The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หากท่านใดต้องการ Download file สำหรับอ่านแบบ Offine สามารถคลิกได้ที่นี่

ออกแบบและผลิตรูปเล่มโดย : Natnaree Chouywattana (Line id: k.kiz or 088-1270345)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pinhathai Nunuan, 2021-12-21 02:01:23

สัมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว (CF369) ภาคการศึกษา 1/2564

หากท่านใดต้องการ Download file สำหรับอ่านแบบ Offine สามารถคลิกได้ที่นี่

ออกแบบและผลิตรูปเล่มโดย : Natnaree Chouywattana (Line id: k.kiz or 088-1270345)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 97
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

• หากำลังใจ แน่นอนว่าการดูแลผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งเราอาจจะเหนื่อย
จากการทำงาน รวมไปถึงการดูแลรับผิดชอบทำให้หมดแรงใจกำลังใจ ดังนั้นควรหากำลังใจจากคน
รอบข้างผ่านการพูดคยุ แลกเปล่ยี นความรู้สกึ กันและกัน

ทั้งนี้การดูแลสมาชิกท่ีอยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ ควรมีบริการทางการแพทย์ การจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้าน
ด้านการศึกษา และการฝึกอาชีพ ซึ่งล้วนมีความสำคัญอย่างมากต่อระดับความสามารถและการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัย
ผู้ใหญ่ของเด็กกลุ่มอาการดาวน์ โดยบิดามารดา สมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงทุกคนในสังคมต่างมีบทบาทสำคัญใน
การช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ ให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติมากที่สุด ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการดูแล
สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ นอกจากครอบครัวที่มีส่วนสำคัญในการดูแลเอาใจใส่แล้วนั้น ทุกคนในสังคมล้วนต่าง
มบี ทบาททสี่ ามารถช่วยเหลอื ดแู ลและสนับสนนุ แกผ่ ทู้ อี่ ยใู่ นกลมุ่
อาการดาวนไ์ ด้


นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดแล้วนั้น การส่งสริมพัฒนาการคนกลุ่มอาการดาวน์ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่อง
ที่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก ซึ่งพัฒนาการในด้านต่างๆที่ล่าช้ากว่าคนปกติ โดยพัฒนาการของกลุ่มอาการดาวจะมี
ความล่าข้าอย่างเห็นได้ชัดเจนในด้านการเคลื่อนไหวซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับภาวะกล้ามเนื้ออ่อนนิ่ม อีกทั้งปัญหา
พัฒนาการทางภาษาล่าช้า มีระดับสติปัญญาที่ต่ำกว่าปกติ เหตุนี้การส่งเสริมพัฒนาการจึงถือได้ว่าเป็นการให้ความ
ช่วยเหลือให้มีโอกาสพัฒนาความสามารถในด้านต่างๆอย่างสมไวหรือสูงสุดตามศักยภาพของบุคคลน้ันๆ โดยมีการ
จัดการเรียนการสอนตามวัย ฝึกทักษะด้านต่างๆในการช่วยเหลือตนเองและการเข้าสังคม โดยการส่งเสริมพัฒนาการ
นั้นเพื่อให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพจนช่วยเหลือตนเองได้ เป็นการเตรียมเด็กให้เป็นผู้ใหญ่ท่ีมีความคิดแสดงออก
อย่างถูกต้องและสามารถประกอบอาชีพได้ในอนาคต อีกทั้งเพื่อให้บิดามารดาหรือสมาชิกในครอบครัวมีสัมพันธภาพท่ี
ดตี ่อสมาชกิ ทอ่ี ยู่ในกลมุ่ อาการดาวน์

3. บทบาหนกั สงั คมสงเคราะห์
บทบาทการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์กับเด็กและครอบครัวเป็นการทำงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็ก

และครอบครัวเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ ซึ่งการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ได้มีการประยุกต์ศาสตร์
ต่างๆ มาใช้ในการบำบัด ฟื้นฟู ผู้ป่วยให้มีศักยภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสามารถทำหน้าที่ทางสังคมได้ตาม
ศักยภาพจากการสัมมนาในหัวข้อความพิเศษที่แตกต่าง สมาชิกผู้ร่วมสัมมนาได้มีการแสดงความคิดเห็นและ
แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์ ผ่านการวิเคราะห์จากภาพยนตร์เรื่อง เอ๋อเหรอ จึงนำมาสู่
บทบาทนักสงั คมสงเคราะห์ ในการปฏบิ ัตงิ าน ดังน้ี

1. การประเมินกาย จิต สังคม เป็นการประเมินเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุการเกิดปัญหาอย่างรอบด้าน ผ่านการใช้
แบบประเมินกาย จิต สังคม เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาประเมินและวิเคราะห์ถึงสาเหตุปัญหาและความต้องการของ
ผู้ใช้บริการอย่างรอบด้าน ให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด รวมไปถึงสามารถแก้ไขจัดการและประสานงาน
สง่ ต่อไดใ้ นลำดับตอ่ ไป

2. การจัดสรรสวัสดิการให้เข้าถึงการรักษา เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระและช่วยลดปัญหาค่าใช้จ่ายในการ
รักษาพยาบาลแก่ครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ เนื่องจากสวัสดิการปัจจุบันยังไม่สามารถครอบคลุมไป

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 98
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

ถึงกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะอาการดาวน์อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นการจัดสรรสวัสดิการถือเป็นการผลักดันให้เกิดความ
เข้าใจเกย่ี วกับกลมุ่ อาการดาวน์ใหม้ ีความสำคญั ต่อนโยบายระดับประเทศมากยิ่งข้ึน

3. นักสังคมสงเคราะห์มีส่วนร่วมในการผลักนโยบายการเรียนร่วม ผ่านระบบการดูแลให้สามารถอยู่ร่วมกัน
กบั คนอ่ืนได้ ผา่ นการเคารพความแตกตา่ งหลากหลาย

4. นักสังคมสงเคราะห์เป็นผู้ให้ข้อมูลเชิงลึกด้านลักษณะอาการของผู้ป่วยกลุ่มอาการดาวน์ และวิธีการดูแลที่
เหมาะสมแก่ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและการปฏิบัติต่อผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวอย่าง
ถกู ต้องและเข้าใจ

5. นักสังคมสงเคราะห์ ประสานเครือข่ายภายนอกเพ่ือสง่ เสริมพฒั นาการเด็ก สรา้ งแนวทางการดแู ลร่วมกนั

4. แนวคดิ ทฤษฎที ี่เกยี่ วข้อง
1.ทฤษฎีพัฒนาการเดก็ (Child Development Theory)

พัฒนาการเด็กเป็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบแผน
ชัดเจน สังเกตได้ หลักๆ ประกอบด้วย ความสามารถในด้านร่างกาย การเคล่ือนไหว การสื่อสารผ่านการใช้ภาษาและ
สติปัญญา ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเป็นไปตามลำดับพัฒนาการปกติ แต่ด้วยความที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ อาจจะมีการ
พฒั นาท่ีล่าช้าและตอ้ งใชเ้ วลามากกว่าเด็กปกตทิ ั่วไป

2. ทฤษฎกี ารเรียนร้เู ชงิ สงั คม (Social Learning Theory)
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นทฤษฎีเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางความคิด ทฤษฎีด้านพฤติกรรมมนุษย์ และทฤษฎี

การเรียนรู้ทางสังคม ทฤษฎีเรานี้อธิบายว่า " คนเราพัฒนากระบวนการทางความคิด เรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านการกระทำ
ภายใต้สภาพแวดล้อมของตน" สรปุ คือ การเรียนรขู้ องมนุษยม์ ี 2 ประการคอื

1. การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของตนเอง โดยได้อธิบายการเรียนรู้รูปแบบนี้ คือทฤษฎีการเรียนรู้แบบ
การวางเง่ือนไขการกระทำ ของสกินเนอร์ นักจติ วิทยาชาวอเมรกิ ัน

2. การเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อม การเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเกิดจากการสังเกตแบบอย่างหรือที่
เรียกว่าตัวแบบ มีอิทธิพลกับการเรียนรู้และพฤติกรรม เช่นคนในครอบครัว ภาพยนต์ หรือตัวละครก็ตาม การเรียนรู้
อาศัยปจั จัยท่สี มั พันธก์ นั คอื บุคคลส่ิงแวดลอ้ ม และพฤติกรรม

3. ทฤษฎรี ะบบและนเิ วศวิทยา (System theory & Ecological system)ทฤษฎีนีจ้ ะช่วยให้นักสงั คมสงเคราะห์
ตอบคำถามว่า " ผู้ใช้บริการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมของเขาอย่างไร" และ " ระบบครอบครัวมีผลต่อการทำหน้าที่
ของสมาชิกในครอบครัวอย่างไร " การเรียนรู้ทฤษฎีระบบและระบบนิเวศ ช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์มีมุมมองต่อ
ผู้ใช้บริการ มิใช่แค่เพียงเป็นผู้ป่วยหรือคนไข้ แต่ทำให้สามารถมองผู้ใช้บริการในลักษณะองค์รวม (Holistic view) ใน
ลักษณะที่คนไม่ได้อยู่แบบโดดเดี่ยว แต่คนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม จึงทำให้นักสังคมสงเคราะห์สามารถเชื่อมโยง
การทำงานได้ทั้งในระดับเล็กระดับกลาง และระดับใหญ่ ทฤษฎีระบบทำให้มีกรอบแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ท่ี
ชัดเจนมากยิ่งขึ้นดังนั้นทฤษฎีระบบและนิเวศวิทยาจะช่วยให้นักสังคมสงเคราะห์มองเห็นเครือข่ายการช่วยเหลือ
รวมถงึ เครือข่ายการสง่ ต่อผูใ้ ชบ้ รกิ ารให้ได้รบั การช่วยเหลือในลำดบั ตอ่ ไปอีกดว้ ย

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 99
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

ส่วนที่ 3 สรุปและอภิปราย
จากการจัดสัมมนาในหัวข้อ "ความพิเศษท่ีแตกต่าง" ผ่านการรับชมภาพยนตร์เรื่องเอ๋อเหรอ ได้มีการร่วม
แลกเปลี่ยนมุมมองผ่านประเด็นที่ผู้จัดสัมมนาได้ตั้งไว้ โดยสมาชิกในห้องสัมมนาได้มีการร่วมเสนอแนวคิดและวิเคราะห์
ปัญหา ทั้งกาย จิต สังคม ที่พบเห็นจากภาพยนตร์ ถึงประเด็นครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ในกลุ่มอาการดาว์ มีการพูดถึง
วิธีการทำหน้าที่ของตัวละครที่มีบทบาทเป็นพ่อ อีกทั้งยังอยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ และได้มีการวิเคราะห์ลึกลงไปถึงบริบท
ทางสังคมของผคู้ นที่ปฏบิ ตั ติ ่อสมาชกิ ในสังคมทอ่ี ยใู่ นกลุ่มอาการดาวน์อีกด้วย
นอกจากนี้ผู้จัดสัมมนาได้มีการศึกษาค้นคว้าขอ้ มูลเกี่ยวกับกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome)เพื่อนำมา
ประกอบการจัดสัมมนา โดยมีข้อมูลทางวิชาการเข้ามาสนับสนุนตัวเนื้อหาและประเด็นในการใช้สัมมนาแก่สมาชิก อีก
ทั้งยังชี้ให้เห็นถึงผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มอาการดาวน์ นั้นมีลักษณะทางกาย จิต สังคมอย่างไรและควรมีวิธีการปฏิบัติต่อคน
กลุ่มนี้แบบใดให้เขารู้สึกถึงการมีคุณค่าและมีตัวตนในสังคมโดยไม่ถูกตัดสินจากสิ่งที่เขาเป็น ด้วยเหตุทั้งหมดนี้
นักศึกษาจงึ ได้จดั ประเดน็ การสัมมนาในหวั ข้อ "ความพิเศษท่แี ตกตา่ ง" เพือ่ รว่ มแลกเปลี่ยนกบั สมาชิกในห้องสัมมนา


เอกสารอา้ งองิ

ชนสิ า เวชวริ ฬุ ห.์ (ม.ป.ป.). พฤตกิ รรมท่เี ปน็ ปัญหาในเด็กกลมุ่ อาการดาวน.์ สบื คนั วันท่ี 25 พฤศจกิ ายน

2564, จาก https://th.rajanukul.go.th/preview-5032.html

กลมุ่ พัฒนายทุ ธศาสตร.์ (ม.ป.. แนวคดิ การเล้ยี งดดู ว้ ยวิธที างบวก. สืบคันเมอ่ื วนั ที่ 25 พฤศจิกายน 2564,

จาก https://th.rajanukul,go.th/preview-3605.html

พญาไท. (2563). ดาวน์ชนิ โดรมโรคทางพนั ธุกรรมทพี่ อ่ แมค่ วรดูแลดว้ ยความรกั ความเขา้ ใจ. สบื ค้นวันที่ 25

พฤศจกิ ายน 2564, จาก https://bit.ly/303SFL6

พญคคนางณ์ จันทรภักด.ี (2563). เลยี้ งลกู ดาวน์ซนิ โดรมใหเ้ ปน็ ดาว. สบื ค้นเมือ่ วันท่ี 25 พฤศจิกายน 2564,

จาก https://ww.samitivejhospitals.com/th/article/detail/เลี้ยงลูก-ดาวห์ซินโดรม

คมู่ อื สงั คมสงเคราะห์จิตเวชเด็ก วัยเรียน/วัยรุ่น. (2556). โรงพมิ พ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทยจำกดั .

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 100

การพัฒนาเดก็ เยาวชนและครอบครัวคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

(ความหมายของครอบครัว)



ธมี า จิตรเพียรค้า 6105610411

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 101
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

การสัมมนาในหัวข้อ"ความหมายของครอบครัว"มีที่มาจากการตั้งคำถามกับสถาบันครอบครัว ว่าคำว่า
ครอบครัวมันคืออะไร แล้วความสมบูรณ์ของครอบครัวเกิดมากจากอะไร ใครเป็นผู้นิยามความหมายของสิ่งเหล่านี้
ขึ้นมา แล้วทำไมผู้คนถึงให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบของสถาบันครอบครัวว่าจะต้อง มีพ่อ มีแม่ และลูกแล้ว
ครอบครัวแบบอื่นที่มีความแตกต่างไปจากนี้ไม่ถือเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์หรือ นำไปสู่หัวข้อการสัมมนาความหมาย
ของคำว่าครอบครัว ผ่านการรับชมภาพยนตร์เรื่อง more than family ที่จะเล่าเรื่องราวความรักความผูกพันระหว่าง
ครอบครวั ผา่ นมุมมองของเด็กทีพ่ ่อแม่แยกทางกัน

จากการค้นคว้าข้อมูลความหมายของคำว่าครอบครัวตามพจนานุกรมส่วนใหญ่จะมีการนิยามความหมาย
ของครอบครวั ดังนี้

1. สถาบันพื้นฐานของสังคมที่ประกอบด้วยสามีภรรยาและหมายความรวมถึงลูกด้วย(พจนานุกรมฉบับ
ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2554)

2. บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปที่ช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีความผูกพันทางสายโลหิต ทางกฎหมายทางจิตใจหรือทาง
สังคม ซง่ึ สมาชกิ ในครอบครัวตา่ งมบี ทบาทหน้าท่ตี อ่ กนั และมคี วามสมั พันธ์ ท่เี กือ้ กลู กัน (นโยบายและยทุ ธศาสตร์การ
พฒั นาสถาบันครอบครัว, 2564)

ความหมายของคำว่าครอบครัวผ่านมุมมองของเพื่อนร่วมชั้นเรียนมีแตกต่างกันออกไปหลากหลาย
ความหมาย เช่น ครอบครัวที่สามารถเลือกได้เอง(แต่งงานมีครอบครัว) และครอบครัวที่ไม่สามารถเลือกได้ (ครอบครัว
ที่เราเกิดมา) ครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวเพศหลากหลาย การรับสัตว์เลี้ยงเป็นครอบครัว การแต่งงานกับ
ตวั เอง สุดทา้ ยแลว้ มนุษยแ์ ตล่ ะคนกม็ กี ารนยิ ามความหมายของคำวา่ ครอบครวั ในแบบของตวั เอง

จากบทความอิทธิพลครอบครัวที่ส่งผลต่อเด็กโดยตรงกล่าวว่า ในวัยเด็กเป็นวัยที่กำลังเติบโตและมี
พัฒนาการในด้านต่าง ๆ ท้ังทางด้านร่างกายและนิสัยใจคอของเด็กโดยพื้นฐานจิตใจเด็กเป็นเรื่องที่สำคัญส่งผลต่อ
พฤติกรรมการแสดงออกและการดำเนินชีวิตขั้นพื้นฐาน ซึ่งอิทธิพลครอบครัวก็เป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเด็ก
โดยตรงครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเด็กอย่างมาก ดังนั้นหากต้องการให้เด็กมีลักษณะนิสัยเป็นแบบไหน
ต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อหล่อหลอมเด็กให้มีพื้นฐานจิตใจและนิสัยที่ดี สามารถดำเนินชีวิตอยู่ใน
สังคมได้อย่างปกติสุขไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น จุดเริ่มต้นของการสร้างพื้นฐานนิสัยที่อ่อนโยนมีเมตตากรุณา
ต่อผู้อื่นในตัวเด็กคือครอบครัวต้องให้ความรักความเมตตากับเด็กก่อนให้ความเห็นอกเห็นใจต่อตัวเด็กจากพ่อแม่ของ
เด็กเอง เพื่อให้เด็กซึมชับกับการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รวมถึงการกลัวว่าผู้อื่นจะได้รับความทรมาน หากเด็กได้รับจากพ่อ
แม่ก็จะรู้จักมอบสิ่งนั้นให้กับผู้อื่นด้วย(คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, 2560) จะเห็นได้ว่าอิทธิพลของการ
เลี้ยงดูจากครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อลักษณะนิสัย บุคลิก และกระบวนการคิดของคน ๆ หนึ่ง นอกจากนี้
ยังสามารถสังเกตได้จากหนังตัวละครคิมโทอิลและโฮฮุน มีนิสัยที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนทางฝั่งโทอิลปฏิกิริยาเมื่อแม่
รู้ว่าลูกท้องก็ยอมรับไม่ได้และพยายามหาเหตุผลว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ครอบครัวของโฮฮุนพ่อและแม่จะยอมรับการ
ตัดสินใจของลูก เชื่อมั่น และให้ความสำคัญกับอนาคตข้างหน้ามากกว่า ซึ่งลักษณะของทั้งสองตัวละครก็มีความ
แตกต่างกันคนนึงจะเชื่อมั่นในตนเองตัดสินใจเอง แต่อีกคนกลับค่อนข้างกลัวในการตัดสินใจและจะติดพ่อแม่มากกว่า
แสดงใหเ้ ห็นถงึ อิทธิพลในการเลย้ี งดูทีส่ ง่ ต่อลักษณะนสิ ัยของเด็กแต่ละคนท่ีแตกตา่ งกัน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 102
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

การหย่ารา้ งกับเด็ก
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่หนังได้ใส่ไว้ให้คิดตามคือเรื่อง การหย่าร้างกับเด็ก จะเห็นได้ว่าตัวละครเอกของเรื่องมี

การเปรียบเทียบครอบครัวตนเองกับครอบครัวคนอื่นอยู่เสมอโดยเค้ามองว่าครอบครัวตัวเองเป็นครอบครัวที่ไม่ปกติ
จากการที่แมแ่ ยกทางกับพ่อและมีครอบครัวก่อให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับพ่อแท้ๆของตนเอง และความไม่สมบูรณ์
ของครอบครัว จึงนำมาสู่ปัญหาการหย่าร้างกับเด็ก จากการค้นคว้าพบว่าผลกระทบที่สามารถพบได้บ่อยในเด็กที่มี
ประสบการหย่ารา้ งของพอ่ แม่ ไดแ้ ก่

1. เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า การหย่าร้างเป็นเรื่องใหม่ของเด็กและทำให้เปลี่ยนแปลงไปถึงการดำรงชีวิต
และกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่มีพ่ออยู่ด้วย ต้องกลับรถโรงเรียนแทน ต้องจากบ้านที่คุ้นชิน โดนย้ายโรงเรียน เป็น ต้น
ท่ทีของพ่อแม่ที่เปลี่ยนไป ต้องเผชิญกับอารมณ์แปรปรวนของผู้ที่อยู่ด้วย อย่างไรก็ตามเด็กที่มีประสบการณ์การหย่า
ร้างจะมีแนวโน้มที่จะกังวล ไม่มั่นใจในการที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใคร บางคน ส่งผลต่อความสัมพันธ์ใน
อนาคต บางรายมอี ารมณซ์ ึมเศร้าคดิ วา่ ตนเองเป็นตน้ เหตุจงึ พยายาม ฆา่ ตัวตาย

2. กลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่เชื่อใจคนอื่น การท่ีอยู่ในเหตุการณ์การทะเลาะของพ่อแม่และจบปัญหา
ด้วยการแยกทาง สร้างความเครียดต่อเด็ก มีผลกระทบด้านลบต่อแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ ความไว้วางใจ และ
สถาบนั ครอบครัว

3. มีปัญหาสัมพันธภาพ แยกตัวหรือต่อต้านสังคม เด็กจำนวนไม่น้อยที่มีนิสัยเปลี่ยนไปหลังจากการหย่าร้าง
ของพ่อแม่เพราะรู้สึกอับอาย โดยจะ ระแวดระวังตัวเองมากขึ้น ไม่พูดเกี่ยวกับครอบครัวไม่ไว้ใจเพื่อนเพราะกลัวเพื่อน
จะล้อ หรือนำไปบอกคนอ่ืนต่อไป กลายเป็นเด็กขี้อายหรือประหม่าง่ายต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะเด็กวัยเรียนท่ี
แยกตัวไม่มีเพื่อนสนิท หรือมีพฤติกรรมดื้อต่อต้านพ่อแม่เพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การต่อต้านกฎเกณฑ์ที่โรงเรียน และสังคม
ในทส่ี ดุ

4. การเรียนตกลง ทำกิจกรรมลดลง เด็กที่พ่อแม่หย่ากันหรือแยกกันอยู่จะมีแนวโน้มที่พบว่ามีผลการเรียนท่ี
ลดลงห็นได้ชัด บางรายเลิกเรียนกลางคันเพราะต้องไปหารายได้เพิ่มหรือเด็กหมดความสนใจไม่ทำกิจกรรมที่เคยชอบ
เชน่ เลน่ ดนตรีหรือเลน่ กีฬา ในเดก็ เลก็ อาจจะเหน็ พฒั นาการที่หยุดชะงักหรือถดถอยขาดสมาธิ

5. เสีย self เสียหน้า วัยรุ่นเป็นช่วงที่ต้องการการยอมรับจากเพื่อนในสังคม ดังนั้น การหย่าร้างของพ่อแม่
การรับรู้ว่าคนที่รัก ทรยศหักหลัง หรือโกหก จึงเป็นเรื่องท่ีวัยรุ่นรับได้ยาก เหตุการณ์หย่าร้างของพ่อแม่จึงเป็น
ความเครียดระดับรนุ แรงของวัยนีไ้ ด้
(ศ.คลินิก พญ.วินดั ดา ปยี ะศิลป,์ 2560)

ผลกระทบข้างต้นเป็นเพียงแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในเด็กที่ต้องประสบกับการหย่าร้างของพ่อแม่ ไม่ได้
หมายความว่าเด็กทุกคนที่พ่อแม่หย่าร้างจะมีแนวโน้มข้างต้น เพราะประสบการณ์การรับรู้และการยอมรับของคนแต่ละ
คนมีความแตกต่างกัน ข้อมูลข้างต้นข้าพเจ้าเชื่อว่าจะเป็นประโยชนต์ ่อพ่อแม่ที่ประสบปัญหาแยกทางกันแต่ไม่รู้วิธีการ
ปฏิบัติตัวกับลูกต่อไปในอนาคตเมื่อรู้ว่ามีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดผลกระทบข้างต้นจะช่วยให้พ่อแม่สามารถเตรียมพร้อม
รับมือและป้องกันผลกระทบที่อาจะเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคตได้ เพราะสุดท้ายแล้วการหย่าร้างไม่ได้เป็นเพื่อนผิดพลาด
มันถือเป็นเรื่องปกติในสังคมเพียงแต่คนในสังคมยังมีทัศนคติต่อการหย่าร้างในแง่ลบ การหย่าร้างเป็นเพียงการยุติ
บทบาทควาทสัมพันธ์ระหว่างสามมี-ภรรยา คู่รัก แต่บทบาทความเป็นพ่อและแม่ที่มีต่อลูกยังคงอยู่ซึ่งสิ่งสำคัญคือ
การพูดคุยกับลูกที่เป็นตัวกลางอย่างจริงจังถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แม้ว่าเด็กจะรับได้หรือไม่ก็ตามสุดท้ายจะเป็นหน้าที่ของ
พ่อแม่ หรือคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด ในการติดตามและเฝ้าดูให้เด็กสามารถปรับตัวให้เท่าทันกับความสัมพันธ์

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 103
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

ชุดใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น การเลี่ยงที่จะบอกความจริงและพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมามากกว่าที่จะส่งผลกระทบต่อตัว
เดก็ ในอนาคต

สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้แบ่งระยะการรับรู้ของเด็กต่อการหย่าร้างของพ่อแม่ออกเป็นแต่ละ
ชว่ งวยั ดังนี้

• ทารก ไม่เขา้ ใจ
• อายุ 2-5 ขวบ พอเข้าใจว่าพ่อ/แม่ ไมอ่ ย่รู ่วมกนั ในบา้ นอีกต่อไป แต่ไมร่ ู้ว่าทำไม
• อายุ 5-7 ขวบ เข้าใจวา่ พอ่ แม่โกรธ เศรา้ และแยกกนั อยู่ แต่ไม่รวู้ า่ ทำไม
• อายุ 7-12 ขวบ เริม่ เข้าใจความหมายของคำว่า หย่า
• อายุ 12 ปีขึ้นไป เข้าใจความหมาย แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องยอมรับ (สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี,

2560)
จากข้อมูลข้างต้นเมื่อนำมาเปรียบกับพัฒนาการของตัวละครคิมโทอิลในภาพยนตร์ จะพบว่าอยู่ในระยะอายุ
5-7 ขวบ ที่เข้าว่าพ่อแม่ดกรธ เศร้าและแยกกันอยู่แต่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมซึ่งตัวแม่เองก็ไม่เคยอธิบายถึงเหตุผลที่
เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา และบทบาทความเป็นตัวตนของพ่อก็ขาดหายไปจากความทรงจำตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งการ
ปรากฏตัวของพอ่ เลย้ี งทย่ี ังสรา้ งความสงสัยให้เดก็ วา่ เค้าคือใคร มาอยใุ่ นครอบครวั ในฐานะอะไร ซึง่ แมข่ องเด็กเองก็ไม่
อธิบายอย่างตรงไปตรงมาแต่ต้องการให้เด็กจดจำเค้าในฐานะพ่อคนใหม่ ก่อให้เกิดปมในใจเพื่อหาคำตอบที่หายไป
เกี่ยวกบั พ่อแท้ ๆ ของตนเอง ข้าพเจ้าเชื่อวา่ ฉากน้มี คี วามสำคญั และอาจเกดิ ขน้ึ กบั หลาย ๆ ครอบครัวใน
สังคม สุดท้ายแล้วการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และค่อยๆปรับตัวไปพร้อมกันน่าจะเป็นคำตอบท่ีดีที่สุด
สังคมไทยให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบของสถาบันครอบครัวเป็นอย่างมาก และมีมุมมองต่อการหย่าร้างและ
สร้างครอบครัวใหม่ในแง่ลบ ส่วนใหญ่ก็เป็นการมองที่ปลายเหตุเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาถึงสาเหตุปัจจัยที่ทำให้
เกิดการหย่าร้าง การหาหนทางว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถรักษาสถาบันครอบครัวเอาไว้ การพยายามทำความเข้าใจ
อารมณ์ความรู้สึกของเด็กที่อาศัยอยู่กับพ่อหรือแม่เพียงคนเดียว และการพยายามหาแนวทางที่จะ รักษา เยียวยา หรือ
จัดความสัมพันธ์กับเด็กที่ประสบปัญหาเหล่านี้อย่างไร จะเห็นได้จากสื่อหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือภาพยนตร์ที่จะ
นำเสนอภาพจำของครอบครัวในแง่ของตอนจบที่แฮปปี้เอนดิงทุกครั้งและนำเสนอภาพจำของการหย่าร้างในแง่ลบทำ
ให้คนในสังคมมองว่า ครอบครัวที่ดีคือครอบครัวที่ประกอบไปด้วยพ่อแม่ และลูกอยู่กันพร้อมหน้า ถ้าหากเกิดการหย่า
ร้างเท่ากับว่าคุณไม่สามารถดูแลครอบครัวของตนเองได้และก่อให้เกิดความล้มเหลว แต่ในชีวิตจริงแล้วหลากหลาย
ครอบครัวไม่ได้มีตอนจบที่สวยงามแบบในละครที่หลาย ๆ คนวาดฝัน ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ตลอดเวลา บางครอบครัวเลือกที่จะจบความสัมพันธ์ฉันท์สาม-ี ภรรยาแต่มีการจัดการแบ่งหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูกของ
ตนเองได้ดี ในขณะเดียวกันสังคมเรากำลังบีบบังคับให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องทนกับสภาวะจำยอม กลืนไม่เข้าคลายไม่
ออกกับปัญหาต่าง ๆ เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของครอบครัวไว้ บีบให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายหลายคนโดนกดขี่เป็นผู้แบ
รับภาระต้นทุนในการประคองให้ค่านิยมความสมบูรณ์เหล่านี้ไว้บนบ่า การที่สังคมสร้างกรอบของครอบครัวที่สมบูรณ์
แบบตามอุดมคติขึ้นมา และมองว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องล้มเหลว มันเบียดขับให้ครอบครัวท่ีพ่อแม่แยกทางกันไม่
สามารถทำหน้าที่สร้างครอบครัวที่ดีได้ กลายเป็นผู้แปลกแยก ไม่มีความรับผิดชอบ ทำหน้าที่บกพร่อง และล้มเหลวใน
การสร้างชีวิตครอบครัวของตนเอง เด็กก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เด็กหลายคนไม่กล้าเปิดเผยตนเองว่าไม่มีพ่อ
หรือแม่ และรู้สึกว่าตนเองเป็นปัญหา ไม่กล้าเปิดเผยตนเองและปัญหาที่มีต่อสังคมจนกลายเป็นเด็กมีปัญหาในที่สุด
ท้ายที่สุดแล้วไม่เพียงแต่เป็นผลมาจากการที่ครอบครัวแยกทาง ขาดความรักความอบอุ่นในครอบครัวเท่านั้น แต่อีก

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 104
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

ส่วนเป็นเพราะค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบของครอบครัวมากเกินจนไปกดดัน เบียดขับให้
พวกเขาเหลา่ น้กี ลายเปน็ อนื่ ในสังคม

ท้ายที่สุดแล้วการหย่าร้างมันไม่ได้เป็นปัญหาแต่ค่านิยม กรอบความสมบูรณ์แบบของครอบครัวที่ถูกต้ังขึ้นมา
ต่างหากทเ่ี ป็นตน้ ตอและทำให้เกดิ คา่ นยิ มทมี่ องการหย่ารา้ งในแง่ลบ

‘หยา่ ไมไ่ ดแ้ ปลวา่ ลม้ เหลว' มุมมองเรอื่ งการหย่ารา้ งท่ีเปลยี่ นไปในสังคมไทย
"หย่าร้างไม่ใช่ปัญหาสังคม หากมีลูกก็อย่าปิดบังและโกหกเขา" มุมมองจากประสบการณ์จริงของแม่เลี้ยง

เด่ียว เมื่อคำว่า 'พ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยว' ถูกใช้แทน 'พ่อ-แม่ม่าย' บ่อยและถี่ครั้งขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน ในความเป็นจริง
นั้นเทรนด์พ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยวแสดงให้เห็นว่าคู่สามีภรรยาเหล่านั้นล้มเหลวทางชีวิตรักอย่างที่ค่านิยมในอดีตปลูกฝังกัน
มาจริงหรือ

"เรามองว่าการหย่าไม่ได้เป็นปัญหาสังคม ไม่เป็นเรื่องน่าอาย มันมีสาเหตุมากกว่าจะบอกว่าเป็นเรื่องของชีวิต
คู่ที่ล้มเหลว ชีวิตการเป็นอยู่หรือความสุขของเราสำคัญกว่า เรามีเพื่อนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวหลายคน ทุกคนก็ดูแฮปป้ี
เด็ก ๆ ไมไ่ ดข้ าดความอบอนุ่ อยา่ งทใี่ คร ๆ คิด ทุกอย่างมนั อยทู่ ีต่ วั คนเลย้ี งมากกว่า"

"แต่ในวันที่เข้มแข็ง หากย้อนกลับไปวันนั้นได้ก็จะเลือกทำแบบเดิมอยู่ดี และเชื่อว่าตัดสินใจถูกแล้ว ทุกวันนี้มี
ความสุขมากกว่าเดิมหลายเท่ ตัวเราเองกับอดีตสามีก็ยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่ เราเล่าความจริงให้ลูกฟังทุกอย่างแต่
วิธีการแตกต่างกันออกไปตามแต่ช่วงอายุ ที่สำคัญไม่ควรพูดถึงอีกฝ่ายในทางที่ไม่ดี มันเป็นเรื่องของเราแค่สองคน
อะไรไมด่ ใี ห้เกบ็ ไวใ้ นใจ อยา่ สร้างปมดำๆ ในใจเด็ก" (The Momentum, 2560)

จากบทความขา้ งต้นแสดงให้เห็นว่าคนยุคสมัยก่อนและยุคสมัยปัจจุบันมีการตีความความหมายของการหย่า
ร้างที่แตกต่างกัน ซึ่งในปัจจุบันคนมีมุมมองต่อการหย่าร้างที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คนเริ่มเปีดกว้างและให้
ความสำคัญกับการหย่าร้างมากขึ้น วัฒนธรรม ค่านิยมเก่า ๆ เริ่มเลือนรางไปตามกาลเวลา คนเข้าถึงความเจริญและ
เทคโนโลยีมากข้ึนซ่งึ มนั เป็นสญั ญาณทดี่ ีวา่ ในยุคสมัยใหม่น้กี ารหยา่ ร้างไม่ใช่ความลอ้ เหลวของครอบครัวอกี ตอ่ ไป

บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์

ถ้าหากมีการเพิ่มบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์เข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ นักสังคมสงเคราะห์สามารถเข้าไป
มีส่วนร่วมในการเขา้ ไปเป็นตัวกลาง และกระจายความรู้ให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการหรือสิทธิท่ีควรจะได้รับ
เช่น สิทธิ์ในการฝังยาคุมกำเนิดโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในเต็กที่อายุต่ำกว่า 20ปี "กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข" เผย
วัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 ปีสามารถฝังยาคุมกำเนิดและห่วงอนามัยได้ ทุกสิทธิสุขภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อป้องกัน
การตั้งครรภ์ และลดปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมอย่างต่อเนื่อง พร้อมแนะวัยรุ่นที่ต้องการคำปรึกษา โทร.
1663(MGR online, 2564) สิทธิ์ในการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในปัจจุบันกรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดการฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ฟรี ในเด็กผู้หญิงที่อยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5
(หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, 2559) รวมไปถึงสิทธิและสวัสดิการในด้านอื่น ๆ ในปัจจุบันคนในสังคมยังขาดการ
เข้าถงึ เก่ยี วกับขอ้ มลู สทิ ธสิ วัสดกิ ารท่ตี นเองพงึ ได้รับ นักสังคมสงเคราะห์สามารถทำหน้าท่ีเปน็ ผู้
กระจายข่าวสารจ้อมูลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทั่วถึงเพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้ใช้บริการ และถ้าหาก
ย้อนกลับไปในภาพยนตร์จะเห็นว่าตัวละครคิมโทอิลมีแนวทางการใช้ชีวิตของตนเองเป็นแผนภูมิไว้อยู่แล้ว ดังนั้นหน้าท่ี

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 105
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

อันสำคัญของนักสังคมสงเคราะห์คือการสอบถามความต้องการและเคารพการตัดสินใจของผู้ใช้บริการเป็นอย่างแรก
เพราะท้ายที่สุดหน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์คือการเข้าปช่วยเหลือผู้ใช้บริการให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้ มิใช่การ
ไปวางแผนการใช้ชีวิตให้ผู้ใช้บริการ ดังนั้นการสอบถามความต้องการและเคารพการตัดสินใจของผู้ใช้บริการจึงเป็น
สิ่งสำคัญมากในการปฏบิ ตั ิงานสงั คมสงเคราะห์

กล่าวโดยสรุป การให้คำนิยามคำว่าครอบครัวของคนแต่ละคนมีมุมมองและการตีความที่แตกต่างกัน และมี
การนิยาทคำว่าครอบครัวในแบบของตัวเอง ถ้าหากพูดถึงคำว่าครอบครัวเราอาจจะนึกถึงตอนจบที่สวยงามแบบใน
ละครแต่ในอีกแงงมุมที่ไม่ค่อยถูกนำเสนอคือ ด้านการหย่าร้าง จนมันถูกตีความว่าเป็นปัญหาสังคม แต่หากเรามองดู
ดี ๆ แล้วปัญหาอยู่ที่การหย่าร้างจริงหรือ ค่านิยม กรอบสังคมที่ทำให้คนตีความการหย่าร้างในแงลบต่างหากที่เป็น
ปัญหา การยุติความสัมพันธ์ของสามี-ภรรยา คู่รักเป็นเร่ืองปกติแต่ต้องคำนึงถึงเด็กที่อยู่ตรงกลางความสัมพันธ์น้ี
ด้วยทั้งพ่อและแม่ควรมีวิธีพูดคุยกับเด็กอย่างตรงไปตรงมา และดูแลให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับครอบครัวในสถานะ
ใหม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญ ความสมบูรณ์แบบของสถาบันครอบครัวที่เป็นไปตามกรอบของสังคม มันไม่ได้เป็นตัวการันตี
ความสำเร็จของครอบครัว หลายครอบครัวที่มีพ่อแม่พร้อมหน้าแต่อยู่ด้วยกันแล้วไร้ซึ่งความสุขก็เห็นได้บ่อย การเลี้ยง
ดู การทำความเข้าใจ การยอมรับ ความเชื่อมั่น ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวต่างหากที่ป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิ
ครอบครัว บางทีการที่เราอยู่กับแม่หรือพ่อเพียงคนเดียวแต่เค้าสามารถให้ความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ กับเรา
โดยทีเ่ ราไม่รูส้ ึกขาดนัน่ กถ็ อื เปน็ ครอบครัวทีส่ มบรู ณแ์ บบแล้วในแบบของเรา

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 106
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

บรรณานุกรม

MGR online. (2564). กรมอนามยั เผยวยั รนุ่ อายตุ ำ่ กว่า 20 ปฝี ง่ั ยาคมุ กำเนิด-หว่ งอนามยั ฟรี ได้ทุกสทิ ธิ.
สบื ค้น 28/11/2564, จาก https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000115331

The Momentum. (2560), 'หยา่ ไมไ่ ดแ้ ปลว่าลม้ เหลว' มมุ มองเร่ืองการหยา่ ร้างทเ่ี ปลี่ยนไปในสงั คมไทย
สืบคน้ 28/11/2564, จาก https://themomentum.co/momentum-feature-divorce-not-fail/

กรมกิจการสตรีและสถาบนั ครอบครวั . (2562). นยิ ามและประเภทครอบครัว. สบื คน้ 28/11/2564, จาก
http://intranet.dop.go.th/intranetoder/fls/flsuplods/52747/%E0%B8%99%E0%B8%B4

%E0%B8%A2%E0%B8%B2E0%B8%A1E0B981E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%
E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B980%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%
B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7.pdfคณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธบิ ดี มหาวทิ ยาลยั มหิดล. (2560). อิทธิพลครอบครัว ทสี่ ง่ ผลต่อตัวเดก็ โดยตรง.

สืบคน้ 28/11/2564, จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/
วินดั ดา ปิยะศิลป์ สถาบันเดก็ แหง่ ชาติมหาราชนิ .ี (2560). การหยา่ รา้ งกบั วัยรุ่น. สืบค้น 28/11/2564,

จาก http://www.thaipediatrics.org/Media/media-20200527131810.pdf
ณฏั ฐพงษ์ สกุลเลยี่ ว. (2554). สังคมท่ีให้ความสำคญั กับ "ความสมบูรณแ์ บบ" ของ "ครอบครัว" จนลน้ เกิน.

สบื ค้น 28/11/2564, https:/prachatai.com/journal/2011/08/36356
วนิ ดั ดา ปยิ ะศลิ ป์ สถาบนั เด็กแห่งชาติมหาราชนิ .ี (2560),. เตรยี มลูกเพอื่ เผชิญกับการหย่าร้างของพอ่ แม.่

สืบค้น 28/11/2569, จาก http://www.thaipediatrics.org/Media/media-20200527131823.pdf
หลักประกันสุขภาพแห่งชาต.ิ (2559), ประเภทและขอบเขตของบริการสาธารณสุข (ฉบบั ที่ 10).

สบื คน้ 28/11/2564, จากhttp://bps.moph.go.th/newbps/sites/default/files/serviceplan.pdf

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 107
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

แนวทางชวี ติ ของเด็ก เยาวชน และครอบครวั
ส่กู ารเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตอ่ เทคโนโลยี

นายจริ ภทั ร ไกรนรา 6105681636

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 108
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

คำนำ

รายงานการสัมมนาเรื่อง “แนวทางชีวิตของเด็ก เยาวชน และครอบครัวต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาต่อ
เทคโนโลยี”เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ดค.369 สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว จัดทำขึ้นจากการต้ัง
ประเด็นสัมมนาในเรื่องแนวทางและวิถีชีวิตของเด็ก เยาวชนและครอบครัวที่มีการเปลี่ยนแปลงร่วมกันกับการพัฒนา
ของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ข้อดีและข้อเสียที่ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาของเทคโนโลยีในบริบทเด็ก เยาวชนและ
ครอบครัว บทบาทการเลี้ยงดูของครอบครัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทิศทางที่ควรจะเป็นของการใช้
เทคโนโลยีร่วมกับเด็กและครอบครัว และการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์กับเด็กและครอบครัวในการเปลี่ยนแปลงของ
เทคโนโลยี โดยคน้ คว้าผ่านการแลกเปลีย่ นขอ้ มลู ของผู้รว่ มสัมมนาในขน้ั เรียน

ซึ่งผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจและได้เข้ามาศึกษา หากมี
ขอ้ ผดิ พลาดประการใด จงึ ขออภัยมา ณ ทนี่ ี้

ผู้จัดทำ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 109
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

บทท่ี 1
ทีม่ าและความสำคัญของประเดน็ ปัญหา

เหตุผลในการเลือกเป็นประเดน็ สัมมนา
สำหรับเหตุผลของในการเลือกหัวข้อ “แนวทางชีวิตของเด็ก เยาวชนและครอบครัวสู่การเปลี่ยนแปลงและ

พัฒนาต่อเทคโนโลยี” จะมีที่มาจากการที่ผู้นำสัมมนาในหัวข้อนี้ได้เป็นถึงความสำคัญของบทบาทของเทคโนโลยีใน
สังคมปัจจุบัน ที่ผู้คนในสังคมนั้นได้ใช้ในการอำนวยความสะดวกต่อตนเอง จนแทบเทียบได้ว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีนั้น
แทบไม่ต่างกับอวัยวะของมนุษย์ในยุคสมัยของปัจจุบัน เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงข่าวสารหรือข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
อำนวยความสะดวกจากการใช้ชีวิตประจำวันได้โดยใช้เทคโนโลยี แต่ในทางกลับกัน มนุษย์นั้นถ้าหากคุ้นชินกับความ
สะดวกสบายจนเกินไป ก็จะหลีกเลี่ยงวิธีการที่จะทำให้ตนเองลำบากที่เคยผ่านมาแต่เดิมโดยธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น
การเลือกใช้บริการรถไฟฟ้าแทนการใช้บริการรถสาธารณะ คนส่วนมากก็จะเลือกวิธีที่รวดเร็วกว่าและอาจจะหลีกเลี่ยง
ที่จะกลับมาใช้บริการรถสาธารณะที่มีความช้ากว่า เป็นต้น ซึ่งจากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็แสดงให้เห็นถึงการ
เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของคนในสังคมสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างพัฒนาของเทคโนโลยีในสังคมที่ควบคู่ไปด้วย ท่ี
จะมีความสอดคล้องกันไปตามความต้องการของมนุษย์ที่ต้องพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้ตนเองนั้นสามารถได้รับความ
สะดวกสบายและประหยัดเวลามากขน้ึ กว่าท่ีเคยเป็น

และในอีกหนึ่งสาเหตุของการเลือกหัวข้อ “แนวทางชีวิตของเด็ก เยาวชนและครอบครัวสู่การเปลี่ยนแปลง
และพัฒนาต่อเทคโนโลยี” จะเป็นในด้านของประสบการณ์ของผู้นำสัมมนาเอง ที่เคยประสบพบเจอการเลี้ยงดูบุตรของ
ครอบครัว ที่ใช้เทคโนโลยีในการเลี้ยงดู แต่จากประสบการณ์การพบเจอส่วนใหญ่ มักจะเป็นการเลือกความ
สะดวกสบายของตนเองโดยการให้โทรศัพท์ที่สามารถเป็นคลิปวิดิโอ สื่อการ์ตูน เพื่อที่จะให้เด็กได้ดู โดยที่ผู้ปกครองนั้น
สามารถปล่อยเด็กไว้กับโทรศัพท์และทำในสิ่งที่อยากจะทำได้ในเวลาเดียวกัน จึงได้ตระหนักถึงการกระทำดังกล่าวว่า
การกระทำในรูปแบบนี้นั้นเป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่ พัฒนาการของเด็กที่ต้องการความใกล้ชิดกับพ่อและแม่
ในช่วงวัยเด็กนั้น จะได้รับผลกระทบจากการหาความสุขผ่านจากโทรศัพท์จนเคยชินมากน้อยแค่ไหน จะส่งผลให้เกิด
พฤติกรรมการเสพติดการใช้โทรศัพท์ในอนาคตหรือไม่ และในอีกหนึ่งเหตุการณ์คือเหตุการณ์จากกรณีตัวอย่างของ
การฝึกงานที่มีการปฏิบัติงานร่วมกันกับเด็กและครอบครัว โดยเด็กในครอบครัวนั้นมีพฤติกรรมการเสพสื่อลามก
อนาจารที่ไม่เหมาะสมตามพัฒนาการของเด็ก และสาเหตุของการมีพฤติกรรมการเสพติดสื่อลามกอนาจารนั้นมาจาก
การที่ผู้ปกครองไม่ต้องการที่จะเล่นกับเด็ก มีความรู้สึกรำคาญเด็ก จึงทิ้งโทรศัพท์ให้เด็กเล่นโดยไม่มีการควบคุม จึง
ทำให้เกิดผลกระทบดังกล่าว จึงนำมาสู่การตั้งคำถามทั้งในด้านของการเสพสื่อนั้นจะสามารถส่งผลต่อพัฒนาการของ
เด็กและมีความเสี่ยงในที่จะเกิดปัญหาการเข้าถึงความต้องการทางเพศก่อนวัยอันควรหรือไม่ การเลี้ยงดูเด็กนั้นควร
ควบคุมและดูแลในการใช้อุปกรณ์อิเลกทรอนิคอย่างไรให้เหมาะสมกับเด็กในครอบครัว การรเสพสื่อที่มากจนเกิดไป จะ
ส่งผลกระทบในด้านทางร่างกาย ทางจิตใจ และทางสังคมอย่างไรบ้างต่อความเป็นตัวตนของเด็กในครอบครัว ถ้า
ผู้ปกครองหลีกเลี่ยงที่จะไม่ใช่อุปกรณ์อิเลกทรอนิคไม่ได้ ควรมีมาตรการในการควบคุมดูแลอย่างไรให้เด็กในครอบครัว
นั้นเสพสื่อได้อย่างพอเหมาะและสมควร โดยในประเด็นที่กล่าวมาในข้างต้นก็ทำให้ตัดสินใจในการเลือกหัวข้อ “แนวทาง
ชีวิตของเด็ก เยาวชนและครอบครัวสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาต่อเทคโนโลยี” มาเป็นหัวข้อหลักในการร่วมสัมมนา
ในชนั้ เรียนและการทำรายงานการสมั มนาฉบับนี้

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 110
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

นยิ ามความหมาย
ในด้านของการนิยามความหมายของคำศัพท์ที่ใช้ในการร่วมสัมมนานี้ จะมีทั้งในส่วนของการให้ความหมาย

จากพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน และในส่วนของการร่วมให้นิยามความหมายจากผู้ร่วมสัมมนาในชั้นเรียน
ดังน้ี

แนวทางชวี ิต หรือ วิถชี ีวติ
วถิ ีชีวติ หมายถึง น. ทางดำเนนิ ชวี ิต เช่น วิถีชาวบ้าน
ซึ่งในการให้ความหมายของคำว่า วิถีชีวิต หรือ แนวทางชีวิตที่ใช้ในหัวข้อของการสัมมนา สามารถให้

ความหมายได้คือเส้นทางของการดำเนินชีวิต ที่ได้ยกตัวอย่างคือวิถีชาวบ้าน ซึ่งก็สามารถนำมาปรับมองกับความเป็น
สภาพสังคมและอาจให้ความหมายได้ถึงแนวทางการดำเนินชีวิต แนวทางปฏิบัติของคนในสังคมที่ยึดถือแนวทางนั้นใน
การใชช้ วี ติ ร่วมกนั กบั คนในสงั คม

เทคโนโลยี
เทคโนโลยี หมายถงึ น. วทิ ยาการทน่ี ำเอาความรู้ทางวทิ ยาศาสตรม์ าใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน?ในทางปฏบิ ัติ อุตสา

หากรรม เปน็ ต้น
ซึ่งในการให้ความหมายของเทคโนโลยีในการร่วมแลกเปลี่ยนจากการสัมมนาก็ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยี

ได้อย่างหลากหลาย ซึ่งในความหมายของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์โทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
เพียงเท่านั้น โดยเทคโนโลยีคือเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้สรรสร้างขึ้นผ่านกระบวนการใด ๆ ก็ตามที่จะสามารถช่วยในการ
ช่วยเหลือหรือการช่วยให้เกิดความสะดวกได้ยิ่งขึ้น โดยมนุษย์นั้นรู้จักเทคโนโลยีมาตั้งแต่ยุคแรกที่มนุษย์สามารถใช้
สมองในการวิเคราะห์และสรรสร้างอุปกรณ์ขึ้นมาได้ หรือตั้งแต่ยุคหินที่มีการประดิษฐ์เครื่องมือจากหินมาช่วยใช้ในการ
ดำรงชีวิตได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น กระบวนการดังกล่าวก็เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ได้สรรสร้างมานำมาสู่การ
พฒั นาของความคดิ วิทยาการ การดำรงชวี ิตทเี่ ป็นระบบยงิ่ ขึ้น นำมาส่กู ารเปน็ เทคโนโลยีในปจั จบุ ัน

ความเกย่ี วเน่อื งกนั ระหวา่ งแนวทางชวี ติ และเทคโนโลยี
ในด้านประเด็นของความเกี่ยวเนื่องกันระหว่าง แนวทางชีวิต และ เทคโนโลยี ในปัจจุบันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า

ในการใช้ชีวิตนั้นเทคโนโลยีกับการดำรงชีวิตหรือแนวทางชีวิตของผู้คนในสังคมนั้นมีความสำคัญอย่างมากและมี
ความสัมพันธ์อยู่ซึ่งกันและกัน ทั้งในด้านของมิติความเป็นสังคม การดำรงชีวิตร่วมกันในสถาบันครอบครัวทั้งในด้าน
การเลี้ยงดูผ่านเทคโนโลยี หรือสถาบันสังคมที่เทคโนโลยีก็มีส่วนในการขัดเกลาทางการศึกษาและเรียรรู้ผ่านการ
พัฒนาของนวัตกรรม อีกทั้งมิติในด้านของเศรษฐกิจของสังคมสู่การแข่งขันในการเรียนรู้และพัฒนานวัตกรรมอย่าง
ต่อเนื่อง และในมิติของการปกครองที่แข่งขันกันทางเทคโนโลยีสู่ความสามารถทางการทางพัฒนา การวิจัย และ
อำนาจการพฒั นาของประเทศดว้ ยเชน่ กนั

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 111
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

บทท่ี 2
สถานการณใ์ นปัจจุบัน
สถานการณป์ ัจจบุ ัน
ทฤษฎกี ารเปล่ยี นแปลงของสังคม
เป็นไปตามทฤษฎีโครงสร้างการหน้าที่ ของ บรอนิสลอว์ มาลิโนวสกี มาใช่ในการอธิบายการปรากฎการณ์ท่ี
เกิดขึ้น โดนผ่านการมองอย่างเป็นองค์รวมและทำความเข้าใจทั้งโครงสร้างของสังคมว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง ซึ่งจะ
สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของการทำงานที่ทำให้พ่อและแม่ของเด็กไม่มีเวลาในการดูแลลูกใน
สถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังมีการพัฒนาของเทคโนโลยีที่จะสามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างรวดเร็วและง่ายยิ่งข้ึน
ดังนี้นแล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมส่งผลกระทบให้เกิดการปรับตัวในการใช้ชีวิตอย่างรวดเร็วไปตามกันกับการพัฒนา
ของเทคโนโลยีอีกดว้ ย

ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ของเทคโนโลยตี ่อเดก็ เยาวชนและครอบครัว
ข้อดี
การสื่อการไร้พรมแดน เข้าถึงข้อมูลได้เร็วและง่ายได้ด้วยตนเอง โดยในประโยชน์ของในเทคโนโลยีข้อนี้ก็จะ

เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน เชน่ ในดา้ นการเข้าถงึ การศกึ ษาทางไกลไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ การค้นหาคน้ ควา้ ข้อมลู ได้อยา่ งกว้างขวาง
ขอ้ เสยี
ด้านร่างกาย ซึ่งในพัฒนาการตามช่วงวัยของวัยเด็กนั้น การใช้เทคโนโลยีที่ไม่มีการดูแลหรือควบคุมจากผู้

เลี้ยงดู อาจจะส่งกระทบได้อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบทางสายตาและกล้ามเนื้อตา ที่อาจทำให้เกิดอาการ
กล้ามเนื้อดวงตาอ่อนแรงและสามารถส่งผลเสียต่อเด็ก ซึ่งพัฒนาการร่างกายของเด็กนั้นยังมีการจำกัดของการ
เติบโตของอวัยวะอยู่และอาจทำให้การเติมโตตามพัฒนาการร่างกายนั้นถดถอยหรือลดลง และอาจส่งผลต่อ
บคุ ลกิ ภาพในระยะยาว

ด้านอารมณ์และจิตใจ ในด้านของการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีในปัจจบันนั้นจะพัฒนาไปได้
อย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันในความต้องการของเด็ก หากเด็กนั้นไม่ได้รับการดูแลหรือการเลี้ยงดูที่ส่งเสริมในด้าน
ของการอดทน เนื่องจากสมาร์ทโฟนในปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาและสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นก็อาจ
ส่งผลให้มีปัญหาทางอารมณ์ ฉุนเฉียว ขาดความอดทน และก้าวร้าวถ้าหาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และมีแนวโน้มที่จะเกิด
อาการสมาธสิ ้ันเทียม และมผี ลต่อพัฒนาการการเรยี นรู้ในระยะยาวดว้ ยเชน่ กนั

ด้านสังคม จะมีความบกพร่องในด้านของการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมหรือสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
เนื่องจากโทรศัพท์ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันโลกสังคมออนไลน์ จึงทำให้เด็กหรือเยาวชนไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมหรือรู้จัก
ผู้คนรอบข้างในสังคม และอาจจะไม่ได้รับการเรียนรู้การสร้างบทบาทหรือความรับผิดชอบทางสังคมได้ ซึ่งอาจส่งผล
ให้มีความสัมพันธ์กับคนรอบข้างหรือมีความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวที่น้อยลง ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลในการเข้าถึง
สงั คมออนไลนอ์ ยา่ งเหมาะสม

การกระทำของพ่อและแม่ของเด็กและเยาวชนที่ใช้เทคโนโลยีโดยไม่คำนึงถึงความเป็นส่วนตัวหรือการละเมิน
สิทธิเด็กได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดร่องรอยทางดิจิทอลที่อาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อมาภายหลัง เช่น การถ่ายรูปของเด็ก
โดยทีไ่ ม่ไดร้ บั การยินยอมของเดก็

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 112
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

การไม่สามารถควบคุมถึงการเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน ซึ่งในกรณีที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ
การที่เด็กหรือเยาวชนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาทางอินเตอร์เน็ต เช่น การแสดงความคิดเห็นร่วมกันผ่าน
อนิ เตอรเ์ นต็ โดยมึคำนงึ ถงึ ผลกระทบท่ีตามมา อยา่ งกรณีการกล่นั แกล้งผา่ นทางออนไลน์
การแสดงความคิดเห็นเชิงลบ โดยในโลกอินเตอร์เน็ตนั้นก็ถือได้ว่ามีความเป็นสภาพสังคมของคนที่อยู่ร่วมกันด้วย
เช่นกัน ถือเป็นความเป็นสังคมในรูปแบบของโลกออนไลน์ แต่ในความเป็นโลกออนไลน์ที่ไม่ต้องแสดงความคิดเห็น
ด้วยกันอย่างซื่งหน้า ก็อาจทำให้ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา เพราะเป็นสังคมที่ติดตามตัวตนได้ยาก ในกรณีนี้จึง
อาจทำให้เกิดการร่วมกันแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง ไร้การควบคุม ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดผลเสียทางจิตใจแก่ผู้ท่ี
ถกู กระทำในโลกออนไลนไ์ ดด้ ้วยเชน่ กัน

พฤติกรรมการลอกเลียนแบบยูทูปเบอร์ จากกรณีตัวอย่างที่เป็นข่าวของรัฐโฮไอโอ ประเทศอเมริกา โดยใน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเด็ก 8 ขวบ ได้ดูยูทูปเบอร์ที่ทำเนื้อหาของวิดิโอเกี่ยวกับการสอนขับรถยนต์ จากการดูวิดิโอ
ดังกล่าว ทำให้เด็กชายคนนี้มีพฤติกรรมเลียนแบบ โดยการแอบขับรถของพ่อตนเอง ขับรถไปยังร้านเบอร์เกอร์ที่อยู่
ห่างประมาณ 1 ไมล์ ด้วยตัวคนเดียว และโชคดีที่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย แสดงให้เห็นถึงการไม่ได้ดูแลหรือ
ควบคุมการเขา้ ถึงเนอื้ งหาและการรับชมส่ือโดยไม่มผี ู้ปกครองใหค้ ำแนะนำ

ปัญหาและผลกระทบ
10 ม.ค.61 สำนักงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวหัวข้อ"

ของขวัญเด็กไทย สิ่งเล็กๆที่สร้างลูก "เครื่องมือดูแลลูกยุคใหม่ ได้แถลงข้อมูลผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีใน
ประเทศไทย ปี 2558-2559 โดยองค์การยูนิเซฟประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกัน
สุขภาพแห่งชาติ พบว่า ผู้ใหญ่ในครัวเรือน อย่างปู่ย่า ตายาย มีบทบาทสูงต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กในช่วง
อายุ 3-5 ปีถึง 92.7% ขณะที่บทบาทของแม่ในการส่งเสริมการเรียนรู้อยู่ที่ 62.8% ตามด้วยบทบาทของพ่อ 34% ที่
น่าสนใจคือ พบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ที่เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เครื่องเล่นเกม สูง
ถึง 50% และเกือบ 7 ใน 10 ของเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะเด็กใน
กทม. และภาคใต้ ซึ่งการเลน่ อปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนกิ สต์ ง้ั แตอ่ ายยุ งั นอ้ ยอาจส่งผลใหเ้ กดิ ภาวะสมาธิสั้นได้

การเรียนออนไลนใ์ นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID 19
วันที่ 1 ตุลาคม 2564 รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ประธานกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา เผยว่า โค

วิด-19 ทำให้ต้องงดการเรียนการสอนและจำเป็นต้องปรับรูปแบบมาเป็นระบบการสอนทางไกล หรือการสอนออนไลน์
เกือบ 2 ปี แม้บางคนอาจมองว่าเป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างตอบโจทย์ในยุคดิจิทัล สามารถเข้าถึงได้อย่างไร้
ขอ้ จำกัด แตไ่ ม่ใช่ทกุ คนทจี่ ะสามารถเข้าถึงและปรบั ตวั กบั การเรยี นการสอนผ่านระบบออนไลน์ได้

มีเด็กหลักแสนคนขาดเครื่องมือการเรียน และการเรียนออนไลน์เพิ่มภาระในการดูแลบุตรหลานให้กับ
ผู้ปกครองเป็นเวลาเกือบสองปี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขอเร่งทุกภาคส่วนสร้างความพร้อม
เพอ่ื คนื การจัดการเรยี นการสอนในโรงเรียนใหเ้ ดก็ เปน็ ภารกจิ แรก

โดยเฉพาะเด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และนักเรียนในครอบครัวรายได้น้อย ที่มีอุปสรรคในการเข้าถึง
การศึกษาอยู่เป็นทุนเดิม ท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้ ยิ่งทำนักเรียนกลุ่มดังกล่าวมีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบ
การศกึ ษา สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ความเหลื่อมลำ้ ทางการศกึ ษาไทยท่ีชัดเจนขน้ึ จากปญั หาท่มี ีมาอย่างยาวนาน

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 113
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

บทบาทความเปน็ ครอบครวั และแนวทางการเลย้ี งดู

ผลกระทบจากการที่ลกู นัง่ ดู YouTube คนเดียว
พญ. เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น แนะนำให้ผู้ปกครองนั้นไม่ควรใช่อารมณ์ในการพูดคุย เพราะ
อาจทำให้เกิดความเกลียดชังของเด็กต่อพ่อแม่ และในการพูดคุยนั้นอย่ากล่าวร้ายหรือบอกว่ายูทูปเบอร์ที่เด็กกำลังดู
อยู่นั้นทำไม่ถูกต้องหรือกระทำในเรื่องที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสม เพราะว่าการที่เด็กนั้นเลือกรับชมผู้ผลิตสื่อ อาจ
หมายความได้ว่าเด็กนั้นรู้สึกชื่นชอบและยกย่องเป็นตัวอย่างของตน เด็กจึงอาจจะไม่ชอบหรือไม่พอใจที่กล่าวว่ายูทูป
เบอร์ทช่ี อบวา่ กระทำในเร่ืองท่ีไมเ่ หมาะสมหรอื ทำเร่ืองไม่ดี
อีกทั้งผู้ปกครองหรือพ่อแม่นั้นจำเป็นที่ต้องเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้ให้แก่ลูก ตามทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิง
สัญลักษณ์ของครอบครัว ของ จอร์จ เฮอร์เบิร์ต มีด ที่กล่าวถึงความสำคัญของการเรียนรู้บุคคลผ่านกระบวนการมี
ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ซึ่งกระบวนการนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นการเผชิญหน้ากันบุคคลอื่น ซึ่งคนในครอบครัวจะมี
อิทธพิ ลในการเรียนร้ขู องเด็กทมี่ ากกวา่ บุคคลอ่นื
ทศิ ทางท่ีควรจะเป็น
1. มีการควบคุมที่ถูกต้องและสมควรอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครอง คือ พ่อแม่ เพื่อให้เด็กได้มีความใกล้ชิดกับ
พ่อแม่ได้อย่างมากยิ่งขึ้น เพื่อเสริมพัฒนาการการรับรู้ความเป็นครอบครัว ร่วมกันหากิจกรรมครอบครัวทำที่จะ
สามารถสง่ เสรมิ พฒั นาการตามวยั อันควรได้
2. มีการเรียนรู้หรือทำความเข้าใจในแอปพลิเคชันหรอื สื่ออิเลกทรอนิคต่าง ๆ ในการเข้าถึงเนื้อหาการรับชมส่ือ
เพอื่ ใหเ้ หมาะสมกับเดก็ และสามารถควบคุมในการเข้าถึงเนอ้ื หาได้อย่างรัดกุมมากยิง่ ขนึ้
3. ส่งเสริมให้เด็กนั้นได้เรียนรู้ในเทคโนโลยีในอย่างเป็นปกติในชีวิตประจำวันโดยเป็นประจำอย่างสร้างสรรค์
โดยเป็นการจัดสรรเทคโนโลยีให้มีการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก โดยให้สื่อนั้นมีการเสริมได้เล่นตามพัฒนาการ
เสริมสรา้ งกิจกรรมท่ีสามารถทำร่วมกนั ได้กบั เพื่อนเพ่อื สรา้ งสงั คม หรอื ทำไดก้ บั ครอบครวั เชน่ กัน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 114
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

บทท่ี 3
มติ ิการปฏิบัตงิ านสังคมสงเคราะห์

การปฏิบตั งิ านสงั คมสงเคราะหก์ บั ครอบครวั และเทคโนโลยี
ร่วมผลักดันงานสังคมสงเคราะห์ในสถานศึกษาเพ่ือที่จะได้ทราบถึงปัญหาของครอบครัวที่เกิดขึ้นอย่าง

ทันท่วงทีทั้งในเชิงรับและการตรวจสอบในเชิงรุก โดยในประเด็นนี้จะแนวทางในการร่วมผลักดันงานสังคมสงเคราะห์
ในสถานศึกษาเนื่องจากสถานศึกษาคือหนึ่งในสถาบันที่มีความสำคัญอย่างมากต่อช่วงเวลาการเจริญเติบโตของเด็ก
และเยาวชนตลอดจนถึงเป็นสถานศึกษาก็เป็นสถาบันที่เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ถึงบทบาทในการเข้าหาสังคม ไม่ว่าจะ
เป็นกลุ่มสังคมเพื่อนร่วมกันในสถานศึกษา ความสนใจหรือความชอบและความถนัดในความเป็นตัวตนตามช่วง
พัฒนาการค้นหาตัวตนตามข่วงวัยของเด็ก ซึ่งในช่วงวัยที่อยู่ในสถานศึกษาก็สามารถพบเจอปัญหาที่เป็นปัญหาทาง
สังคมอย่างหลากหลายด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเครียดจากการศึกษา การถูกสังคมกีดกันจากความ
แตกต่าง ปัญหาการกลั่นแกล้ง ปัญหาครอบครัวที่อาจส่งผลต่อการศึกษา ปัญหาทางทุนทรัพย์ทีอาจทำให้หลุดจาก
ระบบการศกึ ษา ซ่ึงในการผลกั ดันงานสงั คม

สงเคราะห์ในสถานศึกษานี้ก็จะเป็นการเข้าถึงและรับทราบถึงปัญหาของเด็กและเยาวชนที่พบเจอปัญหาอยู่ได้
อย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว โดยการให้การดูแลและให้คำปรึกษาหรือการให้บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการติดตามและ
ประเมินผล ซึ่งก็จะสามารถแบ่งเบาภาระหน้าที่ของผู้สอนที่ในประเทศไทยนั้นต้องทำหน้าที่ในการเตรียมการสอนและ
การประเมินนักเรียนในด้านต่าง ๆ แต่ในจำนวนของผู้สอนที่ต้องดูแลเด็กในหน้าที่รับผิดชอบก็ไม่สัมพันธ์กันและเป็น
ภาระหน้าที่รับผิดชอบที่เกิดตัว อีกทั้งนักสังคมสงเคราะห์ในสถานศึกษาก็จะมีส่วนในการร่วมสร้างสวัสดิการหรือการ
ร่วมสร้างกิจกรรมที่เหมาะสมกับเด็กในสถานศึกษาตามพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย จึงเป็นอีกหนึ่ง
หนทางท่จี ะสามารถตรวจสอบถงึ ปัญหาของเดก็ และเยาวชนที่มพี บเจอกับปัญหาตา่ ง ๆ ได้อยา่ งทันที

ร่วมมีส่วนร่วมในการตรวจสอบกฎหมายหรือการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่มีความเสียงต่อเด็กและเยาวชนในการ
เข้าถึงเนื้อหาที่มีความรุนแรง โดยในประเด็นนี้ ถึงแม้ในปัจจุบันนั้นจะมีโหมดการจำกัดการเข้าถึงของเนื้อหาที่ผู้
ใหบ้ ริการจะจัดหมวดหมู่ให้อยา่ งเหมาะสมตามกลุม่ เปา้ หมาย เชน่ การจัดหมวดหม่ขู องวดิ ิโอหมวดหมเู่ ดก็ ในแอปพลิเค
ชัน Youtube ที่จะเป็นระบบในการคัดกรองเนื้อหาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายตามที่จัดไว้ให้ หรือจะเป็นแอปพลิเคชัน
สตรีมมิ่ง Disney plus กำหนดความเหมาะสมกับเนื้อหาให้กับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเพื่อที่จะ
สามารถให้รับชมเนื้อหาที่เหมาะสมได้อย่างสะดวก แต่ในปัญหาของการควบคุมและการดูแลของผู้ใช้บริการนั้น ส่วน
ใหญ่จะเกิดขึ้นจากการที่ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนไม่ได้มีการดูแลหรือควบคุมในการเข้าถึงสื่ออย่างที่ควร ทั้งใน
กรณีของการเปิดกลุ่มพูดคุยของแอปพลิเคชัน Clubhouse ท่ีเป็นประเด็นสังคมที่โด่งดัง ในเรื่องของการเปิดกลุ่ม
พูดคุยกันเกี่ยวกับความคิดเห็นที่มีลักษณะในการเหยียดคนภาคอีสาน โดยพบว่าผู้ที่เข้าร่วมการพูดคุยในครั้งนั้น ส่วน
ใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งยังมีกรณีตัวอย่างอื่น ๆ อีกด้วยตามอินเตอร์เน็ตด้วย
หลากหลายเหตุการณ์ ในกรณีตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็จะสะท้อนให้เห็นถึงการที่เด็กและเยาวชนที่ไม่ได้รับการ
ดูแลในการใช้เทคโนโลยีอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นในกรณีนี้ ถ้าหากว่านักสังคมสงเคราะห์นั้นได้มีบทบาทในการร่วมใน
การออกแบบการเข้าถึงแอปพลิเคชันของกลุ่มเด็กและเยาวชน ผ่านระบบการยืนยันตัวตนที่สามารถคัดกรองเน้ือหาที่
เหมาะสมกับช่วงวัย หรือกำหนดข้อจำกัดในการเข้าถึงแอปพลิเคชันบางตัว ตลอดจนมีส่วนในการออกแบบหรือร่วม
ตรวจสอบกฎหมายที่อาจจะมีช่องโหว่ของการใช้แอปพลิเคชันอย่างไม่เหมาะสม และการกำหนดโทษของผู้ให้บริการ
แอปพลิเคชันถ้าไม่ได้มีการร่วมคัดกรอกเนื้อหาที่เหมาะสมให้กับผู้ใช้บริการ ข้อกำหนดที่กล่าวมาก็อาจจะส่งผลให้เกิด

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 115
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

การเปลี่ยนแปลงของเด็ก เยาวชนและครอบครัวต่อการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาของเทคโนโลยีได้อย่างสร้างสรรค์
ย่ิงขน้ึ

การส่งเสริมงานสังคมสงเคราะห์ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทางสังคมอย่างจริงจัง
ท้ังการสนับสนุนเพิ่มเติมในด้านของเทคโนโลยีการศึกษา การกระจายอำนาจทางเทคโนโลยีให้เทคโนโลยีนั้นสามารถเข้า
ถึงกับกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง การลงทุนกับระบบสาธารณสุขให้มีคุณภาพเพราะเพื่อให้ความสำคัญของความ
เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ และผ่านการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยการมุ่งเน้นในด้านของการพัฒนาเด็กเยาชนและ
ครอบครัว ทั้งในด้านของการเสริมสร้างเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสมและทั่วถึง ไม่ใช่
มุ่งเน้นแต่ในด้านของการพัฒนาเทคโนโลยีในเชิงอุตสาหกรรมหรือในมิติทางด้านของเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น เพราะใน
การใช้เทคโนโลยีของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และการลงทุนกับนวัตกรรมทางสังคมที่สนับสนุนกลุ่มเด็ก
และเยาวชนท่เี ปน็ กำลังหลกั ในการพฒั นาประเทศในอนาคต

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 116
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

บทท่ี 4
สรปุ จากการสัมมนา

จากการร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนในประเด็นหัวข้อ “แนวทางชีวิตของเด็ก เยาวชน และครอบครัวสู่การ
เปลี่ยนแปลงและพัฒนาต่อเทคโนโลยี” ที่เป็นข้อของการสัมมนาในครั้งนี้ โดยสรุปจากหัวข้อก็จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยน
ในด้านของความสำคัญของมิติความครอบครัวที่ให้ความสำคัญทั้งเด็ก เยาวชนและครอบครัว ทั้งในด้านของการ
เข้าถึงเทคโนโลยี การให้คำแนะนำ การควบคุมดูแล การปรับความเข้าใจในด้านของความแตกต่างกันระหว่างเจเนอร์
เรชันของผู้ใช้เทคโนโลยีของเด็กและผู้ปกครองในครอบครัวมาสู่การหาจุดกึ่งกลางในการร่วมกันใช้ชีวิตร่วมกันกับ
เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ และในด้านของการปฏบิ ตั งิ านสังคมสงเคราะห์กบั เดก็ และครอบครวั ทีม่ ีหนา้ ท่ี
ในการร่วมสร้างพื้นที่ร่วมกัน เช่น การสร้างสื่อทางบวกที่จะสามารถสอดแทรกความเหมาะสมและพัฒนาต่อไปในด้าน
ท้งั ความเปน็ สังคมในจลุ ภาคสกู่ ารเปล่ยี นแปลงและพัฒนาสงั คมส่รู ะดับมหาภาคไดอ้ ยา่ งทว่ั ถงึ ย่ิงขึน้

ภาคผนวก
จริ ะวรรณ ศรีจันทร์ไชย. สุจมิ า ติลการยทรัพย.์ (2564). ผลกระทบจากการใชส้ มาร์ทโฟนในเดก็ ปฐมวัย : บทบาทของ
พยาบาลในการชว่ ยเหลือดูแล, สบื ค้นจาก View of THE EFFECT OF SMARTPHONE USAGE IN EARLY

CHILDHOOD: NURSING ROLE (tci-thaijo.org)
ภัทริกา วงค์อนันต์นนท์. (2557). พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชน, สืบค้นจาก 173-178

พฤตกิ รรมการใช้อนิ เทอร์เน็ต.indd (rtanc.ac.th)

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 117

การหลอมรวมวฒั นธรรมคณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สกู่ ารสรา้ งครอบครวั ของผู้หญิงไทย
นางสาวเบญจวรรณ อทุ ธิ
ยา6105680182

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 118
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

คำนำ
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา สค.369 สัมมนาการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2564 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยนักศึกษาได้จัดทำรายงานฉบับ
นี้ขึ้น เพื่อรวมรวมข้อมูล และวิเคราะห์เชื่อมโยงการทำงานสังคมสงเคราะห์ที่กับหัวข้อการสัมมนา"การหลอมรวม
วัฒนธรรม สู่การสร้างครอบครัวของผู้หญิงไทย " เป็นการศึกษาถึงปรากฎการณ์การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม เพื่อให้
เห็นถึงความเป็นมาและเหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงไทยตัดสินใจเลือกคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติซึ่งมีลักษณะวิถีชีวิต
วัฒนธรรม ค่านิยม เชื้อชาติ ศาสนาที่แตกต่าง รวมถึงศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กและครอบครัวข้ามวัฒนธรรม
ที่นำไปสู่การวิเคราะห์บทบาทนักสังคมสงเคราะห์ในการให้บริการกลุ่มเป้าหมาย ครอบครัวข้ามวัฒนธรรม นอกจากน้ัน
ยังได้มีการรวบรวมแนวคิด ทฤษฎีทางสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หลักการและวิธีทางสังคมสงเคราะห์ มาประยุกต์ใช้ใน
การออกแบบแนวทางการปฏบิ ตั ิงานกับกลุ่มเป้าหมายครอบครัวข้ามวฒั นธรรม
หากเกิดขอ้ ผิดพลาดประการใดอันเกิดจากการวเิ คราะห์ข้อมลู ผ้จู ัดทำตอ้ งของอภยั มา ณ โอกาสน้ี

จัดทำโดย
นางสาวเบญจวรรณ อุทธยิ า

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 119
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

บทที่ 1
ขอ้ มลู ทั่วไปเก่ยี วกบั กลมุ่ เป้าหมาย

ความรทู้ ่วั ไปเกี่ยวกับครอบครัวข้ามวัฒนธรรม
1.1 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ

"ครอบครัว" คือ บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่ใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยาหรือมีความผูกพันทางสายโลหิต หรือ
ทางกฎหมาย หรือเกี่ยวดองเป็นเครือญาติ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวต่างมีบทบาท หน้าที่ต่อกันและมีความสัมพันธ์ที่
เกื้อกูลกัน จากการทบทวนเอกสารเกี่ยวกับความหมายของครอบครัว สามารถสรุปนิยามคำว่าครอบครัวไว้แตกต่าง
กนั ในหลายลกั ษณะ ดังนี้

"สถาบนั พืน้ ฐานของสังคม ที่ประกอบด้วย สามี ภรรยา และหมายความรวมถงึ ลกู ด้วย"
พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2554

"บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีความผูกพันทางสายโลหิต ทางกฎหมาย ทางจิตใจหรือทาง
สังคมซงึ่ สมาชิกในครอบครัวต่างมบี ทบาทหนา้ ท่ตี ่อการและมคี วามผูกพันท่ีเกอื้ กลู กัน"

นโยบายและยทุ ธศาสตร์การพัฒนาสถาบนั ครอบครวั พ.ศ.2506-2564

"บุคคลต้ังแต่สองคนขึ้นไปที่มีข้อตกลงในการท่ีจะใช้ชีวิตใช้ทรัพยากรตัดสินใจและให้คุณค่าต่อการดำเนิน
ชีวติ รว่ มกนั "

ทฤษฎีครอบครัวเบอ้ื งตน้ (2557)

นอกจากนี้สำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำนิยามว่า ครอบครัว หมายถึง กลุ่มบุคคล
ตง้ั แต่สองคนข้ึนไปท่ีเกยี่ วข้องกนั เกิดการแตง่ งาน หรือการรบั เป็นบุตรบญุ ธรรมและอาศยั อยรู่ ่วมกันในครัวเรอื นหนึ่ง
รวมถึงผู้ที่ไม่แต่งงาน แต่งงานแล้วแต่ไม่มีลูก แต่งงนแล้วหย่าร้างหรือตายจากกัน ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีลักษณะ
หลากหลาย (The U.S. Bureau of The Census, (1988) อา้ งถึงใน อุมาพร ตรงั คสมบตั ,ิ 2541, น.2)

"สมรส" หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "แต่งงาน" คือการที่ชาย หญิง 2 คน ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ฉันสามีภริยาซึ่งตามกฎหมาย ปัจจุบันนั้น กำหนดว่า การสมรสต้องมีการจดทะเบียนสมรสจึงจะมี ผลตามกฎหมาย
ดังนั้นถ้าไม่มีการจดทะเบียนสมรส แม้จะมีการจัดงานพิธีสมรสใหญ่โตเพียงใด กฎหมายก็ไม่ถือว่าชายหญิงคู่นั้นได้ทำ
การสมรสกัน การจดทะเบียนสมรสนั้น ให้ไปจดกับนายทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ โดยไม่ต้องเสีย
ค่าธรรมเนียมใดๆ เลย และต้องมีการแสดงถึงความยินยอมของทั้ง 2 ฝ่าย ว่าต้องการที่จะทำการสมรสกันต่อหน้า
นายทะเบียนดว้ ยแล้วให้นายทะเบยี นบนั ทกึ ความยินยอมนั้นไว้

การสมรส หมายถึง ชายและหญิงได้ตกลงใช้ชีวิตคู่ร่วมกันฉันทส์ ามีหรือภรรยา มีความผูกพันต่อกันทางด้าน
จติ ใจและด้านเศรษฐกิจ จดทะเบยี นสมรสอย่างถกู ตอ้ งตามกฎหมาย

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 120
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

"วัฒนธรรม" พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ - ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2524 : 101) ได้ให้
ความหมายและอธบิ ายไว้ว่า "วัฒนธรรม" เปน็ ช่ือรวมสำหรับแบบอย่างของพฤตกิ รรมทัง้ หลายทไ่ี ดม้ าทางสงั คม และที่
ถ่ายทอดกันไปทางสังคมโดยอาศัยสัญลักษณ์ วัฒนธรรมจึงเป็นชื่อสำหรับสัมฤทธิ์ผล ที่เด่นชัดทั้งหมดของกลุ่ม
มนุษย์ รวมท้ังส่ิงทั้งหลายเหล่านั้น เช่น ภาษา การทำเครื่องมือ อุตสาหกรรม ศิลปะ วิทยาศาสตร์ กฎหมาย การ
ปกครอง ศีลธรรมและศาสนา กับรวมถึงอุปกรณ์ที่เป็นวัตถุหรือสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งแสดงรูปแบบแห่งสัมฤทธิ์ผลทาง
วัฒนธรรม และทำให้ลักษณะวัฒนธรรมทางปัญญาสามารถยังผลเป็นประโยชน์ใช้สอยได้ เช่น อาคาร เคร่ืองมือ
เครอื่ งจกั รกล เครื่องมอื สื่อสาร ศลิ ปวัตถุ เป็นตน้

สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (กรมศิลปากร, 2542 : 20) ได้ให้ความมายไว้ว่า "วัฒนธรรม" คือ แนวทางแห่งการ
แสดงออกวิถีชีวิตทั้งปวง ซึ่งอาจเริ่มจากตัวเอกชนหรือคณะบุคคลคิดขึ้นหรือกระทำขึ้นเป็นต้นแบบ แล้วต่อมาคณะ
ส่วนใหญ่ของกลุ่มชนยอมรับมาสืบทอด จนกระทั่งสิ่งนั้นส่งผลให้เกิดเป็นนิสัยในการคิด การเชื่อถือและการกระทำ
ของคนส่วนใหญ่แหง่ กลมุ่ ชนนัน้ ๆ

จากคำนิยามข้างต้น สรุปได้ว่า "วัฒนธรรม" หมายถึง ทุกส่ิงทุกอย่างที่มนุ ษย์ได้ผลิตสร้างขึ้น และเป็นท่ี
ยอมรับร่วมกันในสังคมในการท่ี จะนำมาใช้เป็นแบบแผนของการดำเนินชีวิต หรือเป็นกระสวนแห่งพฤติกรรม เพื่อ
ความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกัน เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและเพื่อความมั่นคงของสังคม
เนื่องจากวัฒนธรรม คือ ระบสัลักษณ์ ซึ่งสมาชิกของสังคมตกลงกันว่าจะใช้ร่วมกัน มนุษย์ที่อยู่ในแต่ละสังคมย่อมจะ
มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน เพราะแต่ละสังคมย่อมจะคิดสร้างสิ่งต่างๆและตกลงกันในการใช้แตกต่างกันไป วัฒนธรรม
ของสงั คมตา่ ง ๆจงึ ไม่เหมือนกนั ดังน้นั อาจจะกล่าวได้วา่ วฒั นธรรมเปน็ เครื่องชี้ใหเ้ ห็นความแตกต่างของสงั คมมนุษย์

"ลูกคร่ึง" น. หมายถึง ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นคนต่างชาติกัน ครึ่งชาติ ก็ว่า. (พจนานุกรมฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2554)

"การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม" หมายถึง ชายหญิงที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาอย่างเปิดเผย โดย
ผ่านการยอมรับในสังคมจากทั้งสองฝ่าย อาจมีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ได้ ใน
การศกึ ษาคร้งั นจ้ี ะหมายถงึ ผหู้ ญิงไทยทแ่ี ตง่ งานกับผู้ชายชาวตา่ งชาติ

"การปรับตัวในการใช้ชีวิตคู่" หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม บทบาท อารมณ์ และชีวิตประจำวัน
ได้แก่ การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การใช้จ่าย พฤติกรรมทางเพศ เรียนรู้วัฒนธรรมที่ต่างกัน เพื่อลดความ
ขดั แยง้ ในชวี ิตสมรส

"การบันทึกฐานะแห่งครอบครัว" ได้แก่ การใดๆ อันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัวที่ได้ทำขึ้นในต่างประเทศ
ตามแบบซี่งกฎหมายแห่งประเทศที่ทำขึ้นบัญญัติไว้ ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จะคุ้มครองคนไทยที่อยู่
ต่างประเทศซึ่งได้กระทำการใดใด อันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัวและนำหลักฐานมาบันทึกให้ปรากฏในประเทศไทย
เพื่อเป็นหลกั ฐานในการพิสจู น์ เมอ่ื เกดิ มีกรณีพพิ าทเกดิ ข้ึน หรอื เพือ่ ให้ไดม้ า

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 121
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

1.2 สถานการณก์ ารครอบครวั ไทยในยุคปัจจบุ นั
ข้อมูลจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

(กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ) พบว่าเมื่อปี 2560 ในยุโรปมีคนไทยที่ไปแต่งงานกับชาวต่างชาติ ทั้งชาย
และหญิง 108,763 คน โดยเป็นผู้หญิงที่ระบุได้ถึง 36,775 คน อย่างในอังกฤษมีสถิติการแต่งงานกว่า 17,272คน ใน
สวิสเชอรแ์ ลนด์มหี ญิงไทยทแ่ี ตง่ งานอยทู่ ี่น่ันกว่า 10,000 คน และในเดนมาร์กมีหญงิ ไทยกวา่ 15,863 คน

ฝั่งยุโรปตะวันออกมีคนไทยที่ไปแต่งงานอาศัยอยู่ราว 654 คน ระบุได้ว่าเป็นผู้หญิง 439 คน ซึ่งผู้หญิงส่วน
ใหญ่อาศัยอยูใ่ นประเทศสโลวะเกยี 152 คน สาธารณรฐั เชก็ 105 คน และโรมาเนีย 65 คน

แม้จำนวนหญิงไทยในยุโรปตะวันออกจะยังมีน้อย แต่ธัญกร ใจสมัคร เฟย์ทินแกร์ ประธานมูลนิธิหมู่บ้านไทย
(Thai Town Foundation) ในฮังการี ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายหญิงไทยในยุโรป กล่าวกับบีบีชีไทยในการสัมภาษณ์ทาง
โทรศัพท์ว่า ตอนนี้ประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น ฮังกรี สาธารณรัฐเช็ก สโลวะเกีย, โปแลนด์,โรมาเนีย ฯลฯ
กลายเป็นเปา้ หมายใหม่ ทหี่ ญิงไทยจะเดินทางมาอาศัยอยู่ รวมทง้ั แต่งงานกบั คนในท้องถ่ิน

จากการสำรวจข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง มีการรวบรวมข้อมูลสถิติเกี่ยวกับ
ข้อมลู เชงิ ประชากรศาสตรไ์ วใ้ นภาพรวม ซึง่ มรี ายละเอยี ดดังนี้

• รายงานสถติ ิจำนวนทะเบียนสมรสระหวา่ งชาวไทยกับชาวต่างชาติ ปีพ.ศ.2562
(เรยี งลำดับจากมาก-นอ้ ย)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 122
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

• รายงานสถิติจำนวนทะเบยี นสมรสระหวา่ งชาวไทยกบั ชาวต่างชาติ ปี พ.ศ.2563
(เรยี งลำดบั จากมาก-นอ้ ย)

• รายงานสถิติจำนวนบนั ทึกฐานะแหง่ ครอบครวั ปพี .ศ.2562
(เรียงลำดับจากมาก-น้อย)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 123
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

• รายงานสถิตจิ ำนวนบันทึกฐานะแหง่ ครอบครัว ปีพ.ศ.2563
(เรียงลำดบั จากมาก-นอ้ ย)

รูปแบบและโครงสร้างของครอบครัวแต่ละยุคสมัยได้มีการปรับตัวอยู่เสมอ และน่ันไมใช่เรื่องสำคัญใดๆ หาก
การแปรเปลี่ยนนั้นยังเกื้อหนุนให้ครอบครัวคงทำหน้าที่ตามสาระสำคัญนั่นคือ เป็นพื้นที่มอบความรักและกรเสียสละ
อยา่ งไมต่ ้องการสงิ่ ตอบแทน โดยมสี ายสัมพนั ธท์ างใจและสายเลอื ดเป็นเครอ่ื งร้อยรดั ไดอ้ ยา่ ง
สมบูรณ์

ครอบครัวไทยกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ เนื่องจากประชากรไทยมีจำนวนการเกิดคงที่
ประกอบกับมีอายุยืนยาวมากขึ้น ทำให้โครงสร้างครอบครัวไทยเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ ในอนาคตประเทศไทยจะก้าวเข้า
สู่สังคมผสู้ งู วยั และในปี 2563 ประชากรสงู อายุ วัยเกิน 70 ปี จะมฐี านประชากรกว้าง
ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคนในช่วงวัยอื่นๆ หากพิจารณาเชื่อมโยงกับการสร้างครอบครัวข้ามวัฒนธรรมที่มีลักษณะ
ของการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างด้านประชากร, ค่านิยม, ศาสนา และโครงสร้างในมิติอื่น ๆ จะพบว่าการสร้างครอบครัว
ในอนาคตล้วนสง่ ผลกระทบตอ่ สงั คมโลกในทกุ มติ ิ

ปัจจุบันสังคมไทยมีการสร้างครอบครัว (Family Formation) รูปแบบใหม่ที่เป็นการสร้างครอบครัวร่วมกับ
ชาวตะวันตก หรือครอบครัวข้ามวัฒนธรรมที่ถูกหล่อหลอมด้วยวิถีการดำเนินชีวิตแบบใหม่ที่เข้ามาพร้อมกับกระแส
โลกาภิวัตน์ ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลโครงสร้างครอบครัวชับซ้อนหรือเปลี่ยนไป มากกว่ารูปแบบที่เคยเป็นมาในอดีต
(ภัสสร ลิมานนท์, 2556 : 23-46) ปรากฎการณ์การสร้างครอบครัวของหญิงไทยในชนบทกับคู่สมรสชาวต่างประเทศ
โดยเฉพาะชาวยุโรป และอเมริกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ถือเป็นค่านิยมใหม่ในการสร้างครอบครัวและมีจานวนเพิ่ม
สูงขน้ึ ( Tosakul, R.,2010 : 179-200)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 124
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

บทท่ี 2
เอกสารท่ีเกย่ี วข้องกับการศกึ ษาคน้ คว้า

การศึกษาเรื่อง การหลอมรวมวัฒนธรรม สู่การสร้างครอบครัวของผู้หญิงไทย ผู้ศึกษาได้ศึกษารวบรวม
เอกสารแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งเพ่ือเปน็ กรอบในการศกึ ษา ดังน้ี

1. กฎหมายและนโยบายท่ีเก่ียวข้อง
1.1 กฎหมาย นโยบาย กฎเกณฑเ์ กย่ี วกับการแต่งงานของชาวต่างชาติ
1.2 กฎหมายเกย่ี วกบั คนตา่ งชาติ
1.3 กฎหมายเก่ยี วกับการแต่งงานกบั คนตา่ งชาติ
1.4 กฎหมายเกย่ี วกับบุตรจากครอบครัวข้ามวฒั นธรรม

2. การแตง่ งานของหญงิ ไทยกับชาวตา่ งชาติ
1.1 สาเหตแุ ละปจั จัยของการแต่งงานขา้ มวัฒนธรรม
1.2 กระบวนการเขา้ สู่การสรา้ งครอบครัวข้ามวัฒนธรรม
1.3 การปรบั ตวั ของครอบครัวขา้ มวฒั นธรรม
1.4 ผลกระทบจากการแตง่ งานของหญงิ ไทยกับชาวตา่ งชาติ

3. แนวคิดและทฤษฎี
1.1 ทฤษฎแี รงจงู ใจ
1.2 ทฤษฎีการเลียนแบบ
1.3 ทฤษฎลี ำดบั ขั้นความตอ้ งการของมาสโลว์ (Maslow's Hierachy of Needs)
1.4 ทฤษฎรี ูปแบบความรกั
1.5 แนวคิดเก่ียวกบั ปรากฎการณท์ างวฒั นธรรมทสี่ ำคัญ

2.1 กฎหมายและนโยบายท่ีเกยี่ วขอ้ ง
2.1.1 กฎหมาย นโยบาย กฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแต่งงานของชาวต่างชาติบัวพันธ์ พรหมพักพิง และคณะ

(2548 : 106 - 107) ได้กล่าวถึงนโยบายของประเทศไทยที่มีผลต่อชาวต่างชาติในการเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
รวมทั้งการแต่งงานของชาวต่างชาติกับหญิงไทยว่าการแต่งงานข้ามวัฒนธรรม เป็นเรื่องท่ีเกิดขึ้น และมีมานานแล้ว
และพัฒนาการทางประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอน ก็มีผลอย่างสำคัญต่อรูปแบบการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมใน
ปัจจุบนั ในสมัยโบราณ

ในหมู่ผู้ปกครอง หรือชนชั้นสูงมักจะมีทัศนะว่าการแต่งงานข้ามวัฒนธรรมเป็นอันตรายต่อความมั่นคงดังน้ัน
จึงมีการควบคุมอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามชนชั้นผู้ปกครอง ก็ได้ใช้การแต่งงานข้ามวัฒนธรรม เพื่อรักษาดุลอา
นาจระหว่างกลุ่มผู้ปกครองต่างกลุ่มชาติพันธ์ุ ทั้งการควบคุมการแต่งงานข้ามชาติ และการใช้การแต่งงานข้าม
วัฒนธรรม เพื่อสร้างดุลของความสัมพันธ์เชิงอำนาจนี้ได้ลดบทบาทลงอย่างมากนับตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่ง

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 125
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

ประเทศไทยมีการติดต่อและทำมาค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้น พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และ
กลายเปน็ บริบทของการแตง่ งานข้ามชาติในปจั จุบนั สามารถสรุปไดด้ ังนี้คอื

1. มีการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินับตั้งแต่พ.ศ.2500 ที่เน้นยุทธศาสตร์
การมองปัจจัยข้างนอกเป็นหลัก (Outward Looking ผลของการพัฒนาอันน้ี ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
เกิดขึ้นหลายรูปแบบ การพัฒนาดังกล่าวน้ี เป็นพลังขับให้คนจำนวนมาก แสวงหาวิธีการยกระดับสถานภาพของ
ตนเองด้วยวธิ กี ารตา่ งๆ โดยมวี ัตถหุ รือเงินเป็นเครื่องหมายชีว้ ัดความสำเรจ็

2. ในช่วงสงครามเวียดนามอเมริกาได้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานสำหรับการพักผ่อนจากการทำสงคราม ทหาร
เหลา่ น้ไี ด้แสวงหาบรกิ ารทางเพศ และไดเ้ กิดบรกิ าร "เมียเชา่ " สำหรบั ทหารท่ีมาทำสงครามในเวียดนาม

3. ภายหลังจากสงครามเวียดนาม ได้เกิดการอพยพของแรงงานไปทำงานต่างประเทศ ในระยะแรกส่วนมาก
เป็นการอพยพของแรงงานชาย และประเทศปลายทางของการอพยพที่เป็นนิยมก็คือ ประเทศในแถบตะวันออกกลาง
แต่ภายหลังการอพยพแรงงานมีทั้งหญิงและชาย และประเทศปลายทางที่เป็นที่นิยมรวมถึงประเทศในทางตะวันออกท่ี
ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลี และสิงคโปร์ การไปทำงานต่างประเทศในหลายกรณี
ของผ้หู ญงิ เหลา่ น้ี ในหลาย
กรณลี งเอยด้วยการแตง่ งานกบั ชาวตา่ งชาติ

4. เกิดการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ โดยการผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากว่า การ
ท่องเที่ยวทำรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล การส่งเสริมการท่องเที่ยวนี้ ได้นำไปสู่
การขยายตัวของอุตสาหกรรมทางเพศในหลายรูปแบบ และในหลายกรณี ผู้หญิงก็อาศัยช่องทางด้านนี้ ในการนำไปสู่
การแต่งงานกบั ชาวตา่ งชาติ

2.1.2 กฎหมายเกี่ยวกับคนตา่ งชาติ
กฎหมายทั่วไปเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ชาวต่างชาติที่ต้องการอยู่ในไทย แบบผู้มีถิ่นที่

อย่ถู าวร สามารถขออนญุ าตมถี ่ินทอี่ ยูใ่ นประเทศไทยได้ โดยอ้างเหตอุ ยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ดังต่อไปน้ี
1. เพอื่ เขา้ มาลงทนุ ในประเทศไทย
2. เพ่ือเข้ามาทำงานในประเทศไทย
3. เพ่ือใหค้ วามอปุ การะ หรอื อยู่ในความอุปการะของคสู่ มรสผมู้ สี ญั ชาตไิ ทย

หลกั เกณฑ์และเงอ่ื นไขในการขอมถี นิ่ ทีอ่ ยู่ในไทย
1. คณุ สมบัติทวั่ ไปของผ้มู สี ทิ ธิไดร้ ับการพิจารณา

1.1ผู้ยื่นคำขอต้องถือหนังสือเดินทางประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non Immigrant Visa) และได้รับอนุญาตให้อยู่
ในราชอาณาจกั รเป็นรายปมี าแล้ว โดยมีรอบเวลาพำนักไม่นอ้ ยกว่า 3 ปี นับจนถึงวันยนื่ คำขอ

1.2คนต่างด้าวทม่ี ีอายุ 14 ปขี ึ้นไป ตอ้ งไดร้ ับการตรวจสอบประวตั ิ ดงั ตอ่ ไปน้ี
- พิมพ์ลายนวิ้ มือ กรอกประวตั ิเพื่อตรวจสอบประวัตอิ าชญากร
- ตรวจสอบหนังสอื รบั รองประวัตอิ าชญากรรมทนี่ ามาแสดง
- ตรวจสอบวา่ คนตา่ งดา้ วเป็นบุคคลตอ้ งหา้ ม ตาม พ.ร.บ. คนเขา้ เมือง พ.ศ.2522 หรอื ไม่
- ตรวจสอบวา่ เปน็ บคุ คลทม่ี หี มายจับของตำรวจสากลหรอื ไม่

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 126
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

1.3 คนต่างด้าวต้องแสดงข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ สินทรัพย์ ความรู้ ความสามารถในด้านวิชาชีพและฐานะใน
ครอบครวั ของคนต่างดา้ ว

1.4 คนตา่ งด้าวต้องพูด และฟังภาษาไทยได้เข้าใจ
2. กรณีคู่สมรสคนต่างด้าวขอมีถิ่นที่อยู่ในไทย เพื่อให้ความอุปการะหรืออยู่ในความอุปการะของคู่สมรสที่มีสัญชาติไทย
ต้องมีคณุ สมบัตดิ ังต่อไปนี้

2.1ผูใ้ หค้ วามอปุ การะทำงานในประเทศไทย
- เป็นคู่สมรสโดยจดทะเบียนสมรสมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 2 ปี นับจนถึงวันที่ยื่นคำขอ และมีบุตร

ด้วยกันจริง ถ้าไม่สามารถมีบุตรหรือกรณีไม่มีบุตร และไม่สามารถนำใบรับรองแพทย์มาแสดงถึงเหตุผลการไม่
สามารถมบี ุตรได้ จะตอ้ งจดทะเบยี นสมรสมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี

- คู่สมรสคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนรวมกัน มีรายได้ต่อปีเฉลี่ยไม่น้อยกว่าเดือนละ 30,000 บาท
เปน็ เวลา 2 ปีตดิ ต่อกัน และมีการเสียภาษถี ูกต้อง

- บุคคลสัญชาติไทย แสดงความประสงค์ที่จะให้ความอุปการะหรืออยู่ในความอุปการะของคนต่าง
ด้าวทยี่ ืน่ คำขอ

2.2ประเภทผ้ใู หค้ วามอปุ การะเป็นผ้สู งู อายุ
- คนต่างด้าวต้องมอี ายุ 50 ปขี ึน้ ไป
- จดทะเบยี นสมรสมาแลว้ ไมน่ ้อยกว่า 2 ปี
- ผู้ให้ความอุปการะมีรายได้เฉลี่ยต่อปีไม่น้อยกว่าเดือนละ 65,000 บาท เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี

ติดตอ่ กัน
- บุคคลสัญชาติไทยแสดงความประสงค์ที่จะให้ความอุปการะหรือผู้รับความอุปการะของคนต่าง

ด้าว

3. กรณยี ่นื คำขอ ประเภทเขา้ มาเพ่ือการลงทุน ต้องมคี ณุ สมบตั ิดังตอ่ ไปน้ี
3.1 เป็นผู้นำเงินเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยมีหนังสือรับรองจากธนาคารพาณิชย์ใน

ประเทศไทย ซงึ่ แสดงหลักฐานการโอนเงนิ จากตา่ งประเทศเข้ามาในประเทศไทย
3.2 การลงทุนต้องมลี ักษณะทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อเศรษฐกจิ ของประเทศ ดังน้ี
- ลงทุนในบรษิ ัทจำกัด หรือบริษทั มหาชนจำกดั
- ลงทนุ ซ้ือพันธบตั รรฐั บาล หรือพันธบัตรรฐั วิสาหกจิ
- ลงทนุ ในตลาดหลักทรัพย์ เชน่ หุ้นสามัญ หนุ้ กู้ หรอื หน่วยลงทุน
3.3 คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่แล้ว ต้องแสดงหลักฐานการถือครองการลงทุนต่อคณะกรรมการ

พจิ ารณาคนเข้าเมอื ง ภายในเดือนกันยายนของแตล่ ะปี เปน็ เวลา 3 ปี ติดต่อกนั

4. กรณียนื่ คำขอประเภทเข้ามาเพอ่ื ทำงาน ต้องมคี ณุ สมบัติดังน้ี
4.1 คนต่างด้าวต้องทำงานตำแหน่งระดับผู้บริหาร ซึ่งได้แก่ ตำแหน่งประธานกรรมการหรือกรรมการของนิติ

บุคคล โดยมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท คนต่างด้าวมีรายได้เฉลี่ยต่อปีไม่น้อยกว่าเดือนละ 50,000 บาท
เป็นเวลา 2 ปตี ดิ ต่อกันและเสียภาษถี ูกตอ้ ง

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 127
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

4.2 ธุรกิจทค่ี นตา่ งด้าวทางานนนั้ เป็นประโยชน์ตอ่ เศรษฐกจิ ของประเทศ ได้แก่
- ธรุ กจิ ท่ีเก่ยี วกบั การคา้ ตา่ งประเทศ
- ธุรกจิ เกย่ี วกบั การทอ่ งเทีย่ ว
- ธรุ กิจอ่นื ๆ ทีค่ นต่างด้าวเปน็ ผู้ถือหนุ้ ที่ชาระแล้วเตม็ มลู คา่ ไมน่ อ้ ยกว่า 5 ลา้ นบาท

4.3 หากคนต่างดา้ วไมม่ คี ณุ สมบัตติ ามข้อ 4.1, 4.2 ต้อมีองค์ประกอบดังนี้
- เปน็ ผมู้ ีใบอนญุ าตทำงานในประเทศ (Work Pernit) มาแลว้ ไมน่ ้อยกวา่ 3 ปี
- ตอ้ งทำงานในบรษิ ัทฯ ท่ีย่ืนคาขอมาแล้วไมน่ ้อยกวา่ 1 ปี
- มีรายได้เฉลี่ยต่อปีไม่น้อยกว่าเดือนละ 80,000 บาท และมีการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งแต่
100,000 บาทข้นึ ไป

2.1.3 กฎหมายเกี่ยวกับการแตง่ งานกบั คนต่างชาติ
ในปัจจุบัน มีการแต่งงานข้ามชาติระหว่างหญิงไทยกับชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีหลายคนไม่
ต้องการผูกพันกับต่างชาติเพราะไม่อยากต้องเสียสิทธิในความเป็นไทยไปจากการได้สามี หรือภรรยาเป็นคนต่างชาติ
ความจริงแล้วกฎหมายไม่ได้ตัดสิทธิคนไทยที่มีชาวต่างชาติเป็นคู่สมรสการแต่งงานกับคนต่างชาติทำให้เราได้สิทธิและ
มีหน้าที่ตามกฎหมายที่คู่สมรสเรามีสัญชาติอยู่ คนไทยจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ หากจดที่สถานทูตหรือกงสุล
ไทย สามารถนำหลักฐานการจดทะเบียนสมรสใช้ได้เช่นเดียวกับการจดในประเทศไทย แต่หากจดทะเบียนสมรสกับ
ชาวต่างชาติตามกฎหมายของคู่สมรสท่ี เป็นชาวต่างชาติ ให้นำหลักฐานการจดนั้นแปลเป็นภาษาไทยและให้กระทรวง
การต่างประเทศ ของไทยรับรองคำแปลนั้น แล้วนำหลักฐานนั้นไปขอบันทึกฐานะครอบครัวต่อนายทะเบียน เพื่อเป็น
หลักฐานตามกฎหมายต่อไป

เอกสารทีใ่ ชใ้ นการจดทะเบยี นสมรสกบั ชาวตา่ งชาติ กรณีทมี่ สี ัญชาตไิ ทย
1. บัตรประชาชน หรือหนงั สือเดินทางไทย
2. พยาน 2 คน (ฝ่ายละ 1 คน) ชาวต่างชาติ

เอกสารทใี่ ช้ในการจดทะเบยี นสมรสกับผู้ทีม่ ีสัญชาติไทย กรณีทเี่ ปน็ ชาวต่างชาติ
1. ใบโสดท่ีออกจากทางการของประเทศตนเอง

• กรณีจดทะเบยี นทเ่ี ขต/อำเภอในประเทศไทย
- ใบโสดออกจากประเทศต้นทาง : รับรองนิติกรณ์เอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศของประเทศต้นทาง และ
สถานเอกอคั รราชทตู /สถานกงสุลใหญ่ไทยในประเทศนน้ั หลังจากน้นั
แปลเปน็ ภาษาไทย และรบั รองนติ กิ รณเ์ อกสารทกี่ องสัญชาตแิ ละนติ ิกรณ์ กรมการกงสุล
- ใบโสดออกจากสถานเอกอคั รราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ตา่ งประเทศประจำประเทศไทย : แปล
เป็นภาษาไทย และนำมารับรองนิติกรณ์เอกสารท่กี องสญั ชาติและนติ ิกรณ์ กรมการกงสลุ
• กรณจี ดทะเบียนสมรสทีส่ ถานเอกอคั รราชทตู /สถานกงสุลใหญ่ไทยในตา่ งประเทศ
- ใบโสดออกจากประเทศต้นทาง : รับรองเอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศ ของประเทศต้นทาง เพื่อนำไป
ประกอบการจดทะเบียนสมรสกบั บุคคลสญั ชาตไิ ทย ณ สถาน
เอกอัครราชทูต/สถานกงสลุ ใหญ่ไทยในประเทศน้ัน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 128
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

2. หนังสือเดนิ ทาง
3. บิดา-มารดา มาใหค้ วามยนิ ยอม(กรณีคู่สมรสอายตุ ำ่ กวา่ 20 ปี)
4. พยาน 2 คน (ฝ่ายละ 1 คน)

การสมรสกับชาวต่างชาติในทางกฎหมายไทย สิทธิที่อาจต้องเสียไป คือ การถูกควบคุมในเรื่องของทรัพย์สิน
ที่เป็นที่ดิน เนื่องจากกฎหมายห้ามคนต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน (ป.ที่ดิน, ม.97) หากแต่งงานกันแล้วได้ที่ดินมาจาก
การซือ้ หาทด่ี ินนน้ั ก็จะเป็นสินสมรสตามกฎหมาย ทำให้คู่สมรสได้สทิ ธิในทดี่ นิ ไปครึ่งหนงึ่

ปัญหาการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของหญิงไทยที่สมรสกับชาวต่างชาติ ซึ่งตามประมวลกฎหมายที่ดินห้ามมิให้
ชาวต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ทำให้กรมที่ดินวางแนวทางปฏิบัติให้หญิงไทยและสามีต่างชาติต้องยืนยันเป็น
ลายลักษณ์อกั ษรรว่ มกันตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ใี นวันจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมว่า เงินที่นำมา
ชอื้ ท่ีดนิ เป็นสนิ ส่วนตัวของหญงิ ไทยแต่เพียงฝา่ ยเดียว

เรื่องสัญชาติแม้จะไม่ขาดจากความเป็นคนไทย แต่สาหรับหญิงไทยอาจไม่สามารถเอื้อสิทธิให้สามีต่างชาติ
หากเขาอยากแปลงสัญชาติ ซึ่งก็ไม่ใช่การเสียสิทธิอะไรแต่ให้สิทธิไม่ได้ อาจแตกต่างกับชายไทยตรงที่สามารถให้
ภรรยาซึ่งเป็นคนต่างชาติยื่นคำร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ด้วยเหตุที่แต่งงานกับชายไทยได้ แต่ก็ต้องเข้า
คุณสมบัติอื่นในการได้สัญชาติ เรียกว่า เอื้อสิทธิแก่สามีได้น้อยกว่า ถ้าเทียบกับชายไทยให้สิทธิแก่ภรรยาต่างชาติ
(พ.ร.บ. สัญชาต,ิ ม.9)

2.1.4 กฎหมายเกย่ี วกบั บุตรจากครอบครวั ขา้ มวัฒนธรรม
กรณีที่มีเด็กที่เป็นผลผลิตของครอบครัวข้ามวัฒนธรรม หากเกิดมาโดยมีบิดา หรือมารดาเป็นคนไทยจะได้

สญั ชาตไิ ทย เว้นแตจ่ ะเขา้ ข้อยกเว้นของกฎหมาย เช่น เข้าเมืองมาโดยไมช่ อบฯ (พ.ร.บ. สญั ชาต,ิ ม.7)
ลูกครึ่งมีสิทธิในมรดกของบิดา มารดาตามปกติ มีสิทธิในการถือครองที่ดิน แต่มีขั้นตอนตรวจสอบเพิ่มขึ้นว่า

เป็นการได้ที่ดินมาโดยสุจริต ไมใช่เป็นการถือแทนบิดา หรือมารดาที่เป็นคนต่างด้าว แต่มีเงื่อนไขว่าลูกที่เกิดมานั้นมี
สญั ชาติไทยตามกฎหมายด้วย

กฎหมายไทยที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันเมื่อทบั ซ้อนกับกฎเกณฑ์การให้สัญชาติของรัฐอื่นจะทำให้เกิดบุคคลสอง
สัญชาติได้ โดยเกณฑ์การได้มาซึ่งสัญชาติไทยซึ่งเป็นได้ใน กรณีต่าง ๆ คือ บุคคลได้สัญชาติมาเมื่อเกิด และบุคคลได้
สญั ชาตภิ ายหลังการเกดิ ดงั นี้

1. บุคคลได้สญั ชาตเิ มือ่ เกิด
ตามหลักสากลบุคคลย่อมได้สัญชาติมาด้วยการเกิด โดยรัฐต่าง ๆ จะใช้หลักเกณฑ์ในการให้สัญชาติทั้งหมด

2 หลักด้วยกัน คือ หลักสืบสายโลหิต และหลักดินแดน ขึ้นอยู่กับรัฐนั้น ๆ ว่าจะเลือกใช้หลักเกณฑ์ใดหลักเกณฑ์หนึ่ง
หรืออาจจะเลือกใช้ทั้งสองหลักเกณฑ์ควบคู่กันไป ในกรณีของประเทศไทยได้มีการยอมรับหลักเกณฑ์การได้มาซ่ึง
สัญชาตโิ ดยใชห้ ลกั สบื สายโลหิต และหลักดนิ แดนท้งั สองหลกั ควบคกู่ ัน ดงั ตอ่ ไปน้ี

1.1 บุคคลไดส้ ัญชาตติ ามหลกั สายโลหิต
ในกรณีหลักการได้สัญชาติไทยตามหลักสายโลหิต ตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 มาตรา 7
(1)แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ยอมรับให้บุคคลที่เกิดจากบิดาหรือมารดาผู้มี
สัญชาติไทย ไดส้ ัญชาตไิ ทยไมว่ ่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจกั ร

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 129
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

หลักสืบสายโลหิตจากบิดามีองค์ประกอบสำคัญ คือ บิดาจะต้องมีสัญชาติไทยในขณะที่บุตรเกิด หากได้สัญชาติไทยมา
ภายหลังจากที่บุตรเกิดไปแล้ว เช่น ในขณะที่บุตรเกิดบิดาถือสัญชาติอื่นและบิดาได้สัญชาติไทยจากการแปลงสัญชาติ
ในภายหลัง บุตรย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิต ในทางกลับกันหากในขณะที่บุตรเกิดบิดามีสัญชาติไทย
แมใ้ นภายหลงั บดิ าสละสญั ชาติไทยไปถอื สญั ชาตอิ น่ื ก็ไม่สง่ ผลใหบ้ ุตรต้องเสียสญั ชาตไิ ทยไปแต่อยา่ งใด

ในส่วนการพิจารณาองค์ประกอบหลักสืบสายโลหิตจากมารดานั้น เป็นข้อเท็จจริ งตามธรรมชาติที่ทราบกัน
โดยทั่วไปอยู่แล้วว่ามารดาเป็นผู้ให้กำเนิดบุตร ในขณะที่บุตรเกิดหากมารดาถือสัญชาติไทย แม้บิดาจะถือสัญชาติอื่น
บุตรท่เี กดิ กย็ อ่ มได้สญั ชาตไิ ทยตามหลักสายโลหติ

1.2 บุคคลไดส้ ญั ชาตติ ามหลกั ดินแดน
ในส่วนของหลักดินแดนกฎหมายไทยรับรองกฎเกณฑ์การได้มาซึ่งสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน ตาม
พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7(2) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2535
ยอมรับบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยได้สัญชาติไทย กล่าวคือ บุคคลใดก็ตามที่เกิดในราชอาณาจักรไทยย่อมได้
สญั ชาติไทย
นอกจากนั้น แล้วการที่เกิดในดินแดนไทยในกรณีอื่น ๆ เช่น มีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ก็ไม่จำเป็น
จะต้องได้สัญชาติไทยตามหลักดินแดนไปทกุ ราย เนื่องจากกฎหมายไทยได้วางข้อยกเว้นเกี่ยวกับการได้สัญชาติมาโดย
หลกั ดนิ แดนเอาไว้

การเกิดเด็กสองสัญชาติ
ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสองสัญชาติ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีการบังคับใช้หลักการได้สัญชาติไทย
ตามหลักสายโลหิต แต่กฎหมายเกี่ยวกับสัญชาติของไทยไม่ได้มีบทบัญญัติที่บังคับให้บุตรที่ได้สัญชาติจากการเกิด
จะตอ้ งเลอื กสญั ชาติใดสัญชาตหิ นึง่ หรือบงั คับใหถ้ อื เพยี งสัญชาตเิ ดียว
ดังนั้นเมื่อรัฐอื่นได้กำหนดเงื่อนไขการได้มาของสัญชาติจากการเกิดทับซ้อนกับกฎหมายของไทยก็อาจทำให้
เกิดบุคคลสองสัญชาติได้ เช่น ในกรณีที่บิดาหรือมารดาถือสัญชาติไทยไปให้กำเนิดบุตรนอกราชอาณาจักร โดยรัฐที่
มารดาไปให้กำเนิดบุตรนั้นได้ใช้เกณฑ์การให้สัญชาติตามหลักดินแดน โดยปฏิบัติตามเงื่อนไขในการได้สัญชาติตาม
หลักดินแดนในรัฐนั้นครบถ้วน และรัฐดังกล่าวไม่มีข้อกฎหมายห้ามถือสองสัญชาติบุตรที่เกิดมานั้นย่อมเป็นบุคคล
สองสัญชาติ กล่าวคือ มีสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิต และสัญชาติของรัฐที่บุตรนั้นถือกำเนิดข้ึนตามหลักดินแดน
ดว้ ย

2.2 การแตง่ งานของหญิงไทยกบั ชาวต่างชาติ
2.2.1 ปัจจัยทส่ี ่งผลตอ่ การสมรสกบั ชาวต่างชาติ
การแต่งงานกับชาวต่างชาติในสังคมไทยทุกวันนี้มีความแตกต่างไปจากสังคมไทยในอดีตเป็นอย่างมาก

ปัจจุบันนี้พบได้ว่ามีผู้หญิงไทยจำนวนมาก ไม่ว่าจะมีฐานะระดับไหนก็มีความต้องการแต่งงานกับชาวต่างชาติมากขึ้น
ด้วยเหตุผลว่าชาวต่างชาติสามารถตอบสนองความต้องการทางวัตถุ และเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่และฐานะที่
ดีขึ้นให้กับผู้หญิงไทยและครอบครัว ทำให้เกิดการยอมรับของคนในสังคมจนกลายเป็นปลูกฝังค่านิยม (มยุรา ไกร
กรงึ . 2556 : 53 - 54)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 130
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

ปจั จัยทีส่ ง่ ผลให้เกดิ การสมรสกบั ชาวตา่ งชาติ

1. ประสบการณค์ วามรกั กบั ผชู้ ายไทย
ความรักกับผู้ชายไทยที่ผิดหวังถือเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไทยตัดสินใจเลือกแต่งงาน

กับชาวต่างชาติ เพราะประสบการณ์ความรักที่ล้มเหลวกับผู้ชายไทยที่ขาดลักษณะ บางอย่างซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่น
ในการที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน เชลล์ การขาดภาวะความเป็นผู้นำ, ขาดความชื่อสัตย์ต่อภรรยา, ฝ่ายหญิงต้องแบกภาระ
ดูแลสามี และรบั ผิดชอบค่าใช้จ่ายแทนสามี เปน็ ต้น
2. การหลกี หนคี วามลำบาก

ประเด็นการหลีกหนีความลำบาก ถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไทยตัดสินใจแต่งงานกับ
ชาวต่างชาติ การที่ผู้หญิงไทยเติบโตมาในครอบครัวที่มีความยากลำบากตั้งแต่ในวัยเด็กการซึมชับถึงความเหนื่อยล้า
ของชีวิตและครอบครัว ความพยายามในการหาหนทางให้ชีวิตตนเองมีความสุข ความสบายจึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้
หญิงไทยท่ี มีฐานะยากจน ซึ่งการหลีกหนีความยากลำบากนี้มักมาในรูปของการอพยพ ย้ายถิ่นฐาน การเข้ามาทำงาน
ในพืน้ ทีศ่ นู ย์กลางของประเทศเพื่อหวังจะมชี ีวติ ความเปน็ อยู่ท่ดี ีข้นึ จนมโี อกาสไดร้ ู้จกั กับสามีชาวต่างชาติ
3. คา่ นิยมของคนในชมุ ชนทอ้ งถิ่น

การแต่งงานกับชาวต่างชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นค่านิยมของคนในชุมชนท้องถิ่นท่ีสนับสนุนให้
ลูกหลานมีสามีเป็นชาวต่างชาติ จากการบอกเล่าสืบต่อกันมาและความเปลี่ยนแปลงจากสภาพความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน
การมีต้นแบบของคนในชุมชนท่ีมีสามีเป็นชาวต่างชาติ ทำให้ผู้หญิงไทยในบางพ้ืนที่ได้รับค่านิยมของการแต่งงานกับ
ชาวต่างชาติ และในขณะเดียวกัน คนในชุมชน มีความเชื่อมั่น ว่าการมีสามีเป็นชาวต่างชาติ เป็นโอกาส ที่จะทำให้ชีวิต
ของผู้หญิงไทยสามารถช่วยเหลือครอบครัวให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้จากประสบการณ์ที่ได้รับจากญาติและคนรอบข้างที่มี
สามีเป็นชาวต่างชาติ มีฐานะและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก อีกทั้งชุมชนก็สนับสนุนและยอมรับความ
เปล่ียนแปลงท่เี กดิ ข้ึน
4.การตอบสนองความต้องการเชิงวตั ถุ

ฐานะทางเศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงไทยตัดสินใจเลือกแต่งงานกับสามีชาวต่างชาติ
เพราะชาวต่างชาติสามารถตอบสนองความต้องการทางวัตถุที่มีมูลค่าสูงได้มากกว่าผู้ชายไทย สามารถรับผิดชอบ
ภาระค่าใช้จ่ายต่าง ( ภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี สามารถตอบสนองความต้องการให้กับผู้หญิงด้วยการซื้อบ้าน
ให้อยู่อาศัย มีการสร้างบ้านหลังใหม่ให้พ่อแม่ และซื้อสิ่งของต่างๆ ให้แก่ฝ่ายหญิง ได้โดยไม่ก่อให้เกิดความลำบาก
แกค่ รอบครวั
5. โอกาสในการแตง่ งานของผู้หญิงทมี่ อี ายุมากขึ้น

เมื่อผู้หญิงไทยเริ่มมีอายุมากขึ้น การที่จะมีคู่ครองจึงมักมาพร้อมกับความกังวลใจต่อการเลือกคบกับเพื่อน
ต่างเพศ เพราะผู้ชายไทยส่วนใหญ่มักจำกัดเรื่องของอายุผู้หญิงไทยในการคบหาเป็นคู่ครองซึ่งแตกต่างจาก
ชาวต่างชาติที่ไม่ได้จำกัดในเรื่องของอายุ ดังนั้นผู้หญิงที่อายุมากขึ้นถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ตัดสินใจเลือก คบกับสามี
เป็นชาวต่างชาติ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 131
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

2.2.2 สาเหตุของการตัดสินใจสมรสขา้ มวัฒนธรรมของผ้หู ญงิ ไทย
จากการรวบรวมแนวคิดทฤษฎีที่กล่าวถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสมรส และได้สังเคราะห์กรอบแนวคิด

เรื่องเหตุผลในการสมรสจากทฤษฎีความเกี่ยวเนื่องหรือการแลกเปลี่ยนทางสังคม (Interdependence or Social
Exchange Theory) ของ Kelly และ Thibaut (1978; 1979 อ้างถึงใน Weiten, et al. 2009 : 248-249) แนวคิด
เรื่องการตัดสินใจสมรสของ Dixon (1971 อ้างถึงใน United Nations 1988 : 12)Fawcett (1974 อ้างถึงใน United
Nations 1988 : 13) และ United Nations (1988 : 13-14) และทฤษฎีปัจจัยผลักดันและปัจจัยดึงดูด (Push and
Pull Factors) ของ Stein (1975 อ้างถึงใน Weiten, et al. 2009 : 271) และแบ่งเหตุผลของการสมรส ออกเป็น 2
ประเภทหลัก คือ เหตุผลด้านบุคคล (Individual Factors)และเหตุผลด้านสังคม (Social Factors) ดังรายละเอียด
ต่อไปน้ี

1. เหตุผลด้านบุคคล (Individual Factors)
ในเหตผุ ลด้านบคุ คล (Individual Factors) ผวู้ จิ ัยไดแ้ บ่งประเภทยอ่ ยออกเป็น 3 ประเภท ดังน้ี

เหตุผลดา้ นจติ วิทยา (Psychological Factors)
หมายถึง ความต้องการของบุคคลเองที่จะสมรส (United Nations 1988 : 44; Chang, and Chan 2007 :
61) เกิดจากความคิดและความเชื่อของบุคคลโดยมีแรงจูงใจหลากหลายสาเหตุ เช่น เชื่อว่าจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวก็ต้อง
มีครอบครัว ความต้องการมีบุตร ความต้องการให้มีผู้ดูแลยามชรา และความคิดเห็นต่อความสัมพันธ์ระหว่างตนและ
คนรักวา่ พัฒนาจนมน่ั ใจกนั กระทั่งคิดว่าควรแกเ่ วลาท่ีจะสมรสกันแล้ว (Chang,and Chan 2007 : 61) เปน็ ตน้
เหตผุ ลดา้ นชวี วทิ ยา (Biological Factors)
หมายถึง พัฒนาการทางร่างกายเพื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ุ สังคมที่เด็กเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เร็วจะมีค่าเฉลี่ยอายุ
เมื่อสมรสครั้งแรกน้อย (Udry, and Cliquet 1982 อ้างถึงใน United Nations 1988 : 44) และในอีกทางหนึ่งเมื่อ
คนเราอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศหญิง ภาวะการเจริญพันธุ์ก็จะลดน้อยลงจนหมดไปทำให้ไม่สามารถมีบุตร
ได้ ผู้ทตี่ อ้ งการมบี ุตรจึงตอ้ งพยายามสมรสใหท้ ันการณ์

เหตผุ ลดา้ นการศกึ ษาและสถานภาพทางเศรษฐกิจของประชากร
ระดับการศึกษาที่แตกต่างกันยังทำให้บุคคลมีทัศนคติต่อการสมรสแตกต่างกัน โดยผู้ที่มีการศึกษาน้อยจะ

ยอมรับการสมรสแบบประเพณีนิยมเก่าได้มากกว่า (ภัสสร ลิมานนท์ 2529 : 132) การศึกษาและเงินเดือนที่สูงขึ้น
ผลักดันให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น (McLaughlin, Lichter, and Johnston 1993 : 829; United Nations
1988 : 19-22; Limanonda 1979 : 8-1 1) และความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจระหว่างหญิงและชายที่มีมากขึ้น ทำให้
ความจำเป็นในการสมรสเมื่ออายุน้อยเพื่อให้ผู้ชายเลี้ยงดูนั้นลดน้อยลงไป (Farley, and Bianchi 1987 อ้างถึงใน
McLaughlin, et al. 1993 : 829; Preston, and Richards 1975 อา้ งถงึ ใน McLaughlin, et al. 1993 : 829; Ermisch
1981 อา้ งถึงใน United Nations 1988 : 22)

2. เหตผุ ลด้านสงั คม (Social Factors)
เหตผุ ลทางสงั คม สามารถแบง่ ยอ่ ยออกเปน็ 5 ประเภท ดังน้ี
อิทธิพลจากคนสนทิ (Influential Individuals)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 132
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

หมายถึง อิทธิพลจากคนในครอบครัว เช่น พ่อแม่ และญาติพี่น้อง อิทธิพลจากคนรักและครอบครัวของคน
รัก และอิทธิพลจากเพื่อน เช่น การบังคับจากครอบครัว หรือพื้นฐานครอบครัวที่ขัดสนมักทำให้ผู้หญิงสมรสเร็วเพื่อใช้
สถานะทางเศรษฐกิจของฝ่ายชายช่วยค้ำจุนครอบครัวของตน หรือคำกล่าวจากคนในครอบครัวว่า อยากเล้ียงหลาน
อ ย า ก ม ี ผ ู ้ ส ื บ ท อ ด ส ก ุ ล เ ป ็ น ต ้ น ( Chang, and Chan 2 0 0 7 : 5 6 ; Limanonda 1 9 7 9 : 5 ; Cherlin, and
Chamratrithirong 1986 : 23; Stein 1975; 1976 อ้างถึงใน Weiten, et al. 2009 : 271; McLaughlin, et al. 1993
: 829) การเห็นตัวอย่างจากเพื่อนที่มีครอบครัว มีลูก ตนจึงอยากมีบ้าง (Stein 1975; 1976 อ้างถึงใน Weiten, et al.
2009 : 271; Chang, and Chan 2007 : 61) หรอื แม้กระทงั่ ความกดดันจากคูร่ กั ท่ตี ้องการสมรส

ข้อกำหนดทางกฎหมาย (Civil Laws)
เชน่ ผู้ทจ่ี ะสมรสตอ้ งมีอายุ 17 ปบี รบิ ูรณ์ข้ึน ตอ้ งมีคู่สมรสเพยี งคนเดยี วเทา่ นั้น และ การสมรสที่

ถูกตอ้ งตามกฎหมาย หมายถึง การจดทะเบยี นสมรสเทา่ นนั้ เป็นต้น

ทศั นคติ และค่านิยมของสังคมต่อการสมรส (Social Norms)
หมายถึง ค่านิยมของสังคมเกี่ยวกับอายุที่เหมาะสมในการสมรส และคู่ครองที่พึงประสงค์ (UnitedNations
1988 : 26)

ตลาดการสมรส (Marriage Market)
หมายถึง กลุ่มประชากรทีอ่ ยู่ในเกณฑ์อายุท่สี มรสได้ มีสถานภาพโสด และตอ้ งการสมรส (Louis Henry 1972

อ้างถึงใน United Nations 1988 : 46) หญิงและชายจะเลือกคู่ครองที่มีคุณลักษณะท่ี ตนต้องการภายในกลุ่มนี้
(Dixon 1971 อา้ งถงึ ใน United Nations 1988 : 13)

ลกั ษณะชุมชนทอี่ าศยั และสถานการณ์ในสงั คม
ประชากรในสังคมเมืองและสังคมชนบทจะมีโอกาสทางการศึกษา การเงิน และสภาพเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน
ผู้ที่อาศัยในเขตเมืองมีสัดส่วนการสมรสน้อยกว่าผู้ที่อาศัยในเขตชนบท (United Nations 1988 : 19; Limanonda
1979 : 10; 1983 : 25; McLaughlin, et al. 1993 : 827)

2.2.3 กระบวนการเขา้ ส่กู ารสร้างครอบครวั ข้ามวัฒนธรรม
เส้นทางการเข้าส่กู ารสมรสข้ามวฒั นธรรมมหี ลายเส้นทาง ไดแ้ ก่
1. การพบรกั ดว้ ยการนำพาของโชคชะตา
2. การตดิ ตอ่ ผ่านเครอื ขา่ ย
3. การไปทำงานตา่ งประเทศ
4. การแสวงหาตามแหล่งท่องเทยี่ ว
5. การติดตอ่ ผ่านเอเยน่ ต์

การสมรสกับชาวตะวันตกส่วนใหญ่เป็นความตั้งใจที่จะแสวงหาสามีชาวต่างชาติ และมีการใช้ช่องทางหลาย
ช่องทาง จากการวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่เข้าสู่การสมรสแม้ว่าจะมีสภาพในการดำรงชีวิตที่ลำบาก แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่จน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 133
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

ที่สุดของชุมชน ภายหลังจาการเข้าสู่การสมรส ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบุคคลของครอบครัวโดยเฉพาะทรัพยากรทาง
วตั ถุ และการเปลยี่ นสถานภาพทางสังคมและวัฒนธรรมอยา่ งเห็นไดช้ ดั

การสมรสกับชาวต่างชาติ เป็นเรื่องที่ชุมชนให้การยอมรับและมิได้มีการกีดกัน หรือมีทัศนะในทางลบต่อการ
สมรส และผู้หญิงที่สมรสกับชาวต่างชาติ ชุมชนไม่ค่อยพอใจกับการประพฤติตัวในบางด้าน อย่างเช่นการแต่งกาย
หรือการเล่นการพนันของผู้หญิงที่สมรสกับชาวตะวันตก กลุ่มผู้หญิงที่สมรสกับชาวตะวันตก ให้คุณค่าในเรื่องสิทธิ
และเสรีภาพของปัจเจกชน ต่างก็ยังดำรงความสัมพันธ์กับครัวเรือนและชุมชนอย่างดีต่อไปและในบางด้านพบว่า
ความสัมพันธม์ มี ากข้ึน (พุทธชาติ แผนสมบุญ. 2561 : 260)

จุดเริ่มต้นการเข้าสู่กระบวนการสร้างครอบครัวข้ามวัฒนธรรม อาจจะมีหลากหลายสาเหตุแตกต่างกันไปแต่
เมื่อพิจารณาแล้ว สาเหตุที่สำคัญที่สุด คือ เงินหรือการต้องการความเป็นอยู่ที่ดี ส่วนสาเหตุอ่ืน ๆ เป็นประเด็นรอง
ได้แก่ การแนะนำจากเพื่อน คนรู้จักชักนำจึงตัดสินใจที่จะเปิดใจ เพราะมองเห็นความเป็นอยู่ของเพื่อนดีขึ้นซึ่ง
สอดคล้องกับงานวิจัยของ ปรัชญานันท์ เวียงนนท์ (2548, 1) เรื่องเขยฝรั่ง พบว่า หญิงไทยที่แต่งงานกับชาย
ต่างชาติได้รับการดูแลเหมาะสม มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบาย ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกตลอดจน
ความคล่องตัวในด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งได้รับการยอมรับและได้รับโอกาสทางสังคม เพราะหญิงไทยที่สมรสกับ
ชาวต่างชาติ สว่ นใหญไ่ ดร้ ับการดูแลจากสามีอย่างสมเกยี รติ เพราะสงั คมตะวันตกใหค้ วามสำคญั เร่ืองน้สี งู มาก

การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงไทยกับชาวต่างชาติ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ กลุ่มที่มี
ความตงั้ ใจที่จะมสี ามเี ปน็ ชาวตา่ งชาติ และกล่มุ ท่ีไมม่ คี วามต้งั ใจทจ่ี ะมีสามเี ปน็ ชาวตา่ งชาติ

1. กลุ่มที่มีความตั้งใจทจี่ ะมีสามีเป็นชาวตา่ งชาติ ได้แก่ กลุ่มท่ใี ช้สาเหตุความเบือ่ หน่ายพฤติกรรม
ชายไทย ความเป็นอยู่ฝืดเคือง ปมด้อยในรูปร่างหน้าตา และความชอบส่วนตัวจะมีพัฒนาการของการกลายเป็นภรรยา
ชาวต่างชาติในลักษณะที่คล้ายคลึงกันเป็นกลุ่มที่มีการวางแผน เพื่อที่จะหาวิธีการในการมีสามีเป็นชาวต่างชาติด้วย
วธิ ีการตา่ งๆ อาทิ

- ฝกึ เรียนภาษาอังกฤษ เพ่อื จะไดส้ ือ่ สารกบั ชายชาวตะวันตกไดต้ ลอดจนตดิ ต่อสอื่ สารผ่าน
โทรศพั ทแ์ ละอินเตอร์เนต็

- ใช้อวัจนภาษาในการสื่อสาร เมื่อมีโอกาสได้เข้าไปใกล้ชิดกับชายชาวต่างชาติ สอดคล้องกับทฤษฎีการ
ปฏสิ มั พันธเ์ ชงิ สัญลกั ษณ์ของ Meadจากหนังสอื Mind, Self and Society (1934)

- หลงั จากเร่ิมคุยกันและตกลงคบหากบั ชายชาวตะวนั ตก มีการศึกษาดใู จกนั เพียงระยะเวลาสนั้ ๆ ก่อนท่ีจะ มี
เรอ่ื งบนเตยี งเข้ามาเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการพฒั นาความสัมพนั ธ์

2. กลุ่มที่ไม่มีความตั้งใจที่จะมสี ามีเป็นชาวต่างชาติ ได้แก่ กลุ่มที่มีสาเหตุมาจากเพื่อน หรือคนรู้จักชักนำและ
การทำงานร่วมกัน จะมีพัฒนาการในลักษณะเดียวกันกับกลุ่มที่มีความตั้งใจท่ีจะมีสามีต่างชาติแต่การศึกษาดูใจกัน
ยาวนานกว่ากลมุ่ ทมี่ ีความตงั้ ใจท่จี ะมีสามเี ป็นชาวตา่ งชาติ เป็นการตกลงใชช้ วี ติ ครู่ ว่ มกนั จากความผกู พัน

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 134
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

รปู แบบการดำเนนิ ชวี ิตหญิงไทยหลงั แตง่ งาน
จากการศึกษารูปแบบการดำเนินชีวิตของหญิงที่แต่งงานกับชาวต่างชาตินั้น สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ

ดงั น้ี
1. แต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันกับสามีในประเทศไทย ตามที่ได้นำเสนอไปแล้วว่าการแต่งงานของหญิงไทยนั้นส่วน

ใหญ่ เกิดจากที่ทั้งคู่พบรักกันเนื่องจากการอพยพแรงงาน ดังนั้น เม่ือทั้งคู่แต่งงานกันจึงยังคงใช้ชีวิตในพื้นที่ทางาน
อยา่ งไรก็ตามในอนาคตนน้ั ทง้ั คู่มีแนวโน้มทจี่ ะย้ายกลบั ไปอาศัยในภูมลิ าเนาเดมิ ซ่งึ อาจจะเป็น
ของฝ่ายหญิงหรอื ฝ่ายชายขน้ึ อย่กู ับการตกลงกัน

2. แต่งงานแล้วอพยพไปอยู่ต่างแดน เป็นการไปตั้งหลักฐานที่ประเทศของสามี เนื่องจากสามีมีอาชีพอยู่ก่อน
แลว้ ที่ต่างประเทศ จงึ พาภรรยาไปอยทู่ ่นี นั่ เพื่อทำหน้าทดี่ ูแลสามี และลูก หรืออาจทำงานไปดว้ ย

3. แต่งงานแล้วแยกกันอยู่ กรณีนี้ผู้หญิงจะอยู่ที่เมืองไทย อาจจะมีงานส่วนตัวทำบ้าง เพื่อไม่ให้เหงา หรืออยู่
เฉยๆ โดยสามีจะส่งเงินมาให้ใช้จ่ายทุกเดือน แล้วมาเยี่ยมปีละ1 - 3 ครั้ง ครั้งละ 7 - 15 วัน ส่วนใหญ่ผู้หญิงมักจะวาง
อนาคตของตนเองไว้ว่าจะอยทู่ ่เี มืองไทยและสามีของเธอก็จะมาอยู่ด้วยความม่ันคงของครอบครวั

2.2.4 ปัญหา และอุปสรรคของครอบครัวข้ามวัฒนธรรม
ปัญหาของความสัมพนั ธแ์ บบข้ามวัฒนธรรม

คู่สมรสตา่ งชาตมิ ักตอ้ งเผชิญกบั อุปสรรคในชีวติ คูห่ ลายประการ เช่น
1. ตอ้ งยอมรับความแตกตา่ งทางศาสนา
2. ต้องสูญเสียความเปน็ ตวั เอง
3. ต้องถกเถยี งเรอ่ื งเลก็ ๆน้อยๆทุกวัน ไม่วา่ จะเปน็ เรอื่ งอาหาร ความสะอาด มาตรฐานพธิ ีกรรม
4. ความเห็นทีไ่ ม่ตรงกันต่อความหมายของคำวา่ ความรกั ครอบครวั และความสัมพนั ธ์
5. วิธแี กไ้ ขความขดั แย้งที่ต่างกัน
6. ครอบครัวทีไ่ มส่ นบั สนนุ
7. ลกู ๆท่ีเติบโตในประเทศหนึ่ง ย่อมไม่รจู้ กั ญาตใิ นอีกประเทศหนง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ ช่องวา่ ง
8. คสู่ มรสฝ่ายทเ่ี ป็นตา่ งชาตอิ าจถกู มองอย่างมอี คติ
9. ความขัดแย้งในไลฟ์สไตล์ คือการถกเถียงในเรื่องต่าง ๆ ประจำวัน ความไม่ลงรอยนี้อาจจะทำให้เกิดความ
ขุ่นเคืองเพราะฝ่ายหน่ึงรู้สึกว่าวัฒนธรรมของตัวเองถูกปฏิเสธหรือถูกท้าทาย เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมทำตามขนม
ธรรมประเพณที ีต่ นเองเชอ่ื
10. อปุ สรรคด้านภาษา
11. การรูส้ กึ สูญเสยี อัตลักษณข์ องตน

อุปสรรคทเ่ี กิดขน้ึ พรอ้ มกบั การสร้างครอบครัวขา้ มวัฒนธรรม
1. จะต้องมีการย้ายถิ่นฐานของสมาชิกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของครอบครัวข้ามวัฒนธรรมไปอยู่ต่างประเทศเป็น

การถาวร ซึง่ หมายความว่า จะไมไ่ ด้ใชช้ วี ติ ร่วมกับสมาชกิ ครอบครัวในบา้ นเกิด
2. โอกาสท่จี ะไดป้ ฏิบัตติ ามขนบธรรมเนียม ประเพณี กจิ กรรมงานฉลองประจำชาตจิ ะน้อยลงไป
3. ลูกที่จะเกิดมา หรือลูกที่ติดเรามา จะต้องละทิ้งวัฒนธรรมไทยบางส่วนและต้องรับเอาวัฒนธรรมของ

ประเทศใหม่

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 135
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

4. การยา้ ยถ่นิ ฐานครอบครวั อยา่ งถาวร อาจตอ้ งเผชิญกบั ดนิ ฟา้ อากาศที่ไม่เหมอื นกับประเทศดั้งเดิม
5. ต้องอยู่บนความแตกต่างของวัฒนธรรม เช่น อาหารที่ไม่คุ้นเคย ลักษณะการแสดงออกของผู้คน การให้
คณุ ค่าดา้ นอาชีพการงานแตกตา่ งกัน ภาษาท่แี ตกต่าง ฯลฯ
6. ไปเริม่ นบั หนง่ึ ใหม่ เชน่ ด้านการศึกษาและ การประกอบอาชีพใหม่
7. การแต่งงานกับคนต่างชาติผิวขาวหรือผิวดำ อาจหมายความว่า ผู้หญิงไทยต้องเผชิญกับการดูถูกด้านสี
ผิว เช่น ชาวต่างชาติมองว่าผู้หญิงไทยเป็นคนผิวเหลือง(คนเอเชีย) คนไทยบางกลุ่มเรียกชาวต่างชาติที่มีผิวดำของว่า
นโิ กร

2.2.5 การปรบั ตัว และการแก้ไขปัญหาของครอบครัวขา้ มวัฒนธรรม
แนวทางในการปรบั ตัวในการอยรู่ ว่ มกันของคู่สมรสข้ามวฒั นธรรม

1. การปรับตวั ต่อการใช้ชีวติ ในต่างแดน
การใช้ชีวิตร่วมกัน ความแตกต่างทางสภาพภูมิประเทศทำให้ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายที่ตัดสินใจย้ายถิ่นฐาน

ต้องเรียนรู้วัฒธรรมต่างชาติเพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตคู่ในต่างแดนได้อย่างมีความสุข จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับความ
เปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม เช่นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศ สภาพสังคม การปรับตัวให้เข้ากับ
ความสมั พนั ธ์ในสงั คมใหมๆ่ ปรบั ตัวให้เขา้ กบั สมาชิกในครอบครวั ของอกี ฝ่าย เป็นตน้
2. การปรบั ตวั ในเรอ่ื งของภาษา

ความแตกต่างทางเชื้อชาติย่อมส่งผลต่อภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้หญิงไทยกับสามีชาวต่างชาติ
ดังนั้นเพื่อให้สามารถสื่อสารได้อย่างเข้าใจในความหมายที่ตรงกัน การเรียนรู้ภาษาจึงมีความสำคัญต่อการปรับตัว ซ่ึง
ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้แค่ฝ่ายเดียวแต่เป็นการแลกเปลี่ยนภาษาระหว่างทั้งสองฝ่ายเพื่อให้เกิดความเข้าใจกันมาก
ยิง่ ขนึ้

3. การปรบั ตัวของสามีชาวตา่ งชาติ กบั วัฒนธรรมท้องถนิ่ ไทย
วัฒนธรรมในท้องถิ่นไทยมีความหลากหลายแตกต่างกันไปและเมื่อชาวต่างชาติ เข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทย

หรือใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงไทยจะต้องพยายามปรับตัว เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นไทยเพื่อให้เกิดการยอมรับของคนใน
ชุมชน เช่น เรื่องของการรับประทานอาหาร การปรับตัวต่อประเพณีวัฒนธรรม การปรับตัวต่อกิจกรรมใน
ชวี ิตประจำวนั เป็นต้น

วธิ กี ารปรบั ตัวของคู่สมรสข้ามวฒั นธรรม
1. เข้าอกเข้าใจ เคารพ และ ประนีประนอม ต้องมองชีวิตคู่ว่าเป็นการผสานกันของสองวัฒนธรรม ไม่ใช่ฝ่ายที่

ย้ายมาจากที่อื่นต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเพียงฝ่ายเดียว เคารพความแตกต่าง เรียนรู้สิ่งที่ต่าง และประนีประนอมได้
เพ่ือให้ทั้งสองฝ่ายมีความสุข การครองคู่ควรจะเป็นเรื่องของการหาสมดุลที่สะดวกใจต่อทั้งสองฝ่าย ถ้าฝ่ายหนึ่งไม่
พยายามมากพอ รอยร้าวกจ็ ะเร่ิมข้ึนได้

2. เข้าถึงวัฒนธรรรมของแต่ละฝ่ายโดยทางตรง ไปเยี่ยมประเทศของแต่ละฝ้าย เรียนรู้ภาษาของอีกฝ่ายหน่ึง
และอ่านศึกษาเกี่ยวกับศาสนาและประวัติศาสต์ทางวัฒนธรรม ใช้ความพยายามที่จะเข้าใจและลองใช้ชีวิตในแบบของ
อีกฝ่ายหน่ึง เพอ่ื ให้เข้าใจและมปี ระสบการณร์ ว่ ม

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 136
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

3. สอนลูกๆให้เข้าใจทั้งสองวัฒนธรรม พ่อแม่ที่มีพื้นฐานต่างกันจะร่วมสร้างอัตลักษณ์ที่เข้มแข็งให้กับลูกๆได้
อย่างไร ควรสอนบุตรให้เข้าใจวัฒนธรรมทั้งสองด้าน เน้นการอยู่ร่วมกัน และนำเอาสิ่งที่ดีจากทั้งสองวัฒนธรรมมาใช้
ในการเลี้ยงบุตร การเลี้ยงลูกควรจะใช้ทั้งสองภาษาเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก ว่าพ่อหรือแม่พูดภาษาใดภาษา
หนึ่งกับลกู ไมไ่ ด้

4. มองโลกในแง่บวกเกี่ยวกับความแตกต่างของทั้งคู่ การได้เห็นชีวิตในหลายๆแง่มุมถือเป็นประสบการณ์ที่
สมาชิกในครอบครัวทั้งสองจะได้เรียนรู้จากกันและกันมากมาย มองความ "ไม่เหมือน" นี้เป็นสิ่งดีที่ช่วยทำให้ชีวิตคู่
แกรง่ ขน้ึ

การแกไ้ ขความขัดแยง้ ในกรณคี ู่สมรสตา่ งวฒั นธรรม
1. อารมณข์ ัน ช่วยให้คนสองคนเปดิ ใจกัน และมองปญั หาในมมุ ท่ีดขี ้นึ
2. การปรับตัว โดยทั่วไปหญิงไทยมักจะย้ายไปต่างประเทศกับสามี จึงเป็นฝ่ายต้องเรียนภาษา ปรับตัวเข้ากับ
ขนบธรรมเนียม และทัศนคติของอีกฝ่าย เพื่อให้การครองคู่ไปกันรอด แม้ในกรณีสามีฝรั่งเลือกอยู่ประเทศไทย ฝ่าย
หญิงไทยกย็ ังต้องปรับตวั เช่น ทำอาหารฝรง่ั เขา้ สงั คมฝรงั่ ตามสามี
3. การหลอมกลืนเรื่องคุณค่าและความคาดหวัง หาจุดร่วมในด้านความเชื่อและคุณค่าในวัฒนธรรมของแต่ละฝ่าย
เป็นตวั กลางสร้างสขุ การเรียนรูใ้ หเ้ ขา้ ใจ ความเขา้ ใจ และการประนีประนอม
4. ชื่นชมวัฒนธรรมที่หลากหลาย การมีความสนใจร่วมกันเรื่องมนุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ การค้นพบหมายถึง
ความสัมพันธ์ที่มีพลวัตรของความอยากรู้อยากเห็น คู่ครองแต่ละฝ่ายก็ย่อมยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ของอีกฝ่าย ซ่ึง
ทำให้ชวี ิตคู่ราบรื่น และเป็นโลกทัศน์ของท้ังสองฝ่ายไปพรอ้ มกัน

2.2.6 ผลกระทบจากการแต่งงานของหญงิ ไทยกบั ชาวตา่ งชาติ
สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ดา้ นดงั นี้

1. ดา้ นเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นเนื่องจากมาจากการใช้จ่ายของคู่สมรสชาวต่างชาติในเขตพื้นท่ี ภาคอีสาน พบว่าผู้หญิง

อีสานจะโอนงินกลับมาให้ครอบครัว ประมาณเดือนละ 9,600 บาท ขึ้นไปในทุกรอบ 1 ปี ผู้หญิงอีสานจะเดินทางกลับมา
เยี่ยมพ่อแม่และญาติพี่น้องในประเทศไทยเป็นประจำ ซึ่งมีการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ ไม่
ว่าจะเป็นอาหารเครื่องดื่ม เสื้อผ้าของใช้ สิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น จะ
ถูกซื้อหามาใช้มากขึ้น ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวมีจานวนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายในสถานบันเทิงและอื่นๆ
เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยประมาณ เฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่เดือนละประมาณ 126,000 บาท ต่อครอบครัว
ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ครอบครัวที่มีการใช้จ่ายสูงสุดถึงเดือนละ 1,000,000 บาทนั้น เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อซ้ือที่ดิน และ
ก่อสร้างบ้านอย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของกลุ่ม คู่สมรสชาวต่างชาติในเขตภาคอีสานพบว่า จะมีผลทำให้ผลิตภัณฑ์
มวลรวมของภาคอีสาน เพิ่มสูงขึ้นรวมทั้งสิ้นกว่า 8,666 ล้านบาท โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสาขาเศรษฐกิจการ
ขายส่ง การขายปลีก การซ่อมแซมยานยนต์จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือนสูงสุดกว่า 4,569
ล้านบาท ส่วนผลกระทบต่อการจ้างงานนั้นพบว่ามีผลทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นทุกสาขาเศรษฐกิจ รวมทั้งสิ้น
747,094 คน

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 137
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

พัชรินทร์ ลาภานันท์ (2549 . 1 - 33) ได้ตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ผู้หญิงมักมีภาระต้องสนับสนุนการเงินแก่
ครอบครัวในเมืองไทย ความลังเลที่จะสื่อสารความรับผิดชอบดังกล่าวกับสามี มักเป็นเหตุที่สร้างความกดดันให้กับ
ผู้หญิง แต่ถึงอย่างไรผู้หญิงเหล่านี้ก็จะไม่ละทิ้งความรับผิดชอบต่อครอบครัวในเมืองไทยการสั่งเงินกลับ ทำให้
ครอบครัวสามารถไถ่ถอนหน้ีสินรวมท้ังใช้เป็นทุนการศึกษาของบุตรหรือสมาชิกอื่น บางครอบครัวใช้ซ่อมแชมสร้าง
บา้ น จนได้รบั ความสะดวกสบายในการดารงชพี เพิ่มขนึ้

สรุปได้ว่าผู้หญิงอีสานที่แต่งงานกับชาวต่างชาติไม่ว่าจะอยู่ที่ต่างประเทศหรือมาอยู่ในเมืองไทย ล้วนแต่ทำ
ประโยชน์ให้กับประเทศชาติในด้านเศรษฐกิจทั้งนั้นทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวเดิมในเมืองไทยดีขึ้น
รวมทัง้ ธรุ กจิ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็มกี ารขยายตวั เพม่ิ ขึน้ เปน็ เงาตามตวั จงึ ถือวา่ เปน็ ผลดตี ่อเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

2. ดา้ นสงั คม
จากการที่หญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติ ก่อให้เกิดค่านิยมใหมในสังคมไทยขึ้น นั่นคือ ค่านิยมในการเลือก

คู่ครองของหญิงไทยในยุคปัจจุบันว่าใช้อะไรเป็นกณฑ์ในการตัดสินใจ ปรากฏว่าเลือกเพราะฝ่ายชายมีฐานะร่ารวยติด
อันดับที่ 1 รองลงมาคือการศึกษาอาชีพ หน้าตา มีอารณ์ขัน ไม่มีพี่น้องหลายคน เป็นต้น ส่วนความรักติดอันดับท่ี 9
(กฤษณา พนั ธวุ์ านชิ . 2547 : 5, อ้างใน ประพทั ธ์ ธรรมวงศา. 2554)

นอกจากนี้ความเชื่อในเรื่องความบริสุทธิ์ของผู้หญิงก็ถูกท้าทายเป็นอย่างมากจากผู้หญิงในสังคมไทย จึง
ส่งผลให้หญิงไทยส่วนหนึ่งก้าวสู่การแต่งงานกับชายต่างชาติอย่างเต็มใจประกอบกับเห็นความล้มเหลวของการแต่
งานกับชายไทย ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างชายไทยกับชายต่างชาติมากขึ้น เพราะชายต่างชาติช่วยเพิ่มคุณค่า
ของความเป็นผู้หญิงด้วยการไม่ยึดติดกับอดีตและพรหมจรรย์ของผู้หญิง แม้ว่าจะเคยเป็นหม้ายและมีลูกติดมาก่อน
(พชั รินทรล์ าภาพนั ท.์ 2549 : 15)

นอกจากนี้ครัวเรือนที่หญิงแต่งงานกับต่างชาติ ซึ่งประสบความสำเร็จทางวัตถุแล้ว จะได้รับการยกย่องการ
นับหน้าถือตา จากชุมชนและสังคม สถานภาพก็ปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจากเดิมที่เคยเป็นมา เพราะหญิงเหล่าน้ี
มักจะรว่ มทำบญุ บำเพญ็ กุศล และรว่ มพฒั นาทอ้ งถิน่ ชุมชนเปน็ อยา่ งดี (บัวพันธ์ พรหมพกั พงิ . 2548 : 42)

แต่สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อสังคมชนบทโดยตรงก็คือ หญิงที่แต่งานกับสามีชาวต่างชาติแล้วต้องเดินทางไปอยู่กับ
สามีที่ต่างประเทศเป็นเวลานานนาน ก็มักจะพบกับความคิดถึงบ้าน ความห่างเหินกับเครือญาติการขาดแคลนที่จะปรับ
ทกุ ข์หรือปรึกษาปญั หาต่างๆ แต่ถา้ เปน็ กรณีทห่ี ญงิ ไทย และชายต่างชาติมาต้ังหลักแหล่งอาศยั อยใู่ น
เมืองไทย ความห่างเหนิ กจ็ ะลดน้อยลงไป (ชัยพล พลเยีย่ ม. 2542 : 52)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหญิงเหล่านี้จะได้รับการยกย่องจากชุมชนของไทยเราในสังคมวงกว้างของต่างประเทศที่
ไปอาศัยอยู่ ผู้หญิงเหล่านี้บางครั้งบางคนก็ยังไม่ได้รับการยอมรับและถูกมองอย่างดูถูก โดยเฉพาะถ้าไม่สามารถพูด
ภาษาของประเทศเขาได้ แต่สาหรับในเมืองไทยเราเมื่อก่อนอาจจะถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามดูถูก แต่ในปัจจุบันนี้
หญิงที่แต่งงานกับชาวต่างชาติต่างเป็นที่น่าอิจฉาของคนทั่วไป หญิงไทยอีกจานวนไม่น้อยใฝ่ผันที่จะมีชายผมทองท่ี
แสนจะเปน็ สภุ าพบรุ ษุ มาสนใจตนเองบา้ ง นคี่ อื สง่ิ ที่เปลยี่ นแปลงในสังคมไทย

3. ด้านวฒั นธรรม
รัตนา บุญมัธยะ (2548 : 33-35) กล่าวว่าหญิงไทย และสามีชาวต่างชาติต่างก็เข้ามาพักอาศัยอยู่ใน

เมืองไทย มีจำนวนมิใช่น้อยด้วยเหตุผลต่างๆ กัน ดังนั้นเม่ือชาวต่างชาติเหล่านี้อยู่ในเมืองไทย ก็จะมีความผูกพันกับพี่

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 138
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

น้องครอบครัว เครือญาติ เพื่อนบ้านและชุมชนของผู้หญิงจากหมู่บ้านชนบทอีสานมีการปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรมไทย
ท้องถิ่น ทำให้ชาวต่างชาติรู้ถึงแรงผลักดันทางด้านจริยธรรมต่อครอบครัวของฝ่ายหญิง เช่น ความเป็นลูกกตัญญู
ทาหน้าที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ที่ยากจนในหมู่บ้าน สำนักของความเป็นแม่ที่ดีที่จะต้องส่งเสียเลี้ยงดูลูกๆ ของตนเอง
สำนึกของความเป็นชุมชนท้องถิ่น เช่น การทำบุญผ้าป่าและบุญกฐิน การสร้างพระหรือต่อเติมพระอุโบสถ ซึ่งหลาย
ครั้งก็มีการแข่งขันกันเองในบรรดาภรรยาฝร่ังว่าใครจะระดมทุนได้มากกว่าใคร เนื่องจากเงินทุนได้กลายเป็น
สญั ญาณของความมีศกั ด์ศิ รแี ละความมีหนา้ มตี าของพอ่ แม่พ่นี ้องในแต่ละครัวเรือนไปแล้ว

นอกจากนี้ภรรยาฝรั่งบางคนยังได้มอบเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาของเด็กนักเรียนยากจนหรือจัดซื้ออุปกรณ์
การศึกษาให้โรงเรียนในหมู่บ้าน บางรายก็สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์สานักงานให้องค์การบริหารส่วนตำบลและสำนักงาน
อำเภอในเขตพื้นที่ชุมชนตนเอง อีกสิ่งหนึ่งที่ภรรยาฝรั่งรับอิทธิพลมาจากตะวันตกก็คือการสร้างบ้านแบบสมัยใหม่ คือ
นิยมสร้างบ้านท่ีก่ออิฐถือปูน เป็นอาคารหนึ่งหรือสองชั้นมีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวและมีรั้วรอบขอบชิด แบบบ้าน
สมัยใหม่ แต่ยังมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมชุมชนเดิมอยู่เช่น ห้องครัวแบบฝรั่งแต่ยังชอบครัวนอกบ้านด้วยเตา
ถ่านหรือน (เนื่องจากการทำอาหารอีสานต้องมีปิ้งย่าง เหมาะที่จะทำกับครัวโล่ง กลิ่นจะไม่อบอวลอยู่ในบ้าน มีโต๊ะ
อาหารรวมอยู่ในห้อง แต่ยังนิยมปูเส่ือนั่งกินอาหารล้อมวงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแบบสไตล์ลูกทุ่งอีสานมากกว่า
การนั่งกินที่โต๊ะและใช้มีด ช้อน ส้อม หรือกินอาหารจานเดี่ยวเฉพาะตัวแบบวัฒนธรรมยุโรปตะวันตก ขณะเดียวกัน
อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกก็ยังถูกนามาใช้อีก เช่น การใช้ห้องน้า ภรรยาฝรั่งหลายคนพยายามส่งเสริมให้พ่อแม่
ผู้ชราใช้ห้องน้าสมัยใหม่ แบบชักโครกที่ไม่มีพื้นเปียกแฉะ เพื่อป้องกันไม่ให้ลื่นหกล้มในห้องน้า ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึง
แก่ทุพพลภาพได้

บัวพันธ์ พรหมพักพิง (2548 : 51 - 57) ได้ศึกษาว่า การแต่งงานของหญิงไทยในความรู้สึกของคนเฒ่าคน
แก่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะบอกว่ามีความแตกต่างจากอดีตสมัยที่ตนเป็นหนุ่มสาว เพระในอดีตการตัดสินใจทั้งหมดจะ
อยู่ที่พ่อแม่ ลูกสาวในสมัยนั้น ถึงแม้ว่าจะคบหาดูใจอยู่กับใครก็ตามจะต้องให้พ่อแม่รับรู้และช่วยพิจารณาว่าผู้ชายคน
นั้นป็นคนดีและมีความรับผิดชอบสามารถที่จะทามาหากินเลี้ยงดูลูกสาวของตนเองได้หรือไม่ จึงจะอนุญาตหรือ
ตัดสินใจให้แต่งงานกับผู้ชายคนนั้น ลูกสาวจึงสามารถแต่งงานได้ แม้ว่าบางคนที่คบหากันมานานแต่หากพ่อแม่ไม่
อนุญาตก็จะต้องเลิกกันไปแต่งงานกับคนที่พ่อแม่เลือกให้ อำนาจในการตัดสินใจในการแต่งงานสมัยก่อนจึงขึ้นอยู่กับ
พ่อแม่

ผลกระทบของการสมรสข้ามวฒั นธรรมของคนไทยที่มีตอ่ เดก็ สถาบนั ครอบครวั สงั คม และวฒั นธรรมไทย
การสมรสข้ามวัฒนธรรมส่งผลให้เกิดความอ่อนแอและขาดความเป็นเอกลักษณ์ทางด้านการใช้ภาษากับเด็ก

รุ่นใหม่ที่เป็นลูกครึ่ง ดังจะเห็นได้จากพ่อแม่มีการใช้ภาษาอังกฤษปนภาษาไทยในการสื่อสารกับบุตรมากขึ้น ทาให้บุตร
หรือเด็กรนุ่ ใหมส่ บั สนในการใชภ้ าษาและไม่มคี วามคลอ่ งหรือเชี่ยวชาญภาษาใดภาษาหนงึ่

ครอบครัวข้ามวัฒนธรรม ถือเป็นปรากฎการณ์ท่ีสะท้อนปฏิสัมพันธ์ที่ชับซ้อนของโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
สังคม วัฒนธรรม และทัศนคติที่ถูกหล่อหลอมด้วยวิถีการดาเนินชีวิตแบบใหม่ที่เข้ามาพร้อมกับกระแสโลกาภิวัตน์
ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวรูปแบบใหม่ที่มีความชับซ้อนมากกว่ารูปแบบที่เคยเป็นมาในอดีต
ปรากฏการณ์การสร้างครอบครัวของหญิงไทยในชนบทกับคู่สมรสชาวต่างประเทศโดยเฉพาะชาวยุโรปและอเมริกา ใน
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ถอื เปน็ ค่านิยมใหมใ่ นการสร้างครอบครวั และมจี ำนวนเพิ่มสงู ขน้ึ

ปรากฏการณ์การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมภายในครอบครัวของคนไทยภาคใต้ที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ
เป็นไปในลักษณะของการผสมผสานกันทางวัฒนธรรม เม่ือบุคคลสองคนมีที่มาต่างวัฒนธรรมกัน มาตกลงแต่งงาน

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 139
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จึงทาให้เกิดการผสมผสานกันทางวัฒนธรรมขึ้นภายในครอบครัวผ่านชีวิตประจาวัน อาทิเช่น วิถีการ
รับประทานอาหารร่วมกันภายในครอบครัว จากการศึกษาพบว่ามีการนาอาหารไทย อาหารท้องถิ่นใต้ วางบนโต๊ะอาหาร
แลว้ รับประทานรว่ มกับอาหารตา่ งชาติของคู่สมรส บางครอบครวั มกี ารเชิญชวนใหค้ ูส่ มรสชาวตา่ งชาติ
มารับประทานอาหารท้องถิ่นใต้ร่วมกันกับตน โดยมีการปรับรสชาติของอาหารไทยท้องถิ่นใต้ที่โดยส่วนใหญ่มีรสชาติ
เผ็ดร้อน ปรับรสชาติของอาหารโดยการลดระดับความเผ็ดร้อนของรสชาติอาหารลงในขณะที่ปรุงอาหารเพื่อให้ถูกปาก
คู่สมรสชาวต่างชาติให้สามารถรับประทานอาหารร่วมกันได้ส่งผลทาให้คู่สมรสชาวต่างชาติบางคนที่เคยมีทัศนคติต่อ
อาหารท้องถิ่นใต้ที่มีกลิ่นฉุนและไม่สามารถรับประทานรสชาติที่เผ็ดร้อนได้หันมารับประทานได้ในปัจจุบัน หรือการ
ผสมผสานทางด้านความเชื่อภายในครอบครัวทั้งความเชื่อในสังคมเอเชีย และความเชื่อในสังคมตะวันตก เช่น ความ
เชื่อเรื่องการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หรือการทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ของสังคมในโลก
ตะวันออก และการเชื่อมั่นในตนเอง เน้นความเชื่อที่มีเหตุผลไม่งมงายของสังคมตะวันตกหรือการใช้ภาษาที่ผสมผสาน
กันระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่น ๆ เพื่อใช้สื่อสารกันภายในครอบครัวและถ่ายทอดทักษะทางภาษาไป
ยังบุตร ส่งผลให้บุตรที่ถือกาเนิดมาจากครอบครัวที่พ่อแม่แต่งงานข้ามวัฒนธรรมมีทักษะทางภาษาอังกฤษที่ดี
สามารถสื่อสารได้หลายภาษาที่เป็นภาษาพ่อและภาษาของแม่ และคนไทยภาคใต้ที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติจะให้
ความสำคัญในเร่ืองของการสนับสนุนให้บุตรสามารถสื่อสารภาษาไทยได้โดยเฉพาะภาษาไทยท้องถิ่นภาคใต้ โดยบุคคล
เหล่านี้จะเป็นผู้สอนภาษาไทยและภาษาไทยท้องถิ่นใต้ให้แก่บุตรด้วยตนเอง หรือบางครอบครัวมีญาติพี่น้องสอนและ
สื่อสารภาษาทอ้ งถิ่นใตก้ ับบตุ รด้วยเชน่ กัน

ปรากกฎการณ์ท่ีเกิดขึ้นสอดคล้องกับแนวคิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม (Cultural Integration) ท่ี
อธิบายถึงวัฒนธรรมที่ต่างกันสองวัฒนธรรมมาพบกัน สัมผัสกันเกิดการหยิบยืมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันใช้ใน
ระยะเวลาที่สม่ำเสมอ มีผลทำให้วัฒนธรรมทั้งสองเกิดการผสมผสานกันปะปนกันแต่ยังรู้ว่าเป็นวัฒนธรรมของใคร ไม่
ปะปนกันจนแยกไม่ออก เมื่อกลับเข้าสู่วัฒนธรรมกลุ่มเดิมของตน บุคคลนั้นยังประพฤติปฏิบัติตามวัฒนธรรมเดิมของ
ตนไปตามเดิม แต่เมื่อออกมาพบปะหรือเผชิญหน้ากับคนจากวัฒนธรรมอื่นเขาจะผสมผสานวัฒนธรรมของเขาเข้ากับ
วัฒนธรรมใหม่ ที่สัมผัสกันอีก กลายเป็นวัฒนธรรมสัมพันธ์ (Ethnic Relations) ที่เกิดจากการปฎิสังสรรค์ระหว่าง
บคุ คลจากสองวฒั นธรรม (นยิ พรรณ วรรณศิร,ิ 2540: 50-52)

"คนที่ถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง" อยู่ในชุมชนบ้านเกิด อยู่ในประเทศมาตุภูมิของผู้หญิงที่ย้ายถิ่น เรื่องการย้ายถ่ิน
ข้ามชาติจากการแต่งงานไม่ได้เชื่อมโยงกับคนๆ เดียว แต่เกี่ยวข้องกับญาติพี่น้องและคนทั้งชุมชน เวลาคนในหมู่บ้าน
พูดถึงการแต่งงานกับฝรั่ง หรือการแต่งงานข้ามชาติ พวกเขาคิดและรู้สึกอย่างไร การแต่งงานมีความหมายอย่างไร
สำหรับพวกเขา แน่นอนว่า คำตอบไม่ใช่แค่เรื่องการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจเท่านั้น เรื่องนี้ยังไม่มีการศึกษาจริงๆ
จงั ๆ เลย

"สถานการณ์หลังแต่งงานกับชาวต่างชาติ" เราควรจะดูว่ามันส่งผลอะไรบ้างทั้งต่อสังคมต่างประเทศและ
สังคมไทย เพราะปัจจุบันคนเหล่านี้เริ่มจะแก่ตัวแล้ว ผู้หญิงไทยที่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ช่วงปี 1970-80 ตอนนี้
อายกุ เ็ รม่ิ เข้า 50-60 ปขี ้นึ ไป เพราะฉะนัน้ อีกหนอ่ ยจะเกดิ ชุมชนคนไทยสงู อายใุ นประเทศเหล่านี้ แม้ว่า
ประเทศตะวันตกจะมีสวัสดิการให้ แต่คำถามก็คือ คุณเข้าถึงไหม ถ้าคุณไม่ทำงานหรือจ่ายสวัสดิการสังคมไว้เลยสิ่งที่
คณุ จะไดค้ อื อะไรและเทา่ ไหร่

ส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้เดินทางกลับบ้าน บางคนสามีตายหรือเกษียณ ฉันกลับมาอยู่บ้านดีกว่า แล้วรัฐบาล
ไทยมีอะไรรองรับตรงนี้บ้างไหม ได้เอาประสบการณ์ของคนเหล่านี้มาใช้บ้างไหม มีการเตรียมความพร้อมเมื่อพวกเขา
กลับมาอยู่เมอื งไทยไหม เพราะจริงๆ แล้วคนกลุ่มนี้สง่ เงินกลบั บา้ นตลอดชีวิต 30-40 ปี สง่ มาใหพ้ ่อ

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนนู วล 140
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

แม่พี่น้องจำนวนเยอะมาก
2.3 แนวคดิ และทฤษฎี

2.3.1 ทฤษฎเี กีย่ วกบั แรงจงู ใจ
ทฤษฎีแรงจูงใจ (A Theory of Human Motivation) Maslow (1970 : 15-22) ได้อธิบายไว้ว่าพฤติกรรม
ของมนุษย์นั้นจะถูกผลักดันด้วยความต้องการที่จำเป็นตามลำดับขั้น (The Basic Need Hierarchy)ความต้องการใด
ที่เกิดขึ้นแล้ว หากไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ ความต้องการนั้นก็จะยังคงมีอยู่ต่อไปและจะไปผลักดัน
พฤติกรรมของมนุษย์ตลอดเวลาจะเป็นเหตุทำให้ความต้องการในขั้นต่อไปเกิดขึ้นได้ยากอีกด้วย แต่เมื่อความต้องการ
นั้น ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอหรืออยู่ในระดับที่มีความยากอีกด้วย แต่เมื่อความต้องการนั้นๆ ได้รับการ
ตอบสนองอย่างเพียงพอหรืออยู่ในระดับที่มีความพึงพอใจ (Satisfy) แล้วมนุษย์ก็จะมีความต้องการในขั้นอื่น ๆ อีก
ต่อไปตามลำดับ อาจกล่าวได้ว่าเมื่อมนุษย์ได้รับการตอบสนองความต้องการในขั้นต้นแล้ว มนุษย์ก็จะมีความต้องการ
ขั้นอ่ืน ๆ เข้ามาแทนท่ี หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าความต้องการในระดับต่ำเมื่อได้รับการตอบสนองแล้วความ
ต้องการในระดับสูงก็จะเข้าไปแทนที่ และจะพัฒนาขึ้นตามลำดับความต้องการที่จำเป็นเหล่าน้ีจะเรียงลำดับจากต่ำไปสู่
ระดบั สงู
ราตรี พัฒนรังสรรค์ (2544: 254) ได้ให้ความเห็นว่า แรงจูงใจ คือ ภาวะหรือองค์ประกอบที่กระตุ้นให้บุคคล
แสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาอย่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปสู่จุดหมายที่ตนเองต้องการหรือผู้ทำการชักจูง
กำหนด
เวเทน ( Weiten, 1997: 379. อ้างใน อรนุช สีตบุตร, 2554) ให้คาจากัดความของแรงจูงใจว่าเป็นความ
ต้องการ(Needs) ความอยาก (Wants) ความสนใจ (Interests) และความปรารถนา (Desire) ที่ชักจูงบุคคลใน
ทิศทางที่แนว่ แน่ หรอื การกล่าวส้นั 1 ว่าการจงู ใจกอ่ ให้เกดิ พฤติกรรมท่ีมงุ่ สจู่ ดุ ม่งุ หมาย
เวเทน กลา่ ววา่ ทฤษฎสี ว่ นใหญ่ได้แบ่งแรงจูงใจของมนุษย์ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.แรงจูงใจทางด้านร่างกาย (Biological Motives) เกิดจากความต้องการทางร่างกาย เช่น ความหิวความ
ต้องการทางเพศ ความต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสม ความต้องการขับถ่าย ความต้องการนอนหลับและพักผ่อน
ความตอ้ งการแสดงออก ความก้าวรา้ ว เปน็ ต้น
2.แรงจูงใจทางสังคม (Social Motives) เกิดจากประสบการณ์ทางสังคม เช่น ความต้องการความสำเร็จ
ความต้องการความสัมพันธ์ ความต้องการอิสรภาพ ความต้องการการดูแลปกป้อง ความต้องการมีอานาจ
ความต้องการเปน็ ที่สนใจของผูอ้ ืน่ ความตอ้ งการความมีระเบยี บเรยี บรอ้ ย ความตอ้ งการความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ

ความสำคญั ของแรงจงู ใจ
พฤติกรรมหรือการแสดงออกใด1 ของมนุษย์นั้นจะมีสาเหตุเสมอสิ่งที่เป็นสาเหตุก็คือ แรงจูงใจหรือความอยากเป็นตัว
ชี้นำ (Guide) พฤติกรรมของคนตลอดเวลา ดังนั้นการสามารถทราบกลไกการเกิดพฤติกรรมและวิธีการจูงใจย่อมทำ
ให้ผู้บริหารสามารถกระทำการสั่งการได้เหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้คนงานทุ่มเทความสามารถของตนให้เป็น
ประโยชน์ต่อองค์การจนกระทั่งองคก์ ารบรรลผุ ลสำเรจ็ ตามวตั ถุประสงค์ได้ (ธงชัยสนั ติวงษ์ 2537: 378-379)

CF 369 สัมมนาเดก็ เยาวชน และครอบครวั อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 141
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

2.3.2 ทฤษฎีการเลียนแบบ
มิลเลอร์ (Miller 1967, อ้างใน อรนุช สีตบุตร, 2554) กล่าวว่า การเลียนแบบเป็นการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คน

ขึ้นไปแสดงพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน สามารถข้ากันได้โดยใช้สื่อหรือเครื่องมือที่เหมาะสม การเลียนแบบจะเกิดขึ้นจาก
การพอใจในการเรียนรู้ ผลจากการเรยี นรู้ท่ีน่าพอใจทำใหเ้ กิดแรงขบั ในการเลียนแบบข้นึ

นักจิตวิทยาในกลุ่มพฤติกรรมนิยมมีความคิดเห็นตรงกันว่า ทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบการกระทำค่อนข้างมี
ขีดจำกัดในการอธิบายเรื่องการเรียนรู้ ดังนั้น นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้หลายคนจึงขยายการศึกษาออกไปโดยหันไปสนใจ
กระบวนการคิด ที่มีผลต่อการเรียนรู้ซึ่งเราไม่สามารถจะเห็นได้โดยตรง ผู้นำที่สำคัญคือ อัลเบิร์ต บันดูรา (Albert
Bandura โดยมีความเชื่อว่า โดยส่วนมากมนุษย์เรียนรู้โดยการสังเกตตัวแบบหรือการเลียนแบบเนื่องจากมนุษย์มี
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมในสังคม ซึ่งทั้งผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อกันแบนดูราจึงให้
ความสำคัญต่อการรู้คิด (Cognitive) ในการเรียนรู้จากการสังเกตและการเลียนแบบด้วย และต่อมาได้เปลี่ยนเรียก
ทฤษฎขี องเขาว่า ทฤษฎีการเรยี นรู้ด้วยการรู้คดิ ทางสงั คม (Social Cognitive Learning)

ขน้ั ตอนการเรียนร้โู ดยการเลยี นแบบ
1. ความใส่ใจ (Attention) การเรียนรู้ในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีความสนใจและ เอาใจใส่ต่อตัวแบบและ
กจิ กรรมของตวั แบบ เพราะทำใหส้ ามารถเกดิ แบบแผนในการเลียนแบบตัวแบบได้
2. กระบวนการจำ ( Retention) ผู้สังเกตต้องบันทึกสิ่งที่สังเกต กิจกรรมหรือข้อมูล ข่าวสารได้ ทั้งน้ีเพื่อการนำ
กลับคืนมาและใช้ต่อไป ถ้าผู้สังเกตสามารถอธิบายการกระทำด้วยการสร้างภาพในใจหรือด้วยคำพูดการสามารถ
เลียนแบบพฤตกิ รรมไดด้ ีแม้เวลาผ่านไปนาน
3. กระบวนการเลียนแบบ ( Reproduction ) คือ การนำสิ่งบันทึกไว้ในความจำมาเป็น สิ่งชี้นำในการเลียนแบบตาม
พฤติกรรมของตัวแบบ พฤติกรรมที่แสดงออก เป็นการเลียนแบบที่มีความรู้ความเข้าใจและความพร้อม ดังน้ัน
พฤติกรรมของแต่ละบุคคลอาจมีความแตกต่างกันไป แม้ว่าจะมาจากตัวแบบเดียวกันบางคนอาจทำได้ดีกว่า ทำได้แย่
กวา่ หรอื ทำได้เทา่ เทียมกันกบั ตัวแบบก็ได้
4. กระบวนการจูงใจ ( Motivation ) การจูงใจเป็นสิ่งสำคัญที่ทาให้เกิดการเลียนแบบ ผู้สังเกตจะเลียนแบบ
พฤติกรรมที่ให้ผลดีกับเขา เช่น ได้รับแรงเสริม รางวัลหรือคำชมเชย มากกว่าที่จะเลียนแบบสิ่งที่ให้โทษและมีแนวโน้มที่
จะเลียนแบบพฤติกรรมที่เขาพอใจ ดังนั้นการจูงใจและการเสริมแรงจะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้มาก บันดูราได้แบ่งการ
เสรมิ แรงออกเปน็ 3 ลักษณะ คอื การเสริมแรงโดยตรง การเสรมิ แรงท่ีไดร้ บั
อิทธิพลจากผู้อื่น และการเสริมแรงตนเอง ซึ่งเป็นการเสริมแรงที่สำคัญ เพราจะเป็นตัวควบคุมการแสดงพฤติกรรมได้
ดี การเสริมแรงในลกั ษณะนคี้ ือการสร้างความสำเรจ็ ให้กับตนเองเพ่อื ใชเ้ ปน็ แรงจงู ใจในการทำพฤตกิ รรมตา่ งๆ

2.3.3 ทฤษฎีลำดบั ขัน้ ความตอ้ งการของมาสโลว์ (Maslow's Hierachy of Needs)
มาสโลว์ (Abraham H.Maslow อธิบายว่ามนุษย์มีความต้องการเป็นลำดับขั้น ซึ่งพบว่าบุคคลมักดิ้นรน
ตอบสนองความต้องการขั้นต่ำสุดก่อน เมื่อได้รับการตอบสนองแล้ว จึงแสวงหาความต้องการขั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ
ดังต่อไปน้ี

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 142
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564

ลำดับขั้นท่ี 1 ความต้องการทางสรีระ (physical needs) คือ ความต้องการตอบสนองความหิวกระหายความ
เหนื่อย ความง่วง ความต้องการทางเพศ ความต้องการขับถ่าย ความต้องการมีกิจกรรมทางร่างกาย และความ
ต้องการสนองความสุขของประสาทสัมผสั

ลำดับขั้นท่ี 2 ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) คือ ความต้องการการคุ้มครองปกป้องรักษา
ความอบอุ่นใจ ความปราศจากอนั ตราย และต้องการหลีกเล่ียงความวิตกกังวล

ลำดับขั้นที่ 3 ความต้องการความเป็นเจ้าของ และความรัก (belongingness and love needs) คือ ความ
อยากมีเพอ่ื น มีพวกพอ้ ง มีกลุม่ มีครอบครัว และมคี วามรัก ขน้ั นจี้ ดั เปน็ ความต้องการทางสังคม

ลำดับขั้นท่ี 4 ความต้องการเป็นที่ยอมรับ ยกย่อง และเกียรติยศชื่อเสียง (esteem needs) คือ ความอยากมี
ช่อื เสียง มหี นา้ มีตา มคี นยกยอ่ งเล่ือมใส มีความเดน่ ดงั และตอ้ งการความรู้สึกทดี่ ขี องคนอนื่ ต่อตน

ลำดับขั้นที่ 5 ความต้องการใฝ่รู้ใฝ่เรียน (need to know and understand) คือความอยากรู้ อยากเข้าใจ
อยากมคี วามสามารถ อยากมปี ระสบการณ์

ลำดับขั้นท่ี 6 ความต้องการทางสุนทรียะ (Aesthetic needs) ได้แก่ความต้องการด้านความดี ความงาม
คุณธรรม และความละเอยี ดออ่ นทางจติ ใจ

ลำดับขั้นที่ 7 ความต้องการความสำเร็จ หรือความสมบูรณ์แบบในชีวิต (Self Actualization Needs) ขั้นน้ี
ถือว่าเป็นความต้องการสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งจะเกิดขึ้นนี้ได้ต้องปูพื้นฐานให้บุคคลได้ตอบสนองความต้องการ
ของตนใน ลำดบั ขน้ั ที่ 1 เปน็ ลำดับมาจนถึงระดับสูง หรอื สร้างความรูส้ กึ "พอ" ในความเป็นเขาเสยี กอ่ น

2.3.4 ทฤษฎรี ูปแบบความรัก
ความรักเกิดขึ้นจากการผสมผสานของความรู้สึก 3 แบบ คือ ความเสน่หา ความใกล้ชิดสนิทสนม ความ

ผูกพัน ความรู้สึกทั้งสามแบบนี้จะเกิดขึ้นมากน้อยหรือจางหายไปข้ึนกับระยะเวลาของสัมพันธภาพ และประสบการณ์
ของความรักของแต่ละบุคคล และสามารถแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา และบริบทที่แตกต่างกันองค์ประกอบของความ
รัก จึงมคี วามหลากหลายแลว้ แตค่ วามสมั พนั ธ์ (Stemberg; and Branes. 1988; online)

- ความรักแบบเพ้อฝัน เป็นการผสมความสัมพันธ์ระหว่างความใกล้ชิดกับความเสน่หาเข้าด้วยกัน เป็น
ความรู้สกึ ท่ีเกดิ จากความดงึ ดูดใจหรือเสนห่ าทางการสมั ผัสทางกาย ด้วยจนิ ตนาการ

- ความรักแบบชอบพอ เป็นความรักในแบบที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม เป็นความสัมพันธ์แบบสนิทกับฝ่าย
ตรงข้ามโดยปราศจากความเสน่หา ไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่เป็นการใกล้ชิดต่อใครสักคนและสามารถ
สือ่ สารกบั เขาไดอ้ ย่างดี

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 143
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564

- ความรักลวงตา เป็นความรักที่เกิดจากความผูกพันทางการสัมผัส โดยมีพื้นฐานบนความดึงดูดใจทาง
ร่างกายหรือความเสน่หา แต่ไม่มีความใกล้ชิดทางอารมณ์หรือความรู้สึกที่เอื้ออาทรต่อกัน ไม่มั่นคงยั่งยืนมีแต่ความ
หึงหวง

- ความรักแบบหลงใหล ความรักนี้จุดประกายด้วยความรู้สึกเสน่หาเพียงอย่างเดียว เป็นความรักแบบรัก
แรกผม ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม หรือ ความรู้สึกผูกพันใดๆ ความเสน่หาที่เกิดความดึงดูดใจด้วยความใกล้ชิด
อยากสัมผัส จนไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ เป็นความรักที่ลุ่มหลงในรูปโฉม คารมและการสัมผัสทางกาย รูปแบบความรัก
น้ีสามารถพฒั นาไปเปน็ ความรักแบบอนื่ ไดต้ อ่ ไป

- ความรักแบบเพื่อน เริ่มจากความใกล้ชิดสนิทสนมและความผูกพัน ก่อให้เกิดการยอมรับนับถือกันและ
ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นมิตรภาพความรักแบบเพื่อน ที่ไม่มอี ารมณ์ในความเสน่หามาเกี่ยวข้องไม่มีความปรารถนาทาง
เพศ และค่อยๆพัฒนารูปแบบความผูกพันไปอย่างสม่ำเสมอและเพิ่มพูนขึ้นตามระยะเวลา มักพบในชีวิตคู่สมรสที่อยู่
ดว้ ยกันมานาน จนความรสู้ กึ แบบเสนห่ ากลายเป็นความใกล้ชิดสนิทสนม และความผกู พนั ทล่ี ึกซงึ้ และคงอยู่ตลอดไป

- ความรักแบบว่างเปล่า เป็นความรักที่มีเพียงความผูกพันเพียงอย่างเดียวไม่มีความปรารถนาทางเพศ
เกดิ ขนึ้ ในการแตง่ งานท่มี ปี ัญหา และต้องอยูด่ ว้ ยกันต่อไปดว้ ยเหตุผลบางอย่างโดยไมอ่ ย่ารา้ งกัน

- ความรักแบบสมบูรณ์ เป็นรูปแบบของความรักที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด ความสำคัญของความรักแบบนี้
อยู่ที่การแสดงออก และการกระทำไมใช่เพียงคำพูด ความรักแบบสมบูรณ์อาจไม่มีความย่ังยืนมากนักเมื่อกาลเวลาได้
พาเอาความเสนห่ าให้หายไป อา่ นเรอื ไว้เพียงแคค่ วามรักแบบเพอื่ นได้ในทส่ี ดุ

2.3.5 แนวคิดเกี่ยวกับปรากฎการณท์ างวัฒนธรรมทสี่ ำคัญ

1. บรเิ วณวัฒนธรรม (Culture area)
บริเวณวัฒนธรรม หมายถึง พื้นที่หนึ่งๆ ท่ีมีวัฒนธรรมอันมีลักษณะเฉพาะ หรือลักษณะเด่นเป็นของตัวเอง

และมีความแตกต่างจากบริเวณอื่น ซึ่งอาจจะพิจารณในระดับกว้างหรือแคบแตกต่างกันไป เช่น แต่ละครอบครัว แต่
ละภาค แตล่ ะประเทศอาจเป็นบริเวณวัฒนธรรมหนงึ่ ๆ ได้

2. การผสมผสานทางวฒั นธรรม (Acculturation)
การผสมผสานทางวัฒนธรรม หมายถึง กรรับเอาวัฒนธรรมของสังคมอื่นมาปฏิบัติ มักเป็นปรากฏการณ์

ทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นเสมอในสภาพสังคมปัจจุบัน เกิดจากการแพร่ระบาดของวัฒนธรรมอื่น เข้ามาในสังคมทำให้
สมาชิกในสังคมนั้นได้ปฏิบัติเมื่อเห็นว่ามีประโยชน์ก็ยอมรับ แล้วปฏิบัติตามเป็นแบบวิธีปฏิบัติที่ถาวร หรือเกิดจากการ
ที่สมาชิกของสังคมได้ไปอยู่สังคมใหม่และได้ปฏิบัติตามวัฒนธรรมบางอย่างของสังคมนั้นจนกลายเป็นนิสัยเม่ือ
กลับมาอยใู่ นสงั คมเดิมจึงได้นำเอาวฒั นธรรมนนั้ ๆ มาปฏิบตั ิ กลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของพฤติกรรมตามปกติ

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนนู วล 144
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564

3. ความล้าหลงั ทางวัฒนธรรม (Cultural lag)
ความล้าหลังทางวัฒนธรรม หมายถึง สภาพที่วัฒนธรรมต่างๆ ในสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปในอัตราที่ไม่

สมดุลกัน หรือไม่พร้อมกัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัฒนธรรมต่าง 1 ขึ้น สังคมจะต้องหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ให้สภาพนั้นๆ ดีขึ้น สภาพของความล้าหลังนี้อาจจะเกิดได้ท้ังการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สมดุลของวัฒนธรรมทางวัตถุกับ
วัตถุ วัฒธรรมทางวัตถกุ บั วฒั นธรรมทางจิตใจ หรือวฒั นธรรมทางจติ ใจกบั จิตใจก็ได้

4. ความขัดแยง้ ทางวัฒนธรรม (Cultural conflict)
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรม หมายถึง การที่บุคคลในสังคมมีความคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมแตกต่างกัน เช่น

ในอินเดียชาวฮินดูถือว่าวัวเป็นพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ แต่คนมุสลิมคิดว่าวัวเป็นสัตว์ใช้งาน และใช้เป็นอาหารได้ ซึ่งก็
อาจจะทำใหเ้ กิดการขัดแย้งกนั รุนแรงจนถึงข้นั สงครามได้

5.วฒั นธรรมในอดุ มคติ และวัฒนธรรมในความเป็นจรงิ (Ideal Culture and Actual Culture)
วัฒนธรรมในอุดมคติ หมายถึง วัฒนธรรมที่บุคคลส่วนใหญ่ในสังคมมุ่งหวังจะให้มีหรือต้องการกำหนดเป็น

แนวปฏบิ ัติของสมาชกิ ในสงั คมวัฒนธรรมในความเป็นจรงิ หมายถึง วฒั นธรรมที่บุคคลในสังคมนั้นปฏบิ ัตกิ ันจริงหรือ
ใช้อยู่จรงิ เชน่ คนไทยก็ยังมีความขเี้ กียจ เฉอื่ ยชา ความเหน็ แกต่ ัว เปน็ แนวทางปฏบิ ตั จิ รงิ ในปจั จุบัน เปน็ ตน้

6. การชอ็ คทางวัฒนธรรม (Cultural Shock)
การช็อคทางวัฒนธรรม หมายถึง สภาพที่บุคคลเกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมากเมื่อถูกตัดขาดออกจาก

วัฒนธรรมเดิมที่คุ้นเคย และปฏิบัติอยู่เป็นประจำได้ และปฏิบัติวัฒนธรรมใหม่ ทำให้สภาพทางจิตใจเกิดความไม่สงบ
และประสทิ ธิภาพของการทำงานกล็ ดนอ้ ยลง

7. สัมพทั ธว์ ัฒนธรรม (Culture Relativity)
สัมพัทธ์ทางวัฒนธรรม หมายถึง วัฒนธรรมที่เหมาะสมกับสังคมหนึ่ง แต่ไม่เหมาะสมกับอีกสังคมหนึ่งโดย

ปกติวัฒนธรรม คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อนำมาใช้ในการตอบสนองความต้องการของคนในสังคมนั้นๆซ่ึง
สภาพแวดล้อม และสภาพความต้องการของแต่ละสังคม ย่อมจะแตกต่างกันออกไป วัฒนธรรมของสังคมหนึ่งจึง
อาจจะไม่เหมาะสมเม่ือนำมาใชก้ ับอีกสังคมหนึง่

8. การเหน็ วฒั นธรรมของตนดีกว่าวฒั นธรรมของผ้อู ืน่ (Ethnocentrism)
การเห็นวัฒนธรรมของตนดีกว่าวัฒนธรรมของผู้อื่น หมายถึง การที่บุคคลต่างๆ ต่างก็คิดว่าวัฒนธรรมท่ี

ตนคิดขึ้นมา หรือมีใช้อยู่ในสังคมของตนนั้นดีกว่าหรือเหมาะสมกว่าของผู้อื่น ซงเป็นไปโดยสภาพธรรมชาติของมนุษย์
ที่ย่อมจะคิดเข้าข้างฝ่ายตนเองเป็นอันดับแรกปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นเพราะคนในสังคมใดๆจะเอาการกระทำ
ต่างๆ ของคนในสงั คมอ่ืนมาตัดสิน โดยใช้แนวความคิดของวฒั นธรรมของตนเองเป็นมาตรฐาน

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทัย หนูนวล 145
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

บทท่ี 3
การวิเคราะห์การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ และการเสนอแนวคิด

3.1 กิจกรรมและบรกิ ารเก่ยี วกับครอบครัวขา้ มวัฒนธรรม
1. นโยบายที่จะส่งเสริมความเข็มแข็งของเครือข่ายหญิงไทยคณะผู้บริหารกรมกิจการสตรีและสถาบัน

ครอบครัว (สค.) ได้ พบเครือข่ายหญิงไทยในยุโรป เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเด็ก ครอบครัว ผู้สูงอายุและการพัฒนา
หลักสูตรเตรียมความพรอ้ มหญงิ ไทยก่อนไปตา่ งประเทศ โดยมกี ารพบปะหารอื กับ Ms.Solveig Horne รฐั มนตรวี า่ การ
กระทรวงเด็กและความเท่าเทียมของราชอาณาจักรนอร์เวย์และคณะผู้บริหาร ในประเด็นบทบาทของกระทรวง พม. ท่ี
ให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการเด็ก เช่น โครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด โครงการยุติการทิ้งเด็ก การ พัฒาเด็ก
ด้อยโอกาสให้มีอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ ในโครงการเพชรน้ำหนึ่ง การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในครอบครัวเพื่อป้องกันความ
รุนแรงในครอบครัว ได้ร่วมรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับระบu Chidren Sevice Welfare ของนอร์เวย์ ที่เน้นการให้
การคุ้มครองสิทธิเด็กทุกเชื้อชาติ การให้คำปรึกษาครอบครัวที่เป็นพ่อแม่มือใหม่ เพื่อให้เด็กอยู่กับครอบครัวได้อย่าง
สมบูรณ์ในการนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล และกระทรวง พม. ได้ขอความร่วมมือด้านข้อมูลที่ควรรู้สำหรับ
คนไทยและการดูแลเด็กในนอร์เวย์ เพื่อนำไปให้ความรู้และ ใช้เป็นหลักสูตรของการอบรมหญิงไทยก่อนเดินทางไป
ต่างประเทศ

นโยบายที่จะส่งเสริมความเข็มแข็งของเครือข่ายหญิงไทย เพื่อพัฒนาเนื้อหาในหลักสูตรการเตรียมความ
พร้อมหญิงไทยก่อนเดินทางไปต่างประเทศในอนาคต ได้มีการหารือร่วมกับครูอาสาเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา
ศักยภาพของหญิงไทยและเยาวชนไทยในนอร์เวย์ และได้มีนโยบายสนับสนุนให้เยาวชนที่มีความประพฤติดีและคณะครู
อาสา ได้เดินทางกลับประเทศไทย เพื่อเย่ียมถิ่นกาเนิดและเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นไทย เพื่อนากลับไปเผยแพร่ให้กับ
เยาวชนรนุ่ หลังตอ่ ไป

2. การจัดแนวทางการพัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือสตรีและครอบครัวไทยของเครือข่ายหญิงไทยใน
ตา่ งประเทศ

รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (รองอธิบดี สค.) เป็นประธานการประชุมจัดทำแนวทางการ
พัฒนาระบบการให้ความช่วยเหลือสตรีและครอบครัวไทยของเครือข่ายหญิงไทยในต่างประเทศ โดยมีวิทยากรร่วมจาก
กระทรวงการต่างประเทศ ได้แก่ อัครราชทูตที่ปรึกษา สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น
ผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุลพร้อมด้วยคณะ และผู้แทน
กรมบัญชกี ลางเขา้ รว่ มสังเกตการณ์

การประชุมครั้งมีเครือข่ายหญิงไทยในประเทศญี่ปุ่นเข้าร่วมและเครือข่ายในประเทศญี่ปุ่น เช่น เครือข่ายคน
ไทยในญี่ปุ่น สมาคมเด็กไทยกรุ๊ป กลุ่มคนไทยในซตามะ โดยมีอายุระหว่าง 30-70 ปี และหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น
อาจารย์ นักกฎหมาย ล่าม พนักงานของรัฐญี่ปุ่น ลูกจ้างทั่วไป แม่บ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล
เกี่ยวกบั สถานการณ์ทว่ั ไป สภาพปญั หา และขอ้ เสนอเพือ่ ขอรับการสนบั สนุนจากภาครฐั

บทบาทของเครือข่ายหญิงไทยในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการรวมตัวกันตามภูมิภาคต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือ
โดยตรงหรือผ่านช่องทาง social media ทาง facebook และ Line Group โดยกระบวนการให้ความช่วยเหลือ ส่วน
ใหญ่ จะเป็นการให้คำปรึกษา การส่งต่อ case ไปยังสถานทูตไทย หรือสถานกงสุล สมาคม มูลนิธิ เพื่อให้การช่วยเหลือ
ทั้งกรณีความรุนแรง การเงิน หรือส่งกลับ โดยความถี่ในการช่วยเหลือหญิงไทย ประมาณวันละ 10-15 ราย

CF 369 สัมมนาเด็ก เยาวชน และครอบครัว อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ นิ หทยั หนูนวล 146
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564

นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายหญิงไทย ได้มีการจัดทำเอกสารแปลภาษาญี่ปุ่นเป็น ภาษาไทย เช่น คู่มือด้านสุขภาพ คู่มือ
เรียนอักษรภาษาญ่ปี ุน่ (คนั จ)ิ เพ่ือเปน็ การเผยแพรแ่ ละแบ่งปนั การเรียนรูซ้ ึง่ กนั และกันโดยไม่คดิ ค่าใชจ้ ่ายด้วย

ผลสรุปของการดำเนินโครงการ พบว่า กลุ่มเครือข่ายที่เข้าร่วมโครงการ มีความพึงพอใจอย่างมากและมีการ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างแข็งขัน มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐเพื่อการช่วยเหลือหญิงไทยที่ประสบปัญหาต้องการ
ความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมต่อเครือข่ายหญิงไทยให้มีการทำงานลักษณะเพื่อนช่วยเพื่อน self help group
อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและย่ังยนื ได้แก่

1. อบรมใหค้ วามรแู้ กห่ ญิงไทย กอ่ นเดินทางไปอยปู่ ระเทศญปี่ ุ่น
2. ระบบการประสานส่งต่อการช่วยเหลือหญิงไทย การเชื่อมโยงข้อมูลการช่วยเหลือของเครือข่ายหญิงไทย
และภาครฐั ทั้งในประเทศญปี่ นุ่ และประเทศไทย
3. การอบรมวิธีการให้ความช่วยเหลือหญิงไทยของกลมุ่ เครือขา่ ยโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเครือขา่ ย
4. การสนับสนนุ การจัดทำโครงการเพ่อื ขอรบั การสนบั สนุนงบประมาณ
5. การมี license สำหรบั ลา่ ม ทท่ี ำหนา้ ท่ีช่วยเหลอื หญงิ ไทย
6. สายด่วนการช่วยเหลือ เช่น 1300 ควรเพิ่มช่องทางเร่งด่วน ผ่าน socail media : facebook/ line/ เว็ป
ไชต์สำหรับในส่วนของเว็ปไซต์ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว อยู่ระหว่างการปรับปรุงเว็ปไซต์
"เครือข่ายหญิงไทยในต่างประเทศ" (yingthai.dwf.go.th) เพื่อให้เป็นช่องทางหนึ่งสำหรับเครือข่ายหญิงไทย
ในต่างประเทศในการประสานการดำเนินงานกับภาครฐั

3. คลินกิ สะไภไ้ ทย-เขยฝรง่ั ณ ศูนย์เรยี นรกู้ ารพฒั นาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแกน่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มาเป็นประธานพิธี "เปิดคลินิก

สะไภ้ไทย - เขยฝรั่ง" พร้อม นายเลิศปัญญา บูรณบัณฑิต อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นายสมศักดิ์
จังตระกลุ ผวจ.ขอนแก่น หน.ส่วนราชการภาครฐั สะไภไ้ ทย และเขยฝรง่ั เขา้ รว่ มในพธิ จี ำนวนมาก

ในประเทศไทยหญิงไทยแต่งงานกับชาวต่างชาติโดยเฉพาะคนใน จ.อุดรธานี จ.ขอนแก่น มีคู่ชีวิตเป็นชาว
ยุโรปเป็นส่วนมาก และภาคอีสานมีคู่ชีวิตเป็นชาวต่างชาติมากที่สุดกว่าทุกภาคในประเทศสถิติขนาดนี้มีร่วม8,000คน
จึงไปประสบปัญหาในชีวิตของแต่ละคน เพราะวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน กฎหมาย ภาษาก็แตกต่างกัน ดังนั้นกรม
กิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พม. จึงได้เปิดคลินิกให้คำปรึกษาสำหรับหญิงไทยในสังคมพหุ วัฒนธรรม หรือ
คลินิกสะไภ้ไทย - เขยฝรั่ง เพื่อให้คำปรึกษาเขยฝรั่ง-สะไภ้ไทย ในการท่ี จะตัดสินใจกับชาวต่างชาติ หรือแต่งงานแล้ว
จะแก้ปัญหาชีวิตอย่างไร โดยเข้ามาปรึกษากับคลินิศสะไภ้ไทย-เขยฝรั่ง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นแห่งเดียวและแห่งแรกใน
ประเทศไทย ซึ่งจะมีที่ปรึกษาทางด้านต่างๆจากกระทรวงต่างประเทศ สาธารณสุขยุติธรรม และมหาวิทยาลัยชอนแก่น
เพื่อแนะนำให้กับสะไภ้ไทย-เขยฝรั่ง ที่ได้มาปรึกษาปัญหาชีวิต ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพื่อป้องกันการถูก
หลอก ถูกทำร้ายร่างกาย และสิ่งที่ไม่ดี นอกจากนี้หญิงไทยที่คิดจะมีคู่ชีวิตเป็นชาวต่างประเทศมีการตัดสินใจท่ี
ถูกต้อง

คลินิกสะไภ้ไทย-เขยฝรั่ง ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวรัตนาภา จ.ขอนแก่น ถือเป็นแห่งแรกท่ี
ตั้งอยู่ในภาคอีสานซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถิติของผู้หญิงที่สมรสกับชาวต่างชาติค่อนข้างสูง เพราะส่วนหนึ่งมาจาก
ครอบครัวที่มีค่านิยมส่งเสริม สนับสนุนให้ลูกสาวแต่งงานกับชาวต่างชาติ โดยคาดหวังว่าครอบครัวจะมีฐานะดีขึ้นแต่
ทั้งนี้ ก็มีผู้หญิงหลายรายที่ถูกชาวต่างชาติหลอกลวง เมื่อแต่งงานไปแล้ว พบว่า ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายตามที่คาดหวัง


Click to View FlipBook Version