
มาเผยแพร่ผ่านแอพลิเคชั่นการ์ตูน Magazine Pocket ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 และจบในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.
2564 และได้รับการดัดแปลงเป็นซีรีส์อนิเมะโทรทัศน์โดยสตูดิโอแพลตตินัมวิชัน ออกอากาศตั้งแต่เดือนมกราคมถึง
มนี าคม พ.ศ. 2564

โดยเรื่องราวของอนิเมะซีรีย์นี้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “โรคประหลาด” ซึ่งตราบที่คนเรานั้นยังมีหัวใจ มี
ความเครียดและความหมกมุ่นจะถูกสิ่งลึกลับที่เรียกว่า “สิ่งประหลาด” เข้ารายล้อมและครอบงำจิตใจ ทำให้มีอาการ
ป่วยและเกิดเป็นโรคประหลาดที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการแพทย์ปัจจุบัน แต่ทว่า ยังมีหมอผู้ที่รู้สาเหตุของโรคและ
รักษาโรคเหล่านั้นได้อยู่ เขาคือหมอโรคประหลาด รามูเนะ แม้ภายนอกเขาจะดูไม่เหมือนหมอสักเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับ
ว่าเขาสามารถรักษาคนไข้ให้หายจากโรคประหลาดเหล่านั้นได้จริง ในบรรดาคนไข้ที่มาหาหมอรามุเนะนั้นต่างก็มีอาการ
ป่วยที่แตกต่างกันไป เช่น ร้องไห้ออกมาเป็นเครื่องปรุง การมีป็อปคอร์นออกมาจากหัว เล็บเป็นพริก หูเป็นเกี๊ยว แต่ไม่
วา่ จะเจอโรคท่ีประหลาดแค่ไหนเขากพ็ ร้อมที่จะเผชิญหน้ากบั มันไปพร้อมกบั ลูกศษิ ยข์ องเขาท่มี ีนามวา่ “คุโระ”

สำหรับช่องทางการชมซีรีย์อนิเมะ Dr. Ramune mysterious disease specialist นั้นสามารถรับชมได้อย่าง
ถกู ลขิ สิทธ์ิทาง YouTube ช่อง Muse Thailand. โดยสามารถสแกน QR CODE น้เี พื่อไปยงั เพลย์ลสิ ต์เร่อื งดงั กล่าว

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 26
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

นิยามศัพท์
1. โรคประหลาด

โรคประหลาด หมายถึง สภาวะที่บุคคลถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อม มีความรู้สึกเป็นกังวล ไม่สบายทั้งกาย
หรือทางจิตใจ ซึ่งในบางครั้งทำให้บุคคลมีความรู้สึกแตกต่าง แตกแยก ถูกมองข้าม การไม่มีใครเข้าใจ หรือความรู้สึก
ที่แปลกออกไปจากบุคคลอื่น หรือถูกกระทำให้กลายเป็นอื่น ซึ่งอาการดังกล่าวจะแสดงออกมาในรูปแบบของ “โรค
ประหลาด” และโรคประหลาดนี้มักมีเหตุเกิดจากสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น ครอบครัว โรงเรียน รูปแบบความสัมพันธ์
และในบางคร้งั กก็ อ่ มาจากภายตวั ของบคุ คลเอง

2. ปอ็ ปคอรน์

ป็อปคอรน์ หมายถงึ โรคประหลาดของ “ชุน” ตวั ละครจากในเรอื่ ง “คุณหมอประหลาด รามูเนะ” โดยป็อปคอร์
นจะออกมาจากหัวของชุน เมื่อชุนมีความต้องการ หรือมีแรงปารถนาที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะ แต่เมื่อชุนไม่สามารถ
ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการได้ ป็อปคอร์นก็จะเด้งออกมาจากหัวของชุน ซึ่งสามารถเปรียบป็อปคอร์นได้เหมือนผลของ
แรงปรารถนาของตน ตัวตนของตนเอง ความตอ้ งการของตนเอง “ความระยิบระยับ” ที่ไม่สามารถดำเนินการใหส้ ำเร็จ
และเพราะเมื่อไม่สามารถดำเนินการให้ความต้องการต่างๆที่กล่าวมาให้สำเร็จได้ สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกขับออกมาใน
รูปแบบของ “ปอ็ ปคอร์น”

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 27
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

3. ความระยิบระยบั

ความระยิบระยับ หมายถึง ความเป็นตัวตนของตนเอง เช่น ความสามารถ ความต้องการ ความคิด
สรา้ งสรรค์ ความฝนั เป็นตน้

4. แรงโนม้ ถ่วง

แรงโน้มถ่วง หมายถึง สภาะวะที่ได้รับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อม หรือจากบุคคล มีความรู้สึกหนักอ้ึง
ภายในใจ ร้สู กึ อึดอดั ราวกบั ถูกจองจำโดยพนั ธนาการตา่ งๆ

5. สภาวะไรแ้ รงโน้มถว่ ง

สภาวะไร้แรงโน้มถ่วง หมายถึง คำตรงข้ามของ “แรงโน้มถ่วง” กล่าวคือสภาะวะการณ์ที่รู้สึกเป็นอิสระจาก
ทั้งปวง การได้อนุญาตให้ตนเองได้เป็นตนเอง สามารถคิด และทำสิ่งต่างๆได้อย่างอิสระ ไร้แรงกดดัน หรือแรงโน้ม
ถว่ งจากสิ่งรอบขา้ ง มีความรสู้ กึ โลง่ ใจ สบายใจ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 28
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

โดยนิยามคำศัพท์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะพบเจอได้ใน Dr. Ramune mysterious disease specialist ใน
ตอนที่ 7 – 8 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “ป็อปคอร์นจากหัว” โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “ชุน” เด็กชายชั้นมัธยมศึกษาผู้ซึ่งมี
พรสวรรค์ทางด้านศิลปะอันเป็นเลิศ ทั้งงานศิลป์ท่ีเข้าประกวด หรือแม้แต่การแข่งขันสาขาอาร์ต ชุนก็ได้รับรางวัล
ชนะเลิศทั้งหมด จนตัวชุนเองนั้นได้มีนิทรรศการงานศิลปะของตนเอง ซึ่งผู้คนมากมายต่างชื่นชมและให้ความสนใจใน
งานศิลปะของชุน และแล้ววันหนึ่งก็ได้มีคนมาแนะนำให้ชุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เพราะหากชุนได้ไปเรียนต่อจะทำให้
ชุนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในอนาคต และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ชุนได้รับแรงกดดัน จนมีป็อปคอร์นเด้งออกมาจาก
หัวของชุน เพราะพ่อของชุนไม่ต้องการให้ชุนห่างออกจากตน เพราะพ่อรักและหวงชุนมากจึงไม่อยากให้ชุนไปไหนไกล
และเพราะอย่างนั้นจึงสร้างเร่ืองว่าแม่ของชุนต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นเพราะสิ่งที่ชุนทำ งานศิลปะทั้งหลายที่ชุนชอบ
กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของตนต้องป่วยหนัก ชุนจึงสัญญากับพ่อว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะเหล่านั้นอีก
และจะตั้งใจศึกษาเรื่องการบริหารธุรกิจ เพื่อสืบทอดบริษัทของพ่อในอนาคตตามความต้องการของพ่อของตน
ความระยิบระยับในหัวของชุนน้ันเปรียบคือความคิดสร้างสรรค์ ความต้องการ ตัวตนของชุน และลมหายใจของชุน
และความระยบิ ระยบั ดงั กล่าวไดส้ ลายกลายเป็นปอ็ ปคอรน์ ดว้ ย “ความรกั ของพ่อ”

เมือ่ ความรักของพอ่ แม่กลายเป็นพิษ

พ่อแม่ทุกคนรักลูก พ่อแม่ทุกคนล้วนปรารถนาอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก เพียงแต่ต้องขี้นอยู่กับ
เงื่อนไขและปัจจัยชีวิตว่าจะทำสิ่งที่ปรารถนาให้ลูกได้มากน้อยแค่ไหนตามข้อจำกัดที่มีอยู่เวลาพูดถึงความรัก เราไม่
สามารถวัดขนาดของมันได้ว่าความรักของพ่อแม่ครอบครัวไหนจะรักลูกมากกว่าครอบครัวอื่น เพราะเราไม่มีมาตรวัด
ขนาด น้ำหนักของความรัก และความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกก็ปราศจากเงื่อนไขใดๆ สิ่งที่พอจะประเมินความรักของ
พ่อแม่ได้นั้นต้องดูที่ผลลัพธ์จากตัวของลูก ว่าเป็นผลผลิตของความรักแบบไหน เขาเติบโตขึ้นไปเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เช่น
ไร แล้วจึงจะสะท้อนได้ว่าเป็นผลผลิตจากความรักที่ถูกวิธีหรือไม่ ถูกเลี้ยงดูมาแบบรักมากเกินไป รักน้อยเกินไปหรือ
เปล่า เพราะเรื่องความรัก นอกจากต้องใช้สัญชาตญาณของความเป็นพ่อแม่ในการเลี้ยงดู ก็ต้องมีความรู้ควบคู่ด้วย
จึงจะถูกวิธี มิเช่นนั้นแล้วอาจกลายเป็นทำร้ายลูกก็ได้ เหมือนกับพ่อของชุนที่รักชุนมากจนความรักนั้นกลายเป็นพิษ
ที่มาทำร้ายตัวชุน และทำให้ชุนสูญเสียงความเป็นตนเองไป ซึ่งพฤติกรรมของความรักที่เสี่ยงเป็นพิษ หรือก่อให้เกิด
ผลเสยี กับลูกมดี ังน้ี

1. กลวั ลูกลำบาก
พ่อแม่ประเภทนี้มักจะทำทุกสิ่งอย่างให้ลูก เพราะกลัวว่าลูกจะลำบาก กลัวลูกอด กลัวลูกเจ็บ ฯลฯ ไม่ยอมให้

ลูกลำบากตรากตรำ คอยปรนนิบัติให้ทุกอย่าง เมื่อมีปัญหาใด ๆ ก็มักจะยื่นมือไปช่วยเหลือในทันที แทบจะไม่ปล่อยให้
ลูกเผชิญกับปัญหาหรือความลำบากเลย ถ้าเป็นลูกเล็ก แม่ก็จะคอยอุ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยยอมปล่อยให้ไปคลุกดิน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 29
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

คลุกทราย หรือเดินโดยลำพัง พอเริ่มโต ก็จะมีคนคอยเดินตามประกบทุกฝีก้าว และเมื่อเด็กพลาดล้มก็จะกลายเป็น
เร่อื งใหญ่ไปทันที

2. ทดแทนชวี ิตวัยเดก็
พ่อแม่ประเภทนี้ต้องการให้ลูกทดแทนบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปของพ่อแม่เมื่อวัยเด็ก อะไรที่ไม่เคยมี

ก็อยากให้ลูกได้มี อะไรที่ไม่เคยทำ ก็อยากให้ลูกได้ทำ หรือเมื่อครั้งวัยเด็ก พ่อหรือแม่อาจมีฐานะไม่ดีนัก หรือมีปมด้อย
หรือลำบากมาก่อน พ่อแม่ประเภทนี้จะฝังใจอยู่กับอดีต ฉะนั้นเมื่อตัวเองประสบความสำเร็จก็พยายามชดเชยอะไร
บางอย่างใหก้ บั ลกู ตลอดเวลา

3. ขีดเส้นใหล้ กู เดิน
พ่อแม่ประเภทนี้จะเชื่อว่าเส้นทางที่เลือกไว้ให้ลูกคือเส้นทางที่ดีที่สุดเสมอและมักเชื่อว่าตัวเองได้เลือกสิ่งที่ดี

ที่สุดให้กับลูก โดยที่จะพูดย้ำกับลูกอยู่เสมอว่าเพราะพ่อแม่รักลูกถึงเลือกเส้นทางชีวิตเช่นนี้ให้ลูก โดยไม่ฟังเสียงของ
ลูก เช่น อยากให้ลูกสืบทอดกิจการ ก็วางเส้นทางเพื่อให้ลูกเดินตามรอยที่ตัวเองต้องการโดยไม่ได้ดูความถนัดหรือ
ความชอบของลูกเลย ปัจจุบันเด็กไทยประสบปัญหาข้อนี้อย่างมากในแทบทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องเรียนที่เด็กมักเลือก
เรียนตามท่ีพ่อแมต่ อ้ งการมากกว่าท่จี ะรวู้ า่ ตัวเองชอบหรอื ถนัดอะไร

4. ลกู ฉนั ไม่เคยผดิ
พอ่ แมป่ ระเภทนเ้ี ปน็ พอ่ แม่ทปี่ กป้องลกู ตลอดเวลา ไม่วา่ ลูกจะมปี ัญหาอะไรกบั ใคร หรือมีปัญหากบั สมาชกิ ใน

ครอบครวั พ่อแม่ก็มักปกปอ้ งลูกอยู่ดี ลกู ฉนั ไม่เคยผดิ แม้ลกู จะทำผดิ กโ็ ทษผ้อู ืน่ เสมอ เวลาลูกมปี ญั หากบั ใคร พอ่ แม่
ก็มักออกโรงปกป้องเต็มท่ี ซงึ่ หารไู้ มว่ า่ ลูกประเภทนี้มักจะมปี ญั หาเมือ่ เขาเตบิ โตข้นึ เสมอ

5. ร้ไู มเ่ ทา่ ทนั ลูก
พ่อแม่ประเภทนี้พร้อมจะเชื่อลูกทุกอย่าง ลูกบอกอะไรก็เชื่อ โดยไม่ได้สนใจหรือตรวจสอบเลยว่าลูกทำอะไร ลูก

คบเพื่อนแบบไหน ลูกทำสิ่งที่เหมาะสมหรือเปล่า พ่อแม่ประเภทนี้มักขาดความรู้ เช่น ลูกขอซื้อคอมพิวเตอร์หรือ
โทรศัพท์มือถือด้วยเหตุผลเพื่อนำมาใช้หาความรู้ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องใช้สเปคสูงๆหรือราคาแพงจนเกินไป แต่ด้วยความ
ที่เชื่อลูกก็ให้เงินซื้อมาอย่างง่ายดาย โดยในความเป็นจริงลูกอาจนำมาเล่นเกมหรือใช้อย่างไม่เหมาะสม โดยที่พ่อแม่ไม่รู้
หรอื ไม่ตรวจสอบ หรอื ไมไ่ ดส้ นใจด้วยซำ้ ไป

6. เขม้ งวดเกินไป
พ่อแม่ประเภทนี้มักจะไม่ยอมให้ลูกอยู่นอกสายตา ไม่ว่าลูกจะทำอะไรจะคอยกำกับอยู่เสมอ จะไม่ยอมให้ออก

นอกลู่นอกทางเด็ดขาด ส่วนใหญ่จะมีกฏเกณฑ์กติกาและตารางชีวิตสำหรับลูก เช่น ถึงเวลาอ่านหนังสือ ได้เวลาไป
เรียนกวดวิชา ไม่อนุญาตให้ไปเที่ยวกับเพื่อนลำพังจะต้องไปด้วยทุกครั้ง ฯลฯ พ่อแม่มักไม่ค่อยผ่อนปรน สิ่งใดที่ไม่เห็น
ด้วยจะไมย่ อมใหล้ กู ทำเดด็ ขาด สว่ นใหญล่ ูกจะอึดอัด และสดุ ท้ายจะนำไปสู่การโกหกและหลีกหนี

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 30
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

7. กลัวลูกเหลิง
พ่อแม่ประเภทนี้ไม่ยอมแสดงความรักที่มีต่อลูก รวมไปถึงไม่ยอมชื่นชมหรือให้กำลังใจเมื่อลูกทำสิ่งใดได้

เพราะกลัวว่าลูกจะเหลิง เข้าข่ายรักนะแต่ไม่แสดงออก วิธีคิดแบบนี้ ลูกอาจจะคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก และหันออกไปหาความ
รักนอกบ้าน จากเพื่อนหรือคนอื่นๆที่แสดงความรักและเห็นว่าเขามีคุณค่า ซึ่งหากเขาพบคนที่ดีก็โชคดี แต่ถ้าเจอคน
ที่มาหลอกลวงนำพาไปสง่ิ ท่ีไมเ่ หมาะสมก็เปน็ อันตรายย่งิ

ซึ่งพฤติกรรมทั้ง 7 พฤติกรรมดังกล่าวนั้นล้วนอาจนำไปสู่การแปรเปลี่ยนจากความรัก กลายเป็นพิษที่ทำร้าย
ลูกของตนเองได้ในอนาคต หรือที่เรียกได้อีกอย่างว่า “พ่อแม่รังแกฉัน” ซึ่งความรักนั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอีก
ประการในการเลี้ยงดูลูก ความรักที่พอดีนั้นจะทำให้ลูกสามารถเติบโตและมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเขา
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่นั้นป้อนความรักให้มากเกินไป ก็จะกลายมาเป็นผลเสียต่อตัวลูกเอง เฉกเช่น ความรักของพ่อ
ของชุน ที่มีต่อชุน จนทำให้ชุนได้รับแรงกดดันสูง จนความระยิบระยับของชุนได้กลายเป็นป็อปคอร์น และความ
ระยิบระยับน้ันได้จางหายไปพร้อมกับตัวตนที่เป็นดั่งลมหายใจของชุนนั่นเอง ดังนั้นการที่พ่อแม่จะดูแลและมอบความ
รักในปริมาณที่เหมาะสมแก่ลูกนั้น จึงต้องกระทำควบคู่ไปกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย พ่อและแม่จึงต้องมีความ
เข้าใจในเรื่องของพัฒนาการแต่ละช่วงวัย ตามทฤษฎีพัฒนาการเด็ก เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์และพัฒนาการที่ดีลูก
ตามแต่ละช่วงวัย ดงั น้ี

ทฤษฎีพัฒนาการเดก็ (Child development theory)
พัฒนาการเด็ก หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของเด็กตั้งแต่เกิดจนถึงวัยรุ่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบแผน

ชัดเจน สังเกตได้หลักๆ ประกอบด้วย ความสามารถทางด้านร่างกาย การเคลื่อนไหว การสื่อสาร การใช้ภาษา และ
สติปัญญา ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเป็นไปตามลำดับพัฒนาการปกติ เช่น พัฒนาการด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว
พัฒนาการด้านสติปัญญา พัฒนาการด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านการสื่อสาร เป็นต้น โดยลำดับพัฒนาการ
สามารถแบง่ แยกตามชว่ งวัยได้ดงั น้ี

1. แรกเกดิ – 2 ปี (Infancy period)
ค ว า ม ร ู ้ สึ ก ผ ู ก พ ั น (Attachment) แ ล ะ ส า ย ใ ย ส ั ม พ ั น ธ ์ (Bonding) ก า ร ต อ บ ส น อ ง ท า ง อ า ร ม ณ์

(Temperament) ของผู้ดูและเด็กมีความสำคัญต่อกระบวนการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก หากเด็กได้รับการ
ตอบสนองด้านอารมณ์อย่างเหมาะสม จะทำให้เด็กมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย (Secure attachment) หากไม่ได้รับ
การตอบสนองที่เหมาะสม เช่น เมื่อหิวไม่ได้กินนม ถูกรบกวนในการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในวัยทารก เด็ก
อาจมีภาวะทางอารมณ์ มีอาการดื้อต่อต้าน ไม่วางใจผู้อ่ืน ไม่มั่นใจตนเอง (Trust vs Mistrust) เป็นเบื้องตันของการมี
ความภาคภมู ใิ จ (Self Esteem) ทดี่ แี ละไมด่ ี ดว้ ย ดงั นน้ั การใหเ้ ดก็ ไดย้ ินเสียงคนดแู ลการสมั ผัส การให้รับประทานนม
อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ที่ดี (Object Relationship) เพราะเด็กวัยนี้ต้องการการดูแลอย่าง
ทะนุถนอม (Soothed) จากผู้ดูแล เมื่อเด็กมีความเครียดหรือความกังวล การปฏิบัติกับเด็กด้วยการกระตุ้นสัมผัสทาง
กาย การให้อาหาร และการดูแลด้านจิตใจ มีความสำคัญต่อการพัฒนาด้านอารมณ์และบุคลิกภาพของเด็ก การปฏิบัติ
กับเด็ก แม่มีความสำคัญมาก การให้ความรักและการดูแลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เด็กพัฒนาความรักความผูกพัน
เห็นคุณค่าตนเอง ซ่งึ หากเด็กไมไ่ ด้รับในช่วงนี้ จะกลายเปน็ เดก็ ขาดรกั และไมผ่ ูกพนั กบั ใคร

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 31
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

2. เด็กวัย 2 – 3ปี (Toddler period)
ในวัยนี้ความผูกพัน (Attachment) เปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลต่อการแยกจาก (Separation anxiety)

พัฒนาการด้านเพศเด่นชัดขึ้น เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับเพศของตนเอง พัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)
เลียนแบบบทบาททางเพศ (Gender role identity) เด็กหญิงเด็กชายสนใจในเรื่องเพศภาวะของตนเองและของคนอื่น
เด็กเริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวของพวกเขา พูดหรือซักถามมาก มีพฤติกรรมคล้ายเด็กก้าวร้าว(Aggressive)
เป็นช่วงวัยที่มักใช้การปฏิเสธไว้ก่อน (Negativism) บางคนยังติดของ ติดผ้าห่ม ถือเป็นตัวแทนความผูกพัน (Object
Relationship) การยดึ ตนเองเปน็ ศูนย์กลาง และภาวะหลงตวั เอง (Narcissism) เกิดขึน้ ในชว่ งนี้

การปฏิบัติกับเด็กความสำคัญอยู่ที่พ่อแม่ หรือคนดูแลคนอื่นๆ ต้องคอยเฝ้าระวังความปลอดภัย ไม่ควร
ปฏิเสธ หรือแสดงอาการรำคาญ โมโห หงุดหงิดเมื่อเด็กซักถาม ควรเสริมสร้างประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้เรื่อยๆ
เรม่ิ สอนใหเ้ ด็กเขา้ หอ้ งนำ้ และรจู้ กั แบ่งปันได้ในช่วงนี้

3. เด็กวยั 3-6 ปี (Pre-School period)
เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น ชอบเรียนรู้จากการสำรวจหรือทำด้วยตนเอง เริ่มมีการเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน โดย

ยังไม่แบ่งแยกเพศ ความเข้าใจในเพศตนเองชัดเจนขึ้น สามารถเรียนรู้กติกาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่โรงเรียนอนุบาลได้
เด็กวัยนี้จะมีความรู้สึกผิด ต้องการเป็นอิสระจากพ่อแม่มากกว่าวัยเด็กเล็ก บางครั้ง เป็นวัยที่มีนพัฒนาการมาก
พัฒนาการด้านภาษาดีขึ้น บางครั้งทำและพูดในสิ่งที่พ่อแม่ห้าม เช่นพูดคำหยาบเป็นวัยที่ใช้ภาษามาก ช่างพูด
โดยเฉพาะคำว่า “ทำไม” “อยา่ งไร” เข้าใจเรอ่ื งสี ขนาดเล็ก ใหญ่ ตำแหนง่ นำ้ หนัก

การปฏิบัติกับเด็ก เนื่องจากเด็กมีความคิดและจินตนาการ เด็กจึงมีเรื่องราวที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง ควร
ส่งเสริมให้เด็กได้แสดงออกผ่านการเล่น ควรให้การชื่นชมเมื่อเด็กสามารถปฏิบัติตามกฎกติกาได้ การสนับสนุนให้เด็ก
ได้รจู้ กั แบง่ ปัน และมีนำ้ ใจเรมิ่ ไดใ้ นวยั น้ี

4. เด็กวยั เรียน (6 - 12 ป)ี
วัยนี้สิ่งแวดล้อมที่โรงเรียนมีความสำคัญ เพราะเด็กต้องใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เด็ก

ต้องเรียนรู้ในการทำงานร่วมกับผู้อื่นการได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนมีความสำคัญพอๆกับการได้รับการยอมรับ
จากพ่อแม่ ครูหรือบุคคลที่เด็กเคารพรักจะช่วยให้เด็กมีเป้าหมายชีวิต ในวัยนี้เด็กจำเป็นต้อประสบความสำเร็จอย่างใด
อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะความสำเร็จในการเรียนจะช่วยให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง ความรับผิดชอบมีมากขึ้นกว่า
วัยทผี่ า่ นมา วยั นอี้ าจมีอารมณ์นหันพลนั แล่น เขา้ ใจคำวา่ ถูกผดิ ชดั เจนข้ึน

การปฏิบัติกับเด็ก ควรส่งเสริมให้ได้มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ให้เด็กค้นหาว่าตนเองชอบในสิ่งใดและมี
กิจกรรมที่เด็กทำแล้วชอบ และทำกิจกรรมที่เด็กชอบให้สำเร็จ ความเชื่อมั่นตนเองของเด็กวัยนี้จะช่วยให้เด็กสามารถ
ปรับตัวเมือ่ ก้าวเขา้ สวู่ ัยรุ่นไดด้ ขี ้ึน

5. วัยรุ่น (Adolescent 12-18 ปี)
เริ่มเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกเป็นตัวตนของตนชัดเจนมากกว่าทุกวัยที่ผ่านมา ความคิดในเชิงนามธรรม

พัฒนาขึ้นมาก มีความขัดแย้งระหว่างการต้องการเป็นอิสระ กับการต้องพึ่งพาพ่อแม่ สัมพันธภาพกับกลุ่มเพื่อนมี
ความสำคัญกว่าสัมพันธภาพในครอบครัว เป็นวัยที่ความคิดรุนแรง และขาดความยับยั้งชั่งใจ หากความสัมพันธ์กับ
ครอบครวั ไมด่ ี วัยนี้จะพงึ่ พิงเพื่อน และง่ายต่อการถูกชักจงู

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 32
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

การปฏิบัติกับเด็ก การวางขอบเขตความสัมพันธ์ให้เหมาะสม ให้เด็กได้คิดตัดสินใจโดยผู้ใหญ่ประคับประคอง
อยู่ห่างๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวทุกเรื่องเหมือนสมัยที่อยู่ในวัยเด็ก เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงศักยภาพทั้งด้านความคิดและการ
กระทำ จะช่วยให้เด็กได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มคี วามมั่นคงทางอารมณ์ และพฤติกรรม ความรับผิดชอบจะเป็นสิ่งสะท้อน
ให้เห็นถึงการเตบิ โต

ซึ่งนักสังคมสงเคราะห์สามารถใช้องค์ความรู้ด้านพัฒนาการเด็ก ประกอบการประเมินและการวินิจฉัยทาง
สังคม หาสาเหตุของพฤติกรรมและอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมของผู้ใช้บริการ และวางแผนการให้การช่วยเหลือที่เหมาะสม
ได้ เช่น หากสังเกตว่า เด็กมีความไม่มั่นใจตนเอง ไม่กล้าตอบคำถาม เวลาตอบคำถามก็ต้องมองหน้าพ่อแม่อยู่
ตลอดเวลา ท้ังที่อยู่ในวัยเรียน นักสังคมสงเคราะห์อาจต้องสัมภาษณ์ประวัติการเลี้ยงดูเพิ่มเติมในช่วงวัยอื่นๆ ที่ผ่าน
มาด้วย ซึ่งคำตอบของการขาดความมั่นใจตนเอง ส่วนหนึ่งมักมาจากการเลี้ยงดูจากคนรอบๆ ข้าง ที่ไม่ส่งเสริมให้เด็ก
กล้าแสดงออก หรือช่วยเหลือตัวเอง เป็นต้น และนอกจากประเด็นความรักของพ่อที่กลายเป็นพิษแล้วนั้น อนิเมะซีรีย์
เรื่อง Dr. Ramune mysterious disease specialist ยังได้นำเสนอประเด็นเรื่องของความธรรมดาที่กลายเป็นความ
พิเศษ กล่าวคือ ชุนคือเด็กที่บุคคลรอบข้างเห็นพรสวรรค์ของชุน และแนวทางการดำเนินชีวิตของชุนกับสิ่งที่ชุนชอบ
อย่างชัดเจน ทว่าชุนกลับไม่รู้ตนเองว่าตนเองชอบอะไร และอยากเป็นอะไรในอนาคต และไม่ใช่เพียงแค่ชุนกับคุโระเพียง
เท่านั้นที่ประสบปัญหาการไม่รู้ว่าอยากเรียนต่ออะไร หรืออยากเป็นอะไร เพราะเด็กไทยจำนวนมากกว่า 60 % ต่างก็
ประสบปัญหาเดียวกันเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายความว่ามีเด็กจำนวนไม่น้อยเลยที่กำลังประสบปัญหาการไม่รู้ว่าตนเองชอบ
อะไร การไม่รู้ว่าตนเองควรไปทิศทางไหน รวมถึงในบางครั้งก็อาจจะไม่รู้ว่าตนเองมีความพิเศษ หรือความสามามรถ
อะไรบา้ ง

เมอ่ื ความธรรมดาของเรากลายเปน็ ความพเิ ศษในสายตาผู้อ่นื

บ่อยครั้งที่เรามักเจอคำถามว่าอยากเป็นอะไร โตขึ้นไปอยากเป็นอะไร บ่อยครั้งที่เราตอบไปเพียงแค่
ต้องการจบบทสนทนา บ่อยครั้งที่เราตอบว่า “ไม่รู้” และบ่อยครั้งที่เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอยากเป็นอะไร และคง
บ่อยครั้งที่เราถามเพื่อนวัยเดียวกันว่าโตขึ้นไปอยากจะเป็นอะไรดี หลายครั้งที่ความฝัน หรือความระยิบระยับของเด็กได้
จางหายไป หรือกลายเป็นป็อปคอร์นอย่างของชุน โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี เช่นในกรณีของชุนที่ความพิเศษหรือ
พรสวรรค์ในตัวชุนกลายเป็นความธรรมดาและความปกติในสายตาของตัวชุนเอง แต่ความธรรมดาเหล่านี้กลับ
กลายเป็นความพิเศษในสายตาของคนรอบข้าง และกว่าชุนจะรู้ถึงตัวตนของตัวเอง ถึงตอนนั้นชุนก็ได้สูญเสียความ
เป็นตัวเอง และสูญเสียความระยิบระยับนั้นไปเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งที่บุคคลรอบข้าง และตัวเราเองสามารถทำได้ เพื่อคง
ความเป็นตัวตนของเราเอง และเพื่อคงความระยิบระยับไว้นั้นก็คือ การสร้างคุณค่า หรือความภูมิใจในตนเอง (Self
Esteem) ซง่ึ เป็นส่วนหนงึ่ ของการเสริมพลังอำนาจ หรอื Empowerment นนั่ เอง

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 33
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

การสร้างคุณค่า / ความภาคภมู ิใจในตนเอง ( Self Esteem)

แนวคิดการสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองนั้นเป็นอีกแนวคิดสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความหมายของ “การ
เสริมพลังอำนาจ” อีกแนวหนึ่งคือ แนวคิดการสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง อันเป็นความรู้สึกของบุคคลที่เกิด
จากการมองเห็นคุณค่า ยอมรับตนเองตามความเป็นจริง ซึ่งแนวคิดนี้มีผลต่อการแสดงออกพฤติกรรมและเป็น
ตัวชี้วัดระดับความสำเร็จในชีวิตด้านต่างๆ ซึ่งการตระหนักรู้ถึงคุณค่าในตนเอง เป็นพลังผลักดันให้บุคคลมีแรง
กระตุ้นที่จะกระทำสิ่งต่างๆให้บังเกิดผลสัมฤทธิ์และมีประสิทธิภาพ การที่บุคคลมีความภาคภูมิใจในตนเอง จะนำไปสู่
การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ส่งผลถึงความเข้มแข็งทางจิตใจ มีความอดทน มานะพยายาม ต่อสู้บากบั่นในอันที่จะ
บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หากมนุษย์ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีความสามารถและไม่เห็นความสำคัญของตนเอง
ก็ไม่สามารถท่ีจะกระทำการต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี และไม่สามารถจะมองเห็นความสามารถ ความสำคัญของผู้อื่น
เช่นเดียวกนั ดังน้นั การเห็นคุณคา่ ในตนจึงมคี วามสมั พนั ธ์กบั ความคิด ความร้สู กึ และพฤติกรรมท่แี สดงออกตอ่ บคุ คล
อื่นๆ ขณะเดียวกันความรู้สึกที่เห็นคุณค่าในตนเอง มีผลต่อทุกช่วงชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่ในวัยเด็กเป็นต้นมา เด็กที่มี
ความนับถือตนเองต่ำ หรือมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเอง จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่มองเห็นตนเองล้มเหลว และมีแนวโน้ม
จะประสบความล้มเหลวในชีวิตทุกต้าน ในขณะที่เด็กที่รู้สึกมั่นใจ เห็นคุณค่าในตนเอง จะสามารถแสดงพฤติกรรมที่บ่ง
บอกถึงความมีอิสระจากภายใน มีความกล้าหาญและเชื่อมั่นในการแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น สามารถบอก
ความรู้สึกและความต้องการของตนเองได้อย่างมั่นใจ รู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จของตน รู้จักแสดงความช่ืนชมใน
ความสำเร็จของผูอ้ ่ืน รบั รูค้ วามรู้สกึ ของผอู้ นื่ ได้ และรจู้ ักเอาใจเขามาใสใ่ จเรา

การสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองเป็นกระบวนการพัฒนามนุษย์ที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตในอนาคต และ
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริมให้เกิดความรับรู้นี้ตั้งแต่วัยเริ่มแรกของชีวิต โดยครอบครัว ผู้ปกครอง จำเป็นต้องให้
ความสำคัญกับการเลี้ยงดูและการอบรมทางสังคมที่เน้นการส่งเสริมดวามรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง โดยต้องเสริมสร้าง
ใหเ้ ดก็ เกดิ ความรู้สึกเก่ียวกบั ตนเอง 4 ประการ คือ 1) ความรสู้ ึกเปน็ ตวั ของตัวเอง (a sense of one's own identity)
2) ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม (a sense of belonging) 3) ความรู้สึกเชิงบวกในอัต-ลักษณ์ของตน (a sense
of one's uniqueness) และ 4) ความรู้สึกเกี่ยวกับพลังความสามารถในตนเอง (a sense of sense power) ดังน้ัน
กิจกรรมที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรจัดให้แก่เด็ก เพื่อสร้างเสริมคุณค่าในตนเอง ควรเป็นกิจกรรมที่ มีลักษณะ
ครอบคลุมองคป์ ระกอบ 4 ดา้ นดว้ ยกันคือ

1. ตัวฉัน (I) คือ การมีความตระหนักในตนเอง ด้วยการทำให้เด็กเรียนรู้ว่า ตัวฉันเป็นใคร มีความสำคัญ
อย่างไร ตัวฉันอยู่ที่ไหน พื้นที่ใดเป็นพื้นที่ของตัวฉัน ขอบเขตของพื้นที่ในส่วนตนและพื้นที่ภายนอกที่ฉันเป็นเจ้าของ มี
ความสำคญั อย่างไร

2. การริเรม่ิ (initiative) คือ การเล้ียงดูทใ่ี ห้โอกาสเดก็ ไดเ้ รียนรู้ ทดลองทำส่งิ ต่างๆ ด้วยตนเอง เสริมให้เดก็
กล้าคิด กล้าแสดงออก และมีท่าทีที่เหมาะสมในการเสริมแรงทางบวก ด้วยการชื่นชม หรือการตั้งข้อสังเกตต่อ
พฤติกรรมของเดก็ โดยไมต่ ำหนิ ตดั สนิ จนเด็กเสยี กำลงั ใจ

3. ความเป็นอิสระ (independence) คือ การให้เด็กได้แสดงออกอย่างเป็นอิสระ ทำกิจวัตรประจำวันในชีวิต
ด้วยตนเอง ไม่มีลักษณะพึ่งพิงผู้อื่นจนไม่เหมาะสม การเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ชีวิตด้วยการเป็นตัวของตัวเอง จะบ่ม
เพาะความเชื่อมั่นในตนเอง และเสริมให้เด็กลดความกลัวหรือความหวาดเกรง จนขาดความเป็นอิสระในการเลือก หรือ
ตัดสินใจสงิ่ ต่างๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 34
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

4. การมีปฏิสัมพันธ์ (interaction) คือ การช่วยให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม
ด้วยการเคารพในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ยอมรับข้อจำกัดและชื่นชมในข้อดีของแต่ละฝ่าย การมีปฏิสัมพันธ์ท่ี
เหมาะสมจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ความหลากหลายของผู้คนในด้านที่แตกต่างกัน ยอมรับความหลากหลาย และรู้จักเลือก
ที่จะใชท้ า่ ทหี รือปฏิสัมพันธท์ ี่เหมาะสม ในการสร้างความสัมพนั ธก์ บั ผอู้ ่นื ในสังคม

ความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองเป็นความรู้สึกภายในของบุคคล ที่ได้มาจากการประเมินคุณค่าและ
ความสามารถของตนตามความเป็นจริง การประเมินตนเองสูงเกินไปจะนำไปสู่การหลงตนหรือเห็นแก่ตน การประเมิน
ตนเองต่ำเกินไปจะทำให้ลดความรู้สึกมีคุณค่าในตน ไม่สามารถขับเคลื่อนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ควรเป็น ดังน้ัน
การพัฒนาความรู้สึกที่มีคุณค่าในตนเอง จึงมีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนเราตั้งแต่วัยเด็ก เพราะจะสั่งสมให้เกิด
พฤติกรรมเชิงบวก เกิดการมองตนเองว่ามีคุณค่า และมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะปัญหาให้ลุล่วงไป รวมถึงยังเป็นการ
สร้างภูมิคุ้มกันภายในตนให้มีรากฐานทางจิตใจเข้มแข็ง ผ่านพ้นเรื่องร้ายต่างๆอย่างเข้าใจและมีความหวังที่จะ
เปลี่ยนแปลงตนเองในทางที่พึงประสงค์ และนักสังคมสงเคราะห์หรือผู้ให้บริการยังต้องมีบทบาทในการ “สะท้อนกลับ”
ซึ่งถือเป็นอีกเทคนิคหน่ึงในกระบวนการเสริมพลังอำนาจของตนเองให้แก่ผู้ใช้บริการ เพราะการสะท้อนกลับจะช่วยให้
ผู้ใช้บริการกระจ่างว่าปัญหาของตนเองคืออะไร ช่วยให้สามารถคลี่คลายความสับสนในใจเสมือนเป็นกระจกสะท้อน
กลับ โดยเราจะเห็นรามูเนะใช้เทคนิคดังกล่าวในการสะท้อนกลับไปยังชุน เพื่อให้ชุนได้ทบทวนตนเอง และสังเกตตนเอง
เพื่อหาสาเหตุของป็อปคอร์นที่เด้งออกมาจากหัวนั้นคืออะไร และให้ชุนได้ทบทวนถึงความแตกต่างในขณะที่ชุนได้
รังสรรค์งานศิลปะ และในขณะที่ชุนถูกกดดันจากพ่อ ซึ่งทำให้ชุนได้รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของโรคประหลาดตัวเอง ได้
สำรวจและทบทวนความรู้สึก ความสำคัญ และความต้องการของตนเอง โดยที่รามูเนะมีบทบาทเสมือนกระจกที่คอย
สะทอ้ นชุนนน่ั เอง ซึ่งเหตุผลและความจำเป็นทีน่ กั สงั คมสงเคราะห์หรือผู้ให้บริการควรใช้การสะท้อนกลับ มีดังน้ี

1. ช่วยผู้ใช้บริการเห็นและเข้าใจสภาพปัญหาของตนเอง การสะท้อนกลับเปรียบเสมือนกระจก ที่สะท้อนให้
ผู้ใช้บริการเห็นและเขา้ ใจสภาพปัญหา หรือเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นว่า เป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร และปัญหาแต่
ละเรื่องมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร สาเหตุของแต่ละปัญหา คืออะไร ตัวเขา/เธอรู้สึกและได้รับผลกระทบอย่างไร หาก
ปราศจากกระจกหรือการสะท้อนกลับ ผู้ใช้ บริการจะอยู่ในอาการสับสน มืดมน และเต็มไปด้วยความไม่ซัดเจน ความไม่
มั่นใจ และความกลัว

2. ช่วยให้ทั้งผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการเห็นภาพปัญหาทั้งหมดอย่างชัดแจ้งและตรงกัน เป็นการช่วย
ตรวจสอบว่า สงิ่ ทพี่ ูดออกมาน้ันเป็นประเด็นปญั หาหรือไม่ และช่วยให้ผูใ้ ชบ้ ริการเรยี งลำดับความคดิ ของตนได้

3. การให้การปรึกษาเป็นงานที่ทำร่วมกันระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้การปรึกษา การสะท้อนกลับทำให้ผู้ให้
บริการได้พดู กลบั ไปในส่ิงท่ไี ดย้ นิ จากผู้ใช้บรกิ าร

4. เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้ให้บริการเอาใจใส่ ใกล้ชิด และรับรู้ปัญหาของผู้ใช้บริการ เช่น สะท้อนกลับว่า "ท่ี
คณุ เลา่ มา คอื คณุ กำลังเศร้ามากเน่อื งจากไมไ่ ดท้ ำในสงิ่ ท่ีคุณต้องการ"

5. ช่วยให้ผู้ใช้บรกิ ารมน่ั ใจว่า ผู้ให้บริการให้ความสำคัญ และเขา/เธอได้รบั การใสใ่ จอย่างเต็มท่ี
6. ช่วยให้ผู้ใช้บริการชัดเจน จับต้นชนปลายได้ ในกรณีที่มีประเด็นปัญหาหลายประเด็น และผู้ใช้บริการพูดเร็ว
หรือพูดวกไปวนมา จึงเปน็ การปอ้ งกันการสบั สนทัง้ สองฝา่ ย
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการทำงานมักจะพบอุปสรรคของการฟังและการสะท้อนกลับ ที่ส่งผลให้เกิดการ
ทำงานแบบลดพลังอำนาจของผู้ใช้บริการ นั่นคือ การมีอคติ วิธีคิด ค่านิยมที่เป็นกรอบคิดของผู้ให้บริการ ดังนั้นผู้
ให้บริการต้องเริ่มต้นจากการเสริมพลังอำนาจตนเอง ด้วยการฝึกคิดนอกกรอบ ทำจิตให้ว่าง ฟังสิ่งที่เขา/เธอพูดอย่าง

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 35
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

ตั้งใจ ให้ความยอมรับตัวตนของผู้พูด และสร้างบรรยากาศให้กระบวนการเล่าเรื่อง หรือบอกกล่าวเป็นไปโดยธรรมชาติ
ไม่นำกรอบคิดใดๆ มาปิดกั้นเต็มที่ ไม่ด่วนตัดสิน ประณาม หรือให้ความหมายประสบการณ์ของเขา/เธอแบบ สรุปว่า
ปัญหาของเขา/เธอ คอื อะไร หรือกำหนดทางออกของปญั หาใหแ้ กเ่ ขา/เธอ โดยขาดการมีสว่ นรว่ ม

ดังนั้นการเสริมพลังอำนาจในตนเองจึงเป็นแนวคิดและการสร้างความตระหนักในการเตรียมความพร้อมผู้
ให้บริการ โดยเริ่มต้นจากการทบทวนประเมินความรู้ ความเข้าใจในงานและทบทวนศักยภาพ จุดแข็ง จุดอ่อนภายใน
ตนเองให้ชัดเจน เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า ควรจะเพิ่มหรือลดทอนความคิด ความรู้ใด ๆ เพิ่มเติม หรือต้องเร่งเสริมทักษะ
วิธีการทำงานแบบใด เพื่อให้เกิดการเข้าถึงการเข้าใจผู้ใช้บริการอย่างเป็นจริง หากนักสังคมสงเคราะห์เริ่มต้นจาก
ความรู้ที่ไม่ชัดเจน ไม่มีความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานตามเป้าหมาย หรืออยู่ในภาวะอ่อนแอ ก็จะเป็นสถานการณ์ที่
ยากลำบากที่นักสังคมสงเคราะห์จะไปฟื้นฟูและเสริมพลังอำนาจให้ผู้ใช้บริการมองเห็นและเข้าใจปัญหาของตนหรือมี
ความพร้อมที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตนเองและสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ความคิด ความเชื่อบุคลิกภาพ ท่าทีของผู้
ให้บริการ เป็นเสมือน "ธงนำ" ให้ผู้ใช้บริการเกิดดวามไว้วางใจ เริ่มจากอยากให้ความร่วมมือ มีความเชื่อถือที่จะ
ดำเนินการตามข้อเสนอ หรือกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนในด้านลึกออกมา ทำให้การทำงานร่วมกันมีความง่ายมากขึ้น การ
ทำงานเสริมพลังอำนาจในตนเองไม่ใช่การปฏิบัติการที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดในตัวเองเท่านั้น หากแต่เป็นความรับรู้และ
กระบวนการที่จะส่งผ่านซึ่งกันและกัน จากนักสังคมสงเคราะห์สู่ผู้ใช้บริการหรือต่อครอบครัวผู้ใช้บริการ ให้รับรู้พลัง
อำนาจนั้นด้วย พลังอำนาจจึงเป็นพลังที่แลกเปลี่ยนกันได้ และต่างเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน ด้วยเหตุนี้กระบวนการ
ทำงานเสริมพลังอำนาจ จึงประกอบด้วยการแลกเปลี่ยน "พลัง" หลายรูปแบบ ทั้งการประชุมกลุ่มช่วยเหลือกันเอง
หรือกลุ่มพิทักษ์สิทธิในประเด็นต่าง ๆ และเมื่อนักสังคมสงเคราะห์ให้ความสำคัญกับการเตรียมพร้อมที่จะทบทวน
ตนเอง ประเมินตนเองรอบด้าน แสวงหาความรู้เพิ่มเดิมเพื่อพัฒนาตนเองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่อสู้กับอดติและ
ทัศนคติที่ไม่เหมาะสมบางอย่างในตนเอง เสริมความกล้าในการเผชิญหน้าและต่อรองเพื่อพิทักษ์สิทธิและประโยชน์
ผู้ใช้บริการ มีกระบวนการวางแผนอย่างมีส่วนร่วม และมีทักษะในการกำกับติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ ก็เท่ากับเป็น
การเสริมพลังอำนาจในตนเองอย่างเข้มข้น พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาและสถานการณ์ซับซ้อนต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม
และคนื พลงั อำนาจให้ผู้ใช้บริการได้รวดเร็วในท่สี ุด

ดังนั้นหากพบเจอใครที่เป็นดั่ง “ชุน” การที่เด็กคนหนึ่งมีความสามารถ การที่เราได้เห็น สัมผัส และรับรู้ถึง
ความสามารถ ความพิเศษ ความระยิบระยับเหล่านั้น เราควรพูดชม ให้กำลังใจพวกเขาอย่างเต็มที่ ไม่กระทำการใดๆ
เพื่อลดทอนคุณค่า หรือด้อยค่าในความสามารถ ความพิเศษ ความเป็นตัวเองของเด็ก หรือเขาเหล่านั้น เพื่อให้พวกเขา
ได้มีความมั่นใจ และเห็นถึงคุณค่าในตนเอง เหมือนที่แม่ของชุนได้พูดกับพ่อของชุนว่า “มันก็จริง ถ้าต้องห่างกันมันก็
คงเหงาน่าดู แต่เหนือสิ่งอื่นใด พรสวรรค์ของชุนจะเบ่งบานมากแค่ไหน มันน่าจับตาดูสุดๆไปเลยหละ เพราะฉะนั้น
แทนที่จะเลือกให้ เรามาช่วยกันฟูมฟักกันเถอะนะ” หากเราสามารถช่วยกันปกป้อง หรือให้บุคคลเหล่านั้นรับรู้ถึงความ
ระยบิ ระยบั ของตนเอง กอ่ นท่จี ะสายและสลายกลายเป็นปอ็ ปคอรน์ ก็คงจะดีไมใ่ ช่น้อย

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 36
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

บทบาทของผ้ปู กป้องความระยิบระยับของเด็ก และเยาวชน

การปกป้องความระยิบระยับ หรือความสามารถของเด็ก ความพิเศษของเด็ก พรสวรรค์ของเด็ก ความฝัน
หรือตัวตนและความเป็นตัวเองของเด็ก เยาวชนนั้น ต้องเริ่มจากบุคคลที่ใกล้ตัวเด็ก ซึ่งนั่นคือพ่อแม่ ผู้ปกครอง
บทบาทของครอบครัวนั้นควรมีการสนับสนุน ให้กำลังใจ และให้คุณค่าในตัวตนของเด็ก เพื่อก่อให้เกิดความตระหนักรู้
ถึงคุณค่าของตนเอง เกิดความภาคภูมิใจในตนเอง นอกจากนี้ยังต้องทำความเข้าใจในตัวตนและความต้องการของ
เด็ก โดยปราศจากอคติ และไม่ก่อให้เกิดการบั่นทอนกำลังใจของเด็ก เช่น การนำเด็กไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น เป็น
ต้น และเพราะสถาบันครอบครัวนั้นคือสภาบันที่ใกล้ตัวเด็กมากที่สุด ดังนั้นครอบครัวจึงต้องให้ความสำคัญ และร่วม
ฟูมฟกั ความระยิบยับเหล่าน้นั ใหเ้ ปล่งประกาศในอนาคต

สถาบันการศึกษา ถือเป็นอีกสถาบันหนึ่งที่ใกล้ตัวเด็กมากที่สุดรองจากสถาบันครอบครัว และเป็นสถาบันที่
คอยบ่มเพาะความเป็นตัวตนและความสามารถของเด็ก เนื่องจากเด็กนั้นได้รับการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ
เป็นเสมือนสถานที่ที่ให้เด็กได้พัฒนาตนเอง พัฒนาองค์ความรู้ ความสามารถ ความสนใจของตนเอง และเพิ่มพูน
ทักษะในการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้นบทบาทของสถานศึกษา หรือคุณครู จึงควรให้ความสนับสนุนเด็ก ใส่ใจ และ
คอยสังเกตพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน รวมถึงคอยแนะแนวและชี้แนวทางให้แก่เด็ก เพื่อให้เด็กได้ค้นหาตนความ
ระยิบระยับของตนเอง หรือสามารถพัฒนาและคงความระยิบระยับเหล่านั้นของเด็ก เพราะสถานศึกษาเปรียบเสมือน
พื้นที่แห่งการค้นหาตัวตน หากครูสามารถดูแลและเพิ่มพูนประสบการณ์เหล่านั้นได้ เด็กก็สามารถพบความระยิบระยับ
ของตนเองได้ นอกจากนี้บทบาทของเพื่อนร่วมชั้นในสถาณศึกษาก็ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาททีสำคัญ เพราะเพื่อนก็ถึงว่า
มีอิทธิพลต่อตัวเด็กและเยาวชนตามแต่ละช่วงวัย เหมือนที่เราได้เห็นว่าชุนได้รับคำชมจากเพ่ือน รวมถึงตัวคุโระเอง
การที่มีคนคอยชม หรอื ให้กำลงั ใจและความสนใจในสง่ิ ท่ีชนุ ทำ นนั่ ทำใหช้ ุนรูส้ ึกมีความสุขและมกี ำลงั ใจขน้ึ อยา่ งมาก

บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ หรือนักสังคมสงเคราะห์ในสถาณศึกษาก็มีส่วนสำคัญในการปกป้องความ
ระยิบระยับเหล่านี้ ยกตัวอย่างในกรณีของชุน ที่การทำงานของรามูเนะเปรียบเสมือนการทำงานของนักสังคม
สงเคราะหท์ ีช่ ว่ ยให้ชุนได้เหน็ ถงึ ความตอ้ งการ ความกงั วลใจ และสาเหตุของป็อปคอร์นทแ่ี ท้จริง ซึง่ เสมอื นบทบาทของ
นักสังคมสงเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา บำบัด และฟื้นฟู ด้วยทฤษฎีและเทคนิคต่างๆ นอกจากนี้การทำงานกับ
ผู้ใช้บริการที่มีลักษณะปัญหาคล้ายกับของชุน นักสังคมสงเคราะห์ต้องมีการทำงานร่วมกับครอบครัว และสถาณ
ศึกษา รวมถึงเพื่อนของผู้ใช้บริการอีกด้วย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และเพื่อให้แต่ละฝ่ายได้เข้าใจถึงปัญหา เล็ง
ถึงปัญหาและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา สนับสนุนและฟูมฟักตัวตนของเด็กและ
เยาวชนให้ไปในทิศทางที่เหมาะสมโดยไม่ทำลายหรือก่อให้ความระยิบระยับสลายหายไป และนักสังคมสงเคราะห์
สามารถจัดบริการเพื่อช่วยเหลือ เช่น บริการการให้คำปรึกษา บริการการวางแผนแนวทางการศึกษาต่อ การทำ
กจิ กรรมกลมุ่ บำบดั เป็นตน้

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 37
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

อีกหนึ่งบทบาทที่ทุกคนสามารถร่วมกันทำได้เพื่อปกป้องความระยิบระยับเหล่านี้ นั่นคือ “การรับฟัง” การรับ
ฟังปัญหา หรือเรื่องเล่าจากความไม่สบายใจ ก็สามารถทำให้เราได้เป็นพื้นที่ไร้แรงโน้มถ่วงสำหรับใครสักคนหนึ่งท่ี
กำลังอยู่ในสภาวะแรงโน้มถ่วงจากการถูกกดดัน ความคาดหวัง หรือจาพสภาพแวดล้อมรอบข้าง และเพราะความ
ระยิบระยับนั้นไม่ได้ก่อขึ้นเพียงแค่ในวัยเด็กเท่านั้น แต่ความระยิบระยับเหล่านี้สามารถก่อขึ้นได้ในตัวตนของทุกคน ทุก
เพศ ทุกช่วงวัย และเพราะความธรรมดาของคนหนึ่ง อาจจะกลายเป็นความพิเศษในสายตาของอีกคนหนึ่ง และเพราะ
ความธรรมดาราวกับการหายใจ บุคคลย่อมอาจไม่รับรู้ถึงความพิเศษเหล่านั้นในตัว การที่มีคนคอยทำหน้าที่เป็นเสมือน
กระจกสะท้อนให้อีกฝ่ายได้เห็นถึงความพิเศษ ความระยิบระยับ และตัวตนที่อีกฝ่ายมองไม่เห็น และการมีพื้นที่ไร้แรง
โน้มถ่วง พร้อมพื้นที่หรือแนวทางแห่งการพัฒนาตนเอง ย่อมส่งผลให้ความระยิบระยับของบุคคลน้ันเปล่งประกาย
อยา่ งงดงาม

“พรสวรรคจ์ ะเบง่ บานแคไ่ หน มันน่าจับตาดูมากเลยหละ
เพราะฉะนั้นกอ่ นจะเลือกให้ มาช่วยฟมู ฟกั กนั เถอะเนอะ”

อา้ งอิง

Ayumu Hisao. (Writer), & Hideaki Oba. (Director). (2021). Dr. Ramune mysterious disease specialist
[Television series episode]. Retrieved from
https://youtube.com/playlist?list=PLIa05JMgYhhYjJKS1VOxAG9GqjlrJ2nQh

Admission Premium. (2561). กวา่ 60% เดก็ ม.ปลายท่ัวประเทศท่ีกำลังจะกา้ วเข้าส่รู วั้ มหาวทิ ยาลยั ไมร่ วู้ า่ จะเรียน
ต่ออะไร. สืบคน้ จาก https://www.admissionpremium.com/content/3296

True ID. (2021). Kai Byoui Ramune คณุ หมอประหลาด รามุเนะ อนเิ มะแนวคอมเมด้ที จ่ี ะพาคุณไปพบกบั โรค
ประหลาด. สืบค้นจาก https://intrend.trueid.net/article/kai-byoui-ramune

Wikipedia. (2021). คุณหมอประหลาด รามเู นะ . สบื คน้ จาก https://th.wikipedia.org
สถาบันราชานกุ ลู . 7 พฤตกิ รรมรกั ลกู เกนิ เหตุ. สืบคน้ จาก https://th.rajanukul.go.th
สมาคมนักสังคมสงเคราะห์จติ เวช กรมสขุ ภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ . (2556). ค่มู ือสงั คมสงเคราะหจ์ ิตเวช เดก็

วยั เรยี น / วัยรุ่น. โรงพมิ พ์ชมุ นุมการเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
อภิญญา เวชยชยั . (2557). การเสริมพลังอำนาจในการปฎบิ ัติงานสงั คมสงเคราะห์. กรงุ เทพ: สำนักพิมพ์

มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 38
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

ธนวรรณ จนั ทร์ยงค์ 6105490020

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 39
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

คำนำ

ข้าพเจ้า นางสาวธนวรรณ จันทร์ยงค์ หัสนักศึกษา 6105490020 ชั้นปีที่ 4 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ได้
ทำการจัดสัมมนาเรื่อง ความรักที่พ่อแม่ส่งต่อมายังลูก ผ่านบทละครเรื่อง Move to heaven ในวิชาC F369 สัมมนา
การพัฒนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว ได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับ ความเป็นเอกลักษณ์ของโรค Asperger, การเลี้ยง
ดูเด็กท่ีอยู่ในกลุ่มอาการออทิสติกสเปกตรัม, บทบาทของพ่อแม่หรือผู้ดูแลใกล้ชิดภายในครอบครัว และบทบาทนัก
สังคมสงเคราะห์ รวมถึงประเด็นต่าง ๆ เพิ่มเติมท่ี สนับสนุนให้เกิดกระบวนการส่งเสริมความเป็นอยู่ของครอบครัวที่มี
เด็กอยู่ในกลุ่มอาการออทิสติกสเปกตรัมให้สามารถเข้าถึงปัจจัยและบริการขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ภายหลังเสร็จสิ้นการสัมมนาดังกล่าว ข้าพเจ้าได้นำข้อเสนอแนะเพิ่มเติมที่ได้ระหว่างการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใน
การจัดสัมมนา และคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิ่นหทัย หนูนวล เพ่ือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในการ
จัดทำรายงานการสมั มนาฉบบั สมบรู ณ์

ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณผู้เข้าร่วมการสัมมนาทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือและกำลังใจในการจัดสัมมนาครั้งน้ี
หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการสัมมนาฉบับนี้จะก่อให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญของโรคกลุ่มออทิสติกสเปกตรมั
มากขึ้น และปัจจัยต่าง ! ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของครอบครัวที่มีเด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการออทิสติกสเปกคตรัม
รวมถึงองค์ความรู้ทางการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว ที่ส่งเสริมให้เกิดนโยบายที่เอ้ือ
ต่อความเป็นอยู่ของบุคคล หรือครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กกลุ่มออทิสติกสเปกตรัมและเป็นประโยชน์แก่วงการศึกษา
ต่อไป

หากมีข้อผิดพลาดหรือขอ้ แนะนำประการใด ผู้จดั ทำขอน้อมรับไวแ้ ละขออภัย ณ ท่นี ี้ด้วย

นางสาว ธนวรรณ จันทร์ยงค์
ผูจ้ ดั ทำ

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 40
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

หลกั การและเหตุผล
ซีรีย์เกาหลี เรื่อง Move to heaven เรื่องราวของครอบครัวที่มีกิจการการเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุหรือเก็บ

ข้าวของคนตาย เพื่อส่งให้แก่ญาติผู้เสียชีวิต ชีรีย์ได้นำเสนอบทละครที่อบอวลไปด้วยเรื่องราวของความรัก ความ
สูญเสีย และชีวิตของผู้คนที่ยังคงต้องดำเนินต่อไป ผ่านครอบครัวฮันกือรูที่สะท้อนถึงการดูแลเอาใจใส่และความรัก
ของคุณพ่อ (ฮันจองอู) ที่มีต่อลูกที่เป็นโรค Asperger การทำความเข้าใจโรค การรักษาการวางแผนเตรียมสิ่งต่าง ๆ
ไว้เพื่อรองรับและสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของลูก เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการเรียนรู้ครั้งใหญ่ของตัวละครเอก
(ฮันกือฐ เกิดขึ้นที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่มีพ่อผู้ที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบเมื่อคุณอา (โจซังกู) ที่ไม่เคยพบหน้า หรือ
รู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนต้องมารับหน้าที่เป็นผู้อนุบาล ให้การดูแลทั้งฮันกือรู และกิจการเก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ จากผู้
ท่ีไม่เคยรูจ้ กั และอยู่ร่วมกันมาต้องมาปรับตวั อยูอ่ าศยั และดูแลซงึ่ กนั และกัน

ด้วยเร่ืองราวที่ดูเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไปของฮันกือรูได้ซ่อนการเจริญเติบโตที่มีความพิเศษละเอียดอ่อนมาก
ๆ ชอ่ นอยู่ภายใตส้ ีหนา้ ท่ีไม่แสดงอารมณใ์ ด ๆ ของเขา จงึ ทำให้นักศกึ ษาสนใจถึงความรกั ของพ่อที่หล่อเลีย้ งฮนั กือรูจน
เติบใหญ่ และความพิเศษที่ฮันกือรูได้รับและเรียนรู้จากพ่อ สิ่งที่เขาต้องเผชิญและดำรงชีวิตต่อไป พร้อมกับคุณอาที่มี
นิสัยเกเร ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้อนุบาลอย่างยิ่ง การที่บุคคลหนึ่งต้องเรียนรู้ถึงความละเอียดอ่อนของบุคคลที่มีอาการ
ออทิสติก และบุคคลออทิสติกที่ไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีนัก ทรัพยากรใดในสังคมที่จะสามารถข้ามา
มีบทบาทในการสนบั สนุนความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ครอบครัวฮันกือรู และจะสนับสนุนให้คุณอาสามารถเข้าใจและปรับตัว ดู
แลฮันกือรูได้ดีมากยิ่งขึ้น บทบาทใดที่จะมีทักษะ ความสามารถที่สำคัญต่อครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติก
นโยบายใดที่จะรองรับความเป็นอยู่ให้แก่ครอบครัวที่ขาดผู้หารายได้หลัก รวมถึงมุมมองต่อโรค Asperger ที่มีอาการ
คล้ายคลึงกับออทิสติก ผู้ร่วมสัมมนาจะมีความคิดเห็นไปในทิศทางไหน จึงทำให้นักศึกษาสนใจเป็นอย่างยิ่งที่จะค้นคว้า
และนำประเดน็ ตา่ งๆมาพูดคยุ แลกเปลี่ยนกัน

วัตถุประสงค์
1. เพ่อื สะทอ้ นความรูส้ ึก ความคิดเหน็ จากการรบั ชมซีรยี ์ Move to heaven
2. เพ่ือแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั โรค Asperger, การเลย้ี งดูของครอบครัว
3. เพ่ือสะทอ้ นบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ และหนว่ ยงานตา่ ง ๆ เพ่มิ เติมท่ีมสี ่วนเกี่ยวขอ้ งในการ
สนบั สนุนครอบครวั ทต่ี อ้ งดแู ลบุคคลทอี่ ยูใ่ นกลมุ่ อาการออทิสตกิ สเปกตรมั

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 41
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

โปสเตอรส์ ัมมนา

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 42
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สมั มนา หัวข้อ "ความรกั ทีพ่ อ่ แม่ส่งต่อมายงั ลูก" วนั ที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.30 - 15.00 น.
ประเดน็ การสมั มนา
จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนในการสมั มนาไดม้ คี วามคดิ เห็นในประเดน็ ตา่ งๆ สรปุ ไดด้ ังน้ี

รสู้ กึ อยา่ งไรหลังจากดูซีรีย่ ์ Move to heaven
ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เห็นถึงความรัก ความห่วงใย ความอบอุ่นของพ่อที่มีต่อลูก เห็นภาพการดูแลลูกของพ่อใน
ทุกๆวันที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีความใสใจลูกเป็นอย่างมาก พ่อให้การยอมรับ และมีความเข้าใจในโรค
Asperger ท่ลี กู เปน็ และยงั ใหก้ ารดูแล เตรยี มการ วางแผนการใชช้ ีวิตและสอนลกู อย่างเปน็ ระบบใหล้ ูกสามารถใช้ชวี ติ
ได้ด้วยตนเอง รวมถึงการวางแผนทรัพยากรและผู้ดูแลให้แก่ลูกล่วงหน้า หากพ่อไม่สามารถดูแลลูกและไม่สามารถอยู่
เคยี งขา้ งลูกไดใ้ นอนาคต

ฮนั กอื รูเหมือน หรือแตกตา่ งจากคนอน่ื ๆ อย่างไร
ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้สังกตเห็นความผิดปกติในตัวฮันถือรู โดยสันนิษฐานว่าเป็นดาวน์ชินโดรมสมาธิสั้น หรือ

เปล่า จากการที่ฮันกือรูมีพฤติกรรมการพูดที่ตรงไปตรงมา รับมือหรือปรับตัวไม่ได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมีความกลัวท่ี
จะเข้าสังคม และยังเห็นถึงความปกติธรรมตาทั่วไปของฮันอรูที่เหมือนเต็กฉลาดทั่ว ๆ ไป รวมถึงเห็นจุดเด่นนั่นคือ
การมีสิ่งที่ชื่นชอบอย่างชัดเจนจากพฤติกรรมที่ฮันกือรูมักจะชอบไปอควาเรียมดูสัตว์ทะเลเมื่อตกใจจะมีการท่องชื่อ
ทางวิทยาศาสตร์ของสัตว์ทะเล โดยผู้ร่วมสัมมนามีความคิดเห็นอย่างสรุปว่า ฮันถือรูมีทั้งความแตกต่างและเหมือนคน
ธรรมดาขน้ึ อย่แู ต่ละบคุ คลว่าจะตคี วามหมายของพฤติกรรมของฮนั กือรอู ย่างไร

**ขอ้ มลู เพ่มิ เตมิ เกย่ี วกับโรค Asperger

Asperger syndrome หรือกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ คือกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติทางการ
ทำงานของระบบประสาทที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคออทิสติกที่มีปัญหาด้านพฤติกรรม และพัฒนาทางการพูด มีกณฑ์
การวินิจฉัยอยู่ในกลุ่มโรค PDDs หรือความบกพร่องของพัฒนาการแบบรอบด้าน โดยแอสเพอร์เกอร์เป็นความ
บกพร่องของพัฒนาการที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่จะบกพร่องทางด้านสังคมร่วมกับมีพฤติกรรมหมกมุ่น ทำซ้ำ ไม่ค่อย
ยืดหยุ่น จนเกิดผลเสียต่อการดำรงชีวิต การเรียน การทำงาน และการเข้าสังคมส่วนด้านการใช้ภาษาสามารถสื่อสาร
ได้ปกติ แต่ไม่เข้าใจลูกเล่น สำนวน หรือมุกตลกต่าง ๆ ได้ ระดับสติปัญญาปกติ ความคิดดี แต่มีปัญหาในการนำไป
ประยุกตใ์ ช้

อาการของแอสเพอร์เกอร์มักเริ่มแสดงออกมาในช่วงเด็กอายุประมาณ 3 ขวบ และส่วนใหญ่จะมีอาการที่
เห็นชัดได้ในช่วง 5 - 9 ปีขึ้นไป ซึ่งผู้ที่มีอาการของโรคแอสเพอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีความเฉลียวฉลาดและมีสติปัญญา
ในเกณฑ์ปกติ แต่มักจะมีปัญหาค่อนข้างมากในการเข้าสังคม โดยเฉพาะการทำความเข้าใจโต้ตอบ สื่อสารและอยู่
ร่วมกับคนอ่ืน ๆ โดยโรคแอสเพอร์เกอรจ์ ะมอี าการบางอย่างทคี่ ล้ายกบั โรคออทิสติกเช่น ไมค่ ่อยสบตา ชอบแยกตวั เข้า
กับเพื่อนไม่ได้ ชอบพูดเรื่องที่ตนเองสนใจ แต่จะแตกต่างที่ผู้ป่วยโรคแอสเพอร์เกอร์จะมีพัฒนาการด้านภาษาที่ดีกว่า
ซ่ึงอาจจะพบลักษณะอื่น 1 ร่วมด้วย เช่น การหมกมุ่นสนใจและแต่เรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ตลอดเวลา หรือแสดงความ
หมกมุ่นมากเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกัน การไม่ค่อยมีสีหน้าท่ีแสดงอารมณ์ความรู้สึก มีความไวต่อสิ่งเร้าที่มาจาก
ภายนอกมากกวา่ คนทวั่ ไป เปน็ ต้น

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 43
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

โดยโรคแฮสเพอร์เกอร์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดแต่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ถ้าเด็กได้รับการวินิจฉัย รักษา
ดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยเฉพาะทักษะในการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน และมีการฝึกฝนการเข้าสังคม
อย่างต่อเนื่องจะฟื้นฟูความบกพร่องให้ดีขึ้น ซึ่งอาจมีบางปัญหาที่ยังคงเหลืออยู่ เช่น ทักษะทางสังคม การพูดจาไม่
เหมาะสม ขึ้นอยู่กับสถานที่ด้วย หากอยู่ในสถานที่ที่ผู้คนให้การยอมรับก็จะไม่มีปัญหาให้เขาได้ใช้ความสามารถของเขา
ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี

ประทบั ใจสิง่ ใดในตัวพ่อของฮันกือรู
ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้เห็นถึงความอดทน ความเข้าใจและการยอมรับของพ่อในสิ่งท่ีลูกเป็น มีความใจเย็นและให้

การดูแลเป็นอย่างดีให้ลูกได้ใช้ชีวิตเหมือนเต็กคนอื่น 1 ทั่วไป รวมถึงความอ่อนโยนในตัวของพ่อที่มีความละเอียดอ่อนท่ี
จะใส่ใจชีวิตของคนอื่น จากกิจการของครอบครัวที่รับทำความสะอาดพื้นที่เกิดเหตุเก็บข้าวของผู้เสียชีวิตมีความ
รับผิดชอบต่อมนุษย์และโลกใบนี้ และยังสามารถสอน อบรม ถ่ายทอดความละเอียดอ่อนการทำความเข้าใจโลกใบนี้
ใหแ้ กล่ ูกอยา่ งคอ่ ยเปน็ ค่อยไป

พอ่ ของฮันกอื รูเหมือน หรือแตกตา่ งจากพอ่ แมค่ นอ่นื ๆ อย่างไร
ผู้เข้าร่วมสัมมนาให้ความคิดเห็นว่า พ่อของฮันกือรูมีความแตกต่างไปจากพ่อแม่ทั่วไป คือ การแสดงความรัก

ที่บอกให้ลูกได้รู้แบบตรง เลย มีความใส่ใจในสภาพแวดล้อมมีการจัดการปรับสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยและเหมาะสม
ต่อฮันกือรู และยังเตรียมสังคมเตรียมการไว้ เพื่อลูกในวันที่เขาต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อรวมถึงการยอมรับในโรค
Asperger ของลูกที่พ่อแม่คนอื่น ๆ อาจจะรับมือไม่ได้ ไม่เข้าใจในส่ิงที่ลูกเป็นแต่พ่อของฮันกือรูสามารถเข้าใจและพร้อม
จะสนับสนุนดแู ลลกู เปน็ อยา่ งดี

เม่ือพ่อแมจ่ ากไปแล้วลกู ( ท่เี ป็นเดก็ ออทสิ ตกิ ) ไปไหน
ผเู้ ข้าร่วมสัมมนาไดแ้ สดงความคดิ เหน็ ว่าเมือ่ พ่อแมจ่ ากไปเด็กจะเข้าสกู่ ระบวนการ ดงั น้ี
- ตามหาญาติโดยสายโลหติ หรอื ญาตทิ ม่ี ีความสามารถในการดแู ล

1. หากหาเจอ
ทำการประเมินความสามารถญาตแิ ละสง่ เดก็ แกญ่ าติ
2. หากหาไมเ่ จอ
รับเด็กเข้าสสู่ ถานสงเคราะห์เพอื่ ใหก้ ารดูแลต่อไป
3. ตามหาญาติอกี คร้งั อยา่ งละเอยี ด
สิ่งที่ดีและเหมาะสมสำหรับเด็กคือ การได้เจริญเติบโตมาในสภาพของครอบครัวที่มีความสามารถในการดูแล
เด็ก ซึ่งก็อาจจะมีเด็กบางคนที่อายุถึงหรือไม่ถึงบรรลุนิติภาวะต้องอยู่อาศัยภายในเพียงลำพังโดยไร้คนดูแลก่อให้เกิด
อันตรายและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ ซึ่งอาจจะเกิดจากไม่สามารถตามหาญาติ หรือเข้าถึงสวัสดิการของสถาน
สงเคราะห์ได้

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 44
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

จากชรี ยี ์ Move to heaven สะทอ้ นใหเ้ หน็ บทบาทนกั สงั คมสงเคราะหใ์ นด้านใดบา้ ง
ผู้เข้าร่วมสมั มนาไดแ้ สดงความเห็นในประเด็น ดงั ตอ่ ไปน้ี

- ใส่ใจความต้องการของผู้ที่เสียชีวิตจากกิจการเก็บกวาด ดูปัจจัยต่างๆที่สามารถให้การสนับสนุนแก่
ครอบครวั ได้

- นามู (เพื่อนข้างบ้าน) ที่ได้รับหน้าที่ในการช่วยดูแลฮันกือรูและประเมินญาติ ( อาโจซังกู ) สะท้อนให้เห็นถึง
การประเมินครอบครัวที่ต้องรับหน้าที่ในการดูแลเด็กมีความสามารถในการดูแลเด็ก ครอบครัวที่ต้องปรับ
สภาพไปตามวถิ ขี องเด็กทม่ี ีข้อจำกดั ในการปรบั ตวั ทีต่ ้องมีการประเมินก่อนทจี่ ะส่งไปเดก็ ไปยงั ครอบครัว

- เตรียมความพร้อมครอบครัว สรา้ งความเข้าใจเก่ียวกับอาการการรักษาและการดแู ลของโรคท่ีเด็กเปน็
- จากในชีรีย์ยังขาดทรัพยากรที่เป็นวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์ ได้เสนอบทบาทของลุงทนายที่คอยให้ความ

ช่วยเหลือ จึงมองเห็นว่าทรัพยากรสำคัญที่จะสามารถให้การแทรกแซง ให้ความช่วยเหลือ ดูแล ให้คำปรึกษา
แกค่ รอบครัวได้
- มีหลายครอบครัวที่ไม่สามารถยอมรับได้ นักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้ที่ช่วยเสริมศักยภาพแก่ครอบครัวให้
เขา้ ใจและเป็นผูส้ นับสนนุ ในการดแู ลเด็กได้
- การมีนักวิชาชีพเฉพาะก็จำเป็น และการมีเพื่อนบ้านหรือผู้คนในสภาพแวดล้อมท่ีเข้าใจก็จำเป็นเช่นกัน การ
รณรงค์ทางสังคมจึงสำคัญ โดยการให้ความเข้าใจว่ายังมีเด็กที่แตกต่างมากมายอาศัยร่วมกับเรา และ
ภายในสงั คมจะมีวธิ กี ารทช่ี ว่ ยดแู ลสนับสนนุ และเออ้ื ให้แกเ่ ดก็ กล่มุ นีใ้ ห้สามารถอยรู่ ว่ มกับผ้คู นในสังคมได้
- การวางแผนทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กออทิสติกก็เป็นขั้นตอนที่จำเป็นจากชีรีย์ท่ี
มีเตรียมทรัพยากรในมิติต่าง ๆ ไว้เพื่อเด็กในอนาคต ซึ่งจำเป็นที่จะต้องเข้าใจในทรัพยากรท่ีแวดล้อมเด็ก และ
ศกั ยภาพท่ีเด็กมีอยู่ เพือ่ ชว่ ยเตมิ เต็มการดแู ลใหเ้ ดก็ ใหเ้ หมาะสมและดมี ากยิ่งข้นึ
- ครอบครัวที่มีเด็กออทิสติก ทำให้เงื่อนไขการทำงานต้องมีเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้องดูลูกที่เป็นออทิสติกไปด้วย
จากซรี ียพ์ อ่ ของฮันกือรูกส็ ามารถทำออกมาได้ดอี ยา่ งไม่บกพรอ่ ง
- อาชีพอะไรที่จะเหมาะสมและยังสามารถหารายได้แก่บุคคลหรือครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กออทิสติกกลไกอะไร
ของรัฐที่จะเอื้อแก่ครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กออทิสติก การมีผู้ช่วยผู้ดูแลที่อาสาสมัครให้ความช่วยเหลือใน
การดูแล เพื่อผ่อนภาระและทำให้ครอบครัวสามารถหารายได้อยู่ และไม่บกพร่องในการดูแลลูกต้องดูว่ารัฐจะ
ช่วยทดแทนอะไรให้แกค่ รอบครวั ได้บา้ ง

จากการสัมมนาดังกล่าวมีข้อเสนอแนะและประเด็นเพิ่มเติมหลายประเด็น ผู้จัดสัมมนาจึงทำการค้นคว้าข้อมูล
เพิ่มเตมิ เพ่อื เติมเตม็ ในประเด็นท่ีขาดไปมีประเดน็ ดังตอ่ ไปนี้

สถิติเกี่ยวกบั บคุ คลออทสิ ติก
วันที่ 28 มิถุนายน 2564 อาจารย์ชูศักด์ิ จันทยานนท์ นายกสมาคมผู้ปกครองออทิสซึม ( ไทย ) รายงาน

สถานการณ์ปัจจุบันแก่สมาชิกวุฒิสภาได้รายงานถึงจำนวนบุคคลออทิสติกที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเพียงประมาณ
18,000 คน ซึ่งข้อเท็จจริงมีเด็กและบุคคลออทิสติกที่ไม่เข้าสู่ระบบการจดทะเบียนคนพิการมากกว่า100,000 -
150,000 คน รวงถึงยังมีเด็กพิเศษกลุ่ม สมาธิสั้น ADHD LD หรือ ID อีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าสู่ระบบคนพิการโดย
การประเมินมีจำนวนไมต่ ำ่ กว่า 500,000 คน โดยอาจมสี าเหตดุ งั นี้

1. ผปู้ กครองไม่ทราบเรอื่ งสิทธิประโยชน์ว่าเด็กจะได้รบั สทิ ธติ ามกฎหมายเมื่อมบี ตั รคนพิการ

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 45
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

2. ผู้ปกครองไม่สามารถยอมรับคำว่า "คนพิการ" ไม่ได้ กลัวว่าเป็นการตีตราหรือลดทอนคุณค่ามากกว่าการ
เขา้ ถงึ สิทธสิ วสั ดกิ ารและบรกิ ารจากทางรฐั

3. ระบบการออกเอกสารรับรองความพิการของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยังอ้างอิง
ตามการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งเป็นการประเมินจากเกณฑ์ทางการแพทย์ ทำให้ไม่ครอบคลุมถึงเกณฑ์ทางสังคมทำให้
เดก็ พเิ ศษหรือบคุ คลบางกลมุ่ ไม่สามารถเข้าถึงสวสั ดกิ ารและถกู เลอื กปฏบิ ตั โิ ดยกฎหมาย

และจากรายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคน
พิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ) พบว่าประเทศไทย
จำนวนผู้พิการที่ได้รับการบันทึกในระบบจำนวน 2,095,205 คน โดยมีบุคคลพิการที่อยู่ประเภทออทิสติก จำนวน
16,783 คน เมื่อจำแนกตามช่วงปฐมวัย อายุ 0 - 5 ปี จำนวน 1,155 คน (6.88%) ช่วงวัยเรียน อายุ 6 - 14 ปี จำนวน
8,386 คน (49.97%) ช่วงวัยรุ่น อายุ 15 - 21 ปี จำนวน 4,428 คน (26.38%)ช่วงวัยทำงาน อายุ 21 - 59 ปี จำนวน
7,171 คน (42.738) และช่วงวัยชรา อายุ 60 ปขี ้นึ ไป จำนวน 71 คน (0.42%)

ข้อมูลเมื่อ 6 เมษายน 2560 สำนักพิมพ์ไทยรัฐได้นำเสนอข่าวออนไลน์ในประเด็นว่า สหรัฐฯวิจัยสาเหตุการ
เสียชีวิตของผู้ป่วยโรคออทิสติก โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเผยว่าผู้ป่วยโรคออทิสติกมีแนวโน้มที่จะ
เสียชีวิตจากการบาดเจ็บมากกว่าผู้ป่วยทั่วไปถึง 3 เท่า โดยตั้งแต่มีสัดส่วนการตามเพิ่มขึ้นจาก 2542 ถึง 700% จาก
การตรวจสอบระบบสถิติแห่งชาติสหรัฐฯพบว่าผู้ป่วยออทิสติกมักเสียชีวิตอายุเฉลี่ยราว 36 ปีจากสาเหตุ การจมน้ำ
หายใจไม่ออก สำลัก ซึ่งมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าอาจมีเด็กที่ป่วยเป็นออทิสติกจะเสียชีวิตจากการจมน้ำเป็น 160 เท่า
ของเดก็ ทัว่ ไป

การใหส้ วสั ดิการแก่บคุ คลหรือครอบครัวทม่ี ีบุคคลออทิสตกิ
วันที่ 28 มิถุนายน 2562 อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมผู้ปกครองออทิสซึม ( ไทย ) รายงาน

สถานการณ์ปัจจุบันแก่สมาชิกวุฒิสภาได้นำเสนอถึง "เส้นทางชีวิตบุคคลออทิสติก หรือ Life path for Autism Thai"
โดยพูดถึงสถานการณ์ของบุคคลออทิสติกที่เริ่มมีอาการแรกพบในช่วงวัย 0 - 3 ปีแต่ประเทศไทยยังไม่มีคลินิกเฉพาะ
ด้านมากนัก มักกระจุกตัวอยู่ตามโรงพยาบาลใหญ่ ซึ่งในบางโรงพยาบาลไม่มีทีมงานด้านนี้ โดยเฉพาะสหวิชาชีพ
ปัญหานี้มีการสะสมมานานส่งผลต่อเด็กที่มีอาการออทิสติกไม่ได้รับการกระตุ้นหรือส่งเสริมพัฒนาการ ทำให้กลายเป็น
ความพิการถาวร ผู้ปกครองยังต้องพึ่งพาตนเอง โดยทางสมาคมผู้ปกครองบุคคลออทิซึม (ไทย) ร่วมกับมูลนิธิออทิ
สติกไทยและได้รับการสนุบสนุนจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการจัดตั้ง ศูนย์ส่งเสริมทักษะชีวิต
บุคคลออทิสติก และได้พบปัญหาเกี่ยวกับการสนับสนุนที่ไม่ต่อเนื่อง กฎระเบียบการอุดหนุนที่ไม่สอดคล้องกับการ
ทำงานจริงและโดนกล่าวหาว่า ทำงานซ้อนกับภาครัฐที่มีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือบุคคลออทิสติกอยู่แล้ว ทั้งๆ
ที่หน่วยงานของภาครัฐเองก็มีข้อจำกัด ไม่สามารถให้บริการอย่างทั่วถึง บางแห่งเก็บเงินเพิ่มจากผู้ปกครองทำให้
ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเพิ่มขึ้น หลายแห่งบังคับให้ผู้ปกครองต้องไปเป็นพี่เลี้ยงประกบลูกขณะฝึกทำให้ผู้ปกครองหลาย
คนตอ้ งเลกิ ประกอบอาชพี หรอื ลาออกจากงานเพอื่ มาดูแลลกู

การให้สวัสดิการในรูปแบบของเบี้ยยังชีพของไทยพบว่า ผู้พิการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีจะได้รับ 1,000 ต่อเดือน
และผู้พิการที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จะได้รับ 800 บาทต่อเดือนโดยสิทธิประโยชน์เป็นตามสิทธิข้ันพื้นฐานรวมถึงการเบิกยา
ในบัญชีหลักเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงนั้นสิทธิขั้นพื้นฐานดังกล่าวไม่ครอบคลุมการใช้ชีวิตของบุคคลออทิสติก
ทั้งหมดรวมถงึ การรักษาที่บางครัง้ ต้องเบิกยานอกบัญชยี าหลกั ทม่ี ีราคาแพงกว่าปกติผปู้ กครองจงึ ต้องจ่ายเงินซอ้ื ยา

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 46
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

เองเกือบ 10,000 บาทต่อครั้ง และถ้าหากไม่มีบัตรคนพิการก็จะต้องจ่ายเองทั้งหมด และจากรายงาน Autism and
health โดย Autism Speaks พบว่าในปี 2560 ประเทศอังกฤษมีครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติกที่ต้องเสีย
ค่าใช้จ่ายสำหรับเด็กที่เป็นออทิสติกประมาณ 1,284,478 ถึง 1,605,599 บาทซึ่งมากกว่าเด็กธรรมดาถึง 4.1 - 6.2
เท่า และค่าใช้จ่ายในการรักษาออทิสติก (Medical Condition) แพงเป็นอันดับ 4 ซึ่งส่งผลกระทบแก่ครอบครัวอย่าง
มากในการดแู ลและอาจทำใหเ้ ด็กท่ีเปน็ ออทิ สติกไมส่ ามารถเขา้ ถึงการรกั ษาที่ถกู ตอ้ งได้

จากวาระนโยบายสาธารณะฉบับที่ 117 ( United States Congress ) ปี 2564 - 2565 พบว่านโยบายของ
ภาครัฐมีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับคนออทิสติกในรูปแบบของ Medicaid ซึ่งเป็นโปรแกรมประกันสุขภาพของ
รัฐบาลระดับมลรัฐสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งแต่ละรัฐจะเป็นผู้จ่ายเงินค่า
รักษาพยาบาลให้แก่ผู้ให้การรักษาพยาบาลทั้งหมดหรือร่วมจ่ายกับผู้รับบริการ ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้แก่
ครอบครัวที่ต้องดูแลบุคคลออทิสติกได้อย่างมากและสนับสนุนให้มีการช่วยเหลือในระยะยาวและจะดำเนินให้ครอบครัว
ที่ยากจนได้รับการเข้าถึงบริการสุขภาพมากกว่าการสร้างสถานบริการท่ีมีราคาแพงและไม่จำเป็น รวมถึงให้การ
สนับสนุนผู้ช่วยผู้ดูแลหรือ Temnporary assisltance for needy Farnilies (TANF)และบริการทางสังคม โดย TANF
จะเป็นผู้ช่วยดูแลชั่วคราวซึ่งในขณะช่วยดูแลก็จะอบรมและฝึกสอนการดูแลให้แก่ครอบครัวด้วยทั้งในการสร้างความ
เข้าใจเกี่ยวกับโรค การดูแลอย่างถูกต้อง รวมถึงร่วมหาวิธีในการที่จะฟื้นฟูครอบครัวให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติที่อาจ
มีสาเหตุการปรับตัวของสมาชิกในครอบครัว ทางสภาพจิตใจหรือสภาพทางเศรษฐกิจด้านการขาดรายได้จากการ
ลาออกมาดูแลลกู ท่พี กิ าร

ครอบครัวที่ต้องดูแลเดก็ ออทิสติกหรอื บุคคลออทิสตกิ
จากรายงานการช่วยเหลือเด็กออทิสติกของพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี

พบว่าในครอบครัวที่ต้องดูแลเด็กหรือบุคคลออทิสติกมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดจากความเครียดใน
การดูแลและการจัดการอาการของเด็ก รวมถึงปัญหาด้านค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจนถึงค่าใช้จ่ายในการเรียน
และความเครียดในการรักษาของลูกที่มีผลต่อผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องฝาฝันกับความรู้สึกของตนเองและต้องยอมรับ
เกี่ยวกับโรคให้ ถึงแม้ว่าผู้ปกครองจะเข้าใจและยอมรับในช่วงการตรวจพบโรคในช่วงแรงได้ แต่ก็อาจเกิดขึ้นอีกใน
ระหว่างการรักษาที่ไม่อาจมีพัฒนาที่หยุดอยู่กับที่หรือถดถอยลงทำให้ครอบครัวมีความรู้สึกหมดกำลังใจและกลายเป็น
ผู้ปว่ ยทางสุขภาพจติ ไปดว้ ย

จากข้อมูลดงั กลา่ วผู้จดั ทำได้นำขอ้ มลู มาวเิ คราะหม์ าเรียบเรียงออกเปน็ ประเด็นตา่ งๆ ดงั น้ี
ช่วงอายุของบุคคลออทสิ ติกท่ีนา่ เปน็ ห่วง
จากข้อมูลด้านสถิติทำให้เห็นได้ว่าประเทศไทยมีการพัฒนาระบบ ทำให้บุคคลออทิสติกเข้าถึงสวัสดิการและ

บริการจากทางภาครัฐได้มากขึ้น และเป็นที่น่าสนใจในประเด็นของสถิติ (กันยายน 2564 ) พบว่าบุคคลออทิสติกมี
จำนวนมากในช่วงวัยเรียน รองลงมาคือ ช่วงวัยทำงาน และช่วงวัยรุ่น ซึ่งสอดคล้องกับอาการของโรคที่จะแสดง
อาการชัดเจนเมื่ออายุ 5 - 9 ปี เด็กที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์ในช่วงปฐมวัยหรืออายุ 0 - 5 ปีอาจได้รับการวินิจฉัยเป็น
โรคอื่นได้ และได้รับการรักษาที่ผิดวิธีซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อตัวเด็กตามมาได้จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความเข้าใจแก่
ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ หากเด็กมีพัฒนาการล่าช้าผิดปกติควรได้รับการ
วินิจฉัยจากแพทย์อย่างถูกต้องจึงจะเป็นวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับตัวเด็กมากที่สุด และจากช่วงวัยที่มีสถิติ
น้อยที่สุดคือ ช่วงวัยชรา สอดคล้องกับข้อมูลจากการมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่บุคคลออทิสติกมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 36 ปี


Click to View FlipBook Version